Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

ทักทายด้วยรอยยิ้มก่อนเริ่มคาบ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนให้ดีขึ้น
Education trend
26 September 2018

ทักทายด้วยรอยยิ้มก่อนเริ่มคาบ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนให้ดีขึ้น

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • เริ่มต้นคาบเรียนด้วยการทักทายและรอยยิ้มแจ่มใส ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมเชิงวิชาการของเด็ก สร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมในห้องเรียนนักเรียน ทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดของครูได้อีกด้วย
  • การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วม และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคาบเรียน
  • การใช้อวัจนภาษาในการทักทาย เช่น โบกมือ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างบรรยากาศให้น่าเรียน

งานวิจัยล่าสุดเผย เริ่มต้นคาบเรียนด้วยการทักทายและรอยยิ้มแจ่มใส ปล่อยพลังเชิงบวกให้กัน ไม่ว่าจะเป็นคาบแรกของวันหรือคาบแรกหลังจากพักเบรก ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมเชิงวิชาการของเด็ก สร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมในห้องเรียนนักเรียน ลดปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดของครูได้อีกด้วย

ก่อนเริ่มต้นคาบเรียนเป็นช่วงเวลาที่สมองกำลังปรับตัว นักเรียนที่เพิ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาจากสนามเด็กเล่นหรือรีบวิ่งมาเข้าเรียนให้ทันก่อนครูจะเช็คชื่อ – ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสภาวะอารมณ์

แน่นอนว่าการเจอหน้ากัน ทักทายด้วยการตำหนิติเตียนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น “เสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง” หรือ “ส่งการบ้านหรือยัง?” งานวิจัยระบุว่า การปล่อยผ่านพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นทักทายด้วยท่าทีเป็นมิตร สาดพลังเชิงบวกใส่กัน ช่วยลดพฤติกรรมและกระตุ้นให้เด็กสนใจการเรียนมากกว่า

จากการสำรวจพบว่าครูที่ทักทายนักเรียนด้วยท่าทีอย่างเป็นมิตรให้กับนักเรียนก่อนเริ่มต้นคาบ ตั้งแต่หน้าประตู เพียงยิ้มให้หรือโบกมือทักทาย เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการมีส่วนร่วมด้านวิชาการให้กับนักเรียนมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์และอีก 9 เปอร์เซ็นต์สามารถลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในห้องเรียนได้อีกด้วย

ทำไมการสาดพลังสดใสถึงเวิร์ค?

เพราะการสร้างความรู้สึกเป็นมิตรกับนักเรียนคือการสร้างความเชื่อใจระหว่างครูและนักเรียนอย่างหนึ่ง เมื่อพวกเขารู้สึกเชื่อมั่น สิ่งที่แตกหน่อออกผลต่อมาคือความรู้สึกมีส่วนร่วมในห้องเรียนซึ่งกระตุ้นให้พวกเขาอยากเรียนรู้ตามมา

“การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคาบเรียนดังกล่าว สิ่งนี้สำคัญมากในการช่วยให้งานวิจัยของเราค้นพบแรงจูงใจในการสร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของสังคม (social belonging) ของตัวเอง ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อนักเรียนรู้สึกดีกับห้องเรียน พวกเขาก็จะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เองไปในตัว” หนึ่งในทีมวิจัยอธิบาย

สำคัญกว่านั้น ทีมวิจัยมองว่า ‘อวัจนภาษา’ นี่ล่ะดีที่สุดในการสร้างบรรยากาศดังกล่าวในห้องเรียน พร้อมแนะนำวิธีเริ่มต้นง่ายๆ ได้แก่

– ยืนทักทายอยู่หน้าห้องเรียน

– เรียกชื่อพวกเขา

– ประสานสายตากับพวกเขา

– ใช้อวัจนภาษาในการทักทาย เช่น โบกมือ เชคแฮนด์หรือไฮไฟว์ เป็นต้น

แล้วการทักทายไปลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในห้องเรียนอย่างไร?

จุดนี้ ทีมวิจัยแนะนำว่า ให้ปรับมุมมองของตัวเอง จากที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียน ให้เปลี่ยนเป็นมองด้านดีของเขาและพูดสิ่งเหล่านั้นออกมา จะช่วยทำให้เขามีพฤติกรรมที่ดีขึ้นตามมา

อธิบายง่ายๆ คือ ให้เปลี่ยนวิธีคิดจาก “ฉันจะจัดการพฤติกรรมของพวกเขาอย่างไร?” เป็น “ฉันจะสร้างบรรยากาศที่ไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้อย่างไร?”

ไม่ใช่ดีแค่กับนักเรียนแต่กับครูด้วยเช่นกัน

การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนนอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เด็กสนใจเรียน ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังสามารถลดสภาวะความป่วยไข้ทางใจของครูด้วย

จากการสำรวจพบว่า ครูมากถึง 53 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกตึงเครียดที่นักเรียนไม่มีส่วนร่วมในห้องเรียนหรือก่อกวนระหว่างการเรียนการสอน – เป็นปัญหาสำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของครูเมื่อถูกถามถึงว่าอะไรคือข้อกังวลใจในการสอนมากที่สุดของปี 2014

แน่นอนว่า ยิ่งปัญหาในห้องเรียนเยอะ ครูก็ยิ่งต้องใช้พลังในการสอนมากขึ้น ทั้งการกระตุ้นให้เด็กสนใจและหันไปตำหนินักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือก่อกวนเพื่อนๆ และครูระหว่างเรียน

จริงอยู่ที่การหันไปตำหนิหรือทำโทษนักเรียนอาจช่วยให้ห้องเรียนสงบขึ้นแต่เป็นเพียงผลระยะสั้นเท่านั้น ในงานวิจัยชิ้นเดียวกันอธิบายว่า การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนจะช่วยลดปัญหาดังกล่าวในระยะยาวได้ดีกว่า

รู้แบบนี้แล้ว วันนี้คุณยิ้มให้นักเรียนของคุณหรือยัง?

อ้างอิง:
Welcoming Students With a Smile

Tags:

ครูระบบการศึกษาเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ปฏิรูปการศึกษาด้วย ‘วิชาความสุข’

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

ครูหวังดี แต่นักเรียนเสียใจ: BULLY ที่ไม่รู้ตัวของครู
Life classroom
26 September 2018

ครูหวังดี แต่นักเรียนเสียใจ: BULLY ที่ไม่รู้ตัวของครู

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • สำหรับเด็กประถม ครูค่อนข้างมีอิทธิพลต่อเด็ก ครูคือดวงอาทิตย์ให้เราโคจรทุกวันๆ ทุกคำพูดครูจึงมีความหมาย
  • บางทีความหวังดีของครู อาจสร้างปมในใจเด็กได้ หากไม่ระวังและไม่ละเอียดอ่อนพอ
  • Bully แปลว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาให้เจ็บ ทำซ้ำๆ เปลี่ยนวิธีตามสถานการณ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ กลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยาม
ภาพ: Museum Siam

“ครูว่าเธอเรียนเก่งนะ แต่สู้พี่เธอไม่ได้” ฟังเผินๆ เหมือนจะชม แต่เอ๊ะ! นี่ชมจริงหรือเปล่า ในฐานะนักเรียนคงต้องกลับมาคิดอีกหลายตลบว่าจริงๆ แล้วเราเรียนเก่งหรือไม่เก่ง หรือเราเก่งแต่พี่เก่งกว่า แล้วถ้าพี่เก่งกว่า เราจะเรียกว่าเก่งได้ไหม คิดไปคิดมาจนอาจทำให้นักเรียนคนนั้นไม่มีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกด้อย จนกลายมาเป็นปมหนึ่งในชีวิต

ตัวอย่างข้างต้นไม่ได้กล่าวโทษว่าครูผิด เพราะครูอาจพูดไปโดยไม่มีเจตนาให้นักเรียนเสียใจ และอาจหวังดีเพื่อให้เด็กๆ พัฒนาตัวเองด้วยซ้ำ โดยไม่ทันฉุกคิดว่า ไม่ว่าสำหรับเด็กแล้วมันคือ ‘การรังแกเด็กที่ไม่รู้ตัวของครู’

จึงเป็นที่มาของงานเสวนา ‘ครูรุ่นใหม่ไม่ Bully: ว่าด้วยการกลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยามความหลากหลายทางเพศ’ ณ ห้องนิทรรศการ 1 มิวเซียมสยาม (ท่าเตียน) หนึ่งในกิจกรรมประกอบนิทรรศการหมุนเวียน ชุด ‘ชาย หญิง สิ่งสมมุติ’ ว่าด้วยความหลากหลายทางเพศ โดยมี ชนน์ชนก พลสิงห์ นักจัดการความรู้อาวุโสและภัณฑารักษ์นิทรรศการมิวเซียมสยาม นำบรรยายในหัวข้อ ‘การรังแกที่ไม่รู้ตัวของครู ว่าด้วยการจัดแสดงจากนิทรรศการชายหญิงสิ่งสมมุติ’

ชนน์ชนก พลสิงห์

ที่ผ่านมา มิวเซียมสยามมักจะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความเป็นไทย แต่เพราะเหตุใดจึงจัดนิทรรศการว่าด้วยเรื่องเพศ?

ก่อนหน้านี้มิวเซียมสยามเคยจัดนิทรรศการหัวข้อ ‘ต้มยำกุ้งวิทยา: วิชานี้อย่าเลียน’ หนึ่งในประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชายฆ่าตัวตายจำนวนมากกว่าผู้หญิง จึงเกิดคำถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ gender (เพศ) หรือไม่อย่างไร ชนน์ชนกอธิบายว่า คำตอบที่ได้จากการสัมภาษณ์คือ ผู้ชายมีความรู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองต้องแบกรับผิดชอบมากกว่าผู้หญิงในฐานะช้างเท้าหน้า พอเกิดวิกฤติขึ้นมา ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าต้องลงโทษตัวเองบางอย่างเพื่อให้หายรู้สึกผิด

ในมุมมองเฟมินิสต์ (สตรีนิยม) มักมองว่าผู้ชายเป็นฝ่ายกระทำ แต่ในมุมมองของผู้ชายเอง ผู้ชายก็มีโครงสร้างบางอย่างที่ถูกสังคมคาดหวัง ถูกสังคมกดทับ ชนน์ชนกเชื่อว่า “ถ้าเราไม่ได้เป็นชาย เราไม่ได้เป็นหญิง ถ้าเราไม่ได้เป็นสตรีข้ามเพศ เราไม่มีทางที่จะเข้าใจกันและกันได้”

มิวเซียมสยามจึงจัดนิทรรศการเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่สังคม ในกระบวนการจัดทำจึงเรียกรับข้าวของหรือเรื่องราวต่างๆ ทาง gender ที่เกิดขึ้นในสังคม

“ตลอด 4 เดือนที่เราได้รับข้าวของหลายอย่าง สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกระทำอย่างไรกับคนที่เป็น LGBT ความเป็นชาย ความเป็นหญิงที่เกิดขึ้น จากนิทรรศการครั้งนี้ทำให้เห็นการกระทำอีกอย่างหนึ่ง คือ สิ่งที่โรงเรียน สถาบันทางการศึกษาและครูทำกับเด็กๆ”

หนึ่งในข้าวของหลายอย่างที่ได้มาคือ ‘สมุดพก’

“สำหรับเด็กคนหนึ่งสมุดพกมีอำนาจมาก เพราะบอกทั้งเกรด วันลา สาย ขาด บอกพฤติกรรมทุกอย่าง ภายใต้ข้อความสี่ห้าบรรทัดที่ครูคัดแล้วว่าจะเขียน” สมุดพกที่ชนน์ชนกนำเสนอเป็นของเด็กผู้ชาย ป.6 คนหนึ่งซึ่งครูเขียนเอาไว้ว่า “เรียบร้อยมากจนเกือบเหมือนผู้หญิง”

เจ้าของสมุดพกบอกว่า นี่เป็นจุดหนึ่งที่ครูพูดถึงเรื่องเพศของเขา เขารู้สึกว่าครูพยายามยัดเยียดเพศให้กับเด็ก ในความคิดของเขาคือ ทำไมความเป็นชายทุกคนต้องมาดแมน

“เราอาจเป็นผู้ชายนิ่งๆ ก็ได้ มันไม่จำเป็นต้องมี stereotype ของเพศชาย สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เขาต้องปรับตัว เช่น เขาต้องแสดงออกว่าเขามีความเป็นชายมากขึ้น สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ การพยายามบอกคนอื่นว่าตัวเองชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อสื่อสารไปยังสังคมว่า ฉันไม่ได้เป็นแบบผู้หญิงนะ เพราะว่าฉันชอบผู้หญิง”

จากสมุดพกเล่มนี้ ชนน์ชนกจึงตั้งคำถามว่า ครูกระทำ ‘สิ่งนี้’ ภายใต้ความหวังดีหรือไม่

“สมมุติเรามองในฐานะคนนอก ถ้าเราเจอนักเรียนคนหนึ่งที่เรียบร้อยมาก วัตถุประสงค์ในการสื่อสารกับผู้ปกครองคืออะไร คุณอาจจะอยู่ในหน้าที่ที่อยากสอดส่องดูแลเด็ก รายงานความประพฤติบางอย่างเกี่ยวกับเด็ก ครูไม่ได้ประสงค์ร้ายหรอก ทำไปเพราะความหวังดี แต่ในความหวังดีของครูอาจทำร้ายเด็ก สำหรับตัวเราเองไม่ได้มองว่าครูผิดหรือถูก เจ้าของสมุดพกก็ไม่ได้ผิด เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกแบบนั้น ส่วนครูเอง ก็ต้องระมัดระวัง”

โดยเฉพาะเด็กวัยประถมปลาย ครูค่อนข้างมีอิทธิพลต่อเด็ก หลายคนเชื่อครูมากกว่าพ่อแม่ และทุกคำของครูมีความหมาย

“เพราะไม่คิดว่าครูรังแกหรือทำร้ายเด็ก แต่อยากให้ละเอียดอ่อนกว่านี้ แล้วจะทำให้ทุกคนมีความสุขได้” ชนม์ชนกเผยความตั้งใจ

รังแก กลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยาม

หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแล้ว บางทีครูอาจไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง หรือทำให้เด็กเสียใจ การทำความเข้าใจว่าการกลั่นแกล้งคืออะไร น่าจะดีต่อทุกๆ ฝ่าย ผ่านการบรรยายในหัวข้อ ‘รังแก กลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยามคืออะไร : ความหมายของการ Bully ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว’  โดย ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

ผศ.ดร.วิมลทิพย์ให้คำจำกัดความของคำว่า bully ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาในเจ็บ ทำซ้ำๆ เปลี่ยนวิธีตามสถานการณ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ กลั่นแกล้ง ล้อเลียน และเหยียดหยาม

ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

กลั่นแกล้ง: มีการกระทำ เปลี่ยนวิธีตามเหยื่อหรือสถานการณ์ มีเจตนาให้เจ็บ (รู้ตัว)

ล้อเลียน: มีเจตนาให้ตัวเองสนุก (รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว) มีการกระทำหรือคำพูด มีเจตนาให้เจ็บ (รู้ตัว) กระทำซ้ำ หรืออาจจะเลิกทำ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอับอาย และทำลายความภาคภูมิใจในตนเอง การล้อเลียน จึงเป็นการทำร้ายจิตใจรูปแบบหนึ่งที่ลดคุณค่าในตัวผู้ฟัง

เหยียดหยาม: มีเจตนาให้ตัวเองสนุก (รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว) มีการกระทำหรือคำพูด มีเจตนาให้เจ็บ (รู้ตัว) กระทำซ้ำ หรืออาจจะเลิกทำ เป้าหมายคือ พูดให้ด้อย พูดให้อาย พูดให้สะใจ

ทำไมถึงแกล้ง

  • ผู้แกล้งเชื่อว่าผู้ถูกแกล้งสมควรได้รับการกลั่นแกล้ง
  • ผู้แกล้งต้องการแก้เบื่อ
  • ผู้แกล้งต้องการสร้างแรงกดดันให้กับเพื่อน
  • ผู้แกล้งคิดว่าใครๆ ก็ทำกัน
  • ผู้แกล้งมีความกระหายในอำนาจ
  • ผู้แกล้งคิดว่าไม่มีทางถูกจับได้ หรือถูกทำโทษ
  • ผู้แกล้งขาดความเห็นอกเห็นใจ

ความรู้สึกของคนถูกแกล้ง

  • รู้สึกถูกครอบงำ
  • รู้สึกอ่อนแอ และไร้อำนาจ
  • รู้สึกอับอาย ขายหน้า
  • รู้สึกไม่พอใจในตัวเอง
  • รู้สึกโกรธและแค้น
  • รู้สึกไม่สนใจในชีวิต
  • รู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก
  • รู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน
  • รู้สึกกังวลและหดหู่
  • รู้สึกป่วย
  • รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย

ควรทำอย่างไรเมื่อถูกแกล้ง: เมื่อถูกแกล้งให้ตอบกลับด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังว่า

  • ถ้าแกล้งชั้นอีกทีล่ะก็ เจอดีแน่
  • อย่าทำให้ชั้นขายหน้าไปกว่านี้เลยนะ
  • หยุดแกล้งชั้นสักทีนะ!!!!

วิมลทิพย์ กล่าวว่า “การกลั่นแกล้งเหมือนกับการปรบมือ จะเกิดเสียงดังก็ต่อเมื่อสองฝั่งมาตบกัน คนแกล้งหวังว่าการแกล้งของตนเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บร้อน ญี่ปุ่นแก้ไขปัญหานี้โดยการทำให้เด็กที่ถูกแกล้งเข้มแข็ง ชิลล์ ไม่เจ็บร้อน สงบ หรืออาจไปบอกครูด้วยอาการที่สงบ วิธีนี้ได้ผลเมื่อคนที่ถูกแกล้งไม่เจ็บร้อน คนแกล้งก็จะไม่สนุก เพราะมันผิดธรรมชาติของการแกล้ง แกล้งครั้งสองครั้งก็เลิก เพราะไร้ซึ่งความสนุกแล้ว”

ถ้าฝ่ายถูกแกล้งคุมสถานการณ์ได้ดี เหนือชั้น จะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ คือยกยกระดับความแข็งแกร่งในใจคน ไม่ไปให้ราคากับเรื่องที่ไม่ควรให้ราคา

ขณะเดียวกันคนแกล้งก็ต้องถูกจัดการเหมือนกัน วิมลทิพย์ เสนอว่า “ครูต้องมองเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พอจำแนกคนออกมาได้ เราก็จะจัดการได้ที่ต้นทาง เช่น เด็กคนนี้จริงๆ ไม่ได้เป็นคนก้าวร้าว แต่ทำไมถึงแกล้งเพื่อนจัง พอเราดึงเขาออกมาเราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราจะเห็นปัจจัยอื่นๆ เช่น จากครอบครัว ที่บ้าน เมื่อเห็นภาพที่ชัดเจน ก็นำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น”

“หน้าที่ของครูคือต้องทำให้เด็กที่ถูกแกล้ง แข็งแกร่ง อีกหน้าที่หนึ่งคือต้องทำความเข้าใจกับเด็กที่แกล้งด้วย เพื่อแก้ปัญหาการ bully ในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” วิมลทิพย์ทิ้งท้าย

Tags:

งานเสวนากลั่นแกล้ง(bully)เพศครู

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trendLearning Theory
    SEX EDUCATION: เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา จากอนุบาลถึงมัธยม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ‘สก็อตแลนด์’ ประเทศแรกที่สอนเรื่อง LGBTI ในโรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม
Early childhood
24 September 2018

ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ถาม-ตอบทุกประเด็นสำคัญเรื่องการยกเลิกสอบเข้า ป.1 ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้า ครม.
  • ยกเลิกสอบเพราะอะไรคงมีคำอธิบายไปเยอะแล้ว แต่ยกเลิกสอบแล้วจะไปต่ออย่างไร ในเมื่อคุณภาพของโรงเรียนในประเทศไทยยังไม่เท่ากัน
  • แต่ถ้าไม่ผ่าน เด็กอนุบาลยังคงต้องติว-สอบๆ ต่อไป แล้วเด็กจะอยู่อย่างไรในโลกใหม่ที่ไม่ได้เรียกร้อง การจำและการทำตามคำสั่งอีกต่อไปแล้ว
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ยกเลิกสอบ ป.1 จริงหรือไม่

ถ้าไม่มีการสอบแล้วโรงเรียน (ที่เล็งไว้) จะมีวิธีคัดเลือกอย่างไร

ถ้าไม่สอบจริงๆ แล้วลูกจะได้เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพหรือเปล่า

และ

ทำไมต้องยกเลิกการสอบเข้าด้วย

คำถามเหล่านี้ ‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย อนุกรรมการเด็กเล็กในกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กรรมการบริหารสมาคมอนุบาลแห่งประเทศไทยฯ และเป็นผู้ที่ผลักดันให้ยกเลิกการสอบเข้าชั้น ป.1 มากว่า 30 ปี ได้ยินและคอยตอบมาตลอด

แต่ตอนนี้ ครูหวานต้องตอบบ่อยและถี่เป็นพิเศษ เพราะ พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ถ้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน ก็จะถึงขั้นตอนนำสู่การปฏิบัติ และเกิดผลทันที และหนึ่งในประเด็นหลักคือ การรับเด็กเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับ ป.1 โดยวิธีสอบคัดเลือกจะกระทำมิได้ 

เพื่อเป็นหลักประกันว่าเด็กปฐมวัยจะไม่ถูกติว ถูกบังคับให้เร่งเรียนเขียนอ่าน ตั้งแต่วัยยังไม่พร้อม จนเกิดความเครียดต่อเนื่องระยะยาว

“และเรากำลังฝึกเด็กให้เป็นพลเมืองที่ตกรุ่นค่ะ” เหตุผลสำคัญจากครูหวาน

ทำไมต้องมีพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย

เพราะรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดพุทธศักราช 2560 พูดถึงการพัฒนาเด็กเล็กหรือเด็กก่อนวัยเรียนเอาไว้อย่างชัดเจน และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่พูดถึงและให้ความสำคัญกับเด็กเล็กเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญเช่นนี้ เราก็ต้องมีกฎหมายขึ้นมาเพื่อรองรับให้เกิดการปฏิบัติอย่างแท้จริง จะได้เป็นหลักประกันว่า เด็กปฐมวัยทุกคนต้องได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องเหมาะสมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ถ้าเรามองนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญแล้ว มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันได้ว่าปฐมวัยเป็นวัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ เพราะเป็นวัยที่พัฒนาการด้านสมองสูงที่สุด ทั้งเรื่องการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าหรือที่เรียกว่า Executive Functions (EF) และการพัฒนาทุกด้านโดยรวม ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญเพราะมันเป็นรากฐานของชีวิตมนุษย์ แต่ประเทศไทยกลับตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเร่งแก้ไขด่วน

ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ที่พัฒนาการของเด็กปฐมวัยล่าช้า ไม่สมวัย ถึง 30 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันมานานกว่า 15 ปีแล้ว อีกอย่างคือทักษะของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ คิด ตัดสินใจ เด็กไทยก็พัฒนาล่าช้าไปถึง 29 เปอร์เซ็นต์ อันนี้ยังไม่ได้รวมด้านอื่นอีก เช่น โภชนาการของเด็ก เช่น เรื่องความสูง ความอ้วน ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ การพัฒนาทางด้านภาษาของเราก็ล่าช้า ถ้ามองทั้งหมดแล้วมันถึงจุดที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข

ขณะเดียวกันมันก็มีสถานการณ์ที่เข้ามาซ้ำเติมเด็กๆ เช่น เรื่องจอใส ที่องค์การยูนิเซฟร่วมกับสถาบันสำนักงานสถิติแห่งชาติแนะนำว่าพบว่าในเด็กเล็กต่ำกว่า 2 ขวบ ที่ไม่ควรจะเล่นไอแพด ไอโฟน แต่ของไทยเราเล่นไปแล้วถึง 25 เปอร์เซ็นต์

เด็กอนุบาลกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เล่นมือถือ สิ่งเหล่านี้มันไปกระทบต่อสมาธิ ภาษา สัมพันธภาพ พ่อแม่ให้มือถือเป็นพี่เลี้ยง หรือการที่ปู่ย่าตายายไม่อยากให้เด็กที่ซุกซนออกไปวิ่งเล่นข้างนอกเพราะอันตรายเลยยื่นมือถือให้ พอให้ปุ๊บ เด็กก็มีความสุข พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายก็ตอบสนองเด็ก และทำให้ดูแลเด็กได้ง่ายขึ้น แต่ผลกระทบร้ายแรงมาก

ปัญหาที่สำคัญคือ พ่อแม่เองก็ติดมือถือ อุ้มลูกกำลังให้นมแต่มืออีกข้างหนึ่งจิ้มมือถือ ไม่ได้สบตาลูก ทั้งๆ ที่การสบตาคือการสร้างความสัมพันธ์ ความผูกพัน ซึ่งมีอิทธิพลสูงมากต่อการพัฒนาตัวตนของเด็กแต่ละคน

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ปฐมวัยแห่งชาติมีอะไรบ้าง

อันดับแรก พ.ร.บ.นี้จะกำหนดชัดเจนว่าการพัฒนาเด็กปฐมวัยจะเริ่มจากทารกในครรภ์มารดาจนกระทั่ง 6-8 ปี ตามหลักสากล การกำหนดแบบนี้ทำให้เกิดความชัดเจนว่า ต้องพัฒนาตั้งแต่เด็กเริ่มมีชีวิตอยู่ในท้อง เมื่อคลอดออกมาแล้ว เด็กทุกคนก็จะได้รับการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กๆ จะได้รับประสบการณ์ที่ดี ในช่วงของรอยต่อระหว่างชั้นอนุบาลและประถมศึกษา

ส่วนที่สองคือ พ.ร.บ.นี้ จะไปสร้าง ส่งเสริม สนับสนุนกระบวนการหรือกลไกการทำงานด้วยการบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพราะปัจจุบันการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการทำงานของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะจาก 4 กระทรวงหลัก จึงมีการทำงานที่ซ้ำซ้อนกันหรืองานบางอย่างก็กลับไม่มีเจ้าภาพ

เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้ประสงค์ให้เกิดกลไกทำงานที่มีประสิทธิภาพ ให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ มีความเป็นเอกภาพ แล้วก็เชื่อมโยงให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กปฐมวัยตั้งแต่นโยบายระดับชาติสู่ระดับของการปฏิบัติในพื้นที่

พ.ร.บ.นี้ ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนด้วย ถือว่าท้องถิ่นเป็นเจ้าของเด็กเช่นกัน และทำงานใกล้ชิดกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น การทำงานในระดับพื้นที่จะได้ส่งผลตรงต่อเด็กและเกิดประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนั้นก็ยังขจัดอุปสรรคที่มีผลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่เป็นประเด็นตอนนี้คือ การยุติการสอบเข้า ป.1

เหตุผลสำคัญที่ต้องยุติการสอบเข้า ป.1 คืออะไร

มันเป็นสิ่งที่กระทบต่อความเชื่อ กรอบคิดของสังคม เด็กกลุ่มที่มาสอบ ทั้งสอบได้และไม่ได้ เด็กกลุ่มนี้น่าสงสาร เพราะว่าต้องเผชิญกับความเครียดต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งๆ ที่คุณภาพของเด็กในช่วงชีวิตนี้ดีที่สุด เวลาพัฒนาสมอง ความคิดสร้างสรรค์ มันก็หมดไปกับระบบการติวต่างๆ และการเร่งเรียน เร่งรัด แล้วความเครียดระยะยาวมันก็ไม่มีผลดีต่อเด็กเลย โดยเฉพาะการพัฒนาสมอง

การแข่งขันกันสอบเพื่อเข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพ ยิ่งย้ำให้ทุกคนเข้าใจว่าจะต้องเร่งรัดเด็กทั้งเรียนเขียนอ่าน กระแสนี้ไปทั่วประเทศ มันกำลังจะบอกว่าความเก่งของเด็กปฐมวัยคือการเรียนเขียนอ่านใช่หรือไม่ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมามีนโยบายการสอบวัดผลความสามารถตั้งแต่ภาคแรกของ ป.1 ครูและผู้บริหารก็ยิ่งกลัว ก็ยิ่งไปซ้ำว่าอนุบาลต้องท่องได้ สะกดได้คือความเก่ง แต่ความจริงแล้วการพัฒนาเด็กมันต้องพัฒนาทั้งตัว เพราะนี่คือรากฐานของชีวิต

ฉะนั้นการเร่งรัดเรียนเขียนอ่าน มันทำลายชีวิตในเยาว์วัยของเด็กที่ควรจะเบิกบานและมีความสุข ทำลายทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ในอนาคต ทำลายสัมพันธภาพที่ดีของเด็ก แทนที่พ่อแม่จะชวนลูกเล่น ซึ่งมันเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุด

ถ้าเด็กไม่ต้องสอบเข้า ป.1 จะมีแผนรองรับอย่างไร

มันจะเชื่อมโยงกับใจความสำคัญของ พ.ร.บ. อีกเรื่องหนึ่ง คือการให้ความรู้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม ให้เข้าใจกระบวนการพัฒนาเด็กอย่างถูกวิธี เพราะใน พ.ร.บ. กำหนดไว้ว่ารัฐจะต้องให้ทุกจุดรับบริการ เป็นพื้นที่ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องได้รับความรู้ เช่น แม่ตั้งครรภ์ ต้องไปฝากท้อง สถานีอนามัยหรือศูนย์บริการสาธารณสุขก็ต้องให้ความรู้ ต่อมามีเด็กเล็กพาไปฉีดวัคซีนก็ต้องให้ความรู้อีก ต่อมาเมื่อเข้าศูนย์เด็กหรือศูนย์พัฒนาเด็ก ก็ต้องมีกระบวนการให้ความรู้ทุกขั้นทุกตอนจนกระทั่งเด็กโตขึ้นมา หรือแม้ในตัวเด็กเอง โตขึ้นมาก็ต้องมีความรู้ที่จะดูแลตัวเอง

ถ้าถามว่าถ้าไม่สอบจะคัดเลือกอย่างไร การคัดเลือกเด็กยังคงต้องมีอยู่ เพราะว่าความต้องการมันมากกว่าจำนวนที่รับได้ แต่ว่าใน พ.ร.บ. ประสงค์ว่าถ้าจะรับเด็กแล้วจะต้องเป็นการคัดเลือกที่ไม่กระทบต่อตัวเด็ก

คัดเลือกอย่างไรให้ไม่กระทบกับตัวเด็ก

ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละโรงเรียน บอกไม่ได้ว่าจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโรงเรียน การจับฉลากก็เป็นทางเลือกหนึ่ง หรือใช้ลำดับของการสมัคร ทั้งออนไลน์และลำดับคิว หรือจะใช้วิธีหลายๆ เกณฑ์ เช่น บ้านใกล้ พ่อแม่เคยเป็นศิษย์เก่า พี่น้องอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน หรือใช้วิธีการสัมภาษณ์พ่อแม่ มีหลากหลายวิธี มีการเสนอถึงขั้นให้พ่อแม่ร่วมสอบด้วยจะได้เป็นการพัฒนา ความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงลูกอย่างเหมาะสม

ขอเพียงว่าอย่าทำสิ่งใด ที่เป็นการกระทบต่อตัวเด็กทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา วิธีการเหล่านี้มันจะไม่กระทบต่อตัวเด็ก และเชื่อว่าระบบการติว การเร่งรัดการสอบ มันจะเบาบางลง

อย่างการจับฉลาก จับอย่างไรไม่ให้เป็นการทำร้ายเด็ก

การจับฉลากเป็นหลักปฏิบัติอยู่แล้วในทุกๆ โรงเรียนของภาครัฐ การจับฉลากจะมี 2 แนว เด็กจับ กับพ่อแม่จับ ถ้าเด็กจับจะต้องรู้สึกแย่มาก ให้เป็นพ่อแม่จับดีกว่า เพราะการจับฉลากมันชัดเจนที่ความเท่าเทียมกัน

พ่อแม่จะทำอย่างไร ในเมื่อคุณภาพของแต่โรงเรียนยังไม่เท่ากัน

เป็นปัญหาหลักของตอนนี้เลย เพราะทุกคนก็อยากให้ลูกอยู่ในโรงเรียนที่ดี ต้องมาย้อนดูในภาพใหญ่ มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องพัฒนาและให้ความใส่ใจในเรื่องมาตรฐานอย่างแท้จริง ถ้าเกิดกรณีจับฉลากเข้าไป โรงเรียนก็จะได้รับเด็กหลายๆ ประเภท สังคมในโรงเรียนก็จะมีพ่อแม่หลายระดับ

ต้องยอมรับว่าโรงเรียนที่จัดสอบ พ่อแม่กลุ่มที่มีโอกาสคือพ่อแม่ที่พาลูกไปติว จ้างครูมาสอนที่บ้าน มีเงินที่จะไปซื้อแบบฝึกหัด พ่อแม่กลุ่มนี้ก็จะได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบของการสอบ โอกาสของการที่ลูกจะได้เข้าเรียนจึงเยอะกว่า

แต่ถ้าเราใช้วิธีอื่นสังคมก็จะหลากหลายขึ้น จะว่าไปมันก็ลดความเหลื่อมล้ำไประดับหนึ่ง พอมาตรฐานโรงเรียนเป็นเช่นนี้เราก็จะดิ้นรนให้โรงเรียนที่ลูกเราอยู่มีมาตรฐานที่ดี ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นส่วนสำคัญต้องมีส่วนร่วม เป็นกำลังสำคัญที่จะเข้ามาพัฒนาโรงเรียน นอกเหนือจากจะเชื่อว่าเอาลูกมาส่งไว้แล้วหมดหน้าที่

สมมุติถ้าคุณพ่อเป็นพนักงานแบงก์ ส่งลูกมาเรียนโรงเรียนเดียวกับลูกคนขายกล้วยแขก ด้วยวิธีการจับฉลาก มันจะเกิดข้อดีมาก ต้องถามกลับว่าเรามองมาตรฐานของชีวิตจากอะไร ถ้ามองว่าโอกาสของการพัฒนาเด็กคือการเรียนรู้ เด็กก็จะได้โอกาสตรงนี้ในการเรียนรู้ เขาจะมีเพื่อนต่างสถานะและเกิดความเข้าใจกัน ความเหลื่อมล้ำจะลดลง

ถ้าโรงเรียนดีคัดเด็กดี ครูดี ผู้ปกครองดี ดีไปหมด มันก็ยิ่งห่างกันไป มาตรฐานที่เรียกร้องมันก็จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ในขณะพ่อแม่ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโรงเรียน จะปล่อยให้ลูกอยู่ในโรงเรียนที่ห้องน้ำสกปรกเหรอ หรือการบริหารที่ด้อยคุณภาพก็ไม่ได้ เขาก็จะต้องหาวิธีที่จะพัฒนาโรงเรียนที่ลูกอยู่ โรงเรียนกับบ้านร่วมมือกัน ดังนั้น การกระจายศักยภาพของพ่อแม่สู่โรงเรียนมันก็จะเกิดขึ้น แล้วทุกโรงเรียนก็จะถูกพัฒนาไปสู่มาตรฐานที่ต้องการ

มันน่าจะถึงเวลาแล้วล่ะค่ะ ที่เราจะไม่แยกเอาคนที่มีศักยภาพมีความสามารถไปรวมกันไว้ที่โรงเรียนที่มีคุณภาพ แล้วก็ทิ้งห่าง จากอีกกลุ่มหนึ่งไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันเราเรียกร้องคุณภาพว่าไม่มีโรงเรียนดีๆ ใกล้บ้าน ถึงเวลาแล้วที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงแล้วก็ลงมือทำกันทั้งประเทศ

นอกจากพ่อแม่และสถานศึกษา ครูต้องปรับตัวอย่างไร

เวลาที่เราลงพื้นที่ไปทำงานกับคุณครู จะพบว่ามีเสียงเรียกร้องจากครูจำนวนมาก ว่าสิ่งที่เขาเรียนมาโดยตรง และการเรียนการสอนตามแนวทางหลักสูตรปฐมวัยไม่ได้ใช้ เขาอยากสอนเด็กแบบถูกต้อง คือส่งเสริมพัฒนาร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ให้เด็กมีพัฒนาการต่างๆ ตามวัย

ครูกลุ่มนี้ไม่สบายใจที่จะเร่งเรียนเขียนอ่าน เพราะเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันฝืนธรรมชาติของเด็ก บางครั้งเขาก็เครียดเพราะถูกกดดันจากความไม่เข้าใจของพ่อแม่ผู้ปกครอง

ประการต่อมา คือผู้บริหารไม่เข้าใจในการพัฒนาเด็ก คิดว่าเด็กปฐมวัยที่เก่งคือการอ่านออกเขียนได้ สอบเข้า ป.1 ได้ มันก็จะกดดันกันต่อที่ระดับชั้นเรียนอนุบาล ครูก็ไม่สามารถทำสิ่งที่อยากจะทำได้ เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้จะไปตอบสนองความต้องการของครูเสียด้วยซ้ำ ยกเว้นว่าครูคนนั้นอาจจะรู้สึกว่าเมื่อติวเด็กแล้วเด็กสอบเข้าได้ เขาจะได้รับความชอบความถูกใจจากผู้บริหาร

แล้วบทลงโทษสำหรับโรงเรียนที่ยังจัดการสอบและพ่อแม่ที่ให้เงินบำรุงพิเศษยังมีอยู่หรือไม่

คณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กเล็ก พิจารณากันหลายรอบ อยากให้ พ.ร.บ. เป็น พ.ร.บ. ที่ส่งเสริมและไม่สร้างแรงกดดัน ในขณะที่ยังต้องอาศัยความเข้าใจที่ตรงกันก่อน จึงไม่ได้ระบุโทษเอาไว้ แต่ใน พ.ร.บ. กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย และมีสำนักงานกลางทำหน้าที่ขับเคลื่อนงานปฐมวัย ควรเป็นผู้กำหนด

หลักเกณฑ์เรื่องการยุติการสอบกรณีที่โรงเรียนไม่ปฏิบัติ จะต้องทำอย่างไรต่อไป ยกให้เป็นภารกิจของคณะกรรมการชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นมา

‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข

ถ้าไม่กำหนดบทลงโทษ จะไปต่ออย่างไร

พ่อแม่ที่พาลูกไปสอบอาจจะไม่เข้าใจ เป็นเพราะเราต่างหากที่ไม่ได้สร้างความเข้าใจให้มากพอ ถ้าโรงเรียนไม่จัดสอบแล้วมันควรแก้ที่ต้นทางอย่างพ่อแม่ดีกว่า คือไปแก้ที่ความรู้ ความเข้าใจ เพราะโรงเรียนก็เข้าใจนะแต่ไม่ปฏิบัติมากกว่า

แล้วจะทำอย่างไร คณะกรรมการชุดใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. อาจจะต้องให้มีบทลงโทษทางสังคมเพิ่มขึ้นด้วย เช่น นอกจากแจ้งกลับไปที่ต้นสังกัดให้พิจารณามาตรฐานคุณภาพ อาจจะประกาศให้สังคมรับรู้ว่าสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ควรจะเป็นสำหรับเด็ก เป็นการกดดันทางสังคมอย่างหนึ่ง

อีกอย่างคือเรื่องการกำหนดมาตรฐานคุณภาพของสถานศึกษา ที่เขาจะได้รับการประเมิน ขณะนี้มาตรฐานสถานศึกษาปฐมวัยกำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาพร้อมๆ กันกับที่ พ.ร.บ. จะได้รับพิจารณา ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ของสังคม

อาจจะมีคนที่เสียประโยชน์บ้าง แต่หากเราเอาเด็กเป็นตัวตั้ง เด็กปฐมวัยเป็นวัยเดียวที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองได้ พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู นักวิชาการ ผู้ใหญ่จะต้องโอบอุ้มและปกป้องคุ้มครองสิทธิของพวกเขา ให้พวกเขาได้ใช้ช่วงปฐมวัยไปกับการสร้างรากฐานชีวิตที่มีคุณภาพ

ตอนนี้ พ.ร.บ. อยู่ขั้นตอนไหน มีผลบังคับใช้ได้เมื่อไร

(ตอนนี้รอเข้า ครม.) ถ้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน ก็จะถึงขั้นตอนนำสู่การปฏิบัติ เกิดผลทันที แต่หลายเรื่องอาจต้องใช้ระยะเวลา แต่หลายเรื่องก็ทำได้เลย เช่น การที่เราจะให้ความรู้ ความเข้าใจกับพ่อแม่ ก็เริ่มทำได้เลย การที่เราจะเชื่อมประสานสำหรับหน่วยงานต่างๆ เพื่อดูแลเรื่องต่างๆ เช่น มาตรฐานกลาง หลักสูตร ขณะนี้ก็ผลักดันอยู่แล้ว แต่ถ้ามี พ.ร.บ. ช่วยก็จะเป็นตัวหนุนเสริม กับเรื่องของท้องถิ่น ที่จะขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ตอนนี้ทุกภาคส่วนพร้อมขยับ ถ้ามี พ.ร.บ. เป็นตัวหนุนเสริมหลัก การขับเคลื่อนเรื่องปฐมวัยก็จะทำได้ดี เพราะทุกคนที่ทำงานด้านปฐมวัยรู้ดีว่ามันวิกฤติจริงๆ แต่มันติดที่กลไกของการทำงานบูรณาการเท่านั้นเอง

แล้วเรื่องอะไรบ้างที่ต้องใช้เวลา

เรื่องของกลไกการทำงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การมีสำนักงานกลางที่เป็นหน่วยที่ทำให้การขับเคลื่อนแบบบูรณาการ

ส่วนการยกเลิกการสอบเข้า ป.1 เป็นเรื่องที่ต้องรอจังหวะของการรับสมัครปีการศึกษาต่อไป เพราะตอนนี้กระแสมันก็ออกมา และสถาบันการศึกษาชั้นนำเริ่มพิจารณากระบวนการสอบของตัวเองใหม่ เช่น โรงเรียนสาธิตราชภัฏสวนดุสิต เริ่มพูดคุยกับเด็ก และมีการให้พ่อแม่จับฉลากบ้าง หรือ โรงเรียนสาธิตประสานมิตร ปกติจะมี pretest ช่วงปลายปี แต่สมาคมศิษย์เก่าฯ ก็ได้ประกาศระงับการสอบแล้ว เดี๋ยวเราไปรอดูผลอีกทีว่าตอนสอบจริง ผลจะออกมาเป็นอย่างไร

ถ้าเป็นเรื่อง ป.1 อาจจะต้องให้เวลากับสถาบันการศึกษานิดนึง ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนสำหรับปีการศึกษาหน้าถ้าเป็นไปได้ แต่ใครทำได้ก่อนก็ทำเลย โรงเรียนที่ยังไม่พร้อมก็ขยับไปอีก ปีการศึกษาต่อไป

เด็กที่ไม่ต้องสอบเข้า ป.1 กับ เด็กที่ผ่านการสอบเข้า ป.1 อย่างเข้มงวด เขาจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

เด็กที่เสียเวลาไปกับการเร่งรัดการเขียนอ่านเพื่อเข้า ป.1 ก็จะขาดโอกาสในการพัฒนาแบบรอบด้านที่จำเป็น เช่น ทักษะชีวิต การเรียนรู้อย่างมีความสุข ความสามารถในการคิดตัดสินใจ ภาวะผู้นำการทำงานร่วมกับคนอื่น เหล่านี้คือรากฐานที่สำคัญที่ก่อตัวตั้งแต่ปฐมวัย และเรื่องการเรียนวิชาการนั้นก็มีงานวิจัยชี้บอกมานานแล้วว่า ไม่เกิน ป.3 ก็เรียนทันกันหมดอยู่ดี

ถ้าเราให้เด็กเร่งเรียนเขียนอ่าน เขาจะเข้าใจว่าชีวิตของเขา ความสามารถของตัวเขา ความเก่งของเขา ขึ้นอยู่กับการเรียนแล้วก็การแข่งขันกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาที่เริ่มจากการชิงดีชิงเด่น การแพ้ชนะกันแบบนี้มันไม่ใช่การศึกษาที่เอื้อต่อกัน

1. เขาจะไม่มีความสุขในการเรียน ทัศนคติทางการเรียนก็จะไม่ดี การเรียนกลายสิ่งที่ยาก ไม่เชื่อมโยงกับชีวิต

2. เกิดภาวะความเครียด จากการเรียนที่เป็นระบบแข่งขัน และแพ้คัดออก

3. เด็กแข่งขันกัน เราอาจจะได้แชมป์ไม่กี่คน แต่เด็กที่แพ้ ที่บอกตัวเองว่าไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ตัวนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการพัฒนาองค์รวม

มนุษย์หัวโตข้างเดียวไม่ได้ สติปัญญาได้ก็เพียงบางส่วน แต่สิ่งที่หายไปคือความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ มันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ได้แต่การจดจำวิธีการทำ ทำตามแบบ แล้วก็การพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม มันก็เสียหายไปด้วย

ถามว่าคุณลักษณะแบบนี้ มันตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 ไหม โลกมันเปลี่ยนไป เราต้องการเด็กที่มีความสามารถหลายๆ แง่มุม ที่จะตอบโจทย์ในโลกที่มีความซับซ้อน โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เด็กที่ถูกเตรียมพร้อมอย่างมีความสุขและเข้าใจ เขาจะรู้สึกว่า มีพลังชีวิตที่จะเดินต่อไปข้างหน้า มีศักยภาพในการเรียนรู้ เพราะเขารักที่จะเรียนรู้ไปตลอดชีวิต

เด็กเกิดมาพร้อมกับความกระหายใคร่รู้อยู่แล้ว แต่เราจำกัดเขาอยู่แค่แบบฝึกกับแบบทดสอบ โลกใบนี้น่าเรียนรู้อีกเยอะแยะมากมาย

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ใหม่ในโลกใหม่คืออะไร ดังนั้นเขาต้องพร้อมที่จะปรับตัว พร้อมที่จะเป็นมนุษย์ มนุษย์จะต้องอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน เมื่อเด็กเติบโตอยู่กับความรักความผูกพัน มีความสุขกับพ่อแม่ ครอบครัว ได้ทำกิจกรรมที่พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก พัฒนาด้านภาษา ได้เล่นกับเพื่อน ในขณะที่เด็กเล่นเขาจะมีความสุข ได้แก้ปัญหา ประนีประนอม ฝึกภาษา รู้แพ้ชนะ รู้กติกา มีวินัย มันมีคุณสมบัติอีกมากมายที่เขาจะได้ทำ มันสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ มากกว่าการที่เอาเด็กไปไว้ในกรอบ ในกรงแคบๆ แล้วบอกว่านี่คือเด็กเก่งที่เราต้องการ

การฝึกเด็กแบบที่ผ่านมา เรากำลังฝึกเด็กให้เป็นพลเมืองที่ตกรุ่น เราจะต้องรีบเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โลกไม่ได้หยุดรอประเทศที่เอาแต่พูดแล้วไม่ลงมือทำ เด็กไม่เคยหยุดโตแม้แต่วันเดียว เราไม่พัฒนามัวแต่ประชุมไปประชุมมา ห้วงเวลาแรกเกิดถึง 8 ปีของเด็กมันไม่หยุดรอเรานะคะ เด็กโตทุกวัน และเวลาก็ไม่สามารถย้อนคืนมาได้

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยการสอบธิดา พิทักษ์สินสุขยกเลิกสอบเข้าป.1

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Character building
    Self-Management : สมรรถนะการจัดการตนเอง ปูทางเด็กสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)
How to get along with teenager
24 September 2018

ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ใครเล่น Instagram บ้าง??

ไม่สิ ต้องถามว่า ใครไม่เป็น Instagram บ้างน่าจะนับจำนวนได้ง่ายกว่า

เพราะปัจจุบัน Instagram เป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้กว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก มีไว้สำหรับแชร์รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ รวมถึง Instagram Stories, Live, IGTV (สำหรับแชร์วิดีโอที่ยาวขึ้น)

จากงานสำรวจของ Common Sense Media องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกาที่ทำงานด้านการศึกษาและครอบครัวระบุว่า Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นมากที่สุดเป็นอันดับสอง ร้อยละ 61 ของวัยรุ่นสหรัฐบอกว่าใช้แอพพลิเคชั่นนี้ และร้อยละ 22 บอกว่าใช้เป็นแอพพลิเคชั่นหลักในการสื่อสาร

วัยรุ่นใช้ Instagram เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือที่ประทับใจ แบ่งปันช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว สร้างชุมชนสนับสนุน และพบกับคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในความสนใจของพวกเขา

เหล่าพ่อแม่คงอดสงสัยไม่ได้ว่า IG มีดีอะไร ทำไมวัยรุ่นถึงหายใจเข้าออกเป็น IG นี่เป็น 5 คำถามยอดฮิตที่เหล่าพ่อแม่จะต้องสงสัยกับวัยรุ่นยุค Instagram

มีอะไรบ้างและคำตอบคืออะไร ไปดูกันเลย

1. ทำไมวัยรุ่นถึงชอบ Instagram

เพราะพวกเขาชอบเสพและสร้างสื่อ เพื่อแชร์และติดต่อกับสังคม Instagram เป็นช่องทางที่ง่ายและน่าสนใจ และที่สำคัญวัยรุ่นยังชอบความสามารถในการสร้าง ‘เรื่องราว หรือ Instagram story’ ที่หายไปหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง

2. Instagram มีกำหนดอายุขั้นต่ำหรือไม่

อายุขั้นต่ำของผู้สมัครคือไม่ต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ของเด็ก แต่เวลาสมัคร Instagram ไม่ได้ขอให้ผู้ใช้ระบุอายุ ทำให้เด็กหลายคนมีบัญชีเป็นของตัวเอง แต่ถ้าได้รับการแจ้งให้ระบุตัวตน หากไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีอายุเกิน 13 ปี Instagram จะลบบัญชีทันที

3. มีเครื่องมือที่จะช่วย ‘จำกัดเวลา’ ในการใช้ Instagram หรือไม่

Instagram มีโปรแกรมที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูได้ว่าในแต่ละวัน เราใช้เวลากับ Instagram ไปเท่าไหร่ และสามารถตั้งเวลาในการใช้งานแต่ละครั้ง เมื่อครบเวลาที่กำหนด จะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้

วิธีการตั้งค่าคือ เข้าไปใน ‘กิจกรรมของคุณ หรือ Your Activities’ บน Instagram จากนั้นให้เลือก ‘DAILY REMINDER’ แล้วตั้งค่าเวลาที่คุณจะใช้ Instagram ในทุกวัน หลังจากนั้น ถ้าคุณใช้ Instagram ครบจำนวนเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน จะมีการแจ้งเตือน

4. ความเสี่ยงในการใช้ Instagram คืออะไร

แม้ว่าจะไม่มีอะไรเป็นอันตรายเกี่ยวกับ Instagram แต่สิ่งสำคัญที่พ่อแม่กังวลคือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระหว่างเพื่อนๆ ภาพถ่ายหรือวิดีโอที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของวัยรุ่น หรือเสพติดการใช้ Instagram มากเกินไป ซึ่งพ่อแม่สามารถใช้วิธีการจำกัดเวลาตามข้อที่ 3 หรือสอนให้วัยรุ่นใช้ Instagram อย่างเหมาะสมตามที่กล่าวมาทั้งหมด

5. โปรไฟล์ส่วนตัวควรเป็นส่วนตัวหรือไม่

เยาวชนควรตั้งค่าบัญชีส่วนตัว ให้เฉพาะผู้ติดตามที่ดูโพสต์เท่านั้น การตั้งค่าเป็นสาธารณะอาจเหมาะกับวัยรุ่นที่โตมากกว่า เพราะอาจเป็นประโยชน์ อย่างเช่น การระดมทุนเพื่อการกุศล การหากลุ่มเพื่อนที่มีความชอบหรืองานอดิเรกเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่ก็ควรให้คำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการโพสต์ที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัวและชื่อเสียงของพวกเขาได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น 

อ้างอิง:
wellbeing.instagram.com

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นโซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    DON’T WORRY ‘ไอจี’ ไม่ใช่วายร้าย

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    ทำไมพ่อกับแม่ถึงชอบแชร์เรื่องของหนู?

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21
Creative learning
21 September 2018

ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • เวทีแข่งขันทั่วไปมุ่งตัดสินความดีเลิศของเด็กในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะแจกรางวัลแล้วจบไป แต่เวทีนี้ไม่ทิ้งเด็กไว้กลางทางแต่จะโค้ชเด็กจนสุด  ให้ผลงานดีๆ หลายชิ้นพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงให้ได้
  • นอกจากความภูมิใจ สิ่งที่เด็กจะได้ตลอดทาง คือ อาวุุธต่างๆ ที่ติดตัวไป ทำให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งในอนาคต
  • นี่อาจจะเป็นโครงการสำหรับเด็กที่สนใจด้านไอที แต่เอาเข้าจริง ‘Intensive Course’ จากโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นี้ นำไปใช้ได้กับเด็กทุกสายได้จริงๆ

เราเคยเชื่อกันว่า เด็กไอคิวดีย่อมเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ นั่นคือความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายยุค แต่ถ้าเราลองถอยห่างออกมามองเด็กในฐานะของมนุษย์ องค์ประกอบของชีวิตนั้นมีอะไรมากมายกว่าแค่เรื่องของเนื้องาน แต่แวดล้อมไปด้วยเรื่องของพื้นที่ เวลา ความสัมพันธ์ของมนุษย์ แม้กระทั่งเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ล้วนต้องการความสามารถในการบริหารจัดการให้ลงตัว

ไอคิวจึงอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะช่วยให้เด็กอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้ ในศตวรรษปัจจุบันที่ทุกอย่างเชื่อมร้อยกันเป็นสหวิทยาการ เด็กเรียนเก่งแต่ไม่สามารถบริหารความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ ก็ยากที่จะอยู่รอด เด็กที่จัดเจนในสาขาวิชาที่ตนถนัด แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงผลงานกับโลกภายนอกได้ การจะอยู่ให้รอดก็ยาก

คำถามคือ แล้วคาแรคเตอร์แบบไหนที่จะทำให้เด็กอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้ในปัจจุบัน?

เพื่อหาคำตอบ…วันนี้ The Potential จึงขอชวนมาบุกค่าย โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ โครงการความร่วมมือระหว่างศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติหรือเนคเทค ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ที่แหวกกรอบโครงการประกวดไอทีเทคโนโลยีทั่วๆ ไปด้วยการไม่มุ่งตัดสินความผิด-ถูก ดี-ด้อย จากผลงานของเด็ก แต่ใช้ผลงานของเด็กเป็นทางผ่านเพื่อพัฒนาตัวเด็กให้เติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงและมีคาแรคเตอร์ที่จะอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 21

สร้างคาแรคเตอร์ให้เด็ก ผ่านการพัฒนาผลงาน

ท่ามกลางโครงการประกวดแข่งขันชิงรางวัลที่มีอยู่มากมายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งตัดสินความดีเลิศของเด็กในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะแจกรางวัลแล้วปิดโครงการ โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่เกิดขึ้นมาด้วยแนวคิดที่ต้องการสนับสนุนเยาวชนให้สานต่อผลงานประกวดไปสู่การนำไปใช้จริง ทั้งในระดับของการขยายผลเพื่อการกุศลและจำหน่ายเชิงพาณิชย์

กัลยา อุดมวิทิต

“กว่า 20 ปีที่ผ่านมาเนคเทคมีกิจกรรมการประกวดหลายรูปแบบ ซึ่งพวกเรามีคำถามมาตลอดว่า ประกวดเสร็จแล้วยังไงต่อ? แค่เด็กได้รางวัลแล้วจบหรือ? หลังจบการประกวดมันจะมีผลงานทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับรางวัล แต่เด็กยังมี passion หรือสิ่งที่อยากจะไปต่อ เนคเทค ธนาคารฯ และมูลนิธิฯ จึงคิดกันว่าเราไม่อยากให้เด็กจบแค่การประกวด ดังนั้นเราน่าจะทำโครงการต่อยอดหรือขยายผลจากการประกวดที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผลงานดีๆ หลายชิ้นพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงให้ได้” ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ เนคเทค เล่าถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบโครงการ

ทีมงานจึงออกแบบกระบวนการโครงการในรูปของการอบรมเชิงปฏิบัติการ เป็นค่ายที่ให้เด็กๆ เข้ามาร่วม มีวิทยากรมาให้ความรู้ เด็กๆ ได้นำผลงานตนเองมาฝึกปฏิบัติและพัฒนา มีทีมโค้ชคอยแนะนำเทคนิคและแนวทางการพัฒนาผลงาน และมีกรรมการคอยชี้แนะ ภายใต้เป้าหมายหลักคือ ให้เด็กๆ มีความรู้และทักษะในการพัฒนาผลงานไปสู่การใช้งานจริง ตลอดจนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในชีวิตจริง

“เรามุ่งพัฒนาเด็ก โดยยึดโปรเจ็คต์ของเด็กเป็นแก่นในกระบวนการทำงาน ขณะที่โปรเจ็คต์ขับเคลื่อนไป เด็กๆ ก็จะได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการทำงานนั้นๆ ไปโดยอัตโนมัติ” ดร.กัลยา กล่าว

สิรินทร อินทร์สวาท

“เรากำลังพัฒนาคนโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โครงการอื่นอย่าง start up เขามองที่ปลายทางของผลงานว่าจะต้องเวิร์คในเชิงธุรกิจ คือขายได้ แต่โครงการนี้เน้นกระบวนการพัฒนาตัวเด็ก เพราะเรามองว่าเด็กยังมีอนาคตอีกหลากหลาย ดังนั้นการสร้างเด็กต้องทำให้เขาสามารถต่อยอดชีวิตได้ดีขึ้น เป็น multiplier เป็นตัวคูณในอนาคตมากกว่าการมองว่าผลงานในวันนี้ต้องเสร็จ” สิรินทร อินทร์สวาท นักวิจัยนโยบาย ฝ่ายบริหารและสนับสนุนเทคโนโลยีฐาน เนคเทค เล่าถึงจุดประสงค์ของโครงการ

สิทธิชัย ชาติ

“นอกจากความรู้และทักษะในการพัฒนาผลงานแล้ว โครงการยังปลูกฝังทัศนคติและคุณลักษณะให้เด็กๆ ทำงานได้สำเร็จ และนึกถึงสังคมด้วย เช่น การรู้จักตนเอง การเข้าใจความแตกต่างภายในทีม การเห็นใจและอยากทำอะไรเพื่อผู้อื่น ผ่านกระบวนการเรียนรู้ในค่าย” สิทธิชัย ชาติ นักวิชาการ งานพัฒนาเยาวชนและเขตพื้นที่ด้านไอที ฝ่ายสนับสนุนการวิจัย เนคเทค และหัวหน้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ เสริม

และถึงวันนี้ที่โครงการดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 นอกจากผลงานมากมายหลายชิ้นที่ถูกพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงและจำหน่ายได้ สิ่งที่ทีมงานทุกคนได้ประจักษ์ก็คือ เด็กๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น มีคาแรคเตอร์ของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพียงเรื่องงาน แต่หมายรวมถึงชีวิต

และนี่คือ 10 คาแรคเตอร์ของเด็กโครงการต่อกล้าฯ ที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นคาแรคเตอร์ที่จะทำให้เด็กอยู่รอด และประสบความสำเร็จได้ในศตวรรษที่ 21

1. รู้ลึกและรู้รอบ

การจะพัฒนาผลงานไปสู่การใช้งานจริงได้นั้น อันดับแรก ตัวผลงานนั้นต้องมีคุณภาพและดีที่สุด ซึ่งการที่เด็กๆ จะสามารถพัฒนาผลงานไปถึงขั้นนั้นได้ จำเป็นต้องรู้ลึกในผลงานของตนเอง

“เด็กในโครงการมีคาแรคเตอร์แบบรู้ลึกค่ะ เพราะต้องปรับแก้ผลงานกันตลอด (หัวเราะ) ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ แม้จะคิดว่าทำมาสมบูรณ์แล้ว แต่ทีมโคชและกรรมการก็มองเห็นจุดที่พัฒนาต่อได้ และพยายามช่วยตั้งคำถามหรือกระตุ้นให้เขาเห็นมุมมองใหม่ในการปรับให้ดียิ่งขึ้นไปอีก จึงกลายเป็นว่าเด็กต้องรู้ลึกรู้จริง ไม่ได้รู้แค่ฉาบฉวย เด็กประกวดส่วนใหญ่จะรู้แค่เรื่องที่ทำประกวดและรู้เพราะว่าครูบอก แต่พอเด็กมาอยู่ค่ายกับเรา ครูช่วยอะไรมากไม่ได้ (ยิ้ม) ต้องช่วยเหลือตัวเอง มันเลยกลายเป็นทักษะที่เด็กต้องรู้ลึก ต้องค้น ต้องหา ต้องพยายามปรับปรุงงานของเขาทุกด้านให้ดีในทุกมุม” ดร.กัลยา เล่า

นอกจากการรู้ให้ลึกแล้ว การพัฒนาผลงานไปสู่การใช้งานจริงในสังคมได้นั้น ไอเดียเจ๋งหรือผลงานดีอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องประกอบรวมด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ อีกมาก ทั้งการออกแบบ การโฆษณา รวมไปถึงการตลาด

เพื่อส่งให้เด็กนำพาผลงานไปถึงจุดนั้นได้ ทีมงานจึงออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เด็กในรูปแบบค่าย 3 ระยะ และ 1 กิจกรรม ซึ่งรวมแล้วกินระยะเวลาร่วมปี ได้แก่

ค่ายแรก: เปิดรับเด็กจำนวน 30 ทีม ให้ความรู้เรื่องการพัฒนาผลงานบนฐานผู้ใช้จริง การบริหารจัดการโครงการ การทำการตลาด และการสร้างแบรนด์ให้ผลงานของตัวเอง โดยวันสุดท้ายจะให้เด็กนำเสนอแผนงานแก่คณะกรรมการ และทำการคัดเลือกเหลือ 15 ทีม

ค่ายที่ 2: ให้ความรู้เรื่อง User Interface (UI) และ User Experience (UX) ที่ว่าด้วยการออกแบบหน้าจอหรือรูปลักษณ์ของผลงานให้ตรงกับประสบการณ์ของผู้ใช้ พ่วงด้วยเรื่องการตลาด

ค่ายที่ 3: เปิดคลินิกให้คำแนะนำเด็กในการพัฒนาผลงาน พร้อมให้ความรู้เรื่องการประชาสัมพันธ์การตลาด และเรื่องสิทธิบัตร

หลังจากนี้ทีมโค้ชจะลงไปเยี่ยมเด็กๆ เพื่อโคชเป็นรายทีม แล้วต่อด้วย กิจกรรมนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ: เป็นการจัดงานออกบูธเผยแพร่ผลงานของเด็กๆ โดยเปิดให้ผู้สนใจและผู้ประกอบการจริงเข้ามาชมงาน เปิดโอกาสให้ผลงานของเด็กได้ต่อยอดสู่โลกธุรกิจต่อไป

เนื้อหาที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้จากค่ายทั้งหมด จะเป็นตัวช่วยพัฒนาให้มีคาแรคเตอร์แบบรู้รอบในขอบเขตของผลงานตนเองอีกทางหนึ่ง

ศิริพร ปานสวัสดิ์

“มันเหมือนกับการติดอาวุธให้เด็กค่ะ นอกจากเรื่องผลงานแล้ว ถ้าถามเรื่องตลาด เรื่อง PR หรือเรื่องผู้ใช้ เราเชื่อว่าเขาตอบได้ เพราะสิ่งที่เราให้ค่อนข้างรอบด้าน” ศิริพร ปานสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อาวุโส งานประชาสัมพันธ์ ฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศและประชาสัมพันธ์ เนคเทค สรุปความ

2. ใฝ่รู้

สืบเนื่องจากกระบวนการค่ายข้างต้น บวกด้วยกระบวนการให้คำแนะนำในการปรับปรุงผลงานจากทีมโคช ซึ่งหลายครั้งที่ขั้นตอนหรืออุปกรณ์ที่โคชแนะนำนั้น อยู่ในขั้นสูงเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ จึงจำเป็นต้องกลับไปค้นคว้าหาความรู้ จนหลายๆ คนเกิดคาแรคเตอร์ใฝ่รู้ไปโดยปริยาย

ศรินทร์ วัชรบุศราคำ

“น้องมัธยมที่มาทางสายอิเล็กทรอนิกส์ พอทีมโค้ชแนะนำว่าให้กลับไปปรับใช้อุปกรณ์ตัวนั้นตัวนี้ น้องก็จะมึนๆ (หัวเราะ) มันคืออะไรหรือพี่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างอุปกรณ์วัดค่าทางอุตสาหกรรมซึ่งพี่แนะนำของที่ดีที่สุดไป น้องก็กลับไปเสิร์ชว่าสิ่งที่พี่พูดมันคืออะไร มันทำอะไรได้ และผมต้องการถึงระดับนั้นไหม ถ้าไม่น้องก็จะกลับมาบอกว่า ผมแค่อยากวัดอุณหภูมิ ตัวนี้มันวัดได้ตั้งหลายตัว แพงไป เยอะไป เกินจากสิ่งที่ทำไป มันคือการใฝ่รู้และวิเคราะห์เอง รวมไปถึงการใฝ่รู้ในปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อย่างเช่นกลุ่มที่ทำเรื่องเกี่ยวกับอาหารหรือยา ก็จำเป็นต้องไปศึกษาการขอ อย. ค่ะ” ศรินทร์ วัชรบุศราคำ นักวิจัย ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีภาพ หน่วยวิจัยวิทยาการสื่อสารของมนุษย์และคอมพิวเตอร์ เนคเทค เล่าอย่างอารมณ์ดี

3. บริหารจัดการชีวิตได้

ด้วยระยะเวลาของกระบวนการค่ายที่ยาวเหยียด รวมทั้งยังมีการบ้านจากทีมโค้ชที่ต้องส่งตามกำหนดเวลา เด็กๆ ส่วนใหญ่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา การต้องพัฒนาผลงานในโครงการจึงไม่ต่างอะไรกับงานหนักที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ด้วยกระบวนการเช่นนี้สร้างทักษะการบริหารจัดการเวลาและชีวิตไปโดยอัตโนมัติ

“เนื่องจากค่ายเรามีถึง 3 ค่าย มีการนำเสนอไฟนอล และยังมีทีมโค้ชลงไปติดตามงานในพื้นที่อีก สำหรับเด็กที่ยังต้องอยู่ในโรงเรียนก็ถือว่าหนักนะคะ แต่สิ่งที่เขาได้ก็คือการฝึกจัดการตัวเอง เด็กๆ จะได้ทักษะการจัดการเวลา เวลามีจำกัด จะทำยังไงให้ทัน และอีกมุมหนึ่งคือ เงื่อนไขแบบนี้ก็ช่วยให้เด็กดึงศักยภาพที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ออกมาใช้ได้” ดร.กัลยา กล่าว

“เราจะให้เครื่องมือที่เป็นปฏิทินวางแผนงานไป ให้น้องไปแบ่งว่าใน 1 วัน 1 สัปดาห์จะทำอะไรบ้าง เพราะเราจะให้น้องกำหนดเป้าตลอด หนึ่งเดือนผ่านไปอะไรจะสำเร็จ พี่ๆ ลงไปติดตามจะได้เห็นอะไร คือถ้าไม่มีเป้าน้องจะเรื่อยเปื่อย แล้วมันจะไม่ได้อะไร น้องจะจัดการยังไงก็ขึ้นอยู่กับเขา มันคือการจัดการของเขา” ศรินทร์ อธิบาย

4. ช่ำชองกระบวนการวิทยาศาสตร์

เพราะโครงการต่อกล้าฯ คือค่ายของนักพัฒนาด้านนวัตกรรมและไอที ดังนั้นการที่น้องๆ ถูกฝึกฝนเรื่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องปกติ

“เราอัดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้น้องแน่นมากค่ะ น้องจะถูกย้ำเสมอให้ตั้งคำถาม วางแผน หาข้อมูล ลองทำ และปรับปรุง ขั้นตอนการทดลองจะดีไซน์ยังไง ทำซ้ำแล้วต้องได้ผลเหมือนเดิม เพราะมันคือความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเวลาน้องไปนำเสนองาน จะได้ไม่มีใครสงสัยเรื่องกระบวนการได้มาของผลงาน นี่คือกระบวนการที่น้องทุกคนจะได้ไปจากโครงการ” ศรินทร์ แจงเหตุผล

ถึงตรงนี้หลายคนอาจแย้งว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์คือปัจจัยสำคัญสำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่มันอาจไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป หรือเด็กๆ ในค่ายก็อาจไม่ได้คิดว่าโตไปจะเป็นนักวิทยาศาสตร์กันทั้งหมด

“น้องสามารถนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปทำโครงการอะไรในชีวิตได้มากมาย แม้แค่เรื่องจะปลูกต้นไม้หลังบ้านก็ตาม เขาก็ต้องวางแผนก่อน ศึกษาข้อมูลก่อน ทดลองทำกระถางเล็กแล้วค่อยปลูกจริง ทำจริงเสร็จก็ปรับปรุง มันจะช่วยวางระบบความคิดให้เป็นระเบียบและเห็นขั้นตอนไม่ว่าจะทำสิ่งใดๆ ในชีวิต ชีวิตเขาจะง่ายขึ้น ยกตัวอย่างน้องที่จบจากค่ายไป กลับมาบอกว่าเขาไปเสนอธีสิสแล้วผ่านง่ายมาก มันก็คือกระบวนการคิดแบบเดียวกัน” ศรินทร์ ยกตัวอย่าง

5. กล้านำเสนอ

ปัญหาหนึ่งของเด็กไอที รวมไปถึงเด็กในสายวิชาชีพอื่นๆ ก็คือหลายคนเก่ง แต่ไม่สามารถนำเสนอหรืออธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่สำหรับโครงการต่อกล้าฯ ด้วยกระบวนการที่เด็กต้องนำเสนอผลงานทั้งต่อกรรมการและทีมโค้ชตลอดระยะเวลาร่วมปี นั่นคือการฝึกให้เด็กกล้าแสดงออก และมีทักษะการนำเสนอที่ดี ถือเป็นคาแรคเตอร์สำคัญในการประกอบอาชีพหรือแม้กระทั่งประกอบธุรกิจในอนาคต

“น้องหลายคนที่เราเคยเจอตอนประกวดงานอื่นๆ ที่เขาไม่กล้าพูดเลย ถามอะไรก็ไม่ตอบ จนกระทั่งมาเข้าโครงการและอยู่กันไปจนสุดทาง เราพบว่าเขาเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งเลย จากเด็กที่ไม่กล้าคุยกับคนอื่น กลายเป็นคนพูดเก่ง ชวนคนอื่นคุยได้ นำเสนอผลงานได้ ขึ้นเวทีโต้ตอบกับกรรมการได้ ให้สัมภาษณ์ได้ ซึ่งเด็กที่เปลี่ยนได้แบบนี้มีเยอะมากในค่าย” ศิริพร เล่าอย่างมีความสุข

6. อดทน มีภูมิคุ้มกัน

ด้วยเนื้อหาความรู้จากค่ายที่มากมาย ภาระงานที่ต้องทำให้สำเร็จ บวกกับคำชี้แนะแฝงแรงกระตุ้นจากทั้งกรรมการและทีมโค้ช ทำให้แต่ละปีมีบ้างที่น้องๆ ต้องเสียน้ำตา

“ถ้าน้องจะเป็นผู้ประกอบการ น้องต้องเรียนทุกวิชาที่ค่ายสอนไปอีกอย่างน้อย 10 ปีถึงจะจบ แต่เราช่วยบีบอัดระยะเวลา 10 ปีนั้นให้เหลือแค่ไม่ถึงปี รวมถึงการนำเสนอต่อหน้ากรรมการร่วม 20 คน ถ้าใครไม่ได้มาเจอกับตัวเองจะไม่รู้เลยค่ะว่ามันกดดันมาก จึงไม่แปลกที่จะเห็นเด็กนำเสนอเสร็จแล้วออกไปร้องไห้นอกห้อง” ศิริพร เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดเป็นประจำทุกปี

แต่นั่นเองคือการจำลองโลกแห่งความจริงมาให้เด็กๆ ได้สัมผัส ให้เกิดภูมิคุ้มกัน อดทนต่อคำถาม คำวิจารณ์ หรือการปฏิเสธผลงานได้ และมากกว่านั้นคือการนำคำวิจารณ์กลับไปปรับปรุงและพัฒนาตัวเองและผลงานให้ดีขึ้น

“ในค่ายเด็กจะโดนทั้งหมัดฮุคหมัดแย็บนะคะ สิ่งที่เด็กได้คือความอดทน เด็กหลายคนอดทนกว่าก่อนมาค่ายเยอะมาก แรกๆ เด็กก็ของขึ้นเหมือนกันนะเวลาโดนกรรมการซัดไปหลายหมัด มีโมโห มีชักสีหน้าเล็กๆ ถอนหายใจ ส่ายหน้า แต่พอผ่านค่ายไปเรื่อยๆ เขาจะเริ่มเก็บอารมณ์เป็น ไม่โวยวายหรือร้องไห้ นั่นคืออีคิว” ศรินทร์ เล่าต่อ

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะอัดเด็กอย่างเดียวนะคะ พอภูมิคุ้มกันเด็กอ่อนแอเราก็จะมีหน่วยพยาบาลเข้าไปช่วยดูแล (ยิ้ม) ทั้งโคชทั้งพี่ TA จะเกาะไปกับเด็ก คอยคุยคอยให้กำลังใจคอยให้แนวทาง” ดร.กัลยา เสริม

“กว่าภูมิคุ้มกันจะเกิดได้ มันต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นและเราไม่ได้ฉีดเข็มเดียวแล้วจบ ใน 1 ปีที่เด็กอยู่กับเรา เราไม่ได้ปล่อยให้เขาต้องไปเผชิญปัญหาตามลำพัง เราให้โจทย์ไปแล้วเรียกกลับมา จากค่ายแรกสู่ค่ายสองสู่ค่ายสาม อยู่ด้วยกันไปจนจบโครงการ” ศิริพร เสริม

“รวมถึงช่วงลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาผลงานด้วย ทีมโค้ชที่ไป นอกจากจะไปช่วยตรวจเช็ค ตรวจสอบ ทดลองใช้ ปรับแก้ เราก็ไม่ทิ้งเรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันนะครับ เพราะเราจะไปเจอกับสภาพแวดล้อมการทำผลงานจริงที่น้องๆ อยู่ กับปัญหาที่มี มากบ้าง น้อยบ้าง ดังนั้น กำลังใจ และแรงใจจะเป็นตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันอีกทางครับ เราทำกันหลากหลายหน้าที่มากครับ” (หัวเราะ) สิทธิชัย เล่าอีกมุม

7. ใจสู้

การเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ทิ้งไม่ได้ ไหนจะวิชาความรู้ต่างๆ ในค่ายที่ต้องเรียนรู้ และไหนจะต้องพัฒนาปรับปรุงผลงานตามการบ้านที่ทีมโค้ชให้ น้องๆ จึงถูกปลูกฝังเรื่องความใจสู้ไปโดยปริยาย

“คาแรคเตอร์หนึ่งที่เห็นชัดมากคือ เด็กสู้สิ่งยาก ด้วยเงื่อนไขของโครงการที่เด็กต้องมีความรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลาด ผู้ใช้ และไหนจะเงื่อนไขของตัวเด็กเอง ทั้งเรื่องเรียนเรื่องส่วนตัว แต่เด็กต้องผ่านมันไปให้ได้ เงื่อนไขเหล่านี้มันทำให้เด็กพยายาม สู้สิ่งยาก ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่หาได้ยากในเด็กสมัยใหม่” สิรินทร อธิบาย

“พวกเราจะท้าทายน้องตลอดเวลา ให้ปรับปรุงพัฒนาผลงานต่อไปอีก ทำมาแบบนี้หรือ…ต้องทำได้อีกๆๆๆ อย่างมาค่าย ให้โจทย์ไปตอนกลางคืน รุ่งเช้าน้องก็ทำงานมาส่งได้ เห็นได้ชัดว่าน้องพยายามที่จะ fighting สู้! และ finding ค้นหาแล้วมาตอบเราได้” ศิริพร กล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวเด็กๆ

8. ยอมรับความต่าง & รู้จักทำงานเป็นทีม

เพราะไม่มีใครที่รู้ไปหมดทุกเรื่อง การพัฒนานวัตกรรมจึงต้องอาศัยทีมเวิร์คที่มีความหลากหลาย ซึ่งการทำงานเป็นทีมนี่เองที่เด็กๆ ได้สัมผัสจากโครงการอย่างเต็มที่ ด้วยขอบเขตของงานที่มุ่งเป้าไปสู่การใช้งานจริง เทคนิคทางเขียนโปรแกรมหรือการสร้างกลไกทางช่างจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องผสมผสานศาสตร์ของการออกแบบ การเก็บบันทึกข้อมูล การประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ ที่จำเป็นอีกมากมาย

ประสบการณ์นี้สอนให้เด็กๆ รู้จักการฟอร์มทีมที่มีความหลากหลายขึ้นมา หลายทีมต้องปรับทีมกันกลางโครงการ ด้วยการดึงเพื่อนที่มีความสามารถในด้านที่ทีมขาดอยู่เข้ามาร่วมแรงร่วมใจกัน นี่เองคือการฝึกการทำงานแบบทีมเวิร์คไปในตัว

“คาแรคเตอร์ปกติของเด็กเก่งคือฉันอยากทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ คือคนเก่งส่วนใหญ่จะชอบทำงานคนเดียว แต่พอมาอยู่ในค่ายเขาเริ่มรู้ว่ามันทำไม่ได้หรอก การเอาคนอื่นเข้ามาช่วยด้วยมันทำให้พลังเขาเยอะขึ้น ซึ่งโครงการปีหลังๆ มานี้เราเริ่มเห็นปรากฏการณ์ของน้องหลายๆ ทีม คือ แต่ละทีมมีขนาดใหญ่ขึ้น และสมาชิกในทีมมีความถนัดที่แตกต่างกัน มีการทำงานร่วมกัน รู้จักแบ่งงาน แสดงว่าน้องเข้าใจแล้วว่าในทีมต้องมีการผสมผสาน มีความถนัดที่หลากหลาย หลายทีมยอมไปหาเด็กที่วาดรูปเก่งมาเข้าทีม จากที่แต่เดิมเด็กคำนวณจะไม่คุยกับสายศิลปะ แต่เขายอมเพราะเห็นได้ว่าพอรวมกันแล้วการทำงานมันดีขึ้น” สิรินทร แบ่งปันประสบการณ์

9. รู้จักสร้างเครือข่าย

สืบเนื่องจากการทำงานเป็นทีมข้างต้น สำหรับเด็กๆ บางกลุ่มที่ยังขาดทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาผลงาน แต่ไม่มีการปรับทีมหรือดึงเพื่อนมาช่วย ทีมโคช รวมถึงพี่ TA (Teacher Assistant) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในโครงการรุ่นก่อนๆ จะช่วยเชื่อมเครือข่ายให้ ด้วยการดึงเด็กจากทีมอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทีมดังกล่าวขาด มาช่วยแนะนำและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองระหว่างเด็ก

“ช่วงต้นโครงการเด็กจะอยู่เป็นกลุ่มก้อนของตัวเอง ทีมโค้ชซึ่งจะรู้ความเป็นมาของทุกทีมจะเห็นแล้วว่า ถ้าทีมนี้ได้สมาชิกหนึ่งจากทีมนั้นมาช่วยแนะนำมันจะทำให้ผลงานเขาเร็วขึ้น เราจึงพยายามทำให้เด็กๆ ต่างทีมมีโอกาสได้คุยหรือแชร์กัน ตรงนี้ไม่รู้หรือ…ไปเรียกน้องทีมนั้นมาถามสิ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กไม่หวงความรู้ ระหว่างที่คุณไปสอนเขาคุณแบ่งปัน และคุณก็ได้ความรู้หรือมุมมองใหม่ๆ กลับมาด้วย ต่างคนต่างก็ได้ประโยชน์เพราะได้คุยกัน” ศรินทร์ เล่าบรรยากาศ

“มันจึงเกิดเป็นเครือข่ายของเด็กๆ นอกจากเครือข่ายในโรงเรียน เขาก็ได้ทำงานร่วมกับทีมจากโรงเรียนอื่น เราเห็นเด็กกล้าที่จะขยับขยายตัวเองออกไปเป็นเครือข่ายมากขึ้น” สิรินทร เสริม

และไม่เพียงเครือข่ายระหว่างเพื่อนรุ่นเดียวกันเท่านั้น แต่ทีมงานยังพยายามสร้างเครือข่ายในแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ที่จะคอยช่วยเหลือกันนับแต่ในค่าย ไปจนกระทั่งจบค่าย ออกสู่โลกภายนอก

“ความเป็นเครือข่ายคือสิ่งที่เราอยากเห็นมื่อเด็กจบจากเราไปแล้ว เพื่อนๆ หรือรุ่นพี่ หรือแม้กระทั่งโค้ชเอง ก็ยังเป็นเครือข่ายที่สามารถเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ ให้เด็กตระหนักว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ เขามีเพื่อนมีโคชมีทีมงานที่จะสนับสนุนกันและกันอยู่ และเครือข่ายนี้ก็อาจจะช่วยกันสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้แก่สังคมได้” ดร.กัลยา ยิ้มท้ายประโยค

10. เป็นคนเก่งและเป็นตัวคูณให้สังคม

ด้วยการอัดแน่นวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ และด้วยกระบวนการค่ายที่ฝึกเด็กให้มีประสบการณ์ในการทำงานจริงอย่างเข้มข้น ทำให้เด็กโครงการต่อกล้าฯ ‘พร้อม’ กว่าเด็กคนอื่นๆ ในโลกของการแข่งขัน

“กระบวนการทั้งหมดในโครงการคือประสบการณ์ที่จะติดตัวไป เราไม่ได้โฟกัสแค่ผลงานในวันนี้ของน้อง แต่เราคาดหวังกับผลงานชิ้นที่ 2 ชิ้นที่ 3 หรือชิ้นต่อๆ ไปหลังออกจากโครงการไปแล้ว เชื่อมั่นได้เลยว่ามาตรฐานของเขาอยู่ในระดับสูงแน่นอน” ศรินทร์ กล่าวอย่างมั่นใจ

“คุณสมบัติหรือคาแรคเตอร์ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเด็กเอง เราไม่ได้สอนหรือสั่งว่าคุณต้องมีคุณสมบัติแบบนี้ แต่มันเกิดจากการที่เด็กได้ไปดำเนินการเอง ไปลงมือทำเอง ไปเจอความบีบคั้นเอง เขากำลังสร้างตัวเขาด้วยตัวเขาเอง” ดร.กัลยา เสริม

ซึ่งจะดีมากหากเราสามารถพัฒนาน้องๆ เหล่านี้ให้เป็นวิทยากรตัวคูณให้แก่สังคมภายนอกได้อีกต่อหนึ่ง

“เราหวังว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นเด็กคุณภาพ และเป็นตัวคูณในการสร้าง ขยาย หรือส่งต่อสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ให้เพื่อน ให้รุ่นน้อง หรือเขาโตไป ก็ส่งต่อให้ลูกเขา หรือคนในสังคมได้ และถ้ามีตัวคูณแบบนี้เยอะๆ ประเทศไทยน่าจะดีขึ้น” ความคาดหวังของ ดร.กัลยา

สร้างเด็กแบบต่อกล้า (เคล็ดไม่ลับฉบับทีมโค้ช)

การสร้างเด็กผ่านกระบวนการค่ายนั้น ฟันเฟืองที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ ก็คือ ทีมโค้ช ซึ่งวันนี้โค้ชทั้ง 4 พร้อมจะเผยเคล็ดไม่ลับในการสร้างค่าย เพื่อสร้างคนให้มีคาแรคเตอร์ของการที่จะประสบความสำเร็จแบบต่อกล้าฯ มีเคล็ดลับอะไรกันบ้าง ไปลองดูกัน…

1. ไม่ฆ่าเด็ก

ธรรมชาติอย่างหนึ่งของการประกวดที่เราพบเห็นได้บ่อยก็คือ กรรมการหรือทีมผู้ตัดสินมักวิจารณ์ผลงานแบบฆ่าเด็ก

“การประกวดอื่นที่เราไม่ชอบคือ กรรมการมาเห็นเด็กทีเดียวแล้วฟัน ใช้เวลาแค่ 10-15 นาทีในการตัดสินเด็ก ทั้งๆ ที่เบื้องหลังเด็กทำงานมานานมาก แต่โครงการต่อกล้าฯ มีกระบวนการในการพัฒนาผลงาน ซึ่งช่วยเด็กได้เยอะ ถูกผิดเราได้ชี้ได้บอก มีเวลาเป็นชั่วโมงๆ ให้คุยกัน” ศรินทร์ แจกแจง

“เพราะฉะนั้นกรรมการและโคชทุกคนจะได้รับการคุยทุกครั้งก่อนจะเริ่มกระบวนการ เราจะย้ำกันเองตลอดเวลาว่า เราไม่ได้มาฆ่าเด็กนะ (หัวเราะ) เรามาพัฒนาเด็ก กรรมการที่อื่นเขาจะแค่มาฟัน มาตบ แต่เรามาสอนเด็ก ตรงไหนที่พัฒนาเขาได้เราจะคุยกับเขาตรงส่วนนั้น และไม่ใช่ทุกอย่างต้องไปจากเรา บางทีมุมมองของเด็กก็ดีกว่าของเรา ทำให้เราเรียนรู้ว่าเวลาเราจะวิจารณ์ผลงาน เราต้องเปิดช่องว่างให้เด็กศึกษาเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะมันอาจจะมีทางออกอื่นด้วย มันจึงกลายเป็นการที่เราเรียนรู้ไปด้วยกัน เด็กพัฒนาและเราก็ได้พัฒนาตัวเองในฐานะโคชไปด้วย” สิรินทร เล่า

“และทีมโค้ชเองจะพยายามบอกกันเสมอ ย้ำกันตลอด ว่า นี่คือผลงานของเยาวชน ไม่ใช่ผลงานของนักวิจัย หรือนักธุรกิจ มันจะนำหลักเกณฑ์ที่เท่ากันมาใช้พิจารณาหรือตัดสินไม่ได้ เราต้องพยายามหาวิธีและแนวทางที่พอเหมาะพอควรกับผลงานของเด็กในโครงการของเรา มันจึงจะเหมาะสมกว่า” สิทธิชัย กล่าวเสริม

2. เป็นเพื่อนกับเด็ก

โครงการประกวดอื่นๆ นั้นกรรมการก็คือกรรมการ โคชก็คือโคช เด็กก็คือเด็ก สถานะของแต่ละฝ่ายชัดเจนและมักไม่ยืดหยุ่น แต่สำหรับโครงการต่อกล้าฯ กรรมการและทีมโคชพยายามที่จะลดช่องว่างความห่างของวัยและสถานะ ให้เหลือเป็นเพียงเครือข่ายพี่น้องระหว่างกัน

ซึ่งนอกจากการทำตนเป็นที่พึ่ง อีกกลไกหนึ่งที่ทีมงานสร้างขึ้นมาในช่วง 2 ปีหลังก็คือ การให้รุ่นพี่ TA เข้ามาเป็นตัวเชื่อมระหว่างเด็กกับโคช หรือเด็กกับกรรมการ

“สองปีมานี้เราเริ่มมีตัวเชื่อมค่ะ เพราะการสื่อสารระหว่างโคชกับเด็ก อย่างไรก็ยังมีช่องว่างอยู่ เราจึงเอารุ่นพี่ที่ผ่านค่ายมาแล้วมาเป็นตัวเชื่อมประสานอีกต่อหนึ่ง เขาวัยไล่เลี่ยกัน พอวัยใกล้กันน้องก็ไว้ใจ กล้าถามกล้าปรึกษาพี่ บางอย่างที่พี่เองตอบไม่ได้ก็มาถามโคช เวลามีกิจกรรมพี่ก็ลงไปเล่นกับน้องด้วย มันจึงมีความสนิทกัน และน่าจะเติบโตไปเป็นเครือข่ายรุ่นพี่รุ่นน้องที่ช่วยเกื้อกูลกันต่อไปได้” ดร.กัลยา อธิบายกลยุทธ์ของค่าย

3. เป็นเชฟความรู้ให้เด็ก

เพราะเด็กยังไม่มีประสบการณ์มากมาย และความรู้ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็มาจากในโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ยังเชื่อมต่อไม่ติดกับความรู้ในวิชาชีพจริง

การถ่ายทอดความรู้ให้เด็กจึงไม่สามารถยกความรู้เฉพาะเชิงวิชาชีพมาแบบดิบๆ ได้ หรือแม้แต่การยกตัวอย่างเนื้อหาข้ามสายวิชาชีพ เด็กจากสายหนึ่งก็ย่อมเข้าไม่ถึงอีกสายหนึ่ง

ดังนั้น นอกจากทีมโค้ชจะต้องพัฒนาตัวเองในการ ขวนขวายความรู้ เพื่อมาถ่ายทอดให้เด็ก แล้วก็ยังต้อง เลือก เนื้อหาที่เหมาะสมกับตัวเด็ก และ ย่อย เนื้อหาจากที่ยากให้ง่ายขึ้นด้วย

“ส่วนตัวไม่ได้มีความรู้ด้านการตลาด แต่ต้องมาสอนการตลาด (หัวเราะ) เคยถามทีมงานแล้วว่า หาวิทยากรด้านนี้มาสอนได้ไหม ซึ่งโครงการเคยลองแล้ว แต่เนื้อหาจากวิทยากรนั้นสูงเกินไป น้องเอื้อมไม่ถึง ฟังแล้วไม่เข้าใจ มันจึงกลายเป็นหน้าที่ของเราในการต้องไปลงเรียนการตลาดเพิ่มเอง เลือกเรื่องที่จะสอน ถ้าไกลตัวเด็กไปเด็กก็งง ไปไม่ถูก แล้วที่สอนต้องไม่ซับซ้อน คือต้องย่อยให้มันง่าย” ศรินทร์ ยกตัวอย่างจากกรณีของตนเอง

“การสรรหาวิทยากรในแต่ละหัวข้อก็สำคัญไม่น้อย เพราะในแต่ละเรื่องที่สอนในค่าย น้องๆ ไม่เคยได้เรียนในห้องเรียน บางเรื่องยาก รายละเอียดเยอะ แต่ต้องสอนภายในไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้นการทำให้เรื่องที่ไม่เคยเรียนและยากนั้นน่าสนใจ ดึงความสนใจเด็กไว้ได้ วิทยากรจึงต้องสอดแทรกกิจกรรมและแบบทดสอบ แบบทดลอง ให้ได้ลองทำจริงตลอดการสอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากของวิทยากรแต่ละคน” สิทธิชัย เล่าถึงโจทย์หลักที่วิทยากรแต่ละคนต้องเจอ

4. สร้างบรรยากาศเชิงบวก

บรรยากาศนั้นสำคัญมากในการเรียนรู้ไม่ว่าสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ ยิ่งโดยเฉพาะค่ายของเด็กโครงการประกวด การสร้างบรรยากาศเชิงบวกหรือพื้นที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทีมงานโครงการต่อกล้าฯ พยายามทำให้เกิดขึ้นตลอดมา ทั้งในแง่ของการไม่ตัดสินเด็ก สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หรือการวางสถานะตัวเองเป็นเพื่อนกับเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด

“เราพยายามสร้าง Positive Environment หรือบรรยากาศเชิงบวกในค่ายค่ะ ทั้งสภาพของค่าย การฝึกวิธีการคิดเชิงบวกให้น้อง รวมถึงกระบวนการที่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมของการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ในค่ายเด็กทุกคนมีสิทธิที่จะคิด จะถาม จะคุย หรือนำเสนออะไรใหม่ๆ แปลกๆ ได้ โดยไม่ถูกมองว่าเป็นเด็กดื้อหรือแปลกแยก หรือแม้การวิจารณ์ผลงานน้อง คอมเมนต์จากกรรมการหรือทีมโคชจะบอกน้องตลอดว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่เรื่องแย่หรือเลวร้าย ซึ่งมันจะสร้างพลังบวกให้เด็กได้ดีมากๆ” สิรินทร เล่า

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพื่อสร้างเด็กให้มีคาแรคเตอร์ของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ อยู่รอดอย่างมีความสุข และต่อยอดไปสู่การสร้างสังคมที่ดีต่อไปในอนาคต

“เรารู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำค่ะ เด็กหลายคนประสบความสำเร็จ หลายคนเป็นเด็กที่มีความพิเศษ ไม่เหมือนคนอื่น การมาเข้าค่ายเราเห็นเลยว่าเขาเปลี่ยนมุมมองชีวิต จากที่เคยเป็นปมด้อยของเพื่อนที่โรงเรียน พอมาเข้าค่ายนี้เขาหาตัวเองเจอ และเอาจุดที่เป็นจุดเด่น ทั้งๆ ที่คนอื่นมองว่าจุดเด่นของเขาคือจุดด้อยด้วยซ้ำ มาสร้างเป็นแรงหมุนทำให้เขาค้นพบตัวเอง ไปทำผลงานจนเป็นที่ยอมรับ ชิ้นงานเขาถูกเอาไปใช้จริงในชุมชน นี่เป็นสิ่งที่เราภูมิใจมากๆ

“นั่นคือเป้าหมายปลายทางที่เราพูดกัน คือเด็กสามารถประยุกต์ใช้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากกระบวนการตลอดโครงการเรา ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิดเชิงตรรกะ การมองในมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน ใฝ่เรียนรู้ รู้จักบริหารจัดการ อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ นี่คือคุณสมบัติของคนศตวรรษที่ 21 กระบวนการเหล่านี้มันฝังอยู่ในตัวเขา สิ่งเหล่านี้เขาควรจะต้องติดตัวไปใช้ไม่ว่าเรียน ทำงาน สร้างอาชีพ แม้กระทั่งนำไปใช้ในครอบครัวเขาเอง อยู่บ้านก็เป็นสุข ทำงานก็ได้ผล นั่นคือปลายทางที่เราอยากเห็นค่ะ” ดร.กัลยา ทิ้งท้าย

หมายเหตุ :  ชมผลงานของเยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ที่พัฒนาสู่ผู้ใช้งานได้จริง ที่งานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2561 วันที่ 25 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.nectec.or.th

Tags:

21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมNECTECโคชคาแรกเตอร์(character building)Disruption

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ธิปภร ธนกุลวรภาส: เป็นโค้ชนวัตกรต้องให้คำปรึกษาไม่ใช่สั่งสอน PASSION ต้องมาก่อน PRODUCT

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น
How to get along with teenager
21 September 2018

อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • วัยรุ่นใช้อินสตาแกรม – Instagram เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือที่ประทับใจ แบ่งปันช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว สร้างชุมชนสนับสนุน และพบกับคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในความสนใจของพวกเขา
  • วิธีใช้ Instagram คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็ก แต่พ่อแม่ต้องมั่นใจว่า เมื่อลูกเจอปัญหา หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาจะจัดการกับมันได้
  • Instagram ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต บางคนใช้เวลาอยู่กับ Instagram เพื่อทำให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าสนใจ แต่ความเป็นจริงทุกคนต่างมีเรื่องน่าเบื่อ น่าเศร้า เพียงแต่ว่าเขาไม่โพสต์ลง Instagram เท่านั้นเอง

จากงานสำรวจของ Common Sense Media องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกาที่ทำงานด้านการศึกษาและครอบครัวระบุว่า Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นมากที่สุดเป็นอันดับสอง ร้อยละ 61 ของวัยรุ่นสหรัฐบอกว่าใช้แอพพลิเคชั่นนี้ และร้อยละ 22 บอกว่าใช้เป็นแอพพลิเคชั่นหลักในการสื่อสาร

Instagram เป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้กว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก มีไว้สำหรับแชร์รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ รวมถึง Instagram Stories, Live, IGTV (สำหรับแชร์วิดีโอที่ยาวขึ้น) วัยรุ่นใช้ Instagram เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือที่ประทับใจ แบ่งปันช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว สร้างชุมชนสนับสนุน และพบกับคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในความสนใจของพวกเขา

สำหรับวิธีใช้ Instagram คงไม่ต้องสอนเด็ก เพราะเด็กอาจจะใช้ได้เร็วและคล่องกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องมั่นใจว่า เมื่อลูกเจอปัญหา หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาจะจัดการกับมันได้

โพสต์ Instagram ง่ายนิดเดียว

วิธีโพสต์ Instagram มีไม่กี่ขั้นตอน เพียงถ่ายภาพหรือวิดีโอที่มีความยาวไม่เกิน 60 วินาที ปรับแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่ทำให้ภาพหรือวิดีโอสวยงามตามความต้องการ จากนั้นให้คลิกถัดไปเพื่อเพิ่มคำอธิบายภาพ เช็คอิน แท็กคนในรูปภาพ และเลือกวิธีการที่ต้องการแชร์เพิ่มเติม เช่น แชร์ไปยัง E-mail Facebook Twitter หรือ Tumblr นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Instagram เพื่อเผยแพร่ภาพสด (Live) ได้อีกด้วย

การแชร์ภาพหรือวิดีโอบน Instagram มี 4 แบบ

แบบส่วนตัว คือโพสต์โดยจำกัดผู้เข้าชม ต้องเป็นบัญชีที่กดติดตามเรา (โดยผู้ใช้อนุญาตให้ติดตาม) เท่านั้น

แบบสาธารณะ คือการโพสต์ที่สามารถให้ใครก็ได้รับชมภาพหรือวิดีโอที่โพสต์ไป จะเป็นคนที่มากดติดตามหรือไม่ติดตามก็เห็นโพสต์นั้นเช่นกัน

Instagram Direct คือการส่งข้อความ ผู้ใช้มีตัวเลือกในการแชร์รูปภาพเฉพาะกับคนกลุ่มหนึ่ง (ไม่เกิน 15 คน) ไม่ว่าต่างฝ่ายจะติดตามกันหรือไม่

Instagram Stories คือการแชร์เรื่องราว ซึ่งผู้ติดตามของคุณสามารถดูโพสต์หรือวิดีโอนั้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่แชร์ไปแล้ว

หากบุตรหลานกำลังใช้ Instagram การถามพวกเขาเกี่ยวกับวิธีการทำงานของไอจีจะเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้พ่อแม่ได้รู้จักเขามากขึ้น เด็กๆ จะรู้สึกภูมิใจและเต็มใจที่จะสอนการใช้แอพพลิเคชั่นโปรดของเขา ยิ่งกว่านั้นยังช่วยให้รู้ว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับเพื่อนๆ บนสื่อสังคมออนไลน์

รับผิดชอบกับสิ่งที่โพสต์

การติดตามใน Instagram ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกันทั้งสองฝ่ายเหมือน Facebook ผู้ใช้สามารถติดตามใครก็ได้ โดยไม่จำเป็นว่าอีกฝ่ายจะต้องติดตามกลับ ในทางกลับกับเมื่อมีคนมาติดตามเรา เราก็ไม่จะเป็นต้องติดตามกลับก็ได้ ผู้ใช้ที่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสามารถเลือกได้ว่าใครสามารถมาติดตามได้ แต่ถ้าไม่ได้ตั้งค่า ทุกคนก็สามารถเข้ามาดูสิ่งที่โพสต์ได้

ควบคุมความเป็นส่วนบุคคล การตั้งค่าเริ่มต้นของ Instagram รูปภาพและวิดีโอที่แชร์ จะสามารถรับชมได้ทุกคน (ยกเว้นกรณีที่คุณแชร์รูปภาพผ่านข้อความ) แต่คุณสามารถทำให้บัญชีเป็นแบบส่วนตัวได้ ฉะนั้นเวลาที่ใครจะมากดขอติดตาม คุณสามารถอนุญาตหรือยกเลยคำขอติดตามนั้นได้ ในกรณีส่วนใหญ่เราขอแนะนำให้เยาวชนสร้างบัญชีของตนเป็นแบบส่วนตัว

หากต้องการทำให้บัญชีเป็นแบบส่วนตัว ให้แตะปุ่มโปรไฟล์ (ไอคอนของบุคคลด้านล่างขวาและปุ่มตัวเลือกใน iOS หรือ 3 จุดในแนวตั้งใน Android) เลื่อนลงไปที่ความเป็นส่วนตัวของบัญชีผู้ใช้ จากนั้นเลื่อนแถบไปทางขวา แถบเลื่อนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และบัญชีของคุณจะกลายเป็นแบบส่วนตัว

ถ้าวัยรุ่นมีบัญชีสาธารณะอยู่แล้ว พวกเขาสามารถเปลี่ยนเป็นส่วนตัวได้ตลอดเวลา ในทางกลับกันก็สามารถเปลี่ยนจากส่วนตัวเป็นสาธารณะได้ สามารถลบผู้ติดตาม เลือกผู้ที่สามารถแสดงความคิดเห็น และยังสามารถปิดสถานะการแสดงกิจกรรมเพื่อให้เพื่อนๆ ไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อออนไลน์

ไม่มีความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ แม้โพสต์ของคุณจะเป็นแบบส่วนตัว แต่โปรไฟล์ของคุณจะเป็นแบบสาธารณะ (ทุกคนสามารถดูรูปโปรไฟล์ ชื่อผู้ใช้ และประวัติส่วนตัวของคุณได้) คุณสามารถเพิ่มข้อความได้ 10 บรรทัดเกี่ยวกับเจ้าของบัญชี พ่อแม่และเด็กๆ อาจพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะใส่ลงไปในนั้นว่าเหมาะสมหรือไม่

เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ถ้ามีคนอื่นอยู่ในรูปที่คุณโพสต์ให้ตรวจสอบว่าบุคคลนั้นยินยอมให้แชร์หรือติดแท็กไว้ในภาพนั้น

โพสต์ของคุณมีผลกระทบ ลองนึกถึงว่าสื่อที่คุณโพสต์ส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร บางครั้งเพื่อนที่ไม่อยู่ในภาพหรือวิดีโออาจได้รับความไม่สบายใจ เพราะรู้สึกแปลกแยก

คิดดีๆ ก่อนเช็คอิน ผู้ปกครองควรแนะนำให้เด็กหลีกเลี่ยงการเช็คอินเมื่ออัพโหลดรูปภาพหรือวิดีโอ ไม่ให้เพิ่มตำแหน่งในโพสต์หรือใช้แฮชแท็กที่เปิดเผยตำแหน่งของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ Instagram จับตำแหน่งของผู้โพสต์ได้

สำเนียงส่อภาษา รูปที่อัพส่อตัวเอง

สิ่งที่โพสต์แสดงถึงตัวคุณ สิ่งที่คุณแชร์หรือโพสต์ในปัจจุบัน จะยังคงเป็นตัวบ่งบอกคุณในอนาคตได้ เพราะบางครั้งเนื้อหาที่โพสต์สงในโลกออนไลน์อาจไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก ทางที่ดีคือคิดให้ดีว่าสิ่งที่คุณโพสต์จะส่งผลกระทบหลังจากนั้นอีกหรือไม่ หากมันจะทำให้คุณไม่ได้งาน ทำลายความสัมพันธ์ หรือทำให้คุณยายของคุณไม่พอใจ พิจารณาได้เลยว่าไม่ควรโพสต์ หากภายหลังคุณตัดสินใจว่าไม่เหมาะสมให้ลบทิ้ง วัยรุ่นจำนวนมากใช้เวลาอ่าน (และลบ) ข้อความที่เคยโพสต์เมื่อถึงเวลาที่จะสมัครเรียนวิทยาลัยหรือทำงาน

พิจารณารูปทั้งหมด สิ่งที่อยู่เบื้องหลังภาพหรือวิดีโออาจบ่งชี้ว่าสถานที่ถ่าย หรือสิ่งที่คนในภาพกำลังทำอยู่ในขณะนั้นเป็นข้อมูลที่คุณต้องการถ่ายทอดหรือไม่

สื่อของคุณสามารถแสดงได้ทุกที่ วิดีโอ Instagram สามารถฝังลงในเว็บไซต์อื่นๆ สามารถคัดลอกและส่งให้คนอื่นได้ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะจำกัดผู้ชมไว้ก็ควรระวังอย่าแชร์สิ่งที่อาจเป็นปัญหาหากมีคนนำไปเผยแพร่ต่อ

ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและอย่าแชร์รหัสผ่าน การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณสามารถควบคุมวิธีที่คุณแสดงในโซเชียลมีเดียได้ เนื่องจากคนอื่นจะไม่สามารถใช้รหัสผ่านของคุณเพื่อแอบอ้างเป็นตัวคุณ ใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันกับแอพพลิเคชั่นอื่นๆ

Instagram ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต โปรดจำไว้ว่า Instagram มักเป็นไฮไลท์ของชีวิตของใครบางคน ผู้ใช้ Instagram บางคนใช้เวลาอยู่กับ Instagram เพื่อทำให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าสนใจ เราไม่ได้แนะนำว่าคุณไม่ควร ‘ดูดี’ ในโลกออนไลน์หรือโพสต์สิ่งที่น่าสนใจในชีวิตของคุณ แต่อย่าพยายามเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น และจำไว้เสมอว่า ไม่มีใครที่มีชีวิตดีตลอด ทุกคนต่างมีเรื่องน่าเบื่อ น่าเศร้า เพียงแต่ว่าเขาไม่โพสต์ลง Instagram เท่านั้นเอง

จะทำอย่างไรถ้าถูกก่อกวนใน Instagram

บล็อกคนถ้าจำเป็น หากมีใครข่มขู่คุณเช่นติดแท็กคุณในรูปภาพที่คุณไม่ชอบหรือส่งข้อความโดยตรงจำนวนมาก คุณสามารถบล็อกพวกเขาเพื่อไม่ให้ติดแท็ก ติดต่อคุณโดยตรง หรือพูดถึงคุณในความคิดเห็น นอกจากนี้ยังจะไม่สามารถดูโปรไฟล์ของคุณหรือค้นหาบัญชีของคุณได้ หากต้องการบล็อกผู้ใช้ให้ไปที่โปรไฟล์ของบุคคลนั้นแตะที่จุดสามจุดที่ด้านบนขวาและเลือกปิดกั้น เมื่อคุณบล็อกบัญชีบุคคลนั้นจะไม่ได้รับแจ้งและคุณสามารถเลิกบล็อกบัญชีได้ตลอดเวลา

รายงานความไม่เหมาะสม คุณสามารถรายงานภาพถ่าย วิดีโอ เรื่องราว หรือความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสมของผู้ใช้รายอื่นได้ เพียงคลิกที่จุดสามจุดถัดจากชื่อผู้ใช้จากนั้นคลิกรายงาน

สามารถยกเลิกการแท็กได้ ถ้ามีคนแท็กคุณในรูปที่เขาโพสต์ คุณสามารถเอาแท็กนั้นออกได้ โดยการกดค้างแท็กของเราบนรูป จากนั้นก็เลือก ลบแท็ก

ทำไมวัยรุ่นบางคนจึงมีมากกว่าหนึ่งบัญชี

มีคำสองคำที่เด็กวัยรุ่นยุคนี้รู้จักกันดีคือ ‘Rinsta’ และ ‘Finsta’ ซึ่ง Rinsta ย่อมาจาก ‘real Instagram account’ ที่แปลว่า Instagram จริง ส่วน F ใน ‘Finsta’ ย่อมาจาก ‘fake’ ที่แปลว่าของปลอม

สำหรับวัยรุ่นที่มีทั้งสองประเภทบัญชี Rinsta อาจถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีผู้ติดตามมากกว่า ส่วน Finsta ใช้สำหรับกลุ่มเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรน่ากังวลเกี่ยวกับวัยรุ่นที่มีบัญชี Instagram มากกว่าหนึ่งบัญชี เพราะการมีสองบัญชีทำให้พวกเขาสามารถแสดงออกในรูปแบบต่างกัน

ภาพที่โพสต์ใน Rinsta มักจะเป็นภาพในอุดมคติ สวยงาม ส่วน Finsta พวกเขาจะสบายๆ เป็นด้านที่พวกเขาสามารถปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้ อาจจะเป็นภาพตลกๆ หรือไม่ก็เป็นภาพที่ผ่านการแต่งฟิลเตอร์

5 คำถามยอดฮิตจากพ่อแม่

1. ทำไมวัยรุ่นถึงชอบ Instagram

เพราะพวกเขาชอบเสพและสร้างสื่อ เพื่อแชร์และติดต่อกับสังคม Instagram เป็นช่องทางที่ง่ายและน่าสนใจ และที่สำคัญวัยรุ่นยังชอบความสามารถในการสร้าง ‘เรื่องราว หรือ Instagram story’ ที่หายไปหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง

2. Instagram มีกำหนดอายุขั้นต่ำหรือไม่

อายุขั้นต่ำของผู้สมัครคือไม่ต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ของเด็ก แต่เวลาสมัคร Instagram ไม่ได้ขอให้ผู้ใช้ระบุอายุ ทำให้เด็กหลายคนมีบัญชีเป็นของตัวเอง แต่ถ้าได้รับการแจ้งให้ระบุตัวตน หากไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีอายุเกิน 13 ปี Instagram จะลบบัญชีทันที

3. มีเครื่องมือที่จะช่วย ‘จำกัดเวลา’ ในการใช้ Instagram หรือไม่

Instagram มีโปรแกรมที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูได้ว่าในแต่ละวัน เราใช้เวลากับ Instagram ไปเท่าไหร่ และสามารถตั้งเวลาในการใช้งานแต่ละครั้ง เมื่อครบเวลาที่กำหนด จะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้

วิธีการตั้งค่าคือ เข้าไปใน ‘กิจกรรมของคุณ หรือ Your Activities’ บน Instagram จากนั้นให้เลือก ‘DAILY REMINDER’ แล้วตั้งค่าเวลาที่คุณจะใช้ Instagram ในทุกวัน หลังจากนั้น ถ้าคุณใช้ Instagram ครบจำนวนเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน จะมีการแจ้งเตือน

4. ความเสี่ยงในการใช้ Instagram คืออะไร

แม้ว่าจะไม่มีอะไรเป็นอันตรายเกี่ยวกับ Instagram แต่สิ่งสำคัญที่พ่อแม่กังวลคือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระหว่างเพื่อนๆ ภาพถ่ายหรือวิดีโอที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของวัยรุ่น หรือเสพติดการใช้ Instagram มากเกินไป ซึ่งพ่อแม่สามารถใช้วิธีการจำกัดเวลาตามข้อที่ 3 หรือสอนให้วัยรุ่นใช้ Instagram อย่างเหมาะสมตามที่กล่าวมาทั้งหมด

5. โปรไฟล์ส่วนตัวควรเป็นส่วนตัวหรือไม่

เยาวชนควรตั้งค่าบัญชีส่วนตัว ให้เฉพาะผู้ติดตามที่ดูโพสต์เท่านั้น การตั้งค่าเป็นสาธารณะอาจเหมาะกับวัยรุ่นที่โตมากกว่า เพราะอาจเป็นประโยชน์ อย่างเช่น การระดมทุนเพื่อการกุศล การหากลุ่มเพื่อนที่มีความชอบหรืองานอดิเรกเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่ก็ควรให้คำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการโพสต์ที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัวและชื่อเสียงของพวกเขาได้

อ้างอิง:
Instagram
The Parent’s Guide to Instagram
Instagram and Teens: What Do You Need to Know?

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นโซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    DON’T WORRY ‘ไอจี’ ไม่ใช่วายร้าย

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    ทำไมพ่อกับแม่ถึงชอบแชร์เรื่องของหนู?

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ
Family Psychology
20 September 2018

‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ความจริงคือ ความล้มเหลวสามารถให้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จ
  • การแพ้หรือความผิดพลาดจะเป็นโอกาสให้เด็กๆ วางแผนว่าจะทำอย่างไรในครั้งต่อไป เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยเขาได้ตลอดชีวิต
  • พ่อแม่ทำได้แค่ชวนลูกนั่งลงด้วยกัน ปล่อยให้พวกเขาทบทวนและรับรู้อารมณ์ในขณะนั้น โดยไม่ต้องพยายามสอนเพื่อหวังให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น

เพราะแรงกระแทกจากความล้มเหลวของแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้ไม่มีใครชอบความล้มเหลว แต่สำหรับวัยรุ่น ล้มครั้งเดียวก็เป็นเหมือนการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

สิ่งที่อาจเป็นความล้มเหลวเล็กๆ สำหรับคนอื่นสามารถส่งผลให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดและการต่อว่าด่าทอตัวเองของวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นการถูกปฏิเสธจากคนที่พวกเขาแอบปิ๊ง คะแนนสอบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือเล่นกีฬาแพ้ – วัยรุ่นจัดหนักกับความล้มเหลวเสมอ

อย่างไรก็ตาม ความจริงคือ ความล้มเหลวสามารถให้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จ แต่อันดับแรก เหล่าวัยรุ่นต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเสียก่อน

ของขวัญจากความล้มเหลว

พ่อแม่หลายคนกลัวว่าลูกๆ จะ ‘ทำไม่ถูกตลอดเวลา’ และต้องการกระตุ้นความมั่นใจให้เด็กๆ เสมอ แต่ เจสสิกา เลฮีย์ (Jessica Lahey) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Gift of Failure: How the Best Parents Learn to Let Go So Their Children Can Succeed บอกว่า บางครั้งอะไรที่มากไปก็ส่งผลเสียมากกว่าดี เช่นเดียวกับการกระตุ้นให้เด็กๆ เอาชนะไปเสียทุกอย่าง

ก่อนหน้านี้ เลฮีย์ ผู้ใช้เวลากว่าสิบปีในการเป็นครูมัธยมทั้งต้นและปลาย คอลัมนิสต์ของเดอะนิวยอร์คไทม์ส ได้เขียนบทความเรื่อง Why Parents Need to Let Their Children Fail ในปี 2013 และกลายเป็นบทความที่ถูกพูดถึงอย่างมาก

“ทุกครั้งที่เราหันหลังกลับไปบอกว่า ‘เดี๋ยวพ่อ/แม่ทำให้’ หรือ ‘ให้พ่อ/แม่ช่วยนะ’ มันเหมือนเรากำลังบอกพวกเขาว่า ‘พ่อ/แม่ไม่คิดว่าลูกจะทำเองได้หรอก’ และนั่นเป็นการทำลายพวกเขาล่วงหน้า เราทำให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อโตขึ้นเขาก็จะกลายเป็นคนหนุ่มสาวที่ไม่สามารถรับมือหรือจัดการอะไรเองได้เลย”

ผลการศึกษาในปี 2013 จากวารสารการศึกษาเด็กและครอบครัว (Journal of Child and Family Studies) พบว่า พ่อแม่แบบเฮลิคอปเตอร์สามารถทำให้วัยรุ่นรู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้าได้ รวมถึงลดความสามารถ ความเชื่อมั่น และความรู้สึกอิสระในตัวเอง

นอกจากนี้ ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยแอริโซนายังพบว่า ผู้ใหญ่ที่ได้รับการประคบประหงมเกินไปเมื่อตอนเป็นเด็กจะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะแก้ปัญหาใดๆ ในชีวิตได้

5 เหตุผลที่ควรปล่อยให้ลูกแพ้

  1. พัฒนาทักษะการเผชิญความเครียด (coping skills) ทักษะการรับมือความพ่ายแพ้ในโลกความจริงควรเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน เช่น เล่นเกมกระดานด้วยกันและปล่อยให้เขาแพ้คุณบ้าง
  2. สอนให้รู้จักความสุขง่ายๆ ที่ไม่เกี่ยวกับแพ้ชนะ เด็กที่รับมือกับการแพ้เป็นก็สามารถสนุกกับการแข่งขันได้ไม่ว่าเขาจะได้ที่หนึ่ง สอง หรือที่สุดท้าย
  3. สอนความเห็นอกเห็นใจ หากจะให้เด็กๆ เข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้ ก็ควรให้พวกเขาได้ลองสัมผัสประสบการณ์ที่คล้ายกันก่อน
  4. พัฒนาการควบคุมตนเองและสร้างความมั่นใจ เรียนรู้ที่จะยอมรับความล้มเหลวให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เขาจะได้เรียนรู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาดีไม่ใช่เพราะใครหยิบยื่น แต่มาจากความพยายามของตัวเอง
  5. ปล่อยให้เขาเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ว่าจะเกมหรือการสอบก็ต้องใช้ทักษะและการวางแผนเฉพาะตัว ความผิดพลาดจะเป็นโอกาสให้เด็กๆ วางแผนว่าจะทำอย่างไรในครั้งต่อไป เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยเขาได้ตลอดชีวิต

วิธีรับมือเมื่อลูกล้ม

เอาล่ะ…ถ้าลูกวัยรุ่นของคุณเพิ่งเจอความล้มเหลว ทำผิดพลาด หรือเผชิญกับอะไรบางที่น่าอึดอัดใจ นี่เป็นวิธีบางส่วนที่คนเป็นพ่อแม่อาจช่วยพวกเขาให้เรียนรู้และก้าวต่อไปได้

ชวนเขานั่งลงด้วยกัน และทบทวนความรู้สึกตัวเอง ปล่อยให้พวกเขารับรู้อารมณ์ในขณะนั้น โดยไม่ต้องพยายามสอนเพื่อหวังให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น

ชวนเขาคิดถึงจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในครั้งต่อไป เพราะแค่แพ้ไม่ได้แปลว่าจบเกม

ใช้เวลาพูดถึงเรื่องการทบทวนความรู้สึก ลองถามเขาว่ารู้สึกดีอย่างไรระหว่างลองทำสิ่งใหม่ๆ แม้ว่าจะไม่สำเร็จก็ตาม เขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง แล้วเป้าหมายต่อไปของเขาคืออะไร

อ้างอิง:
Brutally Honest: Is it OK to let your child fail?
The importance of letting your children lose
Why Failure is Healthy for Teens

Tags:

การเติบโตEFพ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)overprotective parent

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล
Family Psychology
19 September 2018

5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เวลาที่เราอ่อนแอ ‘อสูรร้าย’ มักปรากฏตัวเสมอๆ และทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปอีก
  • อสูรร้ายคือ คำพูดเชิงลบที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า และจะค่อยๆ ทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ
  • ข่าวดี! พ่อแม่มีอาวุธทรงพลังอยู่ในมือ ช่วยลูกกำจัดอสูรร้ายเหล่านี้ให้หายไปได้…ตลอดกาล

พ่อแม่จะทำอย่างไร เมื่อในตัวเด็กมีอสูรร้ายออกมาสร้างความปั่นป่วน จนทำเด็กหมดความมั่นใจและไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง?

“เธอไม่เก่ง”

“มันเป็นความผิดของเธอนั่นแหละ”

“ฉันไม่น่าทำมันเลย!”

เรากำลังพูดถึง คำพูดเชิงลบ หรือ inner critic ที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเด็กซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เสมอโดยไม่เคยส่งสัญญาณว่าจะมาตอนไหน สิ่งนี้เป็นอันตราย เพราะจะค่อยๆ ทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ

เฮเซล แฮริซัน (Hazel Harrison) นักจิตวิทยาคลินิกชาวอังกฤษ เรียกเสียงวิจารณ์จากภายในว่า ‘The Critical Critter’ ซึ่งจะถูกเรียกในบทความชิ้นนี้ว่า ‘อสูรร้าย’

เฮเซลบอกว่า พ่อแม่ช่วยป้องกันเด็กจากอสูรร้ายได้ด้วยการทำให้พวกเขารู้จักเจ้าอสูรก่อนที่มันจะเข้ามาทำร้ายพวกเขา เริ่มจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกว่า เจ้าอสูรจอมป่วนมักเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองด้วยคำพูดที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์

แน่นอนว่าการอธิบายให้เด็กแต่ละช่วงวัยเข้าใจเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเด็กเล็กไม่เกิน 7 ขวบ พวกเขาอาจจินตนาการถึงอสูรร้ายได้ดี แต่สำหรับเด็กประถมวัยซึ่งมีเหตุผลมากขึ้น พ่อแม่สามารถพูดคุยถึงเจ้าอสูรด้วยการเปรียบเทียบอสูรกับสิ่งที่ไม่ดีแทนการสร้างสัตว์ในจินตนาการ

เฮเซลบอกว่า การพูดคุยกับลูกต้องมีตัวอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงวัยเด็กราว 7 ปี อสูรร้ายอาจเข้ามาทำให้รู้สึกกลัว เช่น การกลัวเพื่อนหัวเราะเยาะเมื่อต้องทำกิจกรรมต่างๆ เมื่ออายุ 16 ปี มักมีคำพูดทำนองว่า “เธอต้องสอบตกแน่ๆ” ผุดขึ้นมาระหว่างทำข้อสอบในห้องสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือแม้กระทั่งเมื่อเรียนจบแล้วกำลังมองหางานทำ อาจมีเสียงหนึ่งผุดขึ้นมาบอกว่า “เธอไม่มีทางทำได้หรอก เธอทำไม่ได้แน่ๆ เธอไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง” เป็นต้น

นอกจากนี้ เฮเซลยังเสนอ 5 วิธี สยบอสูรร้ายในตัวเด็ก ที่พ่อแม่และคนใกล้ตัวเด็กช่วยได้

หนึ่ง ตั้งชื่อให้เจ้าอสูรร้าย

วิธีการนี้ฟังดูแปลก แต่ช่วยสยบอสูรร้ายให้กลายเป็นอสูรน้อยได้ การได้ยินคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ดังก้องอยู่ในใจเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมมาก การตั้งชื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้เสียงวิจารณ์ภายในกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น เมื่อได้ยินจากเสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยคำพูดตัดทอนกำลังใจเมื่อไหร่ เด็กจะสามารถดึงและแยกตัวเองออกมาหรือวางเฉยต่อเสียงนั้นได้ พูดง่ายๆ เหมือนทำเป็นไม่ได้ยินไปซะ!

สอง ความเป็นเพื่อนกันตลอดไป (Best Friends Forever Test)

“มันเป็นความผิดของฉันที่ทำให้ทีมแพ้” อสูรร้ายมักเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดเสมอในวันที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวร้ายๆกรณีนี้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถตั้งคำถามชวนคิดกับเด็กว่า “ลูกจะพูดแบบนี้กับเพื่อนสนิทของลูกหรือเปล่าว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทีมแพ้”

ถ้าเด็กตอบว่า “ไม่”

“แล้วลูกจะพูดกับเขายังไง?” เป็นจังหวะที่ผู้ปกครองสามารถถามต่อ

วิธีนี้ช่วยสร้างให้เด็กกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง คิดและแสดงออกด้วยความเห็นอกเห็นใจตัวเองมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้อสูรร้ายเข้ามาพ่นคำพูดทำร้ายตัวเอง

สาม ตอบกลับ

ต่อเนื่องจากข้อที่หนึ่ง เมื่อเด็กสร้างภาพลักษณ์ให้กับอสูรร้ายด้วยการตั้งชื่อแล้ว ตอนนี้หากเด็กได้ยินคำพูดร้ายๆ ผุดขึ้นมาในหัว ผู้ปกครองสามารถแนะนำให้พวกเขาตอบโต้เสียงนั้นได้ ด้วยคำพูดต่อไปนี้

“ไม่สำเร็จหรอก คำพูดของเธอไร้ประโยชน์มาก”

“เธอเลิกพูดเถอะ ฉันทำดีที่สุดแล้ว”

“ฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดหรอก ฉันกำลังยุ่งกับการเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอยู่ตรงนี้”

“มันไม่ได้ผลหรอก ฉันจะต้องได้ไปต่อ”

สี่ กองหนุนจากพ่อแม่

นอกจากวันร้ายๆ เจ้าอสูรยังชอบโผล่มาในวันที่เด็กกำลังจะต้องทำสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆ แน่นอนว่าในจุดนั้นพวกเขาจะมีความกลัว ความตื่นเต้นและความไม่มั่นใจ

“เธอทำไม่ได้หรอก”

“หยุดเถอะ…อย่าทำเลย” เสียงอสูรร้ายในตัวเอ่ยขึ้น

จุดนี้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้ามากระตุ้นให้เด็กลงมือทำอย่างกล้าหาญ เพื่อแสดงให้เจ้าอสูรเห็นว่าสิ่งที่พูดมานั้นผิดทั้งหมด ถ้าเด็กถูกห้อมล้อมด้วยการให้กำลังใจและการเติมความมั่นใจจากคนใกล้ตัว เด็กจะผ่านจุดนี้ไปได้ด้วยความมั่นคงทางใจ

“ทำเลย…ลูกทำได้” บอกลูกดังๆ

ห้า สร้างช่วงเวลาฝึกฝนในเชิงบวก

แน่นอนว่าหน้าที่ของเจ้าอสูรคือการบั่นทอนจิตใจ ทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองและศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ การทำให้เด็กรู้ว่า เขาชอบหรือสนใจทำอะไร ช่วยได้ โดยผู้ปกครองทำหน้าที่ส่งเสริมให้เขาลงมือทำสิ่งนั้น จนสำเร็จ หรือแม้กระทั่งการถามคำถามว่า “วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง?” ก็ช่วยกระตุ้นให้เด็กเปิดใจ เปลี่ยนวิธีคิดให้เด็กมองหาสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่ละวันแทนการครุ่นคิดถึงความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาด

เราไม่มีทางรู้ว่าอสูรร้ายจะโผล่ขึ้นมาตอนไหน สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ การปลูกฝังความคิดในเชิงบวกให้เด็กมีความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) และเห็นอกเห็นใจตัวเอง (self-compassion) เพื่อทำให้เจ้าอสูรกลายร่างเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้เขา

เกี่ยวกับผู้เขียน

เฮเซล แฮริซัน (Hazel Harrison) นักจิตวิทยาคลินิกชาวอังกฤษ ที่มีความสนใจในการค้นหาวิธีการที่สนุกสนานและสร้างสรรค์ในการแบ่งปันสาระความรู้ด้านจิตวิทยาเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เฮเซลทำงานร่วมกับโรงเรียนและองค์กรธุรกิจมากมาย และเป็นผู้ให้ความรู้ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดี (well-being)
อ้างอิง: https://www.mindful.org

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)พ่อแม่ปฐมวัย

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    คาแรคเตอร์ดีๆ ที่สร้างได้ ถ้าพ่อแม่ไม่รังแกฉัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    CHARACTER CAPABILITIES: 3 นิสัยดี คีย์สำคัญสู่ความสำเร็จและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์
Life classroom
18 September 2018

ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • ทรอย ซีวาน นักร้อง นักแต่งเพลง นักกิจกรรมผู้เป็นกระบอกเสียงสำคัญ ประเด็น LGBTQ
  • ปี 2013 ทรอยโพสต์คลิปที่ชื่อว่า ‘Coming Out’ ผ่านยูทูบแชนเนลตัวเองประกาศกับโลกว่าเขาคือใคร เพียงวันเดียวยอดวิวคลิปดังกล่าวพุ่งเกือบถึงแปดล้านวิว
  • ซีวานเป็นชาวยิว ครอบครัวนับถือคริสต์นิกายโมเดิร์นออโธด็อกซ์และเคร่งศาสนา ตลอดช่วงวัยรุ่นเขาจึงต้องปกปิดตัวเองจากการเป็นเกย์ เขาบอกครอบครัวตอนอายุ 14 แต่ผลลัพธ์กลับไม่โหดร้ายเท่าที่จินตนาการเอาไว้ เมื่อครอบครัวยอมรับและพร้อมสนับสนุนในตัวเขา
  • การเป็นนักร้องไม่ง่าย การเป็นนักร้องเกย์ที่ได้รับการยอมรับจากผลงานและไม่ถูกเลือกปฏิบัตินั้นยากยิ่งกว่า อาวุธในการต่อสู้เรื่องเพศนอกไปจาก ‘ความซื่อสัตย์’ ซีวานยกความดีให้กับ ‘ยุคสมัย’ และ Queer Icon ที่เคยต่อสู้และกำลังต่อสู้กันทั่วโลก

ผมแพลตินั่มบลอนด์ถูกจัดทรงปาดเรียบอย่างที่เรียกกันว่า wet look ริมฝีปากบางถูกเคลือบด้วยสีแดงเชอร์รีให้ดูฉ่ำและเจ่อกว่าที่ควรเป็น ดวงตาสีฟ้าจดจ้องมองมาข้างหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งยังเห็นชัดว่าเปลือกตาคู่นั้นถูกปาดด้วยกลิตเตอร์

คือภาพของ ทรอย ซีวาน (Troye Sivan) ในมิวสิควิดีโอเพลง ‘Bloom’ เพลงไตเติลเปิดอัลบั้มใหม่ของเขา

‘Pop Queer Icon’ ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สื่อทั่วโลกต่างพากันจับตามองอยู่ในขณะนี้ ในฐานะผู้ที่กำลังจะพลิกบทบาทวงการเพลงป๊อปไปสู่ยุคถัดไป

31 สิงหาคมที่ผ่านมา ทรอยกลับมาอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงถึง 3 ปี ‘Bloom’ คือชื่ออัลบั้มใหม่ของเขา บรรจุและอัดแน่นไปด้วยเพลงที่เล่าถึงความสัมพันธ์และความรักทั้งหมด 10 เพลง ชวนให้ฮือฮาและตกเป็นประเด็นมากถึงมากที่สุดเพราะทรอยตั้งใจ ทั้งยังชัดเจนกับทุกคนว่าอัลบั้มนี้เกี่ยวข้องกับ ‘เซ็กส์’ (FYI: Bloom เป็นคำอุปมาอุปไมยของ anal sex) – แน่นอนว่าทั้งหมดในเนื้อหาบทเพลงคือตัวละครเกย์

“(เซ็กส์) คือ ประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์ (human experience) ซึ่งผมคิดว่ามันงดงามมาก แน่นอนว่ามันอาจฟังดูจั๊กกะจี้ (หรือสกปรก) แต่เนื้อหาของมันจริงๆ ก็คือเพลงรัก และอย่างแรกเลย ผมต้องการบอกทุกคนว่า ‘การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย’ เป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งอัลบั้มถึงพูดเรื่องความรักและเซ็กส์ (ของเกย์) ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงและนักร้องทำกันอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรแตกต่าง นอกจากนั้นการเขียนเพลง (ในอัลบั้มนี้) ยังทำให้ผมโตขึ้นและมองเห็นตัวเองในมุมมองใหม่อีกด้วย”

ใช่ นอกจากเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง (และนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง ‘Boy Erased’ ที่กำลังจะเข้าฉายในเดือนพฤศจิกายนนี้) ทรอยยังเป็นนักกิจกรรม ผู้เป็นกระบอกเสียงสำคัญให้กับ LGBTQ ทั่วโลกผ่านบทเพลงของเขาอีกด้วย

Lucky Gay Boy Who was Born in Internet World

ทรอย ซีวานเป็นชาวยิว ครอบครัวนับถือคริสต์นิกายโมเดิร์นออโธด็อกซ์ เกิดที่โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียตอนอายุสองขวบ

ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ครอบครัวเคร่งศาสนามาก ความกังวลใจช่วงวัยรุ่นตอนต้นในตอนนั้นคือการปกปิด ซ่อนเร้นความจริงที่ว่าเขาเป็นเกย์ จนกระทั่งเขาอายุ 14 ทรอยตัดสินใจบอกพ่อว่าเขารู้สึกเช่นไรกับตัวเอง แต่ผลลัพธ์กลับไม่โหดร้ายเท่าที่จินตนาการเอาไว้ เมื่อครอบครัวยอมรับและพร้อมสนับสนุนในตัวเขา

“ตอนนั้นทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบเรียบ อาจเป็นเพราะผมเองก็รู้ว่าครอบครัวต้องโอเคกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะมีมุมที่เราคิดว่า ‘ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมรับล่ะ? เราจะทำอย่างไร? เราจะไปไหน?’ มันคือความลำบากใจของเด็กอายุ 14 ในตอนนั้น คือความตึงเครียดของทุกคน ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า มันไปถึงจุดที่ว่าผมโกหกและปิดเป็นความลับ ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกกลัวผลที่จะตามมากับความกลัวที่เป็นอยู่มันก็เท่ากัน ใช่ มันเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดและผมเองยอมรับว่าค่อนข้างโชคดี”

ด่านต่อไปคือ การเปิดเผยกับสังคม ตอนนั้นเขาคือยูทูบเบอร์คนดัง จะกล่าวว่าทรอยเป็นเด็กยุคมิลเลนเนียล (เกิดปี 1995) ที่แท้จริงก็ว่าได้ เมื่อเขาเติบโตมากับโลกอินเทอร์เน็ตและโด่งดังจากการเป็นยูทูบเบอร์ หัดโพสต์คลิป โคฟเวอร์เพลงตั้งแต่ปี 2012 และมีผู้ติดตามมากถึงสี่ล้านคน

หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ ปี 2013 ทรอยโพสต์คลิปที่ชื่อว่า ‘Coming Out’ ผ่านยูทูบแชนเนลตัวเอง บอกทุกความในใจของตัวเอง ประกาศกับโลกว่าเขาคือใคร เพียงวันเดียวยอดวิวคลิปดังกล่าวพุ่งถึงเกือบแปดล้านวิว

ใช่ว่าเขาไม่เคยโดนคำครหาด่าทอจากการบอกทุกคนว่าเป็นเกย์ ถึงอย่างนั้น ทรอยกลับบอกว่า อาจเพราะเขาเติบโตมากับโลกอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รับมือกับเรื่องดังกล่าวค่อนข้างง่าย

สำคัญเกินกว่าจะเก็บเสียงทั้งหมดมาใส่ใจ เพราะความฝันของทรอยคือการเป็นนักร้อง ดังนั้น เขาจึงไม่ยอมให้ใครทำให้เขาหลุดจากเส้นทางนี้เด็ดขาด

“ก่อนรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ ผมอยากเป็นนักร้องมาโดยตลอด ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรผมจะไม่ยอมให้ (ความเห็นเรื่องเพศของสังคม) มาเปลี่ยนเส้นทางนี้” ทรอยยืนยันหนักแน่น

สองเดือนหลังจากเขาปล่อยคลิปดังกล่าว ทรอยก็เซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ทันที

ปี 2015 ทรอย ซีวาน เปิดตัวให้ทั่วโลกรับรู้ด้วยผลงานอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรก ‘Blue Neighbourhood’ เพลงป๊อปติดกลิ่นอิเล็กทรอนิกส์ สร้างปรากฏการณ์ฮือฮาจัดเต็มด้วยการปล่อยเอ็มวี 3 เพลง (Wild, Fools, Talk Me Down) ราวกับหนังสั้น พูดถึงเรื่องราวความรักคู่รักชาย-ชายที่เป็นไปไม่ได้และถูกครอบครัวกีดกัน แม้จะไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้างระดับกระโดดพุ่งทะยานขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ตอเมริกาในทันที แต่อยู่ในอันดับท็อปเท็นและได้อันดับที่ 53 ของ US Billboard 200 ประจำปี 2016 – วินาทีดังกล่าวคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มี LGBTQ คนไหนไม่รู้จักนาง

I’m a GAY but I don’t want to be GAY Icon

“ผมก็แค่อยากทำทุกอย่างแบบที่นักร้องป๊อปสตาร์ทำกัน เขียนเพลงรัก ร้องเพลงรัก ทุ่มเทความรักให้กับมิวสิควิดีโอของตัวเอง ผมคิดว่ามันคือพลังของการมีชีวิตที่เปิดกว้างและสมจริงขณะที่เรายังสามารถเป็นตัวของตัวเอง (เกย์)”

คือปรารถนาอันแรงกล้า ทำให้ผู้ติดตามผลงานของเขามาอย่างต่อเนื่องแทบจะเห็นพ้องว่าทุกผลงานเขาตั้งใจปลุกปั้นอย่างประณีต กลั่นออกมาจากแรงปรารถนาล้วนๆ แต่มันกลับไม่ได้ให้ผลเพียงแค่นั้น

จากบทเพลงรักแปรเปลี่ยนเป็นสารส่งต่อกำลังใจให้กับชาว LGBTQ ที่ต่างเคยพบผ่านประสบการณ์รักทั้งร้ายและหวานละมุน ตราตรึงสู่หัวใจแฟนเพลงทั่วโลก ทุกวันนี้ นอกจากการสร้างสรรค์ผลงานเพลงแล้ว ทรอยยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญของ LGBTQ พูดตั้งแต่เรื่องเพศไปจนถึง HIV

จริงอยู่ การเป็นเกย์สำหรับบางคนยังถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกแต่เขายอมรับว่า ปัจจุบันสังคมโลกค่อนข้างเปิดกว้างให้กับชาว LGBTQ มากขึ้น ถึงอย่างนั้น ทุกคนยังคงทำงานหนักเหมือนเคยเพื่อผลักดันประเด็นของตนให้ได้รับความเท่าเทียมกัน

แต่ประเด็นหลักที่ทรอยต้องการสื่อสารออกไปให้โลกกว้างรู้ รวมถึงต้องการเป็นกำลังใจให้เหล่าเพศเดียวกันกับเขาคือ ความภาคภูมิใจในตัวเอง ส่งผลให้ในปี 2017 เขาได้รับรางวัลเกียรติยศ Stephen F. Kolzak บนเวที GLAAD Awards (และอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย!)

ทรอย ซีวาน ถูกจับตามองทั้งยังได้รับการยกย่องจากสื่อเจ้าใหญ่หลายหัวทั้งในบ้านเกิดตัวเองและทั่วโลกว่าเป็นนักร้องรุ่นใหม่ที่กำลังจะพลิกประวัติศาสตร์วงการเพลงป๊อปอีกครั้ง (นับจากยุคมาดอนนาหรือเลดี้กาก้าผู้เปิดศักราชความเป็น LGBTQ ให้กลายเป็นประเด็นในสังคม) เปิดพื้นที่ที่ถูกยึดครองด้วยบทเพลงรักซึ่งมักกล่าวถึงแต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงให้มีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชาว LGBTQ เพิ่มขึ้น

หากย้อนไปดูสักนิดอาจกล่าวได้ว่า ทรอยทำเช่นนั้นจริงๆ เมื่อวงการเพลงป๊อปคลื่นลูกใหม่ ยุคชาวมิลเลนเนียลเข้าครอบครองพื้นที่ นับจากทรอยแล้วก็เริ่มมีอีกมากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น MNEK, Hayley Kiyoko และ Kehlani

ถึงอย่างนั้น เมื่อถูกไมค์จ่อถามมากๆ ถึงเรื่องการถูกยกให้เป็น GAY ICON ทรอยซีวานกลับปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “เขาไม่อยากเป็น”

เมื่อเขาเป็นเพียงเสียงเดียวจากความหลากหลายในสังคม LGBTQ ที่แวดล้อมอาศัยอยู่

“ผมเป็นตัวแทนเพียงเสี้ยวเดียวจากทั้งหมดในสังคมนั้น ทั้งยังโชคดีมากๆ ที่เป็นชาวเกย์ชนชั้นกลางผิวขาวที่ครอบครัวให้การยอมรับและสนับสนุน ผมไม่เคยอยากเป็น และ

ผมไม่คิดว่าในสังคม LGBTQ ควรมีตัวแทนเพียงคนเดียว ในเมื่อเรามีความแตกต่างและหลากหลายทางมิติอย่างมาก ผมไม่ควรเป็นตัวแทนในเมื่อยังมีคนอีกมากมายที่สมควรจะได้รับมันมากกว่าผม

“เพราะสำหรับผมแล้ว ผมแค่อยากเป็นตัวผม มีความสุขกับตัวเอง ชีวิตของตัวเอง และการได้แสดงมันออกมาคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผม”

So, stay strong and keep being proud, LGBTQ

อ้างอิง:
theguardian
pride
starobserver
rollingstone
gq
nme

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)ศิลปินการเติบโตเพศLGBTQ+

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป
Character building
17 September 2018

PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • กระบวนการเรียนรู้ของเด็กสำคัญมากกว่าคะแนน หรือ คะแนนสำคัญกว่า ยังคงเป็นข้อถกเถียง
  • Project Based Learning หรือ PBL หรือหลักสูตรการเรียนรู้ผ่านโครงงาน สามารถกระตุ้นให้ครูผู้สอน ผู้ปกครองกับตัวเด็กเองทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศึกษา เพราะให้ความสำคัญกับ ‘การพัฒนาทักษะ’ มากกว่าการเรียนเพื่อสอบ
  • ผลลัพธ์ของเด็กนักเรียนที่ผ่านหลักสูตร PBL คือ มีอาชีพ มีชีวิตฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น และเป็นบุคลากรที่มีประโยชน์ต่อสังคมและขับเคลื่อนให้สังคมดีขึ้น

ปฏิเสธได้ยากว่ากระจกสะท้อน ‘ความเก่ง’ ของนักเรียน และ ‘คุณภาพ’ ของโรงเรียนคือคะแนนของพวกเขาในใบรายงานผลและเกรดเฉลี่ย ในเมื่อตัวชี้วัดที่สามารถประเมินประสิทธิภาพการสอนตามตำราได้อย่างชัดเจนคือผลคะแนน

แล้วโรงเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบให้ความสำคัญกับ ‘การพัฒนาทักษะ’ ของนักเรียนมากกว่าการเรียนเพื่อสอบ โรงเรียนเหล่านั้นใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดว่านักเรียนมีคุณภาพกัน?

ในบทความว่าด้วยเรื่องการจัดการเรียนรู้ให้เด็กพัฒนาทักษะต่างๆ ผ่านการทำโครงงานหรือที่เรียกว่า Project-Based Learning (PBL) เขียนโดย อามะดูว์ ดิเอลโล (Amadou Diallo) ซึ่งเผยแพร่ใน เดอะเฮคคินเจอร์ รีพอร์ต วารสารออนไลน์ที่นำเสนอแง่มุมต่างๆ ในแวดวงการศึกษาทั่วโลก ดิเอลโลเข้าไปเก็บข้อมูลที่โรงเรียนมัธยมซึ่งมีหลักสูตร PBL ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา หลายแห่งและพบว่า เมืองนี้กำลังขับเคลื่อนให้การจัดการเรียนรู้แบบนี้ถูกบรรจุในหลักสูตรสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา ด้วยเชื่อมั่นว่าเป็นแนวทางที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเยาวชนในเมืองฟิลาเดลเฟียไปสู่ ‘ความสำเร็จ’ เพราะเด็กจะได้รับการเสริมสร้างทักษะจำเป็นซึ่งจะต่อยอดไปใช้ในระดับอุดมศึกษาและประกอบอาชีพเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ดิเอลโลตั้งคำถามสวนทางกับกระแสบวกของแนวทางนี้ ไว้อย่างน่าสนใจว่า ด้วยหลักสูตรนี้โรงเรียนจะสามารถกระตุ้นให้ครูผู้สอน ผู้ปกครองกับตัวเด็กเองทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศึกษาชั้นมัธยมได้หรือไม่? เป้าหมายของ PBL คือให้เด็กทำคะแนนได้สูงขึ้นหรือเตรียมความพร้อมให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่?

การเรียนรู้แบบ PBL ที่น่าจะเป็นแนวทางพัฒนาแห่งความหวังให้นักเรียนเติบโตไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นนี้ กำลังได้รับความนิยมจากผู้สนับสนุนด้านการศึกษาและองค์กรให้ทุนต่างๆ อย่างแพร่หลายมากขึ้นในฟิลาเดลเฟีย

การเรียนรู้แบบนี้ นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหัวข้อโครงงานที่เกี่ยวข้องกับชุมชนความเป็นอยู่ของตนเอง โดยมีครูเป็นเพียงผู้สนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะความสามัคคี การร่วมมือกัน การใช้ความคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา และเรียนรู้ตนเองผ่านกระบวนการวิจัยและนำเสนองาน

PBL ให้ความสำคัญกับพัฒนาการทักษะมากกว่าคะแนนใช่ไหม?

ถ้าโรงเรียนที่มีหลักสูตร PBL มองว่าพัฒนาการทักษะของนักเรียนสำคัญกว่าคะแนน แล้วอะไรเป็นตัวชี้วัด ความสำเร็จของโรงเรียนที่ใช้แนวทางนี้? ดิเอลโลตั้งหัวข้อบทความของเขาด้วยคำถามที่ว่า “โรงเรียนสามารถใช้ผลงานของเด็กเป็นตัววัดความสำเร็จแทนคะแนนสอบได้ไหม?” และหาคำตอบจากบุคลากรของโรงเรียนที่เขาไปเก็บข้อมูลเหล่านั้น

ข้อมูลที่เขาได้จาก มายา บลูมฟิลด์ คุกเชียรา (Maia Bloomfield Cucchiara) รองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเทมเพิลและผู้บริหารโรงเรียนมัธยมหลักสูตร PBL เหมือนจะตอบดิเอลโลอยู่กลายๆ ว่าสิ่งที่เขาคาดหวังอาจไม่สามารถทำได้ในความเป็นจริง

“ปัญหาใหญ่คือเรายังไม่ทราบว่าจะประเมินประสิทธิภาพของการเรียนรู้แบบนี้ได้อย่างไร” แม้จะเห็นได้ชัดว่าการสอบวัดระดับคะแนนไม่สามารถวัดทักษะของนักเรียนที่ได้รับจากโรงเรียนได้ทั้งหมด เช่นการมีส่วนร่วมในห้องเรียนหรือความคิดเชิงวิเคราะห์แง่ความสำคัญและการเชื่อมโยงขององค์ความรู้ แต่อย่างไรก็ตามคุกเชียราเห็นว่า “ข้อสอบวัดระดับก็ยังต้องมีอยู่”

โรงเรียนที่มีหลักสูตร PBL นักเรียนจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากโรงเรียนที่สอนรูปแบบเดิมอย่างมาก ดิเอลโลเล่าในบทความว่านักเรียนเกรด 9 ทุกคนที่โรงเรียนมัธยม Vaux Big Picture ในฟิลาเดลเฟียที่เขาไปหาข้อมูล มีคอร์สบังคับช่วงบ่ายให้ไปดูงานในธุรกิจต่างๆ หรือองค์กรที่อยู่ในชุมชนสัปดาห์ละครั้ง เพื่อหาลู่ทางฝึกงานที่ตนชอบในปีสุดท้าย

ตัวอย่างเช่นนักเรียนต้องไปโรงเบียร์เพื่อเรียนรู้เรื่องความสามัคคี ความรับผิดชอบ งานบริการที่จับต้องได้ ไปจนถึงพูดคุยกับเจ้าของร้านเรื่องปัญหาจุกจิกรายวัน หรือนักเรียนมัธยมในโรงเรียน Workshop ที่ใช้เวลา 50 เปอร์เซ็นต์ต่อวันทำโครงงานออกแบบที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือพลังแสงอาทิตย์ไปจนถึงการซ่อมอะไหล่ให้ลูกค้าในชุมชน

เดวิด บรอมลีย์ (David Bromley) ผู้ก่อตั้งโรงเรียน Vaux Big Picture อธิบายให้ดิเอลโลฟังว่า

“การฝึกงานคือการที่โรงเรียนเชื่อม ‘การเรียนรู้โลกจริง’ เข้ากับวิชาการ สำหรับเรา PBL เด็กจะได้พัฒนาโครงงานที่พวกเขาชอบกับองค์กรสักแห่งในชุมชน โครงงานที่มีพลังจะเปลี่ยนแปลงได้ เป้าหมายคือทุกอย่างที่เด็กๆ เรียนในห้องเรียนต้องได้เอาไปใช้ตอนฝึกงาน”

ไซมอน ฮาวเกอร์ (Simon Hauger) อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Workshop ย้ำในเรื่องนี้ว่า กระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ มีความสำคัญเท่ากับผลงานที่ทำออกมาจนสำเร็จ เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเด็กเอง สิ่งที่เด็กเรียนรู้ที่โรงเรียนควรสอดคล้องกับงานที่จะรองรับเขาเมื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ แก่นหลักคือการที่โรงเรียนต้องสร้างจิตสำนึกแห่งชุมชนอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้น ให้เด็กรู้สึกอุ่นใจพอที่จะกล้าเผชิญกับความลำบาก ได้ค้นหาความชอบของตนเองและประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองอย่างซื่อตรง โรงเรียนมัธยมควรเป็นที่ที่เด็ก

“สร้างสำนึกว่าตัวเองเป็นใครและมองเห็นอนาคตว่าตัวเองจะโตขึ้นไปเป็นอะไร”

ฟีดแบคคือ ครูไม่อยู่เกินเอื้อม เหมือนเป็นเพื่อนที่คุยกันได้

ดูเหมือนว่าโรงเรียนมัธยมที่สนับสนุน PBL กำลังคาดหวังไปถึงความสำเร็จในเชิงคุณภาพของประชากรที่เป็นผลิตผลของตนและการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอันมาจากกระบวนการเสริมสร้างทักษะจำเป็นเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงไม่อาจฟันธงได้ว่าคะแนนของเด็กในใบรายงานผลการเรียนไม่สำคัญเลย

เกเบรียล คูริลอฟ (Gabriel Kuriloff) อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Vaux อธิบายว่าแม้โรงเรียนมีตัววัดและประเมินผลการฝึกงานในแง่พัฒนาการอย่างเคร่งครัด แต่ผลประเมินเหล่านั้นไม่ได้ใส่ลงไปในใบรายงานผลการสอบวัดผลประจำปีของนักเรียนที่เป็นตัวบ่งชี้ศักยภาพของโรงเรียน

“มันไม่มีตัวชี้วัดได้หรอกว่าเด็กมีหรือไม่มีทักษะในการสื่อสาร สบตาผู้ฟังและพูดจาฉะฉานแค่ไหน”

สิ่งที่มิราเคิล ทาวน์ส (Miracle Townes) นักเรียนเกรด 12 โรงเรียน Workshop เล่าให้ดิเอลโลฟัง สนับสนุนคำกล่าวของคุกเชียราเรื่องที่ข้อสอบวัดระดับไม่สามารถชี้วัดทักษะทั้งหมดที่เด็กได้รับจากโรงเรียนเป็นอย่างมาก

ทาวน์สเล่าว่าสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ระหว่างทำโครงงานกับเพื่อนๆ คือทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นและวิธีกระตุ้นให้เพื่อนในกลุ่มแสดงพลังออกมาโดยหัดเป็นผู้ฟังที่ดี

นอกเหนือจากอุปสรรคของโรงเรียนที่มีหลักสูตร PBL ยังไม่สามารถหาวิธีวัดผลการเรียนรู้ที่แท้จริงของเด็กได้ ดิเอลโลยังพบว่าอุปสรรคใหญ่อีกประการ คือ PBL ไม่มีข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสากลว่า ในหลักสูตรนี้นักเรียนต้องพัฒนาทักษะด้านใดบ้าง แต่ละโรงเรียนที่มีหลักสูตรนี้ต่างก็มีรายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกัน

เช่นโรงเรียน Vaux ออกแบบหลักสูตรให้อิงกับการฝึกงานของเด็ก ในขณะที่บางโรงเรียนมีวิชาที่รองรับหลากหลายอาชีพและเฉพาะทางมากกว่า หรือบางแห่งออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมแวดล้อมนั้นๆ ผู้สนับสนุนด้านการศึกษาบอกดิเอลโลว่าถ้าจะมองให้ไกลกว่าผลคะแนนที่เด็กทำข้อสอบได้ ตัววัดความสำเร็จที่แม่นยำกว่าคือ เราต้องตามไปดูเด็กๆ หลังจากเรียนจบไปแล้วว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่ ทำงานที่เลี้ยงดูตนเองและสามารถยกฐานะตนเองได้ ไปเรียนต่อชั้นวิทยาลัยหรือโรงเรียนเฉพาะทาง

จากข้อมูลที่ได้พูดคุยกับบุคลากรของโรงเรียนมัธยมหลักสูตร PBL ดิเอลโลเห็นว่า ความสำนึกในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นและระหว่างนักเรียนกับครูนับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้การจัดการเรียนรู้นี้ประสบความสำเร็จด้วย ถ้านักเรียนกับครูมีความสัมพันธ์ที่ดี โรงเรียนก็สามารถดูแลเอาใจใส่เด็กในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากด้านวิชาการได้ทั่วถึงมากขึ้น

เช่นในโรงเรียนมัธยม LINC ในเขตที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงสุดในฟิลาเดลเฟียซึ่งนักเรียนมีโครงงานออกแบบบ้านพักอาศัยและวิเคราะห์รูปแบบของคดีอาชญากรรมในชุมชนที่กำลังดำเนินอยู่

บริดเจ็ต บูแจ็ค (Bridget Bujak) อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนบอกว่า

“ถ้าจะให้ดีต้องสร้างวัฒนธรรมการเอาใจใส่ใจซึ่งกันและกัน ถ้านักเรียนหรือครูมีเรื่องอะไรกันก็ต้องมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ปล่อยผ่าน”

โรสบีริส โกเมซ (Rosbeiris Gomez) นักเรียนเกรด 11 ยืนยันในเรื่องนี้ว่าเมื่อตระหนักว่ามีคนห่วงใย เธอกล้าเล่าปัญหาส่วนตัวให้ครูที่โรงเรียนฟังเพื่อขอความช่วยเหลือ “ทุกคนในโรงเรียนรู้จักกันหมด” เธอบอก “คุณบูแจ็คมักจะคอยถามสารทุกข์สุกดิบหนู เธอรู้ปัญหาของหนูตั้งแต่ตอนเข้ามาปีแรก เธอคือคนที่หนูจะไปหาถ้าหนูจิตตกหรือไม่สบายใจ”

ทามิร์ ฮาร์เปอร์ (Tamir Harper) นักเรียนเกรด 12 ของสถาบัน Science Leadership Academy เล่าว่าเขาเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่หมกมุ่นกับการทำเกรดเอ มาให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนในโรงเรียนและมองว่าโรงเรียนคือพลังที่ขับเคลื่อนชุมชนไม่ใช่เรียนทำโครงงานไปวันๆ

ขณะที่เพื่อนร่วมชั้น เมดิสัน มิลิเทลโล (Madison Militello) เล่าว่าเธอมาจากโรงเรียนมัธยมต้นที่เข้มงวดมากจนไม่มีพื้นที่ให้เด็กๆ สานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

“ที่นี่ หนูไม่รู้สึกว่าครูอยู่เกินเอื้อม เหมือนเป็นเพื่อนที่คุยกันได้” เธอเล่าว่าสนิทกับครูบางคนทั้งที่ไม่ได้เรียนในชั้นเรียนของเขาเลยด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุด ทักษะจาก PBL จะช่วยเพิ่มคะแนนและความเข้าใจ

สำหรับประเด็นความแตกต่างของโรงเรียนที่รับนักเรียนเข้าศึกษาโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก (Non-Selective School) กับโรงเรียนที่ต้องสอบคัดเลือกเข้าไปเรียน (Selective School) ดิเอลโลพบว่ามีข้อได้เปรียบในโรงเรียนที่ใช้ระบบสอบคัดเลือกเด็ก ในแง่ที่เด็กที่สอบผ่านเข้ามาจะมีทักษะการอ่านเขียนได้ดีกว่าเป็นต้นทุน ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนแม่เหล็กที่มีแผนการสอนมุ่งเน้นด้านใดด้านหนึ่งเพื่อเน้นให้นักเรียนมีความเป็นเลิศเฉพาะทางอย่าง Science Leadership Academy ด้วยแล้ว เด็กเกรด 12 มีแนวโน้มจบถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และ 84 เปอร์เซ็นต์เข้าเรียนต่อระดับวิทยาลัย คะแนนวิชาพีชคณิต ชีววิทยาและวรรณคดีอังกฤษของเด็กในโรงเรียนมากกว่าค่าเฉลี่ยของโรงเรียนระดับเขตถึง 2 เท่า

คริส เลห์แมน (Chris Lehmann) อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Science Leadership Academy ตระหนักถึงข้อได้เปรียบนี้ แม้เขาจะบอกว่าโรงเรียนไม่ได้สอนเพื่อสอบ แต่เขาบอกว่าโรงเรียนต้องสามารถพิสูจน์ว่าการเรียนการสอนสะท้อนออกมาเป็นผลคะแนนที่ดีด้วย โรงเรียนต้องแสดงให้เห็นว่ากระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนกับผลคะแนนสมดุลกัน

ส่วนความแตกต่างระหว่างโรงเรียนหลักสูตร PBL กับโรงเรียนที่มีการสอนแบบอื่นๆ นั้น คริสตินา แกรนท์ (Christina Grant) ผู้ช่วยผู้อำนวยการศึกษาธิการซึ่งดูแลกลุ่มโรงเรียนที่มีการสอนแบบ PBL ในเมืองฟิลาเดลเฟีย บอกว่า แม้โรงเรียนที่สอนแบบ PBL จะให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดที่ทำการประเมินได้ยาก แต่อย่างไรโรงเรียนเหล่านั้นก็ยังต้องรับผิดชอบต่อผลคะแนนของเด็กเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่นๆ อยู่ดี

ในท้ายที่สุดแล้ว คำตอบที่ดิเอลโลได้รับจากการพูดคุยกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับ PBL เหล่านี้ก็ล้วนชี้ไปยังปลายทางที่ว่า ตัวชี้ประเมินความสามารถของนักเรียนและโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรนี้ก็ยังคงเป็นคะแนนสอบอยู่ดี เพราะครูผู้สอนเหล่านี้ เชื่อมั่นว่าทักษะที่เด็กได้รับไม่ว่าจะเป็นความสามัคคีในการทำงาน การคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาจะช่วยให้ผลคะแนนที่เป็นตัวชี้วัดแบบเก่าเช่นคะแนนวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านของนักเรียนเพิ่มขึ้นในท้ายที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นเด็กจะพร้อมสำหรับการก้าวไปสู่โลกการใช้ชีวิตที่แท้จริงหลังเรียนจบออกไปนั่นเอง

คงต้องยอมรับว่า โรงเรียนหลักสูตร PBL ไม่สามารถหยิบยกทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรนี้มาวัดประสิทธิภาพได้เต็มปากเท่าผลคะแนนด้วยเพราะทักษะเหล่านั้นไม่สามารถใช้การวัดประเมินเชิงตัวเลขได้ แต่หากมองตามจริงแล้ว โรงเรียนที่มีหลักสูตรนี้มีประโยชน์โดยตรงต่อตัวเด็กซึ่งเป็นกองทัพบุคลากรที่เหมือนได้ผ่านการฝึกซ้อมเคี่ยวกรำจากโลกแห่งการทำงานเสมือนจริงก่อนลงสมรภูมิ เมื่อเด็กจากโรงเรียนเหล่านี้ได้รับภูมิคุ้มกันเตรียมความพร้อมแต่เนิ่นๆ พวกเขาอาจตระหนักอย่างถ่องแท้ได้เองว่าคะแนนสอบเป็นแค่ตัวเลขที่ไร้ความหมายในโลกแห่งความเป็นจริงข้างนอกนั้นก็เป็นได้

อ้างอิง:
Can Schools Change Measures of Success by Focusing on Meaningful Work Instead of Test Scores?

Tags:

ครูระบบการศึกษาproject based learningคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนการสอบ

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel