Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: July 2019

ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น
Character building
12 July 2019

ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • สิ่งที่เราเรียนรู้ในโรงเรียนส่วนใหญ่ต่อไม่ติดกับโลกที่เราต้องทำงานจริง ทั้งๆ ที่เรียนมาหมดแล้วไม่ว่าจะเลข ภาษาอังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าโตไปแล้วจะทำอะไรดี
  • อย่างมีเป้าหมายทางธุรกิจอาชีพ มี mindset ที่ไม่กลัวปัญหา มองเห็นโอกาส มีไอเดียแปลกใหม่และรู้วิธีว่าจะนำไอเดียนั้นมาสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้อย่างไร
  • แนวคิดพื้นฐานของหลักสูตรนี้ ไม่ยัดเยียดทัศนคติอายุน้อยร้อยล้าน เน้นให้เป็นผู้ประกอบการ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เงินมาเป็นอันดับหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ก็มักจะตีบตันทันที

เพียงระยะไม่กี่ปีนี้ เกิดธุรกิจ startup ทั้งแอพพลิเคชั่นหรือสินค้าบริการหลากหลายต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงธุรกิจเหล่านั้นเข้ามาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ยังส่งอิทธิพลถึงโครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างรวดเร็วด้วย ผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ทั้งเจ๋งและน่าสนใจก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Wongnai, Airbnb, Lazada พวกเขามองเห็นโอกาสและสามารถผสมผสานไอเดียเข้ากับนวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ยิ่งการเติบโตของธุรกิจแนวนี้กำลังสร้างเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำและยังมีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจบ้านเรา ผู้คนยิ่งกระตือรือร้นที่จะหาโอกาสทางธุรกิจเป็นของตัวเองกันมากขึ้นเช่นกัน เราจึงเริ่มเห็นภาคการศึกษาตอบรับกระแสความตื่นตัวนี้อย่างจริงจังด้วยการเปิดหลักสูตรเน้นด้าน ‘ความเป็นผู้ประกอบการ’ (Entrepreneurship) โดยเฉพาะ

เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพก่อตั้งภาควิชาที่เรียกว่า School of Entrepreneurship and Management หรือ BUSEM มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีหลักสูตรการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการในคณะศึกษาศาสตร์ และหลักสูตร Innovative Entrepreneurship ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

ทำไมโรงเรียนต้องสอนความเป็นผู้ประกอบการ?

แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่เราเรียนรู้ในโรงเรียนส่วนใหญ่ต่อไม่ติดกับโลกที่เราต้องทำงานประกอบอาชีพจริง ทั้งๆ ที่เรียนมาหมดแล้วไม่ว่าจะเลข ภาษาอังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายหลายคนกลับไม่รู้ว่าโตไปแล้วจะทำอะไรดี พวกเขาไม่รู้ว่าจะแปลงทักษะความรู้เหล่านั้นให้เป็นงานหรืออาชีพใดที่เป็นความต้องการของตัวเองจริงๆ

เราคาดหวังว่าโรงเรียนจะสอนให้สันทัดต่อโลกที่ไม่หยุดนิ่งและสอนวิทยาการให้เราสามารถรับมือกับโลกทั้งใบด้วย passion บางอย่าง อาชีพในอนาคตที่จะกลายส่วนหนึ่งของตัวตน คุณค่า และความพอใจในตัวเองจะเปิดอ้ารอรับเรา แต่แล้วทำไมจนบัดนี้จึงยังมีคนมากมายที่ใช้เวลามากกว่าสิบปีในรั้วการศึกษาแต่กลับยังไม่เคยได้รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเก่งทางไหนและควรทำอะไรดี

สาเหตุก็เป็นเพราะนอกจากเรียนรู้แบบเลื่อนลอย การศึกษาไม่ให้โอกาสเราได้ลองประสบการณ์ทำงานจริงแบบมีเป้าหมายในตัวเองมาก่อนเลย

คอนเซ็ปต์การพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการคือ การศึกษาเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายทางธุรกิจอาชีพ เปิดโลกทัศน์ให้เรามีทางเลือกในอนาคตว่าจะสามารถสร้างงานหรืออาชีพสำหรับตนเองได้เมื่อมีทักษะประสบการณ์จากการทำงานจริง มี mindset ที่ไม่กลัวปัญหา สามารถมองเห็นโอกาส มีไอเดียแปลกใหม่และรู้วิธีว่าจะนำไอเดียนั้นมาสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้อย่างไร

ทั้งหมดทั้งมวลไม่ใช่สอนแบบให้รู้ แต่คือสอนให้ทำได้ ทำเป็น และนำไปสู่เส้นทางอาชีพที่มาจากการเลือกอย่างเข้าใจรู้จักตัวเอง

หลักสูตรพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการควรสอนอะไรบ้าง?

รายละเอียดปลีกย่อยของหลักสูตรผู้ประกอบการในสถาบันและบริบทสังคมเศรษฐกิจของแต่ละแห่ง อาจมีจุดเด่นแตกต่างกัน แต่จำเป็นต้องเป็นแบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) ฝึกให้ผู้เรียนคิดและทำจริงโดยเชื่อมโยงความรู้จากสาขาวิชาต่างๆเช่น การสื่อสาร การตลาด เศรษฐศาสตร์การเงิน การบริหาร หรือกระทั่งบริบทสังคมมาประสานสอดคล้องกันเป็นภาพใหญ่ได้

สำหรับหลักพื้นฐานทั่วไปที่โรงเรียนต้องใส่ใจ ยูจีน ลุชคิฟ (Eugene Luczkiw) ที่ปรึกษาพิเศษและวิทยากรด้านผู้ประกอบการคณะบริหารธุรกิจแห่ง Brock University แคนาดาชี้ว่าต้องประกอบไปด้วยหลัก 5E นี้เสมอคือ

Environment – กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจสิ่งแวดล้อม ความเป็นไปรอบตัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมความเป็นอยู่ หรือในทางกลับกันวัฒนธรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร พร้อมๆ กับกระตุ้นให้พวกเขาตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านั้น ว่า “ทำอะไร” “ทำอย่างไร” “ทำเมื่อไร” “เพราะอะไรจึงทำ”

Economy – ฝึกผู้เรียนให้สังเกตความเป็นไปทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ธุรกิจใดกำลังรุ่ง ธุรกิจใดกำลังร่วง และกลุ่มธุรกิจใดบ้างอิงอิทธิพลซึ่งกันและกัน ธุรกิจเหล่านั้นดำเนินการอย่างไร

Entrepreneurs – สร้างแรงจูงใจด้านความสำเร็จจากวิสัยทัศน์และประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการหลากหลายประเภท เขามีอะไรเป็นแรงจูงใจในการค้นหาโอกาสธุรกิจ มองปัญหาเป็นไอเดียต้นทางไปสู่นวัตกรรมสร้างสรรค์หรือทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาในชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างไร

Enterprise – (สำคัญสุดๆ ข้อนี้) ห้องเรียนต้องเปิดโอกาสและเป็นพื้นที่ให้ผู้เรียนสร้างและค้นหาตัวตน passion ความถนัด จุดแข็งจุดอ่อน ความสามารถพิเศษ เป้าหมายชีวิต ความใฝ่ฝัน ลักษณะนิสัยเมื่อต้องทำงานกับคนอื่น จริตในการเรียนรู้เข้าใจ ไปจนกระทั่ง จิตสำนึกต่อเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อมหรือโลกใบนี้

Entreplexity – ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนได้นำความรู้แต่ละด้าน และศักยภาพเฉพาะของตนทั้งหมดมาผสมผสานผ่านการลงมือทำจริง (active learning)

นอกจากนี้ คุณสมบัติด้านอื่นๆ เช่น ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ความคิดยืดหยุ่น ความมานะอุตสาหะ ความเป็นผู้นำ และจริยธรรมก็จำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาปลูกฝังพร้อมกันไปด้วย กว่าจะแข็งแกร่งทางทักษะ มีความมั่นใจจากประสบการณ์ กลไกการเรียนรู้เติบโตทั้งปวงใช้เวลา ดังนั้นจะยิ่งได้เปรียบมากหากเด็กได้รับความรู้ด้านผู้ประกอบการจากพ่อแม่และโรงเรียนตั้งแต่ยังเล็ก (Shikati, 2018)

ในชั้นเรียนครูทำหน้าที่ผู้แนะแนว (mentor) หรือกระบวนกร (facilitator) โฟกัสที่กระบวนการการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตนเอง (experiential learning) ของนักเรียน มากกว่าการสอนแบบขึ้นกระดานเรียนและเรียนแต่ละวิชาแบบแยกย่อย โดยรู้แค่หลักการแต่ปะติดปะต่อให้เกิดเป็นแนวทางธุรกิจจริงๆ ไม่เป็น

ด้านล่างนี้คือตารางสรุปเปรียบเทียบวิธีสอนแบบดั้งเดิมที่ไม่ได้ผล กับวิธีที่ครูควรนำมาใช้

วิธีสอนที่ตกยุคและไม่ได้ผลวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ
สอนตามตำราออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้หลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้
เน้นทฤษฎีเป๊ะๆเน้นลงมือปฏิบัติ และถอดบทเรียนจากประสบการณ์
เน้นการท่องจำเน้นให้เข้าใจที่มาที่ไป และต้องดำเนินการอย่างไร
เน้นการเรียนแบบแยกรายวิชาเน้นการเรียนแบบองค์รวมและการแก้ปัญหา
ครูคือผู้ควบคุมการเรียนรู้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างเสรีด้วยตนเอง
ครูบอกคำตอบและวิธีการครูร่วมเรียนรู้และส่งเสริมการเรียนรู้ไปพร้อมกับผู้เรียน
ผู้เรียนเป็นผู้รับข้อมูลความรู้ที่ครูสอนผู้เรียนสร้างความเข้าใจความรู้นั้นด้วยตนเอง
เนื้อหาความรู้เป็นแบบตายตัวตามที่กำหนดไว้เนื้อหาความรู้ปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นตามความต้องการผู้เรียน
จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นข้อบังคับที่ต้องทำตามจุดประสงค์การเรียนรู้ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
จาก Teaching Teachers in Effectual Entrepreneurship p.1 โดย Ruud Koopman

แรงบันดาลใจ vs ความล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติหรือพลังสำคัญอย่างหนึ่งอันเป็นจุดกำเนิดของภาพความเป็นผู้ประกอบทั้งหมดซึ่งหาได้ยาก และยังสามารถสร้างอิทธิพลแรงกล้าต่อความเชื่อมั่นในตนเอง และความสำเร็จของผู้ที่ใฝ่ฝันจะสร้างธุรกิจให้เกิดขึ้นได้ก็คือ inspiration

แรงบันดาลใจไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน กับทั้งไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จเสียทีเดียว มันเป็นแรงผลักที่ปลุกความเชื่อมั่นให้กล้าทำตามฝัน เหมือนกับมีใครสักคนคอยยืนยันกับเราว่า “เธอทำไอเดียนั้นให้เกิดขึ้นจริงได้แน่!” โรเบิร์ต กริน (Robert Gryn) ประธานบริษัท Codewise ซึ่ง Financial Times ยกย่องให้เป็นบริษัทเจ้าแรกในอุตสาหกรรมการตลาดดิจิตอลที่ใช้ AI ในการวัดผลโฆษณาออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดในยุโรป ยืนยันว่า ‘แรงบันดาลใจ’ คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่ทำให้เขาก้าวข้ามปมด้อยด้านการศึกษาและเงินสนับสนุน ทำให้เขาตัดสินใจลองตั้งบริษัทของตัวเองเป็นครั้งแรกในโปแลนด์ขณะที่สภาพเศรษฐกิจไม่ได้เอื้ออำนวย ทั้งยังโดนสบประมาทอย่างหนักจากพ่อว่า “อย่าหวังว่าแกจะรันบริษัทสำเร็จ ถ้ายังไม่มีประสบการณ์อย่างน้อยก่อนสักสิบปี”

ไม่กี่เดือนต่อมาเขาพบว่าพ่อพูดถูก บริษัทเจ๊งไม่เป็นท่า แต่เขาก็ยักไหล่เฉยๆ กับมันทั้งยังคงไว้ซึ่งแรงบันดาลใจและความกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความล้มเหลว

ก็แล้วคนเราจะเก่งได้อย่างไรล่ะถ้าไม่ได้ล้มเหลวผิดพลาดเลย? คือมุมมองหนึ่งที่จะต่อยอดแรงบันดาลใจของนักฝันได้ แต่อย่างไรก็ตาม กรินก็ยอมรับว่าทัศนคติต่อความล้มเหลวของพ่อแม่และครูสำคัญมากสำหรับการปั้นผู้ประกอบการให้เป็นนักสู้อย่างเขา เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่ แรงบันดาลใจมักมอดดับไปจากความกลัวการล้มเหลวผิดพลาด

มุมมองนี้ของกรินยังสอนเราอีกด้วยว่าเมื่อโรงเรียนและครอบครัวอยากสอนให้เด็กๆ เอาตัวรอดในโลกนี้ให้เป็น ก็จงอย่ายึดติดกับ comfort zone หรือศักดิ์ศรี และอย่ารีรอที่จะเริ่มบางอย่างเพราะเอาแต่มองความล้มเหลวเป็นเรื่องผิด ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งที่แสนธรรมดาของชีวิต และเป็นเส้นทางบังคับที่ทุกคนต้องผ่านไปสู่ความสำเร็จ

ผู้ประกอบการหรือพ่อค้าหน้าเงิน?

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะบอกว่าการสอนความรู้ผู้ประกอบการโดยผิวเผินแล้วก็คือการสอนให้เด็กๆ คิดแบบหัวการค้าดีๆ นี่เอง เห็นอะไรเป็นเงินเป็นทอง ทำยังไงจะได้กำไร? ทำยังไงจึงจะรวย? เหล่านี้ก็อาจถูกเพียงบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ไมค์ สเติร์ม (Mike Sturm) บรรณาธิการ The Junction และ The Understanding Project ใน MEDIUM Startups มองว่าแนวทางที่ยัดเยียดให้ผู้เรียนเอาความรวยเป็นจุดหมาย ไขว้เขวจากแนวทางความเป็นผู้ประกอบการที่ถูกต้อง ผลที่ตามมาเมื่อผู้คนหวังแต่จะรวยเพียงอย่างเดียวจากการสร้างธุรกิจอะไรสักอย่าง

เราจะเห็นธุรกิจเลียนแบบซ้ำกันไปมาเกิดขึ้นเต็มไปหมด คนหนึ่งคิดไอเดียได้ อีกคนอยากรวยบ้างก็รีบทำตามทันทีจนกลายเป็นเฝือ (คล้ายๆ กับปรากฏการณ์ชานมไข่มุกในตอนนี้) แก่นแท้ของผู้ประกอบการที่ทุกคนต้องมีจริงๆ และโรงเรียนต้องปั้นให้เกิดกับผู้เรียนให้ได้ จึงเป็น อัตลักษณ์ทางความคิดสร้างสรรค์และการยกระดับพัฒนาบริการ และนวัตกรรมขึ้นมาใหม่เป็นของตนเอง

สเติร์มไม่ได้โลกสวย ใครทำธุรกิจก็อยากรวยทั้งนั้น ต้องแคร์ด้วยหรือว่าจะซ้ำกับใครถ้าขายแล้วได้เงิน แต่อย่าลืมว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เงินมาเป็นอันดับหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ก็มักจะตีบตันลงทันที ไอเดียเจ๋งๆ มักแว้บขึ้นมาตอนเรารู้สึกอิสระ ไร้กรอบกำหนดหรือปราศจากความกลัวว่าจะเป็นไปไม่ได้หรือล้มเหลวขาดทุน ดังนั้นในโรงเรียนที่เริ่มสอนเรื่องเป้าหมายการทำธุรกิจหรือสร้างอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อย จึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าไปที่การสอนคิดสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันเด็กๆ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมวัย สามารถเล่นสนุกเสรีตามวัยของเขาด้วย ไม่ยัดเยียดทัศนคติอายุน้อยร้อยล้านแต่อย่างเดียว หรือผูกขาดความคาดหวังการเป็นผู้ประกอบการด้วยความรวย

มิเช่นนั้นแล้ว สังคมก็จะเต็มไปด้วยธุรกิจของพ่อค้าหน้าเลือดที่หวังแต่จะฟันกำไร ส่วนหนึ่งของผู้บริโภคจะกระเหี้ยนกระหือรือสร้างอาชีพด้วยเป้าหมายแบบเดียวกัน วนลูปกันจนเป็นงูกินหางในที่สุด

อ้างอิง:

Should children be taught entrepreneurship?

Teaching Teachers in Effectual Entrepreneurship. 

The Problem With Teaching Entrepreneurship. 

Why entrepreneur should start at shool. 

Why are there so few entrepreneur?

Entrepreneurship and Higher Education

Tags:

ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน21st Century skillsผู้ประกอบการ(entrepreneurship)ครู

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character buildingCreative learning
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน
Creative learning
11 July 2019

โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน

เรื่องและภาพ เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

  • บทความภาคต่อจากโรงเรียนธรรมชาติ คราวนี้ถึงที ‘วิชาลูกทะเล’ พาเด็กไปใช้ชีวิต มากิน มานอน บนเนินทราย อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
  • ‘ลูกทะเล’ เป็นหนึ่งในวิชา ‘เป็น-อยู่-คือ’ ที่จะฝึกให้เด็กๆ ได้ทดลองใช้ศักยภาพของตัวเองในการหากิน โดยเอาพื้นที่จริงมาให้เด็กๆ ได้ใช้เป็นห้องเรียน
  • ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักทะเลในอีกมิติ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญไม่น้อยกว่า ‘นาข้าว’ เราคงไม่ต้องบอกเด็กๆ กลุ่มนี้ว่า “อย่าทิ้งขยะลงทะเล” อีกแล้ว

ผมพาเด็กๆ กว่ายี่สิบคนมายืนอยู่บนสันทรายชายหาด มองเห็นเรือประมงลำเล็กวิ่งลิ่วมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเราที่ยืนเรียงรายกัน เพียงไม่กี่นาทีเรือลำนั้นก็มาเกยหาดทราย ชายร่างคล้ำกระโดดแผล็วลงมาจากเรือ ขณะที่ผมกับเด็กๆ กรูลงไปล้อมลำเรือนั้นไว้ กลางลำเรือมีเข่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยปูม้าขนาดตัวเกินฝ่ามือ

“เอ้า… เด็กๆ สวัสดีครูบังนีก่อน” ผมบอกเด็กๆ ให้สวัสดีชายเจ้าของเรือที่เรากำลังห้อมล้อมอยู่

นี่คือ ‘บังนี’ หนึ่งในบรรดา ‘ครู’ ที่จะสอนเด็กเมืองให้รู้จักแก่นแท้ของทะเล ต้อนรับพวกเราพร้อมปูเข่งใหญ่

สีหน้าท่าทางของเด็กในเมืองยามนี้ต่างตื่นเต้นราวกับเห็นของเล่นใหม่ “มันตายหรือยัง” “จับยังไง” “ปลาหมึกมีชีวิตไหม” “ผมเอาไปปล่อยได้ไหม” “มันว่ายน้ำยังไง” หลากหลายคำถามพรูพรั่ง จนทั้งครูบังนีและผมตอบแทบไม่ทัน ก่อนที่ผมจะไล่ต้อนเด็กๆ ออกเพื่อให้ครูบังนีได้จัดการกับเรือ และปูเข่งใหญ่

ฉากแรกของ วิชา ‘ลูกทะเล’ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริงๆ ผมเองก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้พาเด็กๆ มาฝึกเป็นลูกทะเล สีหน้าแววตาของเด็กๆ แต่ละคนประทับอยู่ในความทรงจำของผมทุกครั้งที่ได้มายืนอยู่หน้าหาดสวนกงแห่งนี้

นี่เป็นเพียงวันแรก อีกเจ็ดวันที่เหลือจะมีเรื่อง สนุก สุข หรือ ทุกข์ แค่ไหน รอลุ้นกันครับ

เพราะเด็กๆ รู้ว่าข้าวมาจากนา แต่อาจไม่รู้ว่าปูปลามาจากไหน

ปลายเดือนเมษายน เนินทรายใหญ่ใต้ร่มเงาของสนทะเลที่เคยเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ ผิวคล้ำเข้ม เป็นที่ที่ผู้ใหญ่ขับรถเครื่อง ขับรถปิคอัพมาปูเสื่อนั่งกินอาหารที่หอบหิ้วมาจากบ้าน ตอนนี้กลายเป็นลานกางเต็นท์หลากสี เด็กวัย 6-10 ขวบมากกว่ายี่สิบคนกำลังวิ่งเล่นกันไปทั่วเนินทราย ผู้ใหญ่ต่างถิ่นหลายคนกำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนภายในเต็นท์

เป็นภาพที่แตกต่างไปจากความคุ้นชินเดิมๆ ของผู้คนในละแวกนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จะมีกองพลย่อมๆ ของเด็กเมืองเหล่านี้ ทั้งหมู่บ้านต่างรู้กันดีว่านี่คือ เด็กๆ ลูกศิษย์ของผมที่พากันมาอยู่ มากิน มานอน บนเนินทรายเหล่านี้ เพื่อมาฝึกเป็น ‘ลูกทะเล’ ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม

เนินทรายที่ทอดยาวขนานไปกับถนนลาดยางของหมู่บ้านสวนกง อำเภอนาทับ จังหวัดสงขลา เชื่อมต่อกับผืนทะเลกว้าง ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งอาหารทะเลชั้นดี ทรัพยากรสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ แค่ทะเลหน้าหาดก็สามารถหากินได้ง่ายๆ

“ทำไมต้องเป็นที่นี่ กระบี่ ภูเก็ต หรือที่อื่นๆ ก็ทะเลสวยนะ” ผู้ปกครองบางท่านอยากทราบ

“ทะเลแต่ละที่อาจจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่ที่ผมเลือกที่นี่เพราะมี ‘ครู’ อยู่ครับ ที่อื่นๆ ผมไม่แน่ใจว่าชาวบ้าน ชาวประมงพื้นบ้านเขาจะอยากสอนพวกเราไหมครับ”

“ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านบางคนประสานผ่านเพื่อนให้ผมมาดูสถานที่ว่าสามารถใช้พื้นที่เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติได้ไหม ผมมาดู ก็พบว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ชายหาดกับทะเล ยังมีเนินทรายเก่าแก่ บนเนินทรายมีป่าที่มีพืชที่น่าสนใจหลายชนิด เช่น พวกหม้อข้าวหม้อแกงลิง ไลเคน เฟิร์น ผมก็เลยเสนอว่าเราลองพาเด็กๆ มาเรียนรู้เรื่องนิเวศชายหาดกัน ผมกลับมาใหม่พร้อมเด็กๆ อีกสิบกว่าคน และชวนเด็กๆ ที่อยู่ในภาคใต้อีกจำนวนหนึ่งมาร่วมขบวนในการทำความรู้จักกับพื้นที่และนิเวศของทะเล ชายหาด และป่าสันทราย นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ระหว่างเรียนพอมีเวลาว่างก็ทำความรู้จักกับชาวบ้านไปด้วย คุยไปคุยมา ผมสะดุดกับคำว่า ดุหลำ หรือการฟังเสียงปลาของบังนี ผมซักไซ้จนได้ความ บังนียังใช้วิธีนี้ในการหาปลาอยู่ ไม่ใช่ศาสตร์โบราณที่ตกยุคไปพร้อมๆ กับการมาของเครื่องโซนาร์ ผมมองเห็นภาพที่สอดคล้องกับวิถีการเรียนการสอนของ BNS ที่ผมเน้นเรื่องการใช้ทักษะในเรื่องเซนส์ของเด็กๆ โดยเฉพาะการฟัง กลับกรุงเทพฯ มาคราวนั้น ผมวางแผนเรื่องเรียนของเด็กๆ ใหม่ และนั่นคือการเกิดขึ้นของวิชาลูกทะเลครับ”

‘ลูกทะเล’ เป็นหนึ่งในวิชา ‘เป็น-อยู่-คือ’ ที่จะฝึกให้เด็กๆ ได้ทดลองใช้ศักยภาพของตัวเองในการ ‘หากิน’ โดยเอาสถานการณ์จริง พื้นที่จริงมาให้เด็กๆ ได้ใช้เป็นห้องเรียน โดยใช้เวลา 6-7 วัน ในการฝึกฝนเรียนรู้

ทำไมถึงเลือกทะเล เพราะว่าเด็กๆ จะคุ้นเคยกับอาหารที่เรากินกันทุกวัน ส่วนใหญ่จะมาจากทะเล ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง หอย แมงกะพรุน รวมไปถึงเครื่องปรุง เช่น กะปิ น้ำปลา แต่เด็กเมืองน้อยคนมากที่จะรู้ว่าอาหารเหล่านี้มีที่มาอย่างไร เด็กยุคใหม่จำนวนมากคุ้นเคยการทำนาปลูกข้าว มีคอร์สสอน-เรียนเรื่องการดำนา เกี่ยวข้าว พร้อมลงมือปฏิบัติจริง แม้จะไม่ครบถ้วนทั้งขบวนการก็ตามที แต่เด็กๆ ก็พอได้เห็นเส้นทางเดินของ ‘ข้าว’ ก่อนจะมาถึงมื้ออาหาร หรือแม้แต่ พืช ผัก ผลไม้ ต่างๆ ก็มีแหล่งเรียนรู้มากมาย

แต่กับอาหารจากทะเล หากเด็กๆ ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวประมง ก็จะเป็นเรื่องไกลตัวมาก แหล่งเรียนรู้ก็มีแต่ภาพกับวีดิทัศน์ การจะไปเรียนรู้จากของจริง และได้ลงมือปฏิบัติจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จึงเป็นเรื่องที่ควรจะสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้ทดลองสัมผัสจริง ลงมือปฏิบัติจริง เพื่อที่เมื่อใดที่เรากินอาหารทะเล เด็กๆ จะมองเห็นภาพที่มาของอาหารเหล่านี้ รวมทั้งมองเห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น

แหล่งอาหารทะเลไม่ได้มีเพียงในร้านซูเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดสดเท่านั้น และแหล่งอาหารจะอุดมสมบูรณ์ได้ ก็ต้องมาจากสภาพแวดล้อมที่ดี อาหารทะเลก็ต้องมาจากทะเลที่ดี ถึงเวลานั้นเราก็คงไม่ต้องพูดถึงหรือบอกเด็กๆ แล้วว่า ทำไมเราต้องรักษาทะเลไว้ ทำไมเราจึงต้องดูแลรักษาสภาพแวดล้อม ผมเชื่อว่าเด็กๆ จะเข้าใจได้มากขึ้น

ผมกำหนดเวลาไว้ในเบื้องต้น 6-7 วัน ซึ่งเป็นปัญหากับผู้ปกครองอยู่พอสมควรที่ไม่สามารถลางานได้ตลอดทั้งสัปดาห์ เนื่องจากนักเรียนที่ผมรับมีอายุอยู่ในช่วง 8-10 ขวบ ซึ่งมีเด็กหลายคนที่ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีนัก หรือผู้ปกครองคิดว่าลูกของตัวเองยังเล็กเกินไป ต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วย มีนักเรียนบางส่วน ราว 6-7 คน ที่พ่อแม่ปล่อยให้มากับทีมครู พ่อแม่บางส่วนตั้งใจว่าจะให้ลูกได้ทดลองรับผิดชอบตัวเองดูบ้าง

นักเรียนลูกทะเลในรุ่นที่ผ่านมาเมื่อเดือนเมษา ปี 62 มีนักเรียน อายุ 7 ขวบ ที่พ่อแม่ปล่อยให้มากับครู อายุขนาดนี้จะว่าเล็กเกินไปไหมที่จะต้องดูแลตัวเองตลอด 8 วัน ที่อยู่กับครู พูดยากครับ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความใจแข็งของพ่อแม่แต่ละบ้านมากกว่า บางวันอาจจะมีคิดถึงแม่บ้าง ก็ให้โทรคุยกันได้ในช่วงค่ำๆ ส่วนเรื่องการจัดการเรื่องเสื้อผ้า อาบน้ำ เข้านอน ผมกับทีมครูจะเข้าไปยุ่งให้น้อยที่สุด เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทดลองจัดการชีวิตตัวเองไป ถ้ามีปัญหาค่อยมาคุยกัน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เนื้อหาของ ‘ลูกทะเล’ เป็นการเรียนรู้รอบตัวของการทำประมงพื้นบ้านครับ ตั้งแต่การหากินบริเวณริมหาด เช่น การเก็บหอยเสียบ การวางอวนทับตลิ่ง หากินในทะเล เช่น การออกเรือไปวางอวน โดยใช้วิธีการดั้งเดิมของชาวบ้านในการหาฝูงปลา นั่นคือการฟังเสียงปลาใต้น้ำ การสาวอวนขึ้นจากน้ำ ทำความรู้จักกับเครื่องมือประเภทต่างๆ อวนปู อวนกุ้ง อวนหมึก อวนปลา อวนทับตลิ่ง เบ็ดราว ลอบปู การใช้เปลือกหอยจับปู การผูกอวน การแกะปูออกจากอวน การสร้างแหล่งอาศัยให้ปลาได้มีที่หลบภัย ได้มีที่วางไข่ขยายพันธุ์

การเรียนรู้เรื่อง ลม ในทิศทางต่างๆ ทั้ง 8 ทิศ ลมแบบไหนจะเหมาะกับการจับสัตว์น้ำแบบไหน ช่วงฤดูกาลหรือเดือนไหนจะเหมาะสำหรับการออกไปจับหมึก เดือนไหนจับกุ้ง

สุดท้ายเมื่อจับสัตว์น้ำมาได้ และกินไม่หมด ต้องมีการถนอมอาหาร เช่น การทำปลาเค็มฝังทราย

ทั้งหมดเป็นหลักสูตรเร่งรัดให้เด็กๆ ในเมืองได้มองเห็นทะเลในอีกมิติหนึ่งที่ไม่ได้มีไว้แค่เล่นน้ำ ก่อกองทราย ผมเชื่อว่าวิชา ‘ลูกทะเล’ จะเปลี่ยนมุมมองทะเลของเด็กๆ ไปบ้างไม่มากก็น้อย

น้ำทะเลสีครามเข้มช่างยั่วยวนใจให้วิ่งเข้าใส่เสียจริงๆ แต่กติกาคือ ห้ามลงน้ำหากครูเกรียงไม่อนุญาต นี่คือกติกาสำคัญ หากใครฝ่าฝืนมีโทษหนักคือ งดเล่นน้ำในวันต่อๆ ไป

บ่ายแก่ๆ ของวันแรก เราพาเด็กๆ ไปยังชายหาดเพื่อปฏิบัติการหาน้ำจืดเอาไว้ใช้ โดยเราจะขุดหลุมทรายให้ลึกลงไปราวๆ หนึ่งเมตร ที่ ‘ครูบังซบ’ บอกว่าเราจะได้น้ำจืดมาไว้ใช้ ช่างขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าชายทะเลจะต้องมีน้ำทะเลซึมผ่านเข้ามาอย่างแน่นอน แต่ทำไมน้ำที่ได้จึงไม่เค็ม กลายเป็นน้ำจืดได้อย่างไร

คนทะเลสมัยก่อนเวลาออกเรือไปหาปลา แวะนอนตามหาด ก็ใช้วิธีนี้เอาน้ำจืดมาใช้ จะได้ไม่ต้องขนน้ำจืดลงเรือไปให้หนักเรือ

วิชาดุหลำ – ฟังปลา

คืนแรกของการนอนเต็นท์บนเนินทรายหาดสวนกง อบอ้าวจนค่อนข้างร้อน ทั้งลมที่นิ่งในช่วงค่ำ ทั้งการกางเต็นท์ที่ชิดกันมากเกินไปจนขวางทางลมซึ่งกันและกัน ทำเอาเด็กๆ นอนหลับๆ ตื่นๆ กันไปตลอดคืน แต่ก็หมดสิทธิที่จะลุกขึ้นมานั่งเล่นนอกเต็นท์ เพราะไม่มีใครอยู่แล้ว ต่างคนต่างเข้านอน นี่คือบทเรียนแรกของการปรับตัว

ตีห้า เด็กๆ หลายคนตื่นได้ตามเวลานัดหมาย ผมแจ้งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนว่าตีห้าครึ่งเราจะพร้อมเรียนบทเรียนแรกกัน พร้อมคือ ชุดพร้อมลงน้ำ และใส่ชูชีพเรียบร้อยแล้ว เราจะลงน้ำกันตอนฟ้าเริ่มสว่าง

ครูบังนียืนรออยู่บนหาดทรายริมน้ำ พร้อมอวนยาวกว่าสองร้อยเมตรกำลังคลี่ออก เมื่อเด็กมากันพร้อม ครูบังนีลากหัวอวนลงทะเลไป โดยมีเด็กๆ เกาะติดตามไปด้วย ชั่วเวลาไม่นานนัก หัวอวนก็ตีวงโค้งออกไปไกลในทะเล และวกเข้ามายังฝั่งอีกด้านหนึ่ง อวนแผ่ออกเป็นรูปครึ่งวงกลม ครูบังนีค่อยๆ สาวอวนเข้าฝั่ง หวังว่าจะล้อมปลาให้ติดตาข่ายอวนมาได้บ้าง เป็นการทำ ‘อวนทับตลิ่ง’ ของการหาปลาชายฝั่งแบบง่ายที่สุด แต่อาจจะไม่ได้ปลาถ้าไม่สามารถดูฝูงปลาหน้าหาดได้ นั่นคือลำดับต่อไปที่เราจะให้เด็กๆ ได้หัดสังเกตฝูงปลา แต่บทแรกเอาแค่วิธีทำอวนทับตลิ่งก่อน ซึ่งคราวนี้เราได้ปลาตัวจิ๋วๆ ไม่กี่ตัว บวกกับแมงกะพรุนอีกหลายตัว เราสรุปบทเรียนกันสั้นๆ ว่าทำไมจึงไม่ได้ปลา

“เช้านี้ครูยังไม่เห็นฝูงปลาเลย” ครูบังนีบอกเรา “แต่เราก็ลงอวนเพื่อให้ได้รู้จักวิธีทำกันก่อน เดี๋ยววันต่อๆ ไป เราจะทำใหม่”

ปลาที่ได้ ไม่ตายเปล่าครับ บางตัวที่ยังแข็งแรงดีเมื่อปลดจากอวนได้เราก็ปล่อยลงน้ำไป ตัวไหนทำท่าไม่รอดเราส่งไปห้องครัวเป็นอาหารสดๆ จากทะเลของเราเช้านี้ครับ

เราเริ่มฝึกดุหลำกันในตอนเช้าของวันต่อมา หลังจากเราเก็บอวนทับตลิ่งรอบสองเรียบร้อยแล้ว วันแรกขอแค่ให้เด็กๆ ได้เข้าใจเบื้องต้นว่าดุหลำคืออะไร และเราก็ฝึกการใช้หูในการฟังเสียงต่างๆ ใต้น้ำ โดยครูบังนีจะทดลองตบมือหรือกระทืบเท้าใต้น้ำ ครั้งแรกแทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย แต่พอฝึกไปหลายๆ รอบก็เริ่มได้ยินเสียง และเด็กๆ ก็ตอบได้ใกล้เคียง เราจะฝึกกันแบบนี้อีกหลายครั้ง ก่อนจะลงไปทดสอบฟังเสียงกันกลางทะเลอีกทีในวันที่เราต้องออกไปหาปลากับเรือประมง

เพื่อให้การฝึกใช้หูได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เราจำเป็นจะต้องปิดตา แม้ว่าการหลับตาเมื่อดำน้ำจะทำอยู่โดยอัตโนมัติอยู่แล้วก็ยังไม่เพียงพอ นั่นทำให้ครูบังนีทดลองฝึกในความมืดของกลางคืนดูบ้าง ทุ่มเศษของวันต่อมา เด็กๆ 20 คนก็ใส่ชุดลงน้ำ พากันเดินลงทะเลไปอยู่ในวงล้อมของผู้ปกครองที่ลงไปจับมือยืนล้อมเป็นวงกลมรออยู่แล้ว

พรายน้ำสีเขียวจากแพลงก์ตอนสะท้อนแสงเลือนรางผุดพรายขึ้นระยิบระยับเมื่อเด็กๆ กวาดมือไปมาใต้น้ำ เป็นภาพมหัศจรรย์ตื่นตาตื่นใจทั้งเด็กๆ เองและผู้ปกครองด้วย

เด็กๆ ดำผุดขึ้นลง ขึ้นลง อยู่มากกว่าสิบครั้ง เพื่อให้หูได้ปรับตัวในการได้ยิน เราผ่านการฝึกในตอนกลางวันมาแล้ว วิธีการจึงไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแต่ต้องพยายามฟังเสียงที่เกิดขึ้นใต้น้ำให้ได้ เด็กๆ เกือบทั้งหมดสามารถได้ยินเสียงที่ครูบังนีทำขึ้นใต้น้ำได้เป็นอย่างดี และสามารถบอกทิศทางที่มาของเสียงได้ใกล้เคียง หลายคนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หูของตัวเองจะได้ยินเสียงใต้น้ำได้

ได้เวลาคนเล็กออกจากฝั่ง

ผมพยายามวางตารางเรียนไว้แบบหลวมๆ แต่เอาเข้าจริงก็มีอะไรให้เด็กๆ ได้ทำทั้งเช้าและบ่ายไม่มีหยุดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียนเรื่องการแกะปูออกจากอวนอีกหมู่บ้านหนึ่ง การไปดูการย่างปลาแบบง่ายๆ ที่ชาวบ้านทำขาย การผูกอวน ทำความรู้จักกับอวนที่ใช้ในการจับสัตว์น้ำที่แตกต่างกัน การทำปลาเค็มฝังทราย ไปตัดทางปาล์มเพื่อมาเตรียมทำ ‘อูหยำ’ (นำทางปาล์ม 4-5 ทาง มาผูกติดกัน แล้วผูกด้านหนึ่งด้วยถุงทรายเพื่อถ่วงให้จมลง ก่อนนำไปวางในทะเลเพื่อให้ปลาได้มีที่หลบภัย หรือวางไข่ คล้ายๆ แนวปะการัง)

และวันสำคัญที่เด็กๆ รอคอยก็คือการออกเรือไปหาปลากลางทะเล เป็นการออกไปจับปลาจริงๆ เราแบ่งเด็กลงเรือประมงชายฝั่งของชาวบ้านสามลำด้วยกัน แถมอีกลำหนึ่งเป็นของผู้ปกครองที่อยากจะเห็นวิธีการของจริงด้วยเช่นกัน โดยวันนี้ครูบังนีจะทำการจับปลาโดยการใช้วิธี ดุหลำ คือการฟังเสียงปลาใต้น้ำ ว่ามีปลาอยู่บริเวณไหนบ้าง เราจะไม่วางอวนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า จะทำให้เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เรือประมงขนาดใหญ่มีเครื่องมือช่วยที่เรียกว่า ‘โซนาร์’ เป็นเรดาห์ที่ส่องทะลุไปใต้ผิวน้ำเพื่อตรวจหาฝูงปลาว่าอยู่แถวไหนบ้าง ก่อนจะลงอวน ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับ ‘ดุหลำ’ เพียงแต่เครื่องมือที่ครูบังนีใช้เป็นอุปกรณ์ที่ติดตัวครูบังนีและพวกเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด

แต่การฟังเสียงใต้น้ำก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ใครก็ได้ดำน้ำลงไปแล้วเราจะได้ยินและอ่านเสียงนั้นออก ต้องผ่านประสบการณ์ในการฝึกฝนมาพอสมควร เราได้ยินเสียงแน่ๆ แต่เราไม่รู้เลยว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงของอะไร สำหรับเด็กๆ เราต้องการเพียงให้ได้ยินเสียงใต้น้ำเท่านั้นก็พอ แต่ถ้าสามารถแยกเสียงหรือทิศทางที่มาของแต่ละเสียงได้ก็ยิ่งดี

เรือพาเราแล่นลิ่วออกไปสู่ความเวิ้งว้างของทะเล มองเห็นหาดสวนกงอยู่ไกลลิบ ครูบังนียืนเด่นอยู่บนหัวเรือ ราวสิบห้านาทีครูบังนีก็ส่งสัญญาณให้ครูบังซบที่เป็นคนขับเรือจอดลอยลำ ก่อนที่ตัวเองจะหย่อนตัวลงทะเลไปแบบเงียบๆ และดำหายไปพักใหญ่ ครูบังนีกลับขึ้นเรือ แล้วบอกทิศทางให้ครูบังซบขับเรือมุ่งหน้าไปอีกด้านหนึ่ง เขาไม่ได้ยินเสียงปลามากพอที่จะวางอวนได้ เลยขอย้ายไปดูบริเวณอื่นแทน

ครูบังนีลงน้ำไปอีกสองสามรอบ ก่อนจะส่งสัญญาณด้วยแกลลอนน้ำมันสีขาว (แกลลอนสีขาวจะช่วยให้คนบนเรือสังเกตเห็นได้ง่ายในระยะไกล) ให้ครูบังซบค่อยพาเรือเข้าไปใกล้ๆ จากนั้นอวนยาวกว่า 500 เมตรก็ค่อยปล่อยลงทะเล ตีวงกว้างก่อนแล้วจึงค่อยบีบให้แคบลงเรื่อยๆ ช่วงนี้เราให้เด็กๆ ที่อยู่เรือลำอื่นสลับกันข้ามมาบนเรือที่วางอวน เพื่อให้ทุกคนได้ฝึกการวางอวนลงทะเล น่าจะชั่วโมงเศษๆ เราจึงค่อยๆ สาวอวนกลับขึ้นเรือ ได้ปลาติดขึ้นมาบ้าง ทำเอาเด็กๆ ตื่นเต้นกันใหญ่ ที่ได้เห็นปลาเป็นๆ จากทะเลและส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของพวกเขา แม้ปลาที่ได้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากนัก แต่เพียงแค่นี้ก็จะประทับฝังลงไปในใจของพวกเขาตลอดกาล เป็นประสบการณ์อันมีค่าของเด็กเมืองหลายคนที่เคยรู้จักทะเลแค่ชายหาด

หลังจากสาวอวนขึ้นจนเรียบร้อย เราจะทดลองฝึก ‘ดุหลำ’ กันอีกครั้งเป็นการส่งท้าย แต่ครั้งนี้เป็นกลางทะเล ที่ขายืนไม่ถึง เด็กหลายคนยังว่ายน้ำไม่แข็งนัก และหวั่นๆ กับการออกไปลอยคอกลางน้ำ แต่สามสี่วันที่ผ่านมาเราได้กล่อมพวกเขามาระดับหนึ่งแล้ว วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ทุกคนจะกระโดดตูมลงไปลอยคออยู่กลางทะเลได้โดยไม่วิตกกังวลอะไร ก้าวข้ามความกลัวและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

การทดสอบรอบนี้เด็กๆ ‘ได้ยิน’ และแยกเสียงที่เกิดขึ้นใต้น้ำได้มากขึ้น บอกทิศทางที่มาของเสียงได้แม่นยำขึ้น ทั้งหมดไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแค่การได้ฝึกแค่นั้นเอง จบภารกิจ เล่นน้ำตามสบาย ก่อนจะขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง

ร่ำลา ‘พ่อทะเล’

ปลาทูสดตัวเขื่องเกือบเต็มกะละมังใหญ่เมื่อหลายวันก่อนที่เด็กๆ ช่วยกันควักไส้ ใส่เกลือ แล้วห่อกระดาษ และนำไปรวมกันในกระสอบใบใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะถูกฝังลงในหลุมทรายบนชายหาดในจุดที่น้ำทะเลขึ้นไม่ถึง เพียงห้าวัน ความเค็มยังไม่เข้าเนื้อดีนัก แต่ก็ได้เวลาที่พวกเราจะต้องลาหาดสวนกง จึงต้องขุดขึ้นมาก่อนกำหนดเพื่อเอาไปผึ่งแดดต่อที่บ้าน

เด็กๆ ร่ำลาครูที่เป็น ‘พ่อทะเล’ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นครูบังซบ ครูบังลี ครูบังเหด ครูบังหมาน ครูบังนี รวมทั้งครูก๊ะเลาะ ครูก๊ะตี ที่มาพาเด็กๆ หาหอยเสียบริมทะเลเมื่อวันวาน ขอบคุณทุกๆ คนในหมู่บ้านที่ให้ผมและเด็กๆ มารบกวน

วิชา ‘ลูกทะเล’ ได้ทำให้เด็กๆ รู้จักทะเลในอีกมิติหนึ่งที่เป็นทั้งที่เล่นสนุก เป็นทั้งแหล่งอาหารที่สำคัญไม่น้อยกว่า ‘นาข้าว’ เราคงไม่ต้องบอกเด็กๆ กลุ่มนี้ว่า “อย่าทิ้งขยะลงทะเล” อีกแล้ว

Tags:

สิ่งแวดล้อมeco literacyประมงโรงเรียนธรรมชาติเกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Author & Photographer:

illustrator

เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
EF (executive function)
11 July 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ต้นฉบับนี้เขียนเมื่อวันสุนทรภู่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ใช้เลขไทยสักหน่อยนะ

มีคำถามมาหาเสมอๆ ว่าลูกอ่านรามเกียรติ์ได้ไหม เห็นมีฉากฆ่ากันมากมาย และถ้าใครคุ้นเคยรามเกียรติ์ก็จะรู้ว่าฉากหอกปักอก ศรทะลุร่าง บั่นคอหลุดกระเด็นไป เหล่านี้มีให้อ่านเป็นระยะๆ

ผมตอบเสมอว่าอ่านได้ ด้วยเหตุผลสองข้อ

ข้อแรกคือวรรณกรรมหรือวรรณคดีทุกประเทศ หากไล่ที่มาที่ไปแล้วทุกเรื่องตั้งอยู่บนจิตวิเคราะห์ เรื่องปมปิตุฆาต หรือ Oedipal complex จิตวิเคราะห์นี้เป็นเรื่องธรรมชาติ จะช้าเร็วเด็กก็ต้องเผชิญ จะหันไปทิศใดก็จะได้พบเห็นแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ที่ว่ารักกัน และรักตนนักหนามิได้ตรงไปตรงมาดังที่เข้าใจ ไม่มีอะไรอธิบายเรื่องยากๆ พวกนี้ได้ดีเท่าวรรณคดี

ผมจึงไม่เคยกังวลกับเรื่องสโนว์ไวท์ (พรากพรหมจรรย์) แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (ขโมยและฆ่า) หรือหนูน้อยไม้ขีดไฟ (ความตายของเด็ก) ด้านมืดเป็นสิ่งที่ลูกของเราต้องเผชิญ และวรรณกรรมช่วยให้เขาเผชิญได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

ข้อสองคือไม่มากก็น้อย ผู้เขียนหรือดัดแปลงวรรณคดีสำหรับเด็กมิได้ตั้งใจเขียนเรื่องเรทอาร์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อยากได้เรทอาร์ต้องไปที่อื่น รูปประกอบและคำบรรยายได้ถูกดัดแปลงให้เหมาะสำหรับเด็ก อาจจะดีบ้างไม่ดีบ้างแต่เท่าที่ตนเองเคยสุ่มอ่าน หรือซื้อมาอ่านให้ลูกฟังก็พบว่ามิได้มีอะไรน่าห่วงแม้ว่าบางเล่มจะเลือดสาดก็ตาม

ไกรทอง ปลาบู่ทอง ขุนช้างขุนแผน เรทอาร์ทั้งนั้น

อย่าลืมว่าสมมุติว่าเด็กกลัว เราสามารถเก็บขึ้นได้เสมอ ปีหน้าค่อยหยิบออกมาอ่านใหม่ เด็กเปลี่ยนไปทุกปี เราไม่รีบ

เซ็กส์และความรุนแรงปรากฏในชีวิตคนเรา ปรากฏในจิตวิเคราะห์ และปรากฏในวรรณคดี ลูกของเราเผชิญมันได้ตั้งแต่แรกด้วยสื่อที่ดี และสื่อที่ดีนั้นมีชื่อว่าวรรณคดี

คุณแม่เล่าว่าผมไม่ยอมเข้าห้องเรียนอยู่นาน ถือกิ่งไม้วิ่งรอบสนามปากตะโกนว่า “อัศวินม้าขาวมาแล้ว” อยู่เช่นนั้น คือหนังซามูไรญี่ปุ่นเรื่องดังสมัยก่อน ครั้นเริ่มเรียนหนังสือจริงๆ ก็จำได้ว่าไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรนักในตอนแรกๆ

คุณแม่ต้องลงมาคลุกด้วยตนเองจับมือเขียนหนังสือและทำการบ้านอยู่เสมอๆ

พอถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก็สอบได้ที่ 1 เป็นครั้งแรก โรงเรียนให้หนังสือชุดวรรณกรรมภาพวิจิตรเรื่องสังข์ทองเป็นรางวัล หากจำไม่ผิดน่าจะเป็นลายเส้นของเหม เวชกร หนังสือชุดนี้หายไปแล้วแต่ที่จำได้เพราะตนเองอ่านอยู่หลายเที่ยว สนุกดี นี่ก็ปล่อยแม่เลี้ยงตายต่อหน้าต่อตา

คุณพ่อและคุณแม่เป็นคนจีนโพ้นทะเล คือ ชนกลุ่มน้อยที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์เวลานั้น เหมือนที่บางคนยังทำกับชนกลุ่มน้อยตามชายขอบวันนี้ พวกเราพี่น้องสมัยเด็กๆ เรียนหนังสือจีนด้วย ใช้ชื่อจีนมีแซ่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชื่อยาวนามสกุลยาวในเวลาต่อมา ก็เหมือนชนเผ่าต่างๆ เวลานี้เช่นกัน

​คุณพ่อซื้อนิทานประกอบภาพภาษาจีนมาอ่านให้ฟัง ท่านทำงานเดินสายต่างจังหวัดจึงกลับบ้านไม่บ่อย แต่กลับมาก็จะอ่านนิทานและประดิษฐ์ไพ่ขึ้นมาชวนลูกเล่น (วันหนึ่งคงถึงเวลาเขียนถึงของเล่นอย่างที่ 11 ไพ่ดีอย่างไรและเล่นได้อย่างไร) เมื่อพวกเราอ่านหนังสือไทยออกเพราะคุณแม่อ่านหนังสือไทยไม่ออกก่อนที่ท่านจะเรียนด้วยตนเองจนอ่านได้ในเวลาต่อมา ท่านซื้อนิทานประกอบภาพเรื่องไซอิ๋วของนานมีบุ๊คส์มาให้พวกเราอ่าน เป็นหนังสือเล่มเล็กมีภาพลายเส้นวิจิตรอย่างจีนและคำบรรยายใต้ภาพทุกหน้า ความยาว 32 เล่มจบ นั่นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เลขไทยอีกสักหน่อยนะ

​หนังสือชุดไซอิ๋วนี้ขาดจากท้องตลาดไปนานแล้ว แว่วว่านานมีบุ๊คส์กำลังจะจัดพิมพ์ใหม่

ตอนที่พวกเราอายุเท่าไรก็จำไม่ได้อีกเหมือนกัน คุณแม่พาพวกเราไปเที่ยวงานกาชาด ที่ไหนก็จำไม่ได้ งานกาชาดเวลานั้นก็เหมือนสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเวลานี้ จะมีแผงหนังสือลดราคาร้อยละ 50 พวกเรามีโอกาสซื้อหนังสือราคาแพงปีละครั้ง แม่ซื้อสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) 2 เล่มจบ ส่วนผมกำลังบ้ารามเกียรติ์จึงซื้อบทละครรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ราคาลดแล้วไม่เกิน 50 บาทต่อเรื่อง ถือว่าราคาสูง

​พี่ชายอ่านสามก๊กไปมากกว่าสามรอบ ผมอ่านรามเกียรติ์ไปหลายรอบ สนุกดี

​ตอนที่เรียนประถมศึกษาปีที่ 5-7 พวกเราทยอยซื้อหนังสือวรรณคดีเข้าบ้าน ทั้งจีนและไทย ห้องสิน ซ้องกั๋ง ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี อิเหนา ราชาธิราช เป็นต้น ล้วนซื้อจากงานกาชาดหรืองานวชิราวุธซึ่งจะมีแผงลดราคาร้อยละ 50 ทุกปีอย่างสม่ำเสมอ

​วันหนึ่ง ผมจึงไปพบรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 จำนวนหลายสิบเล่มจบในห้องสมุดประจำโรงเรียนชั้นมัธยม จึงขอยืมกลับมาอ่านตั้งแต่เล่มที่ 1 หิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดินไล่ไปเรื่อยๆ สัปดาห์ละ 1-2 เล่มจนอวสานอย่างสมบูรณ์ จนถึงวันนี้หากให้ตนเองลงความเห็นว่าวรรณคดีเรื่องใดดีที่สุดก็คงไม่พ้นชุดนี้ แม้ว่าจะชอบสามก๊ก กามนิตและมหาภารตยุทธมาก แต่เวลาใจประหวัดถึงวรรณคดีที่มีผลกระทบต่อชีวิตตนเอง ก็จะเป็นรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 นี้ผุดขึ้นชื่อแรกเสมอ

​ด้วยเหตุผล 2 ข้อ

ข้อแรกคือสนุกมาก ไม่ว่าจะฉากรบฉากรัก ฉากรบหัวขาดกันกระจุย ตายกันเป็นหมื่นแสนเหมือนหนังสเปเชียลเอฟเฟ็คต์ยุคใหม่ ฉากรักวาบหวามถึงใจแม้จะไม่เอ็กซ์เท่าพระอภัยมณีหรือขุนช้างขุนแผนก็ตาม

ข้อสองคือคำคลังเยอะมาก ไม่สิ ควรเรียกว่ามหาศาลเสียมากกว่า (จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าการ์ตูนญี่ปุ่นแปลไทยทำไมถึงชอบมีบทสนทนาว่า ไม่สิ บ่อยมาก คนญี่ปุ่นชอบพูดว่า ไม่สิ หรืออย่างไร) ท่านที่อยากได้คลังคำจำนวนมากเก็บไว้ในหัวสมองโดยไม่ต้องนั่งท่องลองอ่านรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 นี้ไปสองเที่ยว รับประกันความเยอะ

ผมอ่านสองเที่ยวจริงๆ พอเรียนแพทย์ตนเองมีเงินเก็บบ้างแล้วจึงซื้อรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 นี้เวอร์ชั่น 4 เล่มจบกลับบ้านมาอ่านซ้ำ อ่านเสร็จตัดปฏิทินรามเกียรติ์วัดพระแก้วทำหน้าปกเองห่อพลาสติกเรียบร้อยเป็นหนังสือคู่กายทุกวันนี้

ยามใดเขียนหนังสือไม่ออก หัวติดขัด ก็จะหยิบรามเกียรติ์มาอ่านไปสักสิบยี่สิบหน้า พอให้คลังคำสตาร์ททำงาน เมื่ออิเล็กตรอนวิ่งชนกันในสมอง เราจะรู้ได้เองว่าสัปดาห์นี้จะเขียนอะไรเพื่อเอาตัวรอด

เช่นข้อเขียนนี้เป็นต้น ๕๕๕ หัวเราะแบบไทยโบราณ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับการอ่านของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ
21st Century skills
11 July 2019

10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • บทความล่าสุดจาก World Economy Forum เรื่อง ’10 reasons why today’s cyber leaders are tomorrow’s world leaders’ ชี้ว่า ทักษะสำคัญของผู้นำในโลกไซเบอร์อาจเป็นทักษะของผู้นำในโลกอนาคต
  • เพราะธรรมชาติงานในวงการไซเบอร์นั้นเปลี่ยนเร็ว อยู่กับข้อมูลละเอียดอ่อน ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วนและแบกรับความกดดันหลายครั้ง
  • 10 ทักษะนี้ ไม่จำเป็นต้องมีครบ อาจเป็นผู้นำทีมที่รวมสมาชิกไว้ครบทุกทักษะ…ก็ได้
ภาพประกอบ: ชาลิสา พุทธรักษา

คงไม่ต้องพูดกันอีกแล้วว่าเราอยู่ในยุค Digital Disruption Technologies หรือสภาวการณ์ที่โลกเปลี่ยนเร็วเพราะเทคโนโลยี ตลอดมามีการทำนายคุณลักษณะของมนุษย์, รูปแบบงาน กระทั่งเทคโนโลยีในวันข้างหน้า เพื่อหาทางปรับตัวให้ทันกับโลกอนาคตเรื่อยมา

บทความล่าสุดจาก World Economy Forum (สภาเศรษฐกิจโลก) เรื่อง ‘10 reasons why today’s cyber leaders are tomorrow’s world leaders’ (10 เหตุผล ทำไมผู้นำด้านไซเบอร์วันนี้ จะกลายเป็นผู้นำโลกในวันข้างหน้า) โดย ฟรานเซสกา บอสโก (Francesca Bosco) หัวหน้าโปรเจ็คค์ความปลอดภัยไซเบอร์ และ รีเบคกา ลิวอิส (Rebekah Lewis) หัวหน้าโปรเจ็คค์นโยบายธรรมาภิบาล แห่ง World Economy Forum อธิบายว่า…

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หนึ่งในอาชีพที่ถูกจับตาคือคนที่ทำงานในวงการไซเบอร์ ซึ่งธรรมชาติงานนั้นเปลี่ยนเร็ว ต้องอยู่กับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เมื่อเจอวิกฤติแต่ละครั้ง พวกเขาต้องตัดสินใจเร่งด่วนภายใต้ความกดดันที่ขึ้งเครียดและด้วยข้อมูลจำกัด ทักษะของคนวงการไซเบอร์จึงน่าสนใจและน่าจับตาดูว่า ผู้ที่ผลิตและทำงานกับเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้านั้น มีลักษณะและมีทักษะอะไร 

บอสโก และ ลิวอิส ยกตัวอย่าง 10 ทักษะของ ‘ผู้นำในโลกไซเบอร์’ และชี้ว่านี่อาจเป็นทักษะของผู้นำโลกอนาคต (อันใกล้) ก็ได้

1. ความรู้และทักษะที่กว้างขวาง

ในสายงานความปลอดภัยไซเบอร์ ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งและโดดเด่นรอบด้าน เพราะต้องวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขไปจนถึงบริหารจัดการคน ยิ่งอาวุโสในสายงานเท่าไร สิ่งที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่แค่กระบวนการทำงานภายในอย่างการบริหารจัดการธุรกิจหรือจัดการความเสี่ยง แต่ต้องรับมือกับปัจจัยภายนอก เช่น ขั้วความสัมพันธ์การเมือง เข้าใจระบบ ระเบียบ ความเคลื่อนไหวของแต่ละภูมิภาคและระดับโลก 

พวกเขาต้องรอบรู้ให้กว้างเพื่อนำกลับมาประเมินสถานการณ์ เพราะทุกอย่างที่ว่ามานี้ จะกลับไปกระทบต่อองค์กรที่ทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์แทบทั้งสิ้น

2. ความสามารถด้านการทำนาย

ธรรมชาติของงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานต้องมีสายตาพิเศษเพื่อจับทิศทางข้างหน้า ต้องรักการทำนาย และเปิดกว้างต่อเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่พวกเขาต้องทำนายสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสี่ยง’

ผู้นำในสายงานความปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มแข็ง ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอจะทำนายผลกระทบต่อการพัฒนาโปรเจ็คท์ใหญ่ๆ เช่น ผลจาก AI, คอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม (Quantum Computer), ข้อมูลในประเทศ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน เช่น การเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกแผนงานบางอย่างของบริษัทคู่ค้า, ความผันผวนรุนแรงของสภาพอากาศ มัลแวร์ หรือกระทั่งการโจมตีไซเบอร์เอง แล้วนำมาวิเคราะห์ให้ได้ว่าท่ามกลางปัจจัยเหล่านี้ ความเสี่ยงใดที่อาจเกิดขึ้น

3. ความสามารถในการวิเคราะห์และแยกแยะ

ผู้นำในโลกไซเบอร์ต้องอยู่กับข้อมูลที่ท่วมท้นและหลากหลายอันมาจากปัจจัยภายในและนอก ไม่เพียงต้องเข้าใจปัจจัย บริบท ประเด็น สิ่งที่กำลังทำเท่านั้น ผู้นำไซเบอร์ต้องมีปฏิภาณไหวพริบ ‘แยกแยะ’ ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งปะปนอยู่กับข้อมูลที่ต้องใช้จริง แยกความแตกต่างระหว่างข้อมูลจริงกับเท็จ และยังต้องเข้าใจหยิบข้อมูลพื้นฐานบางอย่างขึ้นมาตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ได้

4. ความสามารถเชื่อมโยง หาทางลัดด้านกลยุทธ์

เพราะการเป็นผู้นำในกลุ่มการบริหารความปลอดภัยไซเบอร์ จำเป็นต้องใช้ข้อมูลแวดล้อมหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นจากสถิติ จากรายงาน หรือข้อถกเถียงของคนในทีมไปจนถึงข้อถกเถียงของคนในวงการต่างๆ นอกจากความเฉลียวฉลาดในการหาข้อมูล ผู้นำในสายงานนี้เป็นต้องมีทักษะเชื่อมโยงข้อมูล ‘ระหว่างสายงาน’ เพื่อคิดค้นกลยุทธ์การทำงานและพัฒนาความปลอดภัยองค์กร

การทำงานจึงต้องเป็นรูปแบบ Agile ที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารข้ามฝ่ายและไม่มีรูปแบบการทำงานแบบเป็นขั้นตอน วิธีการทำงานแบบนี้ยิ่งเรียกร้องต่อผู้ปฏิบัติงานให้มีความสงสัยใคร่รู้ที่จะประเมินข้อมูลและกำหนดกลยุทธ์การทำงานอยู่เสมอ

5. การบริหารจัดการความเสี่ยง

ไม่ว่าจะเตรียมพร้อมดีแค่ไหน แต่ปัญหาไซเบอร์เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระดับเล็กถึงใหญ่ ผู้นำด้านไซเบอร์ต้องเตรียมรับมือ ตอบสนองต่อวิกฤติอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเพราะทุกครั้งที่เกิดปัญหาต้องมีการตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้เลี่ยงการสูญเสียไม่ได้ ผู้นำต้องชั่งตวงวัดข้อมูลเท่าที่มี ตัดสินใจ และรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

เวลาเกิดสถานการณ์ทำนองนี้ ผู้นำไซเบอร์ต้องทำงานภายใต้ความกดดัน ผู้นำต้องมีความสามารถในการประเมินข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แม่นยำ หาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่กระจัดกระจาย และการตัดสินใจนั้นต้องยุติธรรม ไม่มีอคติจากบุคคลหรือคนในทีม

6. มีจริยธรรมและรับผิดรับชอบ

เพราะความซับซ้อนและการขยายขอบเขตของสภาวะไซเบอร์ ยิ่งทำให้จริยธรรมของคนทำงานในพื้นที่นี้ถูกท้าท้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และเพราะธรรมชาติของงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์นั้นมีความละเอียดอ่อนมาก ข้อมูลบางอย่างเปิดเผยไม่ได้ หรือถูกท้าทายว่าสมควรเปิดเผยได้แค่ไหน หลายครั้งคนทำงานด้านนี้จึงต้องตัดสินใจด้วยประสบการณ์ และการตัดสินใจหลายๆ ครั้งเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ 

7. มองเห็นภาพรวม แต่ซูมลึกลงไปจนเห็นรายละเอียดเล็กๆ ได้

ปัจจุบันองค์กรต่างๆ แยกหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ออกจากโครงสร้างการทำงานทั่วไป แต่ธรรมชาติของงานด้านนี้ ต้องการความเข้าใจและต้องเข้าไปรับผิดชอบหน่วยปฏิบัติการระบบงานหลักหลายส่วน เช่น งานการเงิน, หน่วยปฏิบัติการ, ทรัพยากรบุคคล, ประกัน และอื่นๆ 

ด้วยรูปแบบงานที่ไม่มีเส้นพรมแดนนี้ ผู้นำด้านไซเบอร์ต้องขีดเส้นใต้ให้ชัดว่าจะเข้าไปควบคุมดูแลงานส่วนไหนและแค่ไหน การทำงานแบบนี้ ผู้นำด้านไซเบอร์ต้องมีทักษะเลือกรับข้อมูลและรู้ว่าจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทีมงานต่างๆ ทั้งภายในและนอกองค์กรอย่างไร ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาที่ว่า ผู้นำไซเบอร์ต้องมีความเชี่ยวชาญในการมองภาพรวม แต่ซูมลึกลงไปในรายละเอียดเล็กๆ ได้

8. มอบหมายงานเป็น

คล้ายกับผู้นำทั่วไป ผู้นำไซเบอร์ประสบความสำเร็จไม่ได้ด้วยตัวคนเดียว การมีทีมงานสำคัญมาก ทักษะการมอบหมายงานให้ถูกคนจำเป็นไม่แพ้ทักษะอื่นๆ ผู้นำควรรู้ว่าจะมอบหมายงานให้ใคร จัดสรรแบ่งเบาความรับผิดชอบงานให้คนในทีมอย่างไร สำคัญที่สุดคือทำให้ชัดว่างานแบบไหนที่มอบหมายให้ทีมทำได้ งานแบบไหนที่ผู้นำต้องทำเอง เช่น งานด้านความสัมพันธ์ หรือการตัดสินใจในเรื่องสำคัญบางอย่าง

9. หามติร่วมเพื่อตัดสินใจ

การทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต้องทำงานกับผู้เชี่ยวชาญหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การตลาด การสื่อสาร และคนในแวดวงเทคโนโลยีด้วยกันเอง ในการทำงานจริง การแก้ไขปัญหาไซเบอร์จึงไม่อาจแก้ได้ด้วยความเห็นของทีมงานเดียว 

ผู้นำไซเบอร์จึงต้องสื่อสารให้คนทุกสายงานเข้าใจร่วมกัน โดยเฉพาะการปรับคำศัพท์เฉพาะแต่ละสายงานให้เป็นภาษาที่เข้าใจได้ทุกทีม จากนั้นจึงต้องเป็นตัวกลางเพื่อหามติและลงความเห็น

ข้อนี้-การสื่อสารเพื่อหามติ เหมือนเป็นสิ่งที่ผู้นำหลายองค์กรต้องมี แต่ต้องไม่ลืมว่าการทำงานด้านไซเบอร์ไม่ได้ทำงานแค่คนในประเทศแต่ทำงานกับผู้คนต่างภาษาด้วย แปลว่านอกจากการสื่อสารที่ชัดเจนในภาษาของตัวเองแล้ว ผู้นำไซเบอร์ยังต้องมีความเชี่ยวชาญทางภาษาต่างประเทศระดับลึกซึ้งอีกด้วย

10. สร้างบรรยากาศเพื่อสร้างประสิทธิภาพการทำงาน

ผู้นำไซเบอร์ต้องทำงานอยู่กับสภาวะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด แน่นอนว่านี่คือโอกาส แต่ก็หมายถึงจุดอ่อนในแง่การตามไม่ทันเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน เพื่อจะยืนอยู่ในวงการนี้ได้ พวกเขาจำเป็นต้องคัดผู้ที่มีคุณสมบัติคนทำงานแบบใหม่ ต้องการคนทำงานที่ยืดหยุ่น รักษามาตรฐานงาน และรักในการเรียนรู้อยู่เสมอ

เพื่อหาคนทำงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ผู้นำไซเบอร์ต้องปรับนโยบายด้านการทำงานเพื่อเอื้อให้เกิดบรรยากาศและรักษาคนที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวไปให้ทำงานกับทีมได้ สำคัญคือผู้นำไซเบอร์จะถูกเรียกร้องเรื่องความเป็นธรรม และการประเมินการทำงานที่เสมอภาคและโปร่งใส

ปัจจุบันผู้นำไซเบอร์ไม่ได้ถูกเรียกร้องแค่ให้เป็นผู้นำโลก – โลกที่จะซับซ้อนและหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่การเป็นผู้นำของคนทำงานรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ทั้งทักษะสังคมและทักษะวิชาชีพ แต่ยังเป็นต้นแบบของผู้นำรุ่นใหม่ แบบที่โลกอนาคตต้องการ 

ที่มา:

 weforum.org/

Tags:

Disruption21st Century skillsภาวะผู้นำ(leadership)คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย
Voice of New Gen
10 July 2019

ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • ศิริส้ม (SiriSOM) ผลิตภัณฑ์ช่วยชะลอความเปรี้ยวและยืดอายุของปลาส้ม ให้ผู้ค้าในชุมชนท่าบ่อวางขายได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น ผลงานของน้องๆ ชุมนุมนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์
  • ความก้าวหน้าและน่าสนใจของศิริส้ม คือด้วยกระบวนการทดลองที่เป็นวิทยาศาสตร์ ความตั้งใจจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ โลโก้ และมีกลุ่มผู้ใช้รอซื้อจริง ขาดก็เพียงการขอมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์เท่านั้น ความฝันของสมาชิกในทีมก็จะเป็นจริง
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่


แม้แม่ช้อยฯ ไม่ได้กล่าวไว้ แต่คนส่วนใหญ่รู้ดีว่า ปลาส้มที่อร่อยเนื้อต้องไม่เละ และความเปรี้ยวต้องพอดี หากปลาส้มแผงใดเปรี้ยวโดด ให้สงสัยได้ทันทีว่า ปลาส้มนั้นค้างแผงนานจนใกล้เสีย

ในมุมวิทยาศาสตร์ ต้นเหตุที่ทำให้ปลาส้มเปรี้ยวจวนเสีย คือ ‘แลคติกแอซิดแบคทีเรีย’ ที่มากเกินไป เจ้าแบคทีเรียนี้ยิ่งมีมาก ปลาส้มยิ่งเสียเร็ว ถ้าแม่ค้าขายไม่ทันก็เท่ากับทุนหายกำไรหด ถ้าลูกค้าโชคร้ายหยิบไปก็สูญเงิน และอาจได้อาการท้องเสียเป็นของแถม

“จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะลองใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยคุมปริมาณแลคติกแอซิดแบคทีเรีย เพื่อยืดอายุให้ปลาส้ม แม่ค้าและลูกค้าจะได้แฮปปี้กันทุกคน” 

คือสิ่งที่ 3 สาวและ 3 หนุ่มจากโรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม คิดออกมาดังๆ ก่อนจะเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ออกไปทดลองทำจริงๆ เพื่อพบว่า มีความสำเร็จและผิดพลาดมากมายรออยู่หลังประตูบานนั้น…

ทดลองเข้มข้น จากรุ่นสู่รุ่น

ศิริส้ม (SiriSOM) ผลิตภัณฑ์ช่วยชะลอความเปรี้ยวและยืดอายุของปลาส้มโดยไม่ต้องแช่เย็น เป็นผลงานของน้องๆ ชุมนุมนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษฏ์ ที่พัฒนาต่อเนื่องกันมาถึง 3 รุ่น แต่เดิมเคยทำโครงงานเรื่องการนำน้ำเหลือทิ้งมาทำปลาส้ม จนมาถึงรุ่นของ มายด์-ชยมล ลิปูหนอง ชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สานต่อโปรเจ็คท์ดังกล่าวจนได้รางวัลในการประกวดนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และต่อยอดมาถึงรุ่นปัจจุบัน ที่ทำโครงงานเรื่องการยับยั้งแลคติกแอซิดแบคทีเรียในปลาส้ม

“ตอนทำโครงงานรุ่นแรก เรามีองค์ความรู้เรื่องสารที่สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ รุ่นหนูเลยคิดต่อยอดไปเรื่องการตลาด เริ่มจากไปสัมภาษณ์คนทำปลาส้มว่า ‘นอกจากปัญหาน้ำทิ้งแล้วมีปัญหาอะไรอีกบ้าง?’ ก็เจอปัญหาหนึ่งคือ ปลาส้มเปรี้ยวเร็ว วางขายแค่ 2-3 วันก็เสีย สังเกตได้จากแผงว่าจะมีปลาเก่ากับปลาใหม่ ราคาจะต่างกัน ปลาเก่าคือตัวที่เปรี้ยวมาก ราคาจะถูกกว่า เราเลยนำเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อหลักในการทำโครงงาน” มายด์เล่าถึงที่มาของโครงงาน ที่เป็นการยกระดับผลงานเพื่อช่วยแก้ปัญหาธุรกิจปลาส้ม จากระดับกระบวนการผลิต ไปสู่ระดับการตลาด

แต่ด้วยภารกิจที่ต้องพัฒนาโปรเจ็คท์โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project: JSTP) ของตัวเอง และเพื่อนร่วมทีมก็อยู่ในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงส่งต่อผลงานศิริส้ม (ตอนนั้นอยู่ในขั้นผลการทดลอง) ให้รุ่นน้องอย่าง ต๋อง-ภานุพงษ์ อินทะศรี ชั้นม.5, โม-ชญานิกานต์ เจนการค้า ม.6 และ เมย์-พิมลวรรณ สุพะสอน ม.6 โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ ทำต่อเพื่อส่งแข่งขันโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) โดยมายด์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ สนับสนุนงานเอกสาร และมีอาจารย์ที่ปรึกษาช่วยสนับสนุนการทดลอง 

แม้ต้องทิ้งงานของตัวเองเพื่อมารับช่วงต่อจากรุ่นพี่ และไม่ใช่สิ่งที่ทั้ง ต๋อง โม และเมย์ คิดฝันไว้ แต่ด้วยเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่กลุ่มผู้ใช้จะได้รับ ทั้งสามจึงเข้ามารับงานศิริส้มอย่างเต็มตัว

“ตอนนั้นเราทำโครงงานอื่นอยู่ แต่โครงงานนี้มีกลุ่มผู้ใช้ชัดเจนคือ คนในชุมชนท่าบ่อ เลยทิ้งโครงงานเดิมมาทำโครงงานนี้ ตอนนั้นพวกหนูก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง พี่มายด์ต้องสอนงานใหม่หมด ดูค่า pH ก็ยังไม่เป็น ไม่รู้สีอะไรเป็นสีอะไร แยกไม่ออก ก็ต้องทำใหม่เรื่อยๆ” โมเล่าอย่างอารมณ์ดี

โปรเจ็คท์ศิริส้มมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาสารเพื่อช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในปลาส้ม ทำให้ปลาส้มมีอายุยาวนานขึ้น ให้ผู้ค้าในชุมชนท่าบ่อสามารถวางจำหน่ายได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่น้ำแข็ง ซึ่งสิ่งที่ทีมต้องทำก็คือ พิสูจน์สมมุติฐานว่า อนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ (อนุภาคของซิงค์ออกไซด์ที่มีขนาด 25-50 นาโนเมตร) สามารถยับยั้งเชื้อราและกำจัดแบคทีเรีย สามารถยับยั้งปริมาณแบคทีเรียกรดแลคติก (Lactic Acid Bacteria) ได้จริงหรือไม่ และถ้าสามารถยับยั้งได้ ต้องใช้ในปริมาณความเข้มข้นเท่าไหร่

“ตอนแรกเราวัดผลแค่ตอนปลาย คือวัดค่า pH กับการไทเทรต (Titration) หาความเข้มข้นของกรด เพราะแบคทีเรียเพิ่มปริมาณได้จากกรด เราจึงทดลองจากสมมุติฐานแรกคือ ถ้าเราใส่ปริมาณซิงค์ออกไซด์ที่เท่าไหร่ มันจะให้ความเข้มข้นที่ต่างกัน แล้วมันจะสามารถยับยั้งได้ที่ปริมาณความเข้มข้นที่เท่าไหร่ ทีแรกผลที่ได้อยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้กับของที่เป็นอาหาร ปริมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าสิ้นเปลือง จะเพิ่มต้นทุนมากกว่าลดต้นทุน และอาจตกค้างในร่างกายจากการที่มันแตกตัวไม่หมด เราเลยทดลองสมมุติฐานเพิ่มว่า ถ้าปริมาณน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นอย่างไร แล้วเราก็ทดลองลดความเข้มข้นไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์ จนพบว่าช่วงประมาณ 0.1-0.3 เปอร์เซ็นต์ สามารถลดปริมาณแบคทีเรียได้เหมือนกัน” มายด์เล่าถึงกระบวนการทำงานของทีม ซึ่งกว่าจะได้ปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม ต้องผ่านการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายร้อยรอบ

เมื่อความผิดพลาดกลายเป็นความคุ้นชิน

นอกจากโม-เมย์-ต๋อง ยังมี มาร์ค-ชาญชล ลิปูหนอง และ กุ้ง-ณัฐภัทร ไชยกา โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ เข้ามาร่วมทีมในช่วงเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 6 ได้เปิดโลกของการเรียนรู้หลายๆ อย่าง แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือ การฝึกปรือเทคนิคการทดลองทางวิทยาศาสตร์

“หนูไม่เคยทำโครงงานมาก่อน ไปแข่งแค่โครงงานคณิตศาสตร์ก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลย รอไปนำเสนอเฉยๆ (หัวเราะ) พอมาทำงานนี้ พี่สอนให้ทำเองทุกอย่าง เขาจะไม่ทำการทดลองให้ แต่จะสอนและซัพพอร์ตอยู่ห่างๆ เราต้องลงมือทำเองหมด ถ้าเราทำผิดพลาดเราก็ต้องเริ่มทำใหม่เอง เหนื่อยมาก สมมุติฐานแรกเราทดลองกัน 20-30 ครั้ง ซึ่งมันเฟล ซื้อปลาส้มมาเต็มตู้เย็นจนแช่อย่างอื่นไม่ได้เลย” โมเล่าด้วยเสียงหัวเราะ

“ตอนเข้ามาแรกๆ ผมยังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไม่เคยทำแล็บวิทยาศาสตร์ ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ทำให้ได้เรียนรู้วิธีชั่งสารว่าต้องทำอย่างไร รวมทั้งกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วย” ต๋องเสริม

“ก่อนจบ ม.6 หนูถ่ายทอดทุกสิ่งที่มีให้น้อง ทั้งการผสมสารแต่ละสูตร วิธีเลี้ยงเชื้อ วิธีการไทเทรต วิธีหาความเข้มข้น การใช้เครื่องมือต่างๆ สอนเกือบครึ่งเดือน ทำการทดลองซ้ำๆ วัดปริมาณกรดและทดลองการเลี้ยงเชื้อว่ามันสามารถยับยั้งเชื้อที่เราเลี้ยงได้ไหม” มายด์กล่าว

ใครที่ไม่เคยทำแล็บวิทยาศาสตร์ อาจนึกภาพไม่ออกว่าการทดลองซ้ำๆ ของนักวิทย์นั้นเขาทำกันมากน้อยแค่ไหน เมื่อได้ยินคำถามนี้ โมก็หัวเราะและตอบอย่างร่าเริงว่า

“ถ้านับเป็นชุดการทดลองเราทำหลายรอบมาก ความเข้มข้นที่ 1 เปอร์เซ็นต์ ทำ 3 ชุดการทดลอง ชุดละ 3 ครั้ง ก็ 9 ชุดแล้ว และมีชุดควบคุมอีก 3 ชุด ตีว่า 1 ชุดความเข้มข้นเราต้องทดลอง 9+3 ครั้งตลอด แล้วลดความเข้มข้นไปทีละ 0.1 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้วเราทดลองประมาณ 500 ครั้งที่ได้ผล กับอีกประมาณ 300 ครั้งที่ไม่ได้ผล ใช้ปลาส้มในการทดลองไปประมาณ 800 ตัว”

การทดลองเหยียบ 1,000 ครั้งถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียน ม.ปลาย อย่างพวกเขา หนำซ้ำในการทดลอง 800 กว่าครั้งนั้นก็ไม่ใช่จะสำเร็จไปทุกครั้ง หากแต่พวกเขาต้องประสบกับความผิดพลาดไปถึง 300 ครั้ง

พวกเขารับมือกับความพลาดหวังดังกล่าวกันอย่างไร?

“ถ้าเราทำผิดพลาดเราก็ต้องเริ่มทำใหม่” คือประโยคที่โมทวนให้ฟังอีกรอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนคุ้นชินไปแล้วกับความผิดพลาดที่เจอเป็นประจำ 

“สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่ามันเฟลคือ จะมีปลาที่เน่าตอนวันที่ 4 หรือ 5 หลังการทดลอง ซึ่งจริงๆ มันต้องไม่เน่าเพราะมีแบคทีเรียที่ผลิตกรดอยู่แล้ว เราก็ต้องไปดูว่าช่วงระหว่างนั้นทดลองยังไง ผิดตรงไหน ใส่อะไรแปลกไป หรือเปิดฝาทิ้งไว้ ก็ต้องสืบจากคำบอกของน้องว่าทำอะไรไปบ้าง ต้องหาให้ได้ว่าผิดพลาดตรงจุดไหน แล้วทำใหม่ บางครั้งก็ไม่รู้สาเหตุจริงๆ ว่าเกิดจากอะไร ก็ทำใหม่” มายด์เสริม

แม้จะต้องพบกับความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นความคุ้นชิน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหยุดยั้งการทดลอง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามีผู้ใช้ที่รอคอยผลงานของพวกเขาอยู่

“เราเอาผลงานไปเสนอให้ร้านค้าปลาส้มลองใช้ ตอนนี้มี 2 เจ้าแล้วที่ลองแล้วเวิร์ค เขาชอบ ทีแรกพวกหนูต้องการแก้ปัญหาแค่เรื่องน้ำแข็ง แต่เขาฟีดแบ็คกลับมาว่ามันแก้ปัญหาเรื่องถุงได้ด้วย คือปกติถุงที่เขาซีลปลาส้มไว้มันจะพองลม เพราะแบคทีเรียไม่ได้ผลิตแค่กรดอย่างเดียว แต่มันผลิตแก๊สด้วย พอผลิตแก๊ส ถุงก็จะพอง ทำให้เขาต้องเปลี่ยนถุงใหม่เรื่อยๆ เพราะถุงไม่สวยใครก็ไม่อยากซื้อ ซึ่งถุงมีราคาแพงมาก ถ้าต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ก็เพิ่มต้นทุน อีกอย่างพอใส่น้ำแข็งถุงก็แตก ตรงนี้เลยเป็นผลพลอยได้ เพราะทีแรกเราคิดแค่ยับยั้งกรด แต่พอแบคทีเรียน้อยแก๊สมันก็น้อยลงด้วย” มายด์เล่าอย่างภาคภูมิใจ

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ กับความฝันที่ยังไม่หายไป

ดูจากพัฒนาการของผลงานแล้ว กล่าวได้ว่าศิริส้มเป็นโปรเจ็คท์ที่มีความก้าวหน้าชนิดน่าจับตามอง ด้วยกระบวนการทดลองที่เป็นวิทยาศาสตร์ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ที่เป็นรูปธรรม มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ โลโก้ และมีกลุ่มผู้ใช้รอซื้อจริง ขาดก็เพียงการขอมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์เท่านั้น ความฝันของสมาชิกในทีมก็จะเป็นจริง

“ตอนค่ายสองโค้ชบอกว่า ผลงานของเราเป็นของกิน ต้องส่งขอ อย. ก็ได้ไปจ้างแล็บของห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ระหว่างนั้นเราก็พัฒนาแพ็คเกจไปเรื่อยๆ” มายด์เล่า

ขณะที่โมขยายความต่อ “ตอนค่ายสามมีผลแล็บประมาณหนึ่งแล้ว พี่โบ้ (สิทธิชัย ชาติ นักวิชาการ งานพัฒนาเยาวชนและเขตพื้นที่ด้านไอที ฝ่ายสนับสนุนการวิจัย NECTEC และหัวหน้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่) ก็ให้ไปศึกษาวิธีการขอ อย. ว่าต้องผ่านอะไรบ้าง หนูก็ไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถยื่นประเภทไหนได้บ้าง เขาบอกว่ามันเป็นประเภทเจือปนในอาหาร ก็ไปดูว่าต้องผ่านเกณฑ์อะไรบ้าง ซึ่งมันเป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แต่ก็อยากทำให้ได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ชุมชนยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในผลงานเรา เพราะเรายังไม่มี อย. ติดข้างขวด”

รูปการณ์เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในวันสุดท้ายก่อนที่จะปิดค่ายโครงการต่อกล้าฯ ทีมก็ได้รับข่าวร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด

“กรรมการและทีมโค้ชเรียกให้เข้าไปคุยในห้องประชุม หนูก็ชิลล์ๆ เข้าไปนั่ง แต่ก็กะว่าต้องมีเรื่องแล้ว เพราะเห็นทุกคนหน้าตาจริงจังมาก แล้วเขาก็แจ้งว่าทางศูนย์นาโนเทคโนโลยีฯ แจ้งมาว่า สารที่เราใช้ มันใช้กับภายนอกได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยที่บอกว่าสามารถกินได้ คือไม่ได้บอกว่ากินไม่ได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยมารองรับว่ากินได้ มันก็เลยยังไม่ควรกิน” มายด์เล่าถึงข่าวร้ายที่ทีมได้รับ

“ตอนนั้นรู้สึกเสียใจ เพราะอีกนิดเดียวมันก็จะเสร็จแล้ว สุดท้ายโค้ชบอกว่าให้ลองเปลี่ยนจากอนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์เป็นสารอื่นที่สามารถกินได้ แต่ตอนนั้นเราก็แบบ… อุตส่าห์ทำแทบตาย” โมเล่าถึงอารมณ์ในตอนนั้น

ขึ้นชื่อว่าความพลาดหวัง เป็นภาวะที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แต่สำหรับสมาชิกทั้งหกที่มีภูมิคุ้มกันเรื่องความผิดพลาดมาอย่างโชกโชน แม้จะเสียใจ แต่พวกเขายังไม่ท้อ

“เสียใจ แต่ไม่ท้อ มันน่าเสียดายแต่ก็ไม่ถึงกับสูญเปล่า ถ้าให้เทียบก็เหมือนจากที่ทำมาได้ 99 เปอร์เซ็นต์แล้ว อยู่ดีๆ ก็ถูกตัดออกไปเหลือแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็คิดกันเสียว่าเหลืออีก 49 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องมาลองทำกันใหม่” โมเผยความรู้สึก

เพราะกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์สอนพวกเขาว่า ความผิดพลาดคือผลลัพธ์อย่างหนึ่งในการทดลอง แม้ความผิดพลาดครั้งล่าสุดนี้จะทำให้โครงงานของพวกเขาสะเทือน แต่ที่สุดแล้วมันก็คือความสำเร็จอย่างหนึ่งที่พบว่า อนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ยังไม่ใช่สารที่สามารถใช้ในโปรเจ็คท์นี้ได้ในเวลานี้ และขั้นตอนต่อไปก็คือ การทดลองหาสารตัวใหม่มาใช้ทดแทน

“คิดว่าไม่เป็นไร แค่ทดลองใหม่ หนูก็กลับมาหาข้อมูลใหม่ เพราะหนูก็ชอบทำอะไรพวกนี้ อ่านไว้ประดับความรู้ ได้ประโยชน์ก็บอกต่อ ก็เจอว่าตัวที่ยับยั้งแบคทีเรียได้มันมีหลายสาร แต่ตอนแรกที่เราไม่เลือกแทนนิน (Tannin) เพราะแทนนินบริสุทธิ์ยังไม่มีขาย ต้องมาสกัดเอง เป็นเรื่องยุ่งยาก และแทนนินมีรสฝาด ถ้าใส่ในปลาส้มมันจะไม่เปรี้ยว มันจะกลายเป็นขม เราก็ต้องมาเทสต์เรื่องรสชาติ เรื่องประสิทธิภาพ และการทำซ้ำมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างน้อยเรารู้แล้วว่าทำแบบนี้ เทคนิคนี้ มันก็จะไม่ยาก ก็แค่ทำใหม่” มายด์กล่าว

แม้จะฟังดูเป็นคำพูดง่ายๆ แต่เราก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของความสัตย์จริงในคำพูดนั้น เพราะถึงที่สุด นอกจากความผิดพลาดและความสำเร็จจากการทดลองแล้ว สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้ผลงานศิริส้มพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาก็คือความฝันของทั้งหก ที่อยากเห็นศิริส้มถูกพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้จริง

“เราอยากให้ผลงานพัฒนาไปถึงจนขอ อย. เสร็จแล้วขายได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของเรา” โมสำทับความฝันของทีม

เพราะกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์สอนพวกเขาว่า ความผิดพลาดคือผลลัพธ์อย่างหนึ่งในการทดลอง ความผิดพลาดในความหมายทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่ความล้มเหลว หากแต่มีคุณค่าเทียบเท่าความสำเร็จชนิดหนึ่ง เพราะมันอาจนำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน

นักวิทยาศาสตร์ผู้คุ้นชินกับความผิดพลาด จึงไม่ยี่หระอะไรนักเมื่อการทดลองสะดุดจากผลที่ไม่เป็นไปดังใจ หากแต่มองความผิดพลาดนั้นเป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ให้กว้างออกไป

เพื่อพบว่า มีนวัตกรรมที่ดีกว่ารออยู่หลังประตูบานนั้น…

Tags:

project based learningโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    THE EXERCISE OF ELDERS: เครื่องบริหารกล้ามเนื้อผู้สูงวัยที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจของหลานๆ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

    เรื่องและภาพ The Potential

PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?
Space
10 July 2019

PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

เรื่องและภาพ SHHHH

หากลองหลับตา หลังจากอ่านคำว่า Public Space คุณนึกถึงอะไร?สวนสาธารณะที่มีหญ้าสีเขียว มีลมพัดเอื่อยๆพื้นที่โล่งกว้าง มีบ่อน้ำ ปกคลุมด้วยต้นไม้สูง มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน 

หน้าตาของ Public Space จะเป็นอะไรก็ได้ หากประโยชน์ของมันคือเป็นพื้นสาธารณะที่ ‘ทุกคน’ สามารถเข้าถึงและเข้ามาใช้ร่วมกัน การมี Public Space ไม่ใช่แค่

การมีบรรยากาศดีๆ แต่มันคือ ‘ประสบการณ์’ ที่มอบสัมผัส (senses) โดยเชื่อมโยงตัวเรากับสิ่งรอบข้าง 

เด็ก: ได้วิ่งเล่นและเรียนรู้ ในพื้นที่ปลอดภัย ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยผู้ใหญ่: ได้พักผ่อน พบปะ ออกกำลังกาย 

จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าเราออกแบบเมือง โดยไม่คำนึงถึงพื้นที่สาธารณะ  

เพราะท้ายที่สุด Public Space จะอยู่ในได้แค่ในจิตนาการ

Tags:

public spaceการเล่นวัยรุ่นพลเมืองgeneration gap

Author & Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Space
    เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน
Social Issues
9 July 2019

ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • เริ่มจากการตั้งคำถามกับภาวะที่เกิดขึ้นกับครูในยุคนี้ ทำไมครูไม่ได้แค่สอนหนังสือ แต่กลับต้องเผชิญกับภาระเอกสารจำนวนมาก รวมถึงทำงานนอกเวลา 
  • เข้าใจและถอยออกมามองให้ชัด การเดินทางตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันของระบบศึกษาไทย ผ่านงานวิจัย ‘Neoliberalism, Govermentality, Education Reform, and Teacher in Thailand’ โดย วงอร พัวพันสวัสดิ์ ว่าเหตุใดเมื่อเสรีนิยมใหม่เข้ามาแล้วภาระงานของครูจึงมีมากขึ้น
  • เป็นเรื่องที่น่าเศร้า หากครูต้องจมอยู่กับปัญหาเหล่านี้โดยไม่คิดทำอะไร “ครูต้องหาทางออกก่อนที่งานจะกัดกิน passion และทำให้ครูไม่สนุกกับการเป็นครูอีกแล้ว” คำตอบจาก ครูร่มเกล้า-ครูสอนคณิตศาสตร์ ม.ปลาย ผู้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง และไม่ยอมให้ภาระงานเอกสารทำให้ตัวเองหมดสนุกกับการสอน
ภาพ: กลุ่มพลเรียน, Inskru และ Critizen

“ทำไมครูถึงเผชิญกับภาระเอกสารจำนวนมาก?”

“เพราะอะไรครูถึงไม่ได้ทำงานสอนเพียงอย่างเดียว?”

นี่คือผลผลิตของแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่เข้ามาปั่นปวนในระบบการศึกษาไทยจนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ครูไม่ได้ทำหน้าที่ครู’ ค่อยๆ สะสมในสังคมไทยอย่างยาวนานและแนบแน่น จนบางครั้งทำให้เราหลงลืม ไม่ทันฉุกคิด และตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่ในความเป็นจริง หน้าที่ของครูที่แท้คืออะไร?

การทำงานเอกสารและสร้างผลงานวิชาการ ถือเป็นข้อเสียหรือไม่?

วิทยานิพนธ์เรื่อง ‘Neoliberalism, Govermentality, Education Reform, and Teacher in Thailand’ โดย วงอร พัวพันสวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบรวมคำอธิบายผ่านประสบการณ์ของครูจำนวน 63 คน ผ่านทฤษฎีทางสังคมและการเมือง เพื่อให้เข้าใจและถอยออกมามองให้ชัดว่าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันการเดินทางของระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างไร

วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในงาน ตั้งวงเล่า #1 เมื่อ ‘ครู’ ไม่ได้ทำหน้าที่ครู: เสรีนิยมใหม่ในโรงเรียนไทย โดยกลุ่ม พลเรียน inskru และ Critizen เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

เสรีนิยมใหม่คืออะไร

คือระเบียบทางเศรษฐกิจโลกที่เข้ามากำกับชุดความคิดและกำหนดนโยบายทางการเมืองและสังคม โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญไปที่ระบบเศรษฐกิจ 

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อเราพูดถึงคำว่าเศรษฐกิจ ย่อมเชื่อมโยงกับชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ เสรีนิยมใหม่จึงมีบทบาทและสร้างผลกระทบเชื่อมโยงกับเราทุกคนได้แทบทุกด้าน ไม่ว่าจะทางสังคม วัฒนธรรม สุขภาพ รวมถึงการศึกษา  

หากเราสวมแว่นตาเสรีนิยมใหม่มองเข้าไปในระบบการศึกษาไทย จะพบเห็นความพยายามจัดวางให้โรงเรียนเป็นดั่งสินค้า มีครูทำหน้าที่เป็นพนักงานผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาด และเชื่อกันว่าหากโรงเรียนอยู่บนกลไกตลาดที่มีการแข่งขันสูง จะทำให้โรงเรียนและบุคลากรครูเกิดการพัฒนา ท้ายที่สุดการศึกษาจะมีคุณภาพ 

เมื่อโรงเรียนอยู่ในสถานะผู้ผลิตสินค้าแล้ว พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะมีอำนาจในการซื้อขายมากขึ้น หมายถึง จะมีเสรีภาพในการเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับลูกตัวเองได้ (parental choice) เราจึงเห็นโรงเรียนทางเลือก หรือโรงเรียนนานาชาติ ผุดขึ้นมากมายในยุคหลัง 

ทั้งนี้ เสรีนิยมใหม่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับคำว่ารัฐสวัสดิการ เพราะรัฐสวัสดิการคือ สวัสดิการที่รัฐจัดให้ หลายฝ่ายคิดว่าจะไม่ก่อให้เกิดการต่อสู้ แข่งขัน ไม่มีการลุกขึ้นมาผลิต พัฒนา และปรับตัว ทำให้ไร้นวัตกรรม 

ความคิดนี้ ส่งผลถึงภาพใหญ่ของระบบการศึกษา และความคิด-ความเชื่อที่เปลี่ยนไปของคนตัวเล็กๆ ในระดับปัจเจก อย่าง  ‘ครู’ 

เสรีนิยมใหม่ในการศึกษาไทย

ดูเหมือนว่าเสรีนิยมใหม่เรียกร้องให้ครูแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น ให้ครูแต่ละคนใช้เทคนิคหรือวิธีการส่วนตัวต่อสู้กับปัญหาที่พบเจอไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจทำให้ครูมีสิทธิต่อรองได้น้อยลง และเพราะคิดว่าเป็นปัญหาของตัวเอง จึงต้องก้มหน้าก้มตาจัดการปัญหาทางการศึกษาด้วยตัวเองต่อไป ทั้งที่จริงแล้วมันคือปัญหาเชิงโครงสร้าง

สรุปสั้นๆ ว่า เมื่อเสรีนิยมใหม่เข้ามาในระบบการศึกษาไทย ก่อให้เกิด 2 ปรากฏการณ์สำคัญ คือ ความคิดของครูที่เปลี่ยนไปและพฤติกรรมที่ครูแสดงออกมา จึงทำให้ ดร.วงอร พัวพันสวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามในการศึกษาวิทยานิพนธ์เล่มนี้ว่า ‘ประสบการณ์ของครูในโรงเรียนรัฐบาลที่มีต่อการปฏิรูปนโยบายเสรีนิยมใหม่ เปลี่ยนไปอย่างไร’

โดยบทความชิ้นนี้จะตั้งข้อสังเกตและศึกษาครูในฐานะลูกจ้างของรัฐ ว่า ‘ครูกับรัฐ: สะท้อนความสัมพันธ์ของครูกับรัฐบาล ในฐานะลูกจ้างเป็นอย่างไร’ เมื่อสังคมก้าวเข้าสู่ยุคเสรีนิยมใหม่แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้นบ้างกับครู ซึ่งข้อมูลทั้งหมดในวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ได้มาจากการสัมภาษณ์ผ่านประสบการณ์ครูระดับมัธยมจำนวน 63 คน ในโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และโรงเรียนประจำอำเภอจำนวน 5 แห่ง 

ผลการศึกษา

เมื่อมีนโยบายเสรีนิยมใหม่เข้ามา พฤติกรรมของครูในโรงเรียนรัฐเปลี่ยนไปอย่างน้อย 2 เรื่องใหญ่ คือ 

  1. การจ่ายผลตอบแทนที่ผูกติดกับผลงาน: เรื่องนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีแรงจูงใจเหมือนพนักงานเอกชน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกจ้างงานในลักษณะความมั่นคง ตลอดชีวิต และระยะยาว ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะไม่ก่อให้เกิดการผลักดัน และผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ  
  2. เรื่องการประเมินคุณภาพโรงเรียน: ลักษณะหนึ่งของการบริหารแบบเสรีนิยมใหม่มักนำเอาการบริหารจัดการในภาคธุรกิจเข้ามาปรับใช้ในภาครัฐ โดยมีตัวชี้วัดเป็นตัวตัดสิน เพื่อประเมินว่าใครเป็นอย่างไร 

ข้อดีของการประเมิน เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่รัฐกระตือรือร้น แต่อีกนัยหนึ่งก็ทำให้การศึกษากลายเป็นสินค้า มีผู้ผลิต และบริโภค ทำให้หลังการปฏิรูปการศึกษาปี 2542 โรงเรียนต้องเผชิญกับระบบการประเมินอย่างมหาศาล เต็มไปด้วยตัวชี้วัดมากมาย กลายเป็นว่าครูไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน และผลักให้ครูหลายคนต้องทำงานล่วงเวลา หรือทำงานเอกสารอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

พฤติกรรมใหม่ของครู

เมื่อเสรีนิยมใหม่เข้ามา ทำให้ครูต้องเร่งพัฒนาตัวเองและหมั่นสร้างผลงานอยู่เสมอ ครูจะต้องเพิ่มองค์ความรู้ทางวิชาการ พัฒนาสื่อการเรียนการสอน หมั่นอัพเดตและติดตามข่าวสาร  

เสรีนิยมใหม่มองว่าการบริหารจัดการโรงเรียนควรเป็นเหมือนบริษัท ผลักให้ครูกลายเป็นพนักงานบริษัทต้องแข่งขันไปตามกลไก ต้องสร้างผลงานให้กับองค์กร เช่น การสร้างแผนการสอนใหม่ๆ ทำใบงาน ทำวิจัย ทำใบประกาศต่างๆ นอกจากนี้วาทกรรมการพัฒนาตัวเอง ยังมีอิทธิพลมาก เพราะกลายเป็นตัวชี้วัดทางศีลธรรม ทำให้ครูหลายๆ คนใช้สิ่งนี้ตัดสินและกำกับตัวเองว่า ตัวเองเป็นครูที่ดีหรือไม่ โดยพิจารณาจากการสร้างผลงาน 

ครูที่ดีคือใคร

คุณสมบัติของครูที่ดีภายใต้ยุคเสรีนิยมใหม่ จะต้องเป็นครูที่ต้องผ่านการอบรมสัมมนาเป็นประจำ ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ กระตือรือร้น รู้จักปรับการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ ใช้แหล่งความรู้เครื่องมือและเทคนิคการสอนอย่างหลากหลาย รวมถึงทำงานวิจัย ผลกระทบที่ตามมา คือ ‘แรงกดดัน’ จากผู้บังคับบัญชา (หรือโรงเรียน) รวมถึงความกดดันภายในตัวเอง 

ปรับแผนการสอนหน้าเดียว ลดภาระครู

ในเมื่อโลกเดินเข้าสู่ระบบเสรีนิยมใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ เหล่ามนุษย์ครูย่อมต้องปรับตัว สำหรับ ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูสอนคณิตศาสตร์ระดับชั้น ม.ปลาย โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ให้คำนิยามกับเสรีนิยมใหม่ไม่ต่างจากงานวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ และมองว่าเสรีนิยมใหม่ส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาอย่างหลีกหนีไม่ได้ 

เสรีนิยมทำให้มนุษย์เป็นสินค้าและแรงงานในการหาเงิน ทำให้การศึกษากลายเป็นเครื่องมือผลิตแรงงานขึ้นมา ยิ่งตอกย้ำว่าโรงเรียนไทยกำลังผลิตมนุษย์เพื่อตอบโจทย์ระบบเศรษฐกิจและระบบทุน มุ่งเน้นการผลิตนักเรียนไปในทิศทางเดียว โดยลืมให้ความสำคัญบางอย่างไป เช่น การค้นหาตัวตน การค้นพบทักษะที่สำคัญตามวัย ความสามารถและทักษะที่เด็กควรจะมีติดตัว รวมถึงความสุขในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน 

แน่นอนว่าผลผลิตหนึ่งของเสรีนิยมใหม่คือภาระงานของครูที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางงานที่มากมายของครูเช่นนี้ ครูร่มเกล้า มีวิธีการปฏิบัติเชิงรูปธรรมที่นำร่องและช่วยลดภาระดังกล่าวได้ นั่นคือ การทำแผนการสอนให้เหลือ 1 หน้า

ก่อนหน้านั้น ครูร่มเกล้าได้ทำผลสำรวจเรื่องแผนการสอนจากครูจำนวน 313 คน พบว่า ครูส่วนใหญ่มักใช้วิธีลอกแผนการสอนเดิมของตัวเอง หาข้อมูลเพิ่มจากอินเทอร์เน็ต หรือบางทีอาจหยิบยืมของเพื่อนครูด้วยกัน ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่อาจย่นระยะเวลาภาระงานได้เลย ครูยังเหนื่อยอยู่ แถมแผนการสอนดังกล่าวยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีเพียงพอ จึงเกิดไอเดียการทำแผนหน้าเดียวขึ้นมา เพื่อปลดล็อคการเขียนแผนตามฟอร์มที่เกินความจำเป็น ให้ครูได้เขียนแผนแบบที่ตัวเองได้ใช้จริง ตามสไตล์ที่ตนเองถนัดก็พอ 

“เริ่มจากการตั้งวัตถุประสงค์ ที่มี 3 ส่วนเหมือนแผนปกติทั่วไป ทั้งความรู้ กระบวนการ และคุณลักษณะที่อยากได้ มีขั้นนำขั้นสอน ขั้นสรุป และการวัดประเมินผลผู้เรียน ทั้งหมดนี้คือใจความที่เราจะสอน ออกแบบโดยมีภาพมาช่วยอธิบายว่า เราจะสอนตอนไหน โดยแผนนี้ใช้ 1 เรื่อง ต่อ 1 เนื้อหา”

“นอกจากนี้ เราใช้วิธีลงไปอยู่กับเด็ก ให้เด็กทำแบบฝึกหัด อาจไม่ได้มีขั้นตอนการสอนอะไรมากมาย แต่ถ้าเด็กต้องการรู้ว่าเราสอนเนื้อหาแบบไหน สไลด์แบบไหน ก็สามารถเข้าไปดูใน QR code”

“ทุกคนต้องตีความคำว่าเสียสละใหม่ เรามักจะเรียกร้องให้ครูทำงานเกินเวลา กลับดึก ทำงานในวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนนี้จะทำให้ชีวิตและตัวตนของครูหายไป แทนที่ครูจะได้พักไปอยู่กับครอบครัว อยู่กับตัวเอง ได้มีเวลาสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ก็ไม่มี”

นอกจากนั้นครูร่มเกล้ายังแบ่งปันวิธีการทำงานที่ตัวเองใช้ และเห็นว่าเป็นประโยชน์ทำให้ครูสามารถขยับตัวได้คล่องขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ นั่นคือ 

  1.     ครูต้องเขียนงานทั้งหมดที่มี กางออกมาให้ตัวเองเห็น
  2.     ครูต้องเรียงลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้น
  3.     ครูสามารถตัดทิ้งงานบางสิ่งบางอย่างออกไป

“3 วิธีการนี้จะช่วยให้ครูไม่ต้องรับภาระโหลดเกินไป ครูต้องหาทางออกก่อนที่งานจะกัดกิน passion และทำให้ครูไม่สนุกกับการเป็นครูอีกแล้ว”

ซึ่งการทำแผนหน้าเดียว จะช่วยทำให้ครูทำงานได้เต็มศักยภาพมากขึ้น รู้โฟกัสของตัวเอง ข้อดีอีกอย่างจะช่วยส่งต่อให้ครูผู้สอนท่านอื่น สามารถสอนเข้าสอนแทนได้อย่างสะดวก หากครูผู้สอนติดภารกิจ เพราะมีแผนการสอนหน้าเดียวกำกับอย่างชัดเจน ว่าจะต้องสอนเนื้อหาอะไรในแต่ละคาบ ช่วยลดปัญหาครูทิ้งคาบ หรือคาบว่างของนักเรียนลงไปได้

สอดคล้องกับคำพูดที่ครูร่มเกล้า กล่าวไว้บนเวทีงาน TEP Forum 2019 ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’ ที่ผ่านมา โดยครูร่มเกล้าเชื่อว่าการลดภาระงานเอกสาร เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขของครู 

 “ถ้าครูมีความสุข ครูก็จะส่งความสุขต่อนักเรียน ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เกิดตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ก็จะส่งต่อไปที่สังคม และสุดท้ายก็จะไปเปลี่ยนนโยบายได้ในที่สุด” 

Tags:

ครูระบบการศึกษาประชาธิปไตยกลุ่มพลเรียน

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    ‘ครูคือคนที่สร้างความแตกต่าง’ ความทรงจำ ตัวตน และจุดยืนการสอน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค
Education trend
8 July 2019

ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

เพราะบางครั้งการสัมผัสเด็ก โดยเกิดจากความเอ็นดูหรือไม่เอ็นดู อาจไปสร้างปม-บาดแผลให้เด็กได้ ถ้าเด็กไม่รู้สึก ‘ยินยอม’ ตัวเลขกว่า 53 % บอกว่า ผู้กระทำความรุนแรง มักเป็นคนใกล้ตัวเด็ก คนรู้จักคุ้นเคย หรือบุคคลในครอบครัว

จึงอยากชี้ประเด็นว่า

1.เราทุกคน (โดยเฉพาะพ่อแม่และเด็ก) จะต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพเนื้อตัวและร่างกายของตนเอง

2.ให้เด็กเรียนรู้วิธีสื่อสาร รู้จักพูดปฏิเสธเป็น (กล้าพูดว่าไม่)

3.ผู้ใหญ่ที่แม้จะสัมผัสจากความเอ็นดู แต่หากเด็กพูดว่า ‘ไม่’ ก็ต้องเคารพคำปฏิเสธ

ซึ่งผลกระทบเรื่องนี้ อาจะส่งไปถึงระดับจิตใจ ฝังลึกเป็นปม ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย อยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และรู้สึกถูกทรยศหักหลัง จากคนที่เขาไว้ใจหรือพ่อแม่ สอดคล้องกับคำที่หมอจิตแพทย์บอก “บางครั้งที่ผู้ใหญ่หอมแก้มด้วยความเอ็นดูรักใคร่ แต่ถ้าเด็กอึดอัดไม่ชอบใจจะฝืนเขาไม่ได้ ควรขออนุญาตเด็กก่อน ด้วยประโยคง่ายๆ ที่ว่า ‘ขอหอมแก้มได้ไหม?’ ‘ขอกอดได้ไหม?’ ถ้าเขาไม่อนุญาต ผู้ใหญ่ต้องเคารพ ถ้าพ่อแม่ทำแบบนี้ตั้งแต่ต้นเขาจะเข้าใจการปกป้องตัวเอง ถ้ามีใครมาจู่โจมเขาจะปฏิเสธได้ว่า ‘อย่าทำนะไม่ชอบ’”

อ่านบทความ คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ ได้ที่นี่

Tags:

เพศSexuality Education(เพศวิถีศึกษา)คุกคามทางเพศ (sexual harassment)พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’
Early childhood
5 July 2019

ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

เรื่อง

  • 2 คุณหมอ 1 นักจิตวิทยาจาก 3 เพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน เลี้ยงลูกตามใจหมอ และ ตามใจนักจิตวิทยา ตอบคำถามว่าทำไมเลี้ยงเด็กสักคนยากจัง ตามหลักจิตวิทยาเด็ก
  • เลี้ยงยากหรือเลี้ยงไม่เป็น นั่นเพราะไม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการ พอไม่เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ถูก นำมาซึ่งความยากต่างๆ นานา
  • เด็กไม่ต้องการโตอย่างผู้ใหญ่ เขาต้องการเล่น กินอุ่น นอนอุ่น มีความสุขแบบเด็กจริงๆ นั่นคือพัฒนาการของเขา
เรื่อง: อิชย์อาณิคม์ ชิตวิเศษ
ภาพ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

“ทำไมการเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมาได้ มันยากเหลือเกิน”

ประโยคนี้มีเข้าหูบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูอาจเป็นการบ่นลอยๆ คำตอบจะได้หรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับการก้มหน้าก้มตาเลี้ยงลูกไปดีกว่า

แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคำถามโลกแตกนี้มีคำตอบชัดเจน และนำไปสู่ภาคปฏิบัติที่ทำให้ง่ายขึ้นเพราะตั้งต้นจากความรู้ ความเข้าใจเรื่องพัฒนาการ

เรื่องดังกล่าวเป็นเนื้อหาสำคัญของวงเสวนา ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก: ไขปัญหาและแลกเปลี่ยนความรู้ใหม่กับ 3หมอและนักจิตวิทยาเด็กเจ้าของเพจชื่อดัง’ โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักพิมพ์ bookscape และ dtac ณ ห้อง Library ชั้น 32 ดีแทคเฮาส์ จามจุรีสแควร์ เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

เมื่อปัญหาเกิดจากความคาดหวังสวนทางกับสิ่งที่เป็น

พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ ‘หมอโอ๋’ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ เริ่มต้นวงด้วยการชี้ให้เห็นว่า ปัญหาและความยากส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง เกิดจากสมการง่ายๆ ที่ว่า

“ปัญหา = ความคาดหวัง – สิ่งที่เป็นอยู่”

หมอโอ๋กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความคาดหวังของพ่อแม่ที่สวนทางกับธรรมชาติของพัฒนาการและความต้องการของเด็ก โดยส่วนมากความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกๆ มักหนีไม่พ้นให้ลูกเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ รู้จักแบ่งปันและมีน้ำใจ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่กำหนดความเป็นคนดีของสังคมก็จริง แต่พ่อแม่กลับไม่ได้รู้เลยว่า…

​“เรากำลังคาดหวังสิ่งที่เป็นผู้ใหญ่ในตัวเด็ก”

​กรอบของสังคมเหล่านี้ ทำให้พ่อแม่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าลูกมีปัญหา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การเลี้ยงดูที่ดีที่สุดต้องเริ่มจาก การให้ลูกเรียนรู้ผ่านการเป็นตัวเอง ผ่านการเห็นแก่ตัว ผ่านการเอาแต่ใจตัวเอง เพื่อรู้จักตัวตนของตัวเอง แล้วจึงค่อยๆ ทำความเข้าใจผู้คนรอบข้าง จนปรับตัวเข้าสู่สังคมได้

ด้าน ‘หมอวิน’ ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านจิตวิทยา และมะเร็งในเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกตามใจหมอ’ เพิ่มเติมในประเด็นสำคัญนี้ว่า นอกจากความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกแล้ว ปัญหาที่กุมารแพทย์ส่วนใหญ่มักพบเจอในเด็กคือ เด็กไม่กินหรือเลือกกินอาหาร การนอนของเด็ก เด็กไม่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ตั้งแต่เล็กจนโต และการใช้พฤติกรรมรุนแรงของเด็ก ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดจากการเลี้ยงลูกอย่างไม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการของพ่อแม่

​“ทำให้พ่อแม่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือตามวัยแก่ลูกๆ ของตนได้”

ขณะที่ ‘เมย์’ เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ นักจิตวิทยาด้านเด็กและครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวในเสวนาครั้งนี้ ให้ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กว่า อายุ 0-2 ปี เป็นช่วงวัยที่เด็กต้องการความเชื่อใจ ต้องการให้พ่อแม่อยู่ใกล้ๆ กับพวกเขามากที่สุด

“เมื่อเวลาผ่านไป ช่วงอายุ 3 ปี จะเป็นช่วงวัยที่พวกเขาต้องการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายของตัวเอง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเด็ก ไม่ว่าจะเป็นกุญแจรถ รีโมต หรือแม้แต่อาหาร ทุกสิ่งเป็นของเล่นในสายตาของเด็กวัยนี้ เพราะพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งนี้คืออะไร การทดสอบจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะส่งผลต่อพัฒนาการของพวกเขา”

สอดคล้องกับเนื้อหาในหนังสือ จิตวิทยาเด็ก: ความรู้ฉบับพกพา เขียนโดย อูชา กอชวามี (Usha Goswami) ที่อธิบายว่า ทารกกำลังกำลังเรียนรู้โลก เรื่องแรกที่พวกเขาเรียนคือ การเคลื่อนที่และการเปลี่ยนตำแหน่งผ่านการทดสอบพลังกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่อย่าง แขนและมือ โดยพวกเขาจะทดสอบด้วยการปัด โยน ปา เพื่อดูว่าไปได้ไกลแค่ไหน ทั้งหมดคือพัฒนาการของเด็กวัยนี้

“ดังนั้นการเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับพัฒนาการของลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ควรหาให้กับลูก ที่สำคัญ พ่อแม่ควรพูดคำว่า อย่า หรือ ห้าม ให้น้อยที่สุด หรือไม่พูดเลยในช่วงวัยนี้” เมย์กล่าว

หลังจากนั้น เด็กจะเริ่มแยกจากพ่อแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 6 ปี แต่ด้วยบริบทของสังคมไทยที่ผู้คนต่างปากกัดตีนถีบ เพื่อที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและครอบครัว การส่งลูกน้อยในวัย 3-4 ปี ไปยังโรงเรียนจึงเป็นทางเดียวที่จะลดภาระของพ่อแม่ได้

​“ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อลูก แล้วลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีอยู่จริงสำหรับเขาไหม”

เช่นนั้นแล้ว การเตรียมความพร้อมให้ลูกโดยเฉพาะการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะเข้าโรงเรียนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

“เพราะถ้าพ่อแม่ไม่อยู่กับพวกเขาในช่วงเวลานั้น การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งหลังจากช่วงเวลานี้ก็จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น เพราะพ่อแม่ไม่เคยมีอยู่จริงเลยในมุมมองของเขา”

รับมือกับระบบการศึกษาแบบ Mainstream

แต่ปัญหาของเจ้าตัวเล็กไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อเด็กๆ เริ่มเข้าสู่การศึกษากระแสหลักแล้ว ความไม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการก็ยังตามมาถึงห้องเรียน

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หมอโอ๋ชี้ว่า ระบบการศึกษาของไทยไม่ได้เข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็ก ซ้ำยังเร่งพัฒนาทักษะบางอย่างก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เด็กส่วนใหญ่เสียโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบตามช่วงวัย

“การศึกษาไทยเน้นเร่งพัฒนาการอ่าน เขียน เรียน ติว ตั้งแต่ช่วงอนุบาล ทำให้การพัฒนาวงจรประสาทในเด็กผิดพลาด”

ช่วงวัย 3-6 ปีของเด็ก เป็นช่วงเวลาแห่งการพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้ครบ การเร่งฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่าง การฝึกเขียนคัดไทย ในเวลาที่ไม่ใช่ ทำให้เด็กส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์จำใจทำ โดยที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ ความรู้สึกเชิงลบต่อการเรียนจึงเกิดขึ้นกับเด็ก การเรียนเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ จนเกิดเป็นความรู้สึกต่อต้านครูและการบ้าน

“ที่เป็นเช่นนี้เพราะเด็กไม่ได้รับการฝึก Executive Function (EF) หรือที่เรียกว่า ทักษะสมองด้านการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นทักษะที่สัมพันธ์กับการใช้สติปัญญาทั่วไป ทักษะภาษา และความจำใช้งาน ช่วยให้เด็กสามารถควบคุมยับยั้งความคิด นำไปสู่การควบคุมความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตัวเองได้”

สอดคล้องกับบทหนึ่งของหนังสือจิตวิทยาเด็ก ที่พูดถึง ความสามารถที่จะยับยั้งหรือชะลอความต้องการเติมเต็มความพอใจ หรือ delayed gratification ผ่านการทดลองที่ห้ามให้เด็กหยิบขนมจนกว่าจะได้ยินเสียงกริ่ง หรือเรื่อง การยับยั้งความคิด หรือ inhibitory control ผ่านการทดลองที่เรียกว่า Go-No Go Task ซึ่งกำหนดให้เด็กพูดว่ากลางวันเมื่อเห็นดวงจันทร์และพูดว่ากลางคืนเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ การทดลองเหล่านี้ส่งผลให้สมองบริหารจัดการโจทย์เหล่านี้ผ่าน EF ที่ดีได้

แล้วเราจะพัฒนา EF ของลูกได้อย่างไร?

“การพัฒนา EF สามารถเริ่มต้นได้จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ผ่านการใช้เวลาอยู่ร่วมกับลูก การให้ความรักกับเขาในเวลาที่เขาต้องการ สร้างเงื่อนไขเพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน-หลัง การสร้างความรับผิดชอบให้ลูกผ่านสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่าง การผูกเชือกรองเท้าเมื่อหลุด สนับสนุนในทุกสิ่งที่เขาทำ รวมทั้งสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ลูกต้องการ จะเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนา EF ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” ทั้งหมดนี้หมอวินอธิบายง่ายๆ ด้วยประโยคที่ว่า…

“พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุดสำหรับลูก” หมอวินย้ำ

การพัฒนา EF ถือเป็นส่วนหนึ่งจากต้นทุนทางชีวิตของเด็กที่มีอยู่ทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ตัวเด็ก คือ สมองส่วนลึกที่สุดหรือสมองส่วนความอยากของเด็ก ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน และสังคมที่จะหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในแบบของเขาได้ ถ้าหากได้รับการพัฒนาที่ดี จะทำให้เด็กมีสิ่งที่เรียกว่า Power of Self

แต่ด้วยบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง จากเดิมครอบครัวขนาดใหญ่ การเลี้ยงดูบุตรหลานเป็นหน้าที่ของทุกคนในบ้าน ปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา หากปัจจุบันขยับมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ภาระหน้าที่ทั้งหมดตกอยู่ที่พ่อแม่ ทำให้เด็กไม่ได้รับความรักจากหลากทิศทาง

“กลับกันบางสถาบันที่ควรจะเปลี่ยนแปลงอย่าง โรงเรียน ก็ยังเหมือนเดิม ทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตซ้ำข้อมูลที่มีชุดความจริงแบบคำตอบเดียว ทำให้เด็กที่เป็นผลผลิตสำคัญของโรงเรียนไม่ต่างอะไรจาก หุ่นยนต์ที่ต้องคอยรับคำสั่งให้ทำเพียงเท่านั้น” หมอวินเปรียบเทียบ

พ่อแม่ต้องมีอยู่จริง

หมอวินกล่าวถึงปัญหา​ดังกล่าวอีกว่า เมื่อบริบทสังคมต่างบีบรัดการสร้างพัฒนาการที่ดี และการเจริญเติบโตของเด็ก ดังนั้นครอบครัวจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กยังสามารถอยู่รอดและเติบโตในสังคมได้

“สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่จำเป็นต้องทำคือ ประเมินลูกทุกครั้งว่า ลูก suffer จากสังคมและระบบการศึกษาที่เป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เขาและพาเขาออกมาจากสิ่งที่เผชิญอยู่ได้”

หมอโอ๋เสริมอีกแรงว่า การเลี้ยงดูเด็กสักคนหนึ่งเพื่อให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพได้ จึงไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ แต่อยู่ที่กระบวนการในการสร้างเด็กคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ ให้เป็นสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น เพราะ…

“เด็กไม่ได้เป็นตามที่เราสอน แต่เด็กเป็นในสิ่งที่เราเป็น” เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง

“พ่อแม่ไม่ควรมีความสุขกับการเห็นต้นไม้เติบโต แต่ควรมีความสุขกับการได้รดน้ำ พรวนดินทุกวัน” หมอโอ๋ย้ำอีกเสียง

ทั้งหมดจึงเป็นคำถามย้อนกลับมาสู่ครอบครัว รวมทั้งโรงเรียนและสังคมว่า

สิ่งที่เราคาดหวังกำลังสวนทางกับสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือไม่?

ยังไม่สายไป หากจะกลับมาใส่ใจพัฒนาการและความต้องการของพวกเขา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว…

​“การสร้างเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นที่มีคุณภาพ ง่ายกว่าการซ่อมวัยรุ่นสักคนหนึ่ง”

Tags:

จิตวิทยางานเสวนาวินัยเชิงบวกEFพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรเมริษา ยอดมณฑปผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐจิตวิทยาเด็ก

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    ปลดแอก ‘ชุดนักเรียน’ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น : มองรอบด้านจากบ้านถึงโรงเรียนกับ ‘รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย
How to enjoy lifeFamily Psychology
4 July 2019

SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

เรื่อง

  • คุยกับ พญ.สุนิดา โสภณนรินทร์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เรื่องการบำบัดในถาดทราย (Sand Tray Therapy) เทคนิคการบำบัดที่ไม่เน้นการพูดคุย แต่ชวนเด็กและผู้ใหญ่มาทำความเข้าใจภูเขาน้ำแข็งในใจและเล่าเรื่องด้วยการจัดวางตุ๊กตาในถาดทราย
  • สำหรับคนพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะเรียบเรียง บอกเล่าความรู้สึกของตัวเองอย่างไร การพูดคุยกับจิตแพทย์อย่างตรงไปตรงมาอาจไม่ใช่ทางเลือก จิตแพทย์จึงต้องใช้การบำบัดในถาดทรายเข้ามาช่วย
  • ตุ๊กตาในถาดทราย คือตัวแทนคาแรคเตอร์ต่างๆ สามารถเลือกให้ตรงกับอารมณ์ ความรู้สึก และภาพในใจ ส่วนกระบวนการพูดคุยของหมอที่ช่วยให้ได้คิดและสำรวจจิตใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน
เรื่อง: ธนาวดี แทนเพชร
ภาพ: ลักษิกา จิรดารากุล

สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันคือ ความสามารถในการรับรู้ถึงความทุกข์ ความเศร้า ความอึดอัด ความกดดัน และความเจ็บปวด ทั้งจากบาดแผลในอดีต ปัจจุบัน หรือจากเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่มากระทบกระเทือนจิตใจ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะจัดการหรือสื่อสารก้อนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจออกมาได้ง่ายๆ การมาพบจิตแพทย์เพื่อทำความเข้าใจกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ในวันที่ใจเรายังไม่พังยับเยิน

แม้การพบจิตแพทย์จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทำให้เราปลดปล่อยและพูดคุยได้ทุกเรื่องที่ใจต้องการ แต่สำหรับคนที่พูดไม่เก่ง กำลังเผชิญกับปัญหา ไม่รู้จะเรียบเรียงและบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองอย่างไร การเผชิญหน้ากับจิตแพทย์และพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ช่วยให้เขาเข้าใจตัวเองได้ จิตแพทย์จึงต้องมีเครื่องมือและวิธีการที่ช่วยให้คนไข้สามารถแสดงอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกออกมาได้ง่ายขึ้น

เราจึงชวน พญ.สุนิดา โสภณนรินทร์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น มาคุยเรื่อง ‘การบำบัดในถาดทราย (Sand Tray Therapy)’ซึ่งเป็นเทคนิคการบำบัดที่ไม่เน้นการพูดคุย แต่ชวนคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาทำความเข้าใจภูเขาน้ำแข็งในใจและเล่าเรื่องด้วยการจัดวางตุ๊กตาในถาดทราย

การบำบัดด้วยถาดทราย (Sand Tray Therapy) คือการบำบัดที่ช่วยให้คนไข้ที่กำลังมีความทุกข์ มีความเศร้า มีบาดแผลภายในจิตใจ มีความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็ก มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ (PTSD) เป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือกำลังเผชิญปัญหาชีวิตที่ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้ โดยที่คนไข้สามารถหลีกเลี่ยงการพูดถึงรายละเอียดที่เปราะบางและไม่ต้องการพูดถึงได้

การบำบัดจะช่วยเปลี่ยนแปลงมุมมองที่คนไข้มีต่อตัวเองและมุมมองที่มีต่อคนอื่น ทำให้มองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปรับเปลี่ยนอารมณ์จากภายใน รับมือกับสิ่งที่อยู่ในใจและหาทางออกให้กับปัญหาของตัวเองได้ ซึ่งการบำบัดนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคก็สามารถเข้ารับการบำบัดได้

วิธีเอา ‘ภูเขาน้ำแข็งในใจ’ ออกมาวางในถาดทราย

คุณหมอสุนิดาเล่าว่า การใช้ถาดทรายและตุ๊กตาไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ได้มีการนำศาสตร์อื่นๆ มาใช้ในการบำบัดคนไข้ที่ไม่ถนัดในการสื่อสารด้วยการพูดเช่นกัน เช่น การใช้ art therapy หรือ ศิลปะบำบัด ใช้การวาดภาพ การปั้นตุ๊กตา การเล่นละคร และศิลปะในวิธีอื่นๆ เพื่อช่วยให้คนไข้ก้าวข้ามกำแพงในใจตัวเองและสื่อสารกับหมอได้มากขึ้น

การบำบัดด้วยถาดทราย (Sand Tray Therapy) นำการเล่นบำบัด (play therapy) ซึ่งเป็นกระบวนการเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในทุกๆ ด้านของเด็ก มาใช้ร่วมกับจิตบำบัดตามแนวซาเทียร์ Satir Model (Satir Transformational Systemic Therapy) ซึ่งเป็นหลักการจิตบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ใช้รูปภูเขาน้ำแข็งเป็นตัวแทนของจิตใจ โดยแบ่งออกเป็น 6 ชั้น ตามส่วนของจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจที่เป็นนามธรรม กลับกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ทฤษฎีของซาเทียร์ เชื่อว่า ‘ทุกคนล้วนมีภูเขาน้ำแข็งของตัวเอง’ ซึ่งภูเขาน้ำแข็งของทุกคนจะแบ่งออกเป็น 6 ชั้น

ชั้นที่ 1 อยู่บนสุดและอยู่พ้นน้ำขึ้นมาคือ พฤติกรรมที่เราแสดงออกให้คนอื่นเห็น

ชั้นที่ 2 อยู่ใต้น้ำลงไปคือ ความรู้สึก

ชั้นที่ 3 การรับรู้ ความคิดเห็น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และภาพในใจ

ชั้นที่ 4 ความคาดหวังต่อตัวเอง ต่อคนอื่นๆ หรือต่อโลก

ชั้นที่ 5 ความต้องการลึกๆ ในใจ เช่น การได้รับการยอมรับ ได้รับความรัก หรือความต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างคุณค่าให้ตัวเอง

ชั้นที่ 6 ชั้นสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุด คือความเป็นตัวตนลึกๆ ของเรา หรือ self

ภูเขาน้ำแข็งก้อนนี้เองที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้มนุษย์คิด ทำ รู้สึก และเกิดความคาดหวังในชีวิต เมื่อภูเขาน้ำแข็งของเราและภูเขาน้ำแข็งของคนอื่นมาเจอกัน บางทีมันอาจจะไม่ตรงหรือลงล็อคกันเสมอไป เช่น การที่พ่อแม่คิดว่าลูกเป็นเด็กทำอะไรเชื่องช้าและเฉื่อยชาจึงแสดงออกด้วยการใช้คำพูดแย่ๆ กับลูก เพื่อกระตุ้นให้เขาแอ็คทีฟมากขึ้น ขณะเดียวกัน ลูกก็มองว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำอยู่คือการทำร้ายความรู้สึกของเขา พ่อแม่ไม่รักเขา ดังนั้นภูเขาสองลูกนี้มันจึงไม่จูนเข้าหากันและไม่เข้าใจกันเสียที

ซาเทียร์จึงเป็นหลักการที่ทำให้เราต่างมองเห็นภูเขาน้ำแข็งของกันและกัน มองเห็นตัวเรา มองเห็นคนอื่น มองเห็นโลกใบนี้ว่ามีความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง และความต้องการลึกๆ อะไรบ้าง และการบำบัดของจิตแพทย์นี่เองที่ช่วยเปลี่ยนความเชื่อ ทำให้เราพบมุมมองใหม่ และมองเห็นภูเขาน้ำแข็งในใจของคนอื่นได้

แต่บางครั้งการทำซาเทียร์ยังไม่เป็นรูปธรรม การใช้ตุ๊กตาเข้ามาช่วยจะทำให้เห็นว่าตุ๊กตาแต่ละตัวต่างพูดแทนเราได้ ตุ๊กตาทุกตัวที่เด็กเลือกไปวางลงบนถาดทรายล้วนมีความหมายทั้งหมด หมอจะใช้การตั้งคำถามเพื่อให้เขาเลือกหยิบตุ๊กตามาตอบและจัดวางโดยไม่เข้าไปชี้นำว่าควรเลือกหรือวางอย่างไร แต่จะคอยสังเกตท่าทาง แววตา และน้ำเสียง คอยกระตุ้นให้เขาคิดและตอบ และดูว่าระหว่างการบำบัดเขารู้สึกอย่างไร

ถ้าเด็กเลือกตุ๊กตาเสือมาวางข้างกระต่าย หมอก็จะถามเขาว่า เสือตัวนี้อยากจะพูดอะไรบ้างไหม? เสือตัวนี้อยากจะบอกอะไรกระต่ายบ้างหรือเปล่า? แล้วกระต่ายล่ะ เขารู้สึกยังไงกับเสือเวลาอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้? การตั้งคำถามและใช้ภาพตัวแทนทำให้คนไข้ได้แชร์ความคิดระหว่างตัวละคร 2 ตัว เหมือนเรากำลังดูหนังกันอยู่ ดังนั้นหลักในการบำบัดจึงเป็นการ ‘เอาภูเขาน้ำแข็งในใจออกมาวางในทราย’

หน้าที่ของหมอคือการค่อยๆ เก็บข้อมูล และค่อยๆ ถอดรหัสเรื่องราวออกมาอย่างเป็นรูปธรรม และช่วยให้คนไข้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ เชื่อมโยงความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง และความต้องการภายในจิตใจเพื่อให้กระจ่างและชัดเจนมากขึ้น

เหตุผลที่เราไม่เข้าใจกันเพราะต่างคนต่างมีภูเขาน้ำแข็งเป็นของตัวเอง

บางทีถ้าเราไม่เคยมองเลยว่าภูเขาน้ำแข็งของฉันเป็นแบบไหน ฉันเป็นคนอย่างไร ต้องการอะไร มองตัวเอง มองคนอื่น หรือมองโลกนี้อย่างไรบ้าง เราก็จะไม่มีทางเข้าใจตัวเองและไม่ตระหนักถึงการมีอยู่ภูเขาน้ำแข็งของคนอื่นด้วยเช่นกัน และมองไม่เห็นว่าพฤติกรรมที่คนอื่นแสดงออกมาเกิดขึ้นจากอะไร

เช่น การที่เจ้านายพูดไม่ดีกับเรา อาจจะเกิดจากเพราะเขาไปเจอเหตุการณ์บางอย่างที่สร้างความเข้าใจผิดมา จึงเอาความโกรธนั้นมาลงที่เราทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิด แต่โดยปกติแล้วเขาไม่ได้คิดไม่ดีกับเรา ถ้าเรามองเห็นภูเขาน้ำแข็งของเขา เราก็อาจจะไม่โกรธเขาในทันที หรือในบางกรณีคนไข้ก็อาจจะเข้าใจผิดกับตัวเอง มีมุมมองที่ไม่ดีต่อตัวเอง ต่อคนรอบข้าง ทำให้เกิดความวิตกกังวลหรือปัญหาอื่นๆ ตามมา หมอก็สามารถใช้กระบวนการบำบัดในถาดทรายเพื่อทำให้ผู้ถูกบำบัดมองมุมใหม่และยอมรับใหม่ได้มากขึ้น

เมื่อตุ๊กตาคือตัวแทนของเรื่องเล่าและนำไปสู่การเข้าใจตัวเอง

โดยปกติแล้วการทำงานของสมองคนไข้ที่มีปัญหาภายในจิตใจมักจะไม่สามารถพูดหรือบอกอารมณ์ของตัวเองออกมาได้ ในขณะที่เกิดปัญหา สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวาจะทำงานไม่สัมพันธ์กัน จึงทำให้การพูดและการสื่อสารเสียหายไปด้วยเช่นกัน จิตแพทย์จึงต้องหาวิธีที่ช่วยให้สมองทั้งสองซีกกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งการบำบัดด้วยในถาดทรายจะใช้ ‘ตุ๊กตา’ เป็นสื่อกลางในการดึงเอาภาพที่อยู่ในหัวของคนไข้ออกมาอธิบายเหตุการณ์และแสดงตรรกะของเขาอย่างเป็นรูปธรรม

โดยส่วนตัวหมอชอบวิธีการนี้ เพราะช่วยให้คนไข้สามารถอธิบายอารมณ์และความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น โดยปกติแล้วเวลาจิตแพทย์ซักประวัติถึงเรื่องอารมณ์ความรู้สึก

บางทีคนไข้อธิบายไม่ได้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน แต่การมีตุ๊กตาทำให้เขาเลือกตัวที่มีคาแรคเตอร์ตรงกับอารมณ์ ความรู้สึก และภาพในใจของเขาได้ และกระบวนการพูดคุยของหมอที่ช่วยให้เขาได้คิดและสำรวจจิตใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน

ในกระบวนการบำบัด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ภายในห้องจะมีแค่หมอและคนไข้เท่านั้น เพื่อสร้างบรรยากาศให้คนไข้สบายใจที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเอง

ใครเป็นคนนิยาม-ตีความความหมายของตัวละครบนถาดทราย

ตุ๊กตาทั้งหมดที่อยู่บนถาดทรายเกิดจากความคิดและความรู้สึกของคนไข้เอง บางทีตุ๊กตาตัวเดียวกัน แต่คนไข้คนละคนหยิบ อาจจะสื่อความรู้สึกไม่เหมือนกัน อย่างตุ๊กตาเต่าตัวหนึ่งในตู้ที่มักจะถูกคนไข้หยิบอยู่บ่อยๆ โดยปกติถ้าเป็นคนที่มีความสุขหยิบแล้วจะรู้สึกว่าตุ๊กตาตัวนี้มันดูร่าเริง สดใส แต่พอเป็นคนไข้ที่มีอารมณ์ซึมเศร้าหยิบ เขาก็จะรู้สึกว่าเต่าตัวนี้มันดูเศร้าและหดหู่ ซึ่งเป็นภาพตัวแทนของเขาในขณะนี้ได้

ถ้าให้ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เห็นภาพได้ชัดขึ้นก็คือ เมื่อหมอถามว่าเด็กมองเห็นแม่เป็นแบบไหน? ตุ๊กตาตัวไหนคือตัวแทนแม่ของเขา? เด็กคนหนึ่งเลือกหยิบตุ๊กตามังกรที่ดูดุมาก กางปีกสยายพร้อมจะสู้รบตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ในตู้เก็บตุ๊กตาเรามีมังกรให้เลือกอยู่หลายแบบ ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าในชีวิตจริง เด็กคนนี้มองเห็นแม่ตัวเองเป็นคนที่ดุมากและเขากลัวแม่มาโดยตลอด แต่ในขณะเดียวกันการบำบัดจะช่วยให้เขามองเห็นความจริงได้มากกว่า 1 มุม

เช่น หมอจะถามเขาว่า ‘อะไรที่จะทำให้มังกรตัวนี้มันลุกขึ้นมาโกรธขนาดนี้?’ หรือ ‘ปกติแล้วมังกรตัวนี้เวลาสงบเป็นอย่างไร?’ คำถามแบบนี้จะทำให้เด็กนึกย้อนกลับไปว่าก่อนที่แม่จะโกรธหรือดุแบบนี้ แม่เป็นคนแบบไหนนะ? มีเวลาไหนที่แม่ไม่ดุเขาบ้างไหม? และ ตอนไม่ดุแม่เป็นอย่างไรบ้าง? วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มมุมมองให้เด็กเห็นว่า จริงๆ แล้วมังกรตัวนี้ไม่ได้ดุร้ายตลอดเวลาอย่างที่เขาคิด ที่มังกรดุอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นมังกรกำลังปกป้องอะไรบางอย่างอยู่ ที่เด็กมองเห็นก็อาจเป็นแค่ด้านเดียวของแม่เท่านั้น เขามองเห็นแค่ด้านที่ดุ แต่ไม่ได้มองว่าแม่ดุเพราะอะไร พอเขามองเห็นด้านอื่นๆ ของแม่ เขาก็จะเข้าใจว่าที่แม่แสดงออกแบบนั้นก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้เช่นกัน

การสำรวจจิตใจผ่านการบำบัดในถาดทรายจะช่วยคนไข้อย่างไรบ้าง

เนื่องจากการบำบัดในถาดทรายเหมือนการย่อส่วนอารมณ์ที่เป็นจริงในใจผู้ถูกบำบัดออกมาวาง จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะเข้าใจลูกได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจลูกได้มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่บางคนพอได้เห็นตุ๊กตาที่ลูกเลือกเพื่อเป็นตัวแทนของเขาเอง ก็ทำให้เขาย้อนกลับมามองตัวเองว่าเขาเป็นแบบนั้นจริงไหม? หรือภาพครอบครัวที่ลูกจัดวางออกมาคือภาพที่เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? เพราะเด็กบางคนก็เลือกหยิบตุ๊กตาออกมาให้ตีความได้ตรงๆ เลย เช่น พ่อเป็นเสือ แม่เป็นหมู ลูกสาวคนโตเป็นจระเข้ และตัวเขาเองซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กเป็นเต่า พ่อที่ถูกลูกมองว่าเป็นเสือ ก็ต้องย้อนกลับไปดูภูเขาน้ำแข็งของตัวเองเหมือนกันว่าฉันเป็นคนแบบไหนกันแน่ ฉันร้ายกับลูกจริงไหม? ฉันดุลูกหรือกดดันลูกมากเกินไปหรือเปล่า? หรือมันเกิดอะไรขึ้นในครอบครัวของเราจึงทำให้ลูกสาวคนเล็กขี้กลัวและหงอแบบนี้

พอเขาเห็นมุมมองของลูกที่เป็นรูปธรรมบนถาดทรายเขาก็จะเข้าใจลูกได้มากขึ้นเช่นกัน กระบวนการบำบัดในถาดทรายจึงเป็นการปรับจูนภูเขาน้ำแข็งสองก้อนให้ลงล็อคกันได้ และในระหว่างการบำบัด หมอช่วยเปลี่ยนเรื่องที่เคยกระทบกระเทือนจิตใจหรือเปราะบางมากสำหรับคนไข้ไปในทางที่ดีขึ้นได้เช่นกัน

ถ้าเราเข้าใจภูเขาน้ำแข็งของตัวเองตั้งแต่เด็ก จะช่วยให้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ง่ายขึ้นหรือเปล่า

ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เรื่องราวที่ทุกคนมีหรือเป็นอยู่ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีรากเหง้ามาจากอดีตทั้งนั้น หมอคิดว่าเวลาที่คนเรามีปัญหา เรามักจะมองแต่สิ่งที่เราเชื่อและเชื่อจากสิ่งที่เราเห็นเท่านั้น แต่เราอาจไม่มีโอกาสได้มองในส่วนอื่นๆ ที่เราไม่เคยเห็นเลย การบำบัดนี้จะช่วยให้เราได้มองเห็นเรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันกว้างขึ้นกว่าที่เราเคยเข้าใจ

ถ้าเด็กที่มีเรื่องรบกวนจิตใจได้ทำการบำบัด เขาก็จะเห็นมุมมองอื่นของปัญหา ได้คลี่คลายปมหรือบาดแผลในใจของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ในเด็กที่ยังไม่เจอปัญหา จะเข้ามาทำการบำบัดเพื่อเป็นการสำรวจจิตใจตัวเองก็ได้ แต่อย่างน้อยมันต้องมีประเด็นตั้งต้นขึ้นมาก่อนเพื่อให้หมอมองหาปัญหาให้เจอ

ในบางเคส ผู้ปกครองพาลูกมาพบจิตแพทย์เพราะอยากตรวจสุขภาพจิตเท่านั้น ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองมีปัญหาอะไร แต่พอคุยกันไปเรื่อยๆ หมอพบว่าเด็กคนนี้ตั้งใจเรียนมากเพราะความรู้สึกผิด ในมุมมองของคนอื่นอาจจะมองว่าเด็กตั้งใจเรียนก็ดีแล้ว แต่พอค้นลงไปในใจเด็กเรากลับพบว่าการตั้งใจเรียนของเขามาจากความกลัวที่จะผิดพลาด กลัวไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนพ่อแม่ กลัวถูกตำหนิจากคนรอบข้าง และเขาใช้ความกลัวเป็นแรงผลักดันตัวเองมาโดยตลอด ซึ่งความคิดแบบนี้อาจจะเป็นอันตรายกับสุขภาพจิตของเด็กได้ในอนาคต แต่พอเขาได้สำรวจความกลัวของตัวเองในถาดทราย และพบว่าจริงๆ แล้วชีวิตเขาเก่งได้โดยที่ไม่ต้องกลัวและกดดันตัวเองมากขนาดนี้ ก็ทำให้เขามองเห็นเป้าหมาย และเปลี่ยนมาใช้เป้าหมายเป็นที่ตั้งโดยไม่ต้องใช้ความกลัวเป็นแรงผลักดันในชีวิตก็ได้ เขาจะมองเห็นความกลัวที่เป็นรูปธรรมและเรียนรู้ว่าเขาสามารถรับมือกับมันได้ และเติบโตต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครตำหนิ

สุดท้ายแล้วการเติบโตเป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้ง่ายหรอก แต่ต่อให้เมื่อโตขึ้นเขาพบกับความผิดพลาด ผิดหวัง เขาก็จะมาสามารถมองหาเลือกทางใหม่ให้ชีวิตได้เสมอ4,7771.1kFacebookTwitter

Tags:

จิตวิทยาปม(trauma)ซาเทียร์The Iceberg Modelศิลปะบำบัดพญ.สุนิดา โสภณนรินทร์การเล่น

Author:

Related Posts

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Healing the trauma
    เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to enjoy life
    ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel