Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

“เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ
Grit
18 April 2018

“เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • เด็กหนุ่มคนนี้คิดว่ากิจกรรมนอกบ้านสนุกกว่าเวลาที่ใช้ไปกับเกมและหน้าจอมือถือ
  • กิจกรรมที่ว่ากลายมาเป็นวิชาชีวิตที่ทำให้เขาหลงใหล และเปลี่ยนไปจากเด็กวันๆ เอาแต่นอนอยู่บ้าน กลายเป็นเด็กช่างค้นคว้าวิจัย ทำอะไรอย่างมีระบบ และกลายเป็นผู้นำ
  • เคล็ดลับมีอยู่คำเดียวคือ G R I T

นิก-ธเนศ สร้อยทอง ก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอมือถือ มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต โลกส่วนตัวจึงสูงปรี๊ด วันๆ ไม่ค่อยอยากออกไปไหน

แต่เมื่อนิกได้ลองก้าวเท้าออกนอกบ้านผ่านการชักชวนของคนใกล้ตัว สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงนิกไปมากมาย และเปลี่ยนไปในทางดีเสียด้วย

จากเด็กอยู่บ้านสู่เด็กกิจกรรม

นิกเป็นหนึ่งในเยาวชนที่ทำโครงการ ‘พาน้องศึกษาและเรียนรู้ประโยชน์จากทรัพยากรในท้องถิ่นสู่การขยายผลกับคนในชุมชนสหกรณ์เคหสถานเจริญมั่งมีมั่นคง จำกัด’ กลุ่ม P.N.D. ภายใต้ โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก

จากการชักชวนของ พี่แอล-วีรวรรณ ดวงแข หนึ่งในแกนนำเยาวชน และน้าแมว-นิภา บัวจันทร์ นักวิจัยท้องถิ่นและพี่เลี้ยงโครงการ นิกจึงได้มาทำงานกับกลุ่มเยาวชน P.N.D  มีโอกาสช่วยทำงานกิจกรรมในชุมชน แล้วเกิดชอบและสนุกขึ้นมา เพราะอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว

“เมื่อก่อนผมอยู่บ้านแม่ นอนอยู่บ้านก็ไม่ค่อยทำอะไร อาบน้ำล้างหน้าก็เดินเล่นอยู่ในบ้าน แรกๆ นอนอยู่บ้าน พี่แมวโทรมาเย็นนี้มาหาหน่อย แรกๆ ก็ออกมาเรื่อยๆ นานๆ ครั้ง แล้วก็เริ่มบ่อยขึ้นๆ ตอนแรกไม่คิดอะไร เขาให้มาก็มา แต่ไปเรื่อยๆ พอทำๆ ไป ไปกับเขาบ่อยๆ มันเริ่มชอบกระบวนการในการทำกิจกรรมฝึกอบรม เหมือนมันฝึกเราหลายๆ อย่าง ทั้งการคิดเป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผล เจอผู้ใหญ่ต้องทำยังไง วางตัวยังไง

“พอเราออกไปข้างนอกเราก็จะได้เจอสังคมที่กว้างขึ้น ตั้งแต่เพื่อนรุ่นเดียวกัน รุ่นน้องรุ่นพี่ ผู้ใหญ่ทำงานแล้วนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน จะรู้ว่าวัยนี้เป็นแบบนี้ ความคิดประมาณนี้ ทำให้เรามีเพื่อนหลายๆ วัยเป็นเรื่องสนุก

“พอเราอยู่คนเดียวเราก็รู้แค่โลกของเรา ไม่ออกไปดูสังคมว่าเป็นยังไง เขาทำอะไรกันบ้าง ถ้าอยู่กับบ้านเฉยๆ ก็เหมือนปิดกั้นตัวเอง มีโอกาสแต่ไม่รับโอกาส ปล่อยให้มันผ่านไป”

วิชาชีวิตจากกิจกรรม

ในการทำกิจกรรมต่างๆ นั้นต้องใช้เวลาและใช้พลังงานเยอะมาก บางครั้งจำเป็นต้องไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมกว่าจะผลิตงานได้สักชิ้น นิกเล่ากระบวนการทำงานให้ฟังว่าเมื่อได้รับโจทย์งานผลิตสื่อ เขาเริ่มจากการค้นคว้าเพิ่มเติมโดยการเสิร์ชหาจากอินเทอร์เน็ต ถามครู เจออะไรใหม่ๆ ก็นำมาคุยกัน สนุกกับการได้แลกเปลี่ยนเพิ่มเติม แล้วแบ่งงานกันทำ

“ผมใช้ After Effect (โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ) พี่แอลวางโครงเรื่องเขียนบทวางภาพ ทำโปรแกรมอิลลัส (Illustrator) ตามโครงที่พี่วางไว้ ก็สนุกดี นอนดึกบ้างไม่ได้นอนบ้าง” เมื่อถามว่าไม่ได้นอนขนาดไหน นิกตอบว่า “ช่วงหนักที่สุดทำงานตั้งแต่ 5 โมงเช้า เสร็จอีกที 5 โมงเย็นอีกวันไม่นอน ยาวยันเช้า เช้าก็มีงานต่อ ไม่ได้นอน”

แม้ตัวขั้นตอนการทำงานอาจดูเหมือนยากเพราะต้องไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมมากมาย แต่นิกไม่ได้คิดว่ายาก แต่รู้สึกอยากทำและมองว่าเป็นความท้าทายมากกว่า นอกจากนี้ยังต้องทำให้เสร็จทันด้วยเพราะรับปากไว้แล้ว

“เวลาจะทำสื่อสักชิ้นเราต้องมาหาข้อมูลมาก่อน ต้องมีข้อมูลแล้วเราต้องอ่านรู้เรื่อง กลั่นกรอง ได้ฝึกคิดว่าอันนี้สำคัญ แล้วก็แปลข้อความเป็นภาพ จะสื่อมันออกมายังไง ฝึกคิดจินตนาการ ท้าทายด้วย เรามองแบบนี้คนอื่นจะมองแบบเราไหม เข้าใจแบบเราไหม มันยากด้วย คือเราทำไปก็ไม่รู้ว่าเข้าใจเหมือนเราไหม เขาอาจคิดตีความไปอีกแบบ”

“รู้สึกต้องทำให้เสร็จ งานมันต้องใช้ เป็นหน้าที่ของเราด้วย เขาให้เราทำแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ และมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้งาน”

หัวหน้าที่ชื่อนิก

จากเด็กเก็บตัวเงียบๆ นิกกลายเป็นคนที่กล้าคิดกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ครูเห็นศักยภาพในตัวนิกก็ไว้ใจให้ช่วยทำงานในโรงเรียน นอกจากนี้นิกยังผันตัวเองเป็นหัวหน้าห้องและเป็นประธานนักเรียนในโรงเรียนตอนมัธยมต้นอีกด้วย

และเมื่อก้าวเข้าสู่รั้ววิทยาลัย ปัจจุบันนิกกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม สาขาเทคนิคคอมพิวเตอร์

นิกก็ไม่พ้นหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องอีกเช่นเคย โดยเริ่มต้นจากการช่วยสะสางงานในห้องเรียน

“เกือบตกกิจกรรมยกห้องเพราะ (หัวหน้าคนเก่า) ไม่ตามเอกสาร ผมก็ตามเองเลย เพราะถ้าไม่จัดการตกแน่ ก็ไปตามกับเพื่อนอีกคนสองคน วันนั้นเลิกเรียนเก้าโมงเช้า มีแต่โฮมรูม ได้กลับบ้านสี่โมงเย็น เพราะตามเอกสารที่หัวหน้าค้างไว้

การเป็นหัวหน้าห้องในช่วงแรกของนิกไม่ได้สะดวกสบายนัก เพราะต้องจัดการธุระต่างๆ มากมายเพียงลำพังจนเหนื่อย นิกจึงเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ตัวเองเหนื่อยน้อยลงด้วยการแบ่งงานให้เพื่อนทำบ้าง

“หลังๆ ก็ค่อยออกมาทีละนิด จากจัดการให้ทุกอย่างก็ขยับมาจัดการทีละนิด ก็ค่อยๆ ออก ว่ากูไม่ว่าง ให้ทำไปเดี๋ยวกูช่วย ค่อยๆ ถอยออกมาจากรับงานเต็มๆ ให้เพื่อนช่วยจัดการตัวเอง ให้มึงลองทำก่อนบอกว่าทำไม่ได้ มันก็นั่งทำกันมา”

การผ่านงานกิจกรรมมาแล้วทำให้นิกมีมุมมองที่แตกต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เช่นการไม่ยอมโดดเรียนตามเพื่อน และช่วงหลังๆ ยังคอยช่วยดึงเพื่อนๆ ไม่ให้โดดเรียนอีกด้วย

“บางอย่างเรามองอย่างแต่เพื่อนมองอีกอย่าง อย่างในวิทยาลัย เพื่อนชวนโดดเรียน แล้วเป็นคาบเรียนสำคัญด้วยถ้ามีสอบก็หักคะแนนสองเด้ง ตอนแรกไปก็ไป แต่พอเห็นว่างานนี้สองคะแนน ไม่เอาก็ได้ แต่สองคะแนนยังไม่เอาเลย ถ้าอาจารย์ให้สองคะแนนไปเรื่อยๆ งานต่อไปไม่ทำก็ไม่มีคะแนน ก็ประกาศผลจากคะแนนเก็บเต็ม 60 ก็ 9 16 เห็นมั้ยกูบอกมึงแล้ว”

“ตอนแรกๆ ก็ช่างมันปล่อยมัน แต่หลังๆ คนไหนที่ผมพอจะชวนดึงไว้ได้ก็ดึง ไว้ผมทนไม่ไหวก็บอกให้ไปหา ผอ. ลาออกไปเลย เรียนก็เรียนกะเขา ไม่เรียนเงินเดือนเขาก็ไม่ได้ลด เขาก็ยิ่งสบายไม่ต้องปวดหัวกับเรา ก็พูดกับมันอย่างนั้น เพื่อนๆ เลยเรียกผมว่าไอ้พระ ชอบเทศน์”

“ที่ไม่โดดเรียนเพราะไม่อยากเสียเวลา ตกก็แค่ซ่อมแต่เสียเวลา ลำบากตอนนี้ดีกว่าไปลำบากตอนหน้า”

เคล็ดลับที่เรียกว่า Grit

ฟังเรื่องราวของนิกแล้ว สิ่งที่ทำให้นิกแตกต่างจากคนอื่นคือ ความมุมานะ (grit) ซึ่งหมายถึงความมุมานะต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ในระยะยาวที่ประกอบด้วยพลังความชอบระดับหลงใหล (passion) กับความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอย (perseverance) โดยพลังของ grit นั้นการฝึกฝนเฉยๆ ไม่เพียงพอ แต่ต้องเป็นคุณภาพการฝึกฝนที่ถูกต้อง ได้แก่

  • มีเป้าหมายที่ยากแต่ชัดเจน
  • ฝึกอย่างมีสมาธิและพยายามเต็มที่
  • มี feedback ทันทีอย่างมีข้อมูลหลักฐาน
  • ฝึกซ้ำโดยมีการไตร่ตรองสะท้อนคิดและหาทางปรับปรุง

การมีพื้นที่ให้ grit ออกกำลังคือการส่งเสริมให้ฝึกฝนเรียนรู้สิ่งที่ยาก ต้องพยายามและมานะอดทน อย่างเช่นการทำกิจกรรมโครงการที่เป็นการเรียนรู้แบบ Project-based Learning  เหมือนกับนิกที่เรียนรู้วิธีต่างๆ ในการผลิตสื่อ และทำชิ้นงานออกมาจนสำเร็จลุล่วง รวมไปถึงการติดต่อสื่อสารพูดคุยกับคนอื่นๆ เพื่อหาประสบการณ์และฟีดแบ็ค

ที่สำคัญ นิกค้นพบความชอบของตนเองจากการทำกิจกรรม และผลจากการทำกิจกรรมนี้ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อนิกเข้าสู่การเรียนในชั้นปีที่สูงขึ้นคือรู้จักคิดและไตร่ตรองในระยะยาว ยอมอดทนไม่โดดเรียนและทำงานหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น อนาคตนิกบอกว่าอยากทำงานด้านสื่อ และตั้งใจว่าจะต้องเรียนจบชั้น ปวช.3 ให้ได้

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)Grit

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?
Adolescent Brain
18 April 2018

ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ห้องเรียนไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยม ให้เด็กๆ เดินเข้าไปนั่งฟังครูสอน-อ่านตาม แล้วบอกว่านี่คือห้องเรียน
  • ในยุคดิจิทัลที่ความรู้หานอกห้องได้ง่ายกว่า แถมสนุกกว่าด้วย แล้วห้องเรียนจะอยู่อย่างไร
  • เมื่อความรู้หาได้ง่ายขึ้น สมองก็ไม่ถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ – ห้องเรียนจะเข้ามาอุดรอยรั่วตรงนี้ นี่คือเหตุผลของการมีห้องเรียน
  • การเรียนที่ไม่ใช่แค่การท่องจำในตำรา แต่เอาการเรียนรู้เชิงอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดี

ที่ผ่านมาระบบการศึกษามุ่งเน้นการสอนทฤษฎีตามตำรา เพื่อผลิตบัณฑิตเข้าสู่ระบบการทำงาน แต่ในโลกยุคดิจิทัลบทเรียนในตำราแทบเป็นเรื่องล้าหลัง เมื่อเทียบกับข้อมูลข่าวสารที่หาได้อย่างง่ายดายผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันความง่ายดายที่เกิดขึ้นกลับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้  ‘เรา’ ใช้สมองได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

เมื่อการเรียนในห้องเรียนไม่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย แล้วทำอย่างไรให้การเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นมากกว่าการท่องจำเพื่อคะแนนสอบ ที่สำคัญ เป็นการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาสมองของผู้เรียนควบคู่กันไปด้วย

ครู และระบบการเรียนการสอนในสถานศึกษาเป็นกุญแจสำคัญ

“สมองจะเริ่มกระบวนการคัดกรองในทันทีเพื่อจำแนกว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อความสนใจ และข้อมูลใดไม่มีความเกี่ยวข้องและสามารถขจัดทิ้งไปได้”

คำกล่าวข้างต้นจาก บทความชื่อ ‘The Brain Compatable Curriculum’ เขียนโดย แอนน์ เวสวอเตอร์ (Anne Westwater) และ แพท วอล์ฟ (Pat Wolfe) นักวิจัยทางสมอง ตีพิมพ์ในนิตยสารวิชาการการศึกษาในสหรัฐอเมริกา Educational Leadership ปี 2000 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาการสมองและความสนใจของผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย

เนื่องจากสมองมนุษย์ไม่สามารถจดจำข้อมูลทั้งหมดที่เรียนในครั้งเดียวได้ แต่มีความสามารถในการคัดกรองข้อมูล โดยสมองจะทำหน้าที่ตัดสินว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลที่ควรรู้หรือข้อมูลใดสามารถกำจัดออกไปได้ ด้วยเหตุนี้การทำให้การเรียนการสอนมีความหมายน่าจดจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ งานวิจัยพบว่า

การเรียนการสอนที่ไม่ใช่แค่การท่องจำในตำรา แต่ผนวกเอาการเรียนรู้เชิงอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงหรือสร้างความตื่นเต้น การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่ต้องทำภายใต้เวลาจำกัดหรือให้ความสนุกสนาน หรือแม้แต่เรื่องราวที่สร้างความสะเทือนใจก็ยังสามารถสร้างการเรียนรู้ที่น่าจดจำสำหรับสมองได้

ทั้งนี้ หากอารมณ์ที่สร้างขึ้นเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้ อารมณ์จะช่วยกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมีในสมองทำให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอารมณ์มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนสิ่งที่มนุษย์ทำในชีวิตประจำวัน เรามีแรงขับที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ (passion) หรือแม้แต่กรณีที่เราทำความสะอาดที่อยู่อาศัยเพราะทนกับความสกปรกรกรุงรังไม่ได้ พฤติกรรมเหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงกับอารมณ์ก่อนทั้งสิ้น

เอริค เจนเซน (Eric Jensen) นักวิชาการศึกษาชาวอเมริกันที่คลุกคลีกับการทดลองวิจัยการเรียนรู้ของเด็กในชั้นเรียนมากว่า 20 ปี กล่าวว่า

หากครูสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ลักษณะดังกล่าวมาสร้างการเรียนรู้แก่นักเรียนได้ นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่าการบอกหรือออกคำสั่งให้ลงมือทำ

เพราะอารมณ์จะช่วยเรียกความทรงจำที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนรู้ขึ้นมาได้เป็นอย่างดี ยิ่งอารมณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมีความเข้มข้นมากเท่าไร สิ่งที่เรียนรู้ก็จะมีความชัดเจนและสร้างความเข้าใจแก่ตัวผู้เรียนมากขึ้นเท่านั้น

เจนเซนให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การเปิดพื้นที่ให้นักเรียนแลกเปลี่ยน ถกเถียงในประเด็นขัดแย้งต่างๆ ในห้องเรียนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา ผ่านการเขียน การอภิปราย และการสะท้อนวิธีคิด เป็นโมเดลที่ดีที่จะช่วยสร้างเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้นอีก นั่นคือ การระดมความคิดเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา

เจนเซนกล่าวว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาสมอง คือ การเปิดโอกาสให้สมองได้แก้ไขปัญหาที่ท้าทาย กระบวนการคิดแก้ปัญหาจะสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในระบบประสาทสมอง

“ไม่สำคัญว่าจะได้คำตอบหรือไม่ การเจริญเติบโตของระบบประสาทเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการคิดไม่ใช่จากการค้นพบวิธีแก้ปัญหาในขั้นสุดท้าย”

ด้วยเหตุนี้ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดจึงไม่สำคัญเท่าโอกาสที่นักเรียนได้ร่วมคิดและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้อย่างเต็มที่ แบบฝึกหัดเติมคำในช่องว่างจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าโครงงานหรือกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ร่วมคิดและค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยกัน เพราะนั่นเป็นทางตรงที่จะช่วยสร้างการเรียนรู้และสร้างการพัฒนาสมองได้อย่างถาวร

อ้างอิง: weteachwelearn.org

Tags:

ครูระบบการศึกษาเทคนิคการสอนจิตวิทยาAdolescent Brainพ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

“ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ
Character building
18 April 2018

“ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

เรื่อง

  • การที่วัยรุ่นสักคนลุกขึ้นมาพูดอย่างจริงจังว่า “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” มันไม่ใช่แค่เรื่องเท่
  • เพราะสิ่งนี้ทำให้ลูกชายเลือกเรียนต่อด้านเกษตร เพื่อกลับมาสานต่องานสวนมะพร้าวที่บ้าน หลังจากพ่อหมดหวังและคิดว่าไร้ทายาทเคี่ยวน้ำตาลรุ่นต่อไปซะแล้ว
  • สิ่งนี้เรียกง่ายๆ ว่า passion แต่หา ‘ยาก’ ซะเหลือเกิน
เรื่อง: พัชรี ชาติเผือก

เตาตาลที่ไร้คนเคี่ยวตาล ก็เหมือนขนมหวานที่ไร้คนชิม…

เรากำลังพูดถึงหนึ่งใน ‘ยี่ห้อ’ สำคัญของจังหวัดสมุทรสงครามอย่าง ‘น้ำตาลมะพร้าว’ ที่ พ.ศ.นี้ กลายเป็นของหายากขึ้นทุกวัน

โดยเฉพาะในตำบลท่าคา จากการสำรวจของเยาวชนจาก โครงการบอกกล่าวเล่าขานน้ำตาลมะพร้าวท่าคา พบว่าปัจจุบันเหลือเตาตาลอยู่ในพื้นที่ไม่ถึง 40 เตา จากเดิมเคยมีการบันทึกไว้ว่า พ.ศ. 2500-2510 จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่เสียภาษีสูงที่สุดในประเทศ เพราะมีรายได้จากน้ำตาล ในหนึ่งปีสามารถผลิตน้ำตาลได้ถึง 1,200,000 ปี๊บ

ออกไปหา passion

ปอย-ปิยวัฒน์ วัชนุชา เจเนอเรชั่นล่าสุดของตำบลท่าคา เขาบอกว่าอาชีพในฝันไม่ใช่ข้าราชการหรือพนักงานบริษัทใส่ชุดเท่ๆ แต่สิ่งที่ปอยอยากเป็นคือ ‘ชาวสวนธรรมดา’ ที่ได้สานต่ออาชีพจากครอบครัวที่ทำมากว่า 40 ปีให้คงอยู่ต่อไป

อะไรทำให้ปอยคิดแบบนั้น?

คำตอบคือ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าอาชีพนี้มีคุณค่าอย่างไร สิ่งนี้นำทางให้เขาค่อยๆ ค้นพบเป้าหมายที่อยากทำ อยากเป็น ปอยเรียกสิ่งนั้นว่า passion

ทั้งที่เมื่อสองปีก่อน ปอยยังมองว่าการทำน้ำตาลมะพร้าว เป็นแค่อาชีพที่สร้างรายได้ให้ครอบครัวเท่านั้น

“ไม่ได้ภูมิใจอะไรกับอาชีพนี้เท่าไหร่ ถามว่าช่วยที่บ้านไหม ก็มีช่วยบ้าง แต่ก็ช่วยตามประสาเด็กที่ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจรายละเอียดอะไร”

แน่นอน ตอนนั้นลูกคนทำเตาตาล ไม่เคยคิดจะสานต่ออาชีพของครอบครัว กระทั่งมีโอกาสเข้ามาร่วมโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก ทำให้มุมมองที่มีต่อเตาตาลของปอยเปลี่ยนไป

“เห็นเพื่อนมาทำโครงการในชุมชนของเรา ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนในชุมชน จนได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล ทำให้เราเห็นความพยายามของเพื่อนที่ต้องเก็บข้อมูลทั้งตำบล เลยเริ่มกลับมามองตัวเองว่า เราเป็นคนในพื้นที่แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่สนใจเรื่องราวในชุมชนตัวเอง

ยิ่งลงพื้นที่บ่อยก็ยิ่งเห็นสวนมะพร้าวถูกทิ้งร้าง ที่ดินถูกขาย บางบ้านเหลือแต่คนแก่ที่ทำเตาตาล ส่วนลูกหลานพากันออกไปทำงานข้างนอก ทำให้ผมฉุกคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง

“เพื่อให้เยาวชนเห็นคุณค่าของอาชีพการทำน้ำตาลมะพร้าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเข้ามาสานต่อการทำโครงการเกี่ยวกับน้ำตาลมะพร้าวในปีที่สอง” ปอยเล่าถึงจุดเปลี่ยนของตัวเองให้ฟัง ก่อนที่จะหันหน้าเข้ามาศึกษาเรื่องราวของการทำน้ำตาลมะพร้าวอย่างจริงจัง

กระบวนการทำงานในปีที่สอง ปอยและเพื่อนร่วมทีมต้องลงพื้นที่พูดคุยเพื่อสืบค้นข้อมูลเรื่องการทำน้ำตาลมะพร้าวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจากเจ้าของเตาตาลแต่ละแห่ง จากน้้น ลงไปเรียนรู้ขั้นตอนการเคี่ยวตาลแต่ละบ้าน การได้เข้าไปสัมผัสกับความยากลำบากของคนทำตาล ทำให้ปอยอยากกลับไปสานต่ออาชีพของครอบครัวตัวเอง

“การที่ผมได้ลองเคี่ยวตาล ลองเก็บน้ำตาลมะพร้าว ช่วยคนในครอบครัวอย่างจริงจัง ไม่ใช่ช่วยแค่เพราะหน้าที่เหมือนที่เคยเป็นมา ทำให้ผมเห็นความยากลำบากของครอบครัว เห็นความสำคัญของอาชีพคนทำตาลที่ผูกพันกับคนในชุมชน จนรู้ซึ้งว่าน้ำตาลมะพร้าวมีคุณค่ากับผมมากๆ เพราะที่บ้านทำมาตั้งแต่รุ่นย่า รุ่นยาย ครอบครัวทางย่าก็ทำน้ำตาลมะพร้าว ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ประวัติเตาตาลของที่บ้านด้วยซ้ำว่า ทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอมาทำโครงการนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยซักถามประวัติเตาตาล ทำให้เราเห็นของดีๆ ที่มีอยู่ในบ้านเรามากขึ้น”

ปอยบอกต่ออีกว่า พ่อของเขาเกือบจะเลิกหวังให้เขามาสานต่ออาชีพคนทำตาลไปแล้ว แต่มาวันนี้พ่อมั่นใจแล้วว่าเตาตาลของครอบครัวที่พ่อสืบทอดมาจะไม่ร้างคนเคี่ยวตาลอีกต่อไป เพราะมีปอยเข้ามารับช่วงต่อ

‘ลงมือทำ’ เท่านั้น

กว่าปอยจะคิดได้เช่นนี้ต้องยกนิ้วให้พี่เลี้ยงโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตกที่ทั้งผลักและดันให้เขากล้าเผชิญปัญหา

“ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเอง เพราะพี่เลี้ยงที่คอยสร้างเงื่อนไขให้ผมได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยิ่งเราเจอปัญหาใหญ่ๆ แล้วเราสามารถแก้ปัญหานั้นได้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจ พี่เขาสอนให้ผมและทีมงานได้คิดและวางแผนมากขึ้น เวลาเจอปัญหาเขาจะคอยดูเราอยู่ห่างๆ การได้เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับน้ำตาลมะพร้าวอย่างใกล้ชิด ได้เห็นว่านับวันอาชีพทำน้ำตาลมะพร้าวในจังหวัดสมุทรสงครามเริ่มลดน้อยลง ยิ่งทำให้เรารักและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำไปโดยปริยาย”

เมื่อเจอเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ทำให้วันนี้ปอยเลือกที่จะเรียนคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน หวังว่าจะได้นำความรู้ใหม่ๆ มารับใช้อาชีพทำน้ำตาลมะพร้าวที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความรู้เรื่องการทำน้ำตาลคุณภาพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ถึงลูกค้า เพื่อให้เขาประกอบอาชีพเลี้ยงตนได้ด้วยเช่นกัน

เรื่องของปอยทำให้เราได้เรียนรู้ว่า passion นั้นเป็นเข็มทิศนำทางให้คนรุ่นหลังรู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน และการจะหา passion ให้เจอนั้น คือการลงมือทำ

สำหรับปอย มันคือการีเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ฝึก (practice) ผ่านการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างประโยชน์ต่อตัวเองและส่วนรวมในลักษณะการฝึกซ้ำโดยมีการไตร่ตรองสะท้อนคิด และหาทางปรับปรุง และเมื่อเจอปัญหาเขาจะไม่ท้อไปเสียง่ายๆ แต่จะมุมานะที่จะทำให้สำเร็จให้จงได้

อ้างอิง: หนังสือเลี้ยงลูกยิ่งใหญ่บทที่ 22 กระบวนทัศน์พัฒนา (passion)

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)สมุทรสงคราม

Author:

Related Posts

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย
Dear Parents
18 April 2018

เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย

เรื่องและภาพ KHAE

ตอนจะเข้ามหาลัยก็จะมีคอนเซปต์ชีวิตประมาณนึง ว่าอยากเห็นตัวเองเท่แบบนั้นแบบนี้ แต่พอเริ่มทุกข์กับความคาดหวังของตัวเองกับของคนอื่น ก็รู้สึกว่าไม่เท่ละ แบบที่ไม่ได้ก็ทุกข์ ได้แล้วก็ยังไม่มีความสุข อยากทำอะไรที่อยากทำจริงๆมากกว่า ปัญหาคือไม่รู้ว่าชอบอะไร ก็เลยตามน้ำไปก่อน ก็ค่อยๆ คลำไป จะเล็กจะน้อยแต่ความชื่นใจมันต่างกันน่ะ – KHAE

Tags:

ระบบการศึกษาวัยรุ่นการสอบ

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Life classroomMovie
    Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Life classroom
    อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้
How to get along with teenagerAdolescent Brain
17 April 2018

สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เข็มทิศที่สำคัญของวัยรุ่นคือผู้ใหญ่ แต่ต้องไม่จู้จี้ สั่งให้เดินทางไหน บอกแค่ปลายทางและคำแนะนำกว้างๆ เขาจะเดินไปได้ถูกเอง สายตาที่มองมา ต้องมาในฐานะเพื่อนคู่คิด ไม่ใช่ออกคำสั่ง ทำได้อย่างมากแค่ตั้งคำถามให้วัยรุ่นคิด
  • สมองวัยรุ่นพัฒนาอย่างไม่สมดุล สมองส่วนกล้าได้กล้าเสียทำงานเต็มที่ ขณะที่สมองส่วนเป็นเหตุเป็นผลพัฒนาสมบูรณ์เป็นลำดับสุดท้าย คีย์เวิร์ดนี้เองที่ผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจและไม่ทิ้งเขาไว้กลางทาง
  • เมื่อสมองของวัยรุ่นสุขภาพดี สมองของผู้ใหญ่ก็ปลอดโปร่งตาม เชื่อเถอะ

ทำไมวัยรุ่นถึงชอบทำอะไรเสี่ยงๆ เช่น แว้นมอเตอร์ไซค์ ทดลองสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่พฤติกรรมทางเพศ ซึ่งมักจะถูกผู้ใหญ่ตีความเอาว่าเป็นเรื่องร้ายๆ เสมอ

ทั้งที่จริง คำว่า ‘เสี่ยง’ มีทั้งด้านดีและด้านร้าย โดยมีความกล้าหาญเป็นตัวนำ ดุนหลังวัยรุ่นให้ลงมือทำ จนหลายครั้งก็ไม่ทันคิดให้รอบคอบ

ถ้ากางตำราวิชาพัฒนาการวัยรุ่นก็ต้องอธิบายว่า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นผลมาจากธรรมชาติของการพัฒนาสมองวัยรุ่นที่ยังไม่สมดุล* เพราะ

ขณะที่สมองส่วนกล้าเสี่ยง (ระบบลิมบิก) ทำงานอย่างเต็มที่ สมองส่วนหน้า (prefrontal lobe) ซึ่งเป็นสมองส่วนรอบคอบ ช่วยให้กำกับตัวเอง มีเหตุผล จะเป็นสมองส่วนสุดท้ายที่เติบโตสมบูรณ์ในวัยรุ่น

สมองส่วนรอบคอบ มีเหตุมีผลนี่แหละ ที่ผู้ใหญ่จะเข้ามาช่วยวัยรุ่นให้มีสุขภาพสมองที่ดีได้ระหว่างทาง

แล้วผู้ใหญ่จะมีส่วนช่วยได้อย่างไร?

จากการวิจัยพบว่า พันธุกรรม ความเป็นปัจเจกจากการเลี้ยงดู รวมถึงสภาพแวดล้อม ล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมอง ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่กับวัยรุ่นถือเป็นสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดมากที่สุด บุคคลเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากต่อการสร้างพัฒนาการทางสมองที่ดีของวัยรุ่น

ข้อควรจดจำ

  • สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความรักและความเอาใจใส่เป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้สมองมีพัฒนาการที่ดี
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่ทอดทิ้ง: ผู้ใหญ่ที่พูดคุยและมีความใกล้ชิดกับเด็กในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กขณะก้าวขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้
  • สายตา: การคาดการณ์เรื่องอารมณ์เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดคุยกับวัยรุ่น ด้านแรก สายตาที่วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องมองให้ออกว่าวัยรุ่นกำลังประเมินว่าผู้ใหญ่อยู่ในภาวะอารมณ์ใดขณะสื่อสารกับตน ด้านที่สอง สายตาของผู้ใหญ่ที่มองวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องคาดเดาภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในแต่ละช่วงขณะให้ได้ นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยแนะนำให้วัยรุ่นพิจารณาสภาพอารมณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง
  • ความเชื่อมั่น: วัยรุ่นต้องการความเชื่อมั่นและกำลังใจจากผู้ใหญ่
  • รางวัล: วัยรุ่นตอบสนองต่อการได้รับรางวัลมากกว่าการลงโทษ
  • ความชัดเจน: วัยรุ่นต้องการความชัดเจนในการกำหนดขอบเขตว่าสิ่งใดที่ตนทำได้หรือทำไม่ได้ โดยผู้ใหญ่จะต้องเคารพในข้อตกลงที่วางร่วมกัน
  • ความเคารพ: วัยรุ่นต้องการให้ผู้ใหญ่เคารพความสามารถและศักยภาพของพวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาเติบโตได้อย่างอิสระ

พัฒนาการทางสมองของวัยรุ่นเกิดขึ้นได้อย่างไร?

สมองของมนุษย์พัฒนาและเชื่อมต่อระบบประสาทเพื่อทำงานถึงกันตามหน้าที่ในหลายระดับ ระบบลิมบิก (Limbic System) เป็นส่วนของสมองที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด สมองส่วนนี้ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์และความรู้สึก จากเดิมในวัยเด็กการควบคุมอารมณ์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการตัดสินใจร่วมกับพ่อแม่ แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นสมองส่วนดังกล่าวจะเปลี่ยนมาสู่โหมดการตัดสินใจด้วยตนเอง เป็นความรู้สึกอยากรับผิดชอบต่อตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงทางสมองที่เกิดขึ้นนี้ ต้องสร้างการเชื่อมต่อทางระบบประสาทใหม่ ระหว่างสมองส่วนที่ทำหน้าที่คิดกับสมองส่วนรับรู้อารมณ์ ซึ่งหากมีปัจจัยภายนอกที่ดีเข้ามากระตุ้น เช่น ประสบการณ์ชีวิตที่เป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้ เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถใช้วิจารณญาณในการคิด ตัดสินใจ และวางแผนได้เป็นอย่างดี

วัยรุ่นใช้สมองส่วนไหนมากที่สุด?

“วัยรุ่นคิดโดยใช้ความรู้สึก”

การสแกนสมองแสดงให้เห็นการทำงานของสมองแต่ละส่วนขณะกำลังทำหน้าที่ในสภาวะที่แตกต่างกัน มีการทดลองครั้งหนึ่งกำหนดให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ดูภาพคนที่กำลังแสดงอารมณ์ทางสีหน้าแตกต่างกัน การทดลองดังกล่าวต้องการวัด ‘อารมณ์’ ของผู้มองหลังจากเห็นภาพ

ผลการทดลองพบว่า ผู้ใหญ่ใช้สมองส่วน prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้เหตุผลประกอบการคิด ส่วนวัยรุ่นใช้สมองส่วน amygdala สมองส่วนควบคุมอารมณ์มากกว่า

สรุปได้ว่าวัยรุ่นใช้อารมณ์ของตัวเองในการพยายามทำความเข้าใจการสื่อสารทางอารมณ์ของผู้อื่น

บ่อยครั้งที่วัยรุ่นตีความอารมณ์ของตัวเองผิดพลาด ถึงขนาดเข้าใจว่าความวิตกกังวล เป็นความโกรธ จนทำให้ตัวเองหงุดหงิด

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดคุยกับวัยรุ่น จึงมี 2 ด้าน ได้แก่

  • ด้านแรก สายตาที่วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องมองให้ออกว่าวัยรุ่นกำลังประเมินว่าผู้ใหญ่อยู่ในภาวะอารมณ์ใดขณะสื่อสารกับตน
  • ด้านที่สอง สายตาของผู้ใหญ่ที่มองวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องคาดเดาภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในแต่ละช่วงขณะให้ได้ นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยแนะนำให้วัยรุ่นพิจารณาสภาพอารมณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง

อะไรบ้างที่ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางสมอง?

ขณะที่สมองของวัยรุ่นกำลังเติบโตและสร้างระบบเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ ตามหน้าที่ พวกเขาต้องการพื้นที่และโอกาสในการแสดงออก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและแสดงให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้หากผู้ใหญ่ปิดกั้นไม่ให้วัยรุ่นได้แสดงออกในทางสร้างสรรค์ สมองจะหยุดการพัฒนาลงอย่างช้าๆ

“Fire together they wire together.” หลักการนี้เชื่อว่า หากมีการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน สมองจะสร้างเครือข่ายประสาทเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างพัฒนาการทางสมองอีกทางหนึ่ง แน่นอนว่าการฝึกฝนสมองด้วยการปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ดีตั้งแต่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนการคิดเชิงบวก (positive thinking) แนวคิดเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือแม้แต่การออกกำลังกาย

ทั้งนี้ จากการทดลองยังพบว่าระหว่างที่สมองของวัยรุ่นกำลังพัฒนาอยู่นั้น

  • เขามักชื่นชอบกิจกรรมที่มีความเสี่ยงและโลดโผน
  • เขาแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจนและรุนแรง
  • เขามักตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองสามารถเข้ามาช่วยกระตุ้นพฤติกรรมและเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองเชิงบวกของวัยรุ่นในช่วงเวลานี้ได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ปล่อยให้เล่น: ปล่อยให้เด็กทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงตามความเหมาะสม: ประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตช่วยให้เด็กพัฒนาตัวเองได้อย่างมีอิสระ เติบโตได้อย่างเข้าใจตนเอง จนสามารถค้นพบสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง
  • เป็นพี่เลี้ยงชวนเด็กค้นหาพื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และระบายความรู้สึกของตนเอง: จากการสำรวจพบว่า ดนตรี กีฬา การเขียน และการทำงานศิลปะ เป็นช่องทางระบายความรู้สึกที่ดี
  • เป็นเพื่อนคู่คิดในการตัดสินใจ: ชวนพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยศักยภาพของเด็กเอง ชั่งน้ำหนักระหว่างผลลัพธ์ในเชิงบวกและเชิงลบที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญต้องให้เด็กมีส่วนร่วมคิด แล้วตัดสินใจด้วยตนเอง โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียงพี่เลี้ยงคอยตั้งคำถามให้เด็กคิด
  • สอนทักษะการใช้ชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวัน ทั้งในครอบครัวและในโรงเรียน
  • ข้อตกลงที่ชัดเจน: หลายคนคิดว่า วัยรุ่นไม่ต้องการให้ใครมากำหนดกรอบในการใช้ชีวิต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าการให้คำแนะนำและการสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างเด็กและผู้ปกครองว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ เพราะอะไร แล้วเคารพพื้นที่ของกันและกัน
  • อย่าลืมให้คำชื่นชมและให้รางวัลตามความเหมาะสมเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี เพื่อกระตุ้นให้สมองรับรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ
  • เป็นตัวอย่าง: ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างในการแสดงพฤติกรรมเชิงบวกให้กับเด็ก
  • เข้าถึงง่าย: ผู้ใหญ่ต้องทำตัวให้เด็กรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทำให้เด็กเปิดใจยอมรับและไม่ปิดบังตัวเองจากผู้ใหญ่
  • ให้ความรู้เรื่องพัฒนาการสมอง: พูดคุยให้ความรู้บุตรหลานเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมอง เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญในการดูแลตัวเอง และสนใจเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

อะไรเป็นตัวอันตรายสำหรับการพัฒนาสมอง?

ช่วง 2-3 ปีแรกหลังคลอด และช่วงวัยแรกรุ่น (6-9 ปี) เป็น 2 ระยะที่ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ต้องเฝ้าระวัง รวมทั้งให้การดูแลเอาใจใส่เด็กเป็นพิเศษ การตำหนิ การดูถูก หรือการด่าทอ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด อารมณ์ ท่าทาง การละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่การวางเฉย ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก เพราะการรับรู้พฤติกรรมดังกล่าวตั้งแต่วัยเยาว์ ถือเป็นความรุนแรงที่ยับยั้งการสร้างระบบประสาทเชื่อมต่อและการวางระบบหน้าที่การทำงานในสมอง

นอกจากนี้ ผู้ปกครองพึงเฝ้าระวังไม่ให้บุตรหลานมีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอายุ 18 ปี เนื่องจากยังคงอยู่ในภาวะเสี่ยงที่สมองจะถูกทำลายจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ได้

ย้ำอีกครั้ง สมองวัยรุ่น สร้างให้ดีได้

“สมองวัยรุ่นสร้างให้ดีได้” เพราะสมองมีความสามารถในการเรียนรู้และการปรับตัวตามแต่ละช่วงวัย ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจกลไกการทำงานของสมอง โดยเฉพาะพัฒนาการทางสมองของเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดไปจนกระทั่งวัยรุ่น จะช่วยให้ผู้ใหญ่วางแผนการเลี้ยงดูบุตรหลานได้อย่างเหมาะสม

สมองที่เติบโตตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อมที่ดีจะสื่อสารวิธีคิด พฤติกรรมและการแสดงความรู้สึกในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ ซึ่งจะช่วยลดการกระทบกระทั่งและทลายกำแพงความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้ใหญ่กับวัยรุ่นได้ ท้ายที่สุดการเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถและศักยภาพของตนเองได้อย่างอิสระจะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการทางสมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ

อ้างอิง:
kidshealth.org
m.raisingchildren.net.au

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เด็กปฐมวัย : หน้าที่คือเล่น ไม่ใช่เรียน เรียน และเรียน
Early childhood
9 April 2018

เด็กปฐมวัย : หน้าที่คือเล่น ไม่ใช่เรียน เรียน และเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ตอนเด็กๆแม่ชอบส่งไปเรียนเหมือนกัน นี่ส่งไปให้แม่อ่านด้วยค่ะ – KHAE

Tags:

การเล่นระบบการศึกษาปฐมวัยการสอบ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง
Social Issues
4 April 2018

พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • พี่ลาเต้ ในฐานะฟังและอ่านสิ่งที่วัยรุ่นบ่นถึงการสอบผ่านเว็บบอร์ด แห่ง Dek-D.com นานถึง 11 ปี ผลกระทบที่วัยรุ่นไทยได้จากการสอบคืออะไรบ้าง
  • “ที่ชัดเลยคือตอนเข้ามหาวิทยาลัย เด็กเก่งจะได้เลือก ขณะที่เด็กอีกกลุ่มคือ คะแนนออกแล้วค่อยมาจิ้มว่า คะแนนเท่านี้มีสิทธิ์ติดอะไรบ้าง แต่พอเข้าไปแล้วอาจจะไม่ใช่เราก็ได้”
  • กว่า 10 ปีของการทำงาน แม้ต้องรับมือกับความเครียดในเรื่องสอบของเด็กๆ แต่เขายืนยันชัด สอบยังจำเป็น แต่วิธีการ วิธีคิดในเรื่องสอบ ยังคงต้องพัฒนาและหาทางกันต่อไป
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

หลังเลคเชอร์ให้ The Potential ฟังถึงมหากาพย์การสอบของเด็กไทยตั้งแต่ ประถมศึกษา จนถึงการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

เรายังชวน มนัส อ่อนสังข์ หรือ ‘พี่ลาเต้’ บรรณาธิการข่าวการศึกษาและแอดมิชชั่น เว็บไชต์ Dek-D.com คุยต่อในประเด็นความเครียดในวัยรุ่นไทยกับการสอบ (แทบจะตลอดชีวิต) ที่แม้จะมีวัยรุ่นเปลี่ยนหน้าเข้ามาเล่นในบอร์ดไม่รู้กี่เจเนอเรชั่น แต่พวกเขาต่างประสบปัญหาคล้ายกันคือ ความเครียดที่เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด

ในฐานะที่พี่ลาเต้ นั่งโต๊ะข่าวการศึกษานานถึง 11 ปี อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วถึง 3 ครั้ง ด้านหนึ่งต้องคอยศึกษาระบบ สอบทาน ทำความเข้าใจ คิดระบบช่วยประเมินคะแนน แล้วค่อยนำมาอธิบายต่อให้น้องๆ และผู้ปกครองฟัง อีกด้านต้องรับฟังเสียงบ่นจากเด็กๆ ผ่านการมอนิเตอร์เว็บไซต์ และเข้าไปตอบคำถามคาใจของเด็กๆ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเสียด้วย แต่ลามไปถึงหัวใจ ความรัก และเรื่องเพศในเชิงทฤษฎี

คำถามเริ่มแรกไล่เรียงตั้งแต่ ทำความเข้าใจจุดตั้งต้นของการสอบ O-NET กระบวนการวัดผลการศึกษา หนึ่ง ไม้บรรทัดวัดผลการศึกษาทั่วประเทศได้จริงหรือ ผลลัพธ์การสอบตั้งแต่เกิดจนแก่ ทิ้งร่องรอยอะไรไว้กับนักเรียนไทยบ้าง (ซึ่งเขาแย้มว่า อย่างน้อยๆ ก็ส่งผลถึงความอ้วนนะ) รวมทั้งเรื่องหลังบ้านของเว็บไซต์ Dek-D วัยรุ่นทุกวันนี้มีคาแรคเตอร์อย่างไร ผ่านบอร์ดสนทนาที่รวบรวมเสียงวัยรุ่นไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ยังคงยืนยันว่า เราไม่ได้ชี้ว่า การสอบไม่ดี ไม่ควรมี แต่ชวนหารือ หาข้อมูลความคิดเพื่อเป็นสารตั้งต้นเพื่อชวนถกกันต่อว่า การสอบคืออะไร วิธีการไหนจำเป็น วิธีไหนไม่ควรไปต่อ และถ้าไม่สอบ เราจะใช้วิธีอะไรกันดี

เชิญรับชม ?

O-NET
คนแปลกหน้าที่เหมือนเพื่อนสนิท เจอกันทุก ป.6 ม.3 และ ม.6

O-NET คือสนามสอบร่วมกันของชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ทำไมต้องมี O-NET และมีเพื่ออะไร

จุดประสงค์ของ O-NET คือการสอบวัดผล แต่จุดตั้งต้นคือแนวคิดที่ว่า การให้เกรดแต่ละโรงอาจมีเกณฑ์ไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนปล่อยเกรด บางโรงเรียนกดเกรด O-NET จึงถูกคิดขึ้นเพื่อพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ ให้ทุกโรงเรียนทำข้อสอบมาตรฐานฉบับเดียวกันทั่วประเทศ

นอกจากการวัดผล บางโรงเรียนยังใช้เป็นคะแนนส่วนหนึ่งเพื่อสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียน เช่น ใช้คะแนน O-NET ส่วนหนึ่งคัดเข้า ม.1 และชัดเจนที่ ม.6 ขณะที่สอบเข้า ม.4 ยังไม่ค่อยเห็น

มหาวิทยาลัย ที่ใช้คะแนน O-NET เป็นเกณฑ์หนึ่งในการเข้ามหาวิทยาลัย อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำหนดเลยจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ คะแนน O-NET วิชาภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 100 ต้องได้ 16 คะแนนขึ้นไป คณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำหนดว่าภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 100 ต้องได้ 75 คะแนนขึ้นไป ซึ่งถือว่าสูงมากจึงจะยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้

ในชั้นแรก O-NET จึงไม่ได้วัดแค่ศักยภาพ หรือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน แต่วัดมาตรฐานของโรงเรียน วัดคุณภาพครูโรงเรียนนั้นๆ?

ถูกต้องครับ O-NET ใช้วัดหลายอย่างมาก หนึ่ง-วัดมาตรฐานของนักเรียนของแต่ละโรงเรียนว่าระดับเท่ากันไหม สังเกตว่า ช่วงหลังมีการจัดอันดับโรงเรียนยอดเยี่ยม เกณฑ์ส่วนใหญ่เอามาจากคะแนน O-NET ทั้งนั้นเลย คือวัดจากข้อสอบฉบับเดียวกันแล้วสอบทุกโรงเรียน เอาตัวนี้เป็นค่าในการวัด

สอง-วัดประสิทธิภาพการสอนของคุณครู การสอบ O-NET เป็นอะไรที่คุณครูตื่นเต้นกันมาก ผลักดันเด็กกันมาก สังเกตว่าเวลาเด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทางโรงเรียนไม่ค่อยจัดติวนะ แต่จัดติว O-NET เพื่อให้โรงเรียนนั้นได้ผล O-NET ดี สพฐ. ก็อัดฉีดเหมือนนักกีฬาเลย คือถ้าเด็กได้คะแนน 90 คะแนนขึ้นไปมีทุนการศึกษาให้ คอยประเมินตลอดว่าโรงเรียนไหนมีคะแนน O-NET ต่ำลงเรื่อยๆ

ข้อสอบเดียวกันใช้วัดระดับทั้งประเทศ แต่ข้อเท็จจริงคือ แต่ละโรงเรียนมีจุดประสงค์การเรียนการสอนต่างกัน แบบนี้ถือว่า ‘แฟร์’ กับเด็กๆ ทั่วประเทศหรือเปล่า

ถ้ามองในมุมเด็ก คิดว่าไม่แฟร์ แต่ในมุมผู้ใหญ่ ข้อสอบนี้อาจจะเป็นเครื่องมือเดียวที่วัดได้ เพราะด้วยความที่ไม้บรรทัดแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน จึงต้องมีไม้บรรทัดกลางมาวัดไม้บรรทัดของคุณ คนที่ทำงานในกระทรวงฯ เมื่อได้รับโจทย์มาว่าเราจะวัดคุณภาพการศึกษาไทยอย่างไรดี วัดว่าเด็กรุ่นนี้มีคุณภาพแค่ไหน สิ่งที่คิดออกก็น่าจะเป็นข้อสอบฉบับหนึ่งที่มีมาตรฐาน ข้อสอบชุดเดียวกัน ทุกโรงเรียนสอบเวลาเดียวกัน

แต่ในมุมของเด็ก อย่างในเว็บบอร์ดก็จะเห็นเด็กมาตั้งกระทู้บ่อยมากว่า ข้อสอบแบบนี้ โรงเรียนหนูไม่เคยเรียนเลย เขาเอามาจากหนังสือ สสวท. แต่โรงเรียนไม่ได้สอนเล่มนี้ ไม่ได้เรียนลึกขนาดนี้ ก็จะมีกระทู้แบบนี้มาตลอด อาจกลายเป็นว่ามันไม่แฟร์สำหรับเด็กๆ

แต่ประเด็นนี้ก็มีหลายประเด็นนะครับ ปริมาณเด็กแต่ละโรงก็มีผล เช่น โรงเรียนหนึ่งมีเด็กที่ต้องสอบ O-NET จำนวน 400 คน การทำให้เด็ก 400 คน ผ่าน mean หรือผ่านค่าคะแนนเฉลี่ย เป็นเรื่องยากมาก เช่นถ้าในเด็ก 400 คน มีเก่งสัก 20 คน และ 20 คนนั้น ได้ 100 คะแนนเต็ม แต่ค่า mean อาจจะไม่สูง ขณะที่อีกโรงเรียนหนึ่ง ในรุ่นมีแค่ 40 คน และไม่มีใครมีคะแนนถึง 100 คะแนน แต่อาจจะมีคนที่ได้ 80 คะแนน แล้วพอเอาคะแนนมาคำนวณกัน โรงเรียน 40 คน อาจจะมีค่า mean สูงก็ได้ มีความซับซ้อนในตัวระบบอยู่

แต่ถ้าถามในทางทฤษฎี หรือในแง่ของไม้บรรทัดกลางเพื่อวัดคุณภาพแต่ละโรงเรียน ผมคิดว่าโอเค อาจจะเป็นตัวที่กระตุกหรือกระชากวิญญาณของแต่ละโรงเรียนว่า โอเคนะ… คุณไม่ต้องยึดว่าเด็กโรงเรียนคุณจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยได้กี่คน แต่ยึดแกน O-NET ถ้ามีคะแนน O-NET เกิน 80 คะแนน แปลว่าโรงเรียนคุณอยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าพอเอามาเปิดและเอามาใช้จริงๆ แล้วมันก็ไม่เท่ากัน

ในฐานะผู้ติดตามและต้องเห็นข้อสอบมาทุกปี เฉพาะข้อสอบ O-NET ถูกวิจารณ์อยู่ตลอดว่า ‘คิดได้อย่างไร’ ‘ข้อสอบแบบนี้จำเป็นหรือ’ หรือคำวิจารณ์ว่า ‘เป็นข้อสอบปรนัยที่ไม่มีคำตอบใดผิดหรือถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นักเรียนต้องตอบข้อสอบอย่างเดาใจคนคิด’ คุณมีความเห็นต่อคำวิจารณ์เหล่านี้อย่างไร และคิดว่าข้อสอบ O-NET มาถูกทางหรือยัง

เท่าที่เห็นข้อสอบมาตลอด 10 ปี ช่วงแรกๆ นี่ถอยหลังเข้าคลองมาก เช่นข้อสอบที่โด่งดังคือข้อสอบ O-NET ม.6 ชุดสุขศึกษา ปีการศึกษา 2554 ที่ถามว่า หากเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาต้องทำอย่างไร? หรือข้อสอบปีการศึกษา 2552 ที่ให้สถานการณ์มาแล้วถามว่า เราควรใช้ผ้าปูโต๊ะสีอะไร

สมัยทำงานแรกๆ เด็กๆ ถามกันมาก “พี่… มันออกมาทำไม” “ถามไปเพื่ออะไร มันวัดถูกผิดหรือการเดาใจคนออกข้อสอบ” เพราะชอยส์ทั้ง 5 ตัวเลือก ก็มีโอกาสถูกได้ทั้ง 5 ข้อ แต่ทุกครั้งเกิดคำถามอะไรเช่นนี้ ผมไปทำข่าว ไปสัมภาษณ์อาจารย์ผู้ออกข้อสอบ ซึ่งเขาตอบได้ทั้งหมดเลยนะ หมายความว่าเขามีวัตถุประสงค์หนึ่ง สอง สาม หมายความว่าคนคิดก็ตอบได้ว่าเขาต้องการจะวัดอะไร

แรกๆ ข้อสอบ O-NET จะเป็นแบบนั้น ถูกวิจารณ์แบบนั้น แต่ช่วงหลังๆ โดยเฉพาะ 3 ปีล่าสุด ก็ดีขึ้น ปีล่าสุดแทบไม่มีน้องคนไหนวิจารณ์ข้อสอบ O-NET เลย มีแต่บอกว่า “ข้อนี้ไม่มีชอยส์ไหนที่ถูกเลยนะ”

การเปลี่ยนแปลงของข้อสอบ O-NET ช่วงหลังๆ มีอะไรที่แปลกตาไปบ้าง

ช่วงหลังๆ เขาเปลี่ยนรูปแบบการตอบมากขึ้น แต่ก่อนเป็น 4 ตัวเลือก/1 คำตอบ แต่หลังๆ เริ่มเป็น 5 ตัวเลือก/1 คำตอบ และจึงพัฒนาเป็น 5 ตัวเลือก/2 คำตอบ ซึ่งอย่างหลังนี้ก็ต้องตอบให้ถูก 2 อัน จึงจะได้คะแนนข้อนั้นไป รวมทั้งมีชอยส์ความสัมพันธ์ คือถ้าข้อ 1 ถูก ให้ไปต่อข้อ 2 แต่ถ้าผิดตั้งแต่ข้อ 1 ก็คือผิดทั้งหมดเลย

หรืออย่างข้อสอบปีล่าสุด เรียกว่าหักปากกาติวเตอร์ทุกสถาบันเลย เพราะแรกๆ เขาจะเลือกคนออกข้อสอบที่เป็นอาจารย์โรงเรียนสาธิต หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยกันออกข้อสอบ แต่ปีนี้เขาเอาระดับ สสวท. มาออก ข้อสอบก็จะเอื้อสำหรับโรงเรียนบางโรงเรียน สำหรับคนที่เรียนวิทย์-คณิตแบบเข้มข้นมา ปีนี้เด็กก็จะบ่นข้อสอบวิทย์กันเยอะ มีคนแชร์กันในบอร์ดว่า เราเรียนเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เรียน

ถามว่าไปในทางที่ดีขึ้นไหม ถ้าตอบคำถามโดยการยึดข้อสอบในอดีต คิดว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้น บางทีเป็นข้อสอบเชิงตรรกะที่หลายๆ คน รวมถึงผู้มีชื่อเสียงวิจารณ์กันว่าเป็นข้อสอบที่มีประโยชน์

อีกปรากฏการณ์หนึ่งคือ เมื่อสอบ O-NET เสร็จ หรือเด็กๆ ไปสอบติดมหาวิทยาลัยที่ไหน จะมีการประกาศคะแนนสาธารณะ ติดรูปนักเรียนดีเด่นที่ประตูรั้ว หรือประกาศหน้าเสาธง

กดดันมาก ที่ Dek-D เคยมีดราม่าด้วยนะครับ มีน้องมาตั้งกระทู้ว่า ในวันอำลาพี่ ม.6 โรงเรียนหนึ่ง เขาจะให้พี่ ม.6 ถือป้ายว่าเขาติดมหาวิทยาลัยไหน เด็กๆ จะปรบมือตอนพี่ๆ เดินผ่านและเห็นป้ายว่าเขาติดที่ไหน น้องเขาก็เขียนว่า แล้วคนที่ไม่ติดจะทำอย่างไร เหมือนถูกทำร้ายจิตใจ

เวลาที่เราไปแนะแนวก็จะได้ยินคำพูดของครูว่า “ติดแพทย์ให้ครูสักสองคนได้ไหม” มันก็เป็นค่านิยมเนอะ เด็กเขาก็จะพ้อว่า พอหนูไม่ได้อยากเรียนแพทย์ ก็กลายเป็นว่าไม่ได้เป็นที่สนใจของอาจารย์

“เครียดแล้วไง ไปกินหมูกระทะสิ” Dek-D สอนน้อง

มีคนพูดกันว่า ถ้าไม่อยากเครียดเรื่องการเรียน สอบ อย่าเข้าเว็บ Dek-D.com

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เครียดมาก เอาจริงๆ นะ ทำงานไม่ประสบความสำเร็จยังไม่เครียดเท่าน้องไม่พอใจเว็บ เวลาอ่านทวิตเตอร์ เจอน้องๆ พูดถึงเว็บเด็กดีในทางที่ไม่ดี บางทีนอนไม่หลับเลย

เช่นในงานแนะแนวต่างๆ รุ่นพี่มักจะบอกรุ่นน้องว่า เวลาสอบเสร็จอย่าไปเข้าเว็บเด็กดี จะมีแต่เครียดขึ้น เพราะว่าเว็บเด็กดีจะมีคนไปแชร์คำตอบกัน พอแชร์เสร็จแล้วไม่ตรงกับเราก็จะเครียด หรือในทวิตเตอร์หลังช่วงสอบก็จะเริ่มละ “ไม่น่าเข้าเว็บเด็กดีเลย”

สองปีมาแล้วที่เราเลือกไม่เอาเรตติ้งเว็บ แลกกับการลดความเครียดของน้องๆ เพราะแต่ก่อนเรื่องการแชร์คำตอบถือว่าเป็นไฮไลท์ของเว็บ Dek-D เลย ทุกครั้งหลังสอบเราจะมีบอร์ดให้น้องเข้ามาแชร์คำตอบกัน น้องก็จะมาแชร์เยอะมาก ส่งผลให้เว็บมีคนเข้าใช้มากที่สุด โดยปกติแล้วทุกวันจะมีหน่วยงานเข้ามาจัดเรตติ้งเว็บ เหมือนละคร เว็บก็มีเหมือนกัน วันไหนที่มีการสอบ น้องๆ เข้ามาแชร์คำตอบกัน ถ้าเราปล่อยให้เต็มที่เลยนะ เว็บ Dek-D อาจขึ้นที่หนึ่งที่สองที่มีคนเข้ามาใช้เยอะสุดได้ ยอดวิวได้ โฆษณาได้

แต่สองปีมานี้เราไม่มีแชร์คำตอบ ถามว่าคึกคักเท่าแต่ก่อนไหม คงไม่ แต่คุ้ม ทีมงานไม่ต้องเครียด น้องไม่ต้องเครียด เวลาที่ทีมงานเห็นคอมเมนต์ว่า “อย่าไปเข้าเว็บเด็กดีเลย” เราจะน้อยใจนะ รู้สึกว่าเราทำผิดอะไร ทั้งๆ ที่คนมาแชร์คำตอบไม่ใช่เรา แต่เราเข้าใจเขาเนอะ ตอนเราเป็นเด็กเราก็อยากรู้ แต่พอรู้แล้วมันก็เพิ่มความเครียด ก็พยายามเลี่ยงคำ เปลี่ยนจากคำว่า ‘แชร์คำตอบ’ เป็น ‘คุยกันหลังสอบ’ มากกว่า เราพยายามทำให้เว็บเหมือนเป็นรุ่นพี่ที่บอกอะไรดีๆ กับน้อง

หรืออย่างโปรมแกรมคำนวณคะแนนของเว็บ Dek-D มียอดเข้าใช้เยอะมาก ซึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะปรับแก้อย่างไร ฟังก์ชั่นของโปรแกรมจะบอกว่าน้องมีโอกาสติดที่ไหนบ้าง ซึ่งพอน้องคำนวณแล้วไม่ติดคณะที่ตัวเองอยากเข้าก็จะนอยด์

หลังๆ เริ่มสังเกตแล้วว่าการเลือกคณะของน้องๆ สอดคล้องกับกระแสใน Dek-D เช่น โปรแกรมคำนวณคะแนนคณะไหนที่ถูกคำนวณเยอะ เดี๋ยวไปเจอกันใน top five คณะที่คนเลือกเข้า มันเป็นแบบนั้นจริงๆ วิธีแก้เบื้องต้นก็คือ เราพยายามปรับคำ เช่น แต่ก่อนจะใช้คำว่า ‘ติดชัวร์’ ถ้าใครไม่น่ามีโอกาสติดเลยก็จะใช้คำว่า ‘ไม่น่ารอด’ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนใหม่เป็น ‘ติด 10 เปอร์เซ็นต์’ อะไรแบบนี้

เรียกว่ายอมลดเรตติ้ง เพื่อไม่ให้เป็นตัวการในการสร้างมวลความเครียดของเด็กๆ ให้มากขึ้น

หลังเปลี่ยนแปลง เราก็มาคุยกันว่ามันก็ดีนะ หนึ่ง-น้องไม่เครียด สอง-กลายเป็นสีสันของบอร์ด สาม-น้องไม่ต่อต้าน ถ้าใครเข้าเว็บรุ่นแรกๆ จะรู้เลยว่าสมัยก่อนนี่คือ สอบเสร็จปุ๊บวิเคราะห์คะแนนเลย แต่เดี๋ยวนี้คือพัก เพราะเรารู้สึกว่าเราป้อนความเครียดให้เขามากเกินไป

เว็บ Dek-D.com เคยมี Line official ไว้ค่อยส่งข่าว ครั้งหนึ่งเราอยากรู้ว่าน้องๆ อยากอ่านอะไรในเว็บเลยส่งข้อความไปถาม สิ่งที่เราได้รับตอบกลับมาคือ พี่เอานาฬิกานับถอยหลังวันสอบที่หน้าเว็บออกได้ไหม มันเครียดมาก

หรือมีคนบอกว่า อยากให้เด็กดีมีคำที่ให้กำลังใจสักวันละหนึ่งคำ ส่งเข้ามาในไลน์ เรายังคุยกันในกอง บก. เลยว่า “พวกเรามาผิดทางอะ”

เราไปสัมภาษณ์คนนู้นคนนี้ วิเคราะห์แนวโน้มคะแนน อยากได้คอนเทนต์ที่ลึกมากๆ แต่น้องไม่ได้ต้องการอะไรเลย น้องต้องการแค่กำลังใจ ซึ่งนี่อาจจะเป็นผลจากความเครียดของพวกเขา

หลังจากปรับ mood&tone ตัดเรื่องเรตติ้งออกไป ทำให้เราแบบ เออนะ น้องเครียดมากๆ สอบเสร็จเราไม่ต้องไปทำอะไรหรอก แค่รีแล็กซ์เขา ไล่ให้ไปกินหมูกระทะ แนะนำซีรีส์หลังสอบเสร็จ นั่นคือสิ่งที่น้องต้องการ ส่วนวิเคราะห์คะแนน ดูว่าคะแนนปีนี้จะขึ้นหรือลง อันนั้นก็ทำอยู่ แต่ว่าแยกไปอีกเซ็คชั่นหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในบอร์ดรวมแล้ว

ทั้งหมดนี้เราก็ยอมแลกกับเรตติ้งที่เสียไป ช่วงหลังๆ น้องจะชอบเข้าเว็บ Dek-D เพื่อมาแชร์รีวิวกัน จนทุกวันนี้ Dek-D กลายเป็นพื้นที่คุยกันหลังสอบ ไม่ได้คุยกันเรื่องคะแนน ไม่ได้คุยกันเรื่องคำตอบ แต่คุยกันแบบ… ตามหาผู้หญิงที่ไปสอบ ว่าเขาเป็นใครเหรอ หรือ เนี่ย… อาจารย์ไม่ให้เราเอานาฬิกาเข้าห้องสอบ เราก็เลยเอานาฬิกาแขวนบ้านไปเลย

ตลอด 10 ปีที่ทำงานมา การแข่งขัน การสอบ ความเครียดจากการเรียนมากขึ้นหรือน้อยลง คิดว่าสถานการณ์ความเครียดของเด็กไทยจะมีทิศทางต่อไปอย่างไร

ถ้ามองในด้านการแข่งขันหรือความกระหายคะแนน ผมว่าพอๆ กัน เด็กยังจริงจัง หรือไฟต์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย คณะยอดนิยม top 5 ก็ยังเหมือนเดิม คือ แพทย์ ทันตะ เภสัช นิเทศศาสตร์ อักษร เรียงมา 5 อัน ที่เรียกว่า 5 จตุรเทพ แต่ 5 คณะของแต่ละภาคก็จะไม่เหมือนกันนะ เช่น ภาคอีสานจะไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นครู

ถ้านับตั้งแต่ ป.1 – ม.6 เราเรียน 12 ปีเต็ม ซึ่งมันนานมากเลยนะ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เด็กไทยรู้ตัวเองว่าเราชอบอะไร เหมาะกับอะไร ควรไปต่อคณะไหน และยังเป็นการศึกษาแบบแข่งขัน

ที่ชัดเลยคือตอนเข้ามหาวิทยาลัย เด็กเก่งจะได้เลือก ขณะที่เด็กอีกกลุ่มคือ คะแนนออกแล้วค่อยมาจิ้มว่า คะแนนเท่านี้มีสิทธิ์ติดอะไรบ้าง แต่พอเข้าไปแล้วอาจจะไม่ใช่เราก็ได้

ใช้คะแนนเป็นตัวชี้วัด และก็เป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้า?

เป็นระบบเอาผู้อยู่รอด ต้องติด ต้องติดเท่านั้นโดยไม่สนใจว่าจะติดอะไร เพราะวัดกันที่คะแนน ถึงที่ไหนก็เรียนที่นั่น พอรู้ว่าติดก็ดีใจ 3 วัน แต่เข้าไปเรียนแล้วไม่ใช่ก็ถอยออกมา

อีกเรื่องคือ ติดคณะอะไรก็ได้ ขอให้เป็นมหาวิทยาลัยนี้ ต่อให้เป็นคณะที่ไม่อยากเรียน ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จมากกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแต่เป็นคณะที่ใช่ เช่น เคยไปคุยกับอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยหนึ่ง ซึ่งมีอัตราการซิ่วเยอะมาก ซึ่งเราเคยคิดว่ามันเรียนยาก แต่อาจารย์เขาบอกว่า จริงๆ เด็กไม่ได้อยากเข้า แต่มันเป็นคณะที่คะแนนต่ำที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้

คิดว่าเพราะอะไร?

อาจจะเป็นค่านิยมนะครับ และที่เห็นอีกเรื่องคือ หลังวันประกาศผล สถานะในเฟซบุ๊คของแต่ละคนจะเปลี่ยนเพื่อบอกว่าเราเป็นนักศึกษา หรือ นิสิต คณะและมหาวิทยาลัยไหน แล้วก็ดึงกันเข้ากรุ๊ป มันสร้างแรงกดดันพอสมควรเลยนะ

น่าสนใจมาก เพราะขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชนกำลังพัฒนาศักยภาพและภาพลักษณ์ให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยรัฐ แถมมีทุนจำนวนมากให้นักศึกษา เด็กรุ่นใหม่ก็มีแนวโน้มเชื่อในเรื่องเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงผูกอนาคตไว้กับการเรียนมหาวิทยาลัยรัฐอยู่

มีบางคนเอาอันดับคณะที่จะเลือกมาให้ดู ซึ่งตามหลักการคือ ถ้าอยากเรียนนิติศาสตร์ เราก็ไล่ไป นิติฯ มธ. นิติฯ ม.มหาสารคาม นิติฯ จุฬาฯ อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ แต่น้องคนนี้คือ ใน 4 อันดับเลือกคณะไม่เหมือนกัน แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เราถามเขาว่า จริงๆ อยากเรียนอะไรกันแน่ เขาก็บอกว่า จริงๆ เลยคืออยากเรียนมหาวิทยาลัยนี้ คณะอะไรก็ได้

สรุปแล้วการสอบ ไม่ได้ตอบโจทย์ศักยภาพของนักเรียนทั้งหมด?

ซับซ้อนเนอะ (ยิ้ม)

นอกจากปรากฏการณ์ด็กซิ่ว การเลือกมหาวิทยาลัยจากค่านิยมและใช้คะแนนเป็นตัววัด มีปรากฏการณ์อย่างอื่นไหมที่มอนิเตอร์จากเว็บแล้วเห็น

ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันมั้ย แต่น่าจะเป็นความเครียดใหญ่ เด็ก ม.6 มักจะพูดคล้ายกันว่าน้ำหนักขึ้น พอเครียดก็กินเยอะ รู้สึกตัวอีกทีตอนแต่งชุดไปสอบไม่ได้แล้ว เรื่องความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกก็มีหลายประเด็นนะ ลูกอยากเรียนคณะนี้ พ่อแม่ไม่อยากให้เรียน เด็กกับผู้ใหญ่ห่างกัน ไม่ค่อยคุยกัน

ความเครียดจากการสอบทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้?

มีกระทู้ติดอันดับในเว็บเลยว่า ติดแพทย์แต่พ่อไม่ดีใจ เพราะไม่ใช่สถาบันที่พ่อเขาจบมา คอมเมนต์ในกระทู้ส่วนใหญ่ก็จะแบบ หูย… คุณพ่อ แค่ติดแพทย์ก็สุดยอดแล้ว

หลังบ้าน Dek-D
วัยรุ่นไทย-เครียดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความเป๊ะ

วัยรุ่นอายุ 15 ปีเมื่อสิบปีก่อน กับวัยรุ่น 15 ปีในวันนี้ ถ้ามอนิเตอร์จากเว็บ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

ความเครียดไม่เปลี่ยน ความไฟต์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยไม่เปลี่ยน แต่บุคลิกเปลี่ยน สังเกตว่าโพสต์หลังๆ น้องๆ จะถามอย่างโต้งๆ หรือไม่ก็เป็นบทความเชิงคอนเทนต์เลย เรื่องที่โพสต์ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เช่น มีคนหนึ่งถ่ายรูปข้อสอบมา เขาก็จะสงสัยกันว่าถ่ายมาได้อย่างไร วงกลมในรูปเลยว่าเขาโพสต์ตอนนี้ สนามนี้ อักษรย่อโรงเรียนนี้ ชื่อกระทู้ก็แบบ ‘คิดได้ยังไง?’ และรุ่นหลังๆ ทุกคนจะมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง

คือดูแล้วว่า มีความเป็น professional?

อาจจะใช่นะครับ และเขายังมีความคิดแล้วคิดอีก กลัวโดนฟ้อง มีโพสต์หนึ่ง น่าสนใจมาก คือแต่ก่อนแชร์กันว่า ข้อนี้ตอบอะไรๆ แต่ล่าสุดคือ จากข้อสอบ 50 ข้อ เขาจำโจทย์ออกมาเลย 40 ข้อ แต่คนในโพสต์ช่วยกันไล่ชอยส์ ไล่ข้อสอบกัน

เป็นการรวบรวมข้อสอบแบบ open data มากๆ และก็ไม่ใช่การถ่ายรูปออกมาด้วย แต่จำออกมา?!

ใช่ครับ จำออกมา จนกระทู้เหล่านี้ ทีมงานก็จะเก็บไว้เพื่อให้น้องรุ่นต่อไป เพราะว่ามันคือข้อสอบจริงๆ ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)ไม่ได้เปิดเผย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พูดได้ไหมว่าคือ จากแต่ก่อนที่เราต้องเป็นคนช่วยเขา แต่มาตอนหลังคือ เขาดูแลตัวเอง และดูแลคนอื่นในบอร์ดเด็กดีด้วย

ใช่ เหมือนว่าแต่ก่อนเราเป็นคนจัดระเบียบ ถ้าหัวกระทู้มาแบบนี้ เวลาเราเอาไปแชร์ต้องเปลี่ยนหัวกระทู้ใหม่ คอนเทนต์มันยังดูไม่เข้ารูปเข้ารอยนะ ต้องช่วยตบให้เข้าท่า แต่หลังๆ พวกเขาดูมืออาชีพกว่าพวกผมอีก เนื้อหาปึ้กมาเลย ถ้าเป็นกระทู้แนวจำ ก็จำมาเลย ถ้าเป็นกระทู้แนวสืบสวนสอบสวน วิธีการก็เป๊ะตามลำดับแต่ก็มีข้อดีข้อเสียนะครับ แรกๆ บอร์ด Dek-D จะอบอุ่น เพราะทุกคนกล้าแสดงตัว แต่หลังๆ non login เยอะมาก คิดเห็นบอกกันไปมา แต่ไม่เปิดเผยตัวตน

เด็กอายุ 15 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับเด็กอายุ 15 วันนี้เหมือนกันไหม แตกต่างอย่างไร

15 ปีก่อนไม่ใช่แบบนี้ แต่ก่อนสอบติดคณะนี้แต่พ่อแม่ไม่ให้เรียนนี่คือหนักสุด แต่ก่อนไม่ค่อยมีดราม่า แต่เดี๋ยวนี้คึกคัก เวลาประชุมกันก็จะสนุก รู้สึกว่าวัยรุ่นเดี๋ยวนี้มีปัญหาเยอะเนอะ และก็ดูมีเหตุผลแตกต่างกันไป ล่าสุดคือ แอบชอบครูฝึกสอน จะจบแล้ว ทำอย่างไรดี ครูฝึกสอนก็เหมือนจะมีใจด้วยนะ เป็นลูกคนโตแต่ทำไมพ่อแม่ไม่ค่อยรัก หรือ เรื่องของเพศสภาพ เรื่องเพศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเคลื่อนไหวเยอะ หรืออาจเพราะมันไม่ได้อยู่ในหลักสูตรหรือเปล่า

พอจะยกตัวอย่างได้ไหมคะ

ส่วนใหญ่ที่มาโพสต์คือเจอกับตัวเองแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ เช่น เด็กมัธยมด้วยกัน มีอะไรกันในห้องน้ำ ใช้วิธีหลั่งนอก แล้วน้องก็มาถามว่า ถ้ามันโดนตัวเราจะท้องมั้ย?

ซึ่งเวลาที่ประชุมกันก็จะมีการยกเคสของกระทู้ขึ้นมาศึกษาเพื่อทีมงานจะได้เข้าใจเด็ก บางเรื่องฟังก็ตลก แต่มันเกิดจากความที่น้องเขาไม่รู้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่ความอยากรู้อยากเห็น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว มีความกังวลว่ามันยังไงต่อ เรื่องการเรียนดูซอฟต์ไปเลยครับถ้าเจอบอร์ดเพศ

คำถามสุดท้าย ในฐานะที่ต้องทำงานกับระบบการศึกษา โดยเฉพาะระบบจัดสอบมานาน คุณคิดอย่างไรกับการสอบ การสอบแบบปรนัยยังจำเป็นอยู่ในยุคที่คำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ถ้าไม่ใช่การสอบ ควรเป็นวิธีอะไรดี

การสอบเราจะเหมือนเป็นการท่องจำเพื่อไปสอบให้ได้คะแนนเยอะๆ แล้วพอสอบเสร็จองค์ความรู้นั้นก็หายไป เฉพาะการคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัยก็พูดกันว่า วิธีการคัดไม่ได้เด็กที่ต้องการจริงๆ เหมือนเราต้องการนักวิ่ง แต่คัดด้วยการว่าย เพราะคิดว่าคนว่ายน้ำต้องปอดใหญ่ แข็งแรง ก็จะเป็นนักวิ่งได้ คือมันไม่สามารถเทียบกันได้ใช่มั้ย

แต่คิดว่าการสอบยังจำเป็นอยู่ครับ แต่ต้องเป็นการทดสอบเพื่อการแข่งขันอย่างเหมาะสมและยุติธรรมจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น PAT2 วิชาเดียว แต่วัดเพื่อเข้าหลายคณะ ซึ่งหากมองไปลึกๆ ก็อาจไม่เหมาะ เพราะ PAT2 ประกอบไปด้วย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หลายปีผ่านมา น้องหลายคนติดเภสัชเข้าไปแล้วเรียนไม่ไหว พอถามไปถามมาก็รู้ว่า วิชาเคมีซึ่งต้องใช้เป็นหลักของการเรียนเภสัช ตอนสอบเข้าเขาได้คะแนนพาร์ทเคมีน้อยมาก แต่ที่ติดเข้าไปเพราะได้ฟิสิกส์เยอะ ก็เท่ากับว่า การวัดแบบนี้ได้คนผิดสเปคเลย

Tags:

การสอบการเติบโตมนัส อ่อนสังข์(ลาเต้ Dek-D)ซึมเศร้าวัยรุ่นจิตวิทยา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    เป็นห่วง VS ไม่เชื่อใจ ทำยังไงให้ลูกอยากเล่าให้ฟังเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Education trend
    วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!
Adolescent Brain
4 April 2018

ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • สภาพแวดล้อมในห้องเรียน มีผลต่อการเรียนรู้และความก้าวหน้าทางวิชาการของเด็กถึง 25 เปอร์เซ็นต์ การออกแบบห้องเรียนที่ดีจะช่วยกระตุ้นผลการเรียนของนักเรียนในระดับประถมศึกษา ทั้งทักษะด้านการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์
  • ความเครียดของเด็กไม่ใช่เพราะถูกดุ แต่มันปนไปมากับความเครียดที่เกิดจากความไม่เรียบร้อยของสภาพแวดล้อมในห้องด้วย
  • คีย์เวิร์ดสำคัญปรับห้องเรียน คือ ธรรมชาติ ความเป็นเจ้าของ ความเป็นระเบียบ และ ประโยชน์ใช้สอย
  • โรงเรียนงบน้อยอาจกังวล แต่คีย์เวิร์ดของสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่เกี่ยวกับขนาดห้อง เทคโนโลยี และงบประมาณ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การที่นักเรียนและครูได้ออกแบบและใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ห้องเรียนที่มีอยู่

“ยิ่งใช้สมองมาก ความยืดหยุ่นของสมองยิ่งมีมาก” เป็นคำการันตีจากงานวิจัยทางสมองซึ่งเข้ามาแทนที่ความเข้าใจเดิมที่เคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่า “ยิ่งอายุมากขึ้น สมองจะยิ่งเสื่อมถอย”

Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง เป็นคำที่ใช้อธิบายศักยภาพของสมอง เพื่อบอกว่าสมองคนเราสามารถปรับเปลี่ยนการเชื่อมโยงของเส้นประสาทในสมองได้ตลอดชีวิต นั่นหมายความว่า สมองเรานั้นพัฒนาให้ดีขึ้นได้ไม่จำกัดช่วงวัย เพราะสมองจะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงตามประสบการณ์ที่รับรู้ และพัฒนาศักยภาพได้จากการฝึกฝนหรือทำซ้ำๆ จนเกิดความช่ำชอง

‘สภาพแวดล้อมรอบตัว’ ที่เราคลุกคลีอยู่เป็นประจำจึงเป็นส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ใกล้ตัว ที่สมองจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีที่สุด จุดนี้หากนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องของการศึกษา สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในห้องเรียน จึงมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งกับเด็กปฐมวัยที่สมองกำลังอยู่ในขั้นพัฒนาด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งที่ครูและโรงเรียนควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ แต่นักเรียนในช่วงวัยอื่นก็ไม่ต้องน้อยใจ ถ้าลองได้อยู่ในห้องเรียนหรือสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว สมองจะถูกกระตุ้นให้มีความครีเอทีฟพุ่งปรี๊ดได้ไม่แพ้กัน

ลองนึกภาพห้องเรียนรกๆ หนังสือบนชั้นวางเกะกะไม่เป็นระเบียบ อุปกรณ์การเรียนมีครบบ้างไม่ครบบ้างจะใช้ทีก็หาไม่เจอ หรือฝาผนังห้องเรียนที่ว่างเปล่าขาวโล่งไปหมด ไม่ก็เต็มไปด้วยบอร์ดติดชิ้นงานที่ติดๆ ไว้ไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

คุณคิดว่า…นักเรียนจะเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ดีแค่ไหน?

หรือถามใหม่

“จะดีเหรอ…ถ้าให้ลูกหลานของเราเรียนอยู่ในห้องเรียนแบบนี้?”

ผลการศึกษาล่าสุดตีพิมพ์ใน Clever Classrooms ปี 2015 จาก มหาวิทยาลัยแซลฟอร์ด (University of Salford) ประเทศอังกฤษ  ชี้ให้เห็นว่า ห้องเรียนที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพของเด็ก เพราะสภาพแวดล้อมในห้องเรียน มีผลต่อการเรียนรู้และความก้าวหน้าทางวิชาการของเด็กถึง 25 เปอร์เซ็นต์ โดยการออกแบบห้องเรียนที่ดีจะช่วยกระตุ้นผลการเรียนของนักเรียนในระดับประถมศึกษา ทั้งทักษะด้านการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์

จากการเก็บข้อมูลนักเรียน 3,766 คน ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ด้วยการทดลองเปลี่ยนนักเรียนที่เรียนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไปเรียนในห้องเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ผลปรากฏว่าผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นถึง 16 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าความแตกต่างของลักษณะทางกายภาพในห้องเรียนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ของนักเรียน

ห้องเรียนเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้

toxic stress เป็น ‘ความเครียด’ ที่เกิดจากความไม่เป็นระเบียบ ห้องเรียนรกๆ คือตัวอย่างที่ดีของความไม่เป็นระเบียบแบบ toxic stress อย่างที่ว่านี้ หลายๆ ครั้งที่เด็กไม่ตั้งใจเรียนหรือไม่อยากมาโรงเรียนอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากความขี้เกียจ หรือเพราะกลัวครูดุด่าอย่างที่ผู้ใหญ่เข้าใจเสมอไป

แต่เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวจากความไม่เป็นระเบียบหรือจากห้องเรียนที่ขาดความน่าสนใจและขาดแรงดึงดูด สิ่งนี้ทำให้เด็กไม่มีกำลังใจในการเรียน ท้ายที่สุดแล้ว toxic stress จะทำให้เซลล์สมองของเด็กขาดความยืดหยุ่นและตายลงอย่างช้าๆ

งานวิจัย บอกว่า พฤติกรรมเชิงลบและสภาวะไร้ระเบียบไม่ได้ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด แต่หล่อหลอมมาจากสิ่งแวดล้อม การทำห้องเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากความเครียดและความรุนแรงจึงเป็นบทบาทสำคัญของครู แต่ต้องให้อยู่ในระดับพอดีที่ไม่ทำให้เด็กรู้สึกสบายจนเกินไป เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือว่า หากสมองมีความเครียดในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง จากการเรียนรู้หรือจากการใช้ชีวิตที่ต้องคิดและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อนั้นสมองจะมีพลังและเปิดรับการเรียนรู้อย่างเต็มที่

แต่หากครูหรือผู้ปกครองเอาอกเอาใจ และอำนวยความสะดวกให้เด็กใช้ชีวิตสบายจนเกินพอดี ด้วยการจัดหาทุกอย่างมาเสิร์ฟให้ทั้งหมด ไม่ปล่อยให้เด็กต่อสู้กับปัญหารอบตัว สมองของเด็กจะไม่พัฒนา พูดง่ายๆ ก็คือว่า ‘สมองจะโง่ลงเรื่อยๆ’ ในที่สุดสมองที่ไม่ได้พัฒนาทักษะการคิด และไม่ได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตจะส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมของเด็กในเชิงลบ ทำให้เด็กไร้วินัย มีนิสัยก้าวร้าว อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย โดยเฉพาะในวัยรุ่น ที่อาจกลายเป็นเด็กไม่เอาถ่านในที่สุด สรุปแล้วสมองจะฉลาดขึ้นได้ต่อเมื่อมีความเครียดในระดับที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา เชื่อมโยงกับการออกแบบห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ที่ไม่ควรว่างเปล่าแต่ก็ไม่ควรรกจนเกินพอดี

อะไรคือสภาพแวดล้อมในห้องเรียน?

แล้ว สภาพแวดล้อมในห้องเรียน ที่ว่า…หมายถึงอะไรได้บ้าง?

ทรูดี ลอว์เรนซ์ (Trudie Lawrence) นักออกแบบตกแต่งภายในจากสถาบัน Envoplan ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ห้องเรียนที่ได้รับการออกแบบอย่างดีมีส่วนสำคัญมากต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน โดยห้องเรียนที่ดีควรเป็นห้องเรียนที่ส่งเสริมทั้งวิธีการสอนของครู (teaching methods) และ รูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียน (learning styles) เป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนการสอนที่ช่วยเติมเต็มทั้งผู้สอนและผู้เรียน

ลอว์เรนซ์ เล่าว่า ห้องเรียนทั่วไปมักจัดวางข้าวของระเกะระกะเสียจนทำให้ห้องเรียนดูแคบ แล้วจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากเมื่อหลายคนได้เห็นว่า การเปลี่ยนพื้นที่วางสิ่งของ (layout) การปรับอุณหภูมิในห้องเรียน (temperature) และการเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับเก็บข้าวของ (storage) ให้เป็นระเบียบสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องเรียนได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ นอกจากนี้ครูควรใช้พื้นที่ทุกส่วนในห้องเรียนเข้าไปพูดคุยใกล้ชิดกับนักเรียนแทนการยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียนแค่เพียงอย่างเดียว

นอกจากงานวิจัยของ ลอว์เรนซ์แล้ว ผลการวิจัยใน Clever Classrooms สรุป 3 คาแรคเตอร์สำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบห้องเรียนซึ่งจะช่วยออกแบบให้สมองมีความยืดหยุ่นตามมา ประกอบด้วย ความเป็นธรรมชาติ (naturalness) ความเป็นปัจเจก (individualisation) และ สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น (stimulation)

  • ความเป็นธรรมชาติ: แสง (light) อุณหภูมิ (temperature) และ คุณภาพอากาศ (air quality)
  • ความเป็นปัจเจก: ความเป็นเจ้าของ (ownership) และความยืดหยุ่น (flexibility)
  • สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น: ความเป็นระเบียบและประโยชน์ใช้สอยในห้องเรียน (complexity) และ สี (colour)

หากปรับเปลี่ยนได้ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเก็บของให้เป็นระเบียบ การปรับผังห้องเรียนใหม่ และการตกแต่งบอร์ดภายในห้องเรียนให้ดึงดูดน่าสนใจ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงได้

จุดนี้เองที่ Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เพราะความยืดหยุ่นของสมองจะทำงานเชื่อมต่อกับ ระบบลิมบิค (Limbic System) ซึ่งประกอบด้วย อะมิกดะลา (Amygdala) สมองส่วนรับรู้และควบคุมอารมณ์ความรู้สึก และ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำและการสร้างความจำระยะยาว การทำงานของสมองทั้งสองส่วนนี้จะเป็นตัวกำหนดการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก และการเรียนรู้ทางสมองของแต่ละคน

ครูจึงควรแปลงโฉมห้องเรียนให้เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างการเรียนรู้แก่นักเรียน เพราะหากครูสามารถออกแบบห้องเรียนได้ดี สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนที่เหมาะสม จะช่วยให้การทำงานของระบบลิมบิคเป็นไปในทางบวกมากกว่าทางลบ เด็กจะควบคุมอารมณ์และจัดการตัวเองให้มีระเบียบวินัยได้ แล้วยังเปิดรับการเรียนรู้ได้ดีขึ้นด้วย

ห้องเรียนฉลาด (Clever Classrooms)

รายงานผลการศึกษา Clever Classrooms จากโครงการ HEAD (Holistic Evidence and Design) มหาวิทยาลัยแซลฟอร์ด (University of Salford) เก็บรวบรวมข้อมูล 153 ห้องเรียน จาก 27 โรงเรียนในช่วงสามปีที่ผ่านมาแล้วนำมาวิเคราะห์เป็นสถิติ โดยนำปัจจัยเกี่ยวข้องทั้งเรื่องผัสสะและแบบจำลองทางสถิติหลากหลายระดับมาใช้อย่างรัดกุม ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลการวิจัยนี้สื่อสารถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนที่เป็นผลจากการออกแบบห้องเรียนใหม่ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ

สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อเอ่ยถึงสามคาแรคเตอร์สำคัญที่ช่วยสร้างห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นธรรมชาติ (naturalness) ความเป็นปัจเจก (individualisation) และ สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น (stimulation) จากภาพแสดงให้เห็นว่ารายละเอียดปลีกย่อยแต่ละส่วนล้วนมีผลต่อการสร้างการเรียนรู้ในห้องเรียนในสัดส่วนที่แพ้กันไม่ลง ความเป็นธรรมชาติ (แสง, อุณหภูมิ และคุณภาพอากาศ) ส่งผลกระทบรวมกันถึง 49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนความเป็นปัจเจก (ความเป็นเจ้าของและความยืดหยุ่น) มีผลประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น (ความเป็นระเบียบและประโยชน์ใช้สอยในห้องเรียน และสี) มีผลประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์

สอดคล้องกับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หรือ BBL (Brain-based Learning) แนวคิดของนักประสาทวิทยาที่นำความรู้ความเข้าใจด้านสมองมาใช้เป็นเครื่องมือออกแบบการเรียนการสอน หลายอย่างเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่เพิ่งค้นพบซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น ความเข้าใจเดิมที่ว่า สมองพัฒนาไม่ได้และเมื่อโตขึ้นสมองจะหยุดพัฒนา ปัจจุบันเมื่อใช้เทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบการทำงานของสมองข้อค้นพบเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของสมองก็ได้เข้ามาหักล้างความเข้าใจดังกล่าวออกไป

หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของ BBL คือ สมองเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการจดจำจากสิ่งที่มองเห็น จึงไม่น่าแปลกใจที่สภาพแวดล้อมในห้องเรียนจะมีความสำคัญต่อการสร้างความยืดหยุ่นในสมองของเด็กในระยะยาว

ห้องเรียนที่ดีควรเป็นแบบไหน?

เมื่อพูดถึงการออกแบบห้องเรียน เราอาจกังวลถึงขนาดของห้องก่อน แล้วคิดไปถึงงบประมาณที่จะต้องใช้ลงทุน ทั้งการรีโนเวท การจัดหาสื่อเทคโนโลยี ดูๆ แล้วอาจต้องใช้เงินลงทุนเยอะกว่าจะเห็นผลลัพธ์ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เปลี่ยนไป สู้หันไปใส่ใจเรื่องการเรียนการสอนคงจะดีกว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การออกแบบห้องเรียนเป็นสิ่งที่โดนละเลย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ผลการศึกษาที่เอ่ยไปแล้วทั้งหมดก่อนหน้านี้ บอกอย่างชัดเจนว่า

ขนาดห้อง เทคโนโลยี และงบประมาณ แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การที่นักเรียนและครูได้ออกแบบและใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ห้องเรียนที่มีอยู่

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ บาร์เรต (Peter Barrett) หนึ่งในทีมวิจัย Clever Classrooms กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

“เราไม่ได้พูดถึงการลงทุนจำนวนมหาศาลของโรงเรียนหรือหน่วยงานท้องถิ่น ในทางกลับกันเรากำลังพูดถึงทางเลือกที่เรียบง่ายในการใช้ห้องเรียน และทางเลือกในการตัดสินใจสำหรับอนาคตหากจะต้องสร้างโรงเรียนขึ้นมาอีก”

ด้วยเหตุนี้ ห้องเรียนที่ดีควรถูกออกแบบให้คำนึงถึง

ความเป็นธรรมชาติ

มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาใช้ร่วมกับหลอดไฟ มีประตูหน้าต่างที่ทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก และตู้ชั้นวางของไม่ควรนำมาวางปิดบังหน้าต่าง หน้าต่างควรเป็นพื้นที่ที่สามารถมองออกไปเห็นทัศนียภาพภายนอกห้องเรียนได้

ความเป็นปัจเจก

การสร้างความยืดหยุ่น (flexibility) ให้ห้องเรียน ด้วยการแบ่งซอยพื้นที่ใช้สอย เช่น พื้นที่พัก

(breakout space) ควรมีพื้นที่พักหรือพื้นที่เอกเขนกเป็นส่วนหนึ่งภายในห้องเรียน ไม่ควรแยกออกไปอยู่ตรงทางเดินหรืออยู่ในส่วนที่ปิดกั้นไปจากห้องเรียนหลัก พื้นที่ส่วนนี้สามารถใช้ทำกิจกรรมกลุ่มย่อยหรือเป็นพื้นที่ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มแยกย้ายกันไปทำงานที่ได้รับมอบหมายได้

พื้นที่เก็บของ (storage) เรามักเห็นห้องเรียนที่เต็มไปด้วยตู้เก็บของแต่ข้าวของกลับไม่เคยอยู่ในตู้ ของส่วนใหญ่ถูกวางกระจัดกระจายบนตู้บ้าง ในกล่องในลังบ้าง ห้องเรียนที่ดีควรเป็นห้องเรียนที่ดูโล่งสบายตา ถ้าห้องเรียนไม่กว้างพอตู้เก็บของอาจวางแทนที่ไว้ตรงทางเดินหากยังพอทำให้เดินไปมาได้ แล้วต้องมั่นใจว่าสิ่งของต่างๆ ถูกเก็บไว้ในตู้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบแทนการวางระเกะระกะอยู่ภายนอก

นอกจากนี้ การสร้างความเป็นเจ้าของ (ownership) ให้นักเรียนรู้สึกผูกพันกับห้องเรียน ด้วยการใช้พื้นที่ฝาผนังสักด้านหนึ่งให้นักเรียนช่วยกันวาดงานศิลปะลงไป การติดผลงานของนักเรียนภายในห้องเรียนหรือการมีชั้นเก็บของ และมีข้าวของเครื่องใช้ที่มีชื่อของตัวเองแปะติดอยู่ก็ช่วยได้

สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น

การจัดตกแต่งบอร์ดภายในห้องเรียนไม่ควรมีสีสันฉูดฉาดเกินไป ให้คำนึงถึงภาพรวมของห้องเรียนทั้งหมด ไม่โฟกัสไปเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง ข้อควรจำคือ การใช้สีโทนเดียวกันทั้งหมดจะทำให้บรรยากาศน่าเบื่อชวนง่วงนอน ดังนั้น ภาพรวมของห้องเรียนควรมีสีที่มีความสว่างมากและน้อยผสมผสานกันไป

ห้องเรียนรกๆ หนังสือบนชั้นวางเกะกะไม่เป็นระเบียบ อุปกรณ์การเรียนมีครบบ้างไม่ครบบ้างจะใช้ทีก็หาไม่เจอ หรือฝาผนังห้องเรียนที่ว่างเปล่าขาวโล่งไปหมดไม่ก็เต็มไปด้วยบอร์ดติดชิ้นงานที่ติดๆ ไว้ไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

บ่อยครั้งที่เรื่องใกล้ตัวเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม ‘สภาพแวดล้อมในห้องเรียน’ ก็เช่นกัน

สภาพแวดล้อมในห้องเรียน…เอ่ยถึงแวบแรกคล้ายสิ่งที่เป็น ‘นามธรรม’ แต่พอเจาะจงรายละเอียดลงไป การวางผังและตกแต่งห้องเรียน แสง อุณหภูมิ ตู้ ชั้น พื้นที่วางเก็บข้าวของ และอื่นๆ ทั้งหมดกลับเป็น ‘รูปธรรม’ ที่จับต้องและวัดได้ สิ่งนี้น่าจะยิ่งพิสูจน์คำพูดที่ว่า “การเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และสิ่งรอบตัว”

การจัดการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมต้องใช้สมองเป็นฐานและสอดคล้องกับการทำงานของสมอง การออกแบบห้องเรียนที่ช่วยกระตุ้นและสร้างการรับรู้ในเชิงบวกให้สมองตั้งแต่ปฐมวัย การสร้างบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลาย และมีลูกเล่นให้ครูได้หยิบใช้ระหว่างทำกิจกรรมในชั้นเรียนได้ จึงเป็นเหมือนเครื่องมือช่วยออกแบบสมองให้มีความยืดหยุ่น เป็นสมองที่พร้อมพัฒนาศักยภาพได้อย่างไม่มีวันหมดอายุ

อ้างอิง:
bbcactive.com
thebrainflux.com
Clever Classrooms

Tags:

พัฒนาการโรงเรียนปฐมวัยเทคนิคการสอนAdolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Adolescent Brain
    เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!
How to get along with teenagerAdolescent Brain
2 April 2018

สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

อ่านแล้วเห็นใจวัยรุ่นจริงๆ นะ ตอนเป็นวัยรุ่นยังไม่เข้าใจวัยรุ่นเท่าตอนที่เขียนเรื่องการ์ตูนเรื่องนี้เลย อยากให้อ่าน อยากให้ทุกคนรู้ว่าที่จริงมันเกิดอะไรขึ้น – KHAE

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาAdolescent Brainความสัมพันธ์ความรัก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย
Voice of New Gen
2 April 2018

บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ฝันอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม 20 ปีถัดจากนั้น เขาเดินตามฝันนั้นได้สำเร็จ
  • ผลงานส่วนใหญ่ของ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ อยู่ในสายโฆษณาเป็นหลัก
  • บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ไม่ได้จบเอกฟิล์มแต่จบเอกละครเวที
  • ภาพยนตร์เรื่องแรกของ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ คือ เคาท์ดาวน์ (2012)
  • ภาพยนตร์เรื่องที่สองที่สร้างชื่อให้เขาเป็นผู้กำกับร้อยล้าน คือ ฉลาดเกมส์โกง (2017) คว้า 12 รางวัลจาก 16 รางวัลในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27 ประจำปี 2017 และนั่งแท่นเป็นภาพยนตร์ไทยทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในฮ่องกงและไต้หวัน
เรื่อง: ชลิตา สุนันทาภรณ์ / ณิชากร ศรีเพชรดี / รัชดา อินรักษา
ภาพ: ศิริโชค เลิศยะโส

หลังจาก ฉลาดเกมส์โกง เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากจะได้รับความนิยมในบ้านเราอย่างถล่มทลายแล้ว ยังโด่งดังข้ามไปอีกหลายประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในฮ่องกงและไต้หวัน เหล่านักแสดงนำในเรื่องต่างเดินสายตบเท้าเข้าร่วมงานและโปรโมตภาพยนตร์ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27 ประจำปี 2017 ฉลาดเกมส์โกง ยังกวาด 12 รางวัลจาก 16 รางวัล สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

แต่ความสำเร็จทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่ายๆ

The Potential ชวน ผู้กำกับฉลาดเกมส์โกง บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ มานั่งจับเข่าพูดคุยถึงความทุ่มเท ความตั้งใจ ความฝันที่แน่วแน่และไม่เคยล้มเลิก (แม้จะเคยคิดบ้าง) ถึงความอยากเป็นผู้กำกับที่ผุดเข้ามาในหัวเขาตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยมปลายและไม่เคยจางหายไปไหน พลังที่แรงกล้าดังกล่าวได้ผลักดันให้ชายคนนี้ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับร้อยล้าน พร้อมกันนั้น The Potential ยังไม่พลาดที่จะชวน บาส-นัฐวุฒิ มานั่งถกถึงระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออกที่เป็นเส้นเรื่องหลักของหนังในฐานะผู้กำกับ และครั้งหนึ่งก็เคยเป็นนักเรียนผู้เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนเช่นกัน

“เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย”

ส่องระบบการศึกษาไทยผ่านฉลาดเกมส์โกง

หากให้เปรียบ ฉลาดเกมส์โกง เป็นอะไรสำหรับ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ก็คงเหมือนกับลูกชายที่กลายเป็นคนดังผู้ตั้งคำถามกับระบบการศึกษาไปเรียบร้อยแล้วในตอนนี้ แม้ตอนแรกเจ้าตัวจะเล่าว่าตอนคิดกันยังนึกไม่ออกว่าหน้าตาหนังจะเป็นอย่างไร จนสุดท้ายมาลงตัวหลังจากการทำการบ้านกับทีมงาน และได้รับรู้ปัญหาของระบบการศึกษาในปัจจุบันซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ณ ขณะนั้น และในชีวิตต่อจากนั้น

“เราเคยเข้าใจว่า ระบบหรือแบบแผนการศึกษาไม่ดี หมายถึงแบบแผนการสอนในสังคมไทยที่สอนแต่วิชาการไม่ได้เน้นเรื่องทักษะ แต่พอทำการบ้านจริงๆ ปัญหามีมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่โครงสร้างการวางแบบแผน”

“เรารู้สึกว่าจะเล่าแค่ความสนุกไม่พอแล้ว เพราะมีประเด็นหลายๆ อย่างที่ควรถูกถ่ายทอดผ่านหนังเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นจึงมีการปรับทิศทางของหนังจากตอนแรกที่มุ่งเสนอแต่ทริคสนุก ลดความสำคัญสิ่งเหล่านั้นลงให้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความสนุกในหนังเท่านั้น และเน้นการขับเคลื่อนปมตัวละครที่วัยรุ่นแต่ละคนต้องเจอในสังคมระบบการศึกษาไทย”

ปมตัวละครที่ว่าจึงมีหลากหลายและมีจุดประสงค์หรือเส้นทางที่เลือกจะเดินแตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกคาแรคเตอร์นั้น บาสเล่าว่า ทีมคนเขียนบทพยายามย่อยมาจากคนที่เราเห็น และเป็นตัวแทนของเด็กวัยรุ่นและคนในสังคมจากแต่ละจุด เพื่อให้เห็นโครงสร้างทางสังคมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อย่างกรณีของลินสอบเพราะเข้าใจในวิชาเรียนอย่างถ่องแท้ ส่วนแบงค์ก็สอบเพื่อจะใช้การศึกษาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตน หรือสถานะของตัวเอง และเกรซที่ใช้การสอบเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตนรัก นั่นคือการแสดงละคร ซึ่งไอเดียตรงนี้บาสอธิบายถึงสารที่เขาต้องการสื่อว่า

“อย่างตัวละครเกรซ ผมได้มาจากการหาข้อมูลโรงเรียนที่ไม่อนุญาตให้เด็กทำกิจกรรมถ้าผลการเรียนไม่ดีตามเกณฑ์ที่วางไว้ เด็กมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันก็จริง แต่เด็กบางคนอาจชอบในด้านการทำคะแนน ชอบในการอ่านหนังสือ ในขณะที่เด็กอีกจำนวนหนึ่งก็มีความสุขกับการทำกิจกรรมด้านอื่นมากกว่า ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้ากดดันเด็กที่ทำกิจกรรมด้วยเกรดเฉลี่ยที่มากเกินไป ผมว่าไม่แฟร์กับตัวเด็กและเป็นการเรียนที่ไม่ใช่สอนคนให้เป็นคนอย่างที่คนจะเป็น แต่เป็นการสอนคนให้เป็นแพทเทิร์นอย่างที่เราอยากเห็นมากกว่า ซึ่งมันเป็นเมสเสจที่ผมอยากจะสื่อออกมา”

ซึ่งสุดท้ายแล้ว บาสมองว่าการสอบจึงไม่ต่างอะไรกับการเอาตัวรอด เหมือนเป็น survival game อย่างหนึ่ง โดยไม่สนว่าจะใช้วิธีการอะไรแค่ขอให้เอาตัวรอด

“เกรซอยากจะเป็นนักแสดง มี passion ในด้านนี้ แต่คนรอบข้างกลับบอกว่าแสดงไม่ได้แต่เอาเวลาทั้งหมดมุ่งไปกับการเรียนก่อน ทั้งๆ ที่เกรดของเกรซเองก็ไม่ได้แย่ ผมเลยรู้สึกว่าก็ไม่แปลกที่เด็กจะหาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้”

แล้วมุมมองต่อระบบการศึกษาแบบนี้ของบาสเป็นอย่างไร บาสตอบพร้อมให้ข้อคิดว่า

การสอบเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความเป็นคนประมาณหนึ่ง ค่อยๆ สะสมว่าเราจะโตขึ้นไปเป็นคนแบบไหน หมายถึงว่าจะโตไปเป็นเด็กที่ไม่อ่านหนังสือ และก็ลอกข้อสอบเพื่อนไปตลอด หรือจะโตไปเป็นเด็กที่เอาวะ ลุกขึ้นมาฮึดสู้ลองดูได้มากได้น้อย ก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ถือเป็นการตอบมิติหนึ่งของการเป็นชีวิตมนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบาสแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นภาพสะท้อนบางอย่างที่ทุกคนก็เห็นในสังคมยุคปัจจุบันจริงๆ

สิ่งที่เราเห็นเพื่อนหลายๆ คนที่เมื่อก่อนไม่ได้เป็นคนอย่างนี้ แต่พอเจอเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตทำให้มึงเปลี่ยนไป โดยที่บางทีเราก็เซอร์ไพรส์กับสิ่งที่เกิดกับเพื่อนเหมือนกัน ถ้าถามว่าเข้าใจมันได้ไหมก็เข้าใจได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งตัวเราเอง คนรอบตัวเราก็มีส่วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

“เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องนี้ นอกจากการคุยกับเด็กวัยรุ่นแล้ว ผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มีลูกหลานหรือมีเด็กๆ ที่ต้องดูแลควรตระหนักด้วยว่าเขามีบทบาทเหมือนกันนะ มากน้อยขึ้นอยู่กับเขา การเพาะเมล็ดบางอย่างในใจเด็กที่อาจเริ่มต้นความรู้สึกจากความผิดชอบชั่วดีที่แทบจะไม่มีอยู่จริงแล้วในปัจจุบัน ถ้าเราเพาะเมล็ดนี้ตั้งแต่เด็กวันหนึ่งเราโตเป็นผู้ใหญ่เมล็ดนี้จะค่อยๆ โตขึ้นและใจเราก็จะกลายเป็นใจเราโดยที่ไม่รู้ตัว”

16: เด็กชายผู้ฝันอยากเป็นผู้กำกับสุดเท่

เราจบบทสนทนาเกี่ยวกับหนังไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพากันนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งเขายังเป็นวัยรุ่น วัยร้อน วัยตามหาตัวเอง แต่บาสในวัยเพียง 16 ปี มีความฝันที่แน่วแน่แล้วว่าอยากเป็นผู้กำกับ

“ช่วงนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วว่าวิชาการไม่ใช่ทางของเรา และมีความคิดอยากเป็นผู้กำกับหนัง อยากทำหนัง เพราะตอนนั้นชอบดูหนังมาก ดูจนเกรดตกจากเกรดสี่ลงมาสองกว่าๆ เลย”

จากเด็กห้องวิทย์ที่ทางบ้านคาดหวังอยากให้เป็นหมอ จนกระทั่งมาค้นพบความสุขจากการดูหนัง โดยหนังเรื่องแรกที่กระตุกต่อมความคิด ความเสี้ยนและความอยากเป็นผู้กำกับคือเรื่อง Good Fellas ของ Martin Scorsese

“จริงๆ รู้ว่าตัวเองชอบดูหนังมาก ตั้งแต่อายุ 14-15 ปีแล้ว เพราะที่บ้านมีญาติเปิดร้านเช่าวิดีโอ ผมเลยชอบดูหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนแรกดูเพื่อความบันเทิง ผมอินกับการดูหนังมากจนไม่สนใจการเรียนเลย หมดเวลาไปกับการดูหนัง อาจารย์ก็ผิดหวัง ซึ่งตอนนั้นสิ่งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับผมมากแต่ผมก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว หนังคือเรา และอยากทำสิ่งนี้”

แต่เมื่อการเรียนหนังสือคือหน้าที่หลักและสำคัญที่สุดของอาชีพนักเรียน เขาอธิบายถึงวิธีการรับมือและจัดการกับตรงนั้นว่า

“ผมโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจ และไม่ได้ขัดขวางเส้นทางการเป็นผู้กำกับหนังของผม” บาสยิ้มก่อนจะอธิบายต่อว่า “ผมไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องเกรดสี่ทุกวิชา ขอแค่เรียนไม่ตกและวางแผนชีวิตตัวเองได้ อย่างเช่นอนาคตจะเรียนต่อคณะอะไร จะเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหน ซึ่งผมมองว่าแค่คำว่าเข้าใจจากผู้ใหญ่ก็เป็นกำลังใจสำคัญที่มากเพียงพอจะทำให้เด็กมีแรงเดินต่อในเส้นทางที่เขาอยากจะเดิน”

เพียงคำว่า ‘เข้าใจ’ จากพ่อแม่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องสนใจหรือเพิกเฉยการเรียนหนังสือได้ บาสเสริมต่อว่า สิ่งที่ตามมาจากการที่พ่อแม่เข้าใจ คือการที่เขาเข้าใจตัวเองว่า ความรับผิดชอบและหน้าที่ในวัยเรียนคืออะไร

“พอการเรียนตกลงมาจนถึงสองกว่าๆ โชคดีที่พ่อแม่คอยพูดเตือนผม เขาไม่ห้ามผมจากการเที่ยวเล่น หรือสิ่งที่สนใจ ทำให้เริ่มเข้าใจว่าในฐานะมนุษย์วัยนี้หน้าที่ที่ต้องทำคือการเรียน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักที่ต้องทำให้ดีที่สุด จากนั้นก็ตั้งใจเรียน รู้จักจัดลำดับความสำคัญเรื่องที่ต้องทำกับเรื่องที่อยากทำไว้ชัดเจน อย่างถ้าจะดูหนังก็ต้องอ่านหนังสือ หรือทำการบ้านให้เสร็จก่อน นิสัยนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผมเมื่อโตขึ้นมา ผมพยายามทำเต็มที่ทั้งสองฝั่งเท่าที่จะทำได้ สำคัญเลยคือไม่กดดันตัวเอง”

แล้ว ในวัย 16 ปี ตอนนั้นมุมมองต่อผู้กำกับคืออะไร เราโยนคำถามไปให้บาสในปัจจุบันย้อนถามผ่านกาลเวลาและความทรงจำไปถึงเด็กชายบาส เขาตอบว่าตอนนั้นเขามองว่าผู้กำกับคือ นักเล่าเรื่อง นักเล่าความรู้สึก

“ตอนนั้นยังไม่รู้เลยครับว่าผู้กำกับต้องทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเป็นอาชีพที่ดูภาพรวมของหนัง และผมอยากเป็น ถ้าผมดูหนังเรื่องไหนแล้วรู้สึกชอบ สนุก ตื่นเต้นไปกับเรื่องราวของหนังเรื่องนั้น ผมจะบังคับให้คนที่บ้านดูและคอยสังเกตอยู่ห่างๆ ถ้าเขารู้สึกชอบเหมือนที่ผมรู้สึกเขาจะไม่เดินเข้าห้องน้ำ สิ่งนั้นทำให้ผมมีความสุข รู้สึกภูมิใจแทนผู้กำกับ เมจิคของภาพยนตร์คือทำให้ชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปไม่ธรรมดาอีกต่อไป และนั่นคือเมจิคของภาพยนตร์ที่ผมชอบ”

26: ชายหนุ่มผู้สับสนแต่ไม่หลงทาง

ผ่านไปอีก 10 ปี จากเด็กมัธยมปลายขาสั้นสู่การเป็น first jobber ครั้งแรกในชีวิต นุ่งกางเกงสแล็ค สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป แต่นั่นไม่ใช่ภาพของบาส เพราะชายวัย 26 ปีนี้หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เขาตัดสินใจเดินตามฝันด้วยตัวเองอีกครั้งโดยไม่พึ่งครอบครัวอีกต่อไป มุ่งหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งของโลก

“เป็นช่วงที่ตัดสินใจไปเรียนต่อฟิล์มที่นิวยอร์ค คิดว่าจะทำงานไปเรียนไปไม่ขอเงินที่บ้าน แต่แผนการเรียนต่อฟิล์มก็ล่มเนื่องด้วยค่าเรียนที่สูงมาก ผมตัดสินใจไม่เรียนต่อตั้งใจทำงานเก็บเงินและสร้างหนังด้วยตัวเอง ถือเป็นการสอบรูปแบบหนึ่ง คิดเสมอว่ากูจะผ่านมันไปได้เปล่าวะ กับความเชื่อในสิ่งที่กูเลือกมาตรงนี้”

จุดนี้เขาเล่าว่ามันคือ สนามสอบรูปแบบใหม่เปลี่ยนจากนั่งขีดเขียนบนกระดาษมาเป็นการสอบที่มีอนาคตและความฝันของเขาเป็นเดิมพัน บาสเล่าว่าชีวิตในช่วงนั้นคือ ทำงานร้านอาหารตอนเช้า แบกขากล้อง อุปกรณ์กล้องไปด้วย ตกเย็นถ่ายหนังกับเพื่อน นับว่าเป็นช่วงค้นหาตัวเอง

เหมือนมนุษย์ทั่วไป ครั้งหนึ่งเขาก็เคยท้อกับความฝันตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งและสับสน

สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ ผมก็แค่ทำต่อไปจนกว่าจะเจอคำตอบ จนกว่าจะเจอหนทางแก้ปัญหานั้น ถ้าตอนนั้นมีใครสักคนที่ดูหนังของผมและเดินมาชี้หน้าด่า ‘มึงห่วย มึงอย่าทำ มึงเลิกทำเหอะ’ ผมอาจเลิกทำหนังไปแล้วก็ได้ ซึ่งโชคดีที่ผมไม่เจอ

เหนื่อยไหม เราถาม เขาพยักหน้าตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า

“เหนื่อยมากแต่สนุกครับ”

แม้จะมีท้อบ้างแต่ไฟความมุ่งมั่นเขาไม่เคยหมด เขายังคงเลือกเดินตามความฝันในวัย 16 ปีของเขา แล้วถ้าต้องประเมินให้คะแนนตอนช่วงวัย 26 ปี คิดว่าควรได้เท่าไร บาสตอบว่าถ้ามองในด้านวิชาการคงสอบตก

ทำไมล่ะ

“จริงๆ ผมเริ่มอาชีพผู้กำกับช้านะถ้าเทียบกับเด็กเจนฯใหม่ที่เดี๋ยวนี้กำกับกันเร็วมาก ผมใช้เวลาไปกับการค้นหาสิ่งเหล่านี้ให้ตัวเองนานไปหน่อย ถ้าให้พูดเรื่องเกรดในด้านวิชาการผมสอบตกเลยนะ เพราะวิชาฟิล์มก็ไม่ได้เรียน เรื่องเทคนิคกล้องที่ควรจะรู้ก็ไม่รู้เลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้นะ (หัวเราะ) หนังช่วงนั้นที่ทำก็จะซื่อบื้อมาก เสียงฟังไม่รู้เรื่องเพราะถ่ายด้วยกล้องวิดีโอ แต่ถ้าพูดในแง่มุมเกรดจิตพิสัยผมให้เต็มสิบเลยนะ มองย้อนกลับไปรู้สึกเหนื่อยแทนตัวเอง แต่ที่ทำได้ เพราะช่วงนั้น passion เยอะมาก”

แล้วมุมมองของการเป็นผู้กำกับเปลี่ยนไปอย่างไรจากเด็กวัย 16 ปีจนกลายมาเป็นหนุ่มในวัย 26 ปี เปลี่ยนไปแค่ไหน บาสตอบว่า เขาเข้าใจมันมากขึ้นและภาพความเท่ของอาชีพนี้เปลี่ยนไป

“เริ่มเข้าใจกระบวนการทำงานมากขึ้นจากที่เริ่มเมื่อตอนอายุ 16 ปีเคยคิดว่า ‘ผู้กำกับแม่งเท่มาก ชี้นิ้วสั่งพอ’ แต่พออยู่ในวัย 26 ปี ภาพความเท่ของการเป็นผู้กำกับเปลี่ยนไป มึงจะเท่ได้ มึงต้องเข้าใจธรรมชาติการทำงาน มานั่งไขว่ห้างหน้ามอนิเตอร์ เอาแต่ชี้นิ้วสั่งคนอื่นไม่ได้นะ มึงต้องเข้าใจด้วยว่าหนังคืออะไร เมสเสจที่อยากจะเล่าคืออะไร ภาพในหัวต้องชัดเจนอยู่ตลอดเวลา” ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ต้องทำการบ้านหนักขึ้นในแง่การคิด การอ่าน การเตรียมงาน เป็นมุมมองที่เปลี่ยนไป”

จากเรียนเอกละครเวที สู่การตั้งต้นทำภาพยนตร์เอง แต่มาจบลงที่การกำกับโฆษณา แน่นอนว่าความสงสัยของเรามีเต็มหัวว่ามันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร บาสอธิบายว่า พอเอาเข้าจริงแล้วการเรียนละครเวทีทำให้ตัวเขามองหนังเปลี่ยนไป

“จากเมื่อก่อนตอนดูหนังก็คิดว่า ‘เฮ้ย เรื่องนี้มุมกล้องเท่วะ’ แต่พอเรียนละครเวที ผมสนใจตัวละครมากขึ้น สนใจธีมมากขึ้น ถือเป็นข้อดีที่ได้รับจากการเรียนละครเวที คิดว่าหลังเรียนจบจะเรียนฟิล์มแต่ยังไม่เคยมีโอกาสเหมาะ”

ประกอบกับที่ทุกวันนี้ยุคนี้โฆษณาค่อนข้างกลายพันธุ์ มีความเป็นหนังสั้นแปะโปรดัคท์ตอนท้ายเป็นไวรัล ซึ่งมีความใกล้เคียงกับการทำหนังใหญ่ค่อนข้างเยอะ ต้องเล่าเรื่อง ต้องสื่อความรู้สึกส่งสารไปถึงคนดูให้ได้ เช่น สารของโฆษณาคือการขายของ จุดนี้ทำให้เขารับมือและจัดการกับมันได้อย่างลงตัว

“ผมเคยผ่านจุดที่ไม่ค่อยเข้าใจการทำโฆษณา ลูกค้าให้โจทย์มาผมก็ตีโจทย์ตามแบบที่ผมคิดว่าสนุก ในความเป็นจริงเรื่องราวอาจสนุกจริง แต่มันขายของไม่ได้ ลูกค้าไม่แฮปปี้ ตัวผมก็ไม่แฮปปี้ หลังจากเรียนรู้สิ่งที่ผ่านมาผมกลับมาหาจุดกึ่งกลางที่ลงตัวระหว่างการขายของให้ลูกค้า พร้อมกับขายความเป็นคนทำหนังของผมด้วย คือต้องรับผิดชอบโจทย์ลูกค้าควบคู่กับรับผิดชอบการทำหนังของผมไปพร้อมๆ กัน”

36: ผู้กำกับร้อยล้าน

สิบปีต่อมา เด็กชายบาสก็ทำตามฝันได้สำเร็จ แม้ภาพยนตร์เรื่องแรก เคาท์ดาวน์ จะไม่โด่งดังเท่ากับเรื่องล่าสุด ฉลาดเกมส์โกง ก็ตาม แต่เขาเล่าว่ารอยต่อระหว่างตรงนั้นได้สอนข้อคิดชีวิตบางอย่างให้เขาอย่างลึกซึ้ง

“ผมรู้สึกปล่อยวางมากขึ้น จากสมัยแรกๆ ที่เป็นผู้กำกับมักคาดหวังกับ feedback ค่อนข้างสูง คิดเสมอว่าผลออกมาต้องสวยหรู แต่ผลกลับตรงกันข้ามไม่ใช่อย่างที่คิด ความรู้สึกเหมือนเราล้ม เจ็บชิบหายเลย บางอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่ควบคุมได้คือความเต็มที่ของเรา ไม่ชุ่ยกับงาน ไม่โกงทีมงาน ไม่โกงคนดู เรื่องของ feedback หนังจะเป็นอย่างไร ฉายได้เงินกี่สิบล้านเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้ รับผิดชอบโจทย์ที่ได้รับมาให้ดีก็พอ อย่างผมได้รับโจทย์หนังเรื่องฉลาดเกมส์โกง โจทย์คือทำหนังวัยรุ่นโจรกรรมที่สนุกตื่นเต้นอย่างมีมิติ หลังจากได้รับโจทย์จากลูกค้ามาหน้าที่ผมคือคิดว่าทำอย่างไรให้เล่าเรื่องสนุก ขณะเดียวกันคนดูต้องจำโปรดัคท์ได้ จำเมสเสจที่ลูกค้าอยากสื่อสารได้นั่นคือความรับผิดชอบต่อตัวงานของผม ไม่เคยคิดว่าทำแล้วจะต้องได้ร้อยล้าน จะต้องได้รางวัล”

เพราะชีวิตมนุษย์ทุกคนเต็มไปด้วยการสอบ บาสเล่าว่า ไม่เพียงเฉพาะวัยรุ่นเท่านั้น เรียนจบมาก็จะมีการสอบในรูปแบบของการทำงาน เหมือนอย่างผมทำหนังเรื่องแรกก็ถือเป็นการสอบเอนทรานซ์อย่างหนึ่งซึ่งก็ไม่ผ่าน

ชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มองย้อนกลับมาปัญหาเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเขาในวัยนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อพ่อแม่ ต่อโรงเรียน ไม่น่าแปลกใจที่จะรู้สึกว่ามีสปอตไลท์ส่องมากลางหัวตลอดการเดินทาง ในฐานะคนทำหนังแค่ต้องบอกเล่าความรู้สึกนั้นให้คนทุกวัยเข้าใจก็เท่านั้นเอง

ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนมุมมองต่อผู้กำกับอย่างหนึ่งหรือเปล่าสำหรับในช่วงวัย 26 ปี และ 36 ปี บาสตอบว่า ใช่ ก่อนจะอธิบายต่อว่า

“ผมว่าจริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยนทุก 10 ปีมันเปลี่ยนทุกงานเลยนะสำหรับผม ทุกงานสอนอะไรบางอย่างเสมอ ถ้าเราเปิดตามองอย่างเป็นธรรม ไม่คิดเข้าข้างตัวเองก็จะเห็นจุดบอด จุดอ่อนของเราในการคิด การเล่าเรื่องทำไมถึงตบเข้าโปรดัคท์แบบนั้นจะเห็นภาพรวมทั้งหมด ผมว่าสิ่งเหล่านี้ค่อยๆ เปลี่ยนเราไปให้กลายเป็นผู้กำกับที่ดีขึ้นทีละนิดๆ”

ภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง อาจประเมินได้ว่า สอบผ่าน ในสายตาคนดูส่วนใหญ่ ความสำเร็จจากตรงนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่บทสัมภาษณ์นี้เป็นการนั่งคุยกันก่อนที่ภาพยนตร์ฉลาดเกมส์โกงเกือบจะเหมารางวัลไปทั้งงานสุพรรณหงส์ บาสกลับมองว่า ความสำเร็จตรงนั้นไม่ใช่สิ่งถาวร พร้อมกับให้คำแนะนำแก่เด็กรุ่นใหม่ที่สนใจเส้นทางนี้ว่า

“ผมว่าความสำเร็จเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าประคับประคองไม่ดีอาจกลายเป็นดาบสองคม ผมว่าเป็นเรื่องมายาประมาณหนึ่ง หมายถึงว่าเดี๋ยวนี้คนเก่งๆ มีมากขึ้น งานดีๆ มีมากขึ้น ความสำเร็จจึงเกิดง่ายและผ่านไปง่ายเช่นกัน ถ้าไปยึดติดมากเกินไปจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่พัฒนาตัวเอง คือถ้าจะให้คำแนะนำก็อยากจะบอกเด็กๆ ว่าจริงๆ ใช้ชีวิตตามสเต็ปของเด็กยุคนี้ไปเถอะ ดีมากๆ แล้ว ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามมีคนชอบงานที่เราทำ หรือว่าสำเร็จขึ้นมาในแบบที่เราต้องการก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมากเกินไปจนไม่กล้าทำอะไรที่มันใหม่ ให้ปล่อยวางบ้าง”

สุดท้าย… สำหรับผู้กำกับหนังวัย 36 ปี ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ในช่วงวัย 16 ปี อยากจะบอกเด็กคนนั้นว่าอย่างไร

“คงยื่นแบงก์พันให้ใบหนึ่งและบอกว่า มึงไปซื้อหนังมาดูให้เยอะขึ้น แค่นั้นมั้งครับ (หัวเราะ)”

Tags:

การสอบนัฐวุฒิ พูนพิริยะภาพยนตร์ศิลปินดนตรี

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • MovieDear Parents
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Life classroom
    แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    ทิโมธี ชาลาเมต์ “ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว”

    เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel