Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: September 2018

5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก
Early childhood
29 September 2018

5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เวลาที่เราอ่อนแอ ‘อสูรร้าย’ มักปรากฏตัวเสมอๆ

อสูรร้ายคือ คำพูดเชิงลบที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เคยส่งสัญญาณว่าจะมาตอนไหน สิ่งนี้เป็นอันตราย เพราะจะค่อยๆ ทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ แต่พ่อแม่สามารถช่วยลูกขจัดอสูรร้ายให้หายไปได้ ด้วย 5 วิธี

1. ตั้งชื่อให้เจ้าอสูรร้าย

ตั้งชื่อเพื่อให้เสียงวิจารณ์ภายในกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น เมื่อได้ยินจากเสียงกระซิบบั่นทอนกำลังใจเมื่อไหร่ เด็กจะได้ดึงและแยกตัวเองออกมาหรือวางเฉยต่อเสียงนั้นได้ พูดง่ายๆ เหมือนทำเป็นไม่ได้ยินไปซะ!

2. ความเป็นเพื่อนกันตลอดไป (Best Friends Forever Test)

“มันเป็นความผิดของฉันที่ทำให้ทีมแพ้” อสูรร้ายมักเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดเสมอ พ่อแม่สมารถตั้งคำถามชวนคิดได้ว่า “ลูกจะพูดแบบนี้กับเพื่อนสนิทของลูกหรือเปล่าว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทีมแพ้”

วิธีนี้สร้างให้เด็กกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง คิดและแสดงออกด้วยความเห็นอกเห็นใจตัวเองมากขึ้น

3. ตอบกลับ

หากเด็กได้ยินคำพูดร้ายๆ ผุดขึ้นมาในหัว พ่อแม่สามารถแนะนำให้พวกเขาตอบโต้เสียงนั้นได้ ด้วยคำพูดต่อไปนี้

“ไม่สำเร็จหรอก คำพูดของเธอไร้ประโยชน์มาก”

“เธอเลิกพูดเถอะ ฉันทำดีที่สุดแล้ว””

“มันไม่ได้ผลหรอก ฉันจะต้องได้ไปต่อ”

4. กองหนุนจากพ่อแม่

นอกจากวันร้ายๆ เจ้าอสูรยังชอบโผล่มาในวันที่เด็กต้องทำสิ่งท้าทายใหม่ๆ เพราะเขาทั้งกลัว ตื่นเต้นและไม่มั่นใจ พ่อแม่สามารถเข้ามากระตุ้นให้เด็กลงมือทำอย่างกล้าหาญ เพื่อแสดงให้เจ้าอสูรเห็นว่าสิ่งที่พูดมานั้นผิดทั้งหมด บอกลูกดังๆ เลยว่า “ทำเลย…ลูกทำได้”

5. สร้างช่วงเวลาฝึกฝนในเชิงบวก

ทำให้เด็กรู้ว่า เขาชอบหรือสนใจทำอะไร และส่งเสริมให้เขาลงมือทำสิ่งนั้นจนสำเร็จ หรือแม้กระทั่งการถามว่า “วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง?” ก็ช่วยกระตุ้นให้เด็กเปิดใจ เปลี่ยนวิธีคิดให้เด็กมองหาสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแทนการครุ่นคิดถึงความล้มเหลว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: 5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

อ้างอิง:
How to Teach Your Kids about Their Inner Critic

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาวินัยเชิงบวก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน
Growth & Fixed Mindset
28 September 2018

คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • แป้ง-ศิริพร บุญมาก เริ่มทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่ชั้น ปวช. 1  และเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอมากมาย
  • ในการทำกิจกรรมบางครั้งมีโอกาสผิดแผนได้ จึงต้องมีหลายวิธีการที่แตกต่างออกไปเพื่อให้งานเสร็จลุล่วง แป้งสรุปว่า ความแตกต่างสร้างความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงสร้างการเรียนรู้
  • ความมั่นใจในการทำงาน ทำกิจกรรม รวมทั้งการเลือกเส้นทางชีวิตเอง สะท้อนการมีกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) ที่เชื่อในการพัฒนาของสมองในการเรียนรู้ เชื่อในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และแก้ปัญหาอย่างกล้าหาญและมีวุฒิภาวะ

จากบทความ ‘เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน’ ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา มีเด็กสาวคนหนึ่งที่ครูเรเอ่ยถึงคือ แป้ง-ศิริพร บุญมาก อดีตนักศึกษาชั้น ปวส. วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี ซึ่งตอนนี้เรียนจบและได้งานทำเรียบร้อยแล้ว

ทำไมเรื่องของแป้งถึงน่าสนใจ?

แป้งเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจและทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเธอ

เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ที่เริ่มจากการก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียว กิจกรรมไม่เคยยุ่งเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่พอได้เข้ามาเป็นน้องใหม่ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี และได้เจอครูเร…

“ตอนแรกครูเรชวนทำโครงการเพื่อชุมชน รู้สึกว่าเราทำต่อได้ ก็ชวนเพื่อนในห้องมาทำ เริ่มกล้าคิด กล้าพูด รับมอบหมายงานจากครูเร ทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความเป็นผู้นำขึ้นนิดหนึ่ง”

โครงการที่แป้งทำกับเพื่อนๆ ในวิทยาลัยคือ ‘โครงการทำน้ำหมักจุลินทรีย์จากเศษขยะเสียของโรงอาหารและน้ำเน่าจากคอกหมูในวิทยาลัย’ เพื่อให้ได้น้ำหมักไปใช้ประโยชน์ และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในวิทยาลัย แป้งย้อนเล่าให้ฟังว่า

“ตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร คิดแค่ว่าจะทำอะไรที่พัฒนาตัวเองโดยออกไปทำร่วมกับคนข้างนอกไม่ใช่แค่ในวิทยาลัย ตอนนั้นครูเรก็จุดประเด็นชวนคิดขึ้นมา แล้วก็ได้เรื่องนี้ ช่วงนั้นมันมีปัญหาพอดีก็เลยเริ่ม”

จากเด็กใจร้อนและไม่เคยฟังใคร

แป้งเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าแป้งนี้เป็นคนใจร้อนและเคยมีเรื่องทะเลาะกันเพราะไม่รับฟังเพื่อน

“ตอนเด็กๆ อารมณ์ร้อน เมื่อต้องทำงานกลุ่ม เวลาที่สมาชิกในกลุ่มต้องลงความเห็นกัน ถ้าใครไม่แสดงความคิดเห็น การดำเนินงานก็ต้องเป็นไปตามความเห็นของตัวเอง สุดท้ายแล้วใครจะมาโต้เถียง หรือบอกว่าไม่เอาไม่ได้ เพราะเราคุยกันแล้วว่าความคิดของเราโอเค ก็ต้องโอเคตลอด ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนอื่นเพิ่มเติม จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องทะเลาะกับเพื่อน”

แป้งบอกว่าการดูเพื่อนๆ ว่าทำงานอะไรได้ดีแล้วมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ เป็นสิ่งที่ยากที่สุด

“เวลาแบ่งหน้าที่กันทำ บางคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ การมองคนให้ออกมันยาก นึกว่าเขาชอบจดบันทึกแต่จริงๆ อาจจะไม่ชอบก็ได้ มันยากตรงที่ว่าแรกๆ ทำได้ ไปกลางๆ ท้ายๆ เขาจะรู้สึกไม่ใช่ตัวเขา การทำงานต่อจึงเป็นเรื่องยาก”

ทดลองเป็นผู้นำ

“มองให้ลึกขึ้น มองว่าบทบาทหน้าที่ในทีมไม่ตายตัว คนคนหนึ่งอาจะทำได้หลายหน้าที่ อย่างคนที่ทำหน้าที่หัวหน้า ก็สามารถทำอย่างอื่นได้เช่น จดบันทึก คุมการเงิน และบางครั้งก็ต้องเป็นผู้ตาม ให้คนอื่นเป็นผู้นำบ้าง ”

“มันสอนเราเองว่าถ้าไม่รับฟังจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ฟังคนอื่นก็ไม่มีใครอยู่ด้วย” นี่คือสิ่งที่การทำงานกับเพื่อนๆ สอนแป้ง

แป้งยังบอกอีกว่า จากการทำโครงงานทำให้แป้งมีความมั่นใจในการทำกิจกรรมมากขึ้น

“หนูว่าหนูมีทุนความคิดที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ในหลายเรื่องแต่ไม่กล้าพูด เช่น คนอื่นทำแล้ว เราไม่ทำดีกว่า เด็กมัธยมมักเป็นแบบนี้ ถ้ามีคนกล้าพูด อีกสิบคนที่เหลือถึงรู้ก็จะไม่พูด มีคนพูดแล้วเอาความคิดเขาแล้วกัน ก็ตามนั้น” ส่วนหนึ่งจึงเป็นที่มาของความมั่นใจ เพราะในโครงการไม่มีผู้นำทำกิจกรรม หน้าที่นั้นจึงตกอยู่กับแป้ง

“เพราะตรงนั้นไม่มีผู้นำ ด้วยบทบาทที่จำเป็นเลยลองเป็นผู้นำคนอื่นดูบ้าง พอไม่มีใครเป็นแล้วรู้สึกว่างานไปต่อไม่ได้ เราทำเองก็ได้”

สอนอย่าง ‘ไม่สอน’

แป้งเล่าให้ฟังว่าครูเรสนับสนุนเรื่องอาหาร อุปกรณ์ ช่วยดูเรื่องการเขียนโครงการ รวมทั้งการ ‘ไม่สอน’ คือปล่อยให้ทำเองเรียนรู้เอง แป้งบอกว่าตรงนี้คือจุดต่างจากครูที่สอนในชั้นเรียน เพราะแผนที่เตรียมไว้ เมื่อนำไปปฏิบัติจริงมีโอกาสผิดพลาดได้ตลอดเวลา

“ครูคนอื่นเขาจะให้ลงล็อค 1 2 3 4 5 แต่ถ้าผิดแผนมันจะไม่ 1 2 3 4 5 แต่ไปถึง 10 ได้เหมือนกัน อาจจะเดินสลับกันไปบ้าง เพราะมันไม่ใช่แบบตามบล็อคเป๊ะๆ ไม่งั้นจะไม่รู้ว่าได้อะไรที่ต่างและแหวกแนวไปบ้าง ความแตกต่างมันสร้างความเปลี่ยนแปลง และสร้างการเรียนรู้ได้ในเวลาเดียวกัน” แป้งเล่าบทเรียนที่ได้รับจากการทำกิจกรรม

วาดเป้าหมายชีวิต

เมื่อทำกิจกรรมหลายๆ อย่างจบไปแล้ว แป้งเห็นความสำคัญของการทำงาน และคิดว่าต้องสร้างอะไรนอกเหนือจากการเรียนให้ได้ และคิดเผื่อไปถึงชุมชนที่บ้านด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย

“เวลาย้อนกลับมามองรู้สึกว่าต้องสร้างอะไรไว้ที่ไม่ใช่แค่การเรียนอย่างเดียว ตอนทำกิจกรรมกับชุมชน ก็รู้สึกว่าเราได้ระดับหนึ่ง เราก็เก่งนะทำได้ แต่เราก็อยากรู้ว่าทำอะไรได้มากกว่านี้ อยากทำให้ที่บ้านโอเคกว่านี้”

“ทุกวันนี้ ความรู้บางอย่างเราก็ไม่ได้ใช้ ถ้าเรียนปริญญาตรีไปด้วยทำงานไปด้วยอาจได้อะไรมากขึ้น ดีกว่าเรียนอย่างเดียวสี่ปี การเข้าใจว่ารู้ไปเพื่ออะไร มันดีตรงที่รู้แล้วว่าจะไปยังไงต่อ”

การเรียนนอกห้องเรียนสำคัญกว่าการเรียนในชั้นเรียน

“ในห้องเรียนทำให้เรามีดาวติดไว้ว่าเรารู้เรื่องนี้ๆ แต่นอกห้องคือการใช้ชีวิตจริง เพื่อนหนูสอบได้คะแนนไม่ดีทั้งๆ ที่เคยสอบได้ดีตลอดก็รู้สึกแย่ เราเลยลองเปลี่ยนวิธีคิดว่า เราต้องมั่นใจก่อนว่าเราทำได้ เชื่อมั่นในตัวเองก่อน จากนั้นถ้าไปสอบแล้วคะแนนได้น้อย เราก็ต้องยอมรับและอ่านหนังสือหนักกว่าเดิม แต่ถ้าคะแนนออกมาเป็นที่น่าพอใจ เราก็จะภาคภูมิใจว่าเรา ‘ทำได้’ จริงๆ”

ฟังเรื่องราวของแป้งที่มีความรู้สึกว่า ‘เอาอยู่’ ในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำกิจกรรม หรือการทำงานไปเรียนไป

นั่นเพราะแป้งอาจไม่รู้ตัวก็ได้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า Growth Mindset หรือกระบวนทัศน์พัฒนา อยู่ในตัวเอง

Growth Mindset คือ กรอบความคิดที่เชื่อว่าทุกคนพัฒนาความสามารถของสมองในการเรียนรู้และแก้ปัญหาได้ เชื่อในความหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมากพอ กล้าหาญที่จะแก้ปัญหาและมีวุฒิภาวะ

“หนูทำได้” จึงดังขึ้นหลายครั้งตลอดการสนทนา แป้งบอกว่า หากเกิดปัญหาอะไรเธอก็จะหาวิธีแก้โดยไม่รีรอ เป็นเพราะผลจากการทำกิจกรรมที่ผ่านการฝึกฝนและทำซ้ำอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามาเรียนในวิทยาลัยนั่นเอง

เรียกว่า คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะ ‘ได้ทำ’ จริงๆ

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)นวัตกรวัยรุ่น

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: ใช้ลูกกวาดบ้าน vs หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบบไหนดีกว่ากัน
EF (executive function)
28 September 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: ใช้ลูกกวาดบ้าน vs หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบบไหนดีกว่ากัน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่บอกเราว่าสมองของเด็กเล็กอายุ 0-5 ปีเจริญเติบโตและพัฒนาเร็วมาก แม้ว่าจำนวนเซลล์ประสาทจะค่อนข้างคงที่แต่จุดเชื่อมต่อประสาทที่เรียกว่า synapses เกิดใหม่และขาดตอนทุกวัน

การเพิ่มขึ้นของจุดเชื่อมต่อประสาทจะมากหรือน้อยเป็นไปตามประสบการณ์ที่เด็กได้รับ การละเล่น งานที่ทำ นิ้วมือที่จับต้อง ประสบการณ์มากกว่า ทำงานมากกว่า นิ้วมือขยับมากกว่า จะมีจุดเชื่อมต่อประสาทมากกว่า จุดเชื่อมต่อประสาทเหล่านี้จัดเรียงตัวเองเป็นวงจรประสาทต่างๆนานาเพื่อรองรับทักษะต่างๆ นานา

จุดเชื่อมต่อประสาทที่เกิดขึ้นแล้วแต่ไม่ใช้ต่อเนื่อง ไม่สานต่อ ไม่ฝึกปรือ สามารถหายไปได้ทุกวันด้วย กระบวนการนี้จะเข้มข้นมากเมื่อเด็กอายุ 9-12 ปี และทวีความเข้มข้นสูงสุดที่อายุประมาณ 15 ปีก่อนที่จะเริ่มเบาบางลง กระบวนการนี้เรียกว่าการตัดแต่งหรือ pruning ซึ่งจะยังคงดำเนินต่อไปในวัยผู้ใหญ่ด้วยความเร็วที่น้อยลงมาก

เด็กเล็กจึงเป็นวัยสร้างสมอง สมองที่สร้างนี้จะได้ใช้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ

อ่าน เล่น ทำงาน เป็นประสบการณ์พื้นฐาน 3 ประการที่ทำง่าย ทำได้ ไม่ยากเย็นอะไร ขอให้รู้ว่าสำคัญ แล้วลงมือทำตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง กล่าวเฉพาะเรื่องการทำงาน เพื่อมิให้ข้อเขียนนี้กลายเป็นตำราแพทย์มากเกินไป เราเริ่มต้นที่เด็กเป็นศูนย์กลาง นั่นคือเด็กทำงาน

งานมีหลายชนิด แต่ที่ใกล้ตัวเด็กคืองานบ้าน ลองเลือกงานบ้านมา 1 ชนิด แล้วเราตามไปดู

‘กวาดบ้าน’ กวาดบ้านดีอย่างไรและทำได้อย่างไร

1. เด็กจะกวาดบ้านได้ต้องยืนได้มั่นคง นั่นแปลว่ากล้ามเนื้อต้นขาต้องแข็งแรง เส้นประสาทที่ทอดผ่านกล้ามเนื้อต้นขาของคนเรามีขนาดใหญ่มาก เรียกว่า sciatic nerve ในผู้ใหญ่จะมีขนาดใหญ่เท่านิ้วมือเลยทีเดียวเชียว การกวาดบ้านทำให้เส้นประสาทนี้และกล้ามเนื้อหลายมัดรอบต้นขาแข็งแรง

2. เด็กจะกวาดบ้านได้ต้องรู้ตัวตลอดเวลาว่าตัวเองกำลังยืนด้วยท่าร่างใด และปรับท่าร่างได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะเอี้ยว หัน ก้ม เงย บิด และเดิน โดยไม่ล้ม สำหรับผู้ใหญ่มิใช่เรื่องยากแต่สำหรับเด็กเล็กที่สมองน้อยคือ cerebellum กำลังพัฒนา ความรู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในท่าร่างใดและทรงตัวได้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังพัฒนาทุกวัน ลองนึกถึงเด็กเล็กที่กวาดไม้กวาดทีหนึ่งล้มทีหนึ่ง-น่าร้าก

3. เด็กจะกวาดบ้านได้ มือและนิ้วมือต้องแข็งแรงพอจะจับไม้กวาดให้มั่น ข้อมือ แขนท่อนปลาย และต้นแขนจะบิดไปมาเป็นระยะๆ ตามสภาพพื้นที่ที่จะกวาด นิ้วมือจะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นระยะๆ ตามไปด้วย กวาดกลางห้อง ขอบห้อง มุมห้อง ใต้โต๊ะ ใต้เตียง บันได เหล่านี้ใช้ทักษะต่างๆ กัน ท่าร่างต่างกัน ข้อมือต่างกัน และนิ้วมือต่างๆ กัน สมองของเด็กพัฒนาตามไปอย่างกระชั้นชิด

4. เด็กจะกวาดบ้านได้ สายตาที่เห็นต้องส่งข้อมูลไปที่มือและนิ้วมืออย่างแม่นยำ เรียกว่า eye-hand coordination หรือจะเรียกว่า hand-eye coordination ก็ได้ คือการประสานตา-มือ จะกวาดฝุ่น เส้นผม ขนหมา ขนแมว เศษไม้ เศษแก้ว เศษผ้า เศษอาหาร ขี้จิ้งจก ซากแมลงสาบ ซากศพมด เหล่านี้ใช้ทักษะต่างกัน มิใช่กวาดผิดกวาดถูก มิใช่เพียงเรื่องตำแหน่งที่แม่นยำ แต่การประเมินผิววัตถุ พื้นผิว และความแรงของมือต้องแม่นยำด้วยจึงกวาดวัตถุใดๆ ไปได้

ระหว่างกวาดบ้านนั้นเองที่สารมัยอิลิน (myelin) ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในกระบวนการสร้างปลอกมัยอิลิน (myelination) บนเส้นประสาทที่เชื่อมประสานระหว่างสายตาและนิ้วมือ ทำให้ข้อมูลที่ได้รับถูกต้องและรวดเร็วเพียงพอ

5. เด็กจะกวาดบ้านได้เสร็จต้องรู้จักวางแผน จะแบ่งพื้นที่การกวาดบ้านอย่างไรให้ทั่วถึง ไม่ตกหล่น และไม่ซ้ำซ้อน สมองของเด็กจะเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความกว้าง ความยาว และบางครั้ง-ความลึก เด็กได้เรียนรู้การมองภาพรวม การแบ่งส่วน และการผนวกรวม คือหลักการพื้นฐานของคณิตศาสตร์

6. เด็กจะกวาดบ้านได้สะอาดต้องรู้จักรับผิดชอบ คือรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรับผิดชอบ’ หรือ responsibility เหตุเพราะงานกวาดบ้านเป็นงานที่ประเมินยากในบางกรณี พื้นบ้านสะอาดเพียงใดขึ้นกับความตั้งใจแท้จริง กวาดฝุ่นแล้วฝุ่นฟุ้งแก้ได้ด้วยการกวาดเบาๆ แต่กวาดขนหมาแล้วขนหมาลอยไปมาแม้กวาดเบาๆ ก็แก้ไขไม่ได้ เด็กที่มีความรับผิดชอบจะแก้ปัญหานี้จนได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

7. งานบ้านทุกชนิดจะมีปัญหาให้แก้ไขระหว่างทำเสมอ การกวาดขนหมามิให้ล่องลอยนั้นเป็นปัญหาหนึ่ง แต่จะมีปัญหาอื่นๆ ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์อยู่เรื่อยๆ เช่น ควรแบ่งพื้นที่กวาดแล้วโกยเป็นระยะๆ หรือ ควรกวาดทั้งบ้านแล้วโกยครั้งเดียว การกวาดบ้านแบบไหนที่ทุ่นแรงและเวลามากกว่ากัน ระหว่างกวาดบ้านหากพบใยแมงมุมลอยตัวอยู่เหนือระดับพื้นจะให้กวาดทิ้งด้วยหรือไม่ และถ้ามีแมงมุมเกาะอยู่ตัวหนึ่งควรสงสารแมงมุมหรือไม่ สารพัดมีเรื่องให้ได้สังเกตและคิดอยู่เสมอ สมองได้ทำงานภายใต้ประสบการณ์จริง

8. งานบ้านทุกชนิดมีเรื่องให้คิดวิเคราะห์และมีเรื่องให้คิดยืดหยุ่นด้วย คือ cognitive flexibility จะกวาดบ้านอย่างไรให้เสร็จเร็วที่สุดเพราะคุณครูจ่ายการบ้านมาเยอะมากจะทำไม่ทัน ยังไม่นับว่ามีเกมต้องเล่นอีกด้วย การกวาดลวกๆ ระดับใดที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์คับขันเฉพาะหน้าไปได้ก่อน ไว้พรุ่งนี้การบ้านน้อยลงแล้วค่อยกวาดให้สะอาดอีกครั้งหนึ่งจะได้ไหม พูดง่ายๆ ว่าจะรักษาสมดุลระหว่างเวลาและคุณภาพอย่างไร

9. การกวาดบ้านช่วยให้เด็กเรียนรู้วัฒนธรรม หากต้องการให้บ้านเป็นมงคลมีโชคลาภเงินไหลเข้า ให้กวาดเข้าหาภายในบ้านแล้วโกยขึ้นให้เรียบร้อย รวมทั้งห้ามกวาดบ้านในวันปีใหม่ ในทางตรงข้ามหากมักง่ายกวาดบ้านด้วยวิธีกวาดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปหน้าบ้านให้พ้นๆ เงินก็จะไหลออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัว

คุณประโยชน์เหล่านี้เด็กจะไม่ได้รับเลยหากซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น รุ่นใหม่ล่าสุดราคา 27,000 บาท สามารถสั่งการได้ด้วยรีโมทคอนโทรลและไวไฟ อยู่ที่ทำงานก็สั่งให้เขาดูดฝุ่นให้ได้ เทียบกับการกลับมาบ้าน สั่งลูกกวาดบ้านต่อหน้ามันยังไม่ทำเลย

และถ้าการกวาดเข้าบ้านทำให้รวย หุ่นยนต์ดูดฝุ่นน่าจะช่วยให้รวยมากแน่ๆ

Tags:

EFและการศึกษางานบ้าน งานครัว งานสวนประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
Life classroom
28 September 2018

แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • หลังปรากฏตัวใน ‘Stranger Things’ กับบทบาร์บ-บาร์บารา ฮอลแลนด์ แชนนอน เพอร์เซอร์ เป็นที่จดจำในฐานะนักแสดงพลัสไซส์ และประกาศตัวในปีเดียวกันว่าเธอเป็น ไบเซ็กชวล
  • เธอรับบทเด่นอีกครั้งในซีรีส์โรแมนติก-คอเมดี้ ‘Sierra Burgess is a Loser’ ในบทที่แทบจะเป็นตัวเอง นอกจากพิสูจน์ฝีมือในแง่อาชีพ ยังเป็นการแสดงจุดยืนเพื่อเป็นตัวแทนของผู้หญิงพลัสไซส์ในอุตสาหกรรมบันเทิง
  • ไม่เท่านั้น เธอยังอุทิศตัว แชร์ประสบการณ์ต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ในวัยเด็ก ซึ่งครั้งหนึ่งมันพร่าผลาญชีวิตจนเคยอยากฆ่าตัวตายมาแล้ว

หลังแคสติ้งหลายปีจนหมดหวัง ฝันสุดท้ายขอเพียงทำงานในกองถ่ายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์สักเรื่อง แชนนอน เพอร์เซอร์ (Shannon Purser) ได้รับบทบาร์บ-บาร์บารา ฮอลแลนด์ (Barb-Barbara Holland) ตัวละครสมทบ (แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเรื่อง!) ในเรื่อง Stranger Things ภาพยนตร์ชุดของ Netfilx ออกฉายครั้งแรกกรกฎาคม 2016 แม้ออกมาเพียงไม่กี่ฉาก แต่คาแรคเตอร์ของสาวร่างท้วมที่ชัดเจนและซื่อสัตย์ในมิตรภาพ ทำให้ชื่อของเพอร์เซอร์ถูกพูดถึงในวงกว้าง มีชื่อเข้าชิงเวที Emmy Award สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมประเภทดราม่าซีรีส์ ปี 2017

หลังจากนั้นเธอเป็นหนึ่งในนักแสดงซีรีส์วัยรุ่น Riverdale, ละครเพลง Rise, พากย์เสียงให้กับแอนิเมชั่น Final Space, หนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์ Wish Upon และล่าสุดกับบทบาทที่ทำให้เธอถูกพูดถึงในฐานะตัวแทนวัยรุ่นพลัสไซส์ เรื่อง Sierra Burgess is a Loser

สำคัญที่สุด จุดยืนของเพอร์เซอร์ไม่ใช่แค่พัฒนาการแสดง (แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องพิสูจน์ฝีมือในแง่อาชีพ) แต่คือการมีตัวตน เป็นเธอในรูปร่างนี้ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มีมาตรฐานว่าคนผอมเท่านั้นจึงผ่านประตูด่านแรก ได้รับโอกาสไปพัฒนาฝีมือทางการแสดงต่อ

นอกจากนั้นเธอยังอุทิศตัว แชร์ประสบการณ์ต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder: OCD) ในวัยเด็ก ซึ่งครั้งหนึ่งมันพร่าผลาญชีวิตจนเคยอยากฆ่าตัวตายมาแล้ว

เซียร์รา เบอร์เจสส์ คือ แชนนอน เพอร์เซอร์ ในนามไบเซ็กชวลพลัสไซส์

Sierra Burgess is a Loser เหมือนจะเป็นภาพยนตร์วัยรุ่นโรแมนติกทั่วไป และให้ตัวแสดงหญิงหลักมีรูปร่างอ้วนที่ต้องเจอกับบททดสอบชีวิต ถูกสังคมคาดคั้นบอกให้ผอม แน่นอนว่าพล็อตนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่าง คือสุดท้ายแล้วนางเอกไม่ได้กลับไปผอม ไม่มีความคิดเรื่อง make over เปลี่ยนผู้หญิงอวบอ้วนที่ไม่เคยมีปัญหากับไซส์ของตัวเอง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนผอมเพียงเพราะเธอมีความรัก และถูกทำให้ต้องสงสัยว่า หรือผู้ชาย ‘ทุกคน’ จะชอบคนผอม หรือหญิงอ้วนจะมีความรักโดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ซึ่งเพอร์เซอร์เห็นด้วยที่บทเขียนไว้อย่างนั้น

“เซียร์ราให้ภาพผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่อง เธอไม่เคยคิดว่ามันผิดปกติตรงไหนที่รูปร่างเป็นแบบนี้ ไม่เคยจนกระทั่งถูกบังคับให้ต้องกลับมามองตัวเองด้วยสายตาของคนอื่น ก็เพราะผู้ชายที่เธอชอบคิดว่าเธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์หุ่นดี นั่นเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เธอสั่นสะเทือนและอ่อนไหว

“ฉันหวังว่าซีรีส์นี้จะทำให้คนกล้ารักตัวเอง โอบกอดตัวเองในแบบที่เป็น ทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าในเรื่องความรัก”

เธอกล่าวว่า เธอไม่รู้ว่าจำเป็นต้องพูดถึงแง่ดีต่อการวิจารณ์เรื่องรูปร่าง (เพราะกระแสที่เกิดขึ้นจากซีรีส์) หรือไม่ แต่การดำรงอยู่ของเธอในอุตสาหกรรมบันเทิง ก็คือการวิจารณ์เรื่องรูปร่างไปแล้ว เพราะในอุตสาหกรรมนี้มีตัวแทนของคนรูปร่างใหญ่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

“ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบนะ เพราะฉันคือหนึ่งในคนกลุ่มน้อยในวงการ เหมือนมีภาระกดอยู่บนบ่า และฉันก็อยากสร้างนิยามความสวยใหม่ต่ออุตสากรรมบันเทิง ฉันดีใจที่ได้เป็นคนที่ทำหน้าที่นี้ แต่ มันควรจะมีฉันอีก 10, 20 หรือ 30 คน ซึ่งอาจจะเป็นคนที่ร่างใหญ่กว่าฉันหรือรูปร่างอื่นๆ”

ทั้งหมดนั้นคือบทสัมภาษณ์ของเพอร์เซอร์ ใน Vogue เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก่อน Sierra Burgess is a Loser (อ่านได้ที่นี่: https://www.vogue.com) จะฉายจริงใน Netflix เพียงวันเดียว ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ที่แสดงจุดยืนชัดเรื่องการเป็นตัวแทนของผู้หญิงพลัสไซส์ในวงการบันเทิง

และไม่ใช่แค่ในนามของ ‘ผู้หญิง’ แต่เธอยังเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวเองว่าเป็นไบเซ็กชวล (come out เมื่อปี 2016 หลัง Stranger Things ออกฉายไม่นาน)

“เซียร์ราคือฉันในนามผู้หญิงพลัสไซส์ แต่ฉันอยากจะเห็นซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้ในเรื่องราวชาวเควียร์ การได้เป็นตัวแทน (ของกลุ่ม LGBTQ) สำคัญมากเพราะมันจะทำให้ความเข้าใจต่อกลุ่มเควียร์เป็นเรื่องปกติในสังคม”

แชนนอน เพอร์เซอร์ ในเงาภาวะซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

#EmpoweringYoungWomen

ไม่ใช่แค่แสดงจุดยืนว่าเป็นไบเซ็กชวลพลัสไซส์ เธอยังอุทิศเรื่องราวของตัวเองในการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ OCD ตั้งแต่วัยเด็กอันเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เพอร์เซอร์เคยพิจารณาความตาย เธอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ #EmpoweringYoungWomen ร่วมกับ Future of Personal Health และ Mediaplanet USA ทั้งเขียนถ่ายทอดเรื่องราวของเธอลง Teen Vogue (อ่านได้ที่นี่) อีกด้วย

“หลายคนคิดว่า OCD คือคนที่ชอบหมกมุ่นกับความสะอาด เนี้ยบจัด ไม่ยอมให้อะไรหลุดออกจากความเป็นระเบียบ หรือคุณอาจคุ้นกับ OCD เพราะผู้คนชอบเปรียบเทียบตัวเองด้วยมุกตลกว่า ‘ฉันยอมไม่ได้กับความรกรุงรัง ฉันต้องเป็น OCD แน่ๆ’ แต่การอยากเก็บของให้เป็นระเบียบ เทียบไม่ได้เลยกับการถูกวินิจฉัยว่าเป็น OCD” คือคำอธิบายของเพอร์เซอร์ใน Teen Vogue

สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health) ระบุอาการของ OCD คือสภาวะเรื้อรัง จะย้ำคิด หมกมุ่นในการคิด และย้ำทำด้วยแรงกดดันทางจิตที่บังคับไม่ได้ ผู้ป่วยมักถูกบังคับให้รู้สึกหรือหมกมุ่นอยู่ในสิ่งนั้น

อาการที่เกิดขึ้นกับเพอร์เซอร์ เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็ก (ที่จะส่งผลกระทบมากมหาศาล) อย่างการอ่านหนังสือ กระทั่งเรื่องใหญ่อย่างการบิดเบือนความจริง จนเป็นเหตุให้คิดฆ่าตัวตาย

เรื่องการอ่านหนังสือ เธอเล่าว่าแม้เธอจะเป็นหนอนหนังสือและอ่านเร็ว แต่จะมีบางจังหวะที่เธอสะดุดเอากับประโยคบางประโยค ย่อหน้าบางย่อหน้า ถูก (ความย้ำคิดและทำ) สั่งให้อ่านข้อความนั้นวนซ้ำจนมั่นใจว่าจำได้ทั้งหมด บางครั้งทำให้การบ้านง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก อย่างที่เพอร์เซอร์อธิบายว่า “OCD ทำให้สิ่งที่ฉันรักกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายและน่าหวาดกลัว”

“พฤติกรรมการอ่านของฉันเกี่ยวกับการย้ำคิดย้ำทำ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้อยากฆ่าตัวตาย มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการ ‘ตีซ้ำๆ’ ในจุดที่ฉันเจ็บปวด’”

เพอร์เซอร์เริ่มหยุดพูดคุยกับคนอื่น เพราะกลัวว่าสิ่งที่เธอพูดคือเรื่องโกหก เธอไม่ได้อยากโกหก แต่อาการย้ำคิดย้ำทำ ทำให้เธอตั้งคำถามว่าสิ่งที่เธอพูดไป ใช่ความรู้สึกของเธอจริงหรือเปล่า เช่น เธอไม่กล้าพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ เพราะไม่มั่นใจว่าเธอรู้สึกผิดจนต้องขอโทษจริงไหม? ถ้าไม่ สิ่งที่พูดออกไปย่อมไม่ต่างจากการโกหก วิธีแก้คือ เธอจะเปลี่ยนรูปแบบประโยค พูดจาอ้อมค้อม ดีที่สุด คือไม่พูดเลย

สิ่งเลวร้ายที่สุดที่ OCD มอบให้ คือการบิดเบือนการมองเห็นตัวเอง เริ่มเชื่อว่าตัวเองคือปีศาจ น่ารังเกียจ ตีความสิ่งที่เห็นแบบผิดๆ สิ่งที่อยู่ในหัวเพอร์เซอร์บางครั้งคือเรื่องเพศหรือความรุนแรง กระทั่งเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวอันตราย เริ่มพิจารณาว่าความตายอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด

“ในคืนนั้น ก่อนที่ฉันจะไม่เหลือความหวังใดๆ ฉันเดินไปหาแม่และเล่าทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ทุกความคิดและบอกเธอว่ามันกระทำกับฉันยังไง ฉันไม่ได้หายขาด รู้สึกดีขึ้น หรือไม่หมกมุ่นกับความคิดนั้นอีก กลับกัน ฉันเอาแต่นอนบนเตียง ร้องไห้ รู้สึกหมดหวังกับชีวิต

“แต่อยู่ดีๆ ก็บังเอิญเจอบทความเกี่ยวกับ OCD ระหว่างที่อ่าน มันโล่งมาก สิ่งที่ผู้เขียนเล่าตรงกับสิ่งที่ฉันเคยเผชิญ ฉันไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ได้ผิดปกติ มันเป็นแค่อาการหรือโรคชนิดหนึ่ง”

เพอร์เซอร์เล่าถึงบทความที่เพิ่งอ่านเจอให้กับแม่ฟัง พวกเขาช่วยกันหานักจิตวิทยามาทำงานกับเพอร์เซอร์ ทุกวันนี้เพอร์เซอร์ไม่ได้หายขาดจากโรคย้ำคิดย้ำทำและอาการซึมเศร้า เพียงแต่ช่วยให้เธอจัดการกับมันได้ง่ายขึ้น

“ต้องขอบคุณที่มี ‘อินเทอร์เน็ต’ บนโลกใบนี้ เพราะมันคือเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยให้ฉันเข้าใจอาการและรู้สึกปลอดภัยที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง หลังหาความรู้ในเรื่องนี้ ฉันออกไปพบผู้คนทั้งในโลกจริงและผ่านออนไลน์ ฉันรู้ว่ามีกลุ่ม มีผู้คนที่พร้อมจะซัพพอร์ตอยู่เสมอ

“สำหรับคนที่กำลังดิ้นรนกับภาวะแบบนี้ ฉันบอกได้แค่ว่า ‘มันจะดีขึ้น’ มันอาจไม่หาย แต่การรักษาจะทำให้ชีวิตเราง่ายและเป็นสุขขึ้น”

อ้างอิง:
Instagram
Shannon Purser on Coping With OCD and Suicidal Ideation
Sierra Burgess Is a Loser Star Shannon Purser on Plus-Size Rom-Com Heroines
Riverdale‘s Shannon Purser Comes Out as Bisexual: ‘It’s Something I’m Still Processing’

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ภาพยนตร์ศิลปินเพศซึมเศร้า

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ปฏิรูปการศึกษาด้วย ‘วิชาความสุข’
Education trend
27 September 2018

ปฏิรูปการศึกษาด้วย ‘วิชาความสุข’

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • เด็กๆ อนุบาลไปจนถึงอายุ 14 ปี ในเมืองเดลี ประเทศอินเดีย ได้เรียนวิชาใหม่ชื่อว่า ความสุข
  • ธงของวิชานี้คือ เข้าไปเปลี่ยนความสนใจเด็กๆ ให้ออกห่างจากคะแนนสอบได้
  • ขณะที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอินเดียการแข่งขันอย่างรุนแรง การโกงข้อสอบกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ภาครัฐจึงหวังให้วิชานี้เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น

รัฐบาลเมืองเดลีในประเทศอินเดีย บรรจุวิชาใหม่ลงในหลักสูตรโรงเรียน โดยหวังว่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ทางการเรียนจากคะแนนหรือเกรดให้เป็น ‘ความสุข’ แทน

เด็กๆ อนุบาลจนถึง 14 ปี ในโรงเรียนรัฐบาลเมืองเดลี จะได้เรียน ‘วิชาความสุข (Happiness)’ ซึ่งประกอบด้วย โยคะ ทำสมาธิ และการเรียนการสอนที่ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเอง

คาบแห่งความสุขนี้กินเวลา 45 นาที เริ่มต้นขึ้นด้วยการตั้งสมาธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เด็กๆ นั่งสมาธิ หากให้พุ่งความสนใจไปยังกิจกรรมและเรื่องเล่าต่างๆ โดยไม่มี ‘การสอบ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง

แล้วจะวัดผลอย่างไร?

คำตอบคือ คุณครูจะประเมินผลวิชานี้ โดยใช้ ‘ดัชนีความสุข’ ของเด็กๆ เป็นตัววัด

ด้วยหวังว่า การเรียนการสอนแบบรอบด้านเช่นนี้ จะทำให้เห็นว่าความรู้และคุณค่าจากวิชาดังกล่าว เข้าไปเปลี่ยนความสนใจเด็กๆ ให้ออกห่างจากคะแนนสอบได้

มานิช ซิโซเดีย (Manish Sisodia) รองหัวหน้าคณะเทศมนตรีของเมืองเดลี และผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา วางแผนหลักสูตรวิชาความสุขเอาไว้ว่า

“ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเราได้แต่ผลิตแรงงานจำนวนมากเพื่อป้อนแรงงานสู่ระบบอุตสาหกรรม แต่เราไม่ได้พัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์ที่ดีเลย” มานิช เสริมอีกว่า

“การศึกษาต้องผลิตและส่งเสริมให้เกิดคุณธรรมและความคาดหวังของสังคม จริงอยู่เราไม่อาจดูดายความต้องการของสังคมได้ เพราะเราเองก็ต้องการความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ แต่เราเองต้องผลักดันให้เกิด ‘ความเท่าเทียมทางความสุข’ ด้วย”

ปฏิรูปด้วยความสุข

วิชาความสุข เริ่มคาบแรกไปแล้วเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน โดย องค์ทะไลลามะ (Dalai Lama) มาเป็นประธาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปโดยพรรค Aam Aadmi แห่งเมืองเดลี เพื่อพาทั้งเมืองให้หลุดออกจากระบบที่ยึดติดกับการอ่านหนังสืออย่างหนักและมุ่งแต่การสอบ

ระบบการศึกษาของเมืองเดลี ประกอบด้วยโรงเรียนของรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ที่เน้นการเรียนแบบท่องจำและผลการสอบมาตลอด ก่อนจะพบว่าคุณภาพการสอนกลับแย่ลงเรื่อยๆ

รายงานสถานะการศึกษาประจำปี (Annual Status of Education Report: ASER) ล่าสุด เผยว่าเด็กอินเดียอายุ 14 ถึง 18 ปี จำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ เผชิญปัญหาในการอ่านภาษาตัวเองไม่ออก แม้จะเรียนมาแล้วถึง 8 ปี

ขณะที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอินเดียก็ต้องการคะแนนสอบเข้าสูงลิ่ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การแข่งขันอย่างรุนแรง การโกงข้อสอบกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ในปี 2015 ผู้ปกครองและเพื่อนๆ จำนวนมากถูกแอบถ่ายรูปขณะกำลังปีนกำแพงห้องสอบในแคว้นไบฮาร์ (Bihar – รัฐในภาคตะวันออกของอินเดีย) เพื่อส่งคำตอบให้กับเด็กๆ ที่กำลังสอบ และข้อสอบก็รั่วไหลเป็นเรื่องปกติ

วิชา ‘ชีวิตที่ดี’
การเรียนอย่างมีความสุขจึงสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) หนึ่งในมหาวิทยาลัยระดับไอวีลีกของสหรัฐอเมริกา เปิดตัวคอร์สจิตวิทยาและวิชา ‘ชีวิตที่ดี’ ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม
นักศึกษาให้ความสนใจกว่า 1,200 คน เข้าคลาสทุกสัปดาห์ ถือเป็นคลาสที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเยลนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1701 เป็นต้นมา
การบ้านของคลาสนี้ คือ การแสดงออกถึงความซาบซึ้งใจ การมีเมตตา และการเพิ่มความสัมพันธ์ทางสังคม
อ้างอิง:
These Indian schools are giving lessons in happiness

Tags:

ครูระบบการศึกษาวิชาความสุขเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ไทกิ HOMEBURG: นักพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบคนบ้าและไม่เคยอยากเป็นเชฟ
Voice of New Gen
27 September 2018

ไทกิ HOMEBURG: นักพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบคนบ้าและไม่เคยอยากเป็นเชฟ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ไม่ได้ชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าชอบทำอะไร เพิ่งเริ่มครองครัวเมื่อ 4 ปีก่อน ศึกษาเบอร์เกอร์และวิทยาศาสตร์อาหารอย่างจริงจังเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แม้เป็นเจ้าของ Homeburg แต่เขาไม่ได้อยากเป็นเชฟ!
  • ก่อนจะมีครัว Homeburg เขาเคยปรับห้องพักในหอใน แปลงเป็นครัวย่อมๆ ทดลองธุรกิจขาย ‘อกไก่นุ่ม’ ด้วยเครื่องซูวี ทำอาหารภายใต้สุญญากาศมาก่อน
  • ออกไปกินเบอร์เกอร์ทุกร้านที่ใครว่าดี แยกเลเยอร์เบอร์เกอร์ออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษา ตั้งแต่ ชีส เนื้อ ผักดอง มายองเนส ขนมปัง เฉพาะเนื้อที่เป็นตัวชูโรง เขาและทีมต้องทดลองซื้อเนื้อแทบทุกสัดส่วนมาบดและชิม ทดลองกระทั่งทิศทางตัดเนื้อว่าตัดขวางหรือตัดตามริ้วลายบนเนื้อให้รสสัมผัสแตกต่างกันอย่างไร

“คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองหลงใหลอะไร เราเชื่อว่าทุกคนต้องใช้เวลาบ่มเพาะความหลงใหลของตัวเอง ความหลงใหลไม่ใช่สาเหตุ แต่เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบชีวิตที่ดี”

บทเริ่มของหนังสือ ‘Designing Your Life: คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking’ บอกไว้เช่นนั้น และเป็นประโยคเดียวกันที่อาจนิยามตัวตนของ ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า อายุ 24 ปีเจ้าของร้าน Homeburg คราฟเบอร์เกอร์ที่เขาพัฒนาสูตรมากับมือด้วยฐานคิดจากวิทยาศาสตร์อาหาร คู่กับโจทย์ที่ตั้งไว้ว่า “ต้องเป็นเบอร์เกอร์สำหรับคนไม่รักเบอร์เกอร์” ท้าท้ายประสบการณ์ของคนกินและพ่อครัวด้วยการเตรียมวัตถุดิบกว่า 4 ชั่วโมงเพื่อออกไปปิ้ง ย่าง กริลล์กันสดๆ เพียงวันละ 4-6 ชิ้น ให้กับเพื่อนใหม่ที่ลงชื่อเข้าขอชิม และจ่ายเงินตามความเห็นของตัวเอง

คำว่า ‘หลงใหล’ ของไทกิ ตั้งต้นจากการ ‘ไม่รู้’ ว่าตัวเองหลงใหลอะไรมาก่อน บันทึกการเดินทางของผู้ชายคนนี้ระบุว่า เขาเพิ่งเริ่มจับมีดและสำนึกว่าการทำอาหารเป็นเรื่อง ‘สนุก’ เมื่อ 4 ปีก่อน ในช่วงรอยต่อระหว่างมหาวิทยาลัยปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 และเพิ่งเริ่มพัฒนาสูตรการทำเบอร์เกอร์อย่างเข้มงวดจริงจังเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า

ไฮไลท์ของเบอร์เกอร์ Homeburg แน่นอนว่าส่วนหนึ่งอยู่ที่รสชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทำคนกิน และเป็นเบอร์เกอร์ของคนไม่รักเบอร์เกอร์ แต่อีกส่วนก็คือ ประวัติศาสตร์กว่าจะเป็น Homeburg เขาแยกส่วนประกอบทุก ‘เลเยอร์’ ออกมาตรวจสอบ ตั้งแต่ ขนมปัง, เนื้อ, ชีส, มายองเนส ออกไปสำรวจตลาดเบอร์เกอร์ในไทยว่าแต่ละเจ้าให้รสชาติอย่างไร ใช้วัตถุดิบแบบไหน รวมทั้งเฝ้าถามคนกินว่า “ที่ไม่รักเบอร์เกอร์ เป็นเพราะอะไร”

“เราไม่ได้เป็นเชฟ ไม่ได้อยากเป็น เราแค่ชอบทำอาหารและสนใจอาหารเป็นอย่างๆ เช่น เบอร์เกอร์และกาแฟ การทำ Homeburg เลยค่อนข้างตอบโจทย์ในแง่ได้ชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้านโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองของการเป็นเชฟ เราคิดว่าตัวเองเป็น developer ที่ได้สนุกกับการทดลองมากกว่า” ไทกิเริ่มต้นอธิบายขณะเตรียมบดเนื้อเพื่อรอ ‘เพื่อน’ ใหม่ราว 4-6 คนที่กำลังจะเข้ามากินดื่มช่วงเวลา 2 ทุ่ม

ตลอดบทสนทนาว่าด้วยศาสตร์การทำเบอร์เกอร์ ไทกิอธิบายกระบวนการโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์รองรับหนักแน่นและลื่นไหล (ซึ่งนั่นทำให้ผู้สัมภาษณ์ต้องคอยถามซ้ำบ่อยๆ ว่า ‘เอ่อ… มันคืออะไรคะ?’) เข้าใจราวกับไม่ใช่นักศึกษาสาขาภาษาศาสตร์ดังที่เขาให้ข้อมูลเอาไว้ แต่เหมือนนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์การอาหารมากกว่า แน่นอนว่าคำกล่าวเช่นนี้เป็นปัญหา เพราะผู้เขียนทำราวกับไม่รู้จักโลกใบใหม่ที่เราไม่จำเป็นต้องทำงานตรงสายในสาขาที่เรียนหรือโอบกอดความฝันแรกที่ผุดขึ้นในสมอง

เพราะหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองหลงใหลอะไรตั้งแต่แรก และ “เชื่อว่าทุกคนต้องใช้เวลาบ่มเพาะความหลงใหลของตัวเอง” ดังที่ บิล เบอร์เนตต์ กับ เดฟ อีวานส์ กล่าวไว้ใน Designing Your Life และดังเรื่องราวของไทกิ แห่ง Homeburg

จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน

ไม่ได้ชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าชอบทำอะไร จบมัธยมต้นด้วยเกรดเฉลี่ย 1.XX กว่า เพียงพอจะต่อมัธยมปลายสายศิลป์ภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเดิมได้ ชีวิตมัธยมปลายคือการประคองตัวเพื่อทำหน้าที่นักเรียนในการสอบให้ติดมหาวิทยาลัยรัฐสักที่ ด้วยตัวเลือกที่ดีที่สุดและไม่คัดง้างกับตัวเอง

ชีวิตวัยเด็กของไทกิดำเนินไปอย่างสามัญตามชีวิตวัยเรียนทั่วไป เพิ่มเติมคือความ ‘ขบถ’ ที่มีในตัว

“ความฝันตอนเด็กเหรอ? ไม่รู้เลย เราเป็นเด็กทั่วไปที่เดินตามระบบการศึกษาไทยนะ เขาอยากให้ทำอะไรก็ทำ อยากให้อ่านหนังสือเพื่อสอบก็ทำ ตอน ม.ต้นเราอยู่ห้องเรียนดีเพราะสอบคัดเลือกเข้ามาได้ แต่เป็นห้องที่บังคับให้เรียนวิทย์และคณิต ต้องเรียนเพิ่มเติมถึง 6 โมงเย็น เลยฝังใจว่าไม่ชอบการเรียนแบบนี้ พอขึ้น ม.ปลายเราเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศส ชอบมั้ยไม่รู้ รู้แต่ทำได้ดีกว่าเลขและวิทย์ แต่ก็เป็นการเรียนอย่างไม่ได้คิดว่าจะเรียนเพื่อเอาไปใช้ทำอะไร”

สุดท้ายไทกิสอบติดคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ยังไม่ใช่การเลือกที่มาจากความฝันหรือความมุ่งมั่นด้านวิชาชีพ

“จุดเริ่มต้นของทุกอย่างเกิดขึ้นตอนเราไปทำงานที่อเมริกาในโครงการ Work and Travel เพราะตอนปิดเทอมปีสองจะขึ้นปีสาม เป็นช่วงที่ไทยเปลี่ยนเวลาเปิดเทอมให้ตรงกับอาเซียน คณะเราฮิตไปโครงการนี้มาก เปิดเทอมนั้นก็ได้หยุดตั้ง 5 เดือน แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่อินกับประเทศนี้ ไม่อินกับภาษานี้ ไม่เคยศึกษาหาข้อมูล แต่พอเพื่อนพูดเยอะๆ ก็ เออ… ลองดูสักหน่อยว่ามันคืออะไร

“คุยกับเพื่อนที่เคยไปมาแล้ว ลองคำนวณค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพคร่าวๆ ต่อเดือนกับรายได้ขั้นต่ำที่จะได้ ดูแล้วคิดว่ามีรายได้กลับมาเหมือนกันนี่นา เลยตัดสินใจไป”

เพราะต้อง ‘เอาตัวรอด’ ในหลากมุมของชีวิต ทั้งภาษา อาชีพ ควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้เขาต้องปรับแผนและออกแบบชีวิตอย่างเร่งด่วนภายในเวลา 5 เดือน แต่เฉพาะมุมความสนใจด้านอาหาร ไทกิยกประโยชน์ให้การทำงานเป็น helper หรือผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารญี่ปุ่น และ การได้ครองครัวเป็นครั้งแรก

“ที่เลือกงานนี้เพราะเป็นงานที่มีชั่วโมงทำงานนาน ได้เงินเยอะ คือไล่เรากลับบ้านไม่ได้เพราะเดี๋ยวไม่มีคนช่วย การเป็นผู้ช่วย พ่อครัวจะสอนว่าจับมีดแบบนี้นะ หั่นแบบนี้ การหั่นแบบนี้ต้องจับมีดยังไง

“ด้วยความที่อยากลดค่าใช้จ่ายของตัวเองเพราะบ้านที่อยู่ตอนแรกมันแพงมาก อยากย้ายบ้าน เลยไปดูบ้านที่ใกล้ที่ทำงานว่ามีที่ไหนน่าสนใจ ไปเจออพาร์ตเมนต์โง่ๆ หลังหนึ่งซึ่งเป็นห้องโล่งๆ มีแต่เครื่องซักผ้า ครัว มีห้องนอนแต่ไม่มีฟูก มีพรมและฮีตเตอร์ให้ พอดูราคาห้องแล้วคิดว่าตัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ เรากับเพื่อนคนไทยที่ไปด้วยกันเลยย้ายมาอยู่ที่นี่

“พอย้ายเข้าบ้านใหม่ก็ต้องทำกับข้าวกินเอง ซึ่งแถวที่พักมันจะมีกู๊ดวิลล์ สถานที่รับบริจาคสิ่งของซึ่งจะนำของเหล่านั้นมาขายในราคาถูกเพื่อเอาเงินตรงนี้ไปช่วยโฮมเลสหรือใครก็ตาม เราเลยได้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น กระทะ ตะหลิว เครื่องปิ้งขนมปัง เข้าบ้าน

“ช่วงแรกๆ ก็จะทำอาหารง่ายๆ อย่างมาม่าหรือจากผงปรุงสำเร็จที่เพื่อนๆ ขนไป แต่พอกินไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มหมดและเบื่อ อยากกินอย่างอื่นบ้าง ตอนนั้นทำกับข้าวไม่เป็น แต่ก็เปิดคลิปสอนทำอาหารของ กอร์ดอน แรมซีย์, เจมี โอลิเวอร์ เสิร์ชดูว่ามันมีวัตถุดิบแบบนี้ๆ นะ เราก็จดไว้ไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและกลับมาทำกินเอง เออ… สนุกดีอะ อร่อยไม่อร่อยอีกเรื่อง แต่ตอนทำมันสนุก เราเลยเริ่มชอบทำอาหารตั้งแต่ตอนนั้น”

ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า

แล้วไปหลงรักเบอร์เกอร์ตอนไหน?

“จริงๆ เริ่มจากเรื่องอยากฝึกภาษา ตอนแรกภาษาอังกฤษเราห่วยมาก แต่ไปอยู่ตรงนั้น เราบอกตัวเองว่า มาถึงตรงนี้ เสียตังค์ตั้งเยอะ ถ้าไม่ได้เงินคืนก็ต้องพูดภาษาได้”

ไทกิใช้เวลาช่วงเดือนแรกเดินไปตามสวนสาธาณะ ตามซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อแอบฟังพ่อแม่คุยกับลูกระหว่างเลือกซื้อของ ฟังเหล่า granny พูดคุยกันตอนออกกำลังกาย และพยายามเปล่งปากพูดกับเพื่อนชาวอเมริกัน ถึงจุดหนึ่งเขาก็พูดได้ เพื่อนในโลกและวัฒนธรรมใหม่ชวนเขาออกไปหาความอร่อยทางวัฒนธรรม

“พอพูดจากันถูกคอ เพื่อนอเมริกันก็เริ่มชวนกันไปกินนู่นกินนี่ในวันหยุด”

ช่วงบ่มเพาะความหลงใหล ก่อนจะเป็น Homeburg

“ช่วงวันหยุด เพื่อนฝรั่งพาไปร้านพิซซ่า ร้านเบอร์เกอร์ท้องถิ่นของเขา ตรงนี้แหละที่รู้สึกว่ามันสนุกมากๆ ก่อนไปเราชอบกินจังค์ฟู้ดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้จักร้านเบอร์เกอร์อื่นที่ไม่ใช่ McDonald’s หรือ Burger King แต่พอไปเจอเบอร์เกอร์ที่นู่นก็รู้สึกว่าทำไมมีตัวเลือกเยอะจัง รสชาติไม่เหมือนกับเบอร์เกอร์บ้านเราเลย จากนั้นทุกวันหยุดเราก็วางแผนออกไปกินร้านเบอร์เกอร์พวกนี้ตลอด นอกจากชอบเบอร์เกอร์ ก็ทำให้ชอบศาสตร์ของกาแฟด้วย

“ก่อนจะกลับ เราวางแผนเที่ยวเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ตั้งใจไปเที่ยวทางซีกซ้ายของประเทศ คือ วอชิงตัน ออเรกอน แคลิฟอร์เนีย เพราะทั้งแถบนี้บ้ากาแฟหมด ส่วนเบอร์เกอร์เราแพลนไปกินที่ลอสแองเจลิสกับซานฟรานซิสโก ซึ่งเบอร์เกอร์ของ 2 รัฐนี้ก็รสชาติไม่เหมือนกันอีกนะ”

ทั้งหมดนั้นคือจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในเบอร์เกอร์ แต่เมื่อกลับไทยแล้ว ความจริงที่รออยู่ตรงหน้าคือชีวิตมหาวิทยาลัยในสาขาที่ไม่ได้สนใจอีก 2 ปี แม้รู้ชัดว่าไม่ได้ชอบภาษา แต่ไม่ได้คัดค้านเท่าแต่ก่อน พร้อมได้ทัศนคติใหม่ว่าการเรียนภาษาอย่างที่เรียนอยู่จะพัฒนาไม่ได้เลยถ้าไม่มีสนามให้ฝึก

อย่างไรก็ตาม ไทกิตั้งใจว่าอย่างไรก็จะเรียนต่อให้จบ แต่ระหว่างนั้น เขาเข้ากรุงเทพฯ เกือบทุกวันหยุดเพื่อตระเวนชิมกาแฟและเบอร์เกอร์ตามร้านต่างๆ

“ระหว่างที่ไปชิมกาแฟ เราได้คุยกับเจ้าของร้าน พบว่าถ้าเป็นกาแฟ มันมีร้านที่ดีๆ ในไทยเยอะมาก (เน้นเสียง) ศาสตร์การทำกาแฟเฟื่องฟูมากและเจ้าของร้านลงลึกถึงวิทยาศาสตร์ แต่กับเบอร์เกอร์จะไม่ค่อยเยอะ คุยกับเจ้าของร้านส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอะไรกับเบอร์เกอร์มาก เช่น ถ้าอยากได้เนื้อที่เกรียมกว่านี้ต้องทำยังไง ขนมปังของคุณ กริลล์แค่นี้มันยังไม่ร้อนถึงข้างบนเลยทำให้โทสต์มันไม่ดีนะ

คือระดับความอยากศึกษา การพัฒนาตัวสินค้าระหว่างคนทำเบอร์เกอร์กับกาแฟยังไม่เท่ากัน คือมันมีคนที่เจ๋งๆ ในวงการแบบรู้ลึกจริง แต่ถ้าเทียบสัดส่วนยังถือว่าน้อยอยู่ดี ตอนนั้น แม้จะยังไม่ได้อยากทำเบอร์เกอร์ แต่ก็คิดเลยว่า ถ้าเราทำธุรกิจกาแฟยังไงก็ไม่รอด แต่ถ้าเป็นเบอร์เกอร์มีโอกาสนะ”

ขีดเส้นใต้ไว้ว่าช่วงนั้นไทกิยังไม่ได้มองถึงอาชีพ เพียงแต่ชอบออกไปหาร้านเบอร์เกอร์ต่างๆ เพราะความชอบส่วนตัว แต่เขารู้ตัวว่าชอบทำอาหารแล้ว ระหว่างปีสาม และปีสี่ ที่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาจึงเริ่มบ่มเพาะความหลงใหลของตัวเองเรื่องวิทยาศาสตร์อาหารต่อไป

ระหว่างเรียนปีสี่ เขาคิดกับเพื่อนว่าอยากหาอะไรทำเพราะมีเวลาว่าง ประกอบกับสนใจศาสตร์โภชนาการอย่างจริงจังเพราะเข้ายิม เมื่อเล็งเห็นว่ามีตลาดสำหรับคนรักสุขภาพ เขาและเพื่อนจึงเริ่มทำธุรกิจขาย ‘อกไก่นุ่ม’ ด้วยเครื่องซูวี (Sous-Vide) หรือการทำอาหารภายใต้สุญญากาศ

“ตอนนั้นเพื่อนเราเล่นเวท และมันต้องกินอกไก่วันละเป็นกิโล เราเลยคิดว่า เออ งั้นก็ทำขายสิ ถ้าขายไม่ได้ก็แค่กินเอง ไม่ได้มีข้อเสียอะไร แต่จะทำยังไงให้นุ่ม อร่อย และไม่ทอด เราก็เสิร์ชหาในเน็ต ตอนแรกก็หาเป็นภาษาไทยแต่มันก็ได้สูตรแค่การหมักนม ซึ่งเรารู้สึกว่า ‘ทำไมวิธีการทำมันวุ่นวายจังวะ’ เลยเริ่มเสิร์ชเป็นภาษาอังกฤษ how to tenderize meat ไม่ก็ how to tenderize chicken breast แล้วก็ไปเจอสูตรที่ทำไก่ด้วยเครื่องซูวี

“ตกใจมาก แบบ ‘มึงทำอาหารด้วยถุงพลาสติกเหรอ?’ แต่ก็คิดว่าไม่มีผลเสียที่จะลองนะ เลยเอาอกไก่มาปรุง ใส่เกลือ ใส่พริกไทย ใส่ถุงซิปล็อก ทำตามมันบอกเลย แต่เพราะไม่มีเครื่องซูวีเลยต้อง adapt เอา เราใช้ถังคูลเลอร์ เทน้ำร้อนและผสมกับน้ำในอุณหภูมิห้อง เขาบอกว่าต้องใช้น้ำ 60 องศาเซลเซียสใช่มั้ย เราก็กวนๆ น้ำแล้วเอาปรอทวาง 60 องศาเซลเซียสปุ๊บ ก็เอาไก่ใส่คูลเลอร์แล้วปิดฝา นั่งเฝ้าทำอยู่อย่างนี้ 2 ชั่วโมง ทำเสร็จเอาออกมากิน เฮ้ย… มันนุ่มมาก juicy มาก ผ่าออกมาน้ำยังปลิ้นอยู่เลย เราตัดสินใจเลย ขายอันนี้แหละ พอดีว่าญาติผู้พี่คนหนึ่งกำลังจะกลับจากอเมริกา เราเลยขอให้เขาหิ้วเครื่องซูวีจากที่นู่นมาเลย แล้วก็ปรับห้องในหอของเราให้เป็นครัว

“แต่ตอนนั้นยังกังวลเรื่องความปลอดภัยนะ เพราะเอาพลาสติกมาใช้อะ ก่อนขายเลยต้องหาข้อมูลอีก ไปค้นรีเสิร์ชต่างๆ ว่าพลาสติกที่เราใช้มีจุดหลอมเหลวเท่าไหร่ ต้องพลาสติกแบบไหน ปลอดภัยมั้ย สรุปว่าของที่เราใช้ปลอดภัย ทำได้ ก็เลยตัดสินใจขาย เป็นการขายแบบพรีออร์เดอร์ สั่งในเฟซบุ๊คและนัดรับ ขายดีมาก แค่เดือนเดียวก็ได้ค่าเครื่องคืนแล้ว”

เอาไงกับชีวิตดี?

ธุรกิจของไทกิและเพื่อนเป็นไปด้วยดีตลอดการเป็นนักศึกษาปี 4 แต่เมื่อเรียนจบ ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องคิดอย่างจริงจัง จะเลือกเดินทางไหน จะทำอาชีพอะไรดี?

2 ปีที่แล้วระหว่างเดินทางกลับมหาวิทยาลัยเพื่อขอใบจบการศึกษาและไปสมัครงานตรงสายอาชีพที่เรียนมา เขาได้รับอีเมลตอบกลับจากเจ้าของร้านกาแฟ April Story ว่ายังสนใจเป็นมาทำงานที่ร้านในฐานะบาริสต้าและทำอาหารให้กับร้านแห่งนี้ไหม

คำตอบคือ ‘ตกลง’ ไทกิเป็นบาริสต้าให้ April Story ตั้งแต่สิงหาคม 2016 ถึง พฤศจิกายน 2017 พร้อมกับค่อยๆ พัฒนาครัวและสูตรของ Homeburg ในระหว่างนั้น

กระทั่งเมษายน 2018 ไทกิจึงพร้อมเปิด Homeburg ในฐานะครัวของตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยแนวคิดชวนเพื่อนมาลองชิมเบอร์เกอร์และให้จ่ายเงินตามความพอใจ

Homeburg ห้องทดลอง และการพัฒนาลิ้น

ประวัติของไทกิและร้าน Homeburg ถูกบันทึกว่าเป็นการพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบ ‘คนบ้า’ เพราะเขาไม่ได้ทำเบอร์เกอร์อย่างต้องการแค่ความอร่อย แต่เริ่มต้นจากปัญหาของการกินเบอร์เกอร์ และความข้องใจว่าทำไมเบอร์เกอร์ที่ไทยจึงให้รสชาติและรสสัมผัสไม่เหมือนที่เคยกินในอเมริกา

“พี่เจ้าของร้านให้โจทย์ว่า ทำยังไงก็ได้ให้ขายเบอร์เกอร์ได้ 200 บาทและมีกำไร มันเลยยิ่งยากไปอีกเพราะเบอร์เกอร์ 1 ชิ้นไม่เกิน 200 บาท เราจะใช้เนื้อได้ดีเท่าไร? เนื้อเบอร์เกอร์แบบอเมริกันสไตล์ก็ราคาสูงมาก เราเลยไม่มีตัวเลือกมากนอกจากพัฒนาเบอร์เกอร์ด้วยการรีเสิร์ช”

ออกไปกินเบอร์เกอร์ทุกร้านที่เขาว่าคุณภาพดี แยกเลเยอร์เบอร์เกอร์ออกมาเป็นส่วนๆ ทั้ง ชีส เนื้อ ผักดอง มายองเนส ขนมปัง และลุยศึกษาเฉพาะอย่าง เฉพาะเนื้อที่เป็นตัวชูโรง เขาและทีมต้องทดลองซื้อเนื้อแทบทุกสัดส่วนมาบดและชิม ทดลองกระทั่งทิศทางการตัดเนื้อว่าตัดขวางหรือตัดตามริ้วลายบนเนื้อให้รสสัมผัสแตกต่างกันอย่างไร

“ออกไปกินเบอร์เกอร์หลายแบบจนปากเราเริ่ม educate หรือถูกเทรนด์ให้แยกความแตกต่างได้ว่า เนื้อร้านนี้บดละเอียด ร้านนี้บดหยาบ ร้านนี้กลิ่นแรง ขนมปังร้านนี้หนัก ขนมปังร้านนี้แฉะ”

นอกจากการสำรวจตลาด เกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเขายังง่วนกับการพัฒนาสูตร ปัญหาที่พบและต้องเร่งหาคำตอบให้เจอคือ ต้องใช้เนื้อพันธุ์ไหน กล้ามเนื้อส่วนใด และหรือต้องนำส่วนใดมาผสมกันจึงลงตัวและใกล้เคียงกับรสชาติในความทรงจำตอนอยู่อเมริกามากที่สุด

“เรารู้ว่าเบอร์เกอร์ตามมาตรฐานอเมริกัน สัดส่วนคือ เนื้อ 80 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นฝรั่ง เขาเลือกเนื้อส่วนที่มีไขมันแทรกได้เลย แต่บ้านเราใช้ไม่ได้เพราะแพงมาก เราเลยต้องมาทดลองเองว่า ถ้าจะเอาเนื้อ 1 กิโลกรัม ต้องใช้เนื้อแดง 800 กรัม ไขมัน 200 กรัม แล้วเอามาบดรวมกัน แต่ปัญหาคือ เวลาที่ซื้อเนื้อจากร้านแล้วขอให้เขาบดให้ เราเห็นตรงหน้าว่ามันมีพังผืดติดอยู่บนเนื้อส่วนที่เราต้องการ หรือขอให้ตัดส่วนไหนออกก่อนบด แต่เขาก็ไม่ทำหรือทำไม่ดี มันเลยควบคุมคุณภาพไม่ได้

“Homeburg เพิ่งมาลงตัวเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมาหลังพี่คนหนึ่งเอาเครื่องบดมาให้ จากนั้นเลยซื้อเนื้อทุกชนิดที่มีในร้านมาลองบดกินกันเพื่อปรับสูตร แล้วโน้ตไว้ว่า เนื้อส่วนนี้กินแล้วเป็นยังไง บางส่วนกินแล้วเหมือนเครื่องใน เหมือนกินตับ สันคอมีมันเยอะและกลิ่นแรง ช่วงท้องมีมันน้อย เอามาทำงานต่อง่ายดีนะเพราะไม่ต้องคำนวณเรื่องไขมันมาก

ไม่ใช่แค่เนื้อที่ใช้ แต่เขาให้ความสำคัญกับสัดส่วนและสูตรมาก เพราะระหว่างเตรียมอาหาร เขาชั่งตวงวัดสัดส่วนเนื้ออย่างแม่นยำ และไม่เพิกเฉยหากหน้าปัดตาบอกตัวเลขผิดไปจากความต้องการเพียง 0.1 กรัม

“ต้องเป็นมาตรฐานน่ะ เราจะควบคุมมาตรฐานได้ยังไงถ้าไม่ทำให้สูตรเป็นมาตรฐานไปเลย อย่างวันนี้เราจะทำเบอร์เกอร์สำหรับ 4 คน เรากดเครื่องคิดเลขเลยว่าต้องใช้เนื้อแดงเท่าไร ไขมันเท่าไหร่ ถ้าช่างแล้วไม่ได้ 2.00 กรัม ก็ดึงเข้าดึงออกจนกว่าจะพอดี ชั่ง 5 รอบก็ต้องเป็น 2.00 กรัม ทำเบอร์เกอร์ล้านรอบมันก็ต้องพอดี ไม่มีรอบไหนแห้ง หรือ greasy เกินไป”

อยู่แต่กับเบอร์เกอร์แบบนี้ กว่าจะได้สูตร (ซึ่งไทกิบอกว่าเขาพอใจ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว) ต้องผ่านการกินอย่างไม่ย่อท้อและการปรับสูตรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เคยเบื่อ เอียน หรือท้อใจกับการทำบ้างไหม?

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัน เบื่อเบอร์เกอร์ตัวเอง น้ำหนักขึ้น ต้องหยุดพักไปเลยกว่า 3-4 เดือน แต่เป็นความตัน เพราะเราอยากทำ food truck แต่ติดปัญหาว่าเรื่องกระบวนการทำเบอร์เกอร์ของเราใช้เวลานาน ต่อชิ้นตกที่ 20 นาที ถ้าทำบน truck คงไม่ได้แน่ พอตันก็เลยพักไปทำกาแฟ ซึ่งเป็นอีกอย่างที่เราชอบและศึกษาแบบลึกซึ้งเหมือนกัน แต่เบอร์เกอร์มันก็ยังอยู่ในหัวแหละ สุดท้ายเราไปเจอพี่คนหนึ่ง เป็นบาร์เทนเดอร์ซึ่งเคยทำครัวมาก่อน เขาแนะนำว่าฝรั่งมีเครื่อง warming drawer หรือเก๊ะอุ่นอาหารนะ แค่เอาอาหารที่สุกแล้วใส่เก๊ะนี้ คุณก็ขนเก๊ะขึ้นไปบน truck ของคุณได้ จุดนั้นเราโล่งเลย (ดีดนิ้ว) ปัญหาคลี่คลาย

“แต่หลังจากทำ Homeburg เราคิดว่าเราอาจไม่ได้อยากทำ food truck หรือถ้าทำก็ต้องทำให้ง่ายที่สุด เราชอบ Homeburg ตรงที่ได้มีความสัมพันธ์กับคนกิน ได้พูดคุย เหมือนชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน การชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้านมันไม่มีอารมณ์แบบ ‘เฮ้ย ทำไมมึงทำช้าจัง’ อะไรแบบนี้ อยากพัฒนาสินค้าของเราต่อไป”

ไทกิไม่ได้เริ่มต้นอาชีพจากความฝันวัยเด็ก ไม่ได้รู้ตั้งแต่แรกว่าเขาอยากทำเบอร์เกอร์ (ไม่ใช่เชฟด้วย) แต่เพิ่งบ่มเพาะความหลงใหลด้วยการทดลองและศึกษาอย่างจริงจังเมื่อไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อถามถึงก้าวต่อไป เขาตอบอย่างมั่นใจว่าคือการพัฒนาสินค้าต่อไปให้ลุ่มลึก วันหนึ่งอาจเปิดครัวสไตล์ Homeburg เพราะเบอร์เกอร์ไม่ใช่อย่างเดียวที่เขาชอบ แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร คนทำ คนกิน ฝันอีกอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จ คือการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ นัยยะคือ สมดุลระหว่างอาชีพและชีวิต

ความทุ่มเทตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทำไปทำไม อยากพิสูจน์อะไร?

“เราไม่ได้อยากพิสูจน์อะไรนะ เราแค่อยากทำและชอบลงทุนกับประสบการณ์ และไม่สนใจด้วยว่า professional ขึ้นกับอายุ ความสนใจจะเรียนรู้ต่างหากที่ drive หรือพาคุณไปสู่ความชำนาญ ซึ่งความชำนาญต้องใช้เวลานะ”

สำหรับโจทย์ที่เขาเคยตั้งไว้ ‘ต้องเป็นเบอร์เกอร์สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเบอร์เกอร์’ เขาอธิบายวิธีแก้ปัญหาด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า

“เพราะเบอร์เกอร์ของเราตั้งต้นว่าอยากนำเสนอความสะอาดและการแก้ปัญหา คนส่วนใหญ่บอกว่าการกินเบอร์เกอร์มันเลอะเทอะ ไส้ทะลัก แฉะ เราก็ไปดูว่าปกติเขาทำยังไง

“พ่อครัวจะย่างเนื้อก่อนค่อยย่างขนมปังทีหลัง พอย่างเนื้อก่อน เนื้อจะชุ่มน้ำมันอยู่บนเตา พอเนื้อใกล้สุกก็เอาหนมปังวาง ซึ่งวางขนมปังได้ไม่นานหรอกเพราะมันจะไหม้เกรียม ขนมปังจะกรอบเฉพาะด้านล่างแต่ไม่สุกไปถึงข้างบน จากนั้นก็เอาเนื้อที่ชุ่มน้ำมันตักลงบนขนมปังทันที ขนมปังเลยเปียกไปด้วยน้ำมัน เละ ก็ไม่อร่อย เราแก้ปัญหาด้วยการกลับกัน”

เบอร์เกอร์ของ Homeburg จึงไม่ชุ่มน้ำมันจากเนื้อ เพราะพักเนื้อไว้ที่ถ้วยเล็กเพื่อรีดน้ำมันออกก่อน และการปิ้งขนมปังช้าๆ ด้วยไฟเบาแต่นานทำให้หน้าขนมปังกรอบและร้อนถึงชั้นข้างบน ส่วนการแก้ปัญหาการหล่นแตกของผักระหว่างการกิน ไทกิสับพริกดองให้ละเอียดจนคล้ายเพสทาขนมปัง และละลายชีสแผ่นใหญ่ห่มคลุมเพื่อล็อกแตงกวาดองและเบคอนไม่ให้หลุดหล่นระหว่างกิน

“เราแนะนำให้ลูกค้าหั่นครึ่งเบอร์เกอร์ระหว่างกินด้วย เพราะเวลากินทีละครึ่งจะโดนเนื้อเยอะกว่า คือเราคิด solution มาให้หมดแล้ว แต่จะกินแบบไหนก็แล้วแต่เค้า” และสำทับยิ้มๆ ว่า

“เพราะ Homeburg ต้องการพรีเซนต์ความสะอาดและการแก้ปัญหาไง”

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)อาหารเชฟรัตนพงศ์ ซูโบต้า

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย: ชายผู้เป็นทุกอย่างให้ช็อกโกแลต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Character building
    กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว

    เรื่อง The Potential

ทักทายด้วยรอยยิ้มก่อนเริ่มคาบ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนให้ดีขึ้น
Education trend
26 September 2018

ทักทายด้วยรอยยิ้มก่อนเริ่มคาบ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนให้ดีขึ้น

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • เริ่มต้นคาบเรียนด้วยการทักทายและรอยยิ้มแจ่มใส ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมเชิงวิชาการของเด็ก สร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมในห้องเรียนนักเรียน ทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดของครูได้อีกด้วย
  • การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วม และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคาบเรียน
  • การใช้อวัจนภาษาในการทักทาย เช่น โบกมือ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างบรรยากาศให้น่าเรียน

งานวิจัยล่าสุดเผย เริ่มต้นคาบเรียนด้วยการทักทายและรอยยิ้มแจ่มใส ปล่อยพลังเชิงบวกให้กัน ไม่ว่าจะเป็นคาบแรกของวันหรือคาบแรกหลังจากพักเบรก ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมเชิงวิชาการของเด็ก สร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมในห้องเรียนนักเรียน ลดปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดของครูได้อีกด้วย

ก่อนเริ่มต้นคาบเรียนเป็นช่วงเวลาที่สมองกำลังปรับตัว นักเรียนที่เพิ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาจากสนามเด็กเล่นหรือรีบวิ่งมาเข้าเรียนให้ทันก่อนครูจะเช็คชื่อ – ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสภาวะอารมณ์

แน่นอนว่าการเจอหน้ากัน ทักทายด้วยการตำหนิติเตียนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น “เสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง” หรือ “ส่งการบ้านหรือยัง?” งานวิจัยระบุว่า การปล่อยผ่านพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นทักทายด้วยท่าทีเป็นมิตร สาดพลังเชิงบวกใส่กัน ช่วยลดพฤติกรรมและกระตุ้นให้เด็กสนใจการเรียนมากกว่า

จากการสำรวจพบว่าครูที่ทักทายนักเรียนด้วยท่าทีอย่างเป็นมิตรให้กับนักเรียนก่อนเริ่มต้นคาบ ตั้งแต่หน้าประตู เพียงยิ้มให้หรือโบกมือทักทาย เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการมีส่วนร่วมด้านวิชาการให้กับนักเรียนมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์และอีก 9 เปอร์เซ็นต์สามารถลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในห้องเรียนได้อีกด้วย

ทำไมการสาดพลังสดใสถึงเวิร์ค?

เพราะการสร้างความรู้สึกเป็นมิตรกับนักเรียนคือการสร้างความเชื่อใจระหว่างครูและนักเรียนอย่างหนึ่ง เมื่อพวกเขารู้สึกเชื่อมั่น สิ่งที่แตกหน่อออกผลต่อมาคือความรู้สึกมีส่วนร่วมในห้องเรียนซึ่งกระตุ้นให้พวกเขาอยากเรียนรู้ตามมา

“การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคาบเรียนดังกล่าว สิ่งนี้สำคัญมากในการช่วยให้งานวิจัยของเราค้นพบแรงจูงใจในการสร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของสังคม (social belonging) ของตัวเอง ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อนักเรียนรู้สึกดีกับห้องเรียน พวกเขาก็จะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เองไปในตัว” หนึ่งในทีมวิจัยอธิบาย

สำคัญกว่านั้น ทีมวิจัยมองว่า ‘อวัจนภาษา’ นี่ล่ะดีที่สุดในการสร้างบรรยากาศดังกล่าวในห้องเรียน พร้อมแนะนำวิธีเริ่มต้นง่ายๆ ได้แก่

– ยืนทักทายอยู่หน้าห้องเรียน

– เรียกชื่อพวกเขา

– ประสานสายตากับพวกเขา

– ใช้อวัจนภาษาในการทักทาย เช่น โบกมือ เชคแฮนด์หรือไฮไฟว์ เป็นต้น

แล้วการทักทายไปลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในห้องเรียนอย่างไร?

จุดนี้ ทีมวิจัยแนะนำว่า ให้ปรับมุมมองของตัวเอง จากที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียน ให้เปลี่ยนเป็นมองด้านดีของเขาและพูดสิ่งเหล่านั้นออกมา จะช่วยทำให้เขามีพฤติกรรมที่ดีขึ้นตามมา

อธิบายง่ายๆ คือ ให้เปลี่ยนวิธีคิดจาก “ฉันจะจัดการพฤติกรรมของพวกเขาอย่างไร?” เป็น “ฉันจะสร้างบรรยากาศที่ไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้อย่างไร?”

ไม่ใช่ดีแค่กับนักเรียนแต่กับครูด้วยเช่นกัน

การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนนอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เด็กสนใจเรียน ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังสามารถลดสภาวะความป่วยไข้ทางใจของครูด้วย

จากการสำรวจพบว่า ครูมากถึง 53 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกตึงเครียดที่นักเรียนไม่มีส่วนร่วมในห้องเรียนหรือก่อกวนระหว่างการเรียนการสอน – เป็นปัญหาสำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของครูเมื่อถูกถามถึงว่าอะไรคือข้อกังวลใจในการสอนมากที่สุดของปี 2014

แน่นอนว่า ยิ่งปัญหาในห้องเรียนเยอะ ครูก็ยิ่งต้องใช้พลังในการสอนมากขึ้น ทั้งการกระตุ้นให้เด็กสนใจและหันไปตำหนินักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือก่อกวนเพื่อนๆ และครูระหว่างเรียน

จริงอยู่ที่การหันไปตำหนิหรือทำโทษนักเรียนอาจช่วยให้ห้องเรียนสงบขึ้นแต่เป็นเพียงผลระยะสั้นเท่านั้น ในงานวิจัยชิ้นเดียวกันอธิบายว่า การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียนจะช่วยลดปัญหาดังกล่าวในระยะยาวได้ดีกว่า

รู้แบบนี้แล้ว วันนี้คุณยิ้มให้นักเรียนของคุณหรือยัง?

อ้างอิง:
Welcoming Students With a Smile

Tags:

เทคนิคการสอนครูระบบการศึกษา

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ครูหวังดี แต่นักเรียนเสียใจ: BULLY ที่ไม่รู้ตัวของครู
Life classroom
26 September 2018

ครูหวังดี แต่นักเรียนเสียใจ: BULLY ที่ไม่รู้ตัวของครู

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • สำหรับเด็กประถม ครูค่อนข้างมีอิทธิพลต่อเด็ก ครูคือดวงอาทิตย์ให้เราโคจรทุกวันๆ ทุกคำพูดครูจึงมีความหมาย
  • บางทีความหวังดีของครู อาจสร้างปมในใจเด็กได้ หากไม่ระวังและไม่ละเอียดอ่อนพอ
  • Bully แปลว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาให้เจ็บ ทำซ้ำๆ เปลี่ยนวิธีตามสถานการณ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ กลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยาม
ภาพ: Museum Siam

“ครูว่าเธอเรียนเก่งนะ แต่สู้พี่เธอไม่ได้” ฟังเผินๆ เหมือนจะชม แต่เอ๊ะ! นี่ชมจริงหรือเปล่า ในฐานะนักเรียนคงต้องกลับมาคิดอีกหลายตลบว่าจริงๆ แล้วเราเรียนเก่งหรือไม่เก่ง หรือเราเก่งแต่พี่เก่งกว่า แล้วถ้าพี่เก่งกว่า เราจะเรียกว่าเก่งได้ไหม คิดไปคิดมาจนอาจทำให้นักเรียนคนนั้นไม่มีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกด้อย จนกลายมาเป็นปมหนึ่งในชีวิต

ตัวอย่างข้างต้นไม่ได้กล่าวโทษว่าครูผิด เพราะครูอาจพูดไปโดยไม่มีเจตนาให้นักเรียนเสียใจ และอาจหวังดีเพื่อให้เด็กๆ พัฒนาตัวเองด้วยซ้ำ โดยไม่ทันฉุกคิดว่า ไม่ว่าสำหรับเด็กแล้วมันคือ ‘การรังแกเด็กที่ไม่รู้ตัวของครู’

จึงเป็นที่มาของงานเสวนา ‘ครูรุ่นใหม่ไม่ Bully: ว่าด้วยการกลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยามความหลากหลายทางเพศ’ ณ ห้องนิทรรศการ 1 มิวเซียมสยาม (ท่าเตียน) หนึ่งในกิจกรรมประกอบนิทรรศการหมุนเวียน ชุด ‘ชาย หญิง สิ่งสมมุติ’ ว่าด้วยความหลากหลายทางเพศ โดยมี ชนน์ชนก พลสิงห์ นักจัดการความรู้อาวุโสและภัณฑารักษ์นิทรรศการมิวเซียมสยาม นำบรรยายในหัวข้อ ‘การรังแกที่ไม่รู้ตัวของครู ว่าด้วยการจัดแสดงจากนิทรรศการชายหญิงสิ่งสมมุติ’

ชนน์ชนก พลสิงห์

ที่ผ่านมา มิวเซียมสยามมักจะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความเป็นไทย แต่เพราะเหตุใดจึงจัดนิทรรศการว่าด้วยเรื่องเพศ?

ก่อนหน้านี้มิวเซียมสยามเคยจัดนิทรรศการหัวข้อ ‘ต้มยำกุ้งวิทยา: วิชานี้อย่าเลียน’ หนึ่งในประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชายฆ่าตัวตายจำนวนมากกว่าผู้หญิง จึงเกิดคำถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ gender (เพศ) หรือไม่อย่างไร ชนน์ชนกอธิบายว่า คำตอบที่ได้จากการสัมภาษณ์คือ ผู้ชายมีความรู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองต้องแบกรับผิดชอบมากกว่าผู้หญิงในฐานะช้างเท้าหน้า พอเกิดวิกฤติขึ้นมา ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าต้องลงโทษตัวเองบางอย่างเพื่อให้หายรู้สึกผิด

ในมุมมองเฟมินิสต์ (สตรีนิยม) มักมองว่าผู้ชายเป็นฝ่ายกระทำ แต่ในมุมมองของผู้ชายเอง ผู้ชายก็มีโครงสร้างบางอย่างที่ถูกสังคมคาดหวัง ถูกสังคมกดทับ ชนน์ชนกเชื่อว่า “ถ้าเราไม่ได้เป็นชาย เราไม่ได้เป็นหญิง ถ้าเราไม่ได้เป็นสตรีข้ามเพศ เราไม่มีทางที่จะเข้าใจกันและกันได้”

มิวเซียมสยามจึงจัดนิทรรศการเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่สังคม ในกระบวนการจัดทำจึงเรียกรับข้าวของหรือเรื่องราวต่างๆ ทาง gender ที่เกิดขึ้นในสังคม

“ตลอด 4 เดือนที่เราได้รับข้าวของหลายอย่าง สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกระทำอย่างไรกับคนที่เป็น LGBT ความเป็นชาย ความเป็นหญิงที่เกิดขึ้น จากนิทรรศการครั้งนี้ทำให้เห็นการกระทำอีกอย่างหนึ่ง คือ สิ่งที่โรงเรียน สถาบันทางการศึกษาและครูทำกับเด็กๆ”

หนึ่งในข้าวของหลายอย่างที่ได้มาคือ ‘สมุดพก’

“สำหรับเด็กคนหนึ่งสมุดพกมีอำนาจมาก เพราะบอกทั้งเกรด วันลา สาย ขาด บอกพฤติกรรมทุกอย่าง ภายใต้ข้อความสี่ห้าบรรทัดที่ครูคัดแล้วว่าจะเขียน” สมุดพกที่ชนน์ชนกนำเสนอเป็นของเด็กผู้ชาย ป.6 คนหนึ่งซึ่งครูเขียนเอาไว้ว่า “เรียบร้อยมากจนเกือบเหมือนผู้หญิง”

เจ้าของสมุดพกบอกว่า นี่เป็นจุดหนึ่งที่ครูพูดถึงเรื่องเพศของเขา เขารู้สึกว่าครูพยายามยัดเยียดเพศให้กับเด็ก ในความคิดของเขาคือ ทำไมความเป็นชายทุกคนต้องมาดแมน

“เราอาจเป็นผู้ชายนิ่งๆ ก็ได้ มันไม่จำเป็นต้องมี stereotype ของเพศชาย สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เขาต้องปรับตัว เช่น เขาต้องแสดงออกว่าเขามีความเป็นชายมากขึ้น สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ การพยายามบอกคนอื่นว่าตัวเองชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อสื่อสารไปยังสังคมว่า ฉันไม่ได้เป็นแบบผู้หญิงนะ เพราะว่าฉันชอบผู้หญิง”

จากสมุดพกเล่มนี้ ชนน์ชนกจึงตั้งคำถามว่า ครูกระทำ ‘สิ่งนี้’ ภายใต้ความหวังดีหรือไม่

“สมมุติเรามองในฐานะคนนอก ถ้าเราเจอนักเรียนคนหนึ่งที่เรียบร้อยมาก วัตถุประสงค์ในการสื่อสารกับผู้ปกครองคืออะไร คุณอาจจะอยู่ในหน้าที่ที่อยากสอดส่องดูแลเด็ก รายงานความประพฤติบางอย่างเกี่ยวกับเด็ก ครูไม่ได้ประสงค์ร้ายหรอก ทำไปเพราะความหวังดี แต่ในความหวังดีของครูอาจทำร้ายเด็ก สำหรับตัวเราเองไม่ได้มองว่าครูผิดหรือถูก เจ้าของสมุดพกก็ไม่ได้ผิด เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกแบบนั้น ส่วนครูเอง ก็ต้องระมัดระวัง”

โดยเฉพาะเด็กวัยประถมปลาย ครูค่อนข้างมีอิทธิพลต่อเด็ก หลายคนเชื่อครูมากกว่าพ่อแม่ และทุกคำของครูมีความหมาย

“เพราะไม่คิดว่าครูรังแกหรือทำร้ายเด็ก แต่อยากให้ละเอียดอ่อนกว่านี้ แล้วจะทำให้ทุกคนมีความสุขได้” ชนม์ชนกเผยความตั้งใจ

รังแก กลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยาม

หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแล้ว บางทีครูอาจไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง หรือทำให้เด็กเสียใจ การทำความเข้าใจว่าการกลั่นแกล้งคืออะไร น่าจะดีต่อทุกๆ ฝ่าย ผ่านการบรรยายในหัวข้อ ‘รังแก กลั่นแกล้ง ล้อเลียน เหยียดหยามคืออะไร : ความหมายของการ Bully ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว’  โดย ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

ผศ.ดร.วิมลทิพย์ให้คำจำกัดความของคำว่า bully ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาในเจ็บ ทำซ้ำๆ เปลี่ยนวิธีตามสถานการณ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ กลั่นแกล้ง ล้อเลียน และเหยียดหยาม

ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

กลั่นแกล้ง: มีการกระทำ เปลี่ยนวิธีตามเหยื่อหรือสถานการณ์ มีเจตนาให้เจ็บ (รู้ตัว)

ล้อเลียน: มีเจตนาให้ตัวเองสนุก (รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว) มีการกระทำหรือคำพูด มีเจตนาให้เจ็บ (รู้ตัว) กระทำซ้ำ หรืออาจจะเลิกทำ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอับอาย และทำลายความภาคภูมิใจในตนเอง การล้อเลียน จึงเป็นการทำร้ายจิตใจรูปแบบหนึ่งที่ลดคุณค่าในตัวผู้ฟัง

เหยียดหยาม: มีเจตนาให้ตัวเองสนุก (รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว) มีการกระทำหรือคำพูด มีเจตนาให้เจ็บ (รู้ตัว) กระทำซ้ำ หรืออาจจะเลิกทำ เป้าหมายคือ พูดให้ด้อย พูดให้อาย พูดให้สะใจ

ทำไมถึงแกล้ง

  • ผู้แกล้งเชื่อว่าผู้ถูกแกล้งสมควรได้รับการกลั่นแกล้ง
  • ผู้แกล้งต้องการแก้เบื่อ
  • ผู้แกล้งต้องการสร้างแรงกดดันให้กับเพื่อน
  • ผู้แกล้งคิดว่าใครๆ ก็ทำกัน
  • ผู้แกล้งมีความกระหายในอำนาจ
  • ผู้แกล้งคิดว่าไม่มีทางถูกจับได้ หรือถูกทำโทษ
  • ผู้แกล้งขาดความเห็นอกเห็นใจ

ความรู้สึกของคนถูกแกล้ง

  • รู้สึกถูกครอบงำ
  • รู้สึกอ่อนแอ และไร้อำนาจ
  • รู้สึกอับอาย ขายหน้า
  • รู้สึกไม่พอใจในตัวเอง
  • รู้สึกโกรธและแค้น
  • รู้สึกไม่สนใจในชีวิต
  • รู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก
  • รู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน
  • รู้สึกกังวลและหดหู่
  • รู้สึกป่วย
  • รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย

ควรทำอย่างไรเมื่อถูกแกล้ง: เมื่อถูกแกล้งให้ตอบกลับด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังว่า

  • ถ้าแกล้งชั้นอีกทีล่ะก็ เจอดีแน่
  • อย่าทำให้ชั้นขายหน้าไปกว่านี้เลยนะ
  • หยุดแกล้งชั้นสักทีนะ!!!!

วิมลทิพย์ กล่าวว่า “การกลั่นแกล้งเหมือนกับการปรบมือ จะเกิดเสียงดังก็ต่อเมื่อสองฝั่งมาตบกัน คนแกล้งหวังว่าการแกล้งของตนเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บร้อน ญี่ปุ่นแก้ไขปัญหานี้โดยการทำให้เด็กที่ถูกแกล้งเข้มแข็ง ชิลล์ ไม่เจ็บร้อน สงบ หรืออาจไปบอกครูด้วยอาการที่สงบ วิธีนี้ได้ผลเมื่อคนที่ถูกแกล้งไม่เจ็บร้อน คนแกล้งก็จะไม่สนุก เพราะมันผิดธรรมชาติของการแกล้ง แกล้งครั้งสองครั้งก็เลิก เพราะไร้ซึ่งความสนุกแล้ว”

ถ้าฝ่ายถูกแกล้งคุมสถานการณ์ได้ดี เหนือชั้น จะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ คือยกยกระดับความแข็งแกร่งในใจคน ไม่ไปให้ราคากับเรื่องที่ไม่ควรให้ราคา

ขณะเดียวกันคนแกล้งก็ต้องถูกจัดการเหมือนกัน วิมลทิพย์ เสนอว่า “ครูต้องมองเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พอจำแนกคนออกมาได้ เราก็จะจัดการได้ที่ต้นทาง เช่น เด็กคนนี้จริงๆ ไม่ได้เป็นคนก้าวร้าว แต่ทำไมถึงแกล้งเพื่อนจัง พอเราดึงเขาออกมาเราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราจะเห็นปัจจัยอื่นๆ เช่น จากครอบครัว ที่บ้าน เมื่อเห็นภาพที่ชัดเจน ก็นำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น”

“หน้าที่ของครูคือต้องทำให้เด็กที่ถูกแกล้ง แข็งแกร่ง อีกหน้าที่หนึ่งคือต้องทำความเข้าใจกับเด็กที่แกล้งด้วย เพื่อแก้ปัญหาการ bully ในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” วิมลทิพย์ทิ้งท้าย

Tags:

ครูงานเสวนากลั่นแกล้ง(bully)เพศ

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    SEX EDUCATION ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม
Early childhood
24 September 2018

ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ถาม-ตอบทุกประเด็นสำคัญเรื่องการยกเลิกสอบเข้า ป.1 ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้า ครม.
  • ยกเลิกสอบเพราะอะไรคงมีคำอธิบายไปเยอะแล้ว แต่ยกเลิกสอบแล้วจะไปต่ออย่างไร ในเมื่อคุณภาพของโรงเรียนในประเทศไทยยังไม่เท่ากัน
  • แต่ถ้าไม่ผ่าน เด็กอนุบาลยังคงต้องติว-สอบๆ ต่อไป แล้วเด็กจะอยู่อย่างไรในโลกใหม่ที่ไม่ได้เรียกร้อง การจำและการทำตามคำสั่งอีกต่อไปแล้ว
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ยกเลิกสอบ ป.1 จริงหรือไม่

ถ้าไม่มีการสอบแล้วโรงเรียน (ที่เล็งไว้) จะมีวิธีคัดเลือกอย่างไร

ถ้าไม่สอบจริงๆ แล้วลูกจะได้เข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพหรือเปล่า

และ

ทำไมต้องยกเลิกการสอบเข้าด้วย

คำถามเหล่านี้ ‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย อนุกรรมการเด็กเล็กในกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กรรมการบริหารสมาคมอนุบาลแห่งประเทศไทยฯ และเป็นผู้ที่ผลักดันให้ยกเลิกการสอบเข้าชั้น ป.1 มากว่า 30 ปี ได้ยินและคอยตอบมาตลอด

แต่ตอนนี้ ครูหวานต้องตอบบ่อยและถี่เป็นพิเศษ เพราะ พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ถ้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน ก็จะถึงขั้นตอนนำสู่การปฏิบัติ และเกิดผลทันที และหนึ่งในประเด็นหลักคือ การรับเด็กเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับ ป.1 โดยวิธีสอบคัดเลือกจะกระทำมิได้ 

เพื่อเป็นหลักประกันว่าเด็กปฐมวัยจะไม่ถูกติว ถูกบังคับให้เร่งเรียนเขียนอ่าน ตั้งแต่วัยยังไม่พร้อม จนเกิดความเครียดต่อเนื่องระยะยาว

“และเรากำลังฝึกเด็กให้เป็นพลเมืองที่ตกรุ่นค่ะ” เหตุผลสำคัญจากครูหวาน

ทำไมต้องมีพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย

เพราะรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดพุทธศักราช 2560 พูดถึงการพัฒนาเด็กเล็กหรือเด็กก่อนวัยเรียนเอาไว้อย่างชัดเจน และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่พูดถึงและให้ความสำคัญกับเด็กเล็กเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญเช่นนี้ เราก็ต้องมีกฎหมายขึ้นมาเพื่อรองรับให้เกิดการปฏิบัติอย่างแท้จริง จะได้เป็นหลักประกันว่า เด็กปฐมวัยทุกคนต้องได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องเหมาะสมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ถ้าเรามองนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญแล้ว มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันได้ว่าปฐมวัยเป็นวัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ เพราะเป็นวัยที่พัฒนาการด้านสมองสูงที่สุด ทั้งเรื่องการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าหรือที่เรียกว่า Executive Functions (EF) และการพัฒนาทุกด้านโดยรวม ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญเพราะมันเป็นรากฐานของชีวิตมนุษย์ แต่ประเทศไทยกลับตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเร่งแก้ไขด่วน

ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ที่พัฒนาการของเด็กปฐมวัยล่าช้า ไม่สมวัย ถึง 30 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันมานานกว่า 15 ปีแล้ว อีกอย่างคือทักษะของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ คิด ตัดสินใจ เด็กไทยก็พัฒนาล่าช้าไปถึง 29 เปอร์เซ็นต์ อันนี้ยังไม่ได้รวมด้านอื่นอีก เช่น โภชนาการของเด็ก เช่น เรื่องความสูง ความอ้วน ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ การพัฒนาทางด้านภาษาของเราก็ล่าช้า ถ้ามองทั้งหมดแล้วมันถึงจุดที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข

ขณะเดียวกันมันก็มีสถานการณ์ที่เข้ามาซ้ำเติมเด็กๆ เช่น เรื่องจอใส ที่องค์การยูนิเซฟร่วมกับสถาบันสำนักงานสถิติแห่งชาติแนะนำว่าพบว่าในเด็กเล็กต่ำกว่า 2 ขวบ ที่ไม่ควรจะเล่นไอแพด ไอโฟน แต่ของไทยเราเล่นไปแล้วถึง 25 เปอร์เซ็นต์

เด็กอนุบาลกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เล่นมือถือ สิ่งเหล่านี้มันไปกระทบต่อสมาธิ ภาษา สัมพันธภาพ พ่อแม่ให้มือถือเป็นพี่เลี้ยง หรือการที่ปู่ย่าตายายไม่อยากให้เด็กที่ซุกซนออกไปวิ่งเล่นข้างนอกเพราะอันตรายเลยยื่นมือถือให้ พอให้ปุ๊บ เด็กก็มีความสุข พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายก็ตอบสนองเด็ก และทำให้ดูแลเด็กได้ง่ายขึ้น แต่ผลกระทบร้ายแรงมาก

ปัญหาที่สำคัญคือ พ่อแม่เองก็ติดมือถือ อุ้มลูกกำลังให้นมแต่มืออีกข้างหนึ่งจิ้มมือถือ ไม่ได้สบตาลูก ทั้งๆ ที่การสบตาคือการสร้างความสัมพันธ์ ความผูกพัน ซึ่งมีอิทธิพลสูงมากต่อการพัฒนาตัวตนของเด็กแต่ละคน

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ปฐมวัยแห่งชาติมีอะไรบ้าง

อันดับแรก พ.ร.บ.นี้จะกำหนดชัดเจนว่าการพัฒนาเด็กปฐมวัยจะเริ่มจากทารกในครรภ์มารดาจนกระทั่ง 6-8 ปี ตามหลักสากล การกำหนดแบบนี้ทำให้เกิดความชัดเจนว่า ต้องพัฒนาตั้งแต่เด็กเริ่มมีชีวิตอยู่ในท้อง เมื่อคลอดออกมาแล้ว เด็กทุกคนก็จะได้รับการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กๆ จะได้รับประสบการณ์ที่ดี ในช่วงของรอยต่อระหว่างชั้นอนุบาลและประถมศึกษา

ส่วนที่สองคือ พ.ร.บ.นี้ จะไปสร้าง ส่งเสริม สนับสนุนกระบวนการหรือกลไกการทำงานด้วยการบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพราะปัจจุบันการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการทำงานของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะจาก 4 กระทรวงหลัก จึงมีการทำงานที่ซ้ำซ้อนกันหรืองานบางอย่างก็กลับไม่มีเจ้าภาพ

เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้ประสงค์ให้เกิดกลไกทำงานที่มีประสิทธิภาพ ให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ มีความเป็นเอกภาพ แล้วก็เชื่อมโยงให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กปฐมวัยตั้งแต่นโยบายระดับชาติสู่ระดับของการปฏิบัติในพื้นที่

พ.ร.บ.นี้ ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนด้วย ถือว่าท้องถิ่นเป็นเจ้าของเด็กเช่นกัน และทำงานใกล้ชิดกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น การทำงานในระดับพื้นที่จะได้ส่งผลตรงต่อเด็กและเกิดประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนั้นก็ยังขจัดอุปสรรคที่มีผลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่เป็นประเด็นตอนนี้คือ การยุติการสอบเข้า ป.1

เหตุผลสำคัญที่ต้องยุติการสอบเข้า ป.1 คืออะไร

มันเป็นสิ่งที่กระทบต่อความเชื่อ กรอบคิดของสังคม เด็กกลุ่มที่มาสอบ ทั้งสอบได้และไม่ได้ เด็กกลุ่มนี้น่าสงสาร เพราะว่าต้องเผชิญกับความเครียดต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งๆ ที่คุณภาพของเด็กในช่วงชีวิตนี้ดีที่สุด เวลาพัฒนาสมอง ความคิดสร้างสรรค์ มันก็หมดไปกับระบบการติวต่างๆ และการเร่งเรียน เร่งรัด แล้วความเครียดระยะยาวมันก็ไม่มีผลดีต่อเด็กเลย โดยเฉพาะการพัฒนาสมอง

การแข่งขันกันสอบเพื่อเข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพ ยิ่งย้ำให้ทุกคนเข้าใจว่าจะต้องเร่งรัดเด็กทั้งเรียนเขียนอ่าน กระแสนี้ไปทั่วประเทศ มันกำลังจะบอกว่าความเก่งของเด็กปฐมวัยคือการเรียนเขียนอ่านใช่หรือไม่ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมามีนโยบายการสอบวัดผลความสามารถตั้งแต่ภาคแรกของ ป.1 ครูและผู้บริหารก็ยิ่งกลัว ก็ยิ่งไปซ้ำว่าอนุบาลต้องท่องได้ สะกดได้คือความเก่ง แต่ความจริงแล้วการพัฒนาเด็กมันต้องพัฒนาทั้งตัว เพราะนี่คือรากฐานของชีวิต

ฉะนั้นการเร่งรัดเรียนเขียนอ่าน มันทำลายชีวิตในเยาว์วัยของเด็กที่ควรจะเบิกบานและมีความสุข ทำลายทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ในอนาคต ทำลายสัมพันธภาพที่ดีของเด็ก แทนที่พ่อแม่จะชวนลูกเล่น ซึ่งมันเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุด

ถ้าเด็กไม่ต้องสอบเข้า ป.1 จะมีแผนรองรับอย่างไร

มันจะเชื่อมโยงกับใจความสำคัญของ พ.ร.บ. อีกเรื่องหนึ่ง คือการให้ความรู้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม ให้เข้าใจกระบวนการพัฒนาเด็กอย่างถูกวิธี เพราะใน พ.ร.บ. กำหนดไว้ว่ารัฐจะต้องให้ทุกจุดรับบริการ เป็นพื้นที่ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องได้รับความรู้ เช่น แม่ตั้งครรภ์ ต้องไปฝากท้อง สถานีอนามัยหรือศูนย์บริการสาธารณสุขก็ต้องให้ความรู้ ต่อมามีเด็กเล็กพาไปฉีดวัคซีนก็ต้องให้ความรู้อีก ต่อมาเมื่อเข้าศูนย์เด็กหรือศูนย์พัฒนาเด็ก ก็ต้องมีกระบวนการให้ความรู้ทุกขั้นทุกตอนจนกระทั่งเด็กโตขึ้นมา หรือแม้ในตัวเด็กเอง โตขึ้นมาก็ต้องมีความรู้ที่จะดูแลตัวเอง

ถ้าถามว่าถ้าไม่สอบจะคัดเลือกอย่างไร การคัดเลือกเด็กยังคงต้องมีอยู่ เพราะว่าความต้องการมันมากกว่าจำนวนที่รับได้ แต่ว่าใน พ.ร.บ. ประสงค์ว่าถ้าจะรับเด็กแล้วจะต้องเป็นการคัดเลือกที่ไม่กระทบต่อตัวเด็ก

คัดเลือกอย่างไรให้ไม่กระทบกับตัวเด็ก

ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละโรงเรียน บอกไม่ได้ว่าจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโรงเรียน การจับฉลากก็เป็นทางเลือกหนึ่ง หรือใช้ลำดับของการสมัคร ทั้งออนไลน์และลำดับคิว หรือจะใช้วิธีหลายๆ เกณฑ์ เช่น บ้านใกล้ พ่อแม่เคยเป็นศิษย์เก่า พี่น้องอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน หรือใช้วิธีการสัมภาษณ์พ่อแม่ มีหลากหลายวิธี มีการเสนอถึงขั้นให้พ่อแม่ร่วมสอบด้วยจะได้เป็นการพัฒนา ความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงลูกอย่างเหมาะสม

ขอเพียงว่าอย่าทำสิ่งใด ที่เป็นการกระทบต่อตัวเด็กทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา วิธีการเหล่านี้มันจะไม่กระทบต่อตัวเด็ก และเชื่อว่าระบบการติว การเร่งรัดการสอบ มันจะเบาบางลง

อย่างการจับฉลาก จับอย่างไรไม่ให้เป็นการทำร้ายเด็ก

การจับฉลากเป็นหลักปฏิบัติอยู่แล้วในทุกๆ โรงเรียนของภาครัฐ การจับฉลากจะมี 2 แนว เด็กจับ กับพ่อแม่จับ ถ้าเด็กจับจะต้องรู้สึกแย่มาก ให้เป็นพ่อแม่จับดีกว่า เพราะการจับฉลากมันชัดเจนที่ความเท่าเทียมกัน

พ่อแม่จะทำอย่างไร ในเมื่อคุณภาพของแต่โรงเรียนยังไม่เท่ากัน

เป็นปัญหาหลักของตอนนี้เลย เพราะทุกคนก็อยากให้ลูกอยู่ในโรงเรียนที่ดี ต้องมาย้อนดูในภาพใหญ่ มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องพัฒนาและให้ความใส่ใจในเรื่องมาตรฐานอย่างแท้จริง ถ้าเกิดกรณีจับฉลากเข้าไป โรงเรียนก็จะได้รับเด็กหลายๆ ประเภท สังคมในโรงเรียนก็จะมีพ่อแม่หลายระดับ

ต้องยอมรับว่าโรงเรียนที่จัดสอบ พ่อแม่กลุ่มที่มีโอกาสคือพ่อแม่ที่พาลูกไปติว จ้างครูมาสอนที่บ้าน มีเงินที่จะไปซื้อแบบฝึกหัด พ่อแม่กลุ่มนี้ก็จะได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบของการสอบ โอกาสของการที่ลูกจะได้เข้าเรียนจึงเยอะกว่า

แต่ถ้าเราใช้วิธีอื่นสังคมก็จะหลากหลายขึ้น จะว่าไปมันก็ลดความเหลื่อมล้ำไประดับหนึ่ง พอมาตรฐานโรงเรียนเป็นเช่นนี้เราก็จะดิ้นรนให้โรงเรียนที่ลูกเราอยู่มีมาตรฐานที่ดี ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นส่วนสำคัญต้องมีส่วนร่วม เป็นกำลังสำคัญที่จะเข้ามาพัฒนาโรงเรียน นอกเหนือจากจะเชื่อว่าเอาลูกมาส่งไว้แล้วหมดหน้าที่

สมมุติถ้าคุณพ่อเป็นพนักงานแบงก์ ส่งลูกมาเรียนโรงเรียนเดียวกับลูกคนขายกล้วยแขก ด้วยวิธีการจับฉลาก มันจะเกิดข้อดีมาก ต้องถามกลับว่าเรามองมาตรฐานของชีวิตจากอะไร ถ้ามองว่าโอกาสของการพัฒนาเด็กคือการเรียนรู้ เด็กก็จะได้โอกาสตรงนี้ในการเรียนรู้ เขาจะมีเพื่อนต่างสถานะและเกิดความเข้าใจกัน ความเหลื่อมล้ำจะลดลง

ถ้าโรงเรียนดีคัดเด็กดี ครูดี ผู้ปกครองดี ดีไปหมด มันก็ยิ่งห่างกันไป มาตรฐานที่เรียกร้องมันก็จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ในขณะพ่อแม่ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโรงเรียน จะปล่อยให้ลูกอยู่ในโรงเรียนที่ห้องน้ำสกปรกเหรอ หรือการบริหารที่ด้อยคุณภาพก็ไม่ได้ เขาก็จะต้องหาวิธีที่จะพัฒนาโรงเรียนที่ลูกอยู่ โรงเรียนกับบ้านร่วมมือกัน ดังนั้น การกระจายศักยภาพของพ่อแม่สู่โรงเรียนมันก็จะเกิดขึ้น แล้วทุกโรงเรียนก็จะถูกพัฒนาไปสู่มาตรฐานที่ต้องการ

มันน่าจะถึงเวลาแล้วล่ะค่ะ ที่เราจะไม่แยกเอาคนที่มีศักยภาพมีความสามารถไปรวมกันไว้ที่โรงเรียนที่มีคุณภาพ แล้วก็ทิ้งห่าง จากอีกกลุ่มหนึ่งไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันเราเรียกร้องคุณภาพว่าไม่มีโรงเรียนดีๆ ใกล้บ้าน ถึงเวลาแล้วที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงแล้วก็ลงมือทำกันทั้งประเทศ

นอกจากพ่อแม่และสถานศึกษา ครูต้องปรับตัวอย่างไร

เวลาที่เราลงพื้นที่ไปทำงานกับคุณครู จะพบว่ามีเสียงเรียกร้องจากครูจำนวนมาก ว่าสิ่งที่เขาเรียนมาโดยตรง และการเรียนการสอนตามแนวทางหลักสูตรปฐมวัยไม่ได้ใช้ เขาอยากสอนเด็กแบบถูกต้อง คือส่งเสริมพัฒนาร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ให้เด็กมีพัฒนาการต่างๆ ตามวัย

ครูกลุ่มนี้ไม่สบายใจที่จะเร่งเรียนเขียนอ่าน เพราะเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันฝืนธรรมชาติของเด็ก บางครั้งเขาก็เครียดเพราะถูกกดดันจากความไม่เข้าใจของพ่อแม่ผู้ปกครอง

ประการต่อมา คือผู้บริหารไม่เข้าใจในการพัฒนาเด็ก คิดว่าเด็กปฐมวัยที่เก่งคือการอ่านออกเขียนได้ สอบเข้า ป.1 ได้ มันก็จะกดดันกันต่อที่ระดับชั้นเรียนอนุบาล ครูก็ไม่สามารถทำสิ่งที่อยากจะทำได้ เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้จะไปตอบสนองความต้องการของครูเสียด้วยซ้ำ ยกเว้นว่าครูคนนั้นอาจจะรู้สึกว่าเมื่อติวเด็กแล้วเด็กสอบเข้าได้ เขาจะได้รับความชอบความถูกใจจากผู้บริหาร

แล้วบทลงโทษสำหรับโรงเรียนที่ยังจัดการสอบและพ่อแม่ที่ให้เงินบำรุงพิเศษยังมีอยู่หรือไม่

คณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กเล็ก พิจารณากันหลายรอบ อยากให้ พ.ร.บ. เป็น พ.ร.บ. ที่ส่งเสริมและไม่สร้างแรงกดดัน ในขณะที่ยังต้องอาศัยความเข้าใจที่ตรงกันก่อน จึงไม่ได้ระบุโทษเอาไว้ แต่ใน พ.ร.บ. กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย และมีสำนักงานกลางทำหน้าที่ขับเคลื่อนงานปฐมวัย ควรเป็นผู้กำหนด

หลักเกณฑ์เรื่องการยุติการสอบกรณีที่โรงเรียนไม่ปฏิบัติ จะต้องทำอย่างไรต่อไป ยกให้เป็นภารกิจของคณะกรรมการชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นมา

‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข

ถ้าไม่กำหนดบทลงโทษ จะไปต่ออย่างไร

พ่อแม่ที่พาลูกไปสอบอาจจะไม่เข้าใจ เป็นเพราะเราต่างหากที่ไม่ได้สร้างความเข้าใจให้มากพอ ถ้าโรงเรียนไม่จัดสอบแล้วมันควรแก้ที่ต้นทางอย่างพ่อแม่ดีกว่า คือไปแก้ที่ความรู้ ความเข้าใจ เพราะโรงเรียนก็เข้าใจนะแต่ไม่ปฏิบัติมากกว่า

แล้วจะทำอย่างไร คณะกรรมการชุดใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. อาจจะต้องให้มีบทลงโทษทางสังคมเพิ่มขึ้นด้วย เช่น นอกจากแจ้งกลับไปที่ต้นสังกัดให้พิจารณามาตรฐานคุณภาพ อาจจะประกาศให้สังคมรับรู้ว่าสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ควรจะเป็นสำหรับเด็ก เป็นการกดดันทางสังคมอย่างหนึ่ง

อีกอย่างคือเรื่องการกำหนดมาตรฐานคุณภาพของสถานศึกษา ที่เขาจะได้รับการประเมิน ขณะนี้มาตรฐานสถานศึกษาปฐมวัยกำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาพร้อมๆ กันกับที่ พ.ร.บ. จะได้รับพิจารณา ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ของสังคม

อาจจะมีคนที่เสียประโยชน์บ้าง แต่หากเราเอาเด็กเป็นตัวตั้ง เด็กปฐมวัยเป็นวัยเดียวที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองได้ พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู นักวิชาการ ผู้ใหญ่จะต้องโอบอุ้มและปกป้องคุ้มครองสิทธิของพวกเขา ให้พวกเขาได้ใช้ช่วงปฐมวัยไปกับการสร้างรากฐานชีวิตที่มีคุณภาพ

ตอนนี้ พ.ร.บ. อยู่ขั้นตอนไหน มีผลบังคับใช้ได้เมื่อไร

(ตอนนี้รอเข้า ครม.) ถ้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน ก็จะถึงขั้นตอนนำสู่การปฏิบัติ เกิดผลทันที แต่หลายเรื่องอาจต้องใช้ระยะเวลา แต่หลายเรื่องก็ทำได้เลย เช่น การที่เราจะให้ความรู้ ความเข้าใจกับพ่อแม่ ก็เริ่มทำได้เลย การที่เราจะเชื่อมประสานสำหรับหน่วยงานต่างๆ เพื่อดูแลเรื่องต่างๆ เช่น มาตรฐานกลาง หลักสูตร ขณะนี้ก็ผลักดันอยู่แล้ว แต่ถ้ามี พ.ร.บ. ช่วยก็จะเป็นตัวหนุนเสริม กับเรื่องของท้องถิ่น ที่จะขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ตอนนี้ทุกภาคส่วนพร้อมขยับ ถ้ามี พ.ร.บ. เป็นตัวหนุนเสริมหลัก การขับเคลื่อนเรื่องปฐมวัยก็จะทำได้ดี เพราะทุกคนที่ทำงานด้านปฐมวัยรู้ดีว่ามันวิกฤติจริงๆ แต่มันติดที่กลไกของการทำงานบูรณาการเท่านั้นเอง

แล้วเรื่องอะไรบ้างที่ต้องใช้เวลา

เรื่องของกลไกการทำงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การมีสำนักงานกลางที่เป็นหน่วยที่ทำให้การขับเคลื่อนแบบบูรณาการ

ส่วนการยกเลิกการสอบเข้า ป.1 เป็นเรื่องที่ต้องรอจังหวะของการรับสมัครปีการศึกษาต่อไป เพราะตอนนี้กระแสมันก็ออกมา และสถาบันการศึกษาชั้นนำเริ่มพิจารณากระบวนการสอบของตัวเองใหม่ เช่น โรงเรียนสาธิตราชภัฏสวนดุสิต เริ่มพูดคุยกับเด็ก และมีการให้พ่อแม่จับฉลากบ้าง หรือ โรงเรียนสาธิตประสานมิตร ปกติจะมี pretest ช่วงปลายปี แต่สมาคมศิษย์เก่าฯ ก็ได้ประกาศระงับการสอบแล้ว เดี๋ยวเราไปรอดูผลอีกทีว่าตอนสอบจริง ผลจะออกมาเป็นอย่างไร

ถ้าเป็นเรื่อง ป.1 อาจจะต้องให้เวลากับสถาบันการศึกษานิดนึง ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนสำหรับปีการศึกษาหน้าถ้าเป็นไปได้ แต่ใครทำได้ก่อนก็ทำเลย โรงเรียนที่ยังไม่พร้อมก็ขยับไปอีก ปีการศึกษาต่อไป

เด็กที่ไม่ต้องสอบเข้า ป.1 กับ เด็กที่ผ่านการสอบเข้า ป.1 อย่างเข้มงวด เขาจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

เด็กที่เสียเวลาไปกับการเร่งรัดการเขียนอ่านเพื่อเข้า ป.1 ก็จะขาดโอกาสในการพัฒนาแบบรอบด้านที่จำเป็น เช่น ทักษะชีวิต การเรียนรู้อย่างมีความสุข ความสามารถในการคิดตัดสินใจ ภาวะผู้นำการทำงานร่วมกับคนอื่น เหล่านี้คือรากฐานที่สำคัญที่ก่อตัวตั้งแต่ปฐมวัย และเรื่องการเรียนวิชาการนั้นก็มีงานวิจัยชี้บอกมานานแล้วว่า ไม่เกิน ป.3 ก็เรียนทันกันหมดอยู่ดี

ถ้าเราให้เด็กเร่งเรียนเขียนอ่าน เขาจะเข้าใจว่าชีวิตของเขา ความสามารถของตัวเขา ความเก่งของเขา ขึ้นอยู่กับการเรียนแล้วก็การแข่งขันกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาที่เริ่มจากการชิงดีชิงเด่น การแพ้ชนะกันแบบนี้มันไม่ใช่การศึกษาที่เอื้อต่อกัน

1. เขาจะไม่มีความสุขในการเรียน ทัศนคติทางการเรียนก็จะไม่ดี การเรียนกลายสิ่งที่ยาก ไม่เชื่อมโยงกับชีวิต

2. เกิดภาวะความเครียด จากการเรียนที่เป็นระบบแข่งขัน และแพ้คัดออก

3. เด็กแข่งขันกัน เราอาจจะได้แชมป์ไม่กี่คน แต่เด็กที่แพ้ ที่บอกตัวเองว่าไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ตัวนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการพัฒนาองค์รวม

มนุษย์หัวโตข้างเดียวไม่ได้ สติปัญญาได้ก็เพียงบางส่วน แต่สิ่งที่หายไปคือความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ มันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ได้แต่การจดจำวิธีการทำ ทำตามแบบ แล้วก็การพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม มันก็เสียหายไปด้วย

ถามว่าคุณลักษณะแบบนี้ มันตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 ไหม โลกมันเปลี่ยนไป เราต้องการเด็กที่มีความสามารถหลายๆ แง่มุม ที่จะตอบโจทย์ในโลกที่มีความซับซ้อน โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เด็กที่ถูกเตรียมพร้อมอย่างมีความสุขและเข้าใจ เขาจะรู้สึกว่า มีพลังชีวิตที่จะเดินต่อไปข้างหน้า มีศักยภาพในการเรียนรู้ เพราะเขารักที่จะเรียนรู้ไปตลอดชีวิต

เด็กเกิดมาพร้อมกับความกระหายใคร่รู้อยู่แล้ว แต่เราจำกัดเขาอยู่แค่แบบฝึกกับแบบทดสอบ โลกใบนี้น่าเรียนรู้อีกเยอะแยะมากมาย

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ใหม่ในโลกใหม่คืออะไร ดังนั้นเขาต้องพร้อมที่จะปรับตัว พร้อมที่จะเป็นมนุษย์ มนุษย์จะต้องอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน เมื่อเด็กเติบโตอยู่กับความรักความผูกพัน มีความสุขกับพ่อแม่ ครอบครัว ได้ทำกิจกรรมที่พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก พัฒนาด้านภาษา ได้เล่นกับเพื่อน ในขณะที่เด็กเล่นเขาจะมีความสุข ได้แก้ปัญหา ประนีประนอม ฝึกภาษา รู้แพ้ชนะ รู้กติกา มีวินัย มันมีคุณสมบัติอีกมากมายที่เขาจะได้ทำ มันสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ มากกว่าการที่เอาเด็กไปไว้ในกรอบ ในกรงแคบๆ แล้วบอกว่านี่คือเด็กเก่งที่เราต้องการ

การฝึกเด็กแบบที่ผ่านมา เรากำลังฝึกเด็กให้เป็นพลเมืองที่ตกรุ่น เราจะต้องรีบเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โลกไม่ได้หยุดรอประเทศที่เอาแต่พูดแล้วไม่ลงมือทำ เด็กไม่เคยหยุดโตแม้แต่วันเดียว เราไม่พัฒนามัวแต่ประชุมไปประชุมมา ห้วงเวลาแรกเกิดถึง 8 ปีของเด็กมันไม่หยุดรอเรานะคะ เด็กโตทุกวัน และเวลาก็ไม่สามารถย้อนคืนมาได้

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยการสอบธิดา พิทักษ์สินสุขยกเลิกสอบเข้าป.1

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood21st Century skills
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)
How to get along with teenager
24 September 2018

ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ใครเล่น Instagram บ้าง??

ไม่สิ ต้องถามว่า ใครไม่เป็น Instagram บ้างน่าจะนับจำนวนได้ง่ายกว่า

เพราะปัจจุบัน Instagram เป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้กว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก มีไว้สำหรับแชร์รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ รวมถึง Instagram Stories, Live, IGTV (สำหรับแชร์วิดีโอที่ยาวขึ้น)

จากงานสำรวจของ Common Sense Media องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกาที่ทำงานด้านการศึกษาและครอบครัวระบุว่า Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นมากที่สุดเป็นอันดับสอง ร้อยละ 61 ของวัยรุ่นสหรัฐบอกว่าใช้แอพพลิเคชั่นนี้ และร้อยละ 22 บอกว่าใช้เป็นแอพพลิเคชั่นหลักในการสื่อสาร

วัยรุ่นใช้ Instagram เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือที่ประทับใจ แบ่งปันช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว สร้างชุมชนสนับสนุน และพบกับคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในความสนใจของพวกเขา

เหล่าพ่อแม่คงอดสงสัยไม่ได้ว่า IG มีดีอะไร ทำไมวัยรุ่นถึงหายใจเข้าออกเป็น IG นี่เป็น 5 คำถามยอดฮิตที่เหล่าพ่อแม่จะต้องสงสัยกับวัยรุ่นยุค Instagram

มีอะไรบ้างและคำตอบคืออะไร ไปดูกันเลย

1. ทำไมวัยรุ่นถึงชอบ Instagram

เพราะพวกเขาชอบเสพและสร้างสื่อ เพื่อแชร์และติดต่อกับสังคม Instagram เป็นช่องทางที่ง่ายและน่าสนใจ และที่สำคัญวัยรุ่นยังชอบความสามารถในการสร้าง ‘เรื่องราว หรือ Instagram story’ ที่หายไปหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง

2. Instagram มีกำหนดอายุขั้นต่ำหรือไม่

อายุขั้นต่ำของผู้สมัครคือไม่ต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ของเด็ก แต่เวลาสมัคร Instagram ไม่ได้ขอให้ผู้ใช้ระบุอายุ ทำให้เด็กหลายคนมีบัญชีเป็นของตัวเอง แต่ถ้าได้รับการแจ้งให้ระบุตัวตน หากไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีอายุเกิน 13 ปี Instagram จะลบบัญชีทันที

3. มีเครื่องมือที่จะช่วย ‘จำกัดเวลา’ ในการใช้ Instagram หรือไม่

Instagram มีโปรแกรมที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูได้ว่าในแต่ละวัน เราใช้เวลากับ Instagram ไปเท่าไหร่ และสามารถตั้งเวลาในการใช้งานแต่ละครั้ง เมื่อครบเวลาที่กำหนด จะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้

วิธีการตั้งค่าคือ เข้าไปใน ‘กิจกรรมของคุณ หรือ Your Activities’ บน Instagram จากนั้นให้เลือก ‘DAILY REMINDER’ แล้วตั้งค่าเวลาที่คุณจะใช้ Instagram ในทุกวัน หลังจากนั้น ถ้าคุณใช้ Instagram ครบจำนวนเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน จะมีการแจ้งเตือน

4. ความเสี่ยงในการใช้ Instagram คืออะไร

แม้ว่าจะไม่มีอะไรเป็นอันตรายเกี่ยวกับ Instagram แต่สิ่งสำคัญที่พ่อแม่กังวลคือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระหว่างเพื่อนๆ ภาพถ่ายหรือวิดีโอที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของวัยรุ่น หรือเสพติดการใช้ Instagram มากเกินไป ซึ่งพ่อแม่สามารถใช้วิธีการจำกัดเวลาตามข้อที่ 3 หรือสอนให้วัยรุ่นใช้ Instagram อย่างเหมาะสมตามที่กล่าวมาทั้งหมด

5. โปรไฟล์ส่วนตัวควรเป็นส่วนตัวหรือไม่

เยาวชนควรตั้งค่าบัญชีส่วนตัว ให้เฉพาะผู้ติดตามที่ดูโพสต์เท่านั้น การตั้งค่าเป็นสาธารณะอาจเหมาะกับวัยรุ่นที่โตมากกว่า เพราะอาจเป็นประโยชน์ อย่างเช่น การระดมทุนเพื่อการกุศล การหากลุ่มเพื่อนที่มีความชอบหรืองานอดิเรกเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่ก็ควรให้คำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการโพสต์ที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัวและชื่อเสียงของพวกเขาได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น 

อ้างอิง:
wellbeing.instagram.com

Tags:

โซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์พ่อแม่วัยรุ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel