Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่
Creative learning
5 June 2018

มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • บางครั้งการทำงานร่วมกันของนักเรียนก็ก่อให้เกิดปัญหา จึงเป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นปัญหาไปให้ได้
  • ครูต้องมีความอดทน รอให้เด็กพูดหรือนำเสนอออกมาเอง เพื่อการกระตุ้นให้เด็กคิด
  • สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้ที่นักเรียนได้รับ เมื่อผู้เรียนศึกษาหาข้อมูลตามความสนใจของตนเอง เขาจะสามารถจดจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ
  • ทั้งหมดนี้มีอยู่ในหลักสูตรมัคคุเทศก์น้อย ตอน ตามรอยฟอสซิล
ภาพ: ณขวัญ ศรีอรุโณทัย

“สำหรับผมแล้วเรียนนอกห้องสนุกมากครับ เพราะอยู่ในห้องเรียนมากเกินไปทำให้รู้สึกเบื่อ” ปัญ – ปัญญพัฒน์ อังสุภานิช ศิษย์เก่าโรงเรียนอนุบาลสตูลบอกเรา…ตอนนั้นครูไม่อยู่ด้วย

การเรียนนอกห้องของปัญคือ ‘โครงงานศึกษาการตามรอยฟอสซิลในอำเภอเมืองสตูล เพื่อร่วมกับชุมชนพัฒนาเป็นแหล่งการเรียนรู้ในจังหวัดสตูล’

ตอนนั้นพี่ ม.1 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย อย่างปัญ เพิ่งเรียนอยู่ชั้น ป.4 แต่ก็ริเริ่มทำโครงงานนี้จนสำเร็จ พบซากฟอสซิลมากมายในพื้นที่อำเภอเมือง เช่น ฟอสซิลหอยสองฝา ไครนอยด์ (พลับพลึงทะเล)

โครงงานวิจัยของนักเรียนเกิดขึ้นจากการร่วมมือของโรงเรียนอนุบาลสตูลกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สร้างหลักสูตรการเรียนรู้นอกห้องเรียนผ่านการทำโครงงานในวิชาบูรณาการ โดยใช้กระบวนการทำวิจัย 10 ขั้นตอนและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงป็นแนวทาง

ใน 1 ปีโรงเรียนอนุบาลสตูลจะดูแลกว่า 40 โครงงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม “การออกแบบให้เด็กทำงานกันเป็นกลุ่ม” คือเป้าหมายของวิชานี้ทางโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ ค้นพบศักยภาพตัวเอง บางคนพูดไม่เก่ง แต่บันทึก ทำ mind map ดีมาก ก็ไปแทคทีมกับเพื่อนช่างพูดช่างคุย สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางหากเป็นหัวใจสำคัญ คือ กระบวนการการเป็นผู้นำ การเป็นผู้ตาม การยอมรับบทบาทซึ่งกันและกันของเด็ก

ทุกห้องเรียนจะมี 1 โครงงาน ใช้เวลาทำหนึ่งปีการศึกษา หัวข้อที่ทำจะตกลงกันเองภายในห้องเรียน จากนั้นแต่ละคนจะแบ่งหน้าที่ตามความสามารถของตัวเอง

งานนี้ปัญรับหน้าที่เป็นกองหลังของทีม

“เวลาทำงานกลุ่มเราก็ต้องเข้าใจเพื่อนด้วย แต่ผมชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยคุยกับเพื่อน ผมจึงเป็นฝ่ายสนับสนุนมากกว่า เช่น ช่วยสืบค้นข้อมูล”

ส่วนเพื่อนชื่อ ‘จอมทัพ’ ปัญเล่าว่ารายนี้ชอบจดบันทึก เวลาเขาทำอะไรก็ตามจะต้องละเอียดถี่ถ้วน ทุกขั้นตอนต้องจดบันทึก แล้วเขาจะจำได้ว่าเมื่อวานประชุม หรือคุยกันเรื่องอะไร ถ้ายังติดขัดเรื่องไหน ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้ เขาจะไปหาความรู้เพิ่มเติมที่ห้องสมุดหรืออินเทอร์เน็ต เพื่อนำมาเสนอให้กับครูและเพื่อนๆ ในชั่วโมงเรียนครั้งต่อไป

ปัญกับจอมทัพ

ครูต้องพาออกนอกห้อง

บางครั้งการทำงานร่วมกันของนักเรียนก็ก่อให้เกิดปัญหา จึงเป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นปัญหาไปให้ได้ เช่น บางคนก็ไม่ทำงาน ครูต้องเข้าไปดูแล เข้าไปถามว่าทำไมถึงไม่ทำ บางเรื่องคุณครูก็ต้องช่วยถามให้ หรือดูแลสลับสับเปลี่ยนหน้าที่ให้เด็กๆ ให้ตรงกับความสามารถมากที่สุด

เป็นหน้าที่ของ ฉวีวรรณ ฮะอุรา ครูที่ปรึกษาโครงงาน อธิบายว่านักเรียนบางคนอาจไม่ชอบเรื่องที่ตัวเองทำ แต่เด็กก็ต้องปรับตัวเพื่อทำงานร่วมกับเพื่อนๆ

“การเรียนโครงงานเด็กต้องสร้างข้อกำหนดหรือข้อตกลงของกลุ่ม ทุกคนต้องช่วยกันทำงานตามความสามารถ ไม่เล่น ใครวาดภาพเก่งก็ให้วาดภาพ ตกแต่งรายงาน ใครลายมือสวย ก็ให้มาเขียนหน้าห้อง ฉะนั้นทุกคนจะมีหน้าที่ตามความถนัดของตัวเอง”

ทุกครั้งก่อนเริ่มเรียนวิชาบูรณาการ คุณครูจะให้เด็กนั่งสมาธิ ตามด้วยร้องเพลง รำวง เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด จากนั้นจึงค่อยทบทวนเนื้อหาโครงงานที่ผ่านมา เสนอเรื่องที่จะเรียนในวันนี้ว่าจะเรียนเรื่องอะไรกัน

“ครูจะไม่ออกคำสั่ง แต่จะตะล่อมๆ ถามนักเรียนไปเรื่อยๆ เช่น นักเรียนเสนอให้ออกท้องที่ ครูก็จะถามว่าไปที่ไหน สำรวจที่ไหน ไปได้ไหม เหมาะกับเราไหม หรือนักเรียนบอกว่าจะไปทะเล ครูต้องถามกลับว่าเหมาะไหม เวลาไปก็ต้องเหมาเรือ ใช้เงินเท่าไหร่ เรามีเงินเท่าไหร่ แล้วนักเรียนก็จะไม่ไป ทำให้เด็กรู้สภาพปัญหา และวางแผนการทำงานกันใหม่”

ฉวีวรรณ ฮะอุรา ครูที่ปรึกษาโครงงาน

อีกบทบาทที่สำคัญของครูคือการดึงศักยภาพเด็กออกมา

“ต้องเริ่มจากได้คลุกคลีกับเด็กนักเรียน ดูความสามารถของเขาว่าเก่งด้านไหน อย่างแรกคือเขาจะแบ่งงานกันทำอยู่แล้วตอนทำงานกลุ่ม ใครเก่งด้านไหนก็จะให้ทำด้านนั้น ใครพูดเก่งก็นำเสนอ บางคนค้นคว้าเก่งก็ค้นคว้า ทุกคนต้องช่วยเหลือกัน ครูต้องมีความอดทน รอให้เด็กพูดหรือนำเสนอออกมาเอง เพื่อการกระตุ้นให้เด็กคิด”

หรือวิธี ‘ให้คำชม’ ก็มีผลดีต่อนักเรียน เพราะทำให้เด็กกล้าแสดงออกและมีความมั่นใจมากขึ้น

“เด็กคนนี้อ่านหนังสือไม่คล่อง พอครูเห็นว่ามันมีบทง่ายๆ ก็ให้มาอ่านรายงาน จะชมเขาว่า เห็นไหมว่าเก่ง เก่งไหม เพื่อนรายงาน รายงานเสร็จก็ปรบมือ เราต้องชมเขา ทำให้เขาภูมิใจ เขาก็จะอยากเรียน”

นักเรียนบางคนไม่เก่งเรื่องวิชาการ ชอบเล่นดนตรี ก็สามารถนำความสามารถพิเศษของตนเองมาประยุกต์ใช้กับโครงงานได้ เช่น เมื่อถึงเวลาต้องนำเสนอผลงาน เด็กๆ ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้การนำเสนอน่าสนใจ

“นักเรียนกลุ่มหนึ่งทำเรื่องการลดปริมาณการใช้โฟม เพื่อลดปริมาณขยะในสิ่งแวดล้อม ให้เพื่อนในกลุ่มเล่นอูคูเลเล่ อีกคนหนึ่งสีไวโอลิน แล้วแต่งเพลงเรื่องลดการใช้โฟม โดยใช้ทำนองเพลงปักษ์ใต้ ปรากฏว่าคุณครู ผู้ปกครองที่มาดูการนำเสนองานติดใจ จนต้องถ่ายวิดีโอเก็บไว้ นี่คือสิ่งที่ครูมองเห็น แล้วดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาเพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจ และกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้ที่นักเรียนได้รับ เมื่อผู้เรียนศึกษาหาข้อมูลตามความสนใจของตนเอง เขาจะสามารถจดจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ ยกตัวอย่าง โครงงานฟอสซิล ซึ่งปัญทำไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่วันนี้ก็ยังสามารถเล่าเรื่องฟอสซิลได้อย่างคล่องแคล่ว

“ผมและเพื่อนๆ มาดูพื้นที่ ดูหิน แล้วก็กระเทาะ เราจะเลือกกระเทาะหินตะกอน มันมีลักษณะเป็นชั้นๆ เราจะกระเทาะตรงบริเวณชั้นของหิน กระเทาะเบาๆ ไม่ต้องแรงมาก พอมันแตกก็แกะออกมาแล้วจะเห็นฟอสซิล” ปัญเล่าให้ฟังอย่างฉะฉานในวันที่อาสาเป็นมัคคุเทศก์น้อยพานักท่องเที่ยวเยี่ยมชมอุทยานธรณีสตูลเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

Tags:

สตูลวัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)นักวิจัยResearch Base Learning(RBL)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Character building
    กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว

    เรื่อง The Potential

SATURDAY SCHOOL: โรงเรียนที่คืนความสุขให้เด็กทุกๆ วันเสาร์
Creative learning
1 June 2018

SATURDAY SCHOOL: โรงเรียนที่คืนความสุขให้เด็กทุกๆ วันเสาร์

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Saturday School ก่อตั้งด้วยแนวคิดว่าเด็กจะพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อได้เรียนในสิ่งที่สนใจ
  • เริ่มต้นจากการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ ให้เห็นว่าการเรียนรู้ก็น่าสนใจ มีทางเลือกมากกว่าการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว
  • การจัดการเรียนรู้ในแบบฉบับ Saturday School คือความใส่ใจ ความต่อเนื่อง ภายใต้ตัวแปรสำคัญคือครูที่จะชักชวนเด็กๆ ให้พัฒนาตัวเองจากสิ่งที่เรียน

“ผมเห็นศักยภาพของเด็กหลายคนที่ถูกจำกัดโดยการสอนในห้องเรียน เด็กไม่อาจโตได้เต็มที่ในห้องแคบๆ มืดๆ ดอกไม้ไม่เจอแสงก็ไม่โต สิ่งที่เราทำคือจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโตเด็กเท่าที่ทำได้”

“ตอนโรงเรียนส่งเด็กออกไปแข่งขันจะมีแต่เด็กเสี้ยวเดียวมีส่วนร่วมซึ่งเป็นเด็กที่พัฒนาตัวเองอยู่แล้ว แต่เราละเลยเด็กหลังห้องจำนวนมาก ก็เป็นแนวคิดหนึ่งที่ปกติ มองเด็กเราควรมองเด็กให้ครบ มองแต่เด็กกลุ่มเก่งๆ อย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้การศึกษามีคุณภาพเท่าเทียมกันได้”

“ถ้าเราละเลยเด็กเรียนไม่เก่ง การศึกษาไทยก็จะเป็นตะแกรงร่อนเอาเด็กเก่งมาเรียนเท่านั้น”

นี่คือมุมคิดด้านการศึกษาของครูยีราฟ – สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School หรือ ‘โรงเรียนวันเสาร์’ เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนวิชาที่ตนเองสนใจโดยมีครูอาสาสมัครมาสอนให้ทุกเช้าวันเสาร์ ซึ่งวิชาเหล่านี้บางห้องเรียนไม่มีสอนแน่นอน เช่น ถ่ายภาพ ร้องเพลง มวยไทย ทำอาหาร เต้น ฟิล์ม ออกแบบบอร์ดเกม ออกแบบผลิตภัณฑ์ การพูดในที่สาธารณะ การตัดต่อวิดีโอ การทำธุรกิจ ฯลฯ โดยทำงานภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เด็กจะพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อได้เรียนในสิ่งที่สนใจ”

ปัจจุบัน Saturday School จดทะเบียนเป็นมูลนิธิและดำเนินโครงการมาถึงซีซั่นที่ 6 มีจำนวนห้องเรียนที่มากขึ้นพร้อมๆ กับจำนวนนักเรียน ครูอาสาสมัครและทีมงาน จากจุดเริ่มต้นในห้องเรียนเล็กๆ ห้องเดียว

มากกว่าวิชาการคือแรงบันดาลใจ

ก่อนที่จะมาจับงานด้านการศึกษาอย่างจริงจังนั้น ครูยีราฟจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นนักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาก่อน ระหว่างนั้นพบเห็นปัญหาสังคมมากมายทำให้วิศวกรรมบัณฑิตฉุกคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคม

“ถ้าในอนาคตเราไม่ทำอะไร เราจะอยู่ในสังคมแบบไหน จึงคิดว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างให้สังคมมันเปลี่ยน”

“อยากจะเข้าใจปัญหาสังคมมากขึ้น อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้สังคมเปลี่ยนแปลง และคิดว่าการเป็นครูจะช่วยให้เราได้พัฒนาภาวะผู้นำของตัวเอง มากว่านั้นคือได้เปลี่ยนสังคมด้วย”

จากจุดนี้เองครูยีราฟจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Teach for Thailand ที่เป็นโครงการสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงผ่านการสอนเป็นเวลา 2 ปี โดยครูยีราฟได้มีโอกาสไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนขยายโอกาสของกรุงเทพมหานคร และพยายามทำโครงการหลากหลายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กนอกเหนือจากการสอนวิชาการอย่างเดียว

“ถ้าสอนคณิตแล้วไปวนกับเรื่องอื่น แทนที่เราจะนำเข้าสู่เนื้อหาก็จะกลายเป็นนำไปไหนไม่รู้ เด็กเจอเราสามชั่วโมงต่อสัปดาห์ น้อยมากที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก แต่ในระยะยาวสองปีก็ไม่น้อยหรอก เพียงแต่เรารู้สึกแทรกอะไรยากจากการสอนคณิตอย่างเดียว พบว่าเด็กควรจะได้ inspiration มากกว่าการเรียนเลข คิดว่าชีวิตพวกเขามีอะไรอีกเยอะที่จะต่อสู้และหาเป้าหมาย การที่เราโตมากับเด็กกลุ่มนี้ก็พบว่าเด็กควรจะรู้อะไรได้มากกว่านี้ มีแรงขับในตัวเองมากขึ้น”

ครูยีราฟเล่าว่า ก้าวแรก ไม่ได้เริ่มทำ Saturday School ทีเดียว แต่ทำกิจกรรมเสริมการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจรูปแบบอื่นมาก่อน เช่น ฐานวิทยาศาสตร์ พาเด็กออกไปทัศนศึกษาข้างนอกเพื่อเปิดโลกทัศน์ ให้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่น่าสนใจนอกห้องเรียนมากมาย เช่น ไปสนามบิน ไปดูห้องบังคับการนักบินจริงๆ

“ทำทุกอย่างให้เด็ก inspire กับการเรียนรู้ เพราะเด็กสนใจเรียนน้อย จะสนใจอย่างอื่นมากกว่า เช่น เพื่อน หรือบางอย่างที่ไม่ค่อยดี แต่การที่เด็กไม่มาสนใจการเรียนมีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือไม่เห็นสิ่งที่น่าเรียนจริงๆ”

ครูยีราฟ – สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School

สร้างห้องเรียนที่คนเรียนอยากเรียน คนสอนอยากสอน

“เราเชื่อว่าตัวเองเก่งบางอย่าง เด็กอาจไม่ได้สนใจสิ่งที่เราเก่งก็ได้ คนเก่งๆ ที่เป็นเพื่อนเราเยอะที่อยากพัฒนาสังคมด้วยกัน จึงเชิญมาสอน ตอนแรกเป็นสิ่งที่ครูอาสาอยากสอนจัดกิจกรรมเอง แรกๆ เด็กก็เรียนภาษาอังกฤษ หาคนสอนง่าย เด็กๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไร แต่เขาจะได้เรียนสิ่งที่เรียนในห้องเรียนนั่นแหละ”

ครูยีราฟเล่าจุดเริ่มต้นแรกๆ ของ Saturday School

“เริ่มจากห้องเรียนเดียว คือเด็กๆ ที่ผมสอนอยู่นั่นแหละ แล้วก็จริงจังมากขึ้น เทอมแรกเป็น ม.1 แล้วก็ทำห้องเรียนเพิ่มขึ้น นอกจากเด็กที่สนใจแตกต่างกันแล้ว อาสาสมัครก็เริ่มบอกต่อกันด้วย

ปรากฏว่า ห้องเรียนที่เด็กได้เลือกว่าจะเรียนอะไร เด็กหายไปน้อยกว่าและเข้ามาต่อเนื่องกว่า จึงเปลี่ยนให้เด็กเลือกก่อนเลยแล้วหาอาสาสมัครมาสอนวิชานั้น

การจัดให้มีการเรียนในสิ่งที่เด็กสนใจ และอาสาสมัครที่อยากจะสอน นอกจากจะได้เรียนสิ่งที่สนใจจริงๆ อันจะเป็นการสร้างแรงผลักดันในการเรียนแล้ว การมีครูอาสาหน้าใหม่ๆ ก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กๆ ด้วย

“พอเด็กเรียนกับครูคนอื่นก็ได้ inspiration และได้เจอคนใหม่ๆ บางทีเราไม่ได้สื่อสารให้เด็กเรียนสิ่งที่เตรียมมา แต่อยากให้เด็กเห็นว่ามีครูเป็น Role model ชอบคาแรคเตอร์ครูบางคน มีแรงขับเคลื่อนตัวเองเพิ่มขึ้นนอกจากเนื้อหาที่เรียน เช่น เด็กที่ได้เรียน Model Business แล้วก็อยากจะไปต่อ ได้เปิดมุมมอง ได้คิดว่าถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วจะไปขายโปรดักท์ที่ไหน เอ๊ะ! มันมีมุมที่ไปได้ นอกจากสิ่งที่เขาเรียนบวกลบคูณหารในห้องเรียน เกิดแรงบันดาลใจ และพบว่ามันมีตัวตนของเขาที่อยากจะทำ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีสิ่งนี้อยู่ด้วย”

ความใส่ใจและความต่อเนื่องคือหัวใจ

ครูยีราฟเล่าถึงการรับครูอาสาสมัครว่าไม่จำเป็นต้องเป็นครู แต่ต้อง ‘ถนัด’ ในวิชาการบางอย่าง โดยโครงการฯ จะช่วยอบรมวิชาครูและสอนเขียนแผนการสอนให้ นอกจากนี้ครูอาสาก็ไม่ต้องกังวลใจว่าจะสอนคนเดียว งานนี้รวมกันเป็นทีม 3-5 คน เพื่อสลับกันสอนและช่วยกันดูแลชั้นเรียนอย่างใกล้ชิด

ในช่วงหลังๆ เริ่มมีทีมวิจัยมืออาชีพคอยเก็บข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก เมื่อสอนเสร็จก็จะมาวิเคราะห์กันว่าทำอะไรได้ดี อยากพัฒนาอะไรต่อ เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด และไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งในชั้นเรียนเลย

“ทุกกระบวนการของเรา ความใส่ใจทั่วถึงคือคีย์หนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ปกติครูสอนห้องเรียนห้องหนึ่งเด็กเยอะ อาจดูแลไม่ทั่วถึง บางห้องเรียนมีอาสาสมัครที่เพียงพอต่อเด็ก ก็จะดูแลทั่วถึง หลังๆ เราเริ่มมีอาสารุ่นก่อนๆ ที่เคยสอน มาช่วยกันพัฒนาให้แข็งแกร่งมากขึ้นในตัวเนื้อหาวิชากับการสอน

“บางวิชาเด็กอาจไม่ได้เลือกแต่แรก แต่มีอาสาที่เลือกแต่แรกว่าเด็กน่าจะชอบ เช่นวิชาสร้างบอร์ดเกม ก็มีส่วนบิวท์จากครูอาสาและสถานที่เหมือนกัน เช่นพิพิธภัณฑ์เด็ก มีวิชาทัวร์ไกด์ พอเด็กเรียนเสร็จก็เป็นไกด์พาทัวร์ในนั้นได้”

นอกจากความใส่ใจแล้ว ความต่อเนื่องก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นเดียวกัน ครูยีราฟเล่าว่าในขั้นตอนการคัดสิ่งที่โครงการให้ความสำคัญคือจะต้องมีเวลามาสอนอย่างต่อเนื่องให้ได้

“ถ้าอาสาเก่งขนาดไหนแต่มาครั้งเดียว เราไม่เอา” เพราะการเรียนอย่างต่อเนื่องจะทำให้เด็กๆ ได้พัฒนาศักยภาพเต็มที่ถัดจากการมีแรงบันดาลใจจากสิ่งที่สนใจ นำไปสู่การเปลี่ยนความคิดว่าการเรียนรู้น่าสนใจกว่าที่เคยเข้าใจ และเมื่อมีประสบการณ์จากการลงมือทำ สิ่งนั้นก็จะติดตัวเขาไปจนโต แต่เด็กจะเข้าใจถึงจุดนี้ได้จะต้องใช้เวลาลงมือทำในระดับหนึ่ง

“การพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่องคือหัวใจ ให้เติบโตในอนาคตด้วยตัวเขาเอง”

ครูก็เป็นตัวแปรสำคัญ

จากการให้ความสำคัญกับการสอนอย่างต่อเนื่องนี้เอง ครูยีราฟก็ขยายความต่อว่า ครูก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเด็กด้วยเช่นกัน เรียกว่าแม้เด็กจะสนใจวิชาเรียน แต่ผู้ที่นำพาเด็กไปก็คือครู

“อยู่ที่การสอนทำให้เด็กสนใจด้วยหรือเปล่า ครูพาเด็กไปถึงจุดที่เด็กสามารถพัฒนาตัวเองได้ไหม เต็มที่ขนาดไหนขึ้นกับครู”

“หลายๆ คลาส ครูอาสาก็พาไปถึงที่สุด ยกตัวอย่าง เด็กคนหนึ่งออกแบบบ้านได้เจ๋งมาก เดิมทีเป็นเด็กที่เรียนอ่อน แต่เขามีความพยายามมาก เราไปคุยกับครูที่สอน จึงได้รู้ว่าเด็กมีดบาด กาวติดนิ้ว กว่าจะตัดจะทำออกมาได้ขนาดนั้นเรียกว่าเขามีความพยายามระดับหนึ่งเลยทีเดียว แล้วเขาต้อง push ตัวเองไปอีก แค่นั้นพอมั้ย แต่ครูอาสาทำได้ดีมาก สร้างแรงบันดาลใจและให้ความสำคัญต่อความทุ่มเทของการทำงาน จนเด็กสัมผัสได้ ทำให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจกับงานจนดึกๆ ดื่นๆ ตีสองตีสามเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ประสบการณ์ของเด็กที่ได้ทำแบบนี้มันจะติดตัวไป พอเจอความยากลำบากจะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จะผ่านไปได้ ผลงานออกมาดีและประสบความสำเร็จได้”

วันแสดงผลงานพิสูจน์ศักยภาพ

เมื่อ Saturday School จัดการเรียนการสอนไปจนครบ 10 สัปดาห์ ก็จะมีกิจกรรมวันสำคัญของโครงการก็คือวัน ‘Big day’ เป็นวันแสดงผลงานที่เด็กๆ ได้เรียนมา ข้อดีของกิจกรรมก็คือเด็กจะได้แลกเปลี่ยนกัน ใครเรียนอะไรก็โชว์สิ่งนั้น เช่น เด็กการแสดงก็มาแสดง เด็กทำอาหารก็มาทำอาหาร เป็นกีฬาก็มาโชว์กีฬา เรียนฟิล์มก็โชว์หนังสั้น เป็นวันที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากทั้งครูและเด็ก

ครูยีราฟเล่าเพิ่มว่า เมื่อเด็กๆ พบว่ามีคนสนใจสิ่งที่พวกเขาทำ ก็ทำให้อยากเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อ

“อย่างเด็กในชุมชนที่แสดงดนตรี แสดงเสร็จมีเสียงกรี๊ดเยอะมากจากในฮอลล์ เปิดเพจตัวเอง ร้องเพลง เวลาคนในชุมชนมีงาน เขาก็เอาไปแสดง คนในชุมชนก็มองเด็กๆ กลุ่มนี้เปลี่ยนไป”

นอกจากเด็กๆ จะได้แสดงผลงานอย่างภาคภูมิใจแล้ว ครูอาสาก็ทึ่งในศักยภาพของเด็กๆ เช่นกัน

“อย่างเด็กคนหนึ่งที่ไม่กล้าพูด ไม่เห็นค่าในตัวเอง แต่เมื่อเรียนวิชาการแสดง การพูดในที่สาธารณะ สุดท้ายก็เป็นประธานนักเรียนของโรงเรียน พูดโน้มน้าวใจเพื่อนๆ อีกหลายร้อยคน”

ครูยีราฟเล่าเพิ่มเติมว่า ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ว่าเด็กๆ จะเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างไรจากการสังเกตชั้นเรียน Saturday School และพบว่ามี 4 ประการสำคัญดังนี้

  • Learning motivation มีพลังในการเรียนรู้ มีแรงขับในตัวเอง
  • Sense of purpose ตั้งเป้าหมาย มองเห็นตัวเองในอนาคต
  • Growth mindset ก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อเรียนรู้
  • Grit ความอดทนพยายามเพื่อไปถึงจุดมุ่งหมาย

เด็กที่เรียนวันเสาร์ เมื่อเรียนในห้องวันธรรมดาก็จะเห็นแววตาที่เปลี่ยนไป ผมให้เด็กเขียนว่าอยากทำอะไรในอนาคต ทำยังไงให้ไปถึงเป้า เด็กที่เรียนวันเสาร์ ชัดเจนว่าเขียนออกมาได้เรื่อยๆ 1-2 หน้าเป็นเรื่องปกติ เด็กที่ไม่เรียนจะมีแค่สองสามบรรทัด นึกไม่ออกว่าตัวเองจะไปถึงไหน และไม่กล้าที่จะนึกด้วย

“มากกว่าความรู้ที่เด็กได้ จริงๆ เราไม่ได้ประเมินความรู้เท่าไหร่ ก็จะเห็นในวันบิ๊กเดย์ที่โชว์ผลงานได้ดี แต่อยากเห็นกระบวนการมากกว่า อย่างเด็กเรียนวิชาเต้น สอนเก้าถึงเที่ยง เขาก็อยากซ้อมต่อถึงช่วงบ่ายจนโรงเรียนมาไล่ ความพยายามพวกนี้แหละคือสิ่งที่เราต้องการ” ครูยีราฟเล่ายิ้มๆ

โครงการ Saturday School ของครูยีราฟ คือตัวอย่างของการเรียนรู้ที่คุกรุ่นไปด้วยแรงบันดาลใจ ความสนใจอยากจะลงมือทำ ประกอบกับการจัดการเรียนการสอนที่ใส่ใจและให้ความสำคัญต่อเด็กๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือลมใต้ปีกที่ดันให้เด็กบินได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากความสามารถและศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด

อย่าว่าแต่ทะยานไปสุดขอบฟ้าเลย สุดขอบจักรวาลก็ไปได้!

ก้าวต่อไปของ Saturday School

นอกจากซีซั่นปกติของโครงการ Saturday School แล้ว ครูยีราฟเล่าเพิ่มเติมว่ามีแผนจะทำงานพัฒนาการศึกษาไทยต่ออีกมากมาย เช่น
เว็บไซต์ http://www.inskru.com รวบรวมแผนการสอนของคุณครูทั่วประเทศเป็นสื่อต่างๆ เช่น คลิปวิดีโอ หรือมีไอเดียต่างๆ ในการสอนก็มาร่วมแชร์กัน ครูท่านไหนสนใจอยากหาวิธีการสอนใหม่ๆ ก็เข้าไปอ่านและแชร์ได้

Lab การศึกษา จะเทสต์บางอย่างที่เกี่ยวกับการศึกษาในชั้นเรียน เช่น ทำ flip classroom เอาการบ้านมาทำในคาบ แต่ให้ไปหาข้อมูลนอกห้อง เช่นให้ดูหนังหรืออ่านหนังสือมาแล้วมาช่วยกันอภิปรายในชั้นแทนเพื่อลดเวลาในการเรียนและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเทสต์ทักษะตั้งคำถามให้เด็กถามคำถามทั้งวัน ฯลฯ

การต่อยอดผลงานเด็กๆ จาก Saturday School จะพยายามดูว่าแต่ละคลาสไปทำอะไรต่อได้บ้าง เด็กร้องเพลงเพราะ ให้ไปฝึกงานกับบริษัทอื่นได้ไหม เด็กอยากแสดงไปแสดงในโรงละครมืออาชีพได้ไหม ฯลฯ

หากใครสนใจร่วมเป็นครูอาสา หรือร่วมระดมทุน คลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ https://saturday-school.com/ ได้เลย!

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมTeach for Thailandสรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ความสิ้นหวังการศึกษาในกราฟิกดีไซน์: ศิลปะต้องสร้างอนาคต

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เนิร์สเซอรีสวีเดน เด็กผู้ชายเรียนเต้น เด็กผู้หญิงเรียนว้าก
Education trend
1 June 2018

เนิร์สเซอรีสวีเดน เด็กผู้ชายเรียนเต้น เด็กผู้หญิงเรียนว้าก

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • การสอนให้เด็กผู้ชายเรียนเต้น ฝึกเด็กผู้หญิงให้ตะโกน คือส่วนหนึ่งของห้องเรียนไร้เพศ
  • ดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา แต่การสอนแบบไม่ระบุเพศกำลังทำอย่างจริงจังในสวีเดน โดยเริ่มต้นที่ห้องเรียนเด็กเล็ก
  • ไม่ระบุเพศ ดีหรือไม่ดีอย่างไร งานวิจัยส่วนหนึ่งชี้ว่า การสอนแบบนี้ทำให้การตัดสินของเด็กๆ ว่าอะไรเป็นอะไรตาม stereotype มีแนวโน้มลดลง เขาจะกลับมาเชื่อและฟังเสียงตัวเองมากขึ้น

เด็กผู้ชายเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย บ้างก็ตีกัน ขณะที่เด็กผู้หญิงร้องไห้ให้อุ้ม น่าจะเป็นภาพที่เราเห็นได้ทั่วไปในโรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนหรือเนอร์สเซอรี

แต่ที่ห้องเรียนของเด็กๆ ตัวน้อยโรงเรียน Seafarers – เนอร์สเซอรีย่านชานเมืองตอนใต้ของกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน คุณครูที่นี่กำลังเคลียร์ห้อง เอารถเด็กเล่นกับตุ๊กตาออกไป แล้วจูงมือเด็กผู้ชายมาเล่นทำครัว ขณะที่สอนเด็กผู้หญิงให้ตะโกนว่า “ไม่” จากนั้นก็เริ่มสำรวจและติดตามผลเชิงลึกพร้อมกับถ่ายคลิปวิดีโอเก็บไว้

ไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีแต่เพื่อน

สังคมอาจแยกเพศตามร่างกายและวัฒนธรรมที่ปลูกฝัง แต่โรงเรียนเด็กเล็กหลายแห่งในสังกัดรัฐบาลสสวีเดนลงมือทำหลายอย่างเพื่อถอนรากความคิดดังกล่าวออกไป

เพื่อสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว คณะกรรมการร่างหลักสูตรแห่งรัฐ (state curriculum) กระตุ้นให้ครูและครูใหญ่ เข้าไปมีบทบาทในฐานะ ‘ผู้ออกแบบสังคม’ รวมถึงเรียกร้องให้บุคลากรทางการศึกษาเหล่านี้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ ‘สวนทาง’ กับมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติทางเพศที่ประเพณีเดิมเคยวางเอาไว้

แนวทางปฏิบัติคือ ครูเนอร์สเซอรีหลายแห่งในสวีเดน จะไม่เรียกนักเรียนตามเพศ แทนที่จะใช้คำว่า เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย ครูกลับเรียกเด็กๆ ว่า ‘เพื่อนๆ’ หรือไม่ก็เรียกชื่อเด็กไปเลย ลามไปถึงกิจกรรมการเล่นต่างๆ ก็ถูกออกแบบเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ แบ่งเพศหญิงชายกันเองด้วย

ทั้งนี้คำสรรพนามเพศกลาง อย่างคำว่า ‘hen’ จึงถูกนำมาใช้ โดยคำว่า hen รู้จักกันครั้งแรกในปี 2012 (ในภาษาสวีเดน hon คือ she แทนผู้หญิง และ han ก็คือ he แทนผู้ชาย) และจากนั้นชาวสวีดิชก็รับและนำไปประยุกต์ใช้ เป็นธรรมดาที่คนจะต่อต้าน และรู้สึกลบต่อคำนี้ในช่วงแรก แต่ก็ค่อยๆ ยอมรับมากขึ้นในเวลาต่อมา มีการใช้คำว่า hen มากขึ้นในหลายบริบท ขณะที่ประเทศอื่นยังไม่มีแนวคิดเช่นนี้

มีงานวิจัยที่พยายามค้นหาว่า ‘การไม่ระบุเพศ หรือ Gender-neutral’ เช่นนี้ ส่งผลต่อเด็กอย่างไรบ้าง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วในวารสาร ‘The Journal of Experimental Child Phychology’ สรุปว่า หลายๆ พฤติกรรมจะหายไปเมื่อเด็กๆ เข้าร่วมกิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘ไม่ระบุเพศ’ ในโรงเรียนเด็กเล็ก

เช่น เด็กจะไม่แสดงอย่างชัดเจนว่า ชอบเล่นกับเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกันมากๆ และมีแนวโน้มตัดสินว่าอะไรเป็นอะไรตามเสียงส่วนใหญ่ (stereotype) ค่อนข้างน้อย

อย่าให้ stereotype มาขวางการเรียนรู้

ที่เมือง Hammarbyhojden ทางใต้ของกรุงสต็อกโฮล์ม เอลิส สโตร์ซัน (Elis Storesun) ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศภาพในสถานศึกษา จะนั่งทำงานร่วมกับครูอีกสองคนในห้องเรียนของเด็กวัย 4-5 ขวบ

เมลิซา เอสเทกา (Melisa Esteka) ครูวัย 31 อธิบายว่า “ชั่วโมงศิลปะ เราเห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงวาดรูปเยอะมาก วาดรูปเด็กผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาและขนตายาวมาก มันชัดเจนว่าพวกเธอเป็นเด็กผู้ญิ้งผู้หญิง แล้วเราก็ถามว่า อ้าว แล้วเด็กผู้ชายไม่มีขนตาด้วยเหรอ …พวกเธอก็ตอบมาว่า หนูรู้ค่ะว่ามันไม่เหมือนกับชีวิตจริงหรอก”

สโตร์ซัน วัย 54 เห็นคล้อยตามว่า “พวกเค้าแค่กำลังพยายามทำความเข้าใจว่าเด็กผู้หญิงควรเป็นอย่างไร”

ด้านครูเอสเทกากลับรู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจ เธอตั้งเป้าหมายส่วนตัวเอาไว้ว่า “ต้องหยุด ไม่ให้เด็กๆ แบ่งว่าของสิ่งไหนมีไว้เพื่อเด็กผู้ชายและของสิ่งไหนมีไว้เพื่อเด็กผู้หญิง” แต่เพียงไม่นาน เด็กๆ ในห้องก็เริ่มซึมซับ เรียนรู้ความเป็นชายหญิงแบบ stereotype จากป้ายโฆษณาและการ์ตูน จนทำให้ดูเหมือนว่ากระบวนการสลายเพศนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่งานเชิงระบบอย่างนี้โรงเรียน Seafarer เข้าใจดีว่าต้องค่อยๆ ทำไป เพราะการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดด้วยเวลา หรือกรอบสี่เหลี่ยมของห้องเรียน

“เด็กๆ ได้หลายอย่างจากกระบวนการนี้” พวกเขาได้โลกทั้งใบกลับบ้านไปด้วย ซึ่งพวกเราไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้ได้เลย”

ครูก็ต้องสอนแบบไร้เพศ

การทดลองใช้แนวคิดไม่ระบุเพศในโรงเรียนเด็กเล็กของสวีเดน เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1996 ในเมืองเล็กๆ ชื่อ Trodje อยู่ติดกับทะเลบอลติก คนที่ริเริ่มชื่ออินเกมาร์ เกนส์ (Ingemar Gens) เขาไม่ใช่นักการศึกษาแต่เป็นนักข่าวที่เริ่มจากความสนใจเรื่อง มานุษยวิทยาและทฤษฎีเพศสภาพ (gender) และเขาก็ได้ไปศึกษาค้นคว้าเรื่องชายชาวสวีเดนหาคู่ (ภรรยาคนไทย) ผ่านทางอีเมล สะสมความรู้ข้อมูลมาเรื่อยๆ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ‘โอกาสที่ต้องเท่าเทียม’ (equal opportunity)

เกนส์ต้องการรื้อแนวความเชื่อของ stoic หรือ ‘บุคคลผู้ซึ่งสามารถกดเก็บอารมณ์และมีความอดทน’ ซึ่งกลายมาเป็นบุคลิกของสุภาพบุรุษสวีดิช คือ เก็บความรู้สึก ไม่ระบายและไม่อ่อนแอ

เกนส์คิดว่าโรงเรียนเด็กเล็ก คือที่ที่เหมาะสมในการรื้อทิ้งระบบคิดดังกล่าว และสอดแทรกกระบวนการที่เรียกว่า การชดเชยทางเพศ (compensatory gender) เข้าไป

ช่วงแรกมี 2 โรงเรียนที่เอาด้วยกับสิ่งนี้

แต่ละวัน เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนก่อนวัยเรียนจะถูกแยกกันอยู่ช่วงหนึ่ง โดยครูจะสอนเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับเพศอื่น เด็กผู้ชายจะถูกสอนให้นวดเท้าซึ่งกันและกัน ส่วนเด็กหญิงจะถูกพาเดินบนหิมะด้วยเท้าเปล่า และสอนให้เปิดหน้าต่างแล้วตะโกนออกไปดังๆ

“เรากำลังสอนเด็กผู้ชายให้ทำในสิ่งที่เด็กผู้หญิงรู้อยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับเด็กผู้หญิง เราก็สอนเช่นนั้น” เกนส์ซึ่งตอนนี้อายุ 68 แล้ว บอกอีกว่า ที่ผ่านมาเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียหายเยอะมาก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว

“พวกเขาบอกว่าเรากำลังฝังหัวความคิดผิดๆ ให้เด็ก” เกนส์ยังบอกอีกว่า “ผมคิดว่า พวกเราเอง (ผู้ใหญ่) ก็ยัดเยียดทุกเรื่องให้เด็กๆ มาตลอด”

จากนั้น ครูก็ถูกขอความร่วมมือให้เช็คหรือสังเกต วิดีโอเทปการสอนของตัวเองอีกครั้งเพื่อแยกให้ออกว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง วิธีการสอนเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง

ครูหลายคนพบว่า พวกเขาพูดเยอะ และใช้ประโยคที่ซับซ้อนกับเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย

เฮเลนา แบกสตรอม (Helena Baggstrom) ครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ขอเรียกดูวิดีโอเทปของเธอ ขณะอยู่ในห้องน้ำซึ่งกำลังดูแลและแต่งตัวให้เด็กๆ มีอยู่ตอนหนึ่งทำให้เธอค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ทำลงไป…

ในวิดีโอเทป เธอเห็นตัวเองกำลังง่วนกับการช่วยแต่งตัวให้เด็กผู้ชาย ขณะที่เธอกลับปล่อยให้เด็กผู้หญิงแต่งตัวเอง เพราะคิด (เอาเอง) ว่า เด็กผู้หญิงจะแต่งตัวเองได้

“ยิ่งเราดู เรายิ่งเห็น เรายิ่งรู้สึกกลัวสิ่งที่เราทำ” แบกสตรอม สารภาพ

ในปี 1998 รัฐบาลสวีเดนได้เพิ่มภาษาใหม่ ในการหลักสูตรการศึกษาของประเทศ เรียกร้องให้โรงเรียนก่อนวัยเรียน ลดทอนบทบาทและหน้าที่ที่แบ่งตามเพศแบบดั้งเดิม และกระตุ้นให้เด็กๆ ได้สำรวจเองอย่างไร้ข้อจำกัดหรือกรอบทางเพศ ส่วนโรงเรียนไหนจะปรับใช้อย่างไร ให้อยู่ภายใต้นโยบายของแต่ละแห่ง

ช่วงแรกนักอนุรักษนิยม ก็ออกมาประท้วงและต่อว่านโยบายดังกล่าวเป็นการล้างสมองของฝ่ายก้าวหน้า

ยกตัวอย่างพรรคฝ่ายขวาอย่าง Sweden Democrat Party ได้ที่นั่ง 13 เปอร์เซ็นต์จากการเลือกตั้งในปี 2014 ให้คำสัญญาว่าจะนำการสอนแบบ “ค้นหาเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการระบุเพศของเด็กๆ / คนรุ่นใหม่” กลับคืนมาให้ได้

แต่ในบรรยากาศการเมืองและสังคมขณะนั้น กลับให้ความสำคัญ นโยบายอย่างการอพยพ ความเท่าเทียมทางเพศ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคหัวก้าวหน้า คือ The Center Left Social Democrat และ The Center Right Moderates จนได้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากสำเร็จ

ทำไม สีฟ้า = ผู้ชาย?

ว่าที่คุณครูวัย 26 ปี อย่าง เอลิน เกอร์ดิน (Elin Gerdin) โดยรูปลักษณ์ภายนอก เธอดูเป็นผู้หญิงตามแบบฉบับ stereotype ผมยาวสีเข้มเป็นลอนสวยด้วยโรลไฟฟ้า เกอร์ดินบอกว่า ดูผ่านๆ เธอคือผู้ญิ้งผู้หญิง ซึ่งเป็นสัญญาณแรกเลยที่บ่งบอกเพศ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากเสื้อกันฝนที่เราสามารถจะสวมหรือถอดมันออกก็ได้

“นี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเพราะมันคือฉัน และ มันคือตัวฉันเพราะฉันคือผลผลิตของสังคม”

ตอนที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายช่วงย้อนกลับมาในความคิดของเกอร์ดิน

เพื่อนคนหนึ่งของเกอร์ดินกำลังมีลูก และเขาก็โพสต์รูปลงเฟซบุ๊ค แต่งรูปด้วยสีฟ้าไม่ก็สีชมพู สำหรับเกอร์ดินนี่คือการแบ่งเพศอันดับแรกๆ ในสังคม

เกอร์ดินรู้สึกผิดหวังกับสิ่งนี้ รู้สึกเสียใจกับเด็กๆ เธอจึงตัดสินใจไปหาเพื่อนคนนั้นและอธิบายเรื่องนี้อย่างจริงจังว่าพวกเขากำลังทำผิด เกอร์ดินทำไปเพราะรู้สึกว่ามันคือความรับผิดชอบของเธอ

“เรากำลังแบ่งกลุ่มเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโต เรากำลังสอนเด็กให้ไปทางนั้นทางนี้ ซึ่งการเปลี่ยนสังคมทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

สอนแบบไม่ระบุเพศ สอนอย่างไรดี

ที่โรงเรียนเด็กเล็ก Seafarer กระบวนการเรียนแบบไม่ระบุเพศเริ่มต้นในช่วงเช้า เด็กๆ กำลังปีนป่ายอย่างสนุกสนานในชุดหมี (ข้างนอกหิมะขาวโพลน) แต่ถ้ามองเข้าไปดีๆ จะเห็น ‘ออตโต’ เด็กชายวัย 3 ขวบเล่นรวมอยู่ในชุดเดรสของเด็กผู้หญิง

ออตโตชอบใส่ชุดกระโปรงมากกว่า เขาบอกว่าชอบที่สุดตอนหมุนตัวแล้วกระโปรงบานออก นั่นทำให้เขา ‘ไม่เหมือนใคร’ ที่นี่

จนถึงตอนนี้ไม่มีใครสักคนในครอบครัวออตโต ทั้งปู่ย่า พี่เลี้ยง หรือเพื่อนๆ ที่จะบอกให้ออตโตเลิกใส่กระโปรง

ลีนา คริสเตียนสัน (Lena Christiansson) แม่ของออตโตวัย 36 ปี ก็บอกว่าอยากให้ลูกชายแต่งอย่างนี้ไปนานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

“ความคาดหวังแบบนี้กำลังเพิ่มมากขึ้น” สโตร์ซัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศของ Seafarer บอกอีกว่า “ตอนนี้พ่อแม่เริ่มหันมาถามเราว่า คุณคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องเพศ”

ไม่ใช่แค่เฉพาะพ่อแม่ เด็กๆ ด้วยกันเองก็อาจทำให้กระบวนการเรียนรู้เรื่องนี้ขลุกขลักไปบ้าง

สโตร์ซันยกตัวอย่าง เด็กผู้ชายวัย 3 ขวบคนหนึ่ง ปฏิเสธที่จะวาดรูปหรือเต้น เด็กคนนี้เลยถูกแก๊งเพื่อนๆ ขู่ว่าถ้าไม่ทำจะตัดออกจากกลุ่มผู้ชาย

ร้อนถึงสโตร์ซันต้องเข้าไปแก้ปัญหา คลี่คลายด้วยการจัดกิจกรรม จนสุดท้ายเธอก็เกลี้ยกล่อมให้เด็กผู้ชายกลับมาเล่นกันได้เหมือนเดิมโดยไม่เกี่ยงเพศ

การรักษาบรรยากาศไร้เพศในโรงเรียนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คารินา ซีฟบยอร์ค (Carina Sevebjork) วัย 57 ที่เคยสอนในโรงเรียนราว 1 ปีครึ่ง บอกว่ามีบ่อยครั้งที่เธอพูดอะไรผิดๆ ออกไป เช่น บ่นเรื่องการแต่งตัวของเด็กๆ โดยไม่ทันคิด

“คุณพูดออกไปในแบบของคุณโดยอัตโนมัติ แต่คุณต้องรับผิดชอบผลของมัน แทนที่จะบอกสวยไม่สวย คุณสามารถแสดงความเห็นเรื่องเสื้อผ้าเด็กๆ ด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น โอ้ว พระเจ้า มีโพลกาดอทกี่วงบนเสื้อหนูจ๊ะเนี่ย”

อีกหนึ่งตัวอย่าง …อิซาเบล แซนด์เบิร์ก (Izabell Sandberg) ครูวัย 26 ก็สังเกตเด็กหญิงวัย 2 ขวบที่พ่อแม่พามาส่งด้วยชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนพอดีตัว ตลอดทั้งวันหนูน้อยคนนี่้จะระวังตัวไม่ให้สกปรก ถ้าเด็กๆ คนอื่นมาแย่งของเล่นเธอไป อย่างมากก็แค่ร้องไห้กระซิกๆ

“เธอเหมือนจะยอมให้กับทุกอย่าง” แซนด์เบิร์ก จับสังเกต “ฉันคิดว่ามันเป็นบุคลิกของเด็กผู้หญิงมากๆ เหมือนว่าเธอกำลังขออนุญาตทุกคนเพื่อให้มานั่งอยู่ตรงนี้”

จนเช้าวันหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนี้ใส่หมวกมาและกำลังจัดกระเป๋าสะพายให้เรียบร้อย เตรียมตัวเองให้พร้อมออกสำรวจในกิจกรรม จู่ๆ เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ก็เดินออกจากห้องพร้อมหยิบกระเป๋าของเธอไปด้วย เธอรีบยื่นมือขวางแล้วตะโกนเสียงดังมากๆ ว่า “ไม่” จนแซนด์เบิร์กต้องหันกลับมามอง

เวลาผ่านไป เด็กผู้หญิงคนนี้เริ่มพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชาย ตกเย็นการแต่งตัวที่เคยเรียบร้อยก็กลับมอมแมม พ่อแม่ไม่ค่อยพอใจ และรายงานครูว่าตอนอยู่บ้าน ลูกสาวเริ่มดื้อและไม่เชื่อฟังมากขึ้น

ได้ฟังอย่างนั้น ครูแซนด์เบิร์กตอบกลับพ่อแม่ไปอย่างนี้

“นี่เป็นสิ่งที่โรงเรียนเราพยายามทำอยู่ ดังนั้นเราจะไม่ห้ามเด็กๆ ค่ะ” (ยิ้ม)

ที่มา:
In Sweden’s Preschools, Boys Learn to Dance and Girls Learn to Yell

Tags:

เพศการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Life classroom
    Male Feminist ผู้นำเสนอความเท่าเทียมผ่านปลายปากกา: วิน นิมมานวรวุฒิ ‘โรแมนติกร้าย’

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Movie
    Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Education trend
    10 อันดับประเทศที่เหมาะต่อการเลี้ยงลูกมากที่สุดแห่งปี 2020

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม
Transformative learning
30 May 2018

เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ฮิตเล่นบอร์ดเกม แถมเป็นที่สนับสนุนโดยนักการศึกษาและคนทำงานทางสังคม ทำไม?!
  • เพื่อจำลองความขัดแย้งและเปิดช่องให้สื่อสารโดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้อหรือล่มจม เพราะต่อให้ในเกมจะมีการโกง เกทับ ข่มขู่ แต่ทุกความขัดแย้งจบลงในเกม ไม่มีต้นทุน และยังเปิดพื้นที่ให้พูดคุยเจรจาเพื่อความเข้าใจ
  • “เวลาที่พูดถึงสันดานดิบ ที่สุดคือการเรียนรู้ผ่านข้อผิดพลาด แต่เป็นข้อผิดพลาดที่จำลองขึ้นโดยไม่มีต้นทุนในชีวิตจริง แต่เขาเข้าใจ รู้ว่าถ้าปล่อยสันดานดิบบางอย่างโดยไม่ระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น เขาจะได้รับผลเหมือนอย่างที่ได้รับในเกม”
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

พูดถึงคำว่า ‘เกม’ คุณพ่อคุณแม่เป็นต้องทำหน้านิ่วขมวดคิ้วรอ เกมคือการใช้เวลาว่างโดยเปล่าประโยชน์  ที่สำคัญเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กๆ หมกมุ่นจนไม่เป็นอันเรียนอันนอน

…นั่นอาจจะหมายถึงเกมออนไลน์ แต่เรากำลังพูดถึง ‘บอร์ดเกม’

ขณะนี้บอร์ดเกมถูกพูดถึงในวงการศึกษา โดยเฉพาะประเด็นเคลื่อนไหวเชิงสังคม จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อเกทับหรือห้ำหั่นกัน (อาจจะมีบ้างเพื่อความสนุกตามธรรมชาติ) แต่เพื่อจำลองความขัดแย้ง ปัญหา และเปิดช่องให้สื่อสารโดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้อหรือล่มจม จริงๆ

“เวลาที่พูดถึงสันดานดิบ(ที่ออกมาระหว่างเล่นบอร์ดเกม) ที่สุดคือการเรียนรู้ผ่านข้อผิดพลาด แต่เป็นข้อผิดพลาดที่จำลองขึ้นโดยไม่มีต้นทุนในชีวิตจริง แต่เขาเข้าใจ รู้ว่าถ้าปล่อยสันดานดิบบางอย่างโดยไม่ระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น เขาจะได้รับผลเหมือนอย่างที่ได้รับในเกม”

คือคำอธิบายโดยดร.เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกหนึ่งบทบาทคือ สมาชิกกลุ่มเถื่อนเกม นักวิชาการที่ชวนทั้งลูกตัวเอง – แดนไท สุขกำเนิด และลูกศิษย์เล่นและพัฒนาบอร์ดเกมอย่างจริงจัง เขาใช้บอร์ดเกมทั้งในและนอกห้องเรียน และการบรรยายนอกสถานที่

คงไม่ผิดหากบอกว่าอ.เดชรัตคือ คอเกม แต่ทำไมนักวิชาการอย่างเขาจึงติดและนำไปให้นิสิต นักศึกษา และชาวบ้านเล่นกันจนติดงอมแงมขนาดนี้ มันมีดีอะไร เป็นเครื่องมือทางการเรียนรู้สมัยใหม่ที่สำคัญอย่างไร และทำไมเขาจึงชวนเชิญให้ครูหลายท่าน หันมาใช้บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้

บอร์ดเกมคืออะไร ทำไมในวงการศึกษาจึงฮิตเล่นบอร์ดเกมกันมาก

บอร์ดเกมอาจจะไม่เหมือนเกมทั่วๆ ไป อย่างน้อยก็สองลักษณะใหญ่ๆ ประเด็นแรกคือ มันต้องการการมีส่วนร่วมระหว่างกัน (interaction) ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าจริงๆ บอร์ดเกมสร้าง interaction ระหว่างกันได้มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ ยกตัวอย่าง เรานั่งดูทีวีด้วยกัน เราอาจจะแทบไม่ได้คุยกัน หรือเราอาจจะพูดถึงกันบ้าง แต่ interaction ระดับลึกลงไป เช่น คุณคิดยังไง คุณจะแก้ปัญหานี้ยังไง ในบอร์ดเกมจะมีเยอะกว่า

ประเด็นที่สอง บอร์ดเกมตามมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า คอนเทนต์ ภาษาบอร์ดเกม หรือจะเรียกว่าธีมก็ได้ ธีมที่มีอยู่ในบอร์ดเกม เช่น ถ้าเราเล่นเกมเรื่อง CO2 ก็จะเป็นเกมที่ให้ข้อมูล ให้ความคิด และวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Yellow Card เกมจับปลาที่แดนไทย (ลูกชาย) พัฒนาขึ้นมาก็จะเป็นตัวอย่างที่บอกว่าถ้าเราจับปลากันเยอะเกินไป มันก็จะทำให้ทรัพยากรประมงหายไป เหมือนที่ประเทศเราโดนใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในเรื่องประมง เลยเป็นที่มาชื่อเกมว่า Yellow Card อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น บอร์ดเกมมันจะมีธีมซึ่งให้สาระอยู่ บางทีการชวนพูดชวนคุยมันก็อาจจะนึกภาพไม่ได้ว่าตกลงมันคืออะไร ชาวประมงจับปลาเกินปริมาณที่ควรจะเป็นคืออะไร? เราอาจฟังเฉยๆ แต่จำลองสถานการณ์เข้ามาอยู่ในตัวเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่ชวนลูกเล่นบอร์ดเกมในธีมต่างๆ มันก็จะเข้าไปสู่ขั้นที่สามที่เราวางไว้ที่เรียกว่า empathy หรือ ความเข้าอกเข้าใจคนอื่นในบทบาทหรือในสถานการณ์ที่แตกต่างจากเรามากขึ้น

เพราะฉะนั้นในตัวบอร์ดเกมจึงมีสามองค์ประกอบที่สำคัญ คือ สร้าง interaction สอง ได้เรียนรู้คอนเทนต์เนื้อหา สาม เกิดความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้เล่นกับผู้เล่นเพียงอย่างเดียว แต่เข้าใจบทบาทที่เรารับมาด้วย

เข้าใจอย่างไร

ความเข้าอกเข้าใจมันจะอยู่ในสิ่งที่เราเรียกว่าธีมหรือคอนเทนต์ของเรื่อง นักออกแบบบอร์ดเกมก็จะบอกว่า เราต้องคิดก่อนว่าสิ่งที่ต้องการจะสื่อในเกมนั้นคืออะไร อย่าง Yellow Card หรือเกมจับปลา สิ่งที่เราต้องการจะสื่อคือทรัพยากรประมง เป็น Open access หรือการที่ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรได้โดยเสรี แล้วไปจับออกมามันจนเกินขีดความสามารถที่ทรัพยากรประมงจะผลิตขึ้นมาใหม่ได้ มันก็เลยเสื่อมโทรมลงไป

นักออกแบบเกมก็จะเอาประเด็นเหล่านั้นมาคิดว่า แล้วกลไกในเกมอะไรที่จะเป็นกลไกง่ายๆ แต่ถูกต้องครบถ้วน คือถ้าจับเยอะ ทรัพยากรก็จะน้อยลง จะเพิ่มทรัพยากรประมงได้ก็ต้องอาศัยการบริจาคของแต่ละคน แต่สุดท้ายแล้วจะเกิดภาวะที่เรียกว่า ‘การต้องตัดสินใจระหว่างคุณค่าส่วนตัวกับคุณค่าส่วนรวม’ ตรงนี้จะเกิดการเจราการหารือต่อรองกันว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร

ขณะเดียวกันตัวเกมก็ซ่อนกลไว้อีกชั้นหนึ่งว่า ถ้าคุณจับได้เยอะ ทุกคนจับได้เยอะ จนทรัพยากรเสื่อมสลาย วงทั้งวงจะต้องแพ้ การซ่อนกลอยู่สองชั้นนี่แหละครับคือปมขัดแย้งภายในเกม แต่ละคนต้องหาจุดสมดุลกันว่าจะเป็นยังไง คนชนะก็จะมีแนวโน้มเป็นผู้มีวิธีการร่วมมือกับคนอื่น ขณะเดียวกันก็ได้ประโยชน์จากการจับของตนเองด้วย

สิ่งที่น่าสนใจของเกมนี้คือ พอเล่นเสร็จ เราจะมีการพูดคุยกัน ไม่ได้เป็นการให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นผู้ชนะ แต่จะให้ความรู้สึกว่า เข้าใจแล้วว่าการอยู่ร่วมกันมันต้องมีการเจรจา ต่อรอง ต้องมีกลไกเข้ามาควบคุม กำกับกันได้อย่างไร มิฉะนั้นอาจจะแพ้ทั้งวง

ดังนั้นแล้วจุดพีคของเกม คือความรู้สึกของผู้เล่นตอนจบเกม และการถอดบทเรียนเพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่การแพ้ชนะ?

การจะไปสู่ข้อสรุปเช่นนั้นได้ เราต้องรู้ว่าจุดพีคต้องเกิดในเกม คราวนี้เราต้องไปสร้างกลไกเกมให้มันเกิดจุดพีค เกมมันเลยต่างจากละครนิดหน่อย ในละคร เราสามารถคิดอย่างดีที่สุดว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น พระเอกนางเอกซ้อมกันเล่นกันจนเกิดอย่างนี้ อย่างน้อยที่สุดก็คอนโทลได้มาก

แต่ในเกมมันไม่รู้ไงว่าผู้เล่นจะเล่นอย่างไร อาจจะเกิดอาการเแป้ก แทนที่เขาจะโลภแล้วจับปลาได้เยอะเขากลับไม่โลภ อะไรแบบนี้ เราก็ต้องสร้างกลไกให้เป็นไปตามนั้น ในละครจะเล่นตามบท แต่นี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเองแล้วมันก็เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาจริงๆ ด้วยตัวฉันเอง ด้วยมือฉันเอง เราก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยตัวเราเอง

เพราะฉะนั้นนักออกแบบเกมจึงต้องดูคอนเทนต์ก่อนอันดับแรก และก็เอาคอนเทนต์ที่ว่ามาแปลงเป็นกลไกเพื่อที่จะไปถึงจุดพีค พอถึงจุดพีคเราก็เอาจุดพีคมาพูดคุยโยงไปถึงจุดคอนเทนต์ที่เป็นจุดเริ่มต้น แต่คราวนี้การโยงมันไม่ใช่เป็นการเล่าแล้ว มันเป็นการโยงลักษณะที่ว่าตอนนั้นคุณคิดอย่างไรเหรอ เมื่อทำไปแล้วไม่เกิดผลอย่างที่ว่า ความรู้สึกคุณเป็นอย่างไร แล้วเราคิดว่าในชีวิตจริงเราจะปรับสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้ามาร่วมกันได้อย่างไร

เพราะอะไรอาจารย์จึงใช้บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แทบจะทุกคลาส

เสน่ห์ของมันคือ หนึ่ง เขาได้ทดลองเอง เราพบว่าคนรุ่นใหม่อยากจะมีโอกาส มีประสบการณ์ตรง อย่างคำที่เขาชอบพูดกันมากตอนนี้คือ Experience learning แต่ประสบการณ์อย่างนั้นไม่สามารถอยู่ได้ในทุกที่ บอร์ดเกมคือการจำลองสถานการณ์ขึ้นมา แล้วเข้าไปอยู่ในประสบการณ์ของคนที่อยู่ตรงหน้า

เราจะได้เห็นว่าเขามีเงื่อนไขในชีวิตอย่างไร เห็นความพยายามขวนขวายเอาชนะ เอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้น แต่การขวนขวายเอาตัวรอดนั้นนำมาสู่ความเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นว่า ที่ไม่รอด หรือรอดเป็นเพราะอะไร

ในบอร์ดเกม ความเข้าอกเข้าใจไม่ได้อยู่ที่ตัวเราอย่างเดียว อยู่ที่คนอื่นด้วยว่าเขาจะมีท่าทีหรือตอบสนองต่อสิ่งที่เราทำหรือไม่อย่างไร ทั้งหมดนี้จะค่อยๆ เรียนรู้และค่อยเกิดขึ้นเป็นความเข้าใจและนำไปสู่ความมั่นใจในลำดับต่อไป

อาจารย์ไม่ได้ใช้บอร์ดเกมแค่กับนักศึกษา แต่ใช้ในการบรรยายนอกสถานที่ด้วย

บอร์ดเกมทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ทุกวง ไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน เราเคยไปใช้เรื่องของการนำวางแผนพลังงานในภาคใต้ เพื่อทำให้พี่น้องในภาคใต้เห็นว่าเวลาวางแผนพลังงาน มันต้องคิดเรื่องอะไรบ้าง ถ้าไฟฟ้าเราเพิ่มขึ้น ก็ต้องไปหาแหล่งไฟฟ้ามา ไฟฟ้าแต่ละแหล่งที่ไปหามามันมีผลประโยชน์ในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน แล้วอีกที่หนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งเขาทำอย่างไร จะแข่งกันยังไงเพื่อให้ระบบไฟฟ้าของเราดีที่สุด ซึ่งในตอนสรุปเขาก็จะพูดในเชิง “เข้าใจแล้ว มันมีความยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะ” เป็นสิ่งที่ต้องเข้าไปร่วมทำเพื่อบอกว่าเราต้องการให้เกิดผลอะไร

พูดได้ว่า นำเกมไปเล่นเพื่อให้เห็นความขัดแย้งจริง จำลองความขัดแย้งเข้มงวด เพื่อเปิดพื้นที่พูดคุยสร้างความเข้าใจ และลดความขัดแย้ง?

Conflict จะถูกแก้ ต้องดูว่านอกจากความแตกต่าง คุณจะอยู่ร่วมกันอย่างไร แต่ในโลกของความเป็นจริงเราไม่มีโจทย์ว่าเราอยู่ร่วมอย่างไรนอกจากภาพกว้างๆ ว่าคุณเป็นคนไทยเหมือนกันนะ แต่อย่างอื่นกลับไกลตัวหมด แม้กระทั่งไฟดับก็อาจจะยังไกลออกไปเพราะมันยังไม่ได้ดับปีนี้นะ การตัดสินใจเรื่องโรงไฟฟ้าทั้งหลายมันอาจจะดับหรือไม่ดับในอีกไม่รู้กี่ปีข้างหน้า แต่ในเกมมันจะดับในรอบถัดไปเลย คุณจะทำอย่างไร ก็ทำให้ทุกคนเอาสถานการณ์หรือประสบการณ์ที่อาจเกิดในอนาคต จำลอง.ให้เกิดในปัจจุบัน

สิ่งสำคัญสำหรับเกม คือเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย แต่ข้อผิดพลาดทั้งหมดจะต้องทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ฉันพลาดนะ” ไม่ว่าจะอินแค่ไหนและเพียงใด ในความเป็นจริงต้นทุนยังเป็นศูนย์ มันยังไม่มีต้นทุนในชีวิตจริง แต่เขาจำได้นะเวลาเล่นประมง เวลาคนที่โดนใบแดงก็จะบอก โอ้โห… เขาแพ้ เขาโดนใบแดง แต่เขาไม่ได้เสียหายอะไร เพราะฉะนั้นในห้องเรียน มันก็ไม่ค่อยมีโอกาสที่เราจะปล่อยให้นักเรียนได้ทำผิดพลาด ในเกมก็จะเป็นกระบวนการเรียนรู้ผ่านการผิดพลาดของเราเอง

เรียกว่าพานักเรียนออกจากห้องเรียน เข้าสู่สถานการณ์ที่เข้มงวดมากๆ ด้วยเกม

และให้ทุกคนได้ผ่านความผิดพลาด บางคนอาจพูดว่าบอร์ดเกมปล่อยสันดานดิบออกมา จริงๆ แล้วมันก็ต้องตั้งคำถามก่อนว่า ในห้องเรียน เรากันสันดานดิบแบบไหนไม่ให้เกิดขึ้นหรือเปล่า ในห้องเรียนแบบไทย เราอาจจะต้องการให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบจารีตที่ควรเป็น เพราะฉะนั้นสันดานดิบแต่ละคนอาจมี ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ มันมีอยู่แต่ไม่รู้ว่าจะออกมาตรงไหน

หลายๆ ครั้ง มันไปออกนอกห้องเรียน แล้วพอออกนอกห้องเรียนหลายครั้ง ห้องเรียนก็บอกว่าถ้าคุณทำถึงขนาดนี้ก็ออกไปจากระบบโรงเรียน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วถ้าเรามองในมุมกลับ สันดานที่ถูกใช้ในเกมซึ่งต้นทุนความผิดพลาดเป็นศูนย์ แต่เราเปิดให้เขาแสดงออกมา บางเกมก็มีลักษณะของการเกทับ ข่มกัน หรือโกงกันบ้าง แต่ผลสุดท้าย นักสร้างเกมที่ดีต้องให้ฟีดแบคกลับมาว่า ถ้าคุณโกงเพื่อน ผลสุดท้ายจะเป็นยังไง ในที่สุดครูได้เอาสันดานดิบมาพูดในแง่มุมที่มีคนได้ลองใช้จริง ไม่งั้นเราจะพูดกันว่า คนนั้นเขาเคยทำแล้วมันเกิดปัญหาแบบนี้แบบนั้น แต่ผู้เรียนอาจไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ครูพยายามจะสอน

เวลาที่พูดถึงสันดานดิบ ที่สุดคือการเรียนรู้ผ่านข้อผิดพลาด แต่เป็นข้อผิดพลาดที่จำลองขึ้นโดยไม่มีต้นทุนในชีวิตจริง แต่เขาเข้าใจ รู้ว่าถ้าปล่อยสันดานดิบบางอย่างโดยไม่ระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น เขาจะได้รับผลเหมือนอย่างที่ได้รับในเกม

ครูบางคนอาจอยากใช้ยาแรงและเร็ว สั่งและปราบให้นักเรียนทำตาม ไม่ต้องรู้สึกหรือตั้งคำถามอะไร

ผมเข้าใจได้นะครับ ชีวิตจริง ถ้าผมเป็นครูที่บอกให้ทุกคนจงแสดงสันดานดิบออกมาแต่ไม่ได้มีกลไกทำให้ผลลัพธ์ของสันดานดิบอยู่ในขอบเขตที่นำไปสู่การเรียนรู้ แต่บอร์ดเกมมันช่วย ช่วยทำให้การแสดงออกอยู่ในขอบเขตของการเรียนรู้โดยที่ไม่ได้มีต้นทุนมากมายในชีวิต ตรงนี้น่าจะมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่คุณครูกังวลได้ เพียงแต่มันพูดยาก ต้องลองสัมผัสแล้วจะรู้ว่ามันมีโอกาสพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเด็กๆ ที่ผ่านมาเราแทบไม่มีโอกาสจะพูดเลยนอกจากเรื่องเล่า แต่อันนี้เขาได้ตัดสินใจเอง ได้เห็นผลของมันเอง

ถ้าเรากำลังพูดถึงข้อเสนอเรื่องการใช้บอร์ดเกม ในฐานะสื่อการสอนอย่างจริงจังในโรงเรียน ต้องมีบอร์ดเกมเยอะแค่ไหน และเล่นอย่างไร

อย่างแรกคือ บอร์ดเกมที่เราเคยเล่นได้มากที่สุดพร้อมกันคือประมาณ 3,500 คน ถามว่าเป็นเกมที่เหมือนเรานั่งเล่นกันหกคนไหม คำตอบคือ ไม่เหมือนกัน ต้องเข้าใจว่าโรงเรียนจำเป็นจะต้องมีการให้ชุดประสบการณ์หลายแบบ

ทำบอร์ดเกมให้มีผู้เล่นจำนวนมากๆ ก็ทำได้ แต่จะเป็นบอร์ดเกมที่ยากขึ้นหน่อยและขณะเดียวกัน ชีวิตจริงเราไม่ได้เจอคน 50 คนเพื่อทำทุกอย่างพร้อมกันเสมอไป อันนี้ก็ต้องตั้งคำถามทางโรงเรียนกลับว่า ประสบการณ์แบบไหนที่เราจะเจอกัน 50 คนตลอดเวลา ไม่อยากให้บอกว่าบอร์ดเกมคือการนั่งกันหกคน เราก็พยายามพัฒนาเกมตั้งแต่นั่งกันหกคน ยี่สิบคน ห้าสิบคน จนถึงเกินร้อยคนขึ้นไป เราก็พัฒนาขึ้นมาให้เหมาะกับทุกรูปแบบ

ครูจะเห็นอะไร จากการเล่นบอร์ดเกม

ถ้าเราถอดหัวโขนออกมันก็จะได้เห็นเด็กในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นความสำคัญที่ไม่ได้เอาตัวเราเป็นที่ตั้ง เช่น เวลาเราคอนเมนท์งานนิสิต เหมือนอาจารย์เป็นตัวตั้ง นิสิตเป็นผู้รับคอมเมนท์ว่าจะผ่านไม่ผ่าน แต่เวลาทำเกมโดยเฉพาะเวลาออกแบบบอร์ดเกม คนที่เป็นตัวตั้งจริงๆ คือผู้เล่น ถ้าพูดภาษาธุรกิจคือ User หรือผู้ใช้งาน ทั้งเราทั้งเขาต่างช่วยกันมองว่า User สนุกหรือไม่สนุก ไม่ว่าเราจะยืนยันในความคิดของเราเพียงใด แต่สุดท้ายเล่นแล้วไม่สนุก ไม่หัวเราะ ในขณะที่น้องๆ ใช้กลไกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราอาจคิดว่าว่าวิธีนั้นน่าจะประสบความสำเร็จน้อยกว่า แต่ปรากฏว่าผู้เล่นสนุก ได้เรียนรู้มากกว่า อินมากกว่า

คำว่า Power ในภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยได้สองคำ ด้านหนึ่งเราอาจเคยคิดว่า เพื่อที่จะทำให้ห้องเรียนวิ่งไปข้างหน้าได้ เราต้องใช้ Power ที่แปลว่าอำนาจคอยบอกว่ามันต้องไปทางนี้ทางนั้นนะ ขณะเดียวกัน เมื่อเล่นเกมไประดับหนึ่งเราจะพบว่ามันมีคำว่า Power อีกคำหนึ่ง คือคำว่า capacity ความสามารถที่จะทำให้เกิดพลัง ไม่ใช่อำนาจที่ไปอยู่ในสภาวะต่ำกว่า แต่เคียงข้างไปกับผู้เรียน

capacity เกิด power ได้มากกว่าการที่เราอยู่ข้างบนเขา เพราะเวลาที่อยู่ข้างบน เหมือนกับเราเดินข้างหน้า เขาเห็นแต่หลังของเรา ลำดับแรกเราก็บังคับทิศทางเขาแล้ว แต่เวลาเราไปเดินอยู่หลังเขา ลำดับแรกไม่มีใครบังเขา เขาจะไปทางไหนก็ไปในทิศทางของเขา ลำดับต่อมา เรายังช่วยระวังหลังให้ ถ้าเกิดเขาผิดพลาดขึ้นมา เราจะช่วยป้องกันให้ ถ้าเขาล้มเราก็เห็นเขาก่อน เราอาจจะเห็นเราช่วยเขาไม่ทันแต่เราจะเห็นทันที โดยไม่จำเป็นต้องใช้บอร์ดเกมอย่างเดียวจะใช้วิธีอื่นก็ได้

การเลี้ยงลูกก็เหมือนกัน ถ้าเกิดเราอยู่ข้างหลังเราก็จะเห็นความคิดของเขาเยอะแยะเลย ระหว่างซ้ายกับขวาไปทางไหน ถ้าเราบอกเขามันก็จะจบ เขาก็อาจจะเดินตามเราโดยที่ใจจริงเขาไม่ได้อยากจะเดิน


และติดตามดร.เดชรัต สุขกำเนิด กับวิธีเลี้ยงลูกที่ไม่ตั้งแง่แต่ตั้งคำถาม จุดกำเนิดเกือบทั้งหมดมาจากจักรวาล ‘บอร์ดเกม’ ที่ เดชรัต-แดนไท สุขกำเนิด พ่อลูกเท่ากันในจักรวาลบอร์ดเกม

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การเติบโตtransformative learningบอร์ดเกมเดชรัตน์ สุขกำเนิด

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

เดชรัต-แดนไท สุขกำเนิด พ่อลูกเท่ากันในจักรวาลบอร์ดเกม
Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
30 May 2018

เดชรัต-แดนไท สุขกำเนิด พ่อลูกเท่ากันในจักรวาลบอร์ดเกม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เดชรัต สุขกำเนิดพูดถึงลูกชาย กับวิธีเลี้ยงลูกที่ไม่ตั้งแง่แต่ตั้งคำถาม จุดกำเนิดเกือบทั้งหมดมาจากจักรวาล ‘บอร์ดเกม’
  • “เวลาเราเล่นบอร์ดเกม มันไม่มีความเป็นพ่อแล้วสั่งลูกได้ ถ้าแพ้คือคุณก็อ่อนเอง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าลูกผิด หรือพ่อไม่ดี ในเกมทุกคนเท่ากัน” แดนไท สุขกำเนิด
  • เปิดใจ ตั้งคำถาม ชวนกันคิดต่อ ไม่ใช่แค่ได้เข้าไปร่วมแจมในโลกของลูก แต่อาณาเขตโลกของพ่อก็กว้างขึ้นเช่นกัน
  • “ผมคิดว่าความสัมพันธ์พ่อกับลูกเป็นความสัมพันธ์ที่กลับเข้ามาสู่ความเป็นปกติ เป็นสองทางมากขึ้น อย่าไปคิดว่าพ่อต้องรู้ดีกว่า เพราะโลกจริงๆ มันเป็นอย่างนั้น”
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

“เวลาเราเล่นบอร์ดเกม มันไม่มีความเป็นพ่อแล้วสั่งลูกได้ ถ้าแพ้คือคุณก็อ่อนเอง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าลูกผิด หรือพ่อไม่ดี ในเกมทุกคนเท่ากัน”

แดนไท สุขกำเนิด นักพัฒนาบอร์ดเกมอายุ 14 ปี นักเรียนสถาบันศึกษาทางไกล กล่าวเอาไว้

‘พ่อ’ ที่เขาพูดถึงคือ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในอีกทาง พ่อลูกคู่นี้คือสมาชิกกลุ่ม ‘เถื่อนเกม’ กลุ่มที่เล่นบอร์ดเกมทั้งเพื่อความสนุกและใช้บอร์ดเกมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้สู่ประเด็นทางสังคม

แดนไทเข้าสู่โลกของบอร์ดเกมตั้งแต่ชั้น ป.4 ในวิชาเลือกตัวหนึ่ง จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 5 ปี เขาผันตัวจากผู้เล่นสู่ผู้ออกแบบและพัฒนาเกมในประเด็นเชิงสังคม โดยมีเพื่อนร่วมงานคือพ่อ ลูกค้าคือคนในภาคีเครือข่ายสังคมต่างๆ

รายชื่อบอร์ดเกมที่แดนไทได้พัฒนา

  • Yellow Card: ฝ่าวิกฤตประมงไทย
  • School Changer: โรงเรียนเปลี่ยนโลก
  • ASEAN Line: ท่องประวัติอาเซียน
  • ASEAN Questination: ที่เที่ยวในอาเซียน
  • The Next Dream: นโยบายทำมือ
  • Ricevolution: มหัศจรรย์พันธุ์ข้าว

“เกมล่าสุดชื่อ Rice Evolution เป็นเกมเกี่ยวกับพันธุ์ข้าว เราจะปลูก รักษาพันธุ์ หรือจะปลูกอย่างไรให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคที่สุด” แดนไทอธิบาย

เวลาเกือบ 5 ปี หากเทียบเป็นอายุงานถือว่าอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเป็น senior ได้ ไม่แปลกใจที่อีกหนึ่งบทบาทของแดนไท จะคือวิทยากรบอร์ดเกมที่บางครั้งผู้ฟังคืออาจารย์ หรือนักศักษาปริญญาตรีและโท

หลายคนอาจบอก ‘ก็เด็กรุ่นใหม่เก่ง เติบโตมากับเทคโนโลยีนี่นา’ จะถูกจะจริงก็คงไม่ใช่หัวข้อที่ควรเถียงกันเพื่อหาข้อสรุป คำถามที่น่าถามยิ่งกว่าคือ แดนไทอยู่ในครอบครัวแบบไหน ที่สนับสนุนให้เขาทำในสิ่งที่ชอบ และทำอย่างจริงจังจนเป็นนักพัฒนาบอร์ดเกม ทำงานเชิงประเด็นสังคม กระทั่งเป็นวิทยากรขึ้นบรรยายเรื่องการนี้ได้

คนที่จะตอบได้ดีที่สุด หนีไม่พ้นพ่อของเขา ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ที่มีอีกหนึ่งนามสกุลว่า ‘สมาชิกกลุ่มเถื่อนเกม’

ครอบครัวสุขกำเนิดค้นพบบอร์ดเกมตอนไหน ระหว่างแดนไทกับอาจารย์ใครเจอก่อนกัน

แดนไทเจอก่อน ผมเคยเจอมาบ้างแต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรมันไม่เข้าใจเงื่อนไขของการใช้บอร์ดเกม แต่แดนไทเล่นแล้วติด คุณแม่เลยให้ไปดูมันเป็นยังไง พอไปดูก็เกิดภาวะที่เข้าใจขึ้นมา โอ้… กลไกของเกมมันอยู่ตรงนี้เองที่เด็กๆ สนุกกัน เพราะมันมีตรงนี้นะที่นำไปสู่การเรียนได้ พอเริ่มจับปมได้ คราวนี้มันไม่ใช่การเล่น มันเริ่มเห็นแล้วว่าเอาเข้ามาใช้กับวิชาเรายังไง เราก็ทดลองทำ โดยมีแดนไทเป็นคนให้คำแนะนำนิดหน่อย

และเพราะแดนไทตัดสินใจจะไปเรียนสถาบันการศึกษาทางไกล เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอยู่ ก็ควรจะต้องถูกใช้เพื่อการเรียนรู้ในรูปแบบอื่นๆ บอร์ดเกมก็เป็นสิ่งที่แดนไทชอบ เราก็เลยประยุกต์เข้ามาให้เขาเรียนรู้ผ่านบอร์ดเกม อันนี้คือลำดับที่หนึ่ง

ลำดับที่สองคือ ในการเรียนรู้ เราก็อยากให้เขาเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นด้วย วิธีการที่จะทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ก็คือให้รับผิดชอบต่องานที่ตัวเองทำ จริงๆ ผมจะใช้คำว่าผู้ประกอบการเลย แต่บางครั้งคำภาษาไทยอาจมองว่าเพื่อให้ลูกได้เงิน จริงๆ เงินไม่ได้เป็นตัวสำคัญแต่เขาต้องเอาผลงานนี้ไปส่งให้กับลูกค้าได้ตามวันเวลาที่ควรจะเป็น รวมถึงได้รับฟีดแบ็คให้นำมาแก้ไขปรับปรุง สรุปว่ามันเป็นกระบวนการเรียนรู้สำหรับคนที่ไม่ได้ไปโรงเรียนทั่วไป เราก็เลยใช้วิธีนี้ในการสร้างการเรียนรู้ แต่ทีนี้มันมาได้ผลอย่างที่สามด้วยคือ

เขาได้วิธีการใหม่ๆ ในการสื่อสารทางความคิดว่า เราจะจำลองสถานการณ์นี้ให้มันเกิดการเรียนรู้ได้อย่างไร อย่างการพัฒนาเกมไข้เลือดออก ให้ฝั่งหนึ่งเป็นคน ฝั่งหนึ่งเป็นยุง ซึ่งมันเป็นสถานการณ์ที่อาจจะเหนือจริงนิดหน่อย แต่ก็จำลองมาได้ว่า เอ ยุงคิดยังไงน้า เราไม่รู้ว่ายุงคิดยังไงเราจัดการปัญหาตามประสาคน หลายครั้งคนที่เล่นอยู่ฝั่งคนก็แพ้

แดนไทไม่ได้แค่เล่นและคิดค้นบอร์ดเกม แต่ทำงานบอร์ดเกมเป็นประเด็นสังคมร่วมกับพ่อ

มันอาจจะซับซ้อนนิดหน่อย เพราะด้วยความที่เราทำงานด้วยกัน ก็ต้องตีกรอบว่าเวลาทำงาน เราไม่ได้ทำงานในฐานะพ่อกับลูกแต่เป็นเพื่อนร่วมงาน ซึ่งโชคดีมากที่การทำเกมมันเอื้อให้เขาไปพิสูจน์กับผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นต้องเถียงกัน ก็ลองเลย ผมว่าแดนไทคงรู้สึกว่า มันก็ดีนะ พ่อไม่ต้องมาคุมเขา จริงๆ ก็ไม่ได้มองกระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่พ่อต้องคอยดูแลการเติบโตของลูก เป็นแต่เพียงแค่กระบวนการเรียนรู้ที่เขาจะต้องมีอะไรสักอย่างเข้ามาเรียนรู้ทดแทนการไปโรงเรียน ซึ่งมันทำให้เห็นการเติบโตของเขา

สิ่งที่ดีใจมากกว่าไม่ใช่เรื่องการออกแบบเกม แต่เป็นความรับผิดชอบของเขา บางครั้งเขาต้องไปเรียน หรือเป็นวิทยากร ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายสำหรับเด็ก บางกรณีผู้ฟังคือนิสิตระดับปริญญาตรี บางครั้งกระทั่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่เขาอยู่มัธยม เขาจะแสดงท่าทีการพูดยังไง มันก็ท้าทายให้เขาค่อยๆ สร้างการวางตัวของเขาขึ้นมา

เคยทะเลาะกันเพราะบอร์ดเกมไหม จัดการอย่างไร

ไม่เคยมี แต่จะทะเลาะกันเรื่องอื่นมากกว่า คือไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเล่นบอร์ดเกม แต่ทะเลาะเรื่องวิธีการทำงานในบอร์ดเกม แต่ตอนหลังมันก็ถูกจัดการได้ เพราะตัวบอร์ดเกมมันไปวัดกันที่ผู้ใช้ อันนี้ผมค่อนข้างให้ความสำคัญมาก อะไรก็แล้วแต่ที่ไปวัดกันที่ผู้ใช้มันทำให้เราลดเวลาในการเถียงกันลงมา เถียงกันนี่ไม่ได้เป็นปัญหานะ แต่บางครั้งเถียงกันและไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร หลายครั้งนำมาสู่การใช้อำนาจ แต่เวลาเล่นบอร์ดเกม เราจะ “แดนคิดอย่างนี้เหรอ” “พี่สาวคิดอย่างนี้ งั้นลองเลย” เป็นการลองที่ไม่เคย พอเราลองแล้วมันจะไม่มีเรื่องคาใจเลย มันจะ “อ้อ ตรงนี้เอาแบบของแดนนะ ตรงนั้นเอาแบบของพ่อ” แล้วเอามาผสมกัน ผสมกันเสร็จก็ลองใหม่

เลยชอบวิธีการทำงานในการออกแบบบอร์ดเกมมาก ลึกที่สุดคือมันหมดเรื่องเถียงและเราไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ หรือเราไม่จำเป็นต้องถูกใช้อำนาจ พอใช้อำนาจก็จะตามมาด้วยเรื่องดราม่าเยอะแยะ

คล้ายๆ กับเราทำคลิปส่งเสนอเจ้านาย เจ้านายก็อาจจะบอกคลิปนี้ไม่ไหวอะ พอเราไปโพสต์ยูทูบ เฟซบุ๊ค มันวัดด้วยยอดแชร์ ก็ตอบคำถามด้วยตัวมันเอง

การทำงานอาจทำให้เขาโตกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน เป็นห่วงไหม

ต้องสังเกตอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ในการเรียนของแดนไท เรามีเกณฑ์อยู่ข้อหนึ่งว่าเขาจะต้องออกจากความเป็นตัวเองด้วย แต่ละปีแดนไทต้องเสนอว่าจะลองออกจากความเป็นตัวเองไปสู่เรื่องอื่นๆ ออกจาก comfort zone ตอนไหนและอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร ปีนี้ก็พยายามให้เขาลองออกจาก comfort zone ให้ไกลขึ้น

ยกตัวอย่าง เราอาจจะต้องสื่ออย่างอื่นนอกจากเกมละ ยกตัวอย่าง ระหว่างที่แดนไททำเกม เวลาเขาแก้กลไก สิ่งที่แก้ มันก็อยู่ในเกม แต่จะตกผลึกได้ต้องก้าวออกจากสิ่งนั้น อย่างเวลาที่ผมสอนหนังสือผมก็วนอยู่อย่างนี้ แต่พอก้าวมาสู่เกมทำให้ผมสอนได้ดีขึ้น แดนไทเหมือนกัน ถ้าเขาสรุปได้อย่างนี้ผมก็อาจจะชวนเขาก้าวไปสู่อย่างอื่น เหมือนอย่างที่ก้าวไปสู่การพูด การเขียน ตรงนั้นทำให้เขาเห็นชัดขึ้น การโยกย้ายแพลตฟอร์มเป็นอะไรบางอย่างที่คนทุกวัยเรียนรู้ได้และเป็นการเรียนรู้จากคนยุคใหม่ ซึ่งบางทีเราไม่ได้คิดถึง

เรามองคนรุ่นใหม่แบบแปลกแยก เพราะว่าเราไม่อยากปรับตัวตามเขา เราก็เลยมองแล้วใช้คำที่มันดูเหมือนกับว่าการแปลกแยกของเขาเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี จริงๆ ถ้าเราเข้าใจทุกอย่าง มันก็เหมือนกับเราใส่เสื้อตลกๆ ในสมัยเราเป็นหนุ่ม

ยกตัวอย่างข้อกังวลหลายข้อของผู้ปกครอง ซึ่งขอย้ำว่าไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เช่น ถ้าลูกๆ เป็นติ่งเกาหลี พ่อแม่จะมองหาประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไร

กระติ๊บเขาชอบฟังเพลง เราก็ฟังร่วมกันกับเขา พอฟังร่วมกันเราก็จะเห็นความแตกต่างบางอย่างซึ่งที่ผ่านมาเราอาจไม่เคยเห็น ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นประโยชน์อะไรแต่น่าสนใจมาก คือผมก็ฟังเพลงที่เขาฟังและก็เปิดเพลงเพลงยุคเก่าที่ผมฟัง แล้วถามลูกว่า ลูกฟังแล้วมันต่างกันยังไง เพราะสำหรับเรามันไม่ต่างกันไง สมมุติฐานของเรามันแค่กระแสนิยม

เขาตอบว่า พ่อดูนะ… เพลงยุคเก่ามันจะมีจังหวะที่ค่อนข้างตายตัว แม้กระทั่งท่อนฮุคจังหวะก็ยังคงเดิม อาจเปลี่ยนแค่โทนนิดหน่อย มีภาษานิดหน่อยแล้วมันก็วนกลับมาที่จังหวะแบบเดิม แต่ถ้าฟังเพลงโดยเฉพาะเพลงสากลจะเห็นว่าบางเพลงจะมีสามริธึมในเพลงเดียวกัน เราก็รู้สึก เออ ทำไมอะ ทำไมความสามารถในการสังเกตของเรามันถึงจำกัด ทำไมเราจึงถามในความรู้สึกที่ว่า เหมือนเขาก็นิยมไปอย่างนั้นแหละ

เราก็เริ่มสงสัยถามต่อว่า การที่เกิดริธึมขึ้นมามากมาย มันเกิดขึ้นมาจากอะไร เขาก็บอก อันดับหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการ ฟีเจอริ่งไหม เพราะการฟีเจอริ่ง (featuring-การทำงานโดยมีผู้ร่วมรับเชิญ) ให้หลายคนที่มีความถนัดไม่เหมือนกันเข้ามาแจมกันด้วยจังหวะของตัวเอง แต่ฟังแล้วมันยังเป็นเพลงเดียว และจริงๆ อาจเป็นเพลงที่ดีกว่าคนร้องคนเดียวอีก นี่คือโลกยุคหน้าไง เวลาเราจะออกแบบหรือทำอะไรแต่ละอย่าง ไม่ใช่แค่ข้าพเจ้าร้องเพลงอย่างเดียว

ลองย้อนกลับไปดูในรายการอื่นๆ ที่มีสองทีมเข้าประกวด ฝั่งไหนร้องเพลงของอีกฝายได้แล้วเด็ดกว่าด้วย ก็จะได้ไปลงในแผ่นเสียง เราจะพบว่าถ้าคนรุ่นเก่าร้องเพลงของเด็กรุ่นใหม่ ศิลปินรุ่นเก่าจะร้องในแบบของตัวเอง ขณะที่ศิลปินรุ่นใหม่ร้องเพลงศิลปินรุ่นเก่า เขาร้องไกลกว่าที่ตัวเขาเคยร้อง อันนี้เรียกว่าเรามี capacity มากขึ้นหรือไม่ ผมเห็นว่ามันเป็นพัฒนาทางดนตรีที่มันน่าสนใจมาก

คีย์เวิร์ดของโมเดลนี้ คือการเปิดใจและตั้งคำถาม?

ผมคิดว่าความสัมพันธ์พ่อกับลูกเป็นความสัมพันธ์ที่กลับเข้ามาสู่ความเป็นปกติ เป็นสองทางมากขึ้น อย่าไปคิดว่าพ่อต้องรู้ดีกว่า เพราะโลกจริงๆ มันเป็นอย่างนั้น

คือย้อนกลับไปตอนที่เราอายุสักสิบกว่าขวบ พ่อเราบอกได้ว่าตอนที่เราอายุสี่สิบจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ผมไม่กล้าพูดอะไรเลยว่าลูกตอนอายุสี่สิบเขาจะเป็นยังไง ถามว่าลูกเห็นไหม ลูกก็อาจจะยังพูดไม่ได้แต่ลึกๆ เขารู้สึกชัดกว่าเราว่าโลกมันเปลี่ยน

ถ้าโลกเป็นแบบนี้แต่เรายังอยากเป็นพ่อแบบเดิม โอ้โห… โคตรทุกข์ เราจะให้ลูกเรียนนู่นเรียนนี่ยังไง เตรียมการซะ แต่มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ผมอาจจะติดตามและมีข้อเสนออะไรก็แนะไป

เหมือนเป็นคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ทำให้เราไม่แก่ด้วย

แค่ลดความเป็นพ่อสู่ความเพื่อน แต่โอเค ในความเป็นพ่อก็มีเรื่องความปลอดภัย ความคุ้มครอง เรื่องเงิน ที่เหลือก็เป็นเพื่อนกันนี่แหละ


ติดตามบทความ ดร.เดชรัต พูดถึงความหมาย กลไก เครื่องมือของการเรียนรู้ในจักรวาลบอร์ดเกม แบบเต็มๆ ที่นี่ เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

Tags:

transformative learningบอร์ดเกมเดชรัตน์ สุขกำเนิด

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    ‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร

    เรื่อง The Potential

  • Board Game โลกการเรียนรู้ของเกมกระดาน พื้นที่สันทนาการที่เปลี่ยนการเล่นให้เป็นทักษะ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ละครเวทีของเด็กสาธิต มธ. ห้องเรียนจริงบนเวทีจำลอง
Transformative learning
30 May 2018

ละครเวทีของเด็กสาธิต มธ. ห้องเรียนจริงบนเวทีจำลอง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ในชีวิตจริงไม่มีใครเข้าใจใครได้ทั้งหมด แต่ถ้าต้องทำ ละครเวทีเป็นไฟต์บังคับให้ต้องตีความ เข้าใจ เพื่อสวมบทเป็นชีวิตคนอื่น ‘ให้ถึง’ ไม่ไปไม่ได้ เพราะยังมีทีมงานอีกหลายชีวิตรออยู่
  • เบื้องหน้าคือละคร เบื้องหลังคือการทำงานของครู ตั้งแต่เลือกประเด็นที่จะแสดง ชวนเด็กตีความตัวละคร ทำความเข้าใจประเด็นผ่านบริบทสังคม กระทั่งคิดต่อว่าควรจะมอบบทนี้ให้นักแสดงคนไหน ด้วยเงื่อนไขอะไรดี
  • ละครเวทีเรื่องนี้คือโปรเจ็คท์จบของนักเรียน ม.1 วิชาสุนทรียะทางศิลปะ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาครบมาเต็มตั้งแต่ทีมนักแสดง ฉาก ดนตรี และทีมคนดู
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

อันที่จริง ‘ละครเวที’ กับนักเรียน ในฐานะกิจกรรมพิเศษไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กับวิชากลุ่มประสบการณ์การเรียนรู้ สุนทรียะทางศิลปะ (Appreciation of Arts) ณ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ละครเวทีถือเป็นหนึ่งในหลักสูตรของห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ในวิชาสุนทรียะทางศิลปะ เด็กๆ จะได้เวียนกันเรียน 4 วิชาย่อย คือทัศนศิลป์ ออกแบบ ดนตรี และละคร เมื่อจบภาคเรียน พวกเขาต้องจัดแสดงละครเวที ด้วยการเปิดห้องแสดงจริง แสงสีจริง มีผู้ชมจริง เสียงปรบมือและปฏิกิริยาผู้ชมจริง ทั้งต้องเผชิญหน้ากับความตื่นเต้นในฐานะนักแสดงและทีมงานที่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด… จริงๆ

แต่ศาสตร์ละครเวทีกับการเรียนรู้ในห้องเรียน ไปด้วยกันได้อย่างไร?

ครูแอม-นิธิ จันทรธนู ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเครือข่ายและกิจกรรมพิเศษ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในครูวิชาสุนทรียะทางศิลปะบอกกับเราว่า

“(ละคร) พาเขาเดินทางไปพบมิติความรู้สึกแบบหนึ่งซึ่งในชีวิตจริงเขาอาจจะไม่ยอมไป แต่ละครเป็นไฟต์บังคับที่คุณต้องเป็นตัวละครตัวนี้และต้องพาการแสดงไปให้ถึงให้ได้ เพราะมันเป็นการรับผิดชอบในภาพรวมต่อหมู่คณะ”

ละครจึงไม่ใช่แค่กิจกรรมพิเศษ แต่คือเครื่องมือการเรียนรู้การเป็นมนุษย์ จำลองความรู้สึกของการเป็น ‘คนอื่น’ แสดงออกมาด้วยการ ‘ตีความ’ ที่อยากจะเข้าใจตัวละครนั้นมากที่สุด ไม่นับว่าระหว่างทางก่อนเปิดเวทีจริง เด็กๆ ต้องผ่านจุดปะทะ ต้องตีความ ต้องสื่อสารกับทีมงานเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงกันหนักหน่วงขนาดไหน

The Potential ชวนมองประเด็น ละครเวที หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ ซึ่งขอเริ่มจากความคิดฝัน วิธีคิด และประสบการณ์ในการเป็นครูกระบวนกรของครูแอมก่อน จากนั้นชวนเข้าไปเปิดห้องเรียน วิชาสุนทรียะทางศิลปะ ดูว่าในห้องเรียนแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆ ได้ (มากกว่า) เรียนรู้ คืออะไร

การเดินทางของ ‘ครูกระบวนกร’

จุดเริ่มต้นของครูแอม ของการเป็น ‘ครูกระบวนกร’ คืออะไร

เรียนครูมาโดยตรงที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ตอนเรียนตั้งคำถามกับตัวเองเยอะ ไม่แฮปปี้ ไม่อยากกลับเข้าโรงเรียนอีก แต่คิดว่าจะทำอะไรดีที่ยังได้ทำงานกับเด็กๆ อยู่ จากนั้นก็ได้เข้าไปทำงานอาสาสมัครกับกลุ่มมะขามป้อม รู้สึกว่า โห… มันไม่ใช่แค่ละครเนอะ แต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้ด้วย เราก็ได้พัฒนาวิทยายุทธ์ ฝึกปรือวิชา มีมุมมองประเด็นสังคมต่างๆ กลายเป็นว่าการทำงานที่มะขามป้อมตอบคำถามที่สงสัยตอนเรียนหนังสือหลายอย่าง

พอเดินทางไปเรื่อยๆ ก็ได้ทำงานกับเด็ก ลงไปจัดกิจกรรม โดยใช้กระบวนการศิลปะการละครและศิลปะอื่นๆ เข้าไปทำงาน จนวันหนึ่งรู้สึกว่าเราเดินทางเยอะเหมือนกันเนอะ ประสบการณ์ของเราน่าจะถูกแบ่งปันไปที่ใดที่หนึ่ง ตอนแรกตั้งใจว่าจะเปิดโรงเรียนหรือศูนย์การเรียนรู้ มีแผนว่าจะทำแล้ว แต่โรงเรียนสาธิตแห่งธรรมศาสตร์เปิดรับครูกระบวนกรจำนวนหนึ่ง ก็เลยมาสมัคร โดยเห็นว่าเราอาจจะมีอะไรบางอย่างแบ่งปันได้ และโรงเรียนนี้ก็เพิ่งสร้างใหม่ เพราะฉะนั้นมันต้องมีพื้นที่เยอะมากให้เราได้ทดลองอะไรใหม่ๆ หรือทำในสิ่งที่เราเชื่อ

คือพอเรามีฝันจะสร้างโรงเรียน มันก็เลย “เดี๋ยวไปดูก่อนมั้ย” ไปเป็นฟันเฟืองเล็กๆ อยู่สักตัวหนึ่งก่อน ดูว่ามีรายละเอียดอะไรบ้างในคำว่าโรงเรียน ปรากฏว่ามันมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่ในรายละเอียดและข้อจำกัดหลายๆ อัน ก็มีพื้นที่ให้ได้ทดลองในฐานะครูเยอะเหมือนกัน

กลุ่มละครมะขามป้อมตอบปัญหาอะไรให้ครูบ้าง

เป็นไปได้มั้ยถ้าเราไม่เรียนอยู่แต่ในโรงเรียน เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่ต้องเป็นหมอ พยาบาล ครู หรือประกอบอาชีพทั่วไป ตอนนั้นเราอยากรู้ว่ามันมีอาชีพอะไรบ้างที่ทำงานโดยใช้ทักษะเฉพาะอย่าง เป็นทักษะที่เราชอบ และได้เดินทาง ได้ทำงานที่มีความหมาย ซึ่งตอนเด็กๆ เราคิดแค่ว่าทำอะไรที่มันดูเท่ๆ หน่อยดีมั้ย มันจะเท่มั้ยถ้าทำแบบนี้ (หัวเราะ)

แต่พอมาอยู่ที่มะขามป้อม ซึ่งทำงานหลายประเด็นตั้งแต่ทำให้เด็กรักการอ่านผ่านละครสร้างสรรค์ ทำหนังสือให้มีชีวิตได้ยังไง เท่าทันสื่อ ตั้งคำถามกับสื่อ พาเด็กลงชุมชนแล้วเห็นว่าสื่อถูกสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ไปทำละครเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็เห็นว่า

ละครมันเลียนแบบตรรกะการเป็นมนุษย์นี่นา ถ้าเราเข้าใจตรรกะการเป็นมนุษย์หรือตัวละครตัวหนึ่ง เราน่าจะมีเครื่องมือเพื่อกลับมาเข้าใจตัวเองเนอะ

หลายคำถามที่เคยสงสัย ถูกทำให้เห็นผ่านกระบวนการที่เราไปเป็นทีมงานทำประเด็นนั้นๆ ในมะขามป้อม น้องๆ ที่ไปค่ายเกิดการเปลี่ยนแปลง มีทักษะ มีคำถามและชวนหาคำตอบไปด้วยกัน เขาสะท้อนบางอย่างออกมามากกว่าสิ่งที่เห็น ไปไกลกว่าการคิดวิเคราะห์ การเข้าใจในเชิงลึก

ทำไมการเรียนรู้ในห้องเรียนจึงไม่ตอบคำถามเหล่านั้น

ห้องเรียนมันไม่เห็นจริง (ตอบทันที) ห้องเรียนเป็นกล่องสี่เหลี่ยมและก็มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น แต่การที่เราได้ไปสัมผัส ได้เห็นคน เห็นชุมชน เห็นเยาวชนจริงๆ น่าจะเป็นจุดที่ตอบคำถามเราได้หลายอย่างว่า จริงๆ มันมีข้อจำกัดแบบหนึ่ง สิ่งที่คิดไว้ สิ่งที่เรียนมา เช่น ศาสตร์ของครูบอกว่าสอนแบบนี้ถึงจะดี แต่พอลงไปแล้วพบว่าวิชาที่เรียนมามันใช้ไม่ได้เลย ลงสนามจริงมันมีเรื่องราวต่างๆ มากมายให้ได้ฝึกฝนตัวเอง

เช่นเรื่องเล็กๆ อย่าง ถ้าสมมุติเด็กๆ มาเข้าร่วมกิจกรรมปุ๊บ เขานั่งลง เราจะทำยังไงให้เขานั่งลง โฟกัส และเตรียมพร้อมสำหรับการจะเริ่มกิจกรรมต่อไป ถ้าสังเกตจังหวะการเรียนรู้ในเหตุการณ์นี้ดีๆ จะพบว่า อ๋อ… อย่างนี้แปลว่ายังไม่พร้อมในการเรียนรู้ แล้วสังเกตได้จากอะไรบ้าง

ร่างกายยังไม่นิ่งใช่มั้ย ลมหายใจยังไม่ปกติ จะทำให้ลมหายใจสู่ภาวะปกติต้องทำยังไง ต้องดึงดูดความสนใจ ให้มีโฟกัสที่เดียวกัน แล้วเราจะปูเรื่องยังไงจากการใช้น้ำเสียงของเรา เบาลงนิดนึงมั้ย พอเขาไปกับเรามากขึ้น การเรียนรู้ก็ค่อยๆ มากขึ้น

แค่เทคนิคเล็กๆ แบบนี้แต่มันสอนไม่ได้ในชั้นเรียน เทคนิคการเป็นวิทยากร เป็นคนจัดกิจกรรม หรือแม้แต่เทคนิคการเป็นครูก็ตาม เราเรียนครูมา วิธีการสอนในชั้นเรียนก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการลงมือปฏิบัติ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด มันก็น้อยมากเลยที่เราจะได้มีโอกาสลงไปสัมผัสเด็กๆ การกระโดดลงมาแล้วพาตัวเองไปผจญภัย ก็ทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นในการจะพัฒนาตัวเอง

จากที่เคยได้เดินทาง เปลี่ยนห้องเรียนบ่อยๆ ทำไมจึงตัดสินใจกลับมาสอนห้องเรียนเล็กๆ ที่มีนักเรียนไม่มาก

คิดว่าถึงเวลามั้งครับ มันมีเงื่อนไขหลายอย่าง เดินทางไปเรื่อยๆ มันก็ดีนะ สนุกดี แต่ว่าเราจะดูแลคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเราเลือกทำจริงจังแต่สิ่งนั้น มันอาจจะเหนื่อยมากๆ ก็ได้ เลยมองว่าอะไรนะที่เรายังได้ทำในสิ่งที่รัก และเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในช่วงชีวิตเรา โรงเรียนนี้ตั้งต้นด้วยแนวคิดที่น่าสนใจ มีพี่ๆ หลายคนเข้ามาเป็นผู้ร่วมให้ข้อมูลความคิดเรื่องการก่อตั้ง เลยรู้สึกว่าน่าสนใจจังเลย ถ้าถามตัวเองว่าเราจะหยุดเดินทางแล้วมาผจญภัยที่นี่ ก็น่าจะมีเรื่องที่เหนื่อยแต่ลองดู ด้วยจังหวะชีวิตตัวเอง ด้วยความพร้อมและถึงเวลา ที่น่าจะพร้อมส่งต่อให้นักเรียน

ครูสอน ‘วิชาการละคร’

ครูใช้ศาสตร์ละครสอนอย่างไร

เวลาที่เราทำงานภาคสนาม เราเตรียมการไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องเป็นการทำงานปลายเปิด เลยหยิบวิธีนี้มาใช้ที่โรงเรียน ลองใช้กลไกปลายเปิดนี้ในการพานักเรียนเดินผ่านประสบการณ์ทางความรู้สึก เช่น เล่นละคร วินาทีที่ซ้อมเป็นแบบหนึ่ง ช่วงก่อนแสดงเป็นแบบหนึ่ง บนเวทีแบบหนึ่ง และเล่นเสร็จแบบหนึ่ง

วิชานี้ เรียนอะไรบ้าง

หลักสูตรของโรงเรียนสาธิต มธ. แบ่งวิชาออกเป็นกลุ่มประสบการณ์ วิชานี้คือกลุ่มประสบการณ์การเรียนรู้ สุนทรียะทางศิลปะ (Appreciation of Arts) มี 4 วิชาย่อย คือทัศนศิลป์ ออกแบบ ดนตรี และละคร ตอนที่เราร่างหลักสูตรก็คุยกันว่าจะเริ่มจากทักษะที่ครูมี คือเรามีครูที่สอนทัศนศิลป์ ออกแบบ ครูที่จบทางดนตรี และมีครูละคร

ศิลปะของเราต้องเป็นศิลปะปฏิบัติ เพราะถ้าเราเชื่อในเครื่องมือศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นละคร ดนตรี ทัศนศิลป์ หรือออกแบบ ถึงเวลาศิลปะจะทำงานเอง วิธีคิดแบบนี้อาจจะดูศิลปินไปหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องวางวิธีการเอาไว้เพื่อให้มันไปมากกว่าศิลปะ แต่คือการเรียนรู้การเป็นมนุษย์ในมิตินั้นๆ เพราะละครต้องทำงานร่วมกัน ต้องเอื้อคนอื่น ซัพพอร์ตคนอื่น การที่เราเห็นคนอื่น ทำให้เราเห็นตัวเอง

ละครที่หยิบมาแสดงในวิชานี้คือเรื่องอะไร

เรื่องแรก ‘ติสตู นักปลูกต้นไม้’ (Tistou les pouces verts เขียนโดย โมรีซ ดรูยง) วรรณกรรมเยาวชนที่มีประเด็นพูดถึงเรื่องสงคราม สันติภาพ ผ่านตัวละครหลักที่เป็นเด็กคนหนึ่งมีพ่อเป็นพ่อค้าอาวุธ แต่เด็กคนนี้กลับมีนิ้วหัวแม่มือสีเขียวซึ่งปลูกต้นไม้ได้ สุดท้ายเป็นคนทำให้บริษัทของพ่อเจ๊งเพราะเอาดอกไม้ไปปลูกในปืน ประเด็นจากเรื่องนี้ พอนึกว่าเป็นภาพอย่างไรในละครมันก็ดูตื่นตาตื่นใจและพูดโดยภาพรวมว่าโลกนี้มีสันติภาพน้อยมาก

เรื่องที่สอง ‘ยักษ์ลักเสียง’ เป็นโครงเรื่องจากละครเร่มะขามป้อม ใช้ในเวทีเสวนาเป็นละครเปิดประเด็นเพื่อจะพูดต่อเรื่องเสียงของเด็กว่าพวกเขามีสิทธิในการส่งเสียง การถูกรับฟัง ตั้งคำถามว่าผู้ใหญ่ต้องฟังรึเปล่า และใส่ประเด็นเล็กๆ ในสังคมเข้าไปในเพลง ตั้งคำถามว่ายักษ์นี่คือใครบ้าง เสียงนี่คือเสียงของใคร เสียงอะไร เสียงจริงหรือความเปรียบ แล้วเราก็ถามต่อว่าเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวที่เขาเจอคืออะไร แล้วถ้าเรื่องระดับประเทศหรือระดับโลกล่ะ? มันคือประเด็นอะไร มีใครขโมยเสียงใครเหรอในโลกนี้ เขาขโมยแต่เสียงเด็กหรือเปล่า หรือเป็นเสียงของคนจนที่ถูกขโมย เสียงของคนที่มีอำนาจน้อยกว่า คำถามพวกนี้ถูกตีความในเรื่องราวตอนที่เราทำละคร

ละครอาจไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่มันจุดประกายความคิด ไปกระเพื่อมต่อในความทรงจำของเขา ละครบางเรื่องที่เขาได้ดูหรือได้เล่น มันจะทำให้เขาจำประเด็นนี้ ความรู้สึกนี้ไปตลอด นี่คือการปลูกเมล็ดพันธุ์ ปลูกด้วยประเด็นของเรื่อง ด้วยการทำให้รู้สึก ผ่านเรื่องราวบางอย่างที่ถูกตีความ

ทำไมต้องเลือกประเด็นที่ซับซ้อนและแฝงด้วยสัญลักษณ์ขนาดนี้กับนักเรียนชั้น ม.1

โจทย์สำหรับเด็กๆ ผ่านการเลือกและประเมินจากทีมครู ถ้าโจทย์ง่ายไปเขาก็จะดูถูกบทเรียน ถ้ายากไปเขาก็จะทำไม่ได้ เราเลยเลือกโจทย์ที่ (หยุดคิด) เรียกว่าอะไรดี ‘ตึงมือ’ ตึงมือพอสมควร คือมันไม่ง่ายนะ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินเข้าใจ แต่อาจจะต้องมีกุญแจแบบ ‘อันนี้คืออะไร?’ ครูช่วยไขเป็นคีย์ให้หน่อยๆ พอมีคีย์แล้วเขาก็จะหันมา “โห ครู เขียนบทขนาดนี้เลยเหรอ?”

จริงๆ ดนตรีก็มีการออกแบบและเป็นโจทย์ที่ยาก เราให้โจทย์ที่เป็นนามธรรม เช่น ให้โจทย์เรื่องการเดินทาง การเดินทางต้องทำเสียงยังไง? หรือให้โจทย์ว่านี่คือเมืองมหัศจรรย์ เขาจะตีความเป็นเสียงแล้วถ่ายทอดออกมายังไง หรือแม้แต่โจทย์ทัศนศิลป์ก็ดี เราให้ตีความว่ายักษ์ตัวแดงจะเป็นแบบไหน ให้หาจุดอ้างอิง (reference) มาหน่อย บางคนคิดถึงยักษ์ไทย ยักษ์วัดแจ้ง หรือให้เด็กๆ ทำกำแพงอิฐจากอะไรก็ได้ ทุกคนก็รังสรรค์เต็มที่ มีฝั่งที่เป็นต้นไม้ ป่าไม้ แบบไหนก็ได้ ทุกคนก็เต็มที่และถือว่าตึงมือกันทุกฝ่าย

ละครกับการเรียนรู้ ไปด้วยกันได้อย่างไร

ตัวละครตัวหนึ่ง ย่อมมีความต้องการจะพาตัวเองไปเจออะไร มีความเชื่อเบื้องหลังอะไร ต้องลิงค์กับตัวละครอีกตัว เขาจะได้ขุดค้นความเป็นมนุษย์ว่า การเป็นตัวละครตัวนี้ เขาคิดอะไรอยู่เหรอ เขาเข้ามาในฉากนี้เพื่อความต้องการอะไร อยากจะบอกคนคนนี้ว่าอะไร เศร้ารึเปล่า ดีใจ อำลา หรือที่คือครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน ครูประเมินไว้แต่แรกแล้วว่ามีโจทย์ไหนที่น่าจะท้าทายเขา

(ละคร) พาเขาเดินทางไปพบมิติความรู้สึกแบบหนึ่งซึ่งในชีวิตจริงเขาอาจจะไม่ยอมไป แต่ละครเป็นไฟต์บังคับที่คุณต้องเป็นตัวละครตัวนี้และต้องพาการแสดงไปให้ถึงให้ได้ เพราะมันเป็นการรับผิดชอบในภาพรวมต่อหมู่คณะ

ชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง พฤติกรรมที่แสดงออกเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ภายใต้ภูเขานั้นมีความเชื่อ ความต้องการ มีภูมิหลังเยอะแยะ อันนี้คือมนุษย์หนึ่งคน ทีนี้ตัวละครหนึ่งตัวถ้าเทียบกับมนุษย์หนึ่งคน มันก็มีอีกหนึ่งตรรกะ มีอีกหนึ่งภูเขาน้ำแข็ง

เด็กต้องไปเข้าใจภูเขาน้ำแข็งของตัวละครตัวนั้นว่าที่ปรากฏแบบนี้ ตั้งคำถามแบบนี้ ลึกๆ แล้วเขามีความเชื่ออะไร มีความต้องการในชีวิตแบบไหน ถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมแบบไหน

แต่กระบวนการก่อนที่จะพาไปเข้าใจและสวมบทเป็นตัวละครนั้นมันต้องมีแหล่งอ้างอิงบางอย่างที่ต้องอ้างอิงกับชีวิตมนุษย์ ซึ่งก็ไม่รู้จะอ้างอิงตรงไหนนอกจากตัวเอง มันก็จะสะท้อนซึ่งกันว่ายิ่งนักเรียนเข้าใจ logic การปรากฏของตัวละครนี้และเบื้องหลังของตัวละครมากเท่าไร แปลว่าเขาน่าจะเข้าใจตัวเองในเบื้องลึกมากเท่านั้น

ถ้าละครตั้งคำถามว่า ทำไมตัวละครนี้ถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ แปลว่าเบื้องหลังเขาต้องผ่านประสบการณ์บางอย่างมา สิ่งนั้นมันจะสะท้อนกลับมาสู่ชีวิตเขาเองว่า ถ้าเป็นเราแต่ต้องอยู่ในคาแรคเตอร์นี้ เรามีความเชื่ออะไร ผ่านการเลี้ยงดูแบบไหน ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร

หรือแม้แต่กับนักเรียนคนอื่นๆ ที่เป็นผู้ชม เขาอาจจะเห็น ได้ไอเดียไปต่อ “อ๋อ… เสียงเดียวมันไม่ดังสินะ ต้องรวมกันหลายเสียงถึงจะมีพลัง” หรือว่า “อ๋อ… จริงๆ แล้วความเศร้าที่สุดของโลกนี้อาจเป็นเรื่องสงครามก็ได้ แล้วความร้ายกาจของสงครามอาจเป็นคนที่ค้าอาวุธสงคราม และความตายก็อาจจะมีมากกว่าการแก่ตาย สงครามอาจทำให้คนตายเร็วขึ้น ทั้งๆ ที่คนต้องตายอยู่แล้วก็ได้” คือมันอาจมีบางคำไปโดนใจเขา

งานศิลปะเป็นปลายเปิดมากๆ ถ้าเราเชื่อว่าศิลปะทำงานกับมนุษย์ มันจะโดนจุดไม่เหมือนกัน ผู้ชม คนดู ผู้เสพงานที่มีเบื้องหลังที่แตกต่าง ถ้านักขับเคลื่อนสังคมมาดูเรื่องนี้ก็จะตีความแบบหนึ่ง ถ้านักเรียนมาดู น้องคนอื่นๆ ที่ดูเรื่องนี้ก็อาจคิดอีกแบบหนึ่งก็ได้

น้องฮีโร่ แสดงเป็น ติสตู

ประเมินอย่างไรว่า ที่ทำอยู่นั้น มาถูกทางแล้ว

ถ้าในเรื่องการตีความ ตอนแรกเราให้เอาบทและเพลงมาอ่านก่อน เราก็แกล้งให้โจทย์เรื่องการตีความเล็กๆ ปรากฏว่าเด็กตีความได้ ก็เลยโอเค… ผ่านละ แปลว่าเราลุยต่อได้ พอลุยต่อ ที่เหลือเป็นเรื่องเทคนิคการละครแล้ว การจัดบล็อกกิ้ง การจำบท เป็นรายละเอียดเชิงเทคนิค ก็ค่อยๆ ฝึกกันไป

ทักษะพัฒนาได้ ส่วนเรื่องแก่นความคิด ถ้าให้อ่านเรื่องแล้วนักเรียนสะท้อนได้ว่าตัวละครเขาคิดแบบนี้นะ เขาเป็นแบบนั้นนะ หรือมีคำถามกับเรื่องแบบนั้นนะ แสดงว่าผ่านละ

หนึ่งปีที่ผ่านมา ประเมินตัวเองอย่างไร

จริงๆ อยู่ในช่วงทดลอง เราก็ไม่รู้ว่าควรเอาเรื่องเบากว่านี้ ซับซ้อนน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ดี หนึ่งปีแรกนี้ก็เป็นช่วงทดลองของครูเหมือนกัน เราถือว่าเวทีนี้เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กด้วย หลังจากนี้คุณครูก็ต้องพูดคุยถกเถียงกันว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาเราดำเนินการแบบนี้ ใช้เครื่องมือทางศิลปะแบบนี้ มีประเด็นที่จะพาเขาไปในมิติอื่นๆ ของชีวิตแบบนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง แล้วถ้าปีหน้าจะต้องมีอะไรเพื่อทำซ้ำให้เกิดความเชี่ยวชาญ มีอะไรที่ถ้าไม่เวิร์คก็ควรเอาออกแล้วเราจะปรับเป็นอะไรรึเปล่า ถ้าพูดถึงการเดินทาง คุณครูเองก็กำลังเดินทางด้วยอยู่เหมือนกัน

แต่สิ่งที่อยู่ในใจเราตลอด คือถ้าเป็นครูต้องไม่ผูกขาดความรู้และความจริง จริงในมุมของเรากับของเด็กไม่เหมือนกัน ก็ต้องใช้เวลาดูกันต่อไป ในส่วนการจัดการหลักสูตร ตอนนี้เป็นช่วงไอเดียล้วนๆ ครีเอทีฟล้วนๆ ทดลองล้วนๆ และต้องขอบคุณนักเรียนมากๆ ที่มาทดลองกับครูรุ่นแรก ให้ทดลองและเรียนรู้ไปด้วยกัน

Tags:

โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์transformative learningเทคนิคการสอนก่อการครูนิธิ จันทรธนูศิลปะการแสดง

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Unique Teacher
    ครูปุ้ย วรีย์ สืบสมุท: ใช้ ‘บอร์ดเกม’ เสกคาบว่างในวิชาแนะแนวให้หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด
Relationship
29 May 2018

TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • The Potential ชวนคุย กิจกรรมชวนเพื่อนๆ แชร์ประสบการณ์ในห้องเรียน อะไรที่ยังจำฝังใจ อะไรที่ยังไม่ลืม เพื่อร่วมกันหาว่า การเรียนที่ไม่ได้มีแค่ความรู้เชิงวิชาการแต่มาพร้อม ‘เหตุผลเชิงอารมณ์‘ ให้ผลลัพธ์อะไรบ้าง
  • คำตอบมีทั้งแบบจริงจังและสายตลก แต่ในความตลกก็ยังเห็นคีย์เวิร์ดบางอย่างที่บอกว่า ‘ก็ห้องเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนอย่างเดียว แต่ต้องมีพื้นที่ให้เล่นจริงจังด้วย’
  • ศักยภาพของผู้เรียนจะฉายแววได้ ถ้ามีครูที่เห็นหัวใจของเขา มีสายตาและคำพูดที่สร้าง ‘ความเชื่อมั่น’ ช่วยส่องสะท้อนให้เด็กได้มองเห็นศักยภาพตัวเองชัดเจนขึ้น
  • ขณะเดียวกัน ครู -มนุษย์- เองก็ต้องการกำลังใจจากศิษย์และเพื่อนร่วมงานด้วยเช่นกัน

หลายครั้งที่คำพูดเดียว แต่ช่างชุบชูใจและผลักดันเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงมหาศาล ขณะที่บางคำ บางช่วงเวลา สัมผัสเพียงแผ่วเบากลับทำให้เราต้องเดินหนี ไม่หันกลับไปอีกเลยตลอดกาล

เพราะเชื่อเช่นนั้นและอยากรู้ว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนแตกต่างกันอย่างไร The Potential จึงชวนคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ‘ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโต’

หลังจากที่เราได้ชูตคำถามทางหน้าเพจเฟซบุ๊ค ปรากฏว่าโพสต์นี้ได้รับการตอบรับจำนวนมากทั้งจากนักเรียนและอดีตนักเรียน หลายๆ คำตอบให้เหตุผลใกล้เคียงกันว่า ‘ความสัมพันธ์’ มีผลต่อ ‘ลูกฮึด’ ในการเล่าเรียน เปิดหัวใจแห่งการเรียนรู้ เขายังคงจดจำจุดเปลี่ยนเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่มหาศาลจนถึงทุกวันนี้

เราเลยรวบรวมคำตอบของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาจำนวนหนึ่ง โดยแบ่งเป็น

  • คำพูดที่ทำให้หัวใจเราพองโต
  • ครูไม่พูด แต่ ‘ทำให้เห็น’ จนหัวใจเราฟูฟ่อง
  • คำตอบยอดฮิต ‘วันนี้ครูประชุม’ ‘ยกเลิกคลาส’ นะครับ
  • คำพูดที่ทำให้หัวใจนักเรียนเกือบวาย ^^
  • คำพูดอื่นๆ สุดประทับใจ

คำพูดที่ทำให้หัวใจเราพองโต

ผู้ที่เข้ามาร่วมให้ความเห็นบอกคล้ายกันหลายคนว่า คีย์เวิร์ดคำพูดที่ทำให้หัวใจพองโตคือคำว่า ‘เชื่อมั่น’ ครูเชื่อมั่นว่านักเรียนทำได้ แต่แค่คำพูดอย่างเดียวคงไม่ทำให้นักเรียนยังฝังคำนี้อยู่ในใจไปแสนนาน แต่อาจหมายรวมถึงสายตา น้ำเสียง วิธีการปฏิบัติของครูที่เด็กๆ รับรู้ได้ว่าครูจริงใจ ครูเชื่อเช่นนั้นจริงๆ

ความสามารถ ทักษะ ต้องพัฒนาอย่างไรไว้ว่ากัน แต่ความเชื่อมั่นว่าเด็กๆ พัฒนาได้ หลายๆ คนยืนยันว่าเขาใช้มันเป็นกำลังใจต่อสู้เพื่อพัฒนาตัวเองต่อ

แต่โพสต์ที่ทำให้หัวใจของแอดมิน The Potential และมีลูกเพจกดไลค์ (และเลิฟ) ตามไปด้วยมากเช่นกัน ขอยกให้กับคำตอบนี้นะคะ

ในหัวข้อนี้มีอีกหนึ่งคำตอบที่ทำให้ชวนหัวใจพองฟูเช่นกัน คือ

“คำว่าขอโทษจากครู มีครั้งหนึ่งเราโดนตีโดยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เหมือนวันนั้นแค่ครูอารมณ์ไม่ดีแล้วเราอยู่ตรงนั้น เราเลยโดนตี ตอนนั้นจำได้เลยว่าโกรธมาก แต่สักพักครูเดินมาบอกว่าขอโทษ ตอนนั้นเราทั้งอึ้งทั้งดีใจ ไม่คิดว่าครูจะเดินมาบอกขอโทษเรา คนที่เป็นผู้ใหญ่และเป็นครูกล้าเดินมาพูดว่าขอโทษนักเรียนที่อายุน้อยกว่า เรามองว่ามันต้องใช้ความกล้ามากในการพูด เรื่องนี้ทำให้เรารักและเคารพครูแบบนี้ไม่เคยลืมเลย” – Phon Pitchaya

สื่อความหมายอย่างจริงใจว่า ครูทำผิดได้ โกรธเป็น เพราะเป็นมนุษย์ แต่การขอโทษและยอมรับว่าตัวเองทำผิดโดยไม่เกี่ยงลำดับอาวุโส นั่นก็คือการปฏิบัติกันแบบมนุษย์เช่นกัน #รักเลย 🙂

ครูไม่พูด แต่ ‘ทำให้เห็น’ จนหัวใจเราฟูฟ่อง

ครูบางคนก็ ‘ไม่พูดว่ารักนะแต่จะแสดงออก’ ซึ่งคำตอบของหลายๆ คนยืนยันชัดว่า ครูไม่จำเป็นต้องพูดหรอก เด็กๆ รับรู้ได้ รับรู้และฝังเป็นประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ ใช้พลังแห่งความใจดีของครูท่านนั้น เป็นพลังขับเคลื่อนไปอีกแสนนาน

คำตอบแบบนี้มีมากจนขึ้นชาร์ต จนต้องจัดเป็นหนึ่งหมวดหมู่เลยค่ะ แต่คำตอบที่โดนใจเราที่สุด ขอยกให้…

#ซึ้ง และเราอยากเน้นคีย์เวิร์ดที่คุณเกียรติภพ สรุปว่า ‘สิ่งที่ป้าใหญ่ทำ ทำให้รู้สึกว่ามีคนที่เอาใจใส่เราจริงๆ’ ไม่ใช่แค่คำที่ทำให้คนอ่านยิ้มมุมปาก แต่มันคือชีวิตและพลังขับเคลื่อนของเด็กคนหนึ่งจริงๆ

คำตอบยอดฮิต ‘วันนี้ครูประชุม’ / ‘ยกเลิกคลาส’ นะครับ

ส่วนคำตอบยอดฮิตสำหรับโพสต์นี้ต้องยกให้คำตอบเกี่ยวกับการ ‘ยกเลิกชั้นเรียน’ แอดมินเองก็เช่นกัน (อิอิ) เป็นช่วงเวลาสุดคลาสสิกสำหรับนักเรียนประถมและมัธยมเลยนะคะ เมื่อไหร่ที่ครูเดินเข้ามาให้ห้องแล้วเอ่ยประโยคทำนองนี้ เด็กๆ เป็นต้องแอบเฮในใจ หัวใจพองฟูไม่หยุดเลยทีเดียว

ตอนเด็กๆ เราก็อาจจะดีใจนะคะ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่และรู้ว่าทำไมครูถึงต้องมีประชุมเยอะมากขนาดนี้ มันก็จะเศร้าแทนครูไทยหน่อยๆ

แต่ลึกลงไปที่เด็กๆ (และอดีตเด็กอย่างเรา) ดีใจ อาจถึง “เด็กชอบเล่น มากกว่าเรียน” “เด็กมีความสุขที่ได้ว่างเว้นจากการเรียนในห้อง” ดังนั้น การเรียนรู้อาจจะไม่จำเป็นต้องมีครูที่ต้อง ‘สอนเสมอ’ ครูไว้ใจปล่อยให้เด็กเรียนจากการเล่นหรือทำกิจกรรมด้วยตัวเอง ความไร้สาระที่มาจากการเล่นอาจจะเป็นสิ่งมีสาระขึ้นมาก็ได้

การว่างเว้นจากสาระอาจเป็นการเรียนรู้อย่างมีความสุข ที่ทำให้เด็กหัวใจพองโตก็ได้นะ ^^

คำพูดที่ทำให้หัวใจนักเรียนเกือบวาย ^^

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ คำตอบสายตลกของเรามีหลายกลุ่มจนต้องแบ่งมาอีกหนึ่งประเภท ครั้งที่แล้วเราตลกแบบเจาะจงคือครูบอกเลิกคลาส แต่โพสต์นี้ตลกแบบสุขเศร้าเคล้าน้ำตา ไม่ว่าจะเป็น

  • ถ้าไม่ตอบ ครูจะสุ่มเลขที่นะ
  • นักเรียน ส่งการบ้าน
  • ว่างมากเหรอ ครูจะนอน

และบางคำตอบ แม้จะตลก เห็นความสัมพันธ์บางอย่างของมนุษย์นักเรียนกับมนุษย์ครู แต่บางครั้งก็เป็นวีรกรรมขำขัน แต่บางครั้งก็… ฝังใจให้เราตั้งแง่กับระบบการศึกษาและคำว่าครูไปเลยก็มี

แต่โพสต์ที่ยกมานี้ ขอให้พื้นที่กับความ หัวเราะร่าแต่น้ำตาริน เหมือนเวลาเห็นเพื่อนโดนตีแต่เราแอบขำแล้วกันนะคะ ^^


คำพูดอื่นๆ สุดประทับใจ

ส่วนหัวข้อนี้เป็นข้อความที่เราได้แลกเปลี่ยนความเห็นจากผู้ที่ติดตามเพจ ชวนเราคิดต่อว่า ‘แล้วเคยเห็นนักเรียนพูดให้กำลังใจ จนหัวใจครูพองฟูบ้างไหม’ โดยมีข้อชวนกันคิดต่อว่า ไม่ใช่แค่เด็กที่ต้องการกำลังใจ ครูเองก็เช่นกัน ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ที่ทางทีมงานนำไปทำงานกันต่อไป ?

The Potential ชวนคุย

สุดท้ายแล้ว อยากชวนคุยค่ะว่า คำตอบทั้งหมดที่ได้มา สะท้อนอะไรบ้าง

สังเกตว่า ‘การพองโตของหัวใจ’ จากประสบการณ์ ได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำอันยาวนาน เพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเรียนรู้ สอคคล้องกับทฤษฎีทางสมองกับการเรียนรู้ ที่สมองเรียนรู้ด้วยความรู้สึก (Emotional in Learning) ยิ่งรู้สึกมากทั้งรู้สึกสุขและทุกข์ จะเก็บจำเป็นประสบการณ์อย่างยาวนานในสมองส่วน working memory ส่วนเดียวกับ limbic system มันพร้อมใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา ถ้าหยิบศักยภาพนั้นมาใช้ได้ถูกจังหวะและสถานการณ์  

ศักยภาพของผู้เรียนจะฉายแววได้ ถ้ามีครูที่เห็นหัวใจของเขา สายตาที่มองเห็น คำพูดที่สร้าง ‘ความเชื่อมั่น’ จะช่วยส่องสะท้อนให้เด็กได้มองเห็นศักยภาพตัวเองชัดเจนขึ้น สำคัญอีกอย่าง คือ การกระทำที่แสดงถึง ‘ความเอาจริงเอาจัง’ เพราะอยากให้ลูกศิษย์ทำได้ ครูไม่เพียงรอคอยได้แต่ก็เร่งและขับเคี่ยวให้เขาทำได้จริง การอยู่ตรงนั้นกับผู้เรียน (being with the flow) จึงเป็นพฤติกรรมที่มีความหมายมากกับการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเห็นได้ชัด

ปิดท้ายด้วย ครูเองก็ต้องการ ‘พลังแห่งถ้อยคำ’ จากลูกศิษย์ เพื่อชุบชูจิตใจให้มีพลังในการสอนเช่นเดียวกัน เหมือนตั้งคำถามให้ครูเองได้ตระหนักดูแลพลังงานในการสร้างการเรียนรู้ของตัวเอง

เพราะการสอน ครูเองก็เผชิญหน้ากับความกลัว ความกังวล ที่มาจากความไม่รู้ของครูเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเด็กจะรู้เรื่องไหม ไม่รู้ว่าเด็กจะทำข้อสอบได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ครูเองก็รู้สึกผิด เพราะทุกครั้งการเรียนรู้มันอยู่ที่ขอบ ‘ครู คือ มนุษย์’ อีกคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ที่มองเห็นลูกศิษย์กำลังก้าวข้ามขอบศักยภาพของตนเอง ได้อย่างมั่นคง

Tags:

จิตวิทยาปม(trauma)การเติบโตครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    ถึงเวลาเอาคะแนน ‘ยกมือตอบในห้อง’ ออกได้หรือยัง?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

‘เจ้านาย’ ผู้หันหลังให้ร้านเกมแล้วเดินเข้าสวนมะพร้าว
Creative learning
28 May 2018

‘เจ้านาย’ ผู้หันหลังให้ร้านเกมแล้วเดินเข้าสวนมะพร้าว

เรื่องและภาพ The Potential

  • จากเด็กหนุ่มติสต์แตก มีบ้านเป็นร้านเกม จู่ๆ ก็ทิ้งทุกอย่างแล้วมุ่งหน้าเข้าสวนมะพร้าว
  • เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากความอยากเท่ตามประสาวัยรุ่น แต่พอได้ลงมือทำจริงๆ ความเท่ก็ถูกสะกดใหม่กลายเป็น ‘ศักยภาพ’
  • สนใจ เรียนรู้ ลงมือทำ ผิดพลาดก็ฮึดใหม่ คือเคล็ดลับ ‘วิชามะพร้าวเผา’ – วิชานอกห้องเรียนที่ได้คะแนนเป็นประสบการณ์และชีวิตที่เปลี่ยนตลอดไป

เพราะฝันอยากมีรูปตัวเองเท่ๆ อยู่ในหนังสือกับเขาบ้าง…

นั่นคือแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ นาย-เปรมจิณณวัตร ลาภภูต หนุ่มน้อยจากบ้านทุ่งมน ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษในปี 3

เส้นทางของนาย อาจจะดูแปลกไปจากคนอื่นๆ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ จุดเริ่มมาจากการได้เห็นรูปของเพื่อนอยู่ในหนังสือถอดบทเรียน “พลังเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ ปี 2” เลยลองเปิดอ่านดู และพบว่าในหนังสือมีเรื่องราวสนุกๆ จนรู้สึกอยากลงมือทำโครงการกับเขาบ้าง จึงตัดสินใจถามข้อมูลจากตุ้ยนุ้ย-หนึ่งในเพื่อนที่อยู่ในหนังสือ และตบปากรับคำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม

นายยอมรับว่าเดิมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่สนใจใคร ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในครอบครัว กลับจากโรงเรียนก็จะรีบเข้าบ้าน เปิดทีวี เล่นเกม วันไหนวันหยุดก็ขับรถเข้าร้านเกมทันที จะให้มาสนใจคนรอบข้างบอกได้เลยว่า – ไม่มี

วิชามะพร้าวเผา

หนทางสู่การเรียนรู้นอกห้องเรียนเกิดขึ้นจากการทำโครงการเพื่อชุมชน ชื่อว่า ‘โครงการมะพร้าวเผาของดีประจำหมู่บ้านทุ่งมน’ ร่วมกับเพื่อนๆ ในทีม

อยากทำเรื่องมะพร้าวเผา แต่ไม่มีใครมีความรู้เรื่องนี้เลยสักคน ทำอย่างไรถึงจะรู้…

คำตอบที่ได้คือ ต้องพาตัวเองไปเรียนรู้…นายและเพื่อนลงพื้นที่ สอบถามข้อมูลจากคนในชุมชน ไปพบปะผู้คนที่ทำสวนมะพร้าว สำรวจจำนวนมะพร้าวสวนในชุมชน ราคาขายของมะพร้าวเผา รวมถึงเทคนิคการเผามะพร้าว

นายอาสาทำหน้าที่สำรวจจำนวนต้นมะพร้าว เพราะคิดว่าน่าจะง่ายที่สุด

“ตอนนั้นผมอาสาทำหน้าที่นี้ เพราะคิดว่าคงไม่ยาก แค่เดินเข้าไปในบ้านที่เขามีต้นมะพร้าวแล้วไปขอนับต้นมะพร้าว ตอนนั้นรู้สึกสนุกที่ได้เข้าไปบ้านโน้น ออกบ้านนี้”

จากคนที่ไม่เคยสนใจใคร เมื่อต้องเข้าไปนับต้นมะพร้าวของบ้านแต่ละหลัง ทำให้นายค่อยๆ พาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดกับชุมชนมากขึ้น จากเดิมที่ตื่นเช้ามาเข้าร้านเกมก็เปลี่ยนมาเป็นเข้าสวนมะพร้าวแทน จากคนมีโลกส่วนตัวสูงก็เริ่มเดินออกจากโลกของตัวเอง เข้ามาพูดคุยกับลุง ป้า น้า อารอบบ้านมากขึ้น

ต่อมาเมื่อสืบค้นจนทราบขั้นตอนการทำมะพร้าวเผาตามแบบฉบับของชุมชนทุ่งมนแล้ว ด้วยความร้อนวิชา ทำให้สมาชิกทุกคนในทีมอยากลองเผามะพร้าวด้วยตัวเอง แต่ก็ล้มไม่เป็นท่า การทำมะพร้าวเผาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

คว้าน้ำเหลวจนสำเร็จ

“ผมต้องปีนเก็บลูกมะพร้าว ครั้งแรกลูกมะพร้าวร่วงมาแตกเกือบหมด แทบจะใช้ไม่ได้เลย จนมารู้เทคนิคว่าก่อนตัดต้องเอาเชือกผูกไว้ก่อน หลังจากตัดเสร็จค่อยๆ ปล่อยเชือกลงมา เพื่อลดแรงกระแทกของมะพร้าว”

ไม่ใช่เพียงแค่การเก็บมะพร้าวที่ต้องมีเทคนิค แต่ทุกขั้นตอนของการเผามะพร้าวพวกเขาต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป ผิดบ้าง ถูกบ้าง ขั้นตอนที่ไหนที่ผิดพลาดไปก็ค้นหาเหตุผล จนค่อยๆ แก้ไขไปทีละขั้นตอน ทั้งสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต เช็คความถูกต้องจากคนทำมะพร้าวเผาจริงๆ ก่อนจะนำข้อมูลที่ได้มาทดลองทำด้วยตัวเองเพื่อค้นหาคำตอบ

จากคนที่ไม่เคยมีทักษะในการเผามะพร้าวเลย ไม่รู้แม้กระทั่งสายพันธุ์ของมะพร้าว แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะถามอะไร ขั้นตอนไหน นายและเพื่อนในทีมตอบได้หมด

นานาแบบฝึกหัดนอกห้องเรียน

ไม่ใช่เพียงแค่การลงมือทำโครงการในชุมชนเท่านั้นที่กระตุ้นให้นายเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง แต่กิจกรรมเวิร์คช็อปโดยพี่เลี้ยงโครงการพลังเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษที่ออกแบบให้เยาวชนทุกทีมต้องนำเสนอผลงานของตนเองคือหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นายกลายเป็นคนกล้าพูด กล้านำเสนอ

“เหตุผลที่เรายอมลุกออกมาจากพื้นที่ส่วนตัว เพราะเห็นว่าเพื่อนบางคนพูดไม่ได้ ไม่กล้าพูด เพราะยังเขินอาย แต่สิ่งที่ทำให้ผมกล้าพูด คือ เรารู้ข้อมูล เราเลยไม่กลัวที่จะลุกออกไปพูดหน้าเวที”

ความเปลี่ยนแปลงของนายยิ่งฉายแววชัดเจนยิ่งขึ้นในงานมหกรรมหนังกลางแปลงที่เขาและเพื่อนๆ ได้นำสารคดีเกี่ยวกับมะพร้าวเผาบ้านทุ่งมนฝีมือตัวเองไปเปิดให้คนในชุมชนได้รับชม

“วันนั้นผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ตอนแรกก็หวั่นใจกลัวว่าคนที่เข้ามาชมนิทรรศการในบูธของเราจะถามอะไรเราบ้าง จะตอบได้ไหม แต่พอถึงเวลาจริงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความกล้าของผมมาจากไหน ผมทักทายผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาดู หยิบใบแนะนำโครงการให้คนที่เข้ามาชม พูดคุยกับเขา ตอบคำถามได้หมดเลย”

จากเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจโลกภายนอก ชีวิตอยู่แค่ในโลกของเกมออนไลน์ แต่เมื่อเขาได้ทำโครงการในชุมชนกลับพบว่า โลกความเป็นจริงสนุกกว่าโลกในเกมเป็นไหนๆ การได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ได้ลงมือทำจากสิ่งที่ไม่รู้จนเกิดเป็นความชำนาญ ส่งผลให้นายในวันนี้กลายเป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องมะพร้าวเผาทุ่งมนไปโดยปริยาย

“ส่วนหนึ่งเพราะมีโอกาสได้ลงมือทำ เหมือนที่โครงการพาให้เราได้ลองทำ ได้ลองพูด เราเลยรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร พูดอย่างไร ยิ่งได้พูดในหลายๆ เวทีก็ยิ่งทำให้ตัวเองกล้าขึ้น ”

สู้ต่อไปนะนาย!

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)เกษตรกรศรีสะเกษ

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?
Family Psychology
28 May 2018

พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ไปรับไปส่ง ให้เงินเดือนแม้ลูกทำงานแล้ว โทรหาอาจารย์ถามว่าทำไมเกรดลูกไม่ดี แก้ปัญหาให้ทุกเรื่องไม่เว้นเรื่องส่วนตัว ถ้าเป็นเกือบทั้งหมด คุณเข้าข่ายมนุษย์พ่อแม่ ‘เฮลิคอปเตอร์สไตล์’
  • พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ จะบินวนใกล้ลูกตลอดเวลา พร้อมเสมอที่จะโฉบไปจัดการกับปัญหาให้เมื่อเห็นสัญญาณ-แค่เห็นและตีความว่าลูกมีปัญหา ก็กดปุ่มลงจอดฉุกเฉินแลนดิ้งไปช่วยทันที
  • นี่คือสาเหตุหนึ่งทำให้ชาวมิลเลนเนียลถูกหาว่า เป็นลูกแหง่ ไม่ยอมโต ไม่อดทน ไม่เป็นอิสระ แก้ปัญหาตัวเองไม่ถูก

หลายคนลงความเห็นว่าวัยรุ่นสมัยนี้ไม่อดทน ขี้โวยวาย ลนลาน ไม่มีสมาธิ คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และบุคลิกอื่นๆ ที่อาจทำให้ผู้ใหญ่หลายคนส่ายหัว แต่ทำไมวัยรุ่นสมัยนี้จึงมีบุคลิกรวมหมู่ นิสัยคล้ายกัน (จนมีคำสบประมาทแบบเหมารวม) พวกเขาถูกเลี้ยงมาอย่างไร ด้วยพ่อแม่ที่มีบุคลิกแบบไหน แล้วทำไมพ่อแม่จึงเลี้ยงลูกวัยรุ่นยุคใหม่ให้โตมามีนิสัย (เกือบ) คล้ายกันหมดแบบนี้?!

อาจตอบไม่ได้ทั้งหมด แต่บุคลิกของคุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่มีอาการคล้ายกันอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ‘helicopter parents’ หรือ พ่อแม่ที่มีลักษณะคล้ายเฮลิคอปเตอร์ ที่จะบินวนอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา เตรียมพร้อมเสมอที่จะโฉบไปจัดการกับปัญหาให้ลูกทุกครั้งที่เห็นสัญญาณ-แค่เห็นและตีความว่าลูกมีปัญหา ก็กดปุ่มลงจอดฉุกเฉินแลนดิ้งไปช่วยทันที

ด้วยวิธีการแบบนี้ เป็นไปได้ที่วัยรุ่นยุคใหม่ จะไม่ได้เข้าใกล้คำกล่าว “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เพราะยังไม่ทันได้เจ็บปวด ก็มีคนเข้ามาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว

ที่มา helicopter parents

คำว่าพ่อแม่แบบ ‘เฮลิคอปเตอร์สไตล์’ ถูกพูดถึงตั้งแต่ต้นปี 2000 ยุคที่ชาวมิลเลนเนียลรุ่นแรกๆ (millennials ผู้ที่เกิดช่วงปี 1981-1997) กำลังอยู่ในช่วงหนุ่มสาว (young adulthood) โตขึ้นมากับช่วงเหตุการณ์ 911 และการล่มสลายของเศรษฐกิจ 2 ครั้ง คือปี 2000 และปี 2008 พ่อแม่ของพวกเขาจึงห่วงและกลัวอนาคตของลูกๆ ตัวเองเป็นพิเศษ

กังวลขนาดไหน?

ขนาดที่ อาจขอเข้าไปอยู่หน้าห้องตอนลูกๆ สัมภาษณ์เข้าทำงาน โทรหาอาจารย์ที่โรงเรียนหรือกระทั่งในมหาวิทยาลัย สงสัยว่าทำไมลูกได้เกรดไม่ดี ไปรับไปส่งทุกการเดินทาง กิจวัตรประจำวันในบ้านพ่อแม่จัดการให้ เด็กๆ ไม่ต้องทำกับข้าว เย็บผ้า ซักผ้าตากผ้าของตัวเอง หรือถ้าทำเป็น ก็แค่พอทำเป็น แต่ไม่ใช่หน้าที่หลักในชีวิตประจำวัน

เหมือนจะดี แต่ส่งผลอะไรต่อลูกๆ?

ยังไม่มีรายงานวิจัยที่ฟันธงหรือพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่รายงานจำนวนหนึ่งบอกว่า ‘เฮลิคอปเตอร์สไตล์’ กำลังแพร่ระบาด เช่นรายงานปี 2009 เรื่อง Helicopter Parents: Examining the Impact of Highly Involved Parents on Student Engagement and Educational Outcomes โดยมหาวิทยาลัยอินเดียนา ระบุว่า นักศึกษาใหม่ 38 เปอร์เซ็นต์ และ นักศึกษารุ่นพี่ 29 เปอร์เซ็นต์เผยว่า พ่อแม่เข้ามาก้าวก่ายหรือช่วยแก้ปัญหาอยู่บ่อยครั้ง

หรืองานสำรวจโดย Pew Research Survey ปี 2013 ระบุว่า 73 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่วัย 40-50 ปี ยังให้เงินสนับสนุนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินสนับสนุนในทางการศึกษาแก่เด็กๆ อยู่

บทความล่าสุดเรื่อง What Millennials Say About Their Parents During Therapy หรือ ชาวมิลเลนเนียลพูดถึงพ่อแม่อย่างไรระหว่างคุยกับนักจิตบำบัด ข้อมูลจาก เดโบราห์ ดูลีย์ (Deborah Duley) นักจิตบำบัดและผู้ก่อตั้ง Empowered Connections องค์กรให้คำปรึกษาเฉพาะทางประเด็นผู้หญิงและความหลากหลายทางเพศ

ดูลีย์ ร่วมกับเพื่อนนักจิตบำบัดคุยกันว่า ผู้เข้าบำบัดอายุระหว่าง 20-30 ปี พูดถึงพ่อแม่อย่างไรระหว่างจิตบำบัด ข้อแรกเลยคือ เพราะโตมากับพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ จึงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเลย

“มันเป็นปัญหานะที่พ่อแม่ของลูกชายอายุ 28 โทรหาฉันเพื่อขอดูตารางเวลาเข้ารับจิตบำบัด พ่อแม่ชาวมิลเลนเนียลได้รับสมญานามว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์สไตล์ มันทำให้ลูกๆ ของเขาไม่มีอิสระ ไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหาของตัวเองอย่างไร”

ทารา กริฟฟิธ (Tara Griffith) นักจิตบำบัดกล่าว

ปัญหาอื่นที่ดูลีย์อธิบาย คือ พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์เข้าไปจัดการปัญหาการเงินให้ลูกๆ ไม่ได้สอนให้จัดการกับอารมณ์ และ พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ ก็กำลังจะกลายเป็นคุณตาคุณยายแบบ เฮลิคอปเตอร์สไตล์ ด้วยเช่นกัน

แต่จะเปลี่ยนพ่อแม่เหรอ? เปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า

อันที่จริงต้องกล่าวว่า จะเปลี่ยน ‘คนอื่น’ เหรอ เปลี่ยนที่ตัวเองสิ เวนดี โมเกล (Wendy Mogel) นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวและการเลี้ยงเด็กกล่าวว่า แนวคิดเรื่องพ่อแม่แบบเฮลิคอปเตอร์สไตล์ จุดประสงค์เพื่อให้ลูกรู้เท่าทันว่าทำไมเราจึงมีนิสัยแบบนี้ ถูกเลี้ยงดูมาด้วยสิ่งแวดล้อมแบบไหน แต่ข้อเท็จจริงคือ เราจะเปลี่ยนใครได้ นอกจากตัวเอง

“ไม่มีทางที่พ่อแม่คุณจะตื่นขึ้นมาแล้วเข้าใจว่าวิธีเลี้ยงลูกแบบนี้เป็นปัญหาอย่างไร พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องและมีเจตนาดี”

กลับกัน การนอนกอดตัวเอง เฝ้าโทษแล้วโยนความผิดทั้งหมดลงบนบ่าของพ่อแม่โดยไม่แก้ไขปัญหานั้นไม่ช่วยอะไร เพียงแต่เข้าใจที่มาที่ไปของพ่อแม่ เข้าใจความผิดพลาดที่ผ่านมาแล้วเดินหน้าพัฒนาอิสรภาพของตัวเองโดยไม่ต้องรอให้พ่อแม่เปลี่ยน แม้จะดูพูดง่ายแต่ทำยาก  ทว่าน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

ที่มา: 

5 Signs You Were Raised By Helicopter Parents

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)overprotective parentการเติบโต

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    Growing up with HIV: ชีวิตไม่แพ้ของ ‘เพลงพิณ’ มายเซ็ตที่เปลี่ยนการตีตราเป็นความเติบโต

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

กล้าที่จะสอน: ตัวตน ซื่อตรง เสมอภาค และหัวใจที่ไม่หวั่นกลัวของคนเป็นครู
Book
27 May 2018

กล้าที่จะสอน: ตัวตน ซื่อตรง เสมอภาค และหัวใจที่ไม่หวั่นกลัวของคนเป็นครู

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ‘กล้าที่จะสอน’ รวบรวมจากการพูดคุยกับครูในพื้นที่ต่างๆ จนได้ข้อสรุปว่า การสอนที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มาจากตัวตน ความซื่อตรง ความรักในอาชีพและความมีสำนึกในวิชาชีพของครู
  • ‘กล้าที่จะสอน’ สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาถึงข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดของครู โดยเฉพาะเรื่อง ‘ความกลัว’ แล้วจึงคืนความเป็นตัวเอง
  • “ไม่ใช่เพียงเพราะเธอต้องการให้ครูช่วยเหลือเธอให้ก้าวหน้าเท่านั้น แต่ครูก็ต้องการสติปัญญาและพลังชีวิตของพวกเธอที่จะช่วยให้ชีวิตของครูสดใหม่มีพลังไปด้วย” หัวใจที่หวั่นกลัวของครู หน้า 109
ภาพ: นัฐยากร บุญเกิด / วิภาวรรณ เผือกเชาว์ไวย์

“ในการเผชิญกับการตัดสินของคนหนุ่มสาว ครูต้องหันเข้าหานักศึกษาแทนที่จะหันหน้าหนี แล้วพูดกับพวกเขาว่า “มีช่องว่างที่ใหญ่มากระหว่างเรา แต่ไม่ว่ามันจะกว้างและต้องเสี่ยงเพียงใด ครูให้สัญญาว่าเชื่อมมันให้ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเธอต้องการให้ครูช่วยเหลือเธอให้ก้าวหน้าเท่านั้น แต่ครูก็ต้องการสติปัญญาและพลังชีวิตของพวกเธอที่จะช่วยให้ชีวิตของครูสดใหม่มีพลังไปด้วย” หัวใจที่หวั่นกลัวของครู หน้า 109

“แต่สำหรับครูบางคนที่ให้ความใส่ใจกับเรื่องราวเหล่านี้ ไม่มีความแตกต่าง ไม่ว่าเราจะให้นิยามชุมชนว่าเป็นพื้นที่แห่งปฏิสัมพันธ์ที่เปิดเผยชัดเจน เป็นละครหรือการสนทนาภายใน ครูเหล่านี้อ้างว่าการศึกษาจะไม่สามารถบรรลุความเป็นชุมชนในรูปแบบใดๆ ตราบที่ความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนเป็นไปอย่างไม่เสมอภาคกันทั้งในเชิงสถานะและอำนาจ…

“…ภัยคุกคามที่แท้จริงของชุมชนในห้องเรียน ไม่ใช่ความแตกต่างในอำนาจและสถานะระหว่างครูกับนักเรียน แต่เป็นการขาดความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันที่ความแตกต่างถูกหนุนเสริม …” ชุมชน: ความหลากหลายและอุปสรรค หน้า 241

คำกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งจาก หนังสือ ‘The Courage to Teach’ หรือที่ใช้ชื่อไทยอย่างห้าวหาญว่า ‘กล้าที่จะสอน’ เขียนโดย ปาร์กเกอร์ เจ. ปาล์มเมอร์ แปลเป็นภาษาไทยโดย เพ็ญนภา หงส์ทอง และ ณัฐฬส วังวิญญู ที่ทำให้เห็นภาพรวมและสะท้อนถึงบทสรุปที่เป็นแก่นของการเรียนรู้ว่า กุญแจของการเรียนรู้อยู่ที่ ‘หัวใจ’ ของผู้สอนและผู้เรียน

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นบนพื้นฐานข้อมูลที่รวบรวมจากการพูดคุยกับครูในพื้นที่ต่างๆ จนได้ข้อสรุปว่า การสอนที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มาจากตัวตน ความซื่อตรง ความรักในอาชีพและความมีสำนึกในวิชาชีพของครู

ปาล์มเมอร์จึงพาผู้อ่านเดินทางเข้าไปสำรวจภายในของตัวเอง เพื่อปลุกกระตุ้นพลังและแรงบันดาลใจในการสอนให้ครูมีความกล้าและสามารถยืนหยัดต่อไปได้โดยไม่ถอดใจ เขาตั้งใจท้าทายระบบและการสอนของนักการศึกษาจำนวนหนึ่งที่สูญเสียจิตวิญญาณความเป็นครูไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ปาล์มเมอร์ เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการสอนและเป็นนักจัดการศึกษามากว่า 30 ปี เขาจึงพยายามชี้ให้เห็นถึงความกลัวหรือความไม่กล้าเปลี่ยนแปลงบทบาทการสอนของครู จนกลายเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่เป็นปัญหาหลักทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนการศึกษาทั้งระบบได้

“…ครูที่ไม่ได้เรื่องวางตัวห่างจากวิชาที่ตัวเองกำลังสอน และด้วยเหตุผลนี้จึงห่างจากนักเรียนด้วย ครูที่ดีรวมเอาตัวเอง วิชาที่สอน และนักเรียน เข้าไว้ในสายใยชีวิต” บทที่ 1 การสอนที่พ้นจากเทคนิค

ปาล์มเมอร์พยายามชี้ให้เห็นว่า การสอนที่ดีเกี่ยวข้องกับ อัตลักษณ์ และ ความซื่อตรง ในความเป็นครู แกนหลักในการประกอบอาชีพที่ต้องใช้ทั้งสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึกและจิตวิญญาณ ในขณะที่ครูและนักเรียนต้องเผชิญหน้ากัน ครูไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่สอน ครูที่ดีต้องรักการเรียนรู้ด้วย วิถีการสอนของครูต้องสร้างความไว้วางใจให้กับผู้เรียนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างครูกับนักเรียน ทำให้นักเรียนอยากรู้ อยากเรียนรู้ แล้วอยากกลับมาเรียนอีกอย่างต่อเนื่อง สร้างการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

กรณีศึกษาในเล่มนี้ทำให้รู้และเข้าใจว่า

  • ทำไมการสอนให้ได้ดีจึงไม่ใช่แค่มีเทคนิคการสอนที่ดีอย่างเดียว?
  • การค้นคว้าและเก็บข้อมูล เพื่อหาคุณลักษณะนิสัยของครูที่ดีซึ่งมีคุณลักษณะบางอย่างเหมือนๆ กัน
  • การเรียนรู้วิธีการเชื่อมต่อการเรียนรู้ระหว่างครูกับนักเรียน เป็นต้น

จุดเด่นของหนังสืออยู่ที่การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาถึงข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดของครู โดยเฉพาะเรื่อง ‘ความกลัว’ ซึ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อการเรียนรู้และการพัฒนาตัวเอง ทั้งต่อตัวนักเรียนและครู เพราะความกลัวทำให้เกิดความรู้สึกตัดขาด ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่ครูอยากเป็นผู้สอนที่ควบคุมทุกอย่าง ไม่ชอบให้นักเรียนตั้งคำถามหรือแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวการถูกท้าทาย

นอกจากการขจัดความกลัวแล้ว ปาล์มเมอร์ยังผลักดันให้สร้างความเปลี่ยนแปลงการสอนด้วยการจัดบรรยากาศการเรียนให้มีความตื่นตัว ภาษาที่ใช้ในหนังสือ คือ การสร้างความสัมพันธ์ของความย้อนแย้ง (paradox) ยกตัวอย่างเช่น

  • การเปิดพื้นที่ให้มีทั้งพื้นที่เปิดและปิด เช่น การเรียนรู้ควรมีพื้นที่ให้นักเรียนตั้งคำถาม ขณะเดียวกันต้องกำหนดขอบเขตการอภิปรายให้ตรงประเด็น
  • การเปิดพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล และการแสดงความคิดจากข้อสรุปภายในกลุ่ม (การรับฟังผู้อื่น)
  • การไม่มองข้ามเรื่องราวเล็กๆ ของนักเรียน และไม่ลืมเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและสังคม เป็นต้น

ในขณะที่เนื้อหาสามบทแรกพูดถึงครูโดยเน้นที่ตัวบุคคล แต่ในส่วนที่เหลือของหนังสือ ปาล์มเมอร์นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้กับชุมชน เขาแนะนำวิธีการเอาชนะความกลัว แล้วเรียกคืนความเป็นตัวเองของครูกลับมา รวมทั้งการจัดการกับความขัดแย้งบางอย่างภายในตัวเอง หนังสือ ‘กล้าที่จะสอน’ จึงช่วยกระตุ้นและเป็นแรงกระเพื่อมทางจิตวิญญาณของครู เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยสร้างความงดงามของการสอนและการเรียนรู้ขึ้นมาได้ใหม่

Tags:

ครูหนังสือเทคนิคการสอนณัฐฬส วังวิญญู

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Learning Theory
    จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • BookCreative learning
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel