Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด
Growth & Fixed Mindset
3 October 2018

‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

เรื่อง

  • กล้า-เดชาพล เลิศสุรัตน์ เป็นหนึ่งในเยาวชนในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ หนึ่งในผู้พัฒนาเครื่องรดน้ำเห็ดอัตโนมัติ Perfect KINOKO
  • กล้าเริ่มต้นจากสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างเรื่องของ IoT (Internet of Things) มาผสมกับความรู้ที่อยู่ใกล้ตัวอย่างการเพาะเห็ด และความรักในธรรมชาติของเขา
  • สมองของมนุษย์จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในอารมณ์ที่มั่นคง และมีความเครียดเล็กน้อย ที่เกิดจากความท้าทาย
เรื่อง: วรุตม์ นิมิตยนต์

“ผมชอบงานด้านเน็ตเวิร์ค ได้แรงบันดาลใจมาจากพวกหนังแฮคเกอร์ แบบเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน”

‘กล้า’ เดชาพล เลิศสุรัตน์ ตอบคำถามว่าทำไมถึงเลือกเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล้าคือหนึ่งในเยาวชนในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ หนึ่งในผู้พัฒนาเครื่องรดน้ำเห็ดอัตโนมัติ Perfect KINOKO

“คุณครูมาชวนว่าอยากแข่ง NSC (การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย) ไหม เราก็เลยไปหาแนวคิดมาว่าอยากจะทำอะไรดี ก็ไปรู้จากคนใกล้ตัวที่ทำฟาร์มเห็ดอยู่ ส่วนตัวแล้วก็อยากทำเกี่ยวกับ IoT (Internet of Things) ก็เลยเสนอครูแล้วก็ทำเรื่องนี้”

สำหรับกล้า การเริ่มต้นยากมากเพราะเริ่มจากศูนย์ทั้งหมด ทั้งเรื่องเขียนโปรแกรมและการเพาะเลี้ยงเห็ด โดยเฉพาะเห็ด เพราะไม่ใช่แค่ปลูกเห็ด แต่รวมถึงการดูแล ทำความสะอาด ความสม่ำเสมอ ซึ่งต้องอาศัยทั้งวินัยและความรับผิดชอบ

“คนอื่นเขาอาจจะเริ่มจากเล็กๆ แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นใช่ไหม แต่อันนี้คือข้ามมาใหญ่เลย จะถอนตัวก็ยากมาก มาจนสุดทางแล้วก็ต้องทำให้สุด แล้วเราไม่ได้ทำคนเดียว ต้องดูแลเพื่อนๆ ด้วย” ความยากของกล้าเมื่อต้องเริ่มอะไรใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องเอาให้อยู่ทั้งเรื่องงานกับเรื่องเรียน

อีโก้ (Ego) สลายตัว

“พวกผมมีสี่คน ก็ต้องจัดการเวลา มีเพื่อนหนึ่งคนอยู่บางพระ ตอนเช้าเขาก็จะช่วยเก็บให้ เพราะเห็ดจะออกตอนแรกช่วงเช้า ส่วนอีกสามคนก็ต้องผลัดกันไป ก็ได้ครอบครัวไปส่ง ที่บ้านก็มีบ่นๆ บ้างว่ายังทำอีกเหรอ พอได้แล้ว แต่เราก็ไม่ได้สนใจมาก เพราะเขาไม่ได้มาทำกับเรา แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นห่วง อยากให้เรียน แต่ผมเองก็ยังเรียนได้อยู่ เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ห้าม แค่เป็นห่วงเราเฉยๆ”

ส่วนการทำงานกับเพื่อนๆ เนื่องจากกล้าเองเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม อีกทั้งยังอยู่คนละห้องกับคนอื่นด้วย (เพื่อนของกล้าอีก 3 คนอยู่ห้องเรียน Gifted ด้วยกัน) ซึ่งกล้าเองก็ยอมรับว่าตอนแรกมีปัญหามาก เพราะตัวเองมีอคติกับเพื่อน รู้สึกว่าคนพวกนี้ต้องคิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ฟังความเห็นกล้าที่เป็นหัวหน้าทีม จนกระทั่งมีโอกาสได้พูดคุยเปิดใจกันในค่ายต่อกล้าให้เติบใหญ่

“ผมใช้วิธีเปิดใจรับ ตอนแรกคิดว่าพวกเขาอีโก้สูงแต่จริงๆ ไม่ใช่ ผมนี่แหละอีโก้สูงเอง เพื่อนๆ มีความคิดที่ดี ก็เข้าไปทำงานกับเขา ค่ายฯ ทำให้เราค้นพบตัวเองได้ หลังจากเรายอมรับตัวเราได้ เราก็รับตัวตนทุกคนได้ กลายเป็นคนไม่โกรธใคร เข้าใจคนอื่น ถึงบางทีเพื่อนจะเทงานใส่เราก็ตาม ก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาเขา”

เป้าหมายในฝัน

ทุกวันนี้กล้าเป็นนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่จริงๆ แล้วความฝันก่อนหน้านี้ของกล้าคือการเป็นพ่อครัว ทำอาหาร

“ตั้งแต่ ม.ต้น ผมตั้งใจจะเรียนทำอาหาร เพราะไม่อยากทำงานใต้ความกดดัน แข่งกับเวลา แต่เพิ่งมาเปลี่ยนความคิดได้ตอนอาจารย์ชวนทำโครงการฯ

“จริงๆ ความชอบผมมีหลายอย่าง ที่แน่ๆ คือปลูกต้นไม้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้ธรรมชาติดูแลตัวเอง อย่างผมเองก็ชอบให้สิ่งๆ นั้นดูแลตัวมันเองได้ ถ้าหากว่าเขียนโปรแกรมออกแบบระบบก็จะให้มันดูแลตัวของมันเองด้วยเหมือนกัน” กล้าย้ำในสิ่งที่เขาชอบ ซึ่งสามารถประยุกต์ให้เข้ากับโครงการที่ตัวเองทำได้

จนสำเร็จออกมาเป็นเครื่องรดน้ำเห็ดอัตโนมัติ ซึ่งสามารถทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง…

‘ทำ’ เป้าหมายให้เป็นจริง

เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องไปให้ถึงจงได้ สเต็ปแรกคือ เข้าไปอยู่ในโรงเพาะเห็ดเลย

“ไปดูว่าทำไมมันชื้นแต่ก็ยังรดน้ำ ก็ไปเจอว่าโรงเห็ดมันร้อนเพราะเราตั้งกลางแจ้ง ลมพัดความชื้นออกไปหมด หลายคนก็แนะนำให้ย้ายที่ แต่เราก็ไม่อยากหนีปัญหา ทางเดียวที่ต้องทำคือทำให้เครื่องเราใช้งานได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”

กล้าและเพื่อนๆ เลือกที่จะเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง พร้อมที่จะปรับแก้เมื่อเกิดปัญหา ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจ และแตกต่างกับเด็กหลายคนที่ไม่กล้าลงมือทำเพราะกลัวว่าจะผิด

“คิดว่าเรื่องผิดมันมีอยู่แล้ว เรารอให้มันสำเร็จแล้วใช้งานจริงไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์จบลงที่ไหน ถ้าทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องกล้าเผยแพร่ไปก่อน ถ้ามีปัญหาก็รับมาแล้วแก้ เพื่อให้ไปถึงจุดร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้ ไม่ใช่รอทำถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่อยออกขาย”

เป้าหมายที่เกินคาด

กล้าบอกถึงความรู้สึกหลังจากได้ทำโครงการฯ ว่า “สนุกมากครับ ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ จากโครงงานเล็กๆ กลายมาเป็นนานาชาติ เพื่อนๆ เองก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะมาถึงสามปี

“ตอนเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะตอนนั้นมีคำถามว่า อยากจะทำให้ออกไปใช้ได้จริงไหม ผมก็อยาก แต่ไม่นึกว่าจะต้องมาทำเรื่องการตลาด เรื่องผู้ใช้งาน เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่โครงการธรรมดา แต่มันกำลังกลายเป็นของออกสู่ตลาด

“ตกใจมากว่าจะมีคนใช้ของเราไหม แล้วใครจะมาใช้อะไรแบบนี้”

กล้าคนใหม่

หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ทำงานอย่างหนักมาสามปี กล้าเล่าให้ฟังถึงมุมมองของครูในโรงเรียนที่มองกล้าเปลี่ยนไป เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การพูดจา วางตัว ที่ดีกว่าเดิม รวมถึงการทำงานที่จริงจัง และทุ่มเทมากขึ้น เพราะกล้าอยากให้งานสำเร็จ มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อคะแนน แต่อยากเห็นผลของงานที่เกิดขึ้น

“เรามีความคล่องแคล่วในการแบ่งงานมาก เพราะเรามักสำรวจว่าเพื่อนถนัดอะไร มีศักยภาพแบบไหน ทำให้เราแบ่งคนไปทำงานได้ถูกที่ และด้วยความที่เคยทำมาก่อน เราก็เลยรู้ว่าควรทำอะไรบ้าง และงานที่ดีมันควรจะออกมาเป็นแบบไหน”

กล้าบอกเล่าทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม เพราะสุดท้ายสิ่งที่พวกเขาเริ่มต้น ด้วยความไม่คาดฝันว่ามันจะกลายมาเป็นงานที่ใหญ่ กินเวลาหลายปี และออกดอกผลส่งให้เขาสามารถใช้เป็นใบเบิกทางเข้าสู่มหาวิทยาลัยและได้เรียนในคณะที่เขาตั้งใจไว้

ตลอดระยะเวลาที่นั่งคุยกับกล้า เราแทบไม่จำเป็นต้องให้คำถามอะไรมาก เหมือนสิ่งที่เขาทำมันอยู่ในตัวของเขาอยู่แล้ว กล้าสามารถพูด บอกเล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะทุกอย่างผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง

ในส่วนของพัฒนาการทางสมอง กล้าทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า การเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นได้ลงมือทำงานของพวกเขาอย่างเต็มที่นั้นส่งผลชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงของสมองของพวกเขา ซึ่งแสดงออกผ่านทางพฤติกรรม การวางตัว การทำงาน ที่แตกต่างไปจากเด็กวัยรุ่นทั่วไป

เพราะการเรียนรู้แบบ active learning ที่ได้ลงมือทำจริง ทำให้พวกเขาใช้ศักยภาพของสมองทุกส่วน การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ผูกโยงกับสมองส่วน limbic ที่ควบคุมเรื่องอารมณ์ซึ่งเติบโตเต็มที่ในช่วงของวัยรุ่น ให้เกิดเป็นพลังเพื่อให้พวกเขากล้าที่จะทดลองผิดถูก เพราะรู้ว่าปลายทางความสำเร็จนั้นมีเป้าหมายที่ท้าทายให้พวกเขารอไปพิชิตอยู่

ในทางกลับกัน หากเป้าหมายนั้นไม่ท้าทาย หรือยากจนเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้สำเร็จ สมองของพวกเขาก็จะไม่กระตุ้นให้พวกเขาลงมือทำ ดังนั้นในฐานะคนจัดกระบวนการเรียนรู้ หรือครอบครัวที่ดูแลเด็กวัยรุ่น เราจะทำอย่างไรให้พวกเขารู้สึกมั่นคงพอที่จะกล้าออกไปเผชิญกับเป้าหมาย และความท้าทายแบบไหนที่สร้างความเครียดเพื่อกระตุ้นพวกเขาในระดับที่พอดี

ถ้าหากเราสร้างมันได้ดีพอ เราก็จะได้เห็นการเติบโตของพวกเขาที่เต็มศักยภาพ พร้อมกับความเป็นไปได้ไม่รู้จบอย่างแน่นอน

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)อาชีพโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมนวัตกร

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ทอ-ไอ-ยอ-ไทย แอพไทยเพื่อเด็กอ่านไม่ออก ฝีมือโปรแกรมเมอร์ ม.6

    เรื่อง

ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก
How to get along with teenager
3 October 2018

ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

อ่านและเรียนรู้เจ้าอสูรร้ายและวิธีการปราบอย่างละเอียดได้ที่นี่ 5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING
Unique Teacher
2 October 2018

‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

เรื่อง

  • การให้เด็กร่วมทำโปรเจ็คท์จะช่วยเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไปได้ เพราะหนึ่งทีมต้องมีสมาชิกที่มีทักษะหลากหลาย ถึงจะก่อให้เกิดงานคุณภาพ บรรลุตามเป้าหมายได้ เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ ที่นอกเหนือจากความถนัดของตัวเอง
  • สิ่งที่สำคัญอยู่ที่กระบวนการระหว่างทางมากกว่างานสำเร็จ เพราะระหว่างทางจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนวางแผน รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีค่ามากกว่ารางวัล
  • การที่ครูหรือครอบครัวเข้าใจเด็ก และทำให้เขามั่นใจว่าแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะถูกหรือผิด แต่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือ การสร้างพื้นที่ซึ่งมั่นคง เหล่านี้ทำให้พวกเขากล้าที่จะลองผิดถูก และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เรื่อง: วรุตม์ นิมิตยนต์

“ไม่ใช่แค่นางสาวไทยเท่านั้นที่รักเด็ก แต่สำหรับคนเป็นครู ทุกคนจะต้องมีความรักเด็กเป็นพื้นฐาน เราเป็นครูก็อยากให้เด็กเติบโต อยากเห็นเด็กมีอนาคตที่ดี ไม่ใช่แค่เด็กในโครงการเท่านั้น เด็กคนไหนมีปัญหามาบอก เราเป็นครูก็ต้องช่วย” นี่คือคำตอบจากอาจารย์ ศรา หรูจิตตวิวัฒน์ หรือ คุณครูฝ้าย เมื่อถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นครูคืออะไร

นอกจากเป็นอาจารย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว ครูฝ้ายยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้กับน้อง ภีร์ ไอซ์ และเพลง ผู้พัฒนาโปรแกรม ทอ-ไอ-ยอ-ไทย เพื่อเป็นสื่อการสอนวิชาภาษาไทยเรื่องการอ่านสะกดคำให้กับเด็กอนุบาล ถึงประถมศึกษาปีที่ 1 ภายใต้โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

“โครงการทำให้เด็กๆ พัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อนำไปใช้งานได้จริง ตรงนี้เป็นจุดที่ตัดสินใจได้ง่ายว่าโครงการนั้นมีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือมันไม่จบแค่ว่าได้รางวัล แต่งานที่ทำไปถึงมือผู้ใช้ มันเป็นคุณค่าที่เรามองเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก อยากบอกเด็กๆ ว่า หากเราทำอะไรสักอย่างควรที่จะพัฒนามันเพื่อคนอื่น”

ครูฝ้ายกล่าวถึงสาเหตุที่เลือกส่งเด็กเข้าร่วมโครงการต่างๆ หรืองานประกวด เธอรู้สึกว่าสิ่งนี้จะช่วยเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไป และเป็นสิ่งที่เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้จากในห้องเรียน ดังนั้นการเลือกเด็กหรือคนที่จะเข้ามาร่วมทีมนั้นเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ และเติบโตไปได้มากยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

“เราต้องดู skill ของน้องๆ ว่ามีความสามารถทางไหน เช่น ทำโครงงานก็ไม่เอาคนที่มี skill เดียวกันมาอยู่ด้วยกัน เพราะการทำงานเป็นทีมต้องใช้คนหลาย skill จะก่อให้เกิดงานที่มีคุณภาพ บรรลุตามเป้าหมายได้”

ครูฝ้ายเล่าต่อว่า ทีมที่เข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ฯ ที่พัฒนาแอพพลิเคชั่น ก็จะเปิดโอกาสให้ทั้งคนที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ เป็นคนขับเคลื่อนงานเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็ต้องเลือกคนที่มีทักษะด้านการออกแบบเพื่อให้งานมีความน่าสนใจ หรือมีคนที่ทำหน้าที่ประสานงานก็จะช่วยให้ทีมทำงานกันได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ทีนี้พอเลือกคนที่จะทำงานได้แล้วอีกส่วนที่สำคัญคือขั้นตอนตั้งต้นในการทำงาน

“จะให้เด็กๆ เสนอกันว่าอยากทำโปรเจ็คท์เรื่องอะไร เราก็คอยชี้แนะ สิ่งสำคัญคือเวลาเด็กทำโปรเจ็คท์อะไร ถ้าทำเพราะเด็กอยากทำเพียงอย่างเดียว ก็จะจบแค่ที่ตัวเขาเอง ไม่รู้ว่าที่ทำไปมีประโยชน์ หรือใช้ได้จริงหรือเปล่า ก็จะพยายามชวนเด็กๆ ลงพื้นที่ไปคุยกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะเด็กจะได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นนอกเหนือจากมุมของตัวเองหรือเพื่อนรอบๆ ตัว จะทำให้โปรเจ็คท์ที่คิดขึ้นมามีประโยชน์ สามารถช่วยแก้ปัญหาได้จริง”

หลังจากนั้นครูฝ้ายก็จะชวนเด็กๆ มาลองแบ่งหน้าที่ และวางแผนการทำงานที่ชัดเจน เพราะทุกคนยังเป็นนักเรียน ซึ่งหมายความว่าจะต้องไม่ให้ผลการเรียนตก รวมถึงการที่มารวมทีมกันนั้น ต่างคนก็มาจากคนละห้อง คนละชั้นปี จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มงาน

เด็กพร้อมลุย พ่อแม่ต้องพร้อมเข้าใจ

ครูฝ้ายบอกว่า “ต้องคุยกับพ่อแม่อยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นก่อนจะทำงานเลย ไม่งั้นเจอปัญหาระหว่างทางแล้วต้องทิ้งงานกลางทาง อันนี้จะแย่ยิ่งกว่า เด็กจะต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน ทั้งเรื่องที่ต้องกลับบ้านเย็น หรือเสาร์อาทิตย์ต้องมาทำงาน จุดนี้พ่อแม่ยอมไหม รวมไปถึงการทำความเข้าใจกับทางโรงเรียน ครูประจำวิชาอื่นของเด็กๆ ที่ต้องขาดเรียน หรือการใช้ทรัพยากรของโรงเรียนมาสนับสนุน ซึ่งโรงเรียนเองก็ให้การสนับสนุนทุกคนอย่างเต็มที่”

แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานนั้นครูฝ้ายให้ความเห็นว่า

“ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของเวลา เพราะเด็กๆ มีการบ้านที่ต้องจัดการเยอะ แต่เราก็จะบอกเสมอว่าเราเหนื่อยเป็นเพื่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ มีปัญหาก็มาคุยกัน เราพยายามทำให้เขาเห็นว่าถึงเขาจะแลกเวลาช่วงนี้กับการไม่ได้ไปห้าง ไปเที่ยว แต่มันจะเห็นผลตอนพวกเขาเรียนมหาวิทยาลัย ได้แต้มต่อจากกระบวนการทำงาน กระบวนการคิด”

“เราขอเขาอย่างเดียว ขอให้รับผิดชอบงานจนเสร็จ ถึงงานจะไม่ดีตามเป้าที่วางไว้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องรับผิดชอบให้จบ อย่าทิ้งกลางคัน มันไม่ใช่แค่การทิ้งงาน แต่มันคือการทิ้งเพื่อน เพราะเราให้ความสำคัญกับกระบวนการระหว่างทางในการสร้างงานมากกว่างานสำเร็จ เพราะสิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนวางแผน รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีค่ามากกว่ารางวัล”

หน้าที่ครู ไม่ใช่แค่สอน

ปกติแล้วครูก็มีภาระงานที่ต้องทั้งสอน ทั้งสอบ ทำเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แล้วพอต้องมาทำหน้าที่เป็นโค้ช ให้คำปรึกษา ดูแลเด็กไม่ต่างอะไรจากลูกของตัวเอง ครูฝ้ายมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภาระ เพราะปกติก็สอนในห้องอยู่แล้ว การมาทำโครงงานนี้เหมือนเป็นการต่อยอดจากการเรียนการสอนในห้อง

“เราถามเขาว่าอนาคตที่มองไว้อยากเป็นอะไร เราก็มาชวนกันเติมอนาคตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าที่บอกว่าชอบ มาลองทำแล้วชอบจริงใช่ไหม ทำไปสัมผัสไป ไปเจอคนในวงการ เพื่อดูว่าเขาชอบจริงใช่ไหม ซึ่งเราก็จะได้สนับสนุนไปจนสุดทางของเรา”

“ถ้าถามว่า สอนเหนื่อยมั้ยก็เหนื่อย ยากมั้ยก็ยาก เพราะเจอเด็กหลากหลายประเภท แต่เรามีความสุข ที่อยู่ได้ตรงนี้เพราะเด็ก พอเจอเด็กเปลี่ยนไปในทางที่ดีเราก็รู้สึกดีแล้ว เหมือนพัฒนาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีตามที่เราเห็นว่าดี เป็นความสุขของเรา สามารถทำให้เด็กคนหนึ่งจากที่ไม่เป็นอะไรเลย เป็นผู้นำหรือทำงานกับคนอื่นได้ และเป็นคนที่มีค่าต่อสังคม แบบนี้ก็หายเหนื่อย”

“เราไม่ต้องให้เด็กเข้าหา เราเข้าหาเด็กบ้างก็ได้ เราเองก็ต้องมีเรื่องที่เด็กคุยได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ครูที่เข้าใกล้ไม่ได้ เข้ามาคุยกันเลย เปิดใจสบายๆ ไม่ฟอร์มครูจ๋า ทำไงก็ได้ให้เด็กสบายใจที่จะเข้าหาเรา ถ้าไม่อย่างนั้นเวลาเกิดปัญหาเขาจะไม่กล้ามาปรึกษา งานจะไม่เกิด เด็กจะเกรงใจไม่อยากให้ครูเดือดร้อน” ครูฝ้ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ตลอดช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับครูฝ้าย สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่ครูฝ้ายมักจะเล่าถึงรายละเอียดเล็กน้อย ที่น่าสนใจของลูกศิษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์น่ารักๆ อย่างการงอนกัน หรือการทะเลาะกัน มีปัญหา ร้องไห้ ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้เป็นจุดที่สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการทำหน้าที่เป็นครูที่ปรึกษาภายใต้โครงการแล้ว ครูฝ้าย ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนเพื่อนร่วมคิด ร่วมพูดคุย ในการใช้ชีวิตของเด็กๆ มาโดยตลอด

สร้างประสบการณ์ เติมฝันให้เป็นจริง

สิ่งที่ครูฝ้ายทำนั้น สอดคล้องกับพัฒนาการสมองของวัยรุ่นได้อย่างลงตัว คือ การมองเห็นและหยิบเอาศักยภาพที่เป็นจุดเด่นของเด็กมาใช้เป็นจุดดึงให้เขามาทำงาน พร้อมกับเชื่อมโยงประเด็นทางสังคมเข้าไป คือการเชื่อมเรื่องใหม่เข้ากับความคุ้นเคยเดิมของพวกเขา

เปรียบเหมือนสมองที่มีเครือข่ายประสาทที่แข็งแรงในเรื่องหนึ่ง หากไปสร้างโครงข่ายใหม่โดยไม่สนใจเรื่องเดิมเลย เหมือนกับการเรียนการสอนที่แบ่งแต่ละวิชาออกจากกัน ย่อมยากกว่าการเชื่อมโยงสิ่งที่อยากให้พวกเขาสนใจ เข้ากับความสนใจเดิมของพวกเขา เครือข่ายประสาทในสมองก็ย่อมเติบโตและเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

นอกจากนี้ การที่ให้แต่ละคนร่วมทีมกันโดยที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ก็ส่งผลสำคัญที่มากไปกว่าความสมบูรณ์ หรือความสำเร็จของงาน นั่นคือการที่พวกเขาจะได้เรียนรู้และทำความรู้จักกับผู้คนที่มีพื้นฐานแตกต่างไปจากตัวเอง มีความหลากหลาย ซึ่งไม่ต่างอะไรจากโลกของการใช้ชีวิตที่พวกเขาจะต้องได้เจอข้างหน้า การสร้างพื้นที่เหล่านี้ตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้สมองของพวกเขาเกิดการเรียนรู้ทักษะด้านอารมณ์ (soft skill) และจัดวางมันไว้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในอนาคตของพวกเขา

ส่วนสุดท้าย ที่หลายคนมักมองข้ามไปเสมอ นั่นคือการที่ครูหรือครอบครัวนั้นอยู่กับพวกเขา และทำให้เด็กมั่นใจว่าแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะถูกหรือผิด แต่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือ การสร้างพื้นที่ซึ่งมั่นคงเหล่านี้ จะทำให้พวกเขากล้าที่จะลองผิดถูก และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ในทางกลับกัน การไม่เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ทดลอง หรือทอดทิ้งให้พวกเขาเผชิญกับปัญหาโดยไม่มีความมั่นใจ จะก่อให้เกิดความเครียดสะสม ที่จะไปขัดขวางกระบวนการพัฒนา Executive Function ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสมองของพวกเขาในอนาคต

ดังนั้นแล้วสิ่งที่ครูฝ้ายทำ จึงเป็นมากกว่าแค่ผู้ที่มอบความรู้ให้กับลูกศิษย์ แต่ยังเป็นผู้ร่วมกันค้นหาตัวตนของพวกเขา ดึงเอาศักยภาพที่หลบซ่อนอยู่ออกมา และมอบความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตในศตวรรษที่ 21 ต่อไปในอนาคตให้กับพวกเขา

นี่คือ “ครูเพื่อศิษย์” ที่แท้จริง

Tags:

ครูโคชคาแรกเตอร์(character building)โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมนวัตกร

Author:

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

“ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ
21st Century skills
1 October 2018

“ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • คนรุ่นใหม่แบบไหนที่ซีอีโออยากทำงานด้วย คือคำถามสำคัญในวันที่เราตั้งคำถามว่าสังคมต้องการคนรุ่นใหม่แบบไหน
  • ความคิดความเห็นของ รวิศ หาญอุตสาหะ น่าสนใจเพราะถอดจากประสบการณ์ปรับลุค ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ให้กลับมาเดินได้ใหม่ในรันเวย์ภายใต้ชื่อ Srichand Cosmetics
  • Grit, Growth Mindset, Character Building ฯลฯ และอีกหลายๆ ทฤษฎีที่เคยอ่านมา รวิศถอดรหัสและแปรรูปให้เป็นภาคปฏิบัติทั้งหมดในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

ในวงธุรกิจ ทุกคนรู้จัก รวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด จากการแต่งตัวใหม่ให้ผู้หญิงอายุ 80 ปีที่ดูไทยมากๆ อย่าง ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ให้กลายเป็น Srichand Cosmetics – สุภาพสตรีรุ่นใหม่ หน้าอ่อนกว่าวัย มั่นใจแต่เรียบร้อย

เป็นคำอธิบายเปรียบเทียบเพื่อให้เห็น Before-After อย่างชัดเจน ทุกวันนี้ซีอีโอวัย 39 ปี มีพนักงานในความดูแลราว 200 คน ไล่ตั้งแต่รุ่นใหม่ไปจนถึงเลยเกษียณ การบริหารและดูแลจึงแตกต่างกันตามวัย

“เราพยายามดูว่า อะไรคือ value ของคนแต่ละวัย  คนรุ่นพ่อแม่ เชื่ออยู่ 3 คำ คือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน แต่เด็กยุคใหม่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขยัน ซื่อสัตย์ อดทนนะ เพียงแต่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ต่างออกไปคือ freedom, sexuality และ autonomy (ความอิสระและเป็นตัวของตัวเอง)”

ความสำเร็จในการรีแบรนด์-ไม่สิ อาจจะเรียกว่า ‘รีเบิร์ท เกิดใหม่’ เลยก็ได้ อาจการันตีได้ว่าเขาเข้าใจ และสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้ตรงจุด แต่ในบทบาทคุณพ่อของลูกสาวสองคน (7 ขวบ และ 4 ขวบ) สิ่งที่รวิศเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ คือทักษะสำคัญในการใช้ชีวิต

“คาแรคเตอร์ที่ควรมีในปัจจุบันกับทักษะที่ต้องปั้นในอนาคต” จึงเป็นหัวข้อที่ The Potential สนทนากับ รวิศ หาญอุตสาหะ ในวันนี้

จากการทำงานและสื่อสารด้วย คนรุ่นใหม่ พ.ศ.นี้เป็นอย่างไร

คนรุ่นใหม่อายุ 20-30 ปี ส่วนใหญ่ค่อนข้างรู้เรื่องเยอะกว่าคนยุคผม เหมือนเขาผ่านความซับซ้อนของโลกเยอะกว่า เขาเห็นจากโซเชียลมีเดีย รู้ข่าวเยอะกว่า ทำให้เขามีความซับซ้อนในตัวเองเยอะ แต่ละคนจึงมีคาแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างชัดเจน ที่เห็นได้ชัดเลยคือกล้าแสดงออกมากขึ้น ถ้าเกิดเห็นว่ามันไม่ใช่ก็จะกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่ ต่างจากคนยุคผมที่ไม่ได้ถูกฝึกมาแบบนี้ เด็กยุคใหม่เวลาสั่งงานก็ไม่ต้องไปบอก 1-2-3-4 หรอก ต้องบอกว่าอยากได้อะไร เมื่อไหร่ แล้วมีอะไรให้บ้าง เดี๋ยวเขาจะจัดการของเขาเอง นี่คือสิ่งที่คิดว่าเขาอยากได้

รวิศ หาญอุตสาหะ

สิ่งที่ต้องมีแต่เด็กรุ่นใหม่ยังไม่มี คืออะไรบ้าง

ผมว่าความสำคัญในยุคนี้ ที่ไม่ใช่แค่เด็กแต่หมายถึงทุกคน คือความกระหายจะเรียนรู้ มันหมดยุคที่เรารอให้ใครมาสอนแล้ว มันจะไม่ทัน คนที่กระหายจะเรียนรู้ อยากรู้นู่น อยากรู้นี่ ได้ลองทำอะไรไม่กลัวที่จะผิดพลาด เท่าที่เห็นก็จะมีโอกาสจะประความสำเร็จในหน้าที่ได้มากกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บางคนมีบางคนก็ไม่มี แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ

ใน Podcast ของคุณ เคยบอกไว้ว่า คำว่า “You are special” (ที่พ่อแม่มักจะบอกว่ากับลูกเพื่อแสดงว่าลูกพิเศษและแตกต่างจากคนอื่น) เป็นอันตรายสำหรับคนรุ่นใหม่ อันตรายอย่างไร

ผมคิดว่ามันเป็นเพราะหลายเรื่องประกอบกัน แต่หลักๆ คือ ในโซเชียลมีเดียต่างๆ เราจะเห็นภาพของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จหรือว่าใครก็แล้วแต่ที่ยังเป็นเด็กแต่รวยมากๆ สมัยยุคผมมันต้องหลุดมาถึงสื่อทีวี หนังสือพิมพ์ เราถึงจะได้เห็นกัน แต่ในยุคนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นภาพพวกนี้มันก็ถูกฝังลงไปตั้งแต่ยังเด็ก

เด็กๆ จึงอยากจะออกมามีกิจการของตัวเอง แต่ถ้าใครยังไม่พร้อม ก็อาจจะหาประสบการณ์ทำงาน ถ้ารู้สึกไม่เวิร์คก็เปลี่ยนเลย แต่ยุคนี้ก็ต้องต่อสู้กันเยอะนิดหนึ่ง เพราะคนอยากออกมาทำเองเยอะ มันก็อาจจะยากขึ้น แต่ทุกอย่างก็มีทั้งยาก-ง่าย เทคโนโลยีก็มีส่วนช่วยให้ง่ายขึ้น

คาแรคเตอร์อะไรที่คนรุ่นใหม่ควรจะมี เพื่อที่จะอยู่รอดได้ในอนาคต

ในภาพรวม ลักษณะสำคัญที่ควรมีของคนในศตวรรษที่ 21 คือ self awareness หรือ การรู้จักตัวเอง ในยุคนี้ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องไปเรียนสายวิทย์ ไปเป็นหมอ วิศวะ อีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่าเราชอบอะไร เราถนัดอะไร หาให้เจอแล้วทำมันให้ดี จริงๆ ทุกอย่างที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร สามารถทำเงินและหาเลี้ยงชีพเราได้หมด ถ้าเรารู้ว่าเราชอบอะไร แต่ก็มีปัญหาที่ยากขึ้นมาอีกว่าเราจะรู้ได้อย่างไร อย่างผมกว่าจะหาตัวเองเจอก็อายุ 30 กว่าแล้ว ซึ่งถ้าได้รู้จักตัวเองเร็วกว่านี้ ก็คงจะดี

วิธีเดียวที่จะหาตัวเองให้เจอคือต้องลอง ลองให้เยอะ ลองให้เร็ว แต่ไม่ใช่ให้เราไปลองทำทุกอาชีพ มันเป็นไม่ได้ มันจะมีกรอบคร่าวๆ ว่าเราชอบประมาณนี้ แล้วค่อยลอง ถ้าเราหาเจอปุ๊บ ชีวิตเราหลังจากนั้นจะดี คือจะมีเงินหรือไม่มีเงินก็จะดี เพราะว่าอย่างน้อยเราก็มีความสุขเวลาที่เราทำ

ทุกวันนี้มันมีทั้งคนที่ทำงานได้เงินแล้วมีความสุข ที่ไม่มีความสุขก็มี ยิ่งงานที่เงินน้อยก็รู้สึกแย่ แต่ถ้าเราทำงานในสิ่งที่เรารักและรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นตัวเรา โอกาสที่เราจะทำงาน หาเงินได้จากเรื่องนี้และมีความสุขประสบความสำเร็จในการทำงานด้วยก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้น

แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่หากันง่ายๆ เพราะไม่เช่นนั้นทุกคนก็คงจะไม่มีปัญหา คนที่หาเจอเร็วก็จะโชคดี

สิ่งหนึ่งเลยที่เราจะต้องมีคือวินัย ผมเชื่อว่าเมื่อเรามีวินัย เราจะสามารถทำการทดลองได้ แต่ถ้าไม่มีวินัยเราจะไม่มีทางทำการทดลองในชีวิตเราจนจบได้

ยกตัวอย่างเราอยากเขียนหนังสือ แต่เราจะรู้ว่าอาชีพนี้ดีหรือไม่ดี เราจะต้องเขียนหนังสือให้เสร็จ อย่างน้อยก็ทำให้จบกระบวนการ เพื่อจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือชีวิตนี้ฉันไม่มีวันเขียนหนังสือจนจบเล่มได้ อันนี้คือวินัยเพื่อที่จะได้ทำการทดลองให้มันชัดเจน

คำว่าวินัย จริงๆ แล้วตัวเองอาจจะไม่อยากทำสิ่งนั้นแต่ก็ต้องทำอยู่ดี เพราะเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้ เช่น นักเขียนมืออาชีพจริงๆ เขาจะเขียนหนังสือทุกวัน ไม่ว่าวันนั้นจะเขียนออกหรือเขียนไม่ออก เพราะว่ามันเป็นวินัย และที่สำคัญ ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนเร็วมาก

ไม่ใช่แค่ความรู้ในมหาวิทยาลัยหรอก เอาแค่ความรู้ที่เรารู้เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว หรือที่เคยทำแล้วมันถูก ในวันนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นทุกๆ อย่างเราต้องเรียนรู้ใหม่ ต้องยอมทิ้งความคิดเก่าที่อยู่ในหัว แล้วรับไอเดียใหม่ๆ เข้ามา และเราก็ต้องยืดหยุ่นพอที่จะบอกตัวเองได้ว่า นี่คือโลกใหม่จริงๆ

เมื่อการค้นหาตัวเองสำคัญ แล้วจะดีลกับเงื่อนไขต่างๆ ในชีวิตอย่างไร

ทัศนคติของพ่อแม่สำคัญ ต้องเข้าใจก่อนว่ายุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ยกตัวอย่างใกล้ตัว หลานผม (ลูกของพี่สาว) อยากเป็นนักไวโอลิน เขาเล่นไวโอลินได้ดีมาก ตอนแรกทุกคนไม่ยอม คิดว่าดนตรีจะเป็นอาชีพได้ไหม ผมก็พยายามจะอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ของผม (ตายายของหลาน) เล่าให้เขาฟังว่า จริงๆ แล้วโลกยุคใหม่มันเป็นแบบนี้จริงๆ เราอยากเป็นอะไรก็เป็นได้ สมมุติเราอยากบอกพ่อกับแม่ว่าเราอยากเป็น Youtuber พ่อแม่คงไม่เข้าใจ แต่มันก็ทำเป็นอาชีพจริงๆ ได้ แล้วก็มีคนที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพนี้มากมาย

ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อาชีพดั้งเดิมแบบที่เราเคยรู้จักกัน มันก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่ทางเลือกทั้งหมดแล้ว แต่ก่อนที่เราเคยบอกว่าต้องเข้าคณะนี้เพื่อจะเป็นอาชีพอะไร

ผมเชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คำว่าคณะอาจจะไม่มีแล้วด้วยซ้ำ มันอาจเป็นที่ที่เราเข้าไปถึงแล้วเลือกเลยว่าเราอยากจะเรียนอะไร วิชาอะไร ผมอาจจะเรียนทั้งศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็ได้ เพราะว่ามันคือสิ่งที่ผมอยากเป็น

อย่างที่สอง เมื่อเราเข้าใจอย่างนั้นแล้ว แน่นอนว่าเราคงไม่ปล่อยให้ลูกออกไปทำอะไรเละๆ เทะๆ หมด ผมอยากใช้คำว่า frame and freedom คือ มีกรอบประมาณหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องให้อิสระเขา ถ้าอะไรที่มันดูอันตราย เราก็ต้องห้ามในฐานะผู้ปกครอง แต่ว่าไอ้กรอบที่มันเคยมี มันต้องใหญ่ขึ้น เพราะสมัยก่อนยุคผม พ่อแม่บังคับว่าต้องเป็นหมอ ซึ่งผมคิดว่าอันนี้อาจจะใช้ไม่ค่อยได้แล้ว

เราต้องมีพื้นที่ให้กับลูกประมาณหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดต้องให้ลูกได้ลอง ถ้าเขาได้ลองเขาจะได้รู้ว่าจริงๆ เขาไม่เหมาะหรือเหมาะกับอาชีพนี้ ต้องมีกรอบที่กว้างขึ้น ไกด์เขา อย่าไปบังคับ เพราะว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รู้ อีก 10 ปี ก็อาจจะไม่จริงแล้ว ถ้าเราบอกว่าให้ลูกทำแบบนี้ แล้วมันกลายเป็นสิ่งผิด มันไม่ใช่การตัดสินใจของเขานะ อย่างน้อยที่สุดถ้าเขาทำแล้วมันผิด ให้มันเกิดจากการตัดสินใจของเขา เขาจะได้เรียนรู้ ถ้าเป็นการตัดสินใจของเราเขาจะไม่ได้เรียนรู้อะไร

สำหรับคุณ ระบบการศึกษาสำคัญหรือไม่สำคัญอย่างไร

มีงานวิจัยบอกว่า คนไทยจะต้องถูก re-skill เกือบ 7 ล้านคน เพราะว่าเทคโนโลยีใหม่ที่มา ทำให้ skill ที่เรามีอยู่ในวันนี้ล้าหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำงานต่อไม่ได้นะ เพียงแต่เราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ตอนนี้คิดว่าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยอาจจะเปลี่ยน อาจจะไม่ใช่เด็กอายุ 17-21 ปี เข้ามาเรียนปี 1 – ปี 4 แต่มันจะออกแบบการเรียนที่ไม่ได้กำหนดจำนวนปีหรือชื่อคณะ อาจจะไม่ได้กำหนดอายุเลยด้วยซ้ำ

ในอนาคตอาจเปลี่ยน เพราะทุกคนต้องเรียนใหม่หมด อาจมีปัญหาตรงกฎระเบียบต่างๆ มากมาย เช่น จำนวนหน่วยกิต ต้องเรียนเยอะไหม ต้องจบ 4 ปีไหม ไปเรียนคณะอื่นอย่างครึ่งๆ ได้หรือเปล่า ตรงนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ต้องช่วยกันปรับ เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มาก พูดเหมือนง่าย แต่มีความยาก

ถ้าไม่เริ่มทำวันนี้ AI เริ่มเข้ามา จะทำให้เกิด gap ที่ใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก ในสิงคโปร์เขาเริ่มทำแล้ว เริ่มจัดตั้งสถาบัน re-skill คน เพื่อตอบสนองทักษะในอนาคต

สิ่งที่เราทำได้คือ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างแรก ไม่ได้หมายถึงการเปิดตำราเรียน แต่ขอให้มีทัศนคติว่าวันนี้เราจะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ สักเรื่องหนึ่งให้ได้ และเชื่อว่ามันสำคัญกับชีวิตจริงๆ แล้วจะพบว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดี มันจะค่อยๆ เปิดให้เราทีละนิด ถ้าเราเริ่มค้นหามันจะเริ่มเจอ ตรงนี้สำคัญมาก

เคยตั้งคำถามกับระบบการศึกษาไหม และตั้งว่าอย่างไร

มีเยอะ ยุคผมคือ การสอบเอนทรานซ์ครั้งเดียวจบ ดังนั้นสิ่งที่โฟกัสมากๆ ก็คือการสอบแข่งขัน ตอนนั้นผมมุ่งมั่นที่จะเรียนวิศวะก็เลยไม่ได้สนใจ เรียนวิชาอื่นๆ แค่ให้ผ่านไปได้ ซึ่งรู้สึกว่ามันเสียเวลาทั้งเราและคนสอน จำได้ว่าต้องแอบทำข้อสอบของโรงเรียนกวดวิชาใต้โต๊ะเรียน กลายเป็นว่าเราไปโฟกัสกับโรงเรียนกวดวิชามากกว่า เสาร์อาทิตย์คือใช้เวลาอยู่กับโรงเรียนกวดวิชาตอนเย็นจนถึงดึกๆ ดื่นๆ

มองย้อนกลับไปผมว่ามันสะท้อนระบบประหลาดๆ บางอย่าง ทำไมเราถึงตั้งใจกับการกวดวิชา และไม่ตั้งใจเรียนที่โรงเรียนเท่าไหร่ ก็เป็นเรื่องที่เราสงสัยเหมือนกัน ผมคิดว่ามันอาจจะมีปัญหาจากหลายๆ ส่วนด้วยกัน หนึ่ง คือ ปัญหาเรื่องโครงสร้างซึ่งตรงนี้ก็ต้องอาศัยหลายๆ ส่วนเข้ามาดูแล ผมเรียนโรงเรียนรัฐบาลมาตลอด สิ่งที่มักจะเจอที่โรงเรียนรัฐบาล คือ จำนวนเด็กในห้องเยอะมาก ไม่ต่ำกว่า 50 คนแน่นอน ดังนั้น 50 คนในเวลา 1 ชั่วโมงที่ครูหนึ่งคนต้องสอนมันไม่มีทางทั่วถึง ไม่มีคนคอยถามว่าเราเข้าใจในบทเรียนนั้นไหม ถ้าเราอยากจะเรียนรู้หรือขวนขวายอะไรเพิ่มเติมต้องทำด้วยตัวเองตลอด

ช่วงเวลาในวัยมัธยมถนนทุกสายมันวิ่งเข้าสู่การเอนทรานส์ เพราะเราเชื่อว่ามันน่าจะมีสิ่งดีๆ รออยู่หลังจากนั้น มันก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำอะไรมาก

อีกอย่างคือเราผ่านการเรียนวิชาที่มากเกินไปและไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง กลับกันตอนที่เรียนปริญญาโทในต่างประเทศวิชาเรียนน้อยมากแต่ได้ใช้ทุกวิชา และง่ายมากถ้าเทียบกับที่เรียนมาก่อนหน้านั้น

ดังนั้นเราต้องกลับมาถามว่าเราจะให้เด็กเรียนเพื่อให้เขาสอบได้หรือให้เขานำวิชาไปใช้ได้ ทุกคนเชื่อว่าเรียนไปเพื่อสอบทั้งนั้น เพราะการสอบคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเราไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าเราจะเอาสิ่งที่เราเรียนไปทำอะไรแต่ต้องสอบให้ผ่านให้ได้ก่อน

ระบบการศึกษาปิดทางให้เราค้นหาตัวเองหรือไม่

ค่อนข้างมีผล เพราะเด็กถูกเลือกให้อยู่สายวิทย์สายศิลป์ ตั้งแต่มัธยม แล้วไอ้ที่เลือกกัน อาจไม่ได้ชอบจริงๆ หรือเลือกตามเพื่อน เราไม่ได้มีพื้นที่ให้ค้นหาตัวเอง เวลาที่อยู่โรงเรียนทั้งหมดเราก็ใช้ไปกับการเรียนหนัก เสาร์อาทิตย์ก็ต้องติวกวดวิชาอีก ไม่มีเวลาไปทำอะไร เพื่อนในรุ่นผมทั้งหมดมีแค่คนเดียวที่ได้ไปเรียนดนตรีอย่างที่ตัวเองอยากเรียน ตอนนี้ก็มีการมีงานทำที่ดีอยู่ที่เมืองนอก เพราะเขาได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก

คุณเคยพูดอีกว่า ‘การบริหารพลังงาน’ ถือเป็นการออกแบบชีวิตที่สำคัญ มันสำคัญอย่างไรและมีวิธีบริหารอย่างไรบ้าง

อย่างแรกทุกคนควรหา Kryptonite (แร่จากดาวคริปตอน ส่งผลให้ซูเปอร์แมนอ่อนแอลงได้) ของตัวเองให้เจอ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่างผมถ้าเลิกงานแล้วดื่มเบียร์จะยิงยาว แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะรู้สึกพังไปทั้งวัน ผมเลยต้องเลิก ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพังเหมือนผม แต่เราต้องหาให้ได้ก่อนว่าสิ่งที่ดูดพลังงานของเรามันคืออะไร เราก็ต้องมีความตั้งใจจริงๆ ว่าเราจะหยุดมันและค่อยๆ ควบคุมให้ได้ จากนั้นเราก็จะจัดเวลาให้กับมัน

คนเราอาจแบ่งตามเวลาได้ 3 กลุ่ม 1.คนที่ตื่นเช้ามากๆ เป็น early bird 2.คนธรรมดาตื่นปกติ และ 3.คนที่เป็นนกฮูก ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นจำพวกนกฮูกแต่เราดันไปทำงานแต่เช้า ก็จะพังไปเพราะพลังงานเราไม่ได้อยู่ ณ ตอนนั้น แต่ผมเป็นคนตื่นเช้า ช่วงเวลาหลังตื่นนอนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ จะต้องทำอะไรที่สำคัญช่วงเวลานี้เท่านั้น ไม่ควรเอาเวลานี้ไปทำในสิ่งที่มีมูลค่าน้อย เช่น ตื่นมา ยังไม่ตอบอีเมล อาจจะโยกไปทำตอนบ่ายๆ เย็นๆ ก็ได้ ช่วงเวลานี้ เราทำในสิ่งที่ต้องใช้สมาธิอย่างการคิดการเขียนเป็นอันดับแรกก่อน

ต่อมาเราก็ต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ช่วยเสริมพลังงานของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทดลอง สิ่งที่ผมทำคือออกกำลังกาย บางคนออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหนื่อย แต่ผมรู้สึกว่าเวลาออกกำลังกายแล้วผมมีแรงที่จะทำอะไรต่อ อีกอย่างคือตอนนี้ผมทำ IF หรือ Intermittent Fasting คือการเว้นช่วงการกินอาหารในแต่ละวัน ไม่ได้ทำเพื่อลดน้ำหนัก สำหรับผมมันช่วย boost energy  หรือผมเคยเป็นคนที่นอนหลับยาก ชอบคิดอะไรก่อนนอน หลังๆ เลยฝึกด้วยการนั่งสมาธิ ช่วงแรกก็เละเทะนั่งไม่ได้แต่ก็พยายามฝึกจนตอนนี้ทำได้ แล้วมันก็ช่วยให้เรานอนหลับเร็วขึ้น

เราก็ต้องค้นหาตัวเองว่าวิธีไหนจะเหมาะกับเรา สิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับคุณก็ได้ กว่าผมจะหาวิธีและจัดสรรเวลาได้ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน ลองนอนดึก ลองนอนเร็ว ทำมาหมดแล้ว จนค้นพบสิ่งที่ช่วยให้เราประหยัดพลังงาน

สุดท้ายคือเรื่องของการเติมจิตวิญญาณ ฟังดูแล้วนามธรรมมากๆ แต่บางคนที่รู้สึกชอบอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูหนัง กิจกรรมตรงนี้ เป็นเครื่องมือในการเติมจิตวิญญาณทำให้เรามีแรงไปสู้และใช้ชีวิตต่อ อะไรที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย สิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ลดความทุกข์และความเครียดที่เราต้องเจอ พยายามหามันให้เจอและบริหารจัดการมันให้ดี

แล้วเงื่อนไขอื่นๆ ในชีวิต เช่น ครอบครัว การงาน จัดการอย่างไร

ต้อง ‘ลอง’ ก่อน เพราะทุกคนย่อมมีเงื่อนไขชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนมีครอบครัวหรือไม่มี เวลาชีวิตก็ต่างกันแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะบริหารจัดการมันไม่ได้ เวลาช่วงเช้าจะควบคุมได้มากกว่าช่วงเย็น ถ้าไม่ต้องไปส่งลูก เราสามารถตื่นไปถึงออฟฟิศได้เช้าๆ แล้วทำอะไรที่อยากทำได้ ตอนเย็นเป็นช่วงที่ควบคุมยากเพราะต้องเจอกับปัญหารถติด แต่เราก็ไม่ควรไปหงุดหงิดกับมันเพราะมันติดทุกวัน สิ่งที่เราควรทำมากกว่านั้นคือ เราจะทำอะไรที่มันตอบสนองจิตวิญญาณและมีประโยชน์ไปด้วย เช่น ฟัง audio book แรกๆ มันจะรู้สึกฝืนมาก รถก็ติด ยังต้องมาฟังอะไรที่หนักๆ อีก แต่พอทำไปสักพัก ความประหลาดจากการทำซ้ำๆ มันจะทำให้เราเริ่มชอบและติด

มนุษย์จะพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง มันจึงเป็นที่มาของวินัย ข้ออ้างมันทำให้เราไม่ต้องคิดเยอะ คนที่ตื่นมาวิ่งได้ทุกวัน มันไม่ได้มาจากที่เขาอยากวิ่ง ส่วนใหญ่ใครๆ ก็ไม่อยากหรอก แต่เขามีวินัยและเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมันเกิดประโยชน์

เหมือนกับว่าสมองทั้งมีด้าน angel และด้าน devil ส่วนวินัยคือตัวที่ช่วยห้ามไม่ให้ 2 ตัวนี้เริ่มสู้กัน ถ้าเริ่มสู้กันเมื่อไร จะมีตัวใดตัวหนึ่งชนะ และส่วนใหญ่จะเป็น devil ที่ชนะเสมอ

ผมจะตื่นมาวิ่งทุกเช้า สิ่งที่ผมชอบทำคือ ก่อนนอนจะพับชุดกีฬาเตรียมไว้เลย ตื่นเช้ามานับ 1-5 อย่าไปเริ่มคิดว่า จะวิ่งหรือไม่วิ่งดี จังหวะนี้ angel กับ devil เริ่มสู้กันแล้ว ให้นับ 1-5 แล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุด เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วค่อยคิดว่าจะไปนอนต่อหรือไปวิ่ง แต่การที่เราเปลี่ยนชุดแล้วโอกาสน้อยมากที่เราจะกลับไปนอนต่อ น่าแปลกใจมากที่กุศโลบายนี้ได้ผลมากๆ เราต้องออกแบบกุศโลบายต่างๆ ให้กับตัวเอง แล้วเราจะรู้ว่าเราทำอะไรได้-ไม่ได้ มันไม่มีสูตรตายตัว

มันมีคำอธิบายว่า สมองคนเราจะไม่คิดเรื่องที่กำลังทำตลอดเวลา เช่น แปรงฟัน เพราะมันจะเปลืองพลังงานมาก ฉะนั้นอะไรที่เราทำตลอดๆ เราก็ทำอย่างอัตโนมัติเลย การต่อต้านจะน้อยลง

ที่บอกว่าคนรุ่นใหม่จะมีวินัยน้อย จริงไหม

อาจจะไม่ใช่ เราต้องถามก่อนว่า วินัยคืออะไร มันอาจไม่ใช่การลุกขึ้นมาตื่นเช้า ผมคิดว่าวินัยคือการที่เราทำเรื่องเดิมๆ เพื่อรออะไรบางอย่างที่เราอยากได้ในอนาคต ไม่ได้ทำอย่างเลื่อนลอย ในอดีตมันอาจจะเป็นเรื่องของการตื่นเช้าตี 4 ตี 5 แต่ปัจจุบันภาพมันเปลี่ยนไปเยอะ ไม่ได้อยู่ในฟอร์แมตเดิมๆ แบบที่เราคุ้นเคยกัน เราอาจจะไปตีกรอบไม่ได้ว่ามีหรือไม่มี แต่ถ้าเด็กรุ่นใหม่ ยังทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะพาตัวเองไปถึงจุดที่อยากได้ ก็อาจจะเรียกว่ามีวินัยก็ได้

คงไม่สามารถสรุปว่ามีวินัยเยอะหรือน้อย เพียงแค่มันเปลี่ยนรูปไป ถ้าเราพยายามเข้าใจพื้นฐาน เช่น วินัยของเด็กยุคนี้ อาจจะเป็นการฝึกตัวเองอย่างไรให้ไม่เล่น facebook ติดต่อกัน 5 ชั่วโมง หรือหลังตื่นนอนทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้หยิบโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรก

มีวิธีดีลกับเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้ Social Media อย่างไร

ผมเชื่อว่าการคุยกันแบบ face-to-face ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ ในองค์กรสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสาร และการสื่อสารที่ดีที่สุด คือการเจอหน้ากัน สิ่งที่สำคัญน้อยสุดคือการพิมพ์ เราเห็นคนทะเลาะกันหลายครั้งแล้วจากการที่พิมพ์สื่อสารกัน จึงต้องพยายามให้อยู่ในบริบทของการเจอหน้ากันให้ได้

แต่จะห้ามใช้ social media ไปเลยก็ไม่ได้ ถ้าเป็นศรีจันทร์ ยิ่งใช้ social media ในการขายของ และเพื่อติดตามกระแสต่างๆ กฎของที่นี่เมื่อเราดีไซน์อะไรไปแล้ว ต้องพยายามช่วยกันดัน จะไม่มีการบอกว่าทำยากจังเลย เหนื่อย ไม่อยากทำ ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น เวลา เราไม่ได้ไปบังคับอะไรมาก

ชอบทำงานกับคนรุ่นใหม่แบบไหน

ส่วนตัวชอบทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วย ชอบเด็กที่มีพลัง มีระเบียบวินัยประมาณหนึ่ง คุยกันรู้เรื่อง และที่สำคัญที่สุด ชอบคนที่พร้อมและอยากจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอด มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราซื้อหนังสือให้คนในออฟฟิศอ่านหลายครั้ง แต่มันก็เท่านั้นถ้าเขาไม่หยิบขึ้นมาอ่าน เรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้เขามีพลังที่อยากเรียนรู้

หนังสือแบบไหนที่จะเลือกซื้อให้

ผมจะเลือกไปเลยว่าหนังสือเล่มไหนเหมาะกับใคร หนังสือเล่มล่าสุดเล่มที่ซื้อให้คนทั้งบริษัทเลยคือ หนังสือชื่อว่า ‘Thank God it’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ’ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวภายในออฟฟิศ เราจะมองเรื่องในออฟฟิศในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรให้เป็นบวก และอีกเล่มที่ชอบมากเหมือนกัน คือ ‘น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20 What I Wish I Knew When I Was 20’ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง เจอใครก็มักจะแนะนำให้ลองอ่านเล่มนี้

ในโลกที่มี AI เราควรจะพัฒนา Soft Skill ด้านไหนเพื่อจะอยู่ได้ในอนาคต

อย่างหนึ่งที่สำคัญเลยคือ Growth Mindset หรือ ความเชื่อว่าเราจะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา รวมถึงเชื่อว่าคนอื่นเขาก็เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ จะทำให้การทำงานเป็นทีมมันไปได้ นอกจากนั้น Growth Mindset ยังรวมถึง ความกระหายอยากเรียนรู้ การโยนความรู้เก่าๆ ทิ้ง พร้อมเปิดรับความรู้ใหม่ๆ เข้ามา ตอนยุคผมกรอกใบสมัครงาน มันมีช่องให้กรอกว่าคุณพิมพ์เร็วกี่คำต่อนาที ทุกบริษัทจะมีหมดเลยแสดงว่านั่นเป็นทักษะที่สำคัญ แต่ปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ มันกลายเป็นทักษะที่ล้าหลังไปแล้ว

อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความซื่อสัตย์ โปร่งใส เพราะว่าอนาคตมันตรวจสอบได้หมด ถ้าพูดอีกอย่างทำอีกอย่าง ความน่าเชื่อถือจะหายไป เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ทักษะที่มีแล้วดีแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมี ถ้าเราทำทุกอย่างที่เราพูดได้ มันจะทำให้เรามีอิสระ

มีคนถกเถียงกันเยอะมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนสุดโต่งเชื่อว่ามนุษย์จะหายไปเลยในโลกนี้ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า AI จะทำอะไรได้บ้างต่อไปในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ แล้วเราจะอยู่กับมันได้อย่างไร

เวลาเลือกคนเข้าทำงานจะพิจารณาจากอะไรเป็นพิเศษ

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติที่สุด ทัศนคติไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเหมาะกับเราไหม ในบางองค์กรก็ต้องการคนที่เป็นนักแข่งขัน ชอบการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาด้วยลักษณะของงาน งานบางอย่างเราจะประสบความสำเร็จได้ถ้าเราบี้กับคนอื่นตลอดเวลา ในขณะเดียวกันบางที่ก็เหมาะกับคนที่สามัคคี ปรองดอง ขอความคิดเห็นคนอื่น ทั้งสององค์กรนี้ไม่มีอะไรที่ผิด ต้องดูว่าวัฒธรรมขององค์กรเป็นอย่างไร และเลือกทัศนคติที่เข้ากับเรามากกว่า ไม่ได้ดูว่าเรียนคณะอะไรมาถ้าตำแหน่งนั้นไม่ได้เฉพาะเจาะจง เพราะทำงานก็เริ่มเรียนรู้ใหม่

ไม่จำกัดคณะหรือสายที่จบมา?

ยกตัวอย่างเพิ่งรับเข้ามาหนึ่งคน เดิมทีเป็นอาจารย์ ไม่เคยทำ HR มาก่อน แต่เรารู้สึกว่าเขาน่าจะคุยกับคนได้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของตำแหน่งนี้ ส่วนเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะ เช่น เรื่องกฎหมายต่างๆ ก็ไปเรียนรู้ใหม่ได้

ถ้าจะบอกว่า เรียนคณะอะไรก็ไม่ใช่ขนาดนั้น มันก็ยังต้องมีอาชีพที่เฉพาะอยู่ แต่มันไม่ได้แข็งตัวขนาดนั้น ถ้าจะเป็นหมอก็ต้องเรียนหมอมา ไม่ใช่ใครก็ได้ หรือคนที่ทำโฆษณามา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่ในวงการโฆษณาตลอดไป

ถ้าสมมุติอยากเริ่มลองค้นหาตัวเอง อาจจะไม่ต้องไปหาที่อื่น เริ่มคุยกับเจ้านายเลยก็ได้ ถ้าองค์กรมีหลายแผนก อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ตำแหน่งใหม่ๆ และเชื่อว่าในอนาคตแผนกที่เราแบ่งกันอยู่ตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้คล้ายๆ กับการแบ่งคณะ

คุณเคยบอกว่างานปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ แต่จะทำอย่างไรให้การทำงานหรือหน้าที่ มีความสุขไปด้วย

ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะมาทำศรีจันทร์แล้วจะเป็นอย่างไร แล้วก็อาจจะไม่ใช่งานที่ผมอยากทำที่สุดก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่เป็นหล่อเลี้ยงใจ คือ เราตั้งใจทำงานให้ผลงานออกมาดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนไม่ได้มีโอกาสทำงานที่ตัวเองรัก แต่สิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขนั้นคือเราทำงานนั้นออกมาได้ดีที่สุด ถ้าเราโฟกัสตรงนี้มันจะทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น

ทุกวันนี้มันมีหลายอย่างที่ผมไม่ได้อยากทำ เราก็พยายามทำให้ได้ ให้เหมือนแข่งกับตัวเองตลอดเวลา วันนี้ทำได้แค่นี้ พรุ่งนี้ทำให้ได้มากกว่านิดหนึ่งก็ยังดี มันอาจจะไม่ได้ทำให้เราชอบมันเลย แต่อยู่กับมันได้ รู้ตัวอีกทีส่วนใหญ่ก็กลายเป็นคนเชี่ยวชาญทางด้านนั้นไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่กับมันได้ตลอด ถ้าอยากขยับขยายตอนไหน เราก็ลองอะไรใหม่ๆ ได้เสมอ

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำคือการตัดพ้อ เอาเวลานั้นไปลองทำให้มันดีก่อน ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็มองหาหนทางใหม่ ถ้าบ่นๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

ในบทบาทของพ่อ เราไม่สามารถนำความรู้ในยุคเก่ามาสอนลูกได้จริงไหม?

ถ้าเป็นด้านความรู้ บางส่วนก็คงจะจริง เพราะเด็กยุคนี้สิ่งที่สำคัญคือภาษากับคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งต่างจากยุคผม แต่สิ่งที่เราสามารถส่งต่อได้ คือสิ่งที่เราเชื่อ เราเห็นแล้วว่าคนที่กตัญญู คนที่ซื่อสัตย์ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อาจจะมีช่วงที่ตกต่ำบ้างแต่ก็จะกลับมาได้เสมอ ค่อยๆ สอน ให้ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องที่อยู่ในกิจกรรมของเราทุกวัน หรือการมีระเบียบวินัย อดทนต่อสิ่งที่เราไม่อยากทำ เช่น การทำงานบ้าน เราค่อยๆ สอนแทรกไป จากประสบการณ์ที่เราเคยผ่านมา เพื่อให้เขาเอาตัวรอดได้

มีวิธีการสอน-เลี้ยงลูกอย่างไรให้รับมือกับตลาดแรงงานในอนาคต

สิ่งที่ตั้งใจไว้คือการพยายามให้เขาชอบอ่านหนังสือ เพราะเชื่อว่าการอ่านหนังสือเป็นวิธีการในการหาความรู้อย่างหนึ่ง เขาอ่านหนังสือทุกวัน วันละชั่วโมง ทุกวัน จนตอนนี้ติดการอ่านไปแล้ว มันเป็นการปลูกฝังอย่างหนึ่งที่เราทำ ผมไม่รู้หรอกว่า เขาจะอยู่ในตลาดแรงงานแบบไหนในอนาคต มันเกินที่จะคาดเดา แต่การที่เขาชอบที่จะหาความรู้ใหม่ๆ ทักษะนี้จะช่วยให้เขาอยู่รอดได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามจะสอนลูกให้ได้ คือทักษะสำคัญในชีวิต เช่น การจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างไร ผมจะซีเรียสมากเวลาลูกทำกิริยามารยาทไม่ดีต่อหน้าผู้ใหญ่ ต้องเรียกมาคุยมาอบรม เพราะผมเชื่อว่าสิ่งนี้มันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่ในสังคมได้

ผมคิดว่าหน้าที่ของพ่อแม่มันคล้ายๆ กับหน้าที่ของผู้นำในปัจจุบันนี้ ที่ให้ลูกได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง สมัยก่อนเหมือนเรามีพ่อและแม่คอยควบคุม ซึ่งมันไม่ได้ผิด ก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรม แต่ก่อน CEO ก็ต้องดุ คอยสั่งงาน แต่ยุคนี้มันไม่ใช่

เราต้องเชื่อก่อนว่าทีมงานของเรามีความสามารถเพียงพอ สิ่งที่เราต้องทำคือการทำอย่างไรก็ได้ให้พวกเขาทำงานกันได้โดยมีอุปสรรคน้อยที่สุด มีความเชื่อใจ ผิดมาก็แก้ไข แต่ไม่ลงไปทำให้ แล้วก็ไม่ใช่สั่งๆๆ ไม่ให้เขารู้สึกทำตามคำสั่งอย่างเดียว กับลูกก็เช่นกัน

เราก็ต้องดูว่าลูกเราประมาณไหนแล้วจะเลี้ยงเขาอย่างไรให้เหมาะกับบุคลิกภาพที่เขามีมากที่สุด สิ่งที่เขาชอบ ความเชื่อของเขา จนสร้างตัวตนเขาขึ้นมาให้มีความสุขมากที่สุด

เช่น ลูกคนเล็กชอบทำกิจกรรม ก็ต้องหากิจกรรมให้เขาทำ มันอาจจะเหนื่อยสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องมานั่งคิดว่าจะให้ลูกทำอะไร แต่ผมคิดว่าการเลี้ยงลูกก็เป็นโปรเจ็คท์อย่างหนึ่งที่ยาวนานมากๆ และการทำโปรเจ็คท์มันก็มีไม่กี่อย่าง เช่น ตัววัดผล ระยะเวลา ตัวที่จะช่วยเราวัดผลกับลูกได้คือการเห็นว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำอยู่ไหม สองคือสิ่งที่เราอยากเห็นในตัวลูก เขามีความกระหายที่อยากจะทำเรื่องใด เช่น ลูกคนโตอยากจะซื้อหนังสือตลอดเวลา เราคิดว่าเริ่มมาถูกทางแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขาอ่านแต่หนังสืออย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องที่เราโฟกัส ดังนั้นเราต้องสร้าง environment เอื้อให้เขา เมื่อเขาโตขึ้นเขาจะเลือกซื้อหนังสืออ่านเอง สร้างบรรยากาศในการอ่านให้ได้

ที่บ้านเราจะมี bookclub time วันละครึ่งชั่วโมง วันเสาร์อาทิตย์หนึ่งชั่วโมงให้ทุกคนมาอ่านหนังสือ ห้ามเล่น Ipad พยายามทำเรื่องพวกนี้

เรียนรู้อะไรจากลูกบ้าง

เรียนรู้ว่า มนุษย์ทุกคน ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่เขามีมุมมองเป็นของตัวเองจริงๆ แต่ว่าเราชอบตัดสินทุกอย่างจากมุมมองของเราเอง ซึ่งก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่พอเราตั้งใจฟัง สิ่งที่เขาพูด มันก็มีเหตุผลเหมือนกันนะ วันก่อนเขาทำช้อนหายไป เราก็หาช้อนที่หน้าตาเหมือนกันมาให้ เขาบอกว่ามันไม่ใช่ ช้อนที่หายมันเป็นช้อนวิเศษ เพราะว่ามันเคยผ่านการขุดดินของเขามา ซึ่งผู้ใหญ่มองว่ามันก็คือช้อนเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สำหรับเด็ก

เหตุการณ์นี้มันสอนเราว่า เวลามองอะไรต้องมองจากอีกมุมหนึ่ง เรื่องนี้ใช้กับที่ทำงานได้ด้วย เพราะว่าการตัดสินอะไรจากมุมเดียว เรามักจะรู้สึกว่า ทำไมเรื่องนี้มันงี่เง่าจัง แต่ถ้าเรากลายเป็นเขา เราอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ก็ได้

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)AIDisruption21st Century skillsรวิศ หาญอุตสาหะ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Education trend
    การศึกษาในโลกยุคใหม่และเรียนรู้ตามความถนัด: ควรมุ่งเน้น AI หรือ พหุปัญญา?

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Character buildingCreative learning
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก
Early childhood
29 September 2018

5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เวลาที่เราอ่อนแอ ‘อสูรร้าย’ มักปรากฏตัวเสมอๆ

อสูรร้ายคือ คำพูดเชิงลบที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เคยส่งสัญญาณว่าจะมาตอนไหน สิ่งนี้เป็นอันตราย เพราะจะค่อยๆ ทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ แต่พ่อแม่สามารถช่วยลูกขจัดอสูรร้ายให้หายไปได้ ด้วย 5 วิธี

1. ตั้งชื่อให้เจ้าอสูรร้าย

ตั้งชื่อเพื่อให้เสียงวิจารณ์ภายในกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น เมื่อได้ยินจากเสียงกระซิบบั่นทอนกำลังใจเมื่อไหร่ เด็กจะได้ดึงและแยกตัวเองออกมาหรือวางเฉยต่อเสียงนั้นได้ พูดง่ายๆ เหมือนทำเป็นไม่ได้ยินไปซะ!

2. ความเป็นเพื่อนกันตลอดไป (Best Friends Forever Test)

“มันเป็นความผิดของฉันที่ทำให้ทีมแพ้” อสูรร้ายมักเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดเสมอ พ่อแม่สมารถตั้งคำถามชวนคิดได้ว่า “ลูกจะพูดแบบนี้กับเพื่อนสนิทของลูกหรือเปล่าว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทีมแพ้”

วิธีนี้สร้างให้เด็กกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง คิดและแสดงออกด้วยความเห็นอกเห็นใจตัวเองมากขึ้น

3. ตอบกลับ

หากเด็กได้ยินคำพูดร้ายๆ ผุดขึ้นมาในหัว พ่อแม่สามารถแนะนำให้พวกเขาตอบโต้เสียงนั้นได้ ด้วยคำพูดต่อไปนี้

“ไม่สำเร็จหรอก คำพูดของเธอไร้ประโยชน์มาก”

“เธอเลิกพูดเถอะ ฉันทำดีที่สุดแล้ว””

“มันไม่ได้ผลหรอก ฉันจะต้องได้ไปต่อ”

4. กองหนุนจากพ่อแม่

นอกจากวันร้ายๆ เจ้าอสูรยังชอบโผล่มาในวันที่เด็กต้องทำสิ่งท้าทายใหม่ๆ เพราะเขาทั้งกลัว ตื่นเต้นและไม่มั่นใจ พ่อแม่สามารถเข้ามากระตุ้นให้เด็กลงมือทำอย่างกล้าหาญ เพื่อแสดงให้เจ้าอสูรเห็นว่าสิ่งที่พูดมานั้นผิดทั้งหมด บอกลูกดังๆ เลยว่า “ทำเลย…ลูกทำได้”

5. สร้างช่วงเวลาฝึกฝนในเชิงบวก

ทำให้เด็กรู้ว่า เขาชอบหรือสนใจทำอะไร และส่งเสริมให้เขาลงมือทำสิ่งนั้นจนสำเร็จ หรือแม้กระทั่งการถามว่า “วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง?” ก็ช่วยกระตุ้นให้เด็กเปิดใจ เปลี่ยนวิธีคิดให้เด็กมองหาสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแทนการครุ่นคิดถึงความล้มเหลว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: 5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

อ้างอิง:
How to Teach Your Kids about Their Inner Critic

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาวินัยเชิงบวก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • EF (executive function)Early childhood
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน
Growth & Fixed Mindset
28 September 2018

คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • แป้ง-ศิริพร บุญมาก เริ่มทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่ชั้น ปวช. 1  และเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอมากมาย
  • ในการทำกิจกรรมบางครั้งมีโอกาสผิดแผนได้ จึงต้องมีหลายวิธีการที่แตกต่างออกไปเพื่อให้งานเสร็จลุล่วง แป้งสรุปว่า ความแตกต่างสร้างความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงสร้างการเรียนรู้
  • ความมั่นใจในการทำงาน ทำกิจกรรม รวมทั้งการเลือกเส้นทางชีวิตเอง สะท้อนการมีกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) ที่เชื่อในการพัฒนาของสมองในการเรียนรู้ เชื่อในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และแก้ปัญหาอย่างกล้าหาญและมีวุฒิภาวะ

จากบทความ ‘เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน’ ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา มีเด็กสาวคนหนึ่งที่ครูเรเอ่ยถึงคือ แป้ง-ศิริพร บุญมาก อดีตนักศึกษาชั้น ปวส. วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี ซึ่งตอนนี้เรียนจบและได้งานทำเรียบร้อยแล้ว

ทำไมเรื่องของแป้งถึงน่าสนใจ?

แป้งเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจและทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเธอ

เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ที่เริ่มจากการก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียว กิจกรรมไม่เคยยุ่งเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่พอได้เข้ามาเป็นน้องใหม่ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี และได้เจอครูเร…

“ตอนแรกครูเรชวนทำโครงการเพื่อชุมชน รู้สึกว่าเราทำต่อได้ ก็ชวนเพื่อนในห้องมาทำ เริ่มกล้าคิด กล้าพูด รับมอบหมายงานจากครูเร ทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความเป็นผู้นำขึ้นนิดหนึ่ง”

โครงการที่แป้งทำกับเพื่อนๆ ในวิทยาลัยคือ ‘โครงการทำน้ำหมักจุลินทรีย์จากเศษขยะเสียของโรงอาหารและน้ำเน่าจากคอกหมูในวิทยาลัย’ เพื่อให้ได้น้ำหมักไปใช้ประโยชน์ และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในวิทยาลัย แป้งย้อนเล่าให้ฟังว่า

“ตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร คิดแค่ว่าจะทำอะไรที่พัฒนาตัวเองโดยออกไปทำร่วมกับคนข้างนอกไม่ใช่แค่ในวิทยาลัย ตอนนั้นครูเรก็จุดประเด็นชวนคิดขึ้นมา แล้วก็ได้เรื่องนี้ ช่วงนั้นมันมีปัญหาพอดีก็เลยเริ่ม”

จากเด็กใจร้อนและไม่เคยฟังใคร

แป้งเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าแป้งนี้เป็นคนใจร้อนและเคยมีเรื่องทะเลาะกันเพราะไม่รับฟังเพื่อน

“ตอนเด็กๆ อารมณ์ร้อน เมื่อต้องทำงานกลุ่ม เวลาที่สมาชิกในกลุ่มต้องลงความเห็นกัน ถ้าใครไม่แสดงความคิดเห็น การดำเนินงานก็ต้องเป็นไปตามความเห็นของตัวเอง สุดท้ายแล้วใครจะมาโต้เถียง หรือบอกว่าไม่เอาไม่ได้ เพราะเราคุยกันแล้วว่าความคิดของเราโอเค ก็ต้องโอเคตลอด ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนอื่นเพิ่มเติม จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องทะเลาะกับเพื่อน”

แป้งบอกว่าการดูเพื่อนๆ ว่าทำงานอะไรได้ดีแล้วมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ เป็นสิ่งที่ยากที่สุด

“เวลาแบ่งหน้าที่กันทำ บางคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ การมองคนให้ออกมันยาก นึกว่าเขาชอบจดบันทึกแต่จริงๆ อาจจะไม่ชอบก็ได้ มันยากตรงที่ว่าแรกๆ ทำได้ ไปกลางๆ ท้ายๆ เขาจะรู้สึกไม่ใช่ตัวเขา การทำงานต่อจึงเป็นเรื่องยาก”

ทดลองเป็นผู้นำ

“มองให้ลึกขึ้น มองว่าบทบาทหน้าที่ในทีมไม่ตายตัว คนคนหนึ่งอาจะทำได้หลายหน้าที่ อย่างคนที่ทำหน้าที่หัวหน้า ก็สามารถทำอย่างอื่นได้เช่น จดบันทึก คุมการเงิน และบางครั้งก็ต้องเป็นผู้ตาม ให้คนอื่นเป็นผู้นำบ้าง ”

“มันสอนเราเองว่าถ้าไม่รับฟังจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ฟังคนอื่นก็ไม่มีใครอยู่ด้วย” นี่คือสิ่งที่การทำงานกับเพื่อนๆ สอนแป้ง

แป้งยังบอกอีกว่า จากการทำโครงงานทำให้แป้งมีความมั่นใจในการทำกิจกรรมมากขึ้น

“หนูว่าหนูมีทุนความคิดที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ในหลายเรื่องแต่ไม่กล้าพูด เช่น คนอื่นทำแล้ว เราไม่ทำดีกว่า เด็กมัธยมมักเป็นแบบนี้ ถ้ามีคนกล้าพูด อีกสิบคนที่เหลือถึงรู้ก็จะไม่พูด มีคนพูดแล้วเอาความคิดเขาแล้วกัน ก็ตามนั้น” ส่วนหนึ่งจึงเป็นที่มาของความมั่นใจ เพราะในโครงการไม่มีผู้นำทำกิจกรรม หน้าที่นั้นจึงตกอยู่กับแป้ง

“เพราะตรงนั้นไม่มีผู้นำ ด้วยบทบาทที่จำเป็นเลยลองเป็นผู้นำคนอื่นดูบ้าง พอไม่มีใครเป็นแล้วรู้สึกว่างานไปต่อไม่ได้ เราทำเองก็ได้”

สอนอย่าง ‘ไม่สอน’

แป้งเล่าให้ฟังว่าครูเรสนับสนุนเรื่องอาหาร อุปกรณ์ ช่วยดูเรื่องการเขียนโครงการ รวมทั้งการ ‘ไม่สอน’ คือปล่อยให้ทำเองเรียนรู้เอง แป้งบอกว่าตรงนี้คือจุดต่างจากครูที่สอนในชั้นเรียน เพราะแผนที่เตรียมไว้ เมื่อนำไปปฏิบัติจริงมีโอกาสผิดพลาดได้ตลอดเวลา

“ครูคนอื่นเขาจะให้ลงล็อค 1 2 3 4 5 แต่ถ้าผิดแผนมันจะไม่ 1 2 3 4 5 แต่ไปถึง 10 ได้เหมือนกัน อาจจะเดินสลับกันไปบ้าง เพราะมันไม่ใช่แบบตามบล็อคเป๊ะๆ ไม่งั้นจะไม่รู้ว่าได้อะไรที่ต่างและแหวกแนวไปบ้าง ความแตกต่างมันสร้างความเปลี่ยนแปลง และสร้างการเรียนรู้ได้ในเวลาเดียวกัน” แป้งเล่าบทเรียนที่ได้รับจากการทำกิจกรรม

วาดเป้าหมายชีวิต

เมื่อทำกิจกรรมหลายๆ อย่างจบไปแล้ว แป้งเห็นความสำคัญของการทำงาน และคิดว่าต้องสร้างอะไรนอกเหนือจากการเรียนให้ได้ และคิดเผื่อไปถึงชุมชนที่บ้านด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย

“เวลาย้อนกลับมามองรู้สึกว่าต้องสร้างอะไรไว้ที่ไม่ใช่แค่การเรียนอย่างเดียว ตอนทำกิจกรรมกับชุมชน ก็รู้สึกว่าเราได้ระดับหนึ่ง เราก็เก่งนะทำได้ แต่เราก็อยากรู้ว่าทำอะไรได้มากกว่านี้ อยากทำให้ที่บ้านโอเคกว่านี้”

“ทุกวันนี้ ความรู้บางอย่างเราก็ไม่ได้ใช้ ถ้าเรียนปริญญาตรีไปด้วยทำงานไปด้วยอาจได้อะไรมากขึ้น ดีกว่าเรียนอย่างเดียวสี่ปี การเข้าใจว่ารู้ไปเพื่ออะไร มันดีตรงที่รู้แล้วว่าจะไปยังไงต่อ”

การเรียนนอกห้องเรียนสำคัญกว่าการเรียนในชั้นเรียน

“ในห้องเรียนทำให้เรามีดาวติดไว้ว่าเรารู้เรื่องนี้ๆ แต่นอกห้องคือการใช้ชีวิตจริง เพื่อนหนูสอบได้คะแนนไม่ดีทั้งๆ ที่เคยสอบได้ดีตลอดก็รู้สึกแย่ เราเลยลองเปลี่ยนวิธีคิดว่า เราต้องมั่นใจก่อนว่าเราทำได้ เชื่อมั่นในตัวเองก่อน จากนั้นถ้าไปสอบแล้วคะแนนได้น้อย เราก็ต้องยอมรับและอ่านหนังสือหนักกว่าเดิม แต่ถ้าคะแนนออกมาเป็นที่น่าพอใจ เราก็จะภาคภูมิใจว่าเรา ‘ทำได้’ จริงๆ”

ฟังเรื่องราวของแป้งที่มีความรู้สึกว่า ‘เอาอยู่’ ในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำกิจกรรม หรือการทำงานไปเรียนไป

นั่นเพราะแป้งอาจไม่รู้ตัวก็ได้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า Growth Mindset หรือกระบวนทัศน์พัฒนา อยู่ในตัวเอง

Growth Mindset คือ กรอบความคิดที่เชื่อว่าทุกคนพัฒนาความสามารถของสมองในการเรียนรู้และแก้ปัญหาได้ เชื่อในความหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมากพอ กล้าหาญที่จะแก้ปัญหาและมีวุฒิภาวะ

“หนูทำได้” จึงดังขึ้นหลายครั้งตลอดการสนทนา แป้งบอกว่า หากเกิดปัญหาอะไรเธอก็จะหาวิธีแก้โดยไม่รีรอ เป็นเพราะผลจากการทำกิจกรรมที่ผ่านการฝึกฝนและทำซ้ำอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามาเรียนในวิทยาลัยนั่นเอง

เรียกว่า คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะ ‘ได้ทำ’ จริงๆ

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)นวัตกร

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: ใช้ลูกกวาดบ้าน vs หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบบไหนดีกว่ากัน
EF (executive function)
28 September 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: ใช้ลูกกวาดบ้าน vs หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบบไหนดีกว่ากัน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่บอกเราว่าสมองของเด็กเล็กอายุ 0-5 ปีเจริญเติบโตและพัฒนาเร็วมาก แม้ว่าจำนวนเซลล์ประสาทจะค่อนข้างคงที่แต่จุดเชื่อมต่อประสาทที่เรียกว่า synapses เกิดใหม่และขาดตอนทุกวัน

การเพิ่มขึ้นของจุดเชื่อมต่อประสาทจะมากหรือน้อยเป็นไปตามประสบการณ์ที่เด็กได้รับ การละเล่น งานที่ทำ นิ้วมือที่จับต้อง ประสบการณ์มากกว่า ทำงานมากกว่า นิ้วมือขยับมากกว่า จะมีจุดเชื่อมต่อประสาทมากกว่า จุดเชื่อมต่อประสาทเหล่านี้จัดเรียงตัวเองเป็นวงจรประสาทต่างๆนานาเพื่อรองรับทักษะต่างๆ นานา

จุดเชื่อมต่อประสาทที่เกิดขึ้นแล้วแต่ไม่ใช้ต่อเนื่อง ไม่สานต่อ ไม่ฝึกปรือ สามารถหายไปได้ทุกวันด้วย กระบวนการนี้จะเข้มข้นมากเมื่อเด็กอายุ 9-12 ปี และทวีความเข้มข้นสูงสุดที่อายุประมาณ 15 ปีก่อนที่จะเริ่มเบาบางลง กระบวนการนี้เรียกว่าการตัดแต่งหรือ pruning ซึ่งจะยังคงดำเนินต่อไปในวัยผู้ใหญ่ด้วยความเร็วที่น้อยลงมาก

เด็กเล็กจึงเป็นวัยสร้างสมอง สมองที่สร้างนี้จะได้ใช้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ

อ่าน เล่น ทำงาน เป็นประสบการณ์พื้นฐาน 3 ประการที่ทำง่าย ทำได้ ไม่ยากเย็นอะไร ขอให้รู้ว่าสำคัญ แล้วลงมือทำตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง กล่าวเฉพาะเรื่องการทำงาน เพื่อมิให้ข้อเขียนนี้กลายเป็นตำราแพทย์มากเกินไป เราเริ่มต้นที่เด็กเป็นศูนย์กลาง นั่นคือเด็กทำงาน

งานมีหลายชนิด แต่ที่ใกล้ตัวเด็กคืองานบ้าน ลองเลือกงานบ้านมา 1 ชนิด แล้วเราตามไปดู

‘กวาดบ้าน’ กวาดบ้านดีอย่างไรและทำได้อย่างไร

1. เด็กจะกวาดบ้านได้ต้องยืนได้มั่นคง นั่นแปลว่ากล้ามเนื้อต้นขาต้องแข็งแรง เส้นประสาทที่ทอดผ่านกล้ามเนื้อต้นขาของคนเรามีขนาดใหญ่มาก เรียกว่า sciatic nerve ในผู้ใหญ่จะมีขนาดใหญ่เท่านิ้วมือเลยทีเดียวเชียว การกวาดบ้านทำให้เส้นประสาทนี้และกล้ามเนื้อหลายมัดรอบต้นขาแข็งแรง

2. เด็กจะกวาดบ้านได้ต้องรู้ตัวตลอดเวลาว่าตัวเองกำลังยืนด้วยท่าร่างใด และปรับท่าร่างได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะเอี้ยว หัน ก้ม เงย บิด และเดิน โดยไม่ล้ม สำหรับผู้ใหญ่มิใช่เรื่องยากแต่สำหรับเด็กเล็กที่สมองน้อยคือ cerebellum กำลังพัฒนา ความรู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในท่าร่างใดและทรงตัวได้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังพัฒนาทุกวัน ลองนึกถึงเด็กเล็กที่กวาดไม้กวาดทีหนึ่งล้มทีหนึ่ง-น่าร้าก

3. เด็กจะกวาดบ้านได้ มือและนิ้วมือต้องแข็งแรงพอจะจับไม้กวาดให้มั่น ข้อมือ แขนท่อนปลาย และต้นแขนจะบิดไปมาเป็นระยะๆ ตามสภาพพื้นที่ที่จะกวาด นิ้วมือจะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นระยะๆ ตามไปด้วย กวาดกลางห้อง ขอบห้อง มุมห้อง ใต้โต๊ะ ใต้เตียง บันได เหล่านี้ใช้ทักษะต่างๆ กัน ท่าร่างต่างกัน ข้อมือต่างกัน และนิ้วมือต่างๆ กัน สมองของเด็กพัฒนาตามไปอย่างกระชั้นชิด

4. เด็กจะกวาดบ้านได้ สายตาที่เห็นต้องส่งข้อมูลไปที่มือและนิ้วมืออย่างแม่นยำ เรียกว่า eye-hand coordination หรือจะเรียกว่า hand-eye coordination ก็ได้ คือการประสานตา-มือ จะกวาดฝุ่น เส้นผม ขนหมา ขนแมว เศษไม้ เศษแก้ว เศษผ้า เศษอาหาร ขี้จิ้งจก ซากแมลงสาบ ซากศพมด เหล่านี้ใช้ทักษะต่างกัน มิใช่กวาดผิดกวาดถูก มิใช่เพียงเรื่องตำแหน่งที่แม่นยำ แต่การประเมินผิววัตถุ พื้นผิว และความแรงของมือต้องแม่นยำด้วยจึงกวาดวัตถุใดๆ ไปได้

ระหว่างกวาดบ้านนั้นเองที่สารมัยอิลิน (myelin) ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในกระบวนการสร้างปลอกมัยอิลิน (myelination) บนเส้นประสาทที่เชื่อมประสานระหว่างสายตาและนิ้วมือ ทำให้ข้อมูลที่ได้รับถูกต้องและรวดเร็วเพียงพอ

5. เด็กจะกวาดบ้านได้เสร็จต้องรู้จักวางแผน จะแบ่งพื้นที่การกวาดบ้านอย่างไรให้ทั่วถึง ไม่ตกหล่น และไม่ซ้ำซ้อน สมองของเด็กจะเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความกว้าง ความยาว และบางครั้ง-ความลึก เด็กได้เรียนรู้การมองภาพรวม การแบ่งส่วน และการผนวกรวม คือหลักการพื้นฐานของคณิตศาสตร์

6. เด็กจะกวาดบ้านได้สะอาดต้องรู้จักรับผิดชอบ คือรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรับผิดชอบ’ หรือ responsibility เหตุเพราะงานกวาดบ้านเป็นงานที่ประเมินยากในบางกรณี พื้นบ้านสะอาดเพียงใดขึ้นกับความตั้งใจแท้จริง กวาดฝุ่นแล้วฝุ่นฟุ้งแก้ได้ด้วยการกวาดเบาๆ แต่กวาดขนหมาแล้วขนหมาลอยไปมาแม้กวาดเบาๆ ก็แก้ไขไม่ได้ เด็กที่มีความรับผิดชอบจะแก้ปัญหานี้จนได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

7. งานบ้านทุกชนิดจะมีปัญหาให้แก้ไขระหว่างทำเสมอ การกวาดขนหมามิให้ล่องลอยนั้นเป็นปัญหาหนึ่ง แต่จะมีปัญหาอื่นๆ ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์อยู่เรื่อยๆ เช่น ควรแบ่งพื้นที่กวาดแล้วโกยเป็นระยะๆ หรือ ควรกวาดทั้งบ้านแล้วโกยครั้งเดียว การกวาดบ้านแบบไหนที่ทุ่นแรงและเวลามากกว่ากัน ระหว่างกวาดบ้านหากพบใยแมงมุมลอยตัวอยู่เหนือระดับพื้นจะให้กวาดทิ้งด้วยหรือไม่ และถ้ามีแมงมุมเกาะอยู่ตัวหนึ่งควรสงสารแมงมุมหรือไม่ สารพัดมีเรื่องให้ได้สังเกตและคิดอยู่เสมอ สมองได้ทำงานภายใต้ประสบการณ์จริง

8. งานบ้านทุกชนิดมีเรื่องให้คิดวิเคราะห์และมีเรื่องให้คิดยืดหยุ่นด้วย คือ cognitive flexibility จะกวาดบ้านอย่างไรให้เสร็จเร็วที่สุดเพราะคุณครูจ่ายการบ้านมาเยอะมากจะทำไม่ทัน ยังไม่นับว่ามีเกมต้องเล่นอีกด้วย การกวาดลวกๆ ระดับใดที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์คับขันเฉพาะหน้าไปได้ก่อน ไว้พรุ่งนี้การบ้านน้อยลงแล้วค่อยกวาดให้สะอาดอีกครั้งหนึ่งจะได้ไหม พูดง่ายๆ ว่าจะรักษาสมดุลระหว่างเวลาและคุณภาพอย่างไร

9. การกวาดบ้านช่วยให้เด็กเรียนรู้วัฒนธรรม หากต้องการให้บ้านเป็นมงคลมีโชคลาภเงินไหลเข้า ให้กวาดเข้าหาภายในบ้านแล้วโกยขึ้นให้เรียบร้อย รวมทั้งห้ามกวาดบ้านในวันปีใหม่ ในทางตรงข้ามหากมักง่ายกวาดบ้านด้วยวิธีกวาดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปหน้าบ้านให้พ้นๆ เงินก็จะไหลออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัว

คุณประโยชน์เหล่านี้เด็กจะไม่ได้รับเลยหากซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น รุ่นใหม่ล่าสุดราคา 27,000 บาท สามารถสั่งการได้ด้วยรีโมทคอนโทรลและไวไฟ อยู่ที่ทำงานก็สั่งให้เขาดูดฝุ่นให้ได้ เทียบกับการกลับมาบ้าน สั่งลูกกวาดบ้านต่อหน้ามันยังไม่ทำเลย

และถ้าการกวาดเข้าบ้านทำให้รวย หุ่นยนต์ดูดฝุ่นน่าจะช่วยให้รวยมากแน่ๆ

Tags:

อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษางานบ้าน งานครัว งานสวนประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
Life classroom
28 September 2018

แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • หลังปรากฏตัวใน ‘Stranger Things’ กับบทบาร์บ-บาร์บารา ฮอลแลนด์ แชนนอน เพอร์เซอร์ เป็นที่จดจำในฐานะนักแสดงพลัสไซส์ และประกาศตัวในปีเดียวกันว่าเธอเป็น ไบเซ็กชวล
  • เธอรับบทเด่นอีกครั้งในซีรีส์โรแมนติก-คอเมดี้ ‘Sierra Burgess is a Loser’ ในบทที่แทบจะเป็นตัวเอง นอกจากพิสูจน์ฝีมือในแง่อาชีพ ยังเป็นการแสดงจุดยืนเพื่อเป็นตัวแทนของผู้หญิงพลัสไซส์ในอุตสาหกรรมบันเทิง
  • ไม่เท่านั้น เธอยังอุทิศตัว แชร์ประสบการณ์ต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ในวัยเด็ก ซึ่งครั้งหนึ่งมันพร่าผลาญชีวิตจนเคยอยากฆ่าตัวตายมาแล้ว

หลังแคสติ้งหลายปีจนหมดหวัง ฝันสุดท้ายขอเพียงทำงานในกองถ่ายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์สักเรื่อง แชนนอน เพอร์เซอร์ (Shannon Purser) ได้รับบทบาร์บ-บาร์บารา ฮอลแลนด์ (Barb-Barbara Holland) ตัวละครสมทบ (แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเรื่อง!) ในเรื่อง Stranger Things ภาพยนตร์ชุดของ Netfilx ออกฉายครั้งแรกกรกฎาคม 2016 แม้ออกมาเพียงไม่กี่ฉาก แต่คาแรคเตอร์ของสาวร่างท้วมที่ชัดเจนและซื่อสัตย์ในมิตรภาพ ทำให้ชื่อของเพอร์เซอร์ถูกพูดถึงในวงกว้าง มีชื่อเข้าชิงเวที Emmy Award สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมประเภทดราม่าซีรีส์ ปี 2017

หลังจากนั้นเธอเป็นหนึ่งในนักแสดงซีรีส์วัยรุ่น Riverdale, ละครเพลง Rise, พากย์เสียงให้กับแอนิเมชั่น Final Space, หนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์ Wish Upon และล่าสุดกับบทบาทที่ทำให้เธอถูกพูดถึงในฐานะตัวแทนวัยรุ่นพลัสไซส์ เรื่อง Sierra Burgess is a Loser

สำคัญที่สุด จุดยืนของเพอร์เซอร์ไม่ใช่แค่พัฒนาการแสดง (แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องพิสูจน์ฝีมือในแง่อาชีพ) แต่คือการมีตัวตน เป็นเธอในรูปร่างนี้ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มีมาตรฐานว่าคนผอมเท่านั้นจึงผ่านประตูด่านแรก ได้รับโอกาสไปพัฒนาฝีมือทางการแสดงต่อ

นอกจากนั้นเธอยังอุทิศตัว แชร์ประสบการณ์ต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder: OCD) ในวัยเด็ก ซึ่งครั้งหนึ่งมันพร่าผลาญชีวิตจนเคยอยากฆ่าตัวตายมาแล้ว

เซียร์รา เบอร์เจสส์ คือ แชนนอน เพอร์เซอร์ ในนามไบเซ็กชวลพลัสไซส์

Sierra Burgess is a Loser เหมือนจะเป็นภาพยนตร์วัยรุ่นโรแมนติกทั่วไป และให้ตัวแสดงหญิงหลักมีรูปร่างอ้วนที่ต้องเจอกับบททดสอบชีวิต ถูกสังคมคาดคั้นบอกให้ผอม แน่นอนว่าพล็อตนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่าง คือสุดท้ายแล้วนางเอกไม่ได้กลับไปผอม ไม่มีความคิดเรื่อง make over เปลี่ยนผู้หญิงอวบอ้วนที่ไม่เคยมีปัญหากับไซส์ของตัวเอง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนผอมเพียงเพราะเธอมีความรัก และถูกทำให้ต้องสงสัยว่า หรือผู้ชาย ‘ทุกคน’ จะชอบคนผอม หรือหญิงอ้วนจะมีความรักโดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ซึ่งเพอร์เซอร์เห็นด้วยที่บทเขียนไว้อย่างนั้น

“เซียร์ราให้ภาพผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่อง เธอไม่เคยคิดว่ามันผิดปกติตรงไหนที่รูปร่างเป็นแบบนี้ ไม่เคยจนกระทั่งถูกบังคับให้ต้องกลับมามองตัวเองด้วยสายตาของคนอื่น ก็เพราะผู้ชายที่เธอชอบคิดว่าเธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์หุ่นดี นั่นเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เธอสั่นสะเทือนและอ่อนไหว

“ฉันหวังว่าซีรีส์นี้จะทำให้คนกล้ารักตัวเอง โอบกอดตัวเองในแบบที่เป็น ทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าในเรื่องความรัก”

เธอกล่าวว่า เธอไม่รู้ว่าจำเป็นต้องพูดถึงแง่ดีต่อการวิจารณ์เรื่องรูปร่าง (เพราะกระแสที่เกิดขึ้นจากซีรีส์) หรือไม่ แต่การดำรงอยู่ของเธอในอุตสาหกรรมบันเทิง ก็คือการวิจารณ์เรื่องรูปร่างไปแล้ว เพราะในอุตสาหกรรมนี้มีตัวแทนของคนรูปร่างใหญ่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

“ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบนะ เพราะฉันคือหนึ่งในคนกลุ่มน้อยในวงการ เหมือนมีภาระกดอยู่บนบ่า และฉันก็อยากสร้างนิยามความสวยใหม่ต่ออุตสากรรมบันเทิง ฉันดีใจที่ได้เป็นคนที่ทำหน้าที่นี้ แต่ มันควรจะมีฉันอีก 10, 20 หรือ 30 คน ซึ่งอาจจะเป็นคนที่ร่างใหญ่กว่าฉันหรือรูปร่างอื่นๆ”

ทั้งหมดนั้นคือบทสัมภาษณ์ของเพอร์เซอร์ ใน Vogue เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก่อน Sierra Burgess is a Loser (อ่านได้ที่นี่: https://www.vogue.com) จะฉายจริงใน Netflix เพียงวันเดียว ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ที่แสดงจุดยืนชัดเรื่องการเป็นตัวแทนของผู้หญิงพลัสไซส์ในวงการบันเทิง

และไม่ใช่แค่ในนามของ ‘ผู้หญิง’ แต่เธอยังเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวเองว่าเป็นไบเซ็กชวล (come out เมื่อปี 2016 หลัง Stranger Things ออกฉายไม่นาน)

“เซียร์ราคือฉันในนามผู้หญิงพลัสไซส์ แต่ฉันอยากจะเห็นซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้ในเรื่องราวชาวเควียร์ การได้เป็นตัวแทน (ของกลุ่ม LGBTQ) สำคัญมากเพราะมันจะทำให้ความเข้าใจต่อกลุ่มเควียร์เป็นเรื่องปกติในสังคม”

แชนนอน เพอร์เซอร์ ในเงาภาวะซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

#EmpoweringYoungWomen

ไม่ใช่แค่แสดงจุดยืนว่าเป็นไบเซ็กชวลพลัสไซส์ เธอยังอุทิศเรื่องราวของตัวเองในการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ OCD ตั้งแต่วัยเด็กอันเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เพอร์เซอร์เคยพิจารณาความตาย เธอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ #EmpoweringYoungWomen ร่วมกับ Future of Personal Health และ Mediaplanet USA ทั้งเขียนถ่ายทอดเรื่องราวของเธอลง Teen Vogue (อ่านได้ที่นี่) อีกด้วย

“หลายคนคิดว่า OCD คือคนที่ชอบหมกมุ่นกับความสะอาด เนี้ยบจัด ไม่ยอมให้อะไรหลุดออกจากความเป็นระเบียบ หรือคุณอาจคุ้นกับ OCD เพราะผู้คนชอบเปรียบเทียบตัวเองด้วยมุกตลกว่า ‘ฉันยอมไม่ได้กับความรกรุงรัง ฉันต้องเป็น OCD แน่ๆ’ แต่การอยากเก็บของให้เป็นระเบียบ เทียบไม่ได้เลยกับการถูกวินิจฉัยว่าเป็น OCD” คือคำอธิบายของเพอร์เซอร์ใน Teen Vogue

สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health) ระบุอาการของ OCD คือสภาวะเรื้อรัง จะย้ำคิด หมกมุ่นในการคิด และย้ำทำด้วยแรงกดดันทางจิตที่บังคับไม่ได้ ผู้ป่วยมักถูกบังคับให้รู้สึกหรือหมกมุ่นอยู่ในสิ่งนั้น

อาการที่เกิดขึ้นกับเพอร์เซอร์ เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็ก (ที่จะส่งผลกระทบมากมหาศาล) อย่างการอ่านหนังสือ กระทั่งเรื่องใหญ่อย่างการบิดเบือนความจริง จนเป็นเหตุให้คิดฆ่าตัวตาย

เรื่องการอ่านหนังสือ เธอเล่าว่าแม้เธอจะเป็นหนอนหนังสือและอ่านเร็ว แต่จะมีบางจังหวะที่เธอสะดุดเอากับประโยคบางประโยค ย่อหน้าบางย่อหน้า ถูก (ความย้ำคิดและทำ) สั่งให้อ่านข้อความนั้นวนซ้ำจนมั่นใจว่าจำได้ทั้งหมด บางครั้งทำให้การบ้านง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก อย่างที่เพอร์เซอร์อธิบายว่า “OCD ทำให้สิ่งที่ฉันรักกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายและน่าหวาดกลัว”

“พฤติกรรมการอ่านของฉันเกี่ยวกับการย้ำคิดย้ำทำ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้อยากฆ่าตัวตาย มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการ ‘ตีซ้ำๆ’ ในจุดที่ฉันเจ็บปวด’”

เพอร์เซอร์เริ่มหยุดพูดคุยกับคนอื่น เพราะกลัวว่าสิ่งที่เธอพูดคือเรื่องโกหก เธอไม่ได้อยากโกหก แต่อาการย้ำคิดย้ำทำ ทำให้เธอตั้งคำถามว่าสิ่งที่เธอพูดไป ใช่ความรู้สึกของเธอจริงหรือเปล่า เช่น เธอไม่กล้าพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ เพราะไม่มั่นใจว่าเธอรู้สึกผิดจนต้องขอโทษจริงไหม? ถ้าไม่ สิ่งที่พูดออกไปย่อมไม่ต่างจากการโกหก วิธีแก้คือ เธอจะเปลี่ยนรูปแบบประโยค พูดจาอ้อมค้อม ดีที่สุด คือไม่พูดเลย

สิ่งเลวร้ายที่สุดที่ OCD มอบให้ คือการบิดเบือนการมองเห็นตัวเอง เริ่มเชื่อว่าตัวเองคือปีศาจ น่ารังเกียจ ตีความสิ่งที่เห็นแบบผิดๆ สิ่งที่อยู่ในหัวเพอร์เซอร์บางครั้งคือเรื่องเพศหรือความรุนแรง กระทั่งเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวอันตราย เริ่มพิจารณาว่าความตายอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด

“ในคืนนั้น ก่อนที่ฉันจะไม่เหลือความหวังใดๆ ฉันเดินไปหาแม่และเล่าทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ทุกความคิดและบอกเธอว่ามันกระทำกับฉันยังไง ฉันไม่ได้หายขาด รู้สึกดีขึ้น หรือไม่หมกมุ่นกับความคิดนั้นอีก กลับกัน ฉันเอาแต่นอนบนเตียง ร้องไห้ รู้สึกหมดหวังกับชีวิต

“แต่อยู่ดีๆ ก็บังเอิญเจอบทความเกี่ยวกับ OCD ระหว่างที่อ่าน มันโล่งมาก สิ่งที่ผู้เขียนเล่าตรงกับสิ่งที่ฉันเคยเผชิญ ฉันไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ได้ผิดปกติ มันเป็นแค่อาการหรือโรคชนิดหนึ่ง”

เพอร์เซอร์เล่าถึงบทความที่เพิ่งอ่านเจอให้กับแม่ฟัง พวกเขาช่วยกันหานักจิตวิทยามาทำงานกับเพอร์เซอร์ ทุกวันนี้เพอร์เซอร์ไม่ได้หายขาดจากโรคย้ำคิดย้ำทำและอาการซึมเศร้า เพียงแต่ช่วยให้เธอจัดการกับมันได้ง่ายขึ้น

“ต้องขอบคุณที่มี ‘อินเทอร์เน็ต’ บนโลกใบนี้ เพราะมันคือเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยให้ฉันเข้าใจอาการและรู้สึกปลอดภัยที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง หลังหาความรู้ในเรื่องนี้ ฉันออกไปพบผู้คนทั้งในโลกจริงและผ่านออนไลน์ ฉันรู้ว่ามีกลุ่ม มีผู้คนที่พร้อมจะซัพพอร์ตอยู่เสมอ

“สำหรับคนที่กำลังดิ้นรนกับภาวะแบบนี้ ฉันบอกได้แค่ว่า ‘มันจะดีขึ้น’ มันอาจไม่หาย แต่การรักษาจะทำให้ชีวิตเราง่ายและเป็นสุขขึ้น”

อ้างอิง:
Instagram
Shannon Purser on Coping With OCD and Suicidal Ideation
Sierra Burgess Is a Loser Star Shannon Purser on Plus-Size Rom-Com Heroines
Riverdale‘s Shannon Purser Comes Out as Bisexual: ‘It’s Something I’m Still Processing’

Tags:

ศิลปินเพศซึมเศร้าการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ภาพยนตร์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Moxie (2021) หนังที่บอกเราว่าไม่ควรเมินเฉยต่อการถูกแกล้ง ลวนลาม แต่จงลุกขึ้นมาส่งเสียงของตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    ทิโมธี ชาลาเมต์ “ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว”

    เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ปฏิรูปการศึกษาด้วย ‘วิชาความสุข’
Education trend
27 September 2018

ปฏิรูปการศึกษาด้วย ‘วิชาความสุข’

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • เด็กๆ อนุบาลไปจนถึงอายุ 14 ปี ในเมืองเดลี ประเทศอินเดีย ได้เรียนวิชาใหม่ชื่อว่า ความสุข
  • ธงของวิชานี้คือ เข้าไปเปลี่ยนความสนใจเด็กๆ ให้ออกห่างจากคะแนนสอบได้
  • ขณะที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอินเดียการแข่งขันอย่างรุนแรง การโกงข้อสอบกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ภาครัฐจึงหวังให้วิชานี้เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น

รัฐบาลเมืองเดลีในประเทศอินเดีย บรรจุวิชาใหม่ลงในหลักสูตรโรงเรียน โดยหวังว่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ทางการเรียนจากคะแนนหรือเกรดให้เป็น ‘ความสุข’ แทน

เด็กๆ อนุบาลจนถึง 14 ปี ในโรงเรียนรัฐบาลเมืองเดลี จะได้เรียน ‘วิชาความสุข (Happiness)’ ซึ่งประกอบด้วย โยคะ ทำสมาธิ และการเรียนการสอนที่ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเอง

คาบแห่งความสุขนี้กินเวลา 45 นาที เริ่มต้นขึ้นด้วยการตั้งสมาธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เด็กๆ นั่งสมาธิ หากให้พุ่งความสนใจไปยังกิจกรรมและเรื่องเล่าต่างๆ โดยไม่มี ‘การสอบ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง

แล้วจะวัดผลอย่างไร?

คำตอบคือ คุณครูจะประเมินผลวิชานี้ โดยใช้ ‘ดัชนีความสุข’ ของเด็กๆ เป็นตัววัด

ด้วยหวังว่า การเรียนการสอนแบบรอบด้านเช่นนี้ จะทำให้เห็นว่าความรู้และคุณค่าจากวิชาดังกล่าว เข้าไปเปลี่ยนความสนใจเด็กๆ ให้ออกห่างจากคะแนนสอบได้

มานิช ซิโซเดีย (Manish Sisodia) รองหัวหน้าคณะเทศมนตรีของเมืองเดลี และผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา วางแผนหลักสูตรวิชาความสุขเอาไว้ว่า

“ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเราได้แต่ผลิตแรงงานจำนวนมากเพื่อป้อนแรงงานสู่ระบบอุตสาหกรรม แต่เราไม่ได้พัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์ที่ดีเลย” มานิช เสริมอีกว่า

“การศึกษาต้องผลิตและส่งเสริมให้เกิดคุณธรรมและความคาดหวังของสังคม จริงอยู่เราไม่อาจดูดายความต้องการของสังคมได้ เพราะเราเองก็ต้องการความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ แต่เราเองต้องผลักดันให้เกิด ‘ความเท่าเทียมทางความสุข’ ด้วย”

ปฏิรูปด้วยความสุข

วิชาความสุข เริ่มคาบแรกไปแล้วเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน โดย องค์ทะไลลามะ (Dalai Lama) มาเป็นประธาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปโดยพรรค Aam Aadmi แห่งเมืองเดลี เพื่อพาทั้งเมืองให้หลุดออกจากระบบที่ยึดติดกับการอ่านหนังสืออย่างหนักและมุ่งแต่การสอบ

ระบบการศึกษาของเมืองเดลี ประกอบด้วยโรงเรียนของรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ที่เน้นการเรียนแบบท่องจำและผลการสอบมาตลอด ก่อนจะพบว่าคุณภาพการสอนกลับแย่ลงเรื่อยๆ

รายงานสถานะการศึกษาประจำปี (Annual Status of Education Report: ASER) ล่าสุด เผยว่าเด็กอินเดียอายุ 14 ถึง 18 ปี จำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ เผชิญปัญหาในการอ่านภาษาตัวเองไม่ออก แม้จะเรียนมาแล้วถึง 8 ปี

ขณะที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอินเดียก็ต้องการคะแนนสอบเข้าสูงลิ่ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การแข่งขันอย่างรุนแรง การโกงข้อสอบกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ในปี 2015 ผู้ปกครองและเพื่อนๆ จำนวนมากถูกแอบถ่ายรูปขณะกำลังปีนกำแพงห้องสอบในแคว้นไบฮาร์ (Bihar – รัฐในภาคตะวันออกของอินเดีย) เพื่อส่งคำตอบให้กับเด็กๆ ที่กำลังสอบ และข้อสอบก็รั่วไหลเป็นเรื่องปกติ

วิชา ‘ชีวิตที่ดี’
การเรียนอย่างมีความสุขจึงสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) หนึ่งในมหาวิทยาลัยระดับไอวีลีกของสหรัฐอเมริกา เปิดตัวคอร์สจิตวิทยาและวิชา ‘ชีวิตที่ดี’ ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม
นักศึกษาให้ความสนใจกว่า 1,200 คน เข้าคลาสทุกสัปดาห์ ถือเป็นคลาสที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเยลนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1701 เป็นต้นมา
การบ้านของคลาสนี้ คือ การแสดงออกถึงความซาบซึ้งใจ การมีเมตตา และการเพิ่มความสัมพันธ์ทางสังคม
อ้างอิง:
These Indian schools are giving lessons in happiness

Tags:

ครูระบบการศึกษาวิชาความสุขเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ไทกิ HOMEBURG: นักพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบคนบ้าและไม่เคยอยากเป็นเชฟ
Voice of New Gen
27 September 2018

ไทกิ HOMEBURG: นักพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบคนบ้าและไม่เคยอยากเป็นเชฟ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ไม่ได้ชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าชอบทำอะไร เพิ่งเริ่มครองครัวเมื่อ 4 ปีก่อน ศึกษาเบอร์เกอร์และวิทยาศาสตร์อาหารอย่างจริงจังเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แม้เป็นเจ้าของ Homeburg แต่เขาไม่ได้อยากเป็นเชฟ!
  • ก่อนจะมีครัว Homeburg เขาเคยปรับห้องพักในหอใน แปลงเป็นครัวย่อมๆ ทดลองธุรกิจขาย ‘อกไก่นุ่ม’ ด้วยเครื่องซูวี ทำอาหารภายใต้สุญญากาศมาก่อน
  • ออกไปกินเบอร์เกอร์ทุกร้านที่ใครว่าดี แยกเลเยอร์เบอร์เกอร์ออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษา ตั้งแต่ ชีส เนื้อ ผักดอง มายองเนส ขนมปัง เฉพาะเนื้อที่เป็นตัวชูโรง เขาและทีมต้องทดลองซื้อเนื้อแทบทุกสัดส่วนมาบดและชิม ทดลองกระทั่งทิศทางตัดเนื้อว่าตัดขวางหรือตัดตามริ้วลายบนเนื้อให้รสสัมผัสแตกต่างกันอย่างไร

“คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองหลงใหลอะไร เราเชื่อว่าทุกคนต้องใช้เวลาบ่มเพาะความหลงใหลของตัวเอง ความหลงใหลไม่ใช่สาเหตุ แต่เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบชีวิตที่ดี”

บทเริ่มของหนังสือ ‘Designing Your Life: คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking’ บอกไว้เช่นนั้น และเป็นประโยคเดียวกันที่อาจนิยามตัวตนของ ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า อายุ 24 ปีเจ้าของร้าน Homeburg คราฟเบอร์เกอร์ที่เขาพัฒนาสูตรมากับมือด้วยฐานคิดจากวิทยาศาสตร์อาหาร คู่กับโจทย์ที่ตั้งไว้ว่า “ต้องเป็นเบอร์เกอร์สำหรับคนไม่รักเบอร์เกอร์” ท้าท้ายประสบการณ์ของคนกินและพ่อครัวด้วยการเตรียมวัตถุดิบกว่า 4 ชั่วโมงเพื่อออกไปปิ้ง ย่าง กริลล์กันสดๆ เพียงวันละ 4-6 ชิ้น ให้กับเพื่อนใหม่ที่ลงชื่อเข้าขอชิม และจ่ายเงินตามความเห็นของตัวเอง

คำว่า ‘หลงใหล’ ของไทกิ ตั้งต้นจากการ ‘ไม่รู้’ ว่าตัวเองหลงใหลอะไรมาก่อน บันทึกการเดินทางของผู้ชายคนนี้ระบุว่า เขาเพิ่งเริ่มจับมีดและสำนึกว่าการทำอาหารเป็นเรื่อง ‘สนุก’ เมื่อ 4 ปีก่อน ในช่วงรอยต่อระหว่างมหาวิทยาลัยปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 และเพิ่งเริ่มพัฒนาสูตรการทำเบอร์เกอร์อย่างเข้มงวดจริงจังเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า

ไฮไลท์ของเบอร์เกอร์ Homeburg แน่นอนว่าส่วนหนึ่งอยู่ที่รสชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทำคนกิน และเป็นเบอร์เกอร์ของคนไม่รักเบอร์เกอร์ แต่อีกส่วนก็คือ ประวัติศาสตร์กว่าจะเป็น Homeburg เขาแยกส่วนประกอบทุก ‘เลเยอร์’ ออกมาตรวจสอบ ตั้งแต่ ขนมปัง, เนื้อ, ชีส, มายองเนส ออกไปสำรวจตลาดเบอร์เกอร์ในไทยว่าแต่ละเจ้าให้รสชาติอย่างไร ใช้วัตถุดิบแบบไหน รวมทั้งเฝ้าถามคนกินว่า “ที่ไม่รักเบอร์เกอร์ เป็นเพราะอะไร”

“เราไม่ได้เป็นเชฟ ไม่ได้อยากเป็น เราแค่ชอบทำอาหารและสนใจอาหารเป็นอย่างๆ เช่น เบอร์เกอร์และกาแฟ การทำ Homeburg เลยค่อนข้างตอบโจทย์ในแง่ได้ชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้านโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองของการเป็นเชฟ เราคิดว่าตัวเองเป็น developer ที่ได้สนุกกับการทดลองมากกว่า” ไทกิเริ่มต้นอธิบายขณะเตรียมบดเนื้อเพื่อรอ ‘เพื่อน’ ใหม่ราว 4-6 คนที่กำลังจะเข้ามากินดื่มช่วงเวลา 2 ทุ่ม

ตลอดบทสนทนาว่าด้วยศาสตร์การทำเบอร์เกอร์ ไทกิอธิบายกระบวนการโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์รองรับหนักแน่นและลื่นไหล (ซึ่งนั่นทำให้ผู้สัมภาษณ์ต้องคอยถามซ้ำบ่อยๆ ว่า ‘เอ่อ… มันคืออะไรคะ?’) เข้าใจราวกับไม่ใช่นักศึกษาสาขาภาษาศาสตร์ดังที่เขาให้ข้อมูลเอาไว้ แต่เหมือนนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์การอาหารมากกว่า แน่นอนว่าคำกล่าวเช่นนี้เป็นปัญหา เพราะผู้เขียนทำราวกับไม่รู้จักโลกใบใหม่ที่เราไม่จำเป็นต้องทำงานตรงสายในสาขาที่เรียนหรือโอบกอดความฝันแรกที่ผุดขึ้นในสมอง

เพราะหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองหลงใหลอะไรตั้งแต่แรก และ “เชื่อว่าทุกคนต้องใช้เวลาบ่มเพาะความหลงใหลของตัวเอง” ดังที่ บิล เบอร์เนตต์ กับ เดฟ อีวานส์ กล่าวไว้ใน Designing Your Life และดังเรื่องราวของไทกิ แห่ง Homeburg

จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน

ไม่ได้ชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าชอบทำอะไร จบมัธยมต้นด้วยเกรดเฉลี่ย 1.XX กว่า เพียงพอจะต่อมัธยมปลายสายศิลป์ภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเดิมได้ ชีวิตมัธยมปลายคือการประคองตัวเพื่อทำหน้าที่นักเรียนในการสอบให้ติดมหาวิทยาลัยรัฐสักที่ ด้วยตัวเลือกที่ดีที่สุดและไม่คัดง้างกับตัวเอง

ชีวิตวัยเด็กของไทกิดำเนินไปอย่างสามัญตามชีวิตวัยเรียนทั่วไป เพิ่มเติมคือความ ‘ขบถ’ ที่มีในตัว

“ความฝันตอนเด็กเหรอ? ไม่รู้เลย เราเป็นเด็กทั่วไปที่เดินตามระบบการศึกษาไทยนะ เขาอยากให้ทำอะไรก็ทำ อยากให้อ่านหนังสือเพื่อสอบก็ทำ ตอน ม.ต้นเราอยู่ห้องเรียนดีเพราะสอบคัดเลือกเข้ามาได้ แต่เป็นห้องที่บังคับให้เรียนวิทย์และคณิต ต้องเรียนเพิ่มเติมถึง 6 โมงเย็น เลยฝังใจว่าไม่ชอบการเรียนแบบนี้ พอขึ้น ม.ปลายเราเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศส ชอบมั้ยไม่รู้ รู้แต่ทำได้ดีกว่าเลขและวิทย์ แต่ก็เป็นการเรียนอย่างไม่ได้คิดว่าจะเรียนเพื่อเอาไปใช้ทำอะไร”

สุดท้ายไทกิสอบติดคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ยังไม่ใช่การเลือกที่มาจากความฝันหรือความมุ่งมั่นด้านวิชาชีพ

“จุดเริ่มต้นของทุกอย่างเกิดขึ้นตอนเราไปทำงานที่อเมริกาในโครงการ Work and Travel เพราะตอนปิดเทอมปีสองจะขึ้นปีสาม เป็นช่วงที่ไทยเปลี่ยนเวลาเปิดเทอมให้ตรงกับอาเซียน คณะเราฮิตไปโครงการนี้มาก เปิดเทอมนั้นก็ได้หยุดตั้ง 5 เดือน แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่อินกับประเทศนี้ ไม่อินกับภาษานี้ ไม่เคยศึกษาหาข้อมูล แต่พอเพื่อนพูดเยอะๆ ก็ เออ… ลองดูสักหน่อยว่ามันคืออะไร

“คุยกับเพื่อนที่เคยไปมาแล้ว ลองคำนวณค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพคร่าวๆ ต่อเดือนกับรายได้ขั้นต่ำที่จะได้ ดูแล้วคิดว่ามีรายได้กลับมาเหมือนกันนี่นา เลยตัดสินใจไป”

เพราะต้อง ‘เอาตัวรอด’ ในหลากมุมของชีวิต ทั้งภาษา อาชีพ ควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้เขาต้องปรับแผนและออกแบบชีวิตอย่างเร่งด่วนภายในเวลา 5 เดือน แต่เฉพาะมุมความสนใจด้านอาหาร ไทกิยกประโยชน์ให้การทำงานเป็น helper หรือผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารญี่ปุ่น และ การได้ครองครัวเป็นครั้งแรก

“ที่เลือกงานนี้เพราะเป็นงานที่มีชั่วโมงทำงานนาน ได้เงินเยอะ คือไล่เรากลับบ้านไม่ได้เพราะเดี๋ยวไม่มีคนช่วย การเป็นผู้ช่วย พ่อครัวจะสอนว่าจับมีดแบบนี้นะ หั่นแบบนี้ การหั่นแบบนี้ต้องจับมีดยังไง

“ด้วยความที่อยากลดค่าใช้จ่ายของตัวเองเพราะบ้านที่อยู่ตอนแรกมันแพงมาก อยากย้ายบ้าน เลยไปดูบ้านที่ใกล้ที่ทำงานว่ามีที่ไหนน่าสนใจ ไปเจออพาร์ตเมนต์โง่ๆ หลังหนึ่งซึ่งเป็นห้องโล่งๆ มีแต่เครื่องซักผ้า ครัว มีห้องนอนแต่ไม่มีฟูก มีพรมและฮีตเตอร์ให้ พอดูราคาห้องแล้วคิดว่าตัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ เรากับเพื่อนคนไทยที่ไปด้วยกันเลยย้ายมาอยู่ที่นี่

“พอย้ายเข้าบ้านใหม่ก็ต้องทำกับข้าวกินเอง ซึ่งแถวที่พักมันจะมีกู๊ดวิลล์ สถานที่รับบริจาคสิ่งของซึ่งจะนำของเหล่านั้นมาขายในราคาถูกเพื่อเอาเงินตรงนี้ไปช่วยโฮมเลสหรือใครก็ตาม เราเลยได้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น กระทะ ตะหลิว เครื่องปิ้งขนมปัง เข้าบ้าน

“ช่วงแรกๆ ก็จะทำอาหารง่ายๆ อย่างมาม่าหรือจากผงปรุงสำเร็จที่เพื่อนๆ ขนไป แต่พอกินไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มหมดและเบื่อ อยากกินอย่างอื่นบ้าง ตอนนั้นทำกับข้าวไม่เป็น แต่ก็เปิดคลิปสอนทำอาหารของ กอร์ดอน แรมซีย์, เจมี โอลิเวอร์ เสิร์ชดูว่ามันมีวัตถุดิบแบบนี้ๆ นะ เราก็จดไว้ไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและกลับมาทำกินเอง เออ… สนุกดีอะ อร่อยไม่อร่อยอีกเรื่อง แต่ตอนทำมันสนุก เราเลยเริ่มชอบทำอาหารตั้งแต่ตอนนั้น”

ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า

แล้วไปหลงรักเบอร์เกอร์ตอนไหน?

“จริงๆ เริ่มจากเรื่องอยากฝึกภาษา ตอนแรกภาษาอังกฤษเราห่วยมาก แต่ไปอยู่ตรงนั้น เราบอกตัวเองว่า มาถึงตรงนี้ เสียตังค์ตั้งเยอะ ถ้าไม่ได้เงินคืนก็ต้องพูดภาษาได้”

ไทกิใช้เวลาช่วงเดือนแรกเดินไปตามสวนสาธาณะ ตามซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อแอบฟังพ่อแม่คุยกับลูกระหว่างเลือกซื้อของ ฟังเหล่า granny พูดคุยกันตอนออกกำลังกาย และพยายามเปล่งปากพูดกับเพื่อนชาวอเมริกัน ถึงจุดหนึ่งเขาก็พูดได้ เพื่อนในโลกและวัฒนธรรมใหม่ชวนเขาออกไปหาความอร่อยทางวัฒนธรรม

“พอพูดจากันถูกคอ เพื่อนอเมริกันก็เริ่มชวนกันไปกินนู่นกินนี่ในวันหยุด”

ช่วงบ่มเพาะความหลงใหล ก่อนจะเป็น Homeburg

“ช่วงวันหยุด เพื่อนฝรั่งพาไปร้านพิซซ่า ร้านเบอร์เกอร์ท้องถิ่นของเขา ตรงนี้แหละที่รู้สึกว่ามันสนุกมากๆ ก่อนไปเราชอบกินจังค์ฟู้ดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้จักร้านเบอร์เกอร์อื่นที่ไม่ใช่ McDonald’s หรือ Burger King แต่พอไปเจอเบอร์เกอร์ที่นู่นก็รู้สึกว่าทำไมมีตัวเลือกเยอะจัง รสชาติไม่เหมือนกับเบอร์เกอร์บ้านเราเลย จากนั้นทุกวันหยุดเราก็วางแผนออกไปกินร้านเบอร์เกอร์พวกนี้ตลอด นอกจากชอบเบอร์เกอร์ ก็ทำให้ชอบศาสตร์ของกาแฟด้วย

“ก่อนจะกลับ เราวางแผนเที่ยวเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ตั้งใจไปเที่ยวทางซีกซ้ายของประเทศ คือ วอชิงตัน ออเรกอน แคลิฟอร์เนีย เพราะทั้งแถบนี้บ้ากาแฟหมด ส่วนเบอร์เกอร์เราแพลนไปกินที่ลอสแองเจลิสกับซานฟรานซิสโก ซึ่งเบอร์เกอร์ของ 2 รัฐนี้ก็รสชาติไม่เหมือนกันอีกนะ”

ทั้งหมดนั้นคือจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในเบอร์เกอร์ แต่เมื่อกลับไทยแล้ว ความจริงที่รออยู่ตรงหน้าคือชีวิตมหาวิทยาลัยในสาขาที่ไม่ได้สนใจอีก 2 ปี แม้รู้ชัดว่าไม่ได้ชอบภาษา แต่ไม่ได้คัดค้านเท่าแต่ก่อน พร้อมได้ทัศนคติใหม่ว่าการเรียนภาษาอย่างที่เรียนอยู่จะพัฒนาไม่ได้เลยถ้าไม่มีสนามให้ฝึก

อย่างไรก็ตาม ไทกิตั้งใจว่าอย่างไรก็จะเรียนต่อให้จบ แต่ระหว่างนั้น เขาเข้ากรุงเทพฯ เกือบทุกวันหยุดเพื่อตระเวนชิมกาแฟและเบอร์เกอร์ตามร้านต่างๆ

“ระหว่างที่ไปชิมกาแฟ เราได้คุยกับเจ้าของร้าน พบว่าถ้าเป็นกาแฟ มันมีร้านที่ดีๆ ในไทยเยอะมาก (เน้นเสียง) ศาสตร์การทำกาแฟเฟื่องฟูมากและเจ้าของร้านลงลึกถึงวิทยาศาสตร์ แต่กับเบอร์เกอร์จะไม่ค่อยเยอะ คุยกับเจ้าของร้านส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอะไรกับเบอร์เกอร์มาก เช่น ถ้าอยากได้เนื้อที่เกรียมกว่านี้ต้องทำยังไง ขนมปังของคุณ กริลล์แค่นี้มันยังไม่ร้อนถึงข้างบนเลยทำให้โทสต์มันไม่ดีนะ

คือระดับความอยากศึกษา การพัฒนาตัวสินค้าระหว่างคนทำเบอร์เกอร์กับกาแฟยังไม่เท่ากัน คือมันมีคนที่เจ๋งๆ ในวงการแบบรู้ลึกจริง แต่ถ้าเทียบสัดส่วนยังถือว่าน้อยอยู่ดี ตอนนั้น แม้จะยังไม่ได้อยากทำเบอร์เกอร์ แต่ก็คิดเลยว่า ถ้าเราทำธุรกิจกาแฟยังไงก็ไม่รอด แต่ถ้าเป็นเบอร์เกอร์มีโอกาสนะ”

ขีดเส้นใต้ไว้ว่าช่วงนั้นไทกิยังไม่ได้มองถึงอาชีพ เพียงแต่ชอบออกไปหาร้านเบอร์เกอร์ต่างๆ เพราะความชอบส่วนตัว แต่เขารู้ตัวว่าชอบทำอาหารแล้ว ระหว่างปีสาม และปีสี่ ที่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาจึงเริ่มบ่มเพาะความหลงใหลของตัวเองเรื่องวิทยาศาสตร์อาหารต่อไป

ระหว่างเรียนปีสี่ เขาคิดกับเพื่อนว่าอยากหาอะไรทำเพราะมีเวลาว่าง ประกอบกับสนใจศาสตร์โภชนาการอย่างจริงจังเพราะเข้ายิม เมื่อเล็งเห็นว่ามีตลาดสำหรับคนรักสุขภาพ เขาและเพื่อนจึงเริ่มทำธุรกิจขาย ‘อกไก่นุ่ม’ ด้วยเครื่องซูวี (Sous-Vide) หรือการทำอาหารภายใต้สุญญากาศ

“ตอนนั้นเพื่อนเราเล่นเวท และมันต้องกินอกไก่วันละเป็นกิโล เราเลยคิดว่า เออ งั้นก็ทำขายสิ ถ้าขายไม่ได้ก็แค่กินเอง ไม่ได้มีข้อเสียอะไร แต่จะทำยังไงให้นุ่ม อร่อย และไม่ทอด เราก็เสิร์ชหาในเน็ต ตอนแรกก็หาเป็นภาษาไทยแต่มันก็ได้สูตรแค่การหมักนม ซึ่งเรารู้สึกว่า ‘ทำไมวิธีการทำมันวุ่นวายจังวะ’ เลยเริ่มเสิร์ชเป็นภาษาอังกฤษ how to tenderize meat ไม่ก็ how to tenderize chicken breast แล้วก็ไปเจอสูตรที่ทำไก่ด้วยเครื่องซูวี

“ตกใจมาก แบบ ‘มึงทำอาหารด้วยถุงพลาสติกเหรอ?’ แต่ก็คิดว่าไม่มีผลเสียที่จะลองนะ เลยเอาอกไก่มาปรุง ใส่เกลือ ใส่พริกไทย ใส่ถุงซิปล็อก ทำตามมันบอกเลย แต่เพราะไม่มีเครื่องซูวีเลยต้อง adapt เอา เราใช้ถังคูลเลอร์ เทน้ำร้อนและผสมกับน้ำในอุณหภูมิห้อง เขาบอกว่าต้องใช้น้ำ 60 องศาเซลเซียสใช่มั้ย เราก็กวนๆ น้ำแล้วเอาปรอทวาง 60 องศาเซลเซียสปุ๊บ ก็เอาไก่ใส่คูลเลอร์แล้วปิดฝา นั่งเฝ้าทำอยู่อย่างนี้ 2 ชั่วโมง ทำเสร็จเอาออกมากิน เฮ้ย… มันนุ่มมาก juicy มาก ผ่าออกมาน้ำยังปลิ้นอยู่เลย เราตัดสินใจเลย ขายอันนี้แหละ พอดีว่าญาติผู้พี่คนหนึ่งกำลังจะกลับจากอเมริกา เราเลยขอให้เขาหิ้วเครื่องซูวีจากที่นู่นมาเลย แล้วก็ปรับห้องในหอของเราให้เป็นครัว

“แต่ตอนนั้นยังกังวลเรื่องความปลอดภัยนะ เพราะเอาพลาสติกมาใช้อะ ก่อนขายเลยต้องหาข้อมูลอีก ไปค้นรีเสิร์ชต่างๆ ว่าพลาสติกที่เราใช้มีจุดหลอมเหลวเท่าไหร่ ต้องพลาสติกแบบไหน ปลอดภัยมั้ย สรุปว่าของที่เราใช้ปลอดภัย ทำได้ ก็เลยตัดสินใจขาย เป็นการขายแบบพรีออร์เดอร์ สั่งในเฟซบุ๊คและนัดรับ ขายดีมาก แค่เดือนเดียวก็ได้ค่าเครื่องคืนแล้ว”

เอาไงกับชีวิตดี?

ธุรกิจของไทกิและเพื่อนเป็นไปด้วยดีตลอดการเป็นนักศึกษาปี 4 แต่เมื่อเรียนจบ ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องคิดอย่างจริงจัง จะเลือกเดินทางไหน จะทำอาชีพอะไรดี?

2 ปีที่แล้วระหว่างเดินทางกลับมหาวิทยาลัยเพื่อขอใบจบการศึกษาและไปสมัครงานตรงสายอาชีพที่เรียนมา เขาได้รับอีเมลตอบกลับจากเจ้าของร้านกาแฟ April Story ว่ายังสนใจเป็นมาทำงานที่ร้านในฐานะบาริสต้าและทำอาหารให้กับร้านแห่งนี้ไหม

คำตอบคือ ‘ตกลง’ ไทกิเป็นบาริสต้าให้ April Story ตั้งแต่สิงหาคม 2016 ถึง พฤศจิกายน 2017 พร้อมกับค่อยๆ พัฒนาครัวและสูตรของ Homeburg ในระหว่างนั้น

กระทั่งเมษายน 2018 ไทกิจึงพร้อมเปิด Homeburg ในฐานะครัวของตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยแนวคิดชวนเพื่อนมาลองชิมเบอร์เกอร์และให้จ่ายเงินตามความพอใจ

Homeburg ห้องทดลอง และการพัฒนาลิ้น

ประวัติของไทกิและร้าน Homeburg ถูกบันทึกว่าเป็นการพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบ ‘คนบ้า’ เพราะเขาไม่ได้ทำเบอร์เกอร์อย่างต้องการแค่ความอร่อย แต่เริ่มต้นจากปัญหาของการกินเบอร์เกอร์ และความข้องใจว่าทำไมเบอร์เกอร์ที่ไทยจึงให้รสชาติและรสสัมผัสไม่เหมือนที่เคยกินในอเมริกา

“พี่เจ้าของร้านให้โจทย์ว่า ทำยังไงก็ได้ให้ขายเบอร์เกอร์ได้ 200 บาทและมีกำไร มันเลยยิ่งยากไปอีกเพราะเบอร์เกอร์ 1 ชิ้นไม่เกิน 200 บาท เราจะใช้เนื้อได้ดีเท่าไร? เนื้อเบอร์เกอร์แบบอเมริกันสไตล์ก็ราคาสูงมาก เราเลยไม่มีตัวเลือกมากนอกจากพัฒนาเบอร์เกอร์ด้วยการรีเสิร์ช”

ออกไปกินเบอร์เกอร์ทุกร้านที่เขาว่าคุณภาพดี แยกเลเยอร์เบอร์เกอร์ออกมาเป็นส่วนๆ ทั้ง ชีส เนื้อ ผักดอง มายองเนส ขนมปัง และลุยศึกษาเฉพาะอย่าง เฉพาะเนื้อที่เป็นตัวชูโรง เขาและทีมต้องทดลองซื้อเนื้อแทบทุกสัดส่วนมาบดและชิม ทดลองกระทั่งทิศทางการตัดเนื้อว่าตัดขวางหรือตัดตามริ้วลายบนเนื้อให้รสสัมผัสแตกต่างกันอย่างไร

“ออกไปกินเบอร์เกอร์หลายแบบจนปากเราเริ่ม educate หรือถูกเทรนด์ให้แยกความแตกต่างได้ว่า เนื้อร้านนี้บดละเอียด ร้านนี้บดหยาบ ร้านนี้กลิ่นแรง ขนมปังร้านนี้หนัก ขนมปังร้านนี้แฉะ”

นอกจากการสำรวจตลาด เกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเขายังง่วนกับการพัฒนาสูตร ปัญหาที่พบและต้องเร่งหาคำตอบให้เจอคือ ต้องใช้เนื้อพันธุ์ไหน กล้ามเนื้อส่วนใด และหรือต้องนำส่วนใดมาผสมกันจึงลงตัวและใกล้เคียงกับรสชาติในความทรงจำตอนอยู่อเมริกามากที่สุด

“เรารู้ว่าเบอร์เกอร์ตามมาตรฐานอเมริกัน สัดส่วนคือ เนื้อ 80 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นฝรั่ง เขาเลือกเนื้อส่วนที่มีไขมันแทรกได้เลย แต่บ้านเราใช้ไม่ได้เพราะแพงมาก เราเลยต้องมาทดลองเองว่า ถ้าจะเอาเนื้อ 1 กิโลกรัม ต้องใช้เนื้อแดง 800 กรัม ไขมัน 200 กรัม แล้วเอามาบดรวมกัน แต่ปัญหาคือ เวลาที่ซื้อเนื้อจากร้านแล้วขอให้เขาบดให้ เราเห็นตรงหน้าว่ามันมีพังผืดติดอยู่บนเนื้อส่วนที่เราต้องการ หรือขอให้ตัดส่วนไหนออกก่อนบด แต่เขาก็ไม่ทำหรือทำไม่ดี มันเลยควบคุมคุณภาพไม่ได้

“Homeburg เพิ่งมาลงตัวเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมาหลังพี่คนหนึ่งเอาเครื่องบดมาให้ จากนั้นเลยซื้อเนื้อทุกชนิดที่มีในร้านมาลองบดกินกันเพื่อปรับสูตร แล้วโน้ตไว้ว่า เนื้อส่วนนี้กินแล้วเป็นยังไง บางส่วนกินแล้วเหมือนเครื่องใน เหมือนกินตับ สันคอมีมันเยอะและกลิ่นแรง ช่วงท้องมีมันน้อย เอามาทำงานต่อง่ายดีนะเพราะไม่ต้องคำนวณเรื่องไขมันมาก

ไม่ใช่แค่เนื้อที่ใช้ แต่เขาให้ความสำคัญกับสัดส่วนและสูตรมาก เพราะระหว่างเตรียมอาหาร เขาชั่งตวงวัดสัดส่วนเนื้ออย่างแม่นยำ และไม่เพิกเฉยหากหน้าปัดตาบอกตัวเลขผิดไปจากความต้องการเพียง 0.1 กรัม

“ต้องเป็นมาตรฐานน่ะ เราจะควบคุมมาตรฐานได้ยังไงถ้าไม่ทำให้สูตรเป็นมาตรฐานไปเลย อย่างวันนี้เราจะทำเบอร์เกอร์สำหรับ 4 คน เรากดเครื่องคิดเลขเลยว่าต้องใช้เนื้อแดงเท่าไร ไขมันเท่าไหร่ ถ้าช่างแล้วไม่ได้ 2.00 กรัม ก็ดึงเข้าดึงออกจนกว่าจะพอดี ชั่ง 5 รอบก็ต้องเป็น 2.00 กรัม ทำเบอร์เกอร์ล้านรอบมันก็ต้องพอดี ไม่มีรอบไหนแห้ง หรือ greasy เกินไป”

อยู่แต่กับเบอร์เกอร์แบบนี้ กว่าจะได้สูตร (ซึ่งไทกิบอกว่าเขาพอใจ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว) ต้องผ่านการกินอย่างไม่ย่อท้อและการปรับสูตรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เคยเบื่อ เอียน หรือท้อใจกับการทำบ้างไหม?

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัน เบื่อเบอร์เกอร์ตัวเอง น้ำหนักขึ้น ต้องหยุดพักไปเลยกว่า 3-4 เดือน แต่เป็นความตัน เพราะเราอยากทำ food truck แต่ติดปัญหาว่าเรื่องกระบวนการทำเบอร์เกอร์ของเราใช้เวลานาน ต่อชิ้นตกที่ 20 นาที ถ้าทำบน truck คงไม่ได้แน่ พอตันก็เลยพักไปทำกาแฟ ซึ่งเป็นอีกอย่างที่เราชอบและศึกษาแบบลึกซึ้งเหมือนกัน แต่เบอร์เกอร์มันก็ยังอยู่ในหัวแหละ สุดท้ายเราไปเจอพี่คนหนึ่ง เป็นบาร์เทนเดอร์ซึ่งเคยทำครัวมาก่อน เขาแนะนำว่าฝรั่งมีเครื่อง warming drawer หรือเก๊ะอุ่นอาหารนะ แค่เอาอาหารที่สุกแล้วใส่เก๊ะนี้ คุณก็ขนเก๊ะขึ้นไปบน truck ของคุณได้ จุดนั้นเราโล่งเลย (ดีดนิ้ว) ปัญหาคลี่คลาย

“แต่หลังจากทำ Homeburg เราคิดว่าเราอาจไม่ได้อยากทำ food truck หรือถ้าทำก็ต้องทำให้ง่ายที่สุด เราชอบ Homeburg ตรงที่ได้มีความสัมพันธ์กับคนกิน ได้พูดคุย เหมือนชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน การชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้านมันไม่มีอารมณ์แบบ ‘เฮ้ย ทำไมมึงทำช้าจัง’ อะไรแบบนี้ อยากพัฒนาสินค้าของเราต่อไป”

ไทกิไม่ได้เริ่มต้นอาชีพจากความฝันวัยเด็ก ไม่ได้รู้ตั้งแต่แรกว่าเขาอยากทำเบอร์เกอร์ (ไม่ใช่เชฟด้วย) แต่เพิ่งบ่มเพาะความหลงใหลด้วยการทดลองและศึกษาอย่างจริงจังเมื่อไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อถามถึงก้าวต่อไป เขาตอบอย่างมั่นใจว่าคือการพัฒนาสินค้าต่อไปให้ลุ่มลึก วันหนึ่งอาจเปิดครัวสไตล์ Homeburg เพราะเบอร์เกอร์ไม่ใช่อย่างเดียวที่เขาชอบ แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร คนทำ คนกิน ฝันอีกอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จ คือการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ นัยยะคือ สมดุลระหว่างอาชีพและชีวิต

ความทุ่มเทตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทำไปทำไม อยากพิสูจน์อะไร?

“เราไม่ได้อยากพิสูจน์อะไรนะ เราแค่อยากทำและชอบลงทุนกับประสบการณ์ และไม่สนใจด้วยว่า professional ขึ้นกับอายุ ความสนใจจะเรียนรู้ต่างหากที่ drive หรือพาคุณไปสู่ความชำนาญ ซึ่งความชำนาญต้องใช้เวลานะ”

สำหรับโจทย์ที่เขาเคยตั้งไว้ ‘ต้องเป็นเบอร์เกอร์สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเบอร์เกอร์’ เขาอธิบายวิธีแก้ปัญหาด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า

“เพราะเบอร์เกอร์ของเราตั้งต้นว่าอยากนำเสนอความสะอาดและการแก้ปัญหา คนส่วนใหญ่บอกว่าการกินเบอร์เกอร์มันเลอะเทอะ ไส้ทะลัก แฉะ เราก็ไปดูว่าปกติเขาทำยังไง

“พ่อครัวจะย่างเนื้อก่อนค่อยย่างขนมปังทีหลัง พอย่างเนื้อก่อน เนื้อจะชุ่มน้ำมันอยู่บนเตา พอเนื้อใกล้สุกก็เอาหนมปังวาง ซึ่งวางขนมปังได้ไม่นานหรอกเพราะมันจะไหม้เกรียม ขนมปังจะกรอบเฉพาะด้านล่างแต่ไม่สุกไปถึงข้างบน จากนั้นก็เอาเนื้อที่ชุ่มน้ำมันตักลงบนขนมปังทันที ขนมปังเลยเปียกไปด้วยน้ำมัน เละ ก็ไม่อร่อย เราแก้ปัญหาด้วยการกลับกัน”

เบอร์เกอร์ของ Homeburg จึงไม่ชุ่มน้ำมันจากเนื้อ เพราะพักเนื้อไว้ที่ถ้วยเล็กเพื่อรีดน้ำมันออกก่อน และการปิ้งขนมปังช้าๆ ด้วยไฟเบาแต่นานทำให้หน้าขนมปังกรอบและร้อนถึงชั้นข้างบน ส่วนการแก้ปัญหาการหล่นแตกของผักระหว่างการกิน ไทกิสับพริกดองให้ละเอียดจนคล้ายเพสทาขนมปัง และละลายชีสแผ่นใหญ่ห่มคลุมเพื่อล็อกแตงกวาดองและเบคอนไม่ให้หลุดหล่นระหว่างกิน

“เราแนะนำให้ลูกค้าหั่นครึ่งเบอร์เกอร์ระหว่างกินด้วย เพราะเวลากินทีละครึ่งจะโดนเนื้อเยอะกว่า คือเราคิด solution มาให้หมดแล้ว แต่จะกินแบบไหนก็แล้วแต่เค้า” และสำทับยิ้มๆ ว่า

“เพราะ Homeburg ต้องการพรีเซนต์ความสะอาดและการแก้ปัญหาไง”

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)อาหารเชฟรัตนพงศ์ ซูโบต้า

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    เมื่อเด็กไม่กินผัก ต้องทำงานเรื่องผัก ผลักเพื่อนๆ ให้ออกห่างจากอาหารร้านสะดวกซื้อ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • 21st Century skills
    อย่าเอาความคิดผู้ใหญ่ มาทำลายความคิดสร้างสรรค์เด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Creative learning
    มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel