Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: July 2018

เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง
Life classroom
13 July 2018

เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ไม่เห็นอกเห็นใจตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าตัวเอง อยากเป็นคนสมบูรณ์แบบ คือปัญหาที่วัยรุ่นกำลังเผชิญ
  • ถ้าพวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้ ผลลัพธ์คือ ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่ยอมรับและนับถือตัวเองในที่สุด ซึ่งสายเกินแก้
  • วิธีแก้คือ สร้างการรับรู้ตัวตนเชิงบวก ผ่านวิธีจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก 5 วิธี

เรามักได้ยินวัยรุ่นไทยส่งเสียงบ่นถึงผู้ใหญ่อยู่เสมอว่า รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเพราะต้องอยู่ท่ามกลางความกดดันจากความคาดหวังของผู้ใหญ่ รวมถึงความเครียดจากการเรียนที่ส่วนหนึ่งได้รับความกดดันมาจากครูและระบบการสอบแข่งขันที่ไม่เคยอ่อนข้อให้คนที่ไม่ใช่

ฟังดูแรง แต่เป็นเรื่องจริง

ไม่ใช่แค่วัยรุ่นไทย แต่วัยรุ่นทั่วโลกต่างกำลังเผชิญหน้ากับความวิตกกังวลและภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับความอยากเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ (ตามความคาดหวังของผู้ใหญ่และสังคม) จนทำให้พวกเขา ‘ไม่ชอบตัวเอง’ ‘ไม่ภูมิใจในตัวเอง’ และ ‘ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง’

จะทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชน รัก ภูมิใจและเห็นคุณค่าของตัวเอง?

แทนที่จะผลักความคาดหวังของตัวเองไปให้เด็ก นี่ต่างหากเป็นเรื่อง ‘ใหญ่’ ที่ ‘ผู้ใหญ่’ ควรกังวลและมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด

เอมมี แอล อีวา (Amy L. Eva) ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาการศึกษา (the education content specialist) จาก Greater Good Science Centre ที่มีประสบการณ์สอนในห้องเรียนมากว่า 23 ปี และมีความสนใจเป็นพิเศษด้านประสาทวิทยา (neuroscience) จิตวิทยาการเรียนรู้ (phycology of learning) และการพัฒนาวัยรุ่น (adolescent development) ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจใน นิตยสารออนไลน์ Greater Good ว่า การช่วยให้วัยรุ่นมองเห็นศักยภาพแล้วพัฒนาจุดแข็งของตัวเอง รวมทั้งปลูกฝังให้พวกเขานึกถึงและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น (นอกเหนือจากการทำสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของตัวเอง) จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงการยอมรับและนับถือตัวเองในที่สุด (self-esteem)

“ไม่มีใครอยากออกไปเที่ยวเล่นกับฉัน ฉันล้มเหลวเมื่ออยู่ที่โรงเรียน เพื่อนคนอื่นดูเหมือนมีความสุขดี แล้วมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน?” อีวา เปิดบทความด้วยเสียงสะท้อนจากเด็ก

อีวาบอกว่า ความคิดเชิงลบลักษณะนี้กลายเป็นเรื่องปกติ ที่มักได้ยินเด็กพูดถึงทั้งกับที่บ้านและที่โรงเรียน เด็กและเยาวชนกำลังประสบกับภาวะที่มีความกังวลเพิ่มขึ้น ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาระดับวิทยาลัยในแคนาดา สหราชอาณาจักร และอเมริกา เริ่มติดกับดักความสมบูรณ์แบบด้วยการเอาตัวเองไปวัดกับมาตรฐานที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

แม้ยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น อีวามีทางออกให้เด็กและเยาวชน เพื่อให้พวกเขาปรับตัวให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้

งานวิจัยปี 2018 ชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับวัยรุ่นตอนต้น กล่าวว่า การรับรู้ตัวตน หรือ การรู้จักตัวเอง (self-concept) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสภาพอารมณ์ที่ดี สิ่งนี้คือ การรับรู้ถึงความเป็นตัวเองที่สร้างขึ้นจากความเชื่อที่มีต่อตนเองและจากการตอบสนองของผู้อื่น ผลการศึกษาพบว่า

บรรยากาศในห้องเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ และความสัมพันธ์ทางสังคมเชิงบวกมีผลต่อความเป็นอยู่ของวัยรุ่นซึ่งอาจไม่ส่งผลกระทบทันทีทางตรง แต่จะส่งผลทางอ้อมในระยะยาว

การรับรู้ตัวตนเชิงบวกดูเหมือนจะเป็นตัวแปรสำคัญในสมการความเป็นอยู่ที่ดี ถ้านักเรียนรู้สึกดีกับตัวเอง นักเรียนจะเข้ากับคนอื่นได้ดี แล้วจะทำให้นักเรียนได้รับประโยชน์จากการเรียนการสอนต่างๆ ในโรงเรียนอย่างเต็มที่ด้วย ส่วนจะทำอย่างไรให้นักเรียนรู้สึกดีกับตัวเองนั้น อีวา เสนอ 5 วิธีที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อสร้างการรับรู้ตัวตนในเชิงบวก ดังนี้

1. ออกกำลังกาย

เราจะเคยได้ยินมาก่อนว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์สำหรับเด็ก โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่เด็กมีแนวโน้มนั่งนิ่งกับที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ล่าสุด จากการตรวจสอบผลการศึกษาวิจัยในระดับนานาชาติถึง 38 ชิ้น มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่า เพียงแค่ออกกำลังกายก็ทำให้เด็กและเยาวชนเห็นคุณค่าและสร้างการรับรู้ถึงความเป็นตัวเองในเชิงบวกได้

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายมีส่วนสำคัญ คือ การศึกษาพบว่านักเรียนที่มีส่วนร่วมทำกิจกรรมในโรงเรียนหรือในสนามกีฬาร่วมกับผู้อื่น มีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับและนับถือตัวเองมากกว่านักเรียนที่ออกกำลังกายอยู่กับบ้านหรือทำกิจกรรมในสถานที่ที่ต่างออกไป

การรู้จักตัวเองในวัยรุ่นมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับแรงดึงดูดทางกายภาพและภาพลักษณ์ทางร่างกาย ซึ่งเป็นจุดที่สร้างปมหรือเป็นปัญหาสำหรับหลายๆ คน เพราะเหตุนี้การสนับสนุนให้มีการออกกำลังกายเป็นประจำ ทั้งระหว่างและหลังเลิกเรียน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของกองเชียร์ การออกกำลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง การวิ่ง โยคะ หรือว่ายน้ำ นอกจากจะส่งผลดีต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลไปถึงคุณภาพจิตใจที่ดี การออกไปข้างนอกหรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกเหมือนได้ออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกแข็งแรงขึ้น สุขภาพดีขึ้น และมีพลังมากขึ้น

2. เห็นอกเห็นใจตัวเอง

มุ่งความสนใจไปที่การเห็นอกเห็นใจตัวเอง (self-compassion) มากกว่าการมองเห็นคุณค่าของตัวเองเพียงอย่างเดียว (self-esteem)

เราเอ่ยถึงการมองเห็นคุณค่า ยอมรับและนับถือตัวเองก่อนหน้านี้อยู่หลายครั้ง แต่จะดีกว่าหากเรามีความเห็นอกเห็นใจตัวเองก่อน

“ฉันทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง ฉันดีพอหรือยัง สิ่งที่ฉันทำเป็นยังไงบ้างเมื่อเทียบกับคนอื่น?”

ในหลายๆ ครั้งการพยายามหาคุณค่าของตัวเองก็อาจกลายเป็นการประเมินตัวเองในภาพรวมที่สร้างความกดดัน จนทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองได้ เพราะคำถามทำนองนี้ ถามไม่ดีก็กลายเป็นบูมเมอแรงที่ย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจแทนที่จะช่วยเสริมกำลังใจ

“จะเกิดอะไรขึ้นหากเราหยุดตีค่าตัวเอง?”

คริสติน เนฟ (Kristin Neff) นักวิจัยด้านจิตวิทยาการศึกษา กล่าวว่า การเห็นอกเห็นใจตัวเอง คือ การปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเมตตา เปิดใจ และยอมรับความเป็นตัวของตัวเอง เป็นทางเลือกที่ช่วยส่งเสริมให้คนคนหนึ่งมีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเสริมสร้างพฤติกรรมการแสดงออกที่เชื่อมโยงกับการมองเห็นคุณค่าของตัวเอง

งานวิจัยของเนฟ พบว่า คนที่มีความเห็นอกเห็นใจตัวเองสูงจะมีความเป็นอยู่ที่ดี เพราะพวกเขายอมรับข้อบกพร่องของตนเองได้ และมีความเข้าใจว่าอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา (ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้ ไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียว) หากคิดแบบนี้ได้ เราจะรู้สึกเห็นใจและมีความเมตตาต่อตัวเอง แล้วจะส่งผลต่อพฤติกรรมที่มีต่อผู้อื่น การแสดงออกของเราต่อผู้อื่นจะเป็นไปในแนวเสริมพลังใจมากกว่าการซ้ำเติม เช่น คำพูดที่บอกว่า “ไม่เป็นไร เธอทำดีที่สุดแล้ว” เป็นต้น

3. หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตัวเองกับสังคมรอบข้าง

เมื่อเราโฟกัสไปที่การให้คุณค่ากับตัวเองมากเกินไปอาจทำให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มักคิดเยอะ (มีความมโนสูง) เช่น มักคิดว่าคนอื่นกำลังมองรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในบทความใช้คำว่า “imaginary audience”

งานวิจัยบางชิ้น ระบุว่า พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความรู้สึกเหงา และ FOMO (fear of missing out) หรือ ความกลัวเป็นบุคคลที่ถูกลืม มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ยกตัวอย่างเช่น รู้สึกเศร้าเมื่อโพสต์ของตัวเองมียอดไลค์น้อยกว่าโพสต์ของเพื่อน หรือเกิดความรู้สึกแปลกแยก เมื่อเห็นภาพถ่ายรวมกลุ่มของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่มีตัวเองอยู่ด้วย ขณะที่ทุกคนในภาพดูเหมือนกำลังใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข

อีวา เอ่ยถึง ‘Maverick’ แอพพลิเคชั่นใหม่สำหรับสาวๆ ที่เปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้สมาชิก เชิญชวนเพื่อนๆ มาทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า Snapchat หรือ Instagram

นอกเหนือจากสังคมออนไลน์ สิ่งที่ปฏิบัติกันอยู่ในโรงเรียนก็สร้างให้เกิดการเปรียบเทียบมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการให้เกรดรายคน รายกลุ่ม หรือการให้คะแนนความประพฤติ ที่อาจไม่สอดคล้องกับการเรียนรู้ตามธรรมชาติที่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ

ด้วยเหตุนี้ อีวา จึงได้เสนอทางออกให้กับการเรียนการสอนในโรงเรียน ที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อลดการเปรียบเทียบตัวเองกับสังคมรอบข้างในหมู่นักเรียน ดังนี้

  • การให้เกรดไม่ควรเป็นเรื่องสาธารณะ
  • ให้โอกาสนักเรียนในการแก้ไขและทำงานที่ได้รับมอบหมายซ้ำได้
  • หลีกเลี่ยงการแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความเก่ง
  • โฟกัสพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงเป็นรายบุคคล
  • ให้ความสนใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน

4. ใช้ประโยชน์จากทักษะเฉพาะด้าน

สังเกตความสามารถและความสนใจของวัยรุ่น เพื่อบ่มเพาะจุดแข็งให้พวกเขา ยกตัวอย่างเช่น เด็กๆ อาจมองว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ถนัดด้านกีฬา แต่อาจมีความโดดเด่นเมื่อได้ลงมือทำโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่นักเรียนที่นั่งเงียบๆ หลังห้อง ไม่ชอบเข้าสังคม อาจทำให้เราประหลาดใจในความสามารถด้านภาษาศาสตร์หรือบทกวีที่เขียนขึ้นมาก็เป็นได้

ซูซาน ฮาร์เตอร์ (Susan Harter) นักวิจัยอีกท่านหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับการให้คุณค่าและการรู้จักตัวเองในวัยรุ่น กล่าวว่า การรู้จักตัวเองเป็นเรื่องเฉพาะตัว ส่วนความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองมีรากฐานเชื่อมโยงกับ 8 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ความสามารถด้านกีฬา ความสามารถด้านการศึกษา การควบคุมประพฤติ การยอมรับทางสังคม มิตรภาพ เรื่องราวของความโรแมนติกและความรัก ความพึงพอใจในการทำงาน และแรงดึงดูดทางกายภาพ

แล้วเราจะทำให้พวกเขารู้จักและเห็นคุณค่าในตัวเองได้อย่างไร?

“อะไรคือสิ่งที่หนูให้คุณค่าและให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก?” เป็นคำถามชวนคิดที่ผู้ปกครองนำไปใช้ถามลูกหลานของตัวเองได้

นอกจากการถาม อีวา แนะนำให้ผู้ปกครองทำแบบสำรวจ VIA กับเด็กและเยาวชน (www.viacharacter.org) VIA เป็นแบบสำรวจออนไลน์ ใช้เวลากรอกข้อมูลเพื่อตอบแบบสอบถามประมาณ 15 นาที ผลลัพธ์จากการประมวลผลช่วยให้เด็กและเยาวชนรู้จักคาแรคเตอร์ รวมถึงจุดแข็งของตัวเอง เช่น ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ หรือ ภาวะความเป็นผู้นำ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ปกครองอาจทดลองทำแบบสำรวจอื่นๆ ที่สามารถประเมินศักยภาพของเด็กได้ตามความเหมาะสม แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เด็กและเยาวชนเห็นคุณค่าในตัวเอง แต่ผู้ใหญ่เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้น และเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพของเด็กและเยาวชนให้ตรงตามความสนใจและความถนัด สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจ มีความสามารถและมีแรงบันดาลใจมากขึ้น

5. มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น (โดยเฉพาะคนแปลกหน้า)

สุดท้ายแล้ว เมื่อวัยรุ่นมีความรู้สึกว่าตนเองได้สัมพันธ์ใกล้ชิดและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น พวกเขาจะรู้สึกดีกับตัวเอง รายงานผลการศึกษาปี 2017 จากการสำรวจพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการมีน้ำใจและช่วยเหลือผู้อื่นของกลุ่มวัยรุ่น 618 คน (ช่วงอายุ 11-14 ปี) พบว่า วัยรุ่นกลุ่มนี้เห็นคุณค่าในตัวเอง ส่วนวัยรุ่นกลุ่มที่มีน้ำใจช่วยเหลือคนแปลกหน้ายิ่งมีแนวโน้มที่เห็นคุณค่า ด้วยการยอมรับและนับถือตัวเองมากขึ้นไปอีก

อีวา ยกตัวอย่างกรณีลูกสาวของเธอ หลังจากที่ได้เข้าไปเห็นการทำงานของลูกสาวในโครงการ ‘Change the World’ ของโรงเรียน ทิม โอเวนส์ (Tim Owens) ครูผู้สอนวิชาสังคมศาสตร์ ได้มอบหมายให้นักเรียนเกรด 8 ดำเนินโครงการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความยั่งยืน ศึกษาปัญหา หาทางแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ ไปจนกระทั่งวางแผนและลงมือทำงาน

นักเรียนใช้เวลาทั้งวันทำงานกับชุมชน เพื่อสนับสนุนนโยบายที่ช่วยปกป้องคนที่พวกเขาไม่รู้จัก ยกตัวอย่างเช่น ผู้อพยพ และเยาวชนที่ถูกทอดทิ้ง เช่นเดียวกับการปกป้องสัตว์จากการถูกนำไปทดสอบผลิตภัณฑ์ อีวากล่าวว่า เธอไม่เคยเห็นลูกสาว และเพื่อนๆ ของลูกมีความกระตือรือร้น มีพลังงาน มีความมั่นใจ และทำงานเพื่อสังคมมาก่อน

ผู้ใหญ่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการสนับสนุนโครงการการเรียนรู้ด้วยการบริการชุมชนของโรงเรียน รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมที่เด็กและเยาวชนสนใจในลักษณะนี้ได้ หรือแม้แต่การทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่างๆ ทั่วโลก (NGOs)

อีวา ยกตัวอย่าง องค์กร DoSomething ที่ใช้เครือข่ายออนไลน์โปรโมทกิจกรรมเพื่อสังคมแบบออฟไลน์ใน 131 ประเทศ โดยผู้ร่วมโครงการสามารถเลือกกิจกรรมที่ตนเองสนใจ ระยะเวลาที่อยากเข้าร่วมโครงการ และประเภทของการช่วยเหลือ ยกตัวอย่างเช่น การลงทำงานในพื้นที่ งานพัฒนาพื้นที่ การประดิษฐ์ หรือการให้แบ่งปันด้านต่างๆ เป็นต้น

เมื่อเด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตด้วยการคิดถึงผู้อื่น ไม่ทำอะไรตามใจตัวเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้พวกเขามีทัศนคติเชิงบวก เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถ รวมทั้งมีเป้าหมายในการใช้ชีวิต

ในขณะที่วัยรุ่นจำนวนมากต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความวิตกกังวลและความพยายามสร้างความสมบูรณ์แบบในชีวิต การกระตุ้นและส่งเสริมในลักษณะที่ว่ามาอาจช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ดีที่สุด คือ การให้กำลังใจ ขณะที่พวกเขากำลังพัฒนานิสัยและจุดแข็งของตัวเองซึ่งจะเป็นอาวุธติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต

ที่มา:

 Five Ways to Help Teens Feel Good about Themselves

Tags:

พัฒนาการทางอารมณ์ซึมเศร้าวัยรุ่นความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การเติบโตการจัดการอารมณ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Life classroom
    SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง
21st Century skills
13 July 2018

เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจในอนาคตได้แน่นอนคือ There still be tomorrow without us วันพรุ่งนี้จะมาไม่ว่าเราจะอยู่หรือเราจะไป แล้วโลกอนาคตจึงฝากไว้กับคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น
  • ความหวังอยู่ที่คนรุ่นใหม่ ความหลากหลายคือพลัง แล้วการสร้างเครือข่ายคือคำตอบ
  • โรงเรียนอนาคตเกิดขึ้นแล้วจะไม่จบแค่ 2 อาทิตย์ แต่มันจะดำเนินไปต่อ เครือข่ายของนักศึกษาจะดำเนินไปต่อ รู้จักกัน และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมต่อไป

‘โลกอนาคตจะเป็นอย่างไร หน้าตาอย่างไร’ สองคำถามนี้ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และน้อยคนนักที่จะตอบคำถามนี้ได้ สิ่งที่ตามมาคือเมื่อเราไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร แล้วเราจะอยู่ในโลกอนาคตได้อย่างไรถ้าเราไม่เตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้

รศ.ดร.พิภพ อุดร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แล้วเหตุใด ‘อนาคต’ ถึงสำคัญ รองศาตราจารย์ดอกเตอร์ พิภพ อุดร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงอนาคตไว้ว่า

“อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีความแน่นอนสูง คำถามคือเมื่อไม่รู้ว่าโลกอนาคตเป็นอย่างไร แล้วจะเตรียมคนเพื่อให้ไปสู่โลกอนาคตนั้นได้อย่างไร มีเพียงสิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้แน่นอนคือ There still be tomorrow without us วันพรุ่งนี้จะมาไม่ว่าเราจะอยู่หรือเราจะไป โลกอนาคตจึงฝากไว้กับคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น”

จากความไม่แน่นอนของอนาคต นำไปสู่การจัดตั้งโรงเรียนอนาคต โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท และบริษัท ดิ วันโอวัน เปอร์เซนต์ จำกัด

ภาคีทั้ง 5 ร่วมกันทำโรงเรียนอนาคตขึ้น ชวนนักเรียนนักศึกษาจากทั่วประเทศตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนปลาย จนถึงรั้วมหาวิทยาลัยทั้งหมด 30 คน เข้าร่วมเรียนด้วยกัน 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 8-22 กรกฎาคม ให้นักศึกษากิน นอน เรียนอยู่ด้วยกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้หลากหลายเพื่อสร้างความรู้และทักษะที่จะใช้ชีวิตในโลกอนาคต

รองศาสตราจารย์เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยและสังคมโลกได้  และเหมาะสมกับการเป็นผู้นำแห่งศตวรรษที่ 21

รองศาสตราจารย์เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้นำรุ่นใหม่ของ รศ.เกศินี ต้องมีคำว่า GREAT อยู่ใน DNA ซึ่ง GREAT ที่เหมาะกับศตวรรษที่ 21 นี้ไม่ได้หมายความสั้นๆ ว่า ยอดเยี่ยม แต่ไปไกลกว่านั้น คือ

G – Global mindset ในการอยู่ที่ไหนในโลกก็สามารถอยู่ได้ ปรับตัวเข้าได้ มีความรู้ความเข้าใจและเชื่อมโยงได้

R – Responsibility เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ

E – Eloquent มีสุนทรียในจิตใจ

A – Aesthetic appreciation สามารถสื่อสารได้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลัง

T – Team leader  เป็นผู้นำทีม ในโลกยุคนี้ต้องทำงานเป็นทีม ช่วยกันคิดช่วยกันทำ และพร้อมที่จะเป็นผู้นำ

เป้าหมายสำคัญอีกประการของโรงเรียนอนาคต คือ ต้องการให้เยาวชนเกิดการตระหนักรู้ ตั้งคำถาม ที่สร้างสรรค์ต่อไปในอนาคต เราต้องการเยาวชนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ ออกนอกกรอบ และสร้างสังคมที่เกิดความสมานฉันท์ขึ้น

สตีเนอ คลัพเพอร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) ประเทศไทย

สตีเนอ คลัพเพอร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) ประเทศไทย กล่าวด้วยความหวังที่ว่า

“แม้ว่าอนาคตจะยังดูไม่ค่อยสดใสในสังคมโลกปัจจุบัน แต่อยากให้ทุกคนมีความคิดว่าเราจะพัฒนาสังคม และโลกใบนี้ไปได้ เพราะอนาคตจะเป็นสิ่งที่เราสร้างและกำหนดรูปแบบได้ด้วยตัวเราเอง และหวังว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะร่วมกำหนดอนาคตไปด้วยกัน”

ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อโรงเรียนมีเป้าหมาย แต่โรงเรียนจะดำเนินต่อไปไม่ได้หากปราศจากฐานความเชื่อที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเรียนการสอนของโรงเรียนอนาคต ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พูดถึงฐานความเชื่อสามประการของโรงเรียน คือ

  • ความหวังอยู่ที่คนรุ่นใหม่: เพราะเขายังมีศักยภาพเติบโตไปได้อีกนาน ยิ่งเราให้โอกาสเขาเร็วเท่าไหร่ เขาจะพัฒนาศักยภาพแล้วดึงศักยภาพตัวเองออกมาเร็วเท่านั้น
  • ความหลากหลายคือพลัง: โลกปัจจุบันความรู้เฉพาะด้านอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ความตั้งใจของหลักสูตรนี้คือเด็กสายนิเทศศาสตร์ที่อยากเติบโตไปเป็นสื่อ เขาควรจะมีความรู้ในเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม เด็กที่เรียนด้านรัฐศาสตร์ต้องรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ เด็กที่เรียนด้านศิลปะการแสดงจะได้มาเรียนเรื่องปรัชญา
  • การสร้างเครือข่ายคือคำตอบ: ลำพังตัวคนเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ต่อให้คุณเก่งอย่างไรก็ตาม เราก็อยากให้คนเก่งๆ ในแต่ละสาขาได้มีโอกาสมาเจอกัน แล้วหลังจากเรียนจบออกไป เราอยากให้เขาสานต่อความสัมพันธ์ เป็น ages of change คือ ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงที่จะขยายองค์ความรู้ และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโรงเรียนนี้ไปสู่สังคมในวงกว้าง
ปกป้อง จันวิทย์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ดิวันโอวัน เปอร์เซนต์ จำกัด และบรรณาธิการบริหารสื่อความรู้สร้างสรรค์ บริษัท ดิ วันโอวัน เปอร์เซนต์ จำกัด

คำถามต่อมาคือแล้วผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะบรรลุไปสู่เป้าหมายของโรงเรียนได้อย่างไร ผ่านการเรียนการสอนแบบไหน ‘คุณครูใหญ่’ ปกป้อง จันวิทย์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ดิวันโอวัน เปอร์เซนต์ จำกัด และบรรณาธิการบริหารสื่อความรู้สร้างสรรค์ บริษัท ดิ วันโอวัน เปอร์เซนต์ จำกัด คุณครูใหญ่ปกป้องอธิบายว่า

กิจกรรมในแต่ละวันแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงเช้าเป็นคลาสพูดคุย ถกเถียงในเชิงวิชาการ ตั้งโจทย์จากประเด็น เช่น ความเป็นพลเมืองโลก ความยุติธรรม ความท้าทายต่อทุนนิยม ระเบียบโลกใหม่ ประเด็นเหล่านี้ต้องรวมหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อให้นักศึกษาเห็นว่าโลกเปลี่ยนอย่างไร เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกในสารพัดมิติ

ช่วงบ่ายเป็นคลาสลงมือทำเพื่อฝึกทักษะ ในโลกของการศึกษายุคใหม่ แนวคิด 21st century skill ที่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาเท่านั้น นักศึกษาต้องมีความสามารถตั้งคำถามวิพากษ์ เรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดเวลา ทักษะจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งการทำงานเป็นทีม และการเป็นพลเมืองโลกด้วย

Dinner talk หลังมื้อค่ำ เพราะการเรียนรู้มาจากบทสนทนาในวงที่ไม่เป็นทางการด้วย คนที่น่าสนใจในแวดวงต่างๆ เน้นคนในวงปฏิบัติจึงถูกเชิญมาเป็นอาจารย์พิเศษ เช่น ซีอีโอธนาคารเกียรตินาคิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ  โดยให้นักศึกษาจะเป็นฝ่ายชวนคุยและตั้งคำถาม

ทุกวันเสาร์จะเดินทาง เช่นจะนำไปคุยกับทีมนักธุรกิจ start up ชวนนักศึกษาคุย ตั้งคำถามเกี่ยวกับธุรกิจในโลกยุคใหม่ เขาจะมีปฏิสัมพันธ์อย่างไรต่อโลกยุคใหม่ ไม่ใช่ให้เด็กๆ เข้าไปเป็นลูกจ้างอย่างเดียว แต่ให้คิดสร้างสรรค์ ทำอะไรที่เป็นของตัวเองได้ด้วย นอกจากนี้ยังชวนนักศึกษาให้รู้จักการเมืองไทยผ่านการเดินย่านสำคัญๆ อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยนักศึกษาทุกคนต้องส่งผลงาน ทั้งรูปแบบงานกลุ่มและงานเดี่ยว ภายใต้โจทย์ว่า “คุณต้องทำเมืองไทยด้านไหนให้ดีขึ้น”

“เขาจะเอาความรู้ที่ได้จากการเรียน มานำเสนอในวันสุดท้ายของโรงเรียน  จากนั้นคือ งานเดี่ยว ที่ต้องส่งงานสามเดือนหลังจากนั้น ภายใต้หัวข้อ ‘โรงเรียนอนาคตของเรา’ ในมิติใดก็ได้ และไม่จำกัดรูปแบบ”

“เราตั้งใจว่าโรงเรียนอนาคตเกิดขึ้นแล้วจะไม่จบแค่ 2 อาทิตย์ แต่มันจะดำเนินไปต่อ เครือข่ายของนักศึกษาจะดำเนินไปต่อ รู้จักกัน และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมต่อไป” คุณครูใหญ่ปกป้องทิ้งท้าย

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษาวัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

พลังบวกมหาศาลในสนามเด็กเล่น
Space
11 July 2018

พลังบวกมหาศาลในสนามเด็กเล่น

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • สนามเด็กเล่นคือ ภาพจำลองของการเข้าสังคม มีการแบ่งปัน แย่งชิง รวมกลุ่มและกีดกัน ช่วยเหลือและทอดทิ้ง
  • เมื่อโตขึ้น เขาจะเป็นส่วนหนึ่งหรือแปลกแยกของสังคม สนามเด็กเล่นมีส่วนสำคัญ
  • พ่อแม่หรือคุณครู ไม่เป็นเพียงผู้ดูแลข้างสนาม แต่ยังสามารถเข้าไปช่วยเด็กๆ ในสนามได้ด้วย ช่วยอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

คุณเห็นอะไรที่สนามเด็กเล่น?

เด็กๆ วิ่งพลางส่งเสียงดัง ครูยืนคุมข้างสนาม พ่อแม่นั่งคุยกันหรือก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ แต่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งมองเห็นมากกว่า

พวกเขาเห็นการแบ่งปัน การแย่งชิง การรวมกลุ่ม การกีดกันออกจากกลุ่ม การเป็นผู้นำและผู้ตาม การช่วยเหลือและการทอดทิ้ง

สนามเด็กเล่นคือ ภาพจำลองขนาดย่อของการเข้าสังคม และเป็นสถานที่สำคัญที่จะสามารถมอบพลังบวกในการพัฒนาทักษะทางสังคม อารมณ์ และการเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้

จากผลการวิจัยในวารสารด้านสาธารณสุขอย่าง บีเอ็มซี พับลิค เฮลธ์ (BMC Public Health) ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์สนามเด็กเล่นของโรงเรียนเกือบ 500 แห่งทั้งในและนอกตัวเมืองทั่วสหรัฐอเมริกา พบว่า ช่วงเวลาพักผ่อนในสนามเด็กเล่นส่งผลเชิงบวกต่อการสร้างความสัมพันธ์และทักษะทางสังคมที่สำคัญได้เป็นอย่างดี

ระหว่างอยู่ที่โรงเรียน เด็กๆ ใช้เวลาเคลื่อนไหวร่างกายในสนามเด็กเล่นมากถึง 44 เปอร์เซ็นต์ แต่บ่อยครั้งที่โรงเรียนส่วนใหญ่กลับประเมินศักยภาพทางสังคม อารมณ์ และการเรียนรู้ที่เด็กๆ จะได้รับจากช่วงเวลานี้ต่ำเกินไป ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกแบบสนามเด็กเล่นที่ส่งผลเชิงบวกต่อเด็กๆ ได้เต็มที่

จากการสำรวจ ทีมนักวิจัยตั้งความหวังว่า จะสามารถสร้างเครื่องมือที่ทำให้โรงเรียนต่างๆ รับรู้ได้มากกว่าแค่เรื่องทางร่างกาย และทบทวนประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัย ทรัพยากร การมีส่วนร่วมของนักเรียนและผู้ใหญ่ พฤติกรรมเอื้อสังคม (Prosocial) พฤติกรรมต่อต้านสังคม (Antisocial) รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของเด็กๆ ในสนามเด็กเล่นให้มากขึ้น

พลังของเวลาเล่น

เพราะสนามเด็กเล่นคือภาพจำลองวิธีสร้างความสัมพันธ์ในสังคม สิ่งที่เด็กๆ จะได้จากการเล่นจึงไม่ใช่แค่เหงื่อกับความแข็งแรง แต่ยังได้เรียนรู้วิธีรับมือกับพื้นที่ทางอารมณ์ สังคม ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของวัยเด็กอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการผลัดกันเล่นชิงช้า การเล่นเป็นทีม การทะเลาะกัน และการรับมือกับความพ่ายแพ้ในเกมกีฬาต่างๆ งานวิจัยระบุว่า ประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยวางรากฐานความสำเร็จตั้งแต่ในโรงเรียน จนถึงความสัมพันธ์และหน้าที่การงานในอนาคตได้

“โรงเรียนต้องตั้งคำถามที่จะสามารถเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมและเป็นตัวของตัวเองของเด็กๆ ในสนาม เช่น กิจกรรมหลากหลายที่พวกเขาได้มีส่วนร่วม พวกเขาเข้ากันได้ดีและใช้ช่วงเวลานี้พัฒนาทักษะทางสังคม และเด็กๆ สามารถร่วมกิจกรรมได้อย่างมั่นใจ โดยไม่มีผู้ใหญ่มาก้าวก่าย” ทีมนักวิจัยแนะนำ

ทั้งหมดนี้เพื่อย้ำเตือนว่า ช่วงเวลาพักไม่ใช่แค่การเล่นสนุกไปวันๆ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนเพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่รอบรู้และมีสุขภาพดีได้

ผู้ใหญ่เป็นต้นแบบ ไม่ใช่แค่ผู้คุมกฎ

ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กๆ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้การพัฒนาทักษะเข้าสังคมของเด็กรุดหน้าได้เร็ว แต่โรงเรียนหลายแห่งวางตำแหน่งครูให้เป็นแค่ผู้คุมกฎข้างสนาม ทั้งที่จริง ผู้ใหญ่สามารถเป็นได้ทั้งผู้คุมกฎและต้นแบบท่าทีเชิงบวกให้เด็กๆ เห็นได้

นอกจากคอยดูไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้ง ครูหรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ สามารถช่วยให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเล่นทุกคนโดยไม่มีใครถูกกีดกันออกไปให้รู้สึกโดดเดี่ยว สร้างการรวมกลุ่ม และสนับสนุนวัฒนธรรมแห่งการเป็นเจ้าของ (Culture of Belonging) ซึ่งทำให้เด็กๆ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนมากขึ้น

งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์เชิงบวกกับครูและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนส่งผลอย่างมากต่อความสำเร็จ ทั้งในการศึกษาและในระยะยาว

“ถ้าสภาพแวดล้อมในสนามเด็กเล่นยังมีการกลั่นแกล้งและพฤติกรรมต่อต้านสังคมเกิดขึ้น การสร้างสุขภาวะด้านสังคม อารมณ์ และการเรียนรู้คงเป็นไปได้ยาก” ทีมผู้เขียนงานวิจัยอธิบาย

Safety First ปลอดภัยไว้ก่อน

คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกเล่นในสนามที่เครื่องเล่นพังๆ – จริงไหม

ถ้าอุปกรณ์ในสนามเด็กเล่นไม่เคยได้รับการบำรุงซ่อมแซม ชั่วโมงพักผ่อนของพวกเขาจะมีแต่ความวุ่นวายและไม่ไว้วางใจ แล้วจะไปหวังอะไรกับการสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วม

เพราะฉะนั้น ทีมนักวิจัยแนะนำว่า โรงเรียนต่างๆ ควรตรวจสอบอุปกรณ์ในสนามให้ปลอดภัยอยู่เสมอ ตั้งแต่แป้นเกลียว ตัวน็อต โครงสร้าง พื้นสนาม รวมทั้งดูว่ามีพื้นที่อันตรายอย่าง สถานที่ก่อสร้างหรือพื้นที่การจราจร ที่ถูกปิดอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่

เพราะสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างดี จะทำให้เด็กๆ มีความสุขและเอื้อต่อการพัฒนาทักษะการเข้าสังคม อารมณ์ และการเรียนรู้ได้มากกว่า แม้ในสนามนั้นจะมีแค่ลูกบอลกับเชือกกระโดดก็ตาม

ที่มา: https://www.edutopia.org

Tags:

สนามเด็กเล่นปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)การเล่น

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

“กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร
Social Issues
10 July 2018

“กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • เมื่อ 13 ชีวิตออกมาจากถ้ำโดยสวัสดิภาพ พวกเขาต้องปลอดภัยจนถึงที่สุด ภารกิจวันนี้จึงยังไม่เสร็จ พวกเรา-คนแปลกหน้าที่เด็กๆ ไม่รู้ ต้องกู้ภัยเขาต่อไป เพื่อให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ
  • พอพวกเขากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ สิ่งที่เกิดตามมาคือความรู้สึกขอบคุณ แต่ทำอย่างไรไม่ให้กลายเป็น ‘หนี้บุญคุณ’ คอยตีกรอบอนาคต
  • วิกฤติที่พวกเขาผ่านมาจะกลายเป็นความแข็งแกร่งและต้นทุนชีวิตขึ้นมาได้ คนแปลกหน้าอย่างเราช่วยได้ – แค่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

เมื่อทั้ง 13 หมูป่าได้รับความช่วยเหลือออกมาจากถ้ำอย่างปลอดภัย ร่างกายที่เคยเจ็บป่วยจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่สิ่งที่หมอยังตรวจและระบุอาการไม่ได้คือ ‘จิตใจ’ ว่าจะปลอดภัยแค่ไหนเมื่อออกมาพบโลกแล้ว

ความรู้เฉพาะทางอย่างนี้คงต้องปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

สำหรับ แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ถ้าเด็กๆ และโค้ชทั้ง 13 เป็นคนไข้ในความดูแล จะระบุลงไปในใบสั่งยาสั้นๆ ว่า

“ให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติกับครอบครัว”

เพราะ สิ่งที่เด็กๆ ต้องการคือครอบครัว เพื่อน โรงเรียน ชุมชน และชีวิตเดิมของเขา – เท่านั้น

ที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีข่าวหรือเหตุการณ์ที่คนเสพสื่อตลอดเวลาอย่างนี้มากน้อยแค่ไหน

ประเทศไทยน่าจะผ่านหลายรอบแล้ว พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็จะมีคนขึ้นมาพูดทันทีว่า ช่วงนี้เราเข้ามาภาวะนั้นอีกแล้วนะ เพียงแต่ว่าเราจะจัดการกับตัวเราเองอย่างไร

เรื่อง 13 ชีวิต ติดอยู่ในถ้ำหลวงเป็นที่สนใจมากมายขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องปกติของเหตุการณ์ที่ทำให้คนรู้สึกมีส่วนร่วมมาก ได้รับความสนใจ เพราะโดยธรรมชาติการเกิดอุบัติภัยเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอยู่แล้ว และถ้าอุบัติภัยนั้นๆ ไปสัมผัสกับความรู้สึกของผู้คน การรู้สึกอยากจะเข้ามารับรู้ หรือมีความรู้สึกร่วม ก็เป็นไปตามสถานการณ์

หลังจากที่ออกจากถ้ำมาแล้ว หลายคนเป็นห่วงว่าทั้ง 13 คนอาจจะเกิดอาการ PTSD (POST-TRAUMATIC STRESS DISORDER) หรืออาการความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ

มันเป็นเรื่องการคาดการณ์ไปข้างหน้า อาจจะเป็นแนวทางที่ทำให้เราระมัดระวัง และมีบทเรียนในการทำงาน แต่มันไม่ได้เป็นสูตรคณิตศาสตร์ ว่าจะต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ เราควรกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มีสติ ติดตามข่าว แล้วทำความเข้าใจว่าเราเป็นใคร เรามีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้อย่างไร เราทำอะไรได้ และอะไรเป็นสิ่งที่เราควรทำ

อะไรคือข้อควรระวังสำหรับสื่อ และผู้เสพสื่อ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของเด็กและโค้ชต่อจากนี้

เรื่องที่ง่ายที่สุดก็คือการกลับไปมีชีวิตปกติ ฟังดูง่ายแต่ไม่ง่าย สิ่งที่ดีที่สุดคือการกลับไปมีชีวิตที่ปกติ ถ้าเราเข้าใจคำนี้ เราก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่เด็กต้องการคือครอบครัว เพื่อน โรงเรียน ชุมชน และชีวิตของเขา และถ้าเราเข้าใจด้วยความเป็นปกติของชีวิต ในความหมายที่ว่าเราไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่คุณครู และไม่ใช่ชุมชน เราเป็นผู้ติดตาม บางทีเราก็อยากรู้บางเรื่อง อยากถาม มีความสนใจ

เราต้องดึงสติตัวเองให้กลับมาอยู่ในจุดที่พอเหมาะภายใต้ความคิดที่ว่าเราอยากส่งกำลังใจไป กำลังใจดีที่สุดคือทำให้เขาได้ใช้ชีวิตปกติที่สุด แล้วทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปอย่างที่เราหวัง คืออยากให้เด็กกลับมาสู่ครอบครัวปกติ กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างที่เขามีความสุข เหมือนก่อนที่เขาจะไปติดถ้ำ

‘เด็กไม่ควรถูกถาม หรือให้เล่าซ้ำ หลังจากที่ออกจากถ้ำ’ เราควรจะปฏิบัติแนวนี้?

สมมุติเด็กๆ กลับไปอยู่ในอ้อมกอดพ่อแม่อย่างที่เคยเป็น แล้วเขาอยากพูดในสิ่งที่เขาเคยผ่านมากับคนที่เขารัก อันนี้คือปกติ แต่ถ้าวันนี้เขาเดินไป ใครไม่รู้เดินเข้ามา ดาหน้ากันเข้ามาเพื่อตั้งคำถามเดิมๆ แล้วเขาก็เกิดความอึดอัดใจ จริงๆ ก็ไม่อยากตอบ เพราะไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะพูด แต่ก็รู้สึกว่า เขาอุตส่าห์ตั้งใจมาหา อันนี้ไม่ปกติ ถ้าเรากลับไปมองแบบนี้ เราจะเข้าใจได้ว่าบางอย่างมันไม่ได้อธิบายแค่ว่าพูดหรือไม่พูด มันขึ้นกับว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก

การที่เด็กและครอบครัวจะออกมาพูดหรือไม่พูดกับสื่อควรเป็นการตัดสินใจของเด็กและครอบครัว เมื่อเด็กเข้าใจทั้งหมดว่าเขากำลังจะเผชิญกับอะไร ตามขั้นตอนแล้วเด็กแและครอบครัวจะได้รับคำบอกเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น และกำลังจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเขาก็อาจจะคุยกันในครอบครัวแล้วปรึกษากันว่า ในฐานะครอบครัวจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันอย่างไร เด็กและครอบครัวจะตัดสินใจร่วมกัน แต่ถ้าเขามีความกังวล ก็จะมีคนช่วยเขาตัดสินใจเช่นทีมจิตแพทย์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่กับ 13 ชีวิตอีกนานแค่ไหน

โดยหลักการเราไม่ค่อยลืมเรื่องใหญ่อย่างนี้ในชีวิตหรอก แต่การคิดถึงมันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป นานๆ จะนึกถึงสักทีหนึ่ง สิ่งที่สำคัญคือว่าเขาได้เรียนรู้ในประสบการณ์นี้ว่าอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่เราอยากเห็น การเรียนรู้นี้จะสร้างข้อมูลเรื่องชีวิต เพื่อให้เขาได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเขาได้มีประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แล้วเขาก็ได้ผ่านประสบการณ์นี้มา แต่ชีวิตเขายังดำเนินต่อไปอย่างปกติสุข นี่คือสิ่งที่เขาจะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า

ในความปกติของเด็กๆ และครอบครัว พวกเขาต้องรู้สึกปลอดภัยทั้งจากภายในและคนภายนอก จะทำอย่างไรให้เกิดสภาพปลอดภัยมากที่สุด

ในช่วงต้นอยากให้อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ง่ายที่สุดก็คือครอบครัว แต่เราจะไปบอกว่าให้เขาอยู่แต่กับครอบครัวไปตลอดชีวิตนั่นไม่ใช่เรื่องปกติ เขาก็ต้องเริ่มกลับไปโรงเรียน กลับไปสังคม อาจจะรวมเรื่องอื่นๆ เขาจะต้องค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง ตัดสินใจด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ เราไม่ควรให้เหตุการณ์นี้มาชะงักงันหรือมาปิดกั้นเพื่อไม่ให้เขาทำในสิ่งที่โตไปตามวัย เพียงเพราะว่า “เดี๋ยวหนูกังวล เดี๋ยวหนูจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวหนูจะเป็นอย่างนี้” ฉะนั้นเพียงแต่ระยะต้นเท่านั้นที่เราต้องมั่นใจว่าเขาจะดูแลสถานการณ์ได้

ถ้าเป็นไปได้ในช่วงแรกอยากได้พื้นที่ที่ค่อนข้างส่วนตัว เมื่อเขาอยู่กับครอบครัวก็เป็นเรื่องปกติ เขาจะกลับไปสู่ภาวะปกติที่สุดสำหรับเด็ก นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละครอบครัว แต่ไม่ใช่ว่าตลอดช่วงชีวิตเขาจะต้องอยู่อย่างนี้ไปตลอด เขาจะเติบโตต่อไปอย่างแน่นอน

Social Media เป็นอันตรายและเป็นอุปสรรคต่อความปกติมากน้อยอย่างไร

อันนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราไม่อยากตีกรอบกั้นเด็ก และเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วในโลกปัจจุบัน แต่ถ้าคนรอบข้างสังเกตเห็นว่า เขารู้สึกหวั่นไหว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ บางทีไปเจอมา 10 คำยังไม่เท่าไหร่ พอมาเจอคำที่ 11 ที่มีความหมายบางอย่างขึ้นมา

สิ่งที่สำคัญคือครอบครัวจะต้องโอบกอดกัน พูดคุยสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำความเข้าใจ แต่ถ้าไม่มั่นใจ อยากได้ตัวช่วย ก็แล้วแต่เด็กและครอบครัวจะตัดสินใจ

ความช่วยเหลือต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะทำให้เด็กๆ และโค้ชรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหรือหนี้ชีวิตมากน้อยแค่ไหน และความคิดนี้มีผลร้ายต่อไปในอนาคตหรือเปล่า

ถ้าเราดูวัฒนธรรมอันนี้ของคนไทย จริงๆ เป็นวัฒนธรรมที่น่ารัก คนไทยเป็นคนที่มีความเอื้อเฟื้อ อยากช่วยคนอื่นมาก ในขณะเดียวกันเราต้องยอมรับว่าบางสถานการณ์เราก็ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราอยากให้เขามาช่วย ในบางสถานการณ์มันมีความจำเป็นต้องรับความช่วยเหลือจากคนอื่น

เด็กจะได้เรียนรู้การร้องขอความช่วยเหลือซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือสิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้น และเมื่อผ่านสิ่งนี้ไปแล้ว รู้สึกขอบคุณ อันนี้คือความอ่อนโยนที่มีมาในวัฒนธรรมเรา แต่ต้องระมัดระวังและเรียนรู้เสมอว่า รู้สึกขอบคุณได้แต่เราก็ต้องเติบโตต่อไป

หลังจากนี้มีผู้ใหญ่ใจดีอยากจะช่วยเหลือมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อกีฬา รองเท้าฟุตบอล พาไปดูบอลโลก ฯลฯ เด็กๆ ควรรับมืออย่างไร

หมอคิดว่ามันเป็นกระบวนการของครอบครัวที่ต้องเรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาก็ตามแต่ การใช้ชีวิตแบบปกติสำคัญที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้มันมาแบบชั่วคราว ไม่มีอะไรอยู่กับเรา ที่อยู่กับเราแน่ๆ คือพ่อแม่ เพื่อน โรงเรียน ชุมชน และการที่เขามีเป้าหมายในอนาคตว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ยังอยากเดินหน้าต่อไป ให้เขารักษาสิ่งนั้นไว้ ไม่ได้ปฏิเสธความตั้งใจดี แต่เขาต้องเรียนรู้ว่าอันนี้มันมาด้วยใจ แต่มันมาแบบชั่วคราว ไม่ใช่ตัวหลักในชีวิตของเขา แต่ถ้าเป็นประโยชน์ต่อเขาในการที่จะใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ก็จงรับประโยชน์นั้นไว้ ไม่ได้เสียหายอะไร

ถ้าเขาผ่านมาได้ เขาจะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วๆ ไป?

ใช่ค่ะ โดยทั่วไปการผ่านวิกฤติจะทำให้มีการเรียนรู้และเข้าใจชีวิต

สิ่งสำคัญคือ เขาไปด้วยความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ที่รอดมาได้ก็เพราะความเป็นกลุ่มก้อน ออกมาก็ขอให้รักษาความเป็นทีมเอาไว้ อันนี้เป็นอีกจุดแข็ง คือมีความรู้สึกว่า มีเราๆๆ เต็มไปหมด ผ่านสิ่งต่างๆ มาด้วยกัน เขาก็จะมั่นใจในสิ่งนี้อยู่

ความเป็นทีมจะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต เขาจะรู้ว่าการอยู่ด้วยกัน มันให้และรับกันและกันในกลุ่มของเขา เขาจะเห็นประโยชน์ของมันอยู่แล้ว ทั้งหมดคือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ โค้ชนอกจากเป็นโค้ชฟุตบอลแล้วยังเป็นโค้ชชีวิตของเด็ก เด็กจะรู้ว่าในบางเวลาการมีคนที่ปรารถนาดีต่อเรา ให้คำแนะนำ ที่สำคัญเป็นโค้ชที่นำทางและช่วยชีวิตเขา

วันหนึ่ง เขาอาจจะเดินหน้าไปเป็นโค้ชก็ได้ เพราะเขาจะรู้ว่าเด็กอย่างเขา ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ต้องการคนเข้ามาช่วยจัดการ เด็กๆ ทุกคนที่อยู่ในวัยแบบนี้ สามารถร่วมทีมกันได้ ร่วมเหตุการณ์กันได้ ออกมาแล้วก็ยังมีชีวิตร่วมกัน วันข้างหน้าอาจจะไม่ได้เล่นฟุตบอลก็ได้ แต่วันหนึ่งเขาก็คงไม่ลืมทั้งเหตุการณ์และความสัมพันธ์ที่เขามีต่อกันวันนี้

Tags:

การเติบโตพัฒนาการทางอารมณ์ทีมหมูป่าพญ.พรรณพิมล วิปุลากรจิตวิทยา

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Character building
    บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Family Psychology
    เป็นห่วง VS ไม่เชื่อใจ ทำยังไงให้ลูกอยากเล่าให้ฟังเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์
Grit
9 July 2018

‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

เรื่อง

  • เริ่มจากการร้องเพลง ช้าง ช้าง ช้าง จากเด็กร้องเพลงไม่เป็น กลายมาเป็นคนสืบสานการขับซอ มรดกสำคัญของจังหวัดน่าน
  • ความชอบ ความใช่ และตัวตน ไปจนถึงพรสวรรค์ คนอื่นอาจจะค้นพบก่อนตัวเอง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ เมื่อเจอแล้วจะรักษาและทำให้มันเติบโตต่ออย่างไร
  • คำไทด์คือตัวอย่าง ที่เริ่มต้นจากการเรียนไปงั้นๆ  แต่หลังจากนั้นกลับเอาจริงและหมั่นฝึกฝน จนสำเร็จในที่สุด
เรื่อง : ไรญา ต่วนมิหน้า

การค้นหาตัวตนถึงความชอบและความใช่ บางครั้งไม่ได้มาจากตัวเองเสมอไป แต่กลับเป็นมุมมองของคนใกล้ชิดหรือใครก็ตามที่เห็นพรสวรรค์ จนพาเราไปสู่พรแสวง ที่ทำให้เราค้นพบถึงความใช่และความชอบของตัวเอง

Anders Ericsson เขียนไว้ในหนังสือ Peak ที่วิเคราะห์ถึงชีวิตของ โวล์ฟกัง โมสาร์ต นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิคชาวออสเตรียว่า “สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ด้านดนตรีของโมสาร์ตนั้นไม่ได้มีมาแต่กำเนิดแล้วคงอยู่อย่างนั้น แต่พรสวรรค์ดังกล่าวสามารถพัฒนาให้มีศักยภาพยิ่งขึ้นได้อีก และขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของคนๆ นั้นอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน”

คำไทด์ อภิรัตน์ รัตนศิลา
คำไทด์ อภิรัตน์ รัตนศิลา

เช่นเดียวกับ คำไทด์-อภิรัตน์ รัตนศิลา เด็กหนุ่มที่ตามย่าไปดูการขับซอมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้ชื่นชอบการขับซอ จนกระทั่งอายุ 11 ขวบ พ่อครูคำผาย นุปิง ศิลปินพื้นบ้านเจ้าของคณะวงคำผาย ชักชวนให้มาเรียนขับซอ โดยให้เหตุผลว่าคำไทด์ที่มีเส้นเสียงคล้ายตน

“ตอนนั้นพ่อคำผายให้ผมร้องเพลงให้ฟัง ผมก็เลยร้องช้าง ช้าง ช้าง ช้าง เพราะผมเป็นคนร้องเพลงไม่เป็น พอร้องเสร็จพ่อคำผายบอกว่าเราเป็นคนเสียงกว้าง อยากให้ลองมาเรียนขับซอดู เพราะพ่อผายเขาเด่นด้านการขับซอ เราก็คิดในใจว่าจะทำได้เหรอ ตอนนั้นที่ตัดสินใจเรียน ก็เรียนไปงั้นแหละ เพราะเราชอบดนตรี อยากเล่นสะล้อ ซอ ซึง มากกว่า”

ด้วยใจรักและอยากเล่นดนตรี คำไทด์จึงตัดสินใจเป็นลูกศิษย์พ่อครูคำผาย ด้วยหวังว่าจะขอเรียนขับซอไปสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยหาโอกาสเรียนเครื่องดนตรีอื่นๆ

กระบวนการที่พ่อครูคำผายสอนคำไทด์ขับซอนั้นเป็นการสอนแบบมุขปาฐะ ซึ่งเป็นการร้องต่อกันโดยไม่มีตำราเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อาศัยความจำล้วนๆ ไม่เหมือนการเรียนการสอนตามโรงเรียนสอนร้องเพลงทั่วไป ไม่มีโน๊ตเทียบโด เร มี แต่ใช้ความรู้สึกและความคุ้นเคยกับบทซอ ขณะเดียวกันเครื่องดนตรีที่เล่นไปกับการขับซอแต่ละชนิดมีโน้ตเสียงและความพริ้วไหวที่ต่างกัน จึงต้องอาศัยความจำและความเพียรในการฝึกฝน

คำไทด์ อภิรัตน์ รัตนศิลา

“ซอ” ในที่นี้ คือ บทร้องที่บอกเล่าเรื่องราวสถานการณ์ สังคม วัฒนธรรม โดยใช้ซอเป็นเครื่องดนตรีที่ให้ทำนอง การขับซอจะร้องด้วยถ้อยคำที่สัมผัสคล้องจองกันเป็นภาษาคำเมือง ตามท่วงทำนองของเพลงซอ การขับซอมี 2 แบบ คือซอแต่งกับซอสด ซอแต่งจะร้องไปตามความจำจากเนื้อหาที่ได้เรียนมา ส่วนซอสดเป็นการร้องสดแต่งเฉพาะหน้าตรงนั้น คนขับต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีเยี่ยม ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์และโอกาสที่ไปแสดง เช่น ถ้าไปแสดง ในงานบวชนาค ช่างซอก็จะร้องเพลงซอพรรณนาเกี่ยวกับ การตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เรื่องราวของพระพุทธเจ้า เป็นต้น

ภาวะเครียดอ่อนๆ

วันแรกๆ ที่ฝึก คำไทด์ยอมรับว่า รู้สึกเครียดมาก แต่ไม่ท้อ กลับรู้สึกว่าต้องทำให้ได้ให้สมกับที่พ่อครูคำผายเลือกเป็นลูกศิษย์…

“ลักษณะการสอนของพ่อคำผายคือไม่มีหนังสือให้อ่าน เขาบอกว่าที่ผมจะเรียนมันอยู่ในสมอง เขาจะขับซอให้ฟังสดๆ โดยให้เราใช้ความจำเป็นหลักในการเรียน เราก็ร้องตามเสียงที่เขาสอน ระยะหลังพ่อคำผายเริ่มแก่เขาก็สอนไม่ไหวก็ให้เอาซีดีมาฟัง ผมจึงเรียนจากการฟังซีดี พอพ่อคำผายร้องไปวรรคหนึ่งเราก็จดวรรคนั้น เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ และนำบทที่จดไว้มาฝึกร้องทุกวัน จนกระทั่งพ่อคำผายพาไปขับซอจริงในงานต่างๆ ให้โอกาสฝึกไปเรื่อยๆ เราจึงได้ประสบการณ์จริงตรงนั้นมา”

การสอนของพ่อครูคำผาย คล้ายๆกับทฤษฎีการเพิ่มระดับความเครียด ที่ Clancy Blair ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาประยุกต์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีการเพิ่มระดับความเครียดอ่อนๆ นั้น จะช่วยเพิ่มความท้าทาย ความคึกคักและสามารถช่วยให้การทำกิจกรรมที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เพราะฮอร์โมนของความเครียด นั่นคือ คอร์ดิซอลและนอร์อะดีนาลิน จะเข้าไปมีผลต่อสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า Prefrontal Cortex ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมส่วนสำคัญ ก่อให้เกิด Executive Function หรือ EF ที่ส่งผลต่อการควบคุมความจำ ความคิดผ่านการใช้งาน รวมทั้งการควบคุมตนเองด้วย

ด้วยบทขับซอที่มีสำนวนภาษาอันไพเราะ สละสลวย และการฝึกฝนทุกวันโดยไม่ย่อท้อ ประกอบกับพรสวรรค์ของเส้นเสียงที่กว้าง ทำให้คำไทด์สามารถร้องเสียงต่ำสูงได้ดี ไม่ว่าจะร้องโน้ตระดับไหนก็ตาม เสียงของคำไทด์กลับทำให้โน๊ตนั้นมีน้ำหนักและมีพลังยิ่งขึ้น ทำให้คำไทด์เรียนรู้ได้เร็ว สามารถจำบทขับซอยาวๆได้แม่นทุกคำและชื่นชอบการขับซอในที่สุด

‘ขับซอ’ ให้ทันสมัย

วันนี้คำไทด์ยังคงฝึกฝนและศึกษาเทคนิคลูกเล่นการขับซอทุกวัน เพื่อพัฒนาทักษะ ลูกเล่นการขับซอ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

คำไทด์ อภิรัตน์ รัตนศิลา

“แม้ว่าเราจะมีความรู้และประสบการณ์แล้ว เรายังคงต้องขวนขวายทักษะจากการเล่นในแต่ละเวทีที่มีไม่เหมือนกัน ตอนนี้สังคมเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเล่นให้ผู้เฒ่าผู้แก่ฟังก็ยังคงทำนองเดิมเนื้อหาเดิม แต่ถ้ามีวัยรุ่นมาดูด้วยเราก็จะใช้คำที่เขาสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ด้วย ผมมองว่าถ้าศิลปะขับซอหายไป แล้วเมืองน่านจะมีอะไรเป็นเอกลักษณ์เหมือนขาดองค์ประกอบ เสมือนวัดไม่มีตุ๊เจ้า มาเมืองน่านก็ต้องมาฟังขับซอล่องน่าน”

Tags:

project based learningคาแรกเตอร์(character building)Gritอาชีพดนตรีวัยรุ่นactive citizen

Author:

Related Posts

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    “เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Character building
    ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน

    เรื่อง The Potential

เมื่อมนุษย์เด็กสอนให้ฉันเข้าใจโลกที่ไม่เคยเข้าใจ
Transformative learning
9 July 2018

เมื่อมนุษย์เด็กสอนให้ฉันเข้าใจโลกที่ไม่เคยเข้าใจ

เรื่องและภาพ KHAE

ชีวิตของ KHAE หกเดือนหลังจากทำงานกับ The Potential ถือว่าบรรลุเป้าหมาย คือทำความเข้าใจกับมนุษย์เด็ก รวมถึงเข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่เข้าใจ …งงมั้ย ผลพลอยได้คือเห็นใจมนุษย์ผู้ใหญ่ด้วย ในฐานะที่เคยเป็นเด็กและโกรธผู้ใหญ่หลายๆ คนมาก่อน รู้สึกว่าชีวิตง่ายขึ้นเพราะมีเรื่องให้หงุดหงิดน้อยลง และส่วนที่ยากที่สุดในการทำงาน คือการเขียน

Tags:

วัยรุ่นความเข้าอกเข้าใจ(empathy)

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ‘MARCH FOR OUR LIVES’ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนตาย เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหม

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Life classroom
    SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

“ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล
Social Issues
6 July 2018

“ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • คุยกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ที่เป็นโค้ชทีมฟุตบอล ว่าเราควร/ไม่ควรทำอะไร เพื่อดูแลจิตใจของทีมหมูป่า รวมถึงเด็กๆ ทุกคนที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมากๆ มา ให้อยู่ต่อไปได้อย่างปลอดภัย
  • สิ่งที่ควรทำคือ ปล่อยพวกเขาไป เพราะความเป็นห่วงแบบผิดๆ คือ การไล่ให้กลับไปอยู่กับความทุกข์ในถ้ำ
  • ท่องเอาไว้ พวกเขาไม่ใช่เหยื่อ ไม่ใช่ฮีโร่ แต่คือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ

ระหว่างฝุ่นของเรื่องเล่า ข่าววิทยาศาสตร์-ไสยศาสตร์ยังตลบอยู่หน้าถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน และ ‘ทีมหมูป่า’ ยังคงใช้ชีวิตอยู่ข้างใน หนึ่งในเรื่องใหญ่ที่ตอนนี้หลายคนพูดถึงและเตรียมแผนรองรับ คือ ชีวิตและจิตใจนอกถ้ำของทั้ง 13 คน

ทีมข่าว The Potential จึงสนทนาข้ามทวีปเพื่อขอความรู้จาก นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ หรือ หมอแนต จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นกรมสุขภาพจิต ที่ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยเคนท์ ประเทศอังกฤษ

ทำไมต้องเป็นหมอแนต? เพราะหมวกอีกใบของหมอแนตคือ โค้ชทีมฟุตบอล ‘Thanet Galaxy PDFC’ ทีมนักฟุตบอลผู้พิการในมณฑลเคนท์ ที่ประกอบด้วย ผู้มีปัญหาทางสมอง ทางสติปัญญา ทางพฤติกรรม และทางอารมณ์ ในฐานะโค้ช หมอแนตยังเป็นเจ้าของ 2 ใบอนุญาต (license) คือ AFC ‘C’ coaching license (สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย) และ Level 2 FA coaching licence (สมาคมฟุตบอลอังกฤษ)

ในฐานะจิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น ที่เป็นโค้ชทีมฟุตบอลด้วย หมอแนตแนะแนวทางปฏิบัติเอาไว้ว่า

“จงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างปกติและสงบสุข แล้วความเข้มแข็งทางจิตใจที่เกิดขึ้น จะทำให้พวกเขากลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต”

ต่อไปนี้คือการทำความเข้าใจเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน กรณีนี้หมอแนตอธิบายว่าสามารถใช้ได้ทั้งกรณีทีมหมูป่าและเด็กๆ ทุกคนที่เคยผ่านเรื่องเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤติมา ผู้ใหญ่อ่านแล้วจะได้รู้ว่าควรคิดและทำตัวอย่างไร

1. ผลกระทบจากการวนเวียนอยู่กับความหิว ความกลัว ความสิ้นหวัง โดยไม่รู้สถานการณ์ภายนอกก่อความเครียดได้มหาศาล ต้องติดตามภาวะ ‘โรคเครียดภายหลังภยันตราย หรือ PTSD’

ผลกระทบทางร่างกายคงมีชัดเจนทุกคน เพราะไม่ได้รับประทานอาหารยาวนานถึง 9 วัน ย่อมมีภาวะขาดสารอาหาร สมดุลของเกลือแร่และน้ำในร่างกายอาจมีปัญหา แสดงออกมาชัดเจนด้วยอาการอ่อนเพลีย ส่วนภาวะการติดเชื้อต่างๆ อาจต้องมาตรวจอย่างละเอียดรายบุคคลอีกครั้ง

ผลกระทบทางจิตใจอาจไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก แม้จากภาพที่บันทึกออกมาจากในถ้ำเด็กๆ จะดูยิ้มแย้ม แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญพูดคุยและประเมินด้านจิตใจอย่างละเอียด เพราะการถูกขังในสถานที่มืดและแคบเป็นระยะเวลานาน เด็กและโค้ชต้องวนเวียนอยู่กับความหิว ความกลัว ความเศร้า ความสิ้นหวัง ตลอดเวลาที่ไม่ได้รับรู้สถานการณ์โลกภายนอกเป็นอะไรที่ก่อความเครียดได้มหาศาล ผู้ประสบภัยบางคนอาจรับมือกับความเครียดได้ดี สามารถจัดการกับสิ่งรบกวนทางจิตใจได้อย่างรวดเร็วก็อาจไม่เกิดปัญหาสุขภาพจิต แต่บางคนที่ไม่สามารถรับมือกับความเครียดได้ ในระยะสั้นอาจเกิดภาวะการปรับตัวผิดปกติ มีพฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในระยะยาวต้องติดตามภาวะโรคเครียดภายหลังภยันตราย หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder) ที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน

2. ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษคนอื่น ไม่คิดวกวนกับความโชคร้ายของตัวเอง เก็บเอาแต่สิ่งดีๆ ออกมา เช่น อดทนต่อความยากลำบาก เอาชนะความกลัว มีหวังอยู่เสมอ เขาจะเติบโตด้วย ‘ความเข้มแข็งถาวร’

คนเราอาจไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์อดีตอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ แต่เราสามารถแก้ไขวิธีการเชื่อมต่อระหว่างความคิดของเรากับเหตุการณ์นั้นได้ ถ้าเราเชื่อมต่อกับเหตุการณ์นั้นด้วยการโทษตัวเอง โทษคนอื่น คิดวกวนกับความโชคร้ายของตนเอง อดีตที่เราไม่มีวันแก้ไขได้ก็จะคอยทำร้ายเราเรื่อยๆ ในอนาคต แต่ถ้าเราสามารถดึงแต่สิ่งดีๆ ออกมาจากเหตุการณ์นั้น เช่น ความอดทนต่อความยากลำบาก การเอาชนะความกลัว การมีความหวังอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของชีวิต และได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ก็จะทำให้การประสบภัยครั้งนั้นเปลี่ยนเป็นตัวช่วยเสริมชีวิตในอนาคต โดยนำความเข้มแข็งที่เกิดตอนประสบภัยมาต่อยอดเป็นความเข้มแข็งที่ถาวร

3. สิ่งที่เกิดขึ้นคือภัยธรรมชาติ ไม่ควรหาผู้รับผิดชอบ จังหวะที่ทุกสื่อรุมทำข่าวเดียวตลอดทั้งวัน เป็นโอกาสที่ทำให้เห็นว่าสำนักใดมีการพัฒนาตัวเอง ไม่ดูถูกผู้เสพ และเป็นสื่อที่มีคุณค่า

สื่อควรระมัดระวังในการสัมภาษณ์ครอบครัวของเด็กๆ เพราะการถามซ้ำๆ ย่อมไปตอกย้ำความกังวลใจที่มี แม้จะพบว่าเด็กยังปลอดภัยดี แต่ต้องอย่าลืมว่าเด็กๆ ยังไม่ได้ออกมาจากถ้ำ เมื่อผ่านไปสักระยะความดีใจที่ได้ทราบข่าวดีเมื่อพบเด็กจะวนกลับมาเป็นความกังวลใจในการช่วยเหลือแทน สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นสื่อควรรายงานเหตุการณ์นี้ในลักษณะภัยทางธรรมชาติ ไม่ควรกล่าวโทษใคร หรือหาผู้ที่ต้องมารับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้

ประชาชนควรเสพข่าวแต่พอดี ประเมินตัวเองก่อนว่าสามารถรับความเครียดจากข่าวได้มากน้อยเพียงใด และประเมินสื่อว่าสื่อนั้นมีคุณภาพพอให้ตนเองเสพหรือเปล่า ผมมองว่าช่วงที่สื่อทุกสื่อรุมทำข่าวเดียวกันตลอดทั้งวัน เป็นโอกาสที่ดีของคนไทยมากๆ ที่เราจะได้เห็นว่าสื่อสำนักใดมีการพัฒนาตัวเอง ไม่ดูถูกผู้เสพสื่อ และเป็นสื่อที่มีคุณค่าพอต่อสังคมไทยในอนาคต

4. สื่อและคนไทยไม่ได้มีหน้าที่บำบัดรักษา ไม่ควรถามคำถามใดๆ เลย ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างปกติและสงบสุข บางคำถามอาจทำให้ภาพความยากลำบากฝังแน่นอยู่ในความคิดและถูกกระตุ้นขึ้นมาทำร้ายพวกเขาเป็นช่วงๆ

สื่อและคนไทยทุกคนที่ไม่ได้มีหน้าที่ในการบำบัดรักษา ไม่ควรถามคำถามใดๆ เลยกับเด็กและโค้ชจนกว่าจะมีการประเมินว่าพวกเขาพร้อมสำหรับการตอบคำถามเหล่านั้น แม้ว่าปัจจุบันจะมีการอธิบายแนวทางในการซักถามมาบ้างแล้ว แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมยังไม่เชื่อว่าเราสามารถควบคุมได้จริงๆ และการควบคุมไม่ได้นั้นอาจส่งผลกระทบทางจิตใจต่อเด็ก โค้ช และครอบครัวของพวกเขาอย่างรุนแรง บางคำถามอาจก่อให้เกิดความรู้สึกผิดฝังใจตลอดชีวิต หรืออาจทำให้ภาพความยากลำบากฝังแน่นอยู่ในความคิดและถูกกระตุ้นขึ้นมาทำร้ายพวกเขาเป็นช่วงๆ

สิ่งที่สื่อและคนรอบข้างควรทำ คือ ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างปกติและสงบสุข ปฏิบัติทุกอย่างต่อพวกเขาเหมือนเดิมก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในถ้ำ การพูดคุยเน้นไปที่การชื่นชม ให้กำลังใจ แสดงออกถึงความรักและความอบอุ่น เปิดช่องให้พวกเขามาปรึกษาได้ตลอดเวลาหากพบสิ่งที่ผิดปกติในตัวเอง

5. ถ้าอยากรู้ หรือต้องแถลงข่าวจริงๆ ควรใช้ระบบ pooled interview หรือการสัมภาษณ์ร่วมกัน คำถามจากสื่อควรถูกส่งมารวมๆ กัน ให้ผู้เชี่ยวชาญคัดกรองคำถามที่ไม่ก่อประโยชน์และอาจเกิดความเสี่ยงออกไป และมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สัมภาษณ์แทน

ถ้าหากมีความจำเป็นต้องแถลงข่าวจริงๆ ควรใช้ระบบ pooled interview หรือการสัมภาษณ์ร่วมกัน โดยมีการตรวจวิเคราะห์โดยละเอียดจากจิตแพทย์ก่อนว่าทีมหมูป่ามีความพร้อมในการเล่าเรื่องหรือไม่ หากไม่พร้อมก็ไม่ควรมีการสัมภาษณ์เกิดขึ้น คำถามจากสื่อควรถูกส่งมารวมๆ กัน ให้ผู้เชี่ยวชาญคัดกรองคำถามที่ไม่ก่อประโยชน์และอาจเกิดความเสี่ยงออกไป และมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สัมภาษณ์แทน

สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ คือ การไปเน้นนำเสนอทีมงานที่มาช่วยเหลือทีมหมูป่ามากกว่า ว่าหลังจากช่วยเด็กออกมาแล้วพวกเขารู้สึกอย่างไร ความยากลำบากในการทำงาน ความภาคภูมิใจของคนรอบข้างต่อการเสียสละของพวกเขา ความเป็นมาเป็นไปของแต่ละอาชีพ ผมว่าสิ่งเหล่านี้น่าสนใจกว่ามากๆ แถมเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนคนอื่นๆ อย่างมากด้วย เพราะมันคือวิชาแนะแนวที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติเลยทีเดียว

6. ในฐานะโค้ชทีมฟุตบอล โค้ชทีมหมูป่าน่าเป็นห่วงที่สุด ถ้ายังรู้สึกผิดติดค้างต่อเด็ก จะไม่สามารถควบคุมหรือสร้างระเบียบวินัยในการเล่นกีฬาให้กับเด็ก สำหรับเด็ก เมื่อโตขึ้น ผลัดเปลี่ยนออกไปจากทีม ไม่มีการเชื่อมต่อเรื่องติดถ้ำ ความเข้มแข็งทางใจที่เกิดขึ้น จะทำให้เขากลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต

ในฐานะจิตแพทย์คงบอกอะไรไม่ได้ชัดเจนจนกว่าจะได้ประเมินพวกเขาด้วยตัวผมเอง แต่เชื่อได้ว่าเหตุการณ์ประสบภัยครั้งนี้ส่งผลต่อแต่ละคนไม่เหมือนกัน

คนที่สามารถต่อยอดความเข้มแข็งทางจิตใจในถ้ำออกมาสู่ชีวิตจริงและชีวิตกีฬาย่อมมีผลดีอย่างมหาศาล เพราะฟุตบอลยุคใหม่ถูกพัฒนาไปมากกว่าแค่เรื่องเทคนิคและแทคติก เรื่องจิตวิทยากลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถชี้ได้เลยว่าคนไหนจะกลายเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ

ในฐานะโค้ชฟุตบอล ผมกลับเป็นห่วงโค้ชทีมหมูป่ามากกว่า ผมไม่อยากให้เขาโทษตัวเอง อยากให้เขาชื่นชมตัวเองด้วยซ้ำว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กๆ ในทีมรอดมีชีวิตจนถึงวันนี้ ตัวเขาอาจไม่เห็นแต่ทุกคนเห็น ผลกระทบระยะสั้นน่าจะมี หากโค้ชยังมีความรู้สึกผิดต่อเด็กอยู่ในขณะที่ต้องสอนฟุตบอลไปด้วย ความรู้สึกติดค้างต่อนักกีฬาจะทำให้ไม่สามารถควบคุมหรือสร้างระเบียบวินัยในการเล่นกีฬาให้เด็กๆ ได้อย่างเหมาะสม การเชื่อมต่อระหว่างโค้ชกับผู้ปกครองก็อาจทำได้ลำบาก

แต่ทั้งนี้ในระยะยาวแล้ว เมื่อเด็กๆ กลุ่มนี้ผลัดเปลี่ยนออกไปจากทีม ไม่มีการเชื่อมต่อเรื่องภัยอันตรายที่เจอระหว่างเด็กกับโค้ชแล้ว ผมเชื่อว่าความเข้มแข็งทางจิตใจที่เกิดขึ้น จะทำให้เขากลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคตและถ่ายทอดความเข้มแข็งนั้นไปสู่ทีมหมูป่ารุ่นถัดๆ ไปได้

7. หลักการเยียวยาสากล เน้นให้ผู้ประสบภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบเดิมเร็วที่สุด

แต่ละประเทศมีความคล้ายคลึงกันคือ เน้นให้ผู้ประสบภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบเดิมเร็วที่สุด จำกัดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติซ้ำ หรือเกิดความทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับตนในอดีต มีการติดตามด้านสุขภาพจิตและด้านสังคมเป็นระยะ เปิดช่องทางให้สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉินหากพบว่ามีความผิดปกติไปของตนเอง เท่าที่ติดตามข่าวสาร ประเทศไทยก็ใช้แนวปฏิบัติสากลเหล่านี้เช่นเดียวกัน อาจต้องเพิ่มเรื่องการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจและร่วมมือกันปฏิบัติตามครับ

8. พวกเขาไม่ใช่เหยื่อ ไม่ใช่ฮีโร่ แต่คือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ

พวกเขาไม่ใช่เหยื่อ ไม่ใช่ฮีโร่ แต่คือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติครับ เรียกแบบยาวๆ ว่า ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติที่มีจิตใจเข้มแข็งและได้รับกำลังใจจากคนทั่วโลกครับ

Tags:

จิตวิทยาการเติบโตพัฒนาการทางอารมณ์นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ทีมหมูป่า

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Character building
    บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Family Psychology
    เป็นห่วง VS ไม่เชื่อใจ ทำยังไงให้ลูกอยากเล่าให้ฟังเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

6 วิธีสร้างบรรยากาศ ‘วอลดอร์ฟ’ ง่ายๆ ให้โรงเรียน
Learning Theory
5 July 2018

6 วิธีสร้างบรรยากาศ ‘วอลดอร์ฟ’ ง่ายๆ ให้โรงเรียน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • การเรียนการสอนวอลดอร์ฟ เชื่อว่า ‘สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี’ การสร้างบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
  • เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง
  • เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะเน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ มากกว่ากระดานดำและห้องเรียน

กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา กางแขนขึ้นและลง พับแขนมือแตะไหล่…กางแขนขึ้นและลง ชูขึ้นตรงหมุนไปรอบตัว เย่!

หลายคนคงเคยผ่านการร้องและเต้นเพลงนี้หน้าเสาธงในสมัยอนุบาลมาก่อนแน่นอน พอเต้นเสร็จทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องเรียน แล้วเริ่มเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ อย่างหน้าดำคร่ำเครียด ทำได้เพียงเฝ้ารอให้ถึงวันใหม่ จะได้กลับมาเต้นหน้าเสาธงอีกครั้ง

บทความชิ้นนี้จะพาไปทำความรู้จัก ‘การศึกษาวอลดอร์ฟ (Waldorf Education)’ รูปแบบการเรียนการสอนที่เดินทางมาถึงเมืองไทยพักใหญ่ในฐานะหลักสูตรของโรงเรียนทางเลือก ที่เน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ มากกว่ากระดานดำและห้องเรียน

วอลดอร์ฟ เป็นการศึกษาที่รวบรวมศิลปะในสาขาวิชาทั้งหมดของเด็กอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจให้กับการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียนทุกคน ให้พวกเขาสามารถพัฒนาขีดความสามารถที่มีเอกลักษณ์ของตนเองได้เต็มที่

แนวคิด วอลดอร์ฟ เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 โดยรูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เชื่อว่า “สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี” การจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติ ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นในจิตใจเด็ก เด็กจะมีพลัง ตื่นตัว และมีสมาธิในการเรียนรู้ หลักการแนวคิด วอลดอร์ฟ ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กที่กำลังเติบโต

เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง การศึกษาแนววอลดอร์ฟจึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ 1.กิจกรรมทางกาย 2.อารมณ์ความรู้สึก และ 3.การคิด เน้นให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ

การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม เด็กสามารถพัฒนาร่างกายและจิตใจไปถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กจะเป็นไปอย่างสมดุล ทั้งการเรียนรู้ทางกาย (การลงมือทำ) หัวใจ (ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง (ความคิด)

วิชาดนตรี เต้นรำ เล่นละคร เขียนวรรณกรรม ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่ต้องอ่านและทดสอบเท่านั้น นักเรียนต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง เด็กไม่จำเป็นต้องมีการทดสอบแข่งขันทางวิชาการ หรือสร้างรางวัลเพื่อจูงใจให้เด็ก วิธีเหล่านี้จะสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ครูอยู่ตรงไหนในวอลดอร์ฟ

ส่วนครูต้องใส่ใจในรายละเอียด เพราะแต่ละกิจกรรมเด็กอาจมีวิธีการของเขาเอง ครูไม่สามารถปิดกั้นว่าเขาต้องทำตามคำบอกของครูหรือเพื่อน หากทำได้แบบนี้จะส่งผลให้เด็กได้รู้จักคิดพลิกแพลง ยืดหยุ่นเข้ากับสถานการณ์ทั้งในเชิงความคิด และวิธีการมองปัญหา

จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกา อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง และหลายสาขาวิชา พบว่านักเรียนที่มาจากการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟมีความสามารถด้านการบูรณาการความรู้ ส่งผลทำให้จดจำและแยกแยะข้อเท็จจริงได้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีความคิดสร้างสรรค์และพร้อมเผชิญหน้ากับความเสี่ยงมากกว่า นักเรียนกลุ่มนี้จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในระดับอุดมศึกษา

การปรับหลักสูตรหรือรายวิชาอาจยากเกินไป โรงเรียนทั่วไปสามารถสร้างบรรยากาศแบบวอลดอร์ฟได้ง่ายๆ เพื่อดึงดูดให้นักเรียนสนุกและเชื่อมโยงกับความรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกวิชา ทุกระดับชั้น

  • ทักทาย ทักทายและสบตานักเรียนแต่ละคน นักเรียนจะต่อแถวอยู่หน้าประตู และกระตือรือร้นที่จะได้พบกับครูแบบหนึ่งต่อหนึ่ง วิธีนี้ช่วยให้ครูสามารถตรวจสอบนักเรียนแต่ละคนได้ในช่วงเริ่มต้นของวัน
  • สร้างสัมพันธ์ ให้นักเรียนได้สร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนที่มีอายุมากกว่า การที่นักเรียนต่างรุ่นมาเจอกันหนึ่งครั้งต่อเดือน จะช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรุ่นพี่และรุ่นน้อง
  • วาดภาพ ให้เด็กวาดภาพลงในสมุดของตัวเอง การให้นักเรียนวาดรูปในวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาการอ่าน เป็นวิธีที่ดีในการผสมผสานศิลปะเข้ากับหลักสูตร นักเรียนจะภูมิใจในหนังสือของตัวเอง และเรียนรู้ในรูปแบบใหม่
  • เพาะปลูก พานักเรียนออกไปเดินป่าและทำสวน การพานักเรียนออกไปเดินที่สวนสาธารณะใกล้ๆ หรือแหล่งธรรมชาติใกล้ๆ จะกลายเป็นบทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ครูสามารถตอบคำถามนักเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติของโลกได้ สวนของโรงเรียนจะช่วยเชื่อมต่อนักเรียนกับธรรมชาติและเรียนรู้ว่าพืชเจริญเติบโตอย่างไร
  • เล่น ฝึกเล่นเครื่องดนตรีในระหว่างการเปลี่ยนชั้นเรียน ให้นักเรียนแต่ละคนเป็นผู้บันทึกเสียง หรือให้ทั้งชั้นเรียนทำตามครูโดยการเล่นโน้ตสองสามครั้งในช่วงพักเรียน นักเรียนจะเพลิดเพลินไปกับการผสมบทเรียนดนตรีสั้นๆ เข้ากับการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน
  • เคลื่อนย้าย อนุญาตให้เด็กๆ ขยับตัวได้ในระหว่างเรียน การเรียนในห้องจะสนุกมากขึ้นถ้าเด็กๆ ได้ลุกออกจากเก้าอี้ เพื่อทำกิจกรรมทางกาย เช่น การกระโดดเหยียบภาพแสดงจำนวน เพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้การคูณ
ที่มา:
https://www.waldorfeducation.org/
https://www.edutopia.org
http://www.rakluke.com

Tags:

ปฐมวัยเทคนิคการสอนการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ศิลปะ

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    พรรณวิภา โซลเบิร์ก: ครูไทยในห้องเรียนนอร์เวย์ ชอบพาเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้
Creative learning
4 July 2018

หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ทั้งหมดเริ่มจากความสงสัยว่าทำไมชายหาดแถวบ้านหายไป
  • เด็กสาวไม่กักความสงสัยไว้แค่ในความคิดหากแต่สานต่อไปถึงการสืบค้น วิเคราะห์ แก้ปัญหา และจัดการ ประสานความร่วมมือกับทุกฝ่าย
  • นอกจากงานฟื้นฟูชายหาดของชุมชน สิ่งสำคัญกว่าที่เกิดขึ้นคือ การเป็นคนตื่นรู้ ไม่เพิกเฉยปัญหา เข้าใจและเห็นใจผู้อื่นที่ติดตัวไปตลอดชีวิต
ภาพ: กรกช มณีสว่าง

“ทรายหายไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับหาดสงขลา?” ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน คำถามนี้เป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ในวันที่เธอได้รู้ข้อมูลเรื่องการกัดเซาะและการพังทลายของชายหาดที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตั้งโรงเรียนของเธอ

เกรซ-เพรชเชิซ เอเบเล อีเลชุคกู

คงเพราะสัญชาตญาณความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในตัว เกรซ-เพรชเชิซ เอเบเล อีเลชุคกู ตัวแทนกลุ่มเยาวชน Beach for Life หรือ หาดเพื่อชีวิต หนึ่งในโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา วิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอไม่ปฏิเสธคำชักชวนของเพื่อนสนิท ให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกรุ่นที่ 3 ของชมรม

ชมรม Beach for Life ก่อตั้งมาได้ราว 6 ปี ชมรมนี้เกิดขึ้นภายใต้ ‘โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา’ ที่ต้องการสร้างพื้นที่การเรียนรู้จากชีวิตจริงให้เด็กและเยาวชนในท้องถิ่น ได้มีโอกาสทำงานเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาให้ชุมชน ด้วยเชื่อว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตจะช่วยให้เด็กและเยาวชนเกิดความเข้าใจชุมชนตนเอง และค่อยๆ เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับชุมชน ท้ายที่สุดเด็กและเยาวชนจะลุกขึ้นมาสนใจและใส่ใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง สังคม และโลก

หากใช้ภาษาทางการขึ้นมาหน่อย เราอาจจะเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็นกระบวนการสร้างให้คนรุ่นใหม่มี สำนึกความเป็นพลเมือง (Active Citizen) จากการสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Learning by Doing) เส้นทางการเรียนรู้นี้จะสร้างความผูกพันให้เกิดขึ้นระหว่างเด็กและเยาวชนกับชุมชน เป็นการปลูกฝังให้เด็กมีความรักและหวงแหนท้องถิ่นเกิดของตัวเอง ซึ่งโครงการนี้สนับสนุนโดย สงขลาฟอรั่มเพื่อประชาคมพลเมืองเด็ก และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

“เราไม่เคยรู้ ไม่สนใจ และไม่เคยเห็นเลยว่าชายหาดถูกกัดเซาะ ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ก่อนหน้านี้เรามองแต่ว่าชายหาดก็คือชายหาดไง มันก็มีทรายเดินลงไปเป็นทะเล แต่เราไม่ได้เห็นว่าภายใต้สิ่งที่มีตรงนั้นมีปัญหาอยู่ด้วย พอได้เข้าไปช่วยงานอาสากับเพื่อนซึ่งเป็นสมาชิกชมรมรุ่นที่ 2 มันมีโมเมนต์ที่ถามตัวเองว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่ ทำไมเราถึงไม่รู้เรื่องนี้ และมองไม่เห็นปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งที่หาดอยู่ติดกับโรงเรียนขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เราแค่รับรู้แล้วผ่านไป เพราะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา พอได้เห็นแบบนี้เลยสมัครเข้าชมรมเพราะอยากรู้ อยากไปค้นหาคำตอบ” เกรซ เล่าถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางชุบชีวิตชายหาดจังหวัดสงขลาของเธอ

แล้วชายหาดเกี่ยวกับ ‘คน’ ตรงไหน?

เกรซบอกว่า ปัญหาบนพื้นที่หาดที่คนทั่วไปขับรถผ่านไปผ่านมาอยู่ทุกวันนี้ คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร หากไม่มองไปให้ไกลถึงอนาคต และไม่มองให้เห็นภาพกว้างถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการกัดเซาะชายฝั่งและการพังทลายของชายหาด โดยเฉพาะพื้นที่หาดชลาทัศน์ บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนใช้พักผ่อนหย่อนใจ เคยมีทัศนียภาพที่สวยงามเพราะมีชายหาดกว้างขวางให้วิ่งเล่นได้ แต่การกัดเซาะและการพังทลายของดินทำให้ผืนดินแถบนี้ค่อยๆ หายไป

การกัดเซาะชายฝั่งเริ่มเกิดขึ้นประมาณปี 2545 จากการสร้างสถานีสูบน้ำเสียที่หาดเก้าเส้ง ทำให้หาดถูกกัดเซาะจนถนนพัง ต่อมาได้มีความพยายามแก้ปัญหาโดยการวางโครงสร้างแข็งลงไปบนหาด ซึ่งไม่ได้เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุแต่กลับทำให้เกิดการกัดเซาะในบริเวณถัดไปคล้ายโดมิโน การกัดเซาะในพื้นที่หาดบริเวณเก้าเส้งไปจนถึงหาดชลาทัศน์ทำให้ผืนดินมีหน้าหาดน้อยลง ต่างกับบริเวณหาดสมิหลา (บริเวณที่มีรูปปั้นนางเงือก) ไปจนถึงแหลมสนที่ผืนดินยังคงความสมบูรณ์ไว้ได้ เพราะอยู่ในบริเวณที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโครงสร้างแข็งดังกล่าว

ทำให้เกิดการรวมตัวกันของนักเรียนโรงเรียนมหาวชิราวุธ 5 คนแรกในโครงการ ก่อตั้งชมรม Beach for Life จากความตั้งใจที่ต้องการพิทักษ์ รักษาและฟื้นฟูชายหาดจังหวัดสงขลา ให้รอดพ้นจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการพังทลายของดิน เป็นระยะทางกว่า 7.8 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่หาดเก้าเส้งบริเวณโขดหินหัวนายแรง มาตามแนวถนนหาดชลาทัศน์ หาดสมิหลา เชื่อมต่อไปยังชายหาดทางทิศเหนือบริเวณแหลมสนอ่อน โดยมีความหวังและความฝันว่าจะทำให้ชายหาดกลับมามีสภาพเป็นหาดกว้าง มีความเป็นระเบียบ และฟื้นฟูให้กลับมามีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่เป็นมรดกให้คนรุ่นหลัง นอกจากนี้ เกรซ กล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า อยากให้คนในพื้นที่เข้าใจเรื่องหาดทรายและการพังทลายของชายหาด เพราะเชื่อว่าความรู้ความเข้าใจของคนหลาย ๆ คนรวมกันจะช่วยให้เกิดการร่วมมือกันเพื่อดูแลชายหาดได้อย่างยั่งยืน

ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้ก็น่าจะเกือบ 2 ทศวรรษเข้าไปแล้ว แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการพังทลายและการกัดเซาะบริเวณชายหาด เพราะที่ผ่านมาจังหวัดสงขลายังไม่เคยมีข้อมูลหรืองานวิจัยเกี่ยวกับหาดทรายทั้งระบบมาก่อน ถึงจะพอมีองค์ความรู้อยู่บ้าง แต่หาคนที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจังได้น้อยมาก ทำให้การแก้ปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูล วิธีการแก้ปัญหาจึงไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่ จากความหวังดีจึงกลายเป็นหวังร้าย เพราะโครงสร้างแข็งที่สร้างขึ้นบนพื้นที่ชายหาดเพื่อป้องกัน ทั้งกองหินทิ้ง กระสอบทราย และรอดักทราย กลับกลายเป็นตัวเร่งการทำลายผืนดินบริเวณชายหาด

เคาะประตูบ้าน ทลายกำแพงความกลัว

หลังสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรม เกรซรับหน้าที่เป็นฝ่ายประสาน ติดต่อผู้คน โรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของกลุ่ม รวมทั้งดูแลจัดการให้กิจกรรมของชมรมเกิดขึ้นและดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เกรซเล่าว่า การได้ออกไปทำกิจกรรมกับชุมชน ทำให้รู้จักและสัมผัสความจริงในโลกภายนอก โดยเฉพาะการทำความรู้จักกับความจริงที่อยู่ใกล้ตัว แน่นอนว่าการทำงานช่วงแรกเมื่อต้องออกไปพบเจอและพูดคุยกับคนแปลกหน้า เกรซยังคงรู้สึกได้ถึงความกล้าๆ กลัวๆ ที่มีอยู่ในใจ แต่เมื่อฝึกทำบ่อยขึ้นๆ ‘ความกลัว’ จึงค่อยๆ หายไป กลายเป็น ‘ความมั่นใจ’ เข้ามาแทนที่

“การเรียนในห้องเรียนยังเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นพื้นฐานความรู้ให้เอาไปต่อยอดได้ แต่ไม่เหมือนการออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนตรงที่ ในห้องเรียนเราเรียนรู้สิ่งที่คนอื่นจัดมาไว้ให้ในหลักสูตรเหมือนกันทั่วประเทศ ไม่มีตัวอย่างใกล้ตัวให้เห็นเพราะเราท่องจำจากในตำราแล้วเอาไปสอบ

แต่เรื่องราวในชีวิตจริงอย่างเรื่องหาดมันใกล้ตัวมาก เป็นการเรียนรู้ที่ไม่ต้องจำ แต่การทำกิจกรรมกับชุมชนช่วยให้เกิดการเรียนรู้รอบด้านและฝึกให้มีทักษะชีวิต ทำให้เรารู้จักปรับตัวเข้าหาผู้อื่น” เกรซอธิบาย

เกรซ เล่าตัวอย่างการเรียนรู้ให้ฟังว่า ช่วงเข้ามาทำโครงการปีแรกเป็นช่วงที่ทางชมรมกำลังเริ่มลงสนามเพื่อเก็บข้อมูลชายหาดทั้งระบบ จึงต้องการอาสาสมัครจำนวนมาก ไม่เฉพาะแค่นักเรียนในโรงเรียน แต่ต้องการความร่วมมือจากเพื่อนนักเรียนโรงเรียนอื่น รวมถึงคนในชุมชน ‘การเคาะประตูบ้าน’ เพื่อเข้าไปให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับชาวบ้านในชุมชนรอบชายหาด เป็นสิ่งที่ Beach for Life ลงมือทำ ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนให้เกรซเข้าใจ ‘ความแตกต่าง’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้รู้จักเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

“ไม่มีใครเห็นด้วยกับเราไปเสียทุกอย่าง เราต้องเข้าใจคนอื่นด้วย แต่เมื่อเรามีหน้าที่สื่อสารข้อมูลให้คนอื่นรับรู้ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะจากการทำงานเก็บข้อมูลของชมรม เรารู้ดีว่าหากยังแก้ปัญหาชายหาดด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องต่อไป ยิ่งส่งผลเสียต่อชายหาด ซึ่งตรงนี้ก่อนลงพื้นที่ทำงานเรามีการพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อเตรียมความพร้อมให้สื่อสารข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันก่อน”

เรียนยังไม่จบแล้วเอาวิชาในห้องเรียนมาใช้ได้จริงหรือ?

“ใช้ได้ค่ะ” เกรซตอบอย่างชัดเจน

ยิ่งสำหรับโครงการ Beach for Life เกรซสามารถนำความรู้การคำนวณมาใช้ได้อย่างเต็มที่

“เรื่องตรีโกณมิติ และกราฟที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้นอกจากตอนเรียน เรียนในห้องเรียนไปแล้วจินตนาการไม่ออกว่าจะเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ยังไง ก็ได้นำมาใช้คำนวณตอนทำโครงการเพราะต้องสำรวจพื้นที่หาด หรือเรื่องการรักษาระดับน้ำ เครื่องมือที่อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมออกแบบให้ โดยนำหลักการรักษาระดับน้ำมาใช้อ่านค่า แล้วนำค่าที่ได้ไปคำนวณแปลงเป็นกราฟแสดงหน้าตัดชายหาด หรือแม้แต่เรื่องแรงตึงผิวที่ต้องเลือกอ่านค่าบริเวณท้องน้ำ เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ

ที่ผ่านมาเวลาเรียนในห้องแล้วไม่ได้ทบทวนไม่ได้ทำโจทย์เราก็ลืม แต่วิชานอกห้องเรียนตรงนี้ ให้เราได้ทำโจทย์ที่ไม่ใช่โจทย์ตามตำรา แต่เป็นโจทย์จากการทำงานบนพื้นที่ เป็นโจทย์จากสถานการณ์เฉพาะหน้า จากสถานการณ์จริงที่ช่วยให้ได้ทบทวนเนื้อหาในบทเรียน ทำให้เข้าใจไม่ใช่แค่จำอย่างเดียว”

นอกจาก teamwork แล้ว ยังต้องมี work life balance

เกรซยืนยันว่า การทำงานของชมรม Beach for Life ค่อนข้างมีตารางชัดเจน เพื่อให้สมาชิกวางแผนชีวิตของตัวเองได้ เพราะนอกจากงานในโครงการแล้ว แต่ละคนยังต้องมีภาระรับผิดชอบอย่างอื่นด้วย ดังนั้น การจัดการเวลาของตนเอง และเคารพเวลาของคนอื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญ

“กิจกรรมของเราไม่ได้ทำทุกวันอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ เราจะตั้งวงพูดคุยกันว่า ใครว่างตอนไหน เวลาไหน แล้วในแต่ละเดือนเราจะทำอะไรบ้าง จะได้จัดวันเวลาการทำงานให้สอดคล้องกับตารางของสมาชิก หลายๆ ครั้งต้องทำงานร่วมกับองค์กรภายนอกด้วย เลยต้องมีการวางแผน แต่จะพยายามจัดตารางไม่ให้แน่นจนเกินไป เพื่อให้ทุกคนมีเวลาทำอย่างอื่นได้ด้วย”

เกรซเข้าร่วมชมรม Beach for Life ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา นอกจากความเป็นนักสงสัยและช่างสนใจใคร่รู้ ซึ่งมีติดตัวมาก่อนแล้ว เกรซบอกว่า การทำโครงการกับชุมชนทำให้ได้นำความรู้จากในห้องเรียนมาใช้ประโยชน์จริง เป็นการฝึกฝนทักษะความรู้ แล้วยังได้ประสบการณ์ชีวิตแถมมาอีกต่างหาก กระบวนการเรียนรู้และทักษะที่ได้จากการลงมือทำโครงการตลอดระยะเวลาประมาณ 3 ปี มีส่วนช่วยให้เธอคว้าความฝันสอบเข้าศึกษาต่อคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้สำเร็จ

การเรียนรู้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่แค่ รับรู้ เห็นปัญหาแล้วจบ แต่นำมาสู่การวิเคราะห์ สังเคราะห์ หาทางแก้ไข จนเกิดความเข้าใจและเห็นใจผู้คนรวมทั้งสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้น กระบวนการเรียนรู้ที่กล่าวมาทั้งหมดช่วยหล่อหลอมคุณลักษณะติดตัวเด็กและเยาวชน ให้เป็น ‘ผู้ตื่นรู้’ ทำให้เมื่อพวกเขารับรู้และเห็นปัญหา พวกเขาจะไม่เพิกเฉยต่อปัญหา

“เราไม่ได้เรียนในห้องเรียนเพราะห้องเรียนเป็นทั้งหมดของเรา แต่เราเรียนในห้องเพื่อเอาความรู้ไปเติมเต็มในส่วนอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะทั้งชีวิตของเราไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในตำราเล่มเดียวหรือในห้องนั้น เราพยายามเอาความรู้ที่ได้จากห้องนั้น ไปเติมในโลกภายนอกของเรา โลกทั้งใบนี้มีหลายด้านให้เราได้เรียนรู้ การลงไปเรียนรู้จากการลงมือทำจะทำให้เราเข้าใจทั้งทฤษฎีและเติบโตทางความรู้สึก เราจะรู้สึกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย” เกรซกล่าวทิ้งท้าย

Tags:

active citizenproject based learningbeach for lifeคาแรกเตอร์(character building)วัยรุ่นสงขลาฟอรั่ม

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ขบวนการผู้พิทักษ์ ‘จ้าวทะเล’ แห่งสงขลา

    เรื่องและภาพ The Potential

ชวนเด็กๆ เขียนไดอารี ยิ่งบันทึกเรื่องดีๆ ยิ่งเห็นแก่ตัวน้อยลง
Transformative learning
2 July 2018

ชวนเด็กๆ เขียนไดอารี ยิ่งบันทึกเรื่องดีๆ ยิ่งเห็นแก่ตัวน้อยลง

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ยิ่งเขียนบันทึกขอบคุณสิ่งที่ต่างๆ ยิ่งทำให้คุณรู้สึกเอื้อเฟื้อมากขึ้น
  • ยิ่งกว่านั้น งานวิจัยยังชี้ว่า การเขียนบันทึกได้ช่วยปรับลดความเห็นแก่ตัวในระบบประสาทให้น้อยลง
  • ปลายทางก็คือ ความรู้สึกขอบคุณยินดีอันเกิดจากการลดลงของความเห็นแก่ตัวและความเอื้อเฟื้อที่มากขึ้น ทำให้เกิดสิ่งดีๆ อีกมากมาย
  • อย่าช้าเลย เขียนไดอารีกันเถอะ ใครไม่ถนัด พิมพ์เอาก็ได้

คุณเคยเขียนหรือกำลังเขียนไดอารีกันไหม

ไดอารีอาจมีไว้เพื่อระบายสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่รู้ไหมว่า ตั้งแต่ตัวอักษรแรกที่คุณจรดปากกาหรือเริ่มกดแป้นพิมพ์ร่ายยาวถึงสิ่งที่พบเจอกำลังบ่มเพาะมุมมองทำให้คุณมองคนรอบข้างเป็นได้ทั้ง ‘เพื่อนร่วมโลก’ หรือ ‘คนแปลกหน้า’

พูดง่ายๆ ว่า ยิ่งเขียนบันทึกขอบคุณสิ่งที่ต่างๆ ยิ่งทำให้คุณรู้สึกเอื้อเฟื้อมากขึ้น เพราะจากผลงานวิจัยล่าสุดพบว่า การเขียนบันทึกถึงสิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในสมองอย่างเห็นได้ชัด และมีแนวโน้มจะมีความสุขหากเงินหรือค่าตอบแทนจะถูกมอบให้การกุศล เช่น ธนาคารอาหารอย่าง Food for Lane County มากกว่าจะไหลเข้ากระเป๋าตัวเอง

ความไม่เห็นแก่ตัวในสมอง

ในการวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยได้พบหลักฐานจากการสแกน MRI สมองของหญิงสาว 16 คนที่เขียนบันทึกออนไลน์โดยเน้นความรู้สึกขอบคุณ เช่นเดียวกับหญิงสาวอีก 17 คนที่เขียนบันทึกเรื่องทั่วไป ไม่เน้นความรู้สึกเหมือนกลุ่มแรก โดยได้สแกนตั้งแต่เริ่มวิจัยและสแกนอีกครั้งหลังเขียนบันทึกไปแล้วสามสัปดาห์

การสแกนนั้นเพื่อจับความเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญที่ใช้ออกซิเจนในเซลล์ภายในคอร์เท็กซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า – พื้นที่ส่วนลึกในสมองของเรา คอยควบคุมความยับยั้งชั่งใจและการตัดสินใจต่างๆ

อัลริค ไมเยอร์ (Ulrich Mayr) ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่า เมื่อคนกลุ่มนี้อายุมากขึ้น ความเห็นแก่ตัว (pure altruism) ก็จะลดน้อยลง ส่วน คริสตินา คาร์นส (Christina Karns) หัวหน้าทีมนักวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโอเรกอน กล่าวว่า การเขียนบันทึกได้ช่วยปรับลดความเห็นแก่ตัวในระบบประสาทให้น้อยลง

“ตอนที่เรากำลังกล่าวขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต สมองส่วนนี้ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบประสาทที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มใจมากขึ้น” คาร์นสกล่าว เธอยังเป็นหัวหน้าโครงการด้านอารมณ์และระบบประสาทในคณะของเธอด้วย

“การหมุนเวียนในระบบประสาทนี้ ทำให้คุณสามารถ ‘ให้’ ด้วยหัวใจที่ยินดี และรู้สึกตื้นตันในสิ่งที่คนอื่นๆ ทำให้คุณ”

วารสารพรมแดนด้านประสาทวิทยาของมนุษย์ (Frontiers in Human Neuroscience) ทีมนักวิจัยได้ตั้งเป้าหมายการวิจัยนี้ไว้ว่า การเขียนบันทึกถึงความรู้สึกขอบคุณจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวต่อการให้คุณค่ากับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ภายในจิตใจของคน

“แม้จะยังไม่รู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ แต่ประเด็นนี้ก็คุ้มพอที่จะทำวิจัยเพิ่มเติม” คาร์นสบอก

สำหรับเงินทุนจากการวิจัยนี้ มาจากโครงการเพื่อการขยายวิทยาศาสตร์และแนวทางปฏิบัติสู่ความรู้สึกขอบคุณ (Expanding the Science and Practice of Gratitude Project) ของศูนย์วิทยาศาสตร์เกรทเตอร์ กู๊ด (Greater Good Science Center) ร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและกองทุนเทมเพิลตันที่สนับสนุนเงินผ่านทางสถาบันมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโอกลาโฮมา

ความเอื้อเฟื้อคือการให้รางวัลตัวเอง

เพื่อเป็นการลดตัวแปรลง ในการทดสอบช่วงแรก ทีมนักวิจัยกำหนดผู้เข้าร่วมเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-27 ปีเท่านั้น โดยเริ่มต้นประเมินผู้หญิงทั้งหมดผ่านการสแกนสมอง และการตอบคำถามเพื่อจัดกลุ่มตามคุณสมบัติของความไม่เห็นแก่ตัวในระหว่างที่พวกเธอดูเงินที่จะมอบให้ธนาคารอาหารหรือมอบไว้ให้กับพวกเธอเอง

จากจุดนี้ สมองผู้เข้าร่วมที่มีคุณสมบัติของความไม่เห็นแก่ตัวมากกว่า จะมีปฏิกิริยาตอบสนองในแง่ดีเมื่อธนาคารอาหารได้รับเงินมากกว่าที่พวกเธอจะได้รับ จึงเกิดคำถามขึ้นว่า การฝึกฝนความรู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามารถเปลี่ยนผลการตอบสนองในสมองของพวกเธอได้ไหม

ทีมนักวิจัยได้สุ่มแยกผู้หญิงออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เขียนบันทึกทุกวันโดยเน้นที่ความรู้สึกขอบคุณสิ่งที่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ส่วนอีกกลุ่มให้เขียนเรื่องทั่วไป ไม่เน้นความรู้สึกขอบคุณ

สามสัปดาห์ต่อมา ผู้เข้าร่วมวิจัยได้กลับมาที่ศูนย์ลูอิสเพื่อการตรวจทางรังสีวินิจฉัยด้านระบบประสาท (Lewis Center for Neuroimaging) เพื่อทำแบบสอบถามและรับการสแกนสมองอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์เดิม คือการมองดูเงินถูกมอบให้ธนาคารอาหาร และเงินที่มอบให้เธอเอง

“ไม่ว่าคุณสมบัติการไม่เห็นแก่ตัวจะสูงหรือไม่ในตอนแรก แต่การเขียนบันทึกทำให้กลุ่มที่เขียนเน้นความรู้สึกขอบคุณต่างก็มีคุณสมบัตินี้เพิ่มขึ้น การมอบเงินให้การกุศลทำให้เกิดปฏิกิริยาในสมองของพวกเธอมากกว่าการเห็นเงินไหลเข้ากระเป๋าตัวเอง” คาร์นสบอก “ราวกับ พวกเธอใจกว้างและเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง”

การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า สมองมีส่วนทำให้ความรู้สึกเรื่องการให้รางวัลกับตัวเองยืดหยุ่นได้ ทำให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็เป็นการให้รางวัลตัวเองได้เช่นกัน

“การค้นพบของเราบ่งบอกว่า ความรู้สึกขอบคุณยินดี ทำให้เกิดสิ่งดีๆ อีกมากมาย” คาร์นสว่าอย่างนั้น

เพราะการเขียนมีพลังเสมอ วันนี้ลองชวนเด็กๆ เขียนไดอารีถึงเรื่องดีๆ ของเขาดูสิ

ที่มา: Writing a daily diary can literally change your brain

Tags:

transformative learningคาแรกเตอร์(character building)ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel