Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: February 2018

รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล
Everyone can be an Educator
27 February 2018

รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เพราะมีโอกาสเห็นแคตตาล็อกแห่งความหลากหลายทางชีววิทยา และสะดุดซ้ำใส่คำว่า ‘วิวัฒนาการ’ ทำให้เด็กเรียนปานกลางและออกจะชอบวาดรูปอย่างเขา กระโดดเข้าใส่กองหนังสือชีววิทยา
  • ปี 2539 เขาคว้าเหรียญทองแดง การแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิกระหว่างประเทศ ประดับติดบ้าน
  • ในบรรดาแก๊งเพื่อนโอลิมปิก เขาคือหนึ่งเดียวที่ยังไม่ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือเดินตามเส้นทางวิชาการจัดจ้านอย่างเพื่อนคนอื่นๆ แต่เป็นมาแล้วทั้งอาจารย์มัธยมสุดยีสต์ นักเขียน นักแปล ปัจจุบันเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ในนามกลุ่ม WitCast 
ภาพ: ศิริโชค เลิศยะโส

ในซีรีส์ ‘รักที่จะ…’ เราออกไปพูดคุยกับวัยรุ่น อดีตวัยรุ่น และคนทำงานกับวัยรุ่นในประเด็นที่หลากหลายเพียงเพื่ออยากจะรู้ว่า ในวัยรุ่น เขาจะเปลี่ยนพลังที่พลุ่งพล่าน ไปสนใจเรื่องอะไร ไปหลงรักอะไร และด้วยเหตุผลอะไรบ้าง

‘รักการเรียน’ คือหัวข้อที่ผุดขึ้นท่ามกลางการสนทนาเพื่อถกเถียงหาประเด็น ที่เราสนใจ ‘เด็กเรียน’ เนื่องด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง-วัยรุ่นกับการเรียน มักไปด้วยกันไม่ค่อยได้ มันช่างน่าปวดหัว เรียนเพื่อจำ จำแล้วไปสอบ ชีวิตก็วนเวียนอยู่แค่นี้ และเพราะ สอง-เด็กวัยรุ่นที่รักการเรียน มักเป็น ‘เด็กเนิร์ด’ และคำนี้ดูจะเป็นคำที่ติดลบหน่อยๆ และเหมารวมนิดๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงคำว่า ‘รักการเรียน’ ถ้าจะไปให้สุดด้านวิชาการ ก็ต้องเป็น ‘นักเรียนโอลิมปิก’ สิ

The Potential จึงชวน แทนไท ประเสริฐกุล นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ผู้คว้าเหรียญทองแดง การแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิกระหว่างประเทศ ปี 2539 อดีตครูพิเศษวิชาชีววิทยาโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง จนก่อเกิดเป็นเรื่องราวสุดยีสต์ ยวน ยูน (สำเนียงและคำติดปากของแทนไทในหนังสือ) เขาเป็นนักเขียน นักแปล และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งรายการ WitCast รายการเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วยช่องทาง Podcast เป็นหลัก

อยากเข้าใจว่า เหตุใดเขาจึงหลงใหลในวิทยาศาสตร์ จุดคลิกแบบไหนที่เปลี่ยนจากนักเรียนชีววิทยาทั่วไปให้กลายเป็นนักเรียนที่คว้ารางวัลเวทีวิชาการระดับโลก อะไรคือพลังที่ทำให้เขายังมุ่งมั่น อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำจนเดินถึงจุดที่เขาคาดหวังไว้ และอะไรคือความรักของเขาในวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เสื่อมคลาย

แต่คำตอบเบื้องต้นของแทนไทที่คล้ายกันในซีรีส์ ‘รักที่จะ…’ คือ เมื่อเห็น สัมผัส ได้เห็นความหลากหลายในโลกชีววิทยาแล้วก็ ‘โดนใจ’ และ ‘ขออ่านเพิ่ม’ และเมื่อได้รับการสนับสนุน เขาจึงใช้พลังหนุ่มสาวทุ่มไปกับมันอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

สิ่งหลักในชีวิตช่วงนี้คือ WitCast เป็นพื้นที่ของผมในการทำงานสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์ มีทั้งเพจเฟซบุ๊ค ออกไปจัดวงคุย ไปปรากฏตัวในงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานวิชาการ ร่วมงานในฐานะสื่อ หรือแม้แต่การจัดอีเวนต์ ตั้งหัวข้อขึ้นมาแล้วจัดงานทอล์คที่ TK Park บ้าง ตามมหาวิทยาลัยบ้าง

แต่หลักๆ Witcast เริ่มต้นจากเป็นรายการ Podcast พูดคุยเรื่องวิทยาศาสตร์อย่างเน้นเฮฮา ผู้จัดรายการเป็นเพื่อนกันสามคน คือ อาบัน (อาบัน สามัญชน) และคุณป๋องแป๋ง (อาจวรงค์ จันทมาศ) แต่ละคนต่างบุคลิกกันไป พอมาจัดรายการด้วยกันแล้วมันสนุก เราพูดคุยเรื่องวิทยาศาสตร์บ้าง ดราม่าชีวิตส่วนตัวบ้าง ใครไปเจอประสบการณ์อะไรก็เอามาแชร์ แต่ธีมหลักคือผู้ที่รักความรู้สายต่างๆ มานั่งคุยกัน

ก่อนหน้านี้คุณเคยเขียนหนังสือด้วย ปัจจุบันยังเขียนอยู่ไหมคะ

เล่มแรกคือ โลกนี้มันช่างยีสต์, โลกนี้มันช่างยุสต์, mimic เลียนแบบทำไม และ โลกจิต ซึ่งหลังจากโลกจิต ก็หมดแรงไปพักหนึ่งกับการเขียน เคยพยายามจะเริ่มคอลัมน์ใหม่ใน a day ด้วยแต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นก็หันมาเป็นนักแปลอยู่พักใหญ่ คือมีหนังสือนิยายและความรู้วิทยาศาสตร์ ประมาณสี่ห้าเล่ม แปลปีละเล่มๆ เรื่อยมา แล้วก็เหนื่อยกับการแปล (หัวเราะ) เลยเปลี่ยนมาจัดรายการแทน

และตอนนี้ก็ยังถือว่าตัวเองเป็นนักเรียนปริญญาเอก พยายามจะตีพิมพ์ผลงาน  ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะได้ตีพิมพ์ปีนี้

ชื่อหัวข้อธีสิสคืออะไร

คือ ‘พฤติกรรมการรวมกลุ่มของหิ่งห้อย’ การจับคู่ผสมพันธ์ของหิ่งห้อย แบบที่เราชอบนั่งเรือไปดูกันที่อัมพวา

ทำไมถึงหลงใหลในชีววิทยาขนาดนี้ และถ้าดูจากหัวข้อใน WitCast หรือธีสิสปริญญาเอกของคุณมักจะเกี่ยวกับการผสมพันธุ์พืชและสัตว์หน่อยๆ

อันดับแรก ผมไม่ได้หมกมุ่นเรื่องการผสมพันธุ์สัตว์ อันนี้ต้องขอแก้ข่าว (หัวเราะ) ผมแค่รู้สึกว่าพอยกประเด็นขึ้นมานำแล้วมันเฮฮาดี แต่จริงๆ มันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ

แซวเล่นค่ะ ถามใหม่แบบจริงจัง จุดเริ่มต้นของความรักในชีววิทยา มุ่งมั่นจนเป็นนักเรียนโอลิมปิกอยู่ตรงไหน

คือตั้งแต่เด็ก เริ่มจากการได้เห็นอะไรแปลกๆ แล้วเราอยากรู้ว่าในโลกนี้มันมีตัวอะไรบ้าง ลักษณะเดียวกับผู้หญิงอยากรู้ว่าเครื่องสำอางมีกี่รุ่น อะไรบ้าง ซึ่งผมก็อยากรู้ว่าปลาทะเลมันมีรุ่นอะไรบ้าง

ซึ่งเยอะมาก

เยอะ แล้วเราก็จะแบบ อ๋อ… รุ่นนี้มันต่างกับรุ่นนี้แบบนี้นะ

รุ่นนี้มันครีบเหลือง ตัวนี้มีจุด มีปลาตัวใหญ่ยาว 30 เมตร จนถึงปลาตัวเล็กกระจิ๋วหลิว พอได้เห็นแคตตาล็อกทั้งหมด เรารู้สึกว่ามันตื่นตาตื่นใจ มีอะไรแปลกกว่าคนทั่วไปเยอะเลย

เปรียบเทียบกับตัวเราเอง เวลาที่ไปโอเชียนเวิลด์ ไปสวนสัตว์ ได้เห็นความหลากหลายทางธรรมชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมในหนังสือเรียน เราอาจจะแค่ ‘ว้าว’ แล้วก็ไปสนใจเรื่องอื่น เรื่องที่ตัวเองรู้สึกคลิกและสนใจมากกว่า จุดคลิกของคุณในทางชีววิทยาคืออะไร จุดไหนที่เปลี่ยนจากนักเรียนสายวิทย์ ไปเป็นนักเรียนชีววิทยาโอลิมปิก

จริงๆ ผมไม่ได้ต่างจากเด็กเหล่านั้นเลย ที่ต่างคือ พอผมโตขึ้นมาแล้วผมได้เรียนชีวะ ถึงได้เข้าใจว่ามันมีเหตุผลเบื้องหลังความหลากหลายนั้น

ทำไมปลาตัวนี้แบน ตัวนี้สีสวย ทำไมตัวนี้มีหงอน หรืออะไรก็แล้วแต่ อวัยวะและระบบภายในทุกอย่างมันมีคำอธิบายเบื้องหลัง ทั้งคำอธิบายในแง่ว่ามันทำงานยังไง เรานั่งอยู่เราก็หายใจไปเรื่อยๆ แต่เราไม่ทันได้คิดเลยว่า เรากำลังขยับกล้ามเนื้อ สูบเอาลมเข้าไปเพื่อไปแตกแขนงในท่อหลอดลม แล้วมันไปทำอะไรต่อ? มันไปเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาได้ยังไง เอาออกซิเจนมาได้ยังไง มันเป็นคำอธิบายในระดับที่ว่า เหมือนเราเปิดเครื่องยนต์รถออกมาดูแล้วเข้าใจว่า แต่ละส่วนคืออะไร อันนี้คือระดับหนึ่ง

แต่อันนี้ก็ยังไม่ใช่ระดับที่โดนใจผมอยู่ดี เพราะถ้าโดนใจระดับนี้ ผมอาจจะไปเป็นหมอหรืออาชีพอื่นๆ ที่เด็กเรียนเก่งจะเป็น ที่มันโดนใจผมมากที่สุดตอนเรียนชีวะลึกไปเรื่อยๆ คือคำอธิบายในระดับวิวัฒนาการ มันทำให้เราเห็นว่า หนึ่ง ทุกชีวิตเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่แบคทีเรีย กล้วย ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน มันน่ามหัศจรรย์ที่เราได้เห็นเครือญาตินี้

อีกเรื่องคือ มันตอบคำถามว่า ชีวิตที่เราเห็นทั้งหลายแหล่ ทำไมจึงเป็นอย่างที่มันเป็น มันลึกซึ้งในระดับที่ว่า ตอนนี้เรานั่งอยู่ในสวน เราเห็นใบไม้บางใบมีลักษณะใหญ่ บางอันเป็นแฉก ใครเป็นคนออกแบบ เกิดมาแล้วมันรู้ได้ยังไงว่าต้องเป็นแบบนี้ ข้อมูลเหล่านั้นใครเป็นคนเขียน มันกลายเป็นคำถามที่ผมรู้สึกว่าวิชานี้มันลึกซึ้ง

นอกจาก ‘คำถาม’ ที่คุณรู้สึกว่ามัน ‘ลึกซึ้ง’ อะไรอีกที่เปลี่ยนนักเรียนสายวิทย์ที่ชอบวิชาชีววิทยา ให้กลายเป็นนักเรียนโอลิมปิก

เอาจริงๆ ก็ไม่เคยตอบคำถามนี้เหมือนกันนะ แต่จะลองลิสต์ๆ ดู อาจจะเป็นเพราะผมโชคดีได้รับอิทธิพลจากหลายๆ ทิศทางด้วย

หนึ่ง ที่บ้านผมไม่ค่อยเคร่งครัดว่าลูกต้องจบมาประกอบอาชีพอะไร จงเรียนไปตามความอยากรู้ของตัวเอง ผมเลยไม่เคยโดนกดดันว่า ต้องมาเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรที่เด็กเก่งๆ เขาต้องเป็นกัน เอาเข้าจริงผมเป็นเด็กเรียนปานกลางนะ แต่มีความอินเฉพาะด้าน ถ้าให้ไปทำโจทย์เลข ผมจะห่วย แต่ผมมีความอยากรู้ อยากจะอ่านชีวะมากกว่าคนอื่นที่เขาเรียนกันเฉยๆ เราเรียนแล้วอยากจะแบบ… ขอดูเพิ่มๆ นะ

สอง ผมได้ไปเข้าโครงการโอลิมปิก หมายความว่าเด็กมัธยมปลาย จะได้ไปเรียนกับอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับหลักสูตรของเด็กปีหนึ่งปีสอง ตั้งแต่ ม.4 ม.5 เลย พอไปเจออาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย เวลาที่เขาสอน เขาบิวด์ให้เราอินได้มากกว่าเรียนในห้องเรียนมัธยม หลังจากคลาสในมหาวิทยาลัย กลับมาก็อ่าน Text Book อ่านตำราเมืองนอก ทำให้เราเห็นการบรรยายอะไรต่างๆ ที่ลึกซึ้งกว่าตำราเรียนในบ้านเรา

ได้รับอิทธิพลจากหนังสือฝรั่งต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ตำราเรียน แต่เป็นหนังสืออย่างของริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) นักฟิสิกส์ผู้โด่งดังและเขาก็มีบุคลิกที่เท่มาก ชอบเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวต่างๆ สอดแทรกความคิดมุมมองของเขาและอธิบายข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปด้วย

ทำให้เราเริ่มซึมซับแนวคิดที่มาจากต่างประเทศ เป็นแนวคิดที่ไม่ได้มาจากระบบการศึกษาไทย ทำให้รู้ว่าการเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เขาไม่ได้เรียนไปสอบ ไม่ได้เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพที่ดูว่าจะได้เงินเดือนเท่าไร แต่เขาเรียนเพื่อไขปริศนาจักรวาล นั่นคือสปิริตของความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ผมชอบ

‘สปิริตของนักวิทยาศาสตร์’ คำนี้มันลึกซึ้งมากเลย

เออ อันนี้ผมเพิ่งพูดตะกี๊นี้เลย ไม่เคยพูดคำนี้มาก่อนเลยครับ (หัวเราะ)

กลับไปช่วงที่คุณเข้าคอร์สโอลิมปิกตั้งแต่ ม.4 ม.5 ไม่หนักเกินไปสำหรับเด็กวัยนั้นหรือ

อธิบายก่อนว่าไม่ใช่กรณีลูกถูกพ่อแม่บังคับให้ไปเรียนเปียโน หรือบัลเล่ต์ แต่เป็นเพราะลูกชอบเอง อยากเรียนเพิ่มเอง แล้วก็อินเอง และพ่อแม่สนับสนุนด้วย

เอาจริงๆ ผมแทบจะจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่กิจวัตรคือเรียนเช้าจรดเย็น กลับมากินข้าวพักผ่อนหน่อย แล้วกลางคืนก็อ่านหนังสือต่อ แต่ถ้าเป็นผมตอนนี้ ให้กลับไปอ่านหนักขนาดนั้นไหม ผมตอบเลยว่าไม่มีแรง (หัวเราะ) ทุกวันนี้ผมยังหาเวลาอ่านยากเลย แต่เด็กคนนั้นมันฟิต และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เพื่อนทุกคนก็ฟิตเหมือนกัน และไม่มีใครมีเฟซบุ๊ค

พอพูดถึงคำว่า ‘โอลิมปิก’ มันให้ความรู้สึกของเด็กที่เรียนอย่างหนัก ไม่ได้กิน ไมได้นอน เครียด กดดัน เป็นการแข่งขันขั้นกว่าการสอบปกติ

เท่าที่จำได้คือไม่กดดันเลย สนุกเสียส่วนใหญ่ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ เยอะแยะ วิชาที่เรียนก็ตื่นเต้นกับมัน หนังสือที่อ่านก็อินกับมัน

ไม่ได้คิดว่าจะต้องสอบให้ผ่าน ต้องได้เหรียญ คิดแค่ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นมากกว่า ที่สำคัญกว่าคืออยากเข้าใจตัววิชาให้แตกฉานมากกว่าอยากทำข้อสอบ

แก๊งเด็กโอลิมปิก เหมือนหรือต่างจากแก๊งวัยรุ่นอื่นๆ

ผมก็ไม่รู้ว่าวิธีแบ่งเวลาตอนวัยรุ่นนี่มีเคล็ดลับยังไงนะ แต่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกเหมือนได้ทำครบทุกอย่าง เล่นบาสทุกเย็น กลางคืนเล่นไพ่ ว่างอ่านการ์ตูน จีบสาวก็จีบ เพลงก็ฟัง หนังก็ดู เพื่อนก็เยอะ ทำทั้งหมดนี้ได้ทั้งๆ ที่มุ่งอ่านหนังสือเรียนไปด้วย เอาจริงๆ อยากกลับไปให้ ‘มัน’ หมายถึงตัวเองวัยหนุ่ม สอนเหมือนกันนะ ทุกวันนี้กลับแทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย

คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเชื่อมตัวเองกับวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ไปไม่ถึง

วิทยาศาสตร์มันมีเวอร์ชั่นจัดเต็ม แบบ… (เอามือตบเข่า) เอาจริงแล้วนะ อันนี้จะยาก แต่มันจะมีอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันกลมกล่อมได้ คือได้ทั้งความรู้ ความสนุก เอามาคิดต่อกับสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตได้เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่จำเป็นต้องท่องสูตรสมการ ต้องท่องศัพท์ ซึ่งอันนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ขาดหายไปในสังคม

เหมือนว่าสังคมเรามีสองระดับ ระดับที่หนึ่งคือ ‘น้องๆ หนูๆ ครับ วันนี้เรามาดูไดโนเสาร์กันเถอะ’ กับอีกระดับหนึ่งคือสัมมนาวิชาการ ไมโทคอนเดรีย เอ็กซ์ตราสเปเชียลไลฟ์ ไมโครทิวบลูอะไรไปเลย คือมันไม่มีช่วงกลางๆ

ในฐานะที่คุณเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นอดีตอาจารย์อยู่ช่วงหนึ่ง คิดว่าปัญหาของการศึกษาบ้านเราอยู่ที่ตรงไหน

ผมว่ามันเอาความโรแมนติกออกจากความรู้ จริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่โรแมนติกมาก เช่น มันมีนิทานคลาสสิกของฝั่งวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับดวงดาว เวลาที่นั่งดูดาวแล้วคิดคำนึงไปว่า

จักรวาลนี้มีดวงดาวมากมาย กว่าแสงจะเดินทางมาถึงเรามันช่างยาวไกล ภาพที่เดินทางมาถึงเรามันคือภาพในอดีต บางทีเป็นล้านปี เป็นพันล้านปี ถ้าเกิดคนที่อยู่ฝั่งนู้นมองมาที่โลกตอนนี้ เขาก็ไม่เห็นเรานะ เพราะเขาจะเห็นภาพในอดีต ตอนนี้เขายังเห็นคุณลุงไดโนเสาร์ หรือคุณปู่อะมีบาหรืออะไรที่เป็นโลกในอดีตอยู่

คิดต่อไปได้ว่า จริงๆ ดาวฤกษ์ทั้งหลาย คือสสารที่ตายแล้ว เพราะตอนที่ดาวฤกษ์เผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หมดแล้วมันก็จะระเบิดใช่มั้ย? ตอนระเบิดนี่แหละ มันจะรุนแรงมาก จะก่อให้เกิดธาตุต่างๆ เช่น คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน และธาตุเหล่านั้นก็ลอยไปในอากาศ สุดท้ายแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงปั่นให้มันดูดกลับมาอีกรอบหนึ่ง (ทำท่าปั่นสสาร) กลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ ดาวเคราะห์ดวงใหม่ แล้วก็กลายเป็นพวกเรานี่แหละ หมายถึงว่าเราเนี่ย… ก็มาจากละอองดาว

แล้วเวลาที่เรามองไป ดาวพวกนี้ไม่เคยรู้เลยนะว่าสักวันหนึ่งมันจะกลายมาเป็นเรา คือมันจะมีนิทานซึ่ง base on ความจริงที่เล่าแล้วปลุกจิตวิญญาณความโรแมนติกแบบนี้เยอะและแทบจะอยู่ในทุกแขนงของวิทยาศาสตร์เลย แต่มันถูกออกจากหนังสือเรียนหมด

ในหนังสือเรียนของเราคือ คุณต้องรู้ว่าดาวฤกษ์คลาส A ประกอบด้วยไฮโดนเจนกี่เปอร์เซ็นต์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบ่งออกเป็นฟิชชั่น ฟิวชั่น แตกตัวได้ไอออน ได้โปรตอนเท่านั้น่

เสมือนการให้คุณไปวาดรูปศิลปะแล้วให้ท่องจำเบอร์สี ว่าเบอร์ที่แวนโก๊ะใช้คือเบอร์ไหนแล้วก็จิ้มตาม มันคือการเอาความคิดสร้างสรรค์หรือแก่นของศิลปะออกไปใช่มั้ย? วิทยาศาสตร์ก็ถูกทำเช่นนั้นในหลักสูตรบ้านเรา

ทำไมเราไม่ได้เรียนอะไรแบบนี้ในห้องเรียน!

แต่จริงๆ จะไปว่าเขาทั้งหมดแบบนั้นก็เว่อร์ไป (หัวเราะ) เขาก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น แต่หมายความว่า เมื่อเทียบกับเมืองนอกที่เขามีความเป็นมาทางวิทยาศาสตร์หลายรุ่นยาวนาน จิตวิญญาณแบบนั้นของเขายังอยู่

คือถ้าถามเด็กไทยว่า รู้ไหมว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ผมว่าเด็กไทยตอบได้มากกว่าเด็กอเมริกา เพราะถ้าเด็กบ้านเขาไม่เอาก็คือไม่เอาเลย แต่คนที่เอา ก็เป็นผู้นำของโลกไปเลย

อะไรที่ทำให้เรารู้ว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่เราไม่อิน

การสอบ (ตอบทันที) จบเลย ซึ่งถ้าถามว่าไม่ต้องสอบได้มั้ย มันก็ไม่ได้อีกอะเนอะ แต่มันเหมือนว่า จุดมุ่งหมายปลายทางไม่ควรจะเป็นการสอบ แต่จุดมุ่งหมายต้องอยู่ตั้งแต่ตอนที่เรียนแล้วว่าอินหรือไม่อิน

การสอบและบรรยากาศว่า ‘เพื่อจบไปแล้วจะไปทำอาชีพอะไร’ ‘เพื่อได้เงินเดือนเท่าไร’ บรรยากาศตรงนี้ไม่ใช่ว่าไม่ควรมีเลยนะ แต่มันมีเยอะไป มันมากลบอย่างอื่นหมด

เพราะครูไม่อินด้วยรึเปล่า เลยเหมือนเป็นวงจร

จริง วงจรนี่ก็น่าจะนูโวนะ ถ้าจำไม่ผิด (เงียบและแป้ก…) ใช่ๆ คือ คนที่ถูกเทรนให้มาเป็นครูก็ไม่ได้ถูกเทรนให้รู้ในระดับลึกซึ้งอะไร มาสอนเด็กก็ไม่สามารถทำให้เด็กอินได้ ก็เป็นวงจรไปแบบนี้

จึงเป็นเหตุผลให้คุณสมัครเป็นครูในโรงเรียนมัธยมอยู่ช่วงหนึ่ง?

จริงๆ แล้วเป็นเรื่องโชคชะตาที่เราไม่ได้วางแผน ‘เบร้อ’ อะไร (‘เบร้อ’ คำติดปากของแทนไท เมื่อก่อนเขามีคำติดปากว่า ‘ยีสต์’ ติดตามความ ‘ยีสต์’ ได้ในหนังสือ ‘โลกนี้มันช่างยีสต์’) เหมือนมันเป็นใบไม้ใบหนึ่งที่ลอยไปตามน้ำ เพียงแต่มันลอยไปติดตรงไหน เราก็ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด

กรณีนี้คือ ผมสมัครปริญญาโท-เอกที่เมืองนอกไม่ติด ถูกบังคับให้กลับมาเรียนต่อในไทย อยู่บ้านนานๆ แม่ก็ด่า ทำไมไม่ออกไปหาการหางานทำบ้าง เราก็ออกไปหาการหางานทำ ตอนแรกไปสอนพิเศษ เป็นติวเตอร์นู่นนี่ แล้วก็มีเพื่อนมาทาบทามว่า โรงเรียนนี้มีตำแหน่งว่างอยู่พอดีนะ ต้องการคนด่วน ผม… ซึ่งตอนนั้นเส้นผมเป็นสีทองแบบโอนิซึกะ (GTO) เลย รู้สึกว่าอะไรก็เอาทั้งนั้น เป็นช่วงกล้าเผชิญชีวิต คือถ้าเป็นตอนนี้ก็อาจจะคิดเยอะมากกว่า ก็สมัครเข้าไป ไม่คิดอะไรมาก ขณะเดียวกันก็มีความคิดแบบขบถว่า เราจะสอนธรรมดาไม่ได้ เราจะต้องแนว ต้องสร้างความหวือหวาในโรงเรียน ก็ได้เกิดเป็นเรื่องราวที่สนุกสนานขึ้นมา

แต่อันนั้นคือโชคชะตาพลิกผันไป แต่ยังไงๆ ชาตินี้ ไม่ว่าจะอยู่เมืองนอก อยู่เมืองไทย จะเรียนจบหรือไม่จบ ยังไงก็ต้องทำสิ่งนี้ต่อไป คือการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่ได้เล่าในโรงเรียน ก็มาจัดรายการแทน ตรงนี้เป็นค่าคงที่ของผม

ซึ่งก็คือการสื่อสาร

WitCast เป็นบทสนทนาของเพื่อนที่อินเรื่องอะไรสักอย่างแล้วเราได้มานั่งฟังด้วย เหมือนการตั้งวงนั่งคุย จะไม่ใช่อารมณ์ว่า เอาล่ะ… เรามาปูพื้นฐานวิทยาศาสตร์เรื่องนี้ๆ กันนะ

แต่เหมือนเป็นชุมชน เป็น community ซึ่งอาจจะเป็นคนที่สนใจวิทยาศาสตร์มาก่อนตั้งแต่แรก แล้วในที่สุดก็เจอเพื่อนแล้วโว้ย (เสียงไชโย) หรืออาจจะเป็นคนไม่เคยสนใจเลย แล้วก็ เฮ้ย… มันมีโลกนี้อยู่ด้วยเหรอ แล้วจึงค่อยๆ กระดึ๊บเข้ามา อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน

กลุ่มเป้าหมายของ WitCast จึงเป็นครึ่งๆ ครึ่งหนึ่งคือคนที่เรียนวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ อยู่แล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ มักจะชอบฟังหรืออินกับสาขาที่ตัวเองไม่ได้เรียนอยู่ กับอีกครึ่งหนึ่งคือคนที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เลย แฟนที่เหนียวแน่นที่สุดคนหนึ่งของ WitCast เป็นอาจารย์สอนปั้นหม้อที่เชียงราย

หมายถึงว่าคนคนหนึ่ง มิติในสิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เรียนมา สิ่งที่เขาทำงาน ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวแล้วหยุดแค่นั้น หลายๆ คนอยากจะเรียนรู้ต่อจนข้ามไปสู่ความคิดประมาณว่า ‘สมัยก่อนไม่เคยเรียนวิทยาศาสตร์เลย แต่อยากรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง’ การฟัง WitCast อาจจะตอบโจทย์ตรงนี้

ธงหรือเป้าหมายของ WitCast คืออะไร มีอุดมการณ์เบื้องหลังสิ่งนี้ไหม

ผมมักจะเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับดนตรี ไม่ว่าจะเพศไหน วัยไหนก็ฟังเพลงได้ คือมีเพลง มีดนตรีที่ชอบและศิลปะหลายๆ แขนง รวมถึงละครไทยไปด้วย ยังได้แทรกอยู่ในสังคม คือมอบอะไรให้เราหลายอย่าง รวมทั้งอารมณ์ วิทยาศาสตร์ควรเอามาทำให้เป็นดนตรีที่แทรกอยู่ในสังคมเช่นกัน

และไม่ใช่ว่าการสื่อสารวิทยาศาสตร์แบบนี้ เราเป็นประเทศแรกที่ทำ มีหลายประเทศที่เป็นแบบนี้ ซึ่งผมอยากทำให้ประเทศเราเป็นแบบนั้นบ้าง เช่น เปิดทีวีมาแล้วเจอรายการที่เล่าความรู้วิทยาศาสตร์อย่างสนุกสนาน เข้าร้านหนังสือไปเจอกำแพงหนังสือวิทยาศาสตร์ วันนี้เรามาสนใจเรื่องสมองดีมั้ย หรือเราจะสนใจเรื่อง (หยุดคิด) วันนี้คนกำลังสนใจเรื่องเสือดำกันอยู่ใช่มั้ย ไหนลองหยิบมาอ่านซิ

คือถ้าเป็นเมืองนอกจะเป็นแบบนี้ มีหนังสือแนว Popular Science หรือวิทยาศาสตร์เพื่อประชาชน มีทุกหัวข้อที่สนใจและหาอ่านได้ และการอ่านในที่นี้ไม่ใช่การอ่านเพื่อเอาไปสอบ เคร่งเครียด แค่เป็นคนที่อยากได้ความรู้ อ่านหนังสือพวกนี้ในยามว่าง นั่งในสวน จิบกาแฟอ่าน อ่านเพื่อความผ่อนคลายอย่างหนึ่ง

ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่เติมบรรยากาศแบบนี้ในสังคมเรา แต่ WitCast เน้น  Audio Content มากกว่า

คิดว่ามีปัจจัยอะไรอีกมั้ย ไม่ว่าจะมีคาแรคเตอร์แบบไหน ที่ทำให้วิทยาศาสตร์เข้าถึงเด็กๆ ได้

ทำวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องสนุก ขณะเดียวกันก็ดึงมันไปสู่ความลึกซึ้งได้ด้วย แล้วก็เป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นการเสพความรู้ เหมือนไปกินขนมหวาน กินเค้ก อย่างคนที่ฟัง WitCast จบก็จะมาคอมเมนต์ว่า ตอนนี้ฟินมากเลย ซึ่งเราอาจค่อยๆ กระจายความสนุกนี้ให้คนอื่นได้ร่วมอินด้วยได้ แต่ไม่ใช่ภาคบังคับ คุณต้องมาฟังนะ

และคิดว่าการเทรนผู้สอนคงเรื่องหนึ่ง แต่พวกนอกห้องเรียน เช่น สื่อต่างๆ ถ้ามีรายการทีวีก็ต้องดันให้สนุก มีไอดอลสายวิทยาศาสตร์อย่างคุณเฌอปราง (เฌอปราง อารีย์กุล ไอดอลวง BNK48) ก็ต้องช่วยกันดัน

คุณก็เป็นแฟนคลับด้วย?

ก็แบบ ‘แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย’ มีคนเชียร์ให้คุณเฌอเปรางมาออก WitCast ถ้าได้มาจริงๆ ก็จะดีมากเลย ถ้าคุณเฌอปรางอ่านอยู่แล้วอยากจะมาช่วยสื่อสารวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่าช่องทางนี้เป็นช่องทางที่เหมาะสมนะครับ

อะ… ต่อเลยค่ะ ^^ เมื่อกี๊ถึงตอนที่ว่า ต้องดันทุกสื่อให้สนุก

คือถ้าช่องทางบันเทิงทุกอย่าง หนัง สารคดี ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หมายความว่าการเรียนในห้องเรียนคือเรียนเพื่อเอารายละเอียดและการฝึกเทคนิคในเพื่อเข้าใจและจำ แต่พอออกไปนอกห้องเรียน ก็ต้องมีความโรแมนติกของความรู้ ได้เห็นไอดอล ได้อินกับหนังสือที่ดึงให้เราคิดต่อจาก fact หรือข้อเท็จจริงที่ได้รับมา ผมว่ามันควรสนับสนุนแนวนี้

คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ เคยคิดไหมว่า ถ้าไม่รักวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่ได้โอลิมปิกวันนั้น ชีวิตเราจะไปทางไหน

ผมว่าผมคงไปเป็นนักร้อง (หัวเราะ) คือจริงๆ ผมมีความอาร์ตอยู่ในตัวแบบที่ไม่ได้รับการเพาะบ่มเท่ากับสายวิทย์ แต่เป็นหน่ออยู่ คือผมชอบวาดภาพ แต่งเนื้อเพลง ซึ่งถ้าไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะเหล่านี้ เช่น การวาดรูป วาดการ์ตูนอาจได้รับการพัฒนา อาจจะเป็นนักเขียนการ์ตูน

Tags:

แทนไท ประเสิรฐกุลระบบการศึกษาหนังสือศิลปิน

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • BookEarly childhood
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย
Character building
27 February 2018

เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

เรื่อง The Potential

  • จากเด็กที่ว่างเป็นเล่นเกม กลายเป็นเด็กช่างสงสัยและลงไปทำงานช่วยแม่ช่วยชุมชน
  • ไม่ต้องเสียเงินให้กับคอร์สเรียนไหนๆ ‘ทักษะชีวิต’ ของเด็กก็สร้างได้ ขอแค่มีใจและลงมือทำ
  • สำคัญคือพ่อแม่ – แค่ทำหน้าที่กองหลังชั้นดี

สำหรับบางคน ‘โอกาส’ คือสิ่งที่ได้มาฟรีๆ แต่อีกหลายคนต้องทุ่มไม่รู้กี่หน้าตักกว่าจะได้มาสัก 1 ครั้ง

โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ อะไรก็ตามที่สร้างโอกาสให้ลูก แม้เพียงน้อยนิด ถ้าพอมีกำลังก็ไม่เสียเวลาคิดนาน ขอแค่ให้ลูกมีความสามารถและทักษะสองสามอย่างติดตัวก็ยังดี

หากทักษะอย่างหนึ่งซึ่งรวย-จนไม่อาจซื้อได้ แต่แลกได้โดยใช้ตัวและประสบการณ์ เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘ทักษะชีวิต’ ที่จะทำให้เด็กๆ สามารถรับมือกับปัญหา อุปสรรคที่จะผ่านเข้ามา ปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างเป็นสุข และทำตัวเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

คุณแม่ลูก 4 คนหนึ่งพิสูจน์มาแล้ว

วันเพ็ญ ยากำจัด

แม่ผู้คิดต่าง

วันเพ็ญ ยากำจัด เกษตรกรในตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี และเป็นแม่ของลูก 4 คน เธอไม่ต่างจากแม่ทั่วไปที่ห่วงและกังวล เวลาเห็นลูกใช้เวลาว่างหมดไปกับการเล่นเกม และเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหลังกลับจากโรงเรียนและในวันหยุด ทั้งที่ตัวเธอเองทุ่มเททำงานเพื่อชุมชนในการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย

“เมื่อก่อนเราไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับงานชุมชน แต่พอพ่อของเราตั้งคำถามว่า เขาทำอะไรกันรู้ไหม เราก็เลยลองไปดู ไปช่วย จนเรามีความรู้เพราะลงมือทำมานาน เวลาชาวบ้านคนอื่นมาถามว่าทำไมวันนี้น้ำไม่ไหล น้ำไม่พอ เราตอบได้ทันที และทำให้รู้สึกว่า ชาวบ้านคนอื่นเขาให้การยอมรับว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำงานช่วยชุมชน มีความรู้เรื่องชุมชน อีกอย่างที่นี่เป็นบ้านของเราด้วย ทำแล้วสุดท้ายประโยชน์ก็ตกกับครอบครัว ชุมชนของเรา ตัวเราเองก็มีความสุขที่ได้ทำเพื่อบ้านของเรา”

แน่นอน เธอเรียนรู้แล้วว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำ ได้สัมผัสสถานการณ์จริงนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เธอได้ แต่ความภูมิใจของวันเพ็ญกลับได้รับการตั้งคำถามจากลูกว่า “ทำไปทำไม ทำแล้วก็ไม่ได้เงิน”

คำพูดจากคนใกล้ตัวประโยคนี้ทำให้วันเพ็ญเจ็บปวดมาก แม้จะพยายามอธิบาย ลูกก็ไม่รับฟัง ทว่าด้วยความเชื่อมั่นในการเรียนรู้จากการลงมือทำ วันเพ็ญจึงเดินหน้างานของเธอต่อ พร้อมกับพยายามมองหา “โอกาส” ที่นอกเหนือจากวิชาความรู้ที่ได้จากการเรียนในห้องเรียน ซึ่งจะสร้างการเรียนรู้ให้ลูกเกิดทักษะการทำงาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และมีความเสียสละ

กุ้ง-อภิสิทธ์ ยากำจัด

กระทั่งวันเพ็ญได้รับฟังเพื่อนที่ทำงานเพื่อชุมชนด้วยกันเล่าถึง โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก โครงการที่เปิดพื้นที่ให้เด็กทำโครงการพัฒนาหรือแก้ปัญหาในชุมชนบ้านเกิด โดยเน้นให้เด็กเป็นคนคิด แล้วลงมือทำจริงด้วยตัวเองทั้งหมด วันเพ็ญจึงเห็นว่านี่อาจเป็นโอกาสพัฒนาลูกที่เธอกำลังมองหา แต่การผลักดันลูกครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะแรงต้านที่มีอยู่แล้วของเด็กๆ วันเพ็ญจึงตัดสินใจจ้างลูกคนเล็ก 2 คน คือ กบ-วนิตา ยากำจัด และกุ้ง-อภิสิทธ์ ยากำจัด ตามรายได้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ให้ลองไปเข้าร่วมประชุมด้วยความหวังว่าอย่างน้อยลูกจะได้เห็นว่าเขาทำอะไรกัน

หลังกลับจากการประชุม สิ่งที่วันเพ็ญได้รับฟังจากลูกกลับเกินคาดกว่าที่เธอคิด “พอเขากลับจากประชุม เขาก็บอกว่า แม่ไม่ต้องจ้างแล้ว ไม่เอาเงินแล้ว เพราะความรู้ที่ได้มีค่ามากกว่าเงินที่แม่ให้อีก” วันเพ็ญบอกว่านั่นเป็นคำพูดแรกจากลูกที่ทำให้รู้สึกตื้นตันใจและมีกำลังใจที่จะส่งเสริมลูกต่อ

กบ ผู้เป็นลูกสาวเล่าว่า กิจกรรมที่เธอได้เข้าร่วมเป็นเวทีที่พี่เลี้ยงชุมชนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและให้ลองลงมือเก็บข้อมูลทุนที่มีในชุมชน จากตอนแรกที่กบคิดว่าเรื่องที่จะไปฟังคงเป็นเรื่องของแม่ เรื่องของชุมชนเท่านั้น แต่เธอกลับได้รู้จักชุมชนมากขึ้น ได้เรียนรู้การพูดคุยชาวบ้านและคิดวิเคราะห์คำตอบ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเอง

กบ-วนิตา ยากำจัด

บทเรียนที่ลูกได้

หลังจากเห็นประโยชน์ของการทำกิจกรรมในโครงการ กบและกุ้งจึงเต็มใจที่จะไปทำกิจกรรมครั้งต่อมา กระทั่งเกิดเป็น “โครงการน้ำต่อชีวิต” ที่เด็กๆ ตั้งเป้าหมายว่าอยากเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำร่วมกับทีมผู้ใหญ่ แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปเผยแพร่แก่คนในชุมชน เพื่อตอกย้ำให้ชาวบ้านเข้าใจสถานการณ์การใช้น้ำของชุมชนจากอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย

เงื่อนไขสำคัญหนึ่งในกระบวนการทำงานของโครงการพลังเด็กและเยาวชนฯ คือการลงพื้นที่เก็บข้อมูลชุมชนจากคนในชุมชน เพื่อให้เด็กรู้จักชุมชนตัวเองมากขึ้นทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นและสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในชุมชน แล้วนำมาเป็นโจทย์หรือปัจจัยสนับสนุนการทำโครงการ โดยการลงพื้นที่ของกบ กุ้งและเพื่อนๆ จะเป็นการเก็บข้อมูลประวัติความเป็นมาของชุมชน วิถีชีวิต อาชีพ รวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ทั้ง 14 หมู่บ้าน ซึ่งเด็กๆ ได้รับความร่วมมือค่อนข้างดีจากคนส่วนใหญ่ในชุมชน กบเล่าว่า

“การลงพื้นที่เก็บข้อมูลทำให้เราได้รู้ที่มาที่ไปของชุมชน อาชีพของคนในชุมชน และสภาพภูมิประเทศ เส้นทางน้ำของตำบลด้วย แต่สิ่งที่หนูคิดว่าได้กับตัวหนูมาก คือทำให้เราได้คุยกับคนในชุมชนมากขึ้น ได้รู้จักคนในชุมชนว่าใครเป็นใคร ทั้งที่บ้านเราอยู่ห่างกันไม่มาก แต่เมื่อก่อนกลับไม่ได้พูดคุยกันเลย”

นอกจากได้เรียนรู้ผ่านการทำงานในชุมชนแล้ว เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ร่วมกับเพื่อนทีมอื่นในโครงการพลังเด็กและเยาวชนฯ ในเวทีเวิร์คช็อปที่ช่วยเติมศักยภาพและทักษะเรื่องต่างๆ เช่น การปลูกฝังสำนึกพลเมือง การฝึกทักษะการบริหารจัดการโครงการ ทักษะการพูดและการนำเสนอ มนุษยสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ผ่านการทำกิจกรรมสันทนาการ การเล่นเกม การคิดวิเคราะห์ตามโจทย์ในแต่ละครั้ง แล้วนำเสนอให้เพื่อนๆ และพี่เลี้ยงฟังเด็กๆ ทำให้กบและกุ้งได้พัฒนาตัวเองไปทีละขั้น

“เวทีเวิร์คช็อปช่วยพัฒนาศักยภาพของหนูขึ้นทีละนิด จากไม่เคยกล้าพูดเลย ก็กล้ากลับมาพูดที่บ้าน เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าได้ไปทำอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มกล้าจับไมค์พูดในเวทีคืนข้อมูลที่เราจัดในชุมชน เหมือนกับว่าเราไปเก็บเกี่ยวความรู้และฝึกฝนตัวเองจากเวทีเวิร์คช็อป แล้วนำสิ่งที่ได้กลับมาลองใช้จริงที่ชุมชน”

ครอบครัวหัวใจเดียวกัน

ผลสำเร็จของโครงการน้ำต่อชีวิตเผยชัดเจนใน “เวทีคืนข้อมูลให้ชุมชน” ที่เด็กๆ ได้นำข้อมูลจากการลงพื้นที่ในชุมชนมาถ่ายทอดกิจกรรมให้ชาวบ้านด้วยความมั่นใจ เพราะผ่านการฝึกฝนทักษะการพูด การนำเสนอ และมีความรู้ที่เข้าใจจากการลงมือทำจริง โดยเด็กๆ ได้สร้างสรรค์เกมชื่อ “เติมให้เต็ม” ผู้ใหญ่เล่นได้เด็กก็สนุก

เนื้อหาของเกมสื่อถึงพฤติกรรมการใช้น้ำของคนในชุมชน จากนั้นพวกเขาชวนสรุปสิ่งที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนได้เรียนรู้ และร่วมกันหาแนวทางการรักษาทรัพยากรน้ำ ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ทุกคนต้องใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค หากไม่ร่วมมือร่วมใจกันรักษา น้ำคงหมดไปในที่สุด

นอกจากผลสำเร็จของโครงการจะเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว ผลลัพธ์ที่งดงามยิ่งกว่าคือ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นกับลูกทั้งสองคนของวันเพ็ญ ทำให้เธอถึงกับออกปากว่าช่าง “คุ้มค่า” ที่ทั้งลุ้น ทั้งดันให้มีโอกาสได้ทำโครงการนี้

“เขากล้าพูด กล้าแสดงออกกับกับคนที่ไม่รู้จัก สามารถเข้าไปคุย เข้าหาผู้ใหญ่เป็น ทั้งคนแถวบ้าน พ่อแม่ปู่ย่าตายายครูก็มาเล่าให้ฟังว่ากล้าแสดงออกหน้าชั้นที่โรงเรียน แล้วเขาจะมีคำพูดที่บางทีเราต้องคิดตาม เช่น สมมุติเราจะไปกู้เงิน เขาก็บอกว่าแม่ห้ามกู้นะ ถ้าไม่จำเป็น เดี๋ยวเป็นหนี้ แม่จะเป็นทุกข์”

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของลูกที่วันเพ็ญเห็น คือ การรู้จัก “แบ่งเวลา” สามารถทำหน้าที่ทุกอย่างที่รับผิดชอบได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำโครงการ หรือกระทั่งการช่วยงานเกษตรในไร่

อย่างหลังนี้ วันเพ็ญชอบใจเป็นพิเศษ

“เมื่อก่อนเขาบอกว่า ถ้าเรียนจบแล้วจะไม่อยู่ทำไร่กับเรา จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เราก็เสียใจว่าลูกอยากไปไกลจากบ้าน ไม่ยอมรับว่าพ่อแม่เป็นชาวไร่ เราเคยพูดเล่นๆ กับเขาว่า สุดท้ายพ่อแม่ก็นอนตายอยู่บ้านไม่มีใครมาเหลียวแล แต่ตอนนี้พอทำการบ้านเสร็จก็มาช่วยงานในไร่ เราก็ดีใจว่าลูกเต็มใจช่วยทำงาน ไม่ปฏิเสธที่มีพ่อแม่เป็นชาวไร่ชาวนา”

ส่วนกบบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่า การทำโครงการทำให้เธอมีการวางแผน การเตรียมความพร้อมก่อนทำอย่างอื่น โดยเฉพาะเรื่องการพูดนำเสนอที่ไม่ค่อยถนัด เพราะนิสัยพื้นฐานไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว แต่โครงการทำให้เธอกล้าพูดขึ้นมาระดับหนึ่ง และรู้จักคิดทบทวนทุกครั้งก่อนทำ ก่อนพูด

“หลังจากทำโครงการมาแล้วทำให้เราฉุกคิดเสมอว่าสิ่งที่กำลังทำ ทำเพื่อใคร ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครบ้าง หรือส่งผลเสีย ผลกระทบต่อใครไหม”

วันเพ็ญกล่าวทิ้งท้ายว่า การที่ลูกของเธอได้คิดเอง ทำโครงการด้วยตัวเอง ช่วยปลี่ยนเวลาว่าง-เล่นเกม ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ผ่านการเรียนรู้ชุมชน จนลูกของเธอได้รู้ว่าคนห้วยสงสัยอยู่กันอย่างไร ประกอบอาชีพอะไร และสิ่งที่แม่พยายามทำมาตลอดมีความสำคัญกับคนในชุมชนขนาดไหน

“ตอนนี้เวลาเราไปช่วยงานชุมชน เขาไม่มีห้ามเลย แถมเล่าให้คนอื่นฟังอีกว่าแม่ไปทำอะไร” วันเพ็ญอมยิ้ม

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)วัยรุ่นactive citizenproject based learning

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

รักที่จะรักหลากหลาย: นักเขียนรางวัลซีไรต์กับนิยายYของเธอ
Voice of New Gen
21 February 2018

รักที่จะรักหลากหลาย: นักเขียนรางวัลซีไรต์กับนิยายYของเธอ

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • 25ปี คืออายุของ ลี้-จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท นักเขียนรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ประเภทเรื่องสั้นประจำปีที่ผ่านมา โดยผลงานสร้างชื่อคือ ‘หนังสือสิงโตนอกคอก’ ตีพิมพ์กับแพรวสำนักพิมพ์ 2560
  • 12ปี คือจำนวนปีที่เธอทุ่มเทให้กับการเขียนนิยาย
  • มัธยมคือ ช่วงวัยที่เธอเริ่มหลงรักในความวาย จนปลูกฝังรากวิธีคิด รสนิยมและหลอหล่อมให้เป็นเธอในปัจจุบัน
  • เด็กสาวคือ ทาร์เก็ตกลุ่มใหญ่ที่บริโภคความวายในทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละครหรือนิยาย
  • วาย คือคำย่อมาจาก yaoi กล่าวคือตัวละครเอกทั้งสองตัวเป็นเพศชายและมีความสัมพันธ์เชิงชู้รัก เป็นวัฒนธรรมเริ่มต้นจากญี่ปุ่น
ภาพ: จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท/ สกล ปานกลิ่นพุฒ

กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก มองไปทางไหนก็มีแต่สีชมพูสีแดงสดใส แม้จะเลยเทศกาลวาเลนไทน์ไปแล้วก็ตาม

แต่หากจะเหมารวมให้ความรักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเพียงอย่างเดียว ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าถูกต้องเสียทีเดียว เพราะความรักสามารถนิยามได้หลายรูปแบบ เช่น ความรักหรือความหลงใหลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเราทุ่มสุดตัวให้กับสิ่งนั้นอย่างถึงที่สุด อย่างความรักในการเขียนนิยายวายของ ร เรือในมหาสมุท นามปากกาของ ลี้-จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท นักเขียนรางวัลรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ประเภทเรื่องสั้นประจำปี 2017

ลี้คือหญิงสาววัย25 ที่บอกกับทุกสื่ออย่างชัดเจนว่า “เธอคือสาววายตัวจริง”

ท่ามกลางกระแสและบริบททั้งนิยายวายและซีรีส์วายเริ่มขยายพื้นที่เพิ่มมากขึ้น แม้กลุ่มผู้บริโภคจะยังคงเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กสาวที่ทุกวันนี้บริโภคกันอย่างหนักหน่วง

ในฐานะที่เธออยู่ในวงการนี้มาเป็นเวลานาน The Potential จึงชวน ลี้-จิดานันท์ มานั่งคุยตั้งต้นแต่ วายคืออะไร ทำไมเธอและสาวๆ หลายต่อหลายคนถึงตกหลุมรักนิยายแขนงนี้ กรอบเรื่องเพศบางอย่างที่สุดท้ายนิยายวายก็ไม่อาจหลุดพ้น เส้นทางการเติบโตในงานเขียนของเธอและตบท้ายด้วยแง่คิด ถึงพ่อแม่ที่มีลูกชอบอ่านนิยายวาย

นิยายวายคืออะไร?

คำว่า วาย เป็นคำย่อของยาโอย หรือ yaoi เป็นวัฒนธรรมที่เริ่มต้นในประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเด่นคือ ตัวละครเอกทั้งสองตัวเป็นเพศชายและมีความสัมพันธ์กันในเชิงคู่รัก งานแนวยาโอยจะปรากฏออกมาในรูปนิยาย การ์ตูนภาพวาด ภาพยนตร์ หรือการ์ตูนอนิเมชั่นภาพเคลื่อนไหวก็ได้

แรกเริ่มเดิมที งานแนวยาโอยจะเริ่มจากลักษณะแฟนฟิคชั่นค่ะ หมายความว่าผู้อ่านนำนิยายหรือการ์ตูนที่ตีพิมพ์วางขายอยู่แล้ว มาเขียนเป็นนิยายหรือการ์ตูนในฉบับตัวเอง โดยจินตนาการเนื้อเรื่องต่อเติมเข้าไป เช่น ตอนแรกเรื่องนั้นอาจเป็นเรื่องผู้กล้ากับลูกน้องอัศวินออกล่าสมบัติ แต่ผู้อ่านนำมาเขียนต่อยอดต่อเติมให้พวกเขาเป็นคนรักกันด้วย โดยเขียนเพียงฉากที่พวกเขาได้ตกหลุมรักหรือสารภาพรักกัน เหมือนเป็นตอนเสริมของนิยายเรื่องนั้น แต่ไม่ได้ถูกสร้างด้วยน้ำมือนักเขียนผู้ผลิตคนแรก

บางครั้งงานในแนวนี้จะถูกตั้งคำถามในเรื่องของลิขสิทธิ์ เนื่องจากมีลักษณะเป็นแฟนฟิคชั่น ผู้เขียนคนแรกได้สร้างพล็อต ตัวละครและเนื้อเรื่องไว้แล้ว ผู้เขียนแฟนฟิคเพียงแค่สร้างเรื่องต่อเติมจากจุดนั้น ทำให้หลายๆ ครั้ง เนื้อเรื่องของแฟนฟิคจึงเล่าแค่ ฉากรัก ความสัมพันธ์วาบหวามหรือฉากร่วมเพศ ทำให้ช่วงแรกงานแนวนี้ถูกเรียกว่า yaoi จริงๆ ที่มีความหมายว่า “Yama nashi, Ochi nashi, Imi nashi” แปลว่า “No plot, no point, no meaning” คือไม่มีพลอตไม่มีประเด็นอะไร มีแต่ฉากเรทอย่างเดียว

ต่อมา นิยายแนว yaoi ถูกพัฒนาต่อยอด ในระดับของแฟนฟิคชั่นก็ไม่ได้มีแค่ฉากเรทอย่างเดียว แต่มีการบรรยาย ฉากแอคชั่น ฉากโศกซึ้ง ฯลฯ ตามแต่นักเขียนหรือนักวาดการ์ตูนจะสรรค์สร้าง แต่ยังคงใช้ชื่อเรียกประเภทตามเดิมคือคำว่า yaoi และยังมีผู้เริ่มเขียนนิยายหรือการ์ตูนที่เป็นแนววายโดยไม่ได้เป็นแฟนฟิคของอะไร คือเป็นผลงานออริจินัลตั้งแต่แรกเริ่มเองค่ะ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์อีก เพราะเป็นผลงานของผู้เขียนตั้งแต่ต้น

ส่วนใหญ่กระแสนิยายวายในไทยมักเป็นแฟนฟิคที่หยิบเอาศิลปินหรือไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบมาจับคู่กัน นิยายวายคุณเป็นลักษณะนั้นหรือเปล่า?

งานนิยายวาย มีทั้งแบบที่เป็นแฟนฟิคชั่นคือ เอานิยาย หนังหรือศิลปินดารามาเขียนต่อยอดใส่เนื้อเรื่องเพิ่มตามที่เราชอบใจ กับงานออริจินัลที่ผู้เขียนคิดเองทั้งหมด ทั้งพลอตเรื่องและตัวละคร

ส่วนนิยายของลี้ที่ตีพิมพ์กับทางสำนักพิมพ์ จะเป็นงานออริจินัลที่คิดเองทั้งหมดค่ะ สร้างตัวละครขึ้นมาเอง เหมือนการเขียนนิยายในแนวอื่นๆ เลยค่ะ แต่ลี้จะมีงานแฟนฟิคชั่นอยู่บ้าง เป็นงานแฟนฟิคจากหนังค่ะ เช่น การเขียนต่อเติมเรื่องราวฮีโร่จากค่ายมาร์เวลส์ ฯลฯ ซึ่งลี้จะลงในอินเทอร์เน็ตและบางครั้งมีทำเป็นหนังสือทำมือ ขายกันในวงของคนที่ชื่นชอบสิ่งเดียวกันค่ะ

จำเป็นต้องบอกว่างานแฟนฟิคชั่นนี้มีลักษณะเป็นสีเทานะคะ คือมีการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ทางเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้เอาผิด เพราะถือว่าเป็นแฟนคลับที่ทำด้วยความรักชอบในผลงาน คล้ายกับการวาดรูปแฟนอาร์ต หรือการคอสเพลย์ ซึ่งการที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะเอาผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไปค่ะ ว่ามีการนำคาแรคเตอร์เหล่านั้นไปใช้เพื่อการค้าหรือไม่

การทำหนังสือทำมือขายก็อยู่ในข่ายของการค้า แต่ในมุมมองรวมๆ ของสังคมยังถือว่าอยู่ในจุดที่ทำเพราะชอบศิลปินหรือภาพยนตร์อยู่ดีค่ะ หากไม่ได้ทำในสเกลใหญ่ อันนี้เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นรายเคสไปค่ะว่าละเมิดหรืออนุโลมได้

พอจะจัดประเภท ความรักในนิยายวายได้มั้ย มีอะไรบ้าง?

จัดประเภทความรักนี่ตอบไม่ถูกนะคะ (ยิ้ม) ผู้เขียนแต่ละคนไม่ว่าจะเขียนนิยาย ชายหญิง หญิงหญิง ชายชาย ต่างก็สะท้อนภาพ “ความรัก” ที่เขาเห็นในโลกแห่งความจริง ลงมาในนิยาย โดยผ่านมุมมอง และประสบการณ์ชีวิตของเขา ความรักของแต่ละเรื่องจะต่างออกไปในรายละเอียด ในสถานการณ์ที่ตัวละครประสบ เช่น การพบเจอปัญหา การตัดสินใจของแต่ละคน ลักษณะนิสัยของตัวละคร ดังนั้นจะแบ่งประเภทของความรักอาจจะไม่ได้

แต่ถ้าให้แบ่งประเภทของนิยายวาย ก็อาจแบ่งเป็นสายต่างๆ ได้เหมือนประเภทของนิยายทั่วไปค่ะ ถ้านิยายทั่วไปมีงานแนว รักใสๆ แนวดราม่า แนวสืบสวน แนวผี แนวไซไฟ แนวแฟนตาซี แนวดิสโทเปีย นิยายวายก็สามารถเทียบเข้าไปได้เลย คือเป็นงานแนวนั้น แค่เพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครชายเข้าไป เช่น วายแนวรักใสๆ กุ๊กกิ๊ก วายแนวรักดราม่า วายแนวสืบสวน วายแนวผี วายแนวแฟนตาซี วายดิสโทเปีย มีทุกแบบค่ะ

อะไรคือเสน่ห์ของนิยายวายที่นิยายแขนงความรักอื่นไม่มี?

สาเหตุที่เด็กสาวชอบอ่านนิยายวาย วันก่อนลี้ได้อ่านเปเปอร์ชิ้นหนึ่งค่ะ ชื่อว่า Exploring the Meaning of Yaoi in Taiwan for Female Readers: From the Perspective of Genders โดยคุณ Dienfang Chou จากมหาวิทยาลัย Tzu Chi ค่ะ เปเปอร์นี้เสนอหัวข้อที่น่าสนใจว่านิยายวายเกิดจากความรู้สึกที่ว่า นิยายชายหญิงในแบบเมนสตรีม ได้แสดงภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ต้องถูกปกป้อง ตกยาก จึงต้องมีผู้ชายร่ำรวยมาคอยช่วยเหลือ ซึ่งทำให้ผู้หญิงส่วนหนึ่งเกิดคำถามว่า ทำไมจึงต้องเขียนตัวละครหญิงในแบบนั้นเสมอ เหมือนเห็นความไม่เท่าเทียมทางเพศแฝงมาในวรรณกรรม ทำให้รู้สึกไม่อินไปกับตัวละครแบบนั้นหรือความสัมพันธ์แบบนั้น พวกเขาจึงพยายามใฝ่หานิยายรักรสชาติใหม่ๆ

คือนิยายวายจะเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองตัวในรูปแบบที่ทัดเทียมมากกว่าค่ะ ทั้งสองคนต่างก็มีความเข้มแข็งและเป็นชาย อาจปกป้องกันและกันได้ ไม่มีใครถูกปกป้องฝ่ายเดียว ทำให้คนอ่านรู้สึกสนุกกับเรื่องราวความสัมพันธ์มากกว่า เพราะคนอ่านผู้หญิงบางคนจะไม่อินกับบริบท “ชายเข้มแข็ง ปกป้องหญิงสาวอ่อนแอ” อีกแล้ว

ทั้งนี้และทั้งนั้น นิยายชายหญิงก็มีเล่มที่เขียนดีและข้ามขนบเดิมไปสู่พรมแดนใหม่ๆ นะคะ หมายเหตุไว้เพราะไม่อยากเหมารวม และข้อสังเกตเพิ่มเติมคือ นิยายวายก็มีบางส่วนที่เขียนออกมาเหมือนขนบนิยายรักชายหญิงค่ะ

ถึงจะพูดว่านิยายวายนั้นดำเนินเรื่องโดยเล่าความรักของชาย-ชาย แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลุดขนบ “เพศชาย-หญิง” ได้อยู่ดี กล่าวคือ gender identity ยังต้องมีชายคนหนึ่งที่มีบทบาทหรือท่าทางแบบเพศหญิง ฝ่ายตรงข้ามรับบทเป็นชายเพศชาย คุณมองว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร

อ้างอิงจากเปเปอร์ของคุณ Dienfang Chou เขาอธิบายว่า นิยายวายสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้หญิงอ่าน คือไม่ใช่งานที่เกย์มาอ่านแล้วจะชอบค่ะ เพราะมันไม่เรียล มันถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองความฝันของผู้หญิง ดังนั้นตัวฝ่ายรับจึงมีความคล้ายผู้หญิงซึ่งจะมาเป็นผู้อ่าน

แต่จากการสังเกตของลี้เอง ตัวนิยายวายในไทย ฝ่ายรับจะมีความเป็นหญิงมากๆ ส่วนนิยายวายที่แปลมาจากทางตะวันตก ฝ่ายรับจะค่อนข้างมาดแมนกว่าค่ะ คิดว่าบริบทด้าน gender ของแต่ละสังคมมีผลต่อการกล่อมเกลาความคิดของผู้เขียน ส่งผลกระทบถึงวิธีการสร้างตัวละครในนิยายวาย ว่าจะมาดแมนขนาดไหน

ในสังคมที่ผู้หญิงเข้มแข็งได้มาก ฝ่ายรับในนิยายวายก็ยิ่งถูกสะท้อนภาพให้เข้มแข็งขึ้น และในสังคมที่เพศหญิงยังถูกจำกัดกรอบหลายอย่าง ฝ่ายรับในนิยายวายก็อ่อนแอลง

ทัศนคติที่สังคมหล่อหลอมเพศของเรา จนถูกนำมาสะท้อนลงไปในนิยายวายนี้ บางครั้งคนเขียนหรือคนอ่านเองก็ไม่ทันรู้ตัว เพราะมันซ่อนแฝงในคำพูด การดำเนินชีวิต เป็นการกดขี่เชิงวัฒนธรรม

คุณมองว่านิยายวายเป็นเพียงเทรนด์แฟชั่น? หรือ sub-culture ที่กำลังกลายเป็นกระแสแมสหรือเปล่า?

หนึ่ง นิยายวายเป็นซับคัลเจอร์แน่ๆ ค่ะ ไม่ใช่ความสนใจของคนทั้งประเทศแน่ๆ มันมีเพื่อสนองคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบเนื้อหาสไตล์นี้ ตอนนี้นิยายวายเป็นเทรนด์ ได้รับพื้นที่ในร้านหนังสือ ได้รับความสนใจจากสื่อทีวี กลุ่มคนที่สนใจวัฒนธรรมตรงนี้ก็อาจจะใหญ่ขึ้น อาจจะดูแมสขึ้น แต่เราว่าไม่ใช่ระดับที่คนทุกคนต้องมาชอบมันนะคะ เพราะมันค่อนข้างจะเป็นงานแนวเฉพาะค่ะ ถ้าถามว่ามันจะมีวันซาลงไหม เราว่าก็คงมีค่ะ ทุกอย่างล้วนขึ้นลงตามกาลเวลา ไม่คงอยู่ตลอดไป

แต่คนที่ชอบวายอยู่ตอนนี้หลายๆ คน เขาก็ไม่ได้ชอบเพราะแค่แฟชั่น แบบเขาฮิตฉันฮิตตามไรงี้ คนที่เขาชอบจริงๆ ใส่ใจมัน จริงจังกับมันก็มีนะคะ เลยไม่อยากให้สื่อใช้คำพูดว่า เป็นเพียงแฟชั่น นักอ่านบางคนอาจจะเสียใจได้ค่ะ

คิดอย่างไรกับแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่มองว่า นิยายวาย = 18+ ความรุนแรงและเซ็กส์

ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่ามีนิยายวายจำนวนหนึ่ง หรืออาจจะมากด้วยที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงและเซ็กส์ เมื่อมีตัวอย่างให้เห็นมากๆ แบบนั้น การที่สังคมมองแบบนั้นก็ไม่แปลกจริงไหมคะ

สิ่งที่เราจะสามารถทำได้ก็คือการให้ข้อมูลตามตรงค่ะ ว่ามีนิยายวายที่ติดเรทอยู่จริงๆ และก็มีนิยายวายที่ไม่ได้เน้นเรทอยู่เช่นกัน สามารถเลือกอ่านได้ตามที่สนใจค่ะ

ก็ให้คำตอบกลางๆ นะคะ แต่ถ้าจะถามเจาะลึกเลยว่าคิดว่านิยาย ไม่ว่าแนววายหรือชายหญิง ควรเรทไหม หรือ Pornography ควรเข้าถึงได้ง่ายหรือยาก อะไรงี้ มันต้องคุยกันย้าวยาว เลยขอยกยอดไว้ก่อนนะคะ (หัวเราะ)

ขอถามเกี่ยวกับนิยายของลี้บ้าง อย่างเรื่อง “ชายใดเล่าจะแซบเท่าแฟนเก่าแม่” จะถูกจัดหมวดให้อยู่ใน “นิยายรักวาย” ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แจ่มใสที่ส่วนใหญ่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น แต่สิ่งที่คุณเล่ากลับเป็นประเด็นหนักมาก เช่น การเมือง อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณเลือกใช้ความรักของคนเพศเดียวกันมาเป็นตัวละครหลักในการเล่าเรื่อง

ลี้ไม่ได้คิดว่า จะเล่าเรื่องการเมือง แล้วมาเล่าผ่านเรื่องแนววายค่ะ แต่ลี้ตั้งธงว่าอยากเขียนเรื่องวาย แล้วบริบททางการเมืองมันโผล่เข้าไปเองค่ะ

ตอนที่เขียน ชายใดเล่าจะแซบเท่าแฟนเก่าแม่ ลี้ได้เผชิญกับช่วงเวลาที่หดหู่และเจ็บปวดของชีวิตค่ะ จึงคิดจะเขียนเรื่องที่มีแต่ความสดใส ไม่เจ็บปวด ไม่ดราม่าเลย ไม่มีคอนฟลิกซ์ ไม่มีปมปัญหา และเป็นนิยายวายอ่านง่ายๆ สบายๆ เพราะชีวิตของลี้เจ็บปวดมากพอแล้วในช่วงนั้น แต่ระหว่างที่เขียน ประเด็นหนักหนาอย่างคอมมิวนิสต์และสงครามเวียดนามได้โผล่เข้ามาในขั้นตอนการสร้างตัวละคร อาจเป็นเพราะลี้พยายามตามหาบางอย่างเพื่อใช้เป็นจุดสร้างเนื้อเรื่องค่ะ และเรื่องเหล่านี้อยู่ในความสนใจของลี้พอดี ยอมรับว่าเรื่องค่อนข้างหนัก จึงรู้สึกขอบคุณสำนักพิมพ์แจ่มใสอยู่เสมอมา ที่ตีพิมพ์เรื่องนี้ให้ค่ะ (ยิ้ม)

ตั้งแต่เริ่มเขียนนิยาย (อายุ 12) กับเรื่องเล่าตอนนี้ (25 ปี) มันขยับขยายไปในทิศทางแบบไหน – คุณเติบโตมาแบบไหน

ตอนอายุสิบสองลี้ต้องไปอยู่อาศัยที่บ้านญาติเป็นการชั่วคราวประมาณครึ่งปี ตอนนั้นลี้ไม่มีอะไรทำ ประจวบกับมีงานของเด็กวัยรุ่นไทยได้รับการตีพิมพ์วางแผง ทำให้ลี้ได้รู้ว่าเด็กก็เขียนหนังสือได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ที่เขียนหนังสือ จึงเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่นั้นมา ตอนแรกสนใจแนววรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซี มีเวทมนตร์ต่างๆ

มัธยมปลาย เริ่มเข้าถึงวัฒนธรรมวาย และเขียนงานแนวแฟนฟิคชั่นกับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน พร้อมๆ กับเขียนงานออริจินัลแนวแฟนตาซีควบคู่ไปด้วย

ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ลี้เริ่มเขียนแฟนฟิคชั่นน้อยลงและเขียนงานแนวออริจินัลมากขึ้นเนื่องจากต้องการมีผลงานตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ อย่างที่บอกไว้ตอนแรกคืองานแฟนฟิคชั่นจะไม่นำมาใช้เพื่อการค้าในระดับใหญ่ค่ะ ประกอบกับได้รับคำชี้แนะจากรุ่นพี่ในชุมนุมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเพื่อนจากชุมนุมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้เริ่มคิดที่จะเขียนงานแนวสัจนิยม และส่งงานประกวด

หลังการประกวดได้รับรางวัลเป็นครั้งแรกก็มีกำลังใจ และเริ่มต้นเขียนงานเพื่อส่งประกวดมาเรื่อยๆ ได้รับรางวัลบ้าง ไม่ได้รับรางวัลบ้าง หลังจากนั้นก็มีการติดต่อกับบรรณาธิการสายวรรณกรรมสร้างสรรค์เพื่อทำต้นฉบับรวมเรื่องสั้น โดยลี้มีรวมเรื่องสั้น 2 เล่ม คือ สิงโตนอกคอกที่พิมพ์กับแพรวสำนักพิมพ์ และ วันหนึ่งความทรงจำจะทำให้คุณแตกสลาย พิมพ์กับสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม

พร้อมกันนั้นลี้ก็เขียนนิยายวายเสนอไปทางสำนักพิมพ์ และผ่านการพิจารณาตีพิมพ์ ทำให้ได้ออกผลงานทั้งวายและวรรณกรรมสร้างสรรค์ในเวลาไล่เลี่ยกันค่ะ

แล้วเส้นทางการตกหลุมบ่วงนิยายวายเป็นอย่างไร ได้ยินว่าคุณบอกว่า “ความวายมันอยู่ในสายเลือด” เพราะอะไรถึงรักในการเขียนนิยายวาย?

ลี้เริ่มต้นอ่านการ์ตูนและนิยายวายตั้งแต่มัธยมโดยเริ่มจากอ่านตามพี่สาว และเริ่มมารู้จักกับงานแนวนี้เพิ่มขึ้นเมื่อได้เล่นอินเทอร์เน็ต พออ่านแล้วเราก็ชอบ และเราอ่านมันในช่วงวัยรุ่น มันก็ถูกปลูกฝังลงมาในช่วงเวลาการเติบโตของเรา ทำให้เราคิดว่ามันค่อนข้างฝังรากในวิธีคิด ในรสนิยมของเรา มาจนถึงปัจจุบัน และในที่สุดเมื่อเราอ่านแนวนี้เยอะๆ เราก็อยากจะถ่ายทอดมันออกมาเป็นงานเขียนค่ะ

ที่คุณบอกว่า งานเขียนบ้างชิ้นของคุณคือไดอารี่ส่วนตัวของคุณ หมายความว่าอย่างไร มีความรู้สึกเขินอายบ้างไหม เวลาที่ถูกคนอ่านไดอารี่ของเรา

มีงานบางชิ้นที่เป็นไดอารี่ค่ะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น

งานชิ้นที่เป็นคือ บางส่วนของเล่ม วันหนึ่งความทรงจำจะทำให้คุณแตกสลาย เขียนจากเหตุการณ์จริงหลายเรื่องนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน มีบางอันเป็นบันทึกที่จดเหตุการณ์ไว้ คือทรูสตอรี่เลย แต่ไม่ได้เอาไปพิมพ์รวมเล่มทั้งอย่างนั้นนะ มันมีกระบวนการ Novelization ทำให้เป็นวรรณกรรมก่อน

คือมาตกแต่งพลอต ไดอารี่อาจไม่มีตอนจบที่ตื่นเต้นๆ เราก็แต่งเพิ่มเข้าไป ตัวละครจริงๆ อาจไม่ได้หล่อสวย เราก็บรรยายเข้าไปให้หน้าตาดีๆ ภาษาตอนเป็นไดอารี่อาจจะสบายๆ มีเขียนวกวน เราก็มาปรับให้มีความสวยงามขึ้น ตัดส่วนที่วกวน มีการตัดทอนบางส่วนที่เปิดเผยไม่ได้ออกไป กระบวนการขัดเกลาเหล่านี้ทำให้สุดท้ายเราไม่ได้เขินที่มีคนมาอ่านค่ะ เพราะมันถูกจัดแต่งมาแล้ว ว่าเป็นจุดที่ให้คนอื่นอ่านได้ และอีกอย่าง เราไม่ต้องอายเพราะ… คนอ่านเขามองมันเป็นตัวละคร ไม่ได้มองว่ามันคือเรา

อาจจะมีแค่เพื่อนเราเท่านั้นแหละที่อยากจะตะโกนว่า “เลิกเขียนถึงฉันสักที!”
และเราจะตอบว่า “…ไม่” (หัวเราะ)

หมายความว่าการเขียนคือการปลดปล่อยความรู้สึกอย่างหนึ่ง

ใช่ค่ะ แบบนั้นเลย เวลารู้สึกอะไรก็เอามาเขียน บอกออกไปอย่างซื่อตรง ไม่ต้องหวาดกลัวหรือปกปิด แล้วมันจะเยียวยาเราได้

มีนิยายรักแบบอุดมคติที่ฝันไว้บ้างไหม เช่น เนื้อเรื่องต้องเดินแบบนี้ ภายชายในฝันต้องเป็นลักษณะนี้

อันนี้ลี้ตอบไม่ได้นะคะ เพราะนิยายแต่ละเล่มที่อ่าน มีข้อดีข้อเสียต่างกัน จะให้หาภาพที่สมบูรณ์ของนิยายที่ชอบที่สุด คงเป็นไปไม่ได้ ทุกเรื่องต้องมีจุดที่ชอบและไม่ชอบ แต่เรื่องหนึ่งที่คิดคือ เอ…ชายในฝันของเรา ถ้ามาเป็นพระเอกนิยาย เรื่องจะน่าเบื่อมั้ยน้อ

ในฐานะที่คุณเป็นผู้ผลิตสื่อที่ส่วนใหญ่มีกลุ่มเป้าหมายคือเด็ก (อย่างตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) ฉะนั้นแล้ว งานเขียนของคุณมีข้อจำกัดไหม ในลักษณะที่ว่า “กลุ่มอ่านนิยายเราเด็กไป ประเด็นนี้ไม่ควรแตะ”

ตอบในส่วนของตัวลี้เองนะคะ คำตอบนี้จะไม่รวมถึงนักเขียนวายท่านอื่น เพราะแต่ละคนคงมีลิมิตแตกต่างกันไป สำหรับลี้ในการพยายามสร้างงานวายจะมีบางจุดที่ไม่ได้เขียนอยู่แล้วค่ะ เช่น จุดที่เกี่ยวกับการเมืองไทยปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี 50 เป็นต้นมา) ตรงนี้จะไม่นำมาใส่ ส่วนเนื้อหาเชิงสังคมอื่นๆ สามารถใส่ลงในนิยายได้เลยค่ะ เช่น เนื้อหาดราม่าในที่ทำงาน เนื้อหาความเจ็บปวดของชีวิต การหย่าร้าง ความเหลื่อมล้ำของคนจน คนพิการ เด็กกำพร้า ฯลฯ สามารถใส่ได้หมด เนื่องจากวรรณกรรมเยาวชนแปลจากต่างประเทศเองก็มีการแตะต้องเนื้อหาในเชิงนี้อยู่แล้ว และเด็กๆ นักอ่านสามารถเข้าใจคิดตามได้ค่ะ พวกเขาเก่งกว่าที่ผู้ใหญ่คิด (ยิ้ม)

จากแพลตฟอร์มหน้ากระดาษถูกเปลี่ยนมาอยู่ในโลกออนไลน์ เรียกได้ว่าใครๆ ก็เป็นนักเขียนกันได้ทั้งนั้น อะไรคือความยากที่ทำให้คุณปีนมาอยู่ในเส้นทางนี้

เห็นคำถามซ้อนกันอยู่นะคะ ข้อแรก อะไรคือความยาก กับ อะไรที่ทำให้คุณปีนมาอยู่ในเส้นทางนี้

ความยากก่อน หนึ่ง – ความยากในตัวงานเอง คือการเขียนให้ดี เป็นสิ่งที่ยากที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีโลกอินเทอร์เน็ตหรือไม่ สอง – ความยากที่มาพร้อมกับยุคอินเทอร์เน็ต คือ การมีคู่แข่งจำนวนมาก ซึ่งทำให้การมีโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางทะเลนิยายเป็นเรื่องยาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องอย่าลืมแง่ดีว่าอินเทอร์เน็ตก็ทำให้คนเราเผยแพร่งานได้ง่ายขึ้นนะ และสาม – คุณมีโอกาสได้รับคำวิจารณ์ที่รุนแรงจากคนอ่านมากกว่าเมื่อก่อน แต่ในอีกแง่หนึ่ง คุณก็สามารถพูดคุยและใกล้ชิดกับคนอ่านได้มากกว่ายุคที่สื่อสารกันผ่านแผงหนังสืออย่างเดียว

เรียกว่าทุกจุดที่ไม่ดีก็มีข้อดีของมันค่ะ

ส่วนอะไรทำให้ลี้เลือกมาปีน และยังปีนอยู่ในเส้นทางนี้ ตะเกียกตะกาย แม้ต้นฉบับจะไม่ผ่านการพิจารณาและพอลงเว็บก็ไม่มีใครอ่าน คงตอบว่าเพราะลี้ชอบเขียนหนังสือ อยากเขียนหนังสือค่ะ

สุดท้าย อยากบอกอะไรถึงผู้ปกครองที่เห็นลูกๆ อ่านนิยายวาย?

คุณพ่อ คุณแม่ ถ้าลูกคุณอ่านวาย อย่างแรกที่คุณต้องทราบคือ คุณจะห้ามเขาไม่ได้ค่ะ

ต่อให้คุณห้าม เด็กๆ ก็มีสมาร์ทโฟนและสามารถเข้าถึงนิยายวายอยู่ดี การยิ่งแข็งข้อ จะยิ่งทำให้ลูกปิดใจจากคุณ แอบทำอะไรต่างๆ โดยหลบให้พ้นจากสายตาคุณ แต่ถ้าหากคุณไม่เข้มงวด ลูกจะใช้ชีวิตร่วมกับคุณ คุณจะมีโอกาสรู้มากกว่าว่าลูกๆ กำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้น ไม่อยากให้เข้มงวดมากเกินไปค่ะ เพราะเด็กจะแข็งกลับแน่นอน

คุณพ่อ คุณแม่อาจกลัวเรื่องนิยายมีฉากเพศสัมพันธ์หรือมีความรุนแรง ก่อนอื่นต้องทราบว่า นิยายวายมีทั้งแนวที่มีฉากรุนแรงเป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญของเรื่อง และแนวที่มีเนื้อหาการดำเนินเรื่อง เล่าความผูกพันในครอบครัว หรือเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเรียน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำหรือพูดคุยกับลูกได้ค่ะว่าพ่อกับแม่อยากให้หนูเลือกอ่านเรื่องแบบไหน

แต่สุดท้ายเด็กจะเป็นคนตัดสินใจคลิกเรื่องเองอยู่ดี การตัดสินใจของเขาจะเป็นอย่างไร คงขึ้นกับท่าทีและวิธีการในการชักนำของพ่อแม่ อยากให้เลือกวิธีที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นมิตรและอยากปฏิบัติตามค่ะ


3 นิยายน่าอ่านสำหรับเดือนแห่งความรัก

นัดหมายในความมืด
ผู้เขียน: โอตสึ อิจิ / ผู้แปล: พรพิรุณ กิจสมเจตน์
สำนักพิมพ์: JBOOK

เอาไงดี ส่วนตัวเป็นคนไม่อินวาเลนไทน์ จริงๆ จะอินของไหว้ตรุษจีนที่ตามมามากกว่า ถ้าพูดถึงนิยายรัก เราชอบนัดหมายในความมืด ของโอตสึอิจิ เนื้อหาไม่ได้พูดถึงความรักอย่างตรงไปตรงมา ดำเนินเรื่องผ่านผู้หญิงที่ตาบอด และผู้ชายที่แกล้งทำเป็นไม่อยู่ในบ้าน ผู้หญิงไม่ควรจะรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ชาย แต่ความสัมพันธ์กลับเกิดขึ้นผ่านการนับแผ่นขนมปังและเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ จนกลายเป็นสายสัมพันธ์ที่อบอุ่นมาก

พาไรโดเลียรำลึก
ผู้เขียน: ปราบดา หยุ่น
สำนักพิมพ์: ไต้ฝุ่น

อีกเล่มหนึ่งที่เหมาะกับวาเลนไทน์ คือพาไรโดเลียรำลึก ของปราบดา หยุ่น เล่มนี้จะเล่าเรื่องความรักครั้งแรก และเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อาจไม่ใช่เรื่องหวาน แต่เราชอบมันมากค่ะ นิสัยของเด็กผู้หญิงเป็นวัยรุ่นมากๆ เลย คือพยายามไม่อ่อนหวาน แต่ก็กลับไม่รู้จะจัดการความขัดเขินของตัวเองอย่างไร ทำเป็นวางท่าแต่ก็สนใจพระเอกเอามากๆ บางทีก็ไม่รู้ว่าพระเอกใจร้ายมากๆ หรือว่าทึ่มจัดจนไม่เห็นอะไรเลยกันแน่

สมิงพระราหู
ผู้เขียน: อุรุดา โควินท์
สำนักพิมพ์: ไรท์เตอร์

สมิงพระราหู ของพี่อุรุดา โควินท์ รวมเรื่องสั้นเล่มนี้เป็นเรื่องแนวรักเป็นส่วนใหญ่ค่ะ พูดถึงความสัมพันธ์หลายแบบ แบบรักเป็นแฟนกัน แบบมีคนอื่น แบบจากกันไป แบบไม่แน่ใจว่าคืออะไร แบบระหองระแหงแต่ยังไม่เลิกร้าง สำนวนภาษาอ่อนหวาน ภาพประกอบในเล่มก็น่ารัก อ่านคู่กับกินขนมวันวาเลนไทน์ต้องทำให้วันที่สิบสี่ของคุณสดชื่นแน่นอนค่ะ

Tags:

หนังสือศิลปินอาชีพนักเขียนเพศจิดานันท์ เหลืองเพียรสมุทนิยายวาย

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ‘เตรียมใจและทุ่มเท’ เคล็ดลับในการทำอาชีพนักเขียนนิยายวาย ฟิล์ม – พิชญา สุขพัฒน์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Life classroom
    วาดลายเส้นลากใจเขามาใส่ใจเรา กับการ์ตูนสีเทาๆ ของ ‘มุนินฺ’

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New GenBook
    SISU เลือกทางยากแทนทางง่าย ฝึกหัวใจและร่างกายไม่ให้ชินกับความสำเร็จรูป

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์
Voice of New Gen
21 February 2018

รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์

เรื่อง

  • ในซีรีส์ ‘รักที่จะ…’ เราออกไปพูดคุยกับวัยรุ่น อดีตวัยรุ่น และคนทำงานกับวัยรุ่นในประเด็นหลากหลาย เพียงเพื่ออยากจะรู้ว่า ในวัยรุ่น เขาจะเปลี่ยนพลังที่พลุ่งพล่าน ไปสนใจเรื่องอะไร ไปหลงรักอะไร และด้วยเหตุผลอะไรบ้าง
  • Dif Kids ขึ้นเวที Rap Is Now TWIIIO มาแล้ว ส่วน D3 ก็กำลังหลงไหลบีทและแร็ปอย่างหัวปักหัวปำ
  • นี่คือรักที่จะแร็ป ว่าด้วยพื้นที่่แสดงออกทางความคิด ซึ่งแม้ความสุดโต่งจะพาให้พวกเขาไปอยู่ในความเสี่ยง และความรุนแรง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการสมองวัยรุ่นที่ต้องการสร้างการยอมรับทั้งจากผองเพื่อน และรู้จักที่จะควบคุมตนเองไม่ให้เลยเส้นของกาลเทศะหรือเขตแดนที่จะพาตัวเองไปสู่ความยุ่งเหยิง
เรื่อง โกวิท โพธิสาร, รัชดา อินรักษา

“มึงยังกระจอกสัส กูให้มึงกลับไปหัดก่อน
ก่อนที่มึงจะออกหมัด แต่โดนกูตวัดศอก
กลับไปซะไอ้กลับกลอก มึงทำได้แค่เหน็บกัด
ยืนอยู่ตรงนี้กูมองมึงแม่งกระจอกสัส”

ความเกรี้ยวกราดจากท่อนแร็ปของเขาเป็นภาพตรงข้ามกับเด็กหนุ่มที่ปรากฏต่อหน้าเรา จากคำหยาบแทบทุกวรรคตอนของเพลงแร็ปเหลือเพียงมุกตลกคาเฟ่ที่เอาไว้หยอกหยิกพอได้หัวเราะในลำคอ

D3 (D-Three) ยีนส์-ยุทธพิชัย พุทธมนต์ วัย 25 ปี นั่งคุยกับเราพร้อม Dif Kids อะตอม-ศตายุ โปลิตานนท์ วัย 26 ปี แร็ปเปอร์หน้าตาเกลี้ยงเกลาที่วาจาจากบางบทเพลงนั้นทั้งรัว เร็ว รุนแรงจนอาจสร้างความขุ่นเคืองให้ทั้งโสตประสาทและความรู้สึก

“Shut Up ถ้าใจยังไม่กล้าพอ
เปรียบพวกมึงเป็นเหยื่อ กูนี่นักฆ่าไล่ล่าในหนังสยอง
อย่ามาคิด อย่ามาแร็พ อย่ามาสด อย่ามาหลบ
อย่ามาถาม อย่ามาตาม อย่ามาจด
อีก 1 วินาทีมึงคิดดีๆ มึงอาจจะกลายเป็นศพ”

บางวรรคตอนของการสนทนา เขาบอกกับเราว่าถ้อยคำเดือดดาลเหล่านั้นเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่ง เพราะที่สุดแล้วชีวิตจริงไม่มีใครเที่ยวสาดกระสุนน้ำลายให้กับผู้คนได้ตลอดเวลาแบบนั้น บางคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นลูกที่น่ารักของพ่อแม่ และเป็นมนุษย์ที่ตระหนักเรื่องกาลเทศะอยู่เสมอ

แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของเหล่าแร็ปเปอร์ไม่ได้ถูกฉาบด้วยสีพาสเทล แม้บทสัมภาษณ์ฉบับนี้อาจต้องกำชับว่าผู้อ่านอายุน้อยกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครอง แต่สิ่งที่เราสนใจคือจังหวะไหนเป็นการเล่นตามเกมกลอน จังหวะใดคือวรรคตอนที่ต้องขีดเส้นสีแดงว่าจะไม่เดินล่วงล้ำเข้าไป

ทั้งสองเข้ามาสู่วงการแร็ปได้อย่างไร

Dif Kids: สำหรับผมคือเริ่มจากความชื่นชอบการแร็ปในเพลงป๊อป ซึ่งในไทยยังไม่มีแร็ปแบบนั้น ผมอยากจะนำเสนอแร็ปในมุมมองที่คนไทยไม่เคยทำ เลยมาศึกษาอย่างจริงจังมากขึ้น และเพิ่งรู้ว่าในประเทศไทยก็มี community นี้อยู่ อย่าง Rap is Now ผมก็เข้าไปศึกษาวัฒนธรรมเขาเป็นยังไง มีการแข่งแร็ปแบทเทิล (Rap Battle) ซึ่งปกติแล้วผมจะชอบทำเพลงอย่างเดียว แต่พอมีโอกาสได้ไปแข่งก็รู้สึกว่ามันก็เป็นตัวตนของเราเหมือนกัน รู้สึกสนุกกับมัน หลังจากนั้นก็เริ่มทำเพลง เริ่มแข่งมาเรื่อยๆ

D3: ของผมเห็นน้องชายไปแข่ง จริงๆ แล้วผมฟังแร็ปมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ยังไม่ได้รู้เยอะขนาดนั้น สมัยก่อนมันไม่ได้กว้างขนาดนี้ มีฟลิป (flip) มีโฟลว (flow) อะไรแบบนี้ เพิ่งมารู้ทีหลังก็รู้สึกว่ามันสนุกดีครับ

ฉายา Dif Kids และ D3 มาจากอะไร

D3:  ดีสามหรือดีทรี มาจากซอยบ้านผมครับ ตอนนั้นจะไปอัดเพลงนึกไม่ออก (หัวเราะ)

Dif Kids: ตอนปี 2016 ก็มาจากความชอบที่แร็ปในเพลงป๊อป ซึ่งอย่างที่บอกว่าตอนนั้นเพลงแบบนี้ไม่ค่อยมีในไทย เลยตั้งชื่อว่า Dif Kids มาจาก Different Kids หมายความว่าเด็กที่ไม่เหมือนใคร

แร็ปเปอร์ส่วนใหญ่มักถูกคนทั่วไปมองว่าพูดจาหยาบคายและก้าวร้าว ตัวตนที่แท้จริงของคุณสองคนเป็นแบบนั้นหรือเปล่า

Dif Kids: แล้วแต่คนนะ พูดจริงๆ บางคนก็หยาบโดยชีวิตประจำวันอยู่แล้ว อย่างยีนส์ (D3) ในชีวิตประจำวันก็เป็นคนพูดจากวนตีนอยู่แล้วใช่ไหม (หัวเราะ)

D3: ผมเป็นคนอ่อนน้อมครับ (หัวเราะ)

Dif Kids: อย่างตัวผมเองปกติก็ไม่ใช่คนแบบหยาบช้าขนาดนั้น แต่การแข่งแร็ปแบทเทิลเป็นการแข่งที่เฉือนกันด้วยถ้อยคำ ซึ่งเราจะมาพูดว่า คุณดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สนุกสำหรับเกม

D3: ถ้าสมมุติแร็ปแบทเทิลกัน แล้วต้องมานั่งถามกันว่า “คุณพ่อคุณสบายดีไหม” ก็ไม่ใช่ คืออยากให้มองในการใช้คำ เพราะก็มีหลากหลายรูปแบบคนที่ไม่หยาบคายก็มี พี่ตอม (Dif Kids) ก็แร็ปไม่หยาบคาย

Dif Kids: บางคนก็ชนะได้ด้วยคำที่สวยกว่า ไม่ใช้คำหยาบก็มี เลยทำให้คนอื่นมองว่าคิดได้ไงอะ คนทางบ้านรู้สึกแม่งคิดได้ไงวะคำนี้ คนก็เลยชอบ

การดิสแบทเทิล (Diss Battle) ซึ่งเรามักเห็นตามเวทีแข่งแร็ปมันเป็นอย่างไร

Dif Kids: การแข่งแบบดิสแบทเทิลพูดง่ายๆ คือแร็ปด่ากัน คนภายนอกมองว่ารุนแรง แต่พวกเรารู้กันอยู่ว่าเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร เหมือนกับการชกมวย ต่างคนต่างเจ็บตัวแต่สุดท้ายคือ กีฬา

สาดคำหยาบใส่กันขนาดนั้นมีวิธีการควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างไร

Dif Kids: ยอมรับว่าตอนแข่งบางทีก็มีโกรธบ้าง รู้สึกแบบ “ไอ่เ -ี้ ยมันด่าเราว่ะ” แต่ก็ไม่ได้โกรธจริงๆ เพราะว่าเราเข้าใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอแข่งจบ พอเราถอยมาก้าวหนึ่งก็รู้สึกว่ามันเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ส่วนมากมาเป็นเพื่อนสนิทกันหลังจากนั้นก็มี ทำเพลงด้วยกัน เยอะแยะเลย อย่างผม ไปแร็ปแบทเทิลกับเขาเสร็จ ออกมา “เฮ้ย ทำเพลงกันดีกว่า เราชอบอะ” คือได้สังคมใหม่ ได้เพื่อนใหม่ ไอ่คำหยาบนี่แหละพาเรามาเจอเพื่อนใหม่

D3: โกรธประเดี๋ยวประด๋าว ถ้าโกรธ จะโกรธที่รู้สึกว่าเราไม่มีโอกาสได้ตอบโต้แล้ว หมดบาร์แล้ว ซึ่งบางทีบางอย่างคำด่าจะจริงหรือไม่จริงบ้าง แต่ถ้าผมโกรธ แค่สองสามวันผมก็ลืมละ เหมือนที่แฟนเก่าลืมผม (หัวเราะ)

มีจำกัดตัวเองไหมว่าห้ามพูดหรือทำอะไรที่เป็นการล้ำเส้นอีกฝ่าย

Dif Kids: มีครับ ทั้งกายกรรมและวจีกรรม มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างความเหมาะสมและไม่เหมาะสมอยู่ ต้องไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้เขาทำอะไร เราก็ต้องห้ามใจตัวเอง ไม่ควรให้มันเกิดขึ้น เราก็บอกไม่ได้ว่าเกินเลยมันคืออะไร

D3: เราต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องเล่นแค่ไหน บางทีชัยชนะไม่ได้สำคัญขนาดให้เราไปทำร้ายคนอื่น

อะไรคือเกณฑ์การตัดสินแพ้ชนะของการแข่งขันดิสแบทเทิล ต้องหยาบกว่า ต้องสะใจกว่าหรือเปล่า

Dif Kids: เกณฑ์ง่ายๆ คือเสียงเชียร์ “เฮ” หรือคนดูชอบ ไม่จำเป็นเลยว่าต้องด่าเสมอไป บางคนชมจนอีกฝ่ายหนึ่งเขินแล้วชนะก็มี ไม่จำเป็นต้องหยาบเสมอไป

แต่ที่คนนิยมด่ากันด้วยคำหยาบบนการแข่งขันดิสแบทเทล เพราะว่าเป็นสิ่งแรกที่คนฟังแล้วเกิดเสียงเฮได้เลย แต่ถ้าเป็นคำชมคือ ต้องมาคิดก่อนว่าจะเฮดีไหม คนส่วนมากเลยใช้การด่าในการนำเสนอ

หมายความว่าเกณฑ์ตัดสินคือแล้วแต่คนชอบเหรอ

Dif Kids: ใช่ แล้วแต่คนชอบ แล้วแต่สไตล์ของเขา

แร็ปเปอร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคำนึงถึงตอนแพ้ บางคนแพ้ขึ้นมาก็พาตัวเองไปในจุดที่เฟลมากๆ รู้สึกแพ้มากๆ จุดนั้นจะเป็นจุดอันตรายของแต่ละคน บางคนถึงกับเลิกทำไปเลย

ที่เปรียบการแร็ปเหมือนการเล่นกีฬา แสดงว่าต้องมีความคาดหวังถึงชัยชนะ ถ้าผลออกมาแพ้มีวิธีคิดกับสิ่งนั้นอย่างไร

Dif Kids: มีครับ แร็ปเปอร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคำนึงถึงตอนแพ้ บางคนแพ้ขึ้นมาก็พาตัวเองไปในจุดที่เฟลมากๆ รู้สึกแพ้มากๆ จุดนั้นจะเป็นจุดอันตรายของแต่ละคน บางคนถึงกับเลิกทำไปเลย

ทุกการแข่งขันเราจะคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ พอไม่ได้ดั่งใจเราจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายจะคิดว่าการแข่งแบทเทิลคือกีฬา มีแพ้ มีชนะ มีอภัยสำคัญที่สุด ถ้าเราอภัยให้ฝั่งตรงข้ามได้ อภัยให้ตัวเราเองที่ทำได้ไม่ดีได้ วันนึงเราก็เริ่มใหม่ Go on

D3: ผมรู้สึกผิดหวังมากกว่า อย่างการไม่เข้ารอบ หรือแพ้ ผมเคยแพ้แบทเทิลครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ขึ้นเวทีอีกเลย เปลี่ยนเป็นแข่งออดิโออย่างเดียว ขึ้นเวทีแล้วรู้สึกตื่นเต้นไม่มั่นใจ

ก่อนขึ้นเวทีเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

Dif Kids: แน่นอนว่าเตรียมเรื่องที่จะด่าฝ่ายตรงข้าม เรื่องที่จะทำให้คนดูชอบเรา ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ต้องซ้อมระดับหนึ่งให้สามารถขึ้นไปแล้วไม่ยืนเอ๋อ ไม่หลุด

ไรม์ (คำกลอน เนื้อหาในการแร็ป) แบบไหนที่ใช้ประจำ

Dif Kids: ของผมจะเป็นแบบเปรียบเทียบ เช่น ‘มึงลองกลับไปคิดดูสักนิด หน้ามึงไม่ต่างกับพวกเนติวิทย์’ ชอบการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ สนุกดี ถือเป็นเอกลักษณ์ของผมเลยทุกรอบต้องมีเปรียบเทียบ

D3: เล่นมุกครับ ขึ้นอยู่กับว่าใช้กับใคร ต้องดูลักษณะดูท่าทางเขาก่อน จะเล่นเรื่องตลกเล็กๆ น้อยๆ เช่น เพลงที่ทำกับพี่ตอม (Dif Kids) ก็คิดคอนเซ็ปต์ก่อนว่าทำไมต้องชอบเรา ผมก็ ‘คบกับเรานี่แหละจะสบาย ดูดบุหรี่แบบนี้สามสิบปีผมก็ตาย ตายจริงก็เอาทรัพย์สินผมไปขายได้’

ตอนขึ้นเวที Rap is Now รอบไฟนอลออดิชั่น ระหว่าง Dif Kids กับ FXRD (ฟอร์ด) ทำไมต้องใช้คำดิสแบทเทิลกันรุนแรงบนเวทีขนาดนั้น

Dif Kids: แล้วแต่คนนะ บางคนก็ด่าเรื่องชีวิตประจำวันของอีกคนหนึ่ง บางคนก็ด่าเรื่องจดไหม (การเตรียมโพยมาบนเวที) สดไหมเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับผมช่วงเวลานั้นคือการแสดง ก่อนขึ้นเวทีผมยังคุยสนุกสนานกับน้องฟอร์ดอยู่เลย แต่พอขึ้นเวทีก็ฉะกันจริงจัง พอออกมาก็เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม สนุกสนาน

อย่าง HASSADIN (หัสดิน) ขึ้นแร็ปแต่ละทีเหมือนจะต่อยกัน

Dif Kids: ใช่ๆ ผมเจอหัสดินคนแรกเลยครับ ผมรู้สึกว่าแม่งมาว่ะแต่พอจบเกมก็ได้ไปคุยกับน้อง ซึ่งน้องก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร ไม่ได้จะฆ่าผมตลอด คุยกันเหมือนคนปกติทั่วไปคุยกัน

แร็ปแบบใช้คำสุภาพบ้างไม่ได้หรือ

Dif Kids: เดี๋ยวนี้แร็ปแบทเทิลไม่ใด้มีแค่แร็ปด่ากันแล้ว สมัยนี้เหมือนเขาเปลี่ยนรูปแบบ อยากให้สังคมยอมรับมากขึ้น มีทั้งแร็ปชม แร็ปสรรเสริญอีกฝ่าย ปีนี้จะได้เห็นอีกหลายๆ รายการที่แบทเทิลด้านบวก แบทเทิลเพลงรักก็มี แบทเทิลโชว์สกิลก็มี ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากและเป็นเรื่องที่น่าสนใจดี

การแข่งเหมือนเป็นเกม เหมือนเราเป็นนักมวย ปกติเขาก็ไม่ได้ไปต่อยคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่แล้ว ก็ต่อยเฉพาะบนเวที

หลายๆ คนพอลงจากเวทีแล้วก็เป็นอีกคนเลย

Dif Kids: ใช่ๆ อย่างน้อง OAK (โอ๊ค) ที่เป็นแชมป์ Rap is Now Season 3 ปกติเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก พูดเพราะ เคารพรุ่นพี่ พออยู่บนเวทีแม่งเอาตาย คือฆาตกร ซึ่งผมก็เคารพน้องนะ อยู่บนเวทีคีป (keep) ตัวเองได้ค่อนข้างดี

D3: อย่างเช่น RAFA (ราฟา) เป็นน้องที่เรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยม ซึ่งตอนนี้ก็ทำเพลงด้วยกัน เป็นเด็กที่รู้กาลเทศะ เคารพรุ่นพี่ เป็นที่รักของทุกคน แต่พออยู่บนเวทีก็จะตั้งใจ โฟกัสเรื่องที่อยู่ตรงนั้น

Dif Kids: ส่วนใหญ่ชีวิตจริงของแร็ปเปอร์ ตอนแข่งกับชีวิตจริงจะเป็นคนละคนกันเลย บางคน กลางวันช่วยพ่อแม่ขายของ ตกเย็นมาแข่งแบทเทิล เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป ไม่มีใครมานั่งด่ากันตลอดเวลา อย่างมาสัมภาษณ์ก็ไม่มีใครมานั่งด่ามึงอย่างงู้นอย่างงี้ การแข่งเหมือนเป็นเกม เหมือนเราเป็นนักมวย ปกติเขาก็ไม่ได้ไปต่อยคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่แล้ว ก็ต่อยเฉพาะบนเวที

แม้กระทั่งเพลงของ Dif Kids ที่ทำกับเพื่อนก็ต่างจากบนเวทีลิบลับเลยนะ ออกจะหวาน ว่าด้วยความรักแบบกุ๊กกิ๊กด้วยซ้ำ

Dif Kids: ร้อยละ 90 จะเป็นเพลงรัก รักมากๆ รักจนมดแดก รักแม่ รักเพื่อน รักแฟน แต่พอหลังๆ เมื่อเริ่มโตขึ้นก็อยากเล่าเรื่องกึ่งๆ ชีวิตบ้าง เช่น เล่าเรื่องอวดรวย มีฮิปฮอปเข้ามาบ้างซึ่งก็ทำร่วมกับน้องยีนส์ (D3) ด้วย เนื้อหาเพลงก็เล่าถึงชีวิตประจำวันของเราว่าเท่อย่างไรบ้าง อย่างเพลง ‘ไม่กล้าบอก’ ก็มาจากเรื่องของเราครับ ส่วนมากแร็ปเปอร์จะเล่าเรื่องตัวเอง เล่าเรื่องที่ตัวเองรู้สึก ซึ่งเพลงนั้นก็เป็นเพลงที่ผมรู้สึกและมีโมเมนท์ที่แอบชอบคนคนหนึ่งก็เลยแต่งมันขึ้นมา

เท่ากับว่าการเป็นแร็ปเปอร์คือการสร้างตัวตนอีกแบบหนึ่งของเรา ซึ่งมันมีตัวตนจริงๆ ของเราในนั้นบ้างไหม

Dif Kids: มีครับ ต้องมีอยู่ในนั้นไม่มากก็น้อย

D3: อย่างผมทำงานเครียด ผมก็หงุดหงิดงานแล้วผมก็ด่า อันนั้นก็อาจเป็นตัวตนที่ผมสร้างขึ้น

Dif Kids: เหมือนเรางัดด้านดาร์คไซด์ของเรามาเล่า ซึ่งปกติคนเราไม่ได้พูดเรื่องนี้ แต่เราสามารถพูดในเวทีที่เราไปแข่ง เหมือนงัดหยินงัดหยางมาพูด งัดด้านมืดเรามาพูด

D3: ดีนะผมไม่ค่อยมีด้านมืด (หัวเราะ)

การแร็ปแบทเทิลที่ใครๆ ก็พูดถึงคือในหนังเรื่อง ‘8 Mile’ พวกเราเป็นแบบนั้นไหม

Dif Kids: ผมคิดว่า ‘8 Mile’ ไม่เหมือนกับการแร็ปของไทย เพราะด่ากันเสร็จก็กลับไปด่ากันต่อ ไปยิงกันเลยก็มี ซึ่งมันตรงข้ามกับเมืองไทยว่าพอแร็ปกันเสร็จก็เป็นพี่น้องกันได้ แสดงให้เห็นความแตกต่างตรงนี้มากกว่า

แล้วรางวัลจากการแข่งขันแบทเทิลสำหรับพวกคุณคืออะไร

Dif Kids: สำหรับผมคือ คนกลับมาฟังเพลงเรามากกว่า ไม่คิดว่าจะต้องได้เงินไปต่อยอดในชีวิตประจำวัน แค่มีคนกลับมาฟังเพลงเรา มีคนติดตามผลงาน “เอ้ย ผมจำพี่ได้ พี่โดนด่าอย่างงั้น อย่างงี้” เราก็ดีใจแล้วที่เขาจำเราได้ในฐานะที่เราเป็นแร็ปเปอร์

D3: ผมแค่แร็ปก็ถือเป็นรางวัลแล้วครับ ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นมาก ปกติผมแร็ปอยู่บ้าน แร็ปกับเพื่อน แร็ปเล่นอยู่ทุกวัน

Dif Kids: แบบแค่แร็ปก็เป็นรางวัลชีวิตแล้ว

D3: ไม่ใช่หรอกพี่ ไม่มีคนฟัง (หัวเราะ)

โมเม้นท์ไหนที่ดีที่สุดสำหรับการแร็ปของคุณ

Dif Kids: ตอนนั้นนั่งรถไปกับพ่อแล้วได้ยินเพลงตัวเอง เพลง ‘ไม่กล้าบอก’ จากวิทยุ Seed Virgin HitZ เนื้อเพลงเกี่ยวกับความรัก การแอบชอบคนคนนึง

ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตั้งแต่เด็กแล้วอยากมีเพลงของตัวเองขึ้นวิทยุ แล้ววันนั้นที่ได้ยินครั้งแรกเป็นโมเมนท์ที่เราไม่ได้ตั้งตัวจริงๆ พอได้ยินแล้วรู้สึกแบบ “เฮ้ย แร็ปแม่งสร้างเราได้ว่ะ” แร็ปแม่งยังอยู่ในประเทศไทยได้ สู้กับเพลงป๊อปได้ (หัวเราะ)

D3: ส่วนผมชอบตอนที่คนจำคำพูดเราได้ จำไรม์เราได้ ไม่ต้องจำหน้าผมก็ได้ เช่น “รังสิตผมเดินมาหมดแล้ว เพราะผมไม่มีรถ” “ต้องยกมือไหว้เพราะกูยืนใกล้ศาล ไม่ได้เป็นนักมวย แต่กูเป็นเบาหวาน” อะไรแบบนี้ เดินเข้าซอยมามีแต่คนทัก เพื่อนทักผมก็โอเค ปกติหน้าตาผมไม่ค่อยมีคนทัก (หัวเราะ)

แบบนี้จะสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้หรือเปล่า

Dif Kids: ได้ครับ บางคนเป็นนักแร็ปแบทเทิลพอแข่งเสร็จ เขาจะมีคนฟัง มีคนชอบ ตามร้านอาหารหรือร้านเหล้าอยากได้ตัวไปเล่น คนแบบนี้ค่อนข้างเยอะ มันสามารถเกี่ยวโยงเป็นอาชีพได้ หลังแข่งแบทเทิลเสร็จ บางคนเลือกทำเป็นอาชีพหลักเลยก็มี

ปลายทางของคนทำเพลงแร็ปของคุณคืออะไร

Dif Kids: สำหรับผมคือความสุข บอกไม่ได้ว่าความสุขมาจากอะไร บางคนความสุขมาจากการชนะ บางคนมีความสุขจากการได้ขึ้นโชว์ แต่สำหรับผมไม่รู้เลยว่าความสุขคืออะไร บางทีแร็ปแล้วมีเด็กห้าขวบเดินมา “พี่ครับผมขอถ่ายรูปหน่อย” เออแม่งคือความสุขแล้ว แค่นั้นเอง เราอยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบฮิปฮอปก็พอแล้ว

D3: ปลายทางคือมีความสุขครับ ใจผมถ้าการแร็ปสามารถทำงานให้ผมได้พอสมควร ผมก็ออกมาทำแล้ว ประเด็นคือ ทุกวันนี้มันยังต้องกินต้องใช้ ยังต้องเหนื่อยอยู่ (หัวเราะ)

เช่นนั้นแล้วอาชีพหลักของคุณตอนนี้คืออะไร

Dif Kids: ทำเกี่ยวกับเพลงครับ เป็นครีเอทีฟของค่ายเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว

D3: ผมเป็น consult เกี่ยวกับสถาปนิกครับ

Dif Kids: แต่ถ้าอยู่บ้านล่ะ?

D3: คนเศร้า (หัวเราะ)

ตอนแบทเทิลผมไม่อยากให้ฟังเลย อยากแชร์หน้าวอลแล้วตั้งให้พ่อแม่ไม่เห็นมากๆ กลัวเขาไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าเขาฟังหรือเปล่านะ แต่ไปเห็นแม่เมนท์ใต้คอมเมนท์ว่า “Dif Kids สุดยอดเลย” ซึ่งในนั้นแบบด่าว่า “ไอ้สัส” “ไอ้เหี้ย” เต็มไปหมดเลย

พ่อแม่เคยฟังเพลงแร็ปของเราหรือเปล่า

D3: ผมอยู่กับย่า ถ้าเป็นแทร็คแข่งจะไม่ฟัง เปิดปุ๊บย่าเดินไปนอนเลย ถ้าเป็นแทร็คเพลงก็ฟังไม่ทัน เปิดอยู่สามสี่รอบ เขาก็บอก “อือๆ ก็ดี”

Dif Kids: ตอนแบทเทิลผมไม่อยากให้ฟังเลย อยากแชร์หน้าวอลแล้วตั้งให้พ่อแม่ไม่เห็นมากๆ กลัวเขาไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าเขาฟังหรือเปล่านะ แต่ไปเห็นแม่เมนท์ใต้คอมเมนท์ว่า “Dif Kids สุดยอดเลย” ซึ่งในนั้นแบบด่าว่า “ไอ้สัส” “ไอ้เหี้ย” เต็มไปหมดเลย

แต่พอผมถอยมาก้าวหนึ่งคิดว่าเขาคงเข้าใจแหละ จากตอนแรกที่ไม่กล้าส่งให้เขาฟัง หลังๆ พอเราไปแข่งเราก็กล้าส่งให้เขาฟังบ้าง เขาเข้าใจกระบวนการทำงานของมัน สุดท้ายก็เป็นแค่เกม พ่อแม่ก็ฟัง และเขาก็แชร์เองด้วย จริงๆ ไม่อยากให้แชร์เท่าไหร่ เขินญาติพี่น้อง (หัวเราะ)

การเข้ามาสู่วงการนี้ พ่อแม่เป็นห่วงไหม

Dif Kids: เป็นห่วงๆ เขาคอยถามว่า คนนั้นโกรธไหม คนที่แร็ปด้วยกันโกรธหรือเปล่า ไปด่าเขาอย่างนั้นพ่อแม่เขาจะว่าอย่างไร

ครอบครัวมีส่วนทำให้เรามีความมั่นใจที่จะเป็นแร็ปเปอร์มากขึ้นไหม

Dif Kids: ให้เราในด้านกำลังใจมากกว่า อย่างน้อยบางงานคนอาจจะไม่ชอบเราทั้งสตูฯ เลยก็ได้ แต่มีแม่มาบอกเราว่า “ตอมเก่งนะ” ก็ทำให้เรามีกำลังใจไปต่อ

เราเห็นพัฒนาการของวงการแร็ปบ้านเราอย่างไรบ้าง ตั้งแต่แร็ปเปอร์ใต้ดินจนถึงบนดิน

Dif Kids: ผมมองว่าเด็กทั่วไปมีโอกาสมากขึ้น วันหนึ่งโอกาสก็อาจมาอยู่ที่เราก็ได้ ปัจจุบันมีแร็ปเปอร์จำนวนมากที่ดันตัวเองจาก underground ขึ้นมาเป็นสื่อกระแสหลักได้

แต่แร็ปมันยังไม่แมสขนาดนั้น เราไม่สามารถไปแร็ปร้านเหล้าได้ทุกร้านเหมือนนักดนตรีปกติ ต้องเป็นเฉพาะกลุ่มวันนั้นหรืออาจเป็นอีเวนท์ คิดว่าวันหนึ่งแร็ปจะกลับมาได้ กลับมาแบบทุกคนอยากฟังแร็ปทุกวัน

D3: สมัยก่อนยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ผมฟังแร็ปตั้งแต่ตอนนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าจะฝึกอย่างไร ต้องทำอะไร สมัยนี้กว้างไปหมด ใครๆ ก็สามารถแร็ปได้แล้ว มีเด็กแร็ปมากมายเกิดขึ้นในวงการนี้ มีทั้งกระแสหลักและกระแสรอง เช่น เพลงต้องเป็นแนวนี้ถึงจะเป็นที่นิยมในตอนนี้ ผมว่ามันก็วนๆ กันไป ถึงจะดูเหมือนว่าช่วงนี้บูมขึ้นจริงๆ แต่สุดท้ายแล้วก็จะเหลือแต่คนที่รักมันครับ

มีความคิดเห็นอย่างไรถ้าเด็กๆ อยากจะมาเป็นแร็ปเปอร์บ้าง โดยเฉพาะถ้ามองเรื่องท่าทีความกังวลของคนในครอบครัว

D3: ผมอิจฉาคนที่เริ่มตั้งแต่เด็กนะครับ แต่ถ้าถามว่าพ่อแม่จะว่าอย่างไร ถ้าเป็นพ่อแม่สมัยก่อนอาจจะแอนตี้ แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถห้ามเด็กได้หรอก เราเริ่มเร็วก็ดีเป็นตัวเราเอง แต่ว่าอย่าเอาตัวเองบนเวทีไปพูดกับพ่อแม่ การมีกาลเทศะสำคัญที่สุด

Dif Kids: แม่ก็บ่นนะว่าทำไมต้องหยาบคายขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็มาถามเราว่าเป็นไงลูก สนุกไหม คือผู้ใหญ่สมัยนี้ค่อนข้างเข้าใจเรานะ

ถ้ามีเจตนาที่ดี ผมว่าผู้ใหญ่สมัยนี้ก็เข้าใจนะ ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกทำสิ่งที่เขาชอบหรอกครับ ถึงแม้จะเป็นการด่ากัน แต่ถ้าเราลองมองดีๆ มันก็เป็นการเฉือดเฉือนด้วยถ้อยคำ ใช้คำหยาบแค่โมเมนท์นั้น ถ้าในชีวิตประจำวันเขาไม่ใช้ก็โอเค

Dif kids: สำหรับผมแค่อยากให้น้องคนที่อยากจะเป็นแร็ปเปอร์กลับไปถามตัวเองก่อนว่า คุณอยากเป็นแร็ปเปอร์จริงหรือเปล่า หรือแค่อยากมีชื่อเสียง อยากมีตัวตนในกลุ่มเพื่อน ผมว่าถ้าชอบจริงๆ ก็ทำแม่งเลย ชอบก็ทำ ถ้าเกิดเราชอบจริงๆ เดี๋ยวก็มีคนเห็นเราเอง

Tags:

ดนตรีRapperวัยรุ่นศิลปิน

Author:

Related Posts

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Voice of New Gen
    เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

ไม้เรียวในมือครูพันธุ์ใหม่ ที่ใช้ฟาดจิตใจตัวเอง
Unique Teacher
21 February 2018

ไม้เรียวในมือครูพันธุ์ใหม่ ที่ใช้ฟาดจิตใจตัวเอง

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • โลกจริง การเป็นครูมีความสิ้นหวังซ่อนอยู่ไม่น้อย แต่ตราบใดที่ยังมีนักเรียนนั่งอยู่ในห้อง วงคุยครั้งนี้พอจะตอบได้ว่า ครูสอนไปเพื่ออะไร คิดอย่างไรจึงมาสอนหนังสือ
  • วงคุยครูรุ่นใหม่ไฟแรงเฟร่อ เท้าความประวัติศาสตร์การกำเนิดอาชีพครู กระทั่งการเป็นครูรุ่นใหม่ที่จะใช้อำนาจคุมห้องเรียน หรือจะยึดหลักว่า ‘เด็กก็เป็นครู ครูก็เป็นเด็ก’
  • นิยามครูรุ่นใหม่คืออะไร, หลักสูตรครูทันสถานการณ์โลกหรือไม่, Active Learning ดีจริงหรือ และ การศึกษาปราศจากการเมืองแน่หรือ เหล่านี้คือสิ่งที่ครูพันธุ์ใหม่ล้อมวงคุยกันอย่างดุเดือด

ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ เราต่างเคยเป็นนักเรียนมาก่อน เป็นมาก่อนที่จะตั้งคำถามด้วยซ้ำว่า “ทำไมถึงต้องเรียนหนังสือ” หรือ “เรียนไปเพื่ออะไร” รู้ตัวอีกทีก็นั่งจับดินสอปากกา ข้างหน้าคือกระดานดำ นอกจากเพื่อนร่วมห้องหลายสิบชีวิต มนุษย์หนึ่งคนหลักๆ ที่คอยกำกับการสอนเรื่องราวทางวิชาการที่ดีไซน์มาแล้วว่า ‘นักเรียน’ สมควรต้องรู้

เราเรียกพวกเขาและเธอว่า ‘คุณครู’

กลุ่มพลเรียน กลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อถกเถียงและตั้งคำถามในประเด็นการศึกษาและสังคมจัดเสวนาหัวข้อ ครูรุ่นใหม่ไฟแรงเฟร่อ: ความท้าทายของครูรุ่นใหม่ในระบบการศึกษาแบบเดิม ขึ้นเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ ร้าน Book Re:public จังหวัดเชียงใหม่ โดยเชิญผู้ร่วมเสวนาที่เป็นคุณครู 3 คนที่ทำงานในสังคมครูที่แตกต่างกันไป คือ ครูคิน-ภาคิน นิมมานนรวงศ์ ครูสังคมศึกษาจากโรงเรียนกําเนิดวิทย์, ครูมะนาว-ศุภวัจน์ พรมตัน ครูภาษาไทย โรงเรียนนครวิทยาคม เจ้าของเพจอะไรอะไรก็ครู และครูนิว-พีระศิน ไชยศร โรงเรียนกวดวิชาภัทรพล กรุงเทพมหานคร และสมาชิกกลุ่มพลเรียน มาร่วมถกเถียง, สุมไฟ และแลกเปลี่ยนความท้าทายของไม้เรียวที่ครูต้องใช้ฟาดจิตใจตัวเอง

น้ำเสียงของครูๆ ท่านก็เรียบๆ แต่คอนเทนต์และความในใจก็ร้อนดังไฟเย่อสมกับชื่อหัวข้อเสวนา ‘ไฟแรงเฟร่อ’ จริงๆ

ก็ใช่ ในโลกแห่งความเป็นจริง การเป็นครูมีความสิ้นหวังซ่อนอยู่ไม่น้อย แต่ตราบใดที่ยังมีนักเรียนนั่งอยู่ในห้อง การเสวนานี้ก็ตอบคำถามได้ส่วนหนึ่งว่า

ครูสอนไปเพื่ออะไร หรือ คิดอย่างไรถึงได้มาสอนหนังสือ

จากซ้ายสุด พิธีกร, ครูนิว พีระศิลป์, ครูมะนาว ศุภวัจน์ และครูคิน ภาคิน

นิยามของครูรุ่นใหม่

ย้อนกลับไปที่สมัยสังคมไทยเริ่มเห็นความสำคัญของระบบการศึกษา หา “ครู” มาเป็นผู้รู้เฉพาะทางเพื่อสอนคนในสังคมให้มีความรู้ความสามารถในด้านนั้นๆ ให้ดีขึ้น ครูคินเลคเชอร์ย้อนกลับไปในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นถึงรัชกาลที่ 5 ว่าครูมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

“มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการกระจายตัวของการศึกษาและการผลิตครูในยุคปัจจุบัน คือชนชั้นนำเริ่มเห็นว่าหากคนแต่ละคนไม่ได้รับการศึกษาอย่างที่ควรจะได้จะทำให้เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นจึงมีการผลักดันให้เกิดการศึกษา การก่อตัวของโรงเรียน เพียงแต่ช่วงแรกมักจะเป็นการศึกษาที่เน้นไปตามพื้นเพของแต่ละคน เช่น ถ้าเป็นสามัญชนก็ควรเรียนเรื่องเกษตรกรรม หัตถกรรม ชนชั้นปกครองจะเรียนอย่างอื่น เช่น วิชาคณิตฯ วิทย์

“สิ่งที่น่าสนใจคือสักประมาณ พ.ศ. 2420-2440 เป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นนำของสยามเริ่มรู้แล้วว่าองค์ความรู้ที่มีอยู่ในสังคมเดิมไม่พอสำหรับการสร้างระบบราชการที่ดี ที่น่าสนใจคือการนำความรู้เกี่ยวกับการแบ่งช่วงวัยของมนุษย์ใหม่มาใช้ เขาพบว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่สังคมไทยยังเป็นแบบนี้อยู่เพราะว่าการศึกษาให้กับแต่ละคนไม่ถูก ครูถึงต้องรู้ว่าเด็กถึงแม้จะหน้าตาเหมือนๆ กัน หากแต่ละคนมีข้างในไม่เหมือนกัน

“นี่เป็นจุดเริ่มต้นแรกๆ ที่ทำให้เกิดครูที่เราเห็นในเซนส์ปัจจุบัน รัฐเริ่มต้องการใครบางคนที่ให้การศึกษากับประชากร มีความสามารถพิเศษสามารถมองเห็นข้างในจิตใจของเด็กได้ ฉะนั้นพอสัก พ.ศ. 2460-2470 จึงเริ่มมีหนังสือเขียนว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าใจบุตรของท่าน

“ครูกลายเป็นคนกลุ่มใหม่ที่รู้ว่าเด็กเป็นคนอย่างไรมากกว่าตัวพ่อแม่เอง เด็กไม่ได้เป็นแค่แรงงานในครอบครัวเท่านั้น แต่เด็กเริ่มถูกดึงเข้าสู่สถาบันการศึกษาเพราะรัฐเริ่มเห็นว่ามันสามารถนำไปสู่ผลประโยชน์ระยะยาวได้ จึงมีเทรนด์การต่อสู้ระหว่างผู้ปกครองที่ไม่ค่อยอยากได้เด็กเรียนเพราะไม่แน่ใจว่าเรียนไปทำไม กับครูที่อยากทำให้เด็กไปเรียนหนังสือเพราะรู้ว่าถ้าปล่อยให้เด็กไปอยู่ในมือผู้ปกครองเฉยๆ เด็กจะไม่มีทางพัฒนาแน่

“การต่อสู้นี้ก็ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

เรารู้สึกว่าเด็กหลายคนไม่ตั้งใจเรียน บางทีเหตุผลมันอาจจะคล้ายกับเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วคือ เขาไม่เห็นว่าการศึกษามันให้ประโยชน์อะไรกับเขา

จบคลาสประวัติศาสตร์การกำเนิดอาชีพครูของอดีตนักวิจัยภาคินไว้เพียงเท่านี้ก่อน ตัดภาพมาในยุคปัจจุบัน เมื่อถามถึงคำนิยามของครูรุ่นใหม่ เรามักจะนึกถึงบัณฑิตจบใหม่เอี่ยมอ่อง เพิ่งเข้าบรรจุและเข้าระบบโรงเรียน แววตามั่นคงพร้อมเปลี่ยนแปลงปฏิรูป แต่ครูมะนาว ศุภวัจน์ ที่เรียนจบครูมาโดยตรงเองก็ให้ข้อสังเกตว่า ครูต้องอัพเดทตัวเองตลอดเวลาให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ครูต้องไม่ตกรุ่น จึงไม่มีคำว่าเก่าหรือใหม่ในความหมายของการเป็นครู

“ผมมองว่าครูรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นครูหนุ่มสาวเสมอไป วิธีคิดและมุมมองต่างๆ ต่างหากที่ควรใหม่ เขาหรือเธออาจจะทำงานในโรงเรียนมายี่สิบสามสิบปีแล้วก็ได้ แต่ต้องปรับวิธีคิดมุมมองให้กับยุคสมัยปัจจุบัน ที่สำคัญคือต้องมองเด็กนักเรียนให้เท่ากับเรา ไม่มีอำนาจเหนือกว่า”

ครูนิว พีระศิน ผู้กำลังจะม้วนตัวเข้าไปในระบบการเป็นครูของรัฐกล่าว เขาเคยผ่านการสอนมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งหลักสูตรการสอนเฉพาะบุคคล, โรงเรียนกวดวิชา หรือการเป็นครูในโรงเรียนวิถีพุทธแนวใหม่

“ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยครับ เพราะไม่รู้สึกว่าการเป็นครูจะมีเซนส์ของความเป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ในความหมายไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าหรือไม่ ครูต้องมีคาแรคเตอร์ที่เสริมให้เป็นครูที่ดีได้ ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ต้องการแสวงหาความรู้ตลอดเวลา รักที่จะถ่ายทอดให้เด็กๆ มีความถูกได้ผิดได้ มีความเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจของการเป็นครู”

ครูคิน จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ เพิ่งเข้ามาสอนวิชาสังคมศึกษาเกือบจะครบ 1 ปี เขาไม่เคยมีประสบการณ์การเรียนครู หรือเป็นครูโรงเรียนมัธยมมาก่อน และเรียนจบปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ แต่มีมุมของนักวิจัยมาให้ข้อสังเกต

นิยามของครูแต่ละคนฟังดูหล่อ มีความหรูดูดีและมีอนาคต แต่เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันของการเป็นคุณครู หรือกระบวนการการผลิตครูทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตัวของครุูเองจะต้องเผชิญหน้ากับห้องเรียนขนาดใหญ่ที่เข้มงวด และกวดขันด้านการตั้งคำถามเสมือนว่ามีการสอบย่อยเก็บคะแนนทุกวันจากข้อสอบ unseen หากเพื่อนร่วมงานใช้วิธีการสอนที่ไม่ส่งเสริมให้เด็กตั้งคำถาม ครูจะเข้าไปแก้ไขปัญหานี้อย่างไร หรือหากนักเรียนส่งการบ้านแบบไม่ตั้งใจ ครูจะใช้ไม้เรียวหรือดุด่าเด็กเพื่อแก้ปัญหาหรือไม่ ที่สำคัญคือครูต้องตรวจเองเฉลยเองเอาตามสถานการณ์

  • ครูมะนาว ศุภวัจน์ และครูคิน ภาคิน
  • ขวา ครูนิว พีระศิลป์

Active Learning ถ้าคอนเทนต์ไม่แน่น สุดท้ายคือการเล่นจบที่สนุก

“จากประสบการณ์ที่เป็นครู 5  ปีรุ่นแรกจนถึงทุกวันนี้เรายังไม่มั่นใจเลยว่าการเพิ่มระยะเวลาการเรียนครูจาก 4 ปี เป็น 5 ปีมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามีชั่วโมงที่ต้องไปฝึกประสบการณ์ในโรงเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เรายังไม่พบวิธีการที่ดีที่สุดในการสอนนักเรียนเลย

“ในความเป็นจริง เราจะพบว่าแผนการสอนที่ในโรงเรียนฝึกสอนเป็นอีกวิธีซึ่งต่างกับที่เรียนมา พอจบออกมาเป็นครู ก็จะเจอบันไดห้าขั้น และหลักสูตรต่างๆ เราเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยพยายามอัพเดทหลักสูตรแล้ว แต่ข้างนอกอัพเดทบ่อยมาก การที่มหา’ลัย จะสร้างหลักสูตรผลิตครูขึ้นมาใช้สอนจึงไม่ทันกับที่ครูต้องใช้จริง เราเลยต้องเรียนรู้ใหม่หมด”

ครูมะนาวเสริมว่า ครูจบใหม่ต้องพยายามที่จะหาวิธีการสอนที่ลงตัวให้กับระบบวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่ครูอยู่ ถ้ารู้สึกเอเลี่ยนหน่อยก็อาจจะต้องขวนขวายหนักๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงโมเดลการสอนให้ใช้ได้และอยู่ได้ ก่อนที่ครูนิวจะปิดท้ายว่า

“คิดว่าปีที่ให้ฝึกสอน ควรจะต้องมีอาจารย์ประจำคณะเข้าไปติดตามดูว่าการสอนของเราเป็นยังไงบ้าง เพราะพอจบไปเป็นครูจริงๆ แล้ว โอกาสที่จะมีคนมานั่งดูเราสอนนั้นน้อยมาก กลายเป็นว่าครูมือใหม่ต้องแก้ปัญหาตามความรู้สึก หรือประสบการณ์ที่เราเคยเจอมาในอดีต ซึ่งบางทีมันคือการนำอำนาจมาใช้ ผมมองว่าบทบาทของมหาวิทยาลัยที่ผลิตครูควรดูตรงนี้มากขึ้น

“ยิ่งเป็นครูรุ่นใหม่ความท้าทายก็ยิ่งเยอะ สิ่งแรกคือความท้าทายต่อความผิดพลาด หลายคนยังมองว่าเมื่อเราไปสอน ครูต้องเป๊ะทุกอย่าง ผิดพลาดไม่ได้ นักศึกษาครูจะถูกปลูกฝังเลยว่า ‘ถึงคุณฝึกสอน แต่นักเรียนไม่ได้มาฝึกเรียนกับคุณ’ ผมรู้สึกจุกเหมือนกันว่าแล้วเราผิดอะไรได้บ้าง มันเลยกลายเป็นความกดดันและท้าทาย

“ตอนผมไปสอนปีแรกนี่ผิดพลาดมากมาย แต่เราต้องยอมรับตัวตนให้ได้ก่อน เช่น ยอมรับว่าครูฝึกสอนก็คือฝึกสอน เราผิดพลาดได้ นักเรียนรุ่นนี้อาจจะได้รับสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเรานำจุดตรงนี้มาปรับปรุงแก้ไขแล้วพัฒนานักเรียนรุ่นต่อไปให้กลายเป็นวิธีการสอนที่มีโมเดลที่ใช้กับเด็กๆ ได้ต่อไป เพราะเราเป็นแค่คนคนหนึ่ง ทุกคนเป็นครูกันคนละอย่าง เด็กก็เป็นครูเหมือนเรา เราก็เป็นครูเหมือนเด็ก”

นอกจากเรื่องปรับใช้การสอน สิ่งที่ถูกสอนมา และสิ่งที่ต้องสอนกับเด็ก ตัวอย่างโมเดลแห่งการคัดง้างระหว่างการสอนที่ครูชอบกับสิ่งที่ถูกบอกว่าควรสอน คือ Active Learning ที่หลายโรงเรียนกำลังเน้นให้เด็กเรียนสนุก ลุกนั่งสบาย ครูคินบอกว่านี่คือตัวอย่างของปัญหาการ ‘บอกให้สอน’ ที่ควรถูกตั้งคำถาม

“ขณะที่กระแสโลกพยายามบอกว่าเลคเชอร์ห่วย Active Learning ดีกว่า หลายครั้งครูเลยถูกบีบให้ทำมากที่สุดโดยที่ไม่มีคำถามหรือคำตอบในใจว่ามันทำไปเพื่อให้เด็กเห็นอะไร โอเคมันสนุก แต่ผมคิดว่าเราไม่ได้สนใจทุกอย่างที่สนุกบนโลกใบนี้

“Active Learning จะเวิร์คต่อเมื่อคุณมีโจทย์บางอย่างที่พร้อมจะบอก แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่แน่น สุดท้ายคือการเล่นแล้วจบที่ความสนุก แล้วเด็กก็ไม่เก็ตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกันเลคเชอร์ที่ดีก็เป็นไปได้ แทนที่คุณจะเล่า ก็ถามสิ เตรียมมาอย่างดีว่าจะสอนอะไร ผมได้ข้อสรุปมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งว่าเลคเชอร์ที่ได้ผลคือ มีการถาม พอเด็กตอบเราถามกลับว่าแน่เหรอ จริงเหรอ เราเสนอคำตอบที่เด็กไม่เคยคิดให้ ทำเหมือนว่ามันถูก ถ้าทำอะไรให้เป็น dialectic (การถกเถียง โต้แย้ง) แต่…จริงเหรอ เด็กจะคิดตามเรื่อยๆ แต่ถ้าเรามีคำตอบตายตัว เด็กทุกคนจะฟังและจำ นั่นก็ถือว่าเป็นเลคเชอร์ที่ห่วย

“หลายครั้ง Active Learning ในตัวมันเองไม่ได้ดีเสมอไป แต่ในทางกลับกันคือ การที่เด็กฟังแล้วคิดตาม สนุกแล้วจด นี่คือโคตร active เลย”

ครูมะนาว ศุภวัจน์ และครูคิน ภาคิน

ครู vs นักเรียน: นี่คือการดีลกันระหว่างมนุษย์

ครูนิวบอกต่อว่า เป็นครูก็ถูกผีสิงได้ ผีตัวที่ว่ามีชื่อแบบเหมารวมว่า ‘อำนาจ’ จัดการได้ไว จริง ฉับพลัน เห็นผลชัดเจน เหมือนหลอกผีเด็กได้จริงว่าควรหรือไม่ควรทำสิ่งใดโดยใช้วิธีการบังคับให้ทำตาม

“ตอนเรียนครูมีความคิด ความฝัน วาดภาพไว้ว่าจะเป็นครูอย่างไร แต่เข้าไปสอนแรกๆ ปุ๊บมีผีอะไรสักอย่างสิงอยู่ในตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย คิดว่าถ้าเราคุมห้องเรียนไม่ได้ เราจะทำยังไงดี วิธีการที่เร็วที่สุดก็คือการใช้อำนาจ ลงไม้ลงมือกับเด็กบ้าง ยึดของนู่นนี่เหมือนครูที่เราเคยเจอมาแล้วไม่ชอบเลย แต่เรากลับทำซะเอง สุดท้ายก็มานั่งคิดว่าเราเป็นอะไรไป เลยพยายามตั้งสติมากขึ้น ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงการสอนโดยที่เราไม่ต้องใช้ความรุนแรง ซึ่งพบว่ายากมาก ไม่เห็นผลชัดเจน และมีความคิดในใจเสมอว่าอยากกลับไปทำแบบเดิม แต่พอเราพยายามยับยั้งและลดพฤติกรรมลงมาเรื่อยๆ จนครบหนึ่งปี ก็รู้ว่ามันใช้ได้เหมือนกัน เราไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรืออำนาจเลย”

“เราไม่จำเป็นต้องคว้าไม้เรียวมาฟาดอย่างเดียวเพราะเราก็เป็นมนุษย์เหมือนเขา แน่นอนมันมีหลายจังหวะที่รู้สึกอยากซัดเหลือเกิน แต่ท้ายที่สุดถ้าเราตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะสามารถสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมได้ถ้าเราคิดว่านี่คือการดีลกันระหว่างมนุษย์”

ภาคินตั้งข้อสังเกตและเสริมว่า

“ผมว่าครูในปัจจุบันเผชิญกับโลกที่ต่างกับสมัยที่เราเป็นเด็ก เพราะการเข้าถึงเทคโนโลยีมันง่ายมาก ครูเจอความท้าทายว่าเราจะรับมือกับเด็กที่ไม่ใช่เด็กน้อย เขาไม่ได้มาตัวเปล่าพร้อมกระดาษปากกา และพร้อมจะฟังเราอีกต่อไป แต่เข้ามาพร้อมมือถือ คอมพิวเตอร์

“ถ้าเขาไม่ฟังเราหรือคุยกับเพื่อน เขาก็อยากเล่นเกมแล้ว ครูเผชิญกับโจทย์ที่ว่าตกลงเทคโนโลยีเป็นศัตรูของเราหรือไม่ เราต้องจัดการอย่างไร หรือถ้าเป็นครูรุ่นที่ไม่ได้โตมากับเทคโนโลยี หลายครั้งที่เราเห็นเด็กจับมือถือ เราจะคิดว่าเด็กเล่นเกม เมื่อเขาเปิดคอมฯ เขาต้องทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเราแน่เลย

“ซึ่งผมคิดว่าเราไม่เอาตัวไปคลุกคลีกับโลกแบบที่เด็กอยู่ มือถือหรือคอมพิวเตอร์เปิดขึ้นมามันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง คงมีเด็กที่เล่นเกมนั่นแหละ แต่หลายทีที่ผมเห็นคือเด็กจดเลคเชอร์โดยใช้ Google Doc ที่แชร์เอกสารกันได้ แต่ละคนเข้าอีเมล เปิดไฟล์ ช่วยกันพิมพ์แล้วแชร์ออนไลน์ เขาใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำงาน ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักโลกของคนที่เรากำลังดีลอยู่ เราก็จะดีลกับมันผิดวิธี”

นอกจากการสอนที่ต้องแก้ปัญหาหน้าฉากหลังฉากตลอดเวลา ครูมะนาวยังโยนประเด็นเรื่องการจัดการที่ทางของตัวครูในสังคมที่ครูอยู่ เป็นความท้าทายอีกหนึ่งด่านที่ซับซ้อน

“เวลาครูท่านอื่นๆ ไม่ได้สอนวิธีเดียวกับเรา เราจะเข้าไปเปลี่ยนตรงนี้ เพราะเชื่อมั่นในวิธีการของเรา หรือคิดว่าของครูท่านอื่นดีกว่า เราจะอยู่อย่างไรในระบบการศึกษาที่ไม่ได้แตกต่างกันแค่ผู้เรียน แต่ต่างกันที่ผู้สอนด้วย ทำยังไงให้เกิดการแลกเปลี่ยน ไม่ใช้อีโก้ในแนวทางของตัวเอง

“ในทางกลับกัน การรวมกลุ่มกันของครูก็ช่วยเยียวยาได้พอสมควร การมีเครือข่ายในสังคมออนไลน์ หรือการแลกเปลี่ยนกันระหว่างครูกันเองมันช่วยเยียวยาได้ ยังมีคนที่มีความเชื่อเหมือนเราว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงนักเรียนโดยไม่ใช้อำนาจได้ หรือเปลี่ยนแปลงวิธีสอนของเราได้ มาให้พลังและพบเจอกัน แล้วยังให้แนวทางด้วยถ้าเราเห็นว่าวิธีของเขามันเวิร์ค ไม่ต้องเล่นใหญ่ทุกคาบ

“ดังนั้นการจะอยู่ในโรงเรียนไม่ใช่การอยู่เป็น เพราะมันจะทำให้ไฟของเราลดลงไปเรื่อยๆ แต่นโยบายส่วนตัวในการเป็นครูของเราต้องไปให้ถึง หมั่นถามตัวเองตลอดเวลาว่าเรามาเป็นครูทำไม คำถามนี้มันจะช่วยดึงเรากลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

การเมืองเรื่องการศึกษา จบลงที่ว่า “อะไรๆ ก็ครู”

คำถามง่ายๆ คือ การเป็นครูนี่การเมืองไหม

“ผมคิดว่าครูในปัจจุบันหลายๆ คนที่รู้จักคิดว่าสิ่งที่เขาสอนอยู่เป็นกลาง เป็นความรู้ที่ถูกต้องอยู่แล้ว ไม่มีการเมือง ไม่มีประวัติศาสตร์อยู่ในนั้น แต่ลืมไปว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมืองชิ้นดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงสังคม

“การศึกษาไม่เคยเป็นเรื่องที่เป็นกลาง เราไม่ได้เรียนทุกเรื่องในโลกนี้ถูกไหม ครูถูกบอกว่าควรหรือไม่ควรสอนอะไร ฉะนั้นผมว่าครูไม่เห็นว่าการศึกษาเป็นเรื่องการเมือง พอเราพูดถึงปุ๊บ

การเมืองจะถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ครูต้องผลิตคนให้เป็นคนดี โห การผลิตคนให้เป็นคนหรือพลเมืองดีนี่โคตรการเมืองเลยนะ

“เพราะคนดีมีนิยามบอกว่าต้องดีอย่างไรบ้างสิบอย่าง ผมจึงอยากจะเชียร์ให้คณะที่ผลิตครูโดยตรงเอาเรื่องแบบนี้เข้าไปสอนว่าสิ่งที่ครูทำอยู่มันคือเรื่องของการเมือง เราดีลกับชนชั้น อำนาจ อะไรคือความดีไม่ดี และการพัฒนาคนให้เป็นแบบใดแบบหนึ่ง” ครูคินเริ่มประเด็น

ครูนิวยังเสริมต่อว่าครูหลายคนไม่เคยมองเลยด้วยซ้ำว่าการสอนหรือการดำรงอาชีพครูนั้นมันเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร

“ผมเคยไปเวิร์คช็อปและพบว่าครูมองการศึกษาเป็นบวกหมดเลย เป็นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ยกระดับคุณภาพชีวิต โดยที่แต่ละคนไม่เคยมองเลยว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร ตัวครูเองมองว่าการมีอำนาจเท่ากับว่าสามารถจัดการกับนักเรียนที่อยู่ในระดับล่างกว่าเรายังไงก็ได้

“แต่ว่าเราไม่ได้มองว่าในตัวเราอยู่ในตำแหน่งไหน เรายังมีเพื่อนครูด้วยกัน กฎระเบียบ ผู้มีอำนาจ ผู้ปกครอง มันมีความสัมพันธ์กันหมดเลย และครูจะมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือได้รับความเชื่อถือสูงจากคนในสังคม เวลาพูดอะไรไปเด็กเชื่อ ครูไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นผู้ให้ ชุบชีวิตเด็ก แต่เราควรมองกลับไปว่าเบื้องหลังของเราอีกที เราเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่โครงสร้างข้างบนพยายามชักใยว่าเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ที่คนด้านบนต้องการ”

การเป็นตัวของตัวเองในฐานะครูจึงอาจจะเริ่มจากการจัดตั้งไอเดียหรือกลุ่มง่ายๆ เหมือนกับครูมะนาวที่เปิดเพจ “อะไรๆ ก็ครู” มาเพื่อตอบสนองโจทย์ที่สังคมคาดหวังต่อครูสูงมาก

“สังคมภายในมองว่าครูต้องทำตามนโยบาย ปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายของรัฐ สังคมนักเรียนก็มองว่าครูต้องสอนสนุก เข้าใจ ซึ่งมีความคาดหวังที่หลากหลายมาก แล้วการเป็นครูรุ่นใหม่เหมือนเป็นตรงกลางระหว่างครูที่คิดว่าตัวเองยังมีอำนาจในชั้นเรียน และรุ่นใหม่ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาไทย

“เราจึงเป็นทุกข์กับสิ่งที่โดนคาดหวังมาโดยที่ไม่รู้ตัว รวมถึงสิ่งที่ตัวครูเองคาดหวังว่าอยากให้กับเด็กด้วย เลยมีคนที่เข้ามาในเพจ หลั่งไหลมาถามผมเยอะแยะมากว่าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ทำยังไงดี ผมเห็นครูที่มีความทุกข์กับการสอนเยอะมาก ผมมองว่าครูเหล่านี้คือครูที่มีอุดมการณ์ ตั้งใจที่จะเป็นครูที่ดี แต่ปรากฏว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาสงสัยว่าใช่หรือเปล่าที่เขาสอนอยู่ตรงนี้

“ผมเลยคิดว่าเราต้องรู้ว่าครูจำเป็นต้องสอนอะไร เขาจบจากคลาสเราไปแล้วเขาจะนำความรู้ไปใช้ต่อได้ยังไงในโลกที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขาควรจะมีทักษะอะไรบ้าง อย่างที่สองคือรู้ว่านโยบายพยายามบอกให้เราทำอะไร ลองมองให้ขาดว่าเขาต้องการอะไรหรือเกิดประโยชน์ต่อเด็กในแง่ไหนบ้าง”

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผิดไม่ได้ แต่ครูผิดได้

ครูคินยังคงยืนยันว่าการเป็นครูที่ตามไม่ทันโลก คือครูที่ไม่เวิร์ค ครูที่มีสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่เวิร์คเช่นเดียวกัน

“ครูต้องไม่คิดไปก่อนว่าตัวเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชั้นเรียน เรามักจะเห็นภาพครูเป็นใครบางคนที่ต้องก้มหัวตอนเดินผ่านตลอด สอนดีไม่ดีไม่รู้ สวัสดีไว้ก่อน เอะอะก็กราบเท้า พอคุณเป็นครูปุ๊บ เอาแล้ว สถานะความศักดิ์สิทธิ์มา ชฎามาใส่หัว

“ผมคิดว่าปัญหาคือถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำตอบทุกอย่างจะตายตัว เพราะทุกอย่างดีที่สุด เก่งที่สุด จึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาความรู้ และพร้อมที่จะยินดีกับความเก่าของตัวเองเพราะคิดว่าเก่าน่าจะดี แต่ครูต้องอัพเดทตัวเอง แสวงหาความรู้แล้วรู้ว่าโลกมันกำลังจะเปลี่ยน

“ครูควรจะใหม่ที่สุดเท่าที่จะใหม่ได้ และทำได้ต่อเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดา ต่อให้ระบบสังคมหรือการศึกษาพยายามจะทำให้คุณเป็นยอดมนุษย์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากแค่ไหน เราควรจะตระหนักว่าเราไม่ใช่

“เราพยายามทำให้มนุษย์ในชั้นเรียนทำสิ่งที่ดีขึ้นได้ในอนาคต ขณะเดียวกันมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่แก้วที่รอให้เราไปเติม เขาสามารถแลกเปลี่ยนหรือทำให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผิดไม่ได้ มนุษย์เท่านั้นที่ผิดได้”

ย้ำหัวข้อเสวนากันอีกรอบ “ครูรุ่นใหม่ไฟแรงเฟร่อ: ความท้าทายของครูรุ่นใหม่ในระบบการศึกษาแบบเดิม” เราอาจจะเลยจุดในการนิยามความรุ่นใหม่รุ่นเก่ามาแล้ว แต่ครูนิวเสริมให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า “การเป็นครูรุ่นใหม่ที่แท้ทรู” คือสิ่งที่ครูนิวอยากฝาก เพราะเขาเองก็พยายามตระหนักว่าเราจะเป็นครูในแบบที่ตัวเองต้องการแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อึมครึม ต้องหาพวกครูที่มีความเชื่อคล้ายกัน สร้างแรงบันดาลใจให้แก่กัน แม้แต่ครูรุ่นเก่าก็ยังหาพวกมาเป็นพวกเดียวกันได้

“ง่ายที่สุดคือใช้วิธีการที่รัฐทำกับพวกเรา คือมีชุดอุดมการณ์ด้านการศึกษาเพื่อกล่อมเกลาให้นักเรียนเป็นคนแบบที่เขาต้องการ เราก็เอาวิธีนี้มาใช้เลย แค่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก เด็กใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนอย่างน้อยหลาย 10 ปี อยู่กับครูคนหนึ่งมากกว่าพ่อแม่ด้วยซ้ำ ดังนั้นโอกาสที่จะสร้างอะไรสักอย่างในตัวเด็ก ครูทำได้มากกว่า ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะทำตามสิ่งที่รัฐออกแบบมาให้เด็กคนหนึ่งเป็นแบบนี้ หรือเราเลือกที่จะออกแบบเองว่าเด็กกลุ่มนี้ เราต้องการให้เขาเป็นแบบไหน”

“ครูสอนไปเพื่ออะไร หรือ คิดยังไงถึงได้มาสอนหนังสือ”

จึงยังคงเป็นคำถามที่น่าตอบและน่าฟังอยู่ ว่าคนเป็นครูเขาต้องบู๊กันท่าไหนบ้าง

Tags:

ระบบการศึกษากลุ่มพลเรียนBook Re:publicภาคิน นิมมานนรวงศ์พีระศิน ไชยศรศุภวัจน์ พรมตันครู

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

รักที่จะแว้น: เด็กหลังห้องที่ถูกผู้ใหญ่ปิดประตู
Adolescent Brain
16 February 2018

รักที่จะแว้น: เด็กหลังห้องที่ถูกผู้ใหญ่ปิดประตู

เรื่อง

  • เปิดโลกของนักบิดรุ่นเยาว์ ที่ถูกปิดโดยสังคมและคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ที่เที่ยวสอนว่า เป็นเด็กไม่เคยถูกสั่งสอน
  • สำหรับวัยรุ่น การแว้นเป็นการ ‘เปล่งชื่อตัวเอง’ ผ่านเสียงท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์และการบิดคันเร่งให้โลกรู้
  • เมื่อโลกไม่อยากจะรู้ว่ามีพวกเขาอยู่ สิ่งที่ทำได้คือการไม่ยอมจำนนและแสดงพลังอันเหลือเฟือออกมา
  • ซีรีส์ ‘รักที่จะ…’ เราออกไปพูดคุยกับวัยรุ่น อดีตวัยรุ่น และคนทำงานกับวัยรุ่นในประเด็นที่หลากหลายเพียงเพื่ออยากจะรู้ว่าในวัยรุ่น เขาจะเปลี่ยนพลังที่พลุ่งพล่าน ไปสนใจ หลงรักอะไร และด้วยเหตุผลอะไรบ้าง และนี่คือ ‘รักที่จะแว้น: เด็กหลังห้องที่ถูกผู้ใหญ่ปิดประตู
เรี่อง: วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

อย่างน้อยก็ในสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง…

มอเตอร์ไซค์ไม่ใช่พาหนะนำพาวัตถุจากจุด A ไปยังจุด B / ความเร็วก็ไม่ใช่การกระชับเวลาระหว่างเริ่มต้นกับปลายทาง / ท้องถนนก็ไม่ใช่พื้นที่สัญจร

แต่ทั้งหมดคือเครื่องมือแย่งชิงพื้นที่ทางสังคมของกลุ่มเด็กและเยาวชนที่รักที่จะซิ่ง ซ่า แว้น หรือคำอะไรก็แล้วแต่ที่นิยามตัวตนของเด็กกลุ่มนี้

เมื่อเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงพื้นที่ทางสังคม มอเตอร์ไซค์ของพวกเขาจึงต้องตกแต่งดัดแปลง ทั้งแรงและเร็ว ลีลาการขับขี่ของพวกเขาจึงไม่ใช่การขี่มอเตอร์ไซค์ให้ถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพ แต่ต้องเป็นท่วงท่าที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มในแก๊ง

ราวๆ ปี 2547 ผู้หญิงคนหนึ่งพาตัวเองเข้าไปในโลกของเด็กกลุ่มนี้ ตอนนั้นเธอขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น เธอกลัวและเกร็งหากต้องจินตนาการถึงการพาตัวเองไปซ้อนท้ายรถของเด็กวัยรุ่นบนถนนกลางคืน เธอเข้าไปในโลกใบที่ทั้งเสี่ยงและล่อแหลมต่อการกระทำผิดกฎหมาย และอุบัติเหตุที่อาจถึงความตาย เพื่อศึกษาชีวิตและวัฒนธรรมของเด็กกลุ่มหนึ่ง

เธออยู่ในโลกใบนั้นกว่า 3 ปี และเขียนหนังสือเล่มหนึ่งในปี 2552

The Potential พูดคุยกับเธอหลังจากหนังสือเล่มนี้เผยแพร่มา 9 ปี แต่เด็กวัยรุ่นยังคงนอนบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วและแรงบนถนนในปี 2561

เข้าไปในโลกชายขอบของนักบิดวัยเยาว์

‘เร่ง รัก รุนแรง: โลกชายขอบของนักบิด’ คือปลายทางของการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณาของ ปนัดดา ชำนาญสุข นักวิชาการประจำมูลนิธิป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและอาชญากรรม (มปอ.)

เธอใช้เวลา 3 ปี ใช้ชีวิตคลุกคลีกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นในพื้นที่ ‘ตลาดบ้านสร้าง’ ในจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออก

เธอเช่าบ้านอยู่ในชุมชน นั่งอยู่ในวงเหล้าของกลุ่มวัยรุ่น ซิ่งรถแต่งไปกับพวกเขายามค่ำคืน เคลียร์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแก๊ง แม้กระทั่งรับรู้ถึงพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดของพวกเขา ทุกกิจกรรมในชีวิตของเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ อาจารย์ปู-ปนัดดา อยู่ร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ นักมานุษยวิทยา และแน่นอน เธอคือพี่สาวของกลุ่มเด็กแว้นคนหนึ่ง

“ดิฉันโปรแกรมตัวเองมาตลอด จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้ให้ข้อมูลหลัก” อาจารย์ปู-ปนัดดา บอกถึงการสร้างความไว้วางใจจนกระทั่งเด็กๆ กลุ่มนี้เปิดประตูให้เธอเข้าไป

“ใช้ความจริงใจ หมายความว่า เราไม่ได้จะไปหลอกลวงผู้ให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น นั่นคือสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ก่อนลงมือศึกษาวิจัยตามหลักมานุษยวิทยา”

ผลตอบแทนที่อาจารย์ปู-ปนัดดา ได้รับจากวัยรุ่นกลุ่มนี้คือ ประตูที่แง้มออกมา เปิดโอกาสให้คนนอกอย่างเธอเข้าไปเรียนรู้ชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขา

บางกิจกรรมทำให้อาจารย์ปู-ปนัดดา อึดอัด และรู้สึกขัดแย้งกับความคิด เช่น ในกิจวัตรประจำที่กลุ่มวัยรุ่นขี่รถไปนั่งรวมตัวดื่มเหล้าที่ริมถนน เมื่อเหล้าหมด พวกเขาพากันขว้างขวดใส่ถนน หรือลีลาการขับขี่ที่เธอต้องเห็นมีดเล่มยาวครูดไปกับพื้นถนนจนเกิดประกายไฟ หรือแม้แต่การขโมยถังดับเพลิงในปั๊มน้ำมันมาฉีดใส่กันเล่นๆ

“เป็นครูประสาอะไร เห็นเด็กซิ่งรถแทนที่จะห้าม กลับไปนั่งซ้อนพวกมัน” คือสายตาของคนในชุมชนที่มองอาจารย์ปู-ปนัดดา ในช่วงเวลาขวบปีแรกๆ ของการลงพื้นที่เข้าไปศึกษา

แต่หากไม่มานั่งในจุดที่อาจารย์ปู-ปนัดดา นั่งอยู่ เราจะไม่สามารถมองเห็นแง่มุมอื่นๆ ของเด็กกลุ่มนี้ได้เลย

“เคยมีข่าวลือว่าดิฉันเป็นเมียเด็กพวกนี้ ตอนนั้นดิฉันซัฟเฟอร์มาก แต่รู้มั้ยเด็กพวกนี้ปลอบดิฉันว่า ‘พี่ปูทำงานแบบนี้พี่ปูต้องอดทน สักวันหนึ่งเขาต้องเข้าใจพี่ปูเอง’ เห็นมั้ยคะเขาไม่ได้ใช้กำลังไปต่อต้าน” อาจารย์ปู-ปนัดดา เล่าและพยายามทำให้เราเห็นว่า ภาพลักษณ์แบบเหมารวมที่ใช้ในการนิยามตัวตนของเด็กกลุ่มนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

แน่ละว่าวิถีชีวิตของพวกเขาสุ่มเสี่ยงและอาจสร้างผลกระทบต่อทั้งตัวเองและผู้อื่น สร้างความเดือดร้อนรำคาญต่อชุมชน และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุถึงชีวิตต่อทั้งตนเองและผู้อื่น

แต่เรื่องนี้ย่อมมีคำอธิบาย แน่นอน ไม่ได้มีคำอธิบายเพียงชุดเดียว

เพราะถูกเบียดขับ จึงต้องเร่งให้แรง

อาจารย์ปู-ปนัดดา เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ ซึ่งศักยภาพนั้นก็อาจจะแตกต่างกันกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน แต่สังคมกำหนดบรรทัดฐานความดีไว้เพียง หนึ่ง สอง สาม สี่ สิ่งที่ผู้ใหญ่หรือสังคมคิดว่าเยาวชนที่ดีควรจะต้องเป็นคือ หนึ่ง สอง สาม สี่ เมื่ออะไรก็ตามที่ไม่เข้านิยาม พื้นที่ตรงนั้นจึงถูกปิด

“สังคมเบียดขับพวกเขา ปิดพื้นที่ที่จะให้พวกเขาแสดงความสามารถ ความเก่ง ศักยภาพ และความคิดสร้างสรรค์ สังคมบอกว่าสิ่งที่คุณมีมันไม่ดีนะ ไม่ถูกต้องนะ เพราะมันผิดนิยามที่สังคมหรือผู้ใหญ่ให้นิยามความหมายถึงความดีและความเก่ง แต่เขาไม่ยอมจำนนต่อการนิยามหรือการปิดพื้นที่นั้นของผู้ใหญ่หรือของสังคม เขาอยากแสดงสิ่งที่เขามีออกมาให้เห็น”

และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กที่ถูกเบียดขับมารวมกลุ่มกันเป็นภาคีเป็นเครือข่าย หรือ แก๊ง พวกเขามีหัวใจดวงเดียวกัน รักพวกรักพ้อง เพื่อนถูกตีต้องเอาคืน จับกลุ่มกันแข่งรถ ฯลฯ

“เมื่อเขาไม่มีพื้นที่ เขาถูกอำนาจเบียดขับมา มันจึงทำให้ความเห็นอกเห็นใจต่อกันลึกซึ้ง สิ่งที่เขามีสิ่งที่เขาเป็นมันชอบธรรม ฉะนั้นการสร้างวัฒนธรรมที่ช่วยเหลือกัน รักกันจึงเหนียวแน่น จะไม่ใช่ปัจเจกเหมือนเด็กเรียนเก่งในมหาวิทยาลัย การรวมกลุ่มกันนั้นเพื่อสร้างอำนาจต่อรองไงคะ แต่มันเป็นการรวมกลุ่มที่จริงใจ โดยไม่ตั้งคำถามด้วยซ้ำว่าผิด พอเพื่อนโดนตีมาก็ตีกลับโดยไม่ถามหาเหตุผล เพราะมันมีอารมณ์ที่ผูกพัน”

อาจารย์ปู-ปนัดดา อธิบายไว้ในหนังสือ ‘เร่ง รัก รุนแรง: โลกชายขอบของนักบิด’ ว่า เมื่อพวกเขาไม่สามารถสร้างอัตลักษณ์ในแบบฉบับเด็กดี เด็กเรียนได้ ประกอบกับกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรอบข้าง ได้หลอมรวมแทรกซ่าน ซึมซับเข้ามาในเนื้อตัวของพวกเขา ทำให้พวกเขาดำเนินการชีวิตที่มีลักษณะสอดคล้องกับชนชั้นและตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขา และแตกต่างจากคนในชนชั้นอื่น

การใช้ชีวิตยามค่ำคืนที่ขัดขืนการควบคุมของตำรวจ พวกเขาแสวงหาอำนาจผ่านการรวมแก๊งที่พึ่งพิงกับอำนาจของคนที่โตกว่าในลักษณะอุปถัมภ์ ช่วยเสริมสร้างพลังอำนาจของพวกเขาในการแย่งชิงพื้นที่ทางสังคมในฐานะคนมีอำนาจเช่นกัน

หลายเทอมแล้ว โรงเรียนไม่เคยเปิด

“เมื่อเวลาเปลี่ยนไปทุกคนก็มีเส้นทางชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสัจธรรมของมนุษย์” อาจารย์ปู-ปนัดดา อธิบายถึงภาวะชั่วคราวของชีวิตเด็กกลุ่มนี้ เพราะในที่สุดพวกเขาก็ต้องเติบโตไปตามเส้นทางชีวิตของตน ถ้าไม่ถลำลึกลงไปในความมืดดำเสียก่อน

“เมื่อเขาเริ่มโตขึ้น จากเด็กที่เคยชื่นชอบยานยนต์ ก็จะเปลี่ยนไปใช้กระบะ รถเก๋ง รวมถึงลีลาการขี่ก็จะเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่จะแข่งรถประลองความเร็วหรือพนันก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย มันจะเคลื่อนไปตามจังหวะชีวิตของพวกเขา

“แต่ถ้าเราเปิดพื้นที่อื่นให้เขาด้วย ไม่ใช่ผลักไส เช่น โรงเรียนช่วยเหลือสนับสนุน กศน. ช่วยเหลือสนับสนุน หรือกระทรวงแรงงานมาช่วย เขาจะมีพื้นที่อื่นให้ยืนและตั้งหลักได้ เขาก็จะไม่จมดิ่งไปในทางสายมืด หรือสายที่เป็นภัยต่อสังคม หรือเป็นภัยต่อการเติบโตของชีวิตเขา”

อาจารย์ปู-ปนัดดา กล่าวถึงหลักการของการศึกษานอกโรงเรียน ว่าควรจะเป็นระบบที่สนับสนุนเด็กที่มีศักยภาพน้อย มีความอดทนต่อการเรียนวิชายากๆ ต่ำ ซึ่งต้อง “มีระบบครูพี่เลี้ยงที่ซัพพอร์ตมากๆ ดิฉันเคยไปนั่งเรียนแล้วพาเด็กของดิฉันไปเรียนด้วย ก็พบว่ามันไม่ได้ง่ายเลย และไม่ต่างจากการศึกษาในระบบเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นระบบไม่ซัพพอร์ตตรงนี้ ก็ทำให้เขาไม่สามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ดำเนินการในชีวิตต่อได้”

เราต้องกลับไปที่ต้นเหตุ – อาจารย์ปู-ปนัดดา ย้ำว่าต้นเหตุคือพื้นที่ของเด็กที่ถูกปิด

“ชุมชนก็อย่าคิดว่าการที่เด็กมารวมกลุ่มกันเป็นเด็กเหลือขอไม่ใส่ใจอนาคต หรือห้ามลูกไม่ให้ไปคบกับเด็กเรียนไม่เก่ง แต่สิ่งที่มีบทบาทมากๆ ในการค้นหาและยอมรับศักยภาพของเด็กคือโรงเรียน”

“แต่เด็กที่อาจารย์ศึกษาเมื่อ 10 ปีก่อน พวกเขาเกลียดโรงเรียนกันทั้งนั้น?”

“ใช่ค่ะ เพราะโรงเรียนปิดพื้นที่ไงค่ะ ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ครูถูกโปรแกรมมาด้วยตัวชี้วัดของกระทรวงฯ โรงเรียนก็เช่นกัน เขาก็ทำตามแค่ตัวชี้วัด มีเด็กเข้ามหาวิทยาลัยได้กี่คน เด็กสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมีกี่คน ฉะนั้นพอเขาทำยอดตรงนั้นเขาก็หลงลืมที่จะค้นหาศักยภาพหรือแง่งามของเด็กคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เรียนเก่งหรือสร้างชื่อให้โรงเรียน ทั้งๆ ที่เด็กทุกคนมี

“ดิฉันยืนยันว่าเด็กหลังห้องที่คลุกคลีด้วยเขามีพลังเหลือเฟือ ดิฉันเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความสามารถ แต่ครูต้องค้นหาเขาให้เจอ แล้วเชียร์เขาไปในทางที่ถูก อย่าใจแคบเพียงว่า ความดีและความสามารถมีเพียงไม่กี่แบบ หรือความดีงามมีแค่เส้นทางเดียว”

“ทุกวันนี้ เด็กกลุ่มที่อาจารย์ศึกษา ชีวิตพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“เด็กรุ่นใหญ่สุดตอนนี้พวกเขาน่าจะอายุ 30 กว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนดิฉันเพิ่งไปในพื้นที่ เด็กบางคนเปิดร้านอาหารขายส่งอาหารทะเล รับอาหารทะเลมาแล้วไปส่งตามร้านค้าต่างๆ มีลูกมีครอบครัว ส่วนใหญ่เด็กจะขายของตามตลาดนัด ทำงานห้างสรรพสินค้า รับจ้างทั่วไป”

จากที่เคยถูกคนในชุมชนตำหนิว่า เป็นครูประสาอะไร ไม่ห้ามเด็กซิ่งรถ หรือ ข้อกล่าวหาว่าเป็น ‘เมียเด็กแว้น’ 10 ปีผ่านไป ผู้ปกครองที่มีลูกชายอยู่ในกลุ่มเสี่ยง มักจะมาขอคำปรึกษาจากเธอ

วัยแห่ง Indentity: เข้าแก๊ง เข้ากลุ่ม หาความจงรักภักดี (loyalty)

“เราต้องยอมรับก่อนนะคะว่า เราสามารถอธิบายเรื่องนี้ด้วยทฤษฎีพัฒนาการของเด็ก เด็กผู้ชายชอบความเร็วและชอบเครื่องยนต์กลไก สังเกตว่าเด็กผู้ชายพอเริ่มเดินได้ก็ปีนป่าย นี่คือพัฒนาการตามวัย และเราต้องยอมรับด้วยว่า บริบทสังคมมันเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี ตอนนี้ไม่ใช่รถแบบ 110 ซีซี ฮอนด้าเวฟแล้ว มันเป็นบิ๊กไบค์ เมื่อเทคโนโลยีเข้ามา การตลาดเข้ามา เด็กเข้าถึงได้ง่าย ผสมกับความชื่นชอบของเขา เราอย่าเพิ่งมองปัจเจก เราต้องมองว่าสิ่งแวดล้อมมันเอื้อมาก

“ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่รัฐหรือผู้ใหญ่ทุกคนต้องร่วมมือกัน แทนที่จะรอให้ถึงปลายทาง ต้องถามว่าคุณได้ใส่อะไรให้เขาบ้าง เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และตระหนักในการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการสนองพัฒนาการตามวัยของเขาที่เหมาะสม มีสำนึก ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม”

“เวลาพ่อแม่มาขอคำปรึกษา อาจารย์บอกพวกเขาอย่างไร”

“ดิฉันบอกพ่อแม่ทุกคนว่า เชื่อว่าไม่มีใครรักลูกมากเท่าพ่อแม่ เพียงแต่ว่าการสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับพวกเขา มันอาจเป็นการสื่อสารที่ผิดช่องทาง ผิดท่าทาง ผิดวิธี มันถูกถ่ายทอดออกมาเป็นน้ำเสียงกิริยาแบบคุกคาม เพราะฉะนั้นลองปรับท่าทีการแสดงความรู้สึกรัก ด้วยความกังวลว่าการกระทำของลูกแบบนี้จะเสียหายแล้วไปคุกคาม แต่ถ้าพ่อแม่เปลี่ยนท่าที ดิฉันคิดว่าลูกก็รับรู้ตรงนั้น แล้วจะกลายเป็นความรู้สึกดีต่อกัน เป็นความเกรงใจ เห็นอกเห็นใจ มากกว่าความกลัวหรือหลีกหนีอำนาจที่ถูกคุกคาม แล้วเขามองไม่เห็นความรักความห่วงใย”

นี่คือโลกของวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตบนเส้นด้าย ตอนนี้พวกเขาเติบโตและเดินบนเส้นทางของชีวิตเหมือนเช่นปกติชน แต่เด็กแว้นหน้าใหม่เกิดขึ้นเป็นปกติเช่นกัน การเบียดขับเด็กกลุ่มนี้ยังปรากฏในปัจจุบัน การแย่งชิงพื้นที่เป็นสิ่งที่ดำเนินไป

รัฐ ระบบการศึกษา ครอบครัว ต้องเปลี่ยนแปลงความคิด นี่คือคำชี้แนะ อย่างน้อยก็ในสายตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าไปศึกษาโลกใบนั้นกว่า 3 ปี

Tags:

วัยรุ่นจิตวิทยาความรุนแรงAdolescent Brainปนัดดา ชำนาญสุข

Author:

Related Posts

  • Adolescent Brain
    Mindsight: บริหารสมองด้วยการทำสมาธิ ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Education trend
    วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?
How to get along with teenagerAdolescent Brain
13 February 2018

รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

เรื่อง The Potential

  • อย่าเพิ่งตีโพยตีพายว่าลูกจะเสียการเรียนเพราะมีความรัก ไปทำเขาท้อง หรือเป็นฝ่ายท้องไม่พร้อม ทำความเข้าใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กันดีกว่าว่า เขากำลังเจอกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และถูกสั่งการจากสมองอย่างไรบ้าง
  • บทแรกว่าด้วยการทำงานของสมอง บทที่สองอธิบายว่า เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะรับมืออย่างไร ด้วยความรู้ และกลยุทธ์แบบไหน
  • ไม่ใช่การบอกให้ลูก ‘หยุดเป็นวัยรุ่น’ แต่คือการคุยให้ชัดเรื่องการควบคุมกำกับตัวเอง เพราะไม่ได้ป้องกันแค่เรื่องเซ็กส์ แต่รวมปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่นได้เกือบทุกเรื่อง
  • แหม… พวกคุณก็เคยผ่านมา โลกจะเป็นสีชมพู จริงใจ และรักอย่างไม่มีเงื่อนไข (โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ) ที่สุดก็วัยนี้ และเราจะเป็นวัยรุ่นได้กี่ปีกัน ^^
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

เก็บตัวเงียบในห้อง ติ๊ก

บิลค่าโทรศัพท์เริ่มมีหลายหลัก ติ๊ก

ผมก็จะซอยหน่อยๆ หน้าม้าก็จะมีนิดๆ ปกเสื้อก็เริ่มจะเห็นแนวเหลืองเพราะแป้งและเครื่องสำอาง ติ๊ก

และอีกหลากพฤติกรรมที่คุณรู้สึกว่า มันต้องมีความผิดปกติอะไรสักอย่าง และคุณเริ่มจะสงสัยแล้วว่า มันต้องเป็น ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก’ ชัวร์ๆ

เมื่อถึงเวลานี้ เป็นธรรมดาที่มนุษย์พ่อและแม่ทั้งหลายจะเกิดความรู้สึกว่างโหวงในใจ คุณรู้แล้วว่าเด็กตัวน้อยๆ คนนั้นกำลังเติบโตและก้าวขาออกจากวงจรของคุณไปช้าๆ แต่หลังจากความน้อยใจได้ผ่านพ้น คุณจะเริ่ม ‘เขม่น’ ให้กับดวงตาวิบวับสีชมพูนั้น เริ่มไม่เข้าใจและถึงขั้นมีน้ำโหให้กับพฤติกรรม ‘วัยรุ่นๆ’ ที่เริ่มทยอยแสดงออกมาจากบุตรธิดา

ความหงุดหงิดไม่ (อยากจะ) เข้าใจค่อยๆ สะสมบ่มเพาะ จนอาจนำไปสู่การปะทะรุนแรง

เนื่องในวันวาเลนไทน์ โอกาสดีที่เราจะชวนคุณผู้อ่านมาทำความเข้าใจโลกของวัยรุ่นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ในประเด็น ‘พ่อแม่ต้องรู้อะไรและต้องทำอะไรบ้างเมื่อลูกเริ่มมีความรัก’ กับ รองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล

เพื่อไขข้อข้องใจและปลอบใจคุณพ่อคุณแม่ว่า “นี่มันเรื่องธรรมชาตินะ ปล่อยๆ ไปบ้างก็ได้”

เพราะเขาคือวัยรักที่จะ ‘รัก’

ทำความเข้าใจ สมองวัยรุ่น

อ.นวลจันทร์อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงสมองวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญและจำเป็นต้องเข้าใจอยู่ 3 ประการ คือ

  1. เปลือกสมองวัยรุ่นจะค่อยๆ บางลงจนกระทั่งเท่ากับความหนาของเปลือกสมองผู้ใหญ่
  2. การปรับรูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายเส้นใยประสาทระหว่างฮับ (hub) ในสมอง
  3. สมองส่วนที่แสวงหาความสุขความพึงพอใจทำงานมากกว่าปกติจากฮอร์โมนเพศที่สูงปรี๊ดในช่วงวัยรุ่น

หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงบริเวณเปลือกสมองของวัยรุ่น

คือเปลือกสมองจะค่อยบางลงจนกระทั่งเท่ากับความหนาของเปลือกสมองในผู้ใหญ่ จากเดิมที่เซลล์ประสาทเคยมีแขนงประสาทหนาแน่นในตอนเด็ก เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็จะมีการจัดโครงสร้างของสมองใหม่ คือมีการตัดเอากิ่งเส้นใยประสาทที่ไม่ได้ใช้งานออกไป เพื่อให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างที่ภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า กระบวนการ Pruning

เมื่อกระบวนการตัดแต่งกิ่งใยประสาทเสร็จสิ้นลง จะเริ่มมีกระบวนการสร้างเยื่อไขมันที่เรียกว่า Myelin มาหุ้มเส้นใยประสาท ทำให้วงจรประสาททำงานได้ว่องไวขึ้น รับส่งข้อมูลรวดเร็วขึ้น การดึงข้อมูลที่เก็บอยู่ในความจำมาใช้เพื่อคิดตัดสินใจก็จะทำได้เร็วขึ้น

กระบวนการนี้ทำให้เปลือกสมองบางลง แต่ความซับซ้อนซึ่งเป็นคำตอบของทุกพฤติกรรมวัยรุ่นก็คือ สมองแต่ละส่วนบางลงช้าเร็วแตกต่างกัน ไม่ได้เกิดพร้อมกันทั่วทุกบริเวณ!

“การ Pruning จะเกิดช้าที่สุดในช่วงสมองส่วนหน้าสุดบริเวณหน้าผาก” ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นศูนย์บัญชาการที่ควบคุมการทำหน้าที่ในการบริหารจัดการของสมอง หรือ  EF (Executive Functions) ซึ่งมีความสำคัญในการทำให้เราคิดถึงผลดีผลเสียของสิ่งที่ทำ ผลของการกระทำที่จะเกิดตามมา โดยประมวลผลจากข้อมูลในอดีต ปัจจุบัน และคาดการณ์ไปยังอนาคต ยอมอดใจไม่ทำบางอย่างที่อาจเกิดผลเสียตามมา แต่เลือกทำสิ่งที่จะส่งผลดีกว่าในระยะยาว คือคิดไตร่ตรองก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไปนั่นเอง

สอง การเชื่อมต่อระหว่างฮับ หรือจุดรวบรวมสัญญาณข้อมูลเครือข่าย (Network)

การเชื่อมต่อระหว่างฮับ หรือจุดรวบรวมสัญญาณข้อมูลเครือข่าย (network) ในสมองของวัยรุ่นแตกต่างจากสมองของผู้ใหญ่ แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?

วัยรุ่นในช่วงอายุ 12-15 ปี การเชื่อมโยงเครือข่ายเน็ตเวิร์คระหว่างฮับ ส่วนใหญ่จะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเปลือกสมองใหญ่กับบริเวณที่อยู่ใต้เปลือกสมอง (Cortical-Subcortical) และ บริเวณใต้เปลือกสมองเชื่อมโยงกันเอง (Subcortical-Subcortical) สมองส่วน Subcortical นี้จะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ ความพึงพอใจ เด็กวัยนี้จึงแสดงออกตามอารมณ์ ชอบแสวงหาความแปลกใหม่และความรู้สึกที่ตื่นเต้นเร้าใจ

พอถึงวัยรุ่นช่วงอายุ 15-19 ปี การเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างฮับใน subcortical จะลดลง แต่จะเริ่มมีการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเปลือกสมองส่วนหน้าสุดกับเปลือกสมองใหญ่บริเวณต่างๆ (Cortical-Cortical) เพิ่มขึ้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สมองส่วนหน้าสุดกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการประมวลข้อมูลจากเปลือกสมองส่วนอื่นๆ เรียกกระบวนการนี้ว่า Frontalization ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นไปอย่างช้าๆ ในช่วงวัยรุ่นที่กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ถึงตอนนี้เขาจะรู้จัก ‘คิดก่อนทำ’

หมายความว่า ไม่ต้องแปลกใจเลยที่เราจะเวียนหัวให้กับความเอาแต่ใจของเด็กๆ ก็เพราะสมองส่วนอารมณ์ของเขาทำงานแยกส่วนกับสมองส่วนคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ

และลืมไม่ได้เช่นกันว่า ช่วงวัย 12-15 วัยที่สมองส่วนหน้าก็ยังพัฒนาไม่เต็มที่ สมองส่วนซับคอร์ติเคิล (Subcortical) ในเรื่องอารมณ์ ความต้องการ และความหุนหันพลันแล่น ก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงอย่างแข็งขัน ยิ่งไปกว่านั้น วัยนี้ยังเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศอย่าง เทสโทสเตอโรน และ เอสโตรเจน เพิ่มสูงมาก

สาม สมองส่วนที่แสวงหาความสุข ถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนเพศที่พุ่งสูงปรี๊ด

“ช่วง 12-15 ปี เป็นช่วงที่ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะพุ่งปรี๊ดเลย ยิ่งเทสโทสเตอโรนสูง ก็ยิ่งทำให้ความไวของสมองส่วนที่แสวงหาความสุข หรือ Limbic reward system มีการตอบสนองมากกว่าปกติ เมื่อสองตัวนี้มารวมกันแล้วก็ยิ่งดับเบิลเลย เหมือนมีแรงผลักให้เด็กวัยนี้มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น อยากทำอะไรใหม่ๆ แสวงหาสิ่งแปลกใหม่และความตื่นเต้นเร้าใจเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุขความพึงพอใจ”

Limbic Reward System ที่ อ.นวลจันทร์พูดถึง คือระบบประสาทที่ทำให้มนุษย์รู้สึกมีความสุขความพึงพอใจเหมือนได้รับรางวัล ที่ในช่วงวัยรุ่นมันถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างเต็มพิกัด เป็นระบบที่อยู่ในสมองส่วนลิมบิก ศูนย์กลางการทำงานเรื่องอารมณ์และความรู้สึก การที่เด็กวัยรุ่นมีความต้องการออกไปแสวงหาความรู้สึกแปลกใหม่ตื่นเต้นเร้าใจ อ.นวลจันทร์ใช้คำว่า ‘sensation seeking’ คือพฤติกรรมหรือความต้องการทำให้ตัวเองมีความสุขความพึงพอใจ ซึ่งเกิดจากการหลั่งสารสื่อประสาทโดพามีนเพิ่มขึ้นในสมองส่วน reward system นั่นเอง

หรือเขียนเป็นสมการพฤติกรรมแสวงหาความรู้สึกที่ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจ (sensation seeking) ได้ว่า

sensation seeking = Limbic Reward System X ฮอร์โมนเพศ (ที่พุ่งสูงในวัยรุ่น)

ดังนั้น จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้เด็กๆ ไม่อาจต้านทานความรัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นรักแบบหนุ่มสาว แต่เป็นความหลงรักหลงใหลในอะไรบางอย่าง เช่น มิตรภาพระหว่างเพื่อน บ้าพลังในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่าง ‘ไม่คิดมาก’ เรียกว่าเป็นพลังรักบริสุทธิ์อย่างที่ผู้ใหญ่ขี้หงุดหงิดหลายคนชอบเรียกว่าไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่เพราะมันไปเชื่อมกับความอยากลองสิ่งใหม่ๆ อาจรวมถึงบุหรี่ สุรา ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ หรืออะไรก็ตามที่อาจทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

“การคิดตัดสินใจด้วยสมองส่วนหน้าสุดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กประคับประคองความรักนี้ไปจนถึงวันที่เขาจะตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องใช้สมองส่วนหน้าอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะด่วนตัดสินใจทำอะไรไปก่อน เพราะเวลาที่เราตัดสินใจพลาด นั่นคือส่วนสมองส่วนซับคอร์ติเคิลทำงานมากกว่าปกติ และสมองส่วนหน้าสุดที่ทำหน้าที่ช่วยคิดตัดสินใจทำงานน้อยกว่าปกติ คือไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการคิดไตร่ตรอง ก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไปตามอารมณ์ ความต้องการในตอนนั้น”

อ.นวลจันทร์ทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะเข้าสู่บทสนทนาในหัวข้อสำคัญ … เมื่อเวลาลูกๆ รู้สึก ‘รัก’ เป็นแล้ว พ่อๆ แม่ๆ จะทำอย่างไรกันดี?

เมื่อลูกมีความรัก
พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมช่วงวัยรุ่นที่เห็นเด่นชัด มาจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสมองทั้งนั้นเลย

จะเห็นว่าช่วงวัยรุ่น มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในสมองเขา อย่างเรื่อง ‘เปลือกสมองใหญ่ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่’ ถ้าไม่มีเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความรัก เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาจะคิดและตัดสินใจได้ดีเกือบเท่าผู้ใหญ่ เช่นการมีสมาธิจดจ่อ การคิดเป็นเหตุเป็นผล มีความรับผิดชอบ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่หากเมื่อไหร่มีเรื่องอารมณ์ ความต้องการ ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อน คนรัก แฟน  อกหัก ฯลฯ มันทำให้การตัดสินใจของวัยรุ่นย้อนกลับไปเป็นแบบที่ตัดสินใจด้วยอารมณ์

สมองของเด็กวัยรุ่นยังต้องมีการพัฒนาไปต่ออีกนิด คือการเชื่อมข้อมูลจากเปลือกสมองใหญ่กลีบหน้าสุดที่ลงมาควบคุมอารมณ์ ความต้องการ ความรู้สึก ความพึงพอใจ ซึ่งตรงนี้อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา แต่เขาจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อผ่านวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่

แม้ว่าเด็กคนนั้นจะถูกฝึกให้สมองส่วนหน้าทำงานดี มี EF ดีก็ตาม?

ใช่ค่ะ ถึงจะดียังไง แต่เด็กทุกคนก็จะต้องเจอการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ มันเป็นธรรมชาติ เพียงแต่ถ้าเด็กคนนั้นได้รับการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่ฝึกให้คิดตัดสินใจบนเหตุผล การเปลี่ยนแปลงตรงนี้จะไม่รุ่นแรง ไม่ค่อยเกิดปัญหาในครอบครัวมากนัก เพราะจริงๆ มันไม่ใช่แค่ตัวเด็กอย่างเดียว แต่จากครอบครัวก็มีส่วน เช่นวิธีการคิดของพ่อแม่ พอลูกเข้าวัยรุ่น บางทีก็เปลี่ยนไปเนื่องจากความรักความเป็นห่วงลูก

กลับมาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถ้าลูกวัยรุ่นเริ่มมีความรัก พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจอะไรบ้าง

ความรู้สึกตอนมีความรักมันจะเหมือนกับเวลาที่เราถูกรางวัล เวลาวัยรุ่นเขามีความรัก พอได้คุย สัมผัส จับมือโอบกอด ก็ทำให้ออกซิโทซิน (ฮอร์โมนแห่งความรัก) หลั่งออกมาคู่กับสารสื่อประสาทโดพามีน (ฮอร์โมนแห่งความสุขความพึงพอใจ) โดพามีนในสมองส่วนสมองส่วนที่ทำให้พึงพอใจเหมือนได้รางวัล (reward system) นี้ เมื่อหลั่งออกมาเยอะจะทำให้เขายิ่งมีความสุข พึงพอใจ อยากจะเจอหน้า อยากพูดคุยด้วย อยากจะออกเดทกับคนรัก ก็จะวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้เพราะมันทำให้เขามีความสุข

แต่เรื่องการมีความรักแบบโรแมนติก กับการมีเพศสัมพันธ์ เป็นสมองคนละส่วนกัน ความรู้สึกรักเป็นการแสวงหาความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ เช่น ความสุขจากการได้เจอหน้า ได้พูดคุย ได้ออกไปเที่ยวไปดูหนังด้วยกัน แต่จุดที่จะทำให้ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์จะเป็นอีกเรื่อง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือช่วยและดูแลให้เขากำกับควบคุมตัวเองให้ดีในขณะที่มีความรัก ทำอย่างไรไม่ให้ไปถึงจุดนั้นเมื่อยังไม่ถึงเวลา

ความรู้สึกรัก กับ การมีเพศสัมพันธ์ ใช้สมองคนละส่วนกันจริงๆ ใช่มั้ย ทำไมหลายคนพูดว่ามีเซ็กส์เพราะเรารักกัน?

คือใช้สมองคนละบริเวณกัน แต่ความรักอาจนำมาซึ่งสิ่งนั้น เมื่อคนที่รักกันถูกเนื้อต้องตัวกัน จนเกิดความรู้สึกทางเพศ สมองหลายส่วนจะถูกกระตุ้นเช่น  สมองส่วน anterior cingulate cortex (ACC), anterior insula cortex, putamens และ hypothalamus ซึ่งสมองส่วนเหล่านี้โดยเฉพาะ hypothalamus จะไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาของระบบสืบพันธุ์ ให้พร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน หากปล่อยให้เลยมาจนถึงจุดนี้ไม่มีการคิดถึงเหตุผลแล้ว สมองส่วนคิดไตร่ตรองไม่ทำงาน

เหมือนที่บอกว่า ‘อารมณ์พาไป’

ใช่ คล้ายๆ แบบนั้น

ช่วงเวลาที่ ‘อารมณ์พาไป’ การยับยั้งชั่งใจของวัยรุ่นตอนปลาย จะมีมากกว่าวัยรุ่นตอนต้นหรือเปล่า

ใช่ค่ะ เวลาที่วัยรุ่นอยู่คนเดียว หรือช่วงเวลาที่ไม่มีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาจะคิดหรือตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ดีทีเดียว คือเป็นการใช้ Cool EF แต่เมื่อวัยรุ่นอยู่กับเพื่อน มีอารมณ์ ความต้องการ ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง การตัดสินใจตอนนี้ต้องใช้ Hot EF ซึ่งเด็กวัยรุ่นยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก ก็จะตัดสินใจด้วยอารมณ์และทำผิดพลาดได้ อาการแบบนี้เมื่อถึงวัยรุ่นตอนปลายก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

เวลาที่วัยรุ่นอยู่กับเพื่อน (peer) ความหุนหันพลันแล่น (impulsive) การตัดสินใจแบบกล้าเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เช่น หากเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างวัยรุ่นที่ขับรถไปคนเดียว กับการขับรถโดยมีเพื่อนนั่งไปด้วย พบว่าเมื่ออยู่กับเพื่อน สมองบริเวณซับคอร์ติเคิลจะทำงานเพิ่มขึ้น ความหุนหันพลันแล่น การแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจจะมากกว่าปกติ เปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่ในผู้ใหญ่ การขับรถโดยมีเพื่อนนั่งไปด้วยไม่ได้ทำให้การตัดสินใจแตกต่างจากการขับคนเดียวเลย

คือถ้าเรารู้ว่าช่วง 13-16 ปี เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของวัยรุ่นที่ต้องการอิสระ ต้องการออกไปเรียนรู้จากโลกภายนอก ในขณะที่การคิดการตัดสินใจเขายังทำได้ไม่เต็มที่แบบผู้ใหญ่ พ่อแม่ยังคงต้องดูแลเอาใจใส่ลูก แต่ก็ต้องรักษาระยะให้ดีให้เขาเป็นมีความเป็นส่วนตัวด้วย พ่อแม่ควรใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับลูกให้เขากล้าพูดคุยกับเรา กล้าปรึกษาเราเมื่อมีปัญหา ทำให้ครอบครัวมีความสุข อบอุ่นปลอดภัย นอกจากนั้นควรเปิดโอกาสให้ลูกได้คิดตัดสินใจวางแผนจัดการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของตัวเอง สอนให้ลูกหาความสุขได้จากภายในตนเอง

การออกไปผจญภัยเรียนรู้จากโลกภายนอกเป็นเพียงกลไกตามธรรมชาติของเขาที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อใดที่เขากลับเข้ามาที่บ้านเขาจะรู้สึกถึงความอบอุ่นปลอดภัย มีคนที่รักและเข้าใจเขา มันก็จะทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ช่วงวัยรุ่นเป็นไปอย่างราบรื่น พอเข้าสู่วัย 17-19 กลไกทางสมองเรื่องความต้องการออกไปแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ (sensation seeking) หรือการหุนหันพลันแล่น (impulsive) ก็จะลดลง

แต่เอาจริงแล้ว วัยรุ่นไม่ค่อยคุยกับพ่อแม่

แน่นอนค่ะ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องเพื่อน เขาจะไม่ค่อยคุยกับพ่อแม่หรอก เราก็ชวนคุยเรื่องอื่นไปเลย ชวนลูกทำกิจกรรม อยากไปเที่ยวไหน สนใจอะไร ถ้าเราเลือกเรื่องคุยได้ถูกต้องถูกเวลา เขาก็จะคุย แต่บางครอบครัวเขาก็คุยกันนะ ลูกพูดเรื่องส่วนตัวกับพ่อแม่เลย อาจจะขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของแต่ละบ้าน

ทำไมวัยรุ่นถึงอยากมีพื้นที่ส่วนตัว อยากอยู่กับเพื่อนมากกว่า

เพราะว่าเขากำลังเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ จากการเปลี่ยนแปลงในสมองด้วย ฮอร์โมนด้วย อารมณ์เปลี่ยนต้องการคิดตัดสินใจด้วยตัวเอง ต้องการเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์และเป็นที่ยอมรับจากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว โดยเฉพาะเพื่อน

สิ่งแวดล้อมในบ้านคงไม่พอ ไม่ท้าทาย มันจึงเป็นแรงผลักตามธรรมชาติที่เด็กต้องการออกไปเรียนรู้โลกภายนอก ต้องการจะเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบตัวเองได้

วางแผนชีวิตให้ตัวเอง และแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ มีเพื่อนฝูง มีวงสังคมของตัวเอง มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่บางทีพ่อแม่ก็ปรับตัวไม่ทัน เคยใกล้ชิดลูกมาตลอด แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ไม่อยากให้เราไปยุ่งกับเขา แต่มันจะค่อยเป็นค่อยไป ช่วง 11-12 นี่ยังเบาๆ แต่พอ 13-15 ก็เริ่มจะติดเพื่อนมากขึ้น

ดังนั้นพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ จริงๆ แล้วลูกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากอนุบาลไปประถมก็รอบหนึ่ง จากประถมไปมัธยมก็อีกรอบหนึ่ง เพียงแต่ช่วงวัยรุ่นนี่ ความเสี่ยงมันเยอะ ดังนั้นหากเราปูพื้นฐานมาดี สิ่งที่พ่อแม่ควรทำในตอนนี้คือระวังอย่าให้ความวิตกกังวลและความห่วงใย กลายเป็นความระแวงมากเกิน มันจะทำให้เกิดการปะทะในครอบครัว ยิ่งทำให้เขาไม่ไว้ใจเรา ไม่กล้าปรึกษาเรา พ่อแม่จึงควรคลายความวิตกกังวลลง ทำตัวตามสบายและแสดงให้เห็นว่าเราไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวลูก

แต่ไม่มีครอบครัวไหนหรอกที่มีลูกวัยรุ่นแล้วไม่เจอปัญหาเลย ต้องเจอมากบ้างน้อยบ้าง ถ้าพ่อแม่ไม่จู้จี้กับลูกมากเกิน รักษาระยะให้พอดี สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ทั้งเราและลูกก็จะผ่านช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปได้ อาจารย์มองว่าปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ที่ผู้ใหญ่ ความไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ความขัดแย้ง จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาบานปลายขึ้น แต่ถ้าหากผู้ใหญ่ยอมรับและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น มองว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาไม่กี่ปี ช่วยกันประคับประคองให้ลูกผ่านช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปได้ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น (ยิ้ม)

ถ้าไม่ใช่ประเด็นคอขาดบาดตาย พ่อแม่ก็ปล่อยไปบ้าง มองข้ามไปบ้างก็ได้

ช่วงวาเลนไทน์ สำหรับผู้ปกครองที่รู้ว่าลูกมีความรัก มีแฟน แต่ไม่อยากให้มีเพราะเป็นห่วง เราจะบอกกับเขาอย่างไรดี

คิดว่าที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ห่วงก็คือเรื่องการเรียน กลัวเด็กๆ เสียการเรียน แต่ต้องทำความเข้าใจว่า เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกคนหนึ่งได้ มันเป็นทักษะทางสังคมที่สำคัญอันนึง เราห้ามเขาไม่ได้เรื่องความรัก แต่เราสอนเขาได้ว่าถ้าหากมีความรักแล้วจะแบ่งเวลาอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้เสียการเรียน อารมณ์ความรู้สึกเวลามีความรักมันจะเป็นอย่างไร จะควบคุมมันอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียตามมา ทำอย่างไรจึงจะถนอมความรักไว้ให้นานๆ คืออาจต้องสอนแบบนี้

ให้มองความรักในแง่บวก ใช้ความรักมาช่วยพัฒนาตัวลูก ให้รู้จักคิดก่อนทำ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่ามองว่าความรักเป็นสิ่งที่ไม่ดี อาจเล่าเรื่องความรักกุกกิ๊กสมัยพ่อแม่เป็นหนุ่มสาวให้ลูกฟังว่ามันเริ่มยังไง ดำเนินอย่างไร เจอปัญหาอะไรบ้าง เช่นเวลาพ่อแม่งอนกัน ทะเลาะกัน แก้ปัญหาอย่างไร และอื่นๆ การพูดคุยกับลูกอย่างเป็นกันเองจะทำให้ลูกวางใจว่าพ่อแม่มีประสบการณ์มาก่อนนะ เวลาลูกมีเรื่องอะไรมาปรึกษาพ่อแม่ได้นะ

อีกหนึ่งปัญหาคือ สังคมไทยเขินอาย พ่อแม่ไม่รู้จะเริ่มพูดเรื่องเพศกับลูกอย่างไร การศึกษาเรื่องเพศในห้องเรียนก็มีปัญหา

สังคมไทยมักไม่พูดเรื่องเพศตรงๆ เช่น ลูกเคยฝันเปียกไหม ก็ไม่กล้าถาม แต่ถ้าจะพูดตรงๆ ก็ลำบากใจทั้งเราและลูก แต่เราพูดทางอ้อมได้นะโดยผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต เช่น เวลาที่มีข่าวหรือดูหนังแล้วมีเรื่องแบบนี้ก็พูดคุยแทรกไปให้เป็นธรรมชาติ

พ่อแม่ต้องชัดเจนว่ากังวลเรื่องอะไร จึงจะทราบว่าควรจะให้ข้อมูลแบบไหน ที่เขาจะได้ฝึกคิดฝึกตัดสินใจด้วยตัวเอง ให้เขารู้ผลที่จะตามมา เช่น ถ้ากังวลเรื่องเสียการเรียน เราก็จะพูดคุยกับเขาอย่างหนึ่ง ถ้ากังวลเรื่องมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เราก็ต้องพูดอีกอย่างหนึ่ง แต่คิดว่าสิ่งสำคัญที่จะป้องกันปัญหาทั้งหมดได้ คือการสอนให้ลูกควบคุมตนเองได้ กำกับตนเองได้ อดทนรอคอยได้ มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเซ็กส์โดยตรง แต่สำคัญเพราะมันจะช่วยป้องกันปัญหาพฤติกรรมของวัยรุ่นได้เกือบทุกเรื่อง เด็กที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ การมีความรักจะไม่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเลย

วิธีการคุยกับลูก ถ้าเราพูดตรงทั้งๆ ที่ปัญหายังไม่เกิด มันเหมือนเรากังวลไปล่วงหน้า เวลาที่เราคุยกับเขา ควรให้มันเป็นลักษณะผ่อนคลาย สบาย สร้างบรรยากาศที่เอื้อให้เขาได้แสดงความคิดเห็น กล้าพูด กล้าปรึกษาเรา และเราสามารถป้อนข้อมูลที่สำคัญกับเขาได้ พ่อแม่อาจสมมุติตัวอย่างเหตุการณ์ของคนอื่นขึ้นมาคุยกับลูกก็ได้

เช่น ถ้าลูกรู้ว่าเพื่อนกำลังนอกใจแฟน แถมแฟนของเพื่อนก็ยังเป็นเพื่อนของลูกด้วย ลูกจะทำอย่างไรดี เปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็น คำถามประเภทนี้ดึงดูดให้วัยรุ่นยอมพูดคุยกับพ่อแม่ การพูดคุยแบบนี้เป็นการสอนให้เขาสร้างกรอบความคิดของตัวเองในการจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนบนพื้นฐานของคุณธรรมจริยธรรม เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องพูดคุยกับเด็ก

หมดยุคแล้วที่จะสอนแต่เรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การใช้ถุงยางอนามัย นั่นมันปลายเหตุ มนุษย์เรามีศักยภาพที่จะทำได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะความสามารถในการคิดการตัดสินใจ การกำกับควบคุมตัวเองไม่ให้ไปถึงจุดนั้น

วัยรุ่นมักจะเดาได้เสมอว่าพ่อแม่กังวลอะไร อยากจะสื่อสารอะไรกับเขา แต่บางทีพวกเขาก็ไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง จึงเลือกจะปิดบัง

เป็นธรรมดาที่ลูกวัยรุ่นเขาจะไม่ค่อยพูดกับพ่อแม่หรอก ไม่เชิงปิดบังแต่เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอก และจริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็นที่พ่อแม่จะไปต้องรู้ทุกเรื่องของลูก ถ้าพ่อแม่สามารถทำให้เขาไว้ใจได้ เวลามีปัญหาเขาอยากคุยกับเราเอง ตรงนี้ล่ะ… เป็นโอกาสดีเลย เวลาลูกโทรหา หรือเดินเข้ามาขอคำแนะนำ ขอความช่วยเหลือ พ่อแม่ควรให้ความสำคัญ รับฟังและช่วยเขาคลี่คลายปัญหา เมื่อไรชีวิตเขาเจอปัญหาอุปสรรคที่เขารู้สึกว่ายากไปนิด ต้องการให้ใครสักคนช่วย แล้วเขานึกถึงพ่อแม่ แค่นี้ก็อุ่นใจแล้ว อาจารย์มองว่าพอแล้ว

การอธิบายตรงๆ ชัดๆ ทุกเรื่องเขาไม่ฟังหรอก เขาจะมองว่าเป็นการจับผิด หรือไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา การสอนทางอ้อมน่าจะดีกว่า ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณภาพ พูดคุยกับเขาในเหตุการณ์ประจำวันทั่วๆ ไป แอบสอนได้หมดค่ะ เช่นเวลาไปเที่ยว ดูทีวี ดูหนัง แทรกได้หมด แต่ถ้าจับมานั่งคุยตรงหน้า เขาคงไม่ฟัง เขาจะฟังเพื่อน

เวลาวัยรุ่นมีความรัก โลกของเขาจะเป็นสีชมพูมากกว่าวัยอื่นหรือเปล่า

จริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น ความรักของวัยรุ่นไม่ต้องใช้เหตุผล ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องมีปัจจัยโน่นนี่นั่นมาประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับความรักเยอะ (หัวเราะ) เป็น puppy love ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสมองเขาเลย เพราะโดพามีน (ฮอร์โมนแห่งความพึงพอใจ) ก็เยอะ ออกซิโทซิน (ฮอร์โมนแห่งความรัก) ก็เยอะ เขาก็จะโฟกัสแต่คนที่เขารัก ย้ำคิดย้ำทำ อยากเจอ อยากคุย อยากอยู่ด้วย อยากใกล้ชิดตลอดเวลา

รักอย่าง ‘น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือมาขวาง’ อย่าได้มีอะไรมาขวางทางเลย

เออ ยากเหมือนกันเนอะ เคยผ่านกันมาหรือเปล่าคะ (หัวเราะ)

ถ้าอย่างนั้นเราควรสนับสนุนไหมคะ เพราะนี่คือช่วงที่จะมีความรักอย่างน่ารัก และจริงใจที่สุดแล้ว

ในขณะที่ลูกมีความรัก เป็น puppy love แบบนี้ก็ควรให้พอดี ไม่ใช่ปล่อยให้เขาวนเวียนอยู่กับเรื่องความรักจนไม่เป็นอันทำอะไร เช่นดึงให้เขาออกมาทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง ชวนทำกิจกรรมที่เขาชอบ ดูหนัง ฟังดนตรี กีฬา ทำกิจกรรมกับคนในครอบครัวบ้าง มีสังคมกับคนกลุ่มอื่นบ้าง จิตอาสาช่วยเหลือสังคมก็ยังได้ เอาแฟนมาทำกิจกรรมด้วยยิ่งดี ให้ความรักตรงนี้กระจายไปกับสิ่งดีๆ อย่างอื่นด้วย เขาจะมองโลกกว้างขึ้น

พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องห้าม แต่ควรเตือนลูกว่าสิ่งสำคัญนอกเหนือจากความรัก มันมีอย่างอื่นอีกด้วยนะ เตือนให้เขาจัดการชีวิตในด้านอื่นๆ ให้เห็นว่ามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอย่าให้เสียเพราะความรัก

สิ่งที่มักได้ยินตลอดเวลาเด็กๆ อยู่ด้วยกันคือ ‘งามหน้ามั้ยล่ะ ไปอยู่กันสองคน คนอื่นจะมองว่าอย่างไร’ คล้ายว่าพ่อแม่กลัวว่า จะถูกเพื่อน หรือคนในสังคมมองว่าตัวเองไม่ดี ที่ปล่อยให้ลูกตัวเองมีแฟน

การที่ลูกไปอยู่กับใครสองคนตามลำพัง อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องสอนลูกนะ สถานการณ์แบบไหนที่อาจทำให้ใครมองไม่ดี เราคุยกับเขาก่อนเลย พ่อแม่ควรคุยกับลูกให้ชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน อะไรห้ามทำเด็ดขาด การตั้งกฎเกณฑ์ชัดเจนและคุยให้เข้าใจตรงกันเป็นเรื่องที่ต้องทำ มันจะทำให้ลูกยั้งคิดนิดหนึ่ง

เด็กที่มีความรักโดยไม่เสียการเรียนก็มีเยอะ สมองส่วนคิดตัดสินใจและกำกับควบคุมตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาผ่านจุดนี้ไปได้ ถ้าพื้นฐานการเลี้ยงดูในวัยเด็กปูมาไม่ดีก็จะไปอีกทาง อาจเกิดเหตุที่เราไม่อยากให้เกิด ซึ่งปัจจัยสำคัญคือครอบครัวและการเลี้ยงดู ถ้าครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวที่แตกแยก ไม่มีความสุข เด็กขาดความรักความอบอุ่น เจอแต่สิ่งแวดล้อมที่มีความเครียด หาความสุขจากที่บ้านไม่ได้ เขาก็จะหันไปหาความสุขจากคนนอกบ้านแทน ถ้าพื้นฐานที่บ้านดี พ่อแม่เข้าใจ สนับสนุนให้กำลังใจลูกปัญหาก็จะน้อย

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เคยให้สัมภาษณ์กับ The Potential ว่า ให้พ่อแม่อดทนช่วงที่ลูกกำลังเปลี่ยนไป เดี๋ยวเขาจะกลับมาเอง คำถามคือ เมื่อไรเขาจะกลับมาและจะกลับมาเพราะอะไร

ช่วงวัยรุ่นตอนปลายจะเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 19-20 ปีขึ้นไปก็จะเริ่มนิ่งแล้วค่ะ ช่วงมัธยมดูแลอยู่ห่างๆ นิดนึง อย่าเพิ่งปล่อยไปเลย สร้างสัมพันธภาพกับลูกให้ดี พอถึงวัยเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รับผิดชอบตัวเองดูแลตัวเองได้

คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ มีอะไรจะฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกๆ กำลังตกอยู่ในห้วงรักไหมคะ

วัยรุ่นเป็นวัยมีพลัง เขาเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดสังคมที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืนในระยะยาว ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการดูแลเด็กให้ผ่านช่วงวัยที่สำคัญนี้ไปได้อย่างราบรื่น หากจะมองความรักในแง่บวก ก็อาจมองได้ว่าความรักทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอีกคน รู้จักถนอมความสัมพันธ์นั้นให้ยืนยาว เห็นอกเห็นใจ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ รวมไปถึงร่วมมือกันทำสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมดีขึ้น จึงนับเป็นการเพิ่มทุนทางสังคมอย่างหนึ่ง

Tags:

พัฒนาการพ่อแม่วัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent Brainเพศดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุลความสัมพันธ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ
Unique Teacher
8 February 2018

‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คิน-ภาคิน นิมมานนรวงศ์ อดีตนักวิจัยและนักวิชาการที่เปลี่ยนสายมาเป็น ครูสังคมศึกษาโรงเรียนกำเนิดวิทย์ และผู้ร่วมสอนวิชา Game of Thrones
  • ครูวิชาประวัติศาสตร์ที่ตั้งคำถามกับนักเรียนวัยรุ่น ย้อนไปตั้งแต่ประวัติศาสตร์เกษตรกรรมโลก แล้วไล่กลับมาที่ประวัติศาสตร์สุโขทัย เพียงเพื่อให้เด็กๆ ถามว่า “เรียนไปทำไม” เมื่อนั้นก็ ปิ๊ง… ใช่เลย นี่แหละคำถามที่เขาอยากได้จากเด็กๆ!
  • “ผมไม่ได้แคร์ว่าเขาจะต้องได้คำตอบแบบเดียวกับที่ผมได้ ผมแคร์ว่ากระบวนการที่เขาจะได้มาซึ่งคำตอบ ต้องไม่ใช่การที่มีคนมาบอกแล้วเขาเชื่อ”
  • คุยกับภาคินตั้งแต่วิธีการสอน การดีลกับนักเรียนและตัวเอง และตั้งคำถามต่อบทบาทของครูว่า จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเป็นคน คนที่เท่ากันกับนักเรียน?

โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าวันหนึ่งจะต้องมาเป็นครู คิน-ภาคิน นิมมานนรวงศ์ ครูสังคมศึกษาโรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง เจ้าของวิทยานิพนธ์หัวข้อ “ประวัติศาสตร์เด็กและวัยเด็กช่วงต้นรัตนโกสินทร์ถึงการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5” จากการเรียนปริญญาโทคณะประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ตามแผนคร่าวๆ ภาคินจินตนาการถึงภาพอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า เพราะแนวการเรียนและประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาเข้าข่ายนี้มากที่สุด แต่เมื่อแนวทางการรับสมัครอาจารย์ของมหาวิทยาลัยไทยเปลี่ยนแปลงไปรับวุฒิปริญญาเอกมากขึ้น แผนก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นการสอนเด็กในวัยที่ลดลงมา เป็นการสอนที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

ที่สำคัญคือโรงเรียนกำเนิดวิทย์เพิ่งเปิดมาได้ราว 3 ปี เป็นที่กล่าวขานกันว่าสอบเข้ายากมาก คัดกรองเด็กค่อนข้างโหดและเน้นด้านการเรียนการสอนด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นพิเศษ ห้องหนึ่งมีเด็กเพียง 18 คนเท่านั้น มีรูปแบบหลักสูตรและการสอนที่ค่อนข้างแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปจนคุณครูโรงเรียนหนึ่งในจังหวัดระยองเคยเปรยไว้ว่า ‘เหมือนโรงเรียนสอนอเวนเจอร์สน่ะ’

“ตอนที่ผมเข้าไปสอนตอนเทอม 1 เป็นปีแรกที่มีนักเรียนครบสามชั้นคือ ม.4 5 6 เพราะโรงเรียนเพิ่งเปิดมาได้ 3 ปีพอดี วิชาสังคมเลยมีสัก 10 ตัวไปเลย ผมสอนเยอะมากครับ (หัวเราะ) ตอนนี้สอนวิชาประวัติศาสตร์ 4 ตัว ประวัติศาสตร์ไทยเทอมละ 2 ตัว คือประวัติศาสตร์ไทย 1 2 3 4, ประวัติศาสตร์โลก, หน้าที่พลเมือง 1 2 3 4 และอื่นๆ ประปราย แล้วก็มีวิชาที่โผล่เข้ามาอีกหนึ่งวิชาคือ Game of Thrones”

เกือบจะครบปีแล้วที่ภาคินเป็นครูสอนวิชาสังคมที่ว่ามาให้กับเด็กๆ และเปิดชมรมปรัชญาไปด้วย เมื่อคุยกับเขาจบ เราก็พบว่าอยากย้อนเวลา แล้วหาเก้าอี้สักตัวไปนั่งในห้องเรียนวิชาของคุณครูภาคิน

วิชาสังคม(ที่ดีกว่า) + ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีไว้ให้เชื่อ

ความรู้สึกที่เข้าไปสอนเด็กโรงเรียนหัวกะทิครั้งแรกเป็นอย่างไร

ผมไม่ได้มีความคาดหวังในแง่ใดแง่หนึ่งว่าเด็กจะเป็นอย่างไร แต่พอเข้าไปสอนแล้วก็จะมีความประทับใจบางอย่าง พอมี feedback กับเด็กก็จะเริ่มเห็น เช่น เด็กพวกนี้เขาเก่งด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว อาจจะไม่ทุกคน แต่มีเด็กจำนวนหนึ่งจะรู้สึกว่าวิชาด้านสังคมมันไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่สำหรับเขาเพราะเขาอยู่โรงเรียนวิทยาศาสตร์ อะไรๆ ก็เป็นวิทยาศาสตร์ไปหมด เหมือนเรียนสังคมให้ครบหลักสูตรไป

บางคนอาจจะรู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร แต่ก็มีบางคนที่ติดตามข่าวสาร เห็นดวงตาเขาลุกวาวเวลาเราสอน แต่กว่าจะถึงจุดที่เขาตาลุกวาวก็ต้องผ่านคาบแรกๆ ไปก่อนนะ ทำให้เห็นว่าวิชาเรามีเนื้อหา ไม่ได้เรียนน่าเบื่อๆ แบบเปิดหนังสือแล้วก็สอนๆๆ

แล้วเรามีวิธีการสอนอย่างไร

ผมตอบในฐานะคนที่ไม่ได้เรียนมาด้านการสอน แต่ก่อนผมทำงานวิจัย เขียนบทความก็จะเจอกับเนื้อหาที่เฉพาะทางและอ่านยาก แต่พอมาสอนหนังสือเราต้องกลับไปที่พื้นฐาน back to basic มากๆ ต้องมาอ่านใหม่หมดเลยว่าพื้นฐานของวิชาประวัติศาสตร์คืออะไร ต้องคิดใหม่ว่าเราจะทำยังไงให้เด็กเข้าใจพื้นฐานของวิชาเหล่านี้

ตอนเป็นนักเรียนเราไม่สนใจเรียน สนใจเฉพาะวิชาหน่วยกิตเยอะเพราะมีผลต่อเกรด ผมเลยคิดว่าอะไรที่ทำให้เด็กสนใจได้ ทุกๆ วิชาที่ผมสอนผมก็จะพยายามดึงอะไรที่ใกล้ตัวเข้ามาตั้งคำถาม เช่น ถ้าสอนเรื่องสุโขทัย ก็จะเริ่มถามจากคาบแรกก่อนว่า ถ้าคิดถึงสุโขทัยคิดถึงอะไรในสามคำ แล้วทำไมเราต้องเรียนเรื่องนี้

ผมวางแผนยาวๆ ไปเลยหนึ่งคอร์สหนึ่งเทอมคือ เรามักจะคิดว่าสุโขทัยเป็นประวัติศาสตร์สำคัญเบอร์หนึ่ง แต่ถ้าเราสอนไปเรื่อยๆ เด็กก็จะมีความคิดแบบนั้นและไม่ตั้งคำถาม ผมก็เลยเปิดคาบแรกด้วยการถามก่อน แล้วดึงย้อนกลับไปตั้งแต่เรื่องประวัติศาสตร์การทำเกษตรกรรมของโลก, movement ของคนไกลที่ไม่เกี่ยวข้องเลย แล้วค่อยๆ ย่อมาว่าในเอเชียเป็นยังไงก่อนที่จะเป็นภาพสุโขทัยในปัจจุบัน

ไกลจนเด็กสงสัยว่าเราเรียนไปทำไม แล้วพอถึงตรงนั้นปุ๊บ ผมจะดึงสิ่งนี้มาเป็นคำถามว่าคุณเห็นไหม ที่ผมสอนมาทั้งหมด มันก็มีทั้งความสนุกสนาน มีเรื่องโครงกระดูก โบราณคดี แต่เด็กหลายคนจะตั้งคำถามแล้วว่าเรียนไปทำไม ผมก็เลยถามกลับว่าทำไมถึงถามว่าเรียนไปทำไมในวิชานี้ ทำไมไม่ถามแบบนี้กับวิชาชีววิทยา

แล้วเด็กตอบสนองอย่างไร

เด็กก็เริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ คาบนั้นผมก็จะสรุปสิ่งที่ผมพยายามถาม

แล้วทำให้เขาเห็นว่าเขาโตมาในโลกที่มันสอนเขาว่า อะไรที่ดีหรือมีประโยชน์ ต้องเป็นประโยชน์ระยะสั้น เฉพาะหน้า เห็นเลยทันที ในขณะที่อะไรที่มันห่างไกลมาก เรามักจะคิดว่าไม่มีประโยชน์

อย่างเช่นเรื่องอะไรบ้าง

ผมยกตัวอย่างหนังเรื่อง The giver เป็นหนังโลกอนาคตที่มนุษย์ทุกคนในเมืองนี้จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ความรู้นั้นจะตกอยู่กับคนคนหนึ่งชื่อว่า The giver ที่ให้คำปรึกษากับผู้นำของชุมชนว่าควรจะทำยังไงไม่ให้เกิดความผิดพลาด วันหนึ่งต้องมีคนใหม่มารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นเด็กกลุ่มที่ถูก The giver สอนว่าอดีตเป็นยังไง ประวัติศาสตร์เป็นยังไง

อย่างเรื่องนี้คนในชุมชนจะไม่รู้จักการฆ่า มีตอนที่พระเอกซึ่งเป็นเด็กหนุ่มเห็นภาพพ่อของตัวเองกำลังจับเด็กทารกมาปลดปล่อยโดยการฉีดยาเข้าไปที่ศีรษะ เขาไม่เข้าใจว่านี่คือการฆ่า ระหว่างที่เขาจะไปช่วยเด็กทารกคนนั้น พระเอกเจอเพื่อนสนิท เพื่อนก็ถามพระเอกว่าออกมาเวลากลางคืนทำไมเพราะมันผิดกฎของชุมชนนะ

พระเอกก็บอกว่าไม่ได้ ต้องไปทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อนก็ย้อนถามว่า ถ้าสิ่งที่จะทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วคุณทำผิดกฎได้ยังไง ก็เป็นการชนกันระหว่างประวัติศาสตร์สองอย่าง คนหนึ่งรู้ประวัติศาสตร์แคบๆ สั้นๆ ก็จะคิดว่าความถูกผิดคือการทำตามกฎ แต่พออีกคนหนึ่งรู้ประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปไกล เริ่มเห็นประโยชน์ของการรู้อดีตระยะยาวมากขึ้น รู้ว่าการกระทำที่ถูกหรือผิดบางทีไม่ได้คิดสั้นๆ ได้ ถ้าเรารู้อะไรมากกว่าเดิม การตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างของเราก็เปลี่ยน ก็เริ่มเห็นว่าการกระทำถูกผิดบางอย่างมันเป็นเรื่องของศีลธรรม ไม่ใช่การทำตามหรือไม่ทำตามกฎอย่างเดียว เขาจึงอาจจะต้องแหกกฎมาทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูก

แล้วโยงให้เด็กเข้าใจได้อย่างไร

ผมโยงให้เขาเห็นว่าประวัติศาสตร์ที่เราเรียนรู้กันมาก็แบบนี้ เขาพยายามให้เราเรียนรู้เรื่องสั้นๆ ว่าเราเป็นชาติที่แตกต่างไม่เหมือนใคร แต่ถ้าเรารู้เรื่องที่มันไกลมาก เราก็จะเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ ไม่เหมือนใครที่สุด พอเรารู้ประวัติศาสตร์ระยะยาว เราจะถ่อมตัวมากขึ้น ประโยชน์อย่างหนึ่งของการศึกษาประวัติศาสตร์มันต้องทำให้เราถ่อมตน ขณะที่ยังเป็นมนุษย์ด้วยกัน

ผมจึงพยายามโยงให้เขาเห็นว่าก่อนที่จะมาเป็นสุโขทัย มีเรื่องอะไรมากมาย มีการเมืองของการเรียนประวัติศาสตร์อยู่ แล้วหลังจากนั้นเราจะไปโฟกัสว่ามันเป็นมาอย่างไร สำคัญยังไง

ฟังดูเหมือนเป็นการผสมรวมเรื่องวิชาการกับการปลูกฝังความคิดเชิงอุดมการณ์บางอย่าง และสอนให้เด็กตั้งคำถาม

ใช่ครับ ตอนผมเป็นเด็ก ผมก็คิดว่าเราไม่เชื่อเวลาคนบอกให้ผมเชื่ออะไร ผมก็มีอุดมการณ์และความเชื่อชุดหนึ่งว่าอะไรบางอย่างน่าจะดีกว่า แต่ถ้าผมบอกเขาไปตรงๆ ว่าสิ่งนี้ดีกว่าสิ่งนี้ มันไม่มีทางที่จะทำให้เขาเห็น

ผมไม่ได้แคร์ว่าเขาจะต้องได้คำตอบแบบเดียวกับที่ผมได้ ผมแคร์ว่ากระบวนการที่เขาจะได้มาซึ่งคำตอบ ต้องไม่ใช่การที่มีคนมาบอกแล้วเขาเชื่อ

แต่ถ้ามันผ่านกระบวนการคิด ตั้งคำถามเยอะๆ เริ่มสืบสวนกับสิ่งที่เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าจริงไหม เขาอาจจะได้คำตอบบางอย่างซึ่งอาจจะเหมือนหรือดีกว่าผม

ซึ่งประวัติศาสตร์ก็เป็นวิชาที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างดีเลย

ใช่ ถ้าครูเห็นความเป็นไปได้ที่จะทำ มันจะทำได้ แต่ว่าบางทีเราโตมาในระบบการศึกษาที่มันไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะทำแบบนั้น ทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์คือวิชาที่ทำให้เรา critical กับชีวิตได้มากเลย

ดูเป็นวิชาที่เราเองก็ต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มตลอด

ต้องเตรียมเยอะมากครับ บางคนคิดว่าพอสอนวิชาสังคมเท่ากับง่าย ไม่น่าจะมีอะไร แค่เปิดตำราแล้วสอนไปตามนั้นสิ แต่ความเป็นจริงตำรามันใช้ได้แค่ตัวชี้วัดที่เราจะเอามาตีความบางอย่าง มากกว่านั้นมันเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่มีหนังสืออะไรที่จะมาบอกเรา โชคดีที่ผมได้มาอยู่โรงเรียนที่เปิดโอกาสให้เราเล่นกับการสอนของเราได้ ถ้าโรงเรียนไม่เอื้อก็คงจะยาก

แต่อย่างไรการสอนวิชาสังคมก็ต้องอิงเนื้อหากับหลักสูตรของกระทรวงศึกษาด้วย

เนื้อหาเราออกแบบเอง เด็กจะได้อ่านบทความวิชาการที่ผมอ่านที่ตัดมาเป็นช่วงๆ ตอนๆ หรือหนังสือเล่มหนาของ Openbooks, Openworlds, มูลนิธิตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ แต่มันต้องอิงกับตัวหลักสูตรของกระทรวงศึกษาฯ อยู่แล้ว เพราะจะมีตัวชี้วัดที่บอกว่าต้องการให้เด็กรู้อะไร

แต่เนื่องจากเราเป็นโรงเรียนเอกชนโดยมีวิชาวิทยาศาสตร์นำ วิชาสังคมจึงสามารถดิ้นได้พอสมควร เช่น เราเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์สุโขทัย แสดงว่าเราต้องสอนให้เห็นความสำคัญ แต่เราต้องเล่าว่าสุโขทัยสำคัญเพราะเป็นบรรพบุรุษเราหรือเปล่า อาจจะไม่ แต่สำคัญเพราะมันกลายเป็นประวัติศาสตร์ของเรา ถ้าเด็กรู้ว่าก่อนจะเป็นสุโขทัยเป็นอะไรมาก่อน คนในอดีตคิดกับสุโขทัยอย่างไร ก็เป็นการบอกว่าสุโขทัยสำคัญอย่างไร ผมเลยพยายามจะสร้างสมดุล มีบางอย่างที่เด็กต้องรู้แน่ แต่บางอย่างเราก็ทำได้มากกว่าการที่บอกแค่ในเรื่องที่เด็กต้องรู้

นี่คล้ายกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนและวิธีคิด (deconstruct) แบบที่เราคุ้นเคยไปเลย

จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่จริงๆ มันแค่รูปแบบการสอนที่ควรจะเป็น

 วิชา Game of Thrones

เด็กโรงเรียนหัวกะทิมีบุคลิกเนิร์ดๆ แบบที่เราคุ้นเคยกันไหม

อันนี้เป็นความประทับใจที่ต่างจากที่คิด มันไม่เป็นแบบนั้นเลย มีเด็กเรียนไปเลยอยู่บ้างแต่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กทั่วไป แต่เขาเก่งกว่าเรา (หัวเราะ) ทำกิจกรรม เล่นกีฬา เล่นดนตรี เต้น cover เกาหลีทั่วไปเลย นั่งเล่นเกมไปเลยหรือนั่งทำงานอย่างอื่นไปเลยบ้างก็มี lifestyle แตกต่างหลากหลาย

เจอเด็กลองภูมิบ้างไหม

มีเด็กที่พูดจาออกมาโดยไม่ได้คิดมากนักบ้าง แต่ไม่ได้เป็นเด็กที่แย่ เด็กบางคนรู้ในสิ่งที่เราจะบอกอยู่แล้ว ติดตามข่าวสารบ้านเมือง อ่านหนังสืออยู่แล้ว ซึ่งในห้องจะมีเด็กที่รู้เรื่องราวต่างกัน ผมไม่ค่อยแคร์เด็กที่เก่งเท่าไหร่ แต่แคร์เด็กที่ไม่ค่อยเก่งมากกว่าว่าเขาจะตามทันไหม

บางคลาส มีเด็กที่รู้คำตอบและพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งมันเป็นคำตอบนั่นแหละ แต่ถ้าเราสนใจคำตอบเขา พวกที่เหลือจะตามไม่ทัน พอเป็นครูก็เลยต้องดึงเขากลับมาเพื่อไม่ให้คลาสมันหลุดออกไปจากประเด็น

ย้อนกลับไปที่บอกว่าเริ่มตั้งคำถามก่อนสอนแล้วให้เด็กตอบ เด็กมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน

ก็มีบ้างที่เงียบ แต่เราก็ต้องให้เวลาเขาสัก 5-10 วินาทีในการคิดคำตอบ แต่ถ้ามันเงียบจนเกินไป เราอาจจะต้องถามหรือลองใบ้อะไรบางอย่างให้นำไปสู่คำตอบ เด็กก็ไม่ได้แอคทีฟขนาดนั้นนะ เพราะหลายอย่างเป็นคำถามที่เขาอาจจะไม่เคยสงสัยมาก่อน จะเอาคำตอบเลยก็คงไม่ได้

ซึ่งเราต้องใช้สื่อหลายชนิดเพื่อสอนเด็กหรือไม่

หลักๆ ผมจะชอบดึงหนังมาสอนเพราะพอพูดเรื่องหนังเด็กจะตาลุกวาว เราอาจจะสปอยด์สัก 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วไม่บอกตอนจบ เด็กก็จะไปดูตอนจบต่อ หน้าที่ของสื่ออื่นๆ คือการทำให้เขา ‘ว้าว’ กับเรื่องที่มันไม่ว้าว เราถามคำถามเฉยๆ ก็ได้แหละ แต่ถ้าเรายกเรื่องบางอย่างมาให้เขาฟัง เขาจะเห็นภาพมากขึ้นว่าครูกำลังพูดเรื่องเหล่านี้อยู่ นอกจากนั้นก็มีให้เด็กลองเล่นบทบาทสมมุติบ้าง

ที่จำได้คือวิชาประวัติศาสตร์โลก ผมต้องสอนเรื่องเมโสโปเตเมียเลยให้เด็กลองแสดงบทบาทสมมุติโดยให้จัดบริษัททัวร์ และขายทัวร์ไปในอารยธรรมต่างๆ

เห็นว่ามีวิชา Game of Thrones ด้วย

เราเปิดวิชานี้ได้เพราะครูสังคมอีกคนสนใจ ในเมืองนอกก็เปิดวิชานี้ในระดับมหาวิทยาลัย เลยชวนกันเปิดเป็นวิชาเลือก สอนรวมกัน ม.4 5 6 ตัววิชาพูดถึงสังคมศึกษาทุกอย่างโดยที่มี Game of Thrones เป็นพื้น ประเด็นก็จะหลากหลายขึ้นอยู่กับความถนัดของครูแต่ละคน คนหนึ่งอาจจะสอนเรื่องภูมิศาสตร์ ศาสนา ชาติพันธุ์ เอาหนังมาดูกันว่าทำไมตัวละครแต่ละกลุ่มถึงหน้าตาต่างกัน ภูมิศาสตร์ส่งผลอย่างไรต่อหนังเรื่องนี้ ส่วนผมก็สอนเรื่องประวัติศาสตร์บ้าง ปรัชญาบ้าง การเมืองบ้าง เด็กที่มาเรียนก็จะดูซีรีส์ หรือไม่ก็อ่านหนังสือมาก่อน เราเปิดวิชานี้เพราะเรารู้ว่ามีเด็กดูอยู่ และทำยังไงให้สิ่งที่เด็กดูเป็นประโยชน์ต่อเขา ไม่ใช่แค่จบไปด้วยฉากฆ่ากันหรือ 18+

ผมเชียร์ให้คนรุ่นใหม่พยายามสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ตอนนี้โลกมันกำลังเปลี่ยนแล้ว วิชานี้มันเปิดได้เพราะเมืองนอกเปิด แล้วเราแย้งได้ว่าโลกมันทำสิ่งนี้อยู่นะ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับครูรุ่นใหม่ที่จะได้เอาอะไรประหลาดๆ มาลองใช้ดู แล้วสร้างความชอบธรรมออกมาได้ด้วย

ฟังดูเป็นคลาสที่สนุกสนาน

สนุกครับ ผมก็สนุกเวลาเด็กว้าวหรือตอบอะไรที่เราไม่ได้คิดแบบนั้น ยิ่งเป็นเด็ก ม.ปลายก็ยิ่งเห็นศักยภาพว่าถ้าเข้ามหา’ลัย แล้วยังไม่ได้ทิ้งสิ่งนี้ไป ก็น่าจะไปได้ไกลในหลายๆ ด้าน

บรรยากาศตอนสอนเป็นอย่างไร

แล้วแต่ห้องครับ มีบางคลาสที่ผมสอนไม่ดีเนื่องจากวิชามันเยอะ บางทีเราเตรียมตัวไม่ทัน บางคลาสเด็กก็เข้ามาถามว่าครูต้องการจะบอกอะไร ซึ่งผมคิดว่าในแง่หนึ่งก็เวิร์ค แปลว่าคลาสอื่นๆ เด็กเข้าใจว่าเราต้องการจะสื่ออะไร

มีหนึ่งคลาสที่รู้เลยว่าเราห่วยมากเลย แล้วก็มีเด็กมาถามตอนจบว่า คลาสนี้ครูต้องการบอกอะไร อย่างน้อยเราก็ประเมินได้แล้วว่าเราทำสำเร็จนะที่จะบอกเด็ก บางคลาสทำไม่ได้แล้วเราควรจะทำอะไร

แล้วเราจะควบคุมความต่าง ให้เด็กเข้าใจสิ่งที่สอนไปพร้อมๆ กันได้ไหม

ผมคิดว่าผมไม่สามารถทำให้เด็ก 18 คนได้ความรู้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะว่าถึงที่สุดแล้วความรู้ที่เขามีมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าพื้นฐานของเขามีมากแค่ไหน เราเหมือนเป็นตัวกระตุ้นให้เขาไปคิดและหาความรู้ต่อ

วิชาสังคมมันไม่ควรจะเป็นการนั่งอัดความรู้ จำได้ แล้วก็จบไป แต่ถ้าเราทำให้เขาสนใจวิชาเราได้ มันจะไม่จบแค่ ม.ปลาย

เขาผ่านมันไปแล้วเขาก็จะอ่านหนังสือเองอยู่ แต่ถ้าเราทำให้มันน่าเบื่อตั้งแต่ตอนนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมสามารถทำให้เด็กรู้อย่างที่ผมอยากจะบอกได้ทุกคนเท่ากันหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมน่าจะทำได้คือทำให้เด็กที่เคยรู้สึกว่าวิชาสังคมมันไม่สำคัญ หรือน่าเบื่อมากเริ่มมองเห็นว่ามันมีอะไรบางอย่างอยู่

วิชาสังคม = วิชาชีวิต

อย่างที่บอกว่าโรงเรียนมุ่งสายวิทย์ สังคมอาจจะไม่ได้เป็นวิชาหลัก แต่เมื่อสอนไปแล้วเจอเด็กที่เริ่มตั้งคำถามและสนใจวิชาสังคมบ้างไหม

เยอะเลยครับ หลายคนตอบว่าชอบวิชาสังคม เรียนวิชานี้แล้วรู้สึกว่าเห็นความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงสังคม หลายๆ คนบอกว่าตอนเรียน ม.ต้นคืออาจารย์เข้ามาเปิดหนังสือ แล้วอ่านให้ฟัง เวลาสอบก็อ่านหนังสือเรียนไปสอบ

แต่พอมาเรียนที่นี่เขารู้สึกว่ามันเป็นไปได้ที่จะเรียนวิชาสังคมโดยการเอาประเด็นในชีวิตในประจำวันมาตั้งเป็นคำถาม ชวนให้เขาคิดถึงประเด็นที่มันใกล้ตัวมาก เช่น ทำไมน้ำท่วมบางจังหวัด, พี่ตูนวิ่งไปทำไม เขาก็จะรู้สึกว่าไม่เคยคิดถึงแง่มุมในการวิ่งของพี่ตูนแบบนี้เลย หลายคนรู้สึกว่าเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างวิชาสังคม ม.ต้น และสังคมตอน ม.4

ดึงเหตุการณ์ประจำวันมาสอนในรูปแบบไหน

ต้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมจะสอนด้วย อย่าง ม.4 เทอมแรก สอนเรื่องสังคมวิทยา มีเรื่องความคาดหวังทางสังคมที่โยงกับเรื่องเพศ วันก่อนผมไปฉีดยากันไข้หวัดใหญ่มา ก็เลยนำเรื่องนั้นมาสอน พอเด็กผู้ชาย ม.6 ไปฉีดก็จะถกแขนเสื้อเท่ๆ แล้วเดินมานั่งไม่เป็นอะไร เด็กผู้หญิงจะกลัวๆ แล้วผมเป็นครู ซึ่งไม่สามารถหงอได้ ก็ยกตัวอย่างให้เด็กเห็นว่าทำไมต้องผมแสดงออกมาว่ามันไม่เจ็บทั้งๆ ที่มันเจ็บมาก

มันมีบทบาทที่สังคมคาดหวังกับคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว ที่ต้องแอ็คว่าไม่เจ็บทั้งๆ ที่เจ็บมาก ก็เพราะว่า ‘ผม’ ไม่ใช่แค่ ‘ผม’ ผมเป็นครูที่ดันเป็นผู้ชายอีกทีหนึ่ง ถ้าผมร้องโอดโอยมันจะผิดกับบทบาทของผม เด็กก็จะเห็นภาพว่าการที่เราเป็นใคร มีบทบาทบางอย่างที่เขาต้องเป็นจริงๆ ในชีวิตเขา

สามารถสอนเรื่องในชีวิตประจำวันไปได้ถึงการเหมารวม (stereotype) เลย

ใช่ครับ มันมีเรื่องเพศที่ยกมาสอนได้ ประเด็นเล็กน้อยกระทั่งการฉีดยาที่ทำเป็นไม่เจ็บก็ยกมาได้ เด็กจะเห็นภาพว่าทุกคนมีบทบาทที่สังคมคาดหวัง คุณแค่เป็นผู้ชาย ผู้หญิง เป็นครู นักเรียนก็โดนแล้ว และไม่ใช่แค่คุณไปทำหน้าที่ แต่แค่ฉีดยา คุณเป็นผู้ชายสังคมก็มองคุณแบบหนึ่ง เป็นผู้หญิง สังคมก็มองคุณอีกแบบ

ซึ่งเราก็ไม่ได้สอนเรื่องแบบนี้เพื่อคาดหวังให้เด็กเป็นต้นแบบของสังคมใช่ไหม

ผมอยากให้เขาเห็นว่ามีสิ่งเหล่าในโลกที่เขาใช้ชีวิตโดยไม่ได้สังเกตว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคนที่จะจำได้ แต่ในคาบนั้นหลายคนก็เข้าใจว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

แล้วเราสอบหรือวัดผลเด็กที่แตกต่างไปจากปกติอย่างไร

มีสอบมิดเทอม มีควิซประปรายตามปกติ เพียงแต่ว่าผมจะเปลี่ยนวิธีการสอบไปตามความจำเป็นของวิชานั้นๆ แทน เช่น วิชาหน้าที่พลเมือง การให้เด็กเขียนตอบไม่ค่อยเวิร์ค เพราะกลายเป็นว่าเด็กต้องท่องจำ แต่หัวใจของรัฐศาสตร์คือเราสอนคอนเซ็ปท์แล้วให้เด็กเอาไปปรับใช้ได้กับสิ่งอื่นๆ ผมเลยจัดสอบปากเปล่า (oral test exam) ให้เรื่องสั้นไปอ่านหนึ่งเรื่องและจับกลุ่มกันสองสามคน แล้วมาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสั้นเรื่องนั้น มีสถานการณ์สมมุติบางอย่างขึ้นมา ให้เขาเห็นว่าการเมืองมันอยู่ทุกที่รอบตัวเรา ไม่ได้เป็นเรื่องของรัฐสภาอย่างเดียว

แล้วผมจะเริ่มถามเป็นกลุ่มๆ ว่าเรียนเป็นยังไงบ้าง ชอบไหม คิดว่าหัวใจสำคัญของวิชานี้คืออะไร ชอบประเด็นไหนที่สุด แล้วก็จะโยงไปที่ว่าอ่านเรื่องสั้นมาหรือยัง คิดอย่างไร เอาเนื้อหาที่เรียนมาหรือโยงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันได้อย่างไร แล้วมีคำถาม unseen ขึ้นมา

เช่น สมมุติว่าถ้าเราต้องอธิบายวิชานี้ให้เด็กหกขวบฟัง เราจะอธิบายมันว่าอย่างไร เด็กจะได้คิดไปมากกว่าการจำเนื้อหา ถ้าเขาเข้าใจเนื้อหาเขาจะตอบคำถามส่วนแรกได้ ปรับใช้กับสิ่งที่เราให้อ่านได้ก็ดีแล้ว แต่พาร์ท unseen คือต้องคิดไปไกลกว่าที่เขาเตรียมตัวมาซึ่งถ้าเด็กเข้าใจจริงๆ จะตอบพาร์ท unseen ได้ดีมาก ผมก็จะเห็นเลยว่าใครเข้าใจจริงๆ

มีการให้คะแนนอย่างไร

ก็มีเกณฑ์ว่าตอบคำถามเคลียร์ไหม มีการยกตัวอย่างประกอบหรือเตรียมตัวมาดีไหม ต้องถามนำเยอะไหม แต่ถ้าถามแล้วหยุดแล้วเขาพูดต่อก็จะเป็นคะแนนอีกแบบหนึ่ง

การสอบแบบนี้ก็ทำให้เราเรียนรู้ทัศนคติของเด็ก และความรู้ความเข้าใจพื้นฐานที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ด้วย

ใช่ครับ แต่มันก็กินเวลาทั้งวัน สอบแค่ 72 คน ผมใช้เวลาตั้งแต่ 8 โมงยัน 6 โมงเย็น 10 ชั่วโมงติด แต่ว่ามันมีข้อดีคือ

บางทีเราไม่มีโอกาสได้คุยกับเด็กทุกคนแม้ว่าโรงเรียนมันจะเล็กก็ตาม แต่การสอบปากเปล่าจะเริ่มทำให้เราเห็นทัศนคติของเด็กบางคนว่าเขาคิดอะไร

สมัยเรียนเราก็ไม่ได้เป็นสายเข้าหาครู แต่พอมานั่งสอบด้วยกัน บางคนที่อยากจะคุยกับเราแต่ไม่กล้าพูดในห้อง ได้พูดในสิ่งที่เขาคิด เราก็ได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเด็ก

วิชาที่สอน vs วิชาที่สอบ

เคยมีคำถามที่เราตอบเด็กไม่ได้ไหม

เยอะแยะครับ เขาถามคำถามยากกันมาก (หัวเราะ) ผมก็บอกว่าผมไม่รู้ จะไปหาคำตอบมาให้ถ้าทำได้ เวลาเราเตรียมสอน เราก็ต้องคิดเผื่อว่าถ้าเราเป็นเด็กเราจะถามอะไร เช่น ถามปี พ.ศ. หรือนายกฯ คนที่เท่าไหร่ ซึ่งครูสังคมจะถูกคาดหวังว่าต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ แต่ผมไม่ใช่คนที่ท่องข้อมูลพวกนั้น

พอเราสอนสิ่งที่ไม่ได้ตามกฎกระทรวงหรือหลักสูตรปกติ เด็กจะใช้ข้อมูลที่สอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมสอนคือสิ่งที่เขานำไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่ๆ ถ้าไล่ดูข้อสอบเก่าๆ ที่ผ่านมา แต่แน่นอนก็มีความกังวลจากผู้ปกครองบ้าง เพราะเด็กบางคนจะรู้ว่าวิชาสังคมโรงเรียนเราเอาไปสอบโอเน็ตได้ยาก โรงเรียนก็จะจัดติวโอเน็ตให้

ที่น่าสนใจคือว่า มีเด็กไปสอบสัมภาษณ์แพทย์ โรงพยาบาลรามาฯ สอบเสร็จก็ไลน์มาบอกผมว่า ผมเอาเนื้อหาวิชาของครู วันนั้นที่คุยกันในชมรมปรัชญาตอบตอนสัมภาษณ์ด้วย เด็กโดนถามว่าเป็นไปได้เหรอที่สังคมจะยุติธรรม แล้วก่อนหน้านั้นเราคุยกันเรื่องคอนเซ็ปท์ความยุติธรรม มีคำตอบบางอย่างที่เราคุยกันแล้วเขาเอาไปใช้ได้

หรือมีเด็กบางคนไปสอบทุนคิงแล้วบอกว่าครูสอนอย่างที่ครูสอนไปเลยนะ เพราะข้อสอบทุนคิงคือสิ่งที่โรงเรียนเราสอน ไม่ใช่ข้อสอบที่หลักสูตรกำหนด ถามคำถามแบบที่ครูสอนเลย

แล้วมันตลกที่ สิ่งที่เราสอนไปตอบข้อสอบโอเน็ตไม่ได้แต่ไปสอบทุนคิงได้ ในขณะที่โรงเรียนอื่นต้องสอนแบบนั้นเพื่อไปสอบโอเน็ต แต่สอบทุนคิงไม่ได้ แสดงว่าเรากำลังอยู่ในการศึกษาแบบไหน ทุนคิงนี่มีไว้สำหรับใคร

วิธีการสอนแบบนี้ควรเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไป ไม่ใช่ข้อสอบที่ทุนคิงใช้ critical มากเลย แต่ข้อสอบที่เราใช้วัดเด็กทั่วไปเป็นข้อสอบที่ไม่ critical แล้วทุกโรงเรียนถูกบีบให้สอน ครูดันคิดว่าแบบนี้คือถูก

ตอนสอนมีทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะการเรียนรู้หรือต้องอ่านเพิ่มเติมบ้างไหม

ต้องอ่านครับ แต่ผมไม่ได้มีทฤษฎีในการสอนขนาดนั้นเพราะไม่ได้เรียนมาโดยตรง แต่ผมรู้ว่า Project Based Learning (การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน) มีข้อดีอย่างไร รู้ว่าการยืนเลคเชอร์อย่างเดียวมันมีข้อเสียอย่างไร พอรู้แล้วก็พยายามจะดึงสิ่งเหล่านี้เข้ามาในการสอน ผมเชื่อว่าพอเป็นสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของเด็กยุคนี้ ครูก็จะถูกบอกว่าต้องสอนแบบ Active Learning (กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ การที่เด็กได้ทำกิจกรรม เล่นเกม ไม่ได้แค่นั่งฟังเลคเชอร์อย่างเดียว)

ซึ่งผมกลับเชื่อว่า Active Learning ที่ไม่ได้แน่นด้วยคอนเทนต์ คือการเล่นเฉยๆ ที่ไม่ได้รับความรู้อะไรมากไปกว่าเดิม คือมันสนุก แต่เราไม่ได้สนใจสิ่งที่สนุกเสมอในชีวิตถูกไหม

แล้วก็มีหลายอย่างที่ไม่สนุกเลยแต่เราสนใจ Active Learning จึงไม่เท่ากับดีเสมอไป

ในทางกลับกัน เลคเชอร์ไม่ได้เท่ากับ passive เลคเชอร์ที่ชวนให้เด็กคิดและตั้งคำถามเป็นเลคเชอร์ที่ดีได้ และเมื่อเด็กคิดและสงสัยคือโคตรแอคทีฟเลย เพียงแต่ว่าเราไม่เห็นเขากระโดดออกมาเขียนกระดานเท่านั้นเอง ผมคิดว่าไม่ใช่การสอนแบบที่เด็กกระโดดโลดเต้นเท่านั้นที่ดีในตัวมันเอง

ผมต้องลองผิดลองถูก ก็มีบางคอร์สที่ไม่เวิร์ค และเราจะไม่ทำอีก ขอโทษครับเด็กๆ

ครูต้องสร้างสังคมที่ดีกว่า

คิดว่าการเป็นครูต้องทุ่มเทแค่ไหนอย่างไร

การเป็นครูต้องทุ่มเทให้กับอุดมการณ์บางอย่างที่เรามี ผมไม่เชื่อว่ามีครูคนไหนที่เป็นกลาง ไม่มีอุดมการณ์ใดๆ ในหัวเลย ผมว่าการเป็นครูที่เวิร์คคือเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า bias (การเลือกที่จะเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง) ของเราคืออะไร เราคาดหวังหรืออยากสร้างสังคมแบบไหน แล้วเราทุ่มเทสิ่งที่เราทำเพื่อจะสร้างสังคมแบบนั้น ด้วยการสร้างคนที่จะไปทำสิ่งเหล่านั้นต่อ

ไม่ใช่การทุ่มเทเพื่อให้เด็กเป็นเด็กดี เก่ง ฉลาด เรียนจบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ต่อให้เด็กจะเข้ามหาลัยญี่ปุ่นได้ 28 คนก็ไม่ได้ทำให้สังคมดีขึ้น แต่ถ้าเราทุ่มเทเพื่อทำให้เขาเห็น คิด สงสัย เห็นว่าสังคมมันดีกว่านี้ได้นะถ้าทำสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นประโยชน์มากกว่า

คนเป็นครูควรจะตอบคำถามนี้ได้ใช่ไหม

ใช่ ถ้าครูไม่รู้ว่าตัวเองมี bias อย่างไร คิดว่าสิ่งที่ตัวเองสอนเป็นกลาง ตอบไม่ได้ด้วยว่าสังคมที่ดีเป็นยังไงเพราะตอนนี้มันดีอยู่แล้ว ครูแบบนั้นก็สร้างสังคมที่ดีกว่าไม่ได้

แต่ความเป็นกลางคือสิ่งที่ควรมีหรือเปล่า

ความเป็นกลางเป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่ แต่เราจะเป็นกลางได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเราเอียงข้างไหน เราอยู่แบบนี้มาตลอดแล้วเราไม่เคยรู้ว่ามันเอียงแล้วเราจะเป็นกลางได้ยังไง แต่ถ้าเรารู้ว่าเราโตมาในสังคมแบบนี้ เชื่อแบบนี้และคิดว่าวิธีที่ดีกว่าน่าจะเป็นแบบนี้ เราจะเป็นกลางได้มากขึ้น สามารถช่วยให้เด็กค่อยๆ คิดก่อนว่าแบบนั้นมันดีหรือเปล่า แล้วเราก็ถามตัวเองด้วยว่าที่เราเชื่อแบบนี้มันดีแล้วหรือเปล่า ถ้าเราคิดว่าทุกอย่างที่เรารู้เป็นความดีความเป็นกลาง ความจริง 100 เปอร์เซ็นต์ เราจะไม่มีทางเป็นกลางได้เลย เราแค่คิดไปเองว่าเราเป็นกลาง

ซึ่งการสอนของครูก็ส่งผลต่อเด็ก เพราะครูสอนอย่างไรเด็กก็มีแนวโน้มที่จะคิดตาม แล้วเด็กที่สอนมีความ critical มากแค่ไหนในการตั้งคำถาม

แตกต่างหลากหลายครับ ก็มีหลายครั้งที่เราจบแล้วเด็กไม่จบ จบคาบเด็กมาถามต่อ เป็นบรรยากาศแบบมหา’ลัยเลย ในคาบหลายคนก็ถามตอบด้วยรีแอคชันที่ดี เช่น เรื่องสุโขทัย ผมเล่าไปก่อนเรื่องประวัติศาสตร์ระยะสั้น ยาว คาบต่อไป ผมให้แต่ละคนไปอ่านหลักฐานเกี่ยวกับความหมายของความเป็นไทย ผมถามเขามาจนถึงจุดที่ว่าทำไมสุโขทัยถึงสำคัญ แล้วคนในอดีต 100 ปีที่แล้วคิดถึงสุโขทัยแบบเดียวกับเราหรือเปล่า แล้วก็มาสู่คำถามที่ว่าตกลงคนไทยคือใคร มาจากไหน ให้แบ่งกลุ่มกันอ่าน บางคนได้เรื่องสั้น, บทความ, เพลง แตกต่างกันแล้วมาถกเถียงกันว่าตกลงแล้วคนไทยมาจากไหน จริงๆ คือใครกันแน่ ให้แต่ละคนจับกลุ่มกันแล้วเขียนคำตอบ 140 คำ แล้วมาโหวตกันว่าคำตอบของใครที่เพื่อนคิดว่าถูกต้องที่สุด

ที่ตลกคือว่าคำตอบที่ถูกเลือกมากที่สุดคือคำตอบที่นิยามความเป็นคนไทยได้กว้างที่สุด ผมเลยถามเขาว่าทำไม เขาก็เลยเริ่มเห็นว่านิยามความเป็นไทยมันยังเบลอมากเลย เด็กๆ ก็ทำออกมาได้ critical อย่างที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปได้

คิดว่าความเป็นครูต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากน้อยแค่ไหน

ผมคิดว่าการเป็นคนมันต้องมีความคิดสร้างสรรค์ครับ มันคือสิ่งที่มนุษย์ควรจะมี บางครั้งเราเชื่อว่าบางสิ่งมันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนมัน แบบนั้นมันอันตรายที่สุดต่อความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเราคิดว่าสังคมดี หมดจด อย่าไปเปลี่ยนมัน เราก็ไม่ได้ใช้ความสามารถที่เรามีในการเป็นมนุษย์

ครูเป็นมนุษย์ที่ผิดได้

ลักษณะเด่นของเด็กที่สอนในยุคนี้

ผมคิดว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา เขาเข้าถึงสื่อต่างๆ ที่บางครั้งเราตามไม่ทันด้วยซ้ำ ลักษณะเด่นของเด็กก็น่าจะเป็นโลกแบบที่คนรุ่น 90 แบบเราไปไม่ถึงแล้ว ถ้าเราตามไม่ทันเราก็หลุด ถ้าเราไม่เคยเล่นเกมออนไลน์เราก็หลุด ถ้าไม่เคยดูไลน์ทีวีเราก็คุยไม่ได้  เราจะเห็นช่องว่างแบบนี้เยอะ เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมาก และเด็กเข้าถึงสื่อได้เร็ว อาจจะเป็นโจทย์หนึ่งที่ครูต้องจัดการว่าจะทำอย่างไร เพราะเด็กอยู่ในโลกแบบหนึ่งที่เราไม่คุ้นเคย

แล้วเราจำเป็นต้องตามเด็กให้ทันมากแค่ไหน

ง่ายๆ คือเราต้องสื่อสารกับเขาให้รู้เรื่องในภาษาแบบเดียวกัน พอเป็น ม.ปลายนี่เป็นวัยที่ไม่ทำอะไรถ้าผู้ใหญ่สั่ง และยิ่งคุณเป็นผู้ใหญ่ที่เขาไม่เห็นว่าคุณเชื่อมโยงกับเขายังไง คุณก็เป็นแค่ผู้ใหญ่ที่นั่นก็ไม่ตาม นี่ก็ไม่เห็นรู้เลย ก็คงยากที่เขาจะคิดตามที่คุณอยากให้เขาคิด แต่ถ้าเราลดความห่างตรงนั้นลงมาแล้วก็พยายามเอาตัวไปจอยกับโลกที่รุ่นเขากำลังเป็นอยู่ แล้วก็ทำให้เขาเห็นว่าต่อให้เราเป็นครู เราก็เป็นเพื่อนนะ ก็อาจจะทำให้เขากล้าคุยกับเรา มันมีประโยชน์ในทางที่ทำให้รู้ว่าเขาคิดกับเราอย่างไร คาดหวังอะไร แล้วบอกกันได้ ถ้าเราเป็นครูโหดๆ เด็กอาจจะไม่ฟัง

พูดถึงครูโหด เมื่อก่อนอาจจะมีคำพูดประมาณว่าต้องได้ไม้เรียวครู เด็กถึงจะได้ดี แต่ตอนนี้การเรียนการสอนอาจจะเปลี่ยนแปลงไปหลายรูปแบบมากแล้ว

ผมก็ไม่ได้เชื่อแบบนั้นนะ โอเค มนุษย์อาจจะต้องถูกลงโทษบ้างถ้าทำอะไรไม่ถูกต้อง แต่การลงโทษมันสำคัญขนาดนั้นไหม ก็อาจจะไม่ ส่วนตัวผมจะเป็นครูแบบที่ไม่เลือกลงโทษทางร่างกายกับเด็ก ผมไม่ได้พูดสุภาพ เวลาสอนผมพูดหยาบคายบ้าง แต่ความหยาบคายมันทำให้เราเชื่อมต่อกับเด็กได้ แล้วคลาสมันสนุก แต่ว่าถ้าเราตัดสินด้วยสายตาของครู้ครู ที่คิดว่าเด็กต้องมากราบก็อาจจะคิดว่าการเป็นครูแบบผมมันไม่ค่อยเวิร์ค ถ้าเขาคิดว่าครูควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ทำตัวดีในทุกๆ ความหมาย

งั้นถ้าเด็กไม่ฟังที่สอน ครูภาคินทำอย่างไร

ถอนหายใจใส่ แล้วก็เงียบ ผมจะมีเทคนิคในการแสดงออกไปว่าผิดหวังในตัวเขา แล้วหลังคาบเด็กจะมาขอโทษ คือถ้าเราด่าเด็ก เด็กก็จะตอบสนองอีกรูปแบบหนึ่งใช่ไหม มีครั้งหนึ่ง ผมให้เด็กพรีเซนต์แล้วเด็กทำมาขำๆ ดูไม่จริงจัง เพราะบรรยากาศในคลาสดูไม่ค่อยซีเรียส เด็กก็อาจจะคิดไปว่าทำชิวๆ ได้ ซึ่งมันชิวเกินไป ผมเลยดราม่าใส่โดยการบอกว่าผิดหวังอย่างไร หลังคาบก็มีพัฒนาการที่ดี เด็กรู้สึกผิด คือสิ่งเหล่านี้ครูจะทำไม่ได้เลยถ้าเราคิดว่าตัวเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นมนุษย์ เด็กเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ดีลกันยังไงเวลาเราอยากให้มนุษย์อีกคนทำแบบนี้ เราจะดีลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแบบ ถ้าไม่พอใจก็ลงโทษไปสิ เพราะเราเหนือกว่า แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วมีวิธีมากมายเลยในการสอนคน ทำให้เขาคิด หรือทำให้เขารู้ว่าถูกหรือผิด

ผมคิดว่าครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูเป็นมนุษย์ที่ผิดได้ ก็เป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ พูดผิดเด็กก็ต้องแย้ง ต้องถามได้ ยิ่งเราทำตัวให้มีช่องว่างเยอะ เราสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในสังคมไทยเยอะเกินไปแล้ว

แต่มันอาจจะสำคัญหรือเปล่า ถ้าครูไม่เป็นคนที่ดูภูมิฐาน หรือสามารถออกคำสั่งบางอย่าง อาจจะคุมเด็กไม่ได้

ผมคิดว่าจำเป็นอยู่แล้วที่ครูจะต้องมีช่องว่างบางอย่าง เวลาเด็กทำอะไรไม่ถูกเราควรจะต้องดุ แต่ว่าครูไม่ควรจะเอะอะก็ด่า ตี หรือหยาบคายใส่โดยที่ไม่มีเหตุผล หรือเอะอะเด็กต้องคุกเข่ามาหา เดินก็ต้องก้มหัวตลอด เจอหน้าสิบครั้งก็ต้องไหว้สิบครั้ง ซึ่งโอเค มันดีแหละสำหรับผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กนอบน้อมแล้วมีความสุข แต่มันไม่ได้แปลว่าเด็กที่ไม่ทำเป็นเด็กห่วย แล้วหลายครั้งที่เด็กไม่ทำก็เพราะเขาสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร และการที่เขาไม่ทำก็เป็นเพราะว่าคุณทำให้เขาเห็นไม่ได้ไงว่ามันทำไปเพื่ออะไร

บางทีเด็กไม่ร้องเพลงชาติ ไม่รู้ว่าจะเข้าแถวตอนเช้าไปทำไม มันก็บอกอะไรหลายอย่างกับเราว่าเรากำลังดีลกับโลกที่คนสงสัยแล้วยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วคุณไม่สามารถเสนอคำตอบได้เพราะมันไม่ดีพอหรือเปล่า

หรือเพราะตัวครูเองก็อาจจะยังไม่มีคำตอบด้วย

ใช่ หลายครั้งเด็กที่ทำอะไรหลายอย่างที่ขัดใจ บางครั้งเป็นเพราะเขาทำในสิ่งที่เราเชื่อกันก่อนที่จะสงสัย เราเชื่อไปแล้วว่ามันดี แต่เด็กมีความสงสัยเหล่านั้นซึ่งเราไม่มี จึงต้องสร้างสมดุลให้ดี ผมคิดว่าเราคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเด็ก 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเขามีเพื่อนของเขาอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการเพื่อนที่นั่งกอดคอกัน แต่ต้องการคนบางคนที่รู้มากกว่า หรือแนะนำได้ เป็นคนบางคนที่สามารถพูดคุยได้ที่ไม่ได้ห่างจนเกินไป เหมือนเราคุยกับมนุษย์แบบหนึ่ง คุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าครูควรจะเป็นมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เหมือนไม่ใช่ว่าเราเป็นครู แล้วนี่คือนักเรียน แต่สถานะเราคือเป็นการเรียนรู้แบ่งปันกันและกัน

การศึกษาหรือการสอนมันไม่ควรจะจบในห้องเรียน ทำยังไงให้ข้างนอกห้องมันยังสามารถหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์เหล่านี้ ยังเรียนรู้ต่อกันได้อีก ถ้าครูถ่อมตัวมาก เป็นมนุษย์มาก สิ่งที่ครูพยายามจะสื่อสารก็จะทำได้ง่ายขึ้น

แล้วทำไมความเป็นมนุษย์สำหรับความเป็นครูถึงสำคัญมาก

ในแง่หนึ่งผมคิดว่าเราไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเฉพาะเวลาที่เราเดือดร้อน แต่ชีวิตปกติเราก็เรียนรู้มาจากคนที่ดูเป็นมนุษย์มากกว่าเรา เวลาเราเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นมนุษย์ เราจะไม่สนใจคอนเทนต์ เราสนใจฟอร์ม แต่การเป็นครูมันไม่ใช่เรื่องของฟอร์ม เราไม่ได้สอนเรื่องพิธีกรรม เราสอนคอนเทนต์ เราพยายามชี้ให้เขาเห็นถึงการคิด การตั้งคำถามกับสังคม การสร้างโลกที่มันดีกว่า พวกนี้มันไม่สามารถกระทำผ่านการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ มันต้องทำให้เขาเห็นและเรียนรู้ผ่านการที่คุณแสดงออกหรือชี้ทางว่าโลกมันควรจะเป็นแบบนี้

แล้วเราก็ผิดได้ด้วย

ใช่ เรื่องสำคัญของการเป็นมนุษย์คือเราผิดได้ เด็กต้องไปไกลกว่าเรา ต้องก้าวไปข้างหน้า ถ้าเราผิดไม่ได้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เด็กต้องกราบไหว้อย่างเดียวมันคงไม่มีทางสร้างโลกที่ดีได้ เต็มที่คือโลกแบบที่เราอยู่ สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ถ้าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือเด็กที่เชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ คิดแบบที่เราคิด เด็กจะต้องรู้มากกว่าเราในวันหนึ่ง และจะสามารถรู้มากกว่าเราได้ด้วยการให้เขาข้ามเราไป ครูต้องเป็นมนุษย์ที่รู้สึกว่าตัวเองถ่อมตัว

ครูที่ดี = คนที่ดี?

มีครูที่ชอบและไม่ชอบไหม

ไม่ได้มีครูคนไหนที่ชอบหรือเกลียดเป็นพิเศษ แต่ผมไม่ชอบอาจารย์มหา’ลัยหลายคนในหลายๆ ความหมาย ในแง่หนึ่งอาจารย์มหา’ลัยห่างกับเด็ก สิ่งที่ผมเจอในอาจารย์มหา’ลัยแล้วไม่ชอบ ผมจะไม่เป็น คือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีก๊กมีเหล่า มีเครือข่าย ให้โอกาสกับเด็กที่เคารพนอบน้อม ครูที่ไม่ได้พร้อมที่จะอยู่กับเด็ก มาถึงจบคาบก็จากไป ผมชอบครูที่สามารถให้แรงบันดาลใจเราได้ เขาทำให้เราว้าวแบบนั้นมากกว่า อาจจะไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร แต่ผมชอบครูที่ทุ่มเทเพื่อการสอนและใส่ใจ รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ครูที่ดีต้องเป็นคนดีไหม

คนดีคืออะไรนะ ผมถามเด็กตลอดเลยว่าเวลาพูดถึงคนดีเราหมายถึงอะไร ไม่แน่ใจว่าครูที่ดีต้องเป็นคนดีในความหมายไหน ดีในแง่ไหน ดีตามที่รัฐต้องการประเทศชาติต้องการก็แบบหนึ่ง ดีต่อคนส่วนใหญ่ก็แบบหนึ่ง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครูที่ดีต้องเป็นคนที่ดี 100 เปอร์เซ็นต์ ไหม แต่มนุษย์ก็ควรจะเป็นคนที่ดีให้ได้มากที่สุดที่เขาจะเป็นได้

และไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทุกคนในโลกใบนี้ต่อให้ทำอาชีพอะไรก็ควรจะเป็นคนที่ดีให้ได้มากที่สุดที่เขาจะเป็นได้ แต่เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราเป็นคนที่ดีแค่ไหน คนอื่นจะช่วยตัดสินเรา แล้วเราต้องอยู่ในโลกแบบนี้และต่อสู้กับสิ่งที่เราคิดว่ามันดี ฉะนั้นก็ตอบว่าครูที่ดีควรจะเป็นคนที่ดีครับ และควรจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้บรรลุหน้าที่ของการเป็นครู

ซึ่งถามผมก็คือทำให้เด็กเห็นว่าโลกตอนนี้มันไม่ได้สวยสดงดงาม แต่มันก็ดีกว่านี้ได้ เราทำให้เขามีแรงบันดาลใจในการไปสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม ผมคิดว่านั่นก็เป็นครูที่ดีแล้ว และควรเป็นคนดีให้ได้มากที่สุดครับ แต่ดีแค่ไหนก็ถกเถียงกันต่อไปได้อีก

Tags:

ครูระบบการศึกษาโรงเรียนเทคนิคการสอนภาคิน นิมมานนรวงศ์

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

EF คือความรัก แต่ไม่ใช่รักที่ต้องแลกจากการเรียน เรียน และเรียน
Early childhoodEF (executive function)
7 February 2018

EF คือความรัก แต่ไม่ใช่รักที่ต้องแลกจากการเรียน เรียน และเรียน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • พอจะเข้าใจแล้วว่า EF คืออะไร แต่ EF จะทำงานได้ ต้องอาศัยอะไรบ้าง?
  • รวมเทคนิครับมือกับเด็กเล็กขี้อิจฉา จอมโวยวาย ลงไปดิ้นเพื่อขอของเล่นด้วยวินัยเชิงบวก และ EF ที่ทำได้จริงและน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ!
  • คีย์เวิร์ดสั้นง่ายของ ‘EF’ คือการควบคุมอารมณ์และความคิดโดยการใช้ประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับความผูกพัน ความรัก ความอบอุ่น และโอกาสในฝึกใช้สมองส่วนนี้ คำถามคือเราได้ให้โอกาสเด็กได้ฝึกใช้สมองส่วนนี้บ่อยแค่ไหน?
ภาพ: พิศิษฐ์ บัวศิริ

‘EF’ พูดแล้วพูดอีกก็มีแต่คำนี้ ทำไม?

EF-Executive Functions ดูจะเป็นคำที่นักการศึกษา ครู และพ่อแม่รุ่นใหม่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ บ้างว่าคือ ‘ยานแม่’ แห่งการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด กลไกผลิตความสุขุมทั้งมวล บ้างก็ว่า EF นี่แหละ คือคำตอบของการปฏิรูปการศึกษาไทย เพื่อผลิตอนาคตของชาติ ให้หัวใจและสมองพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ในศตวรรษที่21

แต่เอาเข้าจริงแล้ว  EF ทำงานอย่างไร อยู่ตรงไหนของสมอง ทำงานร่วมกับอะไรบ้าง และการสร้าง EF ที่แข็งแรงทำยังไง ใครๆ ก็ทำได้จริงหรือ มันเป็นความรู้ที่เหมาะกับคนชนชั้นกลางเท่านั้นใช่ไหม หรือเป็นองค์ความรู้และ Tools ที่จำเป็นและประยุกต์ใช้ได้สำหรับทุกคน?

The Potential นำคำถามทั้งหมดนี้ไปถาม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของงานวิจัย “101S เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก&พัฒนาการสมอง จิตใจ และพฤติกรรม” ซึ่งย้ำกับเราตลอดว่า

“เรามักตัดตอนไปที่ EF ทำงานแล้วจะทำให้เรามีทักษะอะไรบ้าง แต่ลืมว่าสิ่งที่จะทำให้ EF ทำงาน คือการดึงประสบการณ์เดิมออกมาใช้ และต้องเป็นประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพด้วย”

‘ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ’ คือความอบอุ่น ความรักความผูกพัน และไม่ใช่ความรักที่ต้องแลกมาจากการเรียน คือสิ่งที่ ‘ครูปนัดดา’ ย้ำว่าคือหัวใจหลักในการทำงานของ EF

EF จะทำงานได้ ต้องอาศัยอะไรบ้าง?

เราพอจะรู้แล้วว่า EF สำคัญและน่าจะเป็นคำตอบของการปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะการพัฒนาเด็กให้พร้อมในสังคมแห่งศตวรรษที่ 21 แต่เอาเข้าจริงแล้ว EF คืออะไร และมันทำงานอย่างไร

EF ย่อมาจาก Executive Functions เป็นการทำงานของสมองชั้นสูง ควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำของมนุษย์ ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ EQ หรือ IQ เป็นแบบทดสอบสติปัญญาที่ออกมาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้คนๆ หนึ่งมี EQ หรือ IQ ดีหรือไม่ดี คือ EF

EF คือระบบปฏิบัติการของสมองที่กำหนดความสูงต่ำของ EQ และ IQ  ฉะนั้น EF จึงไม่ใช่แค่การคิดวิเคราะห์อย่างเดียว เพราะการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์ ต้องมีอารมณ์ สติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

และสำหรับอาจารย์ที่เน้นเรื่องพัฒนาการเด็กปฐมวัย จะเน้นเรื่อง ‘ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ’ ของเด็กด้วย เพราะแม้ว่าสมองส่วน EF จะอยู่หลังหน้าผากเรา แต่มันทำงานร่วมกับสมองส่วนอื่น ด้วยการดึงประสบการณ์เดิมมาประมวลผลร่วมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อที่จะคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ไขปัญหา และไปให้ถึงพฤติกรรมเป้าหมาย

นั่นแปลว่า EF จะถูกใช้ต่อเมื่อสถานการณ์นั้นเป็นสถานการณ์ใหม่ ไม่ใช่ routine หรือกิจวัตรประจำวันของเรา แต่เป็นสถานการณ์ที่ต้องการแก้ปัญหา ต้องการวางแผนควบคุมอารมณ์

สมองของเราจะมีส่วนอัตโนมัติ กึ่งอัตโนมัติ และส่วนที่ต้องใช้คิด เช่น จำความรู้สึกตอนที่ขับรถครั้งแรกได้มั้ย? เราจะเกร็งๆ รับโทรศัพท์ไม่ได้ เบาะเอนหลังมากกว่านี้ไม่ได้ เปิดเพลงไม่ได้ ใครชวนคุยก็ไม่ได้ นี่แหละ… ช่วงเวลานี้เองที่ EF ทำงาน แต่ถามว่าตอนนี้เราขับรถยังไง เราหันไปถักเปียให้ลูก ไปป้อนข้าวลูกยังได้เลย เพราะมันใช้สมองส่วนกึ่งอัตโนมัติ ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ เช่นตอนที่เราอาบน้ำ ไม่ต้องคิดว่าถูสบู่ทำยังไง สมองจำไปแล้วว่าขั้นตอนการอาบน้ำจะเป็นแบบนี้ๆ แต่ตอนที่เราตัดสินใจว่าจะไปอาบหรือไม่อาบ ตอนนี้ต่างหากคือ EF

คีย์เวิร์ดของมันมีอยู่ไม่กี่คำ ต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ สมองระดับสูงทำงานร่วมกับสมองส่วนอื่น เมื่อ EF ทำงานแล้ว มันจะทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ไขปัญหา ควบคุมอารมณ์ วางแผน จัดลำดับความสำคัญ ทั้งหมดนี้คือทักษะที่เราอยากได้จากเด็ก แต่อย่าลืมว่าเวลามันทำงาน มันต้องดึงประสบการณ์เดิมออกมาใช้ เพื่อทำการประมวลเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

คำถามที่อาจารย์เจอตอนเรียนครูปฐมวัยคือ ‘ประสบการณ์เดิมของเด็กเยอะหรือน้อย?’ แต่คำถามนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่า ‘ประสบการณ์เดิมของเด็กมีคุณภาพเพียงพอมั้ย’ เราซึ่งเป็นคนที่ใส่ประสบการณ์เดิมกับเด็กไว้ ต้องคิดว่าที่ผ่านมาเราใส่อะไรลงไปบ้าง

เช่น หากว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง(หญิง) เดินออกจากบ้านไปสัก 15 ก้าว แล้วไปเจอรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า ‘ไปกัน… น้องคือที่สุดของพี่เลย’ การที่เด็กคนนี้จะตัดสินใจไปหรือไม่ไป จะขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง? (ถามกองบรรณาธิการ)

น่าจะคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร จุดประสงค์ของเขาคืออะไร ไปด้วยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

แล้วถ้าเขารื้อประสบการณ์เดิมออกมาแล้วมีแต่ พ่อไม่รัก แม่ตี โดนด่าทุกวัน เพื่อนก็ไม่มี ครูยังไม่รัก แล้วมีคนๆ หนึ่งมาให้ความสำคัญกับเรามากๆ เราจะทำยังไง จะไปดีมั้ย? หรืออย่างเด็กวัยรุ่นผู้ชาย พ่อแม่อาจจะไม่เข้าใจเขามากเท่ากับเพื่อน ถ้าเพื่อนมาชวนว่า ‘เฮ้ย… นายใจมากอะ เราเพื่อนกัน ลองยากันมั้ย’ เขามีโอกาสที่จะทำมั้ย?

นี่แหละคือเรื่องที่เราลืมนึกถึง เราชอบตัดตอนไปที่ EF ทำงานแล้วจะทำให้เรามีทักษะอะไรบ้าง แต่ลืมว่าสิ่งที่จะทำให้ EF ทำงาน มันเกี่ยวข้องกับการดึงประสบการณ์เดิมออกมาใช้

เพราะฉะนั้นตัวอาจารย์เองให้ความสำคัญกับประสบการณ์เดิมมากๆ หากประสบการณ์เดิมมีคุณภาพเพียงพอ EF ถึงจะดี

เช่นนั้นแล้ว คำจำกัดความเบื้องต้นของ EF คือขั้นตอนตัดสินใจโดยใช้คำถาม ‘What-Ifs’ ถ้าเกิดสิ่งนี้ แล้วจะเกิดอะไรตามมา ด้วยการประมวลอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ใช่ เป็นการประมวล อดีต ปัจจุบัน และคาดการณ์ไปอนาคต เพราะมันเกี่ยวข้องกับการ planning

ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพของคนๆ หนึ่ง เช่นอะไรและเกิดมาจากอะไรได้บ้าง

หมายถึงประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความผูกพัน ความรัก ความอบอุ่น อีกส่วนหนึ่งคือเป็นประสบการณ์ที่ให้เด็กได้ฝึกใช้สมองส่วนนี้ คำถามคือเราได้ให้โอกาสเด็กได้ฝึกใช้สมองส่วนนี้บ่อยแค่ไหน

หากเราเปิดโอกาสให้เด็กประมวลอดีต ปัจจุบัน และคาดคะเนเหตุการณ์ไปยังอนาคตบ่อยๆ เส้นใยหรือเครือข่ายโยงใยสมองจะแข็งแรง เมื่อแข็งแรงก็จะกลายเป็นทักษะ เป็นบุคลิกภาพ เป็นนิสัยของเรา อะไรที่มันเป็นนิสัย เราจะไม่ต้องคิดเยอะ มาเร็ว เพราะฉะนั้นหากเราให้ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ โดยให้เด็กรู้จักคิด ไตร่ตรอง คาดคะเน รับผิดชอบผลที่ตามมาบ่อยๆ เด็กก็จะโตมาเป็นคนแบบนั้น แต่ถ้าเด็กไม่ใช้ EF เขาจะใช้อะไร? ตรงนี้สำคัญ

โครงสร้างสมองของพวกเรามีทั้งหมด 3 ส่วนคือ สัญชาตญาณ อารมณ์ และส่วน EF ทำงานหลังหน้าผาก

ส่วนล่างสุดคือสัญชาตญาณ การเอาตัวรอด ควบคุมอะไรที่มันอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปสั่งการอะไร เช่น หายใจ ปรับอุณหภูมิในร่างกาย การหลั่งน้ำย่อย เวลาที่เราตกใจ เราร้องกรี๊ด จับของร้อนก็กระตุก อะไรแบบนี้เราไม่ต้องคิดเยอะ เพราะมันถึงแก่ชีวิต สมองส่วนนี้จะทำงานให้

สมองส่วนที่สองจะอยู่ตรงกลาง เรียกว่าสมองส่วนอารมณ์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ ไม่พึงพอใจ ชอบ ไม่ชอบ ที่สำคัญ มันทำหน้าที่ในการเรียนรู้และจดจำ และจะจดจำได้ดีพร้อมอารมณ์ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เรามีความสุขเราจะไม่ค่อยจำเยอะ แต่ถ้าเราถูกทำให้เสียใจ เราจะจำเป็นรายละเอียดเลยว่าวันนั้นเราใส่เสื้อตัวไหน กระโปรงตัวไหน เสียใจด้วยคำพูดอะไร

แล้ว EF อยู่ตรงไหน

ถ้าเป็นเรื่องที่อาจถึงแก่ชีวิต สมองส่วนสัญชาตญาณจะสั่งการพฤติกรรมทันที ไม่ปล่อยให้สมองส่วนอารมณ์และเหตุผลได้คิด เหมือนไฟไหม้แล้วเรายกตุ่มได้ เพราะสมองส่วนสัญชาตญาณจะหลั่งสารที่ทำให้เราทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก อารมณ์ รัก อบอุ่น ปลอดภัย EF ต้องลงมาช่วยควบคุม แต่ถ้าอารมณ์นั้นมันมาก (ลากเสียง) จนทนไม่ไหว ก็จะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมทันที มันไม่ยอมให้ EF ลงมาทำงานด้วย

เช่น เราเคยโมโหจนพูดอะไรที่ปกติเราไม่พูดมั้ย? ทำไมเราถึงพูด รู้ว่าพูดแล้วมันไม่ดี แต่อารมณ์มันสูงมากจนต้องแสดงออกเป็นพฤติกรรมทันที ไม่ปล่อยให้ EF ลงมาควบคุม

อันนี้เแหละที่เราจะต้องสอนเด็ก ว่าจะทำยังไงให้ EF ของเด็กถูกกระตุ้นให้ทำงาน ทั้งในเรื่องการควบคุมอารมณ์ ควบคุมความคิด ควบคุมพฤติกรรม

เทคนิค: ฝึก EF ให้ลูกอย่างผู้ที่มี EF

ถ้าคีย์เวิร์ดของ EF การสร้างหรือปลูกฝัง EF ให้กับเด็กตั้งแต่เล็ก คือ 1. ประสบการณ์เบื้องหลัง 2. ความผูกพัน 3. การควบคุมอารมณ์ แต่ขณะเดียวกัน ด้วยระบบการศึกษาที่เน้นวิชาการ เรียนแยกรายวิชา จำนวนเด็กต่อห้องเรียนเยอะมาก เราจะเริ่มแก้ไขอย่างไรดี

ประเด็นที่หนึ่ง-เด็กเยอะ อย่างไรเรื่องนี้ต้องแก้ ถ้าแก้ไม่ได้เราก็ต้องพบกับความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประเด็นที่สอง-ทักษะวิชาชีพของครูประถม ต้องมีทักษะ มีเทคนิค ทำอย่างไรให้เค้าให้ความสนใจกับเด็กได้หลายๆ คน ครูคนหนึ่งดูแลเด็กน้อยคนย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเด็กน้อยแล้วครูไม่มีทักษะ มันก็เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นทั้ง 2 อย่างต้องควบคู่กันไป

ยกตัวอย่างเช่น ตัวอาจารย์เองเคยเป็นครูปฐมวัยในอเมริกามา 10 ปี แรกๆ ที่เห็นเด็กร้องไห้เราก็เข้าไปอุ้ม เป็นไปตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องคิดเยอะเลย อาจารย์จะโดนเตือนว่าอย่าอุ้ม ไม่ให้อุ้ม ในใจเราคิดเลยนะ… ใจร้ายอะ ทำไมไม่ให้อุ้ม แค่อุ้มเด็กแค่นี้ทำไมต้องเดินมาว่าเรา แต่จริงๆ เค้าอธิบายให้ฟังว่า

พอเราอุ้มเด็กปุ๊ป (ทำท่าอุ้มเด็ก) แปลว่าอะไร? แปลว่าตัวเราปิด เด็กคนที่ถูกอุ้มอาจจะโอเค แต่เด็กคนอื่นละ? พอเราอุ้มคนหนึ่ง คนที่เหลือก็อยากให้อุ้ม  แต่พออุ้มไม่ได้แล้วใจร้ายมั้ย?

เค้าก็เลยบอกว่า มีวิธีอื่นนะ ถ้าเรานั่งลงแล้วค่อยๆ ปลอบเค้า ตัวเราก็ยังเปิดอยู่ ทุกคนก็ยังสามารถเข้ามาได้ ถ้าเด็กอยากให้กอดเราก็ต้องมีวิธี คือกอดทีละคน แต่ได้กอดทุกคน ระหว่างนั้นเขาจะได้หัดรอ ระหว่างรอ EF ก็เกิด

แต่ถ้าเราอุ้มปุ๊ป นั่นแปลว่าตัวเราปิดทันที อันนี้จะเป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกว่า ‘การสร้างวินัยเชิงบวก’

เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้ EF เด็กทำงานได้ง่าย เพราะหากสมองส่วนอารมณ์ของเค้าสงบ ได้รับความรัก ความอบอุ่น มันก็จะยอมทำงานร่วมกับ EF ได้ง่ายขึ้น

ฉะนั้นประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับความรัก ความอบอุ่น ความผูกพัน มันจะเป็นตัวเอื้อให้ EF ทำงานได้ง่าย แต่หากเขาไม่ได้ถูกฝึก สมองส่วนอารมณ์จะเข้าควบคุมทั้งหมด แสดงออกมาเพื่อขอ เราก็จะเจอพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ อารมณ์ร้าย เก็บกด

เค้าจะใช้สมองส่วนอารมณ์แสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อให้ได้อะไรสักอย่าง เหมือนเรางอน ถ้างอนแล้วไม่ได้เราจะทำยังไง เราก็จะงอนมากขึ้นๆ

เหมือนความรู้สึกเรียกร้องความสนใจ ความอิจฉาริษยา จะถูกบ่มเพาะให้มากขึ้น เกิดการแข่งขันเพื่อแย่งความรักในห้องเรียน?

คนเราเกิดมา มีสมองติดตัวเพื่อเอาชีวิตรอดก่อนในด่านที่หนึ่ง ฉะนั้นอารมณ์อิจฉา โกรธ ขยะแขยง ไม่ชอบ มันเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาอยู่แล้ว การทำแบบนั้นจะยิ่งไปกระตุ้นสมองสัญชาตญาณของพวกเราให้มันกลายเป็นนิสัย เราจึงควรฝึกสมองส่วน EF ให้มันทำงานแรงกว่าสมองพวกสัญชาตญาณ

ผู้ใหญ่มักมองว่า เวลาที่เด็กเรียกร้องความสนใจ งอน ขี้อิจฉา จะเป็นเด็กไม่ดี ต้องดัดนิสัยด้วยการไม่สนใจ ต้องไม่ตามใจ ไม่อย่างนั้นเด็กจะเสียนิสัย?

เมื่อก่อนอาจารย์เองไม่รู้ รู้สึกไม่โอเคกับความรู้สึกอิจฉาริษยา อิจฉาเพื่อน แย่งเพื่อน เห็นแก่ตัว แต่พอรู้ว่าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิดเพื่อเอาตัวรอด เราต้องมีความรู้สึกแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทักษะทางสังคม

ต้องรู้ก่อนว่าพฤติกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด เช่น โกหกเมื่ออยากได้ โทษคนอื่นเมื่อถูกจับได้ ทำเป็นเสียงดังข่ม อิจฉา เป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนเด็กเกิดมาพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่มันเป็นหน้าที่พวกเราพ่อแม่ครูผู้ปกครอง คนใกล้ชิด ที่จะต้องสอนว่าเมื่อรู้สึกอย่างนั้นแล้วต้องทำอย่างไร แค่นั้นเอง

เราเคยถูกสอนไหม เมื่ออิจฉา เมื่อโกรธทำอย่างไร? เราไม่เคยถูกสอน นี่แหละคือประสบการณ์เดิม เรามีแต่… เมื่อเด็กร้องไห้ ต้อง ‘เงียบ ฮึ้บ’ ‘เดี๋ยวตำรวจมาจับนะ’ เรียกว่าเป็นวินัยเชิงลบทั้งหมด เวลาเราบอกให้เด็ก ‘เงียบฮึ้บ’ เขาจะทำไง? ก็มีตั้งแต่ไม่เงียบ หรือบางคนฮึ้บ แล้วก็สะอื้นร้องต่อ เพราะอะไร? เพราะสมองส่วนอารมณ์สั่งให้เงียบจากความกลัว แต่ระดับอารมณ์ยังเยอะอยู่ มันก็ยังต้องการแสดงพฤติกรรมออกมา เหมือนปวดฉี่ ก็ต้องระบายออก

คำถามก็คือประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพคืออะไร? โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์ เราไม่เคยถูกสอนให้จัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นการจัดการอารมณ์ที่ไม่ดีของตัวเองมันต้องใช้ EFแต่ก็ต้องอาศัยประสบการณ์เดิมให้ EF ได้ดึงออกมา

ไม่ใช่พอเรารู้สึกอิจฉาปุ๊บ ก็มีโทษตัวเอง ไม่ดีเลยเป็นคนขี้อิจฉา เราก็จะรู้สึกผิดกับตัวเองอีก อารมณ์มีแต่ลบๆ ขึ้นมา และมันก็จะถูกฝังอยู่ลึกๆ เพราะอารมณ์ยังไม่ได้รับการจัดการ เหมือนอาหารไม่ย่อย แล้วเราก็เรียกสิ่งนี้ว่าปม

มีวิธีดูแลความรู้สึกอิจฉาของเด็กหลายๆ คนในห้องเรียนอย่างไรบ้าง

อย่างลูกศิษย์ของอาจารย์ตัวเล็กๆ

เราบอกเขาเลยว่าถ้าอิจฉา ให้บอกครูเลยว่าหนูไม่พอใจที่ครูไปเล่นกับเพื่อนคนอื่น บอกเขาว่า ‘หนูอิจฉาใช่ไหม คราวหน้าถ้ารู้สึกอย่างนี้อีกให้เดินเข้ามาถามครูว่ารักหนูมั้ย’ ถ้าคราวหน้าเขาเกิดความรู้สึกแบบนี้อีก ก็จะมีคำศัพท์ของความรู้สึกที่จะจัดการกับอารมณ์ตัวเอง

ได้ว่า ‘อ๋อ… ครูปนัดดาบอกว่าอะไร ความรู้สึกที่ฉันไม่พอใจเพราะครูปนัดดาไปเล่นกับเพื่อน แต่ครูปนัดดาบอกแล้วว่าถ้ารู้สึกแบบนี้อีก ให้ทำยังไงต่อ’ อันนี้เป็นเรื่องของวินัยเชิงบวก ที่จะทำให้สมองส่วนอารมณ์มันโอเค ทำให้ EF ทำงานได้ง่ายขึ้น

ไม่ใช่การบอกว่าให้ ‘เงียบ ฮึ้บ’ แต่ให้อธิบายออกมาว่ารู้สึกแบบนี้นะ และคุยกันได้

ใช่ อย่างแรกเลยคือ ยอมรับอารมณ์ อารมณ์เป็นธรรมชาติ มันตั้งอยู่แล้วดับไป เมื่อมันตั้งอยู่ เราต้องช่วยเค้าดับ

เพราะสมองส่วน EF จะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปีไปแล้ว ฉะนั้น EF ในเด็กอายุ 2 ขวบมันกำลังค่อยๆ พัฒนา ถ้าไม่ช่วยเค้าดับอารมณ์ที่มากเกินไปนี้ EF ไม่มีทางเกิดเลย แล้วก็แสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ไม่มีทางให้ EF ลงมาทำงานร่วมด้วย เส้นประสาท EF ไม่ถูกถักทอ ไม่ได้ถูกฝังชิปเอาไว้ เบาบางมากๆ

แต่ท่ามกลางความจริงที่ว่า หน้าที่ของครูไทยไม่ได้ทำงานสอนอย่างเดียว จำนวนเด็กต่อห้องเรียนมีมาก อาจเป็นไปไม่ได้ที่ครูหนึ่งคน จะคลี่คลายอารมณ์ของเด็กได้ทุกคน

แต่งานหลักของครูปฐมวัยคือการดูแลอารมณ์เด็ก ครูไม่ได้เป็นคนควบคุมเด็ก 30 คน แต่เด็ก 30 คนควบคุมตัวเองได้

เมื่อนั้นคุณจึงจะสอนวิชาการได้ เมื่อนั้นความเหนื่อยน้อยลง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณไม่เคยสอนสิ่งเหล่านี้ คุณก็จะต้องตะโกนใส่เด็กทุกวัน

ต้องขอยืมคำจากนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คำว่า developmental task หรืองานพัฒนาการ คุณหมอประเสริฐพูดว่างานของพวกเราคือ ตื่นเช้ามาก็ต้องไปทำงาน งานของวัยรุ่นตื่นเช้ามาต้องหาคู่ มีเพศสัมพันธ์ หาเพื่อน หากลุ่ม เพราะมันเป็นพัฒนาการด้านจิตใจ เป็นอินเนอร์ของเค้า

เด็กเล็กๆ ตื่นขึ้นมาเพื่อหา trust หาความไว้เนื้อเชื่อใจจากโลกใบนี้ พฤติกรรมเค้าจะเป็นยังไง เค้าก็ต้องเรียกร้อง ในการเรียกร้องของเค้าก็ไม่มีใครสอนว่าเรียกร้องยังไงให้น่ารัก แต่เราสอนเค้าโดยไม่รู้ตัวว่า เมื่อไหร่ที่เรียกร้องแบบไม่น่ารัก เราจะให้ความสนใจ

เช่นร้องโวยวาย ตีคนอื่น แกล้งเพื่อน แต่แกล้งเพื่อนทีไรครูให้ความสนใจทุกที แม้ความสนใจนั้นจะไม่ดี แต่เขาได้ เรากำลังสอนเค้าว่าทำแบบนี้ได้รับความสนใจ เด็กที่เรียบร้อยกับเด็กเกเร ครูให้ความสนใจใครมากกว่ากัน?

ส่วนใหญ่เป็นเด็กไม่เรียบร้อย?

นั่นแหละ เรากำลังสอนเขาว่า ทำอย่างนี้ได้นะ สมองส่วนอารมณ์จะหิวในเรื่องของความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย อาจารย์ใช้คำว่าหิว เหมือนเราหิวข้าว การเรียกร้องความสนใจก็เหมือนกัน เวลาหิวข้าว ถ้าข้าวไม่ดีแต่หิวกินมั้ย? อันนี้ก็เหมือนกัน นั่งเรียบร้อยไม่ได้รับความสนใจ ทำตัวไม่เรียบร้อยดีกว่า แม้ว่าความสนใจนั้นจะไม่ดี แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้

แต่ผู้ใหญ่มักคิดว่า ห้ามสปอยด์เด็กนะ ตามใจเด็กทุกอย่างไม่ดี

อาจารย์มองว่ามันเป็นความคิดแบบสุดโต่ง ต้องกลับมามองเรื่อง EF ของผู้ใหญ่ เราเคยบอกเค้ามั้ยว่า เขาจะได้อะไรบ้างและเมื่อไหร่ ยกตัวอย่างเช่น การซื้อของเล่นของบ้านอาจารย์ เราจะบอกหลานแต่ละคนเลยว่า ต่อปี เขาจะได้ซื้อของเล่น 9 ครั้ง ถือว่าเยอะแล้วนะ คือแทบจะเดือนละครั้งเลย วันที่จะซื้อของขวัญก็พวกวันเกิดเค้า วันเกิดปู่ย่าตายาย วันปีใหม่ วันคริสมาส วันสงกรานต์ วันรวมญาติ หรือวันสุดท้ายของการเรียน

เวลาที่เด็กเดินไปเจอของเล่นแล้วบอกว่าอยากได้ เราก็บอกว่า ‘ได้’ เดี๋ยวไปจดไว้เลยนะ วันสำคัญที่จะได้ของขวัญวันไหนมาถึงก่อนจะซื้อให้เลย’ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การ ‘ดีเลย์ความรู้สึกอยากได้’ คือเวลาที่เขาอยากปุ๊ป เราบอกว่า ‘ให้’ แต่ให้ไปจดเอาไว้ก่อนนะ แต่ว่าได้มั้ย ได้ สมองส่วนอารมณ์มันจะ เฮ้ย… มันได้นะ คือแค่ไปจดก็ฟินแล้ว เพราะมันเหมือนมันจะได้ เหมือนเราซื้อตั๋วไปต่างประเทศ มีตั๋วแล้วแค่รอวันที่จะมาถึง แค่นี้ก็มีกำลังใจทำงาน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่านั้น คือวันที่จะได้ของขวัญมาถึง เค้าจะเริ่ม priority หรือจัดลำดับความสำคัญของขวัญละ อันนี้ไม่เอา เอานี้ก่อนดีกว่า ก็เป็นเรื่อง EF อีก เพราะฉะนั้นที่จารย์บอกว่าสุดโต่งก็คือ อะไรละที่คุณบอกว่าไม่ให้  หรืออย่าสปอย

บางครั้งเราอาจจะเพิ่งซื้ออะไรให้เขาไป พอจะให้อีกทีก็บอกว่า เฮ้ย… ไม่ให้ดีกว่า เดี๋ยวสปอยด์เด็ก แต่เราไม่มีแพทเทิร์นที่แน่นอน เราทำให้เด็กเรียนรู้คำว่า ‘เผื่อฟลุ๊ค’ คำว่า ‘ตัดความรำคาญ’

อย่างเรื่องวินัยเชิงบวก ถ้าคนไม่เข้าใจก็จะมองว่าโลกสวย แต่จริงๆ วินัยเชิงบวกคล้ายกับใจดีแต่ไม่ใจอ่อน ถ้าเด็กลงไปดิ้น สิ่งที่เราจะบอกคือ ‘รู้ว่าเสียใจ รู้ว่าไม่พอใจที่ไม่ซื้อของเล่นให้ลูก’ ถ้าเขากรี๊ดขึ้นมาอีกก็บอกเหมือนเดิม ‘เรารู้ลูกว่าไม่พอใจนะ’ พูดวนไป แต่เด็กจะเรียนรู้ ถ้าร้องแล้วไม่ได้ เขาก็ไม่ร้อง สำคัญคืออยู่ตรงนั้นกับเค้าและเข้าใจเค้า ไม่ใช่แบบ ‘ร้องไปเลยนะ’

พ่อแม่อาจกลัวสายตาของคนอื่นเวลาที่ลูกร้องไห้งอแง หรือเวลาที่เราควบคุมลูกไม่ได้  หรืออาจจะมีคนเอาเรื่องของเราไปลงเพจ ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’  หรืออะไรแบบนี้ (หัวเราะ)

เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ถ้านอกเหนือจากวิธีพวกนี้ คิดว่ามันไม่น่าจะใช่การจัดการแบบถาวร เพราะว่าขู่วันนี้อาจจะกลัววันนี้ แต่พรุ่งนี้ก็อาจไม่กลัวแล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่เราซัพพอร์ทความรู้สึกของเด็กยังไง ไม่เคยถูกสอนให้จัดการอารมณ์ ไม่เคยถูกสอนให้ใช้เวลาจัดการ เงียบก็คือต้องเงียบ หรืออย่างลูกโกรธ เราไม่เคยบอกว่า โอเค… หนูกำลังโกรธนะ แล้วให้เวลาจัดการ แต่เราจะพูดๆๆ พูดจนเขาระเบิด

สมองส่วนอารมณ์มันถูกกระตุ้นแล้ว ฉะนั้นการสื่อสารจากข้างนอก นอกจากจะไม่ช่วยให้เขาจัดการอารมณ์ได้  ยังจะมีแต่ซ้ำเติมและทับถม หรือเราไปสอนเขาตอนที่เราเองก็มีอารมณ์ พอสอนไม่ได้ ลูกไม่ฟัง อารมณ์ก็ขึ้นอีก ด่าอีก ไปกันใหญ่เลย เราไม่เคยให้เวลาเด็กได้จัดการกับอารมณ์ตัวเองจริงจัง และการที่เด็กได้จัดการกับอารมณ์ตัวเองนั่นคือการปลูกฝัง EF

แต่ดูเหมือนวัฒรธรรมการเลี้ยงลูกแบบไทยๆ ค่อนข้างจะมีอุปสรรคต่อการสอน EF เยอะพอสมควร เช่น เป็นลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน หรือว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี

และไม่ใช่แค่ครอบครัว สถาบันสังคม ในโรงเรียน แต่ระบบข้าราชการ ระบบการทำงานที่เป็นอำนาจจจากบนลงล่าง อย่าตั้งคำถามนะ อย่างเถียงนะ

คิดว่ามันเป็นพฤติกรรมของแต่ละเหตุการณ์มากกว่า อย่างสำนวน ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ คนรุ่นอาจารย์เองก็ถูกตีมา แต่คนที่ทายาให้หรือโอ๋เราก็คือคนที่ตี ถ้าตีแล้วแยกย้าย พ่อแม่ ไปทำงาน ลูกไปเรียน กลับมาเจอกัน นอน ตื่นมาก็ตีใหม่? (สีหน้าตั้งคำถาม) แต่คนที่ถูกตีก็ไม่ใช่ว่าจะได้ดีเสมอไป ตีแล้วยังไงต่อ?

ตอนที่อาจารย์ไปสอนเด็กแรกๆ ก็ตีนะ เพราะมันอยู่ในหัวเรา แล้วดันไปอยู่โรงเรียนสาธิตที่เค้าใช้วินัยเชิงบวกเพื่อพัฒนา EF ตอนเราตีทีนี่ ทุกคนมองว่าเราป่าเถื่อน ผอ. เรียกพบเรา ระหว่างที่เดินไปหาผอ. เราคิดเลยว่าโดนแน่ ไม่น่าเลย จะพูดยังไงดี คิดแก้ตัวเป็นพัลวัล แต่พอนั่งหน้าผอ. ปุ๊บ เขาชงชามาให้ บอกว่า ‘จิบชาก่อนนะ ใจเย็นๆ โมโหมากแน่ๆ เลยใช่มั้ย’ น้ำตาเรานี่ร่วงเลย บอกเลยว่าจะไม่ทำอีกแล้ว จะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ (หัวเราะ)

คนเราจะสำนึกอะไรได้ ก็ต่อเมื่อจิตเราดี มีคนคอยซัพพอร์ต ถ้าไม่มีเราจะสร้างกลไกป้องกันตัวเอง เป็น defense systems organisms ในสมอง เพราะฉะนั้นเมื่อมีใครมาซัพพอร์ตอารมณ์เรา สมองส่วน EF ก็ยอมให้ทำงาน

มันก็กลับมาที่เดิมเลยว่า ประสบการณ์เดิมที่ทำให้เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ หรือทำให้สงบได้ ต้องเป็นประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ เอื้อให้ EF ได้ทำงาน เวลาที่บอกว่าวัฒนธรรมบ้านเราที่ดูจะยากต่อการสร้าง EF อาจารย์มองว่ามันมีวัฒนธรรมอื่น เช่น ในครอบครัวใหญ่ ทุกคนต้องมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กมีงานบ้าน ได้จัดการกับงานบ้าน จัดการกับเรื่องเรียน นี่คือ EF หรือการลำดับความสำคัญ

วัฒนธรรมที่ทำให้เด็กมุ่งเรียนอย่างเดียวแล้วไม่ต้องทำงานบ้านต่างหากที่ทำร้ายเด็ก  เพราะเด็กมองว่าเรื่องของฉันคือเรื่องเรียน จิตอาสาไม่ต้องพูดถึง เพราะจิตอาสาในบ้านยังไม่เกิดเลย แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนที่รอดในการเรียน เรียนดีแปลว่าต้องดีกว่าเพื่อน การที่จะทำให้ตัวเองดูดีกว่าคนอื่น ง่ายที่สุดก็คือการที่ทำให้คนอื่นดูไม่ดี เราปลูกฝังแบบนี้ตั้งแต่เด็กโดยที่เราไม่รู้ตัว

อีกอันหนึ่งที่น่ากลัวคือ การแข่งขันสอบเข้าป.1 ตั้งแต่เด็กทำให้เด็กอนุบาลต้องมาแข่งขัน ถ้าไม่ติดเสียใจมั้ย? เราเอนท์ไม่ติดยังเสียใจ จะเป็นไปได้ยังไงถ้าเด็กป.1 สอบไม่ติดจะไม่เสียใจ ชีวิตหลังอายุ 5 ขวบจะมองว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ? พ่อแม่ก็กดดัน เพื่อนพ่อแม่ก็ถามว่าสอบได้มั้ย ทำไมสอบไม่ได้ ไปติวที่ไหนกันมา แต่ลูกฉันได้นะ เราจะรู้สึกไงถ้าต้องนั่งฟังอย่างงี้ตั้งแต่ 5 ขวบ

ไม่นับว่าก่อนขึ้นป. 1 ต้องติวเพื่อสอบเข้า ซึ่งเป็นเวลาที่ควรพัฒนาทักษะสมองส่วนอื่นๆ

อย่างที่คุณหมอประเสริฐบอก เด็กๆ ตื่นมาเพื่อหา trust เพื่อหา identity concept ของตัวเอง ซึ่งเราจะบอกว่าตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องฟังจากคนอื่น ถ้าพ่อแม่บอกทุกวันว่าเราดื้อ เราจะคอนเซปท์ตัวเองยังไง?

แต่ถ้าพ่อแม่บอกว่าเราเด็กดี ขยัน มีความรับผิดชอบ แต่พอมีการแข่งขัน เจอหน้ากันก็ถามแล้ว ‘อยู่โรงเรียนอะไร’ แล้วแบบนี้เด็กจะคอนเซปท์ตัวเองยังไง

มันไม่ใช่เรื่องของวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่เป็นค่านิยมที่เราไปให้คุณค่ากับอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับการพัฒนามนุษย์ แล้วเราก็ไม่เปลี่ยนสักที

ไม่แน่ใจว่าสมมุติฐานนี้เป็นจริงแค่ไหน แต่ถ้าการศึกษาปฐมวัยที่ควรจะสร้างความเข้มแข็งทางอารมณ์ สร้างทักษะความพร้อมด้านกล้ามเนื้อต่างๆ แต่แนวทางการศึกษาปัจจุบันมีการแข่งขันโดยวิชาการสูงมากและเริ่มตั้งแต่เด็ก

เป็นไปได้ไหมว่า เพราะเด็กๆ ไม่ถูกผลักดันให้เต็มพร้อมทางด้านอารมณ์ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่อยู่ในภาวะซึมเศร้ากันมากขึ้น เพราะ EF ไม่ได้ถูกพัฒนาอย่างที่ควร

หากเราเข้าใจพัฒนาการเด็ก ต้องรู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อรู้จักตัวเองก่อน หากการศึกษาเร่งเค้าให้ทำเรื่องอื่น เรากำลังเสียโอกาสที่เด็กคนหนึ่งจะรู้จักตัวเอง การมีตัวตน การได้ฟังเสียงตัวเองว่ามีความรู้สึก มีความต้องการ เป็นคนสำคัญของใคร

แต่เราเอาเรื่องความรัก ความสำคัญของเขาไปผูกกับเรื่องเรียน ใช้เรื่องเรียนแลกเปลี่ยนในสิ่งที่เค้าต้องการ การที่เด็กจะได้มาซึ่งความรักจากการต้องไปท่องก.ไก่ ข.ไข่ งอแงไม่ได้นะเพราะไม่ถูกยอมรับ แต่ท่องก.ไก่ปุ๊ป ถูกยอมรับ

การเรียนรู้และจดจำเพื่อเอาไปสอบ เป็นการทำงานของสมองแค่ส่วนกลางและส่วนอารมณ์เท่านั้น เราต้องจำตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาตรี เป็น 19 ปีแห่งการ ‘เรียน จำ สอบ ลืม’ ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมอารมณ์เด็กสมัยนี้ถึงร้อน เพราะสมองส่วนอารมณ์มีเครือข่ายโยงใยแน่นหนามากจนทำงานได้เกือบกึ่งอัตโนมัติ

เมื่อเด็กที่เคยท่องจำเพื่อสอบ ต้องคิดวิเคราะห์ขึ้นมา เขาจะคิดแค่แปปนึงแล้วก็เลิกคิด ทนแรงกดดันหรือความเครียดจากการคิดวิเคราะห์ไม่ไหว เพราะไม่เคยถูกฝึก EF เนื่องจากเวลาที่เราใช้ความคิด ก็ต้องควบคุมอารมณ์ควบคู่กันไปด้วย

สร้าง EF ในพ่อแม่และครู

การปลูกฝัง EF ในพ่อแม่และครู เป็นข้อมูลชุดเดียวกันกับการปลูกฝังในเด็กไหม ยากกว่าการปลูกฝัง EF ในเด็กหรือไม่

ครูกับพ่อแม่ ข้อมูลพื้นฐานชุดเดียวกัน ให้เข้าใจว่าการทำงานของสมองคือธรรมชาติ ให้รู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราสอนเป็นการฝืนธรรมชาติการเป็นเด็ก คำว่าพัฒนาการแปลว่าการมีลำดับขั้นตอน ขั้นแรกเป็นพื้นฐานของขั้นต่อไปเสมอ หากขั้นแรกไม่แข็งแรง ขั้นต่อไปก็ไม่แข็งแรง

คือให้รู้ก่อนว่าสมองทำงานยังไง สร้าง EF ยังไง แต่ tools อาจจะต่างกัน เพราะพ่อแม่อยู่กับเด็กหนึ่งต่อหนึ่ง ขณะที่ครู หนึ่งต่อหลายคน

เช่น สำหรับพ่อแม่ง่ายๆ เลย สมมุติว่าเรากำลังจะกลับบ้านจากไปห้างสรรพสินค้า และต้องการให้ลูกเข้าห้องน้ำ แทนการบอกลูกว่าต้องห้องน้ำก่อนกลับบ้านนะ เปลี่ยนเป็นให้ข้อมูลกับลูกว่า ‘อีก 40 นาทีกว่าจะถึงบ้าน หนูว่าหนูจะเข้าห้องน้ำก่อนไหม’ เขาก็ได้คิดตัดสินใจถูกมั้ย หากลูกบอกว่าไม่เข้า คุณแม่ทำไง? ให้บอกว่า โอเค… ไม่เข้านะลูก 40 นาทีเลยนะ มากสุดก็ให้ตัดสินใจอีกทีหนึ่ง

ถ้าลูกฉี่ราดทำไง? ก็ให้เช็ดทำความสะอาดแล้วหันมาบอกลูกว่า ไม่เป็นไรลูก… คราวหน้าตัดสินใจใหม่นะ หรือเค้าไม่ฉี่ก็ชม โอ้โห… ลูกอั้นได้เก่งมากเลย

ไม่ใช่เรื่องใหญ่?

ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคงไม่ได้ไปห้างแค่วันเดียว นี่แหละคือประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ คราวหน้าถามใหม่ ‘อีก 40 นาทีจะถึงบ้าน จะฉี่ก่อนไหมลูก’ เขาก็จะดึงความจำออกมาเลยว่า เฮ้ย… เดี๋ยวฉี่ราดอีกนะ แล้วเค้าจะจำได้ดีด้วย เพราะว่าสมองส่วนนี้จะจดจำได้ดีพร้อมอารมณ์ หากอารมณ์นั้นมันถูกซัพพอร์ต EF จะทำงานได้ง่าย การที่เราให้เค้าคิดและตัดสินใจก็เป็นการให้ตัวตน

ดูเหมือนว่าการสอน EF ให้ลูกง่ายกว่าการสอน EF ให้กับพ่อแม่หรือครู แล้วเราจะสอน EF ให้พ่อแม่และครูอย่างไร เพื่อให้เขาพร้อมทำงานกับเด็ก

จากประสบการณ์นะ พ่อแม่ที่ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองแล้วก็ลองทำเลย ทำได้นะ แต่อีกกรณีหนึ่งคือต้องมีโค้ช มีคนที่คอยชี้และให้กำลังใจเค้า เพราะมันจะมีบางคนที่รู้ทฤษฎีแต่พอปฏิบัติ ทำไม่ได้ เหมือนรู้ว่าข้าวผัดใส่อะไรบ้างแต่ทำไม่อร่อยหรือไม่คิดจะทำ แต่ถ้ามีคนมาช่วยมาชิม มาคอมเมนท์ มันจะค่อยๆ ดีขึ้น

ในทางสมองก็เหมือนกัน แน่นอนว่าปลูกฝังแต่เด็กย่อมดีกว่า เพราะเครือข่ายโยงใยประสาทเป็นธรรมชาติวิ่งอยู่ในหัวของเค้า การทำงานของสมองร่วมกันสวยงาม เร็ว แข็งแรง และเป็นนิสัย แต่ถ้าไม่ค่อยฝึก EF เส้นใยประสาทที่เป็นเครือข่ายมันก็จะเบาบาง ยิ่งลงเอามาเชื่อมกับสมองส่วนอื่นมันก็ยิ่งยากกว่า ทำให้สมองส่วนอารมณ์ถูกกระตุ้นได้ง่าย เร็วและนานกว่า จะทำให้คนคนนี้เปลี่ยนจากข้างในได้ยาก

แต่วันที่ตัดสินใจเปลี่ยน สมองของคนเราเปลี่ยนได้ แก่แล้วก็ทำได้ แต่ต้องฝึก ทุกครั้งที่ฝึกก็จะสร้างเครือข่ายใหม่ เซลล์มันไม่สร้างแล้วแต่จะมีการเชื่อมของเซลล์ มีการแบ่งหน้าที่แห่งการเชื่อมต่อ วันหนึ่งมันก็จะได้ แต่ต้องฝึก

พ่อแม่หลายๆ คนไม่มีโอกาสคุยกับอาจารย์ ไม่มีโค้ช ถ้าเขาต้องเจอกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เขาจะทำอะไรได้บ้าง

ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ พวกเว็บไซต์มีวิธีต่างๆ มากมาย เลือกดูว่าอะไรที่เข้ากับจริตกับตัวเอง เมื่อได้หลักการก็เอาไปปรับตามสถานการณ์จนได้ ถ้าถามว่าใครจะเป็นโค้ชที่ใกล้ชิดที่สุดของพ่อแม่ คำตอบคือตัวเอง

EF คือการกำกับความ แต่มันก็มี inner voice คือสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเพื่อยับยั้งตัวเอง เช่น โมโหอีกแล้ว เราเคยบอกตัวเองไว้ว่าถ้าโมโหเราจะเดินหนีลูกนะ จะไม่พูดอะไรบ้าง ก็ต้องโปรเจคเอาไว้ในหัวเลยว่าคราวหน้าถ้าลูกทะเลาะกัน ฉันจะพูดอะไรบ้าง การบอกว่า ‘ฉันจะพูดอะไรบ้าง’ นี่ก็คือการฝึกนะ

คือถ้าครั้งแรกทำได้แล้ว เครือข่ายมันก็จะเชื่อมโยงครั้งที่สอง สาม สี่ ก็จะง่ายขึ้น?

ใช่ เหมือนขับรถเลย สองครั้งแรกยาก ครั้งที่สามเริ่มโอเค มันเป็นความรู้สึกด้วยนะ การที่คนเราจะเปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูก ตอนแรกๆ ไม่ค่อยถูกจริตหรอก แต่พอมันไปเรื่อยๆ แล้วฟีลลิ่งมันได้ มันจึงเป็นนิสัยไง ตอนหลังแทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่า นี่ดิฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้สึกตัวเลย

ครูก็เช่นเดียวกันใช่มั้ย

เช่นเดียวกัน อาจารย์มองว่าเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก ยังไงก็ต้องมีอยู่ในหลักสูตรครู เพราะครูต้องใช้มากกว่าพ่อแม่อีก ต้องแพรวพราวกว่าเพราะครูคนหนึ่งต้องใช้กับเด็กหลายคน EF ครูต้องดีด้วย คือถ้าเป็นลูกตัวเองเรามีความรักให้เยอะมาก แต่เมื่อไม่ใช่ลูกก็น่ากลัว ฉะนั้น  EF คุณต้องดี การดูแลเรื่องความต้องการพื้นฐานของครูก็สำคัญ  

แต่ถ้าไม่มองเรื่อง EF ของครู ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลมาก เราเข้าไปจัดการดูแลไม่ได้ทั้งหมด แต่การจัดการห้องเรียนในศตวรรษที่21 ที่มาจากนโยบายหรือวิธีการสอนบางอย่างมันควบคุมได้มากกว่า การเรียนในศตวรรษที่ 21 จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ท่ามกลางของข้อจำกัดการศึกษาไทย

ระบบสอบเข้าป.1 นี่อยากให้เลิกมาก ต้องขอผู้ใหญ่เลย ทำไมเราไม่ทำให้ทุกโรงเรียนดีเท่ากันหมด จะเข้าที่ไหนก็ได้ ให้ทุกโรงเรียนมีมาตรฐาน และถ้ามาตฐานดังกล่าวเป็นเรื่องวิชาการ เราก็จะไม่มีทางได้เด็กๆ ในศตวรรษที่ 21 เพราะมาตรฐานทางวิชาการยังไม่ได้ถูกฝึกให้ทำงานเป็นทีม เรื่องการสื่อสาร หรือทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์อย่างไร

ในห้องเรียนของเด็กเล็ก ควรจะเป็นเรื่องของ active learning ไม่มีสถานการณ์อะไรที่จะได้ฝึก แต่ถ้าได้เดิน ต่อบล็อก ได้ทำอะไรที่ได้คุยกับเพื่อน แก้ไขปัญหา วางแผน เล่นอะไรแล้วเพื่อนมาทำพังก็จะได้คิดแผนใหม่ เล่นแล้วแพ้เพื่อนก็จะได้ทำใจ นี่คือเรื่องที่ EF จะถูกกระตุ้นอย่างเป็นปกติ เพราะฉะนั้นห้องเรียนเด็กเล็กควรจะเป็น play base การเล่นเป็นพื้นฐาน เป็นอะไรที่ไม่ใช่การนั่งอยู่เฉยๆ

ใบงานต้องไม่มี หรืองานอะไรที่แค่ทำเสร็จแล้วก็ได้รางวัล รวมทั้งวิธีการสอนต้องเคารพในความรู้สึกและความคิด เช่น เคยไหมเวลาที่ครูบอกให้ยกมือถามหรือตอบคำถามในห้อง แล้วเราไม่กล้ายกเพราะประสบการณ์เดิมของเราบอกว่า เราเคยตอบแล้วผิด ผิดแล้วโดนด่า หรือแค่ถามก็บอกว่า ‘ทำไมถามอะไรแบบนี้ ถามได้ยังไงคำถามนี้ ฉันเพิ่งพูดไปอยู่แหม่บๆ’ (ทำเสียงโหด) แล้วก็จะทำตัวไร้ตัวตนทันทีไม่สบตา สมองมันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่แค่สั่งว่าต้องไม่มีตัวตน แล้วถ้าสมองสั่งว่าเราไม่อยากมีตัวตน แต่ครูดุว่าทำให้เรามีตัวตนอีก อารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว รู้สึกเสียหน้า อะไรแบบนี้ก็ควรเลิก

รวมทั้งการเรียนแบบผิดถูกไปได้แล้ว คือเขาค้นได้เองว่า fact ที่ว่ามันผิดหรือถูก เช่น วิชาเลข ถ้าเปลี่ยนวิธี ให้แบ่งกลุ่มแล้วทำด้วยกัน ให้แต่ละกลุ่มทำให้ดี โดยที่ครูอย่าเพิ่งบอกว่าผิดหรือถูก แค่เอาวิธีมาทำให้กันเห็น แล้วก็ถกเถียงกัน ครูอยู่เฉยๆ เลยนะ แค่สอนด้วยการบอกว่า แบบนี้มาได้ยังไง แล้วอย่างนี้มายังไง คือค่อยๆ ไล่ลำดับไป เด็กๆ ก็จะเห็นแล้วว่า ‘เฮ้ยครู… อันนี้ผิดๆ หนูขอแก้แปปนึงนะ’ ไอ้อะไรแบบนี้ เขาจะรู้ด้วยตัวเองว่าอะไรผิด ไม่ผิด พอรู้แบบนั้นเขาก็จะไม่อาย ไม่กลัว ไม่เสียหน้า เพราะมาจากความเข้าใจและยอมรับ

คือการสอนยังไงให้ EF มันเปิด การถูกผิดมันไม่ควรเกิดขึ้น แต่เป็นการให้พื้นที่เด็กได้คิด และถกเถียงกัน

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยวินัยเชิงบวกEFดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • EF (executive function)Early childhood
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้
MovieEarly childhood
6 February 2018

THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้

เรื่อง

  • The Florida Project คือการเล่าเรื่องแสนบัดซบ ความยากลำบากของผู้คนที่อาศัยใกล้ดิสนีย์เวิลด์ ผ่านสายตาแสนซุกซนของเด็ก 6 ขวบนาม มูนี อย่างที่ ฌอน เบเกอร์ ผู้กำกับเรื่องนี้กล่าวว่า ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือ ‘คนที่ถูกลืม’
  • The Florida Project ถูกพูดถึงว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดแห่งปี ขณะที่ บรูคลิน พรินซ์ สาวน้อยผู้รับมูนี ยังได้รับรางวัล Best Young Actor จาก Critics’ Choice Awards เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เรื่อง: kiribun

ฉันเห็นโลกของเธอในโลกของฉัน

แม้ว่าวัยเด็กของฉันจะไม่ได้ยากจนข้นแค้น แต่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้เอื้อให้มีตุ๊กตาบาร์บี้เล่น พี่ชายสองคนไม่ได้มีของเล่นแบบที่ซื้อตามห้าง อาณาจักรของเด็กทั้งซอยคือร้านขนมแถวบ้านที่แวะไปทุกวันหลังเลิกเรียน ทั้งเจ้าหญิงเจ้าชาย ทหาร ปืนกล ขนมสารพัดอย่างที่โฆษณาในทีวี ด้วยเงินที่เหลือจากค่าขนมไปโรงเรียนไม่เกินสองบาท ทำให้เราได้เป็นเจ้าของสมบัติในกล่องเล็กๆ ที่แอบไว้ใต้บันได

มูนีแอนด์เดอะแก๊ง (แจนซีย์ และ สกูตตี) พาฉันนั่งยานย้อนเวลากลับไปยืนดูเด็กคนนั้นอีกครั้ง ความแก่นแก้วก๋ากั่นของมูนีช่วยปลดล็อคความทึบทึมให้หัวใจ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอกับเพื่อนๆ ยามที่แบ่งกันและเล็มไอติมโคน ทำให้สัมผัสได้ถึงรสชาติความหวานเย็นในวัยเยาว์ แต่…

มูนีแอนด์เดอะแก๊งจะรู้หรือไม่ ที่จริงแล้ว โลกมันโหดร้าย!

ฉันถามตัวเองว่า วัยเด็กของฉันเป็นวัยเด็กที่มีความสุขหรือไม่ แม้จะไม่ได้เล่นตุ๊กตาเหมือนคนอื่น พี่ชายสองคนที่สร้างค่ายกลของเขาด้วยผ้าห่มเป็นฉากกั้น กับตุ๊กตุ่นที่แถมมากับขนม เขามีความสุขหรือไม่ หรือแม้แต่เพื่อนที่เล่นด้วยกัน แย่งขนม ของเล่น ตีกัน แล้วก็วิ่งร้องไห้กลับบ้าน เรามีความสุขกันหรือเปล่า

เมื่อฉันตอบคำถามให้กับตัวเองในวันนี้ วันนั้นมันโคตรจะมีความสุขเลย

มูนีในแดนมหัศจรรย์

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแฟลต (หรือโมเตล) ที่มูนีและแฮลลีย์แม่ของเธออาศัยอยู่ในย่านเดียวกับดิสนีย์เวิลด์หรือเปล่า จึงทำให้มันถูกทาด้วยสีม่วงอ่อนๆ กับอาคารร้านค้าในละแวกนั้นล้วนมีสีสันสดใส สลับด้วยพื้นที่รกร้างว่างเปล่า บ้านร้าง ทุ่งนา มีวัวยืนกินหญ้า ทั้งหมดคือดินแดนมหัศจรรย์ของมูนีและเด็กๆ ที่เหมือนเป็นโลกคนละมิติกับดิสนีย์เวิลด์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน

ในดิสนีย์เวิลด์มีม้าหมุน รถไฟเหาะตีลังกา บ้านผีสิง ล่องแก่ง ฯลฯ พื้นที่รอบบ้านของมูนีมีต้นไม้ ทุ่งนา แอ่งน้ำ ห้องทำงานของผู้ดูแลอาคาร ฯลฯ ฉันไม่รู้ว่ามูนีกับเพื่อนๆ เคยคิดอยากเข้าไปเล่นในดิสนีย์เวิลด์หรือไม่ แต่ที่โลกของเธอ ภายใต้ความขะมุกขะมอม คนเพี้ยนๆ ร้ายๆ กับความเป็นจริงของชีวิตที่ผู้ใหญ่ต้องเผชิญและอยากสลัดมันให้หลุด คือสวนสนุกและความหรรษาของเด็กๆ

บ็อบบี้ ลุงหน้าโหดที่รัก

บ็อบบี้ทำให้ฉันคิดถึง ‘ปู่คิด’ ปู่คิดไม่ใช่ปู่แท้ๆ ของฉัน ฉันรับรู้ในวัยเด็กว่าปู่คิดเป็นญาติห่างๆ ของปู่แท้ๆ (ที่ตายตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด) ปู่คิดมักมาเยี่ยมที่บ้านในวันเสาร์อาทิตย์เสมอ ทีแรกฉันไม่ชอบปู่คิดเพราะปู่เป็นคนนิ่งๆ หน้าดุ และไม่ค่อยพูดจา แต่แล้ววันหนึ่ง ปู่ก็ปล่อยพลังที่ทำให้ฉันสถาปนาปู่เป็นซูเปอร์แมนของฉันตลอดกาล วันที่ฉันดื้อจนเกือบโดนพ่อตี ตอนนั้นพ่อโมโหมากและคว้าไม้บรรทัดเตรียมจะฟาดก้น ปู่คิดที่นั่งอยู่ตรงนั้น ลุกเดินมาหยิบไม้บรรทัดไปจากมือพ่อ แล้วจับมือพ่อไว้ จนพ่อคลายความโกรธลงได้

แม้ว่าโลกของมูนีจะน่าหดหู่ สิ้นหวัง และร้าวรานเพียงใดสำหรับเรา ในโลกจริงอันแสนโหดร้ายนี้ ไม่ได้มีแค่ปีศาจ ผู้ร้าย ไม่ได้มีแค่ขาวและดำ ยังมีคนที่อยู่ในโลกแบบเดียวกับเราและพร้อมจะเข้าใจว่า เมื่อเราอยู่ในโลกที่เปรอะเปื้อน ที่ที่แสนอบอุ่นและปลอดภัยนั้นจำเป็นสำหรับเราแค่ไหน ลุงบ็อบบี้คือพื้นที่ปลอดภัยแห่งนั้น

ตอนที่ลุงบ็อบบี้ยืนสูบบุหรี่ด้านล่างแฟลตและมีเจ้าหน้าที่รัฐจะมารับตัวมูนีไป ทำให้ฉันคิดถึงปู่คิด ปู่สูบบุหรี่จัด และปู่ก็จากไปด้วยมะเร็งปอด เปล่า ฉันไม่ได้เป็นห่วงเรื่องที่ลุงบ็อบบี้สูบบุหรี่หรอก แต่สีหน้าครุ่นคิดของลุงบ็อบบี้ตอนยืนสูบบุหรี่ ทำให้ฉันคิดถึงเวลาที่ปู่คิดยืนสูบบุหรี่เช่นกัน พวกเขาดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างต้องคิดตอนที่ยืนสูบบุหรี่เหมือนๆ กัน และในหัวนั้นน่าจะเป็นเรื่องของคนอื่นกับวิธีจัดการแก้ปัญหา

อย่าพรากวัยเยาว์ไปจากฉัน

แม้ว่าโลกความจริงจะโหดแค่ไหน แต่โลกใบเล็กใบเดียวที่เด็กจะอบอุ่นปลอดภัยได้ก็คือคนใกล้ชิดและความรักที่เรามอบให้

แฮลลีย์เป็นแม่ที่ชีวิตห่วยแตกมาก แต่เธอก็ดิ้นรน และมูนีคือที่หนึ่งเสมอสำหรับเธอ แฮลลีย์เหมือนเด็กตัวโต ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กที่พร้อมจะกางปีกปกป้องลูกเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอสู้ยิบตา

ฉันชอบเวลาที่แฮลลีย์อยู่กับมูนีและเด็กๆ เธอก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่แก่นเซี้ยว เล่นสนุกซนจนเราลืมไปเลยว่าชีวิตเธอมันสาหัสยังไง

เกือบสองชั่วโมงที่ได้มาทำความรู้จักกับชีวิตของแฮลลีย์ มูนี และเดอะแก๊ง ฉันอยากขอบคุณลุงบ็อบบี้ที่สุด ที่ไม่เคยใช้ถ้อยคำหรือความรุนแรงกับเด็กๆ เลย แม้ว่าหลายครั้งความห่ามของเด็กๆ จะเกินขีดไปก็ตามที (ยิ่งแฮลลีย์ไม่ต้องพูดถึง-แสบตัวแม่) ลุงบ็อบบี้แค่ทำหน้าเหนื่อยหน่าย เหมือนว่าเซ็งๆ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้โลกของเด็กไหลเวียนรอบตัวเขา

ในโลกป่วย ชีวิตเส็งเคร็ง หากยังมีโลกอีกใบให้เราหลบซ่อน ใครสักคนที่พร้อมโอบกอดและไม่แม้แต่จะคิดที่จะปล่อยมือเราตั้งแต่วันที่มือเรายังเล็กและนุ่มนิ่ม เราคงพร้อมจะเติบโตอย่างคนโตที่มีหัวใจแข็งแรง พร้อมรอยยิ้มและแววตาแบบวันวานตอนที่ได้กินไอติม

เมื่อนั้น ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้.

Tags:

วัยรุ่นเทคนิคการสอนภาพยนตร์เพศพัฒนาการพ่อแม่ครูปฐมวัย

Author:

Related Posts

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel