Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2019

ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม
How to enjoy life
31 December 2019

ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม

เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • สิ้นปีเหมาะเป็นเวลาทบทวน เลือกเก็บสิ่งดีและทิ้งสิ่งร้าย คือสิ่งที่ วิรตี ทะพิงค์แก ได้เรียนรู้และปฏิบัติจาก ‘ค่ายหลุดโลก’ ที่เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
  • ‘ค่ายหลุดโลก’ ชวนให้คนหลุดพ้นจากความคาดหวัง ความเคยชินเดิมๆ ไปเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่สะดวกสบาย อีกมุมหนึ่งคือการเชื้อเชิญให้หลุดไปจากตัวตนที่ทำให้ชีวิตหนักอึ้ง ทุกข์ ทรมาน เพื่อพบความกระจ่างภายใน
  • ด้วยการ ผลัดใบ ผลัดจิต ผลัดใจเก่าทิ้งไป หากต้นไม้ไม่เรียกใบไม้ร่วงว่าการสูญเสีย การสิ้นสุดของบางสิ่งในชีวิตก็อาจเป็นโอกาสของการเกิดบางอย่างขึ้นใหม่ได้เช่นกัน

ยามฤดูหนาว ใบไม้เปลี่ยนสี หล่นร่วงเพื่อเปลี่ยนผ่านชีวิต มนุษย์เราเองก็ควรมีช่วงเวลาเช่นนั้น ผลัดใบเพื่อสิ่งใหม่สามารถงอกงามเติบโต

พี่อ้วน-นิคม พุทธา แห่งค่ายเยาวชนเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ มีประสบการณ์เปลี่ยนผ่านตัวเองจากการภาวนาในป่ามาหลายครั้ง และพบว่าเป็นสภาวะที่งดงามและมีคุณค่าความหมายมาก จึงเปิดพื้นที่เรียนรู้ให้คนทั่วไปได้เรียนรู้จากธรรมชาติ ด้วยบรรยากาศทรงพลังจากดอยหลวงเชียงดาว ลำธารใสสาดซ่าจากป่าต้นน้ำ และเสียงบรรยากาศความเงียบ เพียงเท่านี้ก็เป็นของขวัญมากพอแล้วที่จะช่วยให้เรากลับคืนไปสู่ภาวะตื่นรู้ภายในได้อย่างรวดเร็ว

พี่อ้วน-นิคม พุทธา

พี่อ้วนเรียกการเรียนรู้ครั้งนี้ว่า ‘ค่ายหลุดโลก’ มุมหนึ่งเหมือนเป็นการล้อเลียนให้รู้สึกตลก อยากชวนให้คนหลุดพ้นจากความคาดหวัง ความเคยชินเดิมๆ ที่ห่อหุ้มชีวิตประจำวันอย่างแน่นหนา ไปเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่สะดวกสบาย ในอีกมุมหนึ่งคือการเชื้อเชิญให้หลุดไปจากตัวตนบางอย่างที่ทำให้ชีวิตหนักอึ้ง ทุกข์ ทรมาน เพื่อพบความกระจ่างภายในได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรูปแบบการปฏิบัติ

ปิดข้างนอกเพื่อเปิดข้างใน

พระพุทธเจ้าเคยกล่าวเอาไว้ว่า “จิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคนนั้นใสกระจ่างดังดวงจันทร์ บางครั้งอาจมีเมฆหมอกคล้อยผ่านไปบ้าง หากความหม่นมัวนั้นเคลื่อนจากไป พระจันทร์ย่อมกลับมาเจิดจ้าอีกครั้ง” สิ่งที่จะเอื้อให้เปิด (การตระหนักรู้) ภายในได้อย่างมีพลัง คือ การปิด (ผัสสะการรับรู้) ภายนอก

เราเดินทางไปที่หมู่บ้านแม่คองซ้ายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาบนดอยเชียงดาว มีชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่กันมาสามสี่ชั่วคนประมาณ 30-40 ครอบครัว แต่ดูแลรักษาป่าต้นน้ำนับหมื่นไร่ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เป็นสิ่งแวดล้อมที่เอื้อเฟื้อให้เราได้ปิดการรับรู้โลกภายนอกเพื่อให้กลับไปได้ยินเสียงภายในของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ช่วงที่เราไปอากาศหนาวมากเพราะอุณหภูมิเพิ่งลดฮวบลงเรื่อยๆ จนมีโอกาสลุ้นความหนาวแบบเลขตัวเดียว พี่อ้วนนำพวกเราเดินในพื้นที่รอบหมู่บ้านเพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละคนมองหาสถานที่กางเต็นท์ (ภาวนา) ที่ถูกใจ ฉันเองชอบเสียงน้ำ แอบตั้งใจว่าอยากกางเต็นท์ริมน้ำ แต่ด้วยความที่ป่าร่มครึ้มทำให้อากาศเย็นเยือกและชื้นอยู่ตลอด ฉันเลยเปลี่ยนใจไปเลือกนอนในทุ่งนา (ที่เกี่ยวข้าวหมดแล้ว) แทน

เบสแคมป์หรือพื้นที่ส่วนกลางของเรา ตั้งอยู่ริมลำธาร เมื่อถึงเวลาทำกิจกรรมและกินข้าว ทุกคนต้องเดินทางมาที่นี่ บางคนต้องเดินผ่านป่า บางคนต้องข้ามลำธาร ขึ้นอยู่กับว่าเลือกตั้งเต็นท์อยู่ที่ไหนในหมู่บ้าน บางคนบอกฉันว่านี่เป็นการเข้าป่าครั้งแรก เธออยู่แต่ในเมืองและไม่คุ้นเคยกับความเงียบเลย การเผชิญภาวะความเงียบครั้งแรกในชีวิตเป็นโจทย์การทำงานกับตัวเองที่ท้าทายไม่น้อย …หลายคนคงคิดเช่นนั้น

หลังอิ่มอร่อยกับมื้อเย็นในป่า เรามายืนล้อมวงรอบกองไฟ พี่อ้วนชวนทุกคนกลับมาเปิดใจเรียนรู้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าหน้าหนาวที่ใบไม้เริ่มผลัดใบทิ้ง ใบไม้ร่วงหล่นทำหน้าที่ห่มดิน กอดเก็บความชื้น สร้างระบบนิเวศให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่อาศัย จนดินชุ่มฉ่ำก่อเกิดเป็นธารน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต หากเราเปิดตาและเปิดใจให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ย่อมเรียนรู้จากธรรมชาติได้มากมาย ตั้ม-วิจักขณ์ พานิช แห่งวัชรสิทธา ชวนเรามาตั้งเจตจำนงการเรียนรู้กับตนเองด้วยการหยิบใบไม้แห้งมาหนึ่งใบ สำรวจจิตใจในสิ่งที่เราต้องการผลัดทิ้งเช่นเดียวกับต้นไม้ผลัดใบ แล้วโยนใบไม้นั้นเข้าไปในกองไฟ

ฉันเองเลือกทำงานกับความกลัวในใจ รู้เสมอว่าหากข้ามผ่านสิ่งนี้ไปได้ เราจะไม่ถูกเหนี่ยวรั้งและพบศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในตัวเองได้ในที่สุด ในระหว่างที่โยนใบไม้แห้ง (ที่เป็นตัวแทนของความกลัว) ลงไปในกองไฟ ไฟลุกฟู่ขึ้นมาเผาใบไม้แห้งในพริบตา เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นที่งดงามเหลือเกิน  

ความเงียบอันประเสริฐ

ฉันเองเคยไปนิเวศภาวนามาครั้งหนึ่งและอาจด้วยบรรยากาศป่าของหมู่บ้านแม่คองซ้ายให้ความรู้สึกเป็นมิตรและมีพลังโอบอุ้ม ทำให้ไม่มีความกลัวในใจเลย ตอนทุกคนแยกย้ายกลับเต็นท์และอยู่ท่ามกลางความมืด ฉันอยู่ในบรรยากาศเปิดโล่งในทุ่งนา จึงมองเห็นแสงจันทร์สว่างเป็นพิเศษทั้งที่เป็นจันทร์แค่ครึ่งดวงเท่านั้น ยามค่ำคืนหรีดหริ่งเรไรร้องเพลง เสียงกระพรวนห้อยคอควายที่ผูกอยู่ข้างๆ ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ได้ยินเสียงน้ำไหลจากที่ไม่ห่างกัน ฉันนั่งภาวนาอยู่ท่ามกลางความเงียบ รับรู้ถึงความงดงามของทุกสิ่งรอบข้าง ระลึกได้ว่าความสุขนั้นเกิดได้ง่ายดายเหลือเกิน  

‘ความเงียบ/ที่ว่าง/การไม่ต้องทำอะไร/กลมกลืนไปกับภาวะรอบกาย’ กลายเป็นสิ่งที่หล่นหายไปจากชีวิตรีบเร่งของเรา และนั่นคือความงามที่จริงแท้ ดวงดาวสุกสกาวเหมือนเพชรส่องประกายบนผืนฟ้าดำขลับ เราเป็นดั่งผงธุลีเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับทุกสิ่งในจักรวาล อากาศหนาวจนเสื้อผ้าเริ่มเปียกชื้น ดวงดาวค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไป สิ่งที่ดวงดาวบอกเราคือ ความจริงในโลกนี้คือการหมุนวนไป ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่งอยู่กับที่ เราจึงต้องเข้าใจความจริงที่เคลื่อนไปเสมอ ทุกการเปลี่ยนผ่านคือโอกาสของการเติบโต

การได้กลับมาอยู่กับความเงียบ อยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติรอบกาย จึงเป็น ‘การหลุด (โลก)’ ก้าวแรกที่สำคัญ หลายคนค้นพบว่าชีวิตของตนวิ่งวุ่นเหมือนหนูถีบจักรเพียงใด ก็เมื่ออนุญาตให้ตัวเองได้หยุดนี่เอง ความเงียบจึงไม่ได้เงียบงัน หากเป็นประตูสู่การใคร่ครวญจนเกิดแสงสว่างทางปัญญาจากภายในได้ด้วยตัวเอง

เรียนรู้จากธรรมชาติ

อากาศในค่ำคืนแรกเหน็บหนาวจนเป็นความทรมาน ฉันเองนอนดิ้นไปดิ้นมาตลอดทั้งคืน (มารู้ภายหลังว่าเมื่อคืนอุณหภูมิประมาณ 4 องศาเซลเซียส) ความชื้นสูงจนผ้าเต็นท์ด้านในเปียกชื้นทำให้ทั้งเปียกทั้งหนาวสั่น มารู้ตัวอีกครั้งตอนที่ผล็อยหลับไปได้เพียงครู่สั้นๆ เพราะแสงอาทิตย์ฉายแสงอ่อนลอดเข้ามา ฉันตื่นขึ้นมาโดยน้ำตารื้น เกิดความรู้สึกขอบคุณท่วมท้นใจ เพราะเหน็บหนาวเราจึงได้รู้คุณความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ แดดเช้าของวันใหม่จึงเป็นเหมือนอ้อมกอดอันยิ่งใหญ่ที่โลกนี้มอบให้กับผู้ที่รอคอยเป็น

ประเด็นสนทนาหลังอาหารเช้าจึงมีแต่เรื่องความเหน็บหนาวของคืนที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ ในตอนแรกทุกคนคิดว่าตัวเองลำบากที่สุด ทรมานที่สุด แต่เมื่อได้รับฟังกันและกัน จึงได้ตระหนักว่าตนไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว แต่ละคนก็ทุกข์ในแบบของตัวเอง อยู่ที่ว่าเราเรียนรู้และมีท่าทีตอบสนองต่อความทุกข์นั้นอย่างไรมากกว่า

ช่วงเวลามหัศจรรย์สำหรับฉันคือตอนนั่งลำพังริมลำธารยามเช้า ด้วยอากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำเย็นยะเยือก เมื่อแดดส่องฉายลงมาให้ความอบอุ่น เราจึงมองเห็นกรุ่นไอลอยอ้อยอิ่งเป็นดั่งลมหายใจของสายน้ำ เป็นชั่วขณะที่สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงคำว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกัน’ ที่ตัวเรา ต้นไม้ สายน้ำ กำลังใช้ลมหายใจร่วมกัน เรามีชีวิตโดยดำรงอยู่บนการพึ่งพาอาศัย ทุกสิ่งในโลกใบนี้มีความสัมพันธ์กันและกัน ในทางใดทางหนึ่งเสมอ ไม่ว่าเราจะตระหนักรู้หรือไม่ก็ตาม

เพื่อนร่วมภาวนาคนที่เข้าป่าครั้งแรกแบ่งปันความรู้สึกว่า เธอเองไม่เคยเข้าใจว่าป่าไม้ สายน้ำจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับชีวิตของเธอ ในตอนที่อยู่เมืองหลวง เพราะแค่เปิด ทุกอย่างก็ปรากฏ แต่เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็กลัวความเงียบ แต่เธอกลับพบว่าในความเงียบนั้นเธอสัมผัสถึงความเป็นมิตรจากธรรมชาติได้มากกว่ายามอยู่ในท่ามกลางผู้คนเสียอีก เมื่อได้นั่งลงเห็นไอน้ำลอยกรุ่นเธอจึงได้ตระหนักรู้เป็นครั้งแรกว่า ต้นไม้อยู่ในกายของเธอ แม่น้ำก็อยู่ในกายของเธอ ผ่านลมหายใจที่เราใช้ร่วมกัน

ผู้นำของหมู่บ้านพาพวกเราเดินรอบพื้นที่เพื่อดูว่าชาวบ้านแม่คองซ้ายอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไร ชาวบ้านที่นี่อยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีป่าไม้เขียวครึ้มสุดลูกหูลูกตา มีลำธารไหลทั่วไปหมด ชาวบ้านทำไร่หมุนเวียนเพื่อปลูกข้าวและสารพันอาหารไว้ในผืนดิน เช่น เผือก มัน ฟัก และพืชสวนครัวต่างๆ ทุกอย่างทำเพื่อกิน หากมีเหลือจึงจะขาย “ผืนดินที่มีอาหาร ผู้คนที่มีกิน คือความร่ำรวยแท้จริง” พะตีคนหนึ่งบอกกับเรา ชวนให้คิดว่าพวกเราคนในเมือง ร่ำรวยหรือยากจนในนิยามความหมายเช่นนี้?

เมื่อแล้งไร้จึงเห็นค่าและขอบคุณ

ช่วงบ่ายพี่อ้วนเชื้อเชิญให้ทุกคนภาวนาตามลำพังในธรรมชาติ หากเป็นไปได้อยากให้ลองอดอาหารมื้อเย็นในวันที่สองนี้ ก่อนแยกย้ายพี่อ้วนบอกว่า ถ้าใครหนาวจนทนไม่ไหว จะขอไปนอนบ้านชาวบ้านก็ได้ เวลาที่เราต้องร้องขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างจากคนอื่น เราจะรับรู้ถึงการสลายตัวตนและความรู้สึกขอบคุณได้อย่างชัดเจน

ฉันเองตัดสินใจอดอาหารและตั้งใจย้ายตำแหน่งกางเต็นท์จากทุ่งนาไปนอนใต้ชายคาโรงเรียนเพราะสู้ความชื้นไม่ไหว จากนั้นจึงนั่งภาวนาอยู่ริมสายน้ำ เสียงซัดซ่าของน้ำไหลเป็นเครื่องมือชำระใจให้โปร่งเบาสบาย

“ทุกอย่างไหลไปตามธารของมัน บ้างคดเคี้ยว บ้างเป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ใจต้องการ มีเพียงแต่สิ่งที่ต้องเป็นไปตามดั่งที่มันควรเป็น หากเราไม่กำหนดความจริง (ของเรา) ไว้เพียงอย่างเดียวตามความต้องการของตน ทุกอย่างคือความเป็นไปได้ทั้งสิ้น” นี่คือสิ่งที่ฉันเรียนรู้จากสายน้ำ

ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านในหุบเขา แค่ตะวันลับฟ้าอุณหภูมิก็ลดฮวบทันที ฉันเดินเข้าไปหมู่บ้านเพื่อขอไฟจากชาวบ้านมาจุดเทียนหน้าเต็นท์ สี่โมงเย็นชาวบ้านก็ก่อฟืนผิงไฟหน้าบ้านกันแล้ว ฉันเดินตามควันไฟเข้าไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง ขออนุญาตต่อไฟเพื่อจุดเทียน พะตีกับหมื่อกา (ลุงกับป้า) ชวนนั่งผิงไฟด้วยกันก่อน ถามไถ่พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วหมื่อกาก็บอกว่า “ไม่ต้องอดข้าวหรอก ที่นี่มีข้าวเยอะ มากินด้วยกัน นอนข้างนอกมันหนาว มานอนที่บ้านก็ได้ ผ้าห่มมีเยอะ” พูดอย่างนี้ซ้ำๆ หลายครั้งตลอดการสนทนา ฉันเองน้ำตารื้นด้วยความขอบคุณ ลองถามตัวเองดูบ้างก็ได้ว่า คุณเองเคยได้รับน้ำใสใจจริงจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร

ด้วยความเคารพจากใจจริงนะ คนที่นี่อยู่ท่ามกลางป่าขนาดใหญ่ มีต้นไม้หลายคนโอบหลายต้น หากพวกเขานึกถึงแต่ตัวเอง เขาเลือกมีบ้านหลังใหญ่กว่านี้ก็ได้ ตัดไม้ไปขายเพื่อมีเงินมากกว่านี้ก็ได้ ถางป่าปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อหาเงินก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ ทั้งที่อยู่กันมาสามสี่ชั่วคนแล้ว แต่บ้านของแต่ละคนก็ยังเป็นแค่บ้านหลังเล็กๆ ใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลยแม้แต่ไฟฟ้า

แต่อะไรเล่าทำให้หัวใจของพวกเขาร่ำรวยความสุข รู้สึกเปี่ยมล้นจนเต็มใจแบ่งปันได้มากมายเช่นนี้  

มื้อเช้าหลังอดอาหาร ข้าวต้มธรรมดาที่มีเพียงข้าว มัน และฟักทอง ดูอร่อยพิเศษกว่าที่มันเคยเป็น กองไฟทำหน้าที่ให้กายอบอุ่นมีความหมายอย่างพิเศษ พี่เล็กผู้ดูแลกองไฟเล่าให้ฟังว่า น้องคนหนึ่งตื่นมา (คงด้วยความหนาว) ตั้งแต่ตีห้า มานั่งอยู่หน้ากองไฟที่เบสแคมป์แล้วหลับต่อ ความอบอุ่นจึงหมายถึงความปลอดภัยและไว้วางใจ ชีวิตในเมืองที่เราแลกเปลี่ยนทุกสิ่งได้ด้วยเงิน ไม่เคยมีสิ่งใดมีค่าในความสำนึกรู้ของเรา แต่ในชั่วขณะที่เหน็บหนาวเช่นนี้ กิ่งไม้แห้งหรือฟืนแม้สักท่อนก็มีความหมายถึงขั้นต่อชีวิตเราได้เลยทีเดียว

หวนคิดถึงชีวิตในเมือง คนที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่เราก็ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง เราคิดเอาเองว่าแค่มีเงินตราก็สรรหาได้ทุกสิ่ง ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางป่าต้นน้ำอันสมบูรณ์จึงเป็นการเผชิญหน้ากับความจริงแท้ว่าชีวิตของเรานี้เล็กจ้อยนัก เราเป็นหนี้บุญคุณของความเอื้ออาทรจากธรรมชาติทั้งภูเขา ป่าไม้ สายน้ำ และสรรพสิ่งอย่างพึ่งพาอาศัย ชวนให้ใคร่ครวญว่าเราเรียนรู้ที่จะขอบคุณชีวิตนี้มากน้อยแค่ไหนกัน

ชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์

แม้จะเป็นเวลาแสนสั้น แต่ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ได้ช่วยโอบอุ้มให้หลายคนเกิดการเรียนรู้ภายในอย่างลึกซึ้ง ก่อนจาก พะตีอาวุโสในหมู่บ้านจัดพิธีผูกข้อมือรับขวัญผูกดวงใจเราไว้ให้อยู่กับตัวอยู่กับธรรมชาติทั้งภายนอกและภายใน ด้ายฝ้ายสีขาวผูกคล้องมือจึงราวคล้ายการรับขวัญการเกิดใหม่สำหรับใครหลายคน

ออกจากหมู่บ้านแม่คองซ้ายกลับมาที่ค่ายเยาวชนเชียงดาว อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ตามมาสบทบตอนค่ำ บทเพลงหนึ่งที่ถูกขับขานรอบกองไฟ กล่าวถึงการสลายความกลัวเพื่อบ่มความรักในหัวใจ เป็นประเด็นสนทนาต่อเนื่องในยามเช้าที่เราแบ่งปันประสบการณ์การเรียนรู้ต่อกัน

อาจารย์ประมวลกล่าวว่าตามแนวคิดของฮินดูเรื่องอาศรมสี่ (พรมจรรย์-คฤหัสถ์-วนปรัสถ์-สัณยาสี) ถึงช่วงเวลาหนึ่งคนเราก็ต้องออกจากบ้านไปสู่ป่า บ้านหรือคฤหัสถ์หมายถึงการที่เราควบคุมพื้นที่หรือสถานการณ์ให้เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา แต่ป่าหรือวนปรัสถ์ หมายถึง การทำใจหรือดัดแปลงใจให้ยอมรับและสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ภายนอก การที่ทุกคนได้เข้าป่าและได้พบประสบการณ์เรียนรู้ที่มีค่าจึงเป็นความหมายที่สำคัญสำหรับชีวิตที่ทุกคนได้มอบให้แก่ตนเอง

อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์

ความกลัวมักเป็นสิ่งดึงรั้งใจ เป็นเหตุผลใหญ่ที่เราควบคุมสิ่งต่างๆ ให้เป็นดังใจต้องการของตัวเอง เพราะการควบคุมได้ทำให้เราปลอดภัย (ในความรู้สึกของตัวเอง) แต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความกลัวไม่อาจเติบโต การสลายความกลัวจึงเป็นหนทางของการบ่มเพาะความรักในหัวใจ ความรักคือการเปิดกว้าง ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างไม่ควบคุม อาจารย์กล่าวต่อว่าชีวิตของคนสมัยใหม่เปราะบางขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เกิดในยุคสมัยของความสะดวกสบายที่ทุกอย่างเสกได้ในชั่ววินาที

“เกษตรกรหรือชาวบ้านธรรมดาเขาต้องอดทนรอคอยผลผลิตตามฤดูกาล ต้องรอการก่อไฟจึงจะได้ความอบอุ่น วิถีชีวิตแบบนั้นทำให้การรอของเขาเป็นเรื่องปกติ แต่พวกเราคนในเมืองที่ใช้เงินแลกเปลี่ยนทุกสิ่ง เราไม่เคยรู้จักการรอคอย การได้กลับไปอยู่กับธรรมชาติจึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะรอคอยได้ รอคอยเป็น เพราะเรียนรู้ว่าไม่อาจเร่งทุกสิ่งให้เป็นอย่างใจ สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การทำความเข้าใจว่า ‘ชีวิตคือการเรียนรู้’ หน้าที่ของเราทุกคนคือการเปิดใจ น้อมใจกับสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าแล้วเรียนรู้จากมัน ไม่ใช่คาดหวังให้เป็นอย่างใจ ชีวิตเช่นนี้เราจึงจะเติบโต”

อาจารย์ประมวลใช้โอกาสกล่าวลาทุกคน เนื่องเพราะสัมผัสรู้ถึงความแก่ชราในตนและอยากพักผ่อน จึงขอวางมือจากการทำงานแบ่งปันความคิดตามแวดวงต่างๆ เป็นเสมือนการนำพาชีวิตเข้าสู่อาศรมสี่ในช่วงสัณยาสีกล่าวคือ บำเพ็ญธรรมในความสันโดษ หลายคนมีน้ำตาเมื่ออาจารย์กล่าวถึงตรงนี้ ท่านเล่าต่อว่า

“ชีวิตคนเราเหมือนรถไฟฟ้า เมื่อถึงสถานีของเรา เราก็ลง ไม่จำเป็นต้องไปกังวลถึงอนาคตข้างหน้า แค่ใช้เวลากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีความหมาย ทำทุกช่วงขณะชีวิตให้มีคุณค่าเสมอ เราจะไม่เสียดายเวลา แม้เกิดความพลัดพรากก็ยังเป็นความงดงามได้ทั้งสิ้น”

ฉันเองเลือกผลัดใบกับความกลัว และดูเหมือนว่าความกลัวได้ถูกพร่าผลาญไปกับใบไม้แห้งที่โยนเข้ากองไฟนั้นไปแล้วจริงๆ ด้วยความรู้สึกที่เปิดกว้างในหัวใจ ยอมรับทุกประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ควบคุมผลักไส คล้ายดังภิกษุณีเพม่า โชดรัน ได้บรรยายไว้ในหนังสือ ‘เมื่อทุกอย่างพังทลาย’ ว่า “การมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมและตื่นรู้อย่างสมบูรณ์นั้น คือการถูกจับโยนออกจากรังอันสะดวกสบายอยู่ตลอดเวลา มีประสบการณ์ด้วยความสดใหม่เสมอ ดังการยอมตายครั้งแล้วครั้งเล่าและนี่คือชีวิตที่ตื่นรู้แท้จริง”

ใบไม้หล่นร่วง แล้งใบ รอวันเติบใหญ่ จิตของเราก็ต้องการโอกาสเช่นนั้น ถึงเวลาผลัดใบ ผลัดจิต ผลัดใจเก่าทิ้งไป หากต้นไม้ไม่เรียกใบไม้ร่วงว่าการสูญเสีย การสิ้นสุดของบางสิ่งในชีวิตก็อาจเป็นโอกาสของการเกิดบางอย่างขึ้นใหม่ได้เช่นเดียวกัน

หมายเหตุ: สนใจการเรียนรู้ในธรรมชาติสอบถามรายละเอียดได้ที่ค่ายเยาวชนเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ facebook: Nikom Putta

Tags:

ประมวล เพ็งจันทร์เชียงใหม่เข้าป่าการตั้งแกน (Centering)ชีวิตการทำงานspiritual

Author & Photographer:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Creative learning
    Parkใจ ปวดใจเมื่อไหร่ให้เข้าป่า

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’

    เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • How to enjoy life
    SACRED MOUNTAIN สนามเด็กเล่นทางจิตวิญญาณที่บอกเราว่า โลกคือปาฏิหาริย์และชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

ต่อบล็อกไม้ ปั้นขนมไข่เต่า เดินสวนสมุนไพร เพื่อรู้จักชุมชน ที่ตำบลทุ่งควายกิน จังหวัดระยอง
Creative learning
26 December 2019

ต่อบล็อกไม้ ปั้นขนมไข่เต่า เดินสวนสมุนไพร เพื่อรู้จักชุมชน ที่ตำบลทุ่งควายกิน จังหวัดระยอง

เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • เดินตามเด็กๆ เข้า ‘ค่ายรักษ์วัฒนธรรม เรื่องเก่าที่บ้านเกิด’ ณ ตำบลทุ่งควายกิน จังหวัดระยอง ค่ายที่ชวนเด็กๆ เข้ามาทำความรู้จักชุมชนของตัวเอง
  • เป็นค่ายประจำปีที่ 21 ของ กลุ่มรักษ์เขาชะเมา ในชื่อตอน เปิดทุ่ง เล่นรู้ เด็กๆ จะเข้าหรือไม่เข้าซุ้มไหนก็ได้ จะต่อบล็อก ปั้นขนม หรือเดินสวนก็ได้ ไม่มีการบังคับ
  • “ความรู้ในโรงเรียนมันไม่พอในการตอบโจทย์ชีวิต เด็กมาเรียนแบบนี้มีความสุขเพราะไม่มีเรื่องของอำนาจ การบังคับ มีอิสระ” พี่แฟ้บ-บุปผาทิพย์ แช่มนิล หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมาเล่าให้ฟัง

“เด็กมาเรียนแบบนี้มีความสุขเพราะไม่มีเรื่องของอำนาจ การบังคับ มีอิสระ มันเป็นศิลปะสุนทรียะของชีวิต ถ้าเรามีจินตนาการในวัยเยาว์ที่สวยงาม มันจะเป็นเกราะป้องกันเราเวลาโตขึ้นแล้วเจอกับวิกฤติ” พี่แฟ้บ-บุปผาทิพย์ แช่มนิล หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมาเล่าให้ฟังถึงเจตจำนงของการจัดค่าย

สายลมหนาวพัดผ่านในช่วงธันวาคม ทำให้อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การนอนหลับในช่วงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ หากแต่บริเวณโรงยิมในโรงเรียนวัดเนินเขาดิน จังหวัดระยอง กลับเต็มไปด้วยกลุ่มเด็กๆ ที่สะพายกระเป๋า หิ้วของเตรียมพร้อมสำหรับเข้าค่าย แม้อากาศจะหนาวเย็นแค่ไหน แต่เด็กๆ ก็พร้อม สองมือกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น ส่วนสองเท้าก็รีบวิ่งเข้าไปในโรงยิมเตรียมพร้อมทำกิจกรรม

‘ค่ายรักษ์วัฒนธรรม เรื่องเก่าที่บ้านเกิด’ จัดขึ้นที่โรงเรียนวัดเนินเขาดิน จังหวัดระยอง โดย กลุ่มรักษ์เขาชะเมา เมื่อวันที่ 7-8 ธันวาคม 2562 เพื่อให้เด็กๆ ในพื้นที่ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ได้รู้จักชุมชนของตัวเองผ่านการทำกิจกรรม โดยมีคนในชุมชนเป็นคนถ่ายทอด ใช้ความเชี่ยวชาญของตนเองสอนเด็กๆ ส่วนเด็กๆ เองก็ได้พื้นที่เรียนรู้และค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างอิสระ ไม่มีใครบังคับ การได้ไปเรียนรู้ในชุมชน ทำให้เด็กรู้จักชุมชนของตัวเอง เกิดความรักความผูกพัน เป็นความทรงจำดีๆ ที่เมื่อเด็กโตขึ้นมันจะกลายเป็นที่ที่ปลอดภัยไว้พิงหลัง ให้เขากลับมาได้ทุกครั้งเมื่อเจอกับปัญหา

ค่ายในปีนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 21 ในชื่อตอน ‘เปิดทุ่ง เล่นรู้’ พาเด็กๆ ไปรู้จัก ตำบลทุ่งควายกิน อันเป็นพื้นที่ที่ชุมชนของพวกเขาตั้งอยู่ ผ่านการเรียนรู้อย่างอิสระ ซึ่งตลอดทั้งปีกลุ่มรักษ์เขาชะเมาก็จะพาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมในตำบลทุ่งควายกินอยู่แล้ว เช่น ไปทำขนม ทำอาหาร พร้อมจัดค่ายใหญ่ปลายปีเพื่อสรุปกิจกรรมทั้งหมดที่ทำมาตลอดทั้งปี ซึ่งก็คือค่ายครั้งนี้ที่เด็กๆ มากัน 

ต้นกำเนิดกลุ่มรักษ์เขาชะเมา: การเปิดพื้นที่สร้างจินตนาการที่งดงามในวัยเยาว์

บุปผาทิพย์ แช่มนิล หรือที่คนในพื้นที่เรียกกันว่า ‘พี่แฟ้บ’ (แต่ในกลุ่มเด็กจะเรียกกันว่า ‘ป้าแฟ้บ’) หนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา ได้เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของกลุ่มและวิธีคิดในการจัดกิจกรรม ตอนนั้นพี่แฟ๊บตัดสินใจกลับมาอยู่ระยองหลังจากไปเรียนที่กรุงเทพฯ กว่า 20 ปี กลับมาเปิด ร้านเช่าหนังสือน้ำใจ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นแวะเวียนเข้ามาเช่าหนังสือ มานั่งทำการบ้าน หรือมีเรื่องที่ต้องการคำปรึกษาก็จะมาพูดคุยกับพี่แฟ้บ ทำให้ร้านเช่าหนังสือน้ำใจกลายเป็นพื้นที่ให้เด็กๆ ในชุมชนมารวมตัวกัน

เมื่อมีเด็กมาที่ร้านเป็นจำนวนมาก พี่แฟ้บก็ตัดสินใจพาไปทำกิจกรรมร่วมกันที่อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง ไปเดินป่า-ร้องเพลงท่ามกลางธรรมชาติ จากกิจกรรมตรงนั้นก็ขยายและสร้างเป็นกลุ่มรักษ์เขาชะเมาขึ้นมาเมื่อปี 2537 พาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ค่ายเยาวชนสานฝันสู่ป่าสวย พี่แฟ้บนำความรู้ตอนทำค่ายสมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาใช้ จนปี 2541 แนวคิดภาคประชาสังคมกำลังได้รับความนิยม จากค่ายสิ่งแวดล้อมพัฒนามาเป็นค่ายวัฒนธรรม พาเด็กๆ ไปรู้จักท้องถิ่นของตนเอง

พี่แฟ้บ – บุปผาทิพย์ แช่มนิล

“ช่วงนั้นพี่ใช้เวลาหลังเลิกงาน 5 โมงเย็นเดินไปเคาะประตูตามบ้านประมาณ 8 หมู่บ้าน ชวนคนมาเข้ากลุ่ม ใช้เวลาประมาณครึ่งปี ได้ตัวแทนหมู่บ้านละ 5 คน รวมเป็น 40 คน มาช่วยกันทำ” พี่แฟ้บอธิบายถึงขั้นตอนการทำงาน ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่ เด็กเรียนรู้จากผู้ใหญ่ในชุมชนตนเอง เกิดปฏิสัมพันธ์กันในชุมชน

กิจกรรมของกลุ่มรักษ์เขาชะเมาแบ่งออกเป็นสองส่วน กิจกรรมที่พาไปทำตลอดทั้งปี เช่น พาไปทำประมง ทำขนมไทย เรียนรู้เรื่องสมุนไพร เป็นต้น และส่วนของงานค่ายประจำปี ซึ่งจะจัดทุกเดือนธันวาคม เป็นการนำเอากิจกรรมทั้งหมดตลอดทั้งปีที่เด็กๆ ไปทำ มาสรุปไว้ในค่าย เด็กที่มาเข้าค่ายอายุขั้นต่ำที่ผ่านเกณฑ์ คือ 10 ปี เพราะต้องมีนอนค้างคืนด้วย แต่เด็กที่อายุต่ำกว่าก็สามารถมาได้ เพียงแต่จะไม่ได้ค้างคืน 

“ค่ายใหญ่เราจะตั้งชื่อว่า ‘เรื่องเก่าที่บ้านเกิด’ เแล้วแต่ละปีก็จะเป็นชื่อตอนๆ อย่างปีนี้ชื่อตอนว่า ‘เปิดทุ่ง เล่นรู้’ เพราะในปีที่ผ่านมาเราพาเด็กๆ เรียนรู้ในพื้นที่ตำบลทุ่งควายกิน ไปหาความรู้ เรื่องของเล่นบ้าง เรื่องอาหาร หรือสมุนไพร”

และภายใต้การเรียนรู้ ‘ชุมชน’ หนีไม่พ้นบริบทสังคมจังหวัดในแง่ที่ระยองเป็นหนึ่งในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ทำให้พื้นที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การเข้ามาของนักธุรกิจ แรงงานข้ามชาติ (ที่หมายรวมถึงลูกๆ ของพวกเขาด้วย) และชาวบ้านเดิมที่อาศัยในพื้นที่ ความหลากหลายทางสังคมยิ่งเรียกร้องให้ผู้คน โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่ต้องติด ‘เครื่องมือการเรียนรู้’ นอกจากนี้พี่แฟ้บมองว่าการมุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจมากเกินไป จะทำให้ลบเลือนความสำคัญของการเรียนรู้แบบนอกห้องเรียน พี่แฟ้บจึงตั้งใจที่จะทำ อีแอลซี (ELC: Eastern Learning Corridor) ออกมาสวนย้อน EEC เป็นการเรียนรู้อย่างมีความสุข ผ่านการให้เด็กไปรู้จักรากเหง้าชุมชน ทำให้เขาสามารถกำหนดวิถีชีวิตตัวเองได้ 

“ภายใต้อีอีซีที่เข้ามา พี่อยากให้ฝั่งตะวันออกของระยองชูประเด็นยุทธศาสตร์การเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งเราไม่อยากพูดอย่างเดียว แต่อยากให้เด็กมามีส่วนร่วม ปีหน้าเราจะผลักดันเด็กๆ ให้ลงไปเก็บข้อมูลในชุมชนรู้ว่ามีแหล่งเรียนรู้ของเขานะ ภาคภูมิใจในพื้นที่ของเขา ฝั่งนี้ที่ควรเป็นเกษตรและท่องเที่ยวเพราะเรามีของ ให้เด็กๆ ไปรู้จักกับมัน

“ความรู้ในโรงเรียนมันไม่พอในการตอบโจทย์ชีวิต เด็กมาเรียนแบบนี้มีความสุขเพราะไม่มีเรื่องของอำนาจ การบังคับ มีอิสระ มันเป็นศิลปะสุนทรียะของชีวิต พี่ชอบคิดว่าถ้าเรามีจินตนาการในวัยเยาว์ที่สวยงามมันจะเป็นเกราะป้องกันเราเวลาโตขึ้นแล้วเจอวิกฤติเลยนะ เป็นภูมิคุ้มกัน เป็นสุนทรียะที่หล่อหลอมเรา และถ้าเราผูกพันกับชุมชน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มันจะเป็นที่ไว้ให้เราพิงหลัง”

เรียนรู้ผ่านการเล่นในลานกว้าง

หลังจากทำกิจกรรมให้สมาชิกค่ายสานสัมพันธ์กันในช่วงครึ่งวันแรก มีตั้งแต่ให้แนะนำตัว จับคู่กับคนที่ไม่เคยรู้จักแล้วให้วาดหน้าเพื่อน เล่นเกมไล่จับ ทำให้เด็กๆ คุ้นเคยกัน ก็เข้าสู่กิจกรรมในช่วงบ่าย คือ การเข้าซุ้มกิจกรรม

ระยะทางจากโรงยิมมาถึงลานจัดกิจกรรมนั้นไม่ไกลมากนัก เพราะอยู่ในบริเวณวัดเขาเนินดิน เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยต้นไม้ ซุ้มทางเข้าทำจากไม้ไผ่ตกแต่งด้วยริบบิ้นหลากสีสัน เมื่อเดินผ่านเข้ามาก็จะพบลานกว้างนั้นเต็มไปด้วยซุ้มกิจกรรมทั้งหมด 4 ซุ้ม ซุ้มบ้านเรียนหนุมาน ซุ้มตุงใยแมงมุง ซุ้มห้องเรียนชุมชน และซุ้มโรงเรียนบ้านเหล่ากกโก จังหวัดสระแก้ว ตั้งล้อมรอบลานกว้าง ทั้งหมดเป็นซุ้มที่ชาวบ้านเครือข่ายกลุ่มรักษ์เขาชะเมามาจัด ในช่วงบ่ายจะเป็นกิจกรรมให้เด็กเข้าไปเรียนตามซุ้มที่อยู่ในลาน โดยให้เด็กตัดสินใจเองว่าอยากเรียนซุ้มไหนก็ได้ พอพี่เลี้ยงอธิบายเสร็จ เด็กๆ ก็พากันเข้าไปในลานเพื่อเดินหาบูธที่ตัวเองสนใจ 

บ้านเรียนหนุมาน

ซุ้มแรกที่ตั้งติดกับทางเข้า เป็นซุ้มที่เด็กๆ ยืนล้อมโต๊ะตัวยาวกันเต็มไปหมด เมื่อเดินไปดูใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าบนโต๊ะมีกล่องไม้วางอยู่จำนวน 3-4 กล่อง ภายในบรรจุบล็อกไม้เป็นลักษณะต่างๆ มีทั้งสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ถัดจากกล่องไม้ก็มีสีน้ำวางเรียงรายเต็มไปหมด กิจกรรมของซุ้มนี้ คือ ให้ต่อบล็อกไม้ตามจินตนาการของตัวเอง จะต่อเป็นบ้าน ตึก หรืออะไรก็ได้ เด็กทุกคนก็สร้างสรรค์บ้านของตัวเองอย่างเต็มที่ บางคนเอาบล็อกสามเหลี่ยมต่อบนบล็อกสี่เหลี่ยมเป็นบ้านลักษณะที่พบเห็นบ่อยๆ หรือบางคนก็นำบล็อกสี่เหลี่ยมขนาดเล็กต่อบนวงกลม พอต่อเสร็จก็คว้าพู่กันมาระบายสีตามชอบ ระหว่างที่เด็กๆ ทำกิจกรรมก็จะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยดูแล ให้คำแนะนำเด็กๆ เมื่อได้พูดคุยกันจึงได้รู้ว่าผู้หญิงดังกล่าว คือ เก๋ กัลญา คุณแม่ลูกสามเจ้าของ ซุ้มบ้านเรียนหนุมาน

“ที่ตั้งชื่อว่าบ้านเรียนหนุมาน เพราะลูกพี่ชอบดูหนุมาน” 

บ้านเรียน หรือ homeschool เก๋เล่าถึงที่มาว่า เกิดจากการที่ลูกสาวคนโตของเธอไม่มีความสุขกับการไปโรงเรียน จะแสดงอาการร้องไห้หรืออาเจียนออกมา ด้วยความเป็นห่วงลูกเธอก็พยายามหาวิธีแก้ไข จนไปเจอว่ามีการทำบ้านเรียน โดยพ่อแม่เป็นคนสอนลูกเอง เก๋ก็ตัดสินใจพาลูกออกมาทำบ้านเรียนของตัวเอง บ้านเรียนหนุมานของเธอเน้นให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ เป็นพื้นที่ให้ลูกได้ค้นหาความสนใจของตัวเอง 

“อย่างตัวบล็อกไม้เราให้อิสระเด็กในการจัดการว่าเขาอยากออกแบบแบบไหน พี่จะไม่ติดกาวเลยนะ เพราะเด็กเขาจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนี้เป็นตึก พรุ่งนี้เป็นอุโมงค์ แล้วการทำอันนี้มันสอนหลายอย่างเลยนะ เช่น ฟิสิกส์ ถ้าต่อไม่สมดุลมันจะล้ม เด็กเขาก็จะเรียนรู้ตรงนี้ มันช่วยสร้างความมั่นใจ ภาคภูมิใจให้กับตัวเด็กผ่านกิจกรรมที่ทำ”

ซุ้มตุงใยแมงมุม

ตรงข้ามกับบ้านเรียนหนุมานจะพบกับกลุ่มคนที่นั่งบนเสื่อ แต่ละคนกำลังหยิบแผ่นลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม พันด้วยไหมพรมหลากหลายสีสัน ‘ตุงใยแมงมุม’ ชื่อที่ใช้เรียกแผ่นไหมพรมพวกนั้น ‘นะโม’ ชายหนุ่มเจ้าของซุ้มดังกล่าวได้อธิบายถึงที่มาของตุงใยแมงมุมว่าเป็นเครื่องสักการะชนิดหนึ่ง นิยมใช้ในแถบภาคเหนือและอีสาน ซึ่งวิธีการทำ คือ เอาไม้เสียบลูกชิ้นมา 2 ไม้ วางเป็นรูปกากบาทก็จะมัดด้วยไหมพรม ขณะที่พูดนะโมก็ทำท่าประกอบด้วยเผื่อให้เด็กๆ เข้าใจมากขึ้น พอประกอบไม้เสร็จ นะโมก็อธิบายว่าขั้นตอนต่อไปขึ้นการขึ้นรูปโดยเอาไหมพรมมาพันรอบๆ ไม้ ลวดลายก็ตามความชอบของแต่ละคน พออธิบายเสร็จเขาก็แจกไม้ให้กับเด็กๆ ซึ่งแต่ละคนพอได้อุปกรณ์ครบ ก็ลุกขึ้นหาที่เหมาะๆ ในการสร้างสรรค์งานของตัวเอง 

ห้องเรียนชุมชน

ข้ามมาที่อีกฟากของลานกิจกรรม มีซุ้มตั้งติดกับ 3 ซุ้ม ซุ้มแรกสุดมีเด็กยืนรอบเป็นวงกลม กลางวงมีชายหญิงสองคน ฝ่ายหนึ่งกำลังถือไม้ทุบลงไปในอ่างไม้ เป็นขั้นตอนการทำขนมข้าวตู ถัดมาอีกซุ้มมีเด็กๆ นั่งพับเพียบบนเสื่อ แต่ละคนกำลังขะมักเขม้นกับการปั้นแป้ง มีทั้งสีขาวและฟ้า โดยมีหญิงสูงวัยคอยสอนทำขนมไข่เต่าแห้ง ดัดแปลงมาจากปลากริมไข่เต่า และซุ้มสุดท้ายเป็นซุ้มทำขนมครก เด็กๆ ช่วยกันหยอดแป้ง แคะขนมครกกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็นั่งจดวิธีการทำที่ถามจากคนในซุ้มพร้อมกับกินขนมครกที่เพื่อนทำ

ทั้งสามซุ้มเป็น ซุ้มห้องเรียนชุมชน เป็นชุมชนที่เด็กๆ เคยไปลงพื้นที่ทำกิจกรรมกันมาก่อน เมื่อได้พูดคุยกับเจ้าของซุ้มทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นคุณป้าคุณลุงวัย 50 ปีขึ้นไป พวกเขาเล่าว่ามาออกซุ้มทุกปีตั้งแต่ที่เริ่มทำค่ายนี้แรกๆ ที่มากันก็เพราะอยากเอาความรู้ถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ในแต่ละปีก็จะเอากิจกรรมมาทำไม่เหมือนกัน อย่างปีที่แล้วก็สอนทำอาหาร และมีนาจำลองให้เด็กๆ ลองปลูกข้าว

บรรยากาศเด็กๆ ในลานกว้างนั้นมีความหลากหลาย บางคนตั้งใจกับการจดบันทึก ถามข้อสงสัย หรือบางคนเน้นลงมือทำ อยากเข้าซุ้มไหนก็ได้หรือถ้าไม่ชอบซุ้มที่เข้าก็เปลี่ยนซุ้มได้ทันที ไม่มีการบอกว่า “เธอต้องเข้าให้ครบทุกซุ้ม” ไม่มีการตำหนิจากผู้ใหญ่ อาจเพราะบางคนได้ความรู้จากการลงมือจด แต่บางคนอาจจะได้จากการลงมือทำ แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์พวกเขาล้วนเหมือนกัน คือ ได้ประสบการณ์ เป็นการเรียนรู้ที่อิสระตามความหมายของมัน

ระหว่างที่ทำกิจกรรม พี่เลี้ยงก็จะคอยเดินดู คอยตอบคำถามเด็กๆ ซึ่งกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในค่ายก็เป็นการทำงานของทีมพี่เลี้ยง คธาศักดิ์ อ้วนล่ำ หรือ เฟิร์ส วัย 21 ปี หนึ่งในทีมพี่เลี้ยง เขาอธิบายถึงขั้นตอนการทำค่ายให้ฟังว่า จะมีการประชุมก่อน 1 เดือนเพื่อเตรียมว่าจะทำอะไรบ้าง เช่น กิจกรรมที่พาน้องไปลง การแสดงในงาน เป็นต้น โดยจะมีกลุ่มพี่รุ่นใหญ่อดีตเด็กค่าย ที่เขากลับมาช่วยงานกลุ่มรักษ์เขาชะเมา กลุ่มพี่ๆ จะช่วยคิดธีมกิจกรรมในแต่ละปี แล้วสอนความรู้ให้ทีมพี่เลี้ยงไปสอนเด็กในค่ายต่อได้ ซึ่งเฟิร์สก็เป็นอดีตเด็กค่ายที่เลื่อนขั้นมาเป็นพี่เลี้ยง เข้าค่ายตั้งแต่อายุ 10 ขวบ

“มันสนุก ไม่มีผิดมีถูก ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง เรียนรู้อย่างนี้สนุกกว่า ในห้องเรียนมันจะเครียดๆ” เฟิร์สกล่าว

เรียนตามบ้าน

วันสุดท้ายของการทำกิจกรรม เป็นวันสำหรับการลงพื้นที่ไปเรียนรู้ในชุมชน มีตัวเลือกให้เด็กๆ เป็นบ้านทำขนม บ้านทำอาหาร บ้านสมุนไพร และบ้านของเล่น โดยให้เด็กๆ แต่ละกลุ่มตัดสินใจว่ากลุ่มตัวเองอยากไปเรียนที่บ้านไหน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 นาทีแต่ละกลุ่มก็ได้ข้อสรุป เมื่อเลือกกันได้แล้ว ทีมพี่เลี้ยงก็ปล่อยแต่ละกลุ่มให้ไปขึ้นรถกระบะที่จอดเรียงรายอยู่ 3-4 คัน เพื่อไปบ้านที่เลือกไว้ พอขึ้นรถครบทุกคัน แต่ละคันก็สตาร์ทรถแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง 

สวนสมุนไพรของตาธิ

ตลอดสองข้างทางของการเดินทางเต็มไปด้วยทุ่งข้าวสีเขียว ลมเย็นๆ ในเดือนธันวาคมคอยพัดมา ทำให้อากาศหลังกระบะเย็นสบาย แม้จะเป็นเวลาเช้าแดดแรงก็ตาม จุดหมายปลายทางเป็นร้านขายของชำ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับทุ่งนา เมื่อรถดับเครื่องเด็กๆ ก็พากันเดินลงมาสำรวจรอบๆ บ้าน ก่อนที่พี่เลี้ยงจะเรียกให้ไปรวมตัวเพื่อพบกับเจ้าของร้านและผู้ที่ให้ความรู้ในวันนี้

ตาธิ – สุทธิ นิสัยมั่น

สุทธิ นิสัยมั่น หรือ ตาธิ วัย 78 ปี เดินมาต้อนรับเด็กๆ พร้อมกับแนะนำตัวเองให้เด็กๆ ได้รู้จัก ตาธิเล่าต่อว่าตนเองเรียนวิธีการรักษามาจากพ่อและครูคนอื่นๆ ซึ่งการรักษาของตาธิจะเป็นหมอยาพื้นบ้านผสมกับศาสตร์ความเชื่อ เพราะก่อนจะทำการรักษาต้องมีพิธีไหว้ครู หรือเวลาปรุงยาก็ต้องสวดคาถาด้วย ยาที่ใช้ทำมาจากสมุนไพรที่ปลูกอยู่ในสวนของตาธิเอง คนไข้ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ละแวกนั้น

โรคแรกที่ตาธิสอนให้เด็กรู้จัก คือ โรคเริม อุปกรณ์การสอนของตาธิเป็นลังกระดาษและปากกาหนึ่งแท่ง ตาธิก็วาดรูปพร้อมกับอธิบายเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจโรคเริม พร้อมทั้งวิธีแก้ พอสอนเสร็จ ‘พี่กิ๊ฟ’ หรือ พจนา ศุภผล ก็ให้เด็กๆ วาดตารางจำนวน 9 ช่องลงในสมุด พี่กิ๊ฟเองก็เป็นอดีตเด็กค่าย ที่เคยมาทำกิจกรรมเรียนสมุนไพรพื้นบ้าน ก็ได้รู้ว่าตัวเองชอบแพทย์แผนโบราณเลยศึกษาเรียนต่อ หลังจากจบออกมาก็กลับมาทำงานที่บ้านเกิด พาเด็กๆ ไปรู้จักกับแพทย์แผนไทย

พอเขียนเสร็จพี่กิ๊ฟก็ให้พี่เลี้ยงอ่านประโยคให้เด็กเขียนลงในตาราง ประโยคมีหลากหลาย ฟังดูแปลกๆ เช่น แก้ร้อนใน มีผล ใบรี แก้ปวดฟัน เป็นต้น มีทั้งหมด 9 ประโยค พี่กิ๊ฟอธิบายต่อว่าจะพาเด็กๆ ไปเดินดูสวนสมุนไพรของตาธิ โดยถ้าเจอต้นไม้หรืออะไรที่คิดว่าตรงกับประโยคที่บอกไป ก็ให้เขียนลงในช่องที่ตัวเองคิดว่าคู่กัน

สวนสมุนไพรของตาธิตั้งอยู่บริเวณหลังบ้าน ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ คณะชมสวนพากันเดินไปหยุดที่ต้นแรกเป็นต้นมะเฟือง กำลังออกผลเต็มต้น ตาธิอธิบายถึงสรรพคุณของมะเฟืองที่ช่วยเรื่องขับถ่าย เลือดออกตามไรฟัน พร้อมกับเด็ดใบให้เด็กๆ ลองชิม แต่ละคนรับไปชิมกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็ขอลองชิมผลมะเฟือง ตาธิก็อนุญาตให้เด็กๆ กินได้ตามสบาย ถัดจากต้นมะเฟืองก็เป็นต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่ ขณะที่ตาธิอธิบาย เด็กบางคนก็เด็ดใบชิมทันทีโดยไม่กลัว พออธิบายต้นนี้จบ ตาธิก็พาเด็กไปทำความรู้จักกับต้นอื่นๆ เด็กบางคนก็เดินตามไปฟังอย่างใกล้ชิดพร้อมกับจดบันทึกตาม บางคนก็เดินเล่นในสวน เด็ดใบต้นตามๆ ชิมกัน ชวนกันวิเคราะห์ว่ามันคือต้นอะไร เด็กๆ บอกว่าบางต้นที่บ้านปลูก ทำให้รู้จัก

ใบหม่อน เด็กหญิงวัย 10 ปี กำลังลองชิมใบจากต้นสิงหโมรา ซึ่งตาธิบอกว่ามีสรรพคุณช่วยแก้มะเร็งได้ หลังจากชิมไปครั้งแรก เด็กหญิงบอกว่ารสชาติของมันขมๆ แต่ไม่มากนัก หลังจากชิมต้นนี้เสร็จใบหม่อนก็ลองไปชิมต้นอื่น บางต้นเด็กหญิงก็สามารถบอกชื่อได้ทันที เพราะที่บ้านก็ปลูกเหมือนกัน การเข้าค่ายครั้งนี้เป็นปีที่ 3 ใบหม่อนเริ่มเข้าค่ายตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก โดยมีพ่อเป็นคนพามา เหตุผลที่ทำให้ยังมาเรื่อยๆ ใบหม่อนตอบพร้อมรอยยิ้มว่า คือความสนุกที่ได้เล่น ได้ทำกิจกรรมต่างๆ 

หลังจากเดินชมสวนได้พักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรอของเด็กๆ หลังจากที่ชิมสมุนไพรในสวนเกือบครบทุกต้น พี่กิ๊ฟก็พาเด็กๆ กลับมานั่งในร้านขายของชำเพื่อบอกลาตาธิ และเดินขึ้นรถกระบะคันเดิมเพื่อกลับไปที่วัด ขามาเด็กๆ พกมาแค่สมุดและปากกา แต่ขากลับมือของเด็กๆ เต็มไปด้วยผลไม้ สมุนไพรที่พากลับมาจากบ้านตาธิ ถือเป็นของฝากให้กับเด็กๆ

เมื่อทุกกลุ่มกับมาถึงวัด พี่เลี้ยงก็พาเด็กไปรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะนัดรวมตัวกันตอนบ่ายโมงเพื่อสรุปกิจกรรม ให้แต่ละกลุ่มเขียนอธิบายสิ่งที่ตนเองไปเรียนมาให้เพื่อนกลุ่มอื่นๆ ฟัง มีอุปกรณ์เป็นกระดาษแผ่นใหญ่และปากกาหลายสี หลังจากกลุ่มสุดท้ายออกมานำเสนอเสร็จก็ถึงเวลาปิดค่าย พร้อมเปิดใหม่อีกครั้งในปีหน้า

ภาพสุดท้ายของค่าย เป็นภาพที่เด็กๆ พากันเก็บของ สะพายกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน เหมือนกับวันแรกที่พวกเขามาเข้าค่าย แต่ต่างกันตรงที่พวกเขาได้ประสบการณ์ติดตัวกลับไปด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่แค่ความรู้ที่ได้รับ แต่การได้มีพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ลองทำสิ่งที่ชอบ ได้แสดงความคิดเห็น โดยไม่มีคำว่าถูกหรือผิด มีอิสระที่จะเล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เกิดขึ้นได้ในชุมชน

Tags:

กลุ่มรักษ์เขาชะเมาระยองอีเวนต์บุปผาทิพย์ แช่มนิล

Author & Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Education trend
    ‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    โควิด19-เทคโนโลยี-ทัศนคติ ความท้าทายเเละจุดเปลี่ยนระบบการศึกษา: สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Voice of New Gen
    กิตติธัช ดีการ: คนหนุ่มที่ฝันอยากทำเกษตรอินทรีย์ และสร้างความสุขตั้งแต่คนทำสวนจนถึงคนกิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ The Potential

  • Unique Teacher
    ครูในดวงใจ: เขาเป็นใคร และเขาสอนให้เราเรียนรู้เรื่องอะไรกันนะ?

    เรื่อง The Potential ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ
Creative learningCharacter building
25 December 2019

GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • GO SCIF คือผลงานของเยาวชน ที่เปลี่ยนจักรยานเก่าในบ้านให้เป็นเกมเพื่อการออกกำลังกายที่ทั้งสนุกและเรียกเหงื่อไปได้พร้อมๆ กัน
  • “แค่ไม่อยากให้จักรยานมันอยู่ที่บ้านเฉยๆ อยากให้ผู้ใช้ปั่นได้นานขึ้น สนุก ไม่เบื่อ หน้าฝนก็ปั่นได้ ไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าใครทุกช่วงอายุปั่นได้”  นี่คือไอเดียตั้งต้นของ GO SCIF
  • ท้ายที่สุดจึงตกตะกอนได้ว่า GO SCIF จะมีในโหมดเกมให้เด็ก มีเก็บไอเทม หลบอุปสรรค ทำไฮสกอร์แข่งกัน มีโหมดออกกำลังกายให้ผู้ใหญ่ สามารถบันทึกแคลอรี พลังงานที่เผาผลาญ วันที่ เวลา เป็นประวัติการออกกำลังกาย และมีโหมดคาร์ดิโอสำหรับคนออกกำลังกาย 
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

ขึ้นชื่อว่านวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นของใหม่กริ๊บทั้งชิ้นเสมอไป หากแต่อยู่ที่แนวคิดและฟังก์ชั่นการใช้งาน ว่าสามารถแก้ปัญหาหรือสร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมให้แก่ผู้ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน นวัตกรรมจึงสามารถเป็นได้ทั้งประดิษฐกรรมวิลิศมาหราที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน อาจเป็นเพียงกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง หรืออาจเป็นวงจรไม่กี่ชิ้นที่นำไปทำงานร่วมกับข้าวของเครื่องใช้ที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

GO SCIF เกมจำลองการปั่นจักรยานเพื่อการออกกำลังกาย ผลงานของ 3 สาวจากนครปฐมมีลักษณะเป็นอย่างหลัง ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพียง 3 ชิ้น ก็ทำให้จักรยานคันเก่าของเรากลายเป็นเกมออกกำลังกาย 3 มิติ ที่ทั้งสนุกและเรียกเหงื่อไปได้พร้อมๆ กัน

อุ้ม-กิตติวลีพร พลทิพย์, พิม-พิมพิกา เกตุเพ็ง, ปลาย-วราลี ทองจิตร

ฟังดูแล้ว GO SCIF ไม่ใช่นวัตกรรมที่ยากในแง่ของประดิษฐกรรม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจะคิดค้นนวัตกรรมที่ไม่ยากแต่เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่ต้องเกิดจากการตกผลึกทางความคิดอย่างชัดเจน ซึ่ง 3 สาวอย่าง ปลาย-วราลี ทองจิตร, พิม-พิมพิกา เกตุเพ็ง, อุ้ม-กิตติวลีพร พลทิพย์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ บอกว่ามันเกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้ผู้คน …บนเส้นทางจักรยานของพวกเธอ

ห้องเรียนให้ทฤษฎี อาจารย์ให้วิธีคิด

“ตอนหาหัวข้อโปรเจ็คต์จบ ตอนแรกหนูอยากทำเกมเพราะชอบแอนิเมชั่น ชอบวาดรูป ชอบออกแบบ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี” ปลายเริ่มบทสนทนาย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นผลงานที่ยังหาหัวข้อที่ลงตัวไม่ได้ จนกระทั่งเข้าไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา

เป็นธรรมดาของกระบวนการเรียนรู้ ที่หนังสือตำราย่อมให้ทฤษฎีความรู้แก่เราได้ แต่ในแง่ของวิธีคิดที่เชื่อมโยงทฤษฎีมาสู่การปฏิบัติจริงนั้น การเรียนรู้ผ่านผู้รู้ย่อมทำให้เราได้แนวทางหรือวิธีคิดที่แหลมคมกว่า ในกรณีของปลาย-พิม-อุ้ม ก็เป็นเช่นนั้น เมื่ออาจารย์แนะนำให้ปลายลองนำจักรยานมาผสานกับความชอบที่ปลายมีอยู่ ทำออกมาให้ได้เป็นผลงานชิ้นหนึ่ง

“อาจารย์ให้โจทย์แค่ว่าให้เอาจักรยานมาทำ ทำอะไรก็ได้ อยากให้เป็นอุปกรณ์รอบตัวที่คนไม่ค่อยได้ใช้ อาจารย์บอกว่าอาจารย์มีจักรยานอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ใช้อะไรเลย อยากให้เอามาลองทำ แล้วหนูอยากทำเกมอยู่แล้วก็เลยเอามารวมกัน” ปลายเล่าพร้อมรอยยิ้ม

ปลายชวนพิมมาร่วมคิดโปรเจ็คต์ด้วยกัน จนได้โจทย์ว่าจะนำจักรยานมาพัฒนาเป็นเกมออกกำลังกาย ประกอบด้วย 3 โหมด คือ โหมดเกม โหมดออกกำลังกาย และโหมดคาร์ดิโอ (การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพเพื่อร่างกายและหัวใจ) 

“แนวคิดของเราคือแค่ไม่อยากให้จักรยานมันอยู่ที่บ้านเฉยๆ อยากให้คนปั่นจักรยานได้นานขึ้น แต่ปั่นจักรยานฟิตเนสอยู่บ้านมันก็เบื่อ ปั่นนอกบ้านถ้าหน้าฝนก็ปั่นไม่ได้ ปั่นในฟิตเนสก็เสียเวลาเสียค่าใช้จ่าย และก็อยากให้ผลงานนี้ครอบคลุมทุกช่วงอายุ เลยทำโหมดเกมให้เด็กเล่น มีเก็บไอเทม หลบอุปสรรค ทำไฮสกอร์แข่งกัน มีโหมดออกกำลังกายให้ผู้ใหญ่ สามารถบันทึกแคลอรี พลังงานที่เผาผลาญ วันที่ เวลา เป็นประวัติการออกกำลังกายของแต่ละคน และมีโหมดคาร์ดิโอสำหรับคนออกกำลังกาย คืออยากให้ทุกคนในบ้านมีส่วนร่วม” ปลายเล่าแนวคิดที่ตกผลึก

ปลายกับพิมร่วมกันพัฒนา GO SCIF เวอร์ชั่นแรกจนแล้วเสร็จ และส่งประกวด NSC ซึ่งสามารถผ่านเข้าไปได้ถึงรอบสุดท้าย ก่อนจะเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 

“ตอนไปแข่ง NSC แล้วมีพี่เขามาชวน ว่าอยากพัฒนาต่อให้มันออกมาเป็นผลงานจริงๆ เลยไหม หนูบอกว่าสนใจ อยากให้ผลงานสมบูรณ์ออกมาเป็นชิ้นงานหนึ่ง เพราะตอนนั้นทำเป็นแค่เดโม (demo) มันไม่ได้ออกมาเป็นแอพฯ สมบูรณ์” ปลายกล่าว

เก็บเกี่ยวทักษะเชิงนวัตกรรม

สิ่งแวดล้อมบ่มเพาะคนเราได้ และยิ่งสิ่งแวดล้อมนั้นอุดมไปด้วยคนเก่งและผู้รู้ เราย่อมซึมซับรับเอาความรู้และแนวคิดที่เป็นคุณประโยชน์มากมายมาสู่ตัวเรา และส่งผ่านไปยังการพัฒนาผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“งานนี้คงไม่สำเร็จถ้าไม่ได้มาเข้าค่ายต่อกล้าฯ หนูคิดว่าทุกคนที่มีความรู้บางทีเขาไม่อยากบอก อย่างเพื่อนเก่งๆ ที่มหา’ลัยมันก็ไม่อยากสอนเพื่อนหรอกเพราะมันไม่ได้อะไร (หัวเราะ) แต่กรรมการทุกคนในค่ายนี้ยินดีตอบคำถาม หนูก็ไม่รู้ว่าเขาได้อะไรไหม แต่หนูรู้สึกว่าเขาแค่อยากช่วยหนู ทำให้หนูเอาสิ่งที่เขาแนะนำมาใช้ได้จริงๆ รวมไปถึงมันทำให้หนูเห็นผลงานคนอื่น มีความคิดมากขึ้น ได้คอนเนคชั่น” ปลายเล่าถึงบรรยากาศในค่ายฯ

โดยเฉพาะคำแนะนำจากกรรมการและทีมโค้ช ที่ทำให้ปลาย พิม และอุ้ม ซึ่งเข้ามาช่วยเป็นหน่วยสนับสนุนทีมในช่วงเข้าค่ายฯ ได้ฝึกการคิดเชิงนวัตกรรม คือการรับคำแนะนำจากผู้รู้และผู้ใช้มาวิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลงานให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

“ในค่าย พี่เขาให้เลือกว่าหนูจะไปทางเกมเลยหรือจะไปทางออกกำลังกายเลย แต่เป้าหมายหนูยังอยากให้คนในบ้านใช้ร่วมกันอยู่ จึงเลือกปรับผลงานเป็นเพื่อออกกำลังกายกับเกม โดยตัดโหมดคาดิโอ HIIT ออก (high-intensity interval training การออกกำลังกายสไตล์คาร์ดิโอที่ผสมผสานกันระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนักและการออกกำลังกายเบาๆ สลับกันไป) กลุ่มเป้าหมายจึงเป็นคนที่ปั่นจักรยานในฟิตเนสอยู่แล้ว แอพฯ นี้จะช่วยให้เขาสามารถปั่นได้นานขึ้น และคนในครอบครัวสามารถมีส่วนร่วม ใช้งานร่วมกันได้” ปลายเล่าถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของผลงาน

นอกจากปรับขอบเขตของผลงานให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังรวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงลึกให้กับผลงานร่วมด้วย โดยเฉพาะการทำให้ผลงานมีความสมจริงมากขึ้น เนื่องจากเป็นแอพฯ เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ต้องมีความเรียลไทม์สูง ทีมจึงต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เซนเซอร์เดิมที่ปลายนิยามว่า ‘ราคาต่ำกว่าปกติ’ ให้มีคุณภาพดีและติดตั้งกับจักรยานได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการเขียนโค้ดใหม่ให้สอดรับกับค่าเซนเซอร์จริง ไม่ใช้เพียงค่าประมาณการเหมือนเดิม

“เปลี่ยนสูตรเปลี่ยนเซนเซอร์ให้ติดตั้งง่ายขึ้น จากเดิมหนูคิดแค่ว่าราคาต่ำไว้ก่อน คนเอาไปติดยังไงก็ได้เรื่องของเขา (หัวเราะ) แต่พอเข้าค่ายพี่เขาบอกว่าไม่ได้นะ มันต้องติดง่ายขึ้น อะไรที่มันเกะกะควรเอาออก โค้ดก็ไม่ใช่แค่ประมาณ แต่ต้องเป็นค่าจริงๆ คือเขาก็ไม่ได้บังคับว่าหนูต้องทำแบบนี้ เขาแค่ให้ลองดู อย่างกรรมการสิบคนก็แนะนำเซนเซอร์มาสิบตัว (หัวเราะ) หนูก็ต้องมาดูที่ราคาว่าเราเข้าถึงไหม มีวิธีเขียนด้วยภาษาที่หนูรู้ไหม เอามาต่อกับบอร์ดได้ไหม และทั้งหมดนี้ต้องอยู่ในข้อจำกัดเรื่องเวลาด้วย” ปลายแจกแจง

แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมานั้น ทีมไม่ได้รู้ทั้งหมด หากต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากชุมชนที่สังกัด รวมถึงตามรายทางที่การพัฒนาผลงานดำเนินไป…

“สิ่งที่เราไม่รู้ก็ต้องไปหาเพิ่มในอินเทอร์เน็ต ไปสอบถามผู้รู้ ถามเพื่อนหรืออาจารย์ซึ่งแต่ละคนก็มีประสบการณ์ต่างกัน ถ้าเราถามถูกคนก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องมา แล้วเอามาทดลองประยุกต์กับงานเราอีกที ทั้งการเลือกเซนเซอร์ การส่งค่าต่างๆ เพราะหนูเคยเรียนแค่วงจรพื้นฐาน ยูนิตี้พื้นฐาน เอาจริงๆ ก็คือต้องมาศึกษาใหม่เกือบทั้งหมด” ปลายเล่ากลั้วหัวเราะ

และหนึ่งในรายทางที่ทีมต้องเรียนรู้ ก็คือผู้ใช้…

“ได้เอาผลงานไปโชว์ที่สัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่อิมแพคฯ มีเด็ก ผู้ใหญ่ คนทำงานมาลองใช้ หนูก็ให้เขาคอมเมนต์ไว้ แล้วยังมีไปโชว์ที่สาธิต ม.ศิลปากร ก็ได้คอมเมนต์มาหลากหลาย ได้เรียนรู้ว่าความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย (หัวเราะ) แตกต่างกันมาก กระจัดกระจาย และถ้าหนูไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนหนูก็ไม่สามารถตอบเขาได้ว่าทำไมหนูถึงทำแบบนี้ หนูรองรับใคร ดีว่าในค่ายฯ สอนมาแล้วเรื่องการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน และ UX UI ที่ต้องคำนึงถึงว่าทำยังไงให้ผู้ใช้ใช้งานได้ง่าย” 

ความสำเร็จและเพื่อนร่วมทาง

ด้วยความง่ายและความน่าสนุก ทำให้มีผู้ใช้ให้การตอบรับผลงาน GO SCIF ของ 3 สาวเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันพวกเธอสามารถส่งมอบ GO SCIF สู่ผู้ใช้จริงไปได้แล้วหลายต่อหลายชุด โดยทั้งชุดจะประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 ชิ้น คือ ไจโลเซนเซอร์ เซนเซอร์วัดความเร็ว (สำหรับติดตั้งกับจักรยาน) และกล่องอาดูโน (Arduino) ที่บรรจุโปรแกรม

“ดีใจที่ทำงานออกมาแล้วมีคนสนใจและมันใช้งานได้จริงๆ ให้เพื่อนให้น้องมาลองปั่น ทุกคนก็สนุก มีเด็กสนใจ มีผู้ปกครองสนใจ นอกจากนั้นก็มีไปติดตั้งให้อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ที่คณะที่สนใจ เอาแผ่นให้เขาไปลงโปรแกรม ให้เขาเอาเซนเซอร์ไปติดเอง ซึ่งมันติดตั้งง่ายมาก จากที่ก่อนมาเข้าค่ายต่อกล้าฯ หนูต้องเป็นคนไปติดตั้งให้ เพราะมีแค่หนูที่รู้ว่าบั๊กอยู่ตรงไหน แต่พอเข้ามาในค่ายฯ ก็สามารถพัฒนาจนเขาเอาไปติดตั้งเองได้แล้ว” ปลายเล่าอย่างภาคภูมิใจ

อย่างไรก็ตาม หากการเรียนรู้จากผู้คนรายรอบนั้นสำคัญกับการพัฒนาผลงานชิ้นนี้ฉันใด การเรียนรู้ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเรียนรู้ระหว่างกันและรวมพลังกันทำงานของสมาชิกภายในทีม โดยเฉพาะปลายกับพิม ที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนก่อนจะพัฒนาต่อยอดมาสู่การเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีทีมเวิร์ค

“ปลายโทรมาถามตั้งแต่ได้หัวข้อโปรเจ็คต์ ว่าอันนี้ทำยังไง อันนี้ทำได้ไหม โทรมาหาทุกเย็น” พิมเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นโปรเจ็คต์ด้วยเสียงหัวเราะ

ก่อนที่ปลายจะเสริมต่อ “ตอนนั้นหนูทำคนเดียวไม่ทันอยู่แล้ว (หัวเราะ) เลยโทรถามพิมว่าว่างไหม พอจะช่วยได้ไหม เพราะมันเหลือเวลาแค่เดือนเศษๆ แต่ยังไม่รู้อะไรเลย เพื่อนคนอื่นก็จะกดดันพิมเยอะมากว่ามาช่วยงานหนูนี่ไม่ได้อะไรเลยนะ พิมตอบว่า ‘หนูได้ความรู้ค่ะ’ สวยมาก (หัวเราะ)”

อาจเป็นเพราะความสนิทที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ทั้งสองทำงานเข้าคู่กันได้ดี โดยเฉพาะการสื่อสารระหว่างกัน ที่ทั้งคู่บอกว่าใช้วิธีสื่อสารแบบตรงถึงตรงมากที่สุด

“เรื่องการทำงานเป็นทีม ทีมอื่นอาจมีทะเลาะกันแต่ทีมหนูไม่ทะเลาะกันเลย หนูไม่รู้ว่าเราตกลงกันยังไง แต่ไม่เคยทะเลาะกัน มีอะไรก็คุยกันตรงๆ การทำงานเป็นทีมมันไม่จำเป็นต้องมีคนเยอะ เรามีกันแค่สองคน หนูมีอะไรก็พูดตรงๆ บางทีหนูก็รู้ว่าเพื่อนเสียใจ แต่หนูก็พูดเพราะเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ พอได้มาทำงานร่วมกัน เจอปัญหามาด้วยกัน ก็รู้ว่าเพื่อนไม่ทิ้งหนู พอเจอปัญหาจริงๆ เพื่อนก็ยังอยู่ ต่างคนต่างรู้ว่าอีกคนยังอยู่” ปลายเผยความรู้สึก

“หนูเป็นคนที่มองทั้งในมุมตัวเอง และมุมคนที่พูดด้วยว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรกับเรา ใจเราอาจจะแย้งกับเขา แต่เขาเจตนาดี เขาพูดแรงแต่เรารู้ว่าเขาเป็นห่วง” พิมเสริมแบบสวยๆ

นั่นคือแง่มุมของการเรียนรู้ระหว่างเพื่อนร่วมทีม ที่ทำให้การทำงานของทีมนี้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล

และแน่นอน ถ้าไม่รู้ตรงไหน ก็จงเรียนรู้จากผู้คนบนเส้นทางเดินของเราเอง…

“ต้องเปิดใจเรียนรู้ทุกอย่าง เพราะมันไม่มีใครที่จะทำอะไรด้วยความรู้ทั้งหมดที่ตัวเองมีได้ คือไม่มีใครที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว หนูก็เริ่มจากที่ไม่รู้ ถ้าเราไม่รู้เราก็จะไปหาคนที่รู้แล้วให้เขาสอนเรา ขยันหาความรู้เพิ่มเติม มันก็จะทำให้งานสำเร็จได้ ไม่จำเป็นต้องเก่งมาตั้งแต่แรก” ปลายจบบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม

Tags:

AI21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรเกมคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Character buildingCreative learning
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Character buildingCreative learning
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5
EF (executive function)
24 December 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ต่อจากตอนที่แล้ว อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4 ประโยชน์ของการอ่านนิทานข้อ 9-10 

11. Conservation

​พัฒนาการเด็กมีหมุดหมายเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่อยู่ 2 เรื่อง เรื่องที่หนึ่งคือเรื่อง object constancy ซึ่งแปลว่าความมีอยู่จริงของวัตถุหรือวัตถุที่มีอยู่จริง เรื่องที่สองคือเรื่องนี้ conservation ซึ่งแปลว่าคงไว้ หรือคงไว้ซึ่งความมีอยู่

​คำสำคัญอีกคำหนึ่งคือคำว่าความมีอยู่ (exist) เช่น แม่ที่มีอยู่จริงหรือความมีอยู่จริงของแม่

​ฌอง เพียเจต์ เป็นผู้เขียนบรรยายงานสังเกตการณ์ที่มีชื่อเสียงนี้ เมื่อเราให้เด็กอายุน้อยกว่า 8 เดือนเล่นของเล่นชิ้นหนึ่งแล้วเราเอาผ้าไปคลุม เด็กจะเลิกเล่นเพราะไม่เห็นคือไม่มี

เพียเจต์ใช้คำว่า object permanence ในขณะที่ เมลานี ไคลน์ ใช้คำว่า object constancy เด็กที่อายุมากกว่า 8 เดือนจะพลิกผ้าออกเพื่อเล่นต่อเพราะรู้แล้วว่าวัตถุมีอยู่จริง

ก่อนที่วัตถุจะมีจริง แม่ต้องมีจริงก่อน นั่นคือแม่ที่อ่านนิทานก่อนนอนอยู่ข้างๆ ทุกคืน ตรงเวลา

​ตอนที่แม่พลิกหน้ากระดาษ ภาพหายไปชั่วคราว แล้วภาพต่อไปปรากฏขึ้น ตัวละครที่หายไปกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เราทำเช่นนี้ทุกคืน อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวนาน (consistently & continuously) ตัวละครจึงมีอยู่จริงและมีชีวิตอีกด้วย (animism)

หมุดหมายที่สองคือที่อายุ 8 ปี เป็นงานทดลองและสังเกตการณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเพียเจต์อีกเช่นกัน เมื่อเราเทน้ำจากภาชนะทรงสูงลงบนจาน เด็กอายุน้อยกว่า 8 ปีจะบอกว่าน้ำในจานมีจำนวนน้อยกว่า (เด็กจะใช้คำอื่น ไม่ใช้คำว่าจำนวน) แต่เด็กที่อายุมากกว่า 8 ปีโดยประมาณและถ้าอ่านหนังสือนิทานก่อนนอนมาตลอดควรจะเร็วกว่านี้จะตอบว่าน้ำในภาชนะทรงสูงกับในจานมีปริมาณเท่ากัน (เด็กจะใช้คำอื่น ไม่ใช้คำว่าปริมาณ) นี่คือความสามารถมหัศจรรย์และน่าตื่นใจที่สุดเรื่องหนึ่งคือการคงไว้ซึ่งความมีอยู่ (conserve the existence)

​ความมีอยู่ของอะไร คือความมีอยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาโดยง่าย เริ่มจากความกว้าง ความยาว ความสูง ปริมาณ ปริมาตร และน้ำหนัก ตามด้วยคำที่ยากยิ่งขึ้น เช่น มวล

จะเห็นว่าคำศัพท์เป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีคำศัพท์สมองก็ไม่พัฒนา เพราะไม่รู้จะเอาอะไรใส่ในสมอง คำศัพท์จึงเป็นภาชนะหรือยานพาหนะสำหรับใส่ความคิดและบรรทุกความคิด  

มีคำถามเสมอว่าเล่านิทานได้ไหม ไม่อ่านนิทานได้ไหม คำตอบคือได้

​แต่การเล่านิทานมักได้คำศัพท์น้อยกว่าการอ่าน พวกเราเล่านิทานใช้คำศัพท์ไม่กี่คำหมุนวนไปมา เปรียบเทียบกับการอ่านนิทานก่อนนอนทุกคืนและอ่านอย่างหลากหลายเด็กได้รับคำศัพท์ใหม่ๆ ทุกๆ คืน หนังสือและงานวิจัยจำนวนมากมายที่ให้ตัวเลขคำใหม่ที่สมองเด็กบรรจุได้ในแต่ละวันต่างๆ กันไป แต่โดยรวมๆ คือ ‘เยอะ’  

​การเล่านิทานก่อนนอนก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย อีกครั้งหนึ่ง ทำไมต้องก่อนนอนเพราะก่อนนอนเป็นการประกันเวลาว่าพ่อแม่จะปรากฏตัวและมีอยู่จริงอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวนาน ภายใต้ข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ว่าทุกคนไปทำงานและกว่าจะฝ่าการจราจรขึ้นทางด่วนแล้วลงไม่ได้เพราะเขาปิดช่องทางลง กว่าจะถึงบ้าน มันนานมาก

การอ่านนิทานอาจจะมิได้พัฒนา conservation ตรงๆ แต่การอ่านนิทานสร้างคลังคำแน่ ในเวลาไม่นานเด็กๆ จะมีคำว่า ‘น้ำหนัก’ และคำว่า ‘ปริมาตร’ ให้ใช้ คำศัพท์ปริมาตรยากกว่าคำว่าน้ำหนัก จะมีโอกาสปรากฏก็แต่ในหนังสือเพราะมิใช่ภาษาพูดทั่วไป แล้วเขาจะคงไว้ซึ่งความมีอยู่ได้มากขึ้น มั่นคงขึ้น

ความสามารถที่จะคงไว้ซึ่งความมีอยู่อาจจะฟังดูไม่เป็นประโยชน์อะไรกับชีวิตมากนัก แต่มันเป็นหมุดหมาย หมุดหมายแปลว่าอะไร หมุดหมายแปลว่าไม่มีหมุดนี้เพราะถูกขโมยหายไปจากผืนดินในตอนกลางคืนก็จะไม่มีเรื่องอื่นๆ ที่จะติดตามมา หมุดหาย ที่เหลือก็หายไป  

ไม่มีหมุดจะไม่มีความสามารถอื่นๆ ติดตามมา

12. Decentration

​ความสามารถถัดมาเราเรียกว่า decentration แปลตามตัวว่าลดศูนย์กลางลง

งานสังเกตการณ์ถัดไปของเพียเจต์คือเรื่องให้เด็กมองแถวของไข่และแถวของแก้วที่มีจำนวนเท่ากัน เช่น ไข่หกฟองและแก้วหกใบ โดยตั้งให้มีความยาวเท่ากัน เมื่อเรายืดไข่หกฟองให้ทิ้งระยะห่างขึ้นจนกระทั่งแถวของไข่ยาวกว่าแถวของแก้ว เด็กเล็กจะพูดว่าไข่มีจำนวนมากกว่าแก้ว ในขณะที่เด็กที่อายุมากกว่า 8 ขวบจะพูดว่าเท่ากัน

จะเห็นว่าเด็กทำได้เมื่อเขาคงไว้ซึ่งความมีอยู่ของจำนวนได้และสามารถมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘มิติ’ ได้ นำไปสู่ความเข้าใจที่ยากมากขึ้นอีกข้อหนึ่งคือความเข้าใจเรื่องมิติ (dimension)

โลกของเด็กมี 1 มิติในตอนแรก 1-dimension ก่อนที่จะขยายเป็นสองมิติและสามมิติในเวลาต่อมา (2-dimension, 3-dimension) ตอนที่เขามีหนึ่งมิตินั้นเขา centrate ไม่ decentrate แปลว่ามองมุมเดียวจากจุดเดียวที่ตนเองเป็นศูนย์กลางก็ได้

​หนังสือนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กหลายเล่มเป็นสองมิติ กล่าวคือวาดตัวละครเป็นภาพแบนราบ ลงสีเรียบๆ ไม่มีความชัดลึก นอกจากไม่มีความชัดลึกแล้วบางเล่มไม่มีแม้กระทั่งมุมมองคือ perspective เด็กนอนดูรูปไปจะพบว่าตัวละครหรือภูเขาแม่น้ำแบนราบท่าเดิมโดยไม่เปลี่ยนรูปทรงเลยในแต่ละหน้าที่ผ่านไปแม้ว่ามุมมองของตัวละครจะเปลี่ยนไป

มากไปกว่านี้คือการลงสีเรียบ ตัดเส้นชัด หนังสือเด็กกลุ่มนี้เป็นสองมิติชัดแจ้ง ซึ่งเด็กๆ ชอบ

​หนังสือนิทานประกอบภาพหลายเล่มมีภาพเป็นสามมิติด้วยมุมมอง ลงสีมีความชัดลึกและไม่ตัดขอบ ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นสามมิติและเปลี่ยนไปตามมุมมองของตัวละครหรือตัวเด็กเอง ด้วยวิธีนี้เด็กจะลด centration ลงแล้ว decentrate ภาพที่เห็นไปเรื่อยๆ โลกเป็นจริงและเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที

เรื่อง concervation และ decentration นี้สำคัญมากและแปลไทยยาก อธิบายยาก ข้อเขียนนี้มีความตั้งใจทำให้ผู้อ่านมึนงงและจำเป็นต้องใช้จินตนาการเข้าช่วยเพราะมิเช่นนั้นแล้วเราไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าเด็กเล็กเขา conserve และ decentrate อะไร อย่างไร

​เป็นสองเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดเพราะหากไม่เรียบร้อยความสามารถถัดๆ มาก็จะไม่เรียบร้อยตามไปด้วย นั่นคือคณิตศาสตร์

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 3
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต
Movie
24 December 2019

A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • A Beautiful Day in the Neighborhood ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของ ลอยด์ โวเกล นักข่าวนักสัมภาษณ์มือรางวัล แต่แทนที่โวเกลจะเป็นคนตั้งคำถาม เขากลับถูก เฟรด โรเจอร์ส นักจัดรายการเด็กกว่า 40 ปี ย้อนถามกลับด้วยคำถามพื้นฐานไม่กี่ข้อ แต่มันทรงพลังและถูกจังหวะพอ จนทำให้เขาต้องกลับไปย้อนดูที่มาที่ไปหรือปมวัยเด็กของตัวเอง และจัดการกับมัน
  • คำถามแต่ละคำถามที่โรเจอร์สถามโวเกลคือคำถามที่ทำให้โวเกลเข้าใจ กลับไปแก้ไขปมปัญหาความสัมพันธ์ของเขากับพ่อ และชวนให้เรา ในฐานะคนดู ต้องคิดตามไปด้วย

หมายเหตุ : มีการเปิดเผยเนื้อหาหนังบางส่วน

ถ้าพูดถึงหนังฮีโร่ เรื่องที่ทุกคนอาจนึกถึงคือ แบทแมน ซูเปอร์แมน หนังแนวฮีโร่ที่ตัวละครเอกสามารถใช้พลังพิเศษ ‘เหนือมนุษย์’ ช่วยคน …จนเป็นฮีโร่ แต่วันนี้ผู้เขียนได้มาดูหนัง ‘ฮีโร่’ อีกมุมหนึ่งคือ A Beautiful Day in the Neighborhood ‘ฮีโร่’ ที่บอกว่าไม่ว่าใครก็เป็นฮีโร่จากเรื่องราวของตัวเองได้ (be the hero on your own) 

เพียงแต่ต้องไปเรียนรู้แบบดำดิ่งเผชิญหน้ากับความกลัว เพื่อย้อนกลับไปทำความเข้าใจประสบการณ์ในชีวิตและปมบาดแผลภายในจิตใจของเราจนค้นพบศักยภาพที่จะก้าวข้ามความเจ็บปวด พบขุมพลังที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและแบ่งปันต่อผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็น “Hero’s Journey” อย่างแท้จริง

พอผู้เขียนได้มาดูหนังเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าการเดินทางของตัวละครเอกในเรื่อง คือ ลอยด์ โวเกล (แสดงโดย แมทธิว รีส) ผู้รับบทเป็นนักเขียนเจ้าของรางวัลด้านการเขียนข่าวเจาะลึกมุมมืดของบุคคล ผู้มาพร้อมกับปมปัญหาภายในจิตใจคือความโกรธแค้นพ่อ เป็นสัมภาระที่พกติดตัวมาตลอดชีวิต เป็น Hero’s Journey ในแนวทางที่ว่านี้

หนังเปิดด้วยเหตุการณ์ที่บรรณาธิการนิตยสารให้โวเกลไปเขียนงานเกี่ยวกับ ‘Hero’ ชายที่แสนดีที่สุดแห่งยุคอย่าง เฟรด โรเจอร์ส (แสดงโดย ทอม แฮงค์ส) นักจัดรายการโทรทัศน์เพื่อเด็กที่ครองใจชาวอเมริกายาวนานกว่า 40 ปี ผ่านทางรายการ MisterRogers และ MisterRogers’ Neighborhood ด้วยเหตุผลเดียวว่า ‘ไม่มีคนดังคนไหนอยากให้เขาสัมภาษณ์อีกแล้วหลังจากเขาเจาะลึกตัวตนของเขาและเอาไปเขียนเสียๆ หายๆ’ ในขณะที่โวเกลก็รับงานนี้แบบเสียไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าโรเจอร์สเป็นนักบุญดังที่คนทั่วไปเข้าใจ

แต่หนังเล่าให้เห็นเหตุการณ์ ‘พลิกผัน’ คนที่ไปสัมภาษณ์เองกลับกลายเป็นคนเล่าเรื่อง ‘ฮีโร่’ จากการเดินทางด้านใน โวเกล – ในฐานะคนสัมภาษณ์ – ได้ย้อนมองตัวเองจากการตั้งคำถามอันทรงพลังของ โรเจอร์ส – ที่ต้องอยู่ในฐานะผู้ให้สัมภาษณ์ – ผู้ที่เข้าใจชีวิต มีประสบการณ์ เสมือนผู้ที่เคยผ่าน Hero’s Journey มาก่อน 

หลายครั้งหนังทำให้เราเห็นแววตาของโรเจอร์สร่ำไห้กับชีวิตที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ชีวิตที่ผ่านเรื่องราวบาดเจ็บต่างๆ นานา แต่ก็ด้วยสายตาของเขาที่มองเห็นเรื่องราวความงดงามของชีวิตแบบนี้และนำมาสร้างละครหุ่น ขับร้องบทเพลง ถ่ายทอดความรู้สึก การเรียนรู้และการก้าวข้ามให้คนได้จรรโลงใจเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึงผ่านทางรายการที่เขาจัด จึงไม่แปลกใจที่โรเจอร์ส จะให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือโวเกล นักเขียนคนที่เขามองเห็น ‘บาดแผล’ ในตัว เป็นพิเศษ

ด้าน ลอยด์ โวเกล เสียแม่ไปในวัยเด็ก ในช่วงที่แม่กำลังจะตาย พ่อเขาหายหน้าไป ทิ้งภาระที่ต้องตัดสินใจในการรักษาแม่ในช่วงวิกฤตินั้นทั้งหมดให้เขาและน้องสาว หนำซ้ำพ่อทิ้งเขาและน้องสาวหลังแม่จากไป โวเกลโตมาด้วยความโกรธแค้นพ่อ อภัยไม่ได้ เป็นสัมภาระที่พกติดตัวตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อเจอพ่ออีกครั้งในงานแต่งงานของน้องสาว เขาไม่สามารถจะสานความสัมพันธ์กับพ่อได้เมื่อเจอกัน ในที่สุดวันนั้นเขาชกหน้าพ่อด้วยความโกรธแค้น แน่นอน เขาทั้งคู่เกิดบาดแผลจากเหตุการณ์นั้น บาดแผลใหม่ที่ทับซ้ำบาดแผลเก่าของทั้งคู่ที่ยังไม่ได้รับการรักษา

การได้ไปสัมภาษณ์โรเจอร์สของโวเกล คือ Hero’s Journey ที่เริ่มต้นขึ้น เขาไปพบโรเจอร์สขณะที่มีบาดแผลบนใบหน้า ความโกรธที่มีต่อพ่อยังคงคุกรุ่น และด้วยรอยแผลนี่เองคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ที่ทำให้โวเกลต้องเทียวไปสัมภาษณ์โรเจอร์สอยู่หลายครั้ง แต่มากกว่าการได้สัมภาษณ์ ท้ายที่สุดโรเจอร์สช่วยให้โวเกลได้รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองและพ่อ แม้ไม่ใช่หนังแอคชั่น แต่อารมณ์ในช่วงนี้ก็เข้มข้นมาก คำพูดหรือคำถามแต่ละคำถามที่โรเจอร์สถามโวเกลคือคำถามที่ทำให้โวเกลเข้าใจ และกลับไปแก้ไขปมปัญหาความสัมพันธ์ของเขากับพ่อได้ และชวนให้เรา – ในฐานะคนดู ต้องคิดตามไปด้วย เช่นคำถามที่ว่า

“พ่อของคุณทำให้คุณเป็นคุณทุกวันนี้ยังไง?”

“ลองจินตนาการถึงคนที่รักเรา” 

ที่พีคสำหรับผู้เขียนคือตอนที่โวเกลฝัน เขาเผชิญกับความกลัวจนกระทั่งเข้าสู่สภาวะฝัน (dreamland) ในจิตใต้สำนึกเพื่อกลับไปคุยกับแม่ ในฝันนั้นแม่พูดว่า… 

“ไม่ต้องโกรธพ่อเพื่อแม่ แม่ไม่ได้ติดค้างอะไร” 

ใช่แล้ว! เขาโกรธพ่อมาทั้งชีวิตเพราะต้องการดูแลความรู้สึกของแม่ 

และอีกช่วงที่หนังพาเราไปเข้าใจความเป็นพ่อ ผ่านตัวละครพ่อของโวเกลว่า พ่อเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ เขาไม่เคยเป็นพ่อ ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตยังไง ในขณะที่ครอบครัวคาดหวังว่าพ่อจะเป็นที่พึ่งให้ได้ แต่เขาทำไม่เป็น ณ ช่วงชีวิตนั้น เรื่องราวบทบาทพ่อ หนึ่งในเรื่องที่โวเกลผู้กำลังมีลูกในวัยทารก ผู้ที่ดูแลคนอื่นไม่เป็น ผู้ที่ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าความสัมพันธ์และครอบครัวจะได้กลับมาเดินทางด้านในและแก้ไขมัน ท้ายที่สุดแล้วเราเห็นตัวละคร โวเกล ได้หลอมรวมกับการเป็นคนที่อ่อนโยน เป็น ร้องไห้ได้ ดูแลคนที่เขารักได้ โวเกลได้เปลี่ยนผ่าน และเรียนรู้ว่าการจะเป็นพ่อที่ดีได้ ต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ของพ่อ และสุดท้ายเขาได้พลังที่จะโอบอุ้มดูแลและให้ความรักกับลูกได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น

หากบอกว่าการดูละครคือการย้อนมองดูตัว หนังเรื่องนี้เป็นกระจกสะท้อนที่นอกจากเห็นการเดินทางของฮีโร่แบบโวเกลแล้ว จากนั้นเรายังได้ดูตัวเอง หนังเชื้อเชิญให้เราได้กลับไปค้นเจอห้วงเวลาที่เราจะได้เรียนรู้จากบาดแผล ด้านมืดและด้านสว่างของเรา ถ้าผู้อ่านสนใจ ‘การเดินทางของฮีโร่’ และอยากย้อนมองดูตัวเองก็อยากเชื้อเชิญให้ไปชมกันนะครับ 


ขณะดูหนัง เห็นเส้นทางของลอยด์ โวเกลที่เริ่มต้นถูกเคาะประตูโดย บก. ที่ให้ไปสัมภาษณ์โรเจอร์ส เผชิญปัญหาและความกลัวสุดๆ จนไปสู่การหลอมรวมเป็นตัวตนใหม่ทำให้นึกถึงโจเซฟ แคมเบลล์ นักเขียน และนักตำนานวิทยา (mythologist) ชาวอเมริกัน เขาได้เสนอแบบแผนการเดินทางของฮีโร่ มี 12 ขั้นตอน ซึ่งหากผู้อ่านเริ่มมีเหตุการณ์เช่นนี้ เริ่มมีบางอย่างมาเคาะประตู ก็ลองปล่อยให้ตัวเองได้เดินทางสู่ Hero’s Journey ดูได้  

  1. ช่วงที่ยังอยู่ในโลกที่คุ้นเคย 
  2. มีเสียงเรียกให้ออกผจญภัย โดนเคาะประตูจากปัญหาในชีวิต เรียกร้องให้เราค้นหา ฮีโร่จะเกิดความสงสัยและเริ่มต้นออกเดินทาง 
  3. การปฏิเสธเสียงเรียก มีเสียงเรียกให้ทำในสิ่งที่ต่างออกไป เรามักปฏิเสธและบอกตัวเองว่าเราอยากที่จะอยู่ในโลกธรรมดาสามัญเช่นเดิม 
  4. การพบครู มีการส่งเพื่อน ครู ผู้มีทักษะ หนังสือ หรือธรรมชาติ มาช่วยให้เราฝึกฝน เรียนรู้มุมใหม่ ขยายศักยภาพ เพื่อเดินทางไปในเป้าประสงค์ของตัวเอง 
  5. การข้ามเขตแดน ตัดสินใจและก้าวข้ามขอบของโลกธรรมดาสามัญไปยังอีกโลกหนึ่ง ไปพบเงื่อนไข กฎเกณฑ์ และระบบคุณค่าที่ไม่คุ้นเคย 
  6. การรับบททดสอบ เจอศัตรูและมิตรที่จะช่วยเหลือ 
  7. ทดลองหาวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการกับบททดสอบที่เข้ามา ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ตัวตน หรือการแสดงออก เพื่อให้ชนะอุปสรรคที่เข้ามา 
  8. การเผชิญอุปสรรคสูงสุด เป็นช่วงเวลาของความเป็นความตายที่ต้องเผชิญสิ่งต่างๆ ภายในตนเอง เช่น ด้านมืดของตนเอง หรือความกลัวที่สุดในชีวิต การสลัดละทุกๆ อย่างที่เราเคยเป็น ซึ่งวิธีก้าวข้ามเราต้องทำงานกับด้านต่างๆ ของตนเอง 
  9. การรับรางวัล หากก้าวผ่านระยะของการเผชิญอุปสรรคได้ เป้าประสงค์จะมอบรางวัล ของขวัญ ความรัก บทเรียน หรือปัญญา จะเกิดการเติบโตและเปลี่ยนแปลงภายในกลายเป็นคนใหม่ที่ต่างจากเดิม 
  10. เดินทางกลับสู่โลกปกติ 
  11. การเกิดใหม่ เจอบททดสอบที่ต้องใช้ความรู้และทักษะทั้งหมดที่ได้เรียนรู้ระหว่างการเดินทางเพื่อเอาชนะบททดสอบสุดท้ายไปให้ได้ เป็นการปรับตัวสู่โลกปกติอย่างแท้จริง 
  12. การกลับมาพร้อมพลังวิเศษ กลับไปยังโลกปกติแล้วแบ่งปันความรู้ พลัง หรือสิ่งต่างๆ ที่ได้รับออกไปสู่โลก 

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ชีวิตการทำงานMidlife crisisภาพยนตร์

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Family Psychology
    ค้นพบตัวตนของลูกผ่านการปั้นดิน: ไม่คาดหวัง เปิดตา เปิดใจ ยอมรับให้ดินได้ขึ้นรูปทรงด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Life classroom
    ฮาวทูทิ้ง: มอง “ตัวละคร” ผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อเราต่างมี “ฮาวทู” จัดการความสัมพันธ์ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Family PsychologyHealing the trauma
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เปลี่ยนการเรียนรู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับสมองให้เป็นทีมเดียวกับวัยรุ่น ครูทำได้
Learning Theory
23 December 2019

เปลี่ยนการเรียนรู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับสมองให้เป็นทีมเดียวกับวัยรุ่น ครูทำได้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • สาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้สมองวัยรุ่นถดถอยคือการจัดการเรียนรู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสมอง
  • สมองของวัยรุ่นกำลังพัฒนาจากการได้คิดและทำในสิ่งใหม่ๆ และปรับการทำงานตามสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที่เด็กเจอ หนึ่งในนั้นคือการจัดการเรียนรู้ของครู
  • เปลี่ยนการเรียนรู้มาเป็นมิตรและทีมเดียวกับเขา คือสิ่งที่คุณครูทำได้

สมองมนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของวิวัฒนาการมนุษย์ เพราะหากสมองไม่สามารถปรับตัวได้ มนุษย์จะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นไปที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลาและสูญพันธุ์ไปในที่สุด

ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่วิเศษที่สุดแต่มักถูกละเลยและถูกมองในแง่ลบด้วยคำตีตราจากสังคม

ทั้งที่หากผู้ใหญ่และสังคมสนับสนุนและให้โอกาส สมองของวัยนี้จะทำอะไรสร้างสรรค์ได้อีกมาก เพราะเป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนาจากการได้ลองคิดลองทำสิ่งใหม่ๆ และสมองจะเชื่อมต่อโครงสร้างและปรับการทำงานของตัวเองมากน้อยตามสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที่เด็กเจอ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นจึงมีอิทธิพลต่ออนาคตวัยผู้ใหญ่ของเด็กเป็นอย่างมาก

จากการศึกษา พบว่า การปรับตัวของสมองในช่วงวัยรุ่นมีลักษณะสำคัญอยู่ 3 ประการคือ

หนึ่ง เซลล์สมองเพิ่มจำนวนมากขึ้น นักวิจัยเพิ่งค้นพบในช่วงปี 1990 ว่า แท้จริงแล้ว สมองสามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ขึ้นใหม่ได้ตลอด ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวัยเด็กเท่านั้น โดยมีงานวิจัยปี 2013 ศึกษาพบว่า สมองในช่วงวัยรุ่นเพิ่มจำนวนเซลล์มากกว่าในวัยผู้ใหญ่ 4-5 เท่า และสภาพแวดล้อมที่เด็กอยู่ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มเซลล์สมองด้วย

สอง เซลล์สมองลดจำนวนลง การลดจำนวนเซลล์สมองนี้เกิดขึ้นกับเซลล์ที่ไม่จำเป็นเท่านั้น การทดลองร่วม 70 ปีจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ชี้ให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมที่ดีส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของเดนไดรต์ (dendrite) หรือใยประสาทในสมอง

สาม การสร้างหุ้มปลอกไมอีลิน (myelin sheath) สารเคลือบที่มีลักษณะเป็นปลอกหุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เซลล์สมองส่งกระแสไฟฟ้าไปถึงกันและกันได้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไปยังสมองส่วนที่ทำงานไม่สมบูรณ์เต็มที่ได้อีกด้วย

สมองจะมีกระบวนการสร้างหุ้มปลอกไมอีลินได้ดีในช่วงวัยรุ่น ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า อัตราการสร้างสารไมอีลินเข้าหุ้มแอกซอน (Axon) หรือเซลล์ประสาท มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับความต่อเนื่องของสิ่งกระตุ้นและอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม เช่น การเรียนรู้ทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ สามารถกระตุ้นให้สมองเกิดกระบวนการสร้างหุ้มปลอกไมอีลินเพิ่มขึ้นได้

การปรับตัวของสมอง: จะใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือปล่อยให้เสียเปล่า

สมองส่วนต่างๆ จะพัฒนาอย่างเต็มที่ในช่วงวัยแตกต่างกัน สมองวัยรุ่นมีคุณสมบัติพิเศษเรื่องการปรับตัว ขณะที่กระบวนการหุ้มปลอกไมอีลินเกิดขึ้นในระหว่างที่สมองกำลังพัฒนาในวัยรุ่น เซลล์ประสาทที่ถูกห่อหุ้มนั้นจะเริ่มไปกีดขวาง การแตกแขนง (arborization) ของเดนไดรต์ เป็นที่มาของข้อมูลที่ว่า ยิ่งอายุมากขึ้นการขยายตัวของเซลล์สมองก็จะลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าหยุดขยายตัวหรือขยายตัวไม่ได้อีกแล้ว

เจย์ กีดด์ (Jay Giedd) นักวิจัยสมอง กล่าวว่า

“การปรับตัวของสมองไม่ได้หยุดแล้วหยุดเลย แค่จะทำได้ไม่ดีเท่าตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่นเท่านั้น”

ช่วงวัยรุ่นจึงเป็น ‘ช่วงวัยอันอ่อนไหว’ ที่ไม่ใช่แค่ความอ่อนไหวทางอารมณ์อย่างที่มักพูดถึงกัน แต่ยังอ่อนไหวต่อการลดจำนวนเซลล์สมองและการเดินสายระบบวงจรสมองที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ การวางแผน การประเมินสถานการณ์ และการคิดจัดการด้านอื่นๆ ด้วย

ด้วยเหตุนี้ การทำงานของสมองในช่วงวัยรุ่นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม (อายุระหว่าง 11-18 ปี) เพราะสมองจะค่อยๆ ปรับโครงสร้างการเชื่อมต่อเซลล์และการทำงานไปตามกิจกรรมและสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวัน ประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นทั้งด้านบวกหรือลบ จะเป็นคลื่นสั่นสะเทือนในสมองไปตลอดชีวิต และไม่ได้เป็นตัวกำหนดอนาคตที่ลึกซึ้งของเด็กเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกำหนดสังคมที่เด็กดำรงอยู่และกำลังจะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ในไม่กี่ปีข้างหน้าอีกด้วย

ประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นจึงเป็นตัวชี้ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่จะตามมาเมื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ “จงใช้ (ช่วงเวลานี้) ให้เป็นประโยชน์ หรือไม่อย่างนั้นก็เสียเปล่า”

เข้าใจว่าทำไมวัยรุ่นไม่ทนต่อความเครียดและไม่ชอบทน

มนุษย์ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยความเครียดมากกว่าตอนโต การเผชิญกับความเครียดต่อเนื่องยาวนานจะส่งผลร้ายต่อวัยรุ่นมากกว่าวัยผู้ใหญ่ โดยความเครียดจะไปขัดขวางพัฒนาการด้านการทำงานและโครงสร้างของสมอง ทำให้การพัฒนาในสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) และส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับสมาธิทำงานลดลง

การที่วัยรุ่นมีความต้านทานต่อความเครียดต่ำลง เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุบนท้องถนน ความรุนแรงและการกลั่นแกล้ง การฆ่าตัวตาย การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพกัญชา การสูบบุหรี่และใช้สารนิโคติน ความผิดปกติทางจิต การนอนหลับยาก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้ยาในทางที่ผิด รวมถึงการติดอินเทอร์เน็ต

ยิ่งหากต้องเผชิญกับความเครียดอย่างยาวนาน สามารถนำไปสู่ภาวะวิตกจริต ซึมเศร้า แปลกแยกจากสังคม ขี้ตกใจ สมาธิสั้น และนอนไม่หลับได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อสภาวะทางร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น ความดันโลหิตสูง และ ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น

เพื่อทำความเข้าใจระบบตอบสนองความเครียดของวัยรุ่น เราจำเป็นต้องเข้าใจความสัมพันธ์และการตอบสนองซึ่งกันและกันระหว่าง ไฮโปธาลามัส-ต่อมพิทูอิทารี-ต่อมหมวกไต hypothalamic-pituitary-adrenal axis ที่รวมกันเรียกว่า แกนเอสพีเอ (HPA axis)

สองส่วนแรกคือ ‘ไฮโปธาลามัส’ กับ ‘ต่อมพิทูอิทารี’ อยู่ติดกันในสมองส่วนที่อยู่ข้างใต้สมองส่วนหน้า ส่วน ‘ต่อมหมวกไต’ อยู่เหนือไตทั้งสองข้างขึ้นมา ทั้งสามส่วนนี้ทำงานร่วมกันในกลไกอันสลับซับซ้อน ทั้งกระตุ้นและตอบสนองซึ่งกันและกันวนไปไม่รู้จบ คอยควบคุมการตอบสนองความเครียดและดูแลกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบย่อย ภูมิคุ้มกัน อารมณ์ และระบบสืบพันธุ์ เพื่อควบคุมให้ระบบทำงานอยู่กับร่องกับรอย

งานวิจัยจำนวนมากชี้ว่าวัยรุ่นจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในเวลากลางวันสูงกว่าในวัยผู้ใหญ่ (คอร์ติซอล (cortisol) เป็นฮอร์โมนกลุ่มสเตียรอยด์ที่สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไต เพื่อช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียด และยังมีบทบาทเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ ภายในร่างกาย เช่น ต่อสู้กับอาการอักเสบ กระตุ้นตับให้สร้างน้ำตาลออกมาสู่กระแสเลือด และช่วยควบคุมปริมาณสารน้ำภายในร่างกาย) ทำให้แกนเอสพีเอทำงานว่องไวและรับเอาปัจจัยความเครียดภายนอกได้ง่ายกว่า

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยความเครียดมากกว่าตอนโต การเผชิญกับความเครียดต่อเนื่องยาวนานจะส่งผลร้ายต่อวัยรุ่นมากกว่าวัยผู้ใหญ่ โดยความเครียดจะไปขัดขวางพัฒนาการด้านการทำงานและโครงสร้างของสมอง

การพัฒนาในสมองส่วนหน้าและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับสมาธิจะลดลง เมื่อวัยรุ่นมีความอ่อนไหวต่อความเครียดเพิ่มมากขึ้น ยิ่งนำไปสู่การใช้สารเสพติดมากขึ้น เกิดภาวะป่วยทางจิต ใช้ความรุนแรง และทำสิ่งอันตรายอื่นๆ ที่ยิ่งนำไปสู่ความเครียดอื่นๆ มากขึ้น และวัฏจักรนี้ก็จะดำเนินไปไม่สิ้นสุด

การศึกษาที่ ‘เป็นปฏิปักษ์กับสมอง’: โรงเรียนทำให้ (สมอง) วัยรุ่นถดถอย

ในแต่ละปีนักเรียนอเมริกันใช้เวลาประมาณ 1,000 ชั่วโมงหมดไปในรั้วโรงเรียน (ไม่นับรวมกิจกรรมนอกหลักสูตร กิจกรรมสันทนาการก่อนและหลังเลิกเรียน และหลักสูตรในฤดูร้อน) คิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ ของชีวิตยามตื่น เวลา 1 ใน 4 ส่วนนี้นับเป็นโอกาสทองให้ครูผู้สอนได้รังสรรค์กิจกรรมการเรียนการสอนที่สามารถพลิกโฉมการทำงานของสมองนักเรียนให้เป็นไปในทางบวก

ถึงอย่างนั้น ยังมีปัจจัยอีกมากที่ครูผู้สอนไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ การอบรมเลี้ยงดูจากพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก การคบเพื่อนนอกโรงเรียน สื่อต่างๆ ที่สร้างภาพลักษณ์และค่านิยมบางอย่างซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น โฆษณาที่นำเสนอภาพผู้ชายมีกล้าม และผู้หญิงหุ่นเพรียวบาง หรือในภาพยนตร์ที่นำเสนอภาพการสูบบุหรี่และใช้ยาเสพติด สร้างภาพลักษณ์ให้สิ่งเหล่านี้เป็นของเท่ ไหนจะลักษณะพันธุกรรมที่อยู่ในตัวเด็กเอง และความเป็นมาของชีวิตส่วนตัว

จากผลการสำรวจนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายทั่วประเทศในสหรัฐอเมริกา ในปี 2014 พบว่า นักเรียนเกรด10 (มัธยมศึกษาปีที่ 4) มากกว่าครึ่ง รู้สึกเบื่อหน่ายชั้นเรียนและจำนวนน้อยกว่าครึ่งรู้สึกดีที่ได้ไปโรงเรียน ขณะที่ผลการสำรวจอีกชุดหนึ่ง ที่สำรวจในเด็กอายุ 14-15 ปี สรุปได้ว่า มีเพียง 33 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กผู้หญิงและ 20 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กผู้ชายที่พ่อแม่ผู้ปกครองตอบว่าเด็กมีความกระตือรือร้นที่จะไปโรงเรียน

จากผลสำรวจนักเรียน โดย แกลอัพ โพล (Gallup Poll) พบว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของนักเรียนประถมศึกษา เต็มใจไปเรียนและทำกิจกรรมที่โรงเรียน ในขณะที่ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษามีเพียง 44 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

ตารางด้านล่างนี้สะท้อนให้เห็นการเรียนการสอนและกิจกรรมในชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ เรียกได้ว่า ‘เป็นปฏิปักษ์กับสมอง’

ตารางการเรียนการสอนในชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ ‘เป็นปฏิปักษ์กับสมอง’

แบรนดอน บัสทีด (Brandon Busteed) กรรมการบริหารแกลอัพ เอดูเคชั่น (Gallup Education) กล่าวว่า

“ถ้าทำให้ระบบการศึกษาสำหรับเด็กและอนาคตของเราถูกต้อง จำนวนเด็กอยากไปโรงเรียนจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม แต่ละปีเด็กจะมีพัฒนาการในโรงเรียนดีขึ้น มีความกระตือรือร้นอยากไปเรียนมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง”

บัสทีดย้ำว่า แม้แต่เด็กที่ดูเหมือนมีความกระตือรือร้นในชั้นเรียนอยู่แล้ว แท้จริงเด็กเหล่านั้นอาจแค่มีแรงจูงใจที่ต้องการตอบสนองครูผู้สอนเพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย จะได้ไม่ต้องถูกจี้ถามในชั้นเรียนก็เป็นได้

จากข้อมูลที่ว่ามาทั้งหมด ดูเหมือนรูปแบบการเรียนการสอนในห้องเรียนจะสร้างการเรียนรู้ที่ผิดทางไปเสียหมด เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาในระบบการศึกษาหลายประเทศไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น

งานวิจัยเมื่อปี 2015 ซึ่งศึกษาเด็กนักเรียนชั้นมัธยมหลายแห่งย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า นักเรียนเก็บกดอารมณ์ที่มีต่อครูผู้สอน ผู้วิจัยกล่าวว่า

เมื่อครูผู้สอนอยู่ภายใต้แรงกดดันจากระบบประเมินประสิทธิภาพการสอนที่เริ่มนำมาบังคับใช้ ซึ่งกำหนดให้ครูต้องพิสูจน์ให้เห็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ตนสอนให้ได้ อีกทั้งมีการนำมาตรฐาน Common Core State มาใช้ โดยประกาศให้ครูต้องสอนเนื้อหาที่ท้าทายเด็ก

“บางทีพวกครูน่าจะคิดถึงการสร้างความเข้าใจและปรับปรุงการปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน วางเป้าหมายระยะยาวที่เอื้อให้เด็กแสดงอารมณ์และความรู้สึกได้ ซึ่งต้องแบ่งเวลาและพลังที่มีมาดูแลเอาใจใส่การเรียนรู้ของเด็กด้วย”

ด้าน ไดแอน ราวิช (Diane Ravitch)  อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการศึกษาแห่งอเมริกา กล่าวถึงตำราประวัติศาสตร์ที่ใช้ในชั้นเรียนมัธยมว่า

“ตำราสมัยนี้มีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างคือ แม้กำลังบรรยายสถานการณ์หรือช่วงเหตุการณ์สำคัญอยู่ก็ตาม เนื้อหากลับบรรยายไปแบบเรียบๆ ไม่มีความน่าสนใจ และไม่มีการเล่าเรื่องโดยใส่ความสนุกสนาน ผจญภัย หรือน่าตื่นเต้นเข้าไปเลย”

จากงานวิจัยที่เยอะเป็นภูเขาเลากาว่าด้วยเรื่องพัฒนาการทางสมองในวัยรุ่นที่กล่าวมาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า การเรียนในชั้นเรียนรวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่ทำกันอยู่ในโรงเรียนทั้งหลาย จำเป็นต้องถูกปฏิรูปใหม่อย่างจริงจังอย่างไม่ต้องสงสัย

เรียนรู้อย่างไรให้เหมาะกับพัฒนาการสมอง

การปฏิรูปการศึกษาระดับชั้นมัธยม ควรจัดแผนการเรียนการสอนโดยยึดเอาพัฒนาการสมองของวัยรุ่นเป็นแนวทาง หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ปกติสังคมมักมองวัยรุ่นในทางเลวร้าย มีมายาคติ ภาพจำ หรือคำพูดติดปากว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่อยากลองอยากเสี่ยงและคึกคะนอง แต่อีกด้านหนึ่งความอยากลองสิ่งแปลกใหม่และท้าทายในทางที่ดีอาจนำไปสู่การเรียนรู้ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวัยรุ่นอยากเป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูง เขาอาจเลือกเข้าแก๊งอันธพาล หรืออาจหันไปทำสิ่งดีๆ เช่น เข้าร่วมงานบริการสาธารณะเพื่อทำประโยชน์ต่อชุมชนแทนก็ได้ถ้ามีโอกาส

พฤติกรรมแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจที่ชักนำวัยรุ่นให้ลิ้มลองยาเสพติด สามารถเปลี่ยนให้นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงกระตุ้นตัวเด็ก ให้เด็กอยากเป็นผู้กำหนดเนื้อหาที่อยากเรียนในชั้นเรียนของตัวเองอย่างกระตือรือร้นก็ได้

ต่อไปนี้เป็น 8 ข้อเสนอแนะเพื่อปฏิรูปการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษา เพื่อสนับสนุนวัยรุ่นให้แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

หนึ่ง เปิดโอกาสให้เด็กเป็นผู้เลือก เพราะสมองส่วนหน้า (ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใช้ตัดสินใจ) กำลังเจริญเติบโตในวัยนี้ พวกเขาควรได้รับโอกาสให้ตัดสินใจเพื่อลองผิดลองถูกหลายๆ ครั้ง โดยไม่ถูกตีตราว่าสำเร็จหรือล้มเหลว แม้ว่าเรามักเห็นว่าวัยรุ่นหลงผิดหรือเลือกทางเลือกที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่นั่นก็เพื่อให้เขาได้เรียนรู้

สอง ให้เด็กค้นพบตัวเองโดยการทำกิจกรรม นักจิตวิเคราะห์ อิริค อิริคสัน (Erik Erikson) กล่าวว่า วัยรุ่นมีแรงขับทางจิต 2 ด้านที่ต่อสู้ขัดแย้งกันอยู่ภายใน ด้านแรกคือ แรงขับที่อยากสร้างตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งให้อยู่รอดในสังคม กับอีกด้านที่ผลักดันให้เกิด ‘ความสับสนในหน้าที่’ คือ ยังไม่รู้หน้าที่ทางสังคมและตัวตนที่แน่ชัดของตนเอง เพราะฉะนั้นการเรียนและกิจกรรมในชั้นเรียนช่วงมัธยมจึงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนได้สำรวจและแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา

สาม ให้เด็กเรียนรู้โดยการแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อน เพื่อนมีอิทธิพลต่อวัยรุ่น เพราะวัยนี้ให้ความสำคัญกับการเข้าสังคมกับเพื่อน

ครูผู้สอนต้องยอมลดการเรียนการสอนที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลางลงเสีย ไม่ว่าจะเป็นการเลคเชอร์หน้าชั้นเรียน การสอนจากตำรา ให้เด็กจดตาม แต่มุ่งเน้นให้เด็กในชั้นเรียนแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน เรียนรู้ด้วยการทำงานร่วมกัน (cooperative learning)

หรือใช้วิธีอื่นใดที่สนับสนุนให้นักเรียนได้แสดงความร่วมมือร่วมใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยกัน

สี่ ให้เด็กเรียนรู้โดยมีอารมณ์ความรู้สึกและสิ่งเร้าเป็นองค์ประกอบ (affective learning) โดยทั่วไปครูผู้สอนมักตอบสนองการแสดงออกของนักเรียนอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ หนึ่ง ไม่ใส่ใจกับอารมณ์ต่างๆ ที่เด็กแสดงออกมาในชั้นเรียน หรือมีการลงโทษหากเด็กไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ หรือ สอง ยอมรับอารมณ์เหล่านั้นและนำสิ่งที่เด็กแสดงออกมาประยุกต์ใส่ในกิจกรรรมหลักสูตร น่าเสียดายที่ครูส่วนมากมักจะเลือกแบบแรก

ห้า ให้เด็กเรียนรู้โดยการออกกำลังกาย ทุกวันนี้มีการเรียกร้องให้บรรจุกิจกรรมออกกำลังกายเข้าไปในการเรียนการสอน วิชาพลศึกษายังคงมีความสำคัญ ในอเมริกาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เพราะประชากรในวัยรุ่นกำลังเผชิญกับภาวะโรคอ้วน ซึ่งการออกกำลังกายเป็นการส่งเสริมสุขภาพ และทำให้ผู้ปฏิบัติมีสุขภาพทางใจที่ดีด้วย

หก ส่งเสริมให้เด็กมีสำนึก ตระหนักรู้และรู้จักความคุมตนเอง (metacognitive strategies)

ฌอง เปียเจต์ (Jean Piaget) นักประสาทวิทยาด้านพันธุกรรมชาวสวิส เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่กล่าวว่าเด็กวัยรุ่นช่วงอายุ 11-12 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีกระบวนการคิดแบบใหม่

เปียเจต์ เรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การปฏิบัติงานอย่างเป็นทางการ-formal operations’ โดยอธิบายว่า เป็นช่วงวัยที่เด็กสามารถ ‘คิดวิเคราะห์ความคิด’ ได้ เด็กจึงควรได้รับการส่งเสริมให้มีความตระหนักรู้และรู้จักควบคุมตนเอง

เจ็ด ให้เด็กแสดงออกผ่านศิลปะ ด้วยพลังความสามารถของวัยรุ่น วัยนี้จึงควรเป็นวัยแห่งการสร้างสรรค์และพัฒนาศักยภาพด้านศิลปะให้มากที่สุด แผงเส้นใยประสาท (corpus callosum) ที่แยกสมองออกเป็นสองซีกนั้น จะขยายจำนวนเพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวดในระหว่างช่วงอายุ 5-18 ปี

แผงเส้นใยประสาทมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสร้างสรรค์อยู่แล้ว การให้เด็กได้แสดงออกผ่านกิจกรรมด้านศิลปะเช่น วาดภาพ ปั้นเครื่องปั้น เล่นละคร เล่นดนตรี ถ่ายรูป และทำภาพปะติด เป็นการเรียนการสอนที่ช่วยเปิดช่องทางให้ศักยภาพของสมองส่วนลึกในวัยนี้ได้เบ่งบานออกไปสู่การแสดงตัวตนอย่างเหมาะสมและมีจิตสำนึกในสังคมของตน และนำไปสู่การช่วยส่งเสริมให้สมองส่วนหน้าและพัฒนาสมองส่วนลิมบิกให้สามารถรับส่งเกื้อกูลกันอย่างแข็งแกร่ง

และ แปด ให้เด็กออกไปเรียนรู้ในสถานการณ์จริง จากการทดสอบใน ‘สภาวะไร้แรงกระตุ้น’ (cold cognition context) พบว่าสมองเด็กวัย 15-16 ปี สามารถสั่งการด้านการจัดการได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ในทางกลับกันเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีปัจจัยทางอารมณ์ความรู้สึก และตัวกระตุ้นทางสังคมอื่นๆ มามีอิทธิพลต่อกระบวนการคิด (hot cognition context) ประสิทธิภาพในด้านการจัดการของสมองจะถดถอยลงอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นการสอนให้เด็กวัยรุ่นวางแผน บริหาร คิดจัดแจงล่วงหน้า ให้มีความยับยั้งชั่งใจและใช้ความคิดด้านการจัดการอื่นๆ จะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่อนุญาตให้เด็กทำไปตามสัญชาตญาณตนเอง

ให้เด็กได้คาดเดาสถานการณ์แปลกใหม่ รู้จักยับยั้งการตอบสนองทางอารมณ์ และการแสดงออกในบริบทที่มาจากสถานการณ์จริงอื่นๆ เพราะถึงแม้เราจะสามารถจำลองสถานการณ์ในชั้นเรียนขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่สามารถทดแทนประสบการณ์ตรงที่สามารถทำให้เด็กรับมือกับความซับซ้อนจริงในโลกปัจจุบันได้ทั้งหมด

ไม่ว่าจะคิดจากมุมไหน การเป็นครูผู้สอนของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ด้วยสังคมที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ในแต่ละวันครูต้องเจอนักเรียนที่ขาดแรงจูงใจในการเรียน ใจลอย คุยเล่นกับเพื่อนนอกเรื่อง หรือเอาแต่ส่งข้อความแชท บางคนอาจใช้ยาเสพติดหรืออยู่ในภาวะจิตบกพร่อง คงเป็นเรื่องมักง่ายเกินไปถ้าครูแค่แข็งใจกับสถานการณ์เหล่านี้และหลับหูหลับตาสอนต่อไปตามหลักสูตร โดยไม่หยุดคิดทบทวนว่าการเป็นวัยรุ่นในยุคนี้มีความยากและมีความหมายอย่างไรบ้าง

เมื่อเรามีความรู้อย่างลึกซึ้งถึงอนาคตปลายทางที่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นของวัยรุ่น กับโอกาสอีกมากมายที่ให้ได้ลองปรับจูน เพื่อกระตุ้นสมองของวัยนี้ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ครูผู้สอนสามารถดื่มด่ำกับด้านดีงามและพบความหมายในช่วงวัยอันแสนพิเศษนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้ได้เชื่อมั่นได้อย่างแท้จริงว่าครูผู้สอนสามารถเปลี่ยนชีวิตนักเรียนวัยรุ่นให้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงได้

อ้างอิง:
Thomas Armstrong. (2016). The Power of the Adolescent Brain Strategies for Teaching Middle and High School Students.

Tags:

Adolescent Brainพัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Learning Theory
    WILLING, FEELING, THINKING คือพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่วัย 0-21 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Adolescent Brain
    เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

เรียนรู้ตามอัธยาศัย “เรียนในเรื่องที่อยาก ถึงยากก็อยากลอง”
Learning Theory
20 December 2019

เรียนรู้ตามอัธยาศัย “เรียนในเรื่องที่อยาก ถึงยากก็อยากลอง”

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เด็กมีวิธีการเรียนรู้ ความชอบ ความสนใจ และแพชชั่น ไม่เหมือนกัน การจัดการเรียนรู้แบบ Personalized learning หรือ การเรียนรู้ตามอัธยาศัย จึงเข้ามาตอบโจทย์เหล่านี้

เพราะอิสรภาพที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ (autonomy) คือแรงขับที่นำไปสู่การเรียนรู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ และกล้าเผชิญกับความท้าทาย เด็กจะเข้าใจคุณค่า ความหมายของความรู้

การเรียนรู้ตามอัธยาศัย ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในหลักสูตร และมีรูปแบบชั้นเรียนดังนี้ 1.เรียนตามอัธยาศัย 20% 2.ทำโปรเจ็คต์ตามใจฉัน 3.ชั่วโมงสร้างอัจฉริยะ 4.เรียนรู้แบบสืบเสาะ ครูต้องถามจนได้คำตอบสุดท้าย

เรียนตามอัธยาศัย 20%

ทำโปรเจกต์ตามใจฉัน

ชั่วโมงสร้างอัจฉริยะ

เรียนรู้แบบสืบเสาะ ครูต้องถามจนได้คำตอบสุดท้าย

อ่านเนื้อหา การเรียนรู้ตามอัธยาศัย ในบทความฉบับเต็มได้ ที่นี่

Tags:

การเรียนรู้ตามอัธยาศัย(Personalized learning)เทคนิคการสอนGrowth mindset

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    SELF-TALK ในห้องเรียน GROWTH MINDSET: สอนเด็กฟังเสียงหัวใจ ฝึกแยกความคิดลบกับบวก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE
Voice of New Gen
19 December 2019

TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เรื่องเล่าที่ไม่ถูก pause จากสปีกเกอร์รุ่นเล็ก 11 คนTEDxYouth@Bangkok ปีที่ 2 ทั้งเรื่องการศึกษา นวัตกร บูลลี่ สิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ และ LGBT
  • เพราะเห็นว่าประเด็นเหล่านี้ถูก pause จากผู้ใหญ่ สังคม หรือกระทั่งกับคนในรุ่นเดียวกันเอง แต่ไม่ใช่กับเวทีนี้
  • ธีมของปีนี้จึงเป็น  Now Playing : เสียงของเด็กไทยที่กำลังพูด เล่าเรื่องแสดงออกทางความคิดอย่างอิสระ
ภาพ: TEDxYOUTH

ไม่ใช่แค่เชื่อว่า ‘เด็ก’ ทุกคนมีของ มีเรื่องเล่าที่ทรงพลังผ่านประเด็นที่เฉียบคม แต่เชื่อด้วยว่า ‘บริบท’ ที่แตกต่างของเด็กแต่ละคน ยิ่งส่งผลให้เรื่องเล่านั้นทรงพลังและอาจสร้างแรงบันดาลใจหรือเปลี่ยนวิธีคิดของชีวิตคนอื่นได้

นี่คือวิธีคิดของ พิ-พิริยะ กุลกาญจนาชีวิน คิวเรเตอร์หรือภัณฑารักษ์คัดสรรเรื่องเล่าบนเวที และเจ้าของไลเซนส์ TEDxBangkok จนนำมาสู่การจัด TEDxYouth@Bangkok เป็นปีที่ 2 วันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ C asean อาคาร CW Tower

ซึ่งปีนี้มาในธีม Now Playing เปรียบเสมือนเสียงของเด็กไทยที่กำลังพูด เล่าเรื่องแสดงออกทางความคิดอย่างอิสระ ‘อย่างไม่ถูก Pause’ – แม้ความเป็นจริงเสียงเด็กไทยจะถูกกด pause จากผู้ใหญ่ สังคม หรือกระทั่งกับคนในรุ่นเดียวกันเอง แต่ไม่ใช่กับเวทีนี้ 

และแม้สปีกเกอร์บนเวทีปีนี้จะมีเพียง 11 คน แต่เรื่องเล่าของพวกเขา (เชื่อว่า) มันคล้ายกับสิ่งที่เด็กราว 66 ล้านคน (ตามข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ) กำลังเผชิญขณะนี้

Now Playing จาก 11 Speaker

แนน-พินิฐนัน พรหมจันทร์: ตัวเลือก

แนนเป็นตัวแทนของเด็กๆ ที่มีปัญหาครอบครัว เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ต้องเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก หลายคนอาจคิดว่าเธอกำลังต่อสู้กับ ‘เสียงของคนกรุงเทพฯ’ ที่ตั้งคำถามว่าเด็กต่างจังหวัดอย่างแนนจะทำอะไรได้บ้าง แต่เปล่า แนนกล่าวบนเวทีอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เธอต่อสู้คือ ‘เสียงในหัวของตัวเอง’ มากกว่า และ ‘อาวุธ’ ที่เธอใช้สู้คือวิธีคิดที่บอกว่าเธอมีทางเลือก มีตัวเลือก และเธอเลือกได้ว่าจะคิดกับสถานการณ์ตรงหน้าในทุกๆ ช่วงชีวิตอย่างไร

“วัยรุ่นเป็นช่วงที่ต้องตัดสินใจอะไรมากมาย หนูว่าวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่สำคัญในแง่ที่เราจะพัฒนาทักษะเรื่องการตัดสินใจได้ แต่ถ้าเราถูกใครบางคน ใครหลายคนบังคับ ถูกระบบการศึกษาหรือสังคมตีกรอบให้เราทุกอย่าง การตัดสินใจของเรา (ตามสถิติ) 35,000 ครั้ง/วัน เราจะได้ตัดสินใจเองกี่ครั้งกัน”

ภูมิ-ภูมิปรินทร์ มะโน: เวทมนตร์

หลายคนรู้จักภูมิในฐานะเด็กมัธยมปลายที่ลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่เชื่อมั่นในระบบ เขาศึกษาเรื่องการ coding ด้วยตัวเองจนก้าวไปทำงานในซิลิคอนวัลเลย์ได้ แต่วันนี้ภูมิไม่ได้ขึ้นพูดบนเวทีด้วยเรื่องเล่านั้น แต่ขึ้นมาเล่าถึงกระบวนการหรือวิธีคิดของนวัตกรคนหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่าหากนักเรียนถูกฝึกให้คิดด้วยวิธีคิดอย่างนวัตกร (who, story, how, idea, test) เด็กคนหนึ่งจะกลายเป็น maker หรือนักสร้าง เป็นนักวิเคราะห์ และมีหัวใจเพื่อใส่ใจกับปัญหานั้นอย่างจริงจัง ทั้งหมดนี้ แม้เป็นวิธีคิดของคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งแต่ก็เปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นได้

“เมื่อไรที่เราเจอปัญหาเราจะไม่ซุกมันไว้ในพรม เราจะไม่ปล่อยมันไป แต่เราจะใช้เวทมนตร์ของตัวเองในการแก้ปัญหาด้วยวิธีของเรา ผมเชื่อว่า ‘การสร้าง’ เป็นเรื่องของทุกคน

“ผมเชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ถ้าเด็กไทยและทุกคนเอาทักษะที่ตัวเองมีไม่ว่าจะดาราศาสตร์ การเขียนโปรแกรม วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะเอามาแก้ปัญหาที่ตัวเองเจอในชีวิตประจำวันและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา ผมเชื่อว่าประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าน่าจะเปลี่ยนไปเยอะมาก”

รัน-รัญชน์ บูรพาชีพ: ใจเขาใจเรา

ประเด็นกลั่นแกล้ง (bully) ในโรงเรียนแทบจะกลายเป็นปัญหาคลาสสิกทั่วโลก รัญชน์ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยเลขหนึ่งนำหน้าหยิบประสบการณ์ส่วนตัวจากการถูกเหยียดเชื้อชาติในโลกออนไลน์แล้วขยายไปสู่การตั้งคำถามที่เด็ดขาดว่า ทั้งที่ทุกคนต่างเคยถูกเหยียดและรู้ทั้งรู้ว่ามันให้ความรู้สึกเช่นไร แต่เรากลับรับได้ขึ้นเรื่อยๆ และหลายครั้งก็กลายเป็นคนเหยียดคนอื่นเสียเอง?

“ผมเปรียบการเหยียดเหมือนหลุมทางเท้าหน้าบ้าน ครั้งแรกที่คุณเห็นมันคุณรู้สึกอย่างไร? โกรธ เศร้า เสียใจ กังวล? แต่สิ่งที่คุณทำได้ง่ายที่สุดคือเดินอ้อมและผ่านมันไป วันที่สอง สาม สี่ คุณก็ทำแบบเดิม เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดหรือไม่ก็เป็นเพราะคุณไม่คิดว่าคุณจะตกหลุมนี้ด้วยตัวเอง การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้หลุมตื้นแต่ทำให้หลุมลึกลงไปกว่าเดิม ซึ่งผมเรียกสิ่งนี้ว่าวงจรแห่งการเหยียดครับ (…) ทำให้การเหยียดเป็นเรื่องปกติ”

กิ๊ก-นิศาชล คำลือ: เดินทางไกล

หลายคนรู้จักกิ๊กในฐานะหนึ่งในทีม SPACETH.CO และประวัติส่วนตัวที่เธอลาออกจากโรงเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยเหตุผลในมุมนักลงทุนว่า ‘หากเห็นว่าบริษัทที่คุณจะลงทุนด้วยไม่ได้ให้ผลลัพธ์อะไรคืนมา คุณจะลงทุนหรือไม่?’ ซึ่งการลงทุนนั้นไม่ใช่แค่เงินทุนที่เสียไปแต่คือเวลา

กิ๊กไม่ได้เล่าการทำงานในมุม SPACETH.CO และความกล้าหาญและวิธีในการลาออกจากโรงเรียน แต่เล่าการเดินทางของเธอกับ ‘สัมภาระ’ ที่เธอแบกไว้อย่างเปิดเปลือย 

สัมภาระแรกคือความเกลียดชังและตั้งคำถามกับคนเป็นแม่ที่ตัดสินใจให้เธออยู่กับยายในช่วง 10 ปีแรกของชีวิต แต่เธอทำงานกับตัวเองและโยนก้อนแรกออกไปจากเป้สำเร็จได้ตั้งแต่วัย 10 ขวบ ส่วนหินอีกก้อนคือก้อนแห่งความเกลียดชังที่มาจากการคุกคามทางเพศในโลกออนไลน์ ปัญหาคือแม้เธอสามารถให้อภัยผู้กระทำได้หมดแต่ก็ยังทุกข์และเศร้า สุดท้ายเธอค้นพบว่าที่ยังติดในความเศร้านั้นก็เพราะเธอ… ไม่ได้ให้อภัยตัวเอง

“เราอยากบอกทุกคนว่า พวกคุณเองก็เป็นนักเดินทางเหมือนกันนะ เราไม่รู้หรอกว่าการเดินทางของคุณเป็นรูปแบบไหน ที่ผ่านมาการเดินทางคุณเจออะไรบ้าง ไม่รู้ว่าในเป้สัมภาระของคุณเก็บหินไว้กี่ชิ้น แต่เราจะบอกคุณนะ หลังจากนี้ที่คุณได้ฟังเรา เราขอให้คุณเดินทางด้วยความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจสัมภาระ เข้าใจตัวคุณเอง”

ป๋อ-ธีรชาติ ชัยมงคล: เริ่มใหม่

ป๋อคือตัวแทนของวัยรุ่นทั่วไปที่เคยเกเร ติดบุหรี่ติดเหล้าตั้งแต่ 9 ขวบ และเจอความท้าทายมากมายในช่วงวัยรุ่น เขาเล่าอย่างติดตลกแต่แฝงความจริงว่า ‘ความเท่’ ที่วัยรุ่นทั่วไปยอมรับก็คือภาพการพ่นควันออกจมูก การต่อสู้เพื่อมิตรภาพและศักดิ์ศรี รวมทั้งการตกหลุมรักในวัยหนุ่มสาวนั่นก็ด้วย ทั้งหมดนี้มองให้เป็นเรื่องธรรมดานั่นก็คือชีวิตแห่งวัยรุ่นและการได้รับการยอมรับ แต่ป๋อโชคดีที่เข้าใจว่าเขาต้องการได้รับการยอมรับแบบไหนและจากใคร ได้เร็วและทันเวลา

“วันนั้นผมโทรหาแม่และบอกทุกอย่างให้แม่ฟัง ผมคิดในใจว่าประโยคที่ผมอาจได้ยินจากแม่หลังจากนี้คงทำให้ผมเสียใจตลอดชีวิต เพราะคงไม่มีครอบครัวไหนรับได้ หรือภูมิใจกับลูกที่ติดเหล้าและสูบบุหรี่ตั้งแต่ 9 ขวบ และทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ผมคิด แม่เงียบกริบ เงียบเหมือนทั้งบ้านไฟดับ ผ่านไปประมาณ 2-3 นาทีแม่ผมก็พูดว่า ‘ไม่ว่าลูกจะทำอะไร จะเป็นอะไร ลูกก็ยังเป็นลูกของแม่เสมอ’ สำหรับคนอื่นอาจฟังดูเฉยๆ แต่สำหรับผมคือประโยคที่ทำให้เข้าใจ ‘การยอมรับ’ มากที่สุด”

ลิลลี่-ระริน สถิตธนาสาร: Change for Better

ในช่วงที่ เกรตา ธุนเบิร์ก ลุกขึ้นมาโปรเจ็คต์ชวนเด็กจากทั่วโลกมาทำ #SchoolStrike ทุกๆ วันศุกร์เพื่อต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อม ภาพของระรินที่ออกไป take action ในเรื่องนี้ ตั้งแต่คุยกับคนทำนโยบาย คุยกับชาวบ้าน ทำโปรเจ็คต์ในโรงเรียน และอื่นๆ ก็ปรากฏในภาพสื่อบ้านเราเช่นกัน แต่ใครจะรู้ว่าเธอสนใจและทำงานอย่างจริงจังในเรื่องนี้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบและทำมายาวนานตลอด 4 ปี

ระรินขึ้นพูดบนเวที เล่าเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะเธอไม่เข้าใจว่าตราบที่เรื่องถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งยังมีปัญหา สิ่งแวดล้อมมีปัญหา และมันแก้ไขได้ด้วยวิธีสร้างสรรค์หลายอย่างเพียงคนลุกขึ้นมาจัดการ ทำไมจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

“It’s wasn’t enough for me to just talk about it, to just pick up trash in the beach and to just use my reusable bags to stores every time  we go to shop. So I had to change my anger into action and that’s what I did.”

เวโรนิก้า: โลกสองใบ

เวโรนิก้า ตัวแทนของกลุ่ม LGBTQ+ ขึ้นพูดและแสดง Drag บนเวที เล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่หาทางออกให้กับความฝันที่จะกำหนดเพศของตัวเอง กับความคาดหวังที่ผู้ปกครองอยากให้เธอเป็นตามเพศกำเนิด

การแสดงของเวโรนิก้าเล่าผ่านการอ่านไดอารี ย้อนไปในแต่ละจุดเวลาสำคัญของชีวิต ตั้งแต่วันที่เริ่มรู้ว่าชอบและมีความฝันอยากเป็นเพศไหน วันที่ครอบครัวค้นพบ วันที่ต่อรองกับที่บ้านจะขอเป็นเพศตามที่ใจเลือก วันที่พบว่าครอบครัวไม่พร้อมจะต่อรองกับเงื่อนไขที่เธอเสนอ จนวันนี้เธอตัดสินใจจะใช้ชีวิต ‘สองโลก’ โลกที่หนึ่งคือโลกตามความฝัน โลกที่สองคือความจริงแบบที่ครอบครัวอยากให้เป็น

ซึ่งนี่อาจเป็นความจริงอันเจ็บปวดอย่างที่เด็กหลายคนกำลังเผชิญและหาทางออก

“ทุกคนอยากจะมีโลกแค่ใบเดียว โลกที่สามารถเป็นตัวเอง โลกที่สามารถมีความสุขในทุกเมื่อ”

ใบเฟิร์น-ชมพูนุท คำบุญเรือง: เท่าไหร่ถึงจะพอ

เด็กสาววัยมัธยมต้นที่เคยมีปัญหากับเกรด 3.99 แม้จะเรียกเสียงหัวเราะปนเอ็นดูจากคนในฮอลล์ว่าเหตุใดใบเฟิร์นจึงเสียใจที่คะแนนหายไป 0.01 แต่เธอบอกว่าเหตุการณ์จริงนั้นไม่ขำเลย เพราะเบื้องหลังความเสียใจมันมาจาก ความกดดัน ความคาดหวัง และการเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นเสียงจากคนรอบตัวที่ได้ยินตลอดมา

มากไปกว่าเกรด 3.99 มันคือการถูกผลักให้ต้องปีนยอดเขาเพื่อไปหาความสมบูรณ์แบบ เมื่อพิชิตยอดเขาลูกที่หนึ่งได้ก็ตามมาด้วยการปีนไปยังลูกที่ 2, 3, 4 นอกจากความเหน็ดเหนื่อย มันคือการตั้งคำถามว่านี่คือเส้นทางที่เธออยากเดินและอยากเหนื่อยเพื่อมันจริงหรือเปล่า

ใบเฟิร์นเชื่อว่าเธอไม่ได้ถูกผลักอยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนๆ อีกหลายคนที่ถูกคนในบ้านผลักดันในนาม ‘ความรัก’ และ ‘ปรารถนาดี’ อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งเธออยากส่งเสียงว่า …พอเสียที

” ‘ถ้าทำไม่ได้จะผิดหวังมากนะ’ ‘ทุ่มให้ขนาดนี้ทำไมถึงทำไม่ได้’ นี่เป็นแผลที่ (คนอื่น) สร้างให้กับหนูมาโดยตลอดแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม แต่ก็เป็นแผลที่อยู่ตามร่างกายและจิตใจ เป็นแผลที่หนูต้องรักษาเอง ถูกแล้วเหรอที่หนูต้องมารักษาแผลด้วยตัวเอง จะดีกว่าไหมถ้ามันไม่มีแผลตั้งแต่แรก ถ้าไม่มีแผลคงตามมาด้วยความสุข การได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และจาก toxic expectation อาจกลายเป็น positive expectation ที่จะไม่ทำลายตัวเราเองเลยก็ได้”

เดี่ยว-ธงชัย อัชฌายกชาติ: คำถามที่ต้องการคำตอบ

เดี่ยวคือ geek วิชาประวัติศาสตร์ที่เปิดตัวบนเวทีว่าเขาคือนักเรียนโอลิมปิกวิชาประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่สนใจประวัติศาสตร์ก็เพราะพ่อแม่เล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังเสมอตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่ได้ขึ้นมาเล่าว่าเขาชอบประวัติศาสตร์ได้อย่างไร แต่มาเล่าประวัติศาสตร์โลกฉบับย่นย่อที่ผูกว่าสาระพวกนี้สำคัญต่อมนุษยชาติอย่างไร และทำไมเราจึงควรรู้มัน 

ใจความเด็ดของเดี่ยวคือ เราศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อตั้งคำถาม วิพากษ์ โต้แย้ง เพราะหากขึ้นชื่อว่าประวัติศาสตร์ นั่นหมายถึงการถูกเล่าและเขียนขึ้นด้วยชนชั้นนำและผู้ที่ชนะ ไม่มีหลักฐานโต้แย้งเชิงบุคคล มันจึงเป็นศาสตร์แห่งการวิพากษ์และท่องจำ ประวัติศาสตร์จึงควรเป็นพื้นที่เปิด ไม่มีข้อผูกมัด ฝึกการวิจารณ์และรับคำวิจารณ์ได้

เดี่ยวพูดคล่องราวแสดงเดี่ยวไมโครโฟนจนได้รับเสียงปรบมือกึกก้องยามไฟเวทีดับ อันเป็นสัญญาณว่าเวลาของเขาจบลงแล้ว ก่อนที่เดี่ยวจะเดินกลับมาถามผู้ชมในฮอลล์ว่า “ทุกคนเชื่อกันหมดใช่ไหมครับว่าผมคือนักเรียนโอลิมปิกวิชาประวัติศาสตร์?” ก่อนที่เขาจะเฉลยด้วยใบรางวัลชมเชยระดับเหรียญทองการแข่งขันสุนทรพจน์ (ทักษะภาษาญี่ปุ่นระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานครและภาคตะวันออก) 

เดี่ยวลาเวทีจริงๆ ด้วยการบอกว่า “นี่แหละคือสาระของวิชาประวัติศาสตร์ การตั้งคำถาม”

“รู้จักชุมชนมอญไหมครับ? หลายคนอาจจะบอก ‘อ๋อ พม่าใช่ไหม?’ ขอโทษนะครับ บ้านผมอยู่นนทบุรี ที่นี่มีชุมชนมอญที่ตั้งหลักปักฐานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว แต่ทำไมเรื่องเหล่านี้กลับไม่ค่อยมีคนรู้? ทำไมไม่มีใครสามารถออกมาพูดเรื่องนี้ได้ เราจะกล้าพูดได้อย่างไรว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดกว้าง?

“วิชาประวัติศาสตร์ควรเป็นพื้นที่เปิดให้นักเรียนและครูได้แลกเปลี่ยนความคิดกันเพราะคนในยุคนั้นก็ไม่ได้อยู่ในตอนนี้แล้ว เด็กจะคิดได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเพราะมันไม่มีข้อผูกมัดอะไร และเมื่อเด็กได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับครู เด็กก็จะเริ่มพัฒนาตัวเอง เด็กจะวิจารณ์และรับคำวิจารณ์ได้ดีมากๆ”

ฮับ-เหมวิช วาฤทธิ์: Start to Listen

เด็กไทยเพียงคนเดียวที่ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายโครงการ Google Science Fair กับโปรเจ็คต์ ‘Earz’ เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน โดยความฝันของฮับคือการวางขาย Earz ในราคาจับต้องได้และเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้มีปัญหาทางการได้ยิน ซึ่ง… ทั้งหมดนี้เขาตั้งใจทำมันมาตั้งแต่อายุ 11 ปี ปัจจุบันอายุ 14 ปี 

ฮับไม่ได้ได้รับโอกาสนี้ง่ายๆ กลับกัน เรื่องเล่าบนเวทีของเขาคือการ ‘เฟลด์’ มาหลายครั้ง เขาบอกว่าในวัยสิบขวบต้นๆ เขาต้องพบกับการอกหักตั้งแต่การพัฒนาเครื่องแล้วล้มเหลว การขอเงินทุนแล้วไม่ได้ดั่งหวัง การพาตัวเองเข้าโครงการ Google Science Fair แต่ต้องต่อสู้เพื่อพัฒนาตัวโปรเจ็คต์ แต่ทั้งหมดนี้เขาผ่านมาได้เพราะกำลังใจจากคนในครอบครัว และการตั้งคำถามกับตัวเองว่าเขายังเชื่อมั่นในโปรเจ็คต์ของตัวเองอยู่หรือเปล่า ถ้ายังเชื่อ เขาไม่ควรให้การสะดุด ‘ก้อนหิน’ เพียงไม่กี่ครั้งมาทำให้เขาไม่ลุกขึ้นสู้ต่อ

ฮับบอกว่า สิ่งสำคัญในการต่อสู้ของเขาคือ passion และ การลงมือทำ เพราะต่อให้ล้มอีกกี่ครั้ง ถ้าเขายังมีสองสิ่งนี้อยู่ เขาจะต่อสู้กับมันได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“So if you are not prepared to be wrong, you will never come up with anything original because when you get older, you may become frightened of being wrong.”

“Ideas are not for dreaming, it’s for doing”

อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์: โชคชะตาที่กำหนดเอง

หลายคนรู้จักเขาในฉายาโอซีอุส (Ozeeoos) แรปเปอร์สายตาพิการที่แต่งเพลงจีบหญิงตั้งแต่ ป.2 ที่มีผู้ติดตามในยูทูบเบอร์ราวสองแสนคน อำนาจขึ้นพูดบนเวทีเล่าการเดินทางมาเป็นแรปเปอร์ชื่อดังในวันนี้ว่าต้องผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งคำพูดเชิงดูถูกอันเนื่องจากความพิการ และคำพูดที่คนทั่วไปคิดว่าธรรมดาและพูดได้แต่คิดให้ดีแล้วคำพูดเหล่านี้ไม่ต่างกับคำดูถูก เช่น “ดูสิ ขนาดตาบอดยังทำ…ได้เลย แล้วทำไมคนปกติถึงจะไม่ทำ”

อำนาจบอกว่าเขาเป็นผู้พิการทางสายตาก็จริงอยู่ และก็เพราะประสบการณ์แบบนั้นทำให้เขาเป็นโอซีอุสในวันนี้ 

“จริงๆ แล้วผมไม่ต้องรู้สึกต่อคำพูด (เชิงดูถูก) พวกนี้ก็ได้ แต่ว่าผมดันรู้สึก ไอ้บ้านี่มันยังดันรู้สึกว่าอยากสร้างคุณค่าให้ตัวมันเอง ยังรู้สึกว่ามีอะไรที่อยากทำ ยังมีความฝันที่อยากไป ยังมีจุดหมายที่อยากไปถึง ผมไม่สนใจครับ ผมจะแบกความฝันของผม ทลายกรงและกรอบที่คนอื่นบอกว่าผมเป็นอย่างนี้ ผมต้องทำอย่างนี้ และออกไปสร้างสิ่งที่ผมต้องการเอง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแต่ผมดีใจทุกครั้งที่ได้ทำ”

และทั้งหมดนี้อาจบอกได้ว่า ทำไมเราจึงควรลบมายาคติแห่งคำว่า ‘เด็ก’ ทิ้งไป เพราะเสียงและเรื่องราวจากสปีกเกอร์ทั้ง 11 คน ไม่ใกล้เคียงกับ ‘ความคิดของเด็ก’ ในมุมที่ผู้ใหญ่คาดหวังว่าจะมาจากพวกเขาเลย

นิยามว่า ‘เด็ก’ หรือไม่ คงไม่ได้มาจากอายุเสียแล้ว

3
อีกหนึ่งความน่าสนใจของงานคือนิทรรศการและกิจกรรมที่จัดให้ผู้เข้าชมได้ไปแลกเปลี่ยนส่งเสียงทั้งความอึดอัดคับข้องในการเป็น ‘เด็ก’ ที่ถูกกด pause ในประเด็นต่างๆ และชวนส่งเสียงถึงกิจกรรมโดยเยาวชนที่คิดว่าเป็นข้อดี สร้างสรรค์ หรือส่งต่อกำลังใจจากวัยรุ่นถึงวัยรุ่น โดยแบ่งเป็น 7 ด่านดังข้อมูลข้างล่าง และขีดเส้นใต้เอาไว้ว่านิทรรศการทั้งหมดนี้จัดทำขึ้นโดยเยาวชนทั้งหมดเลย





กิจกรรมหน้างานมีดังนี้

1. Whose Voice: ห้องลับที่ให้เข้าไปฟังคำพูดและเดาว่า เจ้าของความคิดเป็นใครกันนะ วิธีคิดที่จริงจังและก้าวหน้าแบบนี้ เป็นของเด็กหรือผู้ใหญ่กันแน่
2. Your Current Track: ปัญหาคลาสสิกของการเป็นวัยรุ่นคือการทะเลาะกับคนที่บอกว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่ที่ทะเลาะเป็นเพราะอะไรกันนะ ด่านนี้ทำหน้าที่ชวนผู้มาร่วมงานร่วมกันโหวตว่า คนแต่ละรุ่นให้คุณค่ากับเรื่องอะไรมากที่สุด ซึ่งสุดท้ายโพลนี้อาจทำให้ความเข้าใจระหว่างคนแต่ละรุ่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น
3. The Unheard Track: ฟังเสียงของเยาวชนไทยว่าพวกเขาอยากบอกอะไรกับสังคม
4. Chat to Share: ชวนคนมาร่วมวงสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและใครจะรู้ มันอาจนำมาซึ่งไอเดียดีๆ อีกมาก
5. Playlist of School: บอร์ดที่ให้คนในงานมาแชร์ว่าความหมายของคำว่า ‘โรงเรียน’ ของแต่ละคนเป็นอย่างไร
6. Dream & Do: บอร์ดที่ชวนคนมางานมาเขียนความฝันของตัวเอง และให้คนที่มางานช่วยเขียนคำแนะนำต่อความฝันนั้นๆ
7. Grab & Go: บอร์ดที่ส่งต่อวิธีการช่วยเหลือสังคมตามหัวข้อที่สนใจ เช่น ปัญหาคนพิการ คนชรา ปัญหาการศึกษา

Tags:

อีเวนต์ประวัติศาสตร์วัยรุ่นนวัตกรรมกลั่นแกล้ง(bully)สิ่งแวดล้อมเพศTED Talks

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Voice of New Gen
    การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Voice of New Gen
    GIRL’S SECRETS: เปลี่ยนความลับเป็นนวัตกรรม เพราะประจำเดือนไม่ใช่เรื่องต้องปิด

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Social Issues
    กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

    เรื่อง The Potential

หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร
Voice of New Gen
19 December 2019

หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • คุยกับ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร ที่หลายๆ คนให้ฉายาว่า ‘เกรตา ธุนเบิร์ก เมืองไทย’ แต่รู้ไหม ลิลลี่บอกว่า “อยากให้เรียกหนูด้วยชื่อหนูมากกว่า”
  • การคุยครั้งนี้ คือการคุยถึงโลกอีกใบของเด็กหญิงวัย 12 ปีคนหนึ่ง ซึ่งบอกว่าตัวเองคือเด็กผู้หญิงธรรมดา ชอบแต่งหน้า เต้น และมักจะด่วนตัดสินคนอื่น ซึ่งไม่ดี และเธอก็ยอมรับ
  • เร็วๆ นี้ลิลลี่วางแผนจะเรียนโฮมสคูลและออกเดินทางรอบโลก เพราะการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลก สำหรับเธอ คือสิ่งจำเป็น
เรื่อง: อรสา ศรีดาวเรือง
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

ใครๆ ก็ชอบเรียก ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร ว่า เกรตา ธุนเบิร์ก เมืองไทย แต่ถามว่าชอบไหม อยากให้เรียกว่าอะไร ลิลลี่บอกว่า “อยากให้เรียกชื่อหนูมากกว่า” 

คุณแม่ตะโกนมาว่าชื่อระริน มาจาก guardian ตนหนึ่งซึ่งอยู่ในป่า และคิดชื่อนี้มาตั้งแต่ลิลลี่ยังอยู่ในท้อง 

จริงอยู่ ความสนใจใส่ใจสิ่งแวดล้อมในระดับฮาร์ดคอร์จะทำให้สปอตไลท์แทบทุกดวงส่องมาที่ลิลลี่แค่ด้านนี้ แต่ในความเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาวัย 12 ปีคนหนึ่ง ลิลลี่บอกว่าชอบเต้น เวลาว่างชอบแต่งหน้า อยากเรียนต่อด้านจิตวิทยา และเวลานั่งคุยก็ชอบนั่งเก้าอี้ที่หมุนได้มากกว่าตัวบุหนังนั่งสบาย

ลิลลี่บอกว่าหนูชอบคุยไป หมุนไป ไม่น่าเบื่อดี 

ลิลลี่ไม่ชอบอยู่กับที่ และจะดีใจมากกว่าถ้าคนทั่วไปจะเรียกว่า ลิลลี่ ไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก เมืองไทย

ที่ผ่านมาการทำงานรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบถึงการเรียนบ้างไหม

แน่นอนค่ะ แต่หนูพยายามเรียนให้หนักมากขึ้น ตามเพื่อนให้ทันเท่าที่จะทำได้ 

พยายามเรียนให้หนักมากขึ้น ลิลลี่ทำอย่างไรคะ

โดยปกติ ถ้าหนูโดดเรียนช่วงเช้า ก็จะขอตามจากเพื่อนๆ ให้ส่งเนื้อหามาให้ หรือไม่ก็อ่านเองมากขึ้น อ่านในสิ่งที่ไม่ได้เรียน พยายามตามให้ทันเพื่อนๆ 

ใช้เวลาช่วงไหน

กลางคืนกับเสาร์อาทิตย์ค่ะ 

วิชาไหนที่ลิลลี่ชอบมากที่สุด 

วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภาษาอังกฤษ

ถามถึงวิชาวิทยาศาสตร์ ทำไมถึงชอบ ชอบมานานแค่ไหน

เอาจริงๆ เลยนะคะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มชอบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หนูสนใจในสิ่งที่ different (แตกต่างกัน) ที่เกิดขึ้นในโลก

ที่พูดบนเวที Ted Talk ที่ผ่านมา ลิลลี่เล่าเรื่องความยากลำบากและอุปสรรคในการติดต่อผู้ใหญ่ในห้างร้าน องค์กรต่างๆ เรื่องรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม อยากให้อธิบายว่าเป็นอย่างไร 

มีอุปสรรคเยอะมากเข้ามาขัดขวาง เวลาหนูโทรไป เขาก็จะถามกลับว่า นี่หนูกำลังทำการบ้านอยู่ใช่ไหม ทำไมหนูถึงเอาเวลามาทำเรื่องนี้ หนูควรอยู่ที่โรงเรียนและทำการบ้านมากกว่านะ 

จากสิ่งที่เขาทำ มันทำให้หนูรู้สึกโง่และรู้สึกแย่ 

แต่หนูก็ยังทำต่อเพราะมันทำให้หนูรู้สึกดีขึ้นมาเวลาหนูได้พยายามมากขึ้น 

หนูยังจำได้ ครั้งแรกที่หนูติดต่อ หนูกลัวมาก ตอนหนูเดินเข้าไปแล้วแนะนำตัวเอง แต่มันก็จัดการยากมากๆ เช่นกัน เวลาหนูคิดว่าทำดีไม่พอ หนูก็จะพยายามให้มากขึ้นในครั้งต่อไปจนหนูรู้สึกว่าโอเค 

แนะนำตัวไปว่าอย่างไร (ทางโทรศัพท์)

ง่ายที่สุด ก็ สวัสดีค่ะ หนูชื่อลิลลี่ และหนูก็อธิบายเหตุผลที่ต้องโทรมาไป 

หนูจะใช้วิธีสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ และคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “ถ้าเราทำผิด พูดผิด มันไม่สำคัญ​เพราะอย่างน้อย เราก็ได้สื่อในสิ่งที่ต้องการแล้ว และทุกคนก็จะบอกว่า โอเค ไม่ต้องเป็นห่วง ความผิดพลาดมันเป็นเรื่องปกติ 

เคยท้อหรือล้มเลิกไหม 

ตอนนี้มีปัญหาค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะกิจกรรมต่างๆ ที่มันกดดันมากๆ เพราะหนูไม่ได้ไปโรงเรียน พลาดบทเรียน ไม่ได้สอบ อุปสรรคเหล่านี้มันทำให้หนูรู้สึกว่าไม่อยากทำต่อแล้ว แต่หนูก็ทำไม่ได้ เพราะมันคือความรับผิดชอบ มันคืองานของหนู 

หนูคิดว่า ถ้าหนูไม่เสียสละบางอย่าง ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันอาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้หนูทำต่อไป

การเป็นที่รู้จัก ทำให้ลิลลี่กดดันมากขึ้น?

ใช่ค่ะ เพราะคนคาดหวัง โดยเฉพาะตอนหนูขึ้นพูดเพื่อชวนคนให้มาเห็นความสำคัญด้วยกัน หนูไม่อยากได้ความคาดหวัง หนูแค่อยากจะพยายามมากๆ เพื่อทำสิ่งนี้ 

มันหนักเกินไปสำหรับเด็กอายุ 12 ไหม

ใช่ค่ะ แต่หนูทำได้ มันยาก (พูดย้ำ) แต่แม่ก็สนับสนุนหนู แม่ช่วยทุกอย่าง เพื่อนๆ ก็ช่วย เราจะนัดประชุมกันเดือนละครั้ง ทุกวันพฤหัส เพื่อทำงานสิ่งแวดล้อมของเรา ในกลุ่มมี 6 คนก็แบ่งงานกันไป chief manager, chief information officer, chief connection officer ฯลฯ  ส่วนแม่หนูเป็น CEO (หัวเราะ)

มีเวลาว่างบ้างไหม 

มีค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงบ่าย ตอนกลางคืน วันอาทิตย์บ้าง หนูจะอาบน้ำ ดูทีวี (เสียงคุณแม่แทรกว่า ชอบดูคลิปสอนทำอาหารทางยูทูบ) หนูชอบแต่งหน้า บางครั้งก็เต้น เวลาว่างหนูทำหลายอย่างค่ะ (ยิ้ม)

ทำไมถึงชอบแต่งหน้ากับเต้น

หนูชอบแต่งหน้าเพราะไม่ชอบความสวยแบบทั่วไป (formal) แต่หนูสนใจการศิลปะ ระบายสี การแต่งหน้าของหนูมันคืออย่างนั้น ส่วนการเต้น มันคือการแสดงออกความรู้สึก และดึงตัวเองออกมา และการได้เต้นกับเพื่อนๆ มันสนุกมากๆ เลยค่ะ

ระหว่างการเต้นกับพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ลิลลี่คิดว่าทำแบบไหนได้ดีกว่ากัน

หนูคิดว่าทั้งคู่ค่ะ แต่คิดว่าการพูด น่าจะง่ายกว่า 

ทำไมถึงชื่อลิลลี่

(คุณแม่) ระริน คือ น้ำเย็นของสรวงสวรรค์ ลิลลี่เป็นชื่อของ gardian ด้วยความตั้งใจที่ว่าทุกคนเกิดมาจากธรรมชาติ ไม่อยากให้เขาลืมว่าเขามาจากไหน

ลิลลี่: หนูไปค้นและเจอว่าเป็นนางฟ้าของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ด้วย มันเกี่ยวกับการสร้างและก่อเกิดธรรมชาติ 

สำหรับลิลลี่การที่เรียนในห้อง กับ เรียนนอกห้อง ต่างกันอย่างไร 

ในห้องเรียน เราก็ต้องนั่งเรียนในห้อง ฝึกการฟังและทบทวนเนื้อหาในห้อง แต่การเรียนนอกห้อง เราสามารถฝึกการใช้ชีวิตจริงๆ การอยู่ข้างนอกมันคือการทดลอง แต่ในโรงเรียนคือการสอนให้รู้ มันยังมีห้องให้พักผ่อน แต่ข้างนอกคุณได้พูด ได้ไป ได้ทำในเรื่องที่หลากหลาย

อย่างหนูไปเข้าค่าย พายเรือเก็บขยะ คุณเห็นการปนเปื้อน เห็นวิธีการจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่แตกต่างกันในหลายๆ ประเทศ หลายๆ หน่วยงาน เห็นวิธีที่เขารีไซเคิลพลาสติก 

แต่หนูคิดว่าตอนนี้การเรียนในห้องก็ยังมีประโยชน์ เพราะครูเตรียมความรู้ให้เยอะมาก หนูรู้สึกดีกว่าถ้าได้เรียนเรื่องพื้นฐานให้แน่นก่อนในโรงเรียน 

เวลามีคนเรียกหรือเปรียบเทียบกับเกรตา ธุนเบิร์ก ลิลลี่รู้สึกอย่างไร 

หนูเจอคำถามนี้บ่อยมาก (หัวเราะ) เราเป็นคนละคนกันแต่เรามีเป้าหมายเหมือนกัน เกรตาคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโลกที่เป็นแอคทิวิสต์ เวลาที่คนเปรียบเทียบหนูกับเขา หนูชอบให้เรียกว่าลิลลี่มากกว่าเกรตา 

เวลาลิลลี่ไปคุยกับผู้ใหญ่ เอาอะไรไปด้วยบ้าง 

มันขึ้นกับว่าหนูไปที่ไหน สิ่งที่พกไปแน่ๆ คือความคิดและความเห็นของหนู ถ้าหนูไปกระทรวงฯ​ ก็จะไปคุยประมาณว่า หนูเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง และเราทำอะไรได้บ้าง 

เซเว่นอีเลฟเว่น ประกาศไม่แจกถุงพลาสติกแล้ว สำหรับลิลลี่ มันพอหรือยัง

มันคือการเริ่มต้นที่ดี เพราะความสำเร็จยิ่งใหญ่ควรเริ่มจากการแบนถุงพลาสติก การที่คนไทยมีแคมเปญนี้หนูรู้สึกแฮปปี้ 

ทำไมเรื่องสิ่งแวดล้อมเด็กทำถึงดูเวิร์คกว่าผู้ใหญ่ 

หนูคิดว่าเพราะเด็กแสดงออกมากกว่า เราเปิดรับไอเดียใหม่ๆ ได้มากกว่า แต่เราก็ยังเป็นเด็ก เรากำลังเรียกร้องให้ผู้ใหญ่จัดการปัญหาใหญ่ๆ นี้ ที่เรายังทำเองไม่ได้ 

(แม่) มันจะเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเด็กด้วย ผู้ใหญ่อาศัยอยู่ในโลกนานกว่า ควรจะรู้สึกผิด และเมื่อเด็ก (คนที่มาที่หลังและไม่ได้เป็นคนก่อ) พูด ผู้ใหญ่ควรฟัง พอเด็กมาพูดก็เลยรู้สึกว่ามันสำคัญ 

ข่าวอะไรบ้างที่ทำให้ลิลลี่รู้สึกแย่

จริงๆ คือทุกเรื่องเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องล่าสุด ไฟป่าในออสเตรเลีย ทำไมเราถึงทำให้สัตว์ป่าตายเยอะขนาดนี้ มันน่าเศร้ามาก (ทำเสียงเศร้าจริงๆ) 

รู้สึกอย่างไรกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มันก็เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ 

เรามัวโฟกัสไปแต่ปัญหาเล็กๆ โดยไม่ได้มองภาพใหญ่ ซึ่งภาพใหญ่ มันกำลังจะตาย เราจึงต้องหยุดทำในสิ่งผิด ลด ละ เลิก ทั้งหมด ตอนนี้มันอาจจะสายไปแล้ว แต่เราก็ต้องพยายามต่อไป 

คิดหรือวางแผนอนาคตไว้หรือยัง

คิดแล้วค่ะ พอเรียนจบมัธยมต้น อายุ 15 หนูก็จะเรียนโฮมสคูล เดินทางไปทั่วโลกอย่างที่หนูฝันไว้ และเมื่อหนูเข้ามหาวิทยาลัย หนูอยากเรียนต่อด้านจิตวิทยา และตอนนี้หนูกำลังทำตามแผนนี้อยู่ 

ทำไมถึงอยากเดินทาง 

หนูคิดว่าการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลกเป็นสิ่งจำเป็น หนูถึงอยากเรียนโฮมสคูล

หนูคิดว่าแม่ต้องการให้หนูเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้างอยู่รอบๆ ตัวเรา และหนูก็อยากเรียนสิ่งที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และประวัติศาสตร์ทั่วโลก 

แล้วเพราะอะไรถึงอยากเรียนต่อด้านจิตวิทยา

หนูอยากรู้ว่าคนคิดอย่างไร เพราะอะไรเขาถึงคิดแบบนี้ และมีวิธีไหนบ้างที่หนูจะช่วยเหลือคนอื่นได้ และเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่สับสน หนูก็พร้อมที่จะเข้าใจเขา

แล้วจิตวิทยาจะไปเกี่ยวข้องหรือช่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรบ้าง

หนูสนใจวิธีคิดของคนจริงๆ หนูคิดว่าวิวัฒนาการการคิดของมนุษย์ตั้งแต่สมัยมนุษย์ถ้ำมาจนถึงปัจจุบัน มันเปลี่ยนไปมาก 

โดยเฉพาะเรื่องมลพิษ หนูอยากรู้จริงๆ ว่าคนคิดและมีวิธีจัดการภายใต้แรงกดดันหรือแก้ปัญหาได้อย่างไร

อาชีพในฝันของลิลลี่ 

หนูคิดไว้มีนักจิตวิทยา นักเคลื่อนไหว ทำงานที่ยูนิเซฟหรือที่ไหนก็ได้ที่ได้ช่วยเหลือคน

ลิลลี่คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา แล้วคนธรรมดาอย่างลิลลี่มีนิสัยไม่ดีอะไรบ้าง

หนูคิดว่าตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ชอบเล่นผมตัวเอง ชอบตัดสินคนอื่นเวลาทำอะไรแปลกๆ หนูจะถามไปทันทีเลยว่าเขาทำทำไม ซึ่งหนูคิดว่าไม่ดี หนูควรจะเปิดใจมากกว่านี้ 

เคยถูกบุลลี่ไหม

เคยค่ะ นานมาแล้ว ถูกเรียกว่าบ้า โง่ ซึ่งมันแย่มาก หนูจัดการด้วยการไม่สนใจ และบอกตัวเองว่า ไม่ต้องไปรู้สึกกับทุกเรื่องก็ได้ 

Tags:

สิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climateระริน สถิตธนาสาร

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Social Issues
    ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    #SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น
Learning Theory
19 December 2019

จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • บทความจากการสังเกตการณ์วงคุยของเหล่าครู ใช้นวัตกรรมจิตศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาปัญญาภายใน และ ออกแบบการเรียนรู้บูรณาการโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem Based Learning)
  • เมื่อทำกระบวนการนี้ไปใช้ในคาบเรียน ครูเห็นการเปลี่ยนแปลง และสัมผัสได้ถึงผลลัพท์ที่เกิดการกระทำกับภายในของตัวครูเอง
  • หน้าที่ของจิตศึกษาจึงคือการจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’ อย่างชัดเจนที่สุดเพื่อให้ผู้เรียนได้ผ่านประสบการณ์ (จำลองทางความคิดและความรู้สึกนั้น) ได้ใคร่ครวญ ได้เข้าใจ และเคารพเรื่องราวการตัดสินทางจริยธรรมผ่านประสบการณ์ของผู้อื่น… ได้อย่างเบาที่สุด เจ็บปวดเองน้อยที่สุด

1.

ครูหลายท่านอาจคุ้นหูกับคำว่า ‘จิตศึกษา’ แต่กับฉัน – อดีตนักเรียนตามวิถีครูเขียนหนังสือหน้ากระดานและฉันมีหน้าที่ตามสิ่งที่ครูเขียนให้ทัน จดตาม และยกมือตอบ (บ้าง ไม่ยกบ้าง) เพื่อให้ได้คะแนนตอบในห้องอย่างเพียงพอจะขยับเกรดตอนท้ายเทอมนั้น ไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร

ตรงหน้าฉันขณะนี้คือครูในเครือข่ายโรงเรียนนำร่องของขบวนการทดลองปฏิรูปการศึกษาในชื่อ ‘พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา’* ของจังหวัดศรีสะเกษร่วมร้อยคน ตัวแทนของโรงเรียน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขยายโอกาสและขนาดเล็ก) จำนวน 8 แห่ง พวกเขามารวมตัวกันที่ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตระเตรียมออกแบบการเรียนรู้ในภาคการศึกษาใหม่ (ใช่แล้ว… ขณะที่นักเรียนปิดเทอม คุณครูก็ใช้เวลาเหล่านี้พักผ่อนสบายๆ ไปกับการเค้นความคิด เตรียมแผนการสอน)

ซึ่งเป็นการออกแบบการเรียนรู้ที่นำโดยการใช้ จิตศึกษา ใช้นวัตกรรมจิตศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาปัญญาภายใน และ ออกแบบการเรียนรู้บูรณาการโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem Based Learning) และ เรียนรู้ผ่านชุมชนการเรียนรู้ของครู (Professional Learning Community) หรือ PLC อันเป็นวงคุยของครูเพื่อทบทวน วิเคราะห์ และพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ในฐานะโรงเรียนพี่เลี้ยงในการปรับการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนเครือข่าย (โรงเรียนที่มีก้อนหินใหญ่ยักษ์หน้าประตูโรงเรียน บนนั้นปรากฏอักษรประดิษฐ์วางเรียงเขียนข้อความว่า – ไม่มีหินก้อนใดโง่ โรงเรียนนอกกะลา – และนี่อาจอธิบายเหตุผลได้ว่าทำไมครูเครือข่ายโรงเรียนนำร่องในโครงการพื้นที่นวัตกรรม จึงมารวมตัวกันที่นี่)

อีกครั้ง… ครูหลายท่านอาจคุ้นหูกับคำว่า ‘จิตศึกษา’ แต่กับฉัน ซึ่งไม่รู้และไม่เคยมีจินตนาการว่ามีการเรียนการสอนแบบนี้อยู่จริงบนโลก เมื่อต้องมาเห็นเบื้องหลังวิธีคิด เบื้องหลังการออกแบบการทำจิตศึกษา ได้ลองนั่งทำจิตศึกษากับกลุ่มครูตลอดสามวันของการเวิร์คช็อป และได้ฟังคุณครูหลายท่านสะท้อนว่าเมื่อนำการเรียนการสอนแบบนี้ไปใช้ในคาบเรียน เห็นการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็รู้สึก ‘ทึ่ง’ กับการเรียนรู้เชิงลึกที่เข้าไปกระทำกับภายในของผู้คน จนอยากเขียนถ่ายทอดถึง

2.

การเวิร์คช็อปครูวันแรกเปิดห้องด้วยการที่ ‘ครูใหญ่’ วิเชียร ไชยบัง แห่งโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ยกตัวอย่างแผนการเรียนรู้จิตศึกษาของคุณครู ที่มีคีย์เวิร์ดว่าครูต้องออกแบบกระบวนการด้วยวิธี ‘ชง เชื่อม ใช้’ และ 3 คำนี้ มันแตะไปที่การนั่งสมาธิ (ในแง่การนั่งนิ่งๆ หลับตาและเฝ้าดูลมหายใจ) น้อยมาก – แต่ก็ใช่ว่าจะไม่แตะเลย และอยู่ที่ว่าเรานิยามคำว่า สมาธิ ไว้แบบไหน?

แต่จิตศึกษาที่ว่าหมายถึง การนั่งจับกลุ่มเป็นวงกลม ครูไม่ได้นั่งสูงกว่า นักเรียนไม่ได้นั่งต่ำกว่า แต่เป็นวงล้อมรอบที่ทุกคนนั่งเสมอกัน และพูดคุยแสดงความคิดเห็นในประเด็นใดประเด็นหนึ่งอย่างเคารพว่านี่คือ ‘ความคิดของเขา’ ไม่ตัดสิน ไม่เยาะเย้ย ไม่ดูแคลน ไม่ใช่แค่ให้ออกความเห็นอย่างเสมอภาค แต่จิตศึกษาออกแบบกระบวนการเพื่อให้ผู้เรียนแตกยอดความคิดด้วยตัวเอง ด้วยกระบวนการดังนี้…

เริ่มแรก ด้วยกิจกรรม ‘Brain Gym’ หรือ กิจกรรมบริหารสมอง แต่ลดรูปให้เหลือเพียงการจัดท่าทางร่างกายที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อจึงจะทำได้ เช่น กำหนดให้มือข้างซ้ายชูนิ้วชี้และนิ้วก้อย มือข้างขวากำหลวมๆ จากนั้นจึงสลับมาชูนิ้วชี้และนิ้วก้อยด้วยมือข้างขวา ขณะที่ข้างซ้ายเปลี่ยนมากำหลวมๆ แทน สลับกันไปอย่างนี้จำนวน 20 ครั้ง หรือ ออกแบบการเคลื่อนไหวสลับข้างอื่นๆ เพื่อบริหารการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา  

กิจกรรม Brain Gym จะช่วยปรับสภาพจิต อารมณ์ เตรียมสมาชิกในห้องให้กลับมามีสติที่ตัวเอง เพราะลองจินตนาการว่าก่อนเข้าเรียน เข้าประชุม เราทุกคนต่างมาด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ปัญหาส่วนตัว และพลังงานส่วนตัวที่สั่นไหวเสมอ ความสั่นไหวแบบนั้นคือตัวแปรว่าผู้เรียนมีความพร้อมเริ่มต้นการเรียนรู้แค่ไหน

พูดในอีกทาง Brain Gym ก็คือการกลับมามีสมาธิ ทำใจให้นิ่ง พร้อมวางทุกความกังวล เตรียมตัวเองให้พร้อมกลับเข้ามาสู่ปฏิสัมพันธ์ที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องเริ่มนิ่งพอพร้อมเข้าสู่การเรียนรู้ได้แล้ว คราวนี้ก็เป็นบทบาทของครูที่จะเริ่มกระบวนการ ‘ชง เชื่อม ใช้’ ในคลาสจิตศึกษาต่อไป 

ชง: ขั้นชงคือขั้นที่ครูเป็นผู้เปิดประเด็นว่าวันนี้จะมา ‘พูดคุยกันในประเด็นไหน’ ส่วนใหญ่ครูเปิดวงด้วยการให้ผู้เรียนดูคลิปวิดีโอ หรือ เล่าสถานการณ์ และคำถามในขั้นชงนี้ จะเป็นคำถามที่แค่ย้ำกับนักเรียนเพื่อทวนข้อมูลว่าผู้เรียนเข้าใจข้อมูลตรงกันหรือไม่ เช่น ผู้เรียน ‘สังเกตเห็น’ อะไรบ้าง ในเรื่องนี้มีตัวละครกี่ตัว ใครบ้าง หรือคำถามอื่นในเชิง ‘การสังเกต’

ขีดเส้นใต้ไว้ว่าประเด็นที่เลือกควรเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับจริยธรรม (จะขอถกกันถึงความหมายของจริยธรรมในช่วงถัดไป) เช่น ครูอยากชวนนักเรียนคุยเพื่อให้นักเรียน ‘สงสาร’ หรือ ‘เห็นอกเห็นใจ’ อยากให้นักเรียน ‘ยอมรับ’ ในสิ่งที่เกิด หรือ ‘เคารพ’ ในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยให้ครูเลือกคลิปหรือสถานการณ์ที่จะนำพานักเรียนไปพูดคุยโดยครูออกแบบคำถามในช่วงชงและใช้ให้ไปถึงจุดนั้น

ความสำคัญของขั้น ‘ชง’ ที่ครูใหญ่วิเชียรเน้นย้ำกับครูและให้น้ำหนักมากในคลาสเวิร์คช็อปนี้คือ ครูต้องเข้าใจว่าอยากให้เรื่องเล่า หรือ คลิปวิดีโอที่เปิดนั้นทำหน้าที่รับใช้ความคิดอะไร หรือ กำลังจะนำให้นักเรียนพูดคุยในประเด็นใด และในขั้นนี้เองที่ ชง จะไปเชื่อมกับขั้น ‘เชื่อม’ ต่อไป

เชื่อม: คือการ ‘เซ็ตคำถาม’ จากครู ว่าเรื่องเล่าหรือคลิปวิดีโอสั้นที่นักเรียนได้ดูนั้น ‘เกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร’ รู้สึก กับตัวละครนั้นอย่างไร กล่าวคือ เป็นคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเล่าแต่เคลื่อนสถานการณ์นั้นมาที่ตัวผู้เรียน

เช่น หากในเรื่องมีตัวละคร 3 ตัวที่เกี่ยวเนื่องกัน ครูอาจถามว่า ผู้เรียนเห็นใจตัวละครไหนที่สุด หรือ ชอบตัวละครไหนที่สุด ชอบหรือเห็นใจเพราะอะไร 

ใช้: ในขั้น ‘ใช้’ คือการถามคำถามประเภท ‘จำลองสถานการณ์’ หากผู้เรียนต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ผู้เรียน (หรือเรา) จะทำอย่างไร

เช่น หากนักเรียนเป็นตัวละคร A (อาจเป็นตัวที่ผู้เรียนชอบหรือไม่ชอบก็ได้) และต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น นักเรียนจะทำอย่างไร เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิตจริงไหม ถ้ามี เราจะจัดการอย่างไร?

ในระหว่างเวิร์คช็อป ครูใหญ่วิเชียรไม่ได้แค่อธิบายว่าแต่ละขั้นของ ชง-เชื่อม-ใช้ สำคัญอย่างไร แต่ถกกัน (หนัก) เรื่องความชัดเจนของขั้น ‘ชง’ ที่ครูเลือกหยิบเป็นวัตถุดิบให้นักเรียนครุ่นคิด และ (ขยี้) หนักขึ้นไปอีกในแง่ ‘คำถาม’ ที่ครูเลือกใช้ ยิ่งคำถามที่ชัดเจนและเชื่อมเข้ามาให้ใกล้ตัวผู้เรียนเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายขึ้น เช่น ลองเปลี่ยนคำถามจาก ‘เรื่องนี้สะท้อนสังคมอย่างไร’ เป็น ‘นักเรียนเคยเจอเหตุการณ์คล้ายกันนี้ในชีวิตจริงหรือไม่?’ สังเกตว่าแม้คำถามจะมีเจตนาเดียวกันคือการเซ็ตให้ผู้เรียนเชื่อมสถานการณ์นั้นกับสังคม แต่คำถามที่สอง เป็นคำถามที่กำหนดขอบเขต หรือทำให้ประเด็นนั้นใกล้ตัวผู้เรียนมากขึ้น 

ครูใหญ่อธิบายเพิ่มเติมว่า กระบวนทัศน์ของจิตศึกษาคือการ “งอกงามสู่ความไม่มี” จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสนามพลังบวก จิตวิทยาเชิงบวก และต้องมีกิจกรรมเพื่อฝึกฝน เพื่อให้เกิดผลกับผู้เรียน 3 ระดับคือ 

  • ระดับต้น (พื้นฐาน) คือการฝึกสติ การใคร่ครวญ การเคารพคุณค่าในตัวเองและคนอื่น และเห็นความเกี่ยวเนื่องกัน 
  • ระดับกลาง คือการทำให้เกิดวิจารณญาณเชิงจริยธรรม และนำตัวเองได้ (leading self) 
  • ระดับสูง ผู้ฝึกจะหลุดจากการตัดสิน รู้และเคารพในการ ‘เป็น’ อย่างนั้นของผู้อื่น

ซึ่งในระหว่างเวิร์คช็อปเรายังถกกันเรื่อง ‘จริยธรรม’ คืออะไร การเลือกตัดสินอย่างมีจริยธรรมคืออะไร เพราะพื้นฐานของวิชาจิตศึกษา ประเด็นส่วนใหญ่ที่หยิบยกมาคุยกันให้ชัดคือหมวด ‘จริยธรรม’ (ไม่ใช่ ‘คุณธรรม’) ความจำเป็นของการขยายความเรื่อง ‘จริยธรรม’ ก็เพื่อในที่สุดแล้วครูและนักเรียนเข้าใจว่า ทุกการเลือก ทุกความเห็น ย่อมขึ้นกับ ‘สภาวการณ์’ ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละครั้ง และนี่คือเหตุผลอ้างอิงเบื้องหลังต่อความเชื่อของแต่ละคน 

ส่วนจริยธรรมในมุมของครูใหญ่วิเชียร ให้นิยามว่า ‘คือแนวคิดที่ยืดหยุ่น’ และเป็นไปตามสภาวการณ์ ซึ่งสถานการณ์แต่ละครั้งที่ประเดประดังเข้ามาให้คนคนหนึ่งต้องตัดสินใจกับมัน อาจมีเหตุและปัจจัยไม่เหมือนกัน ต่างกับ คุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มคนยึดไว้ในใจและไม่ยืดหยุ่น

หน้าที่ของจิตศึกษาจึงคือการจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’ อย่างชัดเจนที่สุดเพื่อให้ผู้เรียนได้ผ่านประสบการณ์ (จำลองทางความคิดและความรู้สึกนั้น) ได้ใคร่ครวญ ได้เข้าใจ และเคารพเรื่องราวการตัดสินทางจริยธรรมผ่านประสบการณ์ของผู้อื่น… ได้อย่างเบาที่สุด เจ็บปวดเองน้อยที่สุด

“สิ่งที่วัยรุ่นหรือพี่ๆ (พี่-สรรพนามกลางใช้เรียกบุคคลและสรรพสิ่งรอบตัวเพื่อสร้างความเคารพซึ่งกัน) เขาพูดความคิดออกมาผ่านกลุ่ม คือการประกาศกับตัวเอง เป็นข้อสัญญากับตัวเอง และเมื่อมีสถานการณ์คล้ายกับที่เขาเคยประกาศไว้ (ในคาบจิตศึกษา) เขาก็จะนึกถึงคำที่เคยพูดไว้ เขาอาจจะทำหรือไม่ทำอย่างที่พูดก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่มันจะเกิดความรู้สึกผิดในใจ และสภาวะความละอายแบบนี้จะทำให้เขาเสียสมดุล เมื่อเสียสมดุลเขาจะหาทางแก้ไขมัน

“ทั้งหมดนี้ต่างกับการให้สัญญากับผู้อื่น หรือสัญญากับครู เพราะเมื่อสัญญากับครู ครูเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ถ้าเขาสัญญากับตัวเอง ตัวเขาเองรับผิดชอบ” ครูใหญ่วิเชียรกล่าว

3.

“แต่ก่อนเราจะได้ยิน ‘เสียง’ ของพี่ๆ จากการถามตอบในห้อง แต่ตอนนี้เราได้ยิน ‘ความคิด’ ของพวกเขาชัดขึ้น บางครั้งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าเด็กคนนี้จะคิดแบบนี้แต่ก็ได้เห็น สำคัญกว่าคือเราเห็นเลยว่าพี่ๆ เข้ามาคุยกับเรามากขึ้น เป็นกันเองขึ้น มันคือพื้นที่ปลอดภัยนะ โดยเฉพาะกับเด็กพิเศษ (เรียนรู้ช้า) บรรยากาศในห้องที่สงบทำให้เขาช้าลง อยากเรียนมากขึ้น มีสมาธิเรียนกับเพื่อนมากขึ้น”

ครูเหมียว-บังอร ศรีผ่องใส ครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองยาว หนึ่งในโรงเรียนนำร่องโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เล่าให้ฟังว่า หลังเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นการใช้จิตศึกษา, PBL และ PLC เต็มรูปแบบ ด้วยแนวทางของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา แม้เป็นเวลาไม่ถึงปี แต่เธอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง

ครูเหมียว-บังอร ศรีผ่องใส

ครูเหมียวเล่าว่า โรงเรียนบ้านหนองยาวเป็นโรงเรียนขยายโอกาสและขนาดเล็ก ห้องหนึ่งมีนักเรียนราว 12 คน ปัญหาก่อนหน้าเป็นปัญหาคล้ายโรงเรียนทั่วไปคือ มีนักเรียนที่ตั้งใจและนักเรียนที่ขาดเรียนด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ไม่สนใจเรียนเนื่องจากไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งกับวิถีชีวิต ปัญหาครอบครัว และอื่นๆ ครูเหมียวเล่าว่าเธอเองใช้ความพยายามเหมือนครูไทยหลายท่านที่ตามไปพบผู้ปกครองตามบ้านเพื่อปรึกษาปัญหาการขาดและไม่สนใจเรียน เมื่อพบผู้ปกครองก็เข้าใจความหนักใจของผู้ปกครอง และเห็นปัญหางูกินหางหลายอย่าง ก็เพราะไม่รู้ว่าจะเรียนทำไม ออกมาทำงานช่วยครอบครัวเรื่องปากท้องจะดีกว่า และปัญหาอื่นๆ ที่เธอมองว่าไม่มีใครผิดหรือถูกทั้งนั้น แต่ทั้งหมดนี้ทำให้หน้าที่ของครูเป็นมากกว่าการสอนหนังสือ

“ตอนที่ได้ยินว่าจะเข้าโครงการพื้นที่นวัตกรรม ตอนนั้นงงนะ ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร จิตศึกษาคืออะไร เคยได้ยินว่า PBL คืออะไรแต่ก็งงๆ ว่ามันจะใช้ได้จริงเหรอ ยังไม่ค่อยเชื่อ มาที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาครั้งแรกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจแต่เราชอบแล้วล่ะ อยากลอง พอไปถ่ายทอดให้เพื่อนครูฟังและทุกคนเอาด้วย พอนำไปใช้จริง มันดีมาก รู้สึกเลยว่านักเรียนเปลี่ยน เขาสนใจเรียนมากขึ้น เราได้ฟังความคิดหลากหลาย เห็นเลยว่าพี่ๆ เขามีความคิดเป็นของตัวเอง และความคิดหลายอย่างของเขามันกระตุกใจเรานะ เราเองก็ได้เรียนรู้จากเขาหลายเรื่อง พอได้ฟังกันและกันมากขึ้น ความรู้สึกของเขาต่อเรา ความรู้สึกของเราต่อเขามันเปลี่ยนไปเลยนะ อธิบายไม่ถูก รู้แต่อยากใช้เวลากับเขามากขึ้น กินข้าวเสร็จก็อยากขึ้นไปนั่งกับเขาในห้อง ดูว่าเขาเล่นกันยังไง ใครเป็นยังไง (ยิ้ม)” ครูเหมียวเล่า

ครูเหมียวไม่ใช่ครูคนเดียวที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เสียงสะท้อนในมุมอื่นยังมาจากครูในเครือข่ายโดยเฉพาะครูที่อายุ 50 ปีขึ้นไป พวกเขาเล่าให้ฉันฟังอย่างไม่เป็นทางการขณะเดินพักในสวน ระหว่างกินข้าว หรือระหว่างพักเข้าห้องน้ำเพียงสิบหรือสิบห้านาที (ก่อนจะเข้าไปเวิร์คช็อปอย่างเข้มแข็งใหม่) ว่าพวกเขาเสียดายที่ได้รู้จักและ ‘เป็นผู้อำนวยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตัวเอง’ ช้าไป มีจุดหนึ่งครูหลายคนระวังมาก หากหลุดพูดคำว่า สอนหนังสือ พวกเขาจะขออภัยและแก้ใหม่เป็นคำว่า สนับสนุนให้พี่ๆ เรียนรู้

และไม่ใช่ว่าแต่ก่อนพวกเขาไม่ลองเปลี่ยนการสอนเพื่อสร้างสรรค์วิธีการเรียนให้สนุกขึ้น พวกเขาทำมาทั้งหมดและทำอย่างหนัก เพียงแต่วิธีการแบบนี้ การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดจริง มาวันนี้ แม้ฉันไม่เคยเห็นเวลาที่คุณครูใกล้เกษียณเหล่านี้ลงไปสอนจริง แต่จากสายตาขณะเวิร์คช็อป ขณะนำเสนอแผนการเรียนรู้ หรือเวลาที่พวกเขาเล่าถึงการสอนในห้องเรียน สายตาของพวกเขาไม่ต่างกับนักเรียนรุ่นเยาว์ที่รักและเปี่ยม ‘passion’ ในสิ่งที่กำลังทำเลยจริงๆ

4.

หลังจบเวิร์คช็อป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศสีเขียวของโรงเรียน อากาศใสปราศจากฝุ่นควันจิ๋ว อาหารจากวัตถุดิบสดใหม่ หรือเพราะอยู่ในวงคุยที่ไร้การหาคนผิดแต่ช่วยกันปรับแผนการเรียนรู้เพื่อให้ออกมาใช้ประโยชน์ง่ายและเห็นภาพที่สุด และบรรยากาศการเรียนรู้วิธีการทำงานของครูตลอด 3 วัน ที่ทำให้ฉันรู้สึก ‘มีความหวัง’ กับปัญหาการศึกษาที่หลายคนส่ายหัวและบอกว่ารากมันลึกเกินกว่าจะเยียวยาได้ภายในระยะสั้น

แต่หาก ‘การเรียนรู้’ แบบใหม่ที่ให้นักเรียนได้มีช่วงเวลาใคร่ครวญ วิเคราะห์ และศึกษาประสบการณ์ของผู้อื่น แม้จะเป็นเพียงการจำลองสถานการณ์ทางความรู้สึกก็ตามที – ซึ่งนี่ไม่รวมการเรียนรู้แบบ PBL ที่ฉันไม่ได้กล่าวในบทความนี้ – แต่อย่างน้อยจุดเริ่มต้นเรื่อง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ในห้องเรียนที่หลายคนพูดถึง มันกำลังถูกทำให้เกิดจริง 

แน่นอนว่าไม่มีวิธีการไหนดีพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ จิตศึกษาอาจเหมาะหรือไม่เหมาะกับบริบทพื้นที่อื่น หรือชัดเจนว่าไม่อาจใช้แนวทางนี้ได้โดยปราศจากกระบวนการเรียนรู้อื่น แต่สำหรับฉัน – นักเรียนตามขนบที่เพิ่งมาได้ดีเบตกับเพื่อนจนไฟลุกในวงจิตศึกษา (และในช่วงแรกๆ เป็นการดีเบตแบบแถและใช้อารมณ์) ก็เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว มันน่าเสียดายไม่ใช่เหรอหากในช่วงเวลาที่เราจะเป็นตัวเองที่สุด อยู่ในช่วงวัยที่พร้อมจะเรียนรู้ที่สุด จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการท่องจำหนังสือด้วยความเครียดขึ้งเพื่อจะลืมว่าเรียนอะไรไป และเกลียดการเรียนรู้แบบนั้นในเวลาต่อมา 

ไม่มีใครบอกได้ว่าพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในเร็ววันหรือไม่และจะเปลี่ยนได้จริงไหม แต่เท่าที่เห็นเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนที่จะพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ และแนวทางของจิตศึกษา ก็เห็นว่าการเรียนการสอนในบ้านเราก็ขยับเปลี่ยนอย่างพอเห็นรูปธรรมบ้าง และมีเด็กจำนวนหนึ่งที่ครูปรับบทบาทมารับฟัง ‘ความคิด’ ของพวกเขาเยอะขึ้น และเขาเองก็ได้ฝึกเคารพตัวเองและคนอื่นด้วยเช่นกัน 

วิชาสอน Empathy ที่กำลังนิยมทำกันทั่วโลก เราว่านี่คือรูปธรรมในเมืองไทย


พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โครงการนำร่องเพื่อปฏิรูปการศึกษาที่จะให้โรงเรียนเป็นอิสระ บริหารจัดการตัวเอง มีการร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายและชุมชนในพื้นที่เพื่อร่วมกันออกแบบการศึกษาเพื่อผลิตคนคุณภาพที่ตอบโจทย์พื้นที่เอง นำร่องใน 6 จังหวัด ครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)

Tags:

ครูProblem based Learning(PBL)เทคนิคการสอนจิตศึกษา

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel