Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก
EF (executive function)
12 November 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

หุ่นยนต์ดูดฝุ่นเป็นเครื่องทุ่นแรงระดับบ้านที่ช่วยงานคนเราได้มาก เพียงกดสวิตช์ให้มันทำงานแทน เราก็ไปทำงานอื่นได้เลย

มีวันหนึ่ง หุ่นยนต์ซึ่งมีลักษณะเป็นจานแบนความหนาประมาณ 2-3 นิ้วแล้วแต่ยี่ห้อ เคลื่อนที่ข้ามสันกั้นห้องที่สูงเล็กน้อยเข้าไปดูดฝุ่นในห้องเก็บของ ขาเข้าดูเหมือนจะข้ามไปได้ง่ายๆ เพราะมุมให้ แต่ขาออกมันมักจะออกไม่ได้

วันแรกที่มันออกไม่ได้ มันหมุนตัวถอยหลังไปตั้งหลักที่ระยะหนึ่งเมตร แล้วเดินหน้ามาใหม่ แต่ข้ามไม่ได้

มันหมุนตัวถอยกลับไปที่ระยะสองเมตร แล้วเคลื่อนที่มาใหม่ด้วยเสียงดังกว่าเดิม กระแทกสันกั้นห้องด้วยกำลังแรงกระเด็นข้ามมาเลย

จะเห็นว่าดูเหมือนเขาจะเรียนรู้ได้ เขียนไปเขียนมาจากมันกลายเป็นเขาไปเสียแล้ว อันนี้เขียนสนุกๆ ปรากฏการณ์ที่เห็นยังห่างไกลจากคำว่าเรียนรู้

การทำงานบ้านมีเรื่องให้เด็กๆ เรียนรู้ได้เรื่อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ มีปัญหาที่เขาต้องแก้ไข ส่วนใหญ่มิใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร แก้ได้ก็ดีใจ แก้ไม่ได้มิใช่เรื่องใหญ่ไม่มีอะไรเสียหายหรือเป็นอันตราย การสอนและปล่อยเด็กทำงานจึงเป็นบทเรียนแก้ปัญหาที่ดีมาก

ประเด็นมิได้อยู่ที่ปัญหาจริงๆ แต่อยู่ที่งานบ้านสอนให้เด็กรู้ว่าปัญหาเป็นของแก้ได้ นี่คือกระบวนทัศน์สำคัญของชีวิต งานบ้านช่วยให้เด็กรู้ว่าชีวิตทำงานคือชีวิตที่มีปัญหาเสมอ และการแก้ปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  

หุ่นยนต์ดูดฝุ่นสามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีกว่าแม่บ้านทำหรือเราทำเอง แต่มันไม่สามารถทำตามซอกมุมหรือพื้นบ้านที่ตัวมันเองหนาเกินกว่าจะลอดเข้าไปได้ รวมทั้งขั้นบันได สุดท้ายแล้วยังคงมีบางพื้นที่และบางมุมที่เราต้องกวาดถูเอง

ดังนั้น แม้ว่าบางบ้านจะมีแม่บ้าน ลูกจ้างหรือคนใช้ เราสามารถแบ่งงานบางส่วนมาให้ลูกๆ ทำได้เสมอ และหากบางบ้านมีฐานะมากพอจะซื้อหุ่นยนต์แล้วก็ตาม ลำพังงานกวาดบ้านถูบ้านก็ยังคงเหลืองานให้ลูกๆ หัดทำได้อยู่ดี เรื่องเด็กทำงานบ้านจึงไม่มีข้ออ้าง

งานบ้านเป็นแบบฝึกหัดหนึ่งที่ใช้ในการสร้าง executive function (EF) บางตำราแบ่ง EF เป็น 2 ชนิดคือ cool EF และ hot EF

cool EF หมายถึง EF ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของวงจรประสาทพื้นฐานที่ก่อรูปไว้แล้ว เป็นเรื่องของเส้นประสาทล้วนๆ เป็นความสามารถในการไตร่ตรองและรับมือในสถานการณ์ปกติ บางตำราอาจจะใช้คำว่า cool EF นี้กับ EF ที่วัดได้ในห้องปฏิบัติการ กล่าวคืองานทดลอง EF ในห้องปฏิบัติการมักเป็นโจทย์ที่ถูกออกแบบมาก่อนแล้วว่าปัญหาคืออะไร และคำตอบควรเป็นอย่างไร แล้วหนูทดลองหรือเด็กทดลองจะแก้ได้อย่างไรด้วยวงจร EF พื้นฐาน

งานทดลอง EF พื้นฐานเกือบทั้งหมดเป็น cool EF ได้แก่การควบคุมตัวเองและการคิดยืดหยุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นได้ใน  Backward Digit Span, Contingency Naming Test, Stroop Color and Word Test เป็นต้น

งานบ้านมักจะเป็น cool EF ด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำนายได้ ไม่มีตัวแปรมากมาย ไม่มีทางเลือกมากนัก กระบวนการทำงานค่อนข้างชัดเจน กระบวนการแก้ปัญหาค่อนข้างตายตัว ขอให้ควบคุมตัวเองได้ คิดยืดหยุ่นเป็น คือทำได้ และเก่งยิ่งๆ ขึ้นไป

หุ่นยนต์กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้ก็เป็น cool EF ด้วย ไม่ยาก ถ้ามันมีสมองอะนะ

เด็กๆ ไล่ตามเก็บงานของหุ่นยนต์ที่ทำไม่สมบูรณ์ก็เป็น cool EF เช่นกัน

hot EF หมายถึง EF ที่ทำงานภายใต้สถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมค่อนข้างมาก มีสภาวะทางอารมณ์ที่กดดันสูง บางตำราเขียนว่าเป็นความสามารถในการกำหนดเป้าหมายท่ามกลางตัวแปรที่หลากหลาย และบางตำรากินความรวมไปถึงความสามารถที่จะคิดวิเคราะห์ในยามคับขันเพื่ออยู่รอด

ทั้งสองแบบ เด็กต้องมีความสามารถในการกำหนดเป้าหมายอย่างเหมาะสม และอาจจะต้องกำหนดให้ได้โดยเร็วด้วย

แบบแรกคือ ความสามารถที่จะล่วงรู้ว่าตนเองชอบอะไร หลงใหลอะไร ใฝ่ฝันอะไร นั่นคือโตขึ้นอยากจะทำงานอะไร เป็นอะไร  เรื่องนี้ยากเพราะยุคไอทีมีตัวเลือกมากมายผุดบังเกิดบนฝ่ามือ โลกมิได้มีแค่แพทย์ ทันตแพทย์ วิศวะ หรือนิติศาสตร์ตามตัวเลือกยอดนิยมอีกแล้ว มหาสมุทรของอนาคตใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่เด็กที่เอาแต่เรียนจะงมเป้าหมายที่เหมาะสมกับตนเองพบ

แบบที่สอง ได้แก่ โลกร้อน พายุ ไฟป่า โคลนถล่ม เขื่อนแตก อุทกภัย แผ่นดินไหว สึนามิ อุบัติภัยและหายนะภัยจากตึกรามบ้านช่อง โรงงาน รถยนต์ รถไฟ เรือ อากาศยาน เรื่องเหล่านี้มีมากกว่าสมัยก่อนตามความซับซ้อนของสังคมสมัยใหม่ ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่ทุกคนแย่งกันเอาชีวิตรอดนั้น เด็กจะรอดได้เมื่อกำหนดเป้าหมายได้เร็วและถูกต้อง จะเอาของหรือเอาชีวิต  จะเอาแขนหรือเอาชีวิต

งานทดลอง hot EF มักทำบนท้องถนน เช่น ขี่จักรยานไป รถพุ่งเข้าใส่ เด็กที่ EF ดีกว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะเห็นว่าไม่มีคำตอบที่ตายตัว ผลลัพธ์มิได้ถูกออกแบบเอาไว้แล้ว    

หุ่นยนต์ดูดฝุ่นจะเริ่มกลับสถานีชาร์จไฟเมื่อแบตเตอรีลดลงเหลือร้อยละ 10 หากสถานีชาร์จไฟอยู่ในที่โล่ง มันสามารถตีโค้งทีเดียวเข้าอู่ได้อย่างสง่างาม แต่ถ้าสถานีชาร์จไฟอยู่ในที่แคบ มันจะชนแล้วชนเล่าเฝ้าแต่ชนเพื่อหาทางกลับบ้านก่อนที่ไฟจะหมด แล้วมันต้องตายอยู่กลางพื้นห้องนั้นเอง

หุ่นยนต์คงมิได้มีความกระวนกระวายหรือประหวั่นพรั่นพรึง เว้นแต่เราซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์คิดไปเองว่ามันกำลังลุกลี้ลุกลนเพราะแบตเตอรีใกล้หมด

แต่เด็กที่ทำงานบ้านไม่เสร็จโดยที่ยังมีการบ้านส่งพรุ่งนี้เป็นกองพะเนินรออยู่ อีกทั้งใจก็อยากไปเล่นอีกด้วย สภาวะทางอารมณ์และการบีบคั้นทำให้งานบ้านสามารถกลายร่างจาก cool EF เป็น hot EF ได้เลย

จะเห็นว่าคำแนะนำง่ายๆ ที่เราจะช่วยให้เด็กพัฒนา EF ได้ดีคือการจัดงานให้เด็กทำหลายอย่างในเวลาที่จำกัด แล้ววางงานที่ยากเอาไว้ก่อนงานที่ง่าย ด้วยวิธีนี้เด็กจะเสียพลังงานไปมากกับงานยาก จนกระทั่งเวลาเหลือจำกัดแต่ยังคงมีงานคั่งค้าง เขาจะเปลี่ยน cool EF เป็น hot EF ได้ภายใต้แรงกดดันแล้วทำงานจนสำเร็จลุล่วง 

เก่งกว่าหุ่นยนต์มาก

Tags:

การเล่นงานบ้าน งานครัว งานสวนประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

คน BULLY ไม่ใช่ใคร พ่อแม่นั่นเอง
Healing the trauma
12 November 2018

คน BULLY ไม่ใช่ใคร พ่อแม่นั่นเอง

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

พฤติกรรมการแกล้งกันของเด็กเชื่อว่าเกิดจาก เด็กไม่มี self (การมองเห็นศักยภาพตัวเอง) เพราะ self ของเด็กมันถูกผูกกับการศึกษาและความเก่งในห้องเรียน

เด็กที่ชอบแกล้งคนอื่น มีทั้งที่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าและเหนือกว่า คนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าจะเก็บความภูมิใจของตัวเองไว้ มองว่าฉันเหนือกว่าทุกคนแล้วจึงไปแกล้งคนอื่น ส่วนคนที่ด้อยกว่า เมื่อตัวเองรู้สึกไม่มีที่ยืนเลยต้องไปหาที่ยืนใหม่โดยใช้วิธีไปแกล้งคนอื่น แม้จะได้ผลในทางลบแต่มันทำให้มีตัวตน (self) ขึ้นมาทันที

ส่วนสาเหตุที่เด็กขาด self เพราะพ่อแม่ ครู หรือทุกๆ อย่างที่พยายามบอกว่า เด็กดีจะต้องเป็นเด็กเรียนเก่ง ทั้งๆ ที่คำว่า ‘ดี’ มันมีตั้งหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ ดีในเรื่องอื่นๆ ก็ได้ เช่น พับกระดาษเก่ง ทำความสะอาดเก่ง ประกอบหุ่นยนต์เก่ง

อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่: เราไม่ควรอดทนกับการ BULLY อีกต่อไป ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

Tags:

พ่อแม่ปม(trauma)กลั่นแกล้ง(bully)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Healing the traumaBook
    CHILDHOOD DISRUPTED : บาดแผลในวัยเด็ก สาเหตุของความป่วยไข้เมื่อเติบโต

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก

    เรื่อง The Potential

EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
How to get along with teenagerLearning Theory
8 November 2018

EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • “เรากำลังเลี้ยงดูเด็กแบบไหน” ชวนคิดผ่าน ‘The Twelve Senses’ ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ เป็น sensory ในระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ (จิตวิญญาณ) เพื่อประกอบขึ้นเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง
  • ฐานความคิดช่วงวัย 15-21 ปี เมื่อฐานกายและฐานใจถูกปลูกสร้างสมบูรณ์ ฐานความคิดที่เกี่ยวกับความเต็มพร้อมทางจิตวิญญาณก็จะส่งออกมาเป็นอัตลักษณ์ฉายโชนในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และยังเป็นเครื่องสะท้อนด้วยว่า ชีวิตมนุษย์ผู้นี้ถูกสร้างชีวิตมาอย่างไร
  • The Twelve Senses ไม่ใช่แค่การสร้างลูก ยังคือการใช้ชีวิตของ ‘แม่’ ในนิยามของผู้เลี้ยงดู และเมื่ออ่านจนจบ คุณอาจพบการเป็นแม่ไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือการอยู่กับลูกอย่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘มนุษย์’

เดินทางมาถึงฐานความคิด ซึ่งก็คือฐานสุดท้ายแล้วค่ะ (ใครที่เพิ่งเปิดมาเจอชิ้นนี้เพื่อกลับไปอ่าน The Twelve Senses ฐานที่ 1 และ The Twelve Senses ฐานที่ 2)

เมื่อฐานกายและฐานใจถูกปลูกสร้างอย่างเต็มพร้อม ฐานความคิด ซึ่งเกิดช่วงวัย 15-21 ปี ก็คือความเต็มพร้อมทางจิตวิญญาณ ความเต็มพร้อมในฐานการฉายโชนทางอัตลักษณ์ในการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเครื่องสะท้อนกลับไปมาด้วยว่า ‘ชีวิตมนุษย์ผู้นี้ถูกให้ชีวิตมาอย่างไร’

ไม่ใช่แค่ในแง่การเลี้ยงดูแบบตรงตัว แต่ยังหมายถึงที่ผ่านมาเขา (ถูกทำให้) มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอง คนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมอย่างไร

ท้ายบทความยังมี ‘หลังไมค์’ กับครูณา เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นมนุษย์ที่เธอนิยามว่า ‘เคยถูกน้ำร้อนลวกมาก่อน’ ไม่รู้ตั้งกี่รอบ

Sense 9: Sense of Hearing

รู้จัก ‘ทักษะการฟัง’: ไม่ใช่แค่การได้ยิน แต่คือพื้นฐานการเรียนรู้

sense of hearing เป็นผลจากเซนส์ที่ 4 (sense of balance) ถ้าคุณมีบาลานซ์ หูคุณดี คุณฟังเก่ง การฟังบอกอะไร? การฟังสร้างความเข้าใจการเรียนรู้ เคล็ดลับของคนที่เรียนเก่งไม่มีอะไรมากเลย ก็เพราะเขาฟังเก่ง ฟังต่อเนื่องยาวนาน เราอาจเคยเห็นคนเรียนเก่งที่ต้องพยายามอย่างหนักกับคนที่เรียนเก่งแบบ… เอาพรสวรรค์มาจากไหน มันไม่มีอะไรเลยนอกจากวัยเด็กเขาได้เล่นอย่างเต็มที่

และคนประเภทนี้ เมื่อผ่านชีวิตมาช่วงหนึ่ง วันที่เขาบอกว่าจะตั้งใจกับอะไร เขาใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็เข้าใจแล้ว แต่ลองเปรียบเทียบกับการศึกษาที่เฆี่ยนตีให้เรียน แค่เรื่อง ‘กรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. อะไร’ เราเรียนเป็นสิบรอบกว่าจะจบมหาวิทยาลัยแต่ก็ยังจำไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เข้าไป touch ตัวเรา เพราะคุณต้องใช้ความพยายามเป็นสิบเท่ากว่าคนที่เล่นมาก่อน

ถ้าเราอยากให้เด็กเรียนเก่ง ต้องให้เขาฟังเก่ง ถ้าอยากให้เขาฟังเก่ง ก็ต้องให้เขาใช้ฐานกายที่ดี

ถ้าเราสร้างฐานกาย (touch, life, movement, balance) มาดี ก็จะพร้อมไปเรียนรู้ช่วงฐานความคิด (hearing, speech, thought, ego) หรือช่วงอายุ 15-21 ปี

เด็กส่วนใหญ่มาเรียนเก่งตอน ม.4-5 นี่แหละ เด็กที่เรียนเก่งตอนนี้ พวกนี้เก่งจริง และเก่งแบบไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะ เพราะเขาผ่านการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับฐานกายมา

มีเด็กหลายคนที่เราดูว่าเรียนไม่โอเค ได้มาพบตอนมาเข้าค่ายว่าเขาขี่จักรยานไม่เป็น รู้ว่ามันเสี่ยงมากเลยนะที่จะให้ลูกเขาฝึกขี่จักรยาน แต่เชื่อมั้ยว่าเราก็ฝึกให้หัดขี่โดยการสร้างสถานการณ์ให้เพื่อนๆ ขี่จักรยานแล้วให้เขาอยากบ้าง เพราะเรารู้ว่าทักษะนี้มันสำคัญต่อชีวิตของเขา ไม่ใช่แค่เพียงเรียนเก่งด้วยนะ

ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะอยู่กับความกลัวว่าเด็กขี่จักรยานแล้วจะบาดเจ็บ มันมีเด็กที่บาดเจ็บ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าเวลาที่เขาพ้นจากความบาดเจ็บและทำมันได้ เขาจะได้อะไรจากมันเยอะมาก ฉะนั้น การขี่จักรยานหรือการทำกิจกรรมบางอย่าง ก็เพื่อให้เขาได้ตามหาสมดุลให้เจอและสุดท้ายเขาจะเรียนได้ดีขึ้น ใช้ชีวิตดีขึ้น มันอาจไม่ใช่แง่เดียวแบบที่พูดนี้ แต่เรื่องนี้ก็มีผลเยอะมากทีเดียวต่อความสมดุลในชีวิต

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

เวลาพูดถึงคำว่า ‘เล่น’ ในที่นี้ กินใจความถึงการเล่นกับ ‘เทคโนโลยี’ ด้วยรึเปล่า

ถ้ามองจริงๆ ถึงแม้ลูกพี่จะเล่นเกมเยอะ แต่การเล่นเกมของเขาก็เป็นศักยภาพทางกายบางอย่างที่เราแทบเข้าไม่ถึง และเอาจริงๆ ถ้าเราไม่เข้มงวดเกินไปและลองเปิดใจ ขณะที่เด็กเล่นเกมมันก็มีบางอย่างที่ทำให้เขาเข้าสู่ภาวะลื่นไหลบางอย่าง แน่นอนว่าเราคงไม่ให้เด็กเล่นเกมเร็วเกินไป แต่ในวัยที่เขาเล่นได้ เช่น ช่วงประถม ก็ให้เขามีโอกาสกับมัน อย่าถึงขั้นตัดเขาออกจากโลกภายนอกด้วยการห้าม

เขาเกิดมาในยุค IT เขามีความรู้บางอย่างที่เราไม่รู้ว่าเขารู้ มันอยู่ในระดับจิตวิญญาณเลย แล้วบางทีเราจะเห็นเขาเล่นหรือทำอะไรไปเร็วกว่าเรามาก connect เร็วมาก ในขณะที่เราทำแบบนั้นไม่ได้ แต่พอคนไม่เข้าใจก็ให้เขาตัดขาดกับเรื่องพวกนี้ มันเหมือนกับว่า เราตัดขาดเขาจากโลกของความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในยุคนี้

Sense 10: Sense of Language

รู้จัก ‘ชุดภาษา’ การสื่อสารที่สะท้อนชีวิตวัยเด็ก และการเข้าใจในสิ่งที่ไม่ได้พูด

ต่อเนื่องจาก sense of hearing การฟังก็ยังเป็นการรับชุดภาษาเข้ามาในชีวิตด้วย ชุดภาษาก็คือ sense of language หรือศักยภาพต่อการสื่อสาร ทั้งในเซนส์การ ‘ใช้’ และ ‘รับฟัง’ ชุดภาษา

ถ้าเอาให้เห็นภาพ sense of language จะสะท้อน sense of movement เพราะภาษามีการเคลื่อนที่ เวลาที่อยู่ในห้องร่วมกับคนอื่นอีก 4-5 คน ถ้าคุณด่าใครสักคนมันก็ ‘พรึ่บ’ หรือเคลื่อนไปหากันทั้งหมด ภาษามีการเคลื่อนที่ ในแง่หนึ่ง คนที่มี sense of language ยังสื่อว่าคุณเข้าใจเสรีภาพของมนุษย์แค่ไหน คือถ้าอยู่ในห้องอย่างสงบร่วมกัน คุณก็มีเซนส์ที่รู้ว่าคุณจะไม่เข้ามาแล้วตะโกนโหวกเหวก เพราะ movement ของคุณมันจะเคลื่อนไปสู่คนอื่น คุณจะเคารพเสรีภาพของคนอื่น

และมันยังมีผลในทางโลกภายในของเขาด้วย คนที่ใช้ชุดภาษาที่ดูไม่โอเค เสียดสี เจ็บแสบ มักเป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับเสรีภาพในวัยเด็ก ภาษาของคนที่ถูกลิดรอนเสรีภาพ มักจะมีสองอย่าง

หนึ่ง-คุณไม่สามารถเอื้อนเอ่ยภาษาออกมาได้เลย เป็นคนพูดยาก ไม่กล้าแม้จะพูดอะไร

สอง-ภาษาเธอเสียดแทงมาก เพราะวันที่เธอถูกลิดรอนเสรีภาพ เธออยากได้เสรีภาพแต่ก็ไม่ได้ วันหนึ่งชุดภาษาจะกลายเป็นการจ้วงแทง แสบ ด่าคนได้เจ็บ จัดการคนด้วยคำพูดเชือดเฉือน หรือเคยเจอมั้ย… บางคนคุยตลก แต่เจ็บแสบจัง บางคนคุยตลกแบบน่ารักน่าเป็นเพื่อน

ในแง่นี้ ภาษาก็กำหนดบุคลิกภาพด้วย?

ใช่ คุณสื่อสารตามบุคลิกภาพของคุณนั่นแหละ คนที่มีบุคลิกภาพที่อ่อนโยน เรารู้สึกได้ว่าเขาใช้ชุดภาษาที่บอกความในใจได้โดยไม่ต้องสู้กัน เขามีวิธีต่อรองที่น่าฟัง ยิ่งถ้าเขามี sense of hearing ดี ชุดภาษาเขาก็จะยิ่งเยอะ ชุดภาษาก็ยังสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กเป็นผลลัพธ์ต่อมาด้วย

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

และยังเป็นคำตอบที่ว่า บางคนลงท้ายประโยคด้วยหางเสียง คะ/ขา/ครับ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกสุภาพหรือเคารพกัน

เพราะไม่ใช่ ‘คำ’ ไม่ใช่ word แต่คือพลังงาน คือ energy

คำว่า energy เข้าไปอยู่ในทุกเซนส์เลย

เพราะมนุษย์คือ energy ทุกสิ่งในโลกคือ energy และชุดภาษาที่ดีใน sense of language มันลึกซึ้งขนาดว่า เขาจะได้ยินในระดับที่ลึกกว่าสิ่งที่อธิบาย ถ้าอ่านหนังสือก็เห็น ‘ระหว่างบรรทัด’ ที่ผู้เขียนใส่ไว้ หรือถ้าเขาฟังใคร (hearing) เขาจะรู้สึกเข้าใจมากเกินกว่าที่คนนี้พูด

ได้ยินในสิ่งที่ผู้พูดไม่ได้อธิบาย

มันคือความลึกซึ้งที่ระดับพลังงานที่เชื่อมระหว่างคนสองคน และไม่ใช่ความคิด (thinking) แต่เป็นการดำรงอยู่ (being) ด้วยกัน

sense 11: sense of thought

รู้จัก ‘มุมมองชีวิต’ มองชีวิตอย่างไร เท่ากับ ถูกให้ชีวิตมาอย่างไร

ต่อเนื่องกันไป ในชุดภาษา หรือ sense of language มันจะหล่อหลอมคอนเซ็ปต์ หรือ ‘หลักการชีวิต’ จริงๆ ก็คือการตามหาความหมายของชีวิตเลย เธอเกิดมาเพื่อเป็นอะไร ต้องการสร้างความหมายแบบไหนให้กับโลกใบนี้ คุณมีหลักการชีวิตยังไง มีแนวคิดชีวิตยังไง เด็กจะเริ่มมีคอนเซ็ปต์แบบนี้ ถ้าเป็นคอนเซ็ปต์ของเขาก็คือ ฉันควรจะอยู่กับผู้คนยังไง ควรจะเรียนหนังสือยังไง ควรจะทำงานยังไง ควรดูแลชีวิตตัวเองยังไง

คอนเซ็ปต์เหล่านี้ก็เป็นได้ผลลัพธ์จากเซนส์ที่ 2 (sense of life) เขาถูกให้ชีวิตมายังไง เขาก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น ในเซนส์นี้จะสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นมายาวไกลมากในตัวเขา

ถ้าเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น แล้วเราเริ่มเห็นสัญญาณในตัวเด็กบางอย่างที่เราคิดว่าเป็นปัญหา สัญญาณนั้นมันก็สะท้อนตัวเรานั่นแหละว่า เวลาที่เรากับเขาอยู่ด้วยกันมันเป็นแบบไหน มันช่างร้อนกันเหลือเกิน มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน หรือมันเป็นยังไง เราก็ต้องแก้ไขจุดนี้ ไม่อย่างนั้นเราต้องทำมันต่อไปด้วยแพทเทิร์นเดิมๆ ในชีวิตเรา

Sense 12: Sense of Ego

รู้จัก ‘อัตลักษณ์’ ที่ฉายโชนจากการบ่มเพาะการเป็นมนุษย์

คอนเซ็ปต์ของเขาเป็นยังไง มันจะฉายโชนออกมาในเซนส์สุดท้าย ฉายโชนออกมาเป็นคนคนหนึ่งที่ยืนตรงหน้าเรา ซึ่งเรียกว่า sense of ego หรืออัตลักษณ์ของเขา ซึ่งเป็นเป้าหมายของบทความชิ้นนี้ที่พยายามหาคำตอบว่าคาแรคเตอร์ของคนคนหนึ่งมีขึ้นมาได้อย่างไร

เวลาที่พูดถึงคำว่า ego มักจะให้ความหมายลบๆ

อันนี้พี่อยากพูดมาก (หัวเราะ) ความจริงมันก็คืออีโก้นั่นแหละ คนเราต้องมีอีโก้ก่อนจะวางเป็นอนัตตา ให้เราถืออัตตาให้ได้ก่อนเถอะ เพราะถ้าเราถือไม่ได้ เราจะวางอะไร พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่อยากให้เด็กมีอัตตา เขาเลยไม่มีอะไรในมือจะวางเลย เขาพยายามไขว่คว้า อยากจะมีอะไรในมือสักอย่างว่านี่คือ ‘ฉัน’ เมื่อไรจะยอมรับฉันสักที

อีโก้ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งลบไปหมด เพราะเด็กบางคนฉายโชนอีโก้เป็นแสงสว่าง เขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วเรารู้สึกเลยว่า ‘นี่คือเธอ’ เธอที่จะใช้ชีวิตบนโลกนี้ เธอช่างมีอีโก้ หรือมีอัตลักษณ์ที่โคตรพิเศษเลย (เน้นเสียง) มันเป็นสิ่งที่ดี แต่เขาต้องผ่านกระบวนการตรงนี้ก่อน แล้วตอนหลังเขาจะไปอนัตตาหรืออะไรก็เรื่องของเขา แต่เขาต้องมีอัตลักษณ์ก่อน

คำว่า ‘อัตลักษณ์’ เหมือนความรัก เราไม่เคยระบุได้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเจอใครคนหนึ่งที่มีอัตลักษณ์บางอย่าง เราค่อยบอกได้ว่า คนนี้มีอัตลักษณ์ ซึ่งก็อธิบายไม่ได้อยู่ดีว่าคืออะไร

มันก็คือ energy ที่ไป touch คนอื่น อัตลักษณ์ของเด็กที่โตมาแล้วไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย พ่อแม่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เขาจะฉายอัตลักษณ์ที่บอกได้ว่าพ่อแม่สัมผัสเขามาแบบไหน ตอนนั้นแหละ ถ้าเราให้ความหมายกับความรุนแรง อัตลักษณ์เขาก็คือความรุนแรง ถ้าให้ความหมายของความกลัว จะรู้เลยว่าคนนี้มี energy ที่ขี้กลัว เราจะจับความรู้สึกได้ภายใต้สิ่งที่เขาถูกเลี้ยงมา

แต่มันต้องแก้ได้ เราต้องตัดวงจรเก่าๆ ได้

ไม่ผิดหรอกที่เราเลี้ยงดูมาผิด แต่มันผิดที่เราจะดำเนินมันต่อไป ก็เพราะเราไม่รู้ เราทำดีที่สุดเท่าที่เรารู้ แต่เชื่อมั้ยว่า เรารู้ได้ใหม่ เราสร้างความเข้าใจได้ใหม่ ในมุมพ่อแม่ ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราสร้างมามันผิดเพราะมันฉายผลลัพธ์มาแล้ว เราก็แค่ไปรู้ใหม่ ไปหาความรู้ใหม่ เดี๋ยวเราก็จะได้รู้ในสิ่งที่ถูก แล้วทุกอย่างมันจะโอเค

พอได้เรียน 12 senses ครบหมด คุณจะรู้ว่ามันมีความหมายมาก (เน้นเสียง) มากเสียจน คุณจะเอาเวลาของคุณไปให้ลูกสอบแข่งเข้า ป.1 เหรอ คุณอยากจะเลี้ยงลูกเพื่อให้วันที่เขาอายุ 21 ปีออกไปเป็นสุภาพบุรุษ สตรี หรือ คนคนหนึ่งบนโลกใบนี้ หรือ คุณจะเลี้ยงเขา 0-7 ปี เพื่อให้เข้า ป.1 ได้

4 ฐานแรก (touch, life, movement, balance) คือการสร้างฐานเด็กให้มีความสุข

4 ฐานต่อมา (smell, taste, sight, temperature) ทำให้เขาเข้าใจตัวเอง

4 ฐานสุดท้ายนี้ (hearing, speech, thought, ego) ก็จะทำให้เขาอยากมีชีวิตที่มีความหมาย อยากเป็นคนที่เก่ง

สุขก่อนถึงดี ดีแล้วถึงเก่ง แต่สโลแกนประเทศไทยคือ ‘เก่ง ดี มีสุข’ แต่เราไม่เจอเด็กที่มีความสุขเท่าไหร่เลย เรียนหนังสือให้เก่งเป็นสิ่งที่ง่ายมากถ้าเราสร้างสิ่งที่ถูกต้องไว้ก่อน ความสุขที่สังคมยุคใหม่บอก เป็นความสุขจอมปลอมเยอะมาก ความสุขที่ต้องการได้ทางกายภาพ เพราะเขาต้องการชดเชยทางกายภาพวัยเด็ก ซึ่งมันชดเชยกันไม่ได้ ให้เด็กได้รู้จักความสุขที่แท้จริงก่อนเถอะ แล้วเมื่อเขาเข้าใจความสุขที่แท้จริง เขาจะรู้ว่าเวลาที่เขาทำให้คนอื่นทุกข์ เขาก็จะขาดความสุขนั้นไป นั่นแหละเรียกว่าความเป็นคนดี คนที่ไม่อยากสร้างความทุกข์ให้ผู้อื่น และคนดีก็จะไม่ทำตัวให้เป็นภาระของใคร นั่นจึงเรียกได้ว่าเขาจะพยายามทำตัวเองให้เก่งด้านใดด้านหนึ่ง ไม่พึ่งพาพ่อแม่ เป็นผู้ใหญ่ที่มีความหมายบนโลกใบนี้

หลังไมค์กับครูณา: The Twelve Senses ครู แม่ ภรรยา เพื่อน มนุษย์ ที่เคยถูกน้ำร้อนลวกมาก่อน

ครูณาแลกเปลี่ยนประสบการณ์บ่อยๆ ว่าเคยเป็นคุณแม่และภรรยาที่ไม่ใจดีมาก่อน ร้อนมาก่อน จุดไหนที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว จะปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้อยู่กับครอบครัวไม่ได้

เป็นวันที่ทะเลาะกับสามีและลูก จนวันหนึ่งที่น้องปัณณ์อายุ 6 ขวบเดินเข้ามาถามว่า “รักเขาที่สุดจริงเหรอ” เราตอบว่า “ใช่สิ” แต่เขาบอกว่าไม่เข้าใจ เขาถามว่า “ถ้าเป็นเด็กคนอื่นเดินมาแล้วบอกว่า ‘หิวข้าว’ แม่จะทำยังไง?” ตอนนั้นเรารู้เลย เห็นตัวเองทันที เพราะเราเป็นครูณาที่ใจดี ถ้าเห็นนักเรียนเดินมาบอกว่าหิวเราจะเข้าไป “หิวข้าวเหรอลูก มาๆ ครูพาไปกิน” โห มันเห็นตัวเองเลย แต่ถ้าเป็นเขาเราจะตอบว่า “เมื่อเช้าแม่ก็ทำให้กินแล้วทำไมไม่กิน”

มันมีบางอย่างที่ไฮแจ็คเรา เหมือนสัญญาณเก่าสวมเราและทำให้เราทำโดยหลับใหลแล้วเขาปลุกเรา เราเลยรู้สึกว่า ความรู้ปริญญาที่เรามีมันไม่ได้ช่วยเลย คิดว่าเราคงขาดความรู้บางอย่าง ซึ่งตอนหลังเราเรียกความรู้ที่เราขาดว่า ‘วิชาชีวิต’ หลังจากนั้นเราเริ่มสนใจวิชาชีวิตและศึกษาการศึกษาทางเลือก เรียนรู้ด้วยตัวเองเลย

พอมาเรียนรู้เรื่อง 12 senses พี่ตกใจมากเลยว่ามนุษย์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ทำผิดต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ วันนี้พี่ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจมันถูกมั้ย แต่พี่บอกกับผู้คนเสมอทุกครั้งที่เขาเข้ามาเวิร์ช็อปว่า พี่ตีความและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ของพี่

และเราจะไม่มีทางรู้หรอกว่าเราทำถูกมั้ยจนกระทั่งวันทีลูกเราอายุ 40 วันนั้นลูกเขาเลี้ยงตัวเองได้ใช่มั้ย ลูกเรามีความสุขใช่มั้ย ลูกเราไม่ฆ่าตัวตายใช่มั้ย ลูกเราไม่เป็นทุกข์กับความสัมพันธ์ใช่มั้ย แต่ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้บอกว่าถ้าเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นแล้วมันจะผิดหรือถูกนะ แต่หมายถึงว่า ชีวิตมันไม่มีผิดถูก กว่าเราจะเข้าใจว่า “เราพอจะได้นะ” มันใช้เวลานานมาก

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

หมายถึงว่าครูณาก็เคยผิดพลาด เคยเป็นแม่ที่ผิดพลาดมาก่อน

โอย… พี่จะบอกว่าพี่เคยโดนน้ำร้อนลวกมาก่อนหลายรอบ แต่พี่ขอบคุณตัวเองที่เชื่อว่าพี่รักลูกและรักในตัวเอง มันเลยทำให้พี่ตามหา พี่เป็นคนเคารพความฝัน เคารพตัวเอง คือเราจะไม่ทำให้ตัวเราเองเสียใจ ถ้าเราเลี้ยงลูกแล้วลูกเสียใจ เราก็เสียใจ เราก็จะตามหาสิ่งที่เรารู้สึกได้ว่ามันคือความเข้าใจชีวิตและมันคือความสุขจริงๆ

จุดเปลี่ยนวันนั้นถึงวันนี้ ประเมินได้มั้ย 12 senses ให้อะไรกับคนเป็นแม่

พี่รู้ว่าถ้าพี่ไม่เปลี่ยน เราไม่ได้มีลูกอยู่ใกล้ๆ เราหรอก เราเป็นอุณหภูมิที่ร้อน ลูกคงไม่ได้อยู่กับเรา เรารู้ว่าภายใต้ความคิดว่าเราเข้าใจเด็ก เรามีความสามารถจะฝึกเด็กให้เก่ง แต่ในตอนนั้นเราไม่มีความสามารถเข้าใจจิตวิญญาณเขาว่าเขากำอะไรมาเกิด เราจัดการเขาจนกระทั่งเขาทิ้งความเป็นตัวเอง เขาทิ้งฝัน แต่วันที่เราเข้าใจ เราปล่อยให้เขาเติบโตตามวิถีของเขาและเชื่อว่าสิ่งที่เขากำมาเกิด มันจะฉายโชนภายใต้สิ่งที่เราเข้าใจ มันไม่ได้ฉายทันทีวันที่เขาเป็นเด็ก แต่จะฉายเมื่อถึงวันที่พร้อม

จะเป็นยังไงถ้าเราอวยลูกเนี่ย (หัวเราะ) มันมาถึงวันที่พี่อวยลูกได้น่ะ คุณต้องเห็นวันที่เขาเล่นเปียโนและการที่เขาเข้าไปอยู่มหาวิทยาลัยอันดับสองของโลก ในวันที่เขาเล่นแล้วเราช็อกว่านี่คือลูกเราเหรอ วันที่เขาฉายความเป็นตัวเขาเองอย่างที่สุด อย่างที่พี่บอกว่าความยากในชีวิตของแต่ละวันสำหรับครอบครัวคือ วันนี้จะกินอะไรดี ชีวิตพี่สบายมาตั้งแต่เราเข้าใจ มันไม่มีอะไรที่เราต้องจัดการกัน หรือสร้างความทุกข์ให้กัน

พ่อแม่ทุกคน ทำแบบนี้ได้ไหม

พี่ไม่ได้บอกว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน เราจะรู้เองว่าเราต้องทำยังไงกับลูกเรา พี่ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรให้เขาเลยนะ แค่ไม่ขัดจังหวะความเป็นชีวิตของเขา เพราะจริงๆ มนุษย์เป็นแบบนี้ แต่เราเติบโตแบบผิดปกติจนเป็นปกติ เขาไม่ได้ดีลกับเรื่องทั่วไป ถ้าคนเข้าใจธรรมชาติ เราจะทำให้เขาเติบโตมาเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์คือความรัก ความอ่อนโยน และมีความเก่ง มนุษย์รู้ว่าตัวเองจะเป็นอะไร

การคุยครั้งนี้เหมือนมานั่งถอดบทเรียนเป็นข้อๆ แต่เอาเข้าจริงมันก็คือการใช้ชีวิตแบบ ‘มนุษย์กับมนุษย์’

เพราะว่าเรากับเขาก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเราเข้าใจตัวเราเองจริงๆ เราจะเข้าใจเขา ประเด็นคือเราไม่เข้าใจตัวเอง

ถ้าเคยผิดพลาดมาแล้ว แก้ยังไง แก้ได้ทุกเมื่อไหม และเริ่มอย่างไรดี

ไม่ต้องแก้ที่เขา เริ่มจากตัวเรา เพราะเขาคือผลลัพธ์ที่เราใช้ชีวิตมาทั้งหมด แก้สิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ แก้วิถีชีวิตของเรา และถ้าให้ดี พ่อกับแม่ตกลงกันว่าเราควรจะแก้ว่าใช้ชีวิตยังไงดี คำว่าตกลงไม่ได้หมายความว่า เธอสองคนต้องคิดเหมือนกัน เพราะเป็นไปไม่ได้ ลูกเรียนรู้ที่จะรู้จักชีวิตของเราสองคนในแบบที่ไม่เหมือนกันนี่แหละ

แค่พ่อแม่เข้าใจชีวิต อีกหนึ่งเดือนผ่านไปบุคลิกภาพเปลี่ยนไปเลย มันเห็นผลเร็วมาก ไม่ต้องคิดเหมือนกัน ไม่ต้องทำเหมือนกัน แต่ต้องเข้าใจว่ามนุษย์แตกต่างกัน เรายอมรับกันและกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน พลังงานแบบนี้จะส่งผลต่อบุคลิกภาพของลูกทันทีเลย

เวลาที่เราอยู่กัน อันนี่พ่อ แม่ลูก (ขวา) มันแค่เท่านี้เองนะ มันมีส่วนนี้เองที่อยู่ด้วยกัน (ส่วนที่ 5) และมีข้อตกลงเล็กๆ น้อยๆ เวลาแม่อยู่กับลูก (ส่วนที่ 6) ก็เรื่องของเขา หรือพ่อแม่ก็ไปจู๋จี๋กันมั่ง (ส่วนที่ 2) แล้วแม่ก็ไปเสริมสวย ไปเที่ยว ไปมีแก๊งของตัวเอง (ส่วนที่ 3) ประเด็นคือคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจ ใช้ชีวิตแบบวงกลมนี้ (วงกลมซ้าย) เราเข้าใจและเราจะอยู่ด้วยกันแบบปึกแผ่น แต่คนที่โตมาแบบนี้ไม่เคยมีใครทำได้สักคน เพราะพ่อมีชีวิตของเรา มีความเป็นตัวเขาที่ไม่เหมือนแม่ แม่ก็เช่นกัน ถ้าสองคนนี้เข้าใจ ก็จะรู้ว่าลูกไม่เหมือนเรา เราก็จะไม่บังคับลูกในสิ่งที่ควรเป็น พอมันเกิดสเปซที่เข้าใจกันแบบนี้ ก็จบ

ลูกอยากเล่นเกมบ้างก็เออ… เรื่องของมัน และปล่อยให้เรื่องยากเป็นแค่ ‘วันนี้จะกินอะไรดี’ ก็พอ

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาThe Twelve Sensesอังคณา มาศรังสรรค์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

5 ขั้นตอนปลุกสมองให้คิดสร้างสรรค์ และถ้าเจอปัญหา ‘อย่าหนี’
21st Century skills
8 November 2018

5 ขั้นตอนปลุกสมองให้คิดสร้างสรรค์ และถ้าเจอปัญหา ‘อย่าหนี’

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เป็นแค่พรสวรรค์ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายของใครหลายคน แต่อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ฝึกได้ด้วยการใช้งานสมองให้ถูกวิธี
  • 5 ขั้นตอนที่จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ การเตรียมข้อมูลและวัตถุดิบต่างๆ การบ่มเพาะ การมองทะลุ การประเมินผล และการลงมือทำ
  • เมื่อเจออุปสรรคหรือปัญหา อย่าหนีแต่จงถอยมาตั้งหลักด้วยการพักและผ่อนคลายแทนที่จะจมอยู่กับวังวนแห่งการคิดไม่ออกนั้น

หลายครั้งที่เราพยายามคิดให้ออกอย่างสร้างสรรค์ แต่ก็มีจุดติดขัดอย่างหนึ่งที่เบรกเราไว้ได้เสมอ อย่างคำถามทำนองว่า “เอ๊ะ…แล้วจะเริ่มจากตรงไหน?” หรือบางครั้งคิดออกแล้ว แต่กลับเป็นไอเดียมากมายที่กระจัดกระจายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

แย่แล้ววววววว…ช่วยด้วยยยยยยย! เจอแบบนี้ทุกทีจะทำยังไงดีนะ?

การเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน แต่! ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องถอดใจเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่ากระบวนการคิดสร้างสรรค์ (creative process) ฝึกฝนได้ ด้วยการใช้งานสมองให้ถูกวิธี

ในบทความเรื่อง ‘For a More Creative Brain Follow These 5 Steps’ เจมส์ เคลียร์ (James Clear) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างนิสัย เจ้าของหนังสือ ‘Atomic Habits’ ได้แนะนำกระบวนการคิดให้สมองทำงานได้อย่างสร้างสรรค์กว่าที่เป็นอยู่ เขานำเสนอตัวอย่างกระบวนการคิดค้นของนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ช่วยให้เห็นภาพ และเข้าใจขั้นตอนสำคัญของกระบวนการคิดสร้างสรรค์ได้ชัดเจนขึ้น

ช่วงปี ค.ศ. 1870 กิจการหนังสือพิมพ์และสื่อสิ่งพิมพ์ต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น สมัยนั้นภาพถ่ายยังเป็นสื่อใหม่และน่าตื่นเต้น ผู้อ่านต้องการเห็นภาพปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์ประกอบกับตัวหนังสือ แต่ยังไม่มีใครคิดวิธีการลดต้นทุนการพิมพ์ตัวหนังสือพร้อมภาพ และพิมพ์ให้ได้เร็วขึ้นในราคาที่ถูกลงได้

ตอนนั้นหากอยากพิมพ์ภาพสักภาพลงในหนังสือพิมพ์ สิ่งที่ต้องทำคือให้ช่างแกะสลักภาพลงบนแผ่นเหล็กด้วยมือ เพื่อใช้เป็นแม่แบบในการพิมพ์ ย้ำอีกครั้ง แกะ…สลัก…ภาพ…บน…แผ่นเหล็ก….ด้วยมือ!! แต่แม่แบบนี้มักหักหรือชำรุดหลังผ่านการใช้ไม่กี่ครั้ง ขั้นตอนนี้จึงต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมหาศาล

และแล้วก็มีผู้กล้าถือกำเนิดขึ้น ผู้คิดค้นวิธีแก้ปัญหานี้มีชื่อว่า เฟรเดอริค อี. ไอฟส์ (Frederic E. Ives) นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน เขากลายเป็นผู้บุกเบิกด้านการถ่ายภาพและได้รับสิทธิบัตรรวมกว่า 70 ฉบับเมื่อสิ้นสุดการทำงานในชีวิต

ไอฟส์เริ่มต้นงานของเขาจากการเป็นเด็กฝึกงานที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งในเมืองอิธาคา นิวยอร์ค (Ithaca, New York) สองปีหลังจากได้เรียนรู้ขั้นตอนการพิมพ์ เขาหันมาดูแลแล็บภาพถ่ายใกล้มหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell University) ไอฟส์ใช้เวลาในห้องแล็บกว่า 10 ปี ทดลองเพิ่มเติม เพื่อหาเทคนิคการถ่ายภาพใหม่ๆ ศึกษาเรื่องกล้อง การพิมพ์ และการใช้เลนส์ เขาค้นพบหลักการพิมพ์แบบฮาล์ฟโทน (Halftone) แล้วพัฒนาจนสำเร็จออกมาเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่ดีกว่าเดิมได้ ในปี ค.ศ. 1881 ลดทั้งต้นทุนและพิมพ์ได้เร็วขึ้น

“ขณะที่ง่วนอยู่กับกระบวนการทำแผ่นพิมพ์ภาพถ่ายที่อิธาคา ผมได้ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นกับการพิมพ์แบบฮาล์ฟโทน” ไอฟส์ กล่าวต่อว่า “ผมเข้านอนทั้งๆ ที่ยังคิดถึงปัญหาเรื่องนี้อยู่ มันเหมือนเป็นหมอกจางๆ อยู่ในสมอง และทันทีที่ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันหนึ่ง เหมือนคำตอบทุกอย่างฉายภาพชัดอยู่บนเพดาน ทั้งกระบวนการและอุปกรณ์ที่จะต้องใช้เพื่อแก้ปัญหานั้น ผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อ”

ไอฟส์แปลงภาพที่เห็นในหัวให้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เขาจดสิทธิบัตรวิธีการพิมพ์ของเขาในปี ค.ศ. 1881 ยังไม่พอ…เขาใช้เวลาปรับปรุงและพัฒนาขั้นตอนต่างๆ ให้ดีขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1885 ก็ได้คิดค้นวิธีการพิมพ์ที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีกว่าจนสำเร็จ เทคนิคการพิมพ์ของเขาเป็นที่รู้จักและนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะช่วยลดต้นทุนการพิมพ์ได้ถึง 15 เท่า และเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่ใช้มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 80 ปีถัดจากนั้น

เราเห็นอะไรบ้างในกระบวนการทำงานของไอฟส์?

ไอฟส์สั่งสมประสบการณ์ ข้อมูล และเทคนิควิธีการด้านภาพถ่ายและการพิมพ์มากมาย ทั้งจากการฝึกงานและการค้นคว้าทดลองในห้องแล็บ สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการคิดต่อยอดเพื่อสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ

ไม่จบแค่นั้นเขาทดลองแล้วทดลองอีกด้วยวิธีการต่างๆ เรียกได้ว่าหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำเพื่อคิดค้นและพัฒนาวิธีการที่ง่ายและดีที่สุด

แต่เมื่อเจออุปสรรคหรือปัญหา ไอฟส์ไม่หนีแต่ถอยมาตั้งหลักด้วยการพักและผ่อนคลายแทนที่จะจมอยู่กับปัญหานั้น

อย่างที่เขาบอก เขาหลับ แล้วความรู้สึกโล่งโปร่งสบายนั้นเองที่ทำให้เขาเจอกับทางออก

และสุดท้ายแม้ได้คำตอบที่ตามหามานาน เขายังคงทดสอบและปรับปรุง จนพัฒนากระบวนการที่ดีกว่าได้อีก เรื่องนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มักถูกมองข้าม เมื่อกระบวนการคิดสร้างสรรค์เติบโต อย่าหยุดหรือพอใจเพียงแค่คำตอบเดียว เราดีใจและภูมิใจกับสิ่งที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ได้ แต่ไอเดียที่ดีกว่าก็เกิดขึ้นได้จากรากฐานความคิดเดิมเช่นกัน เพราะกระบวนการคิดสร้างสรรค์เป็นการผสมผสานของความคิดหรือไอเดียที่มีอยู่เดิม เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการมองให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างข้อมูล ประสบการณ์และความคิดต่างๆ ที่มีอยู่ในสมอง

เจมส์ เทย์เลอร์ (James Taylor) อีกหนึ่งนักพูด นักเขียน และผู้ประกอบการ ที่มีเป้าหมายในการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้คนและองค์กรต่างๆ ให้เติบโต สร้างตลาด และสร้างรายได้จากความคิดสร้างสรรค์ที่เขาเชื่อว่าทุกคนมีอยู่แล้วในตัวเอง สรุปกระบวนการคิดสร้างสรรค์ไว้ 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. การเตรียมข้อมูลและวัตถุดิบต่างๆ (Preparation)
  2. การบ่มเพาะ (Incubation)
  3. การมองทะลุ (Insight)
  4. การประเมินผล (Evaluation)
  5. การลงมือทำ (Elaboration)

เห็นได้ว่าสิ่งที่ไอฟส์คิดและลงมือทำจนกลายเป็นนวัตกรรมแห่งยุคสมัย สอดคล้องกับกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่เทย์เลอร์พูดถึง

ขั้นตอนแรก การเตรียมข้อมูลและวัตถุดิบต่างๆ (Preparation)

ลองคิดถึงสิ่งที่อยากทำ ยิ่งมีข้อมูลและประสบการณ์จากการศึกษาและลองผิดลองถูกมากเท่าไหร่ ความท้าทายที่อยากพิชิตไอเดียใหม่ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ หากเป็นนักเขียนก็ต้องอ่านและเขียนเยอะๆ หากเป็นนักดนตรีก็ต้องฝึกฝนและฟังดนตรีหลากหลายประเภท หากเป็นผู้ประกอบการ การศึกษาโมเดลธุรกิจที่ดีของคนอื่นก็เป็นประโยชน์ หากเป็นศิลปินก็ต้องหาแรงบันดาลใจจากโลกกว้าง

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่อาจใช้เวลาพอสมควรในการสั่งสมประสบการณ์ความรู้ เช่นเดียวกับไอฟส์ที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ ทั้งจากการฝึกงานและการทดลองในแล็บ ตั้งแต่ช่วงต้นการทำงานของเขาร่วม 10 ปี

ขั้นที่สอง การบ่มเพาะ (Incubation)

หลังจากขลุกอยู่กับสิ่งที่สนใจ เป้าหมาย และความท้าทายมาพอสมควร ขั้นตอนนี้เป็นการปล่อยวางตัวเองจากข้อมูลและประสบการณ์ที่มี เพื่อเปิดพื้นที่ให้ความคิดใหม่ได้แตกยอด

เทย์เลอร์ ยกตัวอย่างนักเขียนที่ร่างต้นฉบับหรือวางโครงเรื่องงานเขียนสักชิ้นหนึ่งไว้ แล้วเก็บต้นฉบับนั้นใส่ลิ้นชักสักช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นถึงค่อยกลับมาดูร่างต้นฉบับนั้นอีกครั้งเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น บางคนอาจขอแค่เวลาพัก ไปนอนแล้วกลับมาคิดต่อในวันรุ่งขึ้น ขั้นตอนบ่มเพาะนี้ไม่มีระยะเวลาแน่นอน อาจเป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้

ขั้นที่สาม มองทะลุ (Insight)

เป็นโมเมนต์ที่จู่ๆ ไอเดีย ก็ผุดขึ้นมาเหมือนเปิดหลอดไฟ หรือ aha! โมเมนต์ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่เร่งรีบ และทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานต่ำ (low level activity) เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากขั้นตอนการบ่มเพาะ

จำได้ไหมว่าไอฟส์ใช้วิธีไปนอนพัก แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมไอเดียที่ทำให้เกิดเทคนิคฮาล์ฟโทนสำหรับการพิมพ์ภาพเป็นครั้งแรก เขามองทะลุเมื่อหยุดหมกมุ่นครุ่นคิดแล้วไปนอน

หลายคนบอกว่า ความคิดสร้างสรรค์มักโผล่มาตอนกำลังอาบน้ำ ตอนเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องทำงานออกไปเดินเล่นในสวน ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าความคิดเริ่มตันไปต่อไม่ถูก แทนที่จะฝืนตัวเองอยู่กับโต๊ะทำงาน ให้เปลี่ยนบรรยากาศออกไปเดินชมนกชมไม้ ไปออกกำลังกาย หรือนอนดีกว่า

ขั้นที่สี่ ประเมินผล (Evaluation)

เป็นขั้นตอนตรวจสอบเพื่อตัดสินใจว่าสิ่งที่คิดนั้นคู่ควรแก่การทุ่มเทแรงกาย แรงใจและเวลาทำต่อหรือไม่ นอกจากการเปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้คิดไตร่ตรองแล้ว คนรอบข้างที่ไว้ใจได้และเข้าใจสามารถมีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ แต่ข้อควรระวังคือ ต้องเลือกที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ และมีความเข้าใจในสิ่งที่เราทำ แม้แต่ไอฟส์เอง เขาใช้เวลาลองผิดลองถูกดู ทดสอบ และปรับปรุง ไอเดียแรกที่เขาคิดขึ้นได้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็ค้นพบวิธีการใหม่ที่ดีและเรียบง่ายกว่าวิธีการแรกที่คิดออก

หากเขายึดติดกับความคิดแรกมากเกินไป ความคิดที่ดีกว่าอาจไม่มีโอกาสได้ผลิบานก็เป็นได้

ขั้นที่ห้า ลงมือทำ (Elaboration)

หลายคนได้แค่คิดแต่ไม่ทำ เมื่อไม่ทำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

นี่เป็นที่มาของประโยคที่บอกว่า “1% มาจากแรงบันดาลใจ ส่วนอีก 99% มาจากการลงมือลงแรงทำ” ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่คิดแล้วเกิดขึ้นได้ทันที

กระบวนการคิดสร้างสรรค์มีแนวทางให้ฝึกฝน – คิด พัก ทดลอง วิเคราะห์ วิจารณ์ พิจารณา แล้วลงมือทำ

อย่างไรก็ตาม กระบวนการ 5 ขั้นตอนนี้ไม่จำเป็นต้องคิดแบบเรียงลำดับ หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้า แบบตายตัว ปล่อยให้ความคิดเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ จะเริ่มลงมือทำก่อน เกิดประสบการณ์ จนผุดไอเดียขึ้นมาก็ได้ หรือจะ “อ๋อ!”…ก่อน แล้วไปทดลองทำดูว่าที่ “อ๋อ” นั้นได้ผลจริงหรือเปล่า แบบนั้นก็ไม่ผิด…

“Being creative isn’t about being the first (or only) person to think of an idea. More often, creativity is about connecting ideas.” James Clear

“การเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้หมายถึงการเป็นคนแรกที่คิดได้เสมอไป ความคิดสร้างสรรค์ คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างความคิด” เจมส์ เคลียร์ กล่าวไว้

หมายเหตุ
– ฮาล์ฟโทน (Halftone) เป็นหลักการพิมพ์ภาพที่แปลงภาพต้นฉบับเดิมให้เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากการประกอบกันของจุดสีดำเล็กๆ หากมองเข้าไปใกล้ๆ เราจะเห็นจุดสีดำเล็กๆ บนภาพ แต่เมื่อมองในระยะสายตา จุดสีดำจะกลืนกันมองเห็นเป็นภาพเฉดสีขาวดำที่ชัดเจนขึ้น
– เจมส์ เคลียร์ (James Clear) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างนิสัย เจ้าของหนังสือ ‘Atomic Habits’ ที่เปิดเผยกลยุทธ์การสร้างนิสัยที่ดี รวมทั้งการกำจัดจุดอ่อนซึ่งเป็นข้อบกพร่อง และนำเสนอแนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ ที่นำไปสู่ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ประกอบการ และช่างภาพที่ตระเวนไปถ่ายภาพมาแล้วกว่า 30 ประเทศทั่วโลก
อ้างอิง:
For a More Creative Brain Follow These 5 Steps
5 Stages of the Creative Process – James Taylor

Tags:

ความคิดสร้างสรรค์(Creativity)จิตวิทยา4Cs

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Everyone can be an Educator21st Century skills
    USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Voice of New Gen
    TALK LIKE TED: พูดแบบนี้ถึงจะมีคนฟัง

    เรื่องและภาพ The Potential

“ออกไปชมพิพิธภัณฑ์” ใบสั่งยาจากทีมแพทย์แคนาดา ใช้ศิลปะเยียวยาร่างกายและจิตใจ
Space
7 November 2018

“ออกไปชมพิพิธภัณฑ์” ใบสั่งยาจากทีมแพทย์แคนาดา ใช้ศิลปะเยียวยาร่างกายและจิตใจ

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • แพทย์แคนาดาสามารถออก ‘ใบสั่งยาให้ไปชมพิพิธภัณฑ์’ แก่ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคเบาหวาน โรคเรื้อรังต่างๆ
  • ประเด็นสำคัญอยู่ที่ cortisol และ serotonin เป็นฮอร์โมนความสุขจะหลั่งเมื่อออกกำลังกาย และเมื่อเดินชมพิพิธภัณฑ์
  • ศิลปะคือเครื่องมือที่จะส่งต่อ ‘การรักษา’ ได้ดีเทียบเท่ากับเครื่องมือแพทย์ทางรังสีวิทยาหรือมีดผ่าตัด

“เสียงหัวเราะอาจเป็นยาที่ดีที่สุด”

นอกจากเสียงหัวเราะจะช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจแล้ว ‘วัฒนธรรม’ ก็เป็นยามหัศจรรย์อีกตำรับสำหรับสุขภาพ

นั่นคือจุดเริ่มต้นความคิดและการผลักดันโครงการ ‘ใบสั่งยา-ให้ไปชมพิพิธพัณฑ์’ แก่ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคเบาหวาน โรคเรื้อรังต่างๆ ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

“วัฒนธรรมจะเป็นกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพในศตวรรษที่ 21” นาตาลี บอนดิล (Nathalie Bondil) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งมอนทรีออลให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ Montreal Gazette หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดา

Art Hive สถาบันนวัตกรรมที่มุ่งเน้นด้านศิลปะและความงาม และเป็นสตูดิโอของชุมชนที่ดูแลโดยนักบำบัดด้านศิลปะ ซึ่งผู้เข้าชมสามารถสร้างงานศิลปะเป็นของตัวเอง มีการจัดโปรแกรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าชมมีความสุขผ่านงานศิลปะ รองรับด้วยงานวิจัยจากทีมแพทย์เกี่ยวกับประโยชน์ด้านสุขภาพของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์

ปัจจุบันสถาบันนี้ได้ร่วมมือกับ ‘Médecins Francophones du Canada’ สมาคมการแพทย์ฝรั่งเศสในแคนาดา อนุญาตให้แพทย์ที่เป็นสมาชิกสามารถจ่ายยาชมพิพิธภัณฑ์แก่ผู้ป่วยได้

เฮเลน บอยเยอร์ (Hélène Boyer) รองประธานของสมาคมการแพทย์กล่าวว่า

“มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นที่พิสูจน์ว่าการบำบัดด้วยศิลปะเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพร่างกาย โดยจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน cortisol และ serotonin ที่มีผลต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองตัวจะหลั่งออกมาเมื่อเราเข้าชมที่พิพิธภัณฑ์”

แพทย์ตั้งข้อสังเกตว่าศิลปะมีผลในเชิงบวกต่อผู้คนไม่ต่างจากการออกกำลังกาย ทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมาแพทย์ได้รับมอบหมายให้สั่งผู้ป่วยของตนออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ผู้ป่วยหลั่งฮอร์โมนทั้งสอง ในทิศทางเดียวกัน บอยเยอร์ เชื่อว่าการเข้าชมพิพิธภัณฑ์สามารถรักษาอาการของผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย และยังเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงในการออกกำลังกายหรือผู้สูงอายุ

บอยเยอร์ยังชี้ให้เห็นว่าศิลปะสามารถช่วยผู้ป่วยที่ประสบปัญหาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

“ผู้คนมักคิดว่าการชมพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งดีต่อสุขภาพจิต และเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีอาการทางจิตเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่จริง” บอยเยอร์กล่าว

ศิลปะมากกว่ายา ทั้งรักษาและป้องกัน

พิพิธภัณฑ์จะอนุญาตให้แพทย์จ่ายยารับชมพิพิธภัณฑ์ ‘ฟรี’ แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล 50 ครั้งต่อปี และในใบสั่งยาแต่ละชนิดอนุญาตให้ผู้ใหญ่เข้าไปชมได้ถึง 2 คน และเด็กอายุไม่เกิน 17 ปีอีก 2 คน

ซึ่งการรักษาแบบนี้ไม่เพียงได้รักษาเพียงแค่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลเชิงป้องกันแก่ผู้ที่ต้องดูแลหรืออยู่กับผู้ป่วยอีกด้วย

ในสหรัฐอเมริกา The National Endowment for the Arts หรือ องค์การกองทุนเพื่อศิลปะแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐบาลกลาง ทำงานร่วมกับแพทย์ในการบำบัดผู้ป่วยด้วยวัฒนธรรม มากว่า 10 ปีแล้ว

หลายๆ โรงพยาบาลตระหนักถึงประโยชน์และประสิทธิภาพของใบสั่งยาชนิดนี้ดี ในปี 2012 บทความในนิวยอร์คไทมส์ ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูจิตรกรรมฝาผนังของโรงพยาบาล Harlem ในนิวยอร์ค เผยคำอธิบายของ ชัค ซิโคนอลฟี (Chuck Siconolfi) สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเพื่อดูแลสุขภาพ ไว้ตอนหนึ่งว่า

“ศิลปะคือเครื่องมือที่จะส่งต่อ ‘การรักษา’ ได้ดีเทียบเท่ากับเครื่องมือแพทย์ทางรังสีวิทยาหรือมีดผ่าตัดเลยทีเดียว”

อ้างอิง:
Doctors in Montreal can now prescribe a visit to an art museum

Tags:

พิพิธภัณฑ์ศิลปะบำบัด

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด กับ ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน

    เรื่องและภาพ ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ
Creative learning
6 November 2018

ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

เรื่อง

  • เมื่อผู้ชมเป็นเจ้าตัวเล็ก ละครอาจไม่ต้องมีบทพูด เพราะสมองของเขาจะจินตนาการไปไกลกว่านั้น
  • ละครหุ่นจาก Homemade Puppet กำลังทำหน้าที่นั้น โดยการเล่าเรื่องผ่านภาพประกอบดนตรี กินความยาว 35 นาที แบบไม่มีบทพูดแม้คำเดียว
  • สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากละครจบลงคือ เสียงของเด็กที่ดังไม่หยุด แข่งกันพูดเจื้อยแจ้วว่าภาพที่ติดอยู่ในสมองคืออะไรบ้าง
เรื่อง/ภาพ: นลินี ฐิตะวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยอยู่คนหนึ่งที่เอาแต่เฝ้ามองดวงดาวยามค่ำคืน แล้วตัดพ้อกับตัวเองว่าฉันเหงาจังเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขาหลับใหล ใครบางคนที่แอบได้ยินเด็กน้อยบ่นว่าเหงาก็ปรากฏตัวขึ้น ค่ำคืนของการผจญภัยจึงเริ่มขึ้น เป็นการเดินทางที่จะทำให้ความเหงาหายไปตลอดกาล…

ถ้าเป็นการเล่านิทานเรื่องอื่น ถัดจากบทเกริ่นนำข้างต้น ผ้าม่านสีแดงบนเวทีคงจะเปิดออก ปรากฏฉากชวนฝันอลังการ แต่นั่นใช้ไม่ได้กับ การแสดงผสมระหว่างหุ่นเงาและหุ่นสร้างสรรค์ในชื่อเรื่อง ‘Journey in the Dark’ ที่เล่าเรื่องผ่านภาพประกอบดนตรียาว 35 นาทีแบบไม่มีบทพูดแม้แต่คำเดียว ที่สำคัญคือ ละครเรื่องนี้ออกแบบมาเพื่อให้เด็กอายุ 3-6 ขวบดู

ฉากเวทีถูกสร้างขึ้นจากกระดาษลังเหลือใช้ อุปกรณ์ในการแสดงหากมองด้วยตาเปล่าก็พอจะเก็บรายละเอียดได้ว่ามาจากขยะหรือเศษนู่นเศษนี่มาผสมกัน แถมทุกชิ้นส่วนยังถูกติดตั้งด้วยเทปใสอย่างหยาบ ชนิดที่ผู้ปกครองเข้ามาเห็นครั้งแรกก็เกิดการตั้งคำถามว่า นี่มันอะไรกันเนี่ย

และนั่นคือความตั้งใจของ ต้อม-สุธารัตน์ สินนอง แห่ง Homemade Puppet ที่ตั้งคำถามสนุกๆ ว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเราเปลี่ยนของที่ทุกคนมองว่าไม่มีค่าให้เกิดเป็นละครที่ดูแล้วโอ้โหและน่ามหัศจรรย์

และหลังจากนี้คือการผจญภัยไปในโลกแห่งความฝันของเด็กน้อยคนหนึ่งยามหลับใหล

ต้อม-สุธารัตน์ สินนอง

จินตนาการสำคัญกว่าหูฟังตาเห็น

“เรารู้สึกว่ามันมหัศจรรย์ คือเราสามารถทำให้มันอะไรก็ได้ อยู่ดีๆ มันก็มีชีวิต แล้วคนก็เชื่อว่ามันมีชีวิต เด็กก็เชื่อว่ามันมีชีวิต แล้วมันก็กลายเป็นอีกโลกหนึ่ง เวลาที่มันเป็นอุปกรณ์ธรรมดา แล้วพอมันใช้แสงเงามันคนละเรื่องกันเลย เราเลยรู้สึกว่าถ้าลองทำอะไรที่มันดูเป็นขยะๆ อะไรที่มันดูเป็นไปไม่ได้ แล้วให้มันเป็นเงา พอมันเป็นเงาขึ้นมามันแบบฮู้ววว มหัศจรรย์จังเลย”

สุธารัตน์หรือพี่ต้อมของเด็กๆ เริ่มเปิดบทสนทนาว่า เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีฝีมือประดิดประดอยฉากและอุปกรณ์อะไรมากมาย ดังนั้นเธอจึงขอกลับไปหาสิ่งที่ง่ายที่สุดคือการหยิบจับเอาวัสดุใกล้ตัวมาแปลงเป็นฉากและหุ่นสำหรับการแสดง แม้ว่าดูเผินๆ ก่อนเริ่มแสดงจะแอบทำให้เหล่าผู้ปกครองหวั่นใจว่าฉันพาลูกมาทำอะไรที่นี่…ก็เถอะ

ต้อมเล่าว่า แรกเริ่มเดิมที การแสดงหุ่นเงาผสมหุ่นสร้างสรรค์เรื่อง Journey in the Dark นี้ เป็นการแสดงที่เกิดขึ้นเพราะเธอได้รับเชิญจาก Teatrzyk Lalkowy Bajka ประเทศโปแลนด์ เพื่อแสดงให้กับเด็กอนุบาลในโรงละครสำหรับเด็กเล็กที่เมืองวอร์ซอ แต่อุปสรรคสำคัญก็คือภาษา เพราะต่อให้จะมีความสามารถทางภาษาขนาดไหนก็ใช่ว่าจะทำให้คนดูอายุ 3-6 ขวบเข้าใจได้ง่ายๆ

คิดได้ดังนั้น แทนที่จะเล่นละครมีบทพูดทั่วไป ต้อมเลยขอนำบทพูดทั้งหมดออกไป และเล่นละครหุ่นแบบที่ใช้แสงและเงาในการเล่าเรื่องเท่านั้น ผลลัพธ์คือภาพเคลื่อนไหวสุดว้าวที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาจากของที่ตั้งอยู่นิ่งๆ และการขยับไฟฉายเพียงไม่กี่ครั้ง

“ตอนนี้เริ่มสนุกกับการแสดงหุ่นเงาที่ไม่ต้องมีคำพูด เพราะว่าจริงๆ แล้วมันพาเขาไปได้ไกลกว่า แล้วพอมันมีเงื่อนไขว่าเราต้องไปเล่นต่างประเทศ สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือเราต้องเล่าด้วยภาพและดนตรีให้ได้ ก็เลยทำเรื่องนี้ ทีนี้ เขามีแค่โจทย์ว่า มันเป็นโรงละครสำหรับเด็ก และเด็กเล็กจะเข้ามาดูที่นี่ เขาก็บอกว่า อยากทำอะไรก็ทำเลย พี่ก็เลยแค่นึกง่ายๆ ว่า เวลาแสดงโรงละครมันจะมืด ถ้าจะชวนไปเดินทางในความมืด มันก็นึกถึงเรื่องความฝันที่มันจะพาเขาไปได้ง่าย ทำยังไงที่เราไม่พูดแล้วเขาพอจะเข้าใจ”

อย่ากลัวที่จะให้เด็กคิดเอง

ความยากของการแสดงก็คือ เมื่อละครไม่มีบทพูด ใช้เพียงดนตรีและภาพประกอบ ต้อมย้ำว่าละครของเธอเปิดโอกาสให้ผู้ชมตีความ ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อการแสดงหนึ่งรอบจบลง ถ้ามานั่งถามเด็กๆ ว่าละครที่เล่นไปเมื่อกี้เป็นอย่างไรบ้าง คำตอบจากเด็ก 10 คน ก็คงได้บทสรุป 10 อย่าง

ดังนั้นละครจึงไม่ใช่การเล่นเพื่อหาข้อสรุป แต่เล่นเพื่อจะเปิดโอกาสให้จินตนาการของเด็กๆ ทำงาน ที่สำคัญ มันคือการสร้างความมั่นใจให้เด็กๆ ว่า จินตนาการแสนล้ำของพวกเขาก็มีคุณค่าและน่ารับฟัง

“เรามักจะเข้าใจว่า เด็กไม่เข้าใจหรอก แต่เราไม่ใช่คนที่เชื่ออย่างนั้น เราเชื่อว่าเขาเข้าใจมากกว่าเราอีก สมมุติเราถามเขาว่าเข้าใจไหม บางทีก็อาจจะได้คำตอบว่าไม่เข้าใจ แต่ถ้าถามเขาว่าลึกๆ เรื่องมันคืออะไร เขาตอบได้นะคะ เรื่องมันเป็นใคร มีใครอยู่ในนั้น มีฉากไหนบ้าง เขาไปที่ไหน แล้วเขารู้สึกยังไง นี่คือสิ่งที่เด็กเข้าใจนะคะ เพียงแต่ว่าเวลาที่เขาอธิบายเป็นคำพูดแบบมีเหตุผลแบบผู้ใหญ่ มันมีไม่กี่คำที่จะบอกว่าไม่รู้ การไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ต้องค่อยๆ ถามเขา เขามีภาษาของเขา เราเชื่อว่าภาษาของเขาที่เขาจูนกับแสงกับภาพ มันก็เป็นเรื่องของเขานะคะ ณ ขณะนั้น เขาจะไปที่ไหน เขาจะไปนึกถึงอะไร หรือเขามีความหวาดกลัวอะไร”

ดังนั้นละครของต้อมจึงเปิดโอกาสให้กับความเป็นไปได้ในทุกๆ ทาง และเชื่อว่าการรับรู้ของเด็กนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เขาจะนำมาโยงกับเนื้อเรื่อง ซึ่งการตีความนั้นเป็นเรื่องของผู้ชมมากกว่าตัวเธอเอง

อย่าเลี้ยงเด็กแบบไข่อยู่ในหิน

เมื่อกลับมาแสดงละครหุ่นที่ไทย สิ่งหนึ่งที่ต้อมมักได้ยินจากผู้ปกครองทั้งหลายก็คือ พวกเขาไม่เข้าใจว่าละครหุ่นแบบนี้กำลังสื่อสารอะไร ทำไมอุปกรณ์การแสดงดูมีหน้าตาเหมือนขยะมากกว่า และจริงๆ แล้วเรื่องนี้ต้องการจะสื่อสารอะไรกันแน่

“บางทีมัน abstract มากๆ จนพาให้ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ เขาจะสงสัยว่ามันคืออะไร มันหมายความว่ายังไง อยากรู้ว่ามันคืออะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้อยากเล่าว่ามันคืออะไร เพราะว่าเราเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร เพียงแต่ว่าดีเทลมันไม่เหมือนกันหรอก เวลาเล่นที่ไทย พ่อแม่จะชอบบอกว่า อะไรเนี่ย ทำไมมันไม่มีคำพูด มันหมายความว่ายังไง ทุกคนต้องการคำตอบว่ามันคืออะไร แต่เราหลีกเลี่ยงที่จะตอบว่ามันคืออะไร เราแค่รู้สึกว่าทุกคนสามารถไปตีความเองได้ แต่ว่าเขาอาจจะไม่ค่อยชิน”

ต้อมย้ำว่าเราไม่ควรเลี้ยงเด็กแบบไข่อยู่ในหิน และพยายามหาข้อสรุปทุกอย่างเพื่อป้อนให้เด็กจนบางทีก็ไปปิดกั้นความคิดหรือจินตนาการที่พวกเขามี เพราะนอกจากจะทำให้เด็กไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงออก มันยังทำให้เด็กเข้าใจว่า สิ่งที่พวกเขาคิดหรือจินตนาการเป็นเรื่องผิดและไม่ควรทำ

ผลคือเราจะได้เด็กที่เติบโตมาแบบมีภูมิคุ้มกันจากพ่อแม่ที่ปกป้องไม่ให้พวกเขาได้สูดอากาศบริสุทธิ์ในโลกจริงๆ

ต้อมยกตัวอย่างการแสดงที่โรงเรียนอนุบาลรอบหนึ่งที่คุณครูขอให้เธอเอาฉากเด็กกระโดดลงน้ำออก เพราะดูอันตรายและน่ากลัวเกินไป แต่ปรากฏว่าเด็กกลับชอบฉากนี้มากเป็นพิเศษ เพราะต่อจากนั้นตัวละครในเรื่องจะได้ไปผจญภัยในโลกใต้น้ำ ผ่านเทคนิคการแสดงที่เล่นสีและเงาจนทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของภาพผ่านเงาตกกระทบ

“รอบที่แล้ว ซีนที่เด็กชอบที่สุดเป็นซีนที่ผู้ใหญ่ที่พี่คุยด้วยบอกว่า ช่วยเอาออกไปเหอะ พี่ว่ามันไม่ดี ซีนตกน้ำ จมน้ำ เขาบอกว่ามันดูน่ากลัวจังเลย แต่ซีนนั้นเป็นซีนที่เด็กชอบที่สุดเลย คือเด็กไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัว มันเหมือนกับว่าเราปกป้องเด็กว่าอย่าพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เลย คือบางทีมันเป็นมุมมองของคนโต แต่เราคิดว่าเราสื่อสารได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าเรามีท่าทียังไงที่จะคุยกับเขามากกว่า”

ละครจบ ห้องกลับมาสว่างอีกครั้ง แต่เรื่องนี้จะลงท้ายว่า ‘จบบริบูรณ์’ ไม่ได้ เพราะดูแล้วเด็กน้อยทั้งหลายยังส่งเสียงแจ๋ว สนุกกับการถอดความละครหุ่นที่เพิ่งแสดงจบไปราวกับว่าเรื่องเล่าของหุ่น แสง และเงาที่เพิ่งปรากฏยังโลดแล่นอยู่ในจินตนาการที่ไม่มีวันจบสิ้นของพวกเขา

พื้นที่หรือแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสร้างสรรค์จึงไม่ได้อยู่แค่ในบ้านและโรงเรียนเสมอไป แต่ยังหมายถึงห้องเรียนใหญ่ๆ ที่เรียกว่าโลก ที่จะช่วยเพิ่มความรู้และแรงบันดาลใจให้เด็กๆ เอามาต่อยอดได้ หากคิดไม่ออกว่าจะพาเด็กๆ ไปที่ไหน ลองติดตามเฟซบุ๊ค Fathom Bookspace ไว้ แล้วรอพบกับกิจกรรมเสริมสร้างความสร้างสรรค์ได้อีกเพียบ

สามารถติดตามการแสดงครั้งต่อๆ ไปของต้อมได้ที่เฟซบุ๊ค homemadepuppet

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยความคิดสร้างสรรค์(Creativity)ศิลปะการแสดงนิทานสุธารัตน์ สินนองละครหุ่น

Author:

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodBook
    ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    ชีวัน วิสาสะ: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องสอน’

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
Early childhoodLearning Theory
5 November 2018

EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • “เรากำลังเลี้ยงดูเด็กแบบไหน” ชวนคิดผ่าน ‘The Twelve Senses’ ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ เป็น sense ในระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ (จิตวิญญาณ) เพื่อประกอบขึ้นเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง
  • ช่วง 0-7 ปีแรก ตั้งแต่การรับสัมผัส, การรู้จักกับความรัก, การพัฒนาเรื่องการเคลื่อนไหว และการสร้างสมดุล ที่ไม่ได้หมายถึงแค่พัฒนาการ แต่ยังส่งผลต่อความรู้สึกและตัวตน ‘ข้างใน’
  • The Twelve Senses ไม่ใช่แค่การสร้างลูก ยังคือการใช้ชีวิตของ ‘แม่’ และเมื่ออ่านจนจบ คุณอาจพบการเป็นแม่ไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือการอยู่กับลูกอย่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘มนุษย์

“ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน (เนี่ย)?”

ฟังเผินๆ เหมือนเป็นคำต่อว่า แต่พิจารณาให้ลึกซึ้ง ทุกความอ่อนไหว, แข็งกร้าว, เปราะบาง, ประสบการณ์ในอดีต หรือปัญหาบางอย่างที่ฝังลึกในตัว ล้วนกลับไปสืบค้นจากคำถามเดียวนี้ได้

แต่ไม่… บทความนี้ไม่ได้ชวนถกรื้อปมปัญหาในอดีตเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากที่เผชิญในปัจจุบัน แต่เรากำลัง ‘ตั้งหลักใหม่’ และยิงตรงเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ และคนทุกเพศที่กำลังสร้าง ‘คน’ ขึ้นมาหนึ่งคน แต่ใช้แกนคำถามเดียวกันนี้ -เรากำลังเลี้ยงดูเด็กแบบไหน- ชวนคิดผ่านแก่นแกนปรัชญาที่ชื่อ ‘The Twelve Senses’ ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

The Twelve Senses คือปรัชญาการเติบโตทางจิตวิญญาณของมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิด เสนอครั้งแรกโดย รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปรัชญาชาวเยอรมัน-ออสเตรีย ทั้งยังเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม สถาปนิก และสนใจปรัชญาแบบ คุยหลัทธิ (Esotericism) แต่ผู้อธิบายให้เราฟังอย่างเข้าใจ (และละเอียดยิบ) คือ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ นักการศึกษา กระบวนกร และผู้ก่อตั้งมูลนิธิพื้นที่ปัญญ์รัก (โรงเรียนพ่อแม่ลูก)

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

‘วันที่เด็กลืมตาดูโลก อย่าลืมว่า ‘เซลล์’ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตไม่มีประสบการณ์ใดมาเลย ไม่เคยรู้ว่าน้ำเสียงแบบไหนคือการปลอบโยน สัมผัสแบบไหนแปลว่ามั่นคง หรือพูดอย่างเห็นภาพ ไม่เคยรู้ว่าหากเอานิ้วจิ้มปลั๊กไฟแล้วไฟจะดูด (ฉะนั้นคุณแม่อย่าเพิ่งโมโหว่าทำไมลูกเล็กถึงไม่รู้จักกลัวอันตราย ‘เซลล์’ ไม่เคยรู้จักประสบการณ์แบบนี้ แต่หลังจากนาฬิกาชีวิตของเด็กน้อยเริ่มเดิน เวลาต่อมาของชีวิตเริ่มต้นที่การรับสัมผัส เก็บความทรงจำ ตีความ พัฒนาบุคลิก มีวิจารณญาณ มีความสัมพันธ์ ท้ายที่สุดคือการฉายโชนเป็นตัวตน’

ทั้งหมดนี้คือสรุปความสิ่งที่ครูณาพยายามอธิบายถึงความหมายของ The Twelve Senses อย่างกระชับ (เท่าที่จะทำได้)

มากกว่านั้น sense เป็นปัญญาภายในที่เกิดขึ้นของชีวิตตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ (cell) เชื่อมต่อกับระดับ ‘โซล’ (soul) จิตวิญญาณ ซึ่งหากทั้งสอง (ซึ่งอยู่ภายใน) ถูกสร้างให้เต็มพร้อม มนุษย์ผู้นั้นก็พร้อมจะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับโลกภายนอก sense เป็นตัวกำหนดมุมมองการมีชีวิตอยู่ และเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเอง, สิ่งแวดล้อม และผู้คนรอบข้าง

เพื่อไล่ลำดับความสำคัญและสัมพันธ์ สไตเนอร์แบ่งกลุ่ม sense เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 4 เซนส์ อย่างที่ครูณาเชื่อมโยงแต่ละกลุ่มว่าเป็น ฐานกาย, ฐานใจ และ ฐานความคิด ดังนี้

  • ฐานกาย (body) ช่วงวัย 0-7 ปี: senses of touch, of life, of movement, of balance
  • ฐานใจ (the external world) ช่วงวัย 8-15 ปี: smell, taste, sight, temperature
  • ฐานความคิด (the spiritual world) ช่วงวัย: 16-21 ปี: hearing, speech, thought, ego

เริ่มกันที่ 4 เซนส์แรก หรือ ‘ฐานกาย’ ซึ่งประกอบไปด้วย senses of touch, of life, of movement, of balance ซึ่งครูณาย้ำว่า รากฐานที่สำคัญเพื่อสร้างและเตรียมพร้อมความเป็นมนุษย์อยู่ที่ฐานนี้ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงวัย 0-7 ปี

เริ่มกันตั้งแต่มนุษย์ที่มีชีวิตตั้งแต่ในครรภ์มารดา และเริ่มอธิบายตั้งแต่ เซลล์ในสิ่งมีชีวิต และโซลในระดับจิตวิญญาณ

Sense 1: Sense of Touch

รู้จัก ‘โลก’ ผ่าน ‘สัมผัส’: สัมผัสจากแม่ ต้องมั่นคงและไม่หวาดกลัว

อย่างที่บอกว่าในช่วงแรกเริ่มของชีวิต เด็กยังไม่มีความทรงจำ เขาไม่รู้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขาคือหนึ่งชีวิต ฉะนั้นความหมายในคำว่า ‘ชีวิต’ ของเด็กในช่วงแรกจึงถูกตีความผ่านสัมผัสที่ผู้ใหญ่หรือคนที่ดูแลมอบให้ เขาจะ ‘รับสัมผัส’ และ ‘รับพลังงาน’ ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวนั้นมาแล้วเอาเข้าไปในชีวิต เพื่อไปตีความหมายว่าชีวิตคืออะไร จากนั้นจึงเก็บลงเป็นความทรงจำ

อะไรที่เข้าไปในชีวิตของเขามาก เขาก็จะตีความหมายว่า ชีวิตมีความหมายแบบไหน ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่เข้าใจ สงบ มั่นคง สัมผัสที่พ่อแม่มอบให้เขานั้นมั่นคงมากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาจะ trust หรือวางใจโลกใบนี้

เขารู้สึกถึงความมั่นคงของผู้คน เขาตีความหมายว่าโลกใบนี้ไม่ได้น่ากลัว มันสบายและผ่อนคลายที่จะใช้ชีวิต ซึ่งความหมายที่เด็กตีความผ่านประสบการณ์เหล่านั้น มันก็คือความหมายของตัวเขาเองในการจะใช้ชีวิตข้างหน้า

แต่ถ้าเขาเติบโตผ่านพ่อแม่ที่ส่งสัมผัสหรือ touch ที่เต็มไปด้วยความกลัว เช่น อะไรก็ตื่นตระหนกไปหมด ทุกอย่างในความคิดของแม่ไม่มั่นคงเลย เด็กจะตีความหมายว่าโลกใบนี้มันน่ากลัว โลกใบนี้มันไม่แน่นอนเอาซะเลย ทำให้เขาไม่วางใจต่อโลก ซึ่งมันจะมีผลต่อตัวเขาในอนาคตว่า ลองคิดว่าระหว่างเด็กที่ ‘วางใจ’ กับ ‘หวาดกลัวโลก’ สำหรับคุณคิดว่าเด็กแบบไหนจะเรียนรู้ได้ดีกว่า?

เด็กที่วางใจต่อโลก?

ใช่ และไม่ใช่แค่การเรียนรู้หนังสืออย่างเดียว แต่เป็นการเรียนรู้โลก เช่น การที่เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายได้ ไปอยู่บ้านของญาติได้ อยู่กับใครก็ได้ที่มาจาก ‘ความวางใจของเขาต่อโลก’ ทำให้เขาได้รับสัมผัสและได้ตีความหมายผ่าน touch ที่ส่งมาจากผู้คนมากมาย วิธีนี้ยังทำให้เด็กได้ตีความหมายจากมนุษย์ที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งมันจะทำให้เขาเกิดปัญญาบางอย่างที่ลึกซึ้งมาก

กลับกัน ถ้าพ่อแม่คิดว่าสังคมน่ากลัว แล้วสร้างบ้านอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว แม้กระทั่งพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ก็ยังไม่กล้าให้เข้ามาแตะต้องลูกเพราะคิดว่านั่นคือการสร้างความปลอดภัยที่ดีที่สุด แต่มันไม่ใช่ เพราะนั่นเท่ากับเราได้บอกลูกไปแล้วว่า “โลกใบนี้มันน่ากลัวนะเธอ ไม่มีใครที่แม่ไว้ใจสักคน เพราะฉะนั้นเธอก็ไว้ใจใครไม่ได้” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กที่เติบโตมาด้วยความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่สามารถวางใจใครได้ เพราะมันเต็มไปด้วยความกลัว

ในกรณีที่เด็กเติบโตจากสัมผัสที่รุนแรง เป็นอย่างไร

เด็กที่เติบโตมากับสัมผัสของความรุนแรง เด็กที่ถูกล่วงละเมิด ไม่ว่าทางกาย ทางเพศ หรือทางใจ  สิ่งที่เขาจดจำก็คือ โลกนี้คือความรุนแรง ชีวิตมนุษย์คือแบบนั้น สิ่งที่เขาจะปฏิบัติกับผู้คนในวันข้างหน้าก็คือการส่งต่อความรุนแรง แม้ว่าเขาจะเกลียดความรุนแรงนั้นมาก (เน้นเสียง) แต่ความหมายของชีวิต (ว่าคือความรุนแรง) ถูกบันทึกในระดับเซลล์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มันถูกบันทึกในระดับเซลล์ ถ้ามีเหตุการณ์หรือภาวะอะไรที่มาคลิกหรือมากดปุ่มสวิตช์เขา มันจะถูกตีความทันทีและแสดงออกอย่างที่ถูกบันทึกไว้ทั้งที่ไม่ชอบ

เราจะเห็นว่าเด็กที่เติบโตกับพ่อแม่ที่ชอบใช้ความรุนแรง เขาไม่ชอบการใช้ความรุนแรงเลย เขากลัวมันมาก แต่พอวันหนึ่งที่เขาโตขึ้น เขากลายเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงและหยุดตัวเองไม่ได้ เพราะว่ามันถูกสะกิดจากความทรงจำในระดับเซลล์ซึ่งลึกมาก เพราะอย่าลืมเซลล์ไม่มีอะไรมาก่อนเลย เซลล์จดจำว่าชีวิตเป็นแบบนี้ เขาก็ปฏิบัติแบบนี้

touch ที่ว่านี้เฉพาะการโอบกอดจากพ่อแม่ หรือในความหมายใดและรับจากใครได้บ้าง

คำว่า touch เหมือนเป็นแค่การสัมผัสทางกาย แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างในโลกใบนี้คือ  ‘พลังงาน’ สัมผัสในที่นี้ก็ผ่านพลังงาน สายตาที่แม่มองลูกก็คือพลังงาน เราเคยรู้สึกมั้ยว่าสายตามัน touch คนได้ ฉะนั้น สายตาที่แม่มองเด็กคือ touch อย่างหนึ่งที่พ่อแม่ส่งมาถึงตัวเขา เวลาคนที่มองเด็กทารกด้วยความอบอุ่น ด้วยความรัก เด็กเองก็ได้รับพลังงานเหล่านี้ผ่านสายตาของพ่อแม่

แม้กระทั่งเสียงที่ส่งให้กับเด็กก็คือ touch เราชอบยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ทำให้พ่อแม่บางครอบครัวซึ่งอาจไม่เข้าใจความหมายของความกลัวจากตัวเองเห็นภาพขึ้น เช่น สมมุติว่าคุณทำกับข้าวขณะที่ลูกนอนอยู่ พอเขาตื่น เขาร้องไห้ ถ้าเราเป็นแม่ที่มั่นคงเราจะปฏิบัติอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเราเป็นแม่ที่ panic แม่ที่วิตกกังวล ขี้กลัว เราก็จะปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง

สมมุติแม่ขี้กลัว พอลูกตื่นแล้วร้องไห้ เขาก็จะรีบปิดเตา รีบกุลีกุจอเข้าไปและคิดว่านี่คือความห่วงใยและความรักที่ให้ลูก แต่มันไม่ใช่ เขากลับกำลังส่งทอดว่า “ลูกรู้มั้ยว่าโลกใบนี้มันคือความน่ากลัว กระทั่งการที่เธอตื่น มันทำให้แม่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

หมายถึง ‘พลังงานความกลัว’ ของแม่ที่ส่งออกไป?

ใช่ มันมีผลต่อคาแรคเตอร์ของเด็ก เอาแค่ว่าตอนเล็กๆ เขาร้องไห้แล้วแม่ panic เข้ามาหา คาแรคเตอร์ของเขาถูกสร้างขึ้นทันทีว่า “ถ้าฉันตื่น ฉันต้องร้อง และเขาต้องอุ้ม เพราะโลกใบนี้มันน่ากลัวพอสมควร” คาแรคเตอร์ของเขาก็จะกลายเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแม่มาก เกาะติดแม่ คิดว่าการที่ฉันได้เห็นหน้าแม่โชว์อยู่ตอนนี้ ได้ยินเสียงแบบนี้ที่มาอยู่ใกล้ๆ ฉันจะปลอดภัย

แต่ถ้าเราเป็นคนที่วางใจต่อโลก เราสงบ ลูกร้อง เราบอกได้ว่า “ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ รอแม่เดี๋ยวนะ แม่ทำกับข้าวอยู่นะ นอนเล่นก่อนได้ป่าว” (น้ำเสียงใจดี) คลื่นและพลังงานเหล่านี้มันเข้าไปอยู่ในระดับเซลล์ และลูกรู้สึกว่า “เสียงนี้มาแล้ว” ได้ยินเสียงที่มั่นคงแล้วรู้ว่า อ๋อ… มีใครสักคนอยู่รอบๆ ตัวเขา พอเด็กรู้สึกถึงความวางใจต่อโลก พัฒนาการของเขาจะไปเร็วมาก จะเริ่มมองนู่นมองนี่ อยากรู้อยากเห็น พลิกตัวเร็ว มั่นคงจากข้างใน เพราะเขารู้ว่ามีคนบางคนที่มั่นคงอยู่ใกล้ๆ และเพียงพอที่เขาจะรู้สึกวางใจ ไม่ต้องขึ้นกับใคร

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

เคยเห็นพ่อแม่ที่รักลูกมาก ให้สัมผัสกับลูกเต็มที่ แต่กลายเป็นความอึดอัด

พ่อแม่บางคนต้องการเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด สัมผัสหรือ touch มากที่สุด ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณอาจเลี้ยงลูกด้วยความกลัว เพราะคุณตีความว่าคุณต้องถือ แต่การถือแบบนั้น คุณกำมันแน่นมาก และคุณส่งคลื่นความเข้มข้นบางอย่าง

มีความเชื่อบางอย่างที่บอกว่า ‘อย่าเอาใจเด็กมาก’ ถ้าร้องไห้ไม่ควรโอ๋

พ่อแม่บางคนที่รู้สึกว่าต้องให้เด็กรู้จักความทุกข์ ได้เรียนรู้ทุกข์บ้าง ปล่อยให้ร้องไห้บ้าง อย่าเอาใจเยอะ มันก็ไม่ใช่อีก เพราะถ้าคุณทิ้งให้เขาอยู่ในอวกาศนานเกินไป เขาจะรู้สึกได้ว่าโลกใบนี้มันอ้างว้าง เหมือนว่าเด็กไม่ค่อยได้สัมผัส touch มันก็จะเคว้งๆ

เพราะอย่าลืมว่าในวันที่เด็กไม่รู้จักตัวเอง ไม่มีองค์ความรู้และไม่มีประสบการณ์เรื่องเหล่านี้เลย สัมผัสที่ได้มันเข้าไปในแกนกลางตัวเขาเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ตัวเขาเอง ฉะนั้นถ้าเขาอยู่กับอวกาศนานเกินไป เขาจะตามหาขอบเขตชีวิตของเขายาก เขาจะเริ่มรู้สึกไม่เข้าใจว่าเขาคือใคร คืออะไร เหมือนเขาไม่แน่ใจว่าเขามีความหมายกับโลกใบนี้มั้ย แต่ทั้งหมดเด็กก็เรียนรู้ทุกข์สุขนะคะ ไม่ได้หมายความว่าต้องให้เด็กเจอความสุขตลอดเวลา สำคัญคือ เราไม่ได้ให้เขาทุกข์มากเกินไป

หลายคนอาจบอกว่า เด็กก็คือเด็ก ยังไม่รู้จักทุกข์หรือสุข ไม่ใช่วัยที่จะคิดหรือจดจำอะไรมาก

เซลล์ของเด็กอาจเป็นผ้าขาว แต่จิตวิญญาณของเด็กไม่ใช่ สิ่งที่คุณจะเอาใส่เข้าไปในเซลล์ มันคือสิ่งใหม่ที่เข้าไปอยู่ในเซลล์นั้นๆ มันคือการหล่อหลอม ถ้าในแง่ของจิตวิญญาณ เด็กมีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้ เพียงแต่เขาจะจดจำไม่ได้เพราะเซลล์ของเขาไม่มีความทรงจำนั้น

แต่ในระดับจิตวิญญาณ เด็กไม่ได้เป็นผ้าขาว เด็กมีอะไรมาเยอะมาก ผ่านประสบการณ์ ผ่านโปรแกรม ผ่านสิ่งที่อยู่ในบันทึกระดับจิตวิญญาณ

ในประเด็น sense of touch มีประเด็นอื่นที่ต้องพูดถึงเพิ่มเติมอีกไหม

เรื่องกระบวนการคลอด ถ้าเป็นไปได้และจะเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อตัวเขามากๆ คือการผ่านกระบวนการคลอดและได้น้ำนมธรรมชาติ เพราะมันมีสิ่งที่สำคัญมากต่อการใช้ชีวิตและการที่เขาจะนำประสบการณ์นั้นไปตีความการใช้ชีวิต เช่น อย่างที่บอกว่าเด็กไม่จำเป็นต้องได้รับประสบการณ์ที่เป็นบวกอย่างเดียว บางครั้งเด็กต้องได้รับประสบการณ์ลบที่เป็นธรรมชาติ (เน้นเสียง) การที่เขาต้องออกมาสู่โลกภายนอกด้วยการคลอดแบบธรรมชาติ ตอนที่แม่เบ่ง ตอนเขาพยายามออกจากถุงน้ำคร่ำ ผ่านมดลูก ผ่านช่องคลอด มันเป็นความกระเสือกกระสน เป็นความทุกข์ที่เป็นธรรมชาติที่ให้บทเรียนที่ดีมากกับชีวิตของเขาในการต่อสู้กับโลกใบนี้

แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้?

เซลล์ทุกเซลล์จำได้ เขาจำไม่ได้ในมิติความทรงจำ แต่เซลล์จำความรู้สึก เซลล์ได้รับบทเรียนเพื่อสร้างสภาวะบางอย่างเพื่อออกมาใช้ชีวิต ยกตัวอย่างตอนปีกผีเสื้อเริ่มออกจากดักแด้ ถ้าเราฉีกเปลือกดักแด้ ผีเสื้อที่ออกมาก็จะค่อนข้างพิการเพราะมันไม่ใช่จังหวะที่พอดิบพอดี แต่ตามธรรมชาติแล้ว หลังผีเสื้อดิ้นจนเปลือกฉีกได้สักระยะหนึ่ง ลมที่เข้าไปในดักแด้ก็จะทำให้ปีกของเขาแห้ง ร่างกายปรับตัวกับอากาศที่ซึมเข้าไป พอมันแข็งแรงพอ มันก็จะมีกำลังมากพอจะฉีกเปลือกดักแด้ต่อ ผีเสื้อที่ออกมาจากดักแด้อย่างเป็นธรรมชาติก็จะแข็งแรง เพราะเป็นจังหวะที่เซลล์ปรับร่างกายได้พอดีต่อการเผชิญต่อโลก

เวลาที่เราเห็นทารก เราคิดว่ามันไม่เป็นไร แต่มันเป็น เพราะภาวะที่เขาพยายามจะออกมาดูโลกด้วยตัวเองให้ได้ เซลล์ของร่างกายเขาต้องทำบางสิ่งบางอย่างผ่านประสบการณ์ และสิ่งนี้ก็คือ touch ที่มดลูกบีบ touch ที่แม่ร้อง ธรรมชาติไม่ได้ส่ง energy ของความเกลียดชังหรืออะไรเข้าไป มันขับเคลื่อนบางสิ่งบางอย่างให้เด็กทำงานเพื่อเรียนรู้กับอุปสรรคเริ่มต้นของชีวิต และมันเป็นปัญญาญาณที่ยิ่งใหญ่มากในตัวเด็กและในตัวของมนุษย์คนนี้จนถึงโต

และก็จะเป็น touch ที่เกิดกับแม่ด้วย

ใช่ ฉะนั้นคนที่คลอดเอง touch ที่แม่พยายามจะบีบตัวเองเพื่อให้ลูกออกมาให้ได้ มันก็ไปกระตุ้นน้ำนม หรือกระบวนการอะไรต่างๆ อีกเยอะ และมันเป็นความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่มากที่แม่และลูกกระเสือกกระสนต่อโลกใบนี้ด้วยกันในโมเมนต์แรกของชีวิต

หรืออย่างตอนให้นม การที่เราอุ้มเขา ให้สัมผัสกับเขา แม่ที่อุ้มลูกให้นม ลูกก็จะได้เปรียบตรงสัมผัสที่ส่งให้ แต่การให้นมก็ไม่ควรยาวนานเกินไปขนาดที่ลูกยึดโยงกับแม่ หรือ depend กับแม่มากเกินไป

ในเงื่อนไขชีวิตบางอย่าง มีแม่ที่ให้นมลูกหรือคลอดลูกด้วยตัวเองไม่ได้

แน่นอนว่าไม่มีใครทำทุกอย่างได้อย่างถูกต้องสอดคล้อง นั่นเป็นอีกเงื่อนไขที่ต้องคุยกันยาว แต่เรากำลังคุยเรื่องการเติบโตของเด็กในแง่จิตวิญญาณ ประเด็นหลักคือ ถ้าสังคมเริ่มเข้าใจเรื่องการเติบโตที่แท้จริงมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ถ้าเราเป็นเจ้าขององค์กร เราเข้าใจถึงการผ่านและเติบโตของชีวิต หรือเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ เราก็อาจมีกติกาใหม่ให้กับพนักงาน เช่น ให้คุณลางานได้เลย 6 เดือน ซึ่งมันจะหมายถึงระดับโครงสร้างเลย

แต่ท้ายที่สุด เรา ในฐานะแม่หรือกำลังจะเป็นแม่ เราจะมีข้อมูลบางอย่างเพื่อเปรียบเทียบและเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร แต่ถ้าแม่ไม่รู้เลยว่าสัมผัสจากแม่ หรือ touch มีความหมายกับลูกอย่างไร ก็อาจไม่ให้ความสำคัญกับการลาคลอดนานๆ หรือให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เลยก็ได้

เป็นองค์ความรู้ที่นายจ้างก็ควรรู้ด้วย?

เพราะชีวิตของคนคนหนึ่งที่ทำงานกับคุณ ถ้าเขาไม่มีเวลาให้ลูกมากพอ ท้ายสุดชีวิตของลูกเขาก็มีผลต่อคนเป็นแม่ และมันต้องมีผลกระทบต่องานในที่สุด

แค่ touch อย่างเดียวที่ไปส่งผลถึง trust หรือความไว้วางใจโลกของเด็ก?

เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กที่จะตีความหมายโลกใบนี้ว่ามันคืออะไร

เราเรียกร้องอะไรจากพ่อแม่เยอะไปหรือเปล่า

เด็กบางคนมั่นคงได้ผ่านการสื่อสารนะ เช่น “ลูกจ๋า แม่จะไปทำงาน แม่จะกลับเวลานี้นะ” ถ้าการสื่อสารของแม่มั่นคง ลูกก็จะเข้าใจว่าชีวิตคือแบบนี้ แต่พอแม่รู้สึกว่าตัวเองต้องทำงาน ไม่ค่อยได้ดูลูกเลย รู้สึกผิด วิธีการรู้สึกผิดของแม่กลับกลายเป็น “แม่ไปแป๊บเดียว เดี๋ยวมา” แต่แม่หายไปยาวนานมาก เพราะแม่กลัว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

ถ้าคุณอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตด้วยความมั่นคงและซื่อตรง คุณจะค้นพบวิธีที่จะทำให้เขาเรียนรู้กับมัน แต่ประเด็นคือ คุณไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง พอคุณกลัวคุณก็บอกลูกว่าไปแป๊บเดียว ลูกไม่เข้าใจคำว่า ‘แป๊บเดียว’ ของแม่คืออะไร แม่บอกว่าเดี๋ยวกลับมา แต่แม่ไม่เดี๋ยว เพราะฉะนั้น ถ้าต้องไปยาว ก็คุยไปเลยว่า “แม่จะไปทำงาน เดี๋ยวตอนเย็นจะกลับมานะ แม่ขอโทษ อยู่กับย่าก่อนนะ” เรามักคิดว่าเด็กไม่เข้าใจ แต่จริงๆ คลื่นพลังงานของเราขณะที่คุยกับเขา เด็กเข้าใจนะ

ถ้าลองมานั่งอยู่กับชีวิตจริงๆ ตื่นกับชีวิตจริงๆ และลองคิดว่าการที่เราโกหกกับลูกแบบนี้ มันเรื่องเล็กจริงเหรอ เช่น เราไม่ชอบพ่อแม่ที่ตีเรา โกหกเรา แล้วทำไมเราทำ ตรงนี้แหละที่คนไม่ได้กลับมาทำงานกับตัวเอง ผู้คนใช้ชีวิตที่เป็นอัตโนมัติ ส่งทอด สัมผัสลูกอย่างที่เขาใช้ชีวิตมา ซึ่งพอเราคุยไปถึงเซนส์ที่ 12 (ego) เราจะเริ่มเห็นว่ามันก็เป็นกงกรรมกงเกวียนจริงๆ

แก่นกลางที่พ่อแม่จะยึดถือเป็นหลักสำคัญ ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปคืออะไร

แค่ให้รู้สึกว่าตอนนี้คุณ (พ่อแม่) ขับเคลื่อนชีวิตด้วยอะไร ด้วยความกลัวหรือด้วยความปกติชีวิต เช่น ถ้าเราทำกับข้าว ก็สื่อสารกับลูกตรงๆ ว่า “แม่ยังอุ้มไม่ได้นะลูก แม่ถือของหนักอยู่ แม่ทำกับข้าวอยู่” คืออยู่กับความเป็นจริงของชีวิต ณ เวลานั้นๆ แต่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวหรือโปรแกรมเก่าๆ ของเราเอง

Sense 2 : Sense of Life

รู้จัก ‘ชีวิต’ ผ่าน ‘ความสัมพันธ์’: ไม่ใช่การ ‘สอน’ แต่จากความสัมพันธ์ของพ่อแม่และคนรอบข้าง

พอเด็กเริ่มรู้จักตัวเองผ่านสัมผัส เขาเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง การทำงานของเขาในขั้นถัดไปคือ การเอาตัวเขาที่ไปใช้ชีวิตกับผู้อื่น โดยเห็นหลายๆ ชีวิตที่อยู่รอบตัวเขา และ sense of life ก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น เขาเรียนรู้ชีวิตผ่านสิ่งที่เห็นในพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และจากผู้คน

ในอีกแง่ sense of life คือการเรียนรู้ที่จะรู้จักกับความรัก พ่อแม่รักกันยังไงเขาตีความความรักแบบนั้น ทะเลาะแล้วดีกันยังไง คุยกันยังไง ใช้ชีวิตร่วมกันยังไง มีปฏิสัมพันธ์กันยังไง เคารพกันยังไง เขาเรียนรู้ชีวิตผ่านสิ่งเหล่านี้ ซึ่งบางทีปัญหาอาจไม่ได้มาจากพฤติกรรมพ่อแม่ แต่มาจากการที่พ่อแม่ไม่เคารพกัน หรือพ่อแม่ไม่เคารพคนในครอบครัว

พ่อแม่มักคิดว่าเขาต้องสอนลูกอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ เด็กไม่ได้เรียนรู้ผ่านการสอน แต่เห็นผ่านสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็น ปัญหาคือ ส่วนใหญ่พ่อแม่มักจะสอนในสิ่งที่ไม่ได้เป็น เด็กก็ไม่เข้าใจเพราะพ่อแม่ไม่ได้ทำให้เห็น เช่น เราจะเห็นพ่อที่คุยกับลูกรุนแรง พอวันหนึ่งลูกกลายเป็นเด็กที่แกล้งคนอื่น พ่อก็ตีแล้วบอกว่าไม่ให้ใช้ความรุนแรง แต่ขณะที่พ่อปฏิบัติกับเขา เขาไม่ได้จดจำที่คำสอน แต่จดจำจากสิ่งที่พ่อทำกับเขาว่าเป็นความรุนแรง

อยากให้อธิบายเรื่องการเรียนรู้คาแรคเตอร์ที่หลากหลายจากคนรอบตัว เช่น ปู่ย่าตายาย

ตอนนี้เป็นปัญหาเยอะมากเลย คือแม่ไม่อยากให้ลูกอยู่กับอากงอาม่า หรือให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง เพราะบอกว่าชอบตามใจ แต่เราลืมตั้งคำถามว่า เวลาที่ลูกเราโตขึ้น เราอยากให้ลูกอยู่กับตัวเองได้คนเดียว หรืออยู่ได้กับคนทั้งโลก ถ้าอยากให้ลูกอยู่ได้กับคนทั้งโลก ลูกก็ต้องอยู่กับปู่ย่าตายายได้

ยอมรับว่าบางอย่างเป็นความตามใจ แต่อย่างเวลาที่คุณมาสัมภาษณ์พี่ คุณก็ต้องมีบางอย่างที่ตามใจพี่ เพราะเราดีลกันอยู่ เซลส์จะไปขายงานให้ลูกค้า ก็ต้องมีบางอย่างที่ตามใจลูกค้า และก็เพื่อให้ลูกค้านี่แหละกลับมาตามใจเรา นี่คือวิถีชีวิตทั่วไปเลย

การที่เด็กคนหนึ่งจะไปอยู่กับอากง และมีวิธีบางอย่างเพื่อทำให้อากงยอมให้กินไอติม คุณย่าให้ขนม พาไปซื้อของเล่น มันก็คือทักษะชีวิตนะ เราอาจคิดว่ามันคือการสปอยล์เด็ก แต่เด็กก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้คนแบบนี้ ถ้าพ่อแม่กลัวสปอยล์ เราก็ไม่ต้องสปอยล์ เด็กก็จะเรียนรู้ชีวิตอีกแบบจากคุณเอง แต่การที่เขาอยู่กับบุพการีของเราด้วยความรัก เราไม่ต้องกลัวเรื่องสปอยล์หรอก เพราะความจริงคนที่มีอิทธิพลต่อการสปอยล์ที่สุด คือพ่อแม่ ปู่ย่าตายายก็เจอแค่เสาร์อาทิตย์ ตอนที่เราพาไปเยี่ยม หรือเขาก็ดูลูกเราเล็กๆ น้อยๆ

การที่ลูกเราอยู่ได้กับทุกๆ คนและเราก็มีความสุขที่ลูกเราอยู่กับทุกๆ คน นี่ต่างหากคือการสร้าง sense of life ให้ลูกรู้ว่าความรักมีหลายรูปแบบ ความรักของปู่คือการทำยังไงให้ปู่รู้สึกดี เราจะส่งมอบความรักให้ย่าแบบไหนดีนะย่าถึงจะให้อะไรเรา ทั้งหมดนี้ก็เรียกว่าความรักนะ

เคยได้ยินบ่อยๆ พ่อแม่มักไม่อยากให้ลูกตัวเองเข้าใกล้คนบางคน เพราะคิดว่าคนนี้นิสัยไม่ดี หรือไม่ให้ลูกเล่นกับลูกของคนที่ไม่ชอบหน้า

แล้วคิดว่าแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีแบบนี้กำลังส่งทอดอะไรให้กับลูก เด็กคนหนึ่งที่โตมากับแม่หรือพ่อที่เป็นแบบนี้ เขาก็เป็นแบบนี้ คือวิพากษ์วิจารณ์ทุกคนเลย ไม่มีใครน่ารักสำหรับเขาสักคน

ถ้าเราตัดสินคนเยอะ นั่นก็ทำให้ลูกเรารู้สึกว่าโลกนี้มันไม่มีความรักเอาซะเลย มีแต่ผู้คนไม่ดี มีฉันคนเดียวที่ดี แล้วสุดท้ายลูกก็กลัวเรา เพราะเราก็ตัดสินเขาด้วยเหมือนกัน

จากนั้นเขาก็จะตัดสินตัวเอง ท้ายที่สุดสองคนผัวเมียก็ตัดสินกันเอง และเป็นฉาก บทละครให้ลูกเรียนรู้วิธีตัดสินคนอื่นเต็มไปหมดเลย

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

เวลาที่พูดถึงความรักใน sense of life ไม่ได้หมายถึงความรักในแง่หนุ่มสาว แต่เป็นเรื่องความรักตัวเอง ความเคารพตัวเอง ความภูมิใจในตัวเอง หรือคำในตระกูล self ทั้งหลาย จนโยงออกไปสู่ความรักที่มีต่อผู้อื่น

ในความหมายของความรัก ความรักที่แท้จริงเป็นรักเดียวกัน ผัวเมียรักกัน รักหมา รักลูก รักผู้คน รักภูเขา จริงๆ ในคำว่ารัก มันคือพลังงานความบริสุทธิ์ที่ทำให้เด็กรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับผู้คนและกับสรรพสิ่ง ถ้าเราอยากให้ลูกรู้จักความรักจริงๆ ต้องยอมให้ลูกรู้สึกถึงความแตกต่างของผู้คนและสรรพสิ่ง เพราะมันเป็นพลังงาน และมันเป็นความบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวมนุษย์ด้วย

เรากำลังพูดถึงทักษะช่วงวัย 0-7 ปี แต่ฟังเป็นเหมือน life skills หรือทักษะชีวิตของผู้ใหญ่มาก

ใช่เลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพ่อแม่นั่นแหละที่ต้องพัฒนาทักษะชีวิตให้ดีที่สุด เพราะพ่อแม่จะส่งคลื่นและบทเรียนที่ดีที่สุดให้ลูก

ถ้าพ่อแม่ใช้ชีวิตเป็น พ่อแม่ไม่ต้องเลี้ยงลูกเลย ไม่ต้องมานั่งสอนลูกเลยว่าลูกต้องมีชีวิตยังไง เพราะลูกก็ใช้ชีวิตไปกับเราภายใต้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ถ้าเรารักกันเป็น เราก็เพียงใช้ชีวิตกัน ใช้ชีวิตให้ลูกดู

‘รักเป็น’ ในที่นี้หมายความว่า จำเป็นที่พ่อแม่ต้องรักและอยู่ด้วยกัน ความหมายเดียวกันหรือเปล่า

อันนี้สำคัญมาก ความจริงมันก็ไม่ได้หมายความเฉพาะกับพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกัน เพราะในสังคมปัจจุบัน พ่อแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องแยกกันอยู่ การหย่าร้างเริ่มมีมากขึ้น หากเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่คุณไม่ควรทำให้เกิดขึ้นคือสร้างความเกลียดชังของอีกฝ่ายเข้าไปในใจเด็ก เพราะเด็กมีสิทธิ์รับรู้และรักในแบบที่เขาเป็น เธอสองคนอาจจะไม่ได้รักกันเพราะมันยากที่ “ฉันจะเข้าใจด้านนี้ของเธอ” แต่ไม่ได้แปลว่าลูกจะเข้าใจไม่ได้ ฉะนั้นก็อย่าไปใส่ความเกลียดชังในตัวเด็ก จะเป็นเพื่อนกันก็เป็นไป แต่อย่าเป็นศัตรู อย่าใส่ไฟอีกฝั่ง

เวลาที่เด็กมองคนคนหนึ่ง เขาตีความตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าเราใส่ประสบการณ์ว่าพ่อเธอมันไม่โอเค หรือแม่เธอมันเป็นอย่างนี้ๆ เด็กก็จดจำภาพแบบนั้นและสุดท้ายเขาไม่รู้ว่าจะมองพ่อหรือแม่ในอีกมุมที่เราไม่ได้พูดถึงเขายังไง พอวันหนึ่งเขาโตขึ้นมา เขาก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันก็ไม่จริงทั้งหมด แต่เวลามันผ่านไปแล้ว มันถูกโปรแกรม มันถูกจดจำไปแล้ว ซึ่งแท้จริง มันอาจไม่จริงทั้งหมดก็ได้ แต่เราได้ทำให้ลูกสรุปรวมไปแล้ว และนั่นมีผลต่อชีวิตเขาในตอนโตมากเช่นกัน

Sense 3: Sense of Movement

รู้จัก ‘เจตจำนง’ ผ่านการเคลื่อนไหว: อย่าขัดจังหวะภาพในหัวของลูก

พอเด็กเริ่มรู้จักว่าฉันคือหนึ่งชีวิต เริ่มรู้จักดูชีวิตในความสัมพันธ์และในความรักของผู้อื่น ความรักรอบตัว เหล่านี้ก็จะพาให้เขาอยากขับเคลื่อนชีวิต นั่นก็คือ sense of movement เขาอยากที่จะสัมผัส อยากเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง ที่เคยบอกว่าเด็กเกิดมาพร้อมกับเซลล์ ซึ่งก็คือผ้าขาวที่ไม่มีประสบการณ์ แต่ไม่ใช่กับจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณผ่านประสบการณ์มาเยอะมาก ขณะที่เด็กเริ่มทำความเข้าใจตัวเอง เขาจะรู้สึกเหมือนมีเสียงเรียกจากข้างในที่พาให้เขาอยากเคลื่อนไปทำอะไรสักอย่างตามภาพในหัว

คล้ายกับว่าสมองของเด็กที่ยังเล็กอยู่ จะมีสมองส่วนหนึ่งที่สร้างภาพ ทำให้เขาเห็นภาพนั้น และพยายามขับเคลื่อนตัวเองเพื่อไปเห็นภาพนั้นให้ได้ และการที่เขาเห็นภาพนั้นและขับเคลื่อนตัวเองได้ มันเป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากในตอนที่เขาโตขึ้น

เช่นภาพแบบไหนบ้าง

ยกตัวอย่างให้ยากหน่อยสำหรับเด็ก เด็กบางคนมีภาพตัวเองอยู่บนต้นไม้และอยากรู้ว่าบนนั้นมีอะไร เขาก็จะพาตัวเองเพื่อไปปีนต้นไม้ ถ้าเขาตกและไม่ถึงขั้นบาดเจ็บมากนักเขาก็จะปีนขึ้นไปใหม่ เพื่อทำให้สำเร็จตามภาพที่ปรากฏอยู่ และเขารับประสบการณ์ว่า “อ๋อ อยู่ตรงนี้มันเป็นแบบนี้เอง” ศิลปินหลายคนบอกว่าเขาเห็นภาพในหัวและแค่ทำมันตามภาพนั้น

มนุษย์ทุกคนก็ใช้ชีวิตแบบนี้นะ ในแง่ของการกระทำ เราหิวน้ำ อยากดื่มน้ำ เราเห็นภาพในหัวก่อนว่าเราได้ดื่มน้ำแก้วนี้แก้กระหาย หลังจากนั้น ภาพจึงเป็นตัวกำหนดให้เราหยิบแก้วน้ำ กระดกแก้วดื่ม ถ้าไม่มีภาพในหัวเป็นตัวกำหนด เราก็จะไม่สร้างการกระทำนั้น แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตแค่ภาพของการกระทำ แต่เป็นภาพความฝันอย่างเช่นที่เด็กได้ไปอยู่บนต้นไม้ นี่คือ sense of movement ภาพที่ปรากฏอยู่ในใจแล้วพาให้เขาไปสร้างการกระทำให้มันเกิดขึ้นจริง

พูดอีกแบบ sense of movement จึงกลายเป็นการได้รับเสรีภาพที่กว้างมากเพื่อให้เขาได้เติบโตและทำอะไรตามภาพในหัว และท้ายที่สุด เชื่อภาพในหัวว่ามีอยู่จริง นั่นคือเจตจำนงของชีวิต

แต่ส่วนใหญ่เด็กๆ จะถูกขัดจังหวะว่า ‘เอ๊ะ อย่าทำนะ อย่าปีนลูก อันตราย’

‘ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้’ เราคิดว่าเรากำลังทำให้เขาปลอดภัย แต่การที่เขาขาดประสบการณ์ตรงนี้มันเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะพอถึงวันหนึ่ง เขาไม่เชื่อภาพในหัวของตัวเองแล้ว ชีวิตเขาสุ่มเสี่ยงมาก เขาไม่รู้จะเดินไปไหน จะทำอะไร ไม่รู้จะเคลื่อนย้ายตัวเองยังไง

เราคงเคยเห็นเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จะทำอะไรดี นั่นเพราะเขาไม่เชื่อภาพในหัวเหล่านั้นแล้ว เพราะวันที่เขาเคยเชื่อกลับถูกขัดจังหวะจนกระทั่งเซลล์ประสาทที่จับภาพเพื่อเคลื่อนชีวิตมันอ่อนแอมากจนกระทั่งเขาไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง เขาจึงรอคำสั่ง รอคนบอกว่าฉันควรจะไปไหน ทำอะไร เพราะฉันไม่เชื่อว่าภาพนี้มีอยู่

จากการขัดจังหวะกิจกรรมเด็กด้วยความเป็นห่วง อาจกลายเป็นขัดจังหวะภาพในหัว ซึ่งสุดท้ายแล้วมีผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเอง?

และนำไปสู่การขาดความมุ่งมั่นในชีวิต อย่างที่เรียกว่าขาดเจตจำนงในชีวิต เช่น วันหนึ่งพี่บอกตัวเองว่า พี่อยากเป็นกระบวนกร เจตจำนงหรือภาพของพี่ คือพี่จะเป็นกระบวนกร ฉะนั้นพี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นกระบวนกร เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นกระบวนกรได้ แต่คนที่ไม่มีภาพนี้ในหัว ก็จะไม่กล้าลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าฉันจะเป็นกระบวนกร จะมีคำถามว่า “จะเป็นไปได้เหรอ ฉันไม่ฉลาดเท่าคนนั้น ไม่เก่งเท่าคนนี้ ฉันพูดไม่ดีหรอก” และทั้งหมดนี้มันกำหนดเป็นบุคลิกภาพเลยนะ ทำให้เด็กไม่มีความกล้าจะทำอะไร เพราะด้วยเหตุผลว่าตอนเด็กๆ เขาไม่ได้เคลื่อนหรือ move ไปยังภาพที่เขากำหนดขึ้นในใจ

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

การอนุญาตให้ทำตามภาพในหัวกินใจความแค่ไหน ถ้าเด็กมีภาพอยากทำอะไรที่ผู้ใหญ่รู้แน่ว่าอันตราย ต้องอนุญาตด้วยรึเปล่า

แน่นอนว่ามันไม่ใช่ว่าถ้าเด็กมีภาพอยากจะกระโดดน้ำขณะที่เขาว่ายน้ำไม่เป็นหรือภาพเอานิ้วไปจิ้มปลั๊กไฟแล้วเราจะอนุญาตตลอด

ยกตัวอย่าง พี่พบว่าลูกพี่ชอบปั้น อยู่กับการปั้นได้ทั้งวัน (เน้นเสียง) จนเรารู้สึกว่าเขาเกิดมาเพื่อการปั้น พี่ไม่รบกวนเขาเลย เธออยากปั้นก็ปั้นเลย มีภาพอะไรในหัวที่อยากจะทำ เอามันออกมา เขาก็จะอยู่ตรงนั้น เชื่อว่าภาพในหัวของเขามีจริงและเขาจะทำมันสำเร็จ

ขณะเดียวกันมีเด็กจำนวนเยอะมากที่อาจเป็นเหมือนลูกพี่แต่ไม่ได้เป็น เพราะพอเขาปั้น แม่บอกว่าเธอต้องไปท่อง ABC ไปบวกลบเลขซะ จนกระทั่งเด็กทิ้งสิ่งที่อยากทำมาตั้งแต่วัยเด็ก เขาเลิกได้ยินเสียงข้างในหัว เลิกมองเห็นภาพที่บอกว่า “ทำอันนี้สิ” เขาเลิกเชื่อและทำตามกิจวัตรของโรงเรียน เรียนหนังสือให้เหมือนชาวบ้าน ไปทำในสิ่งที่สังคมบอกว่าถูกต้อง จนเด็กลืมสิ่งที่เขากำเนิด สิ่งที่เป็นรหัสชีวิตเขา

สิ่งที่มีความหมายต่อเจตจำนงก็คือการที่เราให้เสรีภาพกับเด็ก ถ้าเขาขับเคลื่อนตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน กว้างแค่ไหน คำว่าไกลกับกว้างก็ไม่ใช่ทางกายภาพแต่คือจินตนาการและชีวิต

ยิ่งเขารู้จักเสรีภาพมากเท่าไร เขาก็จะเคารพชีวิตตนเองและผู้อื่นมากเท่านั้น เพราะเสรีภาพทำให้เขาเคารพในตัวเอง เชื่อในตัวเอง เด็กที่เชื่อมั่นในตัวเองก็เกิดจากการที่เชื่อว่าฉันจะทำได้

การมีเจตจำนง เชื่อมั่นในตัวเองจนทำมันสำเร็จ ถ้าไม่มีตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าโตขึ้นแก้ไม่ได้ใช่ไหม?

แก้ได้ แต่ตอนสร้างง่ายกว่าแน่นอน (ยิ้ม) ไม่งั้นเราจะมาเรียนเรื่องทางจิตวิญญาณหรือ spiritual learning กันทำไม ถึงตอนนั้นมันจะเป็นบทเรียนกับมนุษย์ทุกคนว่า “ทุกคนแก้ไขได้นะ แต่คุณจะแก้มันรึเปล่า” ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวมากของคนที่ขาด sense of movement ก็คือ เขาไม่เชื่อว่ามันแก้ได้ไง เขายอมแพ้ไปแล้ว เด็กที่ไม่มีความเชื่อในตัวเอง ตอนที่เขาลุกขึ้นมาแก้ปัญหาชีวิตตัวเอง คือตอนที่ยากที่สุดเลยนะเพราะเขาไม่เชื่อว่ามันแก้ได้

สุดท้ายคือ เริ่มสร้างความมั่นใจ อย่าขัดจังหวะภาพในหัว และมอบคืนเสรีภาพให้ลูกตั้งแต่เริ่มดีกว่า

(พยักหน้า) พ่อแม่ที่ขีดหรือกำจัดเสรีภาพลูก เขาไม่รู้เลยว่าเขาทำลายอนาคตของลูกอย่างรุนแรง แม้กระทั่งในนามของความรักนะ คือแม้พ่อแม่จะมี sense of touch และ sense of life ที่ดีมาก แต่มองไม่เห็นว่าตัวเองมีความกลัวบางอย่าง เวลาที่ลูกเริ่มจะเคลื่อนไหวหรือจะทำอะไรก็ “อย่าเลยลูก แม่รักนะกลับบ้านเร็วๆ น้า ตั้งใจเรียนนะ แม่รักนะ” อันนี้ก็ในนามของความรักที่เราได้ทำลายชีวิตเขา ไม่ให้เล่นกับเพื่อน ให้รีบกลับบ้าน ไม่ให้ออกไปไหน เราทำลายเสรีภาพเด็ก ฆ่า sense of movement ในนามของความรัก

ประสบการณ์เก่าของผู้ปกครองอาจสอนว่า ทำแบบนี้แล้วลูกจะต้องทุกข์แน่ๆ เพราะฉะนั้นเลยสร้างเกราะกำบัง ไม่ให้ลูกเจอความทุกข์เลยดีกว่า

คีย์เวิร์ดก็คือ มนุษย์มีการขับเคลื่อนหรือ movement เพื่อเข้าหาความสุขและหลีกเลี่ยงความทุกข์อยู่ตลอด ฉะนั้นในความทุกข์ที่เข้ามาสู่เด็กแบบธรรมชาติ คุณไม่ต้องจัดความทุกข์ให้กับเขา เพราะความทุกข์ที่เป็นธรรมชาติ เขามีอยู่แล้ว

เช่น เขาจะขี่จักรยานให้ได้ เขาจะปีนต้นไม้แล้วตกต้นไม้ เขาจะวิ่งแล้วล้มป้าบ เหล่านี้คือความทุกข์ที่เข้ามาในตัวเด็ก เซลล์จะจัดการเรียนรู้และสร้าง movement เพื่อหลีกหนีจากความทุกข์

การขี่จักรยานให้เก่งขึ้น ว่ายน้ำให้ได้ ปีนต้นไม้ให้เก่ง การที่มนุษย์พาตัวเองหลีกหนีจากความทุกข์เพราะเกิดจากความบาดเจ็บครั้งหนึ่ง เขาจะเรียนรู้เพื่อไม่ให้เจ็บอีกครั้ง นี่คือปัญญาที่ยิ่งใหญ่มากทางกาย และท้ายที่สุดเขาจะมีฐานกายที่เก่งมาก

sense of movement ให้ปัญญาทางฐานกายเพื่อขับเคลื่อนตัวเองสูง สูงไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ แม้กระทั่งการที่เราจะเข้าหาคนคนหนึ่ง ฉันจะเข้าไปหาคนนี้ยังไงเพื่อให้เขามีความสุขและไม่สร้างทุกข์แก่กัน นี่ก็เป็นสิ่งที่มีความหมายมากเลยนะ

ซึ่งก็จะย้อนกลับไปหา sense of life หรือการสร้างความสัมพันธ์ความรักในชีวิตอีก

และส่งผลไปถึงการเรียนรู้ในตอนโตและการขับเคลื่อนตัวเองไปหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จักกับคนใหม่ ซึ่งการที่เด็กได้พบเพื่อนแล้วผิดใจกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ พ่อแม่อย่าไปยุ่ง

โดยเฉพาะในกรุ๊ปไลน์พ่อแม่ เวลาลูกทะเลาะกัน เหมือนพ่อแม่จะทะเลาะกันหนักกว่าคู่ลูกๆ ซะอีก

บางทีแค่ห้องอนุบาล เรื่องใหญ่อย่างใครจะรบกับใคร มันเป็นเรื่องของเขา ถ้าสมมุติมีเด็กสักคนเล่นแรง สักวันลูกเราก็ต้องเจออะไรแบบนั้น และไม่ได้บอกว่าไม่ต้องสนใจความเป็นไปของลูกเลย แต่ลองเฝ้าดูว่าเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับเด็กคนนี้ยังไง เราต้องมีความเชื่อว่าลูกของเราจะพบปัญญาบางอย่างที่จะอยู่กับเด็กคนนี้ได้ ซึ่งแบบนี้ก็เรียกว่าความรัก

Sense 4: Sense of Balance

รู้จัก ‘สมดุล’ สมดุลทางกายและสมดุลชีวิต

ถึงช่วงวัยที่เด็กอยากขี่จักรยาน การขี่จักรยานไม่ใช่แค่การขี่จักรยาน แต่คือการทำให้เขาเกิดความแข็งแรงของ sense of balance บางทีเราอาจรู้สึกว่าการขี่จักรยานไม่น่ามีผลต่อชีวิตมาก แต่เชื่อมั้ยว่าพ่อแม่ที่ไม่ให้ลูกเคลื่อนตัวเองไปไหนไกลมากนัก เขาก็มักไม่ให้ลูกขี่จักรยาน เพราะกลัวอันตราย กลัวจะล้ม แต่เด็กก็ไม่ได้ฝึกความสมดุลในตัวเองเลย

sense of balance มีผลค่อนข้างเยอะ อย่างแรกคือขณะที่ขี่จักรยาน ออกไปทำกิจกรรมโลดโผนเพื่อตามหาสมดุล สิ่งที่พัฒนาเยอะมากในระดับร่างกายคือ ‘หู’ ในอวัยวะนี้จะมีผลอย่างยิ่งตอนเรียนหนังสือ

ครูณาพูดบ่อยๆ ว่าความหมายอีกอย่างของบาลานซ์ในเซนส์นี้ หมายถึงเรื่อง ‘สมดุลชีวิต’ ด้วย

จริงๆ ทุกอย่างมันค่อยๆ เชื่อมกันหมด พอเด็กเคลื่อนตัวเองได้มากขึ้น (sense of movement) เขาก็ต้องการสร้างความสัมพันธ์ (sense of life) ไปทะเลาะกับคนนั้นบ้างคนนี้บ้างแล้วสุดท้ายก็เริ่มจะกลับมาที่ตัวเอง คือในฐานกาย มันจะเป็นการเรียกร้องของตัวเขาเองที่อยากจะผ่านประสบการณ์ที่มากขึ้นๆ ไปอีกเพื่อออกไปสำรวจ เช่น อยากจะวิ่งให้เร็วขึ้นอีก ทำอะไรที่โลดโผนขึ้น อยากจะขี่จักรยาน อยากจะว่ายน้ำ พาตัวเองไปไกลเกินกว่าการขับเคลื่อนธรรมดาแต่ต้องการค้นหาจุดสมดุลในชีวิต

ตอนที่เขาเริ่มเอาตัวเองไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็เพื่อสืบค้นว่า ฉันจะสร้างสมดุลเพื่ออยู่กับอันนั้นอันนี้ได้อย่างไร สมดุลตัวเองคือทำออะไรไม่ให้ทะเลาะกับคนอื่น มันคือการเคลื่อนทางกาย ‘ทั้งฐานกาย’ ไม่ว่าจะใช้ชีวิตโลดโผนไปจนถึงการเป็นตัวเอง หรือ being เพื่อไปผูกพันกับผู้คนมากมายอย่างสมดุล ซึ่งบาลานซ์ในระดับ being ที่เขาไปสัมพันธ์กับคนนั้นคนนี้ มันเป็นปัญญาญาณที่อยู่ลึกลงไปในร่างกายเขาที่ใช้ในการดูแลความสมดุลชีวิตตอนโต

สมดุลตอนโตที่ว่าคืออะไร

ฉันทำงานเยอะไปมั้ย? ฉันกินไอ้นี่เยอะไปมั้ย หรือ ฉันมีชีวิตที่เอียงกะเท่เร่ในด้านในด้านหนึ่งเกินไปมั้ย ฉันขังตัวเองเกินไปมั้ย หรือฉันอยู่กับสังคมมากเกินไปรึเปล่า วันหนึ่งเด็กก็ต้องเรียนรู้ว่าฉันใช้โซเชียลมากเกินไปมั้ย หรือกระทั่งการตั้งคำถามของพวกเราเองด้วยซ้ำ

ที่กล่าวว่า เด็กที่มีสมดุลในชีวิตดี จะมีพัฒนาการทางหูที่ดีมาก หมายความว่าอย่างไร

จริงๆ มันคือเป็นเซนส์ที่ 9 คือ sense of hearing ซึ่ง sense of balance จะส่งผลต่อ sense of hearing เพราะบาลานซ์คืออวัยวะเกี่ยวกับหู ถ้าคุณมีสมดุลที่ดี อวัยวะส่วนหูก็จะค่อนข้างดี แข็งแรง และเป็นความสมดุลที่เกิดขึ้นจากข้างใน เด็กที่สมดุลจะทำให้มีความสงบ ฟังเก่ง ซึ่งส่งผลตอนที่เขาเรียนหนังสือ

เรียนหนังสือเก่งมาทีหลัง แต่สิ่งที่เราควรสร้างในเด็กคือ ให้เขาวิ่งเล่น ให้เขาขี่จักรยาน ให้เขาได้ฝึกฝนทางกายจนแข็งแรงมาก ถึงเวลาเขาก็จะเอาประสบการณ์ที่อยู่ในร่างกายเขาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากการพยายามยัดข้อมูลว่า ท่องไปสิว่ากรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. เท่าไร สองบวกสองเป็นเท่าไร คิดซะ ความพยายามยัดเยียดข้อมูลและความคิดเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ในช่วง 0-7 ปีมากเท่ากับการใช้ชีวิต แต่คือการเตรียมความพร้อมเพื่อจะใช้ชีวิตของตัวเองต่างหาก

ความถนัดในฐานกาย ใช่ความฉลาดทางอารมณ์หรือไม่?

ความฉลาดทางกาย คือ gut หรือกึ๋นที่มีในการใช้ชีวิตกับตนเองและผู้อื่น แต่ความฉลาดทางอารมณ์คือ 4 เซนส์ถัดไป เพราะกายเป็นเหมือนรากของความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นความรัก

ซึ่งเวลาที่เราเล่าเรื่องเซนส์ ไม่ได้หมายความว่ามันต้องเกิดจากจุดนี้แล้วค่อยไปจุดนี้นะ มันค่อยๆ เกิดแล้วถักทอกันไปมา บางอันมาเพื่อเป็นข้อมูลแล้ววันหนึ่งจึงถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างพอเวลาที่เด็กเริ่มเข้าสู่วัย 8-14 (เซนส์ที่ 5-8) เป็นช่วงที่เขาสัมพันธ์กับผู้คนมาเยอะพอสมควร ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางมันมีความรู้สึกเต็มไปหมด แม่เป็นแบบนี้ พ่อเป็นแบบนี้ และตอนนั้นเองที่เขาเริ่มกลับเข้ามาข้างในและเริ่มอยากรู้ว่า สิ่งเหล่านี้มันคืออะไรเหรอ? ความรู้สึกทั้งทางกายและอารมณ์แบบนี้ มันคืออะไร ซึ่งแต่ละสิ่งก็เรียนรู้ผ่านเซนส์เหล่านี้แหละ

ติดตามเซนส์ที่ 5-8 ได้ที่: EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
และเซนส์ที่ 9-12 ได้ที่: EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาThe Twelve Sensesอังคณา มาศรังสรรค์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

อย่าเอาความคิดผู้ใหญ่ มาทำลายความคิดสร้างสรรค์เด็ก
21st Century skills
3 November 2018

อย่าเอาความคิดผู้ใหญ่ มาทำลายความคิดสร้างสรรค์เด็ก

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

ทำไม การจะทำในสิ่งเรารัก มันถึงยากเย็นนัก!

เพราะกว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็เหนื่อยแล้ว แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ระหว่างทางที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จนั้นยังมีอุปสรรคมาขั้นขวางอีกเยอะ

ฉะนั้นต้องท่องไว้เสมอว่า ‘Believe in your self and follow your dream’ คติสั้นๆ ที่ทุกคนต้องมีอยู่ในประจำใจเพื่อให้เราสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และเดินหน้าสานฝันไปสู่ความสำเร็จให้ได้ แม้ว่าคนรอบข้างจะไม่เห็นด้วยแค่ไหน แต่ถ้าใจเรารักจริง ก็ไม่ต้องสน เพียงแค่เริ่มต้นทำอย่างตั้งใจเท่านั้นพอ

อ่านบทความประกอบเพิ่มเติมได้ที่:‘กล่อง’ ใบนี้ ห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่รัก

Tags:

ความคิดสร้างสรรค์(Creativity)วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)4Cs

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย: ชายผู้เป็นทุกอย่างให้ช็อกโกแลต
Everyone can be an Educator
2 November 2018

เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย: ชายผู้เป็นทุกอย่างให้ช็อกโกแลต

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย คือเจ้าของร้านคาเฟ่ Sarath N. Chocolatier และโรงเรียนสอนทำขนมหวาน CHOCOLATE HOUSE ที่มีตารางเรียนเต็มแน่นทุกสัปดาห์
  • นอกจากบทบาทของช็อกโกลาเทียร์ที่คอยออกแบบสร้างสรรค์ชิ้นงานขนมหวานให้มีรสชาติถูกปากและมีดีไซน์สะดุดตาแล้ว เชฟเป้ยังหันมาศึกษาค้นคว้าเรื่องโกโก้ ตั้งแต่ต้นทางการปลูกยันปลายทางของการดีไซน์ช็อกโกแลตที่ตัวเองคุ้นเคย
  • ถึงวัฒนธรรมการกินช็อกโกแลตของคนไทยจะต่างจากชาติตะวันตก แต่สิ่งที่เชฟเป้ทำคือแสดงให้เห็นว่าความคิดสร้างสรรค์และฝีมือที่เคี่ยวกรำมาอย่างหนัก ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการกินช็อกโกแลต ทำให้การกินหรือดื่มช็อกโกแลตมีความน่าสนใจมากขึ้น
ภาพ: ฉัตรชัย วงค์เกตุใจ

คาเฟ่ช็อกโกแลตเล็กๆ ย่านสะพานควาย ภายใต้ชื่อที่นำเสนอตัวตนของเจ้าของร้านได้อย่างตรงไปตรงมา ‘Sarath N. Chocolatier’ กับเมนูช็อกโกแลตร้อนซิกเนเจอร์ที่ผ่านการออกแบบให้คนดื่มได้รับความสนุกและตื่นเต้นตั้งแต่แรกเห็น ขั้นตอนการดื่มที่ต้องอาศัยความละเมียดละไม ไปจนกระทั่งเมื่อได้ลิ้มรสช็อกโกแลตอุ่นๆ รสชาติละมุนแตะปลายลิ้น ถึงกับฟินจนต้องกลับมาซ้ำ

จะสร้างสรรค์ได้ต้องกล้าก่อน

เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย มีดีกรีเป็นแชมป์ทำขนมหวานจากรายการ Iron Chef ประเทศไทย ปี 2558 และได้รับรางวัล The Best Macarons People’s Choice Award จากการแข่งขัน Sovour Patissier of the Year 2016 จากประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันนอกจากเป็นเจ้าของร้าน Sarath N. Chocolatier แล้ว เขายังเปิด CHOCOLATE HOUSE เป็นโรงเรียนสอนทำขนมหวานและทำช็อกโกแลตที่มีตารางเรียนเต็มแน่นทุกสัปดาห์

“ผมไม่ได้เลือกเรียนมหาวิทยาลัยเลย เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ชอบ เลยหันมาเรียนด้านการโรงแรม” เชฟเป้เล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต

กว่าจะมีวันนี้ ตลอดระยะเวลาร่วม 14 ปี ตั้งแต่รู้จักความชอบของตัวเองและซื่อสัตย์กับสิ่งที่ตัวเองชอบ เชฟเป้ใช้เวลาเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก เพื่อพัฒนาฝีมือจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เชฟเป้บอกว่า การเรียนรู้ด้านการโรงแรมในช่วงเริ่มต้นไม่ใช่การเรียนเพื่อเป็นเชฟ เขาต้องเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่งานครัวไปจนกระทั่งงานบริการในโรงแรม เมื่อเรียนจบออกมาทำงานจริง เส้นทางการทำงานนี้เองที่ช่วยฟูมฟักทั้งประสบการณ์และสร้างแรงผลักดันให้ต้องไปต่อ

เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย

“ผมเริ่มทำงานที่เมืองไทย งานในครัวตำแหน่งดีกว่าคนล้างจานหน่อยหนึ่งตรงที่มีหน้าที่คัดแยกไข่และตอกไข่ อยากทำอย่างอื่นก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ให้ทำ แต่ผมก็ตั้งใจทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ ได้คำชม ได้เลื่อนขั้น พออยากพัฒนาตัวเองก็ลองเปลี่ยนงาน จากเป็นผู้ช่วยได้มาเป็นเชฟทำขนมหวาน (pastry)

แล้ววันหนึ่งผมเจอเชฟชาวออสเตรเลีย เขาเห็นเราสนใจด้านนี้เลยแนะนำให้ไปเรียนต่อ ผมเลยตัดสินใจสมัครเรียนสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ที่ซิดนีย์ (Le Cordon Bleu) พอไปอยู่ทำงานที่โน่น ความท้าทายก็เข้ามาอีกเพราะผมเป็นคนเอเชียหัวดำคนเดียวในร้าน ทำงานอยู่ 3-4 ปีผ่านมาได้เพราะผมไม่ท้อและอยากพิสูจน์ตัวเองว่าถึงแม้จะเป็นคนเอเชียแต่เราก็ทำได้”

มองหาตัวเอง อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา

หลังจากกลับมาทำงานที่เมืองไทยในฐานะเชฟทำขนมหวานอย่างเต็มตัว เชฟเป้บอกว่า เขามีความสุขกับงานที่ทำ แต่ก็มาถึงจุดที่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งถึงความมั่นคงในชีวิต แล้วฉุกคิดถึงจุดเด่นในอาชีพของตัวเอง

“ผมไม่เลือกงาน ผมทำงานในครัวทุกอย่างจนรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร ทั้งงานจัดเลี้ยง (catering) งานในร้านอาหารหรูๆ (fine dining) ในคาเฟ่ก็เคยทำมาก่อน แต่พอทำไปเรื่อยๆ ผมเริ่มถามหาความมั่นคงในอาชีพ ในช่วงจังหวะที่มีคนใกล้ตัวหลายคนมาขอให้ช่วยสอนทำขนม จากสอนแค่คนสองคนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยตัดสินใจทำสิ่งที่เริ่มจากตัวเองนี่แหละ เปิด CHOCOLATE HOUSE ขึ้นมาเป็นโรงเรียนสอนทำขนม

ส่วนตัวผมมองว่าช็อกโกแลตมีความสากลอยู่ในตัว ถ้าเราพูดถึงขนมต่างชาติแล้วเอ่ยถึงช็อกโกแลต แม้แต่เด็กยังรู้เรื่องนะ แต่ถ้าบอกว่าครัวซองต์ (croissant) เขาอาจงงว่าคืออะไร”

นักเรียนครึ่งหนึ่งของ CHOCOLATE HOUSE เป็นคนไทยที่เป็นทั้งเจ้าของกิจการและผู้ชื่นชอบการทำขนม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติที่บินตรงเพื่อมาเรียนหลักสูตรการทำช็อกโกแลต ขนมเค้กและขนมหวานชนิดอื่นๆ จากเชฟเป้โดยเฉพาะ เพราะนอกจากรสชาติแล้ว จุดเด่นในชิ้นงานขนมของเชฟเป้ อยู่ที่การดีไซน์หน้าตาขนมให้มีเสน่ห์และดึงดูดสายตาของผู้บริโภคก่อน

“ผมมองว่าการทำช็อกโกแลตหรือการทำขนมที่มีดีไซน์เป็นงานครีเอทีฟ เชฟต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่คิดสูตรว่าจะทำอย่างไรให้มีรสชาติดี แล้วจะดีไซน์ขึ้นมาอย่างไรให้ขนมมีจุดเด่นน่าสนใจ ชิ้นพอดีคำ รสชาติพอดีลิ้น ตรงนี้เป็นงานที่ท้าทาย ตัวผมก็ต้องพัฒนาและพาตัวเองเข้าไปแข่งขันรายการต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่ตลอด เพื่อสร้างตัวเองให้เป็นที่รู้จักและมีความน่าเชื่อถือในฐานะเชฟคนไทย”

Chocolatier (ช็อกโกลาเทียร์) คืออะไร

Chocolatier (ช็อกโกลาเทียร์) เป็นภาษาฝรั่งเศสใช้เรียกผู้เชี่ยวชาญด้านการ ‘แปรรูป’ ช็อกโกแลต ผู้เปลี่ยนรสชาติขมๆ ให้กลายเป็นขนมหวานหรือแม้กระทั่งของคาวจานเด็ด

ส่วนคนที่ลงมือนำเมล็ดโกโก้มาคั่ว จนได้ออกมาเป็นเมล็ดโกโก้ที่พร้อมให้ช็อกโกลาเทียร์นำไปแปรรูปต่อ เรียกว่า Chocolate Maker (ช็อกโกแลตเมคเกอร์)

เชฟเป้บอกว่า เมื่อก่อนนี้อาจพูดได้ว่าเขาเป็นช็อกโกลาเทียร์ แต่ตอนนี้เขาเป็นทุกอย่างให้กับช็อกโกแลต

ครึ่งทางของการทำงานวงการขนมหวานในช่วง 7 ปีหลัง เชฟเป้หันหน้าเข้าหาการทำช็อกโกแลตซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเขาสนใจมากที่สุด ดังนั้นนอกจากบทบาทของช็อกโกลาเทียร์ที่คอยออกแบบสร้างสรรค์ชิ้นงานขนมหวานให้มีรสชาติถูกปากและมีดีไซน์สะดุดตาแล้ว เชฟเป้ยังหันมาศึกษาค้นคว้าเรื่องโกโก้ ตั้งแต่ต้นทางการปลูกยันปลายทางของการดีไซน์ช็อกโกแลตที่ตัวเองคุ้นเคย

การเดินทางของโกโก้จากผลที่เต็มไปด้วยเมล็ด งัดแงะแกะเมล็ดออกแล้วนำมาหมัก ตากแห้ง จากนั้นจึงนำมาคั่ว เมล็ดโกโก้ต้องผ่านด่านหลายขั้นตอนกว่าจะกลายมาเป็นช็อกโกแลตรสชาติอร่อย ยิ่งช็อกโกแลตโฮมเมดแบบที่เชฟเป้ทำนั้นรักษาคุณค่าของโกโก้ไว้ครบสูตร เพราะเป็นโกโก้ที่ไม่ได้สกัดเนยโกโก้ (cacao butter) ออกเหมือนโกโก้ผงที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป

“ในทางโภชนาการโกโก้ที่ยังคงมีส่วนผสมของเนยโกโก้ตามธรรมชาติ มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านความชรา ช่วยปรับสมดุลของความดันโลหิต กระตุ้นหัวใจ ขยายหลอดเลือด และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด” เชฟเป้อธิบาย

Single Origin Hot Chocolate ก่อนดื่มก็สนุก ยิ่งดื่มยิ่งอร่อย

ช็อกโกแลตร้อน หรือที่เขียนบนเมนูว่า ‘Single Origin Hot Chocolate’ เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน Sarath N. Chocolatier ที่ใส่ลูกเล่นให้คนดื่มได้ตื่นเต้นและสนุกกับขั้นตอนก่อนดื่มจริง

ช็อกโกแลตนมร้อนเสิร์ฟแยกมาพร้อมถ้วยปากกว้างที่ภายในบรรจุผลโกโก้ขนาดเล็กซึ่งทำมาจากช็อกโกแลตเข้มข้น อุณหภูมิของช็อกโกแลตนมได้รับการควบคุมไม่ให้ร้อนหรือเย็นจนเกินไป อุณภูมิที่พอเหมาะทำให้ผลโกโก้ในช็อกโกแลตค่อยๆ ละลายขณะรินช็อกโกแลตนมลงตรงกลาง แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งมาชเมลโลนุ่มๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในผลโกโก้จะลอยเด้งขึ้นมาให้ยลโฉม ‘โกโก้นิบส์’ (Cacao Nibs) หรือเมล็ดโกโก้บดที่ผ่านการคั่วแล้ว ถูกเตรียมไว้สำหรับโรยหน้าเพื่อเพิ่มรสชาติและความสวยงามให้ช็อกโกแลตร้อนแต่ละแก้วอีกทีหนึ่ง ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในไม่ถึง 1 นาที แต่กว่าจะมาเป็นช็อกโกแลตร้อนแก้วนี้ เชฟเป้ใช้เวลาไม่น้อยในการคิด ออกแบบ และทดลองทำ

“ผมลองผิดลองถูกทำทิ้งไปก็เยอะ แต่ต้องทำเพื่อให้องค์ประกอบทุกอย่างลงตัว ทั้งรสชาติของช็อกโกแลตนมและผลโกโก้ที่ทำมาจากดาร์คช็อกโกแลต รวมทั้งอุณหภูมิ และภาชนะที่ใช้”

การสร้างสรรค์เมนูเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เชฟเป้บอกว่า นอกจากทำตามใจตัวเองแล้ว เชฟจะต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภคด้วย เมื่อฟังแล้วปรับ ปรับแล้วปรุงให้ลงตัวโดยไม่ทิ้งเป้าหมายหรือความตั้งใจเดิม

“จากที่เปิดร้านมาได้รับคำชมคำติเป็นเรื่องธรรมดา ผมชอบมากเวลาลูกค้าคอมเมนต์ตรงๆ บางคนบอกว่าช็อกโกแลตขมไป เปรี้ยวไป หลายคนสงสัยว่าช็อกโกแลตที่ร้านทำไมหนืดๆ เรารับฟังแล้วปรับปรุงไปเรื่อยๆ แต่ยังคงอยู่บนฐานความตั้งใจเดิมว่าอยากให้คนไทยได้สัมผัสรสชาติช็อกโกแลตที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ผ่านการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด ยิ่งลูกค้าคอมเมนต์และสงสัย ยิ่งเป็นโอกาสให้เราได้อธิบายและให้ความรู้กับเขา

เวลาผมคิดเมนูอะไรขึ้นมาสักอย่าง ผมต้องคิดถึงคนกินก่อนว่าส่วนใหญ่แล้วเขาชอบแบบไหน แล้วเราทำอะไรได้บ้าง เวลาเปิดร้านอะไรควรมาก่อน อะไรมาหลัง ในเชิงธุรกิจผมคิดถึงแต่ความชอบของตัวเองไม่ได้ แล้วในฐานะเชฟ ผมต้องสร้างสรรค์เมนูที่กินแล้วอร่อย

คาเฟ่เปิดขึ้นมาตอนแรกเน้นเครื่องดื่มช็อกโกแลตก่อน แต่ก็ยังขายกาแฟด้วยเพราะโดยธรรมชาติคนจะเข้าหาเครื่องดื่ม เราใช้โอกาสตรงนั้นให้ความรู้คนไปด้วยว่าช็อกโกแลตที่ทำมาจากโกโก้ไทย รสชาติและกลิ่นเป็นแบบไหน ต่างจากโกโก้ผงที่ชงทั่วไปยังไง หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เปิดตัวขนมหวาน แล้วให้คนได้ลองชิมช็อกโกแลตแบบดิบๆ เพื่อสร้างให้เกิดประสบการณ์ใหม่ในการกินช็อกโกแลต”

คอมมูนิตี้คาเฟ่

ประสบการณ์ทำงานและเดินทางไปตามคาเฟ่ต่างๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบยุโรป ทำให้เชฟเป้มีความฝันอยากเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆ เป็นของตัวเอง จากการสังเกตวิถีการดื่มของผู้คน เชฟเป้บอกว่า คาเฟ่เล็กแต่คนไม่จำเป็นต้องน้อยตาม

“คาเฟ่ที่โน่นไม่ได้ใหญ่โต แต่มีลูกค้าเข้าออกตลอด ผมมองคาเฟ่เป็นคอมมูนิตี้ที่คนแวะมาทักทายกันทุกวัน พูดคุยกันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส บางคนแวะมาตอนเที่ยง บางคนมาตอนเลิกงาน อย่างร้านผมวันปกติมีลูกค้าประจำมาเยอะ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์มีลูกค้าที่ตั้งใจเดินทางมาโดยเฉพาะ บางครั้งมาเป็นครอบครัว ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ที่ทำให้ร้านเป็นเหมือนชุมชนเล็กๆ”

ช็อกโกแลตบาร์ 9 รสชาติห่อหุ้มด้วยแพ็คเกจลวดลายแบบไทยๆ และไอศกรีมที่ผลิตจากโกโก้ไทยแท้จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังจะคลอดออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ของเชฟเป้ เขาต้องการสื่อสารรสชาติและเอกลักษณ์ความเป็นไทยผ่านช็อกโกแลตไปยังผู้คนทั่วโลก

เชฟเป้บอกว่าโกโก้ที่ปลูกในแต่ละพื้นที่เมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปจะได้ช็อกโกแลตรสชาติไม่เหมือนกัน เช่น โกโก้จากจังหวัดจันทบุรีให้รสชาติเปรี้ยวกว่าโกโก้จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีความหวานและมีกลิ่นคาราเมลอ่อนๆ เป็นองค์ประกอบ

“ผมใช้วัตถุดิบทุกอย่างจากธรรมชาติที่ปลูกในเมืองไทย ความสนุกเกิดขึ้นตั้งแต่ผมได้ทดลองทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่นำผลโกโก้มาแกะเมล็ด หมัก ตาก คั่ว แล้วแปรรูปเป็นช็อกโกแลต การหมักด้วยจำนวนวันต่างกันรสชาติของช็อกโกแลตที่ออกมาก็ต่างกัน จากตรงนั้นผมต้องใช้ความละเอียดในการคิดต่อว่าจะเอาช็อกโกแลตมาทำเป็นเมนูอะไร รสชาติแบบไหน สำหรับช็อกโกแลตบาร์ที่จะทำออกมาอยากให้คนได้ลองชิมช็อกโกแลตรสชาติแบบไทยๆ นักท่องเที่ยวก็ซื้อเป็นของฝากได้ด้วย”

โกโก้ส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้รับการส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชแซมผลไม้หรือพืชเศรษฐกิจหลักทำให้ที่ผ่านมาโกโก้ไทยกลายเป็นพืชที่ถูกมองข้าม ไม่มีการทำการตลาดรองรับผลผลิตของเกษตรกร คนไทยเองแทบไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า…ประเทศไทยปลูกโกโก้ได้ ทั้งที่มีชาวสวนจำนวนไม่น้อยครอบครองต้นโกโก้อยู่ในสวนของตัวเอง

ถึงวัฒนธรรมการกินช็อกโกแลตของคนไทยจะต่างจากชาติตะวันตก แต่สิ่งที่เชฟเป้กำลังทำอยู่คือแสดงให้เห็นว่าความคิดสร้างสรรค์และฝีมือที่เคี่ยวกรำมาอย่างหนัก สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการกินช็อกโกแลต ทำให้การกินหรือดื่มช็อกโกแลตมีความน่าสนใจมากขึ้น ยิ่งเมื่อทำควบคู่ไปกับการให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกโกโก้ ประโยชน์ของโกโก้และเอกลักษณ์ของโกโก้ไทย ก็ยิ่งทำให้เรื่องราวของช็อกโกแลตเป็นเรื่องน่าค้นหาและบอกต่อ

“ถ้ามองในระยะยาว เมื่อคนไทยมีความรู้เรื่องโกโก้และช็อกโกแลตมากขึ้น มีคนหันมาสนใจและใช้ช็อกโกแลตไทยเป็นวัตถุดิบในการทำขนมมากขึ้น ความต้องการบริโภคส่วนนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อเมล็ดโกโก้จากชวนสวน ทำให้เขามีรายได้ ผมว่าในอนาคตโกโก้ไทยจะกลายเป็นหนึ่งในโกโก้ที่ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก” เชฟเป้กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

อาชีพอาหารเชฟความคิดสร้างสรรค์(Creativity)สารัตถ์ นิ่มละมัย

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • 21st Century skills
    AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    The Makanai: cooking for the maiko house ประเทศที่คนจะทำอาชีพอะไรก็ได้

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เพจทำอาหารที่ชวนกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ “แม่ เมนูนี้ทำไง”

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Everyone can be an Educator21st Century skills
    USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    ไทกิ HOMEBURG: นักพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบคนบ้าและไม่เคยอยากเป็นเชฟ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ
Relationship
1 November 2018

HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

ทำร้ายตัวเอง = ทำร้ายลูก

“เด็กๆ จะอ่อนไหวเป็นพิเศษกับอารมณ์ของพ่อแม่” สเตฟานี สมิธ (Stephanie Smith) นักจิตวิทยาคลินิก กล่าว

“ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ไม่ควรแสดงอารมณ์ออกมา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือวิธีจัดการอารมณ์ตัวเองให้เด็กๆ เห็น”

ความเครียดที่ไม่ได้รับการผ่อนคลายจะส่งผลต่อวิธีปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ และความรู้สึกของพวกเขา ทั้งยังสร้างนิสัยไม่ดีในครอบครัวได้ง่าย

สถานการณ์จะดีขึ้นทันทีเมื่อพ่อแม่พยายามสงบจิตใจตัวเองลง เด็กๆ เองก็จะเรียนรู้วิธีรับมือความเครียดด้วยการเฝ้าดูพ่อแม่

คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) ศาสตราจารย์ด้านวัฒนธรรมและการพัฒนามนุษย์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ผู้หยิบเรื่อง การเมตตาตนเอง (Self-Compassion) ขึ้นมาพูดเป็นครั้งแรก บอกว่า

“ความเห็นอกเห็นใจตนเองจะมอบดินแดนแสนสงบ เป็นที่หลบภัยจากทะเลที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของการตัดสินใจไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบก็ตาม”

ผลการศึกษาหนึ่งพบว่า ในกลุ่มวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านพัฒนาการ พ่อแม่ที่มีความเห็นใจตัวเองจะมีแนวโน้มระดับความเครียดและอาการซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มที่พ่อแม่เข้มงวดและลงโทษตัวเองเสมอ

อ่านรายละเอียดมากว่านี้ และ 5 วิธีที่พ่อแม่จะใจดีกับตัวเองได้ที่  ไม่ผิดหรอกหากพ่อแม่จะกอดตัวเองบ้าง 

Tags:

พัฒนาการพ่อแม่จิตวิทยาความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การจัดการอารมณ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to enjoy lifeBook
    DESIGNING YOUR LIFE: ปัญหาที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ไม่ต่างกับ ‘แรงโน้มถ่วง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ไม่ผิดหรอกหากพ่อแม่จะกอดตัวเองบ้าง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel