Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2018

แก้ปัญหาวัยรุ่นด้วยงานอาสา: ถูกยอมรับ ทำให้เห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่
Learning Theory
28 December 2018

แก้ปัญหาวัยรุ่นด้วยงานอาสา: ถูกยอมรับ ทำให้เห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การพัฒนาวัยรุ่นในสหรัฐ มีที่มาจากการเผชิญหน้ากับปัญหาอาชญากรรมและพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นอเมริกันในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา
  • โดยเชื่อว่าเยาวชนมีศักยภาพพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด ถ้าได้รับโอกาสและการยอมรับจากผู้ใหญ่ใกล้ตัว ให้เขาได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น “ด้วยความเต็มใจ”
  • วิธีหนึ่งคืองานอาสาสมัคร เปิดโอกาสให้พวกเขาเห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเอง
  • การเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดถึงวัยรุ่นจากงานอาสา ให้คุณค่าทางอารมณ์และจิตใจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง สู่การแสดงออกทางพฤติกรรมเชิงบวกในระยะยาว และเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ คุณมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กและเยาวชนในปัจจุบันขนาดไหน?

หรือถ้าคุณเป็นเด็ก คุณคิดว่าตัวเองมีศักยภาพพอที่จะรับผิดชอบตัวเองและสังคมหรือเปล่า?

แล้วถ้ามองในภาพใหญ่ สังคมไทยควรให้โอกาสและบทบาทแก่เด็กและเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไรบ้าง?

การบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ทฤษฎีพัฒนาการการมีส่วนร่วมของพลเมือง’ (Towards a Developmental Theory of Youth Civic Engagement) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เบนจามิน ออสเทอร์ฮอฟ (Benjamin Oosterhoff) ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ (Department of Pediatrics) แผนกจิตวิทยา (Psychology Section) วิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ (Baylor College of Medicine) ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดโดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการเพิ่มพูนและจุดประกายความรู้ทางจิตวิทยาพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น สะท้อนให้เห็นว่าวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการทั้งภายนอกและภายในอย่างชัดเจน

ภายนอก คือความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เติบโตขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมการเข้าสังคมที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ด้วยต้องการเป็นที่ยอมรับจากเพื่อนฝูงและคนใกล้ชิด

ภายใน คือสภาพจิตใจของวัยรุ่นที่ถูกกระทบได้อย่างง่ายดายจากปัจจัยเงื่อนไขภายนอก ‘ความเสี่ยง’ เป็นสิ่งที่วัยรุ่นโปรดปรานซึ่งบ่อยครั้งก่อให้เกิดปัญหาสังคมที่สร้างความกังวลให้กับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพนัน การเสพยา หรือพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ สิ่งที่เกินสายตามนุษย์จะมองเห็นแต่เทคโนโลยีสามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงภายในออกมาให้เห็นได้ คือ พัฒนาการทางประสาทวิทยาของสมองช่วงวัยรุ่น ที่ส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ

เมื่อมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นสังคม ความวิตกกังวลในพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นจึงไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาพื้นฐานที่ทุกสังคมต้องเผชิญ พฤติกรรมดังกล่าวขับเคลื่อนโดยสมรรถนะทางอารมณ์ (Emotional Competencies) ที่ควบคุมโดยสมอง ความฉุนเฉียว ก้าวร้าว อารมณ์หุนหันพลันแล่น และความดื้อดึงจึงเป็นสิ่งที่สังคมต้องทำความเข้าใจและพร้อมรับมือ

ออสเทอร์ฮอฟ บอกว่า การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองในเด็กและเยาวชน (Youth Civic Engagement) กับ การพัฒนาวัยรุ่นเชิงบวก (Positive Youth Development: PYD) มีความเกี่ยวข้องกัน แนวคิดเรื่องการพัฒนาวัยรุ่นเชิงบวกมีที่มาจากการเผชิญหน้ากับปัญหาอาชญากรรมและพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นอเมริกันในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลกลางจึงจัดให้มีงบประมาณเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ

ในยุคหลังเริ่มมีการพูดถึง การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองของเด็กและเยาวชน (Youth Civic Engagement) โดยเชื่อว่า

เยาวชนมีศักยภาพเชิงบวกและสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างก้าวกระโดด หากได้รับโอกาสและการยอมรับจากผู้ใหญ่ใกล้ตัว ทั้งผู้ปกครอง ครู ชุมชน ให้ได้ลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ‘ด้วยความเต็มใจ’

ยิ่งสิ่งที่ทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคมใกล้ตัว เมื่อทำแล้วได้รับคำชื่นชมและได้รับการยอมรับ (promotion-focused) ยิ่งสร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้กับวัยรุ่น จนอยากอาสาทำแล้วทำอีก นั่นเพราะการอาสาสมัครเข้ามาสร้างประโยชน์ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเอง

การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองของเด็กและเยาวชนในเชิงงานอาสา สะท้อนพฤติกรรม ค่านิยม ความรู้ และทักษะที่สามารถสร้างให้เกิดรูปแบบทางการเมืองเฉพาะถิ่น และการก่อร่างสร้างสังคมที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากกว่าการกดขี่ข่มเหง ซึ่งหากมองในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในอนาคต เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเป็นการสร้าง ‘ชุมชนน่าอยู่’ โดยให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทด้วย ไม่ใช่แค่การเคารพในกฎกติกาของผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว

ออสเทอร์ฮอฟ กล่าวถึง ผลลัพธ์จากงานวิจัยที่น่าสนใจแต่ไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก เมื่อพบว่า งานอาสาสมัครเป็นองค์ประกอบหลักของระบบเศรษฐกิจและสังคมในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย

ปี 2005 ประชากร 30 เปอร์เซ็นต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกลุ่มกันทำงานอาสาที่เป็นประโยชน์เพื่อสังคมจำนวนมาก มากกว่าในแถบยุโรปและอเมริกากว่า 3 เท่า คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 2.05 ล้านล้านบาท

โดยเฉพาะงานอาสาด้านสิ่งแวดล้อมที่ช่วยบรรเทาเยียวยาปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลกเป็นวงกว้าง

คำถามคือ แล้วใครจะเข้ามามีบทบาทสนับสนุนการมีส่วนร่วมภาคพลเมืองของเด็กและเยาวชน?

คำตอบที่ได้ ไม่ใช่องค์กรการเมือง แต่กลับเป็นผู้ปกครอง และสถาบันการศึกษา ที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการดังกล่าว

ต้องยอมรับว่าแม้ในสหรัฐอเมริกาเอง ชาวอเมริกันก็ยังไม่มีความเข้าใจมากนักว่า การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและการพัฒนาพื้นฐานทางอารมณ์ของเด็กและเยาวชน เนื่องจากการมีส่วนร่วมภาคพลเมืองมักถูกมองในมุมแคบแค่ไปออกเสียงเลือกตั้ง ไม่ได้เชื่อมโยงมาถึงงานอาสาสมัคร และรูปแบบการมีส่วนร่วมอื่นๆ ที่หลากหลาย

ออสเทอร์ฮอฟ ย้ำว่าประสบการณ์การเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่นจากการทำงานอาสาที่ให้คุณค่าทางอารมณ์และจิตใจ ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองที่เชื่อมโยงไปสู่การแสดงออกทางพฤติกรรมเชิงบวกในระยะยาว กระทั่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

แบบไหนจึงเรียกว่า การมีส่วนร่วมภาคพลเมือง?

ในเชิงพฤติกรรมสามารถวัดได้จากพฤติกรรมที่แสดงออกขณะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันทั่วไป เช่น

  • พฤติกรรมเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม: ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งถ้าไม่ใช้งานหรือไม่?
  • งานอาสาสมัคร: แบ่งเวลาไปทำงานอาสาสมัครเดือนละกี่ชั่วโมงหรือกี่ครั้ง?
  • การช่วยเหลือแบบไม่เป็นทางการ: เคยทำงานโดยไม่รับผลตอบแทน แต่คำนึงถึงประสบการณ์หรือเปล่า?
  • การบริโภคข่าวสาร: ให้เวลาในการเสพข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ มากขนาดไหน?
  • คุณค่าจากความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม: รับฟังและเปิดใจยอมรับความต้องการของผู้อื่นหรือไม่?
  • ความเชื่อเรื่องการเมือง: เป็นพลเมืองที่ตื่นตัวต่อความเป็นมาเป็นไปของบ้านเมืองหรือเปล่า หรือ เห็นความสำคัญและออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งไหม?

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมภาคพลเมือง ยังรวมถึงความสามารถในการพัฒนาอารมณ์และความเข้าใจทางสังคม ในเชิงพฤติกรรมสอดคล้องกับการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หากกำลังตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและผู้อื่น และสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้ เป็นต้น

สิ่งที่เด็กและเยาวชนพบเจอในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโต และประสบการณ์ชีวิตที่เผชิญด้วยตัวเองในแง่มุมที่หลากหลาย เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างแรงกระตุ้นและช่วยพัฒนาศักยภาพให้เด็กและเยาวชนสามารถดูแลตัวเองและสังคมให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ การเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทในการร่วมคิดร่วมทำงานอาสาพัฒนาสังคม จะกระตุ้นให้พวกเขาเห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นการสร้าง ‘สำนึกพลเมือง’ ที่ทำให้พวกเขาอยากทำประโยชน์ให้กับสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ นำไปสู่การสร้างสังคมสุขภาพและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต

Tags:

พัฒนาการพลเมืองงานเสวนา

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป

    เรื่อง

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • EF (executive function)Early childhood
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Unique Teacher
    สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

“โอบกอดบุตรหลาน ฟังเสียงเขา ลดเสียงเรา ประสบการณ์เก่าใช้ไม่ได้กับอนาคต” ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
Family Psychology
28 December 2018

“โอบกอดบุตรหลาน ฟังเสียงเขา ลดเสียงเรา ประสบการณ์เก่าใช้ไม่ได้กับอนาคต” ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • “เราฟังลูกค้าได้ ฟังเจ้านายได้ ฟังลูกน้องได้ แต่ทำไมเราไม่เคยเปิดใจฟังลูกตัวเองบ้าง”
  • “เรามีเวลาเล่นเฟซบุ๊ค ดูละคร ส่องไอจี แต่ไม่มีเวลาสนทนาเรื่องปัญหาและอนาคตลูก เรา outsource การศึกษาให้กับโรงเรียนได้ แต่การสร้างอนาคต เราต้อง insource กลับมาสนทนากับลูก”
  • “ในอนาคต ลูกต้องเป็นผู้กำหนดธงนำ ธงต้องมีหนึ่งเดียว และเป็นธงของลูก ไม่ใช่ธงของพ่อแม่”
  • ทั้งหมดนี้คือบทข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ จาก ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ที่หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพ่อแม่และบุตรหลาน
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

แม้จะออกตัวว่า ไม่อยากสนทนาเรื่องการศึกษา เนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ได้มีความชำนาญเฉพาะ แต่เมื่อแม่ของลูกสาววัย 13 ถาม นักเขียนเจ้าของผลงานซีรีส์ ‘ปัญญา’ ทั้ง FUTURE (ปัญญาอนาคต), PAST (ปัญญาอดีต) และ ONE MILLION (ปัญญาหนึ่งถึงร้อยหมื่น) ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา จึงลองตอบด้วยประสบการณ์แบบฉับพลันทันที ด้วยหวังว่าข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จะมีประโยชน์กับพ่อแม่และบุตรหลาน ซึ่งกำลังวางแผนสร้างอนาคตในโลกที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงเช่นปัจจุบัน

ทำไมคุณถึงบอกว่าอุปสรรคของคนรุ่นใหม่ คือการไม่รู้จักตัวเอง

เราอยู่ในประเทศหรือในสังคมที่ไม่ได้สอนให้เด็กคิด ไม่ได้อนุญาตให้เด็กคิด ว่าแท้จริงแล้วเด็กอยากเป็นอะไร หรือศักยภาพสูงสุดของเขาคืออะไร เราออกแบบความคิดให้กับเด็กโดยความคิดของพ่อแม่ เพราะเราถูกสอนมารุ่นต่อรุ่น ให้พ่อแม่คาดหวังต่อเด็กว่าจะเติบโตเป็นอย่างนี้ๆ เพราะฉะนั้นเด็กจึงไม่ได้ถูกฝึกให้คิดตั้งแต่เด็ก เมื่อไม่มีระบบคิด… แค่การคิดเรื่องตัวเอง เด็กยังไม่ได้รับอนุญาตให้คิดเลยว่าตกลงอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร ความชอบของตัวเองที่แท้จริงคืออะไร หัวใจสูงสุดของตัวเองคืออะไร

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ความหมายในทางปรัชญาที่ลึกไปกว่านั้น อย่างมนุษย์คนหนึ่งเกิดมาเพื่ออะไร? เพื่อเรียนหนังสือให้สอบเข้าโรงเรียนสาธิตได้อย่างนั้นหรือ? แล้วไปเรียนโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ไปเข้ามหาวิทยาลัย จบมาทำงานในบริษัทที่ดี ทำงานไป 30 ปี เกษียณอายุไปใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัด แค่นั้นหรือ? เราเคยตั้งคำถามเหล่านี้กับระบบการศึกษาหรือเรื่องการเลี้ยงดูลูกมั้ยว่า ตกลงเราเกิดมาทำไม เด็กแต่ละคนมีหน้าที่อะไร ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร เราไม่เคยตั้งคำถามใหญ่ (เน้น) ขนาดนี้กับการเลี้ยงดูลูกหลาน

ชวนคิดต่อว่าเพราะอะไรคนรุ่นปู่ย่า, พ่อแม่ถึงเลี้ยงดูและสอนโดยไม่เคยให้ลูกตั้งคำถาม

เราเติบโตมาในยุคที่เรายังไม่สบาย พ่อแม่ปู่ย่าตายายยังมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นคำสอนที่สำคัญที่สุดคือ ‘รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี’ คือต้องเอาตัวให้รอดก่อน การจะเอาตัวให้รอดก็ต้องตอบคำถามเรื่องเศรษฐกิจก่อนว่าทำยังไงที่จะ ‘เอาตัวให้รอด’ การจะเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจแสดงว่าคุณต้องเลือกวิชาชีพที่ถูก เลือกอาชีพที่ถูก ถ้าเลือกไม่ถูกมันเอาตัวไม่รอด ถ้าเอาตัวไม่รอด เรื่องอื่นจะตามมาหมด

ฉะนั้นความกลัวสูงสุดในรุ่นปู่ย่าตายาย คือทำยังไงให้คุณจบไปแล้วมีงานทำ ให้ทำงานที่พอจะเอาชีวิตรอดได้ ซื้อบ้าน ผ่อนรถ ตั้งหลักแหล่งของตัวเองขึ้นมาได้แล้วค่อยไปคิดเรื่องอื่น ถ้าไปคิดเรื่องอื่นก่อนมันหรูหราเกินไป ยังไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีบ้านจะอยู่ ไม่มีรถจะขับ ไม่มีอะไรที่เป็นมาตรฐานของการดำรงชีพอยู่ ไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ เราเข้าใจความจำกัดของยุคนั้น เข้าใจว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีระดับชั้น คุณต้องทำตามเกณฑ์เขาไป คุณเป็นขบถตั้งแต่เด็กก็เอาตัวไม่รอดในสังคมนี้

แต่พอมาถึงรุ่นเรา ไอ้ความยากลำบากทางเศรษฐกิจในชนชั้นกลางมันได้ถูกแก้ไปแล้วในระดับหนึ่ง ความยากลำบากของลูกไม่ได้สูงเหมือนคนรุ่นเรานะ คำถามเดิม วิธีคิดเดิมในการบอกลูกหลานมันเหมาะสำหรับคนรุ่นเรา เราต่างหากที่ไม่รู้ว่า คำถามชุดใหม่ วิธีคิดใหม่ แบบไหนที่เหมาะกับเด็กรุ่นต่อไป เราก็เลยใช้วิธีคิดที่ว่า ‘เรารู้ดีกว่า’ แล้วไปคิดแทนเด็ก ทั้งที่สังคมภายนอกเปลี่ยนไปหมดแล้ว

กระทั่งตัวเด็กเอง แทนที่พ่อแม่จะเป็นแรงส่ง เป็นพลังงานที่จะทำให้เด็กเดินทางไปต่อ แต่ถึงที่สุดพ่อแม่กลับกลายเป็นอุปสรรคในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ลูกหลานเอง เพราะพ่อแม่แบกรับความกลัวที่ตัวเองเคยมีมา แล้วเอาความกลัวและความคาดหวังนี้ไปใส่ตัวเด็กและหวังว่าเด็กจะทำหน้าที่ในสิ่งที่ตัวเองหวัง หรือทำแทนเรา เติมความฝันที่ขาดหาย ความทะเยอทะยานที่เรามีอยู่ ความสำเร็จที่เราอยากได้แต่เราไม่มี เราเอาไปใส่ไว้บนบ่าลูก

ลูกหลานจำนวนไม่น้อยแบกความคาดหวังของพ่อแม่เดินไปเดินมาแถวสยามเต็มไปหมดแหละ เมื่อแบกไว้หนักขนาดนั้น มันไม่มีความเบาพอจะคิดว่า ‘แล้วสูงสุด หัวใจ หรือความฝันของตัวเองคืออะไร?’

ไม่มีเวลาว่างพอจะคิดว่าตกลงเราอยากเป็นอะไรจริงๆ เราอยากเรียนอะไร อะไรที่เราไม่ชอบ… สิ่งที่เด็กเรียนอยู่ทุกวันนี้ เกินครึ่งเขาไม่ชอบ อีกครึ่งอาจเป็นสิ่งที่เด็กไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ เด็กเลยเอาพลังงาน เอาวัยเยาว์ของเขาไปใช้ในเรื่องที่ไม่จำเป็น สูญเปล่ามาก

เด็กบางคนอยากค้นหาตัวเอง อยากมีความคิดสร้างสรรค์ อยากมีทักษะต่างๆ แต่ด้วยสังคมแบบนี้เขาทำไม่ได้ด้วยตัวเอง คนรอบๆ ข้างไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ระบบการศึกษา จะช่วยเด็กได้อย่างไร

ทุกวันนี้ระบบการศึกษาอยู่ในกระบวนการแห่งความล้มเหลว ถ้าเราโยนภาระกลับไปมันไม่เกิดผล เพราะฉะนั้นพ่อแม่จะฝากความหวังไว้กับใครได้นอกจากตัวเอง การไปแก้ระบบการศึกษา คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการปฏิรูประบบการศึกษาให้เป็นการ ‘ปฏิรูป การปฏิรูปการศึกษาก่อน’ แล้วเลิกพูดกันเรื่องนี้สักที เพราะตลอด 30 ปีที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จ

แต่คุณจะปล่อยลูกหลานให้เข้าสู่ระบบที่ล้มเหลว โดยที่คุณไม่ทำอะไร แล้วฝากความหวังไว้กับระบบที่ล้มเหลวเหรอ? ชีวิตจริงคุณปล่อยลูกเข้าไปอยู่ในบริษัทที่ล้มเหลว ในกิจการที่ล้มเหลวเหรอ? คุณยังไม่ปล่อยบริษัทคุณล้มเหลวเลย แต่ทำไมคุณปล่อยลูกเข้าสู่ระบบการศึกษา

เมื่อไม่ได้ วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด คือการย้อนกลับไปที่พ่อแม่ พ่อแม่ไม่สามารถ outsource การวางแผนอนาคตของลูกจากที่อื่นได้

ถ้าระบบการศึกษาล้มเหลวและรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเร็วและสูงขนาดนี้ไม่ได้ ภาระต้องกลับไปที่พ่อแม่ พ่อแม่ต้องเริ่มดีไซน์ว่าจะวางแผนอนาคตให้ลูกหลานยังไง หนึ่ง-ต้องเอาภาระ ความคาดหวัง และความคิดของตัวเองในอดีตที่คิดว่าเป็นสูตรแห่งความสำเร็จออกจากลูกหลานไปก่อน เพราะถ้าเป็นสูตรสำเร็จ มันสำเร็จไปแล้ว และถ้ามันสำเร็จ ตัวพ่อแม่ก็รอดไปแล้ว การที่มันเคยประสบความสำเร็จในรุ่นหนึ่งมาแล้ว แต่รุ่นนี้ เป็นโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

เช่น เทคโนโลยีสมัยใหม่ เราบอกลูกว่าอย่าเล่นมือถือ แต่ลูกใช้ประโยชน์มือถือในการทำงานได้มากกว่าเรา เมื่อโลกภายนอกมันเปลี่ยนแปลงสูงขนาดนั้น เราไม่สามารถไปดีไซน์อนาคตเขาด้วยความคิดและความรู้เดิมของเราได้

หลังจากเอาความคาดหวังออกไปจากตัวเด็ก จากนั้นค่อยๆ สอนให้เขากล้าตัดสินใจ พร้อมให้เขารับความเสี่ยงว่า ‘ลูก ผิดได้’ เรื่องบางอย่าง ให้เขาตัดสินใจเอง อย่าบังคับ แล้วบอกเขาว่า ‘ถ้าตัดสินใจแล้วผิด เรายอมรับความเสียหายได้’ ช่วยกันประคับประคองการตัดสินใจที่ผิด แต่ไม่ใช่ไม่ให้เขาเรียนรู้การตัดสินใจเลย วางแผนให้เขาหมดทุกอย่าง แล้วถ้าผิดขึ้นมาใครรับผิดชอบ? ลูกตัดสินใจผิด ลูกรับผิดชอบ ถ้าเราตัดสินใจผิด ถามว่าใครรับผิดชอบ? เราเคยรับผิดชอบการตัดสินใจของเราเองมั้ย?

ถ้าลูกผิด… เราเคยรับผิดชอบอนาคตเขามั้ย? ความรัก ความปรารถนาดีอย่างเดียวไม่พอ พ่อแม่ต้องมีวิสัยทัศน์และรู้ด้วยว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้ ต้องพร้อมให้ลูกรับความเสี่ยง เพราะในอนาคตที่โลกผันผวนสูงขนาดนี้ ลูกต้องเรียนรู้ที่จะอยู่แบบยืดหยุ่น flexible มากขึ้น เพื่อปรับตัวให้ได้กับทุกความเปลี่ยนแปลง

เมื่อเรียนรู้ที่จะเข้าได้กับทุกความเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความผิดพลาด สอนให้ลูกรับความผิดพลาดได้ ล้มเหลวได้ สอนให้ลูกบาดเจ็บได้ เสียหายได้ ลุกขึ้นได้ สู้ แล้วสอนว่านี่คืออนิจจัง เป็นความธรรมดาของโลก ไม่มีใครสำเร็จหมด ไม่มีใครยิ่งใหญ่หมด วันนี้มีสุข พรุ่งนี้อาจทุกข์ แล้วเดี๋ยวก็กลับไปสุข ให้เข้าใจสัจธรรมของโลก แล้วลูกจะอยู่กับโลกนี้ได้

ทุกวันนี้เราตั้งความหวังกับเด็กสูง แล้วเมื่อไม่ได้ก็กดดันลูกตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ทำให้สังคมรุ่นใหม่เกิดโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กรุ่นนี้เป็นโรคซึมเศร้ามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนรุ่นผมหาน้อยมากที่จะเป็นซึมเศร้า

อยู่ดีๆ ทำไมมนุษย์เผ่าพันธุ์เราถึงกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ในยุคที่มีทุกอย่างพร้อม เรื่องทางวัตถุ ความสะดวกสบาย พ่อแม่ขับรถไปส่งโรงเรียน ทำทุกอย่างให้พร้อม? แสดงว่าต้องมีบางสิ่งที่ขาดหายไป มีบางสิ่งที่ไปคาดหวังเขาสูง ต้องมีบางสิ่งที่ไม่ตอบสนองต่อเขา ซึ่งเขาเป็นลูกค้าที่แท้จริงของระบบการศึกษา เขาเป็นคนที่สร้างอนาคต นั่นแสดงว่าต้องมีการทบทวนฐานคิดกันขนาดใหญ่ ในพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ กับคนรุ่นต่อไป ไม่อย่างนั้นความซึมเศร้าจะกลายเป็นโรคมาตรฐานของคน เหมือนคนรุ่นพ่อแม่ที่เป็นโรคเครียด

คนรุ่นพ่อแม่เราเป็นโรคเครียด และเราแบกรับเรื่องเหล่านี้ไว้และส่งต่อมา ลูกก็แบกรับความเครียดแต่สะท้อนออกเป็นความซึมเศร้า เราเครียด เราระบายออกได้ แต่เด็กไม่มีทางระบายออก เด็กจะไประบายออกจากอะไร จากที่ไหน เด็กก็ต้องไปต่อสู้ เรียนมัธยม 6 ปี มหาวิทยาลัยอีก 4 ปี ปริญญาโทอีก 2 ปี เป็น 12 ปี นี่คือ 12 ปีแห่งความเครียด ซึมเศร้ากันหมดทั้งระบบ

พ่อแม่ต้องเลิกคาดหวัง และบอกกับลูกว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา เอาเข้าจริงแล้ว ระหว่างการบอกตัวเองกับบอกลูก อะไรยากกว่ากัน

เชียร์มวยยากกว่าชกเองอยู่แล้ว เชียร์ลูกให้ทำแบบนั้นแบบนี้มันง่าย ชกมวยเองมันยาก ฉะนั้นการจะให้ใครเปลี่ยนแปลงตัวเองมันยาก มันเลยเป็นความคุ้นเคย เคยชินที่เราจะสั่งลูกอย่างนู้นอย่างนี้ ถามจริงว่าในโลกสมัยใหม่เรามีอำนาจเหนือใครบ้าง แทบไม่มีอำนาจเหนือใคร สั่งลูกค้าก็ไม่ได้ สั่งลูกน้องก็ไม่ได้ สั่งเจ้านายก็ไม่ได้ เหลือแต่ลูกคนเดียว ลูกเป็นสิ่งที่ทุกคนโยนภาระไปให้เขาหมด ทุกคนสั่งลูกได้อย่างเดียวเพราะว่าลูกเป็นสิ่งมีชีวิตที่เราไม่อยากให้มันเถียง เราฝึกไม่ให้มันเถียง ‘เถียงเรอะ…’ นึกออกมั้ย?

ลูกกลายเป็นเด็กดื้อเมื่อเถียง แต่ทำไมเรายอมฟังความเห็นของลูกค้าได้ รับฟังความเห็นของผู้อ่าน ผู้ชมมีคอมเมนต์ได้ เราฟังทุกคนได้หมด แต่ไม่เคยฟังลูกเราเลย ลูกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจมีความเห็นได้ ทำไม?

ทำไมเราทำกับสิ่งมีชีวิตที่เรารักมากที่สุดด้วยวิธีการที่แย่ที่สุด เราทรีทเขาแย่ที่สุด

เราเรียกร้องสังคมที่ก้าวหน้า เรียกร้องสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ยอมรับคุณค่าสมัยใหม่ เราให้กับสังคมได้หมดเลย แต่พอเป็นลูกตัวเองบอก ‘เฮ้ย ไม่เอาว่ะ’ ต้องมีคุณค่าที่ถูกต้อง

เช่นนั้น เรา (พ่อแม่) ต้องไปแก้ความคิดที่ว่า อะไรคือคุณค่าที่ถูกต้อง?

ถูกต้อง เราต้องกลับไปหาตรงนั้น เริ่มที่ตัวเราก่อน ง่ายที่สุด… อะไรที่ตอนเป็นเด็ก เราไม่ชอบสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกับเราที่สุด…ท่านผู้ปกครองที่เคารพ กรุณาอย่าทำกับลูกหลาน อย่าส่งต่อความผิดพลาดที่เราเคยได้รับให้กับลูกหลาน ทำตรงข้ามก็ประสบความสำเร็จได้

พ่อแม่ยุคนี้ อาจไม่สามารถใช้ความรู้จากคนรุ่นปู่รุ่นย่าได้แล้ว ขณะเดียวกันก็ขวนขวายหาความรู้ ฮาวทูเลี้ยงลูกใหม่ๆ แต่ก็สับสน ไม่รู้ว่าอันไหนถูก อันไหนผิด?

สมัยก่อนมันยากเพราะมันไม่มีสื่อ พ่อแม่ก็ไม่รู้จะจับต้องอะไร เดี๋ยวนี้หนังสือเต็มไปหมด คลิปยูทูบก็มี เลือกเอาเลยว่าคุณศรัทธาสำนักไหน หนังสือก็ย่อยความรู้ในยุคสมัยใหม่ทั้งหมดมาให้เราอยู่แล้ว องค์ความรู้สมัยใหม่ เช่น คุณสมบัติที่ดีของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 โอ้โห มีอาจารย์มาจากทั่วโลก คุณจะเรียนกับใครก็ได้ คลิปไหนก็ได้ คุณแค่อาราธนาสิ่งเหล่านี้มายึดถือเป็นสรณะไว้และคุณปรับว่า เออ… ถ้าเป็นแบบนี้ คุณจะใช้กับลูกคุณยังไง

ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่มีความรู้ เราไม่มีการจัดการความรู้ต่างหาก ความรู้มันมาก แต่การจัดการและการเลือกคัดว่า อะไรคือความรู้ที่จำเป็นสำหรับลูกหลานเรา มันไม่มีการจัดการตรงนี้ที่ดี พ่อแม่เองก็เสียเวลา เสียพลังงานไปกับสิ่งไร้สาระ จนเราบอกว่าเราไม่มีเวลาจะทำเรื่องแบบนี้ แต่เรามีเวลาดูละคร ดูเฟซบุ๊ค ลงรูปอาหาร ลงรูปการกิน อัพเดทเรื่องการท่องเที่ยว

แต่เรากลับปฏิเสธภาระที่ต้องใช้พลังงานและเวลามาจัดการอนาคตของลูกหลาน ไม่ใช่ให้คิดแทนเขานะ แต่ต้องวางแผนอนาคตร่วมกันว่า ลูกหลานจะไปสู่อนาคตยังไง

มันมีหมดทั้งเวลาและความรู้ หัวใจสูงสุดของกลยุทธ์คือ time, talent, energy (ชื่อหนังสือ โดย Michael C. Mankins) คุณจะใช้เวลา พลังงานและปัญญายังไง ถ้าคุณเอาไปใช้กับเรื่องพวกนี้หมด คุณสำเร็จทางธุรกิจ ทางสังคม เกียรติยศชื่อเสียง แต่ลูกหลานพังทลาย คุณตอบตัวเองไม่ได้

ล่าสุดประเด็นยกเลิกสอบเข้า ป.1 พ่อแม่ส่วนใหญ่บอกว่า เข้าใจและเห็นด้วยกับคอนเซ็ปท์ แต่ข้อเท็จจริง คือ ถ้าคุณไม่ส่งลูกสอบเข้า ลูกก็จะไปอยู่โรงเรียนไร้มาตรฐาน…โลกมันโหดร้าย อย่ามองโลกสวยนักเลย?

สังคมที่แย่คือ สังคมที่มีปัญหาแต่ไม่สามารถสร้างทางเลือกให้เป็นคำตอบของปัญหาได้ เราบอกว่าเรารู้ว่าการศึกษาห่วย ระบบการศึกษามีปัญหามานาน การแข่งขันสอบเข้าเป็นเรื่องทารุณ และเราต้องยอมรับ แต่เราไม่รู้จะทำยังไง ฉะนั้น พ่อแม่ทุกคนจึงซื้อประกันหมด คือความพยายามยัดลูกเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ได้ ให้ติว สอบเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเพื่อเข้าไปอยู่ในสังคมที่ดีที่สุด หรือถ้าไม่ได้ก็ต้องซื้อโรงเรียนที่แพงที่สุด โรงเรียนอินเตอร์จ่ายปีละล้านเพื่อให้ลูกอยู่ในสังคมที่ดีแล้วหวังว่ามันจะดี นี่คือการซื้อประกันเพือให้ลูกไปอยู่ในระบบที่มันถูกต้อง

การซื้อประกันไม่ได้อันตรายอะไรเท่าไหร่ แต่มันไม่ใช่คำตอบที่แท้ของการศึกษา ในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องกลับมาดูว่าเราจะสร้างระบบให้เป็นทางเลือกได้อย่างไรในวันที่สังคมยังไม่มีทางเลือก เราจะโยนภาระเหรอ? ในเมื่อไม่มีทางเลือก ไม่มีก็ต้องสร้างเอง

กับเรื่องอื่น เช่น เวลาคุณทำธุรกิจ มันเป็นธุรกิจที่ไม่เคยมีอยู่ในสังคม คนถึงทำมันไง มันไปต่อได้ เพราะมี demand และคุณก็ประสบความสำเร็จ แต่พอเป็นเรื่องการศึกษาคุณกลับยอมจำนน

ทำไมคุณไม่ใช้วิธีคิดเดียวกับธุรกิจว่า คุณสร้างทางเลือกได้ คุณสร้างธุรกิจใหม่ได้ ถ้าระบบการศึกษามันห่วย ทำไมคุณไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะสร้างธุรกิจใหม่ให้ลูกคุณได้ ไม่ต้องยัดลูกเข้า ป.1 ไม่ต้องเข้าสู่ระบบทั้งหมด

ผมไม่รู้คำตอบ ผมไม่ใช่นักการศึกษาว่าต้องสร้างระบบยังไง แต่ทำไมธุรกิจมันสร้างทางเลือกได้เต็มไปหมด ทำไมร้านดริปกาแฟมีมากมายเต็มไปหมดทั้งที่มี Starbucks มี Amazon ฯลฯ มัน custom made มาก แต่ทำไมในเรื่องการศึกษา เราทำกับลูกขนาดนั้นไม่ได้ เราแค่อยากจะ outsource ภาระเข้าไปในระบบมากกว่า เพื่อที่ตัวเองจะไปทำอย่างอื่น

คุณ outsource การศึกษาได้ แต่ outsource การวางแผนอนาคตให้ลูกไม่ได้ คุณ (พ่อแม่) ต้องรับภาระอันนี้ เฉพาะเวลาที่สังคมเปลี่ยนแปลง

พ่อแม่บางคนที่มีเวลาหรือโอกาสมากพอ ก็เริ่มหันไปโฮมสคูลหรือโรงเรียนทางเลือก แต่ทุกคนไม่ได้มีความพร้อมขนาดนั้น ถามแบบกำปั้นทุบดินเลย ทำยังไงดี

วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ปล่อยลูกให้อยู่ที่โรงเรียน 8 ชั่วโมง ให้ลูกนอน 8 ชั่วโมง คุณยังเหลือเวลาอีก 8 ชั่วโมง คำถามคือ คุณจะใช้ 8 ชั่วโมงนั้นยังไง? ไม่ต้องใช้ครบ 8 ชั่วโมงก็ได้นะ เวลาคุณภาพ quality time ในการสอนลูกไม่ต้องสอนถึง 8 ชั่วโมงหรอก แค่หาเวลาอาทิตย์ละ 1-2 หรือ 3 ชั่วโมง ใช้ปัญญาของคุณที่มีนั่งคุยกับลูกหน่อยได้มั้ย

ใช้เครือข่ายคุณที่มี เอาเพื่อนฝูงที่เก่งๆ ที่อยู่หลากหลายวงการมาตั้งวงคุยกัน แล้วคุยกับลูกคุณหน่อยได้มั้ย เอาลูกเพื่อนมาเจอ มาคุยกัน ตั้งระบบการศึกษา สอนวิธีคิดกันได้มั้ย

ใช้แค่ 2 ชั่วโมง/วัน อาทิตย์ละ 3 วัน เป็น 6 ชั่วโมง คุณหาเวลาแบบนั้นได้มั้ย? ไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไร เอา 1 ชั่วโมงใน 7 วันคุยแบบเข้มๆ เรื่องชีวิต ฟังเขาหน่อย หาทางช่วยเขาขบคิดสักชั่วสักโมงได้มั้ย

ใน 7 วัน ไม่มีสัก 2 ชั่วโมงเลยเหรอ? ลดการอาบน้ำดีมั้ย จะได้เอาเวลา 2 ชั่วโมงคืนมา เลิกดูซีรีส์ เลิกดู Netflix สักหน่อยมั้ย แล้วเอา 3 ชั่วโมงที่เข้มข้นมาคุยกับลูก

ใครจะสอนลูกได้ดีที่สุดเท่ากับตัวคุณ ยีนของเขาอยู่ในตัวคุณ และยีนของคุณอยู่ในตัวเขา มันมีสายใยที่เชื่อมกันได้ระหว่างพ่อแม่ลูก เพียงแต่คุณต้องฝึกเป็นผู้ฟังบ้าง ไม่ใช่ผู้พูด

คำถามต่อมาคือ คุยกับลูก และฟังลูกด้วยท่าทีอย่างไร

ถ้าคุณคิดว่าลูกคือลูก คุณก็จะสั่งตลอดเวลา ให้ลูกทำตามความคิดคุณตลอดเวลา

เวลาคุณไปเสนองานกับลูกค้า คุยกับเจ้านาย เขาพูดอะไรทำไมคุณฟังหมด? คุณกล้าเถียงเหรอ คุณกำลังพรีเซนต์งานแล้วลูกค้าแย้งขึ้นมา คุณกล้าขัดเหรอ คุณต้องรอให้เขาพูดให้จบ หรือเวลาเจ้านายพูด คุณต้องรอให้เขาพูดให้จบ นายกฯ พูด ผมยังต้องทนฟังเลย แกพูดอยู่คนเดียวอะ

ถ้าคนที่คุณรักมากที่สุดอย่างลูกพูด ทำไมคุณไม่ฟัง ทำไมทนฟังลูกไม่ได้ กลับข้างสิ คิดว่านี่คือลูกค้าคุณ เจ้านายคุณ นายกรัฐมนตรีของประเทศคุณ คุณฟังแบบนั้น คุณจะได้ยิน แต่ถ้าไม่ฟังเขาเลยและคิดว่าเขาเป็นลูก คุณจะไม่มีทางได้ยิน

นัดกันทุกวันศุกร์ตอนเย็นก็ได้ ปิดทีวีแล้วฟังลูกซะ คืนความสุขให้ลูกคุณ ฟังลูกคนอื่นมาเยอะแล้ว ฟังลูกคุณช้าๆ คุณจะเปลี่ยนท่าที ไม่ตัดสิน

เราแค่เปลี่ยนจุดยืน ยกเขาให้สูงขึ้น อยากฟังเขา อยากช่วยเขา ฟังเขาให้มากแล้วเขาจะเล่า ถ้าเมื่อไรที่ไปตั้งแง่กับเขา ตั้งกำแพงกับเขา เราจะไม่มีทางรู้ความจริงที่อยู่ลึกที่สุดในใจเขา ความฝัน ความรัก ความกลัว ความกังวล จนกว่าเราจะฟังเป็น เราถึงจะเข้าใจหัวใจเขา ถ้าไม่เข้าใจหัวใจเขา-เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

พอฟังเขา ไม่ตัดสิน เป็นเพื่อนช่วยคิด ช่วยหาวิธีออกแบบของเขาเอง แล้วธงของพ่อแม่เอง ควรเป็นอย่างไรที่จะไม่ทำร้ายธงลูก

พ่อแม่ต้องเอาธงออกก่อน ธงมีได้แค่ธงเดียว หาให้เจอว่าธงของเขาคืออะไร แล้วจะทำยังไงให้เขาใช้ชีวิตให้ไปถึงธงนั้นได้ ให้เขารับผิดชอบในธงของเขาเอง อย่าเอาธงเราไปคู่กับธงเขา เพราะเกิดธงไปคนละทิศ ธงเราไปตะวันออก ธงเขาไปตะวันตก ถามว่ารถคันนี้จะไปทิศไหน? รบไม่ได้เพราะมี 2 ธง ไม่มีที่ไหนที่มี 2 ธงแล้วจะไปสู่อนาคตที่ดี ต้องมีหนึ่งธง และธงนั้นต้องเป็นธงของลูก

ลูกจะหาธงยังไง ในเมื่อยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรืออยากเป็นอะไรเลย

เพราะไม่ได้ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กไง ไม่ใช่ความผิดของเขา เราไม่เคยสอนให้เขากล้าตัดสินใจตั้งแต่เด็กๆ แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แต่เขาไม่เคยมีอำนาจในการตัดสินใจมาก่อนเลย แล้ววันนี้บอกว่าช่วยตัดสินใจหน่อยซิ ใครจะไปตัดสินใจเป็น

ฉะนั้นต้องคืนอำนาจตัดสินใจให้เขาไปก่อน ให้เขากล้าตัดสินใจก่อน และลองผิดลองถูกก่อน ลองผิดไม่ได้แปลว่าผิด ลองผิดก็คือลองผิด ลองถูกก็คือลองถูก แล้วค่อยๆ กล้าตัดสินใจ ทิ้งสิ่งที่ไม่ชอบไม่ใช่ไปเรื่อยๆ

ไม่ต้องรู้ว่าชอบอะไร ไม่ต้องรู้ว่าอะไรใช่ แต่ทิ้งสิ่งที่ไม่ชอบไปเรื่อยๆ ในที่สุดมันจะเหลือสิ่งที่ชอบ เมื่อเจอสิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ จะเจอสิ่งที่ใช่ เมื่อเจอสิ่งที่ชอบและใช่ ทีนี้ก็ใส่พลังงานไปให้เต็มที่เพื่อไปตามหาและเจอธง

ทีนี้ต้องให้เวลาช่วงนี้ยาวพอ เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยให้เวลาช่วงนี้ในระบบการศึกษาเลย และไม่เคยให้เวลาช่วงนี้เลยเวลาอยู่บ้านกับครอบครัว เหมือนเราทำงานในชีวิต ผ่านหน้าที่การงานกันมาหมดทุกคน รู้ได้ยังไงว่าอะไรชอบ อะไรใช่? ไม่รู้ไง ก็ลองผิดลองถูก และครั้งหนึ่ง สิ่งที่เคยถูก อาจไม่ถูกแล้วก็ได้ ก็ลองกันใหม่ ผ่านกระบวนการเดียวกับลูกเรานั่นแหละ ถ้าเรายังหาเจอ ดำรงตนดำรงชีวิตอยู่ได้ ทำไมเด็กซึ่งอ่อนเยาว์กว่า ปรับตัวง่ายกว่า จะดำรงตนอยู่ไม่ได้ หรือหาไม่เจอ พ่อแม่ต้องเริ่มลงมือตั้งแต่วันนี้ อย่า (เน้นเสียง) ผลักภาระไปสู่อนาคต

ทักษะอะไรที่ควรมีติดตัว เพื่อพร้อมไปอยู่ในโลกอนาคตที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ตอบแบบง่ายที่สุด สังคมมนุษยชาติต้องการความเป็นมนุษย์ที่แท้

แล้วมนุษย์ที่แท้คืออะไร? มนุษย์ที่แท้คือสิ่งที่เครื่องยนต์ไม่มี ความเห็นอกเห็นใจ ผมไม่แน่ใจว่าเครื่องจักรจะผลิตความเห็นอกเห็นใจให้เราได้นะ ความเมตตา ความดีที่เรามีต่อกัน มิตรภาพไมตรีจิตที่เรามีต่อกัน มันมีคุณสมบัติที่สำคัญที่เป็นนามธรรมทั้งหมด การรู้จักให้อภัย หุ่นยนต์ให้อภัยเป็นมั้ย? แพ้เป็นมั้ย? มนุษย์เล่นแพ้เป็นนะ

ความเป็นมนุษย์ที่แท้คือสิ่งจำเป็น ซึ่งมันต้องหวนกลับมาสู่จุดนี้ ไปศึกษาคัมภีร์โบราณ ศึกษาคุณสมบัติของนักปราชญ์ คุณสมบัติผู้นำทางจิตวิญญาณที่อยู่บนโลกได้โดยไม่ทุกข์โศก ปรับตัวกับโลกได้โดยเข้าใจสัจธรรมของชีวิต ความเป็นมนุษย์ที่แท้เป็นคุณสมบัติเดียวที่จะอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้และมีความสุข แล้วก็แจกแจงเป็นคุณสมบัตินามธรรมเต็มไปหมดเลย มันอยู่ในตำราเรียนแล้วทั้งหมด อยู่ในตำราทางศาสนาแล้วทั้งหมด เราแค่อาราธนาแล้วเอามาใช้จริง มันจะไม่อยู่ในตำราอีกต่อไป

เราต้องทิ้งคุณสมบัติของหุ่นยนต์ไป ทั้งการคิดเป็นระบบ หรืออะไรหลายต่อหลายอย่าง เพราะระบบจะทำงานแทนเราได้ ต้องสร้างคุณสมบัติที่เป็นจิตวิญญาณมนุษย์กลับคืนมา และนั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องมีให้กับลูกหลาน

ด้วยการทำให้เห็น?

ใช่ ผมถึงบอกให้ลองผิดลองถูกไง คุณจะได้รู้ว่าต้องยืดหยุ่นในโลกสมัยใหม่ คุณต้องแพ้เป็น เพราะบางทีคุณก็แพ้ในการแข่งขัน คุณต้องให้อภัยเป็นเพราะบางทีคุณก็ทำผิด บางทีความขัดแย้งก็ต้องมีเมตตากรุณา เพราะทุกคนก็ไม่ได้ดีเสมอกันหมด บางทีมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ต้องวางอุเบกขาแล้วคุณจะก้าวข้ามความขัดแย้ง รับให้ได้ว่าโลกเป็นอนิจจัง

ความสำเร็จทางธุรกิจวันนี้ อีกสามปีอาจล้มเหลว คุณจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่สูงขนาดนี้ได้ยังไงถ้าคุณไม่มีคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ที่แท้ในใจ

หมายถึง เอาความเป็นมนุษย์มาเป็นเกราะคุ้มกันตัวเอง?

เราเป็นมนุษย์ คุณสมบัติเหล่านี้มีอยู่ในตัวอยู่แล้วไม่ต้องไปหาข้างนอกเลย แต่เราแค่หลงลืมมันไป และคนที่ทำให้หลงลืมมากที่สุด คือระบบการศึกษาและพ่อแม่

เราสอนให้ลูกไปแข่งขัน อย่างที่ว่า… สอบเข้า ม.1 ก็ต้องเอาชนะเพื่อนละ เอาเกรดไปข่มเพื่อน เพื่อนได้ที่เท่าไรไม่รู้แต่ลูกกูได้ที่ 1 2 3 ห้องมี 50 คน แต่อีก 47 คนที่เหลือจะคิดยังไง เราเป็นคนเรียนเก่งไม่ค่อยรู้สึกหรอก เรา (สอบได้) ที่ต้นๆ เราก็ภาคภูมิใจมาตลอด แล้ววันหนึ่งถ้าเราไม่ได้เรียนเก่ง เราไม่ได้อยู่ที่ 1 เราอยู่ที่ 50 พ่อแม่จะมีทีท่ายังไงกับลูกที่สอบได้ที่ 50 ของห้อง เราเคยคิดมั้ย? แล้วมันเป็นไปได้เหรอที่จะไม่มีคนที่ได้ที่ 50 ของห้องในห้องที่มี 50 คน มันต้องเป็นลูกใครสักคนล่ะ แล้วที่ 48 ละ 49 ละ 47 ละ ความภาคภูมิใจมีแค่ที่ 1 เท่านั้นเหรอ? ชีวิตจริงได้ที่ 1 ทั้ง 50 คนได้เหรอ?

การได้ที่ 50 ไม่มีความหมายเหรอ เขาอาจจะกลายเป็นเชฟที่ทำอาหารอร่อยที่สุดก็ได้ คนที่ได้ที่ 49 อาจเป็นช่างตัดเสื้อที่เก่งที่สุดก็ได้ ที่ 48 ไม่ขยันเรียนเลย อาจเป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดก็ได้ ที่ 47 ไม่ขยันเรียนเลย ไม่ชอบอะไรเลย อาจทำอาชีพใหม่ที่ไม่เคยมี และประสบความสำเร็จก็ได้

อย่าทำลายเขา เห็นใจเขาว่าเขาไม่ได้แข่งในเกมเดียวกับเรา หาคุณสมบัติเหล่านี้ให้เจอ นี่คือความเห็นใจกันในความเป็นมนุษย์

เรากำลังบอกว่าระบบการศึกษาล้มแล้ว พ่อแม่ต้องช่วยลูกหาแล้วหยิบคุณสมบัติความเป็นมนุษย์เหล่านี้กลับคืนมา?

เอาง่ายๆ เลย สมัยเราเด็กๆ แล้วเกิดวิกฤติ มีคนบ้าบุกเข้าไปในโรงเรียน ถามจริงเราจะทิ้งลูกไว้ในโรงเรียนมั้ย? พ่อแม่ทุกคนทำไง (วิ่งไปรับลูก?) พ่อแม่ทุกคน ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหนจะวิ่งไปรับลูกจากโรงเรียนกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง แล้ววันนี้เราบอกว่าการศึกษาล้มเหลว พ่อแม่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ มันไม่ได้ล้มเหลวโดยสมบูรณ์หรอก แต่เรารู้อยู่แก่ใจ ว่ามันเป็นระบบที่กำลังล้มเหลว ทำไมเราไม่ดึงลูกกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของเราล่ะ

ทำไมต้องรอให้เกิดวิกฤติ แล้วเราถึงเอาเขสกลับมา ทำไมไม่ช่วยเาาตั้งแต่ยังไม่เกิดวิกฤติ

ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าระบบการศึกษามันวิกฤติ เราจะดันเขาไปต่อ คนบ้าถือมีดในโรงเรียนหนึ่งคน กับระบบที่ล้มเหลว ผมไม่แน่ใจว่าอะไรมันอันตรายกว่ากัน ทำไมพ่อแม่ถึงรู้สึกว่า ‘เออ… ปล่อยไปก่อน ฝากไว้ก่อน’

ทำไมไม่รีบขับรถไปรับลูกจากโรงเรียน คุณรับลูกทุกวันคุณรู้มั้ยว่ามันมีวิกฤติ? คุณก็รู้ แต่คุณทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ใครน่าห่วงกว่ากัน ระหว่างลูกกับพ่อแม่

พ่อแม่น่าจะน่าห่วง เพราะเซนส์ในการปรับตัวของพ่อแม่น่าจะต่ำกว่าลูก ความสามารถในการเรียนรู้โลกสมัยใหม่และการปรับตัว เราต่ำกว่าลูก คนที่ต้องห่วงคือเรา ลูก… ถ้าเก่งจริงแล้วไปสู่อนาคตได้ เขารอด ภาระ ของลูกคือต้องมาเลี้ยงดูคนรุ่นเราซึ่งไม่ปรับตัว แล้วเราต้องเผชิญความท้าทายทางเทคโนโลยีอีก 50 ปี

ตอนเราอายุ 90 เราจะทำตัวเป็นคนแก่ที่ไม่น่าเบื่อและไม่เป็นภาระต่อลูกหลานยังไงต่างหาก ลูกหลานที่ต้องเลี้ยงพ่อแม่ที่น่าเบื่อตั้งแต่อายุ 60 70 80 เป็นเวลา 30-40 ปี ในสังคมที่กำลังจะกลายเป็นสังคมสูงวัย (aging society) ภาระตกไปอยู่กับลูกหลานมากนะ ถ้าพ่อแม่ไม่ปรับปรุงตัวเอง ไม่แอคทีฟไม่เรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ ไม่ relearn สกิลที่ต้องมีในอนาคต

เราจะเริ่ม relearn อย่างไร

ไม่เชิงปรับใจแต่เปิดใจ ว่าความรู้ที่เราเคยมี ชุดความคิดที่เคยมีมาในอดีตมันอาจใช้ไม่ได้กับอนาคต ซึ่งวันนี้ที่เราอยู่ในวงการสื่อสาร โฆษณา หรือทุกธุรกิจ เราเห็นแล้วว่ามันเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ธนาคารเปลี่ยน ธุรกิจขนาดใหญ่ล้มหายตายจาก ไอ้ที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย กำลังจะไม่ยักษ์ใหญ่อีกต่อไปหรืออาจถึงขั้นล่มสลาย ถ้าเราเพียงแค่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง เราก็รู้ว่าเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ละ

เรียนรู้ใหม่อย่างไร? คนทำหนังสือ เราบอกว่าง่ายที่สุด คุณเริ่มอ่านหนังสือก่อนเลยว่าความคิดสมัยใหม่ ที่เขาคุยกันในโลกสมัยใหม่มันคืออะไร แล้วหัวใจสำคัญคือ เรียนรู้วิธีคิดในการเรียนรู้ว่า ‘ถ้าอยากเรียนรู้ เรียนอย่างไร’

มันเลยกลับมาสู่ที่เราคุยกันทั้งหมดว่า คุณต้องรู้ว่าคุณเรียนอย่างไร วิธีไหน คุณเรียนรู้ด้วยการอ่าน การฟังคลิป ฟังคนสนทนา ฯลฯ แล้วคุณใช้กระบวนการนั้นเริ่มเรียนรู้ใหม่ ต้องรู้วิธีการเรียนก่อนแล้วถึงไปสู่องค์ความรู้ได้ แต่ทั้งหมดจะเรียนด้วยวิธีใดก็ได้

ในหนังสือ ‘Future’ คุณเขียนไว้ว่าเราต้องค้นหาว่าเราแข็งแรงหรือเด่นเรื่องอะไร และทำให้มันดีไปเลย แต่โลกอนาคตพูดถึงความจำเป็นของการมีสกิลหลากหลาย multitask – เราจะเอายังไงกันดี

เราไปแบ่งแยกกันระหว่าง หนึ่ง กับ หลาย ผมถึงเขียน ‘one กับ million’ เราต้องเลือก (อะไร) ระหว่าง one หรือ million วะ? เราเป็น ‘one ใน million’ หรือเป็น million (อย่างเดียว) คือรู้ทุกเรื่อง เพราะเราแบ่งว่าเราจะ multitask หรือมีจุดแข็งเรื่องนี้ ไม่ใช่…ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน

ความรู้ในโลกสมัยใหม่มันจะเชื่อมกันหมด เรามีหน้าที่ต้องเห็นการเชื่อมต่อของมันว่าเป็นเรื่องเดียวกันหมด คุณไม่สามารถเลือกว่าจะเรียนวิทย์แล้วทิ้งศิลปศาสตร์หรือทิ้งสุนทรียศาสตร์ได้ ทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน คือองค์ความรู้ที่มีในโลกชุดหนึ่ง ซึ่งใหญ่มากและมนุษยชาติได้สร้างขึ้นมา วันดีคืนดีในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมคุณก็ไปแบ่งสาขา ให้เด็กไปเรียนตามสาขาต่างๆ แล้วบอกว่าต้องเชี่ยวชาญหรือรู้เฉพาะสาขา แต่เทคโนโลยีข้างหน้ามันจะทำลายกรอบความคิดนี้จนความคิดเชื่อมเข้าหากันทั้งหมด

เมื่อความรู้เชื่อมเข้าหากันทั้งหมด เราจำเป็นต้องรู้ความรู้แบบนี้ในภาพใหญ่ เมื่อความรู้ในภาพใหญ่ ทุกคนรู้เสมอกันหมด แต่มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้เป็นระบบอุตสาหกรรมที่เป็นแบบแผนเดียวกันทั้งหมด

หัวใจสำคัญคือ เมื่อรู้เสมอกันหมดก็ต้องกลับมาดูว่า ถ้าอย่างนั้นอะไรคือความสามารถเฉพาะตัวของเราที่เราเก่งที่สุด เพราะสิ่งที่โลกสมัยใหม่ต้องการ คือทักษะที่สูงมากในด้านในด้านหนึ่งเพื่อที่เราจะดำรงชีพอยู่ได้เป็นอาชีพ ด้านนั้นเราต้องสูงที่สุด

คุณอาจจะรู้ฟิสิกส์ ชอบวางแผน ดริปกาแฟ เข้าใจหมด แต่คุณอาจเลือกอาชีพเป็นช่างตัดสูทที่เก่งที่สุดก็ได้ คุณอาจรู้วิทยาศาสตร์ เข้าใจแคลคูลัส ชอบดูดาว แต่คุณเลือกอาชีพเป็นนักทำขนมปัง เพราะคุณผสมสูตรออกมาแล้วมันอร่อยมาก คุณก็เลือกจะทำขนมปังแต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่รู้เรื่องอื่นไง

มันต้องหาให้เจอ รู้กว้างและลึก มันเป็นเรื่องเดียวกัน ยิ่งรู้กว้างก็จะยิ่งเข้าใจว่าความลึกคืออะไร แต่ถ้ารู้ตื้นๆ รู้แคบๆ คุณก็นึกว่าคุณรู้ลึก คุณแคบไง คุณไม่เห็นการเปรียบเทียบ แต่รู้กว้างคือเห็นทั้งระนาบ เมื่อเห็นทั้งระนาบ คุณจะรู้เลยว่าระนาบมันกว้างขนาดนี้

วิธีที่จะอยู่รอดได้ คุณต้องรู้ลึกเพราะคุณเห็นแล้วว่ามีคนไหนที่รู้ไม่ลึก เมื่อลึก คุณก็ขึ้นมาได้ แล้วพอทุกคนลึกหมด สังคมที่กว้างมากและมีความลึก มันจะมั่นคง ฉะนั้นมันเป็นเรื่องเดียวกัน one และ million เป็นเรื่องเดียวกัน แต่เราต้องเข้าใจภาพใหญ่ของมันทั้งหมด

การรู้กว้างทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบ การรู้ลึกทำให้รู้จักตัวเอง ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน อย่าแยกกัน one และ million คือเรื่องเดียวกัน

ความรู้ที่คุณใช้กับลูก เป็นความรู้แบบไหน

ที่เราเล่าทั้งหมด ไม่ได้เล่าจากทฤษฎี แต่คือสิ่งที่เราทำ ฉะนั้น อะไรที่เราไม่ชอบสิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่ทำกับเรา อะไรที่ไม่ชอบที่โรงเรียนทำกับเรา เราจะไม่ทำกับลูก ไม่ใช่ลูกอย่างเดียว ไม่ทำกับเด็กรุ่นต่อไป ลูกหลานหรือเด็กในเจนเนอเรชั่นต่อไป เราจะไม่ทำกับเขา อะไรที่เราบอกลูกได้เราจะบอกคนอื่น นี่คือเหตุผลที่เราเขียนหนังสือเหล่านี้ เพราะเราไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรที่จะเอาความรู้เหล่านี้สอนเด็กแค่ 1 หรือ 2-3 คน ถ้าความรู้แบบนี้สอนคน พันคน หมื่นคน แสนคนได้ ความรู้ไม่ได้หายไป องค์ความรู้ยังอยู่ เรายินดีจะพูดเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง เพราะถ้าเด็กสิบคน ยี่สิบคน ร้อยคน พันคน เขาคิดได้ มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อชีวิตเขา การที่ลูกคนอื่นดีหมดทั้งประเทศ ไม่ได้แปลว่าลูกเราแย่ลงนะ

ทั้งระนาบในมุมกว้างจะดีขึ้นไปหมด และแต่ละคนจะรู้จักตัวเอง สังคมที่เขาจะเติบโตขึ้นในรุ่นต่อไปจะดีขึ้น มันคืออนาคตของประเทศ พ่อแม่ต้องลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในอนาคต มันไม่ง่าย แต่รุ่นเรามีศักยภาพ ทำได้ ก็พ่อแม่หรือคนในรุ่นเราล้วนประสบความสำเร็จในอาชีพการงานกันเป็นจำนวนไม่น้อย ไม่งั้นประเทศเราเดินมาขนาดนี้ไม่ได้

ถ้าคุณประสบความสำเร็จในการงาน ในอาชีพคุณ ทำไมคุณจะถอดสูตรสำเร็จ ถอดปัญญาที่เรียกว่าวิชาชีพที่คุณมีทั้งหมด แล้วส่งมอบองค์ความรู้เหล่านี้เพื่อลูกเพื่อหลานไม่ได้ สังคมเดินมาถึงขนาดนี้ มันต้องมีสูตรสำเร็จอะไรบางอย่างที่แต่ละคนมี เราก็ส่งมอบความรู้เหล่านี้ต่อเนื่องไป

คนรุ่นปู่ย่าตายายเลี้ยงเรามาได้ก็ต้องมีสูตรสำเร็จ ปัญญาบางอย่าง เราถอดเอารหัสเหล่านี้แล้วส่งมอบ อะไรไม่ดีก็ทิ้งไปซะ ยุคสมัยเปลี่ยนก็เก็บแก่นของปรัชญา ที่เราชอบเรียกว่าเคล็ดวิชา ถ้าคุณเข้าใจเคล็ดวิชาคุณจะจับหลักมาใช้ได้ แต่ถ้าเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดและไม่เข้าใจแก่นกลางวิชา คุณจะเห็นปัญหายิบย่อยเต็มไปหมด เพราะคุณไม่เข้าใจว่าหัวใจที่สำคัญสูงสุดของมันคืออะไร

สิ่งที่เราพยายามถ่ายทอด ทำไมต้องสั้น กระชับ เพราะเราถ่ายทอดเคล็ดวิชา เราไม่ได้ถ่ายทอดรายละเอียดทั้งหมด เราบอกแค่วิธีคืออะไร สอนวิธีคิดแต่ไม่ได้สอนว่าปฏิบัติทำยังไง ใครจะไปสอนการปฏิบัติได้ สูตรใครก็สูตรมัน

แต่คนจำนวนมากชอบฮาวทู มันง่ายเกินไปที่จะเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้กับทุกคน

มันเป็นธรรมชาติของเพจ ของเฟซบุ๊ค ของโซเชียลมีเดีย ที่จะอ่านเพื่อผ่านไปเร็วๆ เราไม่เคยประมวลผล ไม่เคยตกตะกอน ไม่เคยนั่งคุยกันยาวๆ ไม่เคยถอดความแล้วคุยกันให้ลงลึก คุยกันเนี่ย… เราเห็นแววตาที่มีความเจ็บปวด แล้วทุกคนไม่เคยได้ลงลึกกันขนาดนี้ ไม่เคยได้จิบชา ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนสนทนา แล้วก็สนทนากันไปอีก 1 ชั่วโมง แล้วคนฟังจะได้มีเวลาค่อยๆ คิด

ที่คุยกันขนาดนี้ ต่อให้ไม่มียอดไลค์ ยอดวิว แต่ถ้ามีพ่อแม่สัก 100-200 คนที่เข้ามาดูเรา แล้วไปใช้วิธีใหม่กับลูกหลานเขา เขาได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์แล้ว ถือว่าคุ้มค่าที่เรามานั่งคุยตลอดบ่าย

เรามีหน้าที่ต้องคุย ไม่ยอมจำนน ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อไม่ยอมจำนน เราเป็นคนวงนอก เราเล่าจากประสบการณ์ สิ่งที่ทำ เราอาจเป็นกบฏมาก เราก็สอนให้เด็กเป็นกบฏได้มากกว่า แต่พื้นฐานมันมีอยู่แล้วทั้งหมด เราแค่อาราธนามันมาใช้เท่านั้น

เด็กสมัยนี้ถูกสอนให้อยู่ใน safety zone กลัวผิด ตลอดเวลา เราจะพูด ประคอง อย่างไรเพื่อให้เขาเห็นว่า ความกล้าไม่ใช่เรื่องผิด

มันง่ายมาก ลองกลับข้าง เพราะที่ผ่านมา ถ้าเรากล้าและทำผิด เราจะถูกลงโทษ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก่นด่า เสียหาย แต่ถ้าเรากล้า และต่อให้ผิดก็ได้รับคำชม ได้รับกำลังใจ ปลอบใจ และสนับสนุนให้ไปต่อ เมื่อไรที่ใช้ความกล้าแล้วได้รางวัล คนจะใช้ความกล้า แต่ถ้าเมื่อไรใช้ความกล้าแล้วผิด คนไม่อยากรับความเสี่ยง

เด็กไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่โง่เขลา ใครจะอยากรับความเสี่ยงแล้วมีแต่คำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้รับคำชมเลย ไม่ได้รางวัลจากการใช้ความกล้าหาญเลย ทำยังไงก็ได้ที่ทำให้เมื่อกล้าหาญแล้วได้รับรางวัล พ่อแม่มีหน้าที่ต้องให้สิ่งที่เป็นบวก เมื่อลูกหลานใช้ความกล้า

ในสังคมเรา คนกล้าถูกลงโทษ ในสังคมที่คนกล้าถูกลงโทษ จะมีคนกล้าหาญได้ยังไง? ในสังคมที่คนปอดแหกได้รางวัลชีวิตโดยการเป็นคนดี จะมีคนกล้าหาญในสังคมได้ไง และในสังคมที่ไม่มีคนกล้าหาญ จะไปสู่อนาคตได้ยังไง? ต้องให้รางวัลคนกล้า แม้จะผิดพลาด

สภาพสังคมเองก็ไม่ได้หล่อหลอมให้เด็กกล้า

อย่างน้อยเราเป็นพ่อแม่ เราอาจบอกว่า โอเค… สังคมภายนอกมันเป็นยังงั้นนะลูก แต่ที่สุดเราต้องรู้ว่า เรากล้าได้ และความผิดพลาดไม่ถูกลงโทษ ความผิดพลาดคือบทเรียนที่คุณจะไปต่อได้ ความผิดพลาดไม่มีอยู่จริงหรอก ทางใดทางหนึ่งๆ ลองไปเรื่อยๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าความผิดพลาดในวันนี้จะไม่ใช่บทเรียนของความสำเร็จในอนาคต เราจะรู้ได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่บทเรียนที่ดีที่สุด

บทเรียนที่ดีที่สุด เราได้ตอนเราพลาดหลายๆ เรื่องในชีวิต ปัญญาสูงสุดเกิดตอนทุกข์ที่สุดในชีวิต เรื่องนั้นสอนคุณได้ลึกที่สุด และถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ ก็ยากที่จะไปสอนลูก บทเรียนที่สอนเราที่สุด คือตอนที่เรายากลำบาก เมื่อเรายากลำบาก เราผิดพลาดล้มเหลว เราเยียวยาตัวเองแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ เราจะเกิดปัญญาขั้นสูง ซึ่งวิชาความรู้ต่างๆ สอนเราไม่ได้ เพราะองค์ความรู้เหล่านี้เกิดขึ้นในใจและจิตวิญญาณ และถ้าเราไม่ลองให้ลูกผ่านบททดสอบทางจิตวิญญาณนี้เลย ลูกจะโตขึ้นมาเป็นคนเข้มแข็งได้ยังไง ลูกเลยซึมเศร้าหดหู่ไปทั้งประเทศ และรู้ว่าการเข้าสู่โหมดซึมเศร้าหดหู่มันปลอดภัยกว่า

หลายคนเป็นโรคอยากซึมเศร้า เพราะต้องการให้ทุกคนมาปกป้องเรา แต่ทำยังไงให้ไม่ต้องรู้สึกเป็นโรคอยากซึมเศร้า เป็นโรคอยากลองดีกว่า ลองดู แล้วไม่มีใครรังแกในความผิดพลาดของคุณ โห… คุณดีมากเลยที่คุณลองผิด นี่คือหัวใจของการมีชีวิตอยู่ในโลกเลยนะ คุณต้องผิดอยู่แล้ว คุณต้องรีบลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะเจอทางของคุณ

แล้วสังคม การศึกษา โรงเรียน พ่อแม่ อย่าลงโทษลูกที่ลองผิดลองถูก ต้องให้กำลังใจลูกว่าลองผิดลองถูกได้ เขาจะเจอทางของเขา และทุกครั้งที่เขาเจอผิดหรือถูก จะไม่มีใครก่นด่าหรือลงโทษเขา สังคมก็ไม่ควรก่นด่าลงโทษเด็กที่ลองผิดลองถูกและผิดพลาด นี่คือคุณสมบัติของมนุษย์ยุคใหม่ที่จำเป็นมากในศตวรรษที่ 21 คือความเป็นมนุษย์ที่แท้

Tags:

พ่อแม่overprotective parentgeneration gapภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyMovie
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Family Psychology
    OH, MY LITTLE PRINCE : เจ้าหญิงของพ่อ เจ้าชายของแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก
Everyone can be an Educator
28 December 2018

‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

เรื่องและภาพ The Potential

‘ป้าหนู’ เป็นชื่อที่ พรรณิภา โสตถิพันธุ์ แทนตัวเอง และคำเดียวกันนั้นก็เป็นข้อความที่ใครๆ ใช้เรียกตัวเธอจนติดปาก ป้าหนูเป็นที่รู้จักมานานในฐานะผู้อำนวยการสงขลาฟอรั่ม องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานขับเคลื่อนหลายมิติ ทั้งเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเด็กและเยาวชน ผ่านการใช้เครื่องมือแทบทุกประเภท ทั้งการสื่อสาร และเครือข่ายผู้คนที่จับมือสร้างฝันด้วยกัน มันเป็นฝันที่ให้ค่ากับบ้านเกิดเมืองนอนเป็นสำคัญ

การทำงานกับเด็กและเยาวชนมานาน พาเราให้มาคุยกับป้าหนูผ่านโจทย์ที่เรียบง่ายว่า เด็กๆ ที่มาทำงานกับสงขลาฟอรั่ม พวกเขาทำโครงการอะไรบ้าง และที่สำคัญกว่านั้นคือ ในฐานะผู้เฝ้ามองแล้ว ป้าหนูเห็นการเติบโตของเด็กๆ เป็นอย่างไร

มีคำถามไม่มาก แต่คำตอบเหล่านั้นยาวนัก แนะนำให้จิบอะไรอุ่นๆ แล้วเริ่มทำความรู้จักไปพร้อมกัน

1. เริ่มต้น

ทำอะไรมาบ้างก่อนที่จะมาเกาะเกี่ยวเรื่องงานเยาวชน

เป็นคนที่ทำงานด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน แล้วได้รับอิทธิพลจากปรัชญาคิดของ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนที่บุกเบิกการศึกษานอกระบบโรงเรียนในยุคที่เจิดจรัส ตอนนั้นเราเป็นเด็กรัฐศาสตร์เพิ่งจบใหม่ๆ ปีนั้นเป็นปีแรกที่การศึกษานอกโรงเรียนเปิดโลกทัศน์ว่า งานการศึกษาไม่ได้เป็นเรื่องของการศึกษาอย่างเดียว ต้องมีสาขาอื่นๆ เข้ามาด้วย ก็ลองเข้ามาทำดู

ปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียนสร้างระบบคิดให้เราว่า การศึกษานอกระบบ มันไม่ใช่แค่ทำอยู่ในระบบ แต่ต้องอยู่ในวิถีชีวิตจริงๆ ด้วย

ปี 2523 ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดเรื่องการเรียนการสอนทางไกลเป็นครั้งแรกในประเทศไทย แล้วก็มีการเรียนการสอนผ่านวิทยุและไปรษณีย์ โดยมีสถานีภูมิภาคอยู่ 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง แล้วก็จะมีสถานีวิทยุเครือข่ายเพื่อการศึกษา มีการผลิตรายการวิทยุเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนทางไกลให้กับนักศึกษาของเรา ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยกำลังรณรงค์เรื่องของการไม่รู้หนังสือ ลูกศิษย์ของเราเลยเป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้หนังสือ ตั้งแต่จบ ป.4 มาพ่อแม่ไม่ให้เรียนหนังสือ ออกไปทำนา ทำสวน ทำสวนยาง พอโตขึ้นมาก็กลับมาเรียนใหม่ ก็เข้ามาสู่โครงการของเรา

เราใช้เครื่องวิทยุของหลวง นักเรียนลงทะเบียนเรียน การผลิตรายการ ทุกอย่างฟรีหมด เราคิดถึงคนที่อยู่นอกระบบที่ไม่ได้ลงทะเบียนเรียนกับเรา แล้วคลื่นวิทยุก็มีอยู่เยอะมาก แต่เอามาใช้เรื่องของการโฆษณาเยอะ แต่ไม่ได้พูดเรื่องของบ้านเมือง ตอนนั้นตัวเองคุกรุ่นในเรื่องเหล่านี้มาก เลยตัดสินใจซื้อคลื่นวิทยุเพื่อจะมีสถานีเป็นของตัวเอง แล้วเอาประเด็นที่ไม่ใช่เรื่องวิชาการที่สอนในโรงเรียน เป็นวิชาที่อยู่ในชีวิตประจำวันมาพูด อย่างเรื่องทะเลสาบ แล้วร้อยไปสู่เรื่องอื่นๆ เรื่องของมิติวัฒนธรรม ประเพณี วัฒนธรรมตาลโตนด สารพัดเรื่อง ทำให้เรามีเครือข่ายของคนที่ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ที่เรียนทางไกลกับเรา อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่จุดประกายให้ตัวเองว่า เรื่องของการศึกษานอกโรงเรียนไม่ใช่เรื่องของวิชาการอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของวิถีชีวิตของคนทั่วไปด้วย

ก็ทำสองอย่างนี้คู่ขนานกันไป แล้วในขณะเดียวกันก็เริ่มที่จะคิดถึงกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ที่ด้อยโอกาส ได้มีโอกาสเจอกับ UNICEF ได้คุยเรื่องเด็กที่ก้าวพลาด แล้วก็ได้ออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับเด็กที่ก้าวพลาดอยู่ 10 ปี

หลังจากนั้นได้ไปฝึกอบรมเรื่องสื่อที่ประเทศเยอรมนี ได้รับทุนของมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ช่วงนั้นเราทำเรื่องรายการวิทยุ ‘โลกสดใสในบ้านเกิด’ เป็นแนวคิดเรื่องพลเมือง ความเป็นประชาสังคม น่าจะเป็นประมาณแผน 7-8 (แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ) ที่พูดเรื่องประชาสังคม คุณหมอประเวศ วะสี เริ่มเดินสายเกี่ยวร้อยเรื่องประชาสังคม ‘สงขลาฟอรั่ม’ ก็เกิดขึ้น พร้อมๆ กันนั้นก็มี ‘บางกอกฟอรั่ม’ พวกเมืองใหญ่ๆ จากระดับภาคเมื่อกี๊ที่เราทำเรื่องวิทยุทางไกล เราก็เริ่มมองระดับที่เล็กลงคือจังหวัดของเรา มองเห็นความเป็นสงขลามากขึ้น

สงขลาฟอรั่มคืออะไร

‘สงขลาฟอรั่ม’ เราให้ความสนใจหลายประเด็นหลายเรื่องที่คนไม่ค่อยได้พูดกัน เรามีห้องประชุมใหญ่ในศูนย์การค้าแล้วถ่ายทอดสดในบางประเด็น เช่น ทำน้ำเสียให้เป็นน้ำใสที่จะลงไปในทะเลสาบ เรื่องวัฒนธรรมตาลโตนด สารพัดประเด็นที่เป็นประเด็นร้อนๆ ในตอนนั้น ตอนนั้นเราเริ่มมีเพื่อนที่เป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัย มีน้องๆ NGOs ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ชนบทที่ใกล้ชิดกับชาวบ้านมากขึ้น มีประเด็นที่สะท้อนกลับมากขึ้น มีนักวิชาการเข้าคิวกันต่อสัปดาห์ มี Radio Forum เราตั้งชื่อว่า ‘สงขลา สนทนา’ รายการวิทยุสงขลา แล้วอีกสถานีที่หาดใหญ่ก็เป็น ‘หาดใหญ่สนทนา’ จะมีพวกสปอนเซอร์คือพวกศูนย์การค้าที่เขาจะให้ห้องประชุม มีคนมาฟังประมาณ 50-100 คน แล้วก็ที่ฟังออกอากาศ ซึ่งก็จะมี feedback กลับมา มีคนเขียนเล่าเรื่องบ้านเกิดของตัวเอง เราก็เลยคิดที่จะจัดเวทีเรียนรู้ร่วมกัน ก็เริ่มที่จะเกิดแล้วเวที เมื่อก่อนเราใช้สื่อ ไม่เห็นหน้าเห็นตา อันนี้ก็จะเริ่มจากปีละครั้ง เดือนละครั้ง

เมื่อก่อนเราจะคิดถึงเรื่องอาชีพ เช่น ขึ้นตาลโตนด ทำนา ทนายความเพื่อผู้ยากไร้ แล้วแต่ประเด็นในตอนนั้น ตอนหลังกลายเป็นว่า ประเด็นเหล่านี้เราไม่มีคนมาถ่ายทอด เห็นได้ชัดเรื่องตาลโตนด เมื่อก่อนในคาบสมุทรสทิงพระ หมายถึงว่าได้ไปเรียนหนังสือก็เพราะพ่อขึ้นตาล เลี้ยงดูจนโต แต่ปี พ.ศ. นั้น คนขึ้นตาลแทบจะไม่มีแล้ว แก่ลงแล้ว แล้วยิ่งปัจจุบันยิ่งหายาก

แล้วตอนนั้นป้าหนูทำวิจัยเรื่องวัฒนธรรมตาลโตนด กับศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ทำให้เรารู้สึกลุ่มลึกในวัฒนธรรมคนใต้ แล้วเราก็คิดถึงคนรุ่นหลังที่ควรจะสืบทอดอะไรดีๆ ซึ่งเป็นสิ่งเชย ที่จริงมันเป็นเรื่องก้าวหน้า มีพืชพันธุ์ธัญพืชหลายอย่างที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนสงขลาและคนใต้ ก็เลยทำให้คิดโครงการเยอะมากเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน

ครั้งแรก เรากับน้อง NGOs เคยตั้งโรงเรียน ชื่อ ‘โรงเรียนพลเมืองเด็ก’ ชื่อแค่โครงการเด็กและเยาวชนไม่พอแล้ว ไม่มีพลัง ต้องมีคำว่าพลเมือง ตอนหลังเราก็มาเป็น ‘พลเมืองเยาวชน The Young Citizen’ จนถึงปัจจุบัน

จะเห็นว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดไปจากชีวิตที่เรามี สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ ลูกหลานเราต้องเรียนรู้ ตัวเราเองก็ต้องเรียนรู้ แล้วตัวประเทศชาติเอง ถ้าคนในประเทศชาติเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เข้มแข็ง มีตัวตน มีพลัง มีความคิด มีองค์ความรู้ แล้วจะเติบโตไปเรื่อยๆ

เช่นตอนที่เราทำกับเด็กทั่วไป เป็น forum ทั่วไป เราก็ได้องค์ความรู้ที่ได้มาเป็นองค์รวม พอเราทำกับเด็กที่ก้าวพลาดก็ทำให้เรารู้ว่า เด็กในสังคมถูกบ่มเพาะด้วยสิ่งที่เราประณามเขาว่า เขาไม่ดี เขามีปัญหา แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยถูกคลี่คลายว่าเป็นอย่างไร จนมาได้เจอกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ได้เปิดใจคุยกันเรื่องนี้เยอะมาก กว่าที่จะออกแบบโครงการพลังเยาวชนที่เคารพในสิ่งที่เด็กเลือกทำ โดยที่ไม่ไปตีกรอบว่า เราเป็นผู้ใหญ่ เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน โรงเรียนนี้ควรจะทำเรื่องนี้ อยู่จังหวัดนี้ควรจะทำเรื่องนี้ เราขอให้เด็กสมัครมา เรามีกติกาอยู่ 2-3 ข้อเท่านั้น

ถ้าเด็กๆ จะเข้ามาเสนอโครงการ The Young Citizen ต้องทำอย่างไรบ้าง

เราให้เด็กรวมตัวกันมา เพราะไม่ต้องการให้เขาเป็น one man show อยากให้เขาเป็นทีม เห็นตรงกันแล้วอยากทำแบบนี้ ลองพูดมาดิบๆ เขียนมาดิบๆ ก่อน ไม่ต้องมีแบบฟอร์ม บอกมาก่อนว่าอยากเปลี่ยนแปลงอะไร อยากทำให้มันดีขึ้น ไม่ต้องเป็นปัญหาก็ได้ เพียงแต่ว่าอยากทำให้มันดีขึ้นจากที่เขาเห็นอย่างไร

ที่จริงเราเริ่มต้นแบบไม่ต้องมีตัวโครงการที่เด็กเอามาเสนอก็ได้ เรียนรู้ไปกับโรงเรียนเราก็ทำ อย่างตอนนี้มีโรงเรียนของเทศบาลแห่งหนึ่งไม่อยากทำเป็นกลุ่มแล้ว อยากเอาโรงเรียนของเขาไปเป็น The Young Citizen เลย เขาเป็นโรงเรียนระดับเทศบาลตำบล เราก็เริ่มออกแบบกับเขาโดยที่ไม่มีงบ

แต่กรณีที่เป็นเด็ก หากมีความคิดดีๆ หรือความคิดไม่ดีก็ได้ เพียงแค่เห็นว่าเรื่องนี้มีความรู้สึกอยากจะศึกษา และอยากทำด้วย ก็เอาโครงการมานั่งคุยกัน เพราะจะว่าได้มองเขามองเราตั้งแต่เริ่มต้นเลย

ต้องคุยกันก่อนว่าที่อยากทำจริงๆ คืออะไร หัวใจมันอยู่ตรงไหน คุยมาเลย ไม่ต้องมากลัวว่าจะเชย หรืออาย เด็กอยากทำอย่างไร และในที่สุดมันเกิดเปลี่ยนแปลงอะไร เอาสองคำในการคิดโครงการ คือ หนึ่ง ทำอะไร สอง มันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่อยากให้มันดีขึ้นอย่างไร

เราก็จะมีกระบวนการของโค้ชที่ช่วยเขา คลี่ของเขาออก ตอนที่เขาพูด เราจะตกลงกับโค้ชทุกคนเลยว่าต้องเคารพสิ่งที่เด็กคิด เพราะเราค้นพบแล้วว่า ที่เรามองว่าเชยๆ พอมันเติบโตขึ้นในที่สุดทำได้ดีหมดเลย ฉะนั้นเราต้องเคารพในสิ่งที่เด็กคนเบื้องต้นก่อน แต่ตั้งคำถามเพื่อให้เขาสะท้อนออกมา แล้วก็ (ถาม) ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ ไปเรื่อย

ตั้งคำถามในเชิงคุณค่าก่อน เช่น คุณค่ากับโรงเรียน หรือชุมชน เพราะว่าเด็กของเรามีหลายแบบ เป็นเด็กในโรงเรียนเดียวกัน เป็นเด็กต่างโรงเรียนแต่อยู่ในชุมชนเดียวกัน หรือเป็นเด็กชุมชนเดียวกัน บางคนเป็นลูกชาวนาอยู่ในชุมชนท่าข้ามเหมือนกัน แต่อยู่หาดใหญ่คนนึง อยู่น้ำน้อยคนนึง อยู่หลากหลายมาก แต่สนใจประเด็นเดียวกัน ฉะนั้นให้เขาตอบหลายมุมมองเท่าที่เขาจะตอบได้ เราก็จะช่วยออกแบบ ถ้าถนัด mind map ก็ mind map อยากให้เป็นแผนที่ก็ทำแผนที่ หรือจะให้เป็นรูปก็ให้เขามาวาดเอง ที่สุดก็เหมือนเป็น ‘แผน’ คร่าวๆ ในโครงงานของเขา ในความเข้าใจของเขา

ไปเข้าฐานที่สองอีก เพื่อที่จะคิดแผนให้เป็นตัวโครงการ ที่เราคิดอย่างนี้เรามาจากฐานคิดอะไร หลักการแล้วเหตุผลคืออะไร เขาก็อาจจะบอกได้มากขึ้นกว่า 1 ข้อ เริ่มคิด 1 2 3 ให้เขาเล่าจนกลายเป็น ‘หลักการและเหตุผล’ แล้วอะไรที่มาเสริมได้บ้าง เอามาหนุน ถามเขา จริงไหมอย่างนี้ เราไปค้นตรงไหน กว่าหลักการและเหตุผลจะเสร็จ ก็ต้องเอาให้ชัดเพื่อให้มันกลายเป็นที่พิงหลัง

พอที่พิงหลัง แล้วอยากจะทำอะไรบ้าง แตกออกมาสิ ก็คือ ‘วัตถุประสงค์’ แต่เราจะไม่พูดแบบที่เป็นทางการนะ เด็ก 5 คนอยากจะแบ่งหน้าที่ทำอะไรบ้าง ในงานนี้มีงานอะไรบ้าง ก็ลองดู อันไหนไม่ชำนาญเราก็จะเอาใครมาช่วย หรือเราจะไปเพิ่มพูนความรู้อย่างไร จะทำอันไหนก่อนอันไหนหลัง ธงเราเราก็จะมีเครื่องมือง่ายๆ ธงน้องเป็นอย่างนี้นะ ขีดเป็นเส้นอย่างนี้นะ มีธงขึ้นมานะ ระยะเวลาทั้งหมด 12 เดือน ลองแบ่งดู กว่าที่เราจะเดินไปที่ธงที่ปักอยู่ตรงนี้ เส้นนี้น้องต้องเดินผ่านอะไรบ้าง ก็ขีดให้เขาเห็น มันก็จะเป็นบานแบบนี้ แล้วมันถึงจะเจอธง ธงก็คือ ‘เป้าหมาย’ ที่จะไปเจอ

เส้นนี้น้องลองแบ่งสิ ในตอนนี้วางแผน 3 เดือนไปแล้ว เหลืออีก 9 เดือนน้องจะทำอะไร ตรงไหนบันทึก เริ่มแผนแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามันเคลื่อน ฉะนั้นน้องจะเริ่มเห็น คำว่า ‘กระบวน’

ตอนที่เราเจรจากับแหล่งทุนก็เหมือนกัน เขาบอกถ้าจะเอื้ออารีกับเรานะ เอื้อการเรียนรู้และปฏิรูปการศึกษาในโมเดล Young Citizen ของเราสำเร็จนะ โปรดให้เวลาเราเติบโตกับกระบวน ไม่ใช่ว่าอบรมเด็กหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็บอกว่าเด็กเราเป็นพลเมืองแล้ว ป้าหนูไม่สามารถฝืนทำแบบนั้นได้

2. เติบโต

โดยข้อเท็จจริงแล้วเราตั้งคำถามสั้นๆ เพียงว่า ให้ยกตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ น่าประทับใจ ถามสั้น แต่ตอบยาว ไม่ใช่ยาวเพราะความไม่กระชับ แต่ยาวเพราะมีหลายโครงการที่ติดอยู่ในความทรงจำ ซึ่งป้าหนูของเด็กๆ เล่ามาเป็นฉากๆ ดังนี้

เรื่องกล้วยที่ไม่กล้วย

อย่างเด็กที่ชะแล้ (ตำบลชะแล้ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา) ทำเรื่องกล้วย เขาเริ่มต้นจากการได้ยินข่าวว่า ปลูกกล้วยหอมที่ลาวแล้วก็ทิ้งหมดเลย เพราะว่ากินไม่ได้ มีการฉีดสารเคมีเยอะ ในขณะที่ชะแล้บ้านเขาเป็นแหล่งปลูกกล้วยเก่าแก่ เป็นกล้วยพันธุ์พื้นเมือง แล้วก็เป็นกล้วยสมุนไพรด้วย ชื่อกล้วยบางชื่อเขาได้ยินมาแต่เล็กๆ แต่พันธุ์มันกำลังจะหมดลงไปแล้ว เขารู้จักแค่กล้วยใข่กับกล้วยหอมที่มีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งปัจจุบันก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็หาไม่ค่อยได้

เด็กกลุ่มนี้ก็รวมตัวกันเสนอโครงการขึ้นมา จากกล้วยเชยๆ ที่มีอยู่ในบ้านเขา เป็นหน่อเล็กๆ ที่ไม่ขึ้นแล้ว เขาเอามาปรึกษาครูวิทยาศาสตร์ มาทำห้องแล็บเพื่อขยายพืชพันธุ์ ออกหน่อเป็นต้นอ่อนๆ แล้วขยายพันธุ์มาเป็นต้นเล็กๆ แล้วก็ศึกษากับปู่ย่าตายาย คนที่ยังรู้จักพันธุ์ แล้วก็ขยาย

ในพื้นที่ของเขามีอยู่ 13 พันธุ์ ตอนนี้เขาเก็บรวบรวมได้ประมาณ 5-6 พันธุ์ในหนึ่งปี แล้วก็ทำแล็บซึ่งเราก็ดูว่ากะแค่เรื่องเล็กๆ เรื่องกล้วยที่แยกหน่อ ต้นนิดเดียว เวลาที่แยกหน่อของมันที่จะเอามาขยายพันธุ์ แล้วกว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นต้นใหญ่ ใช้ความอดทนเยอะมาก แต่ในระหว่างนั้น น้องเขาได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก

เล่นกับไฟ (ฟ้า)

ตัวอย่างอีกกลุ่มหนึ่งคือโรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ รุ่นพี่ทำเรื่องโซลาร์เซลล์ชุมชนที่อยู่ใกล้มีอยู่หลายที่ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แล้วตอนนี้เรื่องโซลาร์เซลล์กำลังดัง เขาก็เอาวิชาที่เขามี กับครูคนหนึ่งที่ชอบเรื่องนี้มารวมกลุ่มกันทำโซลาร์เซลล์ โดยหาจากขยะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่คนเอามาทิ้ง แล้วก็เอาชิ้นส่วนบางส่วนที่พอจะเอามาทำได้ โรงเรียนก็สร้างอุปกรณ์จำนวนหนึ่งให้เขาศึกษาเรื่องโซลาร์เซลล์ จนในที่สุดเขาสามารถสร้างโซลาร์เซลล์ได้ พอทำสำเร็จ พวกชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือคนทำนาทำไร่ละแวกนั้น ก็มารับช่วงต่อเพื่อเรียนรู้

จะเห็นได้ว่าจากเด็กที่สนใจสิ่งที่เล็กๆ จิตใจเขาจะโตขึ้น จากโรงเรียนที่กลายเป็นชุมชนเล็กๆ ของเขา โรงเรียนไปบอกชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ จนวันที่เราไปเยี่ยมโรงเรียน กลุ่มชุมชนที่อยู่แถวนั้น เขาจะชื่นชมวิชาเล็กๆ ที่เด็กเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองสนใจ ต่อไปก็ไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเอง ไม่ใช่คุณค่าของตัวเอง ไม่ใช่คุณค่าของชุมชน เป็นเรื่องของโลกแล้วว่า เรื่องพลังงาน น้ำมัน ฟอสซิล เขาก็จะศึกษามากขึ้น มากกว่าแต่ก่อนที่คิดแคบๆ

เด็กรุ่นนี้อยู่โครงการกับเรามา 3 ปี เขาเอนทรานซ์เข้าวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เขาบอกว่าเขายังใส่ใจเรื่องนี้อยู่ เขาคิดว่าเรื่องนี้ยังมีโลกอีกกว้างไกลมาก แล้วเขาก็แตะมือกับน้อง ตอนนี้น้องเข้า ม.3 มารับช่วงต่อกลุ่มนี้ เพื่อให้กลุ่มยังคงทำงานต่อไป

ลูกสาวลูกชายแห่งท้องทะเล

หรืออีกตัวอย่างคือเด็กที่ทะเลสวนกง ถือว่าเป็นชุมชนที่ดังอยู่แล้วเรื่องการต่อสู้เพื่อชุมชนของตัวเอง จากเด็กๆ วัยรุ่นที่เคยสนใจเรื่องยาเสพติด เที่ยวห้าง เขาเริ่มมาสนใจเรื่องภูมิปัญญาที่พ่อแม่เขามี เช่นเรื่องการฟังเสียงปลา รู้ชนิดของปลาจากการฟังเสียง เด็กจะต้องศึกษาใช่ว่าอยู่ดีๆ จะเป็นได้ เขาเริ่มสนใจ เวลาพ่อออกเรือก็ตามไปด้วย พ่อมีวิธีการฟังเสียงปลาอย่างไร ถึงจะรู้ว่าตรงนี้มีปลากระบอก ตรงนี้มีปลาชนิดโน้นชนิดนี้

หรือลูกสาวก็เริ่มดูว่าปลาเค็มที่เกิดจากการฝังทราย แมลงวันไม่ตอม แล้วทำเป็นปลาเค็มได้ดีว่าเอาไปตากอีกแบบหนึ่ง คือตากในทราย หรืออาบด้วยแดดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็มีอีกหลายภูมิปัญญา อีก 7-8 ภูมิปัญญาที่เด็กได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่ แล้วเด็กรู้จักการบันทึก การอธิบาย ทำขายด้วย คนไปศึกษาดูงานที่สวนกงเยอะ เมื่อก่อนก็ต้องเอาคนข้างนอกมา นักวิชาการมาอธิบาย ต่อไปนี้เด็กวันรุ่นเราก็สามารถที่จะอธิบายได้ เป็นเจ้าของเรื่องได้

หรือว่าน้องๆ ที่เคยเห็นพี่ๆ ที่หาดสมิหลามาวัดพื้นที่หาด แล้วรู้การเปลี่ยนแปลงของหาด สามารถที่จะต่อสู่กับหน่วยคิดของราชการได้ รู้ว่าหาดแหว่งเป็นอย่างไร แล้วก็เอาองค์ความรู้อื่นๆ มาประกอบได้อีก จะมีอาสาสมัครมาวัดหาด มาเรียนรู้เรื่องหาด เด็กสมิหลาก็จะเอาความรู้ที่ตัวเองมี เคลื่อนมาที่เทพา มาที่หาดบางหลิง แล้วหาดบางหลิงอาจมีพ่อแม่มากกว่าที่หาดสมิหลา เพราะเขามีกลุ่มประมง เป็นวิถีประมงที่มีราคา มูลค่าเยอะ ฉะนั้นนอกเหนือจากวัดหาดแล้ว เขาก็เลือกจะศึกษาระบบนิเวศของหาดแถบนั้น แล้วก็ทำให้รู้ว่าตรงนั้นอุดมสมบูรณ์มากมาย

พ่อที่จับกุ้งเคยไปทำกะปิ เราไม่เคยสนใจเลยว่าถิ่นที่เราเกิดอยู่ กะปิเทพาเป็นกะปิที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และดีที่สุดของสงขลา แต่ว่าเราไม่เคยสนใจ เพราะเด็กเขาเริ่มเป็นเด็กสมัยใหม่ แต่พอเห็นว่าแม่ทำกะปิ แล้วทุกวันนี้เขารู้ว่าแพ็คเกจต้องสะอาด มีอนามัย เด็กก็เริ่มเรียนหนังสือมากขึ้น เพื่อจะเอาองค์ความรู้มาใช้ มันก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม จะคิดสิ่งเหล่านี้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าจากสิ่งธรรมดา เห็นในวิถีชีวิตจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เรามีโครงการของเด็กๆ เล็กๆ อีก 100 โครงการเลย

ห้องสมุดคาเฟ่

มีตัวอย่างหนึ่งที่ป้าหนูคิดว่าไม่ลืมคือ ตามจริงแล้วกระบวนการที่เด็กทำ นอกเหนือจากที่เขาได้หยิบสิ่งที่ธรรมดาที่สุดที่เขามองเห็นในสายตาเรา แต่มันวิเศษสุดสำหรับเขา แล้วสามารถสร้างร่วมกับเพื่อนๆ เป็นทีม มีกระบวนการการเรียนรู้เรื่อยๆ หลังจากนั้นสามารถสร้างเป็นพื้นที่การเรียนรู้ให้กับบ้านเกิด ชุมชน โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนก็ถือว่าเป็นชุมชนของเด็กด้วย

จริงๆ แล้วที่นั่นเป็นชุมชนยากจน พ่อแม่ยากจนมาก เด็กเรียนแค่ ม.3 ก็ต้องลาออก โครงการเรารับเด็กอายุ 12-24 ปี เด็กวัยรุ่นจนถึงวัยรุ่นตอนปลาย เด็กกลุ่มนี้ขึ้นมา 12 ก็คือเขาขึ้นมา ม.1-2 เท่านั้นเองที่มาทำโครงการกับเรา พอ ม.3 เขาก็ต้องออกโรงเรียนแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือ เด็กๆ เหล่านี้สร้างห้องสมุดไว้ จน ณ ปัจจุบันนี้ผู้อำนวยการซึ่งยังเป็นคนเดิมยังภูมิใจ พวกเขาตั้งชื่อว่า ‘ห้องสมุดคาเฟ่เคลื่อนที่ พี่สอนน้อง’ เพราะเขามองเห็นว่าตอนที่เขาเรียนอยู่ที่นั่น เวลาว่างเขาอยากอ่านหนังสือ แต่พอเขาย่างก้าวเข้าไปในห้องสมุด ห้องสมุดทำให้เขาไม่อยากหยิบอะไรขึ้นมาอ่าน ตั้งแต่หนังสือ เข้าไปกี่ครั้งๆ ก็เหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้เป็นหนังสือที่เขาสนใจ บรรณารักษ์ก็หวงหนังสือ ไม่มีกิจกรรมอะไรที่มีชีวิตชีวา ไม่สนุก เขาก็มองว่าควรจะมีหนังสือดีๆ ซึ่งจริงๆ เราไม่ควรรังเกียจให้เด็กอ่านหนังสืออ่านเล่น ก็คือหนังสือนิทานในความรู้สึกของเด็ก

เขาฝันว่าห้องสมุดเล็กๆ จะมีสิ่งเหล่านี้ครบ และอีกสิ่งที่สำคัญมากก็คือ เด็กโรงเรียนนั้นอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ บางคนจบ ม.3 เหมือนเขาแล้วก็ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซึ่งเขาคิดว่าการใช้เวลาที่เด็กจะต้องสร้างเอง ฝึกเอง เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง อันนี้ฟังจากตอนที่เขาเอาโครงการ ห้องสมุดคาเฟ่เคลื่อนที่พี่สอนน้อง มานำเสนอเรา

ตอนที่เขามานำเสนอเรา ทั้งห้องประชุมกำลังกลั่นกรองโครงการจะหัวเราะ ตลกชื่อโครงการ แต่ความหมายที่เขาอธิบายมันลึกซึ้งมาก แล้วกระบวนการกว่าที่เขาจะได้ห้องสมุดนี้ขึ้นมา เขาเขียนจดหมายบรรยายทั้ง 5 ข้อ ว่าเขามีความจำเป็นอย่างไร เขาถึงต้องเขียนขอหลายหน่วยงาน รวมแล้วที่เขาวิ่งกับครูคนที่เห็นด้วยกับเขา แล้วกับญาติๆ ของเขาที่ประทับใจกับโครงการของเขาก็ช่วยกันเขียนจดหมายรวม 200 ฉบับ ส่งไปร้านหนังสือ หรือสำนักพิมพ์ เพื่อที่จะขอให้กิจกรรมของเขาเกิดขึ้นได้

เขารอจนกว่าโครงการจะสิ้นสุดอยู่แล้ว จนเดือนสุดท้ายสำนักพิมพ์รวมตัวกัน ร้านหนังสือรวมตัวกันแล้วเอาหนังสือมาให้เขา แล้วเขาก็สามารถออกแบบโครงการภายในหนึ่งเดือนนั้น โครงการนี้เป็นโครงการที่เรายกเว้นเวลาให้เขานะ ครูที่โรงเรียนก็… ทุกคนจะร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ อยากให้เห็นภาพอันนี้ก่อนที่เด็กเขาจะจบ ม.3 แล้วเขาก็ได้จัดเล่นละครครั้งแรก เขาเอานิทานที่เขาได้มาเล่าให้น้องฟัง ได้ฉลองห้องสมุด แล้วก็ได้ห้องสมุดจริงๆ ณ ปัจจุบันทุกคนก็ยังพูดถึง ครูก็ไม่เคยโกรธที่เด็กบอกว่า บรรณารักษ์เป็นนางยักษ์ มันทำให้ทุกอย่างพลิกไปหมดเลย ครูคนนั้นย้าย แต่ครูก็ยังปลื้มกิจกรรมนี้อยู่ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่มาจากความธรรมดา ความต้องการของเขาไม่ได้วิเศษอะไรเลย

พอทำโครงการเด็กๆ กลุ่มนี้ก็บอกว่าเขามีพลังที่มากขึ้น คือไม่ได้คิดเหมือนเมื่อก่อนว่าคิดแค่ที่ตัวเองคิดนิดเดียว แต่จะคิดอะไรที่เชื่อมโยงกับวิชา งานที่เขาทำ สิ่งเล็กๆ ที่เขาทำมันเชื่อมโยงกับคนอื่น น้องๆ ได้อ่านหนังสือมากขึ้น รักหนังสือมากขึ้น ที่อื่นที่เคยบริจาคหนังสือก็เอามาบริจาคให้โรงเรียนเขา โรงเรียนก็มีหนังสือมากขึ้น ครูก็ขยายงาน ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ เดี๋ยวนี้ในห้องของเขาเป็นที่นั่งประชุมของครู เป็นที่ให้เด็กมาแสดงละครตามวันสำคัญๆ ทางวรรรคดี นิทาน จากเรื่องหนังสือ โรงเรียนนี้ชื่อว่า โรงเรียนบ่อทรัพย์ (อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา) เราอาจะไปเยี่ยมโรงเรียนของเขาได้ แล้วก็ให้ครูเก่าๆ ที่ยังอยู่ เล่าให้ฟังได้ ผอ. ก็ยังปลื้มห้องสมุดนี้อยู่ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

มุสลิมะห์แถวหน้า

มีมุสลิม 2-3 กลุ่มที่ประทับใจมาก ประทับใจตั้งแต่เปิดรับสมัคร เวลาเราเราเปิดรับสมัคร งบประมาณเรามีจำกัด เราก็จะรับได้ไม่มาก ฉะนั้นเราก็จะไม่ประชาสัมพันธ์สุดเหวี่ยง แต่ที่น่าทึ่งมากคือมีเด็กส่งเฟซบุ๊คในสงขลาฟอรั่ม เขาเรียนที่โรงเรียนปอเนาะ เรียนแต่ศาสนา กิจกรรมเนี่ย เขารู้สึกเครียด แล้วเขาเป็นผู้หญิง บางทีเขานำไม่ค่อยได้ ด้วยวิถีของความเชื่อ เขาเลยอยากมีโครงการอะไรที่ทำแล้วให้เห็นว่าเด็กผู้หญิงก็นำหน้าได้ ด้วยวิถีของความเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนประณีต แล้วเป็นที่ยอมรับได้

เขาก็เขียนโครงการมาให้เรา ‘ห้องน้ำห้องส้วม’ และ ‘สาม อ. เอาอ้วนออก’ อีกโครงการเป็นโครงการประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ แต่ชื่อเขาจะหวือหวากว่านี้ เขาก็ทำเป็นลำดับ คือมุสลิมะห์นี่หมายถึงน้องมุสลิมที่เป็นผู้หญิง เวลาที่ผู้หญิงเสนออะไรเขาก็จะปัดไว้อยู่ข้างหลัง ผู้นำมักจะต้องเป็นผู้ชาย ทีนี้บางเรื่องผู้หญิงเป็นผู้นำได้ เช่น เขาเลือกเรื่องห้องส้วม เพราะเขามองว่าทุกคนได้รับผลกระทบจากห้องส้วมนี้บ่อย เนื่องจากห้องส้วมนี้เป็นห้องส้วมผู้ชาย ปัสสาวะเหม็น เขาอาสาทำความสะอาดร่วมกับเพื่อนผู้ชายด้วย แต่ว่าผู้หญิงเป็นผู้นำ พอมันสะอาด ห้องอาหาร (อยู่ใกล้ๆ) นี่นั่งกันทั้งหมดนะ ก็จะได้รับ… ภาษาพุทธบอกว่า ‘อานิสงส์’ มีความสุขกันถ้วนหน้า แล้วสิ่งนี้ก็ได้เป็นสิ่งที่ได้มาพูดกันอีกหลายเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมา ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงจะมีความอดทน มีมานะความพยายามสูง ทำได้

ทำต่อไปคือ ‘สาม อ. เอาอ้วนออก’ เพราะแนวโน้มของเด็กมุสลิม มุสลิมะห์ก็อ้วนเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กผู้ชายก็อ้วน ครูก็อ้วน ฉะนั้นเขาอยากทำการออกกำลังกาย คนมาสมัครต้องมีคู่มือที่จะต้องจดบันทึกการออกกำลังกายของตัวเอง แล้วการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง คือต้องปฏิบัติตามที่เขานำเสนอทุกอย่าง

กติกานี้ถึงจะทำให้มาสมัครเป็นสมาชิกของเขาได้ ทุกคนก็มีแรงจูงใจของเขาอยู่แล้ว อยากลดน้ำหนัก เวลาออกกำลังกาย เด็กกลุ่มนี้ก็จะยืนอยู่ข้างหน้า เป็นผู้นำ ไปออกแบบ พอเสร็จก็มีกระบวนการที่ให้สมาชิกทุกคนต้องบันทึก มาชั่งน้ำหนัก สารพัดเท่าที่เขาจะมี เขาก็จะเล่าให้เราฟัง เขาภูมิใจมากเลย เขาเป็นมุสลิมะห์ที่ได้ยืนอยู่ข้างหน้า แล้วทุกคนที่ได้มาร่วมกิจกรรมกับเขา มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วทุกคนก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แล้วก็เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ

Beach for Life

กลุ่มนี้ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ของสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดว่า เขาเอามาทำจริง แล้วเขาก็เป็นพลเมืองในหลายๆ มิติ ที่คนเอาวิพากษ์วิจารณ์กันได้หลายมิติ เช่น หนึ่ง ความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ซึ่งเด็กบางกลุ่มของเราก็ยังหน่อมแน้ม แต่กลุ่มนี้นี่ใช้ได้เลย เขารับผิดชอบ

สอง ในเรื่องของความยุติธรรม เขาจะเริ่มมองเห็นในประเด็นอื่น ความเป็นธรรม ความยุติธรรม สิทธิของมนุษย์ต่างๆ เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองทำ อย่างเด็กเมื่อกี๊ เรื่องห้องน้ำ ห้องส้วม ยังไม่ไปคิดเรื่องกฎหมายอะไรเท่าไหร่ จนกว่าบางประเด็นจะไปกระทบ แต่อันนี้ไปหมดเลย ให้เห็นความเป็นพลเมืองในหลายมิติที่ได้ โดยเขาเริ่มจากสิ่งที่เขารักเหมือนกัน กลุ่มนี้เป็นเด็กโรงเรียนที่อยู่ใกล้หาดสมิหลามากที่สุด อกหักก็ต้องวิ่งไปหาด ไปกรี๊ดอยู่ริมทะเล เด็กวัยนี้ก็มีความรักด้วยกันทั้งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา สอบตกไม่ได้คะแนนดั่งใจ สารพัดเรื่อง ความทุกข์ไปอยู่ที่หาด แล้วก็วันหนึ่งเขามีความรู้สึกว่า สุขเขาก็มาหาดเลย เสาร์อาทิตย์พ่อแม่ยังพามาหาดเลย ฉลองสอบได้คะแนนดี รับน้องมาหาดหมด แต่เขาไม่เคยเห็นเลยว่าหาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

เวลาเราพูดเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราคิดไปถึงป่า ภูเขา ตีตั๋วไปไกลๆ แต่หาดหน้าบ้าน ข้างโรงเรียนตัวเองไม่สนใจ

เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเด็กคนหนึ่งที่ทำ ‘Beach for Life’ ครั้งแรก เขาใช้ชื่อว่า ‘หาดเพื่อชีวิต’ เป็นภาษาไทยก่อน คือที่ว่ามาทั้งหมดก็เพื่อชีวิตของเขาจริงๆ ทีนี้มีครูคนหนึ่ง เราถือว่าเป็นครูใหญ่ในสายเรา ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ ซึ่งเป็นคนที่ต่อสู้กับโครงสร้างแข็งกับการทำลายหาดมาโดยตลอด ณ ปัจจุบันท่านไปออกบวชแล้ว คือสู้เรื่องนี้คือเครียดมากๆ ตัวเราเอง ณ ปัจจุบันก็เครียด เพราะเรื่องมันเป็นผลประโยชน์ซับซ้อน แล้วความรู้พออธิบายแล้วมันยากมากที่จะเข้าใจ มันต้องใช้ความอดทนมากที่จะศึกษาและเรียนรู้เรื่องนี้ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จาก ม.4 ที่เขาเริ่มต้น จน ณ ปัจจุบันเขาจบมหาวิทยาลัยมาสองปีแล้ว ปีนี้เป็นปีที่ 7 แล้วที่เด็กสู้ต่อเนื่องมา แล้วก็สร้างกลุ่มของเขามาเรื่องๆ จากระบบนิเวศ ระบบธรรมชาติ เขาก็ไปดูว่าคำว่านิเวศมันประกอบด้วยอะไรบ้าง จาก ดร.สมบูรณ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพียงคนเดียวก็มี ดร.สมปรารถนา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งสนใจในเรื่องของ citizen science บ้านเราเรียกแค่ว่าพลังพลเมืองเยาวชนนะ เขาก็ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นเขาให้คุณค่าการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ คือให้คนธรรมดาสามัญมาเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ผ่านระบบธรรมชาติด้วย

อาจารย์ก็สนใจเรื่องนี้ ก็ตรงกับวิธีคิดของเราเรื่องพลเมืองเหมือนกัน สาขานี้ก็ต้องเป็นสาขาที่ต้องใช้แล็บ ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ แล้วเด็กพวกนี้ก็คุยกับนักวิชาการ หรือสายวิทยาศาสตร์ เขาจะทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทั้งในเรื่องกายภาพ ชีวภาพ อะไรหลายๆ อย่าง เวลาอธิบายเรื่องทะเล เขาจะเข้าใจได้ดี ก็กลายเป็นว่าเรียนรู้ในเรื่องวิชาการเข้าใจได้ง่ายขึ้น แล้วในมิติสังคม ทางสงขลาฟอรั่มก็จะเสริมเขาในมิติของการมีส่วนร่วม เพราะเรื่องพวกนี้เมื่อมีคนไม่รู้ เราก็ต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้น เด็กในกลุ่มนี้ก็บอกว่า “ป้าหนู การเรียนรู้ในส่วนนี้ของป้าหนูมันไม่พอ มันต้องการมีส่วนร่วมที่แท้ด้วยนะ” เพราะเขาบอกว่าที่เขาเห็นมันไม่แท้

เขาก็ลิสต์มาเลยว่า ไม่แท้ตรงที่ว่าเกณฑ์คนมาให้นั่งฟังอย่างเดียว เหลือ 10 นาทีสุดท้ายคน 500 คนใครจะแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ ฉะนั้นมันต้องมีมากกว่า 5 ข้อที่เขียนไว้ ต้องวางแผน… เด็กพวกนี้มันก็ศึกษาอีกว่านอกจาก 5 ข้อที่ว่านั้นต้องมี ที่แท้ด้วย ลึกซึ้งด้วย ด้วยจิตวิญญาณด้วย ลงมือทำ ลุ่มลึกกับมันด้วย

ในแต่ละปีเขาก็จะมีจุดเน้น ตอนนี้เราทำกิจกรรมที่คิดว่าเป็นภารกิจของกลุ่มนี้ นอกเหนือจากตัวเขาเติบโตแล้วก็คือต้องให้ความรู้กับสังคม โดยเฉพาะสังคมคนสงขลา ซึ่งยังมีข้อขัดแย้งในเรื่องของการฟื้นฟูหาดสมิหลา บางคนบอกว่าอยากเอาโครงสร้างแข็งลงเลย สร้างเขื่อนไปเลย จะต้องไม่ต้องมาสร้างทุกปี แต่อีกทีมหนึ่งบอกว่า หาดที่มันยาวไป มันสามารถสยบคลื่นที่แรงๆ ให้ราบได้ด้วยหาดที่กว้างและราบเรียบ แล้วมันเป็นอย่างนี้มาไม่รู้กี่หมื่นปี แต่เป็นเพราะว่าเราเอาโครงสร้างแข็งไปวางไว้

ฤดูกาลจะมีอยู่ 2 ฤดูกาล มันก็จะมีหน้าที่คลื่นแรงและไม่แรง คลื่นสงบกับคลื่นแรง แต่เราไปโกรธคลื่นตอนที่คลื่นแรง เราก็ไปหาอะไรมาขวางมัน ถ้าไม่ถาวร หมายความว่า สร้างเพื่อพยุงมันไว้เพื่อหน้านี้ แล้วค่อยเอาออก เพื่อให้มันเป็นระบบธรรมชาติเหมือนเดิม แต่นี่เราเอากระสอบหนักเป็นสิบๆ กิโลกรัมวางเป็นภูเขาเลย หรือสร้างเขื่อน หรือระเบิดก้อนหินใหญ่ๆ จากภูเขามาวางเรียง คือเป็นโครงสร้างแข็งถาวรเลย ฉะนั้นเวลาตอนหน้าคลื่นปะทะ แล้วมันก็กระชากทรายที่มีตามธรรมชาติออกหมด มันก็พัง

ฉะนั้นหาดประเทศไทยไม่ใช่เฉพาะสมิหลา คนสงขลาหลายๆ คนช่วยกัน มีอยู่ 7.8 กิโลเมตร เราทำงาน 7-8 ปีที่เราทำงานหนักอยู่ตรงนี้ สองกิโลเมตรที่สาหัสที่สุดก็คือตรงบริเวณหาดชลาทัศน์ ส่วนที่เหลือตรงนางเงือกก็ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวได้สวยงาม แต่เผลอเมื่อไหร่ก็จะมีการสร้างอะไรขึ้นมา หน้ามรสุมเรื่องภัยพิบัติก็มาพร้อมๆ กัน ถ้าเราไม่ช่วยกันระมัดระวัง ช่วยกันสื่อสาร ที่เด็กบอกว่า เราไม่ทะเลาะแล้ว เราต้องใช้ gentle action เป็นวิถีที่อ่อนโยน เล่าให้ฟัง เราก็ถือว่าหัวใจของเขาไม่ได้สร้างด้วยกระสอบทราย ไม่ได้ทำด้วยก้อนหิน เขาก็ soft เหมือนกับทราย ยืดหยุ่น นิ่มนวล เวลามันจะผนึกกำลังกันจะเอาชนะคลื่น มันก็คือหาดทั้งหาดที่มันชนะ เราก็พยายามที่จะเอาปรัชญาตรงนี้

3. การเติบโต

ทำไมโครงการที่เด็กๆ ทำส่วนมากจึงสัมพันธ์โดยตรงกับบ้านเกิด

จริงๆ แล้วมันมาจากคำที่เคยพูดและเคยรู้สึก คือ ไม่มีใครรักทะเลสาบสงขลากับเราเลย เหมือนมันต้องหาจุดที่เป็นศูนย์กลาง แล้วเราก็เชื่อเรื่องบ้านเกิด เพราะโครงการที่เกิดขึ้นครั้งแรก สงขลาฟอรั่ม เกิดขึ้นครั้งแรกในนามของ ‘โลกสดใสในบ้านเกิด’ เราฝันในเชิงบวกว่า จะสร้างอะไรในบ้านเกิดฉัน คลื่นวิทยุก็รณรงค์ตามมาตรา 70 เพื่อที่จำให้เห็นว่าในบ้านเราเรามีคลื่นของเราเอง เรามีสิทธิ์ที่จะซื้อคลื่นแล้วมาทำรายการของเราเอง ซึ่งตอนนั้นมันยากมาก แม้ตอนนี้มันคนละเรื่องเลย แถมเรายังมี social network แต่ตอนนั้นเราจะพูดเรื่องของเราสักทีหนึ่ง มันอุดรูเราหมด

ฉะนั้นมันมาจากความรู้สึกนี้จริงๆ ความรู้สึกนี้แรงมาก แรงมาจนถึงปัจจุบัน เรามีความรู้สึกว่า แม้แต่คำนี้ก็ยังคุกรุ่นอยู่ในใจป้าหนู บางเรื่องมันเหมือนมันพูดกันอยุ่ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยอยู่ที่กรุงเทพฯ เหรอ เราพยายามจะทำให้ เราไม่ต้องตะโกนไปที่กรุงเทพฯ ได้ไหม ให้พูดอยู่ที่บ้านเรา ให้เราทำสิ่งนี้ให้มันดี ให้ที่สงขลามันดี นครปฐมดี โคราชดี ทั้งประเทศก็ดี มันก็เหมือนถ้าความเป็นพลเมืองมันดีทุกจุด เราคิดแค่นี้ ไม่มีทฤษฎีมากเลย

แล้วเวลาให้เด็กคิด ก็ไม่เห็นต้องโก้เก๋ให้เขาไปคิดอะไรที่มันไกลตัว มันจะเก๋มากถ้าเขาคิดในสิ่งที่เราไม่คิดเลยนะ อันนี้คิดได้อย่างไร มันอยู่ตรงนี้นี่เอง ถ้าเราทำให้เขาเอ๊ะกับสิ่งเหล่านี้ ทำขึ้นมาให้ดี แข็งแรง ถ้าเขามองตรงจุดที่มันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเขาได้ ชัดเจน มองอย่างรู้คุณค่า เขาก็จะมองเห็นสิ่งอื่นมีคุณค่าด้วย

เด็กๆ ที่ทำกิจกรรมกับเราเติบโตไปเป็นคนแบบไหน

ที่เราพูดให้เด็กทุกรุ่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็คือว่า เราจะไม่พูดนะว่าลูกเป็นเด็กสงขลาฟอรั่ม จะเหมือนไว้ตัวหน่อยๆ ให้เกียรติเขาด้วย เขาก็ต้องเป็นเขาสิ ที่เราอยากเป็นพลเมือง เรายังไม่อยากจะสังกัดพรรคไหนเลย เราก็อยากจะเป็น ทำไมโลกนี้จะต้องขึ้นอยู่กับพรรคไหนหมด ประเทศหนึ่งควรจะมีพลเมืองที่อิสระ ที่มีความเป็นพลเมือง เราอยากจะสร้างแบบนั้น

เวลาอธิบายไม่รู้เด็กจะเข้าใจแบบนั้นหรือเปล่า แต่พยายามอธิบาย ลูกติดชิพพลเมืองไว้ ไม่มียี่ห้อ แล้วลูกไปเป็นอาชีพอะไรก็ได้ เหมือนที่ทำห้องสมุดคาเฟ่เคลื่อนที่ เขาบอกเขาไม่มีเงิน แต่ก็ไม่ชอบร้านสะดวกซื้อแบบ หนูว่าเขาเอาเปรียบ แต่เขาให้ทุนเรียนฟรี พอจบ ม.3 เขาก็อยากเรียนต่อ

เราบอก ลูกก็อย่าคิดอย่างนั้นสิ ลูกก็เป็นพลเมืองดี ลูกไปสังกัดไหนก็ได้ แต่ไม่เอาเปรียบ ลูกก็เป็นคนดีตรงนี้ แล้วลูกอีกหลายคนจะไปเป็นอาชีพอะไรก็ได้ แต่ความเป็นพลเมืองมันไม่ได้บอกว่าลูกเป็นวิศวกรไม่ได้ ลูกไปเป็นอะไรก็ได้ ไปเป็นหมอก็ได้ เด็กของเราเป็นหลายอาชีพมาก แต่ที่ยังสนิทสนม ยังติดต่อกันส่วนใหญ่ก็เป็นนักพัฒนา บางคนก็อยู่ พอช. ในตำแหน่งที่ดี น่าพอใจ บางคนที่เราเคยต่อสู้กับบริษัทน้ำมัน แล้วเขาก็บรรจุเป็นพนักงานบริษัทน้ำมันที่เคยเป็นคู่กรณีกับเรา แต่เขาก็ได้เอาหลักคิดเรื่องมูลนิธิทางสังคมดีๆ ไปสร้างการเปลี่ยนแปลง เขามาเจอเราแล้วก็ยังมาพูดให้ฟัง ไม่โกรธกันเลย

หลังสุดนี่คือจบแล้วแต่ก็ยังทำงานกับเราอยู่ ก็คือทีมของน้ำนิ่ง (ชื่อเด็กคนหนึ่งที่เคยทำโครงการ) ที่จบไปได้สองปี นอกจากนั้นก็กระจายอยู่ตามสาขา น้ำหนักน่าจะเป็นมากก็คือบัณฑิตอาสา กับนักพัฒนา NGOs สายต่างๆ ข้าราชการนี่น้อยมาก อาจจะมี แต่น้อยมาก ส่วนใหญ่อยู่แล้วลาออกไปทำอิสระ

Tags:

สงขลาฟอรั่มactive citizenproject based learningพลเมืองโคชพรรณิภา โสตถิพันธุ์

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริงชีวิตจริง’ การเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจคนเรียนถูกขยาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ขบวนการผู้พิทักษ์ ‘จ้าวทะเล’ แห่งสงขลา

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ
Creative learning
28 December 2018

เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • ‘ศิลปะ’ นอกจากจะทำให้เกิดสุนทรียะและความอิ่มเอมใจแล้ว ยังช่วยเรื่องการเติบโตของมนุษย์ ทั้งในแง่ความคิด ความรู้สึก ทักษะ และเป็นเครื่องมือที่ใช้เรียนรู้โลกและสังคมอีกด้วย
  • Head Hand Heart คือทักษะสำคัญของการเติบโตของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนทั้งภายในและภายนอก และศิลปะช่วยเรื่องการเติบโตนี้ได้
  • ทุกคนล้วนมีความเป็นศิลปินในตัว และมีเรื่องราวที่อยากเล่าอยู่แล้ว เพราะศิลปะเป็นน้ำมันหล่อลื่นในชีวิตที่คอยเลี้ยงหัวใจไว้
ภาพ: ศุภจิต สิงหพงษ์

‘เจ้าหญิงคาราเต้’ เป็นละครที่สร้างขึ้นโดยใช้วิธีอ่านบทนิทาน และชวนผู้ชมมาอ่านร่วมกับนักแสดงด้วย … ภายใต้หลักคิดที่ว่า ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมกับละครได้ ไม่เกี่ยงเพศ วัย และอายุ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว มีเรื่องที่อยากเล่าและแบ่งปันประสบการณ์

บ่ายวันหนึ่ง ณ ลานโล่งหน้าห้องออดิทอเรียมที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ที่ถูกเนรมิตเป็นเวทีละครไปชั่วขณะ เมื่อนักแสดงจากกลุ่ม ‘คิดแจ่ม’ พร้อมกับเครื่องดนตรีคู่ใจนั่งประจำตำแหน่ง พร้อมๆ กับที่ผู้ชมล้อมวงกันเข้ามา พ่อแม่หลายคนยืนดูแล้วส่งเด็กๆ ไปนั่งข้างหน้า แววตาจับจ้องรอดูละครที่ไม่ใช่ละคร

เบิร์ด-นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ

งานนี้ไม่มีฉาก ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีชุดเจ้าหญิงอลังการ ไม่มีหน้ากากปีศาจร้าย มีแต่เรื่องราวและเสียงดนตรีประกอบ แต่นักแสดงและผู้ชมต่างก็ผลัดกัน ‘อ่าน’ นิทานเรื่อง ‘เจ้าหญิงคาราเต้’ อย่างสนุกสนาน

เจ้าหญิงคาราเต้ ว่าด้วยเรื่องราวของเจ้าหญิงเบลินด้า พระธิดาของพระราชาผู้เกิดมาไม่ได้มีหน้าตาสะสวยจนเสด็จพ่อถึงกับร้องยี้ แถมมีวิชาคาราเต้เป็นอาวุธอีกต่างหาก แต่การผจญภัยของเธอนั้นน่าตื่นตาตื่นใจจนผู้ชม (โดยเฉพาะเด็กๆ) ไม่อาจละสายตาได้เลย

การอ่านนิทานบนเวทีละครมีความพิเศษอย่างไร ศิลปะทำงานอย่างไรกับผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆ เบิร์ด-นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ แห่งกลุ่มคิดแจ่ม จะมาอธิบายให้ฟังอย่างแจ่มใส

ตอนนี้เบิร์ดเป็นทั้งนักแสดงอิสระ เป็นคุณครูสอนโยคะ และทำงานอบรมด้านละครสร้างสรรค์ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ โดยส่วนตัวเบิร์ดสนใจละครที่เกี่ยวกับ ‘ครอบครัว’ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่พ่อแม่ลูกเท่านั้น แต่หมายถึงทุกๆ คนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา นอกจากนี้ยังเป็นความฝันส่วนตัวที่เก็บไว้มากกว่า 25 ปี จากแรงบันดาลใจที่เคยไปทัวร์ละครกับกลุ่มละครมะขามป้อมที่ออสเตรเลียแล้วเห็นว่าประเทศอื่นๆ ทำกลุ่มละครเยาวชนกันเป็นล่ำเป็นสัน และเมื่อมีโอกาสได้มาทำละครเฉพาะกิจชื่อกลุ่ม ‘คิดแจ่ม’ ที่ ครูอุ๋ย-พรรัตน์ ดำรุง (อาจารย์ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ) ก่อตั้งขึ้นเพื่อไปเล่านิทานให้เด็กๆ ตามโรงพยาบาลฟัง ต่อมาเบิร์ดก็ได้ใช้ชื่อนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 จนปัจจุบัน โดยเน้นทำละครและเล่านิทานที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบตัว นิทานภาพ และใช้ละครหุ่น

“เรื่องเล่ามีพลังและไม่ใช่มีแค่สำหรับเด็กเท่านั้น” เบิร์ดกล่าว

สำหรับเบิร์ด เจ้าหญิงคาราเต้เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่น่าสนใจ เพราะเป็นลูกผู้หญิงที่เกิดมาไม่สวย พร้อมเสียงของผู้เป็นพ่อที่ร้องยี้ใส่หน้า เป็นการทำลายภาพจำหรือ stereotype ของเจ้าหญิงที่ต้องสวย รอเจ้าชายมาแต่งงานด้วยโดยสิ้นเชิง

เบิร์ดมองว่าป็นเรื่องที่ดี เพราะ…

“ถ้าหลีกเลี่ยงการ type ชีวิตก็จะเป็นอิสระขึ้น เราจะทำร้ายกันน้อยลง จะทำให้ความแตกต่างของลูกเรา คนข้างๆ เรางอกเงย ไม่ใช่แค่เพศหญิง เรื่องเฟมินิสต์อย่างเดียว ใครก็เป็นเจ้าหญิงได้ ผู้ชายก็เป็นเจ้าหญิงได้”

เหมือนกับที่ ‘หลิน’ หนึ่งในทีมคิดแจ่มเดินเข้าไปหาเด็กชายคนหนึ่งในหมู่ผู้ชม ถือหน้ากากเจ้าหญิงคาราเต้และส่งบทให้ ขอให้น้องช่วยอ่าน

การอ่านนิทานไปพร้อมกันแบบนี้มีอะไรน่าสนใจ ทำไมจึงเลือกวิธีนี้?

“นี่เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสื่อสาร ที่สำคัญเราใช้เทคนิคเชื่อมไปกับตัวหนังสือด้วย คือ play reading บทมาจากหนังสือสองเล่ม ถ้าเป็นไปได้เป็นหนังสือเลยก็ได้ ให้ทุกคนนั่งอ่าน มีอะไรมาประกอบ มีบล็อกกิ้งนิดหน่อยเดินหน้าเดินหลัง คนดูช่วยอ่านบ้าง พวกเราแต่ละคนไม่ต้องจำบท แต่ให้สวมบทบาทนั้นโดยใช้การอ่าน มันจะลิงค์เด็ก เรา ตัวหนังสือเข้ากับหนังสือ เป็นเครื่องมือให้รักการอ่านด้วย”

เบิร์ดแย้มให้ฟังถึงการทำงานเบื้องหลังกับทีมคิดแจ่มว่า ละครของคิดแจ่มเน้นการมีส่วนร่วมของนักแสดงและคนดู โดยเริ่มจากชักชวนเพื่อนๆ ที่ชอบเล่าเรื่อง ศิลปะ ดนตรี เล่นละครหุ่น หรือแม้แต่การแสดงละครใบ้ แล้วมาดูว่ามีเรื่องไหนที่อยากเล่าด้วยกันบ้าง และจะเล่ากันอย่างไรดี โดยไม่ลืมให้คนดูเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

ที่พิเศษคือยังคงแก่นของเรื่องเจ้าหญิงคาราเต้ด้วยการแสดงให้เห็นว่าศิลปะเป็นของทุกคน ไม่ใช่วัยใดวัยหนึ่ง โดยคัดเลือกนักแสดงที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหน้าใสวัยรุ่น แต่เป็นคนธรรมดาหลากหลายช่วงวัย

“ไม่ใช่แค่วัยรุ่น เพราะเรื่องดนตรีไม่ใช่เรื่องวัยรุ่นอย่างเดียว การเล่นดนตรี การอยู่กับศิลปะไม่ใช่อยู่กับใครวัยใดวัยหนึ่ง อันนี้คือสิ่งที่เราเลือก ไปกับแก่นของเรื่องคือ stereotype

พ่อแม่บางคนเมื่อก่อนเป็นนักกีตาร์แล้วเลิกเล่นกีตาร์มาเลี้ยงลูก พอเราไปเล่นเจ้าหญิงคาราเต้ที่โรงเรียน พ่อแม่ถามก่อนเลยว่าทำงานอะไรกัน ทำไมทำอย่างนี้อยู่ได้ (หัวเราะ) ก็ได้แต่บอกว่าเราตั้งใจ เหมือนเวลาเราเห็นคนแก่ๆ เล่นละครทำไมรู้สึกแก่จัง ไม่หรอก ฟังก์ชั่นเหล่านี้มันอยู่ในเราทุกคน การอ่านนิทานก็เช่นกัน”

ผิดเอาใหม่ บทใช้ความเข้าใจและให้โอกาสกัน

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเจ้าหญิงคาราเต้คือการให้โอกาสทั้งนักแสดงและผู้ชมด้วยวิธีการ ‘ผิดเอาใหม่’ เบิร์ดบอกว่ากระบวนการทำงานของละครเรื่องนี้จะเรียกซ้อมเพียง 3 ครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องซ้อมจนแม่นยำ ให้โอกาสนักแสดงได้แสดงสดๆ กับตัวเองและให้โอกาสในการ “ขอโทษค่ะ เอาใหม่ค่ะ” บนเวทีละครอย่างจริงใจ เป็นการให้โอกาสกันและกันเพื่อให้บรรยากาศในการเล่าเรื่องผ่อนคลายมากขึ้น

นอกจากความสนุกสนานที่ผู้ชมจะได้รับจากละครแล้ว ยังเป็นโอกาสทองในการใช้เวลาคุณภาพร่วมกันของครอบครัวอีกด้วย พ่อแม่จะได้เห็นลูกในมุมอื่นๆ โดยเฉพาะในมุมที่ลูกได้อยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม เพราะบางครั้งเมื่อโลกหมุนไวเกินไป จนชีวิตเร่งรีบทำให้พ่อกับแม่อาจไม่มีโอกาสได้เห็นลูกๆ ในมุมอื่นมากนัก

“ละครเวทีจะทำให้คุณเห็นลูกเวลาอยู่กับคนอื่น สร้างคอมมูนิตี้ สิ่งที่เห็นคือพ่อแม่ไม่เคยเห็นลูกเป็นแบบนี้ แล้วบางทีพ่อแม่ไม่รู้ว่าลูกตัวเองเกเรมาก ลูกแกล้งคนอื่นมันมาจากเขา เราไม่ได้ตัดสินเขานะ แต่เราเห็นว่าลูกมาจากพ่อแม่ เด็กจะสะท้อนกิริยาของพ่อแม่ พ่อแม่บางคนเห็นแล้วเขินๆ บางคนให้ท้าย เราก็ได้แต่ทำใจนิ่งๆ เอาไว้ เพราะเราต้องช่วยกันเลี้ยง” เบิร์ดสะท้อน

ศิลปะอยู่รอบตัว ไม่ต้องเรียนอาร์ตก็ทำได้

“ศิลปะเป็นอิสระด้วยตัวของมันเอง อะไรเป็นศิลปะได้ถ้ามันจรรโลงใจคุณ ยกเว้นผิดศีลธรรมคุณไปฆ่าใครเป็นงานศิลปะอันนั้นไม่นับ อย่างนั่งนับเม็ดข้าว ใช่อาร์ตหรือเปล่า เป็น mediation มั้ย อันนี้มีศิลปินทำแล้วนะ ในแง่อาร์ตมันใหญ่และกว้างขวางมาก

“บางครั้งเราต้องกลับมาถามตัวเองว่าเรามุ่งทำงานมุ่งมีชีวิตโดยขาดสุนทรียะบางอย่างในชีวิตหรือเปล่า ก็จะมีรายละเอียดถกเถียงกันอีก ศิลปะชั้นสูง ชั้นกลาง ร้องคาราโอเกะเป็นศิลปะมั้ย ก็เถียงกันไป แต่เรามีความรู้สึกว่าศิลปะเกิดขึ้นตรงไหนกับใครก็ได้”

พี่เบิร์ดยืนยันเพิ่มเติมว่าทุกคนมีความเป็นศิลปินในตัว และล้วนมีเรื่องราวที่อยากเล่าอยู่แล้ว เพราะศิลปะเป็นน้ำมันหล่อลื่นในชีวิตที่คอยเลี้ยงหัวใจไว้

“สำหรับตัวเอง เรารู้จักโลกใบนี้ผ่านศิลปะ อาจเป็นเด็กไทป์ศิลปะรึเปล่าไม่แน่ใจ เป็นเด็กที่โตมาแล้วเข้าใจโลกผ่านเสียง ตอนวัยรุ่นเข้าใจอีโมชั่นต่างๆ ผ่านการเล่นบทบาทสมมุติในละครเล็กๆ ของโรงเรียน โตมาก็เข้าใจโลกผ่านกระบวนการการละครด้วยการไปอบรมกระบวนการละครทำให้เจอผู้คน”

Head Hand Heart ทักษะสำคัญของการเติบโต

เบิร์ดเสริมว่าการพัฒนาของคนเรานั้นมี 3 ทักษะ ได้แก่ Head (ความคิดต่างๆ ความฉลาด ความรู้) Hand (ความรู้ด้านการลงมือปฏิบัติ ทักษะต่างๆ) Heart (ด้านความรู้สึก) ทักษะสำคัญของการเติบโตของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนทั้งภายในและภายนอก และศิลปะช่วยเรื่องการเติบโตนี้ได้

“ถ้าสามอันนี้สมดุลกันจะทำให้คนคนหนึ่งตระหนักรู้ว่าทำอะไรลงไป คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ถ้าสมดุลเสมอกันจะเป็นการเรียนรู้ที่พอดีและมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ”

สำหรับพ่อแม่ที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเอาศิลปะอะไรไปเล่นกับลูกดี เบิร์ดแถมเคล็ดลับให้ว่า เมื่อพาเด็กๆ มาทำกิจกรรมต่างๆ ก็ลองสังเกตนิดหนึ่ง ไปนั่งเป็นเพื่อนเขา และหากอยากจะมีอะไรเล่นกับลูกเพิ่มเติมอีกสักหน่อยที่บ้าน การนำหนังสือนิทานหรือการใช้สิ่งของรอบตัวมาเล่นกับลูกก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เป็นศิลปะง่ายๆ ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์และช่วยเรื่องการเรียนรู้ของเด็กๆ

“ให้ศิลปะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์กับคน อยู่เป็นเพื่อนเขา ใช้ของง่ายๆ ไม่เกินความสามารถ อย่างรอบแสดงเจ้าหญิงคาราเต้ที่จัดให้พ่อแม่โดยเฉพาะ ถามว่ามีหนังสือโปรดมั้ย มีคนยกมือ แลกกัน ลองเอามาอ่านกันดูนะ ตอบโต้กัน เราก็ชวนเขาแบบนั้น สามารถทำได้ ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เอามาเสริมให้พ่อแม่

“เล่าให้ง่าย ไม่ทำอะไรเป็นเรื่องยาก ได้ประโยชน์กันและกัน ไม่ทำร้ายกัน มีส่วนร่วมโดยใช้ศิลปะเป็นแกน อยากจะให้ทุกคนเล่า เล่าด้วยกันเถอะ ไม่ต้องฟังอย่างเดียวก็ได้ เราอยากฟังคุณเล่า เพจเบิร์ดคิดแจ่ม ก็ยังส่งข่าว มีเวิร์คช็อป ไปที่นั่นที่นี่มา คิดถึงกันก็ส่งหากัน แฟนคลับน้อยแต่เหนียวแน่น”

‘เจ้าหญิงคาราเต้’ ช่วยพิสูจน์แล้วว่าแท้จริงแล้วศิลปะเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้โลก เป็นความอิ่มเอมหัวใจ และเป็นอะไรได้อีกหลายๆ อย่าง ทุกคนมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัวอยู่แล้ว เด็กๆ สามารถลุกขึ้นอ่านบทเจ้าหญิงได้ หรือพ่อแม่ก็สามารถนำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปสร้างเป็นงานศิลปะเล่นกับลูกได้ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากซับซ้อน

เพราะศิลปะเป็นเรื่องของเราทุกคน

Tags:

นิทานนีลชา เฟื่องฟูเกียรติพ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)ศิลปะการแสดง

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Learning TheoryEarly childhood
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม
Education trend
27 December 2018

เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • เด็กๆ กำลังมองเห็นผู้ใหญ่ทำแต่ตัวอย่างที่ไม่ดี เขาจะจดจำภาพการกระทำแย่ๆ ไม่ว่าจะทั้งต่อหน้า ในโลกออนไลน์ หรือจากสื่อก็ตาม
  • เด็กส่วนใหญ่รู้ว่าการแสดงความเคารพต่อคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ และรู้ว่าสามารถเคารพอีกฝ่ายได้แม้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
  • การเคารพจากการข่มขู่อาจทำให้ปฏิบัติตาม แต่ไม่ได้สร้างความเคารพต่อกันอย่างแท้จริง และความเคารพต่อกันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อยอมรับคุณค่าภายในและความเท่าเทียม
  • 97 เปอร์เซ็นต์ของเด็กๆ บอกว่า พวกเขาอยากเห็นผู้ใหญ่เคารพกันมากกว่านี้

งานวิจัยของ Anti-Bullying Alliance มูลนิธิเพื่อการต่อต้านการรังแกในอังกฤษระบุว่า ผลการสำรวจเด็กอายุ 11-16 ปีจำนวน 1,001 คน ชี้ให้เห็นว่า เด็กๆ กำลังมองเห็นผู้ใหญ่ทำแต่ตัวอย่างที่ไม่ดี ซึ่งเด็กในปัจจุบันสามารถจดจำภาพการกระทำแย่ๆ เหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะทั้งต่อหน้า ในโลกออนไลน์ หรือจากสื่อก็ตาม

97 เปอร์เซ็นต์ของเด็กๆ บอกว่า พวกเขาอยากเห็นผู้ใหญ่เคารพกันมากกว่านี้

งานวิจัยนี้เผยแพร่ใน Anti-Bullying Week งานประจำปีของ Anti-Bullying Alliance โดยเกิดขึ้นหลังจากมีรายงานเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแกในพื้นที่หลายแห่งของประเทศอังกฤษ รวมถึงในตึกรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์

ผู้ใหญ่จ๋า เคารพกันหน่อย

มาร์ธา อีแวนส์ (Martha Evans) ผู้อำนวยการของ Anti-Bullying Alliance บอกว่า “เด็กๆ จะมองดูพ่อแม่และผู้ใหญ่คนอื่นๆ เป็นแม่แบบของพฤติกรรมที่ยอมรับและสามารถเลียนแบบได้”

“ถ้าตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า เด็กๆ มองเห็นผู้ใหญ่ต่างกลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เราคงต้องถามตัวเองแล้วล่ะว่า ผู้ใหญ่จะทำอะไรเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาได้บ้าง”

“การถูกกลั่นแกล้งสามารถพลิกชีวิตของเด็กจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลย เราควรสำรวจพฤติกรรมของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเวลาอยู่ใกล้พวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำกำลังส่งสารด้านบวกเรื่องความเคารพให้พวกเขาอยู่”

งานวิจัยนี้ยังชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในสามของเด็กๆ มีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งในช่วง 6 เดือนล่าสุด

แต่เด็กๆ 98 เปอร์เซ็นต์บอกว่า การแสดงความเคารพต่อคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ และรู้ว่าสามารถเคารพอีกฝ่ายได้แม้คุณ (พ่อแม่) จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

6 วิธีสอนเด็กๆ เคารพเป็น

เด็กหญิงเคิร์สเตน วัย 10 ปีถูกสั่งห้ามขึ้นรถโรงเรียนสามวันเป็นครั้งที่สองเนื่องจากพฤติกรรมรังแกคนอื่น

แมตต์ ค็อกซ์ พ่อของเธอสั่งให้เธอเดินเป็นระยะ 5 ไมล์ (ราว 8 กม.) ไปโรงเรียนท่ามกลางอากาศหนาว ขณะที่เขาขับรถตามเธอไปและถ่ายวิดีโอไปด้วย

กว่า 63,000 ความเห็นต่อวิดีโอนี้ในเฟซบุ๊คของค็อกซ์ มีทั้งชื่นชมและตั้งคำถามว่า เธอกำลังถูกพ่อรังแกอีกทอดหนึ่งผ่านการประจานลงเฟซบุ๊คหรือเปล่า

ศาสตราจารย์โดโรธี เอสเปเลจ (Dorothy Espelage) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา นักวิจัยด้านจิตวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านการรังแกในเยาวชน กล่าวว่า อย่างน้อยพ่อของเธอก็ทำสิ่งที่ถูกคือการยอมรับว่าสิ่งที่ลูกสาวทำเป็นเรื่องผิดจริงๆ เพราะส่วนใหญ่พ่อแม่จะไม่ค่อยยอมรับกันนัก

“แต่ฉันคงแนะนำวิธีอื่นแทนที่จะเป็นการให้เดินท่ามกลางอากาศหนาวเย็น” เธอบอก “อย่างไรก็ตาม ฉันก็ดีใจที่หลายคอมเมนต์ใต้วิดีโอนั้นต้องการรู้รายละเอียดของการรังแกที่เกิดขึ้น”

ถ้าอย่างนั้นจะสอนลูกให้รู้จักการเคารพอย่างไรดี? เรามี 6 วิธีมาแนะนำ

  1. ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งวู่วามโมโห เพราะเด็กๆ อาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำไปคือการไม่เคารพกัน
  2. สอนให้เด็กๆ รู้จักชื่อของความต้องการและอารมณ์รวมถึงผลที่จะเกิดขึ้น แทนการดุด่า
  3. เคารพให้เห็นเป็นตัวอย่าง ถือเป็นการปล่อยให้พวกเขาได้มีอิสระในการตัดสินใจเองด้วย
  4. ใช้วินัยเชิงบวกแทนการลงโทษให้หลาบจำ สร้างแนวคิดเรื่องการเคารพแม้กับคนที่ทำผิด เพราะเราต่างผิดพลาดกันได้และไม่ต้องโหดร้ายต่อกัน
  5. อย่า ‘สั่ง’ ให้เคารพ แค่เป็นพ่อแม่ไม่ได้แปลว่าจะสั่งได้ทุกเรื่อง
  6. ขอโทษเมื่อทำผิด แสดงให้เห็นว่า คนที่ควรได้รับการเคารพต้องรับผิดชอบเมื่อทำผิดเสมอ

7 วิธีให้ผู้ใหญ่เป็นต้นแบบ

นิสัยให้ความเคารพก็เหมือนหลายๆ อย่าง – อยากได้ต้องให้ก่อน ดร.จอห์น ปีเตอร์สัน (John Petersen) นักจิตวิทยาครอบครัว ได้แนะนำ 7 วิธีในเว็บไซต์ Psychologytoday ให้บรรดาผู้ใหญ่ได้ลองทำ

  1. ร่วมมือกับเด็กๆ โดยสมัครใจ ให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องเสรีภาพในการแสดงความเห็น
  2. สิ่งไหนที่เด็กทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือช่วย ยิ่งทำแทนยิ่งแสดงถึงความไม่เคารพกัน
  3. ทำอารมณ์ให้คงที่ ไม่อย่างนั้นเด็กๆ จะรับรู้ว่าอารมณ์ของตัวเองสำคัญกว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว
  4. เน้นที่ ‘เกิดอะไร’ ไม่ใช่ ‘ใครทำ’ แล้วค่อยมาหาทางแก้ร่วมกัน
  5. พูดน้อยๆ แต่ชัดเจนและหมายความตามที่พูด เมื่อเคารพกันมากพอก็จะรู้ว่าเด็กๆ เข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดซ้ำ
  6. ทำให้เด็กๆ มองว่าปัญหาเกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วให้เขาลองเสนอทางออกเช่น “ตอนลูกสองคนทะเลาะกันในรถ แม่รู้สึกไม่อยากพาลูกๆ ออกมาด้วยอีกแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี”
  7. แสดงความรู้สึกจริงๆ โดยไม่จำเป็นต้องทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบการ์ตูน

ปีเตอร์สัน ยังเขียนไว้ว่า “การเคารพจากการข่มขู่อาจทำให้ปฏิบัติตาม แต่ไม่ได้สร้างความเคารพต่อกันอย่างแท้จริง และความเคารพต่อกันจะเกิดขึ้นจากการยอมรับคุณค่าภายในและความเท่าเทียม”

อ้างอิง:
Bullying: Children point finger at adults
Ohio dad makes girl walk miles to school for bullying on bus
Parenting: Respect Starts at Home
What Is Respect – 6 Highly Effective Ways To Teach Kids Respect

Tags:

ซึมเศร้าปม(trauma)กลั่นแกล้ง(bully)โซเชียลมีเดียการจัดการอารมณ์

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the trauma
    เราไม่ควรอดทนกับการ BULLY อีกต่อไป ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนากนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    ในโลกแห่งความจริง เราต่างเคย BULLY ซึ่งกันและกัน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ บัว คำดี

  • Social IssuesBook
    IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย

    เรื่อง

  • Family Psychology
    ทำไมการหวังให้ลูกมีความสุข จึงทำให้สุขภาพจิตของพ่อแม่เสีย?

    เรื่อง The Potential

‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม
Unique Teacher
26 December 2018

‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ครูพล คือครูรุ่นใหม่ ที่ใช้ฐานคิดเชิงสังคมมาออกแบบวิธีการสอนในห้องเรียน
  • ทุกคำถามของครูพล เริ่มต้นด้วยคำว่า ‘ทำไม’ โดยที่ไม่มีคำตอบถูกหรือผิดมาครอบไว้ ซึ่งทำให้เด็กกล้าคิด กล้าพูด มากขึ้นกว่าเดิม
  • ต้องสั่นคลอนความคิด-ต้องสนุก-ต้องเกิดการสนทนาระหว่างกัน 3 สิ่งที่ต้องมีตามตำราการสอนฉบับครูพล
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

แม้เพิ่งจบใหม่หมาดและก้าวขามาทำอาชีพครูได้เพียงปีครึ่ง แต่ อรรถพล ประภาสโนบล หรือ ครูพล วัย 24 ปี ครูผู้ช่วยสอนวิชาสังคมศึกษาชั้นมัธยม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ก็ได้รับตำแหน่งขวัญใจของเด็กๆ ไปแล้ว

ครูพลใช้ความหลงใหลในประเด็นสังคมของตัวเองมาเป็นสารตั้งต้นในการชวนนักเรียน เรียน-เล่น-คิด-คุย และเปิดพื้นที่อย่าง ‘อิสระ’ ให้เด็กได้ถกเถียงกันอย่างเต็มที่ ทำให้บรรยากาศห้องเรียนมัธยมที่เคยน่าเบื่อ กลายเป็นสนามเด็กเล่นที่นักเรียนใช้ปลดปล่อยความคิดของพวกเขาออกมา และทำให้วิชาสังคมที่เคยเป็นวิชาท่องจำกลายเป็นคาบสนุกสนาน เด็กๆ ตะโกนแย่งกันตอบคำถาม แบบไม่กลัวว่าจะผิดหรือถูก

พ้นรั้วโรงเรียนไป ครูพลยังเป็นหนึ่งในสมาชิก ‘กลุ่มพลเรียน’ ที่เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมาย คือ ชวนตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นการศึกษา ซึ่งอยู่บนฐานความคิดด้านสังคม เพื่อกระทุ้งให้เด็กหรือครูเกิดความคิดบางอย่าง

ทำไมถึงมาเป็นครู

ย้อนไปในช่วงก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ได้รู้สึกอยากเป็นครูเลยด้วยซ้ำ เพราะเราเติบโตมาเหมือนเด็กมัธยมปลายทั่วไป ไม่ได้มีความฝัน หรือคิดว่าเรียนจบแล้วจะต้องทำอะไรดี พอหันไปรอบๆ ตัว ญาติพี่น้องต่างรับราชการครูกันหมด งั้นเราลองดูก็ได้ แต่ก็เกิดคำถามต่อว่า ‘แล้วจะเรียนครูไปสอนอะไร?’ เลยถามตัวเองว่าเราชอบอะไรบ้าง ตอนนั้นรู้แค่ว่าเราชอบเล่นเกม เพราะเกมมันพาเราไปเจอกับอะไรใหม่ๆ ที่อยู่ในโลกเลยรู้สึกว่าเรียนรู้สังคมผ่านเกมเยอะ ประกอบกับตอนนั้นชอบดูข่าวมาก โดยเฉพาะข่าวกีฬาก็เลยคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่เราชอบ และถ้าจะเป็นครูก็คงต้องเป็นครูที่สอนวิชาสังคม

แต่พอได้เข้ามาเรียนครูในรั้วมหาวิทยาลัยจริงๆ เรากลับเจออะไรบางอย่าง เจอกับระบบโซตัส ระบบรับน้อง มันจึงทำให้เราตั้งคำถามต่อว่า ‘คณะที่สอนครู ทำไมถึงผลิตครูแบบนี้ เรากำลังจะสร้างครูแบบนี้ออกไปจากสังคมจริงหรือ?’ เหตุการณ์นี้มันทำให้เรามองย้อนกลับไปถึงการศึกษาที่ผ่านมาหมดเลย ว่าเราเคยเจอกับความรุนแรงจากครู เด็กต้องเจอกับความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชั้นเรียน ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้นในระบบการศึกษา ซึ่งสิ่งที่เราเจอคือการผลิตซ้ำความรุนแรง สุดท้ายแล้วมันก็จะส่งผลให้ห้องเรียนในอนาคตข้างหน้ามันก็จะยังเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นอีกแน่นอน

ฉะนั้นเมื่อเราเริ่มสนใจว่าเราอยากเป็นครูแล้ว จึงถามตัวเองว่า ‘แล้วเราจะเป็นครูแบบไหน การศึกษาแบบไหนที่เราอยากเห็นในอนาคต’ เราก็จะทำแบบนั้นให้ได้

เมื่อเริ่มจากความไม่รู้ จนได้มาเป็นครูจริงๆ มันเป็นอย่างที่คิดไหม

อย่างหนึ่งที่คิดได้หลังจากเข้ามาเป็นครู คือการย้ำว่าการศึกษามันสำคัญ และมันเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากสังคม ถ้าเราอยากเห็นสังคมเป็นแบบไหน เราต้องสร้างการเรียนการสอนให้เป็นแบบนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมอยากเป็นครูแน่ๆ คือความรู้สึกเจ็บปวดจากคนในโลกใบเก่า ที่เคยทิ้งเราให้จมปลักอยู่ในโลกใบนี้มาตลอด ฉะนั้นการศึกษาที่พอจะสร้างความหวังได้ คือเราต้องสร้างการศึกษาในโลกใบใหม่ให้เหมาะกับคนรุ่นนี้มากกว่า เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดและรู้สึกถูกกักขังเหมือนที่เราเคยเจอ

ดังนั้นเมื่อถามว่าก้าวขาเข้ามาแล้วจะทำมันให้เป็นอย่างที่หวังไว้ได้ไหม…ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง แต่เราตั้งเป้ากับมันสุดๆ ได้ และค้นพบว่าการสอน คือการกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะทดลอง กล้าที่จะทำ ถึงแม้มันจะไม่เป็นไปตามที่เราหวัง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นในการที่เราจะลุยกับมันดู

แล้วภาพที่ครูพลหวังไว้ เป็นภาพแบบไหน

ภาพเด็กที่กล้า กล้าเริ่มคิดอะไรด้วยตัวเอง ย้อนไปตอนฝึกสอน ตอนนั้นคาดหวังไว้สูงมากว่าเด็กจะต้องแย่งกันยกมือตอบคำถาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กนั่งนิ่ง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ นักเรียนบอกเลยว่า ‘ครูอย่าถามเยอะ เฉลยมาเลย ไม่ต้องถามแล้วบอกคำตอบมา’ มันเลยทำให้เรากลับมาทบทวนว่า เด็กอยู่ในวัฒนธรรมแบบนี้มานานแค่ไหน ภาพที่เราหวังมันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นภายในวันเดียว หรือเดือนเดียว เราจึงอยากค่อยๆ เติมภาพตรงนั้นให้มันเกิดขึ้นได้

แต่การเป็นครู มันไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน ทำไมครูพลจึงยังอยากทำอยู่

เพราะผมอยากเห็นสังคมมันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเครื่องมือที่จะเคียงข้างผมเพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ คือการศึกษา เรารู้สึกว่าสิ่งนี้จะเป็นตัวสร้างนักเรียน สร้างคนรุ่นใหม่ ให้เติบโตไปออกแบบสังคมของพวกเขาเองได้ นี่จึงเป็นจุดที่เราปักหลักและชัดเจนกับมันว่าเราเลือกที่จะทำต่อ แต่ถ้าถามว่าเข้ามาในระบบครูมันเจ็บปวดขนาดนั้นไหม มันก็มีบ้าง แต่เราก็เลือกที่จะหาวิธีต่อรอง หรือหาช่องทางที่ทำให้เราอยู่ให้ได้แค่นั้นเอง

สมัยตอนเรียนครู คณะมักจะสอนว่าครูคือเรือจ้าง ต้องเป็นพ่อพิมพ์-แม่พิมพ์ ให้นักเรียน แต่เราอาจจะมองต่างจากคนอื่น คนเป็นครูจะต้องเป็นคนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงสังคม อาชีพครูก็เป็นหนึ่งในคนทำงานด้านการเมือง

ดังนั้นห้องเรียนมันไม่ใช่แค่พื้นที่เอาไว้ใช้สอนหนังสือแล้วจบไป แต่ห้องเรียนมันคือสนามต่อสู้ทางความคิดที่จะปะทะเพื่อทำให้นักเรียนได้เห็นทางเลือกใหม่ๆ ในชีวิตตัวเอง

พาเขาไปเห็นคำตอบ เห็นวิธีคิดใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งแนวคิดแบบนี้ จึงทำให้เกิดกลุ่มพลเรียนขึ้นมา

กลุ่มพลเรียนคือใคร แล้วทำอะไรบ้าง

เริ่มจากเมื่อ 3 ปีก่อน ผมและเพื่อนๆ ที่เจอความเจ็บปวดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรารู้สึกเหมือนกันว่า สิ่งที่เราเจอมาตอนเรียนมันไม่ทำให้การศึกษาไปเชื่อมกับสังคมได้เลย บวกกับเราชอบเรื่องสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เหมือนกันอยู่แล้ว เราก็เลยจัดตั้งกลุ่มพลเรียนขึ้นมา ซึ่งเป็นการผนวกกันระหว่างคำว่า ‘พลเมือง+นักเรียน’

เพราะมองว่านักเรียนเป็นพลเมืองหนึ่งในโรงเรียน เพียงแต่พลเมืองคนนี้อยู่ในรัฐโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนไทยมักจะไม่เปิดให้เด็กตั้งคำถาม เราจึงพยายามฉายภาพให้เห็นว่า เรื่องการศึกษาสำคัญและมันต้องพูดกันบนฐานคิดเชิงสังคมด้วย

ตอนนี้ในกลุ่มมีประมาณ 5 คนหลักๆ แต่ก็จะมีสมาชิกอีกหลายๆ คนที่วนเวียนกันเข้ามา ซึ่งทั้งหมดล้วนทำอาชีพครูเหมือนกัน

ส่วนภารกิจหลักของกลุ่มพลเรียน อย่างที่บอกว่าการศึกษามันคือเรื่องอำนาจ มีไว้เพื่อสร้างให้คนคล้อยตามและตกอยู่ในวิธีคิดที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นความรู้ที่ส่งผ่านในระบบการศึกษาจึงไม่ใช่เรื่องบริสุทธิ์ มันยังมีวิธีคิดบางอย่างที่ทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง เราจะเห็นได้จากแบบเรียนสังคมศึกษาที่มักไม่ค่อยพูดเรื่องความเหลื่อมล้ำหรือเรื่องในสังคมอื่นๆ แบบตรงไปตรงมาสักเท่าไร พูดแต่เรื่องเดิมๆ

กลุ่มพลเรียนจึงช่วยกันรื้อแบบเรียน ปรับวิธีสอนกันใหม่ ทำให้การศึกษาไปเป็นคำตอบในมิติอื่นๆ ของสังคมได้

อย่างที่สองคือ เราเชื่อว่า ‘ครูต้องเปลี่ยนวัฒนธรรม’ ต่อให้ระบบโครงสร้างใหญ่มันจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าครูไม่ได้เปลี่ยนตาม การพัฒนาก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ฉะนั้นถ้าเราอยากเห็นภาพสังคมแบบไหน ก็ต้องพยายามสร้างครูให้มีวัฒนธรรมแบบนั้น

ที่ผ่านมาก็มีการจัดเวิร์คช็อปให้กับนักศึกษาครูที่สนใจบ้าง แล้วก็จัดกระบวนการให้พื้นที่พวกเขาได้ถกเถียงกันเรื่องสังคมในมิติต่างๆ รวมถึงขับเคลื่อนทางพื้นที่ออนไลน์ไปด้วย นั่นคือการสร้างกลุ่ม ‘ครูปล่อยของ’ เพื่อแลกเปลี่ยนและแชร์ไอเดียกัน ครูแต่ละคนสามารถหยิบยืมวิธีการหรือไปต่อยอดเป็นวิธีการสอนของตัวเอง

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มพลเรียนคืออะไร

ครูที่เข้ากิจกรรมหลายคนก็นำเอาสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนกันในวงไปปรับใช้จริง เช่น การออกแบบห้องเรียนและการสอนใหม่ให้มีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากหวังให้ครูเปลี่ยนความคิดของตัวเองโดยสอดคล้องไปกับวัฒนธรรมแบบใหม่ๆ แล้ว ยังแพลนไว้ว่าในอนาคตอยากสร้างเครือข่ายให้ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น

ยกตัวอย่างการสอนแบบพลเรียน

สมมุติสอนเด็กเรื่องภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดยให้ปักหมุดแผนที่ว่าเราอยู่ตำแหน่งไหนในประเทศไทย แล้วค่อยๆ ไล่คำถามว่าทำไมเรามาอยู่ที่นี่ จากนั้นก็สอนเรื่องของการโยกย้ายของคน ความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ หรือการชวนคุยเรื่องวัฒนธรรม ให้เด็กออกมาแสดงภาพว่าแบบไหนเรียกว่าวัฒธรรมที่ดี ดีเพราะอะไร แล้ววัฒนธรรมที่ไม่ดี ไม่ดีจริงหรือ?

หรืออย่างเช่น การหยิบยกประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมาสอน พานักเรียนตั้งคำถามว่า คนดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ เป็นพลเมืองที่ดีไหม?

มันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เราไม่มีทางเจอเรื่องแบบนี้ในหนังสือเรียน แต่เรากลับเจอเหล้าเบียร์ในสังคมจริง จึงอยากทำให้ห้องเรียนกลายเป็นพื้นที่สั่นสะเทือนทางความคิด ทำให้เด็กไม่สามารถเชื่อคำตอบแบบเดิมที่เคยเชื่อได้ อย่างน้อยทำให้เขากลับไปตรวจสอบความเชื่อของตัวเอง ซึ่งฟังดูเหมือนจะยาก แต่วิธีการมันไม่ยากเลย แค่เปิดพื้นที่ให้เขาได้ถกเถียงกัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเจอในอนาคตอยู่แล้ว

ตำราการสอนฉบับครูพล จะต้องสอนแบบไหน

สามสิ่งที่ผมคิดก่อนจะออกแบบการสอน คือ

1. ต้องสั่นคลอนความคิดนักเรียนให้ได้

หมายความว่า เราไม่ได้คิดแทนพวกเขา แต่เราพยายามที่จะเสนอคำตอบในแบบต่างๆ ให้เขาได้ขบคิด เมื่อนักเรียนเสนอความคิดมา เราจะเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับความคิดเขา แหย่เขาด้วยวิธีคิดต่างๆ ดังนั้นเมื่อจบจากห้องเรียนไป สุดท้ายผมก็จะไม่มีคำตอบที่ถูกให้ เพื่อให้พวกเขาได้ลองคิดต่อไปเรื่อยๆ

2. ต้องทำให้สนุก

ที่ผ่านมาเด็กต้องนั่งจดตามที่ครูสอน หรือทำใบงานส่งแล้วก็จบไป ไม่ได้สร้างการมีส่วนร่วม เด็กไม่สนุก ไม่ตื่นเต้น ความสนุกไม่ได้แปลว่าเด็กจะต้องลุกขึ้นมาเต้นมาร้อง มันทำให้สนุกในแบบอื่นได้ สนุกในความคิด สนุกในการเรียนรู้

3. ต้องเกิดการสนทนาระหว่างกัน

เมื่อไรก็ตามที่นักเรียนได้แลกเปลี่ยนกันเอง รวมถึงพูดคุยกับครู จะทำให้เขาได้เห็นคำตอบซึ่งกันและกัน ซึ่งการออกแบบการเรียนการสอนเช่นนี้ ไม่ได้ทำได้แค่วิชาสังคมเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะวิชาเลข วิทย์ ก็ทำได้หมด ลองออกแบบการสอนให้ไปท้าทายความคิดของพวกเขา ชวนเขาให้กล้าคิดแบบอื่น อธิบายด้วยวิธีใหม่ๆ ต่างจากเดิม

การสอนแบบนี้ มีอุปสรรคหรือเจอแรงปะทะบ้างไหม

ไม่เคยนะ เราสอนเรื่องแบบนี้ในพื้นที่ของโรงเรียนรัฐได้ มีความยืดหยุ่นกับครูพอสมควร ทำให้เราดีไซน์บทเรียนเองได้เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่าง เมื่อปีที่แล้วสอนวิชาอาเซียน โดยปกติตามตำราจะต้องสอนเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติ ธงประจำชาติ แค่นั้นก็จบ แต่เรากลับออกแบบให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ รวมไปถึงเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ และเราไม่ได้คิดไปคนเดียว พยายามคุยกับครูผู้สอนคนอื่นๆ ด้วย เพื่อออกแบบร่วมกัน แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่รวมๆ แล้ว เรายังดีไซน์การสอนขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองได้

แล้วครูพลมีวิธีรักษาสมดุลอย่างไร ไม่ให้ความคิดของเราไปครอบงำเด็ก

ก่อนสอนทุกครั้ง เราต้องทำการบ้านเยอะมาก มันมีวิธีคิดอะไรบ้าง แล้วพยายามนำเสนอออกไปให้เยอะที่สุด ถ้าเราไปสอนว่าสิ่งนี้ไม่ดี เด็กก็จะไม่ได้คิดหรือตกตะกอน

“ทุกคำถามเริ่มต้นด้วยคำว่าทำไม ทำไมถึงคิดแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้เพราะอะไร โดยที่ไม่มีคำตอบถูก-ผิด จะทำให้เขากล้าคิด กล้าพูด”

‘ครู แล้วสรุปมันคืออะไร’
‘ครู คำตอบที่ถูกคืออะไร’
‘ครู เฉลยหน่อย’

ผมจะรู้สึกสนุกทุกครั้งเมื่อจบคาบเรียน เมื่อเห็นเด็กเถียงกันไปมาว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกกันแน่ เพราะเมื่อไรที่เกิดประโยคเหล่านี้ขึ้นมา แปลว่าเขาเริ่มไม่ได้เชื่อความคิดแบบเดิมอีกแล้ว หรือกำลังชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่

โมเดลการสอนแบบนี้มาจากไหน

น่าจะเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย การตั้งคำถาม-โยนคำตอบ มันไม่ใช่วิธีใหม่ จะเห็นได้ว่าวิธีการไม่ได้ต่างจากการเรียนเลคเชอร์ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เมื่อมาปรับใช้ในห้องเรียนเด็กมัธยม อาจจะไม่คุ้นชิน เพราะวิธีเดิมเด็กมักเรียนโดยการให้เปิดหนังสือไปทีละหน้า ทีละหน้า มากกว่า

การดีไซน์บทเรียนใหม่ๆ แบบนี้ ทำได้ในโรงเรียนอื่นไหม

ผมคิดว่าไม่ต่างกัน เพียงแค่เป้าหมายต้องเป็นไปตามตัวชี้วัดของกระทรวง เราออกแบบมันใหม่ ผมคิดว่าโรงเรียนรัฐ ก็มีพื้นที่แบบนี้ให้ครูเข้าไปต่อรองและใช้พื้นกับมันได้อยู่แล้ว อย่าไปคิดว่าเขาจะปิดกั้น

มีคนถามบ่อยว่า ‘ทำไมครูพลไม่สอนตามหนังสือ’

สิ่งที่อยู่ในหนังสือคือเนื้อหา ทุกครั้งที่เราออกแบบเราต้องไม่ทิ้งเนื้อหาหรือทิ้งตัวชี้วัด เพียงแค่ตีความมันใหม่ เช่น กระทรวงบอกว่าเด็กจะต้องสามารถอธิบายวัฒนธรรมได้ ซึ่งวัฒนธรรมตามตำรามักจะเป็นเรื่องดีๆ เสมอ แต่เราพาเด็กไปเข้าใจแก่นของวัฒนธรรมในแบบอื่นๆ ไม่ฟันธงไปเลยว่าวัฒนธรรมแบบนี้มันสูงหรือต่ำ แต่เราพยายามทำให้พวกเขาเห็นว่าแบบนี้ก็เป็นวัฒนธรรมได้เหมือนกัน

เมื่อเข้ามาสอนในโรงเรียนรัฐ มันดับไฟในตัวเราไหม

อย่าไปมองแบบนั้น โรงเรียนรัฐบาลเป็นพื้นที่เด็กสามารถเข้าถึงได้สำหรับเด็กทุกคน เพราะฉะนั้นถ้าเราตั้งใจอยากจะสร้างการศึกษาที่ดี ก็ไม่ใช่ไปสร้างแค่เฉพาะกับคนบางกลุ่ม แต่เราต้องสร้างการศึกษาให้เป็นของทุกคนให้ได้ แต่ถ้าถามว่ามีอุปสรรคอะไรไหม ก็คงจะเป็นการออกแบบบทเรียน ที่ให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วม บางครั้งก็ไม่เวิร์ค นักเรียนไม่สนุกด้วย ก็ต้องปรับต่อไป

ถ้าให้ ‘ครูพล’ นิยามตัวเอง จะนิยามว่า

อืม คงเป็นครูที่ประเทศนี้ห้ามไม่ให้มี (หัวเราะ) ไม่หรอก เราคงเป็นครูขบถคนหนึ่ง ที่กล้าจะตั้งคำถาม กล้าขบถกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราอยากเป็นคนที่อยู่ตรงข้ามกับความคิดบางอย่าง หรือสอนให้เด็กๆ เห็นว่าคิดต่างไม่ใช่เรื่องผิดเท่านั้นเอง

Tags:

อรรถพล ประภาสโนบลครูระบบการศึกษาประชาธิปไตยกลุ่มพลเรียน

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อครู คือ ผู้ทำงานทางการเมือง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
Family PsychologyLearning Theory
25 December 2018

4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

“เขาอยากมีชีวิตที่มีความหมาย อยากเป็นคนที่เก่ง” คือเป้าหมายของวัยรุ่น (15-21 ปี)

อะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนี้? ชวนทำความเข้าใจผ่าน Senses ทั้งสี่ และ Sense ในที่นี้หมายความถึง ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ เป็น sensory ในระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ (จิตวิญญาณ) เพื่อประกอบขึ้นเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง

พูดง่ายๆ คือ เรา(พ่อแม่) เลี้ยงดูเขาแบบไหน เขาก็จะเติบโตมาอย่างนั้น

โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น เราจำเป็นต้องเข้าใจผ่าน 4 Senses นี้เพื่อเลี้ยงดูเพื่ให้ ‘เพื่อน’ ในอกคนนี้เติบโตอย่างแข็งแรง

ทั้งหมดนี้อธิบายโดย ‘ครูณา’ อังคณา มาศรังสรรค์ นักการศึกษา กระบวนกร และผู้ก่อตั้งมูลนิธิพื้นที่ปัญญ์รัก (โรงเรียนพ่อแม่ลูก)

1.Sense of Hearing : ‘การฟัง’ ไม่ใช่แค่การได้ยิน แต่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้

การฟังสร้างความเข้าใจในการเรียนรู้ เคล็ดลับของเด็กที่เรียนเก่งเพราะเข้าใจไม่ใช่ท่องจำ เพราะฟังเก่งและฟังอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งปูพื้นตั้งแต่วัย 0-7 ปี

2.Sense of Language : สื่อสารอย่างมีศักยภาพ เข้าใจลึกซึ้งกว่าสิ่งที่อ่านและได้ยิน

ภาษา=เสรีภาพในวัยเด็ก คนที่ใช้ภาษาเสียดสี เจ็บแสบ มักขาดเสรีภาพในวัยเด็ก ต่างจากคนอ่อนโยน ต่อรองเพื่อสื่อสารความต้องการของตัวเองได้ เพราะเขาใช้ภาษาบอกความในใจได้โดยไม่ถูกปิดกั้น คนที่มีเซนส์นี้จะได้ยินลึกกว่าสิ่งที่อธิบาย

3.Sense of Thought : ถูกให้ชีวิตมาอย่างไร เขาก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น

มีมุมมองว่าเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร เกิดมาเพื่ออะไร เซนส์นี้สะท้อนการเลี้ยงดูที่ผ่านมา ปัญหาบางอย่างในตัวเด็กจะสะท้อนตัวพ่อแม่ว่าเวลาอยู่กับลูกเป็นแบบไหน

4.Sense of Ego : มุมมองชีวิตเป็นอย่างไร เขาจะมีอีโก้แบบนั้น

เด็กทุกคนควรมีอัตลักษณ์ หรือสิ่งที่บอกว่านี่คือ ‘ฉัน’ และอยากให้คนอื่นยอมรับ อีโก้จึงไม่ใช่สิ่งลบ อีโก้ของเด็กบางคนคือความพิเศษ ถ้าไม่รีบด่วนสรุปว่าไม่ดี

ติดตามอ่านบทความ The Twelve Senses ทั้งหมดที่นี่
1.สำหรับ 0-7 ปี EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ 
2.สำหรับ 8-14 ปี EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
3.สำหรับ 15-21 ปี EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ 

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาThe Twelve Sensesอังคณา มาศรังสรรค์พ่อแม่ปฐมวัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Learning TheoryEarly childhood
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เกรตา ธุนเบิร์ก: โดดเรียนเพื่อต้นไม้ ใบหญ้า และโลก
Education trend
24 December 2018

เกรตา ธุนเบิร์ก: โดดเรียนเพื่อต้นไม้ ใบหญ้า และโลก

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • เกรตา ธุนเบิร์ก คือ สาวน้อยวัย 15 ที่ใช้วิธีโดดเรียน เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ต้นไม้ ใบหญ้า แสงแดด สายลมและโลก
  • ตรงกันข้าม เกรตาชอบไปโรงเรียนและรักการเรียน แต่เธอเชื่อว่า ในฐานะนักเรียน การโดดเรียนเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
  • เกรตาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคออทิสติกและ A.D.H.D. ถึงอย่างนั้น เธอกลับบอกว่า โรคนี้ช่วยให้เธอมองเห็นโลกในมุมที่ต่างจากผู้อื่น

“กว่า 25 ปีแล้วที่ผู้คนจำนวนมากมาร่วมประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติเพื่อเรียกร้องให้ผู้นำแต่ละประเทศหยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แน่นอนว่าคำขอให้หยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดูจะไม่ได้ผล ดังนั้นวันนี้ฉันจะไม่ขอให้ผู้นำแต่ละประเทศใส่ใจอนาคตของเรา แต่ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกพวกเขาว่าการเปลี่ยนแปลง (ผลกระทบที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน) ได้ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่ว่าพวกคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม”

คือส่วนหนึ่งจากสุนทรพจน์ของ เกรตา ธุนเบิร์ก​ (Greta Thunberg) จากงานประชุมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 (United Nations Climate Change Summit: COP 24) ประเทศโปแลนด์ เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

แน่นอนว่าสิ้นถ้อยคำของเกรตาในวันนั้น ทั่วโลกก็พากันหันสปอตไลท์มาจับจ้องที่เธอทันที เมื่อสิ่งที่เกรตาพูดทั้งถูกต้อง บาดลึก โดนใจและตอกผู้ใหญ่หลายคนให้ต้องหันหน้าหนี หลบสายตานิดๆ เมื่อเธอคือนักรณรงค์สิ่งแวดล้อมวัยเพียง 15 ปี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกรตาเพิ่งสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ใช่การรณรงค์ครั้งแรกๆ ของเธอ เพราะแท้จริงแล้วเกรตาเริ่มโซโล่รณรงค์ เดินหน้าทวงคืนความยุติธรรมให้ต้นไม้ ใบหญ้า แสงแดด สายลมหรือโลกสีเขียวทั้งใบด้วยตัวเองตั้งแต่สิงหาคมที่ผ่านมา เหมือนกับประโยคที่ใครสักคนเคยพูดไว้ว่า โลกสวยด้วยได้ด้วยมือเรา

โลกสีขาวและสีดำที่ถูกย้อมเป็นสีเขียวของเกรตา

เกรตา ธุนเบิร์ก เด็กสาวชาวสวีเดน มีคุณพ่อเป็นนักแสดงชื่อ สวานเต ธุนเบิร์ก (Svante Thunberg) คุณแม่ เมเลนา เอิร์นแมน (Malena Ernman) เป็นนักร้องโอเปราที่มีชื่อเสียงและมีปู่เป็นนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี ค.ศ. 1903 อย่าง สวานเต อาร์เรเนียส (Svante Arrhenius)

จุดเริ่มต้นที่ส่งผลให้เธอทุ่มความสนใจทั้งหมดจนเกือบถึงขั้นคลั่งไคล้ในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นเมื่อตอนเกรตาอายุ 9 ขวบ จากความสงสัย ใคร่รู้แปรเปลี่ยนเป็นเสาะหาคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจว่าทำไม เพราะอะไรและอย่างไรอย่างต่อเนื่องกับหลายๆ ประเด็นอย่างไม่มีทีท่าเบื่อหน่ายตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา

ส่วนหนึ่งเกรตาบอกเล่ากับสำนักข่าว The New Yorker ว่าเธอสามารถจดจ่อกับสิ่งเดิมๆ ได้เป็นชั่วโมง นั่นคือหนึ่งในเงื่อนไขพิเศษจากโรคออทิสติก เกรตาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคออทิสติกและ A.D.H.D. ถึงอย่างนั้น เธอกลับกล่าวว่า โรคนี้ช่วยให้เธอมองเห็นโลกในมุมที่ต่างจากผู้อื่น

“ฉันมักมองทุกอย่างเป็นสีขาวและสีดำ เวลามองไปยังคนที่มีอำนาจ ฉันมักสงสัยว่าทำไมเขาถึงชอบทำให้เรื่องมันซับซ้อน อย่างถ้าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถหยุดยั้งได้เราก็ควรทำ มันคือสีขาวและสีดำ มันไม่มีสีเทาในการเอาชีวิตรอด”

นับจากวันนั้นที่เธอตระหนักและรับรู้ถึงผลกระทบที่ใหญ่หลวงจากสภาวะโลกร้อน เกรตาก็หยุดบริโภคเนื้อสัตว์ หยุดซื้อทุกอย่างที่ไม่จำเป็นตลอดทั้งปี 2015 เธอยังเลิกเดินทางด้วยเครื่องบิน และในปีถัดมาครอบครัวของเกรตาก็ติดตั้งแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ และปลูกผักรับประทานเอง

นักเรียนแต่ตัว หัวใจคือนักรณรงค์สิ่งแวดล้อม

สิงหาคมที่ผ่านมา ระดับการต่อสู้เพื่อประเด็นสิ่งแวดล้อมของเกรตาได้ทวีคูณขึ้น เมื่อเธอเริ่มการโซโล่รณรงค์เรียกร้องให้นักการเมืองในสวีเดนตระหนักถึงผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน เกรตาใช้วิธีประท้วงเงียบๆ ด้วยการโดดเรียนไปนั่งที่หน้าอาคารรัฐสภาสวีเดนเป็นเวลาสามสัปดาห์ หนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้ง สว. จะเริ่มขึ้นในวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตอนแรกเกรตาเล่าว่า เธอไม่ได้ตั้งใจจะมาคนเดียวแต่เมื่อไม่มีเพื่อนมาด้วยจึงจำเป็นต้องฉายเดี่ยว

สิ่งที่เกรตาทำได้สร้างความสงสัยและความสนใจให้กับผู้ใหญ่ที่เดินผ่านไปผ่านมาซึ่งส่วนใหญ่คือผู้คนที่ทำงานอยู่ในอาคารรัฐสภา เธอได้แลกเปลี่ยนความคิดและมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวกับพวกเขา แน่นอนว่าทุกคนต่างพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ ก่อนจะบอกให้เธอกลับไปทำหน้าที่ของเธอ เรียนหนังสือเสียจะดีกว่า ทั้งยังนำอาหารหรือขนมมาให้เธอรับประทาน

แน่นอนว่าคุณพ่อและคุณแม่เกรตา แม้จะมองว่าสิ่งที่ลูกตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ก็ไม่ได้เห็นชอบกับการโดดเรียน เกรตาจึงเปลี่ยนเป็นสี่วันต่อสัปดาห์และปัจจุบันคือทุกวันศุกร์แทน

ใช่ว่าเธอจะไม่ชอบเรียนหนังสือ ตรงกันข้าม เกรตากล่าวว่าเธอชอบโรงเรียนและการเรียนหนังสือ เพียงแต่ในฐานะที่เธอเป็นนักเรียน สิ่งเดียวที่สามารถกระตุ้นและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้คือ การโดดเรียน

“ในความคิดของฉัน การเลือกตั้งไม่ได้สำคัญขนาดนั้น มันไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะหายไปเมื่อพรรคใดพรรคหนึ่งถูกเลือกมากที่สุด แต่การเมืองจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าวต่อพวกเรา – แน่นอนว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในวันนี้แต่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบมันเพราะเรากำลังอยู่ในวิกฤติ”

โลกของเกรตา = โลกของคนรุ่นใหม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกรตากล่าวคือความจริง เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้วใช่ว่าจะถูกแก้ไขได้เพียงวันเดียวหรือคนเพียงคนเดียว ถึงอย่างนั้น เธอก็ได้สร้างพลัง ส่งเสียงของตัวเองให้ดังขึ้นกว่าเดิม เมื่อนักเรียนกว่า 20,000 คน จาก 270 เมืองทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร เบลเยียม และญี่ปุ่น ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการรณรงค์ของเธอ ไม่ว่าจะด้วยวิธีโดดเรียนแบบเดียวกับเธอหรือออกมาเดินขบวนตามเมืองของพวกเขาเอง ส่งผลให้เกรตาได้รับความสนใจมากขึ้นและได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประชุม COP 24 ประเทศโปแลนด์ ร่วมกับตัวแทนจาก 200 ประเทศทั่วโลก

เพียงไม่กี่นาทีที่คลิปวิดีโอสุนทรพจน์ของเกรตาถูกถ่ายทอดลงโซเชียลเน็ตเวิร์ค เธอกลายเป็นคนดังในชั่วพริบตา พร้อมกับสารที่เธอพยายามส่งออกไปเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนได้ถูกขยายให้กว้างกว่าเดิม จะเรียกว่าประสบความสำเร็จคงยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะเกรตายังคงก้าวหน้ายืนหยัดสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยจะใช้เวลาทุกวันศุกร์นั่งประท้วงที่หน้ารัฐสภาสวีเดนจนกว่ารัฐบาลจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

“ถ้าฉันมีอายุ 100 ปี นั่นหมายความว่าฉันจะอยู่ถึงปี 2103 แน่นอนว่าผู้ใหญ่ส่วนมากคิดถึงแค่ปี 2050 เท่านั้น แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันยังคงใช้ชีวิตอยู่และอาจครึ่งหนึ่งด้วย ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำหรือไม่ทำในตอนนี้จะส่งผลต่อชีวิตของฉันต่อจากนี้ ชีวิตของเพื่อนฉัน ลูกฉันและหลานของฉัน

เวลาของเรา (มนุษยชาติ) กำลังหมดลง ความล้มเหลวเท่ากับภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงกำลังขยายใหญ่ขึ้น เราจำเป็นต้องหาวิธีการแก้ไข โดยเฉพาะประเทศร่ำรวยอย่างสวีเดนหรือออสเตรเลีย เมื่อผู้ใหญ่ยังคงเพิกเฉยต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นว่าเรา (คนรุ่นใหม่) จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากวันนี้”

อ้างอิง:
The Fifteen-Year-Old Climate Activist Who Is Demanding a New Kind of Politics
15-Year-Old Activist Greta Thunberg Schooled World Leaders on Climate Change at a United Nations Summit
‘Our leaders are like children,’ school strike founder tells climate summit
I’m striking from school to protest inaction on climate change – you should too

Tags:

เกรตา ธุนเบิร์กสิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climate

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Social Issues
    ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    #SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

เลี้ยงลูกด้วยจุดแข็ง อย่าเสียเวลาไปกับข้อผิดพลาด นี่แหละพ่อแม่สายสตรอง
Family Psychology
21 December 2018

เลี้ยงลูกด้วยจุดแข็ง อย่าเสียเวลาไปกับข้อผิดพลาด นี่แหละพ่อแม่สายสตรอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • พ่อแม่อย่ามัวเสียเวลาไปจมอยู่กับข้อผิดพลาดของลูก จงมองหาจุดแข็งของเขาแล้วพัฒนาต่อ
  • จุดแข็งของเด็กมี 2 ประเภทคือ ด้านพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ (talents) และ คุณลักษณะ (character) ซึ่งพ่อแม่ควรจะให้ความสำคัญทั้งสองสิ่งควบคู่กันไป
  • ชื่นชม–จดบันทึก–จัดแผนผัง–ถามตรงๆ ด้วย 4 วิธี พ่อแม่ช่วยพัฒนาจุดแข็งของลูกได้

เลิกจู้จี้ขี้บ่น พ่อแม่สายสตรองยุคใหม่ต้องช่วยลูกสร้างและพัฒนาจุดแข็ง

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมพ่อแม่จึงมักมองเห็นพฤติกรรมที่น่าเป็นกังวลในตัวลูก มากกว่าพฤติกรรมที่ดีของลูก? ทำไมมันถึงยากนักที่จะเลิกวิจารณ์ จู้จี้ ขี้บ่น และเป็นกังวล?

ตอบได้ไม่ยาก เพราะสมองของเราถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างนั้น

สมองมนุษย์มักชี้ชวนให้มองเห็นข้อผิดพลาดมากกว่าข้อดี มองสิ่งที่ทำให้รู้สึกหัวเสียได้ไวกว่าสิ่งที่ทำให้จิตใจเบิกบาน ไม่ต่างจากเวลามองกระจก เรามักมองไปเจอคราบฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเล็กๆ ที่เกาะติดอยู่ หากโฟกัสมองมันอย่างนั้นจะรู้สึกหงุดหงิดใจ ทั้งที่กระจกส่วนที่เหลือยังคงเปิดเผยให้เห็นวิวอีกด้านหนึ่งได้อย่างชัดเจน

พฤติกรรมตามธรรมชาตินี้ ส่งผลไปถึงการเลี้ยงลูก เป็นเรื่องไม่ง่ายที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะมองข้ามหรือหยุดตำหนิพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกตาต้องใจของลูกบทสรุปจึงมักจบลงด้วยความโมโหแล้วมีปากเสียงกันในที่สุด

“ลูกโกรธ พ่อแม่อึดอัดใจ ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่า…ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันเลย”

ลีอา วอเตอร์ส (Lea Waters) นักจิตวิทยา ประธานสมาคมจิตวิทยาเชิงบวกนานาชาติ (International Positive Psychology Association) ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษา การอบรมเลี้ยงดูลูก และการจัดการองค์กรเชิงบวก

นอกจากนี้เธอยังเป็นนักพูด นักวิจัย และนักเขียน ผู้เขียนหนังสือ ‘The Strength Switch: How the New Science of Strength-Based Parenting Can Help Your Child and Your Teen to Flourish’ หนังสือที่พูดถึงวิทยาการการเลี้ยงดูลูกให้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ด้วยการพัฒนาจุดแข็ง เรียกพฤติกรรมนี้ว่า ‘Dirty Window Syndrom’ หรือ ‘โรคหน้าต่างสกปรก’ กลไกการเอาตัวรอดของมนุษย์ที่มีติดตัวมาโดยธรรมชาติ สัญชาตญาณที่ทำให้เราเลือกมองปัญหาหรือภัยร้ายในสภาพแวดล้อมรอบตัว มากกว่าสถานการณ์ที่ดีหรือปกติ

เมื่อเป็นเรื่องธรรมชาติที่อาจสร้างปัญหา แล้วผู้ปกครองควรทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนวิตกจริตและจู้จี้กับลูกจนเกินเหตุ?

ข่าวดีคือวิทยาการการเรียนรู้ได้ศึกษาพบว่า หากพ่อแม่ยกความสนใจไปให้ความสำคัญกับจุดแข็งของลูกแทนการโฟกัสไปที่พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ได้อย่างใจ (มองส่วนที่สะอาดของกระจกแทนการมองคราบหรือร่องรอยเปรอะเปื้อน) การเปลี่ยนมุมมองนี้จะช่วยลดความวิตกกังวลของพ่อแม่ แถมยังช่วยสร้างคุณลักษณะให้ลูกมีความยืดหยุ่นและเป็นคนมองโลกในแง่ดีได้ เพราะไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากความขัดแย้งกับพ่อแม่

วอเตอร์ส ยกตัวอย่าง ความหงุดหงิดใจของพ่อแม่เมื่อเห็นลูกเล่นเกม โดยไม่จัดสรรเวลาไปทำอย่างอื่นไว้ในงานเขียนของเธอ แต่วิธีคิดด้วยการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่สายสตรองช่วยแก้ปัญหานี้ได้

พลังจากการส่งเสริมจุดแข็ง

นักจิตวิทยา แบ่งจุดแข็งออกเป็น 2 ประเภท อย่างแรก คือ พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ (talents) และ คุณลักษณะ (character)

พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ (talents) เป็นเรื่องของการแสดงออกและความสามารถที่โดดเด่นในตัวบุคคล เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ คอมพิวเตอร์และความสามารถในการแก้ปัญหา ส่วนคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมมากกว่า แต่ก็เป็นส่วนประกอบจากภายในที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรมที่สื่อสารออกมา เช่น ความเพียร (grit) ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) ความกล้าหาญ (courage) อารมณ์ขัน (humor) ความเมตตา (kindness) และ ความคิดสร้างสรรค์ (creativity)

เท่าที่เห็นผู้ปกครองส่วนใหญ่มักโฟกัสไปที่การพัฒนาพรสวรรค์ด้านต่างๆ ให้ลูก เช่น การร้องเพลง การเต้น ศิลปะหรือกีฬา แต่นักจิตวิทยา บอกว่า ทางที่ดีที่สุดผู้ปกครองต้องช่วยลูกๆ สร้างจุดแข็งทั้งสองประเภทควบคู่กันไป

ความสามารถด้านดนตรีของวงเดอะบีเทิลส์ (The Beatles) คงไปไม่ถึงไหนหากขาดความคิดสร้างสรรค์ และ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) คงไปไม่ถึงดวงจันทร์ถ้าขาดความกล้า เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน

ผลการวิจัยของวอเตอร์สเอง ระบุว่า เด็กและเยาวชนในช่วงวัยรุ่นที่มีพ่อแม่คอยชี้แนะและสนับสนุนให้มองเห็นจุดแข็งของตัวเอง พวกเขาจะเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข มีภาวะทางอารมณ์เชิงบวก และควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี บุคลิกที่เห็นได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เป็นคนมีความมุ่งมั่น มั่นใจในตัวเองและพอใจกับชีวิต นอกจากนี้ ยังทำให้พวกเขาเครียดน้อยลง สามารถจัดการกับปัญหาของตัวเองได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อนหรือแม้กระทั่งการรับผิดชอบงานที่โรงเรียน ตลอดไปจนถึงการรักษาผลการเรียนที่อยู่ในระดับดี

เมื่อเด็กและเยาวชนใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ปราศจากความกดดันดังที่กล่าวไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมา และเห็นได้ชัด คือ การมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นกว่าเดิม (better behavior)

จากการศึกษาในปี 2010 ร่วมกับผู้ปกครอง หลังจากพ่อแม่ของเด็กก่อนวัยเรียนได้เรียนรู้เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วย การหาจุดเด่นหรือจุดแข็ง (strenght-based techniques) 1 โปรแกรม (10 เซสชั่น) พบว่า เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาลดลง

ไม่ใช่แค่เด็กและเยาวชนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ แต่พ่อแม่สายสตรองก็ยังได้ประโยชน์ด้วย การศึกษาอีกครั้งหนึ่งแบ่งผู้ปกครองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ผู้ปกครองเข้าเรียนรู้ในโปรแกรม เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถระบุและปลูกฝังความสามารถที่เป็นจุดแข็งและลักษณะเด่นของลูกได้ ส่วนกลุ่มที่สองไม่ผ่านการเรียนรู้ใดๆ ปล่อยให้เลี้ยงลูกได้ตามปกติ

ผลการศึกษาพบว่า ผู้ปกครองกลุ่มแรกมีความสุขและมีความมั่นใจในการเลี้ยงลูกมากขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนได้รับการอบรม ส่วนกลุ่มที่สองไม่สามารถวัดผลความเปลี่ยนแปลงเรื่องความสุขหรือความมั่นใจได้เลย

แน่นอนว่าวิธีการเลี้ยงลูกด้วยการมองหาคุณสมบัติที่เป็นจุดแข็ง ไม่ใช่วิธีเดียวและไม่ใช่วิธีสุดท้ายในการเลี้ยงดูลูก แต่ก็เป็นวิธีการที่ช่วยได้เยอะ โดยเฉพาะช่วยให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดีและมองโลกในแง่บวก ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า แต่การศึกษาบอกว่าวิธีการนี้อาจไม่สามารถลดความกังวลลงได้ (anxiety)

พูดง่ายๆ คือ การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่สายสตรองทำให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกแย่น้อยลง เพราะวิธีการเพิ่มความสุขกับวิธีการเยียวยาและบรรเทาความทุกข์ หรือการขจัดความรู้สึกไม่ดีไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งหรือความรู้สึกไม่ดีระหว่างผู้ปกครองกับเด็กเกิดขึ้น จนกลายเป็นความทุกข์ แล้วสะสมถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด สิ่งที่ผู้ปกครองควรโฟกัสตั้งแต่ต้น เพื่อแก้ปัญหานี้ คือ การให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกหลาน

แล้วพ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่า…อะไรเป็นจุดแข็งของลูก?

“โฟกัสไปที่สิ่งที่ลูกทำได้ดีแล้ว อย่ามัวเสียเวลาไปจมอยู่กับข้อผิดพลาดของลูก”

ผู้ปกครองต้องช่วยสนับสนุน ให้โอกาสโดยไม่ปิดกั้นและไม่ขัดขวาง กล่าวชื่นชม แสดงความคิดเห็น หรือให้ความสนใจกับสิ่งที่ลูกทำได้ดีแล้ว จุดนี้เองที่พ่อแม่ยื่นมือเข้ามาช่วยได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้พวกเขาได้ลงมือทำสิ่งที่พวกเขาสนใจ เพื่อให้เขาได้แสดงความสามารถและเผยบุคลิกภาพของเขาออกมา แล้วเมื่อผู้ปกครองมองเห็น ผู้ปกครองสามารถช่วยให้คำแนะนำเด็กๆ ได้ว่า พวกเขาจะใช้จุดแข็งที่มีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและมองเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้อย่างไร?

วอเตอร์สแนะนำวิธีการง่ายๆ 4 วิธี ดังต่อไปนี้

  • หนึ่ง กล่าวถึงหรือกล่าวชื่นชมเมื่อเห็นจุดแข็งของลูก

“วันนี้ลูกทำได้ดีมากที่ตัดสินใจแพ็คกระเป๋าก่อน”

“ลูกทำให้แม่หัวเราะ แม่ชอบความขำขันของลูกจริงๆ”

หรือ “แม่รู้ว่าพี่ทำให้ลูกรู้สึกแย่ แม่ภูมิใจในตัวลูกมากที่ลูกมองข้ามผ่านและให้อภัยได้”

การกล่าวถึงจุดแข็งให้ลูกๆ ได้ยินในลักษณะนี้ จะทำให้พวกเขาซึมซับและมองเห็นตัวเอง มองเห็นความสามารถด้านดี แทนการรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้เรื่องหรือใช้ไม่ได้เมื่อพ่อแม่ตำหนิข้อผิดพลาดของพวกเขา ผลที่เกิดขึ้นตามมา คือ พวกเขาจะรู้จักให้กำลังใจตัวเอง ยืนหยัดและพร้อมเรียนรู้ มากกว่าตัดพ้อตัวเองว่าเป็นคนไม่เอาไหน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากๆ ในชีวิต

  • สอง ไดอารี่บันทึกจุดแข็ง

วิธีนี้เป็นการบ้านของพ่อแม่ พ่อแม่ต้องเป็นนักสังเกต บันทึกจุดแข็งสามอย่างที่เห็นในตัวลูกแต่ละวัน แล้วสื่อสารให้ลูกรับรู้ถึงสิ่งที่มองเห็นนั้นในวันถัดไป นอกจากนี้ในทุกๆ สองอาทิตย์พ่อแม่จะเป็นผู้เขียนจดหมายถึงลูกๆ เพื่อบอกเล่าจุดแข็งของพวกเขาอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง

  • สาม แผนผังแสดงจุดแข็งของครอบครัว

นอกจากจุดแข็งส่วนตัวบุคคลที่ผู้ปกครองมีส่วนช่วยมองหา เพื่อให้ลูกมองเห็น การชี้ให้ลูกเห็นจุดแข็งของครอบครัวเป็นตัวอย่างที่ดีที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้พวกเขา ยกตัวอย่างเช่น แม่คนหนึ่ง บอกว่า เธอลิสต์จุดแข็งของครอบครัวติดไว้บนตู้เย็น เพื่อให้เด็กๆ ได้เห็นตัวอย่าง แล้วเปิดโอกาสให้พวกเขาใช้จุดแข็งเหล่านั้นกับคนในครอบครัว

“ฉันบอกให้ลูกๆ ดึงจุดเด่นของพวกเขาออกมาใช้ ใช้ความร่าเริง สนุกสนานต้อนรับแขกที่มาที่บ้าน ใช้ความเป็นผู้นำในการตัดสินใจ เด็กๆ มีส่วนร่วมและสนุกไปกับการนำจุดแข็งของตัวเองมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน”

  • สี่ ตั้งคำถามตรงๆ กับลูกถึงจุดแข็งของตัวเอง

เมื่อลูกต้องรับผิดชอบทำหน้าที่สำคัญอะไรบางอย่าง อาจเป็นโปรเจ็คท์หรือกิจกรรมของโรงเรียนซึ่งเป็นงานใหญ่สำหรับเขา เด็กๆ จะรู้สึกประหม่า อาจรู้สึกกลัวจนขาดความมั่นใจ ผู้ปกครองสามารถตั้งคำถามตรงๆ กับลูก

ยกตัวอย่างเช่น “ลูกคิดว่าอะไรเป็นจุดแข็งในตัวลูกที่จะช่วยให้ทำงานนี้ผ่านไปได้?” หรือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท แทนที่จะกล่าวโทษและตำหนิ พ่อแม่สามารถชวนลูกตั้งคำถามให้คิด “ลูกคิดว่าอะไรคือจุดแข็งที่หายไปจนทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ แล้วอะไรที่ช่วยให้สถานการณ์นี้ดีขึ้น?”

การจะทำแบบนี้ได้ พ่อแม่เองต้องอาศัยการฝึกฝนตัวเองให้คิดและทำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ให้ตัวเองตั้งคำถามเชิงบวกแทนการบ่น การพูดจาถากถางและจู้จี้จนลูกหนีหน้าไปเพราะไม่อยากฟัง เมื่อมีเหตุการณ์ท้าทายเกิดขึ้นกับลูก พ่อแม่สามารถดึงจุดแข็งข้อใดข้อหนึ่งที่เห็นในตัวลูกขึ้นมาชี้แนะให้เขานำคุณลักษณะข้อนั้นเข้ารับมือและแก้ไขสถานการณ์

ยกตัวอย่างเช่น “ฉันบอกลูกถึงความใจดีและการมีจิตใจเมตตาของเธอ ให้เธอนำคุณลักษณะนี้มาควบคุมอารมณ์ ทำให้มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ”

วอเตอร์ส เล่าว่า เพื่อนร่วมงานของเธอคนหนึ่งกระตุ้นให้ลูกชายที่เป็นนักกีฬาของเขา นำความมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะในการแข่งขันมาใช้เป็นแรงขับในการทำการบ้านให้เสร็จตรงตามเวลาแทนการผัดวันประกันพรุ่ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พ่อแม่สายสตรองลืมไม่ได้เด็ดขาด คือ การมองทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง และไม่ชื่นชมลูกเกิดเหตุ จนทำให้เด็กกลายเป็นคนหลงตัวเอง หรือหลงอวดลูกจนออกหน้าออกตา

จุดแข็งหรือจุดเด่นสร้างความโดดเด่นให้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราพิเศษกว่าใครๆ เพราะทุกคนต่างมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง นี่คือคีย์เวิร์ดที่ต้องใช้เตือนตัวเอง

กลับมาที่ความหงุดหงิดใจเมื่อพ่อแม่เห็นลูกติดเกม วิธีคิดแบบพ่อแม่สายสตรอง สร้างข้อค้นพบบางอย่างให้กับพ่อแม่

อย่างแรก เกมสร้างจุดแข็งที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต ได้แก่ ทักษะการควบคุมตนเอง (self-regulation) และ ทักษะการแก้ปัญหา (problem-solving) เกมสอนให้เด็กฝึกการตัดสินใจและต้องอาศัยความพยายามเพื่อสะสมคะแนนให้ได้มากขึ้น หากพ่อแม่ชี้ให้ลูกเห็นจุดแข็งเรื่องนี้ บอกให้ลูกรับรู้ถึงข้อดีจากการทำในสิ่งที่ลูกชอบ และแสดงให้เห็นการยอมรับจากพ่อแม่ เด็กจะยอมรับฟังพ่อแม่ แล้วประยุกต์ใช้จุดแข็งเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการแบ่งเวลาเล่นเกมและการทำการบ้านที่ต้องรับผิดชอบได้

และความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่ง คือ พ่อแม่สามารถควบคุมอารมณ์ ทำให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับสิ่งที่ลูกทำได้มากกว่าเก่า เมื่อพ่อแม่ไม่ตั้งแง่กับการเล่นเกมของลูก ยอมให้ลูกใช้เวลาเล่นเกม ลูกจะยอมรับเงื่อนไขของพ่อแม่ได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้เพราะต่างฝ่ายต่างรับฟังซึ่งกันและกัน

การเข้าถึงจุดแข็งจะทำให้เรามองเห็นจุดอ่อน แล้วสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองต่อไป การมองเห็นข้อบกพร่องตามสัญชาตญาณอาจทำให้เราเอาตัวรอดและมีชีวิตอยู่ได้ แต่จุดแข็งจะทำให้เราเติบโต การทำให้เด็กๆ รับรู้ถึงจุดแข็งของตัวเอง แล้วสามารถควบคุมและใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งที่มีอยู่จะทำให้เขาโตขึ้นได้อย่างมีความสุข เป็นสูตรสำเร็จสำหรับการเลี้ยงดูลูกอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขของพ่อแม่สายสตรอง

อ้างอิง:
Be a Strength-Based Parent

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsพ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!
Voice of New Gen
20 December 2018

ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

เรื่องและภาพ The Potential

  • Maker Playground โปรเจ็คต์ของ ไบรท์-กริ่ง-ซัน-บิ๊ก-ไหม-แมมมอธ ที่พัฒนามาเพื่อนักพัฒนาที่มีแต่ไอเดียแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) เช่น เขียนโปรแกรม การต่อวงจร หรือพัฒนาระบบฮาร์ดแวร์ ฯลฯ
  • การทำงานเป็นทีมก็เหมือนบ้าน ถ้าทำคนเดียวก็ใช้เวลานาน แต่ถ้ามีหลายๆ คนแป๊บเดียวก็เสร็จ
  • การทำงานนอกห้องเรียน นอกจากจะได้เจออะไรใหม่ๆ สิ่งที่ได้กลับมาคือ รู้จักฟังคนอื่นมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น

มีไม่บ่อยครั้งนักที่นักพัฒนาจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาสักชิ้นเพื่อผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาเช่นเดียวกับตัวเอง

Maker Playground ของ ไบรท์-ไชยณรงค์ ทุมาภา, กริ่ง-ธันยกร เบญจพรหมผดุง, ซัน-นิติธร ชัยวงศ์โรจน์ บิ๊ก-ธนธรณ์, นทีแสนประเสริฐ, ไหม-มัญชุพร ปึงทิพย์พิมานชัย และ แมมมอธ-อนพัทย์ แก้วสถิตย์วงศ์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คือหนึ่งตัวอย่างข้างต้น ที่ถูกพัฒนามาเพื่อนักพัฒนาที่มีไอเดีย แต่ยังไม่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม การต่อวงจร หรือพัฒนาระบบฮาร์ดแวร์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการต่อยอดผลงาน ดีไม่ดี อาจส่งผลให้ล้มเลิกความฝันไปดื้อๆ

แต่ต่อไปจากนี้ นักพัฒนาคงไม่ต้องละทิ้งความฝันอีกต่อไป เมื่อมี Maker Playground

จุดเริ่มต้นของ Maker นักสร้างคุณค่า

Maker Playground เริ่มต้นจากความคิดของไบรท์ ที่อยากให้คนที่มีไอเดีย แต่ขาดความรู้และทักษะด้านไอที มีเครื่องมือสักชิ้นหนึ่งที่สามารถช่วยสร้างระบบ embedded systems หรือระบบสมองกลฝังตัว (ระบบประมวลผล ที่ใช้ชิปหรือไมโครโพรเซสเซอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่ฝังไว้ในอุปกรณ์ต่างๆ) เพื่อใช้พัฒนาฮาร์ดแวร์ที่เป็น Internet of Things (การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต) ได้

ไบรท์จึงปรึกษากับปาล์ม (นันทิพัฒน์ นาคทอง เจ้าของผลงาน Visionear แว่นตาเพื่อผู้พิการทางสายตา จากโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 3) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

“ตอนแรกผมจะทำสมาร์ทปลั๊กที่ควบคุมด้วยมือถือ ที่สามารถสั่งตัดไฟผ่านระบบมือถือได้ แต่พอคุยกับพี่ปาล์ม พี่เขาบอกว่าให้ลองทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น” ไบรท์เล่าถึงความตั้งใจเดิมก่อนมาเป็นจุดเริ่มการสร้างสนามของนักประดิษฐ์

ไบรท์กับกริ่งจึงร่วมมือกันพัฒนา Maker Playground ขึ้น โดยเวอร์ชั่นแรกพัฒนาขึ้นเป็นเว็บไซต์ ที่จะช่วยเขียน embedded systems ลงบอร์ด Microcontroller (อุปกรณ์ควบคุมขนาดเล็ก ซึ่งบรรจุความสามารถที่คล้ายคลึงกับระบบคอมพิวเตอร์ โดยรวมเอาซีพียู, หน่วยความจำ และพอร์ตเข้าไว้ด้วยกัน) เพื่อควบคุมระบบและออกคำสั่งการทำงานของอุปกรณ์ เช่น เซนเซอร์ หลอด LED ลำโพง มอเตอร์ ฯลฯ โดยการสร้างไดอะแกรมแทนการเขียนโค้ดจริง ให้ผู้ใช้อัพโหลดโค้ดลงบอร์ดได้โดยอัตโนมัติ และโปรแกรมยังจะช่วยแนะนำว่าโปรเจกต์นั้นๆ ควรใช้อุปกรณ์อะไร รุ่นใด รวมถึงสร้าง circuit diagram แนะนำวิธีการต่อวงจรและอุปกรณ์จนสำเร็จอีกด้วย

มุมานะจนผลงานเวอร์ชั่นแรกสำเร็จ ทั้งคู่ก็นำส่งการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย NSC 2017 และเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะต่อยอดด้วยการเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 5 ด้วยหวังพัฒนาผลงานไปให้สุดทาง

เปิดใจให้กว้าง ปรับสร้างตามผู้ใช้

นี่คือผลงานที่สร้างจากแนวคิดง่ายๆ แต่ทำให้ใหญ่และดูอัจฉริยะ แต่กว่าที่ผลงานจะถูกปรับให้เข้าที่เข้าทาง ไบรท์กับกริ่งยอมรับว่า ความอัจฉริยะของ Maker Playground ก็เป็นเหมือนดาบสองคม ที่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงยากด้วยเช่นเดียวกัน

“เข้ามาต่อกล้าฯ ช่วงแรกๆ จากที่เคยคิดว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกเท่าไหร่ ยังเบี้ยวๆ ยังคดเคี้ยวอยู่ พอมาเจอโค้ช พี่เขาก็ตบๆ ให้มันเข้ารูป บางทีตบแรงบางทีตบเบา แต่มันก็ช่วยให้ตรงได้” ไบรท์กล่าวกลั้วหัวเราะ

โจทย์ใหญ่ๆ ที่ต้องแก้ไขสำหรับ Maker Playground เวอร์ชั่นแรก คือ ต้องเปลี่ยนจากเว็บไซต์มาเป็นโปรแกรม เนื่องจากบางโปรเจ็คต์ของผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อโปรแกรมกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซึ่งโปรแกรมในเว็บไซต์ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ แน่นอนว่านี่เป็นงานใหญ่ ไบรท์กับกริ่งจึงต้องขอกำลังเสริมจากน้องๆ อย่าง ซัน-บิ๊ก-ไหม-แมมมอธ มาช่วยกันยกเครื่องผลงานใหม่

รวมพลังกันยกเครื่องและพัฒนาจนแล้วเสร็จ ทีมก็ทำต้นแบบด้วยกระดาษ (paper prototype) เพื่อนำไปทดสอบกับผู้ใช้ ซึ่งเป็นกลุ่มอาจารย์ เพื่อนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และรุ่นน้องของไหมที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย

“เอาความคิดที่เราคิดมาวาดเป็นโปรแกรมในกระดาษ แล้วเราก็ไปให้ผู้ใช้ลองเล่นดู ให้ปากกาเขาใช้จิ้มแทนเมาส์ พบว่าผู้ใช้ยังใช้งานไม่เป็นไปตามแบบความคิดของเขา คือเราต้องสอน logic ของโปรแกรมให้เขาก่อน ซึ่งมันก็เหมือนไปบล็อกไอเดียของผู้ใช้ เลยต้องกลับมาปรับวิธีการคิดแผนผังของเราให้ตอบสนองตามสิ่งที่ผู้ใช้เขาคิดมากขึ้น” ไบรท์อธิบายปัญหา

กระนั้น ด้วยความที่ Maker Playground เป็นโปรแกรมที่ไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน ทีมได้นำไปทดสอบกับผู้ใช้หลายกลุ่ม ได้ feedback มาหลากหลาย บ้างก็มีคำแนะนำที่ย้อนแย้งกัน ทำให้เป็นปัญหาหนักอยู่ไม่น้อยที่จะเลือกคัดกรองเอาแค่คำแนะนำที่ใช่มาปรับกับงาน

“ความยากของมันคือ ตอนที่พยายามหาแพทเทิร์นว่าเราควรแก้ตรงไหน สิ่งใดที่มันเป็นข้อผิดพลาดของผู้ใช้เอง บางคนบอกว่าโปรแกรมเรายากเพราะเขาไม่มีไอเดีย กับบางคนบอกว่ายากเพราะหน้าจอการใช้งานยังดูแปลกๆ” ไบรท์เล่าต่อ

สมาชิกทั้งหกอุทิศเวลาทุกวันจันทร์กับวันพุธตอนเรียน และทุกวันตอนปิดเทอม รวมหัวกันปรับแก้งานอยู่รวมครึ่งปี ทำเป็น mock-up กลับไปคุยกับผู้ใช้ 5-6 รอบ จนได้เวอร์ชั่นที่ทีมและผู้ใช้พึงพอใจ

แรงหนุนรอบตัว เรียนรู้รอบทาง

หลังจากอดทนปรับแก้งานกันหัวหกก้นขวิด สุดท้ายไบรท์และทีมก็ได้นำ Maker Playground เวอร์ชั่นล่าสุด ไปทดสอบกับน้องๆ ม.3 ที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจ

“เราไปจัดเวิร์คช็อปที่โรงเรียนเซนต์ฟรังฯ แล้วพบว่าเด็กทำได้เองทุกอย่าง สามารถใช้โปรแกรมทำโปรเจ็คต์เองได้ และทำไวด้วย แสดงว่าไอเดียของเรามันตกผลึกแล้ว” ไบรท์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

และจากวันนั้นถึงวันนี้ Maker Playground ได้ถูกขัดเกลา แก้บัค ทำให้เสถียรขึ้น และถูกปล่อยเป็นเวอร์ชั่นเบต้าให้ผู้ใช้ คือ คนทุกช่วงวัยที่มีไอเดียอยากสร้างสิ่งประดิษฐ์สักชิ้น สามารถเข้าไปทดลองใช้งานกันได้ที่ www.makerplayground.io

แน่นอนว่า ก้าวย่างของความสำเร็จในครั้งนี้ย่อมนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของไบรท์และทีมมากๆ ซึ่งไบรท์เองก็บอกชัดเจนว่า มีช่วงเวลาที่ยากพอสำหรับการถอดใจ ไม่อยากจะทำต่ออยู่เหมือนกัน

“ช่วงที่เรายังไม่ตกผลึกในการสร้างระบบของโปรแกรมว่ามันจะต้องทำงานยังไง เพราะเป็นโปรแกรมที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน เป็นเรื่องใหม่ที่เราต้องดีไซน์เองทั้งหมด ช่วงนั้นเราทำการบ้านกันหนักมาก ทำวนไป 5-6 รอบ ตอนนั้นเราไม่รู้ต้องทำวนไปอีกกี่รอบ เหมือนว่ายน้ำไปเรื่อยๆ โดยไม่เห็นฝั่ง แต่ก็คิดว่าเราว่ายมาไกลเกินกว่าจะว่ายกลับแล้ว” ไบรท์ย้อนบรรยากาศช่วงท้อ

ก่อนที่ซันจะเล่าต่อไปว่า ประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้มาจากโอกาสที่มอบให้ตัวเองได้ลองลงมือทำสิ่งใหม่ๆ

“ถ้าเราไม่ได้มาทำงานนี้ เราก็คงเรียนไปเฉยๆ กว่าจะได้เริ่มทำอะไร ได้ประสบการณ์เยอะแยะมากมายก็คงเป็นตอนอยู่ปีสามปีสี่หรือเรียนจบแล้วถึงจะมีประสบการณ์ จากที่ตอนแรกเข้ามาที่ภาควิชาเราแทบไม่รู้อะไรเลย เรียนแค่เอาผ่าน แต่พอเราเข้ามาทำตรงนี้เราได้ความรู้เยอะขึ้น มากกว่านั้น คือทั้งความรู้ ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ เราก็ได้รู้จักกันเยอะขึ้น ยิ่งมีคนสนใจงานเราก็รู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมกับงานนี้” ซันเผยความในใจ

รวมถึงทีมโค้ช ที่นอกจากจะช่วยในเรื่องเทคนิคและกระบวนการทำงานแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการบริหารทีมอีกด้วย

“ตลอดค่ายผมคุยกับโค้ชเยอะครับ” ไบรท์กล่าว “ทั้งเรื่องทั่วไป ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต และเรื่องการทำยังไงให้สมาชิกในทีมทำงานไปด้วยกันแล้วไปรอด ซึ่งการมีทีมมันก็เหมือนกับเราสร้างบ้าน ถ้าเราทำคนเดียวมันก็ใช้เวลานาน แต่ถ้าเรามีหลายๆ คนแป๊บเดียวก็เสร็จ แต่ปัญหาใหญ่ๆ ก็คือผมจะไม่สนิทกับน้องๆ แต่ก็พยายามละลายพฤติกรรม ซึ่งกิจกรรมในค่ายต่อกล้าช่วยได้เยอะมาก และคำแนะนำจากพี่ๆ ก็ช่วยให้เราจัดการทีมของเราได้” ไบรท์กล่าว

เพราะต่างคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง การจัดการทีมให้ลงตัวจึงต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาผลงาน

“เมื่อก่อนเรารู้สึกว่า เราไม่เห็นต้องฟังใครเลย (ยิ้ม) เราคิดแบบนี้ก็ถูกอยู่แล้ว แต่พอมาทำงานนี้ ได้เจอความคิดเห็นที่มันหลากหลาย เราถึงรู้ว่าจริงๆ เรายังตอบไม่ได้หรอกว่าความคิดเรามันดีที่สุดหรือเปล่า การทำงานร่วมกันมันทำให้เราเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ฟังคนอื่นมากขึ้น ฟังคนที่เขามีประสบการณ์มากกว่า เขาก็จะให้คำแนะนำเราได้ดี ได้มุมมองใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเห็นในโรงเรียน” ซันกล่าว

“แต่ไม่ใช่ว่าการเถียงไม่ดีนะครับ ผมชอบการเถียงเพราะมันเป็นการเปิดไอเดีย แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า เราเถียงไปแล้วถ้าเราเถียงแพ้ หรือว่ามันไม่ได้ถูก 100 เปอร์เซ็นต์ หรือมีไอเดียที่ดีกว่า เราก็ต้องยอมรับความเห็นของเขา ซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้ยอมรับ ณ ตอนนั้นหรอก (หัวเราะ) เพราะมันเป็นเรื่องของเวลาที่จะใช้ในการพิสูจน์ คือเอาลงสนามไปให้ผู้ใช้ เพราะจุดประสงค์หลักของเราคือให้ผู้ใช้ใช้ ความคิดของผู้ใช้จึงใหญ่ที่สุด” ไบรท์เสริม

ความหมายที่พบระหว่างทาง

ไบรท์และทีมยอมรับว่าแม้ Maker Playground จะถูกพัฒนาให้พร้อมสำหรับผู้ใช้ ได้เข้าไปทดลองใช้งานกันในวงกว้าง แต่ย่างก้าวของการพัฒนายังคงไม่สุดสิ้น ยังมีสิ่งที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดต่อไปอีก อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ทุกคนในทีมมีความสุขที่ผลงานกำลังจะถูกโดยผู้ใช้จริง

“ผมรู้สึกว่าผลงานชิ้นนี้น่าจะช่วยคนได้เยอะมาก อย่างเด็กสถาปัตย์ เขาต้องมานั่งออกแบบอินเตอร์แอคทีฟ ดีไซน์ ซึ่งเขาอาจไม่มีความรู้ด้านการต่อวงจรหรือเขียนโปรแกรม ก็ต้องไปจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนให้ ตัวนักศึกษาเองก็ไม่ได้เรียนรู้ แต่ Maker Playground จะเป็นเหมือนเครื่องนำทางให้เขาเกิดการเรียนรู้ ซึ่งการที่ผลงานมีคนใช้จริงๆ และมี feedback มีการยอมรับว่าของเราน่าใช้ มันเป็นความภูมิใจที่เราได้สร้างอะไรบางอย่างที่ทำให้เขามีความสุขครับ” ไบรท์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

และมากกว่าการพัฒนา Maker Playground ก็คือการค้นหาเส้นทางชีวิตและหน้างานใหม่ๆ ของตัวเองต่อไป

“เป็นงานแรกเลยก็ว่าได้ที่เราได้ทำนอกห้องเรียนในมหาวิทยาลัย เรารู้สึกว่าความรู้ของเราก่อนหน้ากับหลังค่อนข้างต่างกัน หลายๆ นิสัยมันเริ่มเปลี่ยน เรารู้สึกว่าเราโตขึ้น แล้วเราได้เจออะไรใหม่ๆ ได้เจอคนมากขึ้นที่ไม่ได้อยู่แค่ในมหาวิทยาลัย เราได้ฟังคนอื่นมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น แล้วพอมาเรียนในห้องเรียน ฟังเรื่องต่างๆ ที่อาจารย์สอนเรารู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้น” ซันเล่าถึงการเติบโตของตนเอง

“สำหรับเด็กมหา’ลัย เป็นช่วงที่ได้พัฒนาตัวเอง ได้รู้จักกระบวนการคิด การทำโปรเจกต์ จริงๆ แล้วกระบวนการพวกนี้มันไม่มีในห้องเรียน ห้องเรียนไม่ได้สอน UX-UI, Agile แล้วเราต้องนำเรื่องพวกนี้ไปใช้ ซึ่งหมายความว่าถ้าเรายิ่งเรียนรู้ไว เรายิ่งทำงานเป็นไวขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น” ไบรท์เสริม ก่อนที่จะบอกว่า

“ผมคิดว่าการใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อเรียนรู้ และสร้างผลงานที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แล้วมันได้ feedback มากๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมภูมิใจระดับหนึ่งเลย”

ตลอดระยะที่ไบรท์และทีมทุ่มเทกับผลงานชิ้นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่ม Maker หน้าใหม่ที่จะได้รับประโยชน์จากโปรแกรม Maker Playground เท่านั้น แต่กับตัวไบรท์เองและเพื่อนๆ ก็ได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่ทำให้พวกเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปอีกหลายขั้น

Tags:

วัยรุ่นโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel