Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    How to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationship
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Month: December 2025

ไม้บรรทัดของยมทูต: เมื่อความตายคือจุดหมายของชีวิต
Book
6 December 2025

ไม้บรรทัดของยมทูต: เมื่อความตายคือจุดหมายของชีวิต

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ เป็นผลงานนิยายแฟนตาซีร่วมสมัย แฝงด้วยแง่คิดชวนสะกิดใจ ของ อิซากะ โคทาโร แปลเป็นภาษาไทยโดย ฐิติพงศ์ ศิริรัตน์อัสดร โดยดำเนินเรื่องไปในโทนของเรื่องสั้น 6 เรื่อง
  • นิยายเล่าเรื่องราวของยมทูตชื่อ ‘ชิบะ’ ผู้เข้าไปคลุกคลีกับมนุษย์หลากหลายชีวิต ซึ่งชิบะเรียนรู้ความงามและความเปราะบางของมนุษย์ ก่อนจะตัดสินใจชะตาของแต่ละคนตามสิ่งที่เห็นใน 7 วันสุดท้าย
  • บทบาทและเรื่องราวของชิบะ อาจทำให้เราได้ฉุกใจคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ความตาย คือจุดหมายปลายทางและส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

“ระหว่างมีชีวิต ส่วนใหญ่มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตหรอก ใช้แค่เวลา”

ตัวละครสำคัญในหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านจบ พูดประโยคนี้ โดยไม่ได้บอกว่า เป็นคำพูดของใคร แค่บอกใบ้ว่าเป็นนักคิดที่มีอายุเมื่อราวสองพันปีก่อน

ประโยคที่ว่านี้ ติดค้างอยู่ในใจผมจนต้องไปค้นหาข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตว่า ใครเป็นคนพูดประโยคนี้ แต่น่าเสียดายที่ผมหาไม่เจอ

ที่ใกล้เคียงที่สุด ก็คือ Lucius Annaeus Seneca หรือ ลูเชียส แอนเนียส เซเนกา นักปรัชาญาชาวกรีก ซึ่งกล่าวไว้ว่า

“It is not we have short time to live, but that we waste much of it”

“เราไม่ได้มีชีวิตที่สั้นหรอก แต่เราใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปอย่างสูญเปล่าเสียมากกว่า”

ใช่ครับ คนเรามักจะใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า เหมือนแค่ใช้เวลาให้หมดลง ครั้นพอถึงช่วงเวลาที่ความตายกำลังจะมาเยือน หลายคนพร่ำบ่นโอดครวญว่า ทำไมชีวิตของเขาจึงแสนสั้นนัก

และนั่นคือส่วนหนึ่งในหลากหลายความคิดที่ผมได้รับ หลังจากอ่านหนังสือเรื่อง ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ นิยายแฟนตาซีผลงานของ อิซากะ โคทาโร หนึ่งในนักเขียนร่วมสมัยที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น

ยมทูต คือเทพแห่งความตาย ซึ่งปรากฎอยู่ในทุกอารยธรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็น ธานาทอส (Thanatos) เทพแห่งความตายของกรีกยุคโบราณ, ยมทูต Grim Reaper ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกในชุดเสื้อคลุมสีดำ ถือเคียวด้ามยาวคอยเกี่ยววิญญาณ หรือ พระยม (Yama) เจ้าแห่งยมโลก ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ของอินเดีย

ยมทูตแทบทุกอารยธรรม ล้วนทำหน้าที่มารับวิญญาณคนตายไปสู่ปรโลก ซึ่งอาจต้องผ่านกระบวนการพิพากษาอีกครั้งว่า วิญญาณดวงนั้น สมควรจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์  หรือต้องลงไปชดใช้กรรมในนรก ขณะที่การตัดสินใจว่า คนๆ นั้น สมควรจะหมดอายุขัยแล้วหรือไม่ ไม่ใช้หน้าที่ของยมทูต แต่เป็นบทบาทของเทพองค์อื่น หรือสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พระประสงค์ของพระเจ้าสูงสุด, เทพแห่งโชคชะตา หรือกระทั่งเวรกรรมที่ทำไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน

แต่ในหนังสือเรื่อง ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ ของอิซากะ ยมทูต มีบทบาทและหน้าที่มากกว่านั้น คือ กึ่งๆ จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า มนุษย์คนนั้นสมควรถูก ‘รับไว้’ ซึ่งหมายถึง หมดอายุขัย หรือ ‘ปล่อยไป’ อันหมายถึง ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

โดยที่ยมทูตจะใช้เวลา 7 วัน ในการตัดสินใจว่า คนๆ นั้นสมควรได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ยมทูตจะปรากฎกายในรูปลักษณ์ของคน เข้าไปผูกมิตรทำความรู้จักกับคนที่เป็น ‘เป้าหมาย’ และใช้เวลา 7 วันสุดท้ายนั้นเก็บเกี่ยวทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นเครื่องชี้ชะตาความเป็น-ตายของคนๆ นั้น

ฟังดูอาจไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ที่ยมทูต หรือใครสักคน จะสามารถใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ เรียนรู้นิสัยใจคอได้มากพอที่จะตัดสินว่า คนๆ นั้นควรได้รับโอกาสให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป หรือสมควรแก่เวลาแล้วที่เขาควรจะจากลาโลกใบนี้ไปเสีย

ถ้าตัวเองต้องรับบทเป็นยมทูต ผมคงปล่อยให้เป้าหมายได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเสียเป็นส่วนใหญ่ เว้นเสียแต่ คนๆ นั้นเป็นคนเลวทรามต่ำช้าอย่างชัดเจน เช่น เป็นฆาตกรใจบาป แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีทางเลยที่เราจะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ในหัวใจของคนที่ดูโฉดชั่วอย่างชัดเจน ไม่ได้มีประกายแห่งความดีงามอยู่ข้างในลึกๆ

เราไม่มีทางรู้เลยว่า มนุษย์แต่ละคน มีเหตุผลอะไรในการทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นความเลวทราม

และเราไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่า หญิงชราใจดีที่มีแต่รอยยิ้มและความอ่อนโยนให้ทุกคน แม้ว่าชั่วชีวิตของเธอ จะต้องพบแต่ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คนเช่นนี้ ควรที่ ‘ปล่อย’ ให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไป หรือควรที่จะ ‘รับไว้’ เพื่อให้เธอได้พักผ่อนคลายความอ่อนล้าของชีวิตเสียที

งานเขียนของอิซากะ อาจเป็นแค่นิยายร่วมสมัย ซึ่งไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด ก็ไม่ได้ใกล้เคียงความเป็นวรรณกรรมเลย ทว่า หนังสือทุกเล่มของเขา ล้วนแฝงด้วยแง่คิดชวนสะกิดใจ ตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการบุลลี่ในโรงเรียน อคติที่ผู้ใหญ่มักมีต่อเด็ก หรือปัญหาเชิงจริยธรรมที่ชวนให้ขบคิดจนปวดหัว อย่างเช่น ความเป็นครอบครัว ถูกสร้างขึ้นจากสายเลือด-พันธุกรรม หรือจริงๆ แล้วมาจากการเลี้ยงดู

สำหรับผลงานเรื่อง ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย ฐิติพงศ์ ศิริรัตน์อัสดร ดำเนินเรื่องไปในโทนของเรื่องสั้น 6 เรื่อง เชื่อมโยงกันโดยตัวละครหลัก คือ ยมทูตชื่อ ‘ชิบะ’ โดยที่แต่ละเรื่อง จะบอกเล่าช่วงเวลา 7 วันสุดท้าย ที่ชิบะได้เข้าไปคลุกคลีอยู่กับเป้าหมาย ก่อนตัดสินใจว่า เป้าหมายนั้น สมควรจะถูกรับไว้หรือไม่

ในหนังสือเล่มนี้ บอกกับเราว่า ยมทูต ไม่ได้มีแค่คนเดียว ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผล เพราะในโลกที่มีประชากรกว่าแปดพันล้านคน ในแต่ละวัน มีคนถึงฆาตเสียชีวิตโดยเฉลี่ยสามแสนคน ดังนั้น หากมียมทูตแค่คนเดียว คงไม่เพียงพอต่อการทำหน้าที่นี้แน่

ชิบะ บอกกับเราว่า ยมทูตส่วนใหญ่ ไม่ได้จริงจังกับงานในช่วง 7 วันสำคัญนี้สักเท่าไหร่ เพราะทุกคนต่างคิดง่ายๆ ว่า เมื่อเป้าหมายถูกเลือกมาแล้ว ก็แปลว่า คนๆ นั้นกำลังจะหมดอายุขัยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปลงความเห็นที่ ‘แตกต่าง’ ซึ่งรังแต่จะทำลายความราบรื่นของระบบราชการแห่งโลกยมทูตเสียเปล่าๆ (อันนี้ ผมเติมเอง เพราะแหม คุณอิซากะ อุตส่าห์ชงมาเสียขนาดนี้แล้ว)

ในบทแรกของหนังสือ ชิบะ ซึ่งปรากฎร่างในรูปลักษณ์ของหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ ต้องเข้าไปตีสนิทกับเป้าหมายที่เป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดา ชื่อ ฟุจิคิ คะซึเอะ เธอกำลังอยู่ในช่วงที่เบื่อหน่ายกับชีวิต จนถึงขั้นที่เปรยออกมาบ่อยๆ ว่า อยากตายเหลือเกิน ตายพรุ่งนี้เลยก็ยังได้

คะซึเอะมีเหตุผลที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต หรือควรพูดอีกอย่างว่า คะซึเอะขาดเหตุผลดีๆ ที่ควรจะมีชีวิต เธออยู่ตัวคนเดียว ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า หน้าที่ของเธอคือรับโทรศัพท์ลูกค้าที่ร้องเรียนปัญหาของสินค้าที่ซื้อไป ขณะที่ช่วงเวลาวันหยุดของเธอ หมดไปกับการทำงานบ้าน เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก แทบไม่เคยไปเดทกับผู้ชายด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงหลายวันมานี้ คะซึเอะยังต้องทนกับโทรศัพท์ของลูกค้าโรคจิต ที่มักโทรเข้ามาก่อกวน โดยเริ่มจากการอ้างว่า สินค้าที่ซื้อไปมีข้อบกพร่อง บอกให้เธอพูดขอโทษซ้ำๆ หลายครั้ง หนักๆ เข้า ถึงขั้นให้เธอร้องเพลงให้ฟัง ก่อนจะบอกว่า อยากเจอตัวคะซึเอะ

ทั้งหมดคือเรื่องที่คะซึเอะเล่าให้ชิบะฟัง หลังจากที่ทั้งคู่ได้รู้จักและเจอกันหลายครั้ง ชิบะเชื่อว่าลูกค้าคนนั้นคงเป็นพวกโรคจิตที่เล็งคะซึเอะเป็นเหยื่อ แต่นั่นก็เป็นเรื่องนอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ยิ่งไปกว่านั้น คะซึเอะก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่เกิน 7 วันอยู่แล้ว

กระทั่งใกล้ครบกำหนดเวลา 7 วัน ชิบะเจอคะซึเอะนั่งอยู่คนเดียวที่สวนหย่อมกลางถนน เหมือนกำลังรอใครคนหนึ่งอยู่ แล้วก็มีชายวัยกลางคน แต่งตัวในชุดสีดำทั้งชุด บุคลิกท่าทางแตกต่างจากคนทั่วไป เดินตรงไปหาคะซึเอะ พูดคุยกันสักพัก ก่อนจะพยายามคว้ามือเธอฉุดลากไปสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง

ลูกค้าโรคจิตที่โทรมาหาคะซึเอะบ่อยๆ นั่นเอง ชิบะไม่รู้เหมือนกันว่า หมอนั่นพูดยังไงถึงหลอกให้คะซึเอะออกมาเจอได้ และเขาก็รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะเข้าไปแทรกแซง แต่พอคะซึเอะตะโกนว่า “คุณชิบะ! ช่วยด้วย!” เขาก็ตัดสินใจเข้าไปช่วย ขณะที่หญิงสาววิ่งหนีไปด้วยความตกใจกลัว

ทว่า เรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด แท้ที่จริงแล้ว ลูกค้าโรคจิตคนนั้น คือโปรดิวเซอร์มือทองของวงการเพลง เขาบังเอิญได้ยินเสียงของคะซึเอะ และรู้ทันทีว่า กำลังค้นพบเพชรเม็ดงามแห่งวงการเพลง

หลังจากแกล้งโทรศัพท์มาร้องเรียนเพื่อฟังเสียงคะซึเอะหลายต่อหลายครั้ง โปรดิวเซอร์อัจฉริยะ มั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิดแน่ จึงนัดเจอคะซึเอะ และพยายามชักชวนเธอเข้าสู่วงการ โดยเริ่มต้นจากการชักชวนไปร้องคาราโอเกะ แต่กลับยิ่งทำให้เธอเข้าใจผิดและกลัว จนร้องเรียกให้ชิบะเข้ามาช่วย

ใช่ครับ สุดท้าย ยมทูตชิบะผู้หลงไหลในการฟังเพลง (เพราะในโลกของยมทูต ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ดนตรี) ตัดสินใจ ‘ปล่อย’ ให้คะซึเอะได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อ เพื่อที่จะได้รอดู (และรอฟัง) ว่า พรสวรรค์ของเธอจะได้รับการเจียระไนจากโปรดิวเซอร์อัจฉริยะ จนกลายเป็นนักร้องเสียงสวรรค์จริงหรือไม่

เรื่องราวของคะซึเอะ บอกอะไรหลายๆ อย่างกับผม อาทิ ชีวิตคนเราอาจพลิกผันได้ในชั่วพริบตา หากเราสามารถค้นพบเหตุผลที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อ หรือแม้แต่ การให้โอกาสคน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ตัวเรา หรือตัวคนๆ นั้นก็คาดไม่ถึง

นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกหลายตอนในหนังสือที่ผมชอบมาก ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างชิบะกับหญิงชรา ผู้ผ่านพ้นการสูญเสียคนที่เธอรักตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ยังคงความสดใส น่ารัก และใจดีกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ชิบะ ซึ่งเธอรู้ด้วยลางสังหรณ์ว่า ชายคนนี้คือยมทูตที่กำลังมารอพาเธอไปสู่ปรโลก

ในตอนนี้ อิซากะตั้งใจเขียนตอนจบแบบปลายเปิด ให้คนอ่านได้จินตนาการเองว่า ชิบะตัดสินใจที่จะ ‘รับไว้’ หรือ ‘ปล่อย’ ให้คุณยายได้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า เขาน่าจะรับไว้มากกว่า เพราะคุณยายได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ชีวิตของเธอได้รับการเติมเต็มจนครบสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าเธอจะสูญเสียคนที่เธอรักไปหลายครั้ง แต่เธอก็เข้าใจและยอมรับว่า ความตายคือสิ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้

เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ชื่อ โอกิฮาระ เขาเป็นชายหนุ่มจิตใจดี เป็นที่รักของทุกคน และกำลังจะได้เริ่มต้นความรักหวานชื่นกับ ฟุรุคาวะ อะซามิ หญิงสาวน่ารัก ผู้พักอาศัยอยู่ที่แมนชั่นฝั่งตรงข้าม

อันที่จริงแล้ว ชิบะเป็นคนที่ทำให้โอกิฮาระเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับอะซามิ หลังจากที่ได้แค่แอบชอบ แต่ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย โดยชิบะพูดว่า ชีวิตคนเราแสนสั้นนัก อะไรที่อยากทำก็ควรทำ อยากคุยกับใครก็ควรเข้าไปคุยเสีย

ความรักของโอกิฮาระกับอะซามิ เพิ่งจะเริ่มผลิบาน แต่ใครจะรู้ว่า ความรักนั้นอาจมีอายุขัยที่แสนสั้นเหมือนชีวิตของเขา โอกิฮาระ ถูกคนร้ายที่ตามรังควานอะซามิใช้มีดแทง ซึ่งในตอนนั้น ชิบะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้โอกาสโอกิฮาระได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่

“ต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ ชีวิตผมก็ไม่ยืนยาวหรอก”  โอกิฮาระบอกกับชิบะด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น พร้อมลมหายใจรวยริน

โอกิฮาระป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งหมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี

“ผมไม่อยากตายหรอก แต่ถ้ายังไงก็ต้องตาย ได้ตายเพื่อคนที่เรารักก็ดีเหมือนกัน” โอกิฮาระ พูดพร้อมแววตาเลื่อนลอย “ถึงจะไม่เยี่ยมยอด แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายที่สุด”

ในความเชื่อของทุกวัฒนธรรม ยมทูตล้วนให้ภาพจำที่น่ากลัว เพราะทุกคนไม่มีใครอยากตาย แต่บทบาทและเรื่องราวของยมทูตที่ชื่อชิบะ อาจทำให้เราได้ฉุกใจคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ความตาย คือจุดหมายปลายทางและส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

ไม่ว่าชีวิตจะแสนสั้น หรือยืนยาวเนิ่นนาน แต่หากเราได้ใช้มันไปจริงๆ ไม่เพียงแค่ใช้เวลาอย่างสูญเปล่า ชีวิตนั้นก็พึงนับเป็นสิ่งที่งดงาม และความตายก็เช่นกัน เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต

Tags:

ความตายนิยายชีวิตไม้บรรทัดของยมทูตวรรณกรรมร่วมสมัย

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    เดอสแตดนิง (Döstädning): มากกว่าจัดบ้านคือจัดการชีวิต ศิลปะการละทิ้ง(ก่อนตาย) สไตล์ชาวสวีเดน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Book
    The Last Lecture: ปาฐกถาในวาระสุดท้ายที่บอกว่า ‘อะไรมีความหมายที่สุดในชีวิต’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • BookMyth/Life/Crisis
    ไม่ต้องแตกสลายเพื่อจะพบแสงสว่าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

The Good Bad Mother: ที่ทำได้คือ ‘ให้อภัยและปลดปล่อยตัวเองจากอดีต’ …เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้
Movie
5 December 2025

The Good Bad Mother: ที่ทำได้คือ ‘ให้อภัยและปลดปล่อยตัวเองจากอดีต’ …เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • The Good Bad Mother ซีรีส์เกาหลีที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ยองซุน’ แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เข้มงวด กับ ‘คังโฮ’ ลูกชายที่ถูกแม่ขีดเส้นทางชีวิตให้เป็นอัยการ จนต้องแลกด้วยชีวิตวัยเด็กที่ไร้ความสุขเพราะถูกบีบคั้นอย่างหนัก
  • จุดพลิกผันเกิดขึ้นเพื่อคังโฮประสบอุบัติเหตุ เขากลับไปมีสมองเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ยองชุนจึงต้องทำหน้าที่แม่อีกครั้ง และแม้เธอจะดูอ่อนโยนมากขึ้น แต่ก็ยังคงพยายามบงการชีวิตลูก กระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง เธอจึงตระหนักว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว
  • ในชีวิตจริง ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะมีเหตุการณ์พลิกผันมาสะกิดให้พ่อแม่หันกลับมาทบทวนตัวเอง ความจริงที่ลูกหลายคนต้องยอมรับคือ ไม่มีคำขอโทษ และไม่มีปาฏิหาริย์ใดที่จะลบล้างบาดแผลได้ นอกจากความเข้าใจที่ใช้ปลอบประโลมตัวเองว่า พ่อแม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้

ตอนเป็นเด็ก เราต่างถูกปลูกฝังให้รู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าพ่อแม่คือคนที่รักและหวังดีกับลูกมากที่สุด แต่เมื่อโตขึ้น ผมกลับพบว่า ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่จะเป็นเซฟโซนให้ลูกได้ ซ้ำร้ายยังอาจแสดงออกในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

พ่อแม่ของผมก็เช่นกัน พวกท่านรักผมที่สุด แต่ความรักก็ปะปนด้วยความผิดพลาดแบบที่มนุษย์ทุกคนมี อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่มนุษย์พ่อแม่กลับมีพลังอำนาจราว ‘พระเจ้า’ ที่สามารถกำหนดเส้นทางชีวิตวัยเด็กของลูกได้เกือบทั้งหมด จนเผลอทำสิ่งที่เป็นการทำร้ายผมในบางครั้ง โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงทั้งต่อร่างกายและจิตใจที่ผมไม่ชอบเลย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้ว่าท่านรักผมสุดหัวใจ

ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ผมอินกับ The Good Bad Mother (나쁜 엄마 แปลว่า แม่ที่ไม่ดี) ซีรีส์ที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ ‘ยองซุน’ แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เข้มงวด และ ‘คังโฮ’ ลูกชายที่ถูกแม่ขีดเส้นทางชีวิตให้เป็นอัยการ ด้วยความหวังว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าตัวเอง ความสำเร็จของเขาจึงแลกมากับวัยเด็กที่ถูกบีบคั้นจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ

กระทั่งอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้คังโฮสูญเสียความจำ และกลับไปมีสมองเหมือนเด็กเจ็ดขวบ โชคชะตาจึงพาสองแม่ลูกกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหลังห่างเหินกันมานาน 

ซีรีส์ค่อยๆ เปิดเผยว่า ก่อนจะเป็นแม่ใจร้าย ยองซุนเคยเป็นผู้หญิงอ่อนโยน สดใส มองโลกในแง่ดี และอยากเลี้ยงลูกให้เป็นศิลปินด้วยซ้ำ

“จะเป็นลูกสาวหรือลูกชายแล้วยังไงล่ะคะ ฉันแค่อยากคลอดลูกออกมาให้แข็งแรง แล้วจะเลี้ยงลูกให้เป็นจิตรกรค่ะ จริงๆ ฉันฝันอยากเป็นจิตรกรค่ะ พ่อแม่ฉันเสียไประหว่างที่ฉันเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนศิลปะ ฉันเลยล้มเลิกความฝันไป แต่ฉันรู้สึกว่าลูกของฉันจะวาดรูปเก่งเหมือนฉันยังไงไม่รู้ค่ะ” 

แต่ชีวิตก็ไม่ง่ายดั่งฝัน การสูญเสียสามีอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ยองซุนต้องหอบลูกในท้องหนีไปยังชนบทห่างไกลเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หญิงสาวใจดี ค่อยๆ ถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นคุณแม่ใจร้ายที่ใช้ความเจ็บปวดของตัวเองเป็นกรอบบังคับอนาคตของลูก

คังโฮถูกกดดันให้เรียนเก่งที่สุด โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่แม่วางไว้ คือการเป็นอัยการที่ร่ำรวยและมีอำนาจ เขาไม่เคยออกไปทัศนศึกษาหรือสังสรรค์กับเพื่อนๆ  แม้แต่การกินข้าวอิ่มก็เป็นความผิด เพราะแม่เชื่อว่าถ้ากินอิ่มจะทำให้ง่วงและไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ 

ที่บีบหัวใจคือคังโฮมีพรสวรรค์ด้านศิลปะเหมือนกับแม่ ทั้งยังเคยประกวดได้รางวัลจากการประกวดศิลปะเยาวชนระดับประเทศ แต่แม่ไม่เพียงไม่ยินดี แต่ยังเอาผลงาน รวมถึงประกาศนียบัตรไปเผาทิ้งด้วยความโกรธ

แน่นอนว่าคังโฮก็เคยถามแม่ของเขาตรงๆ ถึงภาระที่ต้องแบก แต่น่าเสียดายที่ยองซุนไม่ฟังและไม่คิดจะประคับประคองความรู้สึกลูก เธอบอกเพียงสั้นๆ ว่า ถ้าอยากหลุดพ้นจากแม่จอมบงการ เขาก็ต้องไปเป็นอัยการให้ได้ก่อน

“มันเป็นชีวิตของแม่ต่างหาก ผมเบื่อและรำคาญเต็มทนแล้ว ผมอึดอัดจนหายใจไม่ออกเลยครับ ทำไมแม่ถึงกำหนดชีวิตของผม แล้วทำให้ผมทุกข์ด้วยครับ มันเป็นความผิดของผมเหรอครับที่พ่อตายอย่างไม่เป็นธรรม 

…ใช่แล้ว แม่น่ะร้ายจริงๆ ครับ ทำไมผมต้องทำชีวิตตัวเองพัง เพราะคนอื่นเหรอครับ ก็แม่บอกให้ผมใช้ชีวิตแบบนั้นไงครับ ให้ผมโตเป็นคนมีอำนาจและความสามารถ แล้วช่วยเหลือคนเดือดร้อนและไม่มีอำนาจ แต่มันไม่ใช่เลย แม่ก็แค่รู้สึกไม่ยุติธรรมที่ตัวเองโดนกระทำเพราะไม่มีอำนาจ และต้องการใช้ผมเพื่อที่จะมีอำนาจนั้น แม่ต้องการเลี้ยงผมให้เป็นคนเอาแต่ได้ ไม่ต่างอะไรจากคนที่ทำให้พ่อต้องตาย ผมเข้าใจแล้ว ผมจะทำแบบนั้นให้เองครับ” 

ในฐานะของลูกที่เคยถูกกำหนดเส้นทางชีวิต ผมเข้าใจดีว่าพ่อแม่ไม่ได้อยากใจร้ายหรือกดดันบังคับลูก พวกท่านเพียงทำในสิ่งที่คิดว่า ‘ดีที่สุด’ และมักทำตามแบบแผนที่ตัวเองเคยได้รับ แม้ว่าวิธีนั้นจะเต็มไปด้วยบาดแผลก็ตาม

พอมนุษย์พ่อแม่เชื่อว่าตัวเอง ‘รักและหวังดีกับลูกที่สุด’ เหตุผลนี้จึงเป็นใบอนุญาตอันชอบธรรมให้ทำทุกอย่างได้ ตั้งแต่การสร้างกฎระเบียบ การเข้มงวดกวดขัน การตี การดุด่า หรือแม้แต่การขู่ เพื่อสร้างความอดทนให้ลูก ราวกับความลำบากในวันนี้…จะนำลูกไปสู่ความสุขสบายในวันหน้า ซึ่งอาจจะจริงสำหรับเด็กบางคน แต่ต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนต่างมีพื้นฐานจิตใจที่ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน 

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่แม่อย่างยองซุน และแม้แต่พ่อแม่ของผม มักมองข้ามคือ ‘การจัดการอารมณ์’ ของตัวเอง เมื่อพ่อแม่ไม่รู้วิธีดูแลความเหนื่อย ความเครียด ความกลัว ความโกรธ และบาดแผลเก่าๆ ที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา อารมณ์เหล่านั้นจึงรั่วไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และค่อยๆ ผสมลงในความรักต่อลูกทีละน้อย จนในที่สุด ความรักที่ควรจะโอบอุ้มก็ถูกเคลือบด้วยยาพิษบางๆ และเป็นยาพิษหยดเล็กๆ เหล่านั้นเองที่ค่อยๆ ซึมลงในใจใจลูกวันแล้ววันเล่า จนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ฝังลึก…โดยที่ทั้งสองฝ่ายอาจไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่   

ทว่า ซีรีส์ได้สร้างจุดเปลี่ยนที่ทำให้แม่ได้กลับมาทบทวนตัวเอง เมื่อคังโฮมีสถานะเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ยองซุนต้องเริ่มบทบาทแม่ใหม่อีกครั้ง ก่อนเธอจะได้รับรู้ว่า ลูกชายเคยเป็นอัยการที่รับสินบน ซึ่งในตอนแรกยองชุนโยนความผิดทั้งหมดให้ลูกชาย ราวกับความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเขาเพียงลำพัง ทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวเธอคือส่วนสำคัญที่หล่อหลอมคังโฮให้กลายเป็น ‘ปีศาจ’ แบบที่เธอรังเกียจ

“ฉันขังแกไว้ในเล้าหมูและบังคับให้แกหายใจไม่ออก เอาแต่สั่งให้แกเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน ฉันตั้งใจให้แกรวยและเป็นคนมีอำนาจ แต่กลับทำให้เป็นปีศาจไร้หัวใจแทน”

ในโอกาสครั้งที่สอง ภาพยองซุนถูกนำเสนอให้ดูอ่อนลงจนดูเหมือนเธอเป็นแม่ที่มีเหตุผลมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว เธอยังคงเป็นแม่จอมบงการในแบบที่เคยเป็น เธอบังคับให้คังโฮเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการฟาร์มหมูเพื่อสืบทอดกิจการ ฝึกกายภาพบำบัดด้วยวิธีการสุดโต่ง…ถึงขั้นโยนเขาลงน้ำเพื่อให้เอาตัวรอดเอง และพยายามคลุมถุงชนกับหญิงสาวแปลกหน้า โดยไม่สนใจว่าเขามีความชอบอะไร รู้สึกอย่างไร หรือกำลังแอบรักใครอยู่   

“ผมทำตามที่แม่สั่งทุกอย่างแล้วไงครับ ทั้งกินข้าวเยอะๆ ตั้งใจออกกำลังกาย ขยับมือ ขยับขาได้แล้วนะครับ ทั้งกินยา ทั้งฝังเข็ม ที่ผ่านมาผมทั้งเจ็บปวดและเหนื่อยมากๆ ตอนที่แม่โยนผมลงไปในน้ำ ผมกลัวมากจริงๆ แต่ผมก็อดทนไว้ครับแม่ เพราะแม่มีความสุข ผมอยากให้แม่มีความสุข แต่ทำไมแม่ไม่ให้ผมทำในสิ่งที่ชอบล่ะครับ ทำไมทำตามใจแม่ตลอด เพราะในสายตาแม่ ก็เห็นผมเป็นคนบื้อเหรอครับ”

ขณะเดียวกัน สิ่งที่บีบหัวใจที่สุดก็เกิดขึ้น นั่นคือความจริงที่ว่า พ่อแม่จำนวนมากมัก ‘คิดได้’ ในวาระสุดท้ายของชีวิต เหมือนกับอีพีสุดท้ายที่ยองซุนเขียนจดหมายสั่งเสียถึงลูก ซึ่งทำให้ผมร้องไห้ เพราะมันคือความจริงอันเจ็บปวดของหลายครอบครัว

“ถึงคังโฮ ลูกที่รักของแม่ 

จำจดหมายฉบับแรกที่ลูกเขียนให้แม่ได้ไหม “ถึงแม้กายเราจะอยู่ห่างไกลกัน แต่หัวใจของผมยังคงอยู่ในความทรงจำที่ผมมีร่วมกับคุณพ่อคุณแม่เสมอ” ตอนที่ลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ แม่เองก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คังโฮ ตัวอักษรจีนที่แปลว่า ‘สายใย’ ในคำว่า โชคชะตา ลูกรู้ไหมว่ามันประกอบไปด้วยคำว่า เส้นด้าย และ หัวหมู สายใยของคนมันยากพอๆ กับการใช้เส้นด้ายผูกคอหมูแล้วจูงมันเดินยังไงล่ะ และแม่กับลูกก็ได้มาเป็นแม่ลูกกันด้วยสายใยนั้น 

โชคชะตาที่ล้ำค่าแบบนี้ แม่ก็อยากเป็นแม่ที่ดีกว่าใคร แต่ชีวิตมีเพียงหนเดียว และแม่ก็เพิ่งเคยเป็นแม่คนครั้งแรก แม่ขอโทษที่ยังบกพร่องและทำได้ไม่ดีนะ 

เมื่อกี้แม่ขอพรตอนเป่าเทียนด้วยล่ะ ขอให้แม่ได้เกิดมาเป็นแม่ของลูกอีกครั้ง ถ้าเป็นจริงได้ แม่ก็จะทำให้ดีกว่านี้ แม่จะไม่ห้ามไม่ให้ลูกเศร้าที่ไม่มีพ่อ แม่จะไม่หลอกลูกว่า ผลการเรียนคือทุกอย่างของชีวิต แม่จะไม่เพิกเฉยที่ลูกมีพรสวรรค์ในการวาดรูป แม่จะไม่เสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของลูกที่อยากกินข้าวอีกคำ แม่จะไม่ฝืนกลั้นน้ำตาเมื่อเห็นลูกเจ็บ ถ้าลูกล้ม แม่จะคอยช่วยพยุงขึ้นมาเอง ถ้าลูกกลัว แม่จะกอดลูกเอง จะบอกว่า ลูกเก่งมาก ขอบใจ และแม่รักลูก กับลูกทุกๆ วันเอง และแม่จะไม่รีบจากไปแบบนี้ แม่รักลูกนะ ลูกชายของแม่…แล้วมาเจอกันใหม่ ในวันที่คำอธิษฐานของแม่เป็นจริงนะ 

จากแม่ร้ายๆ ”

หลังได้ฟังข้อความจากจดหมายฉบับนั้น ผมได้แต่นั่งเงียบและสะอื้นในใจ เพราะไม่ว่าพ่อแม่จะรักลูกอย่างไร้ทักษะ รักลูกโดยที่แบกบาดแผลเดิมมาผลิตซ้ำเป็นบาดแผลใหม่ หรือรักลูกด้วยความเชื่อว่าความรุนแรงคือความหวังดี…เหมือนยาขมที่ช่วยให้ลูกแข็งแรง แต่ทั้งหมดนี้กลับทำร้ายและกัดเซาะความสัมพันธ์ในครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า

ยิ่งในชีวิตจริง ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะได้ ‘โอกาสครั้งที่สอง’ แบบแม่ของคังโฮ และไม่ใช่ทุกครอบครัวจะมีเหตุการณ์พลิกผันบางอย่างมาสะกิดให้พ่อแม่หันกลับมาทบทวนตัวเอง ความจริงที่หลายคนต้องยอมรับคือ ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีฉากสำนึกผิด และไม่มีปาฏิหาริย์ใดที่จะลบล้างบาดแผลได้ในชั่วข้ามคืน

แม้มันจะเจ็บปวดและดูไม่ยุติธรรมที่ผู้ถูกทำร้ายต้องเป็นคนเยียวยาตัวเอง แต่ในท้ายที่สุด เราในฐานะลูกคือคนที่ต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยพ่อแม่และรับมือกับบาดแผลนั้นด้วยตัวเอง เพราะพ่อแม่ทำดีที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้แล้ว การให้อภัยจึงไม่ใช่เพื่อปลอบใจใคร หากเป็นการปลดปล่อยตัวเราเองให้หลุดออกจากวงจรเดิมๆ โดยไม่ยอมให้บาดแผลเก่ากลายเป็นตัวกำหนดชีวิตที่เหลือ พร้อมลุกขึ้นก้าวข้ามมันด้วยหัวใจที่รักและเห็นคุณค่าในตัวเอง เหมือนที่พระไพศาลกล่าวไว้ว่า 

“การให้อภัยมิได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวด แต่หมายถึงการไม่ยอมให้เหตุการณ์เหล่านั้นมาทำร้ายเรา ผู้ที่รู้จักให้อภัยคือผู้ที่ยังจดจำอดีตอันไม่น่าพิสมัยได้ แต่แทนที่จะปล่อยให้อดีตนั้นมากระทำย่ำยี กลับเอาชนะมันได้และสามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นบทเรียน…แต่บทเรียนนั้นควรมีไว้ เพื่อการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มิใช่ชวนให้หวนคิดถึงเรื่องราวข้างหลังด้วยความเจ็บปวด” 

Tags:

ซีรีส์ครอบครัวลูกแม่The Good Bad Mother

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    ไม่ต้องรักลูกทุกคนเท่ากันก็ได้ แต่อย่าใจร้ายกับลูกคนไหนเลย

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The Makanai: cooking for the maiko house ประเทศที่คนจะทำอาชีพอะไรก็ได้

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
Education trend
2 December 2025

ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แม้เอไอจะสามารถสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับครูและนักเรียนได้ แต่การใช้งานเอไอก็ยังมีความเสี่ยงและความท้าทาย เช่น เอไอเน้นย้ำอคติให้เข้มข้นมากขึ้น คนเชื่อมั่นในเอไอมากเกินไป และครูไม่มีความรู้ในการใช้เอไออย่างมีประสิทธิภาพ
  • สมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ (NEA) เสนอหลักการ 5 ข้อ เพื่อเป็นกรอบการใช้เอไอในระบบการศึกษา ดังนี้ 1.มนุษย์ต้องยังคงเป็นศูนย์กลาง 2.เอไอที่นำมาใช้ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าสามารถยกระดับผู้ใช้ได้จริง 3.การพัฒนาหรือใช้งานเอไอต้องมีจริยธรรม 4.ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานเอไอได้อย่างเท่าเทียม และ 5.ทุกคนทำความเข้าใจเอไอและเรียนรู้วิธีนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง
  • หากห้องเรียนหรือโรงเรียนเลือกที่จะนำเอไอเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การตรวจสอบว่าทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเอไอได้หรือไม่ เด็กบางคนอาจไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานเอไอได้ตลอดเวลา ดังนั้นโรงเรียนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องพิจารณาด้วยว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือในด้านนี้ เช่น มีอุปกรณ์ให้ยืม หรือเงินสนับสนุน เป็นต้น

ในบทความชุด ‘ห้องเรียน AI’ ที่ผ่านมา เราได้สำรวจการปรับตัวที่สำคัญหลายด้านสำหรับการนำเอไอมาใช้ในการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการนำเอไอมาใช้เป็นผู้ช่วยครู หรือใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับเด็ก ไปจนถึงการออกแบบการบ้านที่มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ และการสอนจริยธรรมเอไอด้วยการเชื่อมโยงกับชีวิตจริง

ตอนนี้เราอาจรู้สึกว่าได้ค้นพบ ‘จิ๊กซอว์’ ทั้งหมดแล้วสำหรับการนำเอไอมาใช้ในการศึกษา ที่ผ่านมาเราได้เจาะลึกไปที่จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นและทำความเข้าใจมันเป็นอย่างดี แต่อีกมิติสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การสร้าง ‘แผ่นกระดาน’ ที่ให้จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นนำมาประกอบกันได้อย่างสมบูรณ์

แผ่นกระดานที่ว่านี้คือ การวางกรอบ ‘นโยบาย’ ที่ชัดเจน เพื่อเป็นเข็มทิศหรือกฎกติการ่วมกันในการพัฒนาจิ๊กซอว์ทุกชิ้นอย่างเป็นระบบในทิศทางเดียวกัน โดยสมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ (NEA) ได้นำเสนอหลักการ 5 ข้อที่ชัดเจนต่อการนำเอไอมาใช้ในระบบการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของไทยได้

ปัญญาประดิษฐ์: เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่มาพร้อมกับ ‘โอกาส’ และ ‘ความเสี่ยง’

สมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ (NEA) เป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐฯ ปัจจุบันสมาคมมีสมาชิกเกือบ 3 ล้านคน ซึ่งรวมตัวกันเพื่อเป็นตัวแทนในการสนับสนุนครู อาจารย์ และบุคลากรในทุกระดับการศึกษา

NEA มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวทางการนำเอไอมาใช้ในการศึกษา เห็นได้จากประธาน NEA เบ็คกี้ พริงเกิล (Becky Pringle) ได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในด้านเอไอแห่งปี 2024 จากนิตยสาร TIME โดยเธอได้จัดตั้ง ‘คณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยเอไอในระบบการศึกษา’ เพื่อสำรวจการใช้งานเอไอในระบบการศึกษา พร้อมทั้งวางแนวทางในการจัดการและใช้งานเอไออย่างเหมาะสม

จากการสำรวจของคณะทำงานเฉพาะกิจพบว่า เอไอสามารถสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับครูและนักเรียนได้ เช่น ช่วยครูทำงานซ้ำซากจำเจ ปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับนักเรียนเป็นรายบุคคล ยกระดับการเรียนรู้ผ่านการระดมความคิด ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ และทำให้เด็กได้รับฟีดแบ็กแบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม การใช้งานเอไอก็ยังมีความเสี่ยงและความท้าทาย เช่น เอไอเน้นย้ำอคติให้เข้มข้นมากขึ้น คนเชื่อมั่นในเอไอมากเกินไป และครูไม่มีความรู้ในการใช้เอไออย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น NEA จึงสร้างหลักการ 5 ข้อ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการนำเข้ามาใช้เอไอในระบบการศึกษา

หลักการ 5 ข้อ เพื่อการใช้งานเอไออย่างเหมาะสมในการศึกษา

  1. มนุษย์ต้องยังคงเป็นศูนย์กลาง

มีงานวิจัยพบว่า เด็กมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้เมื่อมี ‘สัมพันธภาพ’ (Relationship) ที่แน่นแฟ้นเกิดขึ้น สัมพันธภาพในที่นี้ไม่ใช่แค่การที่ครูรู้จักชื่อนักเรียน แต่คือการสร้างความเคารพซึ่งกันและกัน ความไว้ใจ และความรู้สึกปลอดภัย นักเรียนที่สัมผัสได้ถึงความเกื้อกูล (เช่น เป็นที่รัก ได้รับความเคารพ มีครูเห็นคุณค่า) มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนและเห็นถึงความสำคัญของการเรียนวิชานั้นๆ 

ไอเอไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นสัมพันธภาพระหว่าง ‘ผู้เรียน’ กับ ‘ผู้สอน’ ที่เป็นคนจริงๆ จึงไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยเครื่องมืออย่างเอไอได้ แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีเอไอจะสามารถช่วยเหลือพัฒนาการศึกษาได้จริง แต่อุปกรณ์เหล่านี้ต้องได้รับการปฏิบัติภายใต้หลักการ ‘ช่วยเหลือแต่ไม่แทนที่’ (Aid but Not Replace)

นอกจากนี้ การตัดสินใจที่มีผลกระทบสูงหรือสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ไม่ควรใช้ข้อมูลหรือการวิเคราะห์จากเอไอเป็นแหล่งอ้างอิงเดียว เนื่องจากเอไออาจเกิดข้อผิดพลาด มีอคติ หรือไม่สามารถอธิบายย้อนกลับได้ว่าทำไมถึงเลือกทางเลือกหนึ่งๆ 

การพึ่งพาหรือมั่นใจในเอไอมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง เช่น กรณีจาก Texas A&M University ที่อาจารย์จะให้นักศึกษาไม่ผ่านทั้งห้อง เนื่องจากเอไอตรวจพบว่างานของนักศึกษาเขียนโดยใช้เอไอ ทั้งนี้ จากหนังสือ Teaching with AI ก็มีกรณีที่คล้ายคลึงกัน แต่นักศึกษาโต้กลับว่า บทคัดย่อในงานวิจัยของอาจารย์ที่ตีพิมพ์ก่อนจะมี ChatGPT ก็ตรวจพบว่าเขียนโดยใช้เอไอเหมือนกัน ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่าเอไอไม่ได้ถูกต้องและแม่นยำ 100%

หรือในรัฐเนวาดาที่สหรัฐฯ ก็ได้นำเอไอมาใช้วิเคราะห์การให้ทุนแก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลน ผลคือจำนวนนักเรียนที่ถูกระบุว่าขาดแคลนลดลงกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ อีกทั้งเด็กที่ถูกคัดออกนี้ก็มีจำนวนมากที่ขาดแคลนจริง ทำให้เด็กเหล่านี้ขาดโอกาสในการเข้าถึงทุนการศึกษา กรณีทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เอไอไม่ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือชี้เป็นชี้ตาย โดยปราศจากการพิจารณาอย่างรอบคอบจากมนุษย์

  1. เอไอที่นำมาใช้ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าสามารถยกระดับผู้ใช้ได้จริง

เวย์น โฮมส์ (Wayne Holmes) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเชิงวิพากษ์ด้านปัญญาประดิษฐ์และการศึกษา กล่าวว่า “ปัจจุบันมีหลักฐานเพียงน้อยนิดที่บ่งชี้ว่า สิ่งที่ได้รับการส่งเสริมจากอุตสาหกรรมเอไอจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักเรียนและครู”

พูดง่ายๆ คือ สิ่งที่ผลิตภัณฑ์เอไอกล่าวอ้างสรรพคุณว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ อาจไม่ได้เป็นจริงเสมอไป การเลือกใช้เทคโนโลยีเอไอในการศึกษา (หรือในบริบทอื่นๆ ก็ตาม) ควรพิจารณาจากหลักฐาน ไม่ใช่การตลาด เช่น มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือว่าการใช้งานเอไอในลักษณะหนึ่งๆ จะช่วยยกระดับความสามารถของผู้ใช้ได้จริง

คณะทำงานเฉพาะกิจของ NEA ทราบดีว่า การบังคับให้หยุดใช้เอไอในปัจจุบันไม่สามารถทำได้และไม่ควรทำอย่างยิ่ง อีกทั้งการวิจัยเพื่อหาหลักฐานมายืนยันสรรพคุณของเอไอก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ดังนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ครูหรือผู้วางนโยบาย ควรติดตามการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเอไออยู่เป็นเนืองๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการนำเอไอมาใช้ในการศึกษาจะช่วยพัฒนาบุคคลจากทุกภาคส่วนได้จริง

นอกจากนี้ เมื่อนำเอไอมาใช้แล้ว ก็ควรติดตามการวิเคราะห์หรือการวิจัยเกี่ยวกับเอไอเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีการอัปเดตปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งการอัปเดตในบางกรณีก็อาจเปลี่ยนวิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์ตัวนั้นๆ ไปเลย ทำให้ต้องมาฝึกฝนและเรียนรู้กันใหม่

  1. การพัฒนาหรือใช้งานเอไอต้องมีจริยธรรม

ปัจจุบันเทคโนโลยีเอไอยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ เอไอยังมีข้อผิดพลาด เช่น มีอคติ ให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือใช้ข้อมูลที่ล้าสมัย ดังนั้นการออกแบบหรือใช้งานเอไอต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและกำกับดูแลอยู่เสมอ (Human-in-the-Loop) เพื่อลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากเอไอ

เช่น อคติต่อผู้ใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา โดยข้อความภาษาอังกฤษที่บุคคลกลุ่มนี้เขียนขึ้นมักถูกเอไอตรวจจับว่าเขียนโดยใช้เอไอ เนื่องจากมีลักษณะการใช้ภาษาที่แตกต่างจากเจ้าของภาษา หรืออคติต่อชนกลุ่มน้อยหรือผู้หญิงในสถานการณ์หนึ่งๆ เช่น การซื้อรถหรือการทำนายผลเลือกตั้ง โดยเอไอมีแนวโน้มที่จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไรนัก เมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่นๆ ในสถานการณ์เดียวกัน

คณะทำงานเฉพาะกิจของ NEA แนะนำว่า ครูควรต้องมี ‘สมรรถนะและความเปิดกว้างทางวัฒนธรรม’ (Cultural Competence and Responsiveness) เพื่อจะได้รู้เท่าทันอคติและปรับการสอนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมต่างๆ สมรรถนะเหล่านี้นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะในการใช้เอไอได้ด้วย เพราะจะทำให้ครูเห็นและเข้าใจอคติที่เกิดขึ้นจากเอไอ ซึ่งจะช่วยพัฒนาการสอนให้กับเด็กได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

นอกจากนี้ เอไออาจสร้างผลลัพธ์ที่ผิดด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ เช่น อ้างอิงบทความที่ไม่มีจริง ให้คำแนะนำทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ ดังนั้นที่ปรึกษาด้านการกำกับดูแลเอไอและข้อมูล อะเลคซันดร์ ตยูล์คานอฟ (Aleksandr Tiulkanov) จึงเสนอขั้นตอนวิธีเบื้องต้นในการพิจารณาเลือกใช้ ChatGPT ตามผังงานด้านล่างนี้

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานเอไอในสถานศึกษาก็ต้องมีความโปร่งใส กล่าวคือ ครู ผู้ปกครอง และเด็กควรรู้ว่าในโรงเรียนมีการใช้เอไออะไรบ้างและใช้เพื่ออะไร อีกทั้งการใช้เอไอในห้องเรียนควรมีแนวปฏิบัติหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ เพื่อไม่ให้ครูต้องวิเคราะห์เอาเองว่าสิ่งไหนคือการประพฤติมิชอบ (Academic Misconduct)

การมีมาตรการจัดการกับการกลั่นแกล้ง (Bullying) หรือการคุกคาม (Harassment) ด้วยเอไอก็มีความสำคัญ อาทิ การใช้เอไอประเภทสื่อสังเคราะห์ (Deepfake) สร้างภาพไม่เหมาะสมต่อบุคคลหนึ่งๆ เป็นต้น ปัจจุบันสถานศึกษาหลายแห่งยังมิได้เตรียมการต่อเหตุการณ์ทำนองนี้ โดยแนวทางที่แนะนำในเบื้องต้นคือ การระบุว่าพฤติกรรมเหล่านี้มีความผิดทางวินัย ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการในการพิจารณาความผิดได้

  1. ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานเอไอได้อย่างเท่าเทียม

ปัจจุบัน ‘ช่องว่างทางการศึกษา’ ทำให้นักเรียนได้รับการเรียนรู้อย่างไม่เท่าเทียมกัน เช่น นักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาได้ ในขณะที่นักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนทรัพยากร ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ อาจทำให้ไม่สามารถพัฒนาระดับการศึกษาได้ทัดเทียมกับนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่

อุปกรณ์ที่พูดถึงกันมากในปัจจุบันคือ ‘อุปกรณ์ดิจิทัล’ เพราะตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ‘ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล’ (Digital Divide) ก็สูงขึ้นเป็นอย่างมาก บางโรงเรียนสามารถปรับการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่บางโรงเรียน การปรับเปลี่ยนกลับเป็นไปอย่างยากลำบาก เช่น นักเรียนไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย หรือที่บ้านไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้

การศึกษาในปัจจุบันกำลังรับเอาอุปกรณ์ดิจิทัลชนิดใหม่อย่าง ‘เอไอ’ เข้ามาใช้ โดยเทคโนโลยีนี้เองก็มีประโยชน์มหาศาลต่อทั้งครูและนักเรียน เอไอสามารถเติมเต็มช่องว่างทางการศึกษาของเด็กแต่ละคนได้ เช่น เด็กที่เรียนในห้องไม่ทันก็สามารถใช้เอไอช่วยอธิบายเนื้อหานั้นๆ ในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเองได้

ดังนั้น หากห้องเรียนหรือโรงเรียนเลือกที่จะนำเอไอเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การตรวจสอบว่าทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเอไอได้หรือไม่ 

เด็กบางคนอาจไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานเอไอได้ตลอดเวลา ดังนั้นโรงเรียนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องพิจารณาด้วยว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือในด้านนี้ เช่น มีอุปกรณ์ให้ยืม หรือเงินสนับสนุน เป็นต้น

  1. ทุกคนทำความเข้าใจเอไอและเรียนรู้วิธีนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันเอไอเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเราในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน การมี ‘ความฉลาดรู้ทางเอไอ’ (AI Literacy) จึงเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรมีติดตัว จากรายงาน Work Trend Index 2024 พบว่า ผู้บริหารไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้านเอไอ ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 66%

ดังนั้น เด็กที่ได้เรียนรู้และใช้เอไอเป็น จึงมีโอกาสสูงที่จะสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างราบรื่น นอกจากการพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยีแล้ว การพัฒนาทักษะที่เอไอไม่มีวันแทนที่ได้อย่าง ‘ทักษะทางสังคม’ (Soft Skills) ก็มีส่วนสำคัญ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร และจริยธรรมเอไอ

นอกจากนี้ การพัฒนาทางฝั่งครูก็มีส่วนสำคัญ หากครูมีทักษะทางด้านเอไอด้วยก็จะสอนให้เด็กสามารถใช้เอไอได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งยังเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตให้แก่เด็กได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีครูจำนวนมากที่ไม่เคยใช้และไม่มีความรู้ในเทคโนโลยีเอไอ

จากการสำรวจของ EdWeek Research Center ที่สหรัฐฯ ในปี 2024 พบว่า ครูกว่า 37% ไม่เคยใช้และไม่คิดที่จะใช้อุปกรณ์เอไอ และครูอีก 22% ไม่เคยใช้อุปกรณ์เอไอแต่อาจจะใช้ในอนาคต โดยเหตุผลอันดับหนึ่งที่ครูกลุ่มนี้ยังไม่ใช้อุปกรณ์เอไอคือ ‘มีภาระงานอย่างอื่นที่สำคัญกว่า’ และเหตุผลรองลงมาคือ ‘ไม่รู้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ใช้งานอย่างไร’

คณะทำงานเฉพาะกิจของ NEA เชื่อว่า การสร้างโอกาสในการฝึกฝนและเรียนรู้การใช้เอไอเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับครู ไม่แพ้กับเด็กเลย เมื่อครูได้รับการฝึกฝนการใช้งานเอไอ ครูจะสามารถนำเอไอมาใช้ในการศึกษาได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเข้าใจความเสี่ยงของเอไอ ทำให้สามารถหาวิธีรับมือและจัดการได้อย่างรอบคอบ 

แม้การสำรวจของ NEA พบว่า การใช้เอไอจะช่วยสร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาได้จริง แต่คุณประโยชน์ที่สาธยายมาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากผู้สอนเองยังไม่เข้าใจวิธีใช้งานเทคโนโลยีนี้ เมื่อผู้สอนยังไม่เข้าใจและไม่เคยใช้เอไอ แล้วเราจะคาดหวังให้ผู้เรียนใช้เอไออย่างถูกต้องและเหมาะสมได้อย่างไร

อ้างอิง

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2024). AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที.

Aleksandr Tiulkanov. (2023). Is it safe to use ChatGPT for your task?

Andrew R. Chow. (2024). Becky Pringle: The 100 Most Influential People in AI 2024.

Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.

Jordan Abbott. (2024). When Students Get Lost in the Algorithm: The Problems with Nevada’s AI School Funding Experiment.

Lauraine Langreo. (2024). Most Teachers Are Not Using AI. Here’s Why.

Liang, W., Yuksekgonul, M., Mao, Y., Wu, E., & Zou, J. (2023). GPT detectors are biased against non-native English writers. Patterns, 4(7), 100779.

McKay, C., & Macomber, G. (2021). The Importance of Relationships in Education: Reflections of Current Educators. Journal of Education, 203(4), 751-758.

National Education Association. (2024). Report of the NEA Task Force on Artificial Intelligence in Education.

Pranshu Verma. (2023). A professor accused his class of using ChatGPT, putting diplomas in jeopardy.

Salinas, A., Haim, A., & Nyarko, J. (2024). What’s in a Name? Auditing Large Language Models for Race and Gender Bias (Version 3). arXiv.Wariya Khamchana. (2024). ‘ไมโครซอฟท์’ เปิดผลวิจัย ผู้บริหารในไทยกว่า 74% ไม่จ้างพนง.ที่ไม่มีทักษะ AI.

Tags:

จริยธรรมเอไอห้องเรียน AIครูการศึกษาการเรียนรู้เด็กการคิดวิเคราะห์

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP4: เด็กจะเข้าใจ ‘จริยธรรม AI’ ต้องสอนด้วยการเชื่อมโยงกับชีวิตจริงและการลงมือทำ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP3: การบ้านในยุค AI ต้องให้คุณค่ากับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ ไม่ใช่การจับผิดว่าเด็กใช้ AI หรือไม่

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Recent Posts

  • ไม้บรรทัดของยมทูต: เมื่อความตายคือจุดหมายของชีวิต
  • The Good Bad Mother: ที่ทำได้คือ ‘ให้อภัยและปลดปล่อยตัวเองจากอดีต’ …เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้
  • ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
  • เข้าใจการเติบโตของเด็ก ผ่านใจและจิต ผ่านพลังของ ‘ศิลปะ’: ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP13: สรุป 40 หลักการ สำหรับนำไปปฏิบัติ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel