Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก
EF (executive function)
17 September 2018

ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • วิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์เดิม และการพัฒนาของสมองส่วน EF ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประสบการณ์เดิมนั้น
  • วินัยเชิงบวกทำหน้าที่เชื่อมโยง ระหว่าง ‘การแสดงออกทางพฤติกรรม’ และ ‘การใช้ทักษะสมองส่วนเหตุผล หรือ EF’
  • คำว่า ห้าม-ไม่-อย่า-หยุด เป็นคำที่ควรละเว้นในการสร้างวินัยเชิงบวก
ภาพ: มูลนิธิสยามกัมมาจล

ประโยคที่ว่า ‘พ่อแม่ย่อมรู้จักลูกดีที่สุด’ เป็นความจริงหรือไม่…?

พ่อแม่ทุกคนรู้หรือไม่ว่า เริ่มตั้งแต่ลูกน้อยยังอยู่ในท้อง คุณก็ได้กลายเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างและปลูกฝังตัวตนของเขาแล้ว เพราะวิธีการที่พ่อแม่เลือกใช้เลี้ยงลูกสามารถเปลี่ยนโครงสร้างและการทำงานของสมองของพวกเขาได้ตั้งแต่แรกเกิดจนโต ดังนั้นเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมามีนิสัยอย่างไร ขึ้นอยู่กับสองมือของพ่อแม่ที่จะช่วยถักและสานพฤติกรรมที่ดีของลูกขึ้นมา

ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

จากงานเสวนาเรื่อง ‘เลี้ยงลูกถึงหัวใจด้วยวินัยเชิงบวก’ ที่จัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล อาจารย์หม่อม หรือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของงานวิจัย ‘101S เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก&พัฒนาการสมอง จิตใจ และพฤติกรรม’  เสนอว่า ถ้าพ่อแม่เข้าใจการทำงานเบื้องหลังของสมองที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่างๆ ของลูกได้ จะเป็นเครื่องมือชั้นดี ที่จะทำให้รู้ว่าจะต้องสอนลูกอย่างไร ซึ่งมีโครงสร้างทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่

  • สมองส่วนสัญชาตญาณ ที่แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างอัตโนมัติ
  • สมองส่วนอารมณ์ ที่แสดงพฤติกรรมว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วถ้าไม่ชอบจะแสดงเป็นพฤติกรรมทันที โดยที่ไม่ส่งข้อมูลไปให้สมองส่วนหน้าวิเคราะห์หรือหาเหตุผล
  • สมองส่วนเหตุผล (Executive Function-EF) ที่แสดงพฤติกรรมผ่านการทำงานของสมองชั้นสูง คิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ควบคุมอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และการตัดสินใจ ก่อนจะแสดงพฤติกรรมใดออกมา

ถ้าสมองไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม เด็กจะกลับไปใช้สมองส่วนสัญชาตญาณและส่วนอารมณ์มากกว่า ดังนั้นอาการลงไปชักดิ้นชักงอ ร้องกรื๊ด เรียกร้องความสนใจเวลาอยากได้ของเล่น หรือ อาการอ้างเหตุผลร้อยแปดเมื่อถูกจับได้ว่าโกหก ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ออกมาจากสมองส่วนสัญชาตญาณและอารมณ์ที่ถูกพัฒนาเต็มที่ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง เป็นพฤติกรรมธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องมีใครสอนเด็กก็ทำได้อย่างอัตโนมัติ

“ถ้าอยากให้ลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมา ประสบการณ์เดิมต้องมีคุณภาพ” 

แล้วประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพสร้างได้อย่างไร

การที่เด็กจะได้พัฒนาฝึกสมองส่วนเหตุผล หรือ EF ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและคุณภาพของประสบการณ์นั้น ซึ่งสร้างได้ง่ายๆ จากการให้ความรัก ความอบอุ่น ความผูกพันและให้พื้นที่ปลอดภัย พ่อแม่จะกลายเป็นวัคซีนที่ยอดเยี่ยมในการทำให้ลูกค่อยๆ สร้างตัวตนที่เป็นตัวเขาขึ้นมา

แล้วเมื่อโตขึ้นเขาจะมีนิสัยอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมเหล่านี้ หากเด็กพลาดการฝึกฝนสมองช่วงนี้ไป สมองส่วนอารมณ์จะเข้าควบคุมพฤติกรรมของลูกทั้งหมด 

“สมมุติลูกเราเป็นเด็กชายอายุ 15 ปี เดินออกจากบ้านไปเจอเพื่อนมายืนรอหน้าบ้าน แล้วชักชวนไปเสพยา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปหรือไม่ไป เขาจะดึงประสบการณ์เดิมที่เคยเจอมาทั้งหมดประมวลผลก่อน หากลูกเรามีประสบการณ์ที่ไม่ดี เคยถูกพ่อต่อว่า แม่ก็ไม่เคยแสดงความรัก ไปโรงเรียนก็ไม่มีเพื่อนคบ อาจทำให้เขาตัดสินใจไปเสพยากับเพื่อนก็ได้” อาจารย์หม่อมยกตัวอย่าง

นอกจากการให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์เดิมแล้ว ‘วินัยเชิงบวก’ ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เด็กในวันนี้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าได้อย่างมีคุณภาพ

วินัยเชิงบวก คืออะไร

วินัยเชิงบวก คือการสอนและฝึกฝนลูก โดยปราศจากความรุนแรงทางกายวาจา เน้นการส่งเสริมวิธีการสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่บังคับหรือควบคุมลูก รวมถึงลงโทษหรือทำร้ายร่างกายและจิตใจ สอนให้ลูกประสบความสำเร็จโดยให้ความรู้และความรักควบคู่กัน

วินัยเชิงบวกจึงทำหน้าที่คล้ายสะพานเชื่อมโยง ระหว่าง ‘การแสดงออกทางพฤติกรรม’ และ ‘การใช้ทักษะสมองส่วนเหตุผล หรือ EF’ ฉะนั้น อาจารย์หม่อมจึงชวนพ่อแม่สำรวจเทคนิคสร้างวินัยเชิงบวก ดังนี้

สมองคือกระปุก

พ่อแม่เคยถามตัวเองไหมว่า วันๆ หนึ่ง เราพูดอะไรกับลูกบ่อยที่สุด ‘ตั้งใจหน่อย’ ‘เร็วๆ’ ‘อย่าชักช้า’ ‘กินข้าวให้หมด’ ถ้าเปรียบสมองลูกเป็นกระปุกออมสิน ถ้อยคำเหล่านี้ก็คือเหรียญที่ลูกจะหยิบขึ้นมาใช้ พ่อแม่ควรจะไตร่ตรองก่อนว่าจะหยอดอะไรลงไปในกระปุกบ้าง อย่าแบกเหรียญทั้งหมดที่เคยเจอมาใส่ให้เขา

พ่อแม่มักหยอดคำพูดเชิงบังคับในทุกๆ วัน ให้กับลูก เช่น กินผักเดี๋ยวนี้ ดื่มนมให้หมด ตื่นได้แล้ว ดึกแล้วไปนอน ล้างมือด้วย อย่าเอามือแคะขี้มูก ทำการบ้านหรือยัง ฯลฯ ซึ่งคำพูดเหล่านี้ล้วนไม่ได้ส่งเสริมให้ลูกฝึกใช้ประสบการณ์ตัวเองและสมองส่วน EF ในตัดสินใจเอง ควรจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นๆ บ้าง แทนที่จะบังคับและพูดแต่เรื่องเดิมๆ กับลูก

“พ่อแม่ทุกคนจงจำไว้ว่าการหยอดน้ำเสียง หยอดท่าทาง หยอดภาษากาย ของพ่อแม่แต่ละคน ย่อมส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์ของลูกได้”

อย่ามา NO!

‘อย่าวิ่ง!’ ‘หยุดพูด!’ ‘ห้ามเถียง!’ พ่อแม่หลายคนมักจะใช้คำพูดเหล่านี้ในการหยุดพฤติกรรมของลูกอยู่บ่อยๆ แต่คำว่า ห้าม-ไม่-อย่า-หยุด เป็นคำที่ควรละเว้นในการสร้างวินัยเชิงบวก เนื่องจากชุดคำมักจะได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะต้องใช้การประมวลระดับสูง สมองเด็กต้องประมวลผลถึง 2 รอบ

เมื่อพูดกับลูกว่า ‘อย่าวิ่ง’ สิ่งที่สมองของเด็กจะประมวลได้เป็นอันดับแรกคือ ‘วิ่ง’ ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกทำอะไร ควรจะบอกตรงๆ ให้เขาเข้าใจง่ายๆ เด็กยังประสบการณ์น้อย จึงจำเป็นต้องใช้คำพูดที่ชัดเจนและไม่ทำให้สับสน ถ้าจะบอกลูกว่า ‘อย่าวิ่ง’ ให้เปลี่ยนเป็นพูดว่า ‘ค่อยๆ เดิน’

ปลอบหรือสอน

เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมต่างๆ ให้พ่อแม่สังเกตว่าเขากำลังใช้สมองส่วนไหนในการทำงาน เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรมลูกมาจากสมองส่วนอารมณ์ เช่น ร้องไห้ โวยวาย กรื๊ด กระทืบเท้า ดิ้น ทุบตีพ่อแม่ ฯลฯ แสดงว่าสมองส่วนอารมณ์ไม่ส่งข้อมูลไปสมองส่วน EF เป็นช่วงเวลาที่ยังสอนไม่ได้ ให้พ่อแม่มีสติและควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้เสียก่อน อย่าเพิ่งสอน เพราะเด็กจะรู้สึกต่อต้าน

วินัยเชิงบวกจะช่วยให้พ่อแม่รู้จักลูก เข้าใจลูก และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกมากขึ้น รวมถึงเป็นอาวุธในมือของพ่อแม่ที่ใช้สร้างถนนที่แข็งแรงให้ลูกเดินในอนาคต จากการป้องกันและการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งช่วยพัฒนาสมองทั้งด้านอารมณ์และสังคม 

แม้ไม่มีเวลาตายตัวสำหรับการฝึกวินัยเชิงบวก ไม่สามารถตั้งเป้าหมายกับลูกได้ว่าต้องฝึกกี่เดือน กี่ปี ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพราะการรับรู้ของเด็กแต่ละคน แต่ละช่วงวัยย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งถ้าลูกอายุน้อยไม่ถึง 1 ขวบ พ่อแม่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแต่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโครงสร้างการทำงานของสมองของลูกทั้งหมด

“ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนอย่างไร เราก็ควรจะเป็นคนแบบนั้น” เป็นสมการที่พ่อแม่ยุค 2018 ควรนึกถึงไว้เสมอ เพราะจะทำให้เราตัดสินใจได้ว่า จะเลือกหยิบเหรียญใดหยอดลงในกระปุกที่มีชีวิตใบนี้ เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพมากที่สุด

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยวินัยเชิงบวกEFปนัดดา ธนเศรษฐกร

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

INTERNAL FAMILY SYSTEMS (IFS): ภายในตัวของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน
Relationship
14 September 2018

INTERNAL FAMILY SYSTEMS (IFS): ภายในตัวของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ‘ครอบครัว’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ แต่คือ ‘ตัวตนย่อย’ ซึ่งต่างอิงแอบมีความสัมพันธ์กันภายใน (internal) อย่างเป็นครอบครัว (family)
  • ปกติตัวตนย่อยของเราจะทำงานอย่างสมดุลและสอดคล้องอย่างเป็นครอบครัว เมื่อตัวตนหวาดกลัวเริ่มสั่นคลอนอ่อนไหว ตัวตนนักสู้ก็อาจเผยตัวออกมาปกป้อง หรือบางทีอาจเป็นตัวตนย่อยอื่นๆ ขึ้นมากลบความหวาดกลัวหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรากำลังเสียศูนย์
  • IFS ไม่ใช่เครื่องมือ ‘ปราบปราม’ แต่เพื่อเข้าใจและรู้ทันว่าเรามักใช้ ‘ตัวตนย่อย’ ไหน และมันส่งผลอย่างไรต่อชีวิต

หลายๆ คนอาจเคยเป็นเช่นนี้

“บางสิ่งในตัวฉันอยากได้คำยืนยันว่า ‘ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี’ แต่เสียงอีกด้านกลับค้านว่าความคิดนั้นเป็นแค่คำลวง ขณะที่อีกมุมหนึ่งก็รำคาญมากๆ ถ้าใคร หรือแม้กระทั่งตัวเราเองจะมาบอกว่า ‘ทุกอย่างจะต้องผ่านไป’ ”

คือตัวอย่างที่ เอลานา พรีแมค แซนด์เลอร์ (Elana Premack Sandler) นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ (Licensed Professional Social Workers: LCSW) ให้กับศูนย์ข้อมูลการป้องกันการฆ่าตัวตาย (Suicide Prevention Resource Center: SPRC) อธิบายไว้ในบทความเรื่อง ‘Hope and Hopelessness From a Different Viewpoint’ (ความหวังและความสิ้นหวังจากต่างมุมมอง) ในเว็บไซต์ Psychology Today เพื่ออธิบายว่า

‘ภายในตัวตนของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน’ ไม่มีตัวตนไหนเป็นใหญ่ เพียงแต่ในบางช่วงเวลา ตัวตนใดตัวตนหนึ่งอาจลุกขึ้นมาทำงานอย่างแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องความหวาดกลัวอื่นในใจของเราเอง

และนั่นคือหนึ่งในแก่นแกนของแนวคิดจิตบำบัดที่ชื่อ Internal Family Systems (IFS) หรือ จิตบำบัดระบบครอบครัวภายใน แต่ ‘ครอบครัว’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงความสัมพันธ์ภายนอกในเชิงเครือญาติ พ่อ-แม่-ลูก หากหมายถึง ‘ตัวตนย่อย’ (part หรือ subpersonality) ซึ่งต่างอิงแอบมีความสัมพันธ์กันภายใน (internal) อย่างเป็นครอบครัว (family) ตัวตนย่อยเหล่านี้จะลุกขึ้นมา ‘ควบคุม’ หรือ ‘ปกป้อง’ ตัวเองจากความเจ็บปวดหรือบาดแผลที่กำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น ตัวตนขี้กลัว, ตัวตนจัดการ, ตัวตนนักสู้, ตัวตนขี้เล่น, ตัวตนหวาดระแวง และอีกมาก

ตัวตนย่อยมีได้มากมายหลากหลายถ้าเราลองสำรวจเสียงในหัวหรือปฏิกิริยาโต้กลับที่แต่ละคนใช้ในแต่ละสถานการณ์ดีๆ

ปกติแล้วตัวตนย่อยต่างๆ ของเราจะทำงานเพื่อขจัดพฤติกรรมหรือปฏิกิริยาตอบสนองแย่ๆ เพื่อกันไม่ให้เรา ‘หลุด’ หรือ ‘พัง’ เช่น เมื่อตัวตนหวาดกลัวเริ่มสั่นคลอนอ่อนไหว ตัวตนนักสู้ก็อาจเผยตัวออกมาปกป้อง หรือบางทีเราอาจใช้ตัวตนย่อยอื่นๆ ขึ้นมากลบความหวาดกลัวหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังเสียศูนย์

แต่ถึงจะมีตัวตนย่อย เราก็ยังมีผู้บัญชาการสูงสุดที่เรียกว่า ‘self’ เป็นตัวตนแก่นแท้ ซึ่งคำอธิบายถึง ‘ตัวตนย่อย’ และ ‘self’ จะกล่าวต่อในหัวข้อถัดไป

การใช้งาน IFS มีได้ทั้งการใช้ในชีวิตประจำวัน และการรักษาผู้ที่มีอาการทางจิต เช่น ซึมเศร้า, ไบโพลาร์, ถูกคุกคามทางเพศ และอื่นๆ ซึ่งจะต้องทำงานกับนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดมืออาชีพ

แต่เฉพาะการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะใช้เป็นเครื่องมือใคร่ครวญและค้นลึกเข้าไปในโลกภายในเพื่อดูว่าตัวตนย่อยใดที่เราใช้งานประจำ สำคัญคือ ‘ไม่ใช่การรู้เพื่อรักษา’ แต่ยอมรับว่ามันมีอยู่ รับฟังเสียงและพินิจพิเคราะห์เพ่งมองความต้องการ และลองดูว่าหากเราใช้งานตัวตนนี้บ่อยเกินไป จะเป็นไปได้ไหมหากเราจะยอมให้ self ตัวตนที่เป็นแก่นแท้ปรากฏขึ้นมาดูแลปกป้องตัวเองบ้าง

นอกจากนี้ยังมีการนำ IFS ลงไปใช้กับการเลี้ยงเด็กในแง่ ให้เขาเรียนรู้ แยกแยะ และเข้าใจตัวตนของอารมณ์นั้นตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 6-11 ปี วัยที่เด็กกำลังพัฒนาด้านภาษาและอารมณ์ กล่าวคือ ในขณะที่พวกเขากำลังหัดพูด และเหมือนจะอธิบายออกมาเป็นภาษาได้ไม่ดีนัก แต่พวกเขากำลังเรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ต่างๆ ผ่านสภาพแวดล้อมที่เผชิญ

ตัวตนย่อยคืออะไร มีอะไรบ้าง?

ก่อนจะว่าด้วยตัวตนย่อย ต้องกล่าวก่อนว่า IFS ถูกพัฒนาขึ้นโดย ริชาร์ด ชวอร์ตซ์ (Richard Schwartz) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1990 หลังทำงานกับคนไข้ตลอดหลายปีและพบความเชื่อมโยงในการรักษาคนไข้หลายคนว่าการรักษาจะดีและเจาะจงขึ้นมากหากรับฟังโดย ‘มุ่งเป้า’ ไปที่ตัวตนย่อยที่อยู่ภายในแต่ละคน

ชวอร์ตซ์เชื่อว่าไม่มีตัวตนย่อย หรือ part ไหนที่เลว หน้าที่ของนักจิตวิทยาหรือจิตบำบัดเพียงแต่ทำให้ตัวตนย่อยนั้นไม่แสดงผลลัพธ์อย่างสุดขั้วเท่านั้น ชวอร์ตซ์แบ่งตัวตนย่อยหลักไว้ 3 อย่าง (แต่ย้ำว่าตัวตนย่อยมีได้มากมายหลากหลาย) ดังนี้

  • Managers (นักจัดการ): รับผิดชอบด้านความตระหนักรู้โดยทั่วไปของคน วิธีการคือ จะออกไปขจัดความรู้สึกไม่ดีอย่าง ความรู้สึกไม่ชอบ ความรู้สึกไม่สร้างสรรค์ ประสบการณ์ทั้งหลายที่ถูกกระตุ้นจากภายนอก
  • Exiles (ผู้ลี้ภัย): เป็นตัวตนที่มักเกิดขึ้นหรือเป็นผลลัพธ์จากเรื่องราวในอดีต เป็นผู้ลี้ภัย เด็กน้อยที่มีประสบการณ์เจ็บปวด เปราะบาง แต่นักจัดการ (Manager) และนักต่อสู้ (Firefighters) มักจะออกมาปกป้องความรู้สึกเหล่านี้ หมายความว่าในระดับปกติ ความรู้สึกจากตัวตนผู้ลี้ภัยนี้จะถูกปกป้องเอาไว้
  • Firefighters (นักต่อสู้): นักต่อสู้จะมีบทบาทเมื่อความรู้สึกหวาดกลัว หรือตัวเนรเทศถูกรุกให้เผยตัว นักต่อสู้จะเข้าไปปกป้องความรู้สึกนี้ การเผยตัวของนักต่อสู้ทำให้คนนั้นๆ แสดงพฤติกรรมปกป้องตัวเองทางใดทางหนึ่ง อาจเป็นการยอมทำตามใจ, เสพติดบางอย่างหรือไปทำร้ายบางสิ่ง หรือบางครั้งอาจเป็นทางนำไปสู่พฤติกรรมทางเพศ, ทำงานหนัก, เสพติดอาหาร หรือไม่ก็ลงกับแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด

อาจกล่าวได้ว่า Managers (นักจัดการ) และ Firefighters (นักต่อสู้) อยู่ในบทบาทของ ‘นักปกป้อง’ ขณะที่ Exiles (ผู้ลี้ภัย) จะถูกปกป้อง

Self: ตัวตนแก่นแท้

self หรือ ‘ตัวตนแก่นแท้’ นั่งอยู่ในตำแหน่งของความตระหนักรู้ (consciousness) หรือแก่นแกนของตัวบุคคล self จะให้ภาพของความคิดที่มีคุณภาพเชิงบวก ทั้งการยอมรับ, ความมั่นใจ, ความสุขุมสงบนิ่ง, ความปราดเปรื่อง, ความสร้างสรรค์, ความเมตตา, ความเชื่อมโยง, ความเป็นผู้นำ, มุมมองการใช้ชีวิต และอื่นๆ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเชิงนามธรรม ส่งออกมาเป็นคุณภาพจากภายใน ไม่ใช่คุณลักษณะที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ตัวตนย่อยแสดงออกให้เห็นเป็นพฤติกรรมออกมา ในแง่นี้จึงอาจกล่าวได้ว่า self เป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เป็น ‘I’ หรือ ‘ฉัน’ ที่ทุกคนมีเหมือนกัน เป็นหนึ่งเดียวและไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า

จาก ‘ตัวตนย่อย’ สู่ ‘ตัวตนข้างในอย่าง self’ จึงเป็นการคลี่ขยายให้เห็นว่า การมองเห็นตัวตนย่อยและเท่าทัน เวลาที่ความรู้สึกปะทะขึ้นมา เราจะพิจารณาและชี้ชัดได้ว่าตัวตนไหนกำลังปะทุและจะต่อรองกับมันได้อย่างไร และทำอย่างไรให้เราสามารถแยกตัวตนที่หลากหลาย (unblend) เฝ้าดูอย่างสงบ และกลับมาเชื่อมโยงกับ self ตัวตนแก่นแท้ ที่สร้างความตระหนักรู้ให้กับเราได้อย่างสมดุล

กรณีศึกษา

ในกรณีของผู้ป่วยจิตเภท ผู้ที่ทำงานด้วยคือนักจิตบำบัดหรือนักจิตวิทยา แต่ในชีวิตประจำวัน เทคนิคง่ายๆ คือถอยตัวเองออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองไปที่ ‘ตัวตนย่อย’ นั้น และค่อยๆ ไล่ถามตัวเองไปว่า ‘เรา’ หรือ ‘ฉัน’ มองเห็นตัวตนที่ว่านี้ไหม รู้หรือไม่ว่าทำไมตัวตนนี้จึงเกิดขึ้นมา และเรารู้สึกกับตัวตนย่อยนี้อย่างไร

แต่ที่จะขอยกตัวอย่างมาอธิบายในที่นี้ คือการทำงานของนักจิตบำบัดกับผู้ป่วยจิตเภทที่ต้องการฆ่าตัวตายรายหนึ่ง บันทึกไว้ในบทความเรื่อง ‘The Teenager’s Confession: Regulating Shame in Internal Family Systems Therapy’ (คำสารภาพของวัยรุ่น: การรู้เท่าทันความอับอายผ่านจิตบำบัดระบบครอบครัวภายใน) โดย ดร.มาร์ธา สวีซี (Martha Sweezy Ph.D) วารสาร American Journal of Psychotherapy

The Teenager’s Confession เป็นเรื่องราวการบำบัดหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งใช้นามสมมุติว่าแองจี้ (Angie) เธอรักษาอาการทางจิตมาหลายปีและมีความตั้งใจจะฆ่าตัวตาย สวีซีซึ่งรับผิดชอบการบำบัดเธอโดยยึดทฤษฎี IFS วิเคราะห์ว่า ตัวตนย่อยที่เด่นชัดของแองจี้คือ ‘ความอ่อนแอ’ และ ‘อันตราย’

ในการบำบัด สวีซีพุ่งเป้าไปที่ตัวตนความอ่อนแอ ซึ่งทำให้ตัวตนอันตรายต้องออกมาปกป้อง ในรายงานของสวีซีบันทึกว่า ช่วงแรกนักบำบัดยังไม่แน่ใจว่าตัวตนอ่อนแอและอันตรายของเธอ ถูกกระตุ้นมาจากตัวตนหรือประสบการณ์เบื้องหลังอื่นหรือไม่ แต่เมื่อบำบัดโดยพุ่งเป้าตั้งคำถามกับแองจี้ว่า เธอคิดอย่างไรกับตัวตนอ่อนแอ แองจี้จึงค่อยถอยกลับและเล่าเรื่อง -อย่างที่ในบทความใช้คำว่าสารภาพ (confession)- ว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องราวในชีวิตตอนเด็กที่แองจี้มีส่วนทำให้น้องชายซึ่งขณะนั้นป่วยด้วยโรคมะเร็งถูกข่มขืนและเสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน

แต่เฉพาะการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพการบำบัดในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างการบำบัดแองจี้โดยเริ่มต้นจากตัวตน ‘อ่อนแอ’ โดยใช้มือจำลอง (iron hand) จับไปที่ศีรษะของเธอ

สวีซี: หนูรู้สึกยังไงกับมือจำลองนี้?

แองจี้: หนูเกลียดมัน

สวีซี: ตัวตนของหนูที่รู้สึกว่า ‘เกลียดมัน’ จะยอมถอยกลับไป แล้วยอมให้ ‘หนู’ ได้ช่วยเหลือมือจำลองนี้มั้ยจ๊ะ?

แองจี้: โอเค ก็ได้ค่ะ

สวีซี: ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้หนูรู้สึกอย่างไรกับมัน?

แองจี้: กลัวค่ะ

สวีซี: ‘ตัวตนหวาดกลัว’ ของหนู จะยอมถอยกลับแล้วปล่อยให้ ‘หนู’ ได้จัดการกับความกลัวนี้ได้มั้ย?

แองจี้: โอเค

สวีซี: ตอนนี้รู้สึกอย่างไรคะ

แองจี้: โกรธ

ในทางทฤษฎี ชวอร์ตซ์เรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การค้นหา’ จุดประสงค์เพื่อให้คนไข้ได้ระบายอารมณ์ที่มักเกิดอย่างต่อเนื่อง เช่น จากความสงสัยใคร่รู้ต่อสถานการณ์นั้น แล้วจึงพัฒนาเป็นความสงสารเห็นใจ ก่อนจะไปสู่ความรู้สึกด้านลบอื่นๆ คนไข้จะถูกขอให้สำรวจความรู้สึกรุนแรงที่เกิดขึ้นและค่อยๆ แยกแยะคลี่คลาย (unblend) ในกรณีของแองจี้คือ ตอนแรกเธอเกลียดมือจำลองนั้น ต่อมาคือความหวาดกลัว และจึงโกรธมัน เมื่อความรู้สึกถูกชี้เฉพาะ สวีซีดำเนินการบำบัดของเธอต่อโดยให้แองจี้ถามว่า ‘มือจำลอง’ นั้นกำลังปกป้องใครอยู่ คนที่มือจำลองปกป้องนั้นอายุเท่าไร และมือจำลองเอง อายุเท่าไร การถามแบบนี้ไปเรื่อยๆ นักจิตบำบัดจะค่อยๆ ได้ข้อมูลมาปะติดปะต่อเพื่อไปยังตัวตนย่อยที่ครอบงำเธออยู่

ซึ่งการบำบัดขั้นสุดท้ายจะทำให้เห็นว่าตัวตนย่อยที่แองจี้ยึดอยู่ แท้จริงแล้วคือความ ‘รู้สึกผิด’ ที่เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้องชายถูกข่มขืนและฆ่าตัวตาย

Hope หรือ Hopelessness ในมุมมอง IFS

กรณีศึกษาด้านบนคือการใช้ IFS ในขั้นตอนการบำบัดผู้ป่วยจิตเภทโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่ในชีวิตประจำวัน เราอาจใช้มันเพื่อสำรวจและแยกแยะความรู้สึก และใช้เพื่อย้ำว่า ความรู้สึกใดๆ ที่เราถูกครอบงำในขณะนี้ อาจเป็นแค่ตัวตนย่อยเสี้ยวเดียวจากทั้งหมดก็ได้

“ถ้ารู้สึก ‘หมดหวัง’ เป็นไปได้ที่คนนั้นจะรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย มองให้ลึกลงไป ใต้ความรู้สึกหมดหวังมีตัวตนย่อย (part) และอาจจะหลายตัวตนย่อยด้วยซ้ำซ่อนอยู่ใต้ความรู้สึกนี้ ตัวตนสิ้นหวังก็อาจเป็นแรงจูงใจสำคัญให้ลุกขึ้นไปปกป้องตัวตนย่อยอื่นๆ เพื่อกันไม่ให้เราเจ็บปวดเพิ่ม ซ้ำร้าย ความกลัวของเราอาจถูกกระตุ้นจากประสบการณ์ในอดีตเพิ่มขึ้นไปอีก ตัวตนสิ้นหวังก็อาจแข็งแรงขึ้นจนคนผู้นั้นแยกไม่ออกว่า ‘ฉัน’ ไม่ใช่ตัวตนสิ้นหวัง, ไม่รู้ว่า ‘ฉัน’ ยังมีตัวตนอื่นซึ่งอาจหลบมุมอยู่, และมี ‘ฉัน’ จริงๆ ซึ่งเป็นคนละตัวตนกับตัวตน ‘สิ้นหวัง’

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ IFS เน้นย้ำคืออย่าเพิกเฉยกับตัวตนสิ้นหวัง (และตัวตนอื่น), กับความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนย่อยต่างๆ (ที่เปรียบเหมือนครอบครัว), และ กับ self แต่ให้ใช้เวลาทบทวนความสัมพันธ์เหล่านี้ ไม่ว่ามันจะเป็นความคิดที่หนักหนาและอันตรายขนาดไหน เพราะถ้าตัวตนย่อยเหล่านี้ถูกเพิกเฉย ไม่ถูกพิจารณา มันจะเติบโตและขยายกว้างจนควบคุมไม่ได้

“IFS คือการทำงานกับตัวตนย่อยต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาทำความรู้จักมัน ซึ่งมันจะยากมากๆ ในตอนเริ่ม และทำความเข้าใจว่าแต่ละตัวตนทำงานร่วมกันอย่างไร ในกรณีนี้ ถ้าเข้าใจการทำงานของมันจริง ความสิ้นหวังจะสร้างศรัทธาให้กับ self และจะเจอหนทางที่สมดุลในการจัดการมันต่อไป”

คือข้อความจากหนึ่งในผู้เข้ารับการบำบัดกับ IFS ซึ่งแซนด์เลอร์ นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ ยกขึ้นมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานภายในของตัวตนต่างๆ ซึ่งทำให้แซนด์เลอร์ได้ข้อสรุปว่า

  • ความสิ้นหวังอาจเป็นความรู้สึกต้องการการปกป้อง หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัยจนต้องหาอะไรมาทดแทนความรู้สึกนั้น
  • ความรู้สึกที่เรามี หรือตัวตนย่อยที่เรามี ต้องไม่ถูกเพิกเฉยหรือพยายามขจัดมันออกไป เพราะมันเท่ากับการทำให้ความรู้สึกไม่ดีเหล่านี้ขยายกว้างขึ้น
  • ‘ใจดีกับตัวเอง’ ขณะที่ทำงานกับความรู้สึกสิ้นหวัง คือสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ

แซนด์เลอร์ปิดท้ายว่า “ความหวังไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกับความสิ้นหวัง เราต่างมีเหตุผลให้กับทุกความรู้สึกและความคิดของตัวเอง ทั้งยังจัดการกับความรู้สึกดังกล่าวแตกต่างกันด้วย แต่การทำความเข้าใจกับความคิดมันมีกระบวนการ (process) ที่ต้องอาศัยความใส่ใจและเข้าอกเข้าใจ”

หรืออาจกล่าวได้ว่า

ถ้าเชื่อใน IFS ทุกเสียงที่ดังขึ้นในหัว จงท่องไว้เสมอว่านั่นไม่ใช่เสียงเดียว ไม่ใช่ตัวตนหลักที่ครอบงำเป็นใหญ่ หรือเป็นตัวเราจริงๆ ไม่ว่าเสียงนั้นจะดีหรือร้าย มันเป็นแค่ตัวตน ‘ย่อย’ หนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะตัวตนย่อยอื่นกำลังถูกทำร้ายหรือทำให้หวาดกลัว มันเป็นเพียง “กลไกป้องกันตัวเอง” อย่างหนึ่งเท่านั้น

สำคัญคือลองถอยตัวเองออกมาแล้วสอบถามตัวตนย่อยนั้นอีกครั้งว่า เขาอยากอธิบายอะไรกับเรา

แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวตนย่อยไหนที่ขึ้นมาก่อกวนใจเรา เราควรแยกตัวตนย่อยออกด้วยความเมตตา เพื่อให้เข้าถึง self หรือตัวตนแก่นแท้ ให้ตัวตนแก่นแท้ได้ทำงานเพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นอิสระ ทำตามหัวใจของเราที่สร้างสรรค์ได้อย่างแท้จริง

อ้างอิง:
Journal of Marital and Family Therapy April 2001, Vol. 27, No. 2, 189-200
Internal Family Systems Therapy
Hope and Hopelessness From a Different Viewpoint
Internal Family Systems (IFS)

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาInternal Family Systems(IFS)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’
Character building
13 September 2018

สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • สุขภาวะที่ดี หรือ การรู้สึกดีและมีความสุขกับชีวิต จะเกิดเมื่อเราอยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์เชิงบวก รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต และสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้
  • การสร้างสุขภาวะที่ดีเกิดขึ้นจาก ‘การพัฒนาจุดแข็งในตัวบุคคล’ และ ‘การพัฒนาชุมชนและสังคม’
  • พูดง่ายๆ ก็คือ ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศ ต้องร่วมมือกันสร้างความอยู่ดีและมีสุขให้เด็กๆ

ชีวิตที่ออกแบบได้ เป็นความฝันของใครหลายคน ผู้คนแต่ละเจเนอเรชั่นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางอุดมคติที่หล่อหลอมให้เกิดค่านิยมในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน คนรุ่นก่อนอาจให้ความสำคัญกับ ‘ความมั่นคง’ และ ‘ระเบียบแบบแผน’ ขณะที่คนอีกรุ่นหนึ่งให้ความสำคัญกับ ‘ความอิสระ’ และ ‘การออกนอกกรอบ’ หรือแม้กระทั่งการมอง ‘ความเสี่ยง’ เป็นเรื่องของ ‘ความท้าทาย’ และเป็นเรื่อง ‘เร้าใจ’

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เชื่อว่าทุกเจเนอเรชั่นต่างต้องการมีชีวิตที่มี ‘สุขภาวะที่ดี’ (wellness)

‘สุขภาวะที่ดี’ เป็นคำกว้างๆ ที่ให้ความรู้สึกเชิงบวก แต่จริงๆ แล้วหมายถึงอะไร?

สตีเฟน เอ็ม. ชูลเลอร์ (Stephen M. Schueller) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาคลินิก เขียนไว้ในบทความวิชาการเรื่อง ‘Promoting Wellness: Integrating Community and Positive Psychology’ หรือ การส่งเสริมสุขภาวะ: การบูรณาการจิตวิทยาชุมชนและจิตวิทยาเชิงบวก ว่า

คนเราจะรู้สึกดีและมีความสุข เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์เชิงบวก (positive emotions) รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต (satisfying) และสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้ (to function and adapt to the environment)

สอดคล้องกับที่ โครีย์ คีเยส (Corey Keyes) นักสังคมวิทยาและนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้พัฒนาแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวก ใช้คำว่า flourishing อธิบายถึงความงอกงามในชีวิต การใช้ชีวิตที่มีสุขภาวะที่ดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัจจัย 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ อารมณ์เชิงบวก (positive emotions) สุขภาพจิตเชิงบวก (positive psychological health) และกลไกทางสังคมเชิงบวก (positive social functioning)

นอกจากนี้ จิตวิทยาเชิงบวกยังให้ความสำคัญกับ การสร้างจุดแข็งและคุณธรรม ที่ช่วยให้บุคคล ชุมชนและองค์กรต่างๆ เติบโตไปในทางที่ดีขึ้นได้

The Potential เคยพูดถึงการสร้างคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง ด้วยคุณลักษณะที่ดี 24 ข้อ เพื่อทำให้เด็กและเยาวชนรู้จักตัวเอง และสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างตรงจุด โดยอ้างอิงผลการสำรวจและการประเมินจาก The Values in Action (VIA) Project

ในกรณีนี้คุณลักษณะที่เป็นจุดเด่น 5 ข้อ (signature strengths) ของแต่ละบุคคลที่ได้จากการประเมินผลผ่านการสำรวจในโครงการ VIA มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้างสุขภาวะที่ดีได้ เพราะนอกจากทำให้เด็กและเยาวชนรู้จักจุดแข็งของตัวเองแล้ว ยังเป็นโอกาสให้พวกเขานำจุดแข็งนี้ไปสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นและชุมชนที่อาศัยอยู่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเมื่อชุมชนพัฒนาไปในทางที่ดี คนในชุมชนก็จะมีความพึงพอใจและมีความสุข

ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมที่มีสุขภาวะที่ดี?

สาเหตุที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับลูกตั้งแต่เริ่มต้น นั่นเป็นเพราะเด็กสามารถรับรู้และสัมผัสถึงสภาพอารมณ์ทั้งบวกและลบได้ตั้งแต่อายุราว 6 เดือน การเชื่อมต่อของระบบประสาทจะถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมภายนอก สภาพอารมณ์ของพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเด็กในช่วงแรกเกิด จึงมีผลต่อการสร้าง ‘การเรียนรู้ทางอารมณ์’ ของเด็กในระยะยาว

ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีปัญหา มีการทะเลาะเบาะแว้งและใช้กำลัง เด็กจะซึมซับสภาวะทางอารมณ์ผ่านโทนเสียงและความรู้สึกที่ถ่ายทอดจากบุคคลรอบข้าง ทำให้เกิดความหวาดกลัวและหวาดระแวง หรือส่งผลต่อสภาพจิตใจ จนกลายเป็นปมที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเชิงลบเมื่อโตขึ้น

หรือ

หากทารกได้รับสัมผัสที่ดีจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ความรู้สึกที่ส่งผ่านสัมผัสจะมีผลต่อการพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจในวัยผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น หากได้รับสัมผัสที่สื่อสารถึงความรู้สึกที่ดี เด็กก็จะเติบโตขึ้นมีมุมมองและความรู้สึกในแง่ดีต่อตัวเองและต่อผู้อื่น (optimism)

แล้วจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร?

การสร้างสุขภาวะที่ดีเกิดขึ้นได้จาก ‘การพัฒนาจุดแข็งในตัวบุคคล’ รวมทั้ง ‘การพัฒนาชุมชนและสังคม’ ไปพร้อมๆ กัน

ระดับบุคคลเริ่มต้นได้ด้วยการส่งเสริมและโน้มน้าวให้คนแต่ละคนหันมาสนใจดูแลตัวเอง และสนับสนุนให้มีการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อเสริมสร้างความอยู่ดีมีสุข

ส่วนในระดับชุมชนอาจต้องอาศัยภาคการเมืองและภาคสังคมเข้ามาช่วยจัดสรร เช่น การส่งเสริมประชาธิปไตย เพื่อให้คนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง รวมถึงการที่กลไกทางสังคมได้เปิดพื้นที่ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม การสนับสนุนเชิงนโยบายเพื่อให้สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น การเข้าถึงการศึกษา และการรักษาพยาบาล การส่งเสริมให้มีการสร้างกลุ่มหรือเครือข่ายคนรักสุขภาพในชุมชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ทั้งหมดจึงมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคล ครอบครัว รวมทั้งสถานที่ทำงาน โรงเรียน หรือพื้นที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต ทั้งด้านการศึกษา การสร้างความสัมพันธ์ สุขภาพ และนโยบายสาธารณะซึ่งเป็นสิ่งที่จิตวิทยาชุมชน (community psychology) ให้ความสนใจ

บทความหัวข้อ ‘Promoting Child and Family Wellness: Priorities for Psychological and Social Interventions’ หรือ ‘การสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีในเด็กและครอบครัว: สิ่งสำคัญของการสนับสนุนทางจิตวิทยาและทางสังคม’ ตีพิมพ์ใน Journal of Community & Applied Social Psychology กล่าวถึงการส่งเสริมให้มีการสนับสนุนสุขภาวะที่ดีของเด็กและครอบครัวอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงจิตวิทยาและทางสังคม

ข้อสรุปจากการวิเคราะห์ ให้ความสำคัญกับ ‘การสนับสนุนทางสังคม’ (social interventions) เพราะสุขภาวะที่ดีของเด็กและเยาวชน ไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงสภาพสังคมที่อยู่อาศัย

เด็กและเยาวชนที่เติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่เสียสละเวลาให้ความสนใจเลี้ยงดูลูกตั้งแต่แรกเกิด เด็กจะค่อยๆ พัฒนาความสามารถขึ้นมาตอบสนองและส่งเสริมให้ครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ แต่จะดียิ่งขึ้นหากสภาพสังคมและสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเอื้ออำนวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาล

ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลสามารถออกนโยบายด้านสวัสดิการของเด็กและครอบครัว สนับสนุนงบประมาณให้ผู้ปกครองใช้ในการเลี้ยงดูลูก ซึ่งอาจให้ในรูปแบบของเงินสดหรือการลดหย่อนภาษี การช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กและเยาวชนจากครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน หรือ การให้วันหยุดลายาวสำหรับแม่ที่เพิ่งคลอดลูก และอาจหมายถึงการสนับสนุนที่ไม่ใช้เงินงบประมาณ แต่เป็นการสนับสนุนทรัพยากร หรือการรวมกลุ่มทำประโยชน์ โดยจัดให้มีพื้นที่ทางสังคม การมีศูนย์เยาวชนที่เยาวชนสามารถเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมและฝึกฝนพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

เห็นได้ว่าการสร้างสุขภาวะที่ดีให้เกิดขึ้นกับชีวิต มีความเกี่ยวข้องกับเราตั้งแต่แรกเกิด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาด้วยปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ สภาพสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม แต่ในเมื่อชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ หากใครสักคนต้องเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีแต่ทางตัน แต่ถ้ามีพื้นที่ และโอกาสที่สังคมคอยสนับสนุน ก็คงเป็นหน้าที่ของเราในการหาทางออกให้กับตัวเอง โดยการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมเพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีให้ชีวิต และสามารถใช้ชีวิตได้อย่าง ‘อยู่ดีและมีสุข’

หมายเหตุ: โดยทั่วไปแล้วสุขภาวะที่ดี มักหมายรวมถึง การมีสุขภาพร่างกายและจิตใจในเชิงบวก แต่สำหรับงานวิจัย ‘Promoting Wellness: Integrating Community and Positive Psychology’ โดย สตีเฟน เอ็ม. ชูลเลอร์ (Stephen M. Schueller) ที่ใช้อ้างอิงในบทความนี้ ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาวะทางใจ (psychological wellness) เชิงบวกเป็นพิเศษ เพราะการมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลนั้นจะมีสุขภาพจิตที่ดีเสมอไป แต่แน่นอนว่าทั้งสองส่วนสามารถส่งเสริมกันและกันได้ ในภาพรวมหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาวะอีกด้านหนึ่ง
อ้างอิง:
http://www.viacharacter.org
Promoting Child and Family Wellness: Priorities for Psychological and Social Interventions

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเติบโตพัฒนาการทางอารมณ์พ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Family Psychology
    พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION
Voice of New Gen
12 September 2018

OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

เรื่อง

  • ในมุมมองผู้ใหญ่หลายคน คำว่า ‘เกม’ มักเป็นศัตรูที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกับการเรียนรู้มาโดยตลอด แต่ถ้าครอบครัวเลือกที่จะทำความเข้าใจและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน ก็จะช่วยสร้างการเรียนรู้ให้ลูกได้
  • Our Darkest Night เกมที่ปันและเพื่อนสร้างขึ้น ไม่ใช่การให้คุณค่าจากผลลัพธ์ แต่กระบวนการที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาต่างหาก ที่สร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับพวกเขา และพัฒนามันไปสู่ความสำเร็จ
  • ความเครียดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ความเครียดที่พอเหมาะจะทำให้สมองเด็กวัยรุ่นเกิดการพัฒนามากขึ้น
เรื่อง วรุตม์ นิมิตยนต์

มีเด็กคนไหนไม่เคยเล่นเกมบ้าง? อาจจะมี แต่น้อยถึงน้อยมาก

แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่าใครเคยสร้างเกมออกมาจนเล่นได้จริงบ้าง ก็อาจจะเข้าขั้นวังเวง

และถ้าถามเจาะลงไปอีกว่าใครเป็นเด็กมัธยมปลายที่เคยสร้างเกม และได้วางจำหน่ายใน platform ที่มีผู้คนใช้งานกันทั่วโลกอย่าง Steam บ้าง? คำตอบอาจจะเท่ากับศูนย์

ปัญญ์ ปีติเจริญธรรม

แต่ยังมี ปัน หรือ ปัญญ์ ปีติเจริญธรรม หนึ่งในทีมผู้พัฒนาเกม ‘Our Darkest Night’ ภายใต้โครงการ ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 4’ โดยเนคเทค (NECTEC) ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่เข้ามาเป็นเด็กมัธยมปลาย ผู้สร้างเกมและได้วางจำหน่ายใน Steam คนนั้น

“ตอนแรกอยากทำเพราะมันมีแรงบันดาลใจ แต่พอทำขึ้นมาจริงๆ พบว่าต้องใช้มากกว่าแรงบันดาลใจ”

ปันเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาที่พัฒนาเกมร่วมกับเพื่อนในทีมอีก 2 คน ทั้งหมดไม่ได้มีพื้นฐานแข็งแรงมากมายนัก แต่ชวนกันมาทำด้วยความสนใจ (passion) ตอนแรกตั้งใจให้ออกมาเป็นเพียงเกมที่เล่นกันเอาสนุก รางวัลชนะการประกวดอาจเป็นเพียงของแถม แต่ด้วยกระบวนการภายในโครงการฯ ที่ดึงพวกเขาไปจนพ้น comfort zone ของตัวเองจนทำให้ Our Darkest Night กลายเป็นเกมที่วางจำหน่ายจริง และมีคนซื้อไปเล่นกว่า 200 คน

สร้างเกมไปด้วย เรียนไปด้วย

เรื่องเวลาแต่ละคนต้องจัดสรรกันมาทำ เพราะนอกจากต้องรับผิดชอบทำโครงการแล้ว ยังต้องรับชิดชอบเรื่องเรียนไม่ให้เสียอีกด้วย ทำให้พวกเขาต้องจัดสรรเวลาในการทำงานกันให้ดี วางกระบวนการทำงานที่เป็นขั้นตอน รู้ว่าอันไหนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำก่อนหลัง

“ส่วนใหญ่จะใช้เวลาหลังเลิกเรียนทำ ดึกสุดที่เคยทำก็ตีสาม เป็นวันก่อนงานประกวดที่ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดที่เหลืออยู่” ปันตอบเมื่อถามถึงช่วงเวลาที่หนักที่สุดในการทำโครงการที่ผ่านมาเพราะต้องแข่งกับเวลาที่มีอยู่ไม่มากนัก แต่ทุกคนต้องช่วยกันให้งานเสร็จสมบูรณ์ให้ได้ เพราะนี่ถือเป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกคนในทีม

เมื่อเกมของเด็กมัธยมออกสู่ตลาด

“พอวางขายก็อ่วมอยู่เหมือนกัน เพราะจริงๆ พวกเราเป็นแค่เด็กสามคนมารวมตัวกันทำ คงจะสู้กับบริษัทเกมที่ทำอยู่แล้วไม่ได้ ยังขาดประสบการณ์อีกมาก”

ปันสารภาพว่ามีหลายครั้งที่รู้สึกแย่ เจอคนเข้ามาดุด่าแบบไม่มีเหตุผล แต่เข้าใจว่าความคิดเราอาจไม่ถูกใจคนทุกคน

“เขาว่าไม่ดีจริง เราเห็นว่าไม่ดีก็ควรปรับ ไม่ควรใช้อารมณ์ เพราะประเด็นคือเราต้องเอาไอเดียที่ได้รับมาไปสร้างงานต่อ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นไอเดียของเราเท่านั้น”

เกม Our Darkest Night

ครอบครัว – ครู ทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปด้วยกัน

ปันบอกว่า แรกๆ ที่บ้านไม่รู้จักเกมเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีใครเล่นเกม ช่วงแรกที่เริ่มทำโปรเจ็คท์เกมเพื่อแข่งขัน ปันเชื่อว่าที่บ้านก็มีความกังวลปนสงสัยไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ว่าลูกกำลังทำอะไร จะก่อให้เกิดผลเสียตามมามั้ย

“แต่ผมคิดว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำคือ ท่านถามเสมอว่าเราทำอะไรบ้าง เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ คือคุณพ่อคุณแม่รับรู้ว่าเรากำลังทดลองก้าวไปในเส้นทางใหม่ๆ ท่านไม่ได้ห้าม แต่ก็ไม่ปล่อยปละละเลยนะครับ คอยให้กำลังใจ และพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ

ที่บ้านไม่เคยบังคับว่าให้เรียนอะไร เขาสนับสนุนตลอดเวลาเราอยากไปทำอะไร อย่างผมก็ไปลองเป็นกราฟิกดีไซน์ ไปทดลองวิศวะคอม ลองไปออกค่าย ไปดูว่าเขามีอะไร ทำอะไรได้บ้าง ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กครับ เขาไม่เคยห้าม บอกแค่ว่าให้เราทำให้เต็มที่

ในมุมมองของผู้ใหญ่หลายคน คำว่า ‘เกม’ มักเป็นศัตรูที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกับการเรียนรู้มาโดยตลอด แต่สำหรับครอบครัวผมเลือกที่จะทำความเข้าใจและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน จนเริ่มมีมุมมองใหม่ว่า หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่กระบวนการระหว่างนั้นต่างหากที่จะช่วยสร้างการเรียนรู้ให้ลูกได้

ส่วนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ปันเล่าว่าปฏิกิริยาแรกคือ งง – งงว่าทำไมไม่ทำโปรแกรมที่มีประโยชน์ เพราะตอนไปแสดงผลงาน รอบตัวส่วนใหญ่จะเป็นเกมที่มีประโยชน์ เช่น คิดเลข ภาษาอังกฤษ แต่ทำไม Our Darkest Night มีแต่ความดาร์คและทึม รวมถึงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันสนุกยังไง

เกม Our Darkest Night

ความคิดอาจารย์เปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัยมาลองเล่น การเห็นด้วยตาทำให้เห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น และเมื่ออาจารย์ได้ลองเล่นเอง ผลลัพธ์คือความเข้าใจกลไกเกม เข้าใจสิ่งที่ปันและทีมทำ แม้ว่าอาจารย์จะไม่ได้ชอบเล่นเกมก็ตาม

“รู้สึกว่าอาจารย์ได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้ทดลองทำสิ่งที่สนใจ ไม่ปิดกั้นหรือกำหนดแนวทางที่ครูคิดว่าเหมาะสมกว่าให้ อีกทั้งยังลงมาทดลอง และพยายามทำความเข้าใจในผลงานเรา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นความสนใจของครูก็ตาม

จะฝันเฟื่องหรือฝันให้เป็นจริง

“ผมเชื่อว่า ถ้าเรามีความคิดสร้างผลงาน หรือมีอะไรสักอย่างที่มีคุณค่า แล้วเราปล่อยมันเป็นความคิดไว้ในหัว ถ้าไม่ลงมือทำมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ความฝันมีทั้งฝันเฟื่องและฝันที่ลงมือทำจริง อย่างผมอยากทำเกมแล้วนั่งทำอยู่บ้านคนเดียว หรือคิดเล่นๆ ไม่ได้ลงมือทำ ไม่ได้ไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ก็คงไม่มีทางที่เกมจะสำเร็จได้ แต่ผมเอามันไปลองแข่ง เอาไปให้คนทดลองเล่น ให้กรรมการช่วยกันให้ความเห็น แม้ว่าเกมจะไม่ได้ขายได้ทันที แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ความเห็นว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าทำไปคนเดียวเราอาจจะไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีเดดไลน์ ทำไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมายก็ได้”

พอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ปันพบว่าประสบการณ์ในวัยมัธยมทำให้มีแต้มต่อในการทำงาน ซึ่งเรียนรู้มาจากค่ายต่อกล้าให้เติบใหญ่

ปัญญ์ ปีติเจริญธรรม

“เราเข้าใจเลยว่าการทำแต่ละขั้นตอนใช้เวลาเท่าไร วางแผนงานอย่างไร เวลาเรียน บางวิชาก็ไม่ได้ตรงกับที่อยากเรียน เพราะรู้สึกว่าตอนเนื้อหายังไม่ลงลึกมาก แต่เราก็จะใช้วิธีว่าถ้าสนใจอะไรก็ศึกษาด้วยตัวเอง มีปัญหาอะไรก็ไปหาจากอินเทอร์เน็ต ลองหาข้อมูลจากบทความของต่างชาติบ้าง”

นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่สอนปันคือ วิธีการทำงานร่วมกับผู้อื่น รวมถึงภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเมื่องานมีปัญหา

“เวลาทำงานกับเพื่อนบางทีก็แปลกใจว่าทำไมถึงโกรธกัน หรือไม่เข้าใจแล้วทิ้งงานไม่ทำงาน เราก็อาจจะต้องรับมาทำเองบ้าง หรือเข้าไปเป็นตัวกลางประสานเพื่อให้งานเสร็จลุล่วง”

ปันเข้าใจดีว่า ในการทำงาน แต่ละคนจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต่างกัน และต่างก็มีสไตล์ในการทำงานไม่เหมือนกัน ความขัดแย้ง ไม่ลงรอยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“แต่เราจะพยายามเข้าไปประสานแต่ละฝ่าย บางครั้งเราเองก็เป็นฝ่ายผิดพลาดบ้างเหมือนกัน พยายามบอกให้ตัวเองรู้ตัวว่าเราพลาด เหมือนพยายาม feedback ตัวเอง ผมคิดว่าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่สอนตรงนี้เยอะ ไม่ได้ปลูกฝังตรงๆ แต่ฝึกให้เรารับ feedback จากผลงาน มันเลยช่วยปรับให้เรามี feedback การทำงานของตัวเองเกิดขึ้นด้วย” ปันทิ้งท้าย

Grit + Stress ช่วยสร้างเกม

เส้นทางของปันมีจุดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาของวัยรุ่นอยู่ 2 ส่วนก็คือ Grit (ความมุมานะ) และ Stress (ความเครียด)
Grit หรือ ความมุมานะที่ต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่าง passion (ความหลงใหล) กับ perseverance (ความไม่ย่อท้อ) ทั้งสองส่วนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยการทำอะไรซ้ำเยอะๆ แต่เกิดขึ้นได้จากการได้รับการฝึกฝนหรือการทำงานที่ดี ซึ่งต้องมีเป้าหมายที่ยากพอที่จะท้าทายและชัดเจน มีพื้นที่ทำงานอย่างเต็มที่ ได้รับ feedback จากสิ่งที่ทำ และมีการคิดปรับปรุงอยู่เสมอ

ดังนั้นการรับผิดชอบโครงการและผลักดันเกม Our Darkest Night ของปันและเพื่อนจึงไม่ใช่การให้คุณค่าจากผลลัพธ์ แต่กระบวนการที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาต่างหาก ที่สร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับพวกเขา และพัฒนาจนไปสู่ความสำเร็จ

Stress เรามักถูกสอนเสมอว่าความเครียดเป็นศัตรูเลวร้าย แท้จริงแล้วความเครียดในระดับอ่อนๆ เป็นการสนับสนุนและช่วยให้การเรียนรู้ของเด็กดีขึ้น เพราะสมองส่วนหน้าของวัยรุ่นที่ทำหน้าที่ควบคุมความคิด ความจำ ควบคุมตัวเองนั้นยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่ฮอร์โมนที่เกิดขึ้นจากความเครียดที่มีชื่อว่า ‘คอร์ติซอล’ และ ‘นอร์อะดรีนาลิน’ นั้นไปกระตุ้นให้สมองส่วนหน้าเกิดการพัฒนา เนื่องจากถูกกระตุ้นให้ต้องใช้งาน ดังนั้นการให้พวกเขาทำงานและรับผิดชอบบางอย่าง หรือทำในสิ่งที่ต้องท้าทายเกินความสามารถของพวกเขาไปบ้าง จะช่วยให้สมองเกิดการเติบโตมากขึ้น

แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากสมองได้รับความเครียดมากเกินไป เช่น ครอบครัวที่ตั้งความหวังกับลูกหลานมาก หรือเข้มงวดให้ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดมากเกินไป จะสร้างความเครียดระยะยาวให้กับเด็กได้ แทนที่จะไปช่วยกระตุ้นสมองส่วนหน้า กลับทำให้วงจรดังกล่าวสูญเสียศักยภาพ ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ระยะยาวของพวกเขา ทำให้ Executive Function (EF) อ่อนแอ จนทำให้การเรียนรู้ของพวกเขาเป็นพิษ

สองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่แค่เพียงความตั้งใจของพวกเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว ครอบครัว หรือครูที่อยู่ใกล้ชิด ต้องร่วมมือกันสร้างพื้นที่ซึ่งเหมาะสมกับการพัฒนา มิใช่การกล่าวโทษถึงพรสวรรค์หรือสิ่งที่ติดตัวพวกเขามา เพราะพรแสวงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นได้ถ้าทุกคนเข้าใจ

อ้างอิง
https://www.nature.com

หมายเหตุ
ชมผลงานของปันและเพื่อนๆ เยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ที่พัฒนาสู่ผู้ใช้งานได้จริง ที่งานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2561 วันที่ 25 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

Tags:

วัยรุ่นโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมนวัตกรเกม

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้
อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
12 September 2018

บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • ‘บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน’ เป็นฮาวทูฉบับปฏิบัติที่จะมาช่วยแม่ๆ หาวิธีรับมือกับลูกน้อยแบบสร้างสรรค์และถนอมหัวใจ
  • เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน วิธีการเลี้ยงลูกก็ต้องต่างกัน บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน จะช่วยให้เข้าใจลูกและส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การอ่านนิทานถือเป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้ลูกเริ่มใช้ตรรกะ ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ในนิทานอาจจะเปลี่ยนโลกของลูกน้อยเลยก็ได้

การจะเป็นแม่ยุค 2018 คงไม่ใช่เรื่องง่าย เราไม่สามารถเลี้ยงลูกแบบที่รุ่นปู่ย่าสอนมา เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากเลี้ยงแล้ว ยังต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกอยู่ได้ในอนาคตอย่างแข็งแรงด้วย

คุณแม่จำนวนไม่น้อยแน่นปึ้กทั้งวิชาและหลักการ แต่พอปฏิบัติจริงกลับสับสนหยิบจับมาใช้ไม่ถูกสถานการณ์ เพราะลูกแต่ละคนไม่มีทางเหมือนกัน

หนังสือบันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน จะเป็นฮาวทูฉบับฏิบัติที่จะมาช่วยแม่ๆ หาวิธีรับมือกับลูกน้อยอย่างสร้างสรรค์และถนอมใจ

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องโดย แม่โบ-ธิดา พานิช (แม่โบ นิทานหัวเตียง) คุณแม่ลูกสอง ที่เล่าเรื่องราวของ น้องวาวา ลูกสาวคนโต กับ น้องดิน ลูกชายคนเล็ก

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ประสบการณ์ตรงจากผู้เขียนหรือแม่โบ แม้อาจจะไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบแม่โบเป๊ะๆ แต่ก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้หลายสถานการณ์ หรืออย่างน้อยก็มีหนังสือเล่มนี้เป็นเพื่อนยามท้อเมื่อต้องเจอกับความปวดหัวและวุ่นวายกับเจ้าตัวเล็ก

“โบยอมรับว่าไม่ใช่คนเก่งกาจหรือเชี่ยวชาญอะไร แค่เป็นแม่ที่รักลูก รักที่จะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง และรักการเขียน จึงอยากจะขอใช้พื้นที่ในหนังสือเล่มนี้ รวบรวมบทความที่แม่โบเคยบอกเล่าใน ‘เพจนิทานหัวเตียง’ ด้วยหวังว่าจะเกิดประโยชน์แก่พ่อแม่ท่านอื่นบ้าง หรืออย่างน้อยๆ แค่ผู้อ่านได้รู้สึกว่าฉันไม่ใช่พ่อแม่ที่โดดเดี่ยว แต่ยังมีแม่โบเป็นเพื่อนที่เข้าใจ เท่านี้โบก็มีความสุขแล้วค่ะ”

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 4 บทใหญ่

1. จักรวาลของแม่

เล่าเรื่องการเลี้ยงลูกของแม่โบ เช่น ต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ความเปลี่ยนแปลงของตัวเองเมื่อมีลูก รวมถึงจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างไรเพื่อที่จะดูแลลูกให้ดีที่สุด และที่สำคัญคือวิธีรับมือกับลูกเวลาทำตัวไม่น่ารัก

เชื่อว่าบทนี้คุณแม่มือใหม่จะต้องได้วิธีการสร้างสรรค์ไปรับมือกับลูกน้อย เช่นปัญหาคลาสสิกอย่าง ลูกไม่ยอมนอน ที่แม่โบเจอเหมือนกับทุกคน

แม่โบให้ tips ง่ายๆ หรือที่แม่โบเรียกว่า ‘กลยุทธ์ปราบศึกบนเตียง’ คือ นอนที่เดิม เวลาเดิม นอนกับคนเดิม เข้านอนด้วยขั้นตอนเดิม และสิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจปราบหนูน้อยไม่ยอมนอนคือ ความสม่ำเสมอ อย่างที่แม่โบพูดไว้

2. โลกใบเล็กของหนูและน้อง

เคลื่อนจากจักวาลของแม่มาเป็นโลกของลูก บทนี้จะพูดถึงพัฒนาการต่างๆ ของลูกที่จะมาพร้อมกับวิธีการปฏิบัติที่ต่างกัน

เช่น คุณแม่มือใหม่หลายท่านที่กังวลว่าทำไมลูกถึงไม่ค่อยพูด พูดได้ช้า แม่โบเขียนไว้ในเรื่อง ‘ทำอย่างไรให้ลูกพูดเร็ว’ ว่า ถ้าอยากให้ลูกพูดเก่ง พ่อแม่ต้องขยันพูดกับเขาตลอด แถมด้วยฮาวทูเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณแม่ไปลองทำกัน

  • อย่าปล่อยลูกไว้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • พาลูกไปเล่นกับเด็กวัยใกล้ๆ กัน
  • อ่านนิทานให้ลูกฟัง
  • เล่นกับลูก
  • สอนลูกด้วยของจริง

3. เปลี่ยนเด็กดื้อเป็นเด็กน่ารัก

เมื่อลูกๆ เริ่มโตขึ้น เข้าสู่ช่วงเจ้าหนูจำไม บางรายอาจเริ่มเถียงผู้ใหญ่ แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก และชวนปวดหัวมากๆ

บทนี้แม่โบเล่าผ่านความดื้อของน้องวาวา แต่ที่น่าสนใจกว่า คือ วิธีการเวิร์คๆ ที่แม่โบหยิบมาแนะนำ เช่น ตอนที่น้องวาวางอแง เพราะเห็นแม่โบกำลังป้อนข้าวน้องดิน แม่โบเกือบจะหันไปดุแล้วแต่ก็ดึงสติตัวเองไว้ได้

“เวลาที่โบอารมณ์เริ่มปะทุจากอาการงอแงของลูก โบใช้วิธีด้วยการถาม “หนูว่า….ยิ้มแย้มหรืองอแงจะน่ารักกว่ากันคะ” เป็นการเตือนให้ลูกรู้ตัวแทนการดุลูกค่ะ แถมยังเป็นการเตือนตัวเองไม่ให้ด่วนใช้อารมณ์กับลูกด้วยค่ะ”

4. โลกของนิทาน

หัวใจสำคัญของบทนี้อยู่ที่นิทานมากมาย เช่น อีเล้งเค้งโค้ง งานแรกของมี้จัง ดินสอสีของจี๊ดจ๊าด หมีใหญ่จอมกอด เป็นต้น แต่แม่โบไม่ได้มาเล่าว่าแต่ละเรื่องมีเนื้อหาอย่างไร สิ่งที่ได้จากนิทานต่างหากที่แม่โบอยากจะบอก

มีงานวิจัยและบทความมากมายที่บอกถึงประโยชน์ของนิทาน เพราะนิทานคือคลังภาษาที่จะช่วยเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา ช่วยพัฒนาสมอง ช่วยสร้างความไว้วางใจตนเอง (มองโลกในแง่ดี) เพิ่มพูนประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างสุนทรียะ สร้างสมาธิ ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว

อย่างเช่นหนังสือนิทานชุดหนูนิด หนูนิดเป็นตัวแทนของเด็กดื้อ ทั้งไม่อยากกินผัก ไม่อยากมีน้อง ไม่อยากแปรงฟัง แต่สุดท้ายแล้วหนูนิดก็จะเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หนูนิดเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น แม่โบก็เอาเรื่องราวของหนูนิดมาเล่าให้วาวาฟัง เพื่อเป็นแบบอย่างแล้วให้จินตนาการตาม

เมื่อเด็กได้เห็นตัวอย่าง ก็จะเริ่มคิดตาม – แม่โบว่าไว้

บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทานเล่มนี้ อาจไม่ใช่ฮาวทูสรุปการเลี้ยงลูกที่ถูกที่สุด แต่อย่างน้อยก็ผ่านการลองผิดลองถูกและพิสูจน์ว่าเวิร์คจากแม่โบ น้องวาวา และน้องดิน ที่สำคัญหนังสือเล่มนี้อยากแชร์ให้คุณแม่ๆ (และคุณพ่อ) รู้สึกว่ายังมี ‘เพื่อน’ คอยตบบ่าหรือนั่งอยู่ข้างๆ กัน

เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว

Tags:

นิทานพ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)หนังสือ

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF
EF (executive function)
11 September 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกฉบับหนึ่ง คือ

Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

เฉพาะชื่อบทความแปลว่า พลังของการเล่น: บทบาทของกุมารแพทย์ต่อการเสริมสร้างพัฒนาการในเด็กเล็ก

การเล่นสำคัญต่อพัฒนาการ EF และความสำเร็จในอนาคต

การเรียนหนังสือมากเกินไปในช่วงปฐมวัยมีข้อเสียสำคัญคือ เสียเวลาเล่นและผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่า

ความเก่งด้านคณิตศาสตร์ตอนปฐมวัยไม่ได้บ่งชี้ความเก่งที่ชั้นประถมแต่อย่างใด (Watts TW, Duncan GJ, Clements DH, Sarama J. What is the long-run impact of learning mathematics during preschool? Child Dev. 2018;89(2):539–555)

การเล่นคืออะไร การเล่นคือกิจกรรมที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous) จากภายใน (intrinsic) มีส่วนร่วม (engage) และมีความสนุก (joyful) การเล่นเป็นพื้นฐานของการทำตามกติกาและเชื่อฟัง ผิดกับความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าการเข้าห้องเรียนแล้วสั่งให้ทำตามเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า

การเล่นสร้าง EF และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่โรงเรียน แต่นั่นหมายถึงโรงเรียนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องการทักษะการแก้ปัญหา (problem solving) การร่วมมือกันทำงาน (collaboration) และความคิดสร้างสรรค์ (creativity) การเล่นมิใช่แค่สนุก และที่จริงแล้วความสนุกนั้นเกิดจากความเสี่ยง การทดลอง และการทดสอบขอบเขต (taking risk, experiments, testing boundaries)

การเล่นพบในลูกสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่มีความสำคัญเป็นพิเศษในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การเล่นของลูกสัตว์เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากล้ามเนื้อทุกมัด ทดสอบสัตว์ตัวอื่น และช่วยให้ลูกสัตว์เรียนรู้ขอบเขตว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าอะไรคือเหยื่อและอะไรคือผู้ล่า

สำหรับลูกคน Lev Vygotsky บรรยายการเล่นได้ดีที่สุดจากข้อสังเกตสำคัญของเขาที่ว่าการเล่นเป็นเหมือนห้างร้านแห่งพัฒนาการ เด็กได้พัฒนาทักษะหลากหลายจากง่ายไปหายาก ทั้งเรื่องกล้ามเนื้อและทักษะสังคม กล่าวคือเด็กพัฒนาได้ด้วยตัวคนเดียวแต่เมื่อถึงขีดหนึ่งจะถึงอุปสรรค และเมื่อถึงตอนนั้นเขาต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ความช่วยเหลือนี้จะมากับการเล่นได้อย่างกลมกลืนมากที่สุด เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำอธิบายเรื่อง Zone of Proximal Development (ZPD) (Vygotsky LS. Play and its role in the mental development of the child. In: Bruner J, Jolly A, Sylva K, eds. Play. New York, NY: Basic Books; 1976:609–618)

การเล่น แบ่งง่ายๆ เป็น

Object Play การเล่นวัตถุ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการสำรวจ พัฒนาประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ ไปจนถึงการพัฒนาการให้สัญลักษณ์และบทบาทสมมุติ (symbolization และ role play) เช่น การใช้กล้วยต่างโทรศัพท์ เป็นต้น

Rough and Tumble Play การวิ่งเล่น วิ่งไล่จับ ไปจนถึงกอดรัดฟัดเหวี่ยง เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากล้ามเนื้อ และที่มากกว่าคือกลไกทางสังคม เด็กๆ ต้องเรียนรู้การเล่นที่ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บ มากเกินไป หรือทำให้ตัวเองเจ็บ มากเกินไป แต่มิใช่ไม่ยอมให้เจ็บเลย ดังที่ว่าความเสี่ยงคือการพัฒนา

Outdoor Play เล่นกลางแจ้ง การเล่นชนิดนี้เหมือนเอาการเล่นวัตถุและการวิ่งเล่นมารวมกัน เด็กได้วิ่งเล่นกลางแดด สายฝน หิมะ กอดรัดฟัดเหวี่ยงบนพื้นดิน พื้นทราย พื้นน้ำ เหล่านี้ส่งเสริมพัฒนาการของประสาทสัมผัสและการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากในห้องเรียนหรือบริเวณโรงเรียนที่คับแคบ

เด็กๆ เปิดโลกทรรศน์และได้เรียนรู้ระบบสามมิติของสภาพภูมิศาสตร์อันจะเป็นรากฐานของการคิดวิเคราะห์ในอนาคต

Role Play การเล่นบทบาทสมมุติ เป็นการละเล่นที่พัฒนาความสามารถทุกด้านของเด็กๆ พร้อมๆ กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาและทักษะสังคม แน่นอนว่าเด็กเล่นบทบาทสมมุติกับพ่อแม่เป็นจุดเริ่มต้น แต่การเล่นนี้จะขยายไปที่พี่น้อง ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ในสนามเด็กเล่น และที่โรงเรียนในที่สุด การเล่นบทบาทสมมุติทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้กติกาการอยู่ร่วมกันในโลกของผู้ใหญ่ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และด้วยสถานการณ์ที่เป็นอิสระ เด็กๆ จะพัฒนาภาษาพูดเพื่อสื่อความต้องการในใจตนเองได้ดีและเร็วกว่า

บอร์ดเกมมักถูกจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มนี้ คือเป็นการเล่นบทบาทสมมุติที่มีกฎ กติกา ความซับซ้อนและต้องการยุทธวิธีคล้ายคลึงชีวิตจริง ที่รู้จักกันดีเช่น เกมเศรษฐี Monopoly แต่ปัจจุบันมีบอร์ดเกมมากมายให้เลือก

จุดสูงสุดของการเล่นบทบาทสมมุติคือการเล่นละครเต็มรูปแบบ มีเครื่องแต่งกายตามจริงและบทพูดตามที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนอนุบาลที่ใส่ใจทุกแห่งจะจัดให้มี

การเล่นพัฒนามาอย่างไร?

การเล่นพัฒนามาจากการยิ้มในทารก คือ social smile จากการยิ้มให้มีการยิ้มรับ การเล่นคือการแลกเปลี่ยน มีให้และมีรับ นำไปสู่เสียงอ้อแอ้เพื่อพูดกับพ่อแม่ เสียงที่ไร้ความหมายไปสู่เสียงที่มีความหมาย และการเล่นจ๊ะเอ๋ “จ๊ะเอ๋!” ให้เสียงหัวเราะระเบิดออกมา หัวเราะไป หัวเราะกลับมา แล้วการเล่นจึงทวีความซับซ้อนมากขึ้นทุกขณะ

การเล่นเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างลูกกับแม่ เพื่อพัฒนาจากจุดที่ตนเองต้องพึ่งพิงแม่ทุกเวลา เวลากินและเวลานอน จนถึงวันที่ตนเองเป็นอิสระจากแม่คือไม่กินและไม่นอน แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเด็กจำเป็นต้องแลกมาด้วยความสามารถในการกำกับตัวเอง self regulation คือ EF นั่นคือกินและนอนให้เป็นเวลา แต่ด้วยความสามารถของตัวเอง

การกำกับตัวเองอย่างแรกเป็นเรื่องการรับและการให้ ยิ้มมายิ้มตอบ หัวเราะไปหัวเราะมา เล่นมาเล่นไป กลไกเหล่านี้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรกของชีวิต

อย่าลืมว่าอีกกลไกหนึ่งของ EF คือการควบคุมยับยั้งเกิดขึ้นเร็วกว่านี้อีก เมื่อทารกกำลังเหม่อมองดูโมไบล์แล้วแม่เดินเข้ามา ทารกจะพัฒนาความสามารถหยุดมองสิ่งหนึ่งเพื่อมองอีกสิ่งหนึ่ง

และอย่าลืมข้อสังเกตที่มีชื่อเสียงของ Jean Piaget ที่อายุ 8 เดือน ทารกจะมองหาของเล่นที่หายไปบนผ้าผืนหนึ่งก่อนที่จะยับยั้งตนเองให้หยุดมอง แล้วเริ่มต้นมองหาของเล่นที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้า นี่คือ ยับยั้งแล้วเปลี่ยน (response inhibition และ shifting)

การเล่นจ๊ะเอ๋ เมื่ออายุ 9 เดือน เป็นบทแรกๆ ของการเล่นที่ช่วยให้เด็กรู้จักการให้และการรับ เราทำอะไรออกไปจะได้อะไรคืนมา รวมทั้งการทำนายอนาคตอีกสักประเดี๋ยวแม่ต้อง “จ๊ะเอ๋!” ออกมาอีกแน่ๆ พื้นฐานการทำนายอนาคตผนวกกับการให้และการรับนี้เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการจากความงอแงเอาแต่ร้องไห้เมื่ออายุ 12 เดือนไปเป็นความสามารถที่จะรับรู้ความต้องการของตัวเอง แล้วสื่อสารออกมาด้วยคำพูดเมื่อ 3 ขวบ โดยทำนายได้ว่าทำอะไรจะได้อะไร ถึงขั้นตอนนี้จะกล่าวว่าเด็กงอแงมากเพราะเล่นจ๊ะเอ๋น้อยเกินไปก็คงจะใช่

ที่อายุ 12 เดือน เด็กเตาะแตะไปจากแม่ด้วยมือเปล่าคือนาทีสำคัญของชีวิต เป็นความทรงจำของพ่อแม่ทุกคนและจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากสำหรับพ่อแม่ที่มิได้เห็นโมเมนต์นี้ ถึงเวลานั้นเด็กพร้อมแล้วที่จะให้และรับ ทำนายอนาคต รับความเสี่ยง ทดสอบขอบเขต โดยมีแม่นั่งดูอยู่ข้างหลังเป็นป้อมปราการที่เขาพร้อมจะวิ่งหนีกลับมาเมื่อไรก็ได้ นั่นคือเขามีมือที่ประสาทสัมผัสดีพอจะสำรวจ มีเท้าที่ไปได้แล้วกลับได้ มีการประสานมือและสายตาระดับหนึ่ง สามารถให้สัญลักษณ์และเล่นบทบาทสมมุติได้บ้างแล้ว ดังนั้นเขาสามารถดูดกลืนสรรพสิ่งหรือแปรรูปหรือใช้ประโยชน์แล้วแต่สถานการณ์ที่เขาเผชิญ และเมื่อเขาพบสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น ลูกหมา หรือลูกคน เขารู้ว่าการให้และการรับคืออะไรแม้ว่าจะต้องทดสอบกันอีกหลายยกก็ตาม ย่อหน้าทั้งหมดนี้เราไม่ต้องทำอะไรนอกจากเปิดโอกาสให้เขา ‘เล่น’

แม้ว่าการเล่นจะช่วยเรื่องทักษะสังคมแน่ๆ อย่างไรก็ตามควรมีคำเตือนสำหรับพ่อแม่บ้านเราที่ดูเหมือนจะกังวลกับทักษะสังคมมาก และข้ออ้างที่ส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลเร็วข้อหนึ่งคือเพื่อให้ไปมีสังคม แท้จริงแล้วทักษะสังคมมิได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนแต่เป็นเรื่องที่ต้องการเวลาพัฒนาการนานมากคือตั้งแต่ 2-3 ขวบไปจนถึงประมาณ 6-7 ขวบอันเป็นเวลาที่การเห็นตนเองเป็นศูนย์กลางลดลงมากพอแล้ว เมื่อนั้นทักษะสังคมจึงจะทวีความเร็วของพัฒนาการมากขึ้นได้โดยธรรมชาติ

อ่านมาตั้งนาน หากจะไม่ได้อะไรเลย รู้จักคำเดียวก็พอ ‘เล่น’

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการเล่น

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ภูเขาน้ำแข็งในใจเด็ก พ่อแม่คือคนก่อ
Dear Parents
10 September 2018

ภูเขาน้ำแข็งในใจเด็ก พ่อแม่คือคนก่อ

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

ภูเขาน้ำแข็งคืออะไร อ่านบทความประกอบที่นี่ ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

Tags:

พ่อแม่แบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)ซาเทียร์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์ : ความเหงาและหัวใจที่เชื่อมโยง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
Early childhoodLearning Theory
7 September 2018

EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • “เรากำลังเลี้ยงดูเด็กแบบไหน” ชวนคิดผ่าน ‘The Twelve Senses’ ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ เป็น sensory ในระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ (จิตวิญญาณ) เพื่อประกอบเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง
  • ฐานใจในวัย 8-14 ปี พัฒนาการที่เกี่ยวกับการรับรู้โลกภายนอก (เพื่อกลับมาภายใน) ตั้งแต่ smell, taste, sight และ temperature ซึ่งทั้งหมดหมายถึงการก่อสร้าง วิจารณญาณ สร้างรสนิยมหรือบุคลิก การมองเห็นเพื่อตีความและกำหนดลงไปในความทรงจำของสมอง
  • The Twelve Senses ไม่ใช่แค่การสร้างลูก ยังคือการใช้ชีวิตของ ‘แม่’ ในนิยามของผู้เลี้ยงดู และเมื่ออ่านจนจบ คุณอาจพบการเป็นแม่ไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือการอยู่กับลูกอย่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘มนุษย์’

ต่อกันที่ชิ้นที่ 2 (ใครที่เพิ่งเปิดมาเจอชิ้นนี้ คลิกที่นี่ เพื่อกลับไปอ่าน The Twelve Senses ฐานที่ 1 นะคะ)

ถ้าฐานแรก ฐานกาย (senses of touch, of life, of movement, of balance) ว่ากันถึงการพัฒนาฐานกายของเด็ก ในช่วง 0-7 ปีแรก ตั้งแต่การรับสัมผัส, การรู้จักกับความรัก, การพัฒนาเรื่องการเคลื่อนไหว และการสร้างสมดุล ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มีความหมายตรงตัวแค่เฉพาะทางพัฒนาการ แต่ ‘ฐานกาย’ ทั้งสี่ยังส่งผลต่อความเต็มพร้อมภายในที่เกี่ยวกับสำนึกเรื่องอิสรภาพ ความสัมพันธ์ เจตจำนงในชีวิต และการตระหนักถึงสมดุลแห่งชีวิต

ฐานที่ 2 ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ นักการศึกษา กระบวนกร และผู้ก่อตั้งมูลนิธิพื้นที่ปัญญ์รัก (โรงเรียนพ่อแม่ลูก) นิยามว่าคือ ฐาน ‘ใจ’

ฐานนี้จะมีการพัฒนาที่เข้มข้นในเด็กวัย 8-14 ปี เป็นพัฒนาการที่เกี่ยวกับการรับรู้โลกภายนอก (ที่สุดท้ายก็ชวนให้กลับมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน) ตั้งแต่ smell, taste, sight และ temperature ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลับไปกำหนด วิจารณญาณ สร้างรสนิยมหรือบุคลิก การมองเห็นเพื่อตีความและกำหนดลงไปในความทรงจำของสมอง

แม้ทั้งหมดจะเป็นศาสตร์ของการพัฒนาการรับสัมผัส แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ฐานใจต้องการไปให้ถึง ก็คือการบอกกับคุณพ่อคุณแม่ หรือทุกคนที่ดูแลเด็กว่า…

คุณคือหนึ่งคนที่เป็นคนช่วยเก็บความทรงจำและช่วยเด็กตีความความรู้สึกที่เขาเพิ่งค้นพบเป็นครั้งแรกๆ ของชีวิต อย่ารีบบอกปัดหรือปฏิเสธอารมณ์ของเด็กๆ (เช่น พอลูกหกล้มก็บอกไม่เจ็บ ลูกร้องไห้บอกว่าห้ามร้อง) เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจเป็นคนที่ไม่เข้าใจแม้ความรู้สึกของตัวเอง หรือไม่กล้าแม้จะแสดงความรู้สึกอีกเลย

Sense 5: Sense of Smell

รู้จัก ‘วิจารณญาณ’ ผ่านศาสตร์การรับกลิ่นที่ทำให้ต้องกลับมาอยู่ (ข้าง) ในตัวเอง

ถ้าเด็กได้ใช้ชีวิตบนฐานกายอย่างมีเสรีภาพ ได้รับประสบการณ์มากมาย ได้อยู่กับผู้คน ได้ผ่านการทะเลาะกับผู้คน กระทั่งได้รับกลิ่นของผู้คนรวมถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งในที่นี้คือ sense of smell การที่เขาได้ดีลกับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งเหล่านี้ ทำให้เขาเกิด ‘วิจารณญาณ’ ของชีวิต

วิจารณญาณเป็นปัญญาญาณที่ลึกซึ้งมากที่เราไม่สามารถบอกเด็กได้ว่าเธอควรต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ทำแบบนี้ แต่มันผ่านเข้ามาในสิ่งที่ถูกเก็บเกี่ยวไว้ในระดับเซลล์ ความทรงจำ ในระดับเซลล์แบบนี้แหละที่ทำให้เขากำหนดบางอย่างของชีวิตได้ ไม่ใช่การที่พ่อแม่บอกว่า “ลูกต้องเข้าใจ เขาเป็นครู ต้องเข้าใจเขา” เด็กไม่เข้าใจหรอก ทั้งหมดถูกตัดสินอยู่ภายใต้ระดับที่ลึกมาก

วิจารณญาณ กับ การได้รับกลิ่น เกี่ยวข้องกันอย่างไร

เวลาที่รับประสบการณ์ ก็จะมีการรับกลิ่นเข้ามาผ่านต่อมรับกลิ่นในจมูกด้วย ถ้าใน spiritual จะบอกว่าต่อมรับกลิ่นนี้อยู่ใกล้ตาที่ 3 การรับกลิ่นผ่านประสบการณ์ตั้งแต่เด็กกระทั่งถึงวันหนึ่งที่เขามีข้อมูลบางอย่างมากพอ จนกลิ่นนี้กลายเป็น ‘วิจารณญาณ’ ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เช่น เวลาที่เด็กเข้าไปอยู่ในสถานการณ์หนึ่ง อยู่ในประสบการณ์หนึ่ง พลังงานทั้งหลายที่ผ่านรูจมูกเข้ามาทางการหายใจจะถูกนำไปประมวลผลทันทีและทำให้เกิดความรู้สึกที่บางคนเรียกว่า ‘ปิ๊งแวบ’ เหมือนกับเราเข้ามาในห้องหนึ่งแล้วรู้สึก ‘กึ๊ก’ กับอะไรบางอย่าง และการ ‘กึ๊ก’ แบบนี้มันคือ

พลังงานที่เข้ามาผ่านลมหายใจ ผ่านการรับกลิ่นที่เราอาจเข้าใจความหมายบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่มันจะ ‘รู้สึก’ ได้ทันที

ทันทีที่ได้กลิ่นกำยานตอนไปวัด ทำให้เราต้องเดินช้าๆ ค่อยๆ เดินอย่างอัตโนมัติ เราจะไม่เข้าไปในที่แบบนั้นแล้วตะโกนลั่น แต่เด็กที่ขาดการรับรู้เขาก็จะเข้าไปสู่สถานการณ์นี้อย่างไม่มีวิจารณญาณ เพราะเด็กไม่เคยอยู่ในประสบการณ์วัยเด็กที่ทำให้เขากลับมาอยู่กับตัวเอง

‘ประสบการณ์รับกลิ่น’ กับ ‘การกลับมาอยู่กับตัวเอง’ ของเด็ก เป็นอย่างไร

ย้อนกลับไปที่ฐานกายในช่วง 0-7 ปีแรก (4 senses แรก) ขณะที่เด็กวิ่งเล่น หรือไม่ว่าเด็กจะทำอะไรสักอย่าง เขาก็ต้องควบคุมตัวเองจากข้างใน เพื่อรู้ว่าตัวเองจะวิ่งได้แค่ไหนและเสียงดังได้อย่างไร

แล้วมันมีผลอะไรต่อ Sense of Smell?

ก็เพราะว่าเวลาที่เขาเข้าไปที่ไหน กลิ่นทำให้เขากลับเข้ามาที่ตัวเองแล้วดูว่า เขาควรเป็นอย่างไรกับที่นั่น

เปรียบเทียบกับการรับกลิ่น ถ้าเข้ามาในห้องหนึ่งซึ่งกินปลาร้ากันอยู่ คุณก็จะได้กลิ่นทันที แต่ถ้าอยู่ไปสักห้านาที ไม่มีกลิ่นใหม่เข้ามาในต่อมรับกลิ่น ต่อมรับกลิ่นก็จะหยุดทำงาน เราเริ่มชิน ไม่ได้กลิ่นแล้ว ตอนนั้น ปิ๊งแวบก็หยุดทำงานเช่นกัน แต่ถ้าเราอยากรับกลิ่นใหม่ก็ต้องออกไปข้างนอกแล้วกลับเข้ามาใหม่

เหมือน ‘ปิ๊งแวบ’ เพราะ ‘ปิ๊ง’ แล้วก็ ‘แวบ’ หายไป เขาต้องเร็วมากที่จะจับความรู้สึกข้างในให้ได้ เช่น เขาเจอใครบางคนที่เขาไม่โอเค แล้วรู้สึกได้ว่าผู้ใหญ่คนนี้ไม่โอเค ก็เพราะเด็กคนนั้นได้กลับมาสู่ตัวเองและรับรู้ความรู้สึกบางอย่างได้ วิจารณญาณของมนุษย์ก็ทำงานในระยะสั้น ถ้ามันส่งสัญญาณแล้วเรารับไม่ได้ ก็แปลว่าเราไม่สามารถเข้าถึงวิจารณญาณของตัวเองได้ ฉะนั้นเด็กที่กลับมาที่ฐานกายบ่อยๆ เขาก็จะเข้าใจสัญญาณบางอย่างในทางธรรมชาติที่บอกกับตัวเองว่า คนนี้ ที่นี่ ตรงนี้ โอเคกับเขามั้ย

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

ถ้าจมูกไม่ถูกฝึกให้รับกลิ่นซึ่งกินความหมายของการกลับมาพิจารณาตัวเองภายใน จะเป็นอย่างไร

เด็กที่ขาดการได้อยู่กับตัวเองก็จะไม่มีวิจารณญาณ อยู่ในวัดก็อยากวิ่งอยากตะโกน ทั้งที่บรรยากาศไม่ได้ส่งให้เขาเป็นแบบนั้น แต่เด็กที่สงบ ต่อให้เป็นเด็กเล็กแค่สี่ห้าขวบ อยู่ที่วัดเขาก็จะนิ่งๆ แต่เด็กที่ถูกห้ามตลอด ถูกจัดการชีวิตตลอด เด็กพวกนี้ยิ่งห้ามยิ่งดุด่า ก็ยิ่งควบคุมตัวเองยาก

หรือกระทั่ง movement เด็กที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหนึ่ง มันต้องอยู่กับภาพตัวเองภายใน จัดการตัวเองข้างในถูกมั้ย แต่พอมันถูก interrupt หรือขัดจังหวะมากเข้า เด็กกลุ่มนี้ก็จะไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับมาข้างใน เขาจะขาดการเข้าใจตนเอง แล้วก็จะมีผลไปสู่ความสมดุลอื่นๆ อีก

มีวันหนึ่งลูกเราบอกว่าเขาอยากทำเรือใบเหมือนในการ์ตูนโดราเอมอน เราก็ช่วยเขาหาของมาทำจนครบ การที่เขานั่งอยู่กับมันแล้วเห็นเขาหายไปกับโลกใบนี้ ไปขลุกอยู่กับสิ่งตรงหน้า และทำให้เรือใบเกิดขึ้นได้จริง คือการที่เขากลับมาข้างในไม่สนใจโลกภายนอกเลย แต่สนใจอยู่ที่มือและงานของเขา

ความจริงมนุษย์เราก็พบตัวเราเองจากการกลับมาข้างใน เราจะรู้ว่ามีบางอย่างที่ทำแล้วเวลาหายไป โลกใบนี้หายไป เราควรรู้จักข้างในตัวเราเองก่อน ก่อนที่จะมารู้จักความรู้และความคิดข้างนอกตัว การศึกษาและการเลี้ยงดูจึงกลับข้างกับการเติบโตของมนุษย์ เราอยากให้เด็กเก่งเร็วเกินไป ยัดอะไรให้เขารู้โลกภายนอกเร็วเกินไป มากกว่าการรู้จักข้างในตนเอง

Sense 6: Sense of Taste

รู้จัก ‘รสนิยม’ และ ‘บุคลิกภาพ’ ผ่านรสชาติและพลังงานในอาหาร

เราคงเคยได้ยินคำว่า ‘you are what you eat’ แต่เราไม่เคยเข้าใจ ใน sense of taste ทุกสิ่งที่เรากินเข้าไป มันนำพาพลังงานเข้าไปในตัวเราผ่านรสชาติอาหาร ไปสู่การเป็นเซลล์หนึ่งของร่างกาย คือพลังงานเพิ่มเข้าไปในเซลล์นั้น มันจึงมีความหมายมากตอนที่เขากินอาหาร ในบ้านที่ทะเลาะกัน บ้านที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง บ้านที่เต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่โอเค คุณก็ทำอาหารด้วยพลังงานที่ไม่โอเคให้ลูกกิน แล้วคุณจะคาดหวังให้ลูกจะมีพลังงานและมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร

sense of taste ยังบอกถึงรสนิยมของเด็ก รสนิยมในการใช้ชีวิต รสนิยมที่จะแต่งตัวแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ อยู่กับผู้คนแบบนี้ เขาอยากได้บ้านแบบนี้ อยากอยู่ในที่แบบนี้ ห้องนอนเขาควรเป็นแบบนี้ นี่คือ taste ผ่านรสนิยม

เรามักนึกถึงอาหารในแง่โภชนาการ เรื่องพลังงาน หรือกำลังแรงกาย แต่อาหารนำไปสู่รสนิยมการใช้ชีวิตยังไง

จริงๆ คาแรคเตอร์ของคน ก็คือ energy ของคน เวลาที่เราเห็นคนคนหนึ่งมีคาแรคเตอร์ที่อ่อนโยน ก็เพราะเขามี energy ที่อ่อนโยน

Taste ไม่ได้ใช่แค่ ‘รสชาติอาหาร’ แต่หมายถึงอารมณ์ในการกิน สิ่งที่แม่ทำ พลังงานที่แม่ป้อนให้?

เวลาที่กินอาหาร เขาก็จะรู้จักกับรสชาติของมันว่ามันสร้างความรู้สึก สร้างการรับรู้บางอย่างที่จะกลายเป็นตัวเขาต่อไป เช่น บางทีเรามักคิดว่า ของหวานเป็นสิ่งที่ไม่โอเคกับเด็ก เราเลย ‘แอบ’ ขนมไว้ ไม่ให้เขากิน แต่รสชาติหวานๆ มันบอกถึงความ luxury บอกถึงความสบาย เหมือนตอนที่กินขนมเค้กยามบ่าย ฉะนั้นทุกคนต้องติด เด็กก็ต้องติดอยู่แล้ว แต่การติดด้วย energy ที่ดี คือการที่เด็กได้รู้ว่าชีวิตชั้นช่างดีจัง ไม่ใช่การถูกห้ามที่จะทำให้เกิดความรู้สึกอยากไปแอบกินขนมทีหลัง

เคยเห็นเด็กแอบกินขนมมั้ย? มันก็ยิ่งสวาปาม แต่การที่เราอนุญาตให้เขามีความรุ่มรวยของชีวิตที่แบบว่า… อยู่ต่อหน้าเราแล้วกินอะไรก็อร่อยไปด้วยกัน เด็กแบบนี้ไม่ติดหรอก (เน้นเสียง) แต่เด็กที่ติดส่วนใหญ่คือเด็กที่ถูกห้าม เด็กที่มาค่ายเรา เราจะรู้เลยว่าที่บ้านห้ามเขากินของพวกนี้มากแค่ไหน ถ้ามาถึงแล้วเขากินอย่าง ‘โหย’ นั่นแสดงว่าที่บ้านห้าม เด็กพวกนี้มักไม่ค่อยมีบุคลิกภาพที่ดีเท่าไหร่นัก

การเสพติดอาหารเหมือนการโหยหาความรัก บำบัดความเครียด หรือบอกอะไรได้บางอย่าง

การปฏิเสธอาหารก็บอกว่าเราติดอยู่กับอารมณ์บางอย่างได้ด้วยนะ ทุกอย่างเหมือนเป็นโดมิโนที่ส่งต่อกัน สังเกตว่าบ้านที่มีความสุข เขาไม่ทะเลาะกันเวลาอาหาร

พี่เคยผ่านช่วงที่ตัดสินลูก วิพากษ์วิจารณ์ พยายามที่จะเลี้ยงเขาให้ออกมาเพอร์เฟ็คท์ แต่ตอนนั้นชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ อย่างตอนกินอาหาร เขาต้องกินของที่มีประโยชน์ ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะเวลาที่พ่อเอาขนมมาให้ เราก็จะทะเลาะกับพ่อ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ไม่ดีเลย

วันที่พี่รู้ว่าองค์ความรู้นี้คืออะไร พี่ทบทวนตัวเองช่วงที่อยู่บนโต๊ะอาหาร พบว่าตัวเองจัดการผิดหมดเลย เขากินข้าวด้วยความทุกข์ พี่จึงตั้งใจว่าต่อไปนี้จะกินข้าวด้วยความสุข จะกินข้าวด้วย energy ที่ดี

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

มีงานวิจัยที่เผยแพร่ทาง BBC ว่า เด็กจำนวนไม่น้อยเลย ตอนเกิดมามีต่อมรับรสขมอยู่จำนวนมาก และต่อมรับรสขมนั้น ตามสัญชาตญาณดิบแล้วมันตีความหมายว่าเป็นพิษ เด็กกลุ่มนั้นจะปฏิเสธการกินผักในช่วงแรกของชีวิต เมื่อต่อมนั้นฝ่อไปเด็กจึงกินรสขมได้อย่างสบายใจ หากเราบีบบังคับเด็กกลุ่มนี้ให้กินผัก ไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา บางทีเราอาจทำให้เขาปฏิเสธการกินผักไปตลอดชีวิตก็เป็นได้

รสขมนั้นกระตุ้นเจตจำนงของชีวิต เด็กที่กินรสขมได้ เราจะรู้สึกได้ว่าเขามีพลังงานที่ดูก็รู้ว่าเขารู้สึกว่าตัวเองเจ๋ง นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับเด็ก แต่ทางเข้าที่จะทำให้เขากินผักได้จึงสำคัญมากๆ

หลังจากที่พี่เข้าใจแล้วว่าถ้าพ่อแม่กินข้าวให้อร่อย กินผักให้อร่อย ท้ายที่สุดลูกจะมองดูเรากินผัก แล้วพบว่าผักกินได้นะ ไม่ตายหรอก ไม่เป็นพิษ ก็ดูอร่อยนะ แล้วเขาก็เริ่มชิมมัน ชิมตอนแรกเขาอาจรู้สึกไม่อร่อย เพราะต่อมรับรสขมเขายังทำงานอยู่ แน่นอนว่าเราต้องให้โอกาสเขา ที่เหลือคือเราก็กินให้อร่อยจนวันหนึ่งเขาอยากลองอีก วันนั้นรสขมที่เข้าไปในชีวิตในทางบวกมันจะไปกระตุ้นความฮึกเหิม ความเชื่อมั่นของเขาได้เอง

แต่ถ้าเราบังคับเขากิน จัดการจนกระทั่งเขาเกลียดผัก ต่อให้ต่อมรับรสขมหายไปเขาก็เกลียดมัน มันเป็นความทรงจำที่ผูกโยงว่ามันคือความทุกข์ทรมาน คือความคลื่นไส้ ความสะอิดสะเอียนที่มากไปกว่าธรรมชาติ คือการทำให้ลูกปรุงแต่งรสกับความรู้สึก ท้ายที่สุดเด็กยิ่งไม่กิน แม้แต่ต้นหอมซอยในข้าวผัดก็กินไม่ได้ และนั่นแหละยิ่งยากกว่าอีก

แค่เรื่องการรับรสอย่างเดียว เหมือนว่าจะมีผลต่อบุคลิกของเราหลายประการเลย

เพราะ sense of taste ให้รสชาติบางอย่างกับชีวิตเพื่อขัดเกลาบุคลิกภาพและความเป็นตัวเขา รสนิยมในชีวิตของเขา เราจะเห็นเลยว่าถ้าเราเรียนรู้โลกไปสักระยะ เรารู้ว่ารสเปรี้ยวมันเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดพลังงานหวือหวา กระปรี้กระเปร่า เราก็จะรับรู้ได้ด้วยว่าคนที่มีบุคลิกแบบนี้ ก็มักจะกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือคนที่กินอาหารไม่มีรสชาติ ก็จะรู้สึกถึงบุคลิกของเขาอีกแบบหนึ่ง

Sense 7: Sense of Sight

รู้จัก ‘การรับรู้’: การมองเห็นที่เชื่อมกับประสบการณ์เก่า และ ฟังให้ดี อย่าปฏิเสธอารมณ์ของลูก

จมูกปิดไม่ได้ ปากเลือกเปิดหรือปิดได้ แต่ตา น่ากลัวมากเพราะ ปิดตาแต่ก็ดันมองเห็น เนื่องด้วยการรับรู้ทางตามี illusion หรือการตีความสิ่งเร้าที่ลวงตา เราไม่ได้เห็นสิ่งที่ตาเห็น เพราะตารับภาพเข้าไปอยู่ในหน่วยความทรงจำและเชื่อมต่ออะไรเยอะมาก โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับภาพความทรงจำในอดีต

ฉะนั้นเวลาที่เราเห็นใครสักคน คิ้วเขา ตาเขา อาจไปเชื่อมโยงกับบางอย่างในอดีตได้ เราจึงตีความภาพข้างหน้าพร้อมกับใส่ความรู้สึกตามความทรงจำในอดีต สมองทำงานอย่างรวดเร็วเสมอ แม้ยามเราหลับตา สมองยังส่งภาพบางอย่างมาปรากฏให้เราเห็นได้อีกเช่นกัน

Sense of Sight ในที่นี้จึงไม่ได้มีความหมายแค่ ‘ตา’ แต่คือการพิจารณาเชื่อมกับการตัดสิน?

เห็นตามประสบการณ์เก่า ซึ่งมันเกี่ยวกับว่าตอนเด็กๆ เขาเก็บความทรงจำเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยความหมายแบบไหน เช่น ถ้าเขาเคยเจอกับเด็กที่ไม่โอเค พอเขาเจอคนอื่นที่มีพลังงานคล้ายคนในความทรงจำนั้น เขาก็ตัดสินทันทีเลยว่า “คนนี้ไม่โอเค” เคยมั้ยที่เจอใครบางคนครั้งแรกแล้วรู้สึกว่า หน้าตาเขาผิดระเบียบ หรือคนนี้ไม่ถูกจริตเรา?

เวลาที่พ่อแม่ เก็บหน่วยความจำให้กับเด็ก เราทำให้เด็กรู้สึกกับหน้าตาของคนที่ไม่ถูกจริตพ่อแม่เต็มไปหมด เราวิพากษ์วิจารณ์ผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เขาก็ซึมซับ จะพบว่าเด็กคนนั้นกลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีความสุขกับใครเลย ไอ้นั่นก็ไม่ชอบ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ ไอ้นั่นก็ไม่โอเค เพราะเราไม่ได้เห็นอย่างที่เราเห็น เราเห็นตามประสบการณ์เก่า ตีความตามประสบการณ์เก่า ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่สัจจะ คนห้าคนเข้ามาดูหนัง เข้ามาทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง เขาก็กลับไปเล่าให้คนอื่นฟังไม่เหมือนกัน

เช่นกัน พี่น้องสองคนเข้าสู่ประสบการณ์เดียวกัน เจอพ่อแม่เดียวกัน เขาจดจำไม่เหมือนกัน เพราะการมองเห็นของเขามันถูกเชื่อมโยงกับประสบการณ์เก่า และเขาตีความไปตามนั้น

เราจึงจำเป็นต้องฟังเด็กมากๆ เพราะ sense of sight ที่เด็กมองเห็น มันจะระบุเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ ตรงนี้แหละ สิ่งสำคัญที่เราควรได้ยินว่า เขาไม่ชอบเพราะอะไร

ในช่วง 4 senses นี้มันเป็นความรู้สึกล้วนๆ เขาชอบกินอะไร อยู่ห้องนี้เพราะชอบ เพราะรู้สึกดี อันนี้โอเคหรือไม่โอเค มันคือการกลับมาที่ความรู้สึกล้วนๆ แต่เรามักปฏิเสธความรู้สึกเด็ก พอเด็กบอกว่าไม่ชอบครูคนนี้ เราก็ “ไม่ได้ลูก เขาเป็นครู” พอเด็กบอกหนาว “ไม่หนาวลูก อดทน” แต่พอหน้าหนาว ลูกไม่ใส่เสื้อกันหนาวเพราะเขาร้อน บอกลูกว่า “ต้องใส่ลูก ไม่หนาวไม่ได้ ต้องหนาว”

การถูกปฏิเสธแบบนี้ ส่งผลในระยะยาวต่อเด็กอย่างไร

เวลาที่คนเราอายุเยอะๆ แล้วไปปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร เพื่อเท่าทันอารมณ์ถูกมั้ย? เพราะว่าตอนเราเป็นเด็กนั้น เราควรได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ รู้จักกับอารมณ์ เข้าใจแล้วจึงเท่าทันอารมณ์ แต่เด็กๆ กลับถูกปฏิเสธอารมณ์มาตลอดชีวิตเลย แล้วพอตอนแก่เลยต้องกลับมาตามหาการเท่าทันอารมณ์

ถ้าเขาบอกว่า “ไม่ชอบ” แล้วเราถามเขาว่า “ไม่ชอบเพราะอะไรลูก มันเป็นยังไงเหรอ” เขาจะกลับมาที่ตัวเองทันที การที่เด็กได้ทบทวนความชอบหรือไม่ สมองของเขาเกิดการทำงานเยอะมากเพื่อทบทวนและทำความเข้าใจชีวิต แค่การปฏิเสธอารมณ์นี่ก็เล่าได้อีกเป็นเล่มเลยนะ (หัวเราะ)

ยกตัวอย่างเบสิค เด็กหกล้ม เลือดไหล พ่อแม่พูดว่า “ไม่เจ็บลูก ไม่ร้องไห้” เด็กไม่มีข้อมูลอะไรมาก่อนเลย วันหนึ่งเห็นเลือด แล้วเขาก็เคยรู้สึกว่าปกติผิวเขาเป็นแบบหนึ่ง วันนี้เป็นอีกแบบนี้ มันต้องผิดปกติอะไรสักอย่าง แต่เราไม่ให้ความหมายกับเขาและกลับบอกว่า “ไม่เป็นไรลูก” พอเขาร้องไห้ เราบอก “ไม่เจ็บลูก” เอ๊ะ… มันคืออะไรนะ?

แม่เองก็มาด้วยพลังงานที่ panic หรือเต็มไปด้วยความกังวล ถึงตอนจะใส่ยาก็บอกลูกว่า “ไม่แสบ ไม่มีอะไร” พอใส่เข้าไปแล้วเป็นไง? เขาไม่เชื่อความรู้สึกของเขา เขาไม่เชื่อคำพูดของแม่ เพราะว่าเขาเคว้งในอวกาศว่ามันคืออะไร มีใครนิยามความรู้สึกนี้ให้ทีได้มั้ย

เวลาที่เด็กเท่าทันอารมณ์หมายความว่า สมองซีกขวารู้สึกแบบนี้ ถูกเชื่อมโยงกับสมองซีกซ้ายเพื่อตีความว่า แบบนี้เรียกว่า ‘เจ็บ’ ‘เสียใจ’ แต่พอมันไม่ถูกตีความ ข้างในมีแต่ความรู้สึกล้วนๆ ตีความไม่ได้ พอตีความไม่ได้วันหนึ่งเมื่อโตขึ้น พอเข้าสู่ประสบการณ์บางอย่างที่คล้ายเดิม อารมณ์มันก็กลับมาไฮแจ็คเราได้ตลอดเวลา ชีวิตคนที่ถูกปฏิเสธอารมณ์บ่อยๆ จึงถูกไฮแจ็คให้ใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ เพราะเขาไม่เข้าใจมันนั่นเอง

เหมือนเราไม่ได้ถูกตีความจากความรู้สึกที่เป็นจริง แต่ถูก interrupt จากความรู้สึกของแม่? จากความกลัวของแม่

จากการปฏิเสธว่า “ไม่มีอะไร” “เป็นลูกผู้ชายอย่าร้องไห้” เขาก็ไม่ได้กลับมาทำความเข้าใจว่า อันนี้เขารู้สึกเสียใจ เพราะอะไรเขาถึงเสียใจ อันนี้เขาเรียกว่าเจ็บ ฉันทำอะไรเหรอถึงสร้างความเจ็บให้ตัวเอง คือมันไม่สอดคล้องกับความเจ็บที่เกิดขึ้น เพราะทุกอย่างถูกปฏิเสธหมด

ไม่ชอบเรียนเลข/ต้องชอบ ภาษาอังกฤษยาก/ไม่ยากหรอกลูก ทำโจทย์เลขไม่ได้/ง่ายนิดเดียว ทั้งที่จริงๆ ตอนที่เราเป็นเด็ก มันง่ายหรือยาก? นี่คือความสับสนของเด็กเต็มไปหมด สุดท้ายเขาไม่เคยกลับมาดูความรู้สึก เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อเขารู้สึกว่าเขากำลังรู้สึก ทุกคนจะบอกว่ามันเป็นอีกสิ่ง ท้ายที่สุดคนที่ถูกปฏิเสธบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นคนที่ ‘เลิกแสดงความรู้สึก’ บอกความรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังเป็นอะไร เลยเป็นไปตามอารมณ์

เพราะอธิบายออกไปไม่ได้?

ใช่ และก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบาย จะบอกแม่ว่ามันรู้สึกแย่ แม่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร” พอเขาเริ่มเป็นวัยรุ่น เขาไม่รู้จะเริ่มพูดกับใคร เขาก็เลิกพูดกับเรา เพราะว่าเราไม่เคยเข้าใจความรู้สึกเขาเลย แล้วเราก็งงว่าทำไมเขาเลิกสื่อสารกับฉัน ก็เพราะ ‘ฉัน’ ไม่เคยเข้าใจความรู้สึก ‘เขา’ เลย

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

เหมือนเป็นวงจร เพราะแม่ปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง เพราะกลัวว่าลูกร้องแล้วฉันจะตื่นตระหนก ถ้าลูกบอกว่าไม่ชอบเลข แล้วแม่จะทำยังไงต่อ

อยู่กับความรู้สึกของเขาจริงๆ เพื่อให้เขากลับมาดูความรู้สึก เท่าทันความรู้สึก และเขาจะเท่าทันตัวเองง่ายมาก เพราะความรู้สึก เมื่อเห็น มันจะดับเร็ว แต่เวลาที่เราไม่เห็นมัน มันจะมีพลังมากขึ้นๆ

เหมือนว่าพูดปัดๆ ไป แต่สุดท้ายก็มีผลกระทบอยู่ดี

ใช่ เพราะเราไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง ถึงบอกว่าเวลาที่อยู่กับลูกก็มีน้อย แล้วเรายังไม่อยู่กับความเป็นจริงของชีวิต แล้วลูกจะเรียนจากอะไร? ตรงนี้แหละคือเรื่องของการเท่าทันอารมณ์ เวลาคุณจะพูดอะไร ลองถามตัวเองก่อนว่ามันจะเกิดอะไรกันแน่ แล้วมันจะทำให้เราช้าลงในการทำบางอย่างเพื่อปฏิเสธอารมณ์เขา

กล่าวได้ไหมว่า Sense of Sight คือการตีความสิ่งที่มองเห็นจากประสบการณ์เก่า ซึ่งอยู่ที่ว่าเราเก็บบันทึกที่ผ่านการตีความในอดีตไว้อย่างไร ซึ่งการตีความความทรงจำก็เกี่ยวพันกับการเท่าทันอารมณ์ด้วย

และการเท่าทันอารมณ์ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อให้รู้จักตัวเอง รู้ว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร เพราะทุกสิ่งที่เห็นก็คือการประเมินความชอบและไม่ชอบของชีวิต ถ้าเราทำให้เขาเท่าทัน จากความไม่ชอบกลายเป็นความเข้าใจ มันก็จะทำให้สิ่งที่เป็น illusion ของชีวิตมันน้อยลง

Sense 8: Sense of Warmth

รู้จัก ‘ความอบอุ่น’: พื้นที่พิเศษ ผลลัพธ์ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก

คนจะเรียกเซนส์นี้ว่า sense of temperature มนุษย์เรามักเลือกอยู่ในที่ที่อุณหภูมิพอดิบพอดีกับชีวิต

มันจึงไม่แปลกว่า ถ้าบ้านไหนที่เย็นชามากเกินไป ลูกกลัวความเย็นชาก็ขังตัวเองในห้อง บ้านไหนร้อนมากไป ลูกก็ไปอยู่นอกบ้าน และมันไม่ได้มาจากความคิด แต่คือร่างกายที่ขับเคลื่อนพาตัวเองไปสู่อุณหภูมิที่พอจะมีชีวิตอยู่ได้

อย่างที่เคยบอกไปว่า ชีวิตพี่มันคือการทดลองเนอะ ถ้าเราคุยกันเรื่องนี้เมื่อสิบปีก่อนพี่อาจพูดไม่ชัด แต่วันนี้มันผ่านมาถึงวันที่ลูกอายุ 18 กับ 14 ปี เรายังกอดคอกันเดินแม่ลูก แต่มันก็ไม่ใช่ความวุ่นวายแบบ “คุยไรกันเยอะแยะ” บางทีเป็นแค่เราสามคนเดินกอดคอกันเงียบๆ แต่มันเป็นอุณหภูมิที่โอเค

คนเป็นแม่รู้สึกยังไง

มันแค่ยืนยันว่าเราเป็นแม่ที่โอเค เขาถึงกล้าอยู่ใกล้ จริงๆ sense of temperature มันเหมือนกับการเผยผลลัพธ์ให้เห็นว่า อุณหภูมิที่อยู่กันมา ผลลัพธ์มันเป็นยังไงและมันไม่ได้เป็นเรื่องทางกายภาพนะ เราอยู่กับลูกด้วยอุณหภูมิ

วันหนึ่ง ตอนลูกคนโตอยู่ในช่วงปิดเทอมกำลังจะขึ้น ม.5 ระหว่างที่นอนเล่นอยู่บ้านเขาก็ถามว่า ถ้าเขาไปเที่ยว 4 วันโดยไม่มีผู้ใหญ่เลยจะได้มั้ย? จำไม่ได้แล้วว่าพี่นอนเล่นอยู่หรือทำอะไร แต่จำได้ว่าหันไปบอกเขาว่า “เออ ก็ไปดิ” เขาตอบกลับว่า “นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ลูกบอกเพื่อนไปว่า ‘คอยดูนะว่าแม่จะตอบว่า เออ ก็ไปดิ’ โดยไม่ถามอะไรเลย” เราก็งงแล้วถามลูกกลับไปว่า “แล้วจริงๆ มันต้องถามอะไรเหรอ” (หัวเราะ) เขาบอกว่า แม่ของเพื่อนลูกคนหนึ่งไปเช่าโรงแรมอยู่ใกล้ๆ แล้วเราก็แบบ “เฮ้ย ลูกเราเรียนที่โรงเรียนนี้ อยู่หอพักกันเองมาเป็นปีโดยไม่มีแม่คุม แล้วการจะไปอยู่หัวหิน 4 วัน ต้องมีแม่คุมด้วยเหรอ?” เขาก็หัวเราะ

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

คือมันเป็นอุณหภูมิของคนที่อยู่ด้วยกันอะ ไม่ต้องมากลัวกันว่าต้องโกหกหรือต้องอะไร แล้วเขาก็โอเคที่จะอยู่กับเรา แต่คำว่า ‘อยู่กับเรา’ ในเด็กวัยรุ่น เขาไม่ได้อยู่กับเราทางกายภาพนะ แม้ตัวเขาก็เร่ร่อนไปใช้ชีวิตของเขาเอง เรียนหนังสือ อยู่กับเพื่อน แต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน เขาอยู่กับเรา มันมีความสุข กินอะไรกันอร่อย คุยกันสนุก จบแล้ว

วันๆ สิ่งที่ยากคือ “วันนี้กินไรดี” คือนี่ยากแล้ว (เสียงหนัก) ครูท่านหนึ่งเคยบอกว่า ไม่รู้ว่าจะสร้างความทุกข์กันไปทำไม เพราะความทุกข์แค่ แก่ เจ็บ ตาย หรือ เจอหายนะ ภัยพิบัติ แค่นี้มนุษย์ก็ต้องทุกข์มากพอแล้ว แค่จะทำให้ไม่เจ็บป่วย เจอภัยพิบัติแล้วไม่เป็นไร แก่และตาย พวกนี้คือความทุกข์อยู่แล้ว เรายังจะสร้างความทุกข์กันมากขึ้นไปกว่านี้อีกเพื่ออะไร เราสร้างความทุกข์ต่อกันจนกระทั่งอุณหภูมิในบ้านมันไม่โอเค ไปเพื่ออะไรเหรอ?

สรุปได้ไหมว่า Sense of Warmth หรือ Sense of Temperature ก็คือความรู้สึกปลอดภัย ความสบายที่จะอยู่ด้วยกัน

การที่ลูกรู้สึกว่าบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นที่ที่ลูกรู้สึกมีพลัง มีตัวเชื่อมระหว่างเรากับเขา จนแม้ว่ายามที่เขาอยู่ไกลแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกปลอดภัย มันมีบางอย่างที่เขารู้สึกว่าเราอยู่กับเขาตลอดเวลานั้น มันพิเศษมาก อยากให้พ่อแม่ลองใคร่ครวญดูว่า เด็กที่รู้สึกชีวิตปลอดภัยจะมีพลังชีวิตที่จะเรียนรู้หรือใช้ชีวิตดีๆ ได้แค่ไหน

อ่านเซนส์ที่ 1-4 ได้ที่ EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
เซนส์ที่ 9-12 ได้ที่ EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาThe Twelve Sensesอังคณา มาศรังสรรค์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ
How to get along with teenager
7 September 2018

โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Design Thinking ออกแบบชีวิตที่มีมากกว่าหนึ่งทางเลือกได้ด้วยการเข้าใจตัวเอง ฟุ้งเยอะๆ แล้วก็หาวิธีทดลอง
  • Design Thinking เป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้วัยรุ่นรู้จักตัวเอง แล้วจะค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองชอบ และอยากเป็นคืออะไร
  • ทางเลือกชีวิตมีให้เลือกเยอะ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องทำอาชีพเดียวไปตลอดชีวิต Design Thinking จะทำให้เรามองเห็นทางเดินใหม่ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้
ภาพ: สำนักพิมพ์ Bookscape

เด็กๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไร? คุณครูมักจะมาพร้อมคำถามนี้ สปีดในการยกมือ (และแย่ง) ตอบก็จะลดลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หลายคนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังหาคำตอบข้อนี้ให้ตัวเองไม่ได้

เราต้องการอะไร หรือ เราอยากทำอะไร … ถามง่ายแต่ตอบยากเสมอๆ

คำถามดังกล่าว คือ หัวใจสำคัญของงาน Book Talk ‘ออกแบบชีวิตและธุรกิจด้วย Design Thinking’ จัดโดยสำนักพิมพ์ Bookscape ร่วมกับอุทยานการเรียนรู้ TK Park ร่วมพูดคุยโดย รวิศ หาญอุตสาหะ CEO บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจ Mission To The Moon, เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล CEO บริษัท ลูกคิด (Lukkid) จำกัด ผู้แปลหนังสือ Designing Your Life (Designing Your Life: How to Build a Well-Lived, Joyful Life) และ นรินทร์ จิตต์ปราณีชัย ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจเพื่อสังคม a-chieve แนะแนว ‘อาชีพที่ใช่ ชีวิตที่ชอบ’ สำหรับเด็กไทย

สปอยล์ไว้ตั้งแต่บรรทัดนี้เลยว่า ประสบการณ์ของทั้งสามคนจะทำให้รู้ว่าชีวิตไม่ได้มีเพียงทางเลือกเดียว ด้วยสามวิธีง่ายๆ คือ 1.เข้าใจตัวเอง 2.ฟุ้งเยอะๆ และ 3.หาวิธีทดลอง แล้วก็จะรู้ว่าชีวิตเราเป็นอะไรได้อีกมากมาย

Design Thinking คืออะไร

เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล อธิบายว่า นานมาแล้ว Design Thinking อยู่ในหมวดวิชาของสถาปนิก เรื่องของการออกแบบสินค้าใหม่ๆ มหาวิทยาลัย Stanford ตั้งโรงเรียนหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Stanford d.school (d ย่อมาจาก design) เน้นการนำกระบวนการนี้มาคิดผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการใหม่ๆ ให้กับองค์กรต่างๆ

“หลักการคือถ้าเราจะคิดอะไรใหม่ๆ ให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการ จะเริ่มจากคิดเองในบ้านไม่ได้ เพราะบางอย่างเราคิดเองว่าลูกค้าอยากได้ แต่จริงๆ ลูกค้าอาจไม่ได้อยากได้แบบนั้น หลักการของมันคือ ลูกค้าอยากได้อะไร ตื่นนอนมาเขาฝันถึงอะไร ฝันร้ายของเขาคืออะไร แล้วเก็บข้อมูลเหล่านี้ว่าจริงๆ มันเป็นผลิตภัณฑ์ หรือบริการอะไรที่จะตอบโจทย์ให้เขาได้บ้าง”

บิลล์ เบอร์เนตต์ กับ เดฟ อีวานส์ อาจารย์ของเมษ์และผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มีความคิดว่า แทนที่จะทำความเข้าใจลูกค้า แต่เราได้ลองทำความเข้าใจตัวเอง เราอาจเข้าใจมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร

ฮาวทู ออกแบบความคิด

Design Thinking มีสามขั้นตอนสำคัญ

ขั้นแรกคือ รู้จักตัวเอง การแก้ไขปัญหาอะไรก็ตาม โดยเฉพาะปัญหาโลกแตกอย่าง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี, อยากเป็นอะไร, ฉันเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองชอบจริงหรือเปล่า หรือ ฉันจะเกษียณแล้วจะทำอะไรต่อ

“ให้ทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าจริงๆ แล้วความสุขของชีวิตเราคืออะไร แต่ละวันเราหมดพลังไปกับอะไร อะไรคือสิ่งที่ทำไปแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไป เราเอนจอยกับมันมาก ถ้าเราตระหนักรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร นั่นคือรู้จักตัวเอง” เมษ์อธิบาย

สอง ฟุ้งให้สุด เมื่อเรารู้ตัวเอง มันก็ดึงเราไปต่อว่า เราฟุ้ง เราคิดอะไรได้บ้างว่าสิ่งที่เป็นทางเลือกให้เราคืออะไรบ้าง คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขกับชีวิตเพราะคิดว่าชีวิตเรามีทางเลือกเดียว

“ฉันโตมาต้องเป็นหมออย่างเดียวถึงจะแฮปปี้ หรือฉันต้องทำบริษัทนี้เท่านั้นถึงจะมีความสุข เพราะเราไปฟิกซ์เองว่ามันเป็นทางเลือกเดียว

นรินทร์ จิตต์ปราณีชัย, รวิศ หาญอุตสาหะ และ เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล 

Design Thinking ให้เราฟุ้งให้เต็มที่ได้เลยว่าถ้าไม่มีขอบเขต ข้อจำกัดมันเป็นอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเราไม่มีข้อจำกัดในการคิด option ให้กับชีวิต มันอาจจะเป็นได้เยอะแยะที่เหมาะกับชีวิตเราเหมือนกัน” วิธีฟุ้งจากเมษ์

รวิศ หาญอุตสาหะ เสริมว่า เวลาหาไอเดียใหม่ ให้ลองเอา ‘ปริมาณ’ มาก่อน ‘คุณภาพ’ ดูบ้าง

“แต่ก่อนเราจะได้ยินคำว่า quality (คุณภาพ) ก่อนเสมอเวลาเราจะเลือกไอเดียที่ดี อันนี้เหมือนจะจำกัดความคิด อยากให้เอา quantity หรือปริมาณมาก่อนบ้าง เพราะว่าไอเดียที่ฟังดูบ้าๆ บอๆ จะถูกตัดทิ้งตั้งแต่มันยังไม่ถูกเขียนในโพสต์อิทด้วยซ้ำ ถ้าเราคิดแบบเกิน คิดอะไรได้ก็แปะไว้ก่อนพรุ่งนี้บางทีมันอาจจะเวิร์ค”

และสาม ลงมือทำ เมื่อฟุ้งเสร็จมันไม่ได้อยู่แค่นั้น เราซึ่งก็คือคนฟุ้งเอง ทำอะไรมากกว่านี้ได้ไหม

“ทั้งหมดเพื่อที่จะรู้ว่าที่เราคิด ที่เราทำมันมาถูกทางหรือเปล่า อยากเป็นเชฟมิชลิน ลองเข้าครัวก่อนไหมว่าอยากเป็นจริงๆ หรือเปล่า อยากเป็นหมอ ลองไปฝึกงานที่โรงพยาบาล เห็นเลือดแล้วเป็นลม ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ต้องมีการทดลองเล็กๆ เพื่อที่จะรู้ว่าใช่หรือเปล่า”

เมษ์สรุปสั้นๆ ว่า Design Thinking คือเข้าใจ ฟุ้งเยอะๆ จากนั้นหาวิธีทดลอง แล้วดูว่ามันใช่วิธีที่เราต้องการหรือเปล่า

Design Thinking กับการค้นหาตัวตนของวัยรุ่น

หลายคนเรียนมาจนสุดเพดานการศึกษา แต่พบว่ายังไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิต

แล้ว Design Thinking จะเข้ามาช่วยได้อย่างไร?

ในฐานะที่คลุกคลีและทำงานกับเด็กมาตลอด นรินทร์จาก a-chieve บอกว่า เด็กมีหลายระดับ ตั้งแต่ เด็กที่ไม่มีทางเลือกเลย เด็กที่มีทางเลือกมากแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร หรือเด็กที่เขามั่นใจว่าอยากทำอะไรแต่ว่ยังไม่ได้ลอง

“เวลาแนะนำเด็ก ต้องพยายามให้เขาวิเคราะห์ตัวเองรอบด้าน ไม่ใช่แค่เรารู้ตัวเองแต่ควรรู้ในสิ่งที่เรากำลังจะเลือกด้วย คล้ายกับ Design Thinking บอกว่าเวลาที่เรามีทางเลือก การที่จะรู้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่

หนึ่งคือต้องไปหาข้อมูล สองคือต้องไปลองทำเป็นประสบการณ์เอา input นั้นมาลองกับตัวเอง

หลักๆ ของ a-chieve คือพยายามให้เด็กมีกระบวนการวิเคราะห์ตัวเองก่อนในเรื่องให้เขามีเป้าหมาย เขาให้คุณค่าหรือเขาชอบอะไร เขามีความถนัดหรือไม่ถนัดอะไร แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เด็กไม่ค่อยคิดแต่ว่ามันสำคัญมากก็คือ สภาพแวดล้อมของครอบครัว หรือสังคม มันมีผลอะไรต่อตัวเรา นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามให้เด็กได้ลองวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ใช้ตัดสินในชีวิตประจำวันมันมีอะไรที่เชื่อมโยงกับเขาอยู่บ้าง”

สามคือ ลงมือทำ เมื่อเด็กมีกระบวนการคิดการวิเคราะห์ตัวเองได้แล้ว ที่เหลือคือลองทำจริง ไปลองค้นหา ไปอ่านหนังสือในสิ่งที่เขาบอกว่าอยากจะเป็นให้ได้มากที่สุด ไปเรียนรู้อาชีพในที่ทำงานจริง หรือมีรุ่นพี่มาถ่ายทอดประสบการณ์และตอบทุกคำถามที่น้องๆ อยากรู้

“ทางเลือกมีอยู่มีเยอะมาก เขาสามารถเข้าไปอ่าน เข้าไปดู เข้าไปเจอ ก็ดูได้ว่าอันไหนที่ตรงกับเขามากที่สุด a-chieve พยายามผลักดันให้เด็กไม่ได้มีแค่อาชีพเดียว เพราะสุดท้ายแล้วเราสามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้มากกว่าแค่ 1 อาชีพ”

พ่อ-แม่-ลูก คุยกันเพื่อออกแบบ

กองหลังสำคัญอย่างพ่อแม่ ก็มาพร้อมปัญหาสำคัญเช่นกันคือ ไม่รู้จะคุยกับลูกอย่างไร

นรินทร์ยกตัวอย่างกรณีลูกวัยรุ่น สิ่งที่เจอบ่อยคือ พ่อแม่ไม่ได้คุยกับลูกตั้งแต่แรก หมายถึงประถมไล่ไปจนถึงมัธยม ส่วนใหญ่จะส่งให้ลูกเข้าโรงเรียนแล้วให้โรงเรียนเป็นฝ่ายจัดการ ขาดการอัพเดทความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน

“ผมเห็น success case ของเด็กที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยมีครอบครัวสนับสนุน สิ่งที่เราเห็นคือครอบครัวกับเด็กจะใกล้ชิดกันมาก เขาสามารถอัพเดท สามารถบอกสิ่งที่เป็นตัวของเขาเอง และผู้ปกครองก็จะบอกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างไร

อยากฝากผู้ปกครองว่าให้คุย ให้ฟังเยอะๆ สร้างพื้นที่ปลอดภัย ทำให้เด็กกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาชอบอะไร เขามีความฝันอะไร เขาอยากเป็นอะไร โดยที่เราไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด ถ้าทลายอันนี้ได้ เราก็จะเข้าใจลูกมากขึ้นว่าเขาอยากทำอะไรกันแน่”

จากนั้นพ่อแม่ค่อยสนับสนุนข้อมูล เช่น พาไปพบ ไปคุยกับคนในสายงานที่ลูกสนใจ หรือไม่ก็พาไปดูการทำงานเลย

“โดยที่ไม่ได้ไปบอกนะว่ามันดีหรือไม่ดี ให้ลูกไปลองฟัง ไปคุย แล้วก็บอกกันเหมือนเพื่อน พ่อแม่อย่าไปตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี แค่ให้ข้อมูลว่าเป็นอย่างไร”

พ่อแม่ดื้อกว่าลูก?

หลายบ้าน คนที่หัวแข็งจริงๆ กลับไม่ใช่ลูก

“ส่วนใหญ่น้องๆ ที่เจอปัญหานี้ คือไม่สามารถไปบอกกับครอบครัวได้ว่าฉันอยากเป็นอันนี้ เชื่อฉันสิ ส่วนใหญ่เด็กที่เข้าไปคุยกับผู้ปกครองแบบไม่ค่อยมีข้อมูล หรือเขาไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เขาอยากจะเป็นมันคืออะไรกันแน่ เขาไม่สามารถบอกได้ด้วยข้อมูลที่เขามี

ฉะนั้นเวลาไปต่อรองกับที่บ้าน ต้องรู้ตัวเองก่อน แล้วค่อยอธิบายในสิ่งที่เราอยากเป็น เช่น ต้องเรียนอะไร จบไปแล้วทำอาชีพอะไร มีรายได้เท่าไหร่ เรารู้สึกว่าบางทีมันต้องมีกลยุทธ์หน่อยเวลาไปคุยกับที่บ้าน”

นรินทร์ย้ำว่า เด็กต้องรู้ให้ดีที่สุดก่อนไปบอกผู้ปกครอง เพราะถ้าไปพร้อมความไม่รู้ ผลลัพธ์คือช่องว่างที่ทำให้เด็กๆ ไม่สามารถต่อรองได้ กลายเป็นพ่อแม่หัวแข็งยิ่งขึ้นไปอีกเพราะเหตุผลของอีกฝ่ายซึ่งก็คือลูก-ไม่มีน้ำหนักพอ

“ถ้าเด็กมีข้อมูลพร้อมแล้ว สิ่งที่เขาต้องลองทำคือ คุยกันตรงๆ ว่าอยากจะเป็น อยากทำ หรืออยากเรียนสิ่งนี้ เพราะอะไร  พ่อแม่บางส่วนก็พร้อมจะฟัง ถ้าเขายังไม่ฟังก็อาจจะลองหาครูที่ปรึกษาเข้าไปช่วยคุย” นรินทร์ทิ้งท้าย

Tags:

งานเสวนาdesign thinkingBookscapeพ่อแม่วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)หนังสือ

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social IssuesBook
    IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย

    เรื่อง

โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี
Creative learning
7 September 2018

โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

เรื่อง The Potential

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

Tags:

ครูระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนดนตรีโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างการเล่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel