Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: March 2025

ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ: เมื่อโจทย์ของชีวิต ซับซ้อนกว่าปัญหาคณิตศาสตร์
Book
29 March 2025

ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ: เมื่อโจทย์ของชีวิต ซับซ้อนกว่าปัญหาคณิตศาสตร์

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ (The Solitude of Prime Numbers) เขียนโดย เปาโล จอร์ดาโน เล่าเรื่องราวของ อลิเช และมัตเตีย สองคนที่มีบาดแผลทางใจในวัยเด็ก พวกเขาเปรียบเสมือนเลข ‘จำนวนเฉพาะ’ ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความโดดเดี่ยว
  • บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ทำให้ ‘อลิเช’ กลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่ถูกโลกปฏิเสธ ในขณะที่ ‘มัตเตีย’ กลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่ปฏิเสธโลก จนกระทั่งวันที่ทั้งสองได้พบเจอและรู้จักกัน  พวกเขาดึงดูดกันราวกับเกิดมาเพื่อเติมเต็มกัน แต่กลับไม่อาจรวมเป็นหนึ่งเดียว เหมือน ‘จำนวนเฉพาะคู่แฝด’ ที่แม้จะอยู่ใกล้กันแต่ก็มีสิ่งขวางกั้นเสมอ
  • ชีวิตคนไม่ใช่คณิตศาสตร์ เรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คน มันซับซ้อนกว่าการค้นหาเลขจำนวนเฉพาะที่มากที่สุดเสียอีก

[บทความชิ้นนี้เปิดเผยบางส่วนของหนังสือ โดยเฉพาะตอนสำคัญของเรื่อง]

รู้จักเลขจำนวนเฉพาะมั้ยครับ บางคนอาจรู้จัก บางคนอาจตอบว่าลืมไปหมดแล้ว หรือไม่ก็ไม่รู้ เพราะแอบหลับในวิชาเลข

ไม่เป็นไรครับ ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง

จำนวนเฉพาะ (prime number) คือ จำนวนนับที่มีตัวประกอบเพียง 2 ตัว คือ เลข 1 และตัวมันเอง หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งว่า จำนวนเฉพาะ คือ ตัวเลขที่ไม่สามารถหารได้ลงตัว ยกเว้นแต่หารด้วย 1 และตัวมันเอง งงมั้ยครับ ก็อย่างเช่นเลข 2 ซึ่งสามารถหารได้ลงตัว ด้วย 1 และ 2 เท่านั้น หรือ เลข 17 ซึ่งหารได้ลงตัว ด้วย 1 และ 17 เท่านั้น อย่างนี้เราเรียกว่า เลขจำนวนเฉพาะ

ตรงข้ามกับเลขจำนวนประกอบ (composite number) คือ จำนวนนับที่มีตัวประกอบมากกว่า 2 ตัว หรือ ตัวเลขที่สามารถหารได้ลงตัว ด้วยเลขอื่นๆ นอกจาก 1 และตัวมันเอง อย่างเช่น เลข 4 ซึ่งหารด้วย 2 ลงตัว หรือเลข 20 ซึ่งหารด้วย 2 ก็ลงตัว หารได้ 10 ก็ลงตัว หรือจะหารด้วย 5 ก็ยังลงตัว แบบนี้เราเรียกว่า เลขจำนวนประกอบ

ที่ต้องอธิบายคร่าวๆ เรื่องเลขจำนวนเฉพาะ ก็เพราะบทความชิ้นนี้กำลังจะเขียนถึงหนังสือนิยายที่มีชื่อว่า ‘ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ’ ซึ่งแปลโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ ขณะที่ต้นฉบับภาษาอิตาลี คือ ‘La solitudine dei numeri primi’ หรือในฉบับภาษาอังกฤษใช้ชื่อว่า ‘The solitude of prime numbers’ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความหมายตรงกัน

หนังสือเล่มนี้ เป็นผลงานเขียนเล่มแรกของ เปาโล จอร์ดาโน (Paolo Giordano) ขณะที่เขาอายุเพียง 26 ปี และด้วยความที่จอร์ดาโน จบการศึกษาทางด้านทฤษฎีฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ทำให้เขาสามารถหยิบเอาแง่มุมที่น่าสนใจจากคณิตศาสตร์ มาสอดแทรกในเรื่องเล่าของเขาได้อย่างคมคายและน่าสนใจอย่างยิ่ง

ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ เป็นเรื่องราวของตัวเอก 2 คน คือ อลิเช และมัตเตีย ทั้งคู่ต่างเคยมีบาดแผลในวัยเด็ก ทำให้กลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวและแปลกแยกจากสังคม จนกระทั่งวันที่ทั้งสองได้พบเจอและรู้จักกัน

ในวัยเด็ก อลิเช เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่แบกความคาดหวังหนักอึ้งจากพ่อ ผู้หวังจะปั้นให้เธอกลายเป็นนักสกีมืออาชีพ

น่าเศร้าที่ความคาดหวังจากผู้เป็นพ่อ กลับกลายเป็นแรงกดดันสู่ลูก ร่างกายของเด็กหญิงอายุแค่ 7 ขวบ เริ่มส่งสัญญานแปลกๆ ทุกครั้งที่ถูกบังคับให้เรียนสกี อลิเชจะปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง ทั้งที่เธอเข้าห้องน้ำเรียบร้อยก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม

วันสุดท้ายที่อลิเชยังเล่นสกีได้ ราวกับมีบางอย่างเป็นลางบอกเหตุ ร่างกายของเธอแสดงปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรง เธอกลั้นปัสสาวะไม่ไหว จนแอบปล่อยราดลงขาโดยที่นักเรียนสกีคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็น ที่แย่กว่านั้น อลิเชถึงขั้นอึราดออกมาโดยไม่รู้ตัว

ถึงตอนนั้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัดสินใจว่า เธอได้ข้ออ้างที่จะไม่ต้องเล่นสกีในวันนั้นแล้ว เธอแยกตัวออกจากกลุ่มนักเรียนคนอื่นๆ ลงจากยอดเขาโดยลำพังคนเดียว และในตอนนั้นเอง อลิเชลื่นไถลจากยอดเขาลาดชัน

ขาข้างหนึ่งของอลิเชหักผิดรูป เธอเคลื่อนไหวไม่ได้ ทำได้แค่รอให้มีใครมาพบและช่วยเธอ แต่ไม่มีเลย ราวกับว่า โลกทั้งใบปฏิเสธเธอโดยสิ้นเชิง

อลิเช กลายเป็นคนขาพิการข้างหนึ่งไปตลอดชีวิต เธอเกลียดพ่อที่บังคับให้เธอเรียนสกี เธอเกลียดร่างกายตัวเองที่ทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า หลังจากนั้น เธอกินอาหารน้อยถึงน้อยที่สุด เพียงเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ เพียงเพื่อประคับประคองให้ร่างกายผ่ายผอมน่ารังเกียจไม่ผุพังไปเสียก่อน

อลิเช กลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่ถูกโลกปฏิเสธ เหมือนเลขจำนวนเฉพาะ ที่ไม่มีเลขอื่นร่วมหารได้ลงตัว

มัตเตีย เด็กชายอัจฉริยะ มีน้องสาวฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยน แต่น่าเศร้าที่มิเคลาไม่ได้เป็นเด็กฉลาดเหมือนเขา ตรงกันข้าม หนูน้อยเป็นเด็กด้อยพัฒนาทางสมอง แทบไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ในโลก เธอได้แต่เกาะติดพี่ชายไปทุกหนแห่งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัตเตีย หากแต่เป็นส่วนที่พิกลพิการและน่าอับอาย

ตอนอยู่ชั้นประถมสาม เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปากชวนมัตเตียไปงานปาร์ตี้ฉลองวันเกิดที่บ้านของเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่มัตเตียได้รับเชิญ เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก แม่อนุญาตให้มัตเตียไปงานที่บ้านเพื่อนได้ แต่มีข้อแม้ว่า เขาต้องพามิเคลาไปด้วย

มัตเตีย รักน้องสาวฝาแฝดของเขามาก แต่เขาไม่อยากให้เธอไปด้วย เพราะเธอคือส่วนที่พิกลพิการและน่าอับอาย เธอจะต้องทำให้เขาถูกเพื่อนๆหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน 

ระหว่างทางเดินไปงานปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน มัตเตียคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาปล่อยมือที่กุมมือมิเคลา แล้วบอกให้เธอนั่งรอเขาที่สวนสาธารณะข้างทาง ตัวเขาเองรีบวิ่งไปเล่นสนุกในงานปาร์ตี้เพียงคนเดียว ก่อนจะกลับมาเพื่อพบว่า มิเคลาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว

นั่นคือ การได้กุมมือน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีใครเจอมิเคลาอีกเลย แม้กระทั่งลงไปงมใต้แม่น้ำก็ไม่เจอร่างของเธอ

เด็กชายหัวใจแตกสลาย เขาเกลียดตัวเอง เกลียดมือตัวเองที่ปล่อยมือน้องสาว มัตเตียหยิบเศษแก้วที่พบบนพื้น กรีดแขนตัวเองช้าๆ ลึกๆ ราวกับจะให้ลึกลงถึงหัวใจที่แสนดำของตัวเอง หลังจากวันนั้น มัตเตีย แทบไม่พูดกับใครเลย

มัตเตีย กลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่ปฏิเสธโลก เหมือนเลขจำนวนเฉพาะ ที่ไม่มีเลขอื่นร่วมหารได้ลงตัว

เลขจำนวนเฉพาะ มีมากมายไม่รู้จบ ทุกตัว ยกเว้นเลข 2 ต่างเป็นเลขคี่ โดยเริ่มจาก 2, 3, 5, 7, 11, 13, 17,  19, 23, 29, 31, 41…  โดยเลขจำนวนเฉพาะที่มากที่สุดที่มีการค้นพบ คือ 2 ยกกำลัง 77,232,917 แล้วลบออกด้วย 1 ซึ่งถ้าเขียนเป็นตัวเลข จะยาวกว่า 1 ล้านหลัก และต้องใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่อง ร่วมกันประมวลผลเป็นเวลาหลายวัน กว่าจะค้นพบเลขจำนวนเฉพาะที่มากที่สุดนี้

แต่นั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ เพราะการค้นหาเลขจำนวนเฉพาะที่มากที่สุด ยังคงเป็นหัวข้อที่นักคณิตศาสตร์ระดับอัจฉริยะจากทั่วโลกให้ความสำคัญ แม้ว่าเลขจำนวนเฉพาะที่มากที่สุด จะยังไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้ก็ตาม

ความน่าสนใจของเลขจำนวนเฉพาะอีกอย่างหนึ่งก็คือ เลขจำนวนเฉพาะบางตัว มีคู่แฝดของมันด้วย เรียกว่า คู่แฝดของจำนวนเฉพาะ ซึ่งหมายถึง เลขจำนวนเฉพาะสองตัว ที่มีผลต่างเท่ากับ 2 อย่างเช่น เลข 3 กับ 5, เลข 15 กับ 17 หรือเลข 39 กับ 41

ราวกับว่า โลกยังใจดี ที่ให้เลขจำนวนเฉพาะบางตัว ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไปนัก จึงมีเลขที่เป็นคู่แฝดของมันมาอยู่ใกล้ๆ

แต่เปล่าเลย โลกใจร้ายเสียมากกว่า เพราะคู่แฝดของจำนวนเฉพาะทุกตัว ล้วนมีเลขอื่นมาขวางกั้น

ใกล้กันแค่ไหน ก็ไม่อาจสัมผัสถึงกันได้

อลิเชและมัตเตีย พบและรู้จักกันในวันที่ต่างคนต่างเป็นเหมือนเลขจำนวนเฉพาะ โดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย เขาและเธอถูกดึงดูดเข้าหากันด้วยอะไรบางอย่าง ราวกับทั้งคู่เกิดมาเพื่อคู่กัน

มัตเตีย ไม่เคยเอ่ยปากถามเรื่องขาที่กะเผลกของอลิเช อลิเชก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเรื่องรอยแผลเป็นมากมายบนแขนของมัตเตีย ราวกับทั้งคู่ต่างรู้ดีว่า ต่างคนต่างมีบาดแผลที่ไม่ควรไปสะกิดเปิด แค่อยู่เคียงข้างกัน เป็นคู่กันก็เพียงพอแล้ว

แต่น่าเศร้าที่เป็นแค่คู่แฝดของจำนวนเฉพาะ ใกล้กันแค่ไหนก็ไม่มีวันเอื้อมสัมผัสกัน

หลังจบชั้นมัธยม ทั้งคู่เลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง และห่างจากกัน มัตเตียศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย เขาค้นพบสิ่งที่ชอบ นั่นคือคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องราวของเลขจำนวนเฉพาะ ตัวเลขที่แสนโดดเดี่ยวเหมือนตัวเขา มัตเตีย ยังนึกถึงอลิเชอยู่เสมอ แต่ไม่เคยคิดที่จะติดต่อไป

อลิเช ไม่ได้เรียนต่อหลังจบชั้นมัธยม เธอค้นพบเส้นทางอาชีพในฐานะช่างภาพ และวันหนึ่ง เธอได้พบรักกับแพทย์หนุ่มอารมณ์ดี ชื่อ ฟาบิโอ แต่อลิเชยังคงคิดถึงมัตเตียอยู่เสมอ ขอเพียงแค่เขาติดต่อมา เธอก็พร้อมจะไปหาเขา

แต่มัตเตียไม่เคยบอก อลิเชทำได้เพียงแค่รอ เหมือนตอนที่เธอขาหัก ได้แต่นอนรอให้มีคนมาช่วย แต่ความช่วยเหลือก็มาช้าไป

วันที่มัตเตียรับปริญญา เขาไม่ได้บอกอลิเช แต่เธอก็รู้และมาเจอเขา วันนั้น มัตเตียได้เปิดใจตัวเองให้อลิเชเข้าถึงมากขึ้น เขาเล่าเรื่องน้องสาวฝาแฝด ที่เป็นบาดแผลในใจมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเอง เหมือนกับว่า ทั้งคู่เข้าใกล้กันมากที่สุด

แต่ก็เป็นมัตเตียที่ตัดสินใจถอยออกมา เขาเลือกรับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้อลิเชตัดสินใจคบและแต่งงานกับฟาบิโอ

ในช่วงท้ายของเรื่อง ชีวิตแต่งงานของอลิเชพังทลาย เพราะเธอยังไม่หายจากความเกลียดชังร่างกายตัวเอง แม้ว่าในเรื่องจะไม่ได้เขียนไว้ชัดเจน แต่เป็นไปได้ว่า อลิเชป่วยเป็นโรค anorexia หรือ อาจมีความผิดปกติของพฤติกรรมการกินชนิดอื่น ซึ่งทำให้เธอไม่สามารถมีลูกให้กับสามีได้

อลิเชคิดถึงมัตเตีย เธอตัดสินใจอยากเริ่มต้นใหม่กับเขา อลิเชเขียนจดหมายไปหาเขา เขียนสั้นๆ แค่ว่า มีเรื่องสำคัญจะบอก มัตเตียรีบจับเครื่องบินกลับมาบ้านในทันทีที่ได้รับจดหมาย ทั้งคู่ได้พบกัน เปิดใจให้กัน และขยับเข้าใกล้กันมากที่สุด

เชื่อว่า หลายคนคงเดาได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือว่า เรื่องราวจะจบลงอย่างไร เพราะแค่ชื่อเรื่องก็แทบจะสปอยล์เรื่องราวทั้งหมดของหนังสืออยู่แล้ว

แต่สิ่งสำคัญที่ผมอยากเขียนถึงก็คือ เรื่องราวของมัตเตียและอลิเชอาจแตกต่างไปจากเดิม หากทั้งคู่เกิดในยุคสมัยที่ผู้คนได้เรียนรู้และให้ความสำคัญกับหัวข้อทางจิตวิทยามากกว่าสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำว่า บาดแผลทางใจในวัยเด็ก (childhood trauma) ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) หรือการไม่คาดหวังในตัวลูกมากเกินไปของคนเป็นพ่อแม่

หากพ่อไม่ตั้งความหวังสูงจนกลายเป็นแรงกดดันต่ออลิเช เธอก็คงเรียนสกีได้อย่างสนุกสนาน เธอก็คงไม่ประสบอุบัติเหตุขาพิการ และเธอก็อาจเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงาม มีความรักและภาคภูมิใจในตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ

เช่นเดียวกัน หากเด็กๆ ได้รับการปลูกฝังให้มีความเห็นอกเห็นใจกัน มัตเตียก็คงไม่ปล่อยมือจากมิเคลา เขาก็คงเติบโตเป็นชายหนุ่มอัจฉริยะ ผู้ไม่มีทั้งบาดแผลทางใจในวัยเด็ก และบาดแผลทางกายนับไม่ถ้วน

แต่สิ่งสำคัญที่สุด อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่า what if… ซึ่งแทบไม่ต่างจากการโบ้ยความผิดไปให้คนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับตัวเองเพียงผู้เดียว

หลายครั้งหลายตอนในหนังสือ มัตเตียแสดงให้เราเห็นว่า เขายึดติดอยู่กับคำว่า ‘เลขจำนวนเฉพาะ’ ปักใจเชื่อว่า ตัวเองคือจำนวนเฉพาะที่แสนโดดเดี่ยว และอลิเชก็คือคู่แฝดของจำนวนเฉพาะ คู่ที่อยู่ใกล้กันแต่ไม่อาจเอื้อมสัมผัสถึงกันได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคนไม่ใช่คณิตศาสตร์ เรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คน มันซับซ้อนกว่าการค้นหาเลขจำนวนเฉพาะที่มากที่สุดเสียอีก

ถึงกระนั้น ไม่ได้หมายความว่า มัตเตียตัดสินใจผิด เพราะเขาเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง เขารู้ตัวดีว่า คนอย่างเขาไม่เหมาะกับการอยู่กับคนอื่น หากแต่เหมาะกับการอยู่กับตัวเลขมากกว่า

ขณะที่ตอนจบของเรื่อง อลิเช ซึ่งนอนเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะ เธอนึกถึงเรื่องราวของมัตเตีย มิเคลา และฟาบิโอ ก่อนที่จะคิดได้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องรอใครเลย เหมือนที่เธอเคยรอบนยอดเขาหิมะ เธอไม่ต้องรอมัตเตีย หรือฟาบิโอ

ร่างกายและจิตใจนี้เป็นของเธอ เธอสามารถเลือกเองได้ …แล้วอลิเชก็ลุกขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครมาช่วย

Tags:

หนังสือความสัมพันธ์บาดแผลในจิตใจThe Solitude of Prime Numbersความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Cover
    Book
    The Wild Robot: ชีวิตที่ลิขิตเอง ไม่ต้องรอโปรแกรมคำสั่ง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • lonely-cover (1)
    Book
    คุณไม่จำเป็นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อใคร: ถึงฉันจะโดดเดี่ยว แต่ก็ยังอยากอยู่คนเดียวอยู่ดี

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Character building
    ‘นิสัยรักการอ่าน’ มรดกจากพ่อแม่ที่ช่วยให้เด็กเติบโตและมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    อ่านอะไรดีช่วงสิ้นปี ปีที่สุดปังและเปลี่ยนผ่าน ของขวัญจากคอลัมนิสต์ The Potential2020

    เรื่อง The Potential

Tambon Zero Dropout เราจะไม่ทิ้ง ‘เด็กนอกระบบ’ ไว้ข้างหลัง: หมอตุ้ย-สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์
Social Issues
27 March 2025

Tambon Zero Dropout เราจะไม่ทิ้ง ‘เด็กนอกระบบ’ ไว้ข้างหลัง: หมอตุ้ย-สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘Tambon Zero Dropout’ หรือตำบลที่เด็กหลุดจากระบบการศึกษาเป็นศูนย์ คือความฝันของ ‘หมอตุ้ย’ สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ที่มีหน่วยงานต่างๆ ในเทศบาลลำปางหลวงและทีมงานจิตอาสาเป็นกำลังหลัก
  • เป้าหมายคือการพาเด็ก Dropout ในพื้นที่กลับสู่ระบบการศึกษา หรืออย่างน้อยก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง
  • “เรากำลังสร้างตำบลลำปางหลวงเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาเด็ก Dropout ถ้าเราทำได้ ตำบลอื่นก็น่าจะขยับเขยื้อน แล้วก็น่าจะขยายเครือข่ายได้ในอนาคต”

“สิ่งที่เราพบคือสังคมโดยเฉพาะผู้ใหญ่มักตราหน้าว่าเด็กนอกระบบ มีสถานะเหมือนกับนักโทษสมัยโบราณที่ถูกตีตัวแดงติดหน้าผาก” 

‘หมอตุ้ย’ สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลลำปางหลวง ชวนสังคมให้หันกลับมาทบทวนวิธีคิดที่มีต่อเด็ก Dropout หรือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เพื่อทำความเข้าใจก่อนที่จะลงมือช่วยเหลือพวกเขาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง

จากข้อมูลการสำรวจและติดตามสถานการณ์เด็กและเยาวชนช่วงอายุ 3 – 18 ปี โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. พบว่าในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่ไม่มีรายชื่อในระบบการศึกษาจำนวนกว่า 1 ล้านคน โดยกลุ่มนี้มักถูกเรียกว่าเด็ก Dropout ซึ่งทางโครงการ Thailand Zero Dropout ได้ตั้งเป้าหมายที่จะปัญหาดังกล่าวให้กลายเป็นศูนย์ เพราะยิ่งปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังเท่าไหร่ ประเทศไทยก็จะสูญเสียบุคลากรที่มีศักยภาพมากขึ้นในอนาคต

หมอตุ้ยเป็นอีกคนหนึ่งที่ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ปัญหานี้และตั้งใจว่าจะใช้พื้นที่ตำบลลำปางหลวงสร้างโมเดลในการพาเด็ก Dropout สู่เส้นทางการเรียนรู้ ผ่านบทบาทในการเป็นผู้รับผิดชอบโครงการร่วมสร้างชุมชนแห่งโอกาสและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนนอกระบบการศึกษาบนฐานทุนของชุมชนและความร่วมมือระดับท้องถิ่น ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

“ผมอยากจะช่วยให้เด็ก Dropout ในพื้นที่กลับสู่ระบบการศึกษา หรืออย่างน้อยก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่พัฒนาศักยภาพของตนเองได้ เชื่อว่าหากทุกคนในตำบลลำปางหลวงร่วมมือกันจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืน”

ทราบมาว่าคุณหมอกำลังจะปักหมุดตำบล Zero Dropout ที่ลำปางหลวง?

ย้อนกลับไปประมาณ 4 ปีที่แล้ว ทางเทศบาลได้รับทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน จากกสศ. โดยปีแรกๆ เราทำในผู้สูงอายุกับคนพิการเป็นส่วนใหญ่ จนเมื่อปีที่แล้วเราคิดว่าจะลองทำกับกลุ่มเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยให้ทางเทศบาลเราเป็น 1 ใน 5 เทศบาลต้นแบบ ตอนนั้นเราตั้งเป้าไว้ที่ 100 คน เราจึงลงพื้นที่เซอร์เวย์และนำข้อมูลจากโครงการ Zero Dropout มาดู พบว่าเรามีเด็กถูกแขวนลอยเยอะมากเลยนะครับ หมายถึงเด็กที่เรียนถึง ม. 3, ปวช. หรือ ม. 6 แต่ไม่ได้วุฒิเพราะติด 0 ติด ร. หลายคน 

เด็กกลุ่มนี้เยอะครับ มีเป็นร้อยๆ คน เราจึงมองปัญหานี้อย่างจริงจัง ประกอบกับเราพบว่ามีปัญหาจากเด็กแว้น กับเด็กที่อยากหาพื้นที่ในการแสดงออก เราจึงเริ่มมองหากิจกรรมที่น่าจะช่วยพวกเขาได้ แล้วก็ได้มาพบกับกลุ่มจิตอาสาที่เคยเป็นเยาวชนในพื้นที่ ซึ่งตอนนี้อายุ 30 กว่าปีแล้ว มาร่วมกันเป็นแกนหลักในการทำงานกับเยาวชน 

ในพื้นที่ตำบลลำปางหลวงของเราประกอบไปด้วย 13 หมู่บ้าน มีเยาวชนประมาณ 700 กว่าคน อายุ 15 – 25 ปี แต่ว่าปีที่ผ่านมา เราเลือกเยาวชนมาก่อน 100 คน ที่หลุดจากโครงสร้างของระบบการศึกษา โดยแยกออกเป็น 3 กลุ่มครับ 1.กลุ่มที่ยังเรียนอยู่ อันนี้เราไม่ได้ทำอะไรกับเขามากนัก  2. กลุ่มเสี่ยง คือเด็กที่มีแนวโน้มจะหลุดออกจากระบบการศึกษา ไม่ว่าเขาจะมีความเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยก็ตาม หรือติด 0 กี่ตัวก็ตาม 3.กลุ่มที่หลุดออกแล้ว ตรงนี้ก็จะแบ่งออกย่อยเป็นอีกสองกลุ่ม คือเด็กที่เพิ่งหลุดออกมา 1 ปี กับเด็กที่หลุดมานานกว่านั้น ซึ่งในกลุ่มหลังมักจะปฏิเสธการเรียน ไม่อยากกลับไปเรียนกับน้องๆ แล้ว และมักรวมกลุ่มกันไปทำเรื่องอื่นๆ 

ตอนที่คุณหมอเข้ามาทำโครงการในช่วงแรกมีความยากลำบากหรืออุปสรรคอะไรบ้าง

อุปสรรคเยอะมากเลยครับ เพราะเด็กกลุ่มนี้ถ้าเขาไม่ไว้ใจใครแล้วเขาจะปฏิเสธหมดเลย เราจึงต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยในกองสาธารณสุขของเรา เราจะไม่มีการตรวจฉี่ ไม่มีการตั้งกฎเกณฑ์ แล้วน้องเยาวชนทุกคนจะมีเสียงหนึ่งสิทธิเท่ากันในการแสดงความเห็น พวกเขาสามารถคิดหรือทำอะไรก็ได้ เช่น โหวตกันว่าอยากเรียนช่างยนต์ผมก็จัดให้เลย โดยได้รับความร่วมมือจาก BOI และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานที่ยกเอากองของผมเป็นศูนย์ช่างประจำชุมชนเทิดไท้องค์ราชัน แล้วส่งอาจารย์มาสอน เด็กๆ ก็เข้ามาเรียนที่นี่พร้อมกับชาวบ้านที่สนใจ แต่ที่สำคัญคือที่นี่ไม่เคยว่า ไม่เคยตำหนิ เด็กทุกคนอยากทำอะไรก็ทำ แล้วก็เรารับฟังเด็ก

ผมมี อพม. คืออาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยู่ในพื้นที่ประมาณ 40 กว่าคน มานั่งคุยกันว่า คุณจะทำยังไงต่อกับลูกหลานของคุณ สิ่งที่เราพบอันแรกคือสังคม พวกผู้ใหญ่ตราหน้าเขา ตีตัวแดงติดหน้าผากเหมือนนักโทษสมัยโบราณ ตีตราเลยตรงนั้น แล้วอีกอันนึงก็คือ ครอบครัวอุปถัมภ์ ก็คือเวลาเด็กตื่นสายอะไรพวกนี้ครับ ก็ไม่ต้องไปโรงเรียน เด็กติด 0 ติด ร. ก็ไม่สนใจ เด็กไม่เรียนก็ไม่ต้องเรียน เพราะยังไงฉันมีเงินส่งให้ใช้อยู่แล้ว  

นอกจากนี้สังคมก็ไม่มีพื้นที่ให้เขาแสดงออก เด็กบางคนก็เลยหันไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น ซิ่งรถเป็นเด็กแว้น แต่ทีมพี่ๆ จิตอาสาของเราก็จะเป็นคนคอยไปดู และนำงบที่ได้สนับสนุนมาทำกิจกรรมอื่นๆ ให้น้องๆ ได้มีพื้นที่ เช่น การทำอคาเดมีฟุตบอลเพื่อฝึกวินัยเด็กๆ ผ่านฟุตบอล กับอีกอันคือการเต้นบาสโลบ ซึ่งตอนนี้เด็กๆ ในทีมฟุตบอลและบาสโลบของเราเริ่มเก่งขึ้นและมีการพัฒนาที่ดีขึ้น อย่างทีมบาสโลบของเราก็ได้กลายเป็นทีมชนะเลิศในจังหวัด ไม่มีใครกล้าจะแข่งกับพวกเขา ส่วนทีมฟุตบอลก็เริ่มมีความแข็งแกร่งสามารถแข่งขันกับทีมใหญ่ๆ ได้ เด็กมีวินัยมากขึ้น พวกเขาจะตื่นเช้าและมาเข้าร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์ที่พวกเขามาซ้อม เราก็เริ่มมีทีมฟุตบอลที่ดี มีโค้ชจากมหาวิทยาลัยกีฬาเข้ามาสอนอย่างมืออาชีพ และให้เกรดกับเด็กๆ ทุกคน ทำให้เด็กได้พัฒนาทักษะและได้รับใบประกาศ

การทำกิจกรรม เช่น ฟุตบอล การเต้นบาสโลบ นอกจากเพื่อฝึกฝนความมีวินัย ยังเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ ด้วย?

ใช่ครับ ตอนแรกเราต้องการให้เด็กๆ เข้ามาร่วมกิจกรรมเพื่อเปิดใจและดูว่าเด็กจะสามารถไว้ใจพวกเราและเข้ามาคุยกับเราได้ไหม พี่ๆ ทีมงานก็พยายามทำกิจกรรมต่างๆ และได้มีชมรมต่างๆ เข้ามาช่วยสนับสนุน ทำให้เด็กๆ เริ่มกล้าที่จะเปิดใจและพูดคุยกับพวกเรา หลายคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมเริ่มมีโอกาสไปเรียนต่อ เช่น ตอนนี้มีเด็ก 11 คนที่เข้ามาสมัครกับศูนย์การเรียน CYF (มูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน) ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 ของ พรบ.การศึกษา หรือเรามีเด็ก 6 คนที่ส่งเอกสารเพื่อจะขอวุฒิ ม.3 หรือ ม.6 เพื่อไปเรียนต่อ ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหลักที่เราหวังว่าจะจบการศึกษาในเดือนเมษายนนี้และสามารถเรียนต่อได้

ในปีที่ 2 นี้ เราก็ได้รับงบประมาณเพิ่มเติมจากกสศ. ทำบ้านพักเด็กอีก 100,000 บาท ตอนนี้เรามีโครงการที่หลากหลาย เช่น ค่ายเยาวชน การแข่งขันฟุตบอลซีซั่น 2, กิจกรรมดนตรี, ศิลปะ, ฟ้อนรำ รวมถึงตลาดเด็ก ซึ่งจะให้เด็กๆ มาช่วยกันบริหารจัดการตลาดเอง โดยเด็กจะสามารถแสดงความสามารถที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเต้น เล่นดนตรี หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ในพื้นที่ที่ปลอดภัย

ดูเหมือนว่าจังหวัดลำปางจะทำงานเรื่องเด็กและเยาวชนในหลายมิติ?

ใช่ครับ เรามีเกาะคาโมเดล ทำกับ ABE (การจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ) ส่วนลำปางหลวงเรากำลังสร้างตำบลของเราขึ้นเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาเด็ก Dropout ถ้าเราทำได้ ตำบลอื่นก็น่าจะขยับเขยื้อน แล้วเราก็น่าจะขยายเครือข่ายได้ในอนาคต เราโชคดีที่ท่านนายกเทศมนตรี (อรรณพ ตื้อคำ) เองก็เป็นคนของตำบลนี้ ท่านมองเด็กๆ เหมือนลูกหลานของตนเอง เรามีผู้นำที่ดีและทีมที่ดีในการทำงานร่วมกัน ผมได้น้องๆ จิตอาสาที่ทำงานบนพื้นฐานของพี่น้อง ช่วยดูแลเยาวชนว่ามีใครมีปัญหาด้านการเรียนรู้ตรงไหนก็จะช่วยกันจนสำเร็จ ถือว่าผมโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับคนที่ดีแบบนี้ มันเป็นความโชคดีซ้อนความโชคดีจริงๆ ครับ

ในฐานะคนทำงานแก้ปัญหาเด็ก Dropout อยากให้หมอตุ้ยพูดถึงความสำคัญของการที่สังคมจะต้องช่วยกันซัพพอร์ตเด็กๆ กลุ่มนี้

มีคนบอกว่า ถ้าเราจุดควันขึ้นมา ควันมันจะเหม็นไปหมด ไม่ใช่แค่บ้านเรา บ้านอื่นก็จะเหม็นด้วยเหมือนกัน สโลแกนที่เราคิดตั้งแต่แรกคือ ‘เด็กดี ครอบครัวดี ชุมชนก็จะดี’ เพราะเรามองว่าเด็กในอนาคตจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ เราต้องเริ่มวางพื้นฐานตั้งแต่เด็กๆ และหาพี่ๆ มาช่วยกัน เราพยายามขยับทุกอย่างให้ดีขึ้น และท่านนายกฯก็สนับสนุนงบประมาณให้กับโรงเรียน เช่น ปีที่แล้วที่ทำโครงการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า พบว่า นักเรียนกว่า 80 คนทดลองบุหรี่ไฟฟ้าหมดแล้ว และครึ่งหนึ่งมีบุหรี่ไฟฟ้าเป็นของตัวเอง อีก 30% ถึงแม้ไม่ได้ซื้อแต่ในบ้านมีอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือประมาณ 20% คือยังไม่มีกำลังซื้อ เรามองเห็นปัญหานี้ชัดเจน

ปีนี้ท่านนายกฯสนับสนุนงบประมาณให้โรงเรียนทำโครงการสต็อปบูลลี่ ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่แก้ไข มันจะกลายเป็นเรื่องปกติไป เรากำลังพยายามเปลี่ยนมายด์เซ็ตของเด็กๆ ให้คิดเป็น เป็นพลเมืองที่มีความคิดดี และให้เด็กคิดโครงการที่สามารถทำได้จริง พร้อมกับบ้านพักเด็ก เราจะทำตลาดเด็กและสร้างกลไกต่างๆ เข้ามาช่วย ทุกอย่างต้องทำร่วมกันทั้งในระดับเด็ก ครอบครัว และองค์กรต่างๆ รวมถึงพี่ๆ ที่เป็นเครือข่าย ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้

ตอนนี้ผมมองว่าภาพรวมของโครงการที่เราเสนอไปยัง กสศ. เป็นจิ๊กซอว์ที่เชื่อมต่อกัน และไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่ทำ เรามี 23 หน่วยงานที่ร่วมมือกัน เช่น โรงพยาบาล สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน โรงพยาบาลเวชชารักษ์ และหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดและพม. ที่เข้ามาช่วย เราทำมากกว่าแค่ช่วยเด็ก เรายังช่วยซ่อมแซมเตียงและวีลแชร์ รวมถึงดูแลผู้สูงอายุและคนพิการ เป้าหมายของเราคือตำบลแห่งการเรียนรู้ที่มีชุมชนเป็นฐาน การเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีชุมชนเป็นหลัก นี่คือแนวทางที่เราต้องขับเคลื่อนตั้งแต่ท่านนายกเข้ามา และตลอด 4 ปีที่ท่านทำงาน ท่านพยายามให้ตำบลของเรากลายเป็นตำบลที่ทุกคนมีโอกาสเท่ากันครับ

ในส่วนของการสร้างโมเดลตำบล Zero Dropout คำว่า Zero Dropout ไม่ได้หมายถึงการพาเด็กทุกคนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาใช่ไหม

อย่างที่คุยกันก็คือ คำว่า Zero To Hero มันแค่เอา Z ออก เอาตัว H มาใส่ มันก็ Hero เราแค่เปลี่ยนมายด์เซ็ตของเขา อย่างเด็กแว้นก็กลายเป็นหมอศัลยกรรมรถ เปลี่ยนมายเซ็ตความคิดของเขาก่อน อันดับที่สอง คนไหนที่อยากยังอยู่ในระบบ ซึ่งบางคนไม่เหมาะสมกับระบบจริงๆ นะครับ เขาถูกระบบผลักออกมาด้วยกลไกอะไรต่างๆ ด้วยตัวเขาเองนะครับ เราก็พยายามเซ็ตให้เขาไปอยู่ในที่ของเขา จะผ่านเรียนจากศูนย์การเรียน จะผ่านทางโรงเรียน หรือจะผ่านทักษะชีวิต อันนั้นอยู่ที่เขาอีกทีว่าเขาอยู่ตรงไหน ซึ่งตัวเราเองเมื่อรู้ว่าเด็กไปอยู่ไหน เราจะต้องทำตัวเทศบาลเราให้พร้อม 

ในส่วนของเราที่ทำเป็นศูนย์ช่างประจำชุมชน เราก็เปิดโอกาสให้เด็กๆ เข้ามาเรียนรู้และฝึกทักษะต่างๆ หรือแม้กระทั่งถ้ามีกลไกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมด้วยก็จะยิ่งดีนะครับ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ของผมเท่านั้น ในโครงการนี้มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองการศึกษา สำนักปลัด และหน่วยงานอื่นๆ ที่มีส่วนร่วม แต่เมื่อโครงการออกมามันจะเป็นภาพรวมของเทศบาล ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของท่านนายกและพี่ๆ จิตอาสา ที่เป็นคนเบื้องหลังทั้งหมดที่ทำให้โครงการนี้สำเร็จจนถึงวันนี้ครับ

สุดท้ายคุณหมออยากสื่อสารอะไรถึงผู้ใหญ่หรือคนในสังคมที่ยังมีอคติกับเด็กนอกระบบ?

จากมุมมองของผม ผู้ใหญ่บางครั้งมักจะมองเด็กแค่ในมุมเดียว ทั้งที่เด็กมีหลายแง่มุมและมุมของตัวเองด้วย แต่เมื่อสังคมทำให้เด็กรู้สึกว่าไม่มีตัวตน พวกเขาก็จะพยายามหาตัวตนในแบบของตัวเอง เหมือนกับที่วันนั้นผมไปอบรมแล้วเห็นว่าเด็กๆ ใช้สมองส่วนกลางในการซึมซับสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่ถ้าเราเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้สมองส่วนหน้าในการคิดและไตร่ตรอง ก็จะเป็นวิธีที่ช่วยพัฒนาเขาได้ ซึ่งต้องมีระบบหรือกลไกที่รองรับการพัฒนาเหล่านี้

ผมว่าผู้ใหญ่ต้องเริ่มคิดก่อนว่าเราไม่มีสิทธิตัดสินใคร เราต้องให้โอกาสเด็กได้ลองทำสิ่งต่างๆ และสิ่งสำคัญคือเด็กๆ กำลังเรียนรู้จากเรา ถ้าเราด่าเด็กว่าไม่ดี เด็กก็จะมองเรา และตัวเราเองก็เป็นต้นแบบที่เขากำลังเรียนรู้จากตรงนี้ 

หากเราพยายามแก้ไขก็จะต้องมีการวางระบบและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และเป็นแหล่งพลังบวกสำหรับเด็กๆ ครับ

Tags:

ลำปางหลวงเยาวชนเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาชุมชนเด็ก Dropout

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    มากกว่าชนะในเกมคือไม่แพ้ในชีวิตจริง การพัฒนาศักยภาพเด็กที่ไม่มีคำว่า ‘ใน’ หรือ ‘นอก’ ระบบการศึกษา: ทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    วิเคราะห์มุมมืดระบบการศึกษาไทย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการเรียนรู้

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an EducatorCreative learning
    เปลี่ยนครูพักลักจำ เป็น ‘หลักสูตรทอผ้า’ การเรียนรู้ที่ไม่มีใครแก่เกินสอนหรืออ่อนเกินเรียน: แม่หลวงทัญกานร์ ยานะโส

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘เปิดเทอมที่ไม่ได้เรียนต่อ’ ทางออกอยู่ที่ไหน เมื่อเด็กตกอยู่ในการวนซ้ำของการหลุดจากระบบการศึกษา

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

Reverse Bucket List: ระลึกถึงเรื่องราวดีๆ แรงกระตุ้นมุมกลับให้เราพัฒนาตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
How to enjoy life
25 March 2025

Reverse Bucket List: ระลึกถึงเรื่องราวดีๆ แรงกระตุ้นมุมกลับให้เราพัฒนาตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Reverse Bucket List (RBL) เป็นการเปลี่ยนมุมมองที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณต่อโอกาสต่างๆ ที่เราเคยได้รับ ความสำเร็จที่เราเคยทำได้ และเป็นแรงกระตุ้นในมุมกลับให้เรารู้สึกอยากพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นไปอีก
  • อุปสรรคอย่างหนึ่งที่อาจทำให้การทำ Reverse Bucket List ยากสำหรับบางคนก็คือ การมีความทรงจำที่เจ็บปวดหรือกระตุ้นความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสีย ความล้มเหลว การพลัดพราก การทำพลาด หรือการเสียโอกาสสำคัญต่างๆ
  • ประเด็นสำคัญคือเราไม่จำเป็นต้องมองย้อนอดีตด้วยแว่นตาสีชมพูหรือต้องโปรยกลีบกุหลาบใส่ทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลา แค่เพียงตระหนักว่าเมื่อบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน เราเก่งพอเอาตัวรอดมาได้ดีเพียงใด และเหตุการณ์นั้นนำไปสู่สิ่งดีๆ อะไรบ้างหรือไม่

ยุคนี้มีกิจกรรมหลายอย่างที่หลายคนนิยมทำและแม้แต่เชื้อชวนให้พรรคพวกเพื่อนฝูงทำเพราะเห็นว่าดี เรื่องหนึ่งที่ผมก็ทำเพราะสมองเรามีข้อจำกัดในการรับข้อมูลแต่ละวันคือ การทำ To Do List หรือ ‘รายการสิ่งที่ต้องทำ’ จะช่วยให้เราเคลียร์งานให้จบหมดได้ทันเวลา ไม่หลงลืม และไม่ตกค้าง

แต่รายการสิ่งที่ต้องทำมักเป็นเรื่องเฉพาะหน้าหรือระยะสั้น

มีรายการอีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากเช่นกันคือ Bucket List ที่มีคนตั้งชื่อไว้อย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า ‘ตะกร้าความฝัน’ หรือ ‘ตะกร้าความหวัง’ ส่วนผมขอเรียกว่า ‘รายการความฝันในถังใจ’ ซึ่งเป็นแผนระยะยาว อาจจะเป็นภายใน 1 ปีหรือ 5 ปี แต่บางคนอาจมองว่าเป็นแผนชั่วชีวิตเลยก็ได้   

ตัวอย่างเช่น จะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นอียิปต์ ปารีส หรือวาติกัน อาจตามรอยดาราหรือเซเลบที่ชื่นชอบไปสถานที่บางแห่ง อาจจะอยากไปดูแสงเหนือแสงใต้ ไปตามล่าสุริยคราสในประเทศต่างๆ ไปกระโดดบันจี้จัมป์ ดิ่งพสุธาจากเครื่องบิน หรือปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ อีกรูปแบบหนึ่งเป็นการทำภารกิจที่ยากลำบากกายใจ เช่น ขนาดเดินยังเหนื่อย แต่อยากจะไปวิ่งมาราธอนหรือเล่นไตรกีฬาให้ได้ ฯลฯ 

สำหรับหลายคนการมีเป้าหมายแบบนี้เป็นตัวฉุดดึงและผลักดันชั้นดีให้ลงมือทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมาย แต่สำหรับอีกหลายคนกลับทำให้รู้สึก ‘เยอะ’ กับชีวิตจนแทบทานทนไม่ไหวได้เช่นกัน เพราะบางครั้งมีเป้าหมายมาก แต่กลับแทบทำไม่ได้เลย จนอาจรู้สึกละอายใจหรือล้มเหลวได้เช่นกัน [1]

มีกิจกรรมอีกแบบที่สวนทางกับที่กล่าวมาและไม่เป็นที่รู้จักดีเท่าเรียกว่า Reverse Bucket List (RBL) หรืออาจเรียกแบบลำลองได้ว่า ‘ย้อนศรความฝัน’…วิธีการแบบนี้คืออะไรกันแน่?

ในกรณีของความฝันในถังใจนั้น เราใช้เป้าหมายเป็นตัวสร้างแรงดึงดูดใจ ยิ่งเราอายุน้อย ก็ยิ่งตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ได้มากเท่านั้น และพยายามพุ่งทะยานไปข้างหน้าเพื่อบรรลุความฝันนั้น แต่ครั้นเราอายุมากขึ้น สภาพแวดล้อมก็อาจเปลี่ยนแปลงไป ไหนจะความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ปัญหาสุขภาพที่อาจเริ่มปรากฏขึ้นตามวันเวลา รวมไปถึงความคิดความอ่านที่อาจจะเริ่ม ‘ยึดติด’ กับความเป็นจริงในชีวิตหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘มีกรอบความคิด’ มากขึ้น 

กลยุทธ์การทำ Bucket List จึงอาจจะใช้ได้ไม่ดีเท่าเดิมอีกต่อไป 

ตรงนี้เองที่การทำ RBL อาจจะเข้ามาทดแทน เพราะอย่างหลังนี้เป็นการเปลี่ยนมุมมองที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณต่อโอกาสต่างๆ ที่เราเคยได้รับ ความสำเร็จที่เราเคยทำได้ และเป็นแรงกระตุ้นในมุมกลับให้เรารู้สึกอยากพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นไปอีก โดยอาศัยการดำดิ่งลึกลงไปในอดีต เพื่อค้นหาสิ่งที่ได้เคยทำไปแล้วและอาจเป็นความสุขหรือความสำเร็จที่ดีต่อใจ อาจจะแม้แต่นำมาแบ่งปันคนอื่นได้ด้วย

มีงานวิจัยใน ค.ศ. 2025 ที่ตีพิมพ์ใน The Journal of Positive Psychology ที่ค้นพบว่า ความรู้สึกขอบคุณช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมได้ [2] 

นักวิจัยทดลองโดยให้อาสาสมัครระลึกถึงเรื่องดีๆ สามเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงแล้วเขียนออกมา โดยให้ทำเช่นนี้ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ผลลัพธ์คืออาสาสมัครรู้สึกพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น 

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบอีกด้วยว่าพฤติกรรมระลึกถึงเรื่องสนุกเรื่องดีทำนองนี้ช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว ความเบื่อหน่าย และความวิตกกังวลได้ด้วย และที่น่าสนใจมากยิ่งไปขึ้นอีกก็คือ ส่งผลข้างเคียงทำให้กลายเป็นคนใจดีและใจกว้างต่อคนแปลกหน้ามากขึ้น และมีความอดทนอดกลั้นต่อคนนอกวัฒนธรรมหรือนอกกลุ่มเพิ่มขึ้นอีกด้วย [3]

ข้อดีอีกข้อคือ การทำ RBL เช่นนี้ ช่วยแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเรา (ทำมาได้เยอะแล้ว!) แทนที่จะแสดงถึงความล่าช้าและผิดหวัง (ยังเหลือในลิสต์อีกเพียบ!) แบบใน Bucket List จึงช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจและความภาคภูมิใจในตัวเองให้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าและมากกว่า [1] 

คำแนะนำเบื้องต้นในการรายการย้อนรอยแบบนี้คือ อาจจะสะดวกดีถ้าจะแบ่งออกเป็นทศวรรษ ตั้งแต่เกิดจนอายุ 10 ขวบ จากนั้นก็ยาวไปจนบรรลุนิติภาวะที่ 20 ปี และต่อไปเรื่อยตามแต่อายุของคุณ คุณอาจต้องประหลาดใจว่า เราคุ้นเคยกับการตั้งเป้าแบบไปข้างหน้ามาก แต่กลับไม่ง่ายเลยที่จะมองย้อนกลับไปลิ้มรสชาติอดีตอีกครั้ง [4]

อีกแบบหนึ่งแทนที่จะแบ่งตามเวลาเป็นส่วนๆ เท่าๆ กัน คุณอาจเลือกแบ่งตามจังหวะเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น ย้ายบ้าน จบการศึกษา เปลี่ยนงาน หรือมีลูก ฯลฯ มองตัวเองในช่วงเวลาเหล่านั้น ในบทบาทเหล่านั้น เลือกดูว่าเราปรับตัวเก่งเพียงใด แสดงให้ผู้คนเห็นถึงความยืดหยุ่น เข้ากันได้กับคนอื่นมากเพียงใด มีความกระตือรือร้น มีมนุษยสัมพันธ์มากเพียงใด 

แต่ละอย่างที่กล่าวมาล้วนมองเป็นความสำเร็จได้ แม้ว่าโดยทั่วไปคุณอาจมองผ่านไป ไม่คิดว่าเป็นความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ใช่เป็นความสำเร็จแบบที่จับต้องได้มากกว่า (ซื้อบ้าน ซื้อรถ เลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ) หรือบรรลุความคาดหวังเรื่องตำแหน่ง รางวัล หรือเกียรติยศบางอย่าง 

บางคนอาจมีคำถามว่าต้องเขียนออกมามากน้อยเท่าใด ไม่มีตัวเลขที่กำหนดกะเกณฑ์ชัดเจน แล้วแต่คุณเลยครับ จะเขียนออกมา 15 เรื่องหรือ 50 เรื่อง ก็ทำได้ทั้งนั้น 

อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งที่อาจทำให้การทำ Reverse Bucket List ยากสำหรับบางคนก็คือ การมีความทรงจำบางอย่างที่เจ็บปวดหรือกระตุ้นความรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจบางอย่างเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสีย ความล้มเหลว การพลัดพราก การทำพลาด หรือการเสียโอกาสสำคัญต่างๆ   

แต่นักจิตวิทยาระบุว่าแม้แต่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้น แต่หากเราสามารถระบุบทเรียนที่ได้เรียนรู้หรือผลลัพธ์เชิงบวกบางอย่างได้ (เช่น สอบไม่ติดที่แรก เลยเลือกเรียนอีกแห่งหรืออีกสาขา แต่พบว่าเรากลับชอบมากกว่า) ก็ถือได้ว่าช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ยากลำบากนั้นมีคุณค่าให้ระลึกถึงและมอบบทเรียนบางอย่างให้กับเราได้ 

ประเด็นสำคัญคือเราไม่จำเป็นต้องมองย้อนอดีตด้วยแว่นตาสีชมพูหรือต้องโปรยกลีบกุหลาบใส่ทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลา แค่เพียงตระหนักว่าเมื่อบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน เราเก่งพอเอาตัวรอดมาได้ดีเพียงใด และเหตุการณ์นั้นนำไปสู่สิ่งดีๆ อะไรบ้างหรือไม่ 

การพลาดรถไฟเที่ยวนั้นอาจทำให้เราได้มีโอกาสเดินสำรวจใกล้ๆ สถานีและค้นพบบุคคล สถานที่ หรือความรื่นรมย์บางอย่างที่ไม่อยู่ในแผนการท่องเที่ยวเดิมก็เป็นได้ 

ระหว่างการทำทั้งหมดนั้น เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเราเองเป็นอย่างมาก ได้รู้ว่าเราทำอะไรได้ท่ามกลางเหตุการณ์ที่ยากรับมือ เราสามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้มากเพียงใด ขณะเดียวกันก็อาจแยกแยะผู้คน สถานที่ และเป้าหมายในชีวิตของตัวเองได้แจ่มชัดมากขึ้น

สำหรับคนที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นไปอีกได้อย่างไร มีคำแนะนำกว้างๆ ดังนี้คือ ข้อแรก ใช้การเขียนบันทึกเป็นประจำ อาจเป็นบันทึกลับสำหรับคุณไว้ดูคนเดียว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาวิพากษ์วิจารณ์อะไร บางคนอาจถนัดบันทึกเป็นเสียงซึ่งก็ทำได้  

หากใช้วิธีการและมุมมองใหม่เช่นนี้แล้ว ก็อาจคาดหวังได้ว่าคุณจะสามารถเลือกลงทุนเวลาและพลังงานกับเรื่องในอนาคตได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น มีกำลังใจและความมั่นใจจากผลงานในอดีตช่วยสนับสนุนให้รับมือกับเรื่องในอนาคตได้ดีมากขึ้น 

คุณอาจจะมี ‘จุดมุ่งหมาย’ หรือ ‘ความหมาย’ ในการใช้ชีวิตมากขึ้นก็เป็นได้  

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.fastcompany.com/40497651/how-making-a-reverse-bucket-list-can-make-you-happier เข้าถึงข้อมูลวันที่ 17 มี.ค. 2025

[2] Watkins, P. C., Uhder, J., & Pichinevskiy, S. (2014). Grateful recounting enhances subjective well-being: The importance of grateful processing. The Journal of Positive Psychology, 10(2), 91–98. https://doi.org/10.1080/17439760.2014.927909

[3] https://www.nytimes.com/2013/07/09/science/what-is-nostalgia-good-for-quite-a-bit-research-shows.html?pagewanted=all เข้าถึงข้อมูลวันที่ 17 มี.ค. 2025

[4] Jenny Rowe (2023) The Joy of a Tick List. Psychology Now, vol. 7, pp. 14-15

Tags:

การขอบคุณ (Gratitude)Reverse Bucket List (RBL)การตั้งเป้าหมายการพัฒนาตนเอง

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Blue Giant: ในวันที่ก้าวสู่ฝัน…หวังว่าเราจะเป็นลมใต้ปีกที่คอยพยุงกันและกันไปให้ถึงจุดหมาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Everyone can be an Educator
    ‘การอ่าน’ คือต้นทุน(เปลี่ยน)ชีวิตเด็ก กำหนดอนาคตประเทศไทย: พญ.ปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี – หมอแพมชวนอ่าน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • BookHow to enjoy life
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • How to enjoy life
    ‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

“การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง
Social Issues
24 March 2025

“การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ครูนางฟ้า เป็นโครงการที่มุ่งเสริมศักยภาพครู ให้แนวทางในการดูแลจิตใจเด็ก พร้อมสร้างความเข้มแข็งทางใจ เพื่ออยู่ในโลกโกลาหลนี้อย่างสมดุล ‘ไม่กลายเป็นผู้กระทำความรุนแรง และไม่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง’ เป็นการช่วยเด็กกลับคืนเข้าสู่ระบบการศึกษา
  • ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ หนึ่งในครูนางฟ้าบอกว่า การที่จะเป็นครูนางฟ้าในการดูแลช่วยเหลือเด็กนั้น จำเป็นต้องมีทักษะสำคัญอย่างการสื่อสารเชิงบวก แล้วรับฟังโดยไม่ตัดสิน และที่สำคัญคือ “ต้องเชื่อว่าปัญหาเดียวกัน ไม่อาจจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการเหมือนกันได้”
  • การฝึกให้เด็กได้ ‘รู้จักตัวเอง’ เท่าทันอารมณ์ ความต้องการของตัวเอง จะทำให้เขาไม่เดินหลงทาง หลุดออกจากระบบการศึกษา

เด็กมีปัญหาการเรียน ขาดเรียนบ่อย ไม่ค่อยอยากมาโรงเรียน เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา ขาดที่พึ่งพิงทางใจ ซ้ำยังพบปัญหาการใช้สารเสพติด และติดการพนัน อะไรนำพาให้เด็กคนหนึ่งที่ควรจะมีอนาคตที่ดีเข้าสู่วงจรเช่นนี้? และในฐานะครูจะช่วยเหลือเด็กได้อย่างไรบ้าง? 

คำถามนี้ตั้งต้นขึ้นเพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับเด็กและเยาวชนที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา หรือที่แวดวงการศึกษามักเรียกกันว่า ‘เด็กกลุ่มเปราะบาง’

The Potential มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘ครูลีซ่า’ นูริทรา แปแนะ โรงเรียนอาสาศาสตร์วิทยา จังหวัดยะลา ในงาน มหกรรมวิชาการ ‘สุข Marathon ‘Happiness is Blooming’ ภายใต้แนวคิด ‘เพราะสุขภาพคือพลังสำคัญที่เราสร้างได้ร่วมกัน’ รวมพลังสร้างสุขภาวะชุมชนอย่างยั่งยืน จัดโดยสถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) ภายใต้มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายกว่า 100 องค์กร ถึงแนวทางในการดูแลจิตใจเด็ก พร้อมสร้างความเข้มแข็งทางใจ เพื่ออยู่ในโลกโกลาหลนี้อย่างสมดุล ‘ไม่กลายเป็นผู้กระทำความรุนแรง และไม่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง’ 

ครูลีซ่า ใช้แนวทางที่ได้จากการอบรมใน โครงการครูนางฟ้า เครือข่ายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จ.ยะลา เพื่อเสริมศักยภาพครูในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงบวก พร้อมกับเครื่องมือต่างๆ นำมาปรับใช้ในการดูแลเด็ก

เปลี่ยน ‘ครู’ วิชาการจอมเนี้ยบ เป็น ‘ครูนางฟ้า’ ในการช่วยเหลือดูแลนักเรียนกลุ่มเปราะบาง

ก่อนจะไปเรียนรู้แนวทางในการดูแลเด็กกลุ่มเปราะบาง ครูลีซ่า เล่าให้ฟังถึงปัญหาที่พบเจอในโรงเรียนอาสาศาสตร์วิทยาว่า โรงเรียนอาสาศาสตร์วิทยาเป็นโรงเรียนสอนศาสนารูปแบบปอเนาะ ระดับชั้นมัธยมศึกษาต้นจนถึงปลาย ซึ่งปัญหาที่พบคือ เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ขาดที่พึ่งทางใจ จึงหันหน้าเข้าหายาเสพติด และติดการพนัน 

“ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เสี่ยงต่อการจะไปมั่วสุมยาเสพติด อาจจะมีพื้นฐานครอบครัวที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอยู่แล้ว แล้วก็เป็นกลุ่มที่ขาดที่พึ่งพาทางใจ รวมถึงเป็นเด็กกำพร้าค่ะ บางคนก็เป็นเด็กยากจนที่ถูกรับมาเลี้ยง แล้วก็เป็นเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ อยู่แค่กับย่ากับยาย คือเด็กกลุ่มเปราะบ้างที่เราใช้เรียกก็คือเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการพึ่งพาทางใจอยู่แล้ว แล้วเด็กก็สุ่มเสี่ยงที่จะไปเป็นกลุ่มที่ใช้ยาเสพติด หรือว่าอาจจะตกไปเป็นเหยื่อของกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์”

และแม้การติดตามเด็กกลับคืนสู่ห้องเรียนจะเป็นเรื่องยาก แต่ครูลีซ่าก็ยังตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ จนกระทั่งได้เครื่องมือจากโครงการครูนางฟ้า นำมาปรับใช้กับเด็กๆ ที่โรงเรียน

“ในเรื่องของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เราได้เทคนิคความรู้ว่าในการดูแลเด็กจะต้องมีความรู้ในเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะจิตวิทยาค่ะ หลักๆ ก็จะเป็นในเรื่องของ MI Message (Motivational Interviewing Message) หรือการสื่อสารเชิงบวกค่ะ เป็นการเปลี่ยนคำพูด ปรับวิธีการสอน ถามความต้องการของเขามากขึ้น

สำหรับเด็กที่เขามีปัญหาทางใจ หรือพฤติกรรมไม่ดี แบบฝึกต่างๆ จากโครงการครูนางฟ้า สามารถช่วยคัดกรองปัญหาของเด็กในเบื้องต้น ทำให้ครูสามารถไปพูดคุยกับเขาได้ตรงจุด ทำให้เขาได้ ‘รู้จักตัวตน’ ของตัวเอง 

เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วคนที่มีปัญหาเขารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าเขาจะต้องใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหา เพียงแต่ว่าเขาต้องการใครสักคนมารับฟัง เราจะต้องแสดงออกให้เห็นว่าเรารับฟังเขา เราอยู่เคียงข้างเขา ไม่ว่าเขาจะเลือกชอยส์เอหรือว่าชอยส์บีในการแก้ปัญหา”

การที่จะเป็นครูนางฟ้าในการดูแลช่วยเหลือเด็ก จึงจำเป็นต้องมีทักษะสำคัญอย่างการสื่อสารเชิงบวก แล้วรับฟังโดยไม่ตัดสิน และที่สำคัญคือ “ต้องเชื่อว่าปัญหาเดียวกัน ไม่อาจจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการเหมือนกันได้” 

“เริ่มแรกเลยคือ เราจะมีแบบฝึกที่เป็นการคัดกรองกลุ่มสีฟ้า สีเขียว สีเหลือง สีส้ม แล้วก็สีแดงค่ะ แต่ละกลุ่มมันก็จะมีปัญหาแตกต่างกัน แต่ในกรณีที่เราเจอเคสซึ่งรู้แล้วว่าเขามีปัญหา เราจะคุยกับเขาก่อน คุยด้วยคำถามปลายเปิด แล้วก็เป็น MI Message ก็คือเป็นการสื่อสารเชิงบวก ก็ให้เขาพยายามเล่า แล้วก็ฟังให้มากที่สุด”

“หลังจากนั้นก็จะให้เด็กๆ ทำกิจกรรม ‘กราฟวัดลอยจม’ ค่ะ ให้เขาได้แสดงว่าในช่วงชีวิตตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย แล้วก็ปัจจุบัน ในแต่ละช่วงชีวิต กราฟชีวิตของเขาเป็นยังไงบ้าง อย่างเช่น ตอนประถมความสุขของเขาขึ้นอยู่กับการได้เงินค่าขนม 10 บาท อาจจะมีความสุข ตรงที่ได้อยู่กับเพื่อน มัธยมอาจจะมีความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อนสนิท แต่ว่าปัญหาเริ่มเข้ามาแล้วในเรื่องนู่นนี่นั่น 

กราฟวัดลอยจมจะช่วยให้เขารู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น แล้วก็ได้สะท้อนตัวเองว่าในแต่ละช่วงชีวิต เหตุการณ์ไหนบ้าง ช่วงไหนบ้างที่เป็นเหตุการณ์ชีวิตที่ดี แล้วก็เหตุการณ์ชีวิตที่แย่ ทำให้เขาได้รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาเขาก็สามารถผ่านมาได้ แล้วก็ถ้ามีโอกาสข้างหน้าเขาเจอเหตุการณ์ที่แย่ เขาจะทำยังไง ในเมื่อบทเรียนที่ผ่านมาเขาก็ได้เห็นแล้วว่าสถานการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เขาใช้วิธีการใดหรือว่าใครที่ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่แย่ แล้วอะไรที่มันเป็นความสุขที่ทำให้เขาอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ” 

ครูลีซ่า ย้ำว่าปัญหาเดียวกัน ไม่อาจแก้ปัญหาด้วยวิธีการเหมือนกันได้ เพราะประสบการณ์ชีวิตที่เจอย่อมแตกต่างกัน การฝึกให้เด็กได้ ‘รู้จักตัวเอง’ เท่าทันอารมณ์ ความต้องการของตัวเอง จะทำให้เขาไม่เดินหลงทาง หลุดออกจากระบบการศึกษา  

เมื่อครูเปิดใจ รับฟัง สื่อสารเชิงบวก ผลลัพธ์คือเด็กเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น

“เด็กๆ เปลี่ยนไปมากยิ่งขึ้นเลยค่ะ ยกตัวอย่าง เด็กนักเรียนชาย 40 คน เป็นเด็กกลุ่มที่เราประจำชั้นมาตั้งแต่เขาอยู่ม.1 ก็คือเป็นปีแรกที่ทำงานเลย จนตอนนี้เขาอยู่ม.4 เราเห็นการเปลี่ยนแปลงว่า หลังจากที่ได้รู้จักโครงการครูนางฟ้าแล้วก็ได้นำเทคนิคต่างๆ มาใช้ เด็กมีความเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรมตรงที่ว่าเขาเข้าหาเรามากขึ้น ไว้วางใจและเปิดใจที่จะพูดคุยกับเรา ก่อนหน้านี้เราอาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยคุยกับเด็ก อาจจะเป็นคนที่ตัดสินเขา ด่วนตัดสินไปเลยค่ะ คือเห็นภาพแค่มุมเดียว แต่ทุกวันนี้เราเข้าใจเขามากขึ้น รับฟังเขามากขึ้น”  

“ยกตัวอย่างเด็กคนนึงที่ขาดเรียนบ่อยๆ ใน 1 เดือนเขามาเรียนแค่อาจจะ 7 วัน ไม่ก็ 8 วัน แล้วก็ก่อนหน้านั้น ครูทุกคนก็คือไม่เอาเขาเลย วันไหนที่เขาไม่มาโรงเรียน เท่ากับว่าเป็นวันที่ครูมีความสุข แต่มันไม่ใช่สำหรับเรา พอเราเป็นครูประจำชั้นในมุมของคนที่เป็นครูประจำชั้น เราจะรักเขาเหมือนเขาเป็นลูกของเราจริงๆ เลยค่ะ 

ทีนี้พอเราได้ลองคุยกับเขา ได้นำทักษะกระบวนการต่างๆ ของครูนางฟ้าไปใช้ ได้มองเห็นว่าอ๋อ…จริงๆ แล้วปัญหาที่ทำให้เขาไม่อยากมาโรงเรียน หนึ่งเลยก็คือเพื่อน และสองก็คือครูเองนั่นแหละที่ทำให้เขาไม่อยากมาโรงเรียน เพราะว่าเขาเป็นเด็กเกเรเขาเป็นเด็กไม่ดี จริงๆ แล้วเราในความเป็นครูก็คือมันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องดูแลเขาให้มากขึ้น ฟังเขาให้มากขึ้น ถ้ายิ่งแย่เรายิ่งต้องเติมค่ะ แล้วพอหลังจากที่เราได้พูดคุยกับเขามากขึ้น ตอนนี้เขามาเรียนทุกวันเลย” 

นอกจากครูลีซ่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กแล้ว ครูลีซ่าเองคิดว่าตัวเองก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วย

“ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวนะคะ แต่ก็ได้ฟังจากเด็ก เหมือนที่ผ่านมาเราเป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการด้วย เด็กๆ ก็คือเกร็ง กลัว ไม่ค่อยที่จะเข้าหาเรา คาบไหนที่เป็นวิชาสอนของเรา เด็กจะนั่งตัวตรง ไม่อะไรเลย ก็คือจะตั้งใจฟังอย่างเดียว แต่หลังจากที่เราได้เรียนรู้วิธีการต่างๆ เราก็ได้ปรับเปลี่ยนใช้กับตัวเองก่อนก็คือทำให้เด็กสนุกมีความสุข ทำให้เด็กมองเราเปลี่ยนไป อยากจะมาเรียนกับเราทุกคาบ แล้วก็ไม่เกร็งไม่กลัว สามารถเข้ามาพูดกับครูได้ทุกช่วงเวลาเลย”

ครูลีซ่า มองว่า จิตวิทยาการสื่อสารเชิงบวกที่ได้เรียนรู้มานั้น ช่วยลดปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม นั่นก็คือ ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้ด้วย 

“การสื่อสารเชิงบวกสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่กำลังแย่ให้ดีขึ้นได้ เพราะว่าคำพูดของเราเปรียบเสมือนอาวุธ คำพูดของคนหนึ่งคนมันสามารถทำให้คนมีชีวิตอยู่ต่อได้ด้วย แล้วก็บางทีกลับกันก็อาจจะทำให้ชีวิตของเขาดับลงได้ด้วยเช่นเดียวกัน ครูเชื่อว่าอย่างนั้นค่ะ 

การสื่อสารเชิงบวก มันสามารถเริ่มต้นได้จากตัวเองเลย ไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังจากคนอื่น เราเป็นคนมอบให้ก่อน เวลาเด็กได้ฟังจากครู เขาก็มักจะเลียนแบบจากเราค่ะ” 

“สิ่งดีๆ คำพูดดีๆ มันดี มันไม่ใช่แค่เป็นคำพูดโลกสวยหรือว่าคำพูดสวยหรูค่ะ เพราะว่าคนเรามันสามารถอยู่ได้ด้วยคำพูดดีๆ พอเราได้รับคำพูดดีๆ มันจะทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า กลับกันถ้าเราโดนคำพูดที่ไม่ดี สาดใส่อยู่ทุกวันมันอาจจะทำให้ชีวิตเราแย่ลงได้ 

ถ้าเราพูดดีกับเด็ก ใช้การสื่อสารเชิงบวกกับเด็ก มันจะส่งผลดีกับการเรียนรู้ของเด็กมากกว่าการใช้คำพูดที่ทำให้เขากลัว ไม่กล้าแสดงออก สิ่งไหนก็ตามที่เขาทำไม่ได้ เราเสริมแรงบวกไปเลย หนูทำได้ ครูอยู่ตรงนี้ หนูสู้อีกนิดนึง ประมาณนี้ค่ะ ก็คือเชื่อว่าเขาทำได้” 

เมื่อก่อนครูลีซ่าเองก็เคยเป็นครูไหวใจร้าย พูดจาตัดสินเด็กโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้เรียนรู้การสื่อสารเชิงบวก ก็ทำให้ได้ตระหนักว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเติบโตและเรียนรู้ได้จากคำพูดตำหนิ กดดัน 

“พอเราย้อนกลับไป คำพูดที่เคยพูด เช่น “ทำไมเธอถึงทำไม่ได้” มันเป็นคำพูดที่ไปทำให้เขารู้สึกแย่ค่ะ โดยเฉพาะออกมาจากปากของคนเป็นครู เพราะว่าหลายๆ เคส ที่ไปพบจิตแพทย์ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจสำหรับคนเป็นครูนะคะ เพราะว่าเด็กๆ หลายคนที่ไปพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่แล้วเพราะเขาถูกคนที่เป็นครูนี่แหละ พูดจาไม่ดีใส่”

“ในฐานะที่เป็นครู เป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับเด็กๆ เป็นคนที่จะต้องสื่อสารอยู่กับเด็กทุกๆ วัน ใช้ไปเลยค่ะ คำพูดที่เป็น MI Message หรือว่าคำพูดเชิงบวก เพราะว่าเด็กๆ เขาอยากจะได้รับคำพูดดีๆ จากคนเป็นครู ในอดีตคนอาจจะเติบโตมาได้ด้วยคำด่า คำตำหนิ แต่ในปัจจุบันนี้โลกแล้วก็สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว เราหันมาพูดหรือว่าสื่อสารด้วยพลังบวก มันก็จะยิ่งส่งเสริมให้ชีวิตอีกหลายๆ ชีวิต สามารถดำเนินชีวิตไปด้วยดีได้ค่ะ”

อีกทั้งฝึกให้เด็กได้สำรวจตัวเอง เพื่อเรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้เด็กมองเห็นคุณค่าในตัวเอง 

“การที่เด็กได้รู้จักตัวเองมันทำให้เขารู้สึกว่าเขามีคุณค่า คนเราเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มันย่อมที่จะไม่ไปทำอะไรที่ส่งผลเสียให้กับตัวเอง แล้วถ้าเขายิ่งได้รู้ตั้งแต่แรกๆ เลยว่าเขารู้สึกยังไง มีความคิดอ่านยังไง มันจะยิ่งดีต่อการเรียนรู้ในอนาคต 

ถ้าสมมุติว่าคนๆ นึง รู้สึกว่าเขามีคุณค่า เขาก็ย่อมที่จะไขว่คว้าพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่ทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น เก่งขึ้น แล้วก็สามารถไปถ่ายทอดให้กับคนอื่นได้อีกด้วย พอรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าปุ๊บ มันก็จะนำไปสู่การที่จะไปช่วยเหลือคนอื่นได้อีกด้วยค่ะ”

ซึ่ง ครูลีซ่า ย้ำว่าบางทีครูอาจจะเน้นสอนแต่เนื้อหาในตำราเรียน ละเลยการที่ทำให้เด็กเขาได้รู้จักตัวเอง หรือว่าได้ทบทวนเรื่องราวในแต่ละวันไป 

“ในความเป็นครูค่ะ ส่วนใหญ่ก็คือแนะนำเก่ง แต่เราไม่ได้ดูว่าเด็กบางคนเขาเจอปัญหา เหมือนกับที่เราเคยเจอ แต่เขาไม่อาจจะแก้ปัญหาแบบที่เราเคยแก้ได้นะคะ เพราะว่าปัญหาเดียวกันไม่สามารถใช้แนวทางวิธีการแก้ปัญหาเดียวกันได้ เพราะแต่ละคนมันก็มีพื้นหลังชีวิตที่ไม่เหมือนกัน 

เพราะฉะนั้น การที่เราทำให้เขาได้รู้จักตนเอง มันก็เหมือนกับว่าเป็นการสนับสนุนเขาว่าเขาสามารถทำได้นะ ไม่ว่าเขาจะเลือกแนวทางไหนในการแก้ปัญหาก็ตามหรือว่าแนวทางไหนที่เขาจะใช้ชีวิตก็ตาม ก็คือยังมีคนที่เข้าใจเขา โดยเฉพาะตัวเขาเองนี่แหละ ที่จะสามารถก้าวข้ามทุกๆ ปัญหาไปได้ เพราะว่าไม่มีใครจะอยู่คอยช่วยเหลือเราได้ตลอดจากตัวเอง” 

Tags:

จิตวิทยาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษากลุ่มเปราะบางครูนางฟ้าMI Message (Motivational Interviewing Message)

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • How to enjoy life
    ‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา

    เรื่อง The Potential

  • Family PsychologySocial Issues
    รายรับน้อยลง ต้องประหยัดมากขึ้น: คุยกับลูกเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว เรื่องของผู้ใหญ่ควรให้เด็กเกี่ยว เขาจะเติบโตขึ้น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’
Book
22 March 2025

บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • บ้านเล็กในป่าใหญ่ (Little House in the Big Woods) เขียนโดย ลอร่า อิงกัลล์ส ไวล์เดอร์ เป็นวรรณกรรมเยาวชนคลาสสิกที่เล่าเรื่องราวชีวิตของเด็กหญิงลอร่า ที่เติบโตมากลางป่าใหญ่ในอเมริกายุคบุกเบิก
  • หนังสือเล่าอัตชีวประวัติของ ‘ลอร่า’ ตั้งแต่วัยเด็ก และครอบครัวของเธอ ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ซุงกลางป่ารัฐวิสคอนซิน โดยพ่อแม่ของเธอทำหน้าที่ปกป้อง เลี้ยงดู และอบรมสั่งสอนลูกๆ ผ่านเรื่องเล่าและการใช้ชีวิตจริง โดยสอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับความอดทน ความขยัน และคุณค่าของครอบครัว
  • ครอบครัวที่อบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความเข้าอกเข้าใจกัน จะทำให้เด็กมีความเชื่อมั่นในความเป็นครอบครัว ที่เป็นเหมือนที่พักพิงที่แสนปลอดภัย ทั้งทางกายและจิตใจ

สุภาษิตโบราณบทหนึ่งของแอฟริกา กล่าวไว้ว่า ‘It takes a village to raise a child’ หรือ ‘ต้องใช้คนทั้งหมู่บ้านในการเลี้ยงเด็กแค่คนเดียว’ สุภาษิตดังกล่าวได้กลายเป็นวลีที่ใช้กันแพร่หลายในแวดวงวิชาการ ว่าด้วยการเลี้ยงเด็กให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มากมาย

ไม่มีใครปฏิเสธว่า การที่เด็กคนหนึ่ง จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยไม่ล้มเหลว หรือแหลกสลายไประหว่างทางเสียก่อน จำเป็นต้องพึ่งพาทั้งครอบครัว และปัจจัยแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อนที่โรงเรียน ครูอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ ร้านค้าในละแวกใกล้เคียง หรือแม้กระทั่งศูนย์การค้าทันสมัยใจกลางเมือง

ถึงกระนั้น ครอบครัวก็ยังถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอยู่ดี เพราะนอกจากจะเป็นสิ่งแวดล้อมอย่างแรกที่เด็กคนหนึ่งพบเจออยู่ทุกวันแล้ว ครอบครัว หรือบ้าน ยังเป็นเหมือนเซฟโซน ที่พักพิง ทั้งทางกายและจิตใจ ในวันที่เด็กคนหนึ่งต้องซมซานกลับมาหลังจากเจ็บปวดบอบช้ำจากโลกภายนอก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมากลางป่าดิบแดนเถื่อน ซึ่งเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ยังอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ นั่นหมายความว่า บ้าน หรือครอบครัว แทบจะกลายเป็นโลกทั้งใบของเธอ การที่เด็กคนนี้ จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ‘บ้าน’ จึงกลายเป็นปัจจัย หรือตัวแปรที่สำคัญที่สุดอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ลอร่า อิงกัลล์ส ไวล์เดอร์ (สะกดตามที่ใช้ในฉบับแปลไทย สำนวนของสุคนธรส) คือ เด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กผู้หญิงที่เติบโตมาในบ้านที่อยู่กลางป่าลึก และเติบโตขึ้นมากลายเป็นนักเขียนหญิง และสุภาพสตรีที่ชาวอเมริกันรักมากที่สุดคนหนึ่ง

ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงลอร่า ผู้แต่งหนังสือชุด ‘บ้านเล็กในป่าใหญ่’ หรือ Little House Series ซึ่งเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเด็กที่ได้รับความนิยม และเป็นที่รักของคนทั่วโลกมากที่สุด

หนังสือในชุดนี้ซึ่งมีทั้งหมด 7 เล่ม เป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ และอัตชีวประวัติของลอร่า ตั้งแต่วัยเด็กที่เธอเติบโตขึ้นมากลางป่าใหญ่ในรัฐวิสคอนซิน ก่อนจะอพยพย้ายถิ่นฐานหลายครั้ง ตั้งแต่รัฐแคนซัส มินเนโซตา ดาโกตา ก่อนจะพบรักและลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวกับ แอลแมนโซ ไวล์เดอร์ และย้ายไปยังรัฐมิสซูรีในเวลาต่อมา

เรื่องราวทั้งหมดในวรรณกรรมชุดนี้ เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ในยุคสมัยที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของอเมริกา ยังเป็นป่าดงพงไพร ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสัตว์ป่า ชนพื้นเมืองอินเดียนแดง แก๊งโจรปล้นชิงทรัพย์ และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา การที่ใครสักคนจะเติบโตผ่านพ้นวัยเด็กจนเป็นผู้ใหญ่ได้ ก็ถือเป็นเรื่องยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และกลายเป็นคนที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในแบบอย่างอเมริกันชนที่ดีงาม

แล้วอะไรที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงลอร่า อิงกัลส์ กลายเป็นหญิงสาวที่ดีงาม ทั้งความเป็นกุลสตรี ความเฉลียวฉลาดใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ความกล้าหาญ อดทน และจิตใจที่แข็งแกร่งไม่แพ้เหล่าโคบาลในถิ่นตะวันตกแดนเถื่อน

เด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านเล็กทาสีเทาทำด้วยไม้ซุงทั้งต้น อยู่ในป่าใหญ่ในรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา รอบบ้านเป็นป่ามืดครึ้ม… ไม่มีถนน ไม่มีผู้คน มีแต่ต้นไม้และสัตว์ปา ซึ่งอาศัยอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้…

และนั่นคือ คำบอกเล่าจากปากของลอร่า ในบทแรกของหนังสือที่มีชื่อว่า ‘บ้านเล็กในป่าใหญ่’ ซึ่งบ้านเล็กที่ทำจากไม้ซุง คือสถานที่ที่เธออาศัยอยู่ร่วมกับพ่อ แม่ พี่สาวคนหนึ่งชื่อแมรี่ กับน้องสาวตัวเล็กชื่อแครี่ และสุนัขพันธุ์บูลด็อกชื่อแจ็ค ที่เป็นเหมือนหน่วยอารักขาความปลอดภัยให้กับบ้านเล็กหลังนี้

พ่อ มักจะออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปทำไร่ไถนาในพื้นที่ที่ถางไว้ หรือไม่ก็เข้าป่าล่าสัตว์ เพื่อหาเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารให้แก่ทุกคนในครอบครัว ในช่วงฤดูหนาว เมื่อพ่อกลับมาถึงบ้าน จะเป็นเวลาที่แสนสนุกสนานและอบอุ่นของครอบครัว โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังอาหารเย็น ที่พ่อมักจะเล่าเรื่องราวการผจญภัยที่พบเจอ รวมถึงเรื่องสนุกสนานสมัยวัยเด็กของพ่อให้ลูกๆ ฟัง

นอกจากความสนุกสนานน่าตื่นเต้นแล้ว เรื่องราวที่พ่อเล่าให้ลอร่าและแมรี่ฟัง มักสอดแทรกแง่คิดคำสอน โดยไม่ได้ยัดเยียด บังคับ หรืออ้างหลักศีลธรรมความดี ตรงกันข้าม แง่คิดที่ได้จากเรื่องเล่าของพ่อ บ่งบอกถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า ส่งผลดีผลเสียต่อชีวิตของเราอย่างไร

พ่อเล่าให้ลอร่ากับแมรี่ฟังว่า ตอนเป็นเด็ก ปู่มอบหน้าที่ให้พ่อต้อนวัวไปเลี้ยงในป่า พอตกเย็นก็ให้ต้อนกลับคอกตั้งแต่ก่อนค่ำ เพราะกลางคืนจะมีสัตว์ป่าดุร้ายออกมาหากิน ด้วยความที่ยังเด็กและมีนิสัยซุกซน พ่อจึงปล่อยฝูงวัวให้หากินเอง แล้วเถลไถลเข้าป่าลึกเพื่อชมนกชมไม้ตามประสาเด็ก

พอได้เวลาต้อนวัวกลับคอก พ่อหาวัวไม่เจอสักตัว จึงต้องเดินตามหาเข้าไปในป่าลึก พอได้ยินเสียงนกฮูกร้อง ฮูก ฮูก หูก็ฝาดได้ยินเป็นเสียงคนร้องถามว่า ใคร ใคร (who who) พ่อกลัวจนวิ่งหนีออกจากป่ากลับมาถึงบ้าน และพบว่า ฝูงวัวเดินกลับมารออยู่หน้าคอกตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว

หรือตอนที่พ่อเล่าเรื่องพี่ชาร์ลีย์ ลูกชายของลุงเฮนรี ตอนนั้น พ่อกับลุงเฮนรีตกลงแลกเปลี่ยนแรงงานกัน ซึ่งถ้าเป็นศัพท์ในบ้านเราก็จะใช้คำว่าลงแขก คือ สลับการไปช่วยลงแรงเกี่ยวข้าวในนา พอถึงเวลาที่ข้าวในนาของลุงเฮนรีสุกและสมควรแก่การเก็บเกี่ยว พ่อจึงพาครอบครัวไปค้างที่บ้านลุงเฮนรี เพื่อช่วยลงแรงเกี่ยวข้าวให้กับครอบครัวนั้น

พี่ชาร์ลีย์ อายุได้ 11 ขวบแล้ว ซึ่งถือว่าโตพอที่จะช่วยพ่อแม่ทำงานในนาได้แล้ว แต่ลุงเฮนรีกับป้าปอลลี่ รักและโอ๋ลูกมาก จึงไม่ได้ให้พี่ชาร์ลีย์มาช่วยลงแรงเกี่ยวข้าว ครั้นพอจำเป็นต้องเรียกให้มาช่วย พี่ชาร์ลีย์กลับดื้อไม่ยอมช่วยทำงาน 

ที่ร้ายกว่านั้น ขณะที่ผู้ใหญ่กำลังทำงานอยู่ในนา พี่ชาร์ลีย์ที่วิ่งเล่นอยู่ไกลๆ กลับร้องตะโกนราวกับว่า กำลังถูกสัตว์ป่าทำร้าย หลอกให้พ่อกับลุงเฮนรี ต้องวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และพบว่า ถูกพี่ชาร์ลีย์หัวเราะเยาะใส่และพูดว่า “ผมหลอกเล่น”

ครั้งสุดท้ายที่พี่ชาร์ลีย์ส่งเสียงร้องให้ช่วย ผู้ใหญ่ทุกคนไม่สนใจ เพราะคิดว่าเป็นการหลอกเล่นของเด็กนิสัยไม่ดี กว่าจะรู้ว่าคราวนี้เป็นเรื่องจริง พี่ชาร์ลีย์ก็ถูกฝูงต่อรุมต่อยจนปูดบวมไปทั้งตัว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ลอร่าและเราที่เป็นคนอ่านได้ตระหนักถึงข้อเสียที่คนๆ หนึ่งจะได้รับจากการโกหก โดยไม่จำเป็นต้องยกหลักศีลธรรมขึ้นมาอ้าง

ขณะที่พ่อ คือ ตัวแทนของความกล้าหาญ อดทน ขยันขันแข็ง แม่ก็คือ ตัวแทนของความอบอุ่น เรียบร้อย และเป็นความเบิกบานที่อ่อนหวานของบ้าน

แทบทุกตอนที่แม่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ คนอ่านจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่มาจากสูตรอาหารที่ชวนให้น้ำลายสอ ซึ่งล้วนแล้วจะมาจากผลผลิตการเกษตร หรือเนื้อสัตว์ที่หาได้จากในป่า และความใส่ใจในการสอนมารยาทที่ดีงาม แม้ว่าบ้านที่ลอร่าอยู่จะเป็นแค่บ้านหลังเดียวกลางป่าไร้ผู้คน

ในตอนที่ครอบครัวของลอร่า อพยพย้ายถิ่นฐานออกจากป่าในรัฐวิสคอนซิน เพื่อไปสร้างบ้านใหม่ในรัฐแคนซัส ขณะที่พักค้างแรมกลางทุ่งกว้างระหว่างทาง แม่ไม่ลืมที่จะเตือนให้ลอร่ารักษามารยาทบนโต๊ะอาหาร แม้ว่าตอนนั้น จะไม่มีโต๊ะสักตัวก็ตาม

“รับประทานอาหารดีๆ ลอร่า” แม่ว่า “ต้องระวังกิริยามารยาทหน่อย ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลจากคนอื่นๆเขาตั้งร้อยไมล์ก็ตาม”                                                                                                                                                                                                                                                                                                 

เวลาที่ไม่ได้อยู่ในครัว แม่มักจะนั่งอยู่หน้าเตาผิง เย็บชุนผ้าอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็หาเศษผ้าที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว มาประดิษฐ์เป็นตุ๊กตาให้ลอร่าและแมรี ซึ่งคุณสมบัตินี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมเรื่องการประหยัดแล้ว ยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคสมัยที่ไม่ได้มีร้านสะดวกซื้ออยู่ทุกหัวมุมถนน

นอกจากนี้ แม่ ผู้เคยทำงานเป็นครูมาก่อน ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ลอร่าเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียน โดยในช่วงแรกๆ ที่ครอบครัวของลอร่า ยังตั้งถิ่นฐานอยู่ในป่า หรือในทุ่งกว้าง ที่ห่างไกลจากความเจริญ แม่จะรับหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือให้กับลูกๆ

จนเมื่อครอบครัวของเธอ ได้ลงหลักปักฐานในเมืองดี สเม็ท รัฐเซาธ์ดาโกต้า ลอร่าได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในเมือง อีกทั้งยังปลีกเวลาว่างมาทำงานเป็นครู ระหว่างที่ยังเรียนต่อไปด้วย และแม้ว่าสุดท้าย ลอร่าจะไม่จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เพราะเธอลาออกไปสร้างครอบครัวกับแอลแมนโซ ไวล์เดอร์ ชายหนุ่มที่มีพื้นฐานมาจากครอบครัวชาวนา แต่การรู้หนังสือและความรักในการอ่านที่เธอได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เธอกลายเป็นนักเขียนที่สามารถเล่าเรื่องให้อย่างสนุกสนาน อบอุ่น และน่าประทับใจ

เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ซึ่งกลายเป็นวรรณกรรมเด็กที่ได้รับความนิยมทั้งในอเมริกาและทั่วโลก และตัวลอร่าเองก็กลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ชาวอเมริกันรักมากที่สุด

แน่นอน ไม่มีชีวิตของใครที่ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย ลอร่าเองก็เช่นกัน นักวิชาการบางคนกล่าวว่า ลอร่ามีอคติต่อชนพื้นเมืองอินเดียนแดงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจากคำกล่าวของเธอในหนังสือที่ว่า อินเดียนแดงที่ดี คือ อินเดียนแดงที่ตายแล้ว แต่นักวิชาการอีกหลายคนก็แย้งว่า ทัศนคติดังกล่าวเป็นสิ่งธรรมดาในยุคสมัยนั้น ไม่ต่างจากทัศนคติเรื่องการมีทาส ที่เคยถือเป็นเรื่องปกติในยุคสมัยหนึ่ง

อย่างไรก็ดี เรื่องราวชีวิตของลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวมีบทบาทอย่างไร ในการวางรากฐานให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคม

ในหนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ เราจะเห็นว่า พ่อ คือ ผู้ที่สอน (ทั้งทางตรงและทางอ้อม ผ่านการแสดงให้เห็น) ให้ลอร่ารู้จักความกล้าหาญ ความรักครอบครัว และความมุมานะไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก 

แต่ที่สำคัญที่สุด พ่อคือคนที่ให้ความรักแก่ลอร่าอย่างสม่ำเสมอ แม้จะเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน แต่เมื่อมาถึงบ้าน พ่อต้องอุ้ม โอบกอด และเล่นกับลูกๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวสนุกๆ ให้ฟัง และตบท้ายด้วยการสีไวโอลินกล่อมนอน

ขณะที่แม่ คือต้นแบบของลูกๆ ทั้งในด้านการเป็นสุภาพสตรี ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาท ความเป็นแม่ และการเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา จนอาจกล่าวได้ว่า หากไม่มีแม่ โลกวรรณกรรมก็คงไม่มีนักเขียนชื่อ ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์

บ้านเล็กในป่าใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นวรรณกรรมเด็กที่แสนอบอุ่น และน่าประทับใจเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวที่บอกให้เรารู้ว่า ครอบครัวที่อบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความเข้าอกเข้าใจกัน จะทำให้เด็กมีความเชื่อมั่นในความเป็นครอบครัว ที่เป็นเหมือนที่พักพิงที่แสนปลอดภัย ทั้งทางกายและจิตใจ ซึ่งจะทำให้เด็กคนนั้น เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ในการก้าวออกไปเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ นอกบ้านได้อย่างแข็งแกร่ง

Tags:

พ่อแม่การเติบโตเด็กครอบครัวการเลี้ยงดูบ้านเล็กในป่าใหญ่

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน
Relationship
21 March 2025

Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Breadcrumbing หมายถึง การหลอกล่อให้เราอยู่ในความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่ได้พัฒนาไปไหน อีกฝ่ายอาจใช้การปฏิสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีเจตนาพัฒนาความสัมพันธ์อย่างจริงจัง เปรียบเหมือนการโปรยเศษขนมปังให้เราเดินตามไปเรื่อยๆ
  • คนที่ถูก Breadcrumbing มักรู้สึกพึงพอใจในชีวิตน้อยลง สิ้นหวังมากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ความสัมพันธ์เช่นนี้จึงนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้
  • เรามีค่าพอที่จะได้รับความรักโดยไม่ต้องร้องขอ เพราะความรักที่แท้ต้องมาจากใจ ไม่ใช่การร้องขอ และควรสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความต้องการของตัวเอง และหากอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง ควรเลือกเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น การพบปะผู้คนใหม่ๆ ผ่านโลกออนไลน์จึงกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการพบปะในบริบทของการทำงาน การหาเพื่อน หรือแม้กระทั่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก

บางครั้งความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์ก็ก่อให้เกิดความสับสนงุนงงเมื่อไม่สามารถสร้างความชัดเจนได้ว่าเรากำลังพูดคุยกันในฐานะอะไร อีกฝ่ายดูเหมือนจะสนใจชอบพอในตัวเรา แต่ก็มาๆ หายๆ วันหนึ่งทำเหมือนว่ารัก อีกวันทำเหมือนไม่รัก พฤติกรรมเช่นนี้เรียกว่า ‘Breadcrumbing’ เป็นการหลอกล่อให้เราอยู่ในความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่ได้พัฒนาไปไหน

Breadcrumbing คืออะไร

Breadcrumbing มีที่มาจากคำว่า ‘Breadcrumb’ ซึ่งแปลว่าเศษขนมปัง เมื่อนำมาใช้เปรียบเปรยพฤติกรรม Breadcrumbing จึงหมายถึงการนำ ‘เศษขนมปัง’ มาล่อเราให้เดินตามไปโดยไม่ได้มีจุดหมายที่ชัดเจน ทำเพื่อต้องการล่อให้เราเดินตามไปเรื่อยๆ เท่านั้น

พูดง่ายๆ ก็คือ การหว่านเสน่ห์เพื่อให้เราหลงและมีความหวัง แต่ก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การเป็นคนรักอย่างจริงจัง

คนที่ทำพฤติกรรม Breadcrumbing มักใช้ ‘การปฏิสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ’ ในการสื่อสารกับอีกฝ่าย ไม่ต่างอะไรจากการโปรยเศษขนมปังให้ เช่น กดไลก์ คอมเมนต์อีโมจิตามโพสต์ ตอบกลับข้อความเป็นครั้งคราว ฯลฯ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลงแรงหรือเสียเวลามาก เพราะตัวเองก็ไม่ได้หวังจะพัฒนาความสัมพันธ์นี้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ Breadcrumbing ยังหลอกให้ความหวังอีกฝ่ายผ่านการวาดฝันถึงกิจกรรมต่างๆ ที่อยากไปทำร่วมกัน แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเสียที โดยมักใช้การกล่าวถึงกิจกรรมนั้นอย่างผิวเผิน ไม่มีรายละเอียด ไม่มีวันนัดที่ชัดเจน หรือหากมีการนัดหมาย เมื่อถึงวันนัดก็มักจะหาข้ออ้างได้ตลอด

อีกลักษณะเด่นของ Breadcrumbing ที่คล้ายกับความสัมพันธ์ท็อกซิกแบบอื่นๆ คือ ‘เดี๋ยวรักเดี๋ยวไม่รัก’ บางครั้งก็ส่งคำหวานมาให้ ทำให้ดูเหมือนว่าสนใจและอยากพัฒนาความสัมพันธ์ แต่บางครั้งก็เงียบหายไปเลย ทำเป็นเมินเฉยเหมือนไม่รักเราแล้ว

ความสัมพันธ์ท็อกซิกบางประเภทอาจทำให้ความรักกลายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้ ในช่วงแรกอีกฝ่ายอาจแสดงออกถึงความใส่ใจในระดับปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความใส่ใจเหล่านั้นกลับลดลงหรือพบได้น้อย สิ่งใดที่หายากย่อมถูกมองว่ามีค่ามาก ดังนั้นความรักความใส่ใจที่หายากนี้จึงถูกมองว่ามีค่ามาก

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์เช่นนี้จึงอาจมองเห็นความรักที่อีกฝ่ายมอบให้มีค่ามากเกินจริง ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเพียงการกระทำขั้นต่ำ (Bare Minimum) ที่คนรักทั่วไปพึงกระทำกัน

เช่น ‘การตอบข้อความของอีกฝ่าย’ เป็นเรื่องปกติในความสัมพันธ์ที่ดี แต่ในความสัมพันธ์แบบ Breadcrumbing การละเลยข้อความมักเกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ละเลยและตอบกลับ เราจึงรู้สึกมีความสุขมาก เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย

ทำไมจึง Breadcrumbing

คนที่ทำพฤติกรรม Breadcrumbing อาจกระทำไปโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้บางคนแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น

  • คลายเหงา – ความเหงาเป็นกลไกของมนุษย์อย่างหนึ่งที่ผลักดันให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อย่างไรก็ตาม บางคนอาจไม่ได้ต้องการปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แค่อยากหาคนคุยแก้เหงา เลยเลือกใช้ความสัมพันธ์เช่นนี้ทดแทน
  • ไม่อยากผูกมัด – บางคนชอบการคุยกับคนอื่นเพื่อแค่ให้หัวใจกระชุ่มกระชวย ไม่ได้อยากพัฒนาความสัมพันธ์ด้วย เพราะลึกๆ ในใจแล้วก็ไม่ได้อยากลงหลักปักฐานกับใคร
  • หลีกเลี่ยงความอึดอัดทางอารมณ์ – คนที่ทำ Breadcrumbing มักไม่ชอบการเผชิญหน้าหรือความขัดแย้ง เลยจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เครียดๆ เช่น การอธิบายความรู้สึกของตัวเอง หรือการผูกมัดต่างๆ

ผลกระทบจากการถูก Breadcrumbing

คนที่ถูก Breadcrumbing อาจยุติความสัมพันธ์เช่นนี้ได้ยาก เนื่องจากรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้ยังพอมีหวังที่จะไปต่อได้ ซึ่งเป็นกลวิธีที่คนทำ Breadcrumbing ใช้เพื่อให้เรายังมีความหวังและยื้อให้เราอยู่

แม้เราจะรู้สึกถึงความหวังในความสัมพันธ์นี้ แต่ทุกครั้งที่เราพยายามสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความสับสน ความคับข้องใจ และความผิดหวัง เนื่องจากสิ่งที่วาดฝันไว้ร่วมกันไม่เคยเป็นจริงสักที อีกทั้งเขายังทำเป็นเฉยชา อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป

งานวิจัยจากวารสาร International Journal of Environmental Research and Public Health ปี 2020 พบว่า คนที่ถูก Breadcrumbing รายงานว่ารู้สึกพึงพอใจในชีวิตน้อยลง สิ้นหวังมากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ด้วยเหตุนี้เองความสัมพันธ์เช่นนี้จึงนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้

แล้วเราจะจัดการกับ Breadcrumbing ได้อย่างไร?

Dr. Sabrina Romanoff นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่า คนที่ติดอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Breadcrumbing สามารถถอนตัวออกมาได้ โดยวิธีที่ดีในการเริ่มต้นคือ ‘การพิจารณาทางอื่น’ เช่น ลองคิดดูว่าหากเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราจะได้รับหรือเสียอะไรไปบ้าง

คำแนะนำต่อมาคือ ‘การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา’ บอกความต้องการของเราไปตรงๆ เช่น อยากพัฒนาความสัมพันธ์นี้ไปอีกขั้น หรือบอกไปตรงๆ ว่าเราไม่ชอบพฤติกรรมไหนและอยากให้ปรับเปลี่ยนอย่างไร เมื่อบอกไปแล้วให้ดูความประพฤติของอีกฝ่าย หากมีการแก้ไขก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่มีการปรับเปลี่ยนก็ควรพยายามยุติความสัมพันธ์

สุดท้าย Dr. Romanoff เตือนให้จำไว้ว่า ‘เรามีคุณค่าในตัวเอง’ มองให้เห็นและรักในคุณค่านั้น 

เรามีค่าพอที่จะได้รับความรักโดยไม่ต้องร้องขอ เพราะความรักที่แท้ต้องมาจากใจ ไม่ใช่การร้องขอ เมื่อเรารักและปฏิบัติกับตัวเองอย่างดีก็จะดึงดูดคนแบบเดียวกันเข้ามาหา

ความรักจะงอกงามในสภาพแวดล้อมที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เมื่อคนเหงาสองคนมาเจอกันก็มีแต่จะฉกฉวยประโยชน์จากอีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในใจตัวเอง แต่เมื่อคนที่รักตัวเองสองคนมาเจอกันจะมีแต่การแบ่งปัน การให้ที่เกิดจากใจ ฉันรักตัวเองแล้วและต้องการมอบความรักนี้ให้กับคนอื่นด้วย

ผู้ที่ทำ Breadcrumbing มีแต่จะฉกฉวยประโยชน์จากอีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มความโดดเดี่ยวในใจของตัวเอง ดังนั้นความสัมพันธ์เช่นนี้จึงไม่อาจนำไปสู่ความรักที่แท้จริงได้ สิ่งสำคัญคือการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง และเลือกเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน เพื่อให้มีโอกาสพบกับความรักที่แท้จริง

อ้างอิง

ภูริตา บุญล้อม. (2024). Breadcrumbing พฤติกรรมที่หว่านเสน่ห์ไปทั่วแต่ไม่คิดจริงจัง.

Brittany Loggins. (2024). Feeling Led On? You Might Be A Victim of Breadcrumbing.

OSHO. (2564). Being in Love [ดีไซน์รัก]. ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด.

Psychology Today. (n.d.). Breadcrumbing.

Tanyaporn Thasak. (2021). รู้จักกับ “Breadcrumbing” เมื่อเขาแค่อยากเก็บเราไว้ แต่ไม่ได้อยากจริงจัง.

Tags:

การให้ความหวังสุขภาพจิตความสัมพันธ์ความรักrelationshipBreadcrumbing

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Relationship
    รักดีๆ อยู่ที่ไหน : ฟ้าลิขิตหรือความพยายาม?

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

มากกว่าชนะในเกมคือไม่แพ้ในชีวิตจริง การพัฒนาศักยภาพเด็กที่ไม่มีคำว่า ‘ใน’ หรือ ‘นอก’ ระบบการศึกษา: ทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง
Social Issues
20 March 2025

มากกว่าชนะในเกมคือไม่แพ้ในชีวิตจริง การพัฒนาศักยภาพเด็กที่ไม่มีคำว่า ‘ใน’ หรือ ‘นอก’ ระบบการศึกษา: ทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • จุดเริ่มต้นของทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง เกิดจากความตั้งใจที่จะสนับสนุนเด็กและเยาวชนในพื้นที่ตำบลลำปางหลวงให้สามารถพัฒนาศักยภาพตามความสนใจได้อย่างเต็มศักยภาพ
  • ปัจจุบันชมรมเยาวชนลำปางหลวงมีเด็กในการดูแลประมาณ100 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ยังเรียนอยู่ กลุ่มที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา และกลุ่มที่หลุดจากระบบการศึกษาแล้ว 
  • เป้าหมายสูงสุดนอกจากการพัฒนาทักษะด้านกีฬาและทักษะชีวิตเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคตแล้ว กิจกรรมที่ชมรมจัดขึ้นยังเป็นไปเพื่อป้องกันเด็กไม่ให้หลุดออกจากระบบการศึกษา

‘ฟุตบอล’ เป็นกีฬาในฝันของเด็กผู้ชายหลายคน แต่สำหรับทีมฟุตบอลเยาวชนเล็กๆ นี้ ที่ไม่มีแม้สนามหญ้าดีๆ อุปกรณ์ทันสมัย มากกว่าความฝันมันคือพื้นที่แห่งโอกาสและการเติบโตของเด็กทุกคนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะยังอยู่ในระบบการศึกษา เสี่ยงหลุดจากระบบ หรืออยู่นอกระบบ

ทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง คือชื่อที่ปรากฎในข่าวเล็กๆ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากชุด U18 (อายุไม่เกิน 18 ปี) คว้าตำแหน่งรองแชมป์ในระดับประชาชนทั่วไปมาครองได้สำเร็จในรายการที่จัดโดยเทศบาลตำบลเกาะคา จังหวัดลำปาง ซึ่งพวกเขาต้องฝ่าด่านคู่แข่งกว่า 14 ทีม  

“เริ่มต้นทีมของเราประสบปัญหาผลการแข่งขันไม่ดีนัก บางครั้งแพ้ถึง 11 ต่อ 0 บ้าง 12 ต่อ 0 บ้าง แต่เราก็ไม่ยอมแพ้…” สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ‘หมอตุ้ย’ กล่าวในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการร่วมสร้างชุมชนแห่งโอกาสและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนนอกระบบการศึกษาบนฐานทุนของชุมชนและความร่วมมือระดับท้องถิ่น ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

ทว่ามากกว่าความสำเร็จในแง่ผลการแข่งขัน สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องราวเบื้องหลังที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและการทำงานร่วมกันของทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง เพราะครั้งหนึ่งพวกเขาเริ่มต้นเส้นทางสายนี้อย่างทุลักทุเล ไปแข่งที่ไหนก็เป็นเพียงไม้ประดับ ก่อนจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและยื่นมือเข้ามาสนับสนุน เพื่อมอบโอกาสให้เยาวชนกลุ่มนี้สามารถพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ โดยมีเป้าหมายมากกว่าแค่เรื่องของฟุตบอล 

จุดเริ่มต้นของทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง เกิดจากแนวคิดในการสนับสนุนเด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่ในตำบลลำปางหลวงให้สามารถพัฒนาศักยภาพในสิ่งที่เขาสนใจตามความถนัด หมอตุ้ย-สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลลำปางหลวง เล่าว่าหลังจากได้รับทุนสนับสนุนจาก กสศ. จึงร่วมมือกับทีมฟุตบอลเยาวชนของตำบลมาจัดตั้ง ‘ชมรมเยาวชนลำปางหลวง’ และ Academy ฟุตบอลขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ได้มีทางเลือกที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพตนเอง พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะชีวิตที่จะติดตัวพวกเขาต่อไป

“เราเอาข้อมูลของเด็กในพื้นที่ที่ไปสำรวจมาบวกกับข้อมูลจาก Zero Dropout เข้ามาวิเคราะห์ ทำให้พบว่ามีเด็กถูกแขวนลอยเยอะมาก หมายถึงเด็กที่เรียนครบม.3 ครบม.6 ครบปวช. แต่กลับไม่ได้วุฒิการศึกษา เพราะติด 0 ติด ร. มากกว่า 20 ตัวอย่าง รวมถึงมีเด็กแว้นอีกเป็นจำนวนมาก ประกอบกับผมได้เจอน้องๆ อายุ 30 กว่าที่กลับมาทำงานที่บ้านเกิดแล้วอยากทำอะไรเพื่อสังคม เราเลยมารวมตัวกันเป็นแกนหลักในการทำงานกับเยาวชน

พื้นที่ตำบลลำปางหลวงมี 13 หมู่บ้าน มีเยาวชนอายุ 17 -25 ปีมากกว่า 700 คน ซึ่งปีที่ผ่านมาเราคัดเลือกมา 100 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ยังเรียนอยู่ กลุ่มที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา และกลุ่มที่หลุดจากระบบการศึกษาไปแล้ว โดยสิ่งแรกที่เราทำคือการเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขาเพราะเด็กกลุ่มนี้ถ้าเขาไม่ไว้ใจใคร เขาจะปฏิเสธหมด”

หลังรวบรวมเยาวชนในพื้นที่ สอบถามความสนใจพบว่ามีสิ่งที่ตรงกันอย่างหนึ่ง นั่นคือ ‘ฟุตบอล’ หมอตุ้ยจึงได้จ้างครูและโค้ชจากมหาวิทยาลัยการกีฬาเข้ามาสอน เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานของน้องๆ เยาวชน พร้อมปลูกฝังวินัยเชิงบวกที่ทำให้ทีมค่อยๆ พัฒนาศักยภาพทั้งในและนอกสนามมากขึ้น

“ในตำบลของเรามีทีมฟุตบอลเยาวชนที่พี่ๆ ในชมรมดูแลมาตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นทีมของเราประสบปัญหาผลการแข่งขันไม่ดีนัก บางครั้งแพ้ถึง 11 ต่อ 0 บ้าง 12 ต่อ 0 บ้าง แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ นำพวกเขามาฝึกวินัย จ้างโค้ชมืออาชีพจากมหาวิทยาลัยการกีฬา เพื่อสอนระบบฟุตบอลที่มีทั้งเรื่องของวินัย ทีมเวิร์ก และแฟร์เพลย์ พร้อมทั้งประเมินเป็นเกรดให้เด็กๆ และมอบใบประกาศให้เพื่อเป็นกำลังใจ

ทีมฟุตบอลเยาวชนของเราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และตอนนี้สามารถแข่งขันได้อย่างสูสีกับอคาเดมีใหญ่ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสโลแกนของเราที่ว่า ‘เด็กดี โค้ชดี ชุมชนดี’ เราเน้นการพัฒนาที่ไม่ใช่แค่เรื่องกีฬา แต่ยังใส่ใจในทุกๆ ด้านของชีวิตของเด็กๆ โดยที่เราไม่มีการดุด่า ไม่บังคับ และไม่มีการตรวจฉี่เด็ก เพราะเราต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่น้องๆ สามารถกล้ามาพูดคุย ปรึกษาพี่ๆ ได้อย่างผ่อนคลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั้งในและนอกสนาม

เมื่อเด็กๆ ไว้ใจพี่ๆ พวกเขาจะทำข้อตกลงร่วมกันว่าอันดับแรกการบ้านที่โรงเรียนต้องเคลียร์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะมาซ้อม ถ้าทำการบ้านไม่เสร็จหรือมีปัญหาการเรียนก็สามารถปรึกษาพี่ๆ ได้ 

ส่วนเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา พี่ๆ ก็จะช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งช่วยติวหนังสือและหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ให้เด็กๆ หลุดจากการเรียน

ขณะที่การสนับสนุนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เราพยายามผลักดันให้เขากลับเข้าสู่ระบบการเรียนในรูปแบบต่างๆ เช่น สกร.(กรมส่งเสริมการเรียนรู้) หรือศูนย์การเรียน CYF (มูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน Children and Youth Development Foundation) เพื่อให้พวกเขาได้รับวุฒิการศึกษาไว้เป็นใบเบิกทางสู่การประกอบอาชีพต่างๆ ในอนาคต”

นอกจากผู้ใหญ่ใจดีอย่างกสศ. ทีมฟุตบอลเยาวชนลำปางหลวงยังมีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการคือ เทศบาลลำปางหลวง โดยการนำของ อรรณพ ตื้อคำ นายกเทศบาลตำบลลำปางหลวง ที่นอกจากจะมีประสบการณ์ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านโดยตรงแล้ว เขายังนำปัญหาต่างๆ มาแลกเปลี่ยนกับหมอตุ้ยเพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชน  

“ในฐานะหัวเรือใหญ่ของตำบล ผมพยายามพูดคุยกับชาวบ้านและหมอตุ้ยตลอด เพราะผมเห็นว่ามันมีโอกาสตรงนี้ที่จะเป็นลู่ทางที่ดีให้เด็กได้มีโอกาสรีเทิร์นกลับมาอยู่ในระบบ ทั้งในเรื่องฟุตบอล หรือเรื่องสายงานอื่นๆ ที่เด็กๆ สนใจ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากกสศ.  และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำให้เยาวชนสามารถใช้เวลาว่างได้เป็นประโยชน์ แล้วพอผลลัพธ์เหล่านี้ผ่านหูผ่านตาผมก็รู้สึกปลื้มใจ เพราะเราพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไม่ให้เด็กๆ หลุดออกนอกระบบ 

ยิ่งการได้หมอตุ้ยและทีมงานที่วัยใกล้เคียงกับเด็กๆ มาช่วยกันตรงนี้ ทำให้เวลาพูดคุยกับเด็กๆ ก็น่าจะสื่อสารกันได้ดี ผมก็จะคอยดูคอยติดตามและขับเคลื่อนสนับสนุนทุกๆ โอกาสของพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ”

ด้วยความทุ่มเทของผู้ใหญ่ใจดีที่มาร่วมกันสนับสนุนเด็กและเยาวชนให้ได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ ในที่สุดผลตอบแทนก็คืนกลับด้วยการมุ่งมั่นทุ่มเทฝึกซ้อมจนสามารถเอาชนะใจตนเองและเอาชนะทีมฟุตบอลอื่นๆ รวมไปถึงทีมที่มีผู้เล่นอายุมากกว่ามาแล้วหลายทีม

ภูวเดช นันทะโค หรือ ‘ภูดอย’ กองหลังอายุ 15 ปี ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาระดับชั้นปวช.2 วิทยาลัยเทคนิคลำปาง บอกว่าการเข้าร่วมกับทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง นอกจากจะได้ทักษะในสนามแล้ว สิ่งสำคัญที่เขาได้รับคือทักษะของการทำงานร่วมกันเป็นทีม 

“ถึงผมจะแบกอายุแต่ก็ไม่กลัวผู้ใหญ่ครับ ผมเชื่อว่าถ้าเราไม่กลัวเราก็เล่นได้หมดทุกรุ่น และเชื่อด้วยว่าต่อให้ผลการแข่งขันจะไม่เป็นใจแต่ถ้าเรากลับมาพัฒนาตัวเอง มีวินัยฝึกซ้อมทุกวัน เราก็สามารถกลับมาเอาชนะได้ครับ 

ที่สำคัญคือในรายการล่าสุด (คว้ารองแชมป์) ผมคิดว่าเพื่อนๆ ในทีมเข้าใจกันจึงทำให้เราเล่นด้วยกันได้ดี แล้วเวลาทีมโดนนำก่อนก็จะไม่โทษกัน พวกพี่ๆ เองก็จะตะโกนให้กำลังใจและบอกตลอดว่า โอเคไม่เป็นไร…เดี๋ยวเราก็กลับมาได้เหมือนเดิม

อคาเดมีที่นี่ต่างกับที่อื่นตรงที่ผมมักถูกส่งลงแข่งกับผู้ใหญ่ครับ พวกพี่ๆ ที่นี่ก็ไม่มีใครถือตัว ทำให้ผมซึมซับวินัยและการทำงานเป็นทีม ส่วนเรื่องเรียนผมก็ตั้งใจเรียนควบคู่ไปด้วย เทอมที่ผ่านมาผมได้เกรด 3.60 ครับ ส่วนตัวมองว่ากีฬากับการเรียนต้องควบคู่กัน เผื่อวันหนึ่งจะต้องสอบเพื่อเรียนต่อด้วยโควต้านักกีฬา ผมจะได้ทำในส่วนของข้อเขียนได้ เพราะในอนาคตผมฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพครับ”

เช่นเดียวกับกองหน้าประจำทีมอย่าง อัครวินท์ กองคำ หรือ ‘เจแปน’ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ปวช.3 วิทยาลัยเทคนิคลำปาง บอกว่าแม้เขาจะไม่ได้ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ทุกวันนี้บทเรียนอันล้ำค่าที่ได้รับจากทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวงคือเรื่องความมีวินัย ซึ่งแสดงออกผ่านการดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องของการเรียนและเรื่องฟุตบอล

“ผมให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมครับ ทุกวันผมจะวิ่งให้ได้ 3 -4 กิโล แต่น่าเสียดายที่เราแพ้รอบชิงครับ ถามว่าเวลาแพ้ท้อไหม ก็มีบ้างครับ แต่ผมก็จะย้อนกลับมาทบทวนและซ้อมให้หนักกว่าเดิมเพราะคิดว่าวันหนึ่งเราจะกลับมาชนะให้ได้

ผมคิดว่าสภาพแวดล้อมในชมรมดีครับ พวกพี่ๆ เป็นกันเองมาก คอยสอนว่าเราต้องปรับยังไงให้เก่งขึ้น เรื่องการใช้ชีวิตพี่ๆ เขาก็ให้คำปรึกษาเรา ซึ่งตอนนี้ผมมีความฝันอยากจะเป็นวิศวะครับ เพราะผมกำลังเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้าง ส่วนฟุตบอลผมให้เป็นสิ่งเสริมครับ 

คือฟุตบอลให้มิตรภาพดีๆ ทำให้ผมได้ทำในสิ่งที่สนใจได้โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่มันไม่ดี

ตอนที่ทีมเป็นข่าวก็ดีใจครับ จากเมื่อก่อนที่เคยแพ้ 11 ต่อ 0 แล้วเราพยายามทุกอย่างจนมาถึงจุดนี้ก็สุดยอดแล้วครับ ต้องขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนพวกเรา ถ้าไม่มีงบสนับสนุนจากกสศ. พรสวรรค์ต่างๆ ก็คงไปต่อไม่ได้ เราจะเอาเงินที่ไหนซื้อลูกบอล ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มาซ้อม รวมถึงการส่งทีมไปแข่ง”

นอกจากผู้ใหญ่ใจดีและน้องๆ เยาวชนแล้ว ยังมีบุคคลที่เปรียบได้กับพี่เลี้ยงประจำทีมอย่าง วุฒิชัย ดวงคำ ประธานชมรมเยาวชนลำปางหลวง ที่แม้จะไม่ได้เป็นโค้ชฟุตบอล แต่น้องๆ กลับให้ความเคารพและเรียกเขาติดปากว่า ‘โค้ชเบิร์ด’ 

“ก่อนหน้านี้ผมทำงานด้านปิโตรเลียมอยู่ที่ระยอง จากนั้นก็ลาออกกลับมาทำธุรกิจที่บ้าน ทีนี้ตอนเย็นๆ ผมจะชอบแวะมาเตะบอลหรือออกกำลังกายที่นี่ (โรงเรียนชุมชนวัดพระธาตุลำปางหลวง) ทำให้ได้พบปะพูดคุยกับเยาวชนในพื้นที่หลายคนที่ชอบและสนใจในการเล่นฟุตบอล ผมเลยขออนุญาตผู้ปกครองและนำน้องๆ มาฝึกทักษะฟุตบอลร่วมกันเท่าที่ผมจะพอหาสปอนเซอร์มาได้

จุดเปลี่ยนคือพอได้ทุนจากกสศ. มาทำทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง ทำให้เรามีงบประมาณในการจัดการทีม ซื้ออุปกรณ์ และอำนวยการสิ่งต่างๆ ที่ติดขัดได้ตั้งแต่นั้น ยิ่งมีมืออาชีพเข้ามาสอนอย่างเป็นระบบ ประกอบกับมีทีมพี่ๆ จิตอาสาคอยสนับสนุน ผลลัพธ์คือน้องๆ มีวินัยและจินตนาการในเรื่องฟุตบอลมากขึ้น ตั้งใจฝึกฝนตามคำแนะนำของโค้ช ถ้าระหว่างแข่งน้องๆ ถูกเตะหรือปะทะกันแรงๆ เด็กของเราจะลุกขึ้นเล่นต่อ ไม่มีเล่นนอกเกม 

ส่วนเรื่องอื่นๆ เวลามีปัญหาอะไรเขาก็มาปรึกษาเรา ใครเรียนที่โรงเรียนไม่เข้าใจหรือมีการบ้านก็มาถามพี่ๆ จิตอาสาให้ช่วยสอนเพิ่มเติมได้ พอเป็นแบบนี้ความเสี่ยงต่างๆ ที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาก็ลดลง

ผู้ปกครองหลายคนเข้ามาบอกเราว่าน้องๆ ดีขึ้นนะ ไม่ได้ไปจับกลุ่มมั่วสุมกันแล้ว เล่นเกมก็น้อยลง เข้านอนไวขึ้น และมีความตั้งใจอยากมารวมกลุ่มกันเล่นกีฬา ยิ่งพอส่งทีมแข่งแล้วได้รางวัล น้องๆ ก็มีความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น”

โค้ชเบิร์ด ทิ้งท้ายว่ามากกว่าความสุขจากการสร้างทีมฟุตบอลเยาวชนลำปางหลวง เขายังได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมกับน้องๆ เยาวชน รวมถึงมีแรงใจที่จะทำโครงการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากฟุตบอล โดยมีเป้าหมายสูงสุดร่วมกันคือ การป้องกันเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาและมีวัคซีนชีวิตเพื่อรับมือการความท้าทายต่างๆ ในอนาคต

“สิ่งที่ผมภาคภูมิใจคือโครงการนี้ช่วยป้องกันเด็กๆ จากการหลุดออกจากระบบ โดยเด็กที่เคยหลุดออกไป พอมาเข้าโครงการนี้ก็สามารถกลับมาเรียนตามเพื่อนทันในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งหลังจากทำงานร่วมกับกสศ.ทำให้ผมสามารถพัฒนาและสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับเด็กๆ ซึ่งในอนาคตผมอยากขยายโครงการให้กว้างขึ้น ทั้งเรื่องการสนับสนุนเยาวชนด้านกีฬาวอลเลย์บอล ชมรมหุ่นยนต์ ค่ายฝึกฝนทักษะผู้นำ หรือการชวนนักท่องเที่ยวมาแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในโลกก็สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ถ้าทำได้ผมก็รู้สึกว่าความพยายามของเราคุ้มค่าแล้ว”

Tags:

ชุมชนฟุตบอลกีฬาDropoutเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Social Issues
    Tambon Zero Dropout เราจะไม่ทิ้ง ‘เด็กนอกระบบ’ ไว้ข้างหลัง: หมอตุ้ย-สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an EducatorCreative learning
    เปลี่ยนครูพักลักจำ เป็น ‘หลักสูตรทอผ้า’ การเรียนรู้ที่ไม่มีใครแก่เกินสอนหรืออ่อนเกินเรียน: แม่หลวงทัญกานร์ ยานะโส

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘เรียนดีมีสุข’ ห้องเรียนลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาเด็ก Dropout

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง
Early childhoodFamily Psychology
19 March 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • แม้เทคโนโลยีช่วยให้เด็กเข้าถึงข้อมูลและทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ความสะดวกสบายที่เข้ามาพร้อมเทคโนโลยี กลับทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง เช่น การแก้ปัญหาง่าย ๆ หรือแม้แต่การดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน
  • เด็กควรได้ฝึกช่วยเหลือตัวเอง ทำงานบ้าน เล่นกลางแจ้ง และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม
  • พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แม้อาจผิดพลาดบ้าง แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้พวกเขาพัฒนาความมั่นใจ ความรับผิดชอบ และความสามารถในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ปัจจุบันเด็กแทบทุกคนรู้จักเทคโนโลยีที่เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอ ‘การ์ตูน’ และ ‘เกม’  ก็โลดแล่นดังใจ เด็กๆ บางคนรู้วิธีถ่ายรูปด้วยมือถือก่อนจะพูดได้เสียด้วยซ้ำ แถมยังรู้วิธีสั่งผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI Assistant) ไม่ว่าจะเป็น ‘Siri’ ‘Alexa’ ‘Chat GPT’ และอื่นๆ ให้ทั้งช่วยทำการบ้าน ถามในสิ่งที่อยากรู้ ให้เล่านิทานให้เขาฟัง ไปจนถึงให้ช่วยปิดไฟห้องนอนผ่านการพูดสั่ง 

แม้ดูจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้เด็กๆ เข้าถึงข้อมูลและทำอะไรหลายๆ อย่างได้อย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน ความสะดวกสบายที่เข้ามาพร้อมเทคโนโลยี กลับทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง ทุกอย่างสำเร็จรูปและอัตโนมัติไปเสียหมด เมื่อต้องทำเองตั้งแต่ขั้นตอนแรก กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก และเรื่องที่ควรทำได้กลับทำไม่ได้ ได้แก่ การช่วยเหลือตัวเองขั้นพื้นฐาน เด็กบางคนรู้วิธีถ่ายรูปด้วยมือถือ แต่กลับไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวเองอย่างไร หรือ เด็กบางคนรู้ว่าต้องคอลผ่านไลน์ไปหาเพื่อนของเขาอย่างไร แต่พอเจอสถานการณ์ที่ต้องขอความช่วยเหลือกลับไม่สามารถพูดเพื่อตัวเองได้ 

และสุดท้ายปัญหาที่สั่งสมมาเรื่อยๆ เพราะแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยตัวเอง หรือ รับมือกับปัญหาไม่ได้ อาจจะทำให้เด็กขาดภูมิคุ้มกันทางใจ และเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น เช่น 

  • การจัดการอารมณ์ที่ขาดวุฒิภาวะ เพราะไม่ได้ฝึกความรับผิดชอบในการช่วยเหลือตัวเองและส่วนรวม 
  • ความวิตกกังวลที่สูงกว่าปกติ เนื่องจากไม่สามารถคัดกรองและจัดการกับข้อมูลที่ได้รับมาได้ 
  • ภาวะซึมเศร้าเพราะขาดตัวตนที่มีคุณค่า จากการไม่อาจยอมรับในตัวเองหรือได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

สิ่งสำคัญที่หายไป เพราะถูกแทนที่ด้วยสิ่งเหล่านี้ คือ ‘โอกาสในการลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง’ เพราะปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่เด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น อะไรที่เคยทำได้ด้วยตัวเอง ก็ให้เทคโนโลยีทำแทน จากที่เราเคยเล่นกับลูก อ่านนิทานให้ลูกฟัง  เราให้เทคโนโลยีทำสิ่งเหล่านั้นแทน แม้ว่าจะสะดวกสบายกว่า และเด็กดูจะสนุกกับสิ่งเหล่านั้น 

แต่อย่าลืมว่า ‘เด็กต้องการการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวเขาอย่างแท้จริง’ เพราะความรักและความอบอุ่น ไม่อาจแทนที่ด้วยความสนุกหรือหวือหวา  เหมือนกับที่สติกเกอร์บอกรักก็ไม่อาจแทนที่ด้วยน้ำเสียงและกอดที่อ่อนโยนของเราได้

‘สิ่งสำคัญของเด็กทุกยุคคือเด็กควรได้เป็นเด็ก’

เทคโนโลยีไม่ใช่ผู้ร้าย และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญที่เด็กควรได้รับและทำได้ควรเปลี่ยนไป เด็กทุกคนควรได้เป็นเด็ก เขาควรได้รับสิ่งเหล่านี้

(1) ได้ดูแลช่วยเหลือตัวเอง

ได้แก่ กินข้าว เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว ถอด-ใส่รองเท้า ถือ-จัดกระเป๋า เพื่อที่ตัวเขาจะรับผิดชอบต่อตัวเองได้และพัฒนาไปสู่การรับผิดชอบต่อส่วนรวมต่อไป

(2) ได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ได้แก่ งานบ้าน หรือ งานส่วนรวมที่เขาสามารถช่วยได้ตามวัย

(3) ได้เล่นอิสระ
ได้แก่ การเล่นที่ปราศจากการชี้นำ เล่นในสิ่งที่เขาอยากเล่น บางครั้งของเล่นของเด็กไม่ใช่ของเล่นสำเร็จรูป แต่คือสิ่งที่เขาสามารถนำมาสร้างสรรค์การเล่นใหม่ๆ ด้วยตัวเอง และสร้างสรรค์การเล่นด้วยตัวเอง ภายใต้กฎ 3 ข้อ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของ

(4) ได้ออกกำลังกาย
ได้แก่ วิ่งเล่น ปีนป่าย กระโดดสูง-ไกล ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และอื่นๆ เด็กทุกคนควรได้ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและทนทาน เพื่อพัฒนาไปสู่การเรียนรู้ขั้นถัดไปได้

(5) ได้สื่อสารกับคนที่เขารัก

ได้แก่ พ่อแม่ คุณครู และเพื่อนๆ เด็กทุกคนต้องการความสนใจ เมื่อเขาพูดมีคนรับฟังและได้ยินเสียงของเขา ในขณะเดียวกันเด็กต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังผู้อื่นผ่านการได้ยิน มองหน้า สบตา เพื่อจะเข้าใจทั้งเนื้อหา และความรู้สึกที่ส่งผ่านมายังเขาด้วย เด็กไม่ควรสบตาผ่านเทคโนโลยี เพราะเขาจะขาดโอกาสในการสื่อสารอย่างแท้จริงไป

(6) ได้ทดลอง ลองผิด ลองถูก ล้มแล้วลุก
ถ้าเด็กเจอแต่สิ่งที่ราบเรียบ ทุกอย่างสมหวังดังใจ และง่ายไปเสียหมด เมื่อเขาเจออุปสรรคในอนาคต เด็กจะไม่มีภูมิคุ้มกันทางใจ เมื่อล้มแล้วอาจจะลุกไม่ได้เอง ดังนั้นวัยเด็กให้เขาทำ ผิดพลาดให้เขาเรียนรู้ที่จะแก้ไข ล้มแล้วลุกได้ด้วยตัวเอง

(7) ได้รับความรัก
เพราะไม่มีอะไรแทนที่สิ่งนี้ได้ ความรักจากพ่อแม่จะช่วยให้เด็กเติบโตจากข้างใน

‘ทำไมเด็กต้องมีความคิดริเริ่มหรือทักษะการคิดได้ด้วยตัวเอง’

ในยุคสมัยที่ทุกอย่างถูกทำให้เป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยี สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เด็กอยู่รอดในวันที่มี ‘ข้อมูล’ ‘ทางเลือก’ และ ‘ตัวช่วย’ มากมายคือ ‘ความคิดริเริ่มหรือการคิดได้ด้วยตัวเอง’ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเด็กจะไม่สามารถยืนหยัดหรือเลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองได้เลย 

คำถาม: ทำอย่างไรให้เด็กรู้จักตัวเอง

คำตอบ: เริ่มต้นจากวัยเยาว์ เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดีจะรู้จักประเมินตัวเองตามความจริง 

กล่าวคือ ‘รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้/ไม่ได้’ และ ‘รู้ว่าตัวเองชอบ/ไม่ชอบอะไร’ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยตัวเอง หลังจากนั้นการได้ลงมือทำอะไรที่หลากหลายทั้งเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นผ่านงานบ้าน งานส่วนรวม การเล่นสร้างสรรค์ และอื่นๆ ยิ่งลงมือทำ ยิ่งรู้ศักยภาพและความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะทำอะไรต่อไป

ในทางตรงกันข้าม หากพ่อแม่บังคับในทุกเรื่อง ห้ามลูกทำผิดพลาดเลย เด็กจะไม่สามารถพัฒนาความคิดและการรับรู้ว่า ‘ความคิดของตนเองเป็นที่ยอมรับ’ เพราะพ่อแม่มักตำหนิและตัดสินตัวเขาว่า ‘ถูกหรือผิด’ ตลอดเวลา ซึ่งสุดท้ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในพัฒนาการของเด็กแทนที่จะเป็นความกล้าที่จะคิดริเริ่ม พวกเขาอาจจะพัฒนาความกลัวผิดขึ้นมาแทนที่ 

เด็กที่กลัวว่า ‘ตัวเองจะทำอะไรผิด’ ตลอดเวลา มักจะไม่กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ หรือ จะมีความวิตกกังวลที่สูง ส่งผลให้พวกเขามักจะรอคอยคำสั่งจากผู้อื่นอยู่เสมอ  

และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เด็กๆ อาจจะไม่สามารถรับรู้ถึงคุณค่าหรือความสามารถของตนเองที่แท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกลดทอนไปตั้งแต่วันที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มักจะไม่เคยดีพอในสายตาของพ่อแม่ที่เขารัก

นอกจากนี้ พ่อแม่บางคนอาจจะช่วยเหลือลูกมากเกินไป จนลูกไม่ต้องทำอะไรเองเลย เด็กก็ไม่สามารถพัฒนาความคิดริเริ่มได้เช่นกัน เพราะจะรอให้คนอื่นคิดให้ และทำให้ตัวเองไม่อยากลำบากหรือเหนื่อยคิดเอง นั่นก็น่าลำบากใจไม่น้อย เพราะเด็กจะติดการช่วยเหลือ ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อเติบโตไปสู่วัยที่ควรรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง กลับไม่สามารถทำได้ และเลือกที่จะโยนความผิดนั้นให้กับผู้อื่นแทน

‘อยากให้เด็กๆ กล้าคิดและลงมือทำด้วยตัวเอง’

พ่อแม่และผู้ใหญ่ต้อง…

(1) อย่าทำให้ในสิ่งที่เด็กทำได้ด้วยตัวเอง
อย่าทำทุกอย่างให้ลูก อย่าช่วยเหลือลูกในทุกๆ อย่างที่เขาควรทำได้ด้วยตัวเอง เพราะลูกจะไม่ได้รับรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขา

(2) อย่าทำให้เพียงเพราะง่ายและสะดวกกับเรามากกว่า
อย่าทำให้ชีวิตของลูกมีแต่ความสะดวกสบายและเรื่องง่ายๆ เพราะเมื่อเขาเจออุปสรรคหรือเรื่องยาก เขาจะไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะเผชิญมัน และเลือกที่จะหนีปัญหาหรือให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทนตัวเอง

(3) อย่าทำให้เพราะอยากให้เด็กพึงพอใจหรือสะดวกสบาย
อย่าหลีกเลี่ยงความลำบากและปกป้องลูกจากความทุกข์ เพราะสักวันหนึ่งเมื่อเขาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เขาจะไม่รู้วิธีรับมือกับมัน


(4) อย่าทำให้เพราะกลัวว่าเขาไม่รักเรา
ผู้ใหญ่หลายคนกลัวลูกหลานไม่รัก เลยเลือกที่จะไม่ขัดใจและทำให้ในสิ่งที่เด็กควรทำเอง ในกรณีนี้ให้เราระลึกไว้เสมอว่า ‘ความรักไม่มีเงื่อนไข’ เราไม่ควรต้องทำให้เขาพึงพอใจเพื่อให้เขารักเรา เรารักกันเพราะเรารักกัน ความรักควรทำให้เด็กเติบโต เรารักเขาจึงสอนให้เขาทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทำให้เขาช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น

(5) สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือสอนเขาให้แก้ปัญหาและทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง และไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข เราเลือกที่จะเคียงข้างลูก จนเขาสามารถข้ามผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไปได้ เพื่อวันข้างหน้าแม้ไม่มีเราอยู่ตรงนั้นกับเขาแล้ว ลูกจะใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยตัวเอง

คำถาม: เราเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจลูกและเปิดโอกาสให้ลูกทำ หรือ เป็นพ่อแม่ที่รู้ใจและทำทุกอย่างให้ลูก

ถ้าเราเป็นพ่อแม่ที่ ‘ให้ลูกทำด้วยตัวเอง (เข้าใจลูก)’

พ่อแม่เข้าใจลูกและให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัยของเขา เราทำหน้าที่เปิดโอกาสให้ลูกทำเองมากที่สุด ถ้าลูกทำไม่ได้ เราเข้าไปสอนเขาด้วยการ

(1) ทำให้ดู

(2) พาทำ (จับมือทำ)

(3) ทำด้วยกัน

(4) ปล่อยลูกทำเอง โดยมีเราเฝ้าดู

(5) ฝึกฝนจนทำได้เอง แม้ไม่มีเราอยู่ตรงนั้น

ทั้งนี้เราไม่ได้คาดหวังว่า เด็กเล็กต้องทำทุกอย่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ แต่เราคาดหวังให้เขาเรียนรู้การลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเขาเอง

เมื่อเด็กรับรู้ว่า ‘ตนเองสามารถทำสิ่งใดได้ด้วยตนเอง’ เขาจะรับรู้ถึงความสามารถของตน ซึ่งนำไปสู่ความภาคภูมิใจ และความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (Sense of Autonomy) และการควบคุมตนเอง (Self Control) จะเกิดขึ้นตามมา ยิ่งเด็กลงมือทำ เขายิ่งได้เรียนรู้การควบคุมและรับผิดชอบชีวิตของตัวเขาเอง ซึ่งทำให้เขาได้เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองอย่างแท้จริง

ถ้าเราเป็นพ่อแม่ที่ ‘ทำให้ลูก (รู้ใจลูก)’

พ่อแม่รู้ใจลูก และให้การช่วยเหลือลูกทันทีด้วยการเข้าไปทำให้ เด็กจะขาดโอกาสในการฝึกฝนการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และทำให้เขาเลือกที่จะไม่ทำสิ่งนั้น เพราะเขารู้ว่า ‘พ่อแม่พร้อมจะทำให้เขา’ และเด็กจะรับรู้ว่า ‘พ่อแม่ไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะรอเขา’ เด็กจะเกิดข้อสงสัยในตัวเองว่า ‘แท้จริงแล้วเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง’ ซึ่งนำไปสู่ความวิตกกังวลและไม่มั่นใจในตนเองในเวลาต่อมา

การเปิดโอกาสให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองและทำสิ่งต่างๆ ที่เขาทำได้ด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เด็กๆ จะเกิดเป็นความชำนาญในทักษะดังกล่าว ในขณะเดียวกันพวกความมั่นใจในตัวของเขาก็ค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับทักษะที่เกิดขึ้นด้วย ทักษะพื้นฐานผนวกกับการรับรู้ถึงศักยภาพภายในตัวเองสามารถแผ่ขยายไปสู่การเรียนรู้และลองทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไป

เด็กทุกคนมีความสามารถ พวกเขาทำอะไรได้มากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด ขอเพียงอย่าดูถูกศักยภาพของพวกเขา และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ลงมือทำให้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะอยู่รอดกับในทุกที่ ทุกช่วงเวลา แม้ในวันที่มีเราหรือไม่มีเราอยู่ตรงนั้นกับเขา

Tags:

การเติบโตเด็กครอบครัวปัญญาประดิษฐ์ยุค AIพ่อแม่

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) ทางเลือกในการดูแลจิตใจและรับมือกับความเครียด: นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์
How to enjoy life
19 March 2025

จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) ทางเลือกในการดูแลจิตใจและรับมือกับความเครียด: นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • สมองของมนุษย์มีแนวโน้มจดจำเรื่องลบและตอบสนองต่อความเครียด นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ จึงนำเสนอแนวคิด จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) จิตวิทยากระแสใหม่ที่ช่วยรับมือกับความเครียดผ่านการฝึกสติ สมาธิ และเข้าใจการทำงานของสมอง
  • แนวคิดนี้นำหลักการฝึกสติและสมาธิจากพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในเชิงจิตวิทยาโดยไม่อิงกับศาสนา แต่ยึดกระบวนการทางสมองเป็นหลัก เพื่อพัฒนาสุขภาพจิต เน้นการอยู่กับปัจจุบัน ลดความเครียดสะสม และเสริมสร้างอารมณ์เชิงบวก
  • จิตวิทยากระแสใหม่บอกว่า เราสามารถฝึกคลายเครียดได้โดยการนั่งสมาธิ ทำให้ชีวิตของเราไม่สะสมความเครียด และป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดใหม่ๆ ได้ด้วยการใช้สติ

เมื่อความเครียดกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คำถามสำคัญคือ เราจะดูแลใจตัวเองอย่างไรให้รับมือกับความท้าทายได้โดยไม่ถูกพายุอารมณ์พัดพา?

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานกรรมการวิสาหกิจเพื่อสังคมจิตวิทยาสติ นำเสนอแนวคิด ‘จิตวิทยาสติ’ จิตวิทยากระแสใหม่ที่อธิบายการฝึกสติ สมาธิในหลักการทางจิตวิทยาและการทำงานของสมอง เพื่อช่วยให้เรารับมือกับความเครียด ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล

จิตวิทยาสติคืออะไร

ปกติคนไทยจะรับรู้เรื่องสมาธิและสติในแง่ของพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันทั่วโลกสนใจ ‘จิตวิทยาสติ’ หรือ ‘Modern Mindfulness’ ซึ่งเป็น ‘จิตวิทยากระแสใหม่’ ในแง่คอนเซ็ปต์และวิธีการ จึงมีการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงจิตวิทยาและการทำงานของสมอง

แม้ว่าจิตวิทยาสติจะนำหลักการจากพุทธศาสนามาใช้ แต่มีความต่างกับพุทธศาสนา 3 อย่าง อย่างแรกคือ เข้าใจง่าย เพราะถูกอธิบายด้วยหลักการทางจิตวิทยาและการทำงานของสมอง ไม่ใช่การทำความเข้าใจผ่านภาษาบาลี สองคือ ฝึกได้ง่าย เพราะมีการใช้หลักของจิตวิทยาการเรียนรู้เข้ามาช่วย ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ง่าย เช่น Active Learning หรือ Skills Based Training มีการเรียนรู้เป็นขั้นตอน และสุดท้ายคือ นำมาใช้งานได้ง่าย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นให้อยู่กับปัจจุบัน และพัฒนาปัจจุบันนั้นให้ดีขึ้น ทำให้เราสามารถปรับตัว จัดการอารมณ์ และลดความเครียดได้ดีขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างจากจิตวิทยากระแสหลักที่มุ่งไปที่กระบวนการต่างๆ ให้เราปรับตัวเพื่อปรับปรุงจิตพื้นฐาน เช่น หากคิดลบก็ฝึกคิดบวก เครียดก็ฝึกคลายเครียด เป็นต้น

จิตวิทยากระแสใหม่นี้ แม้จะมีรากฐานจากพุทธธรรม แต่ไม่ได้โฟกัสที่ตัวศาสนา เป็นการอธิบายเชิงจิตวิทยาว่าเป็นการพักและทำงานอย่างมีคุณภาพ 

จิตวิทยาสติสามารถอธิบายในเชิงการทำงานของสมองได้อย่างไรบ้าง

ในเชิงจิตวิทยา จิตพื้นฐานของเรามีแนวโน้มจะสะสมเรื่องลบและทำให้เกิดความเครียด จิตมนุษย์มักจะจดจำเรื่องลบๆ มากกว่าเรื่องอื่น เพราะเรื่องลบนั้นคุกคามเรา และสิ่งนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนอารมณ์

สมองส่วนอารมณ์นั้นถูกวิวัฒนาการเป็นส่วนที่สอง สมองคนเรานั้นจะเริ่มพัฒนาจากก้านสมอง และสมองส่วนอารมณ์จะถูกพัฒนาตามมา ซึ่งสมองส่วนอารมณ์จะทำงานเมื่อถูกคุกคาม

จิตวิทยากระแสหลักก็พยายามที่จะหาวิธีในการควบคุมอารมณ์และความเครียดที่เกิดขึ้นจากสมองส่วนนี้ ซึ่งการควบคุมสมองส่วนอารมณ์เป็นหน้าที่ของสมองส่วนหน้าสุด หรือมีอีกชื่อหนึ่งคือ Executive Function โดยมีหน้าที่บริหารจัดการชีวิต

ตามรายงานการวิจัยชี้ว่า หลังจากการใช้กระบวนการของจิตวิทยาสติ สมองมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยสมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่ในการควบคุมสมองส่วนอารมณ์นั้นมีการทำงานที่ดีขึ้น สมองส่วนอารมณ์ทำงานน้อยลง และสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจดจ่อก็มีการทำงานที่ดีขึ้นเช่นกัน รวมถึงสมองส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในที่เกี่ยวข้องกับจิตที่มีคุณภาพ เช่น ความรัก ความเมตตา ความเสียสละ และการให้อภัย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดีทั้งหลาย ก็จะทำงานได้ดีขึ้นด้วย

แล้วจิตวิทยากระแสใหม่นี้ มีความสำคัญอย่างไรในยุคปัจจุบัน

ปัจจุบันผู้คนเผชิญความยากลำบากมากขึ้น ทั้งปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม ภัยพิบัติ และโรคอุบัติใหม่ ความไม่แน่นอนเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพจิต จึงจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพจิตใจให้แข็งแกร่งขึ้น

คนส่วนใหญ่มักคลายเครียดด้วยการดูหนัง ฟังเพลง หรือช็อปปิ้ง ซึ่งเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความเครียดที่แท้จริง คือเราก็แค่เอาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นเฉยๆ พอกลับมาที่บ้าน ที่ทำงานก็เครียดเหมือนเดิม 

วิธีการจัดการความเครียดมี 2 แนว เราก็ต้องเรียนรู้สักแนว ซึ่งการที่มีแนวที่ 2 ขึ้นมาทำให้คนเรามีทางเลือกในการเรียนรู้ได้ดีขึ้น สมัยก่อนเขามีทางเลือกเดียว คือการเรียนรู้จิตวิทยากระแสหลัก แต่ตอนนี้เรามีทางเลือกที่สองคือ จิตวิทยากระแสใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของสมาธิและสติปัญญา ในการสำรวจตัวเอง

โดยในต่างประเทศ เช่น ยุโรปและอเมริกา มีประชากรราว 10-20% ฝึกสมาธิและสติ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนา ขณะที่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่กลับมีผู้ฝึกน้อย ส่วนใหญ่นับถือพุทธตามทะเบียนบ้านหรือพิธีกรรมมากกว่า 

การมีจิตวิทยาสติเป็นทางเลือกจึงช่วยให้ทั้งผู้ที่สนใจพุทธธรรมและผู้ที่ไม่ได้ผูกพันกับศาสนา สามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้  

สามารถประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

การฝึกสมาธิและสติช่วยให้เรารู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น สมาธิช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย ขณะที่สติช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่วอกแวก และจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น เวลาขับรถหากไม่มีสติ เราอาจถูกป้ายโฆษณาดึงความสนใจ หรือโมโหเมื่อต้องเจอคนขับปาดหน้า แต่ถ้าฝึกสติจนสามารถควบคุมอารมณ์และความคิดได้ดีขึ้น เราก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากกว่าเดิม

หากพูดในเชิงจิตวิทยา สมาธิคือเครื่องมือในการคลายเครียด ขณะที่สติคือการป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดสะสม โดยการอยู่กับปัจจุบันและรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมีสติ ต่างจากแนวทางจิตวิทยากระแสหลักที่เขาก็จะมีศาสตร์คือ ถ้าคิดลบก็ให้ฝึกคิดบวก ถ้าสะสมความเครียดมากๆ ก็ฝึกคลายเครียด 

ส่วนจิตวิทยากระแสใหม่บอกว่า เราสามารถฝึกคลายเครียดได้โดยการนั่งสมาธิ ทำให้ชีวิตของเราไม่สะสมความเครียด และป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดใหม่ๆ ได้ด้วยการใช้สติ

เพราะการฝึกสมาธิและสติ เป็นการสร้างจิตที่มีคุณภาพ ปกติจิตพื้นฐานเราคือตื่น ถ้าจิตขั้นสูงกว่า เราก็จะพักอย่างมีคุณภาพด้วยการมีสมาธิ และทำงานอย่างมีคุณภาพได้ด้วยสมาธิ สภาวะแบบนี้จะไม่สะสมเรื่องลบ มีความปล่อยวางและมีเมตตา ซึ่งก็จะทำให้คนนำมาปรับใช้กับชีวิตได้ดีขึ้น

การฝึกสมาธิและสติช่วยแก้ปัญหาสุขภาพจิตได้หรือไม่

ใช่ เพราะความเครียดนั้นเป็นจุดตั้งต้นของปัญหาสุขภาพจิต ฉะนั้นคนทุกคนก็จะมีอารมณ์และความเครียดไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะใช้จิตวิทยากระแสหลัก หรือจิตวิทยากระแสใหม่ก็ช่วยให้เขาจัดการความเครียดได้ดีขึ้น

ซึ่งพอเรามีอารมณ์และความเครียดมันก็จะเริ่มส่งผลกระทบต่อตัวเราและคนอื่น เมื่อเครียดเรื้อรัง เราก็จะเริ่มเป็นโรคเรื้อรังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน มะเร็ง อีกทั้งพอเราเครียด เราก็จะกระทบกระทั่งกันง่าย ดังนั้นนอกจากความเครียดจะส่งผลต่ออาการทางร่างกายและจิตใจแล้ว ยังส่งผลให้มีปัญหาเรื่องสัมพันธภาพ คือมักจะมีความอดทนต่ำ ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งในที่ทำงาน ในครอบครัว หรือบนท้องถนน

ในแง่ของสังคม จิตวิทยาสติมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

จริงๆ จิตวิทยาสติสามารถนำมาใช้ในทุกที่ สามารถใช้บำบัดในคนที่มีปัญหาซึมเศร้า ติดยา หรือบาดแผลทางใจ หรือใช้ในองค์กรก็จะช่วยให้วัฒนธรรมองค์กรดีขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข เช่น มีสติในการสื่อสาร ก็จะประสานงานคุยงานกันได้ดีขึ้น เป็นต้น หรือในการศึกษา เมื่อนำมาใช้กับครูนักเรียนก็จะทำให้การเรียนรู้และสัมพันธภาพดีขึ้นด้วย แต่การต้องเริ่มต้นจากครู เพราะจะได้เป็นแบบอย่างให้นักเรียนทำตาม

หรือแม้แต่การลดปัญหา Hate Speech และความขัดแย้งในสังคม เพราะเมื่อคนมีสติมากขึ้นก็จะไม่ด่วนตัดสิน และไม่ไต่บันไดของความเกลียดชังที่นำไปสู่ความรุนแรง  เพราะคนเราเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องเห็นต่างก็จะมองว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ทั้งที่ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ แต่พอจิตพื้นฐานเริ่มไปตัดสินว่าใครคิดไม่เหมือนเรานั้นคือผิด จะนำไปสู่ขั้นที่สองว่านั่นคือ ดี-เลว และสุดท้ายจะไปสู่ขั้นที่สามคือ ตัดสินว่าคนที่เป็นคนเลวนั้น ฉันสามารถทำร้ายเขาได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งหมดมาจากบันได 3 ขั้นของ hate speech 

จริงๆ โลกที่เกิดความรุนแรงก็เพราะเหตุนี้ ถ้าคนเรามีสติมากขึ้นเราก็จะไม่ไต่บันได 3 ขั้นนี้ สามารถมองเห็นความต่างและใคร่ครวญได้อย่างมีสติ ก็จะไม่เกิดอารมณ์แล้วไม่ส่งต่อข้อความต่างๆ จริงๆ โลกนี้ไปเร็วมากเพราะระบบโซเชียล พอไม่ชอบ เราก็ส่งต่อโดยไม่ยั้งคิด ซึ่งมันจะขยายความรุนแรงไปมากกว่าเดิม ถ้ามีสติเราจะจัดการอารมณ์และความคิดได้ดี และลดข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นลงในที่สุด

ถ้าต้องการฝึกตามหลักจิตวิทยาสติควรเริ่มต้นอย่างไร

เราสามารถฝึกได้โดยใช้ลมหายใจในการฝึกสมาธิ เพราะการรู้ลมหายใจจะช่วยให้เราหยุดคิดชั่วขณะ และลดการสะสมความคิดลบ พัฒนาไปสู่ความสงบและความผ่อนคลาย ส่วนการฝึกสติคือการฝึกให้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมภายนอก เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย หรือกิจกรรมภายใน เช่นความคิดและอารมณ์ การมีสติช่วยให้เราควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมได้ดีขึ้น 

การฝึกสมาธิ เริ่มต้นได้ด้วยการหายใจเข้าออกยาว เลือกจดจ่อสัมผัสลมหายใจที่ปลายจมูกตรงตำแหน่งที่ชัดที่สุด เพราะการเลือกจดจ่อเป็นการทำงานของสมอง ที่จะทำให้รู้ลมหายใจเบาๆ ได้ง่ายขึ้นและทำให้หยุดคิด หากแต่ความคิดจากจิตใต้สำนึกยังไม่หยุด ก็จัดการโดยการ ‘รู้’ แต่ ‘ไม่คิดตาม’ กลับมารู้ลมหายใจหรือหยุดคิดใหม่ เราก็จะค่อยๆ ความว้าวุ่นไปจนสงบ ซึ่งจุดนี้มักจะเกิดความง่วง ก็ให้เรายืดตัวให้ตรง กลับมารู้ลมหายใจใหม่ ความสงบจะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น จนเกิดความผ่อนคลายที่เป็นประโยชน์สำคัญของสมาธิและเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการฝึกสติ

การฝึกสติใช้การรู้ลมหายใจ รู้ในกิจที่ทำ เพราะลมหายใจเป็นปัจจุบันจึงช่วยให้มีสติได้ง่าย 

สำหรับสติในจิต (ความคิดและความรู้สึก) ใช้การมีสติดูจิตผ่านการทำ Body Scan ที่ให้เรารู้ตัวทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เมื่อมีความรู้สึกที่รุนแรง ก็ฝึกเป็นผู้มีสติ รู้ลมหายใจโดยไม่ต้องตอบโต้ จิตจะเห็นว่าเป็นความรู้สึกที่แค่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป โดยที่เราไม่ยึดติด ก็จะทำให้ปล่อยวางได้ และถ้ามีความคิดเกิดขึ้น ก็มีสติและลองติดป้ายความคิด (ที่เป็นความคิดคิดฟุ้งซ่านและว้าวุ่น) ก็จะเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของกระแสความคิด โดยไม่ไปยึดติด จะทำให้ปล่อยวางเช่นเดียวกัน

จากการฝึกจิต ก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยให้เรามีคุณภาพจิตที่ดีขึ้น ลดการไหลตามอารมณ์ และสามารถรับมือกับปัญหาในชีวิตได้อย่างมีสติ มีคุณภาพนั่นเอง

[หากสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาสติเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ mindpsy.org ซึ่งมีคอร์สและข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกจิตวิทยาสติในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะกับทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และบุคคลทั่วไป]

Tags:

การจัดการอารมณ์ความเครียดสมองการฝึกสมาธิ (Meditation)จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness)สุขภาพจิต

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • brain-rot-nologo
    Adolescent Brain
    Brain Rot: ‘มีมตลก&คอนเทนต์โง่ๆ’ การเสพติดความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์ที่เป็นภัยต่อสมองเด็ก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • positive-parenting-nologo
    Adolescent Brain
    Positive Parenting: เลี้ยงลูกด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ เสริมสร้างสมองที่แข็งแกร่ง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เมื่อคำว่า ‘แพ้’ รุนแรงต่อชีวิต ความพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และผู้แพ้ไม่ควรถูกละเลย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • meditation-nologo
    Adolescent Brain
    การฝึกสมาธิ (Meditation): วิธีเรียบง่ายที่จะช่วยปรับสมองวัยรุ่นให้พร้อมรับมือกับความว้าวุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก
Everyone can be an Educator
18 March 2025

‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • พระจิตร์ จิตตสวโร หรือ ‘หลวงพี่โก๋’ คือผู้ถ่ายทอดเนื้อหาต่างๆ ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘วิชาใจ’ โดยอิงหลักธรรมผสมผสานหลักจิตวิทยาแบบเข้าใจง่าย เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่คอยปลอบโยนและเตือนสติผู้คน
  • ชื่อเดิมของท่านคือ จิตร์ ตัณฑเสถียร อดีตผู้บริหารบริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียง ก่อนตัดสินใจบวชตลอดชีวิตจากความขี้สงสัยและความตั้งใจที่อยากจะศึกษาวิชาใจเป็นงานหลักแบบเต็มเวลา
  • หัวใจสำคัญของ ‘วิชาใจ’ คือการชวนทุกคนตรวจตราตัวเองในทุกมิติ และเป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเอง “เราต้องกล้าสำรวจว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร” “ธรรมชาติของอารมณ์คืออะไร” “เราจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่เป็นทุกข์”

“จะรักใคร จะห่วงใยใคร ก็อย่าทอดทิ้งตัวเอง 

ต่อให้คนทั้งโลกสนใจเรา ถ้าเราไม่ดูแลตนเอง ไม่สนใจศึกษาความจริงเกี่ยวกับชีวิตใจตัวเอง เราจะไม่มีวันรู้จักและเข้าใจตัวเองเลย 

เจริญสติให้มาก สังเกตความคิดความอ่าน ความเชื่อของตนเองให้มาก สำรวจ และแก้ไขปรับปรุงตนเองให้มาก 

จะรักใคร จะห่วงใยใคร ก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ”

ข้อคิดสั้นๆ เรื่อง ‘อย่าทอดทิ้งตัวเอง’ พร้อมภาพประกอบน่ารักๆ จากแฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘วิชาใจ’ คือหนึ่งในคอนเทนต์ที่ผมเชื่อว่าน่าจะโดนใจใครหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเหนื่อยล้า หรือหลงลืมที่จะใส่ใจตัวเอง

หากใครติดตามเพจวิชาใจเป็นประจำ คงจะรู้ดีว่าจุดเด่นของเพจคือการสื่อสารธรรมะผ่านข้อความที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มีศัพท์ยากๆ ที่อ่านแล้วรู้สึกห่างไกล ซึ่งผู้เขียนน่าจะมีพื้นฐานความเข้าใจด้านจิตวิทยาด้วย ทำให้เนื้อหาสามารถเข้าถึงหัวใจคนทั่วไป จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้อความที่ทั้งปลอบโยนและให้กำลังใจเหล่านี้เป็นใคร

ทว่าเมื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมกลับปรากฎชื่อของ พระจิตร์ จิตตสวโร หรือ ‘หลวงพี่โก๋’ ปัจจุบันท่านพำนักอยู่ที่ สถานปฏิบัติธรรมมูลนิธิร่มเย็ญ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งความน่าสนใจนอกจากจะอยู่ที่ตัวท่านที่เคยเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงก่อนจะหันหลังให้ทางโลกเพื่อศึกษาทางธรรมแบบฟูลไทม์ ยังเป็นวิธีการสื่อสารที่ตรงใจหลายๆ คนที่อาจกำลังมีคำถามเกี่ยวกับชีวิต หรือถูกโถมทับด้วยอารมณ์จนเป็นทุกข์

นักกลยุทธ์โฆษณาผู้ตามหาคำตอบของ ‘ใจ’

ก่อนที่หลวงพี่โก๋จะมาบวช เขาคือ จิตร์ ตัณฑเสถียร ผู้บริหารบริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งให้บริการด้านการให้คำปรึกษา การสร้างแบรนด์และการตลาด โดยสื่อหลายสำนักยกย่องว่าเขาเป็นนักกลยุทธ์โฆษณาที่การันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับนานาชาติ

“หลวงพี่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มามากกว่ายี่สิบปี ได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ นับไม่ถ้วน เห็นวิกฤตเศรษฐกิจ เห็นการพบการจาก การเบียดเบียน ความโกรธ หลวงพี่ต้องอยู่ท่ามกลางมนุษย์แต่ละคนที่มีแรงบันดาลใจแตกต่างกันออกไป ยิ่งในอาชีพนักกลยุทธ์ที่ต้องชี้ชวนให้ผู้คนเกิดพฤติกรรมที่จะเข้าทางภาคธุรกิจ หลวงพี่จึงต้องทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นที่มาของพฤติกรรมเหล่านั้น เหมือนก่อนจะสื่อสารกับใครด้วยเรื่องอะไร หลวงพี่ต้องดูว่าเขาสนใจเรื่องอะไร และประเด็นไหนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา 

หลวงพี่ต้องลงพื้นที่สัมภาษณ์คนหลายพันคน ทำให้ได้เข้าใจความรู้สึกของคน เวลาเห็นคนโกรธ กลัว หรือโกหก หลวงพี่มักจะพยายามคาดเดาว่าอะไรทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น คิดย้อนกลับมาแม้กระทั่งว่า ทำไมเราต้องคิดอย่างนั้นด้วย ความเกลียดความกลัวมาจากไหน อะไรที่ทำให้มนุษย์กังวลและมีพฤติกรรมแบบนั้น แล้วท้ายที่สุดเราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง”

จากความสงสัยสู่หลักธรรมประจำ ‘ใจ’ 

ด้วยความสงสัยที่ลึกลงไปในเรื่องของจิตใจ หลวงพี่โก๋จึงพยายามค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง จนกระทั่งได้นำอาหารไปถวายพระน้องชาย (พล ตัณฑเสถียร) ที่วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และบังเอิญได้ยินคำสอนของพระพี่เลี้ยงเรื่องการเจริญสติ

“หลวงพี่ฟังแล้วประทับใจมากว่ามันมีวิชาที่บอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในว่า ทำไมเราถึงคิดอย่างนั้น และความรู้สึกอย่างนั้นมันมาจากไหน”

หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพี่โก๋ก็ตัดสินใจบวชเป็นครั้งแรก ก่อนจะตามมาอีกถึง 4 ครั้ง 

“หลวงพี่บวชครั้งแรกหลังจากที่พลบวช 1 ปี ครั้งที่สองบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครั้งที่ 3 4 5 ก็รวบรวมวันพักร้อนไปบวชเพื่อปฏิบัติธรรม ระหว่างนั้นก็เริ่มมีแรงบันดาลใจที่อยากจะศึกษาเรื่องจิตใจแบบฟูลไทม์ ซึ่งตอนนั้นหลวงพี่เริ่มเป็นผู้บริหารองค์กร ทำให้ต้องค่อยๆ เตรียมตัวหลายครั้งกว่าจะขอปลีกตัวทางโลกและวางความรับผิดชอบต่างๆ ที่มีต่อคนอื่นได้อย่างถาวร จนไม่ต้องกลับไปเป็นผู้บริหารอีกแล้ว”

พอหลวงพี่เล่ามาถึงตรงนี้ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมท่านจึงเลือกที่จะทิ้งชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จในทางโลก เพราะสำหรับผม การที่ใครสักคนตัดสินใจบวชตลอดชีวิตน่าจะต้องมีเรื่องทุกข์ใจหนักหนาสาหัส หรือไม่ก็มีความจำเป็นทางใดทางหนึ่ง 

“ตอนหลวงพี่บวชไม่ได้ทุกข์หรือมีเรื่องมหัศจรรย์อะไรหรอก หลวงพี่เป็นคนสนใจเรื่องจิตใจ แล้วการบวชครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 5 แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้บวช คำตอบคือหลวงพี่น่าจะเข้าใจชีวิตแล้ว และเลือกที่จะศึกษาวิชาใจเป็นงานหลักของชีวิต”

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมจะต้องมีเสียงทัดทานจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่อดเป็นห่วงไม่ได้

“ตอนบวช ครอบครัวกับคนรอบตัวมีห่วงนะ แต่โชคดีที่หลวงพี่พิสูจน์ตัวเองว่าเราดูแลตัวเองได้ มันไม่ใช่การบวชด้วยอารมณ์ ครอบครัวก็ไว้ใจให้โอกาสหลวงพี่ ส่วนเรื่องงานก็ถึงจุดที่หลวงพี่มีเงินออมพอประมาณจนกระทั่งขอวางไว้ เพราะบางเรื่องเรารอไม่ได้ เราไม่รอแล้ว เราขอทำสิ่งนี้เต็มเวลา ซึ่งการที่เคยเป็นนักกลยุทธ์ทำให้หลวงพี่สามารถจัดลำดับความสำคัญได้ว่าทรัพยากรต่างๆ มันมีจำกัด เช่น ชีวิตมีจำกัด เวลามีจำกัด พละกำลังมีจำกัด ความสนใจมีจำกัด หลวงพี่ก็อยากทำเรื่องที่เห็นว่าสำคัญที่สุดและบริหารของที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ชนเป้ามากที่สุด”

จังหวะนั้นผมถามต่อทันทีว่าเป้าหมายสูงสุดในการบวชของท่านคือนิพพานหรือไม่

“หลวงพี่ไม่ได้คิดว่าจะต้องบรรลุนิพพาน ไม่นะ หลวงพี่แค่เป็นมนุษย์ขี้สงสัย และอยากดูแลตัวเอง อยากอยู่กับความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ ความทรงจำ อยากจะอยู่กับอะไรต่างๆ ของตัวเองให้ได้”

ด้วยความขี้สงสัยและมักมีคำถามเกี่ยวกับชีวิต ท่านจึงศึกษาธรรมะจากพระอาจารย์หลายรูป รวมถึงเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านพลัมในประเทศฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง เพื่อศึกษาวัตรปฏิบัติจากท่านติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการมีสติตื่นรู้ ที่ท่านยกให้เป็น ‘คุณปู่ทางธรรม’

“หลวงพี่อยู่กับท่านนานมาก ไปๆ มาๆ อยู่ 7-8 ปี มีโอกาสแปลหนังสือหลวงปู่และเป็นล่ามให้กับสายการปฏิบัตินี้ จนถึงทุกวันนี้หลายสิ่งหลายอย่างยังคงยึดถือวิถีที่หลวงปู่สอนไว้ ถ้าให้เลือกคำสอนสักอัน หลวงปู่เคยสอนว่า ‘Peace In Oneself, Peace In The World.’ หมายความว่า ก่อนที่เราจะไปทำอะไร ก่อนที่เราจะรู้สึกว่าเราจะอยู่กับโลกอย่างผาสุข เราต้องเริ่มต้นจากการอยู่กับตนเองอย่างผาสุขให้ได้ก่อน อย่าไปคิดว่าโลกจะเข้าท่าเข้าที แล้วเราถึงจะยอมสงบสุข หากเราต้องการทำอะไร ก็ต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบสุขของตัวเองก่อน อันนี้ส่วนตัวถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันคือการดูแลตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะทำไปอะไรให้กับคนอื่น

หลวงพี่ว่าบางทีความปรารถนาดีกับคนอื่น เรามองแค่ข้างนอก แต่กลับลืมดูแลตัวเอง บางทีเราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความทะเยอทะยาน รักเขาแต่ข้างในมันไม่สะอาด อยากทำดีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หรือทำเพื่อให้ตัวเองมีค่าหรือเติมเต็มความรู้สึกบางอย่าง จนบางครั้งก็เผลอทำเขาเดือดร้อนแทน หลวงปู่จึงสอนให้เราดูแลกาย วาจา ใจ ให้ดีก่อน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีแค่ไหน เราก็ควรดูแลตัวเองให้ดีก่อนเสมอ”

นอกจากคุณปู่ทางธรรมแล้ว หลวงพี่โก๋ยังมีโอกาสได้ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร หรือหลวงพ่อกล้วย แห่งวัดป่าธรรมอุทยาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งถือเป็น ‘คุณพ่อทางธรรม’ อีกด้วย

“หลวงพี่อยู่กับแต่ละท่านนานมาก ถ้าหลวงพ่อกล้วยก็สิบกว่าปี หลวงพ่อจะสอนให้อ่านตัวเองให้ออกว่าตอนนี้เราเป็นยังไง ร่างกายเรา ใจเรา ความรู้สึกนึกคิดเราเป็นยังไง อ่านอาการตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ว่าสิ่งต่างๆ มันคืออะไร แล้วก็ต้องใช้ตัวเองให้เป็น ใช้สิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง ใช้ความใจดี ใช้ความสงบ ใช้การรับฟัง ใช้คำพูด อ่านตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ และใช้ตัวเองให้เป็น หลวงพ่อจะสอนให้เรารู้จักการอยู่กับความเป็นปกติ ซึ่งเป็นภาคปฏิบัติที่ช่วยให้เราพร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ โดยอาศัยความปกติ ความมั่นคงที่ไม่หวั่นไหว และความสามารถในการตระหนักรู้ครับ”

‘วิชาใจ’ ธรรมะเข้าใจง่ายที่ไม่ปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึก

เมื่อได้บวชและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีกต่อไป หลวงพี่จึงจำวัดที่วัดป่าธรรมอุทยาน พร้อมทั้งทำงานจิตอาสาเพื่อสังคม ซึ่งช่วยให้ท่านได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์ได้อย่างปกติมากขึ้น ก่อนที่จะนำประสบการณ์มาแบ่งปันและแลกเปลี่ยนผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘วิชาใจ’

“นอกจากฝึกปฏิบัติธรรม หลวงพี่ยังได้ไปเป็นจิตอาสาดูแลผู้ป่วยระยะท้าย และมีโอกาสอื่นๆ ที่ต้องอยู่กับคนที่มีความทุกข์และไม่สบายใจ หลวงพี่เห็นว่าหลายคนมักใช้เวลาหมดไปกับเรื่องซ้ำๆ ที่ไม่มีความคืบหน้า หรือบางคนก็อยู่กับคำถามที่วนเวียนไปมา “ทำไมๆๆ” อยู่อย่างนั้น 

พอหลวงพี่เห็นเขาก็เริ่มน้อมเข้ามามองตัวเองว่า ถึงเราอาจจะไม่ได้ตกร่องเดียวกับเขา แล้วเราตกร่องอะไรบ้างหรือเปล่า ถ้าเราเห็นคนตกร่องอยู่จะช่วยยังไง จะบอกเขายังไง ‘เลิกเศร้าเถอะ’ งั้นเหรอ สมมติอกหัก คิดให้ตายยังไง ถ้าคนที่เรารักเขาหมดรักเราแล้ว คิดอีก 20 – 30 วันมันก็เหมือนเดิม ถูกไหม แล้วเราจะถอนใจจากเรื่องหนึ่งซึ่งมันเคยมีความหมายกับเราได้อย่างไร เราก็ต้องกลับไปสำรวจและฝึกใจให้เข้มแข็งพอที่จะกลับมามองมันด้วยสายตาของใจดวงใหม่ มันเป็นประเด็นแบบนี้ที่ธรรมะจะช่วยเรา  

หลวงพี่ก็พบว่าเราพูดเรื่องแบบนี้กับคนซ้ำๆ บ่อยเหมือนกันเนอะ เริ่มต้นหลวงพี่เลยนำมาเขียนบันทึกส่วนตัว จดไว้ก่อน แล้วเขียนไว้เยอะมากในเฟซบุ๊กเหมือนออนไลน์ไดอารี่แต่ตั้งให้มีเราเท่านั้นที่เห็น จนวันนึงรู้สึกว่าคนเรามีความทุกข์ร่วมกันหลายอย่าง หลวงพี่ก็แบ่งปันไป ไม่ได้คิดอะไรที่ธรรมะธัมโม เพราะตอนนั้นเริ่มจากพรรษาที่ 4 หลวงพี่ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นผู้รู้ รู้แค่ประสบการณ์นี้ดี ลองมองมุมใหม่มันก็คลายทุกข์ไปโขเลยนะ ทีนี้ประเด็น มุมมอง แง่คิด คำอธิบาย และวิธีการเข้าถึงปัญหาเดิมมันก็โตไปพร้อมกับเรา หลวงพี่คิดว่าถ้าย้อนกลับไปอ่านแรกๆ คงดูไม่ได้เหมือนกันมั้ง (หัวเราะ) เรายังไม่ได้โต หรือเรายังไม่ได้มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณขนาดนั้น”

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้อความสั้นๆ เหมือนโน้ตขนาด A5 และรูปที่มีจิตอาสาวาดถวาย ก็ค่อยๆ โอบกอดและให้กำลังใจผู้คนที่เผชิญกับความทุกข์ หรือกำลังพยายามฝึกใจตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น

“หลวงพี่มองว่าทุกอารมณ์มีหน้าที่ของเขา แค่เราใช้เขา เหมือนเสื้อผ้า แขนยาว แขนสั้น เสื้อกล้าม มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย เหมือนความโกรธที่ไม่มีใครห้ามใครโกรธได้ แค่คนๆ หนึ่งรู้ว่าถ้าไม่โกรธเขาต้องวางใจอย่างนี้ ถ้าโกรธต้องวางใจอย่างนั้น 

บางคนอาจเคยชินกับการใช้ความโกรธเป็นเครื่องมือในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากอันตรายบางอย่าง คือต้องเข้าใจว่าโกรธไม่ได้แย่เสมอไปนะ หลวงพี่เป็นพระแนวนี้ครับ คุณโกรธได้แต่คุณต้องใช้ความโกรธ ไม่ใช่ให้ความโกรธใช้คุณ โอเคไหม 

การใช้ความโกรธคือการคุยกับลูกได้ บอกลูกว่าอันนี้แม่ไม่โอเค ไม่ใช่ไปทำให้ลูกเสียใจโดยที่เราขาดสติ บางครั้งความอ่อนโยนและความใจดีที่เราทำไปโดยความเคยชินยังอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าความโกรธที่เราแสดงอย่างมีสติอีกนะ เพราะในความอ่อนโยนนั้น เราอาจจะสมยอมแล้วรู้สึกเป็นเหยื่ออยู่ลึกๆ ก็ได้

ส่วนความทุกข์ของคนมันละลานมากจริงๆ เอาแค่เช้านี้มีคนบอกหลวงพี่ว่าเขารู้สึกไม่มีค่า ทำอะไรก็ผิด ดีไม่พอสำหรับคนอื่น แต่ที่หนักมากๆ คือ ‘ไม่เคยดีพอสำหรับตัวเอง’ หลวงพี่เชื่อว่าไม่มีใครอยากทุกข์หรอก ข้อความเพจวิชาใจนั้นจะทำงานได้ดีกับคนที่อยากจะออกจากความรู้สึกนี้เป็นทุน เอาง่ายๆ ต่อให้คนที่รู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาขวนขวายจนมาหาเราแล้ว แปลว่าเขายังมีแรงบันดาลใจที่จะอยู่ต่อ ต่อให้จะมีความรู้สึก (อยากอยู่ต่อ) นั้นสักกี่มากน้อยก็ตาม ฉะนั้นมันมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่า กว่าเราจะมาพบกัน เขามีแรงบันดาลใจที่จะเลิกโกรธ มีแรงบันดาลใจที่อยากจะออกจากความรู้สึกตรงนี้”

เมื่อวิชาใจคือวิชาที่ว่าด้วยการตระหนักรู้ในตัวเอง หลวงพี่โก๋จึงแนะนำเครื่องมือที่จะช่วยให้เราสามารถสำรวจ เข้าใจ และรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกได้ดียิ่งขึ้น  

“มันมีตั้งแต่สติ การตระหนักรู้ว่าตอนนี้ร่างกายเราเป็นยังไง ข้างในของเรามันสั่นไหวหรือสงบนิ่ง เรารู้ว่าเราเครียดหรือเปล่า หรือเราสบายๆ เรารู้ว่าเราผ่อนคลายอยู่ หรือเราเหนื่อยไปหมดแล้ว มันต้องมีความตระหนักรู้สภาพร่างกาย ต้องรู้ว่าอาการอย่างนี้มันเป็นอาการทางกาย หรือมีความไม่สบายใจผสม อย่างเช่นเราเหนื่อย มันเหนื่อยตัวจริงๆ เพราะว่าเราโดนแดด ไม่ได้นอน หรือมันเหนื่อยใจเพราะเจอเรื่องนี้ซ้ำๆ อีกแล้ว และพอเรามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดว่ามันอยู่ตรงไหน มันก็เหนื่อยใจ เราต้องรู้ว่ามันเหนื่อยตัวหรือเหนื่อยใจ เพราะถ้าเหนื่อยตัวมารวมกับเหนื่อยใจมันจะหมดแรงกว่าปกติ 

ฉะนั้นเราต้องรู้จักร่างกายเรา ต้องรู้อารมณ์เราว่าตอนนี้เรารู้สึกไม่ค่อยดี ตอนนี้ระดับความอดทนเราเริ่มต่ำลงแล้ว เราต้องรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นข้างใน เราเชื่ออะไร ต้องการอะไร คาดหวังอะไรกับตัวเอง เรารู้ไหม หรือเรากำลังเหนื่อยจากการถูกคาดหวัง หรือเรากำลังเหนื่อยจากความคาดหวังที่เรามีต่อผู้อื่น 

มันเป็นการตรวจตัวเราเองในทุกมิติ ว่าลึกๆ เราต้องการอะไรกันแน่ เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเอง เราต้องกล้าสำรวจ กล้าเรียนรู้ว่าทุกข์นี้เกิดจากการอิจฉา เกิดจากการเปรียบเทียบ 

เรารู้ว่าอิจฉาไม่ดี แต่ข้างในมันมีสิ่งนี้ แล้วเราไปผูกว่าถ้าเรารู้ว่าข้างในเราอิจฉา เรากำลังเป็นคนแย่ เราไม่คิดว่าความอิจฉา ความรู้สึกเปรียบเทียบมันเป็นอาการทางใจ เหมือนกับอาการทางกายที่เราไม่ได้ตั้งใจจะไอ เราไม่ได้ตั้งใจไมเกรน เราไม่ได้ตั้งใจแสบตา เราไม่ได้ตั้งใจคันคอ แต่เนี่ย…อาการทางใจ แล้วนี่คือ ‘วิชาใจ’ 

เมื่อใจมีอาการแบบนี้เขามีที่มาที่ไป เราไม่ได้อิจฉา เราไม่ได้เปรียบเทียบกับเพื่อน เพราะเราไม่ได้เป็นเพื่อนแท้ แต่เราอยู่ในวัยที่จะต้องพัฒนาตัวเอง ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเพื่อนทำได้ดีจัง แล้วเราล่ะ อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้แย่ครับ แต่เราต้องรู้ที่มาที่ไป แต่ถ้าเราเริ่มไม่ชอบตัวเองที่อิจฉาเพื่อน โอโห มันก็ถูกรุมกินโต๊ะเลย แล้วก็บอกใครไม่ได้ มองหน้าเขาเราก็รู้สึกผิด มันสารพัดซ้ำซ้อน …เนี่ย หลวงพี่ทำเรื่องพวกนี้ให้มันชัดเจน อย่างน้อยที่สุด ชัดเจนของตัวเอง แล้วก็ทำให้คนข้างหน้าเขาชัดเจนกับสิ่งนี้ของเขา มันไม่ผิด อยู่กับมันให้เป็น และมีความสัมพันธ์กับสิ่งนั้น จริงๆ เราอาจจะมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในตัวที่สามารถนำมาใช้ดูแลตัวเองได้ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องมีสติ หนึ่ง มีความตระหนักรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น สอง ต้องมีความเป็นมิตรเพียงพอกับสิ่งเหล่านี้  ไม่อย่างนั้นเราก็จะบอกว่า ไม่จริงหรอกเราไม่โกรธ ไม่จริงหรอกเราไม่กลัว คือเราไม่ต้องหล่อ ขอให้เราจริงใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง สาม เราต้องรู้สึกปลอดภัยในการอยู่กับสิ่งเหล่านี้ของตนเอง ซึ่งบางทีเป็นความปลอดภัยที่เรามีกับตัวเอง หรือบางทีเป็นเพื่อนข้างหน้าที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เราอาจจะมีใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ 

สี่ เราต้องรู้จักว่าอารมณ์พวกนี้คืออะไร  ความกระวนกระวายคืออะไร ความคาดหวังคืออะไร มันก็เหมือนกับคนทำอาหาร รู้ว่าอะไรคือเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แต่นี่มันเป็นเรื่องของใจ วิชาใจ”

การสูญเสีย บทเรียนที่ทุกคนควรรู้และเตรียม ‘ใจ’ 

เพราะชีวิตมักนำพาความรู้สึกสูญเสียมาเป็นบททดสอบให้เราเสมอ การทำความเข้าใจกับธรรมชาติของความรู้สึกนี้จึงเป็นวิชาใจที่หลวงพี่โก๋อยากชวนทุกคนเรียนรู้ร่วมกัน

“ในมูลนิธิร่มเย็ญ หลวงพี่ได้เชิญจิตแพทย์มาทำงานร่วมกันและจัดอบรมเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องการสูญเสีย ซึ่งตัวหลวงพี่สนใจและมีประสบการณ์การสูญเสียเช่นกัน และเมื่อยิ่งพิจารณาก็ยิ่งพบว่า จริงๆ แล้วเราต่างเผชิญการสูญเสียอยู่ทุกวัน เราสูญเสียเมื่อวาน…ไม่งั้นเราจะไม่มีวันนี้ เราสูญเสียวัยเด็ก…ไม่งั้นเราก็โตไม่ได้ เราสูญเสียความโสด เราถึงกลายเป็นสามีหรือภรรยากับใครสักคน เราสูญเสียชีวิตที่คล่องตัว เพราะเราเลือกจะเป็นคุณพ่อ มันมีการสูญเสียแสนปกติอย่างนี้แหละครับ

เวลาที่มีคนมาหาหลวงพี่ เป้าหมายหลักคือการประเมินศักยภาพของเขา บางคนอาจต้องการแค่คนรับฟัง หลวงพี่ก็จะรับฟังเขา แต่ถ้าจิตตกแล้วใจเริ่มมีกำลังขึ้น หลวงพี่จะชวนเขานั่งอยู่กับความรู้สึกของตัวเองเพื่อสำรวจอาการ เช่น พุทโธได้ไหม พองยุบได้หรือเปล่า ถ้าระบบหายใจไม่ดี หลวงพี่จะช่วยเขาระลึกถึงตัวเองผ่านการเคลื่อนไหว เพื่อให้เขาอยู่กับความรู้สึกตัว ไม่ให้ใจหลุดไปที่ความกังวล เรียกว่ามอบหมายที่ทางให้ใจอย่างเหมาะสมดีกว่า หรือบางคนป่วยหนักแต่มีความรับผิดชอบเยอะและมีความกังวลมาก ถ้าอยากจะคลายความกังวล หลวงพี่จะชวนเขาไปสำรวจแรงบันดาลใจในการรับผิดชอบสิ่งต่างๆ แล้วทำให้เขาเห็นว่าเขาได้ทำในส่วนที่รับผิดชอบอย่างดีมากแล้ว และบางทีคนรอบตัวเขาก็อาจพร้อมรับผิดชอบตัวเองมากกว่าที่เขาคิด”

ปัจจุบัน หลวงพี่โก๋ยังคงเดินทางสำรวจจิตใจของท่านเอง และทำความเข้าใจอารมณ์ต่างๆ อย่างเป็นมิตร เพื่อค้นหาวิธีการอยู่ร่วมกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างสมดุลและเป็นปกติ

“หลวงพี่หากินข้างในแล้วครับ หลวงปู่หลวงพ่อได้สอนความจริงเกี่ยวกับข้างในของเราแล้ว เวลาที่เรารู้ว่าโกรธเป็นอย่างนี้ เหงาเป็นอย่างนี้ กลัวเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นการ์ตูนก็อาจจะเหมือน Inside Out ให้เรารู้จักตัวละครต่างๆ ข้างในของเรา เพราะแท้จริงแล้วมันไม่ใช่แค่ตัวละครธรรมดา แต่เป็นเหมือนถาดสี ตัวนี้เป็นพ่อ ตัวนั้นเป็นแม่ ส่วนตัวอื่นๆ เป็นญาติโกโหติกาภายในใจของเรา หลวงพี่ทำเรื่องนี้เป็นหลัก ค่อยๆ ทำความรู้จักตัวตนเหล่านี้ทีละตัว เข้าใจว่าแต่ละตัวเกิดขึ้นมาจากไหน แล้วเราจะอยู่ตรงไหนในใจ เพื่อไม่ให้ถูกรบกวนจากตัวเหล่านี้ 

ธรรมชาติของอารมณ์ ความทรงจำ การประมวลผล ความคิดความอ่าน ความเชื่อ ความเห็น ความต้องการ เหล่านี้คืออะไร เราจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่เป็นทุกข์

ดังนั้นถ้าเราตื่นรู้กับมัน รู้จักมันจนถึงที่สุด เราก็สามารถอยู่กับมันได้โดยไม่ถูกรบกวน แล้วจะเจ๋งกว่านั้นอีกถ้าเราสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ อยู่ยังไงให้เป็น ไม่เผลอหลงรัก และไม่เผลอกลายเป็นก้อนไฟเวลาเจอเรื่องน่าโมโห มันเป็นกระบวนการที่เราอยู่กับตัวเองเป็น เข้าใจตัวเอง และใช้ตัวเองเป็นในลักษณะที่เกิดประโยชน์”

ก่อนจบการสนทนา หลวงพี่โก๋ได้ชวนให้ผมลองปฏิบัติสิ่งที่ท่านทำเป็นประจำ นั่นคือการอยู่กับความเงียบ เพื่อให้ใจของเรามีสติและกลับมาสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบันขณะ’

“ลองทำไปพร้อมกันไหมครับ นั่งหลังตรง สบายๆ หลับตาลงเบาๆ หายใจเข้า… แค่รับรู้ว่ากำลังหายใจเข้า หายใจออก… รู้ว่าเรากำลังหายใจออก แล้วหยุดนิ่งกับลมหายใจนั้นสักครู่หนึ่ง ลองสังเกตความเงียบข้างใน เงียบๆ ที่ไม่มีเสียงอะไร 

หรือถ้าใจยังไม่นิ่ง เราอาจจะลองนับเบาๆ ในใจ หนึ่ง… สอง… หลังจากนั้นไม่ต้องนับอะไรอีก แค่สังเกตความเงียบหลังเลขสองจบ แค่นี้เองครับ สบายๆ ไม่ต้องไปเกร็ง มันไม่ใช่ของประหลาด 

ทีนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วดูสิว่าข้างในยังเงียบอยู่ไหม แม้ข้างนอกอาจมีเสียงต่างๆ แต่ข้างในเราก็ยังอยู่กับความเงียบได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ได้ไหมครับ เจอเงียบๆ ไหม ใจของหลวงพี่ก็อยู่อย่างนี้แหละ อยู่กับเงียบๆ ถ้ามีธุระอะไรมาก็ค่อยคิด ค่อยทำทีละเรื่อง แต่ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่กับเงียบๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเรามีเงียบๆ เป็นเพื่อนของเรา”

Tags:

สำรวจตนเองชีวิตการเจริญสติ (Mindfulness)ความทุกข์วิชาใจพระจิตร์ จิตตสวโรจิตวิทยาการจัดการอารมณ์ความสุข

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • How to enjoy life
    ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill): เมื่อการไขว่คว้าพาเรากลับมาที่จุดเดิมเสมอ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel