Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2023

A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย
Movie
29 June 2023

A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • A Little girl’s Dream เป็นสารคดีที่เล่าถึง  ‘โทโมมิ’ เด็กน้อยวัยประถมผู้มีความฝันว่าจะเติบโตไปเป็นสัตวแพทย์ แม้ครอบครัวไม่ค่อยเห็นด้วยกับความฝันของเธอในตอนแรกก็ตาม
  • โทโมมิมีความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันนั้น ซึ่งผู้กำกับก็ได้ใช้เวลาเก็บฟุตเทจวีดีโอช่วงเวลาสำคัญของเธอเป็นเวลายาวนานกว่า 26 ปี จนเธอทำความฝันสำเร็จ
  • แม้ว่าสารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เรียบง่าย แต่การได้เห็นคนๆ หนึ่งเติบโต เห็นว่าอะไรบ้างที่ค่อยๆ หลอมรวมมาเป็นเขาในวันนี้ ก็ทำให้รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ดู

Spoile Alert : มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน  

เราเชื่อว่าหลายคนต่างเคยมีความฝันในวัยเด็กว่า ‘โตขึ้นอยากจะทำอาชีพอะไร’ บ้างอาจทำสำเร็จอย่างที่เคยคิดไว้ บ้างอาจมีความฝันที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

สารคดีเรื่องนี้ได้เล่าถึงเด็กน้อยวัยประถมที่รักสัตว์มาก เธอมีความฝันว่าจะเติบโตไปเป็นสัตวแพทย์ที่ช่วยเหลือดูแลสัตว์ที่ป่วยให้ดีขึ้น เธอมีความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันนั้นและผู้กำกับก็ได้ใช้เวลาเก็บฟุตเทจวีดีโอช่วงเวลาสำคัญของเธอเป็นเวลายาวนานกว่า 26 ปี จนเธอทำความฝันสำเร็จ 

 ‘โทโมมิ’ สาวน้อยชาวญี่ปุ่นอายุ 9 ขวบ อาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนีงาตะ วันหนึ่งเธอและเพื่อนๆ ร่วมชั้น ได้เข้าร่วมกิจกรรมการช่วยเลี้ยงสัตว์ของโรงเรียน สัตว์ชนิดแรกที่พวกเขาได้ช่วยกันดูแลคือ ‘น้องวัว พันธุ์โคนม’ พวกเขาต้องคอยให้อาหาร หวีขน เก็บอึและใช้เวลาร่วมกันทุกวันนานถึง 8 เดือน

เมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้ เด็กๆ ได้วางแผนให้มีพิธีอำลาเจ้าวัวที่ต้องจากไปอยู่ที่อื่น เด็กๆ ทั้งร้องเพลงไป ร้องไห้ไป พวกเขามองเจ้าวัวเป็นเหมือนเพื่อนร่วมชั้น มีตัวแทนมากล่าวคำขอบคุณวัวที่มอบทั้งความรู้สึกและสอนสิ่งต่างๆ ให้กับพวกเขา ซึ่งเรามองว่าสิ่งนี้มันแสดงให้เห็นถึงความรักและความผูกพันของเด็กๆ ที่มีต่อเจ้าวัวและยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โทโมมิมีความฝันอยากเป็นสัตวแพทย์

นอกจากกิจกรรมช่วยเลี้ยงสัตว์ที่โรงเรียนที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักที่มีต่อสัตว์ของโทโมมิจังแล้ว ครอบครัวของโทโมมิก็ทำปศุสัตว์ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กน้อย  และที่บ้านของเธอยังมีสัตว์เลี้ยงอีกหลายชนิด ทั้งหมา แมว หนู หมูและรวมถึงวัวตัวเล็กที่โทโมมิขอให้พ่อมอบให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 11 ปี 

แม้ว่าในตอนแรกครอบครัวของเธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับความฝันของโทโมมิที่อยากเป็นสัตวแพทย์ซักเท่าไหร่ พ่อของโทโมมิผู้เป็นเกษตกรเจ้าของฟาร์มได้ให้สัมภาษณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า เพราะโทโมมิเป็นผู้หญิง แล้วในอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้แรงและพละกำลังมากในการดูแลวัวหรือหมูซึ่งเป็นสัตว์ตัวใหญ่ เขาเลยไม่แน่ใจว่าลูกสาวจะทำไหวมั้ย

แต่ระหว่างทางนั้นสารคดีก็ค่อยๆ เล่าถึงความมุ่งมั่นของโทโมมิจังที่พยายามเดินตามความฝันของตัวเอง ช่วงเวลาสามปีในชีวิตม.ปลาย เธออาศัยอยู่ในหอที่ไม่มีทีวีเลยเพื่อตั้งใจเตรียมสอบเข้ามหาลัยอย่างเข้มข้น

โทโมมิเล่าว่า เธอกับครอบครัวได้มีเงื่อนไขต่อกันว่า ถ้าเธอไม่สามารถสอบเข้าเพื่อเป็นสัตวแพทย์ได้ในครั้งแรก โทโมมิตัดสินใจจะยอมแพ้กับความฝันนี้ทันที ด้วยสถานการณ์ของครอบครัวในตอนนั้นที่การทำปศุสัตว์ยังมีความไม่แน่นอน เธอจึงไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องลำบากกว่าเดิม

เมื่อวันสอบเข้ามหาลัยมาถึง พ่อก็พาโทโมมิจังเดินทางไปสอบ เขาพูดหน้ากล้องหลังจากลูกเดินเข้าไปสอบว่า “เขาอยากให้ลูกทำความฝันได้สำเร็จ เพราะเห็นถึงความมุ่งมั่นของโทโมมิจริงๆ” และบอกว่า “ถ้าลูกทำไม่ได้เขาคงบอกให้เธอลองใหม่ครั้งหน้า” แล้วพ่อของโทโมมิจังก็อยู่รอเธอข้างนอกท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาวจนเธอสอบเสร็จ

หลังจากสอบเสร็จ พ่อก็คุยกับโทโมมิว่า “ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม ลูกได้ทำอย่างที่ตั้งใจแล้ว” โทโมมิตอบว่า “หนูก็คิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องเสียดายแล้วล่ะ”

และพ่อก็พูดต่อว่า “การไม่มีอะไรให้เสียดายเป็นสิ่งที่ดีนะ”

เราชอบสิ่งที่พ่อของโทโมมิแสดงออก แม้ว่าตอนแรกเขาจะมีท่าทีที่กังวลใจ แต่สุดท้ายก็เป็นพ่อคนเดิมนี่แหละ ที่ช่วยซัพพอร์ตและให้กำลังใจเธออย่างเต็มที่

เราคิดว่าเขาเลือกเป็นพ่อที่ไม่ได้กดดันว่าลูกจะต้องทำดีมากกว่านี้ เขาเห็นว่าลูกพยายามแล้วและนั่นก็เพียงพอ ซึ่งทำให้เห็นว่าเขาให้คุณค่ากับความรู้สึกของลูก และการเดินทางตามความฝันของลูกมากกว่าผลลัพธ์ใดๆ 

 และอีกสิ่งที่เราชอบคือการที่ครอบครัวไม่จำเป็นต้องร้ายกาจพูดจาดุเชือดเฉือนลูกเพื่อให้ลูกได้ดี

 เอาเข้าจริงเรารู้สึกว่าตัวโทโมมิจังอาจจะกดดันตัวเองมากกว่าที่ครอบครัวของเธอคาดหวังซะอีก ดังนั้นการได้เห็นว่าครอบครัวพร้อมจะโอบกอดเธอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันเลยเป็นความรู้สึกที่ดีมาก

ต่อมาวันที่โทโมมิรอผลสอบอยู่ที่บ้าน แล้วผลสอบออกมาว่าเธอสอบติดนั้น ครอบครัวก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเธอ พวกเขาบอกเธอว่า “ดีจังเลยนะ” (ในซัพไตเติ้ลภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Good for you”) ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นคำที่ดีมากๆ เลย ยายก็บอกว่า “หลานทำได้ดีมาก ขอบคุณมากเลยนะ”

 โทโมมิเองเมื่อรู้ผล เธอก็ร้องไห้ด้วยความยินดี เราดูฉากนี้แล้วก็ร้องไห้เหมือนสอบติดเอง มันสัมผัสได้ถึงความดีใจของเธอและคนรอบๆ ตัวเธอ ได้เห็นว่าสิ่งที่เธอตั้งใจและมุ่งมั่นมาตลอดมันสำเร็จให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว

ต่อจากนั้นสารคดีก็จะเล่าถึงเดินทางต่อๆ มาของโทโมมิ ทั้งการเรียน การฝึกงานนอกสถานที่ การสอบที่จะทำให้โทโมมิกลายเป็นสัตวแพทย์เต็มตัว และการเริ่มออกไปทำงานเองของเธอ และเล่าต่อมาเรื่อยๆ จนเป็นเวลาสิบปีที่โทโมมิได้เป็นสัตวแพทย์ให้กับน้องวัว

ในตอนท้าย โทโมมิในวัย 30 กว่า บอกว่าเธอดีใจที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับเกษตรกรในจังหวัด รวมไปถึงพ่อแม่ของเธอที่พวกเขาไว้ใจและพึ่งพาเธอให้ช่วยดูแลวัวในฟาร์ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า

‘ความกังวลในอดีตว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะทำงานนี้ไหวมั้ย’ ถูกพังลงไป เพราะเธอสามารถรับมืองานนี้ได้ และพวกเขามองว่าเธอเป็นมืออาชีพ

แม้ว่าสารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เรียบง่าย มีฟุตเทจเก่าๆ เบลอๆ บ้างตามเทคโนโลยีในสมัยนั้น แต่สำหรับเราแล้วการได้เห็นคนเล็กๆ คนหนึ่งเติบโต ได้เห็นว่าอะไรบ้างที่ค่อยๆ หลอมรวมมาเป็นเขาในวันนี้ และการที่คนนั้นมีความฝันและได้ทำตามสิ่งที่ใจต้องการ ระหว่างทางอาจมีอุปสรรค มีปัญหาต้องรับมือแต่สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จตามที่ฝันไว้ มันทำให้เรารู้สึกทึ่งผสมอบอุ่นจิตใจมากๆ รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ดู

ปล. ครั้งนี้ต้องขอบคุณเว็บไซต์ของ Japan Foundation ที่ได้นำหนังเรื่องนี้มาฉายให้ดูออนไลน์ฟรี (แต่เราเพิ่งมาเห็นก่อนจะหมดเขตไม่กี่อาทิตย์) ซึ่งหวังว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกในอนาคต เพราะอยากให้ทุกคนได้ลองดูจริงๆ 

Tags:

เด็กครอบครัวสารคดีการเติบโตความฝัน

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    Sunny กับเด็กที่อยู่กับการขาดหาย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Movie
    Inside Out 2: เมื่อไม่อาจหลีกหนีความวิตกกังวล สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

อ่านอะไร อ่านเท่าไร อ่านอย่างไร: วิธีสะสมต้นทุนชีวิตด้วยหนังสือ
How to enjoy life
27 June 2023

อ่านอะไร อ่านเท่าไร อ่านอย่างไร: วิธีสะสมต้นทุนชีวิตด้วยหนังสือ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การอ่านเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับชีวิตและสติปัญญา และจำเป็นต่อการเข้าถึงความรู้ใหม่ๆ รวมไปถึงการกระตุ้นให้เกิดความคิดอ่านที่แตกต่างหลากหลายกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • การอ่านสำหรับอัจฉริยะอย่างบิล เกตส์, อีลอน มัสก์, วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือเหล่าซีอีโอบริษัทใหญ่ๆ เป็นการอ่านแบบมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมาก แต่ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวอักษร เลือกอ่านเฉพาะส่วนที่เราสนใจเท่านั้น เพราะเรามีทรัพยากรที่จำกัดคือเวลา
  • มีผลการวิจัยที่แสดงว่า การอ่านหนังสือยังทำให้กระบวนการเสื่อมของสมองช้าลงอีกด้วย

เคยสงสัยไหมครับว่า คนอย่างสตีฟ จ็อบส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อีลอน มัสก์ และบิล เกตส์ หรือพวกซีอีโอบริษัทใหญ่ๆ เลือกอ่านหนังสือต่างๆ แบบเดียวกับคนทั่วไปไหม? อัจฉริยะพวกนี้มี ‘วิธีอ่าน’ หนังสือแตกต่างจากคนทั่วไปหรือเปล่า? คนพวกนี้อ่านหนังสือกันมากน้อยเท่าไรต่อปี?  

แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ทำแบบเดียวกันทั้งหมด และเราจะทำแบบเดียวกับพวกเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็อาจเลียนแบบวิธีการบางอย่างของพวกเขาได้ สิ่งที่เรารู้แน่ชัดอย่างหนึ่งก็คือ พวกนักบริหารและคนเก่งอ่านหนังสือกันเยอะมาก คือราวเดือนละ 3–5 เล่ม เฉลี่ยคือสัปดาห์ละเล่ม [1] ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยที่คนทั่วไปอ่านราว 4 เท่า เพราะงานวิจัยของศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) พบกว่าในปี 2016 คนอเมริกันอ่านหนังสือจบประมาณ 12 เล่มต่อปี หรือเดือนละ 1 เล่ม [2] ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยทีเดียว 

อ่านหนังสือกันจบเล่มบ้างไหมครับ? อ่านจบกันเดือนละเล่มครับ?    

งานวิจัยของ Lectupedia ที่ใช้ข้อมูลจากประเทศต่างๆ รวม 14 ประเทศคือ อาร์เจนตินา บราซิล แคนาดา ชิลี โคลอมเบีย เอสโทเนีย ฝรั่งเศส เม็กซิโก เปรู โปรตุเกส เกาหลีใต้ สเปน สหรัฐอเมริกา และเวเนซูเอลา [3] ทำให้รู้ว่าในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วหรือมีความก้าวหน้าสูง ผู้คนจะอ่านหนังสือกันเป็นจำนวนมากต่อปี เช่น คนเกาหลีใต้อ่าน 11 เล่ม คนอเมริกันอ่านจบ 12 เล่ม และมากที่สุดจากการสำรวจนี้คือ แคนาดากับฝรั่งเศสอ่านกันมากถึง 17 เล่ม 

ส่วนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอ่านกันค่อนข้างน้อย เช่น คนอาร์เจนตินาอ่านเฉลี่ย 3 เล่มเท่ากับคนเปรูและคนบราซิล โดยน้อยที่สุดในการสำรวจคือ คนเวเนซูเอลาที่อ่านจบเพียงปีละ 2 เล่มเท่านั้น 

จากตัวเลขดังกล่าว ดูราวกับว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างความก้าวหน้าของประเทศกับนิสัยการอ่านของคนในประเทศต่างๆ อยู่เหมือนกัน 

บิล เกตส์ มหาเศรษฐีนักอ่าน รักการอ่านและชอบแบ่งปันรายชื่อหนังสือดีๆ ที่เขาอ่านให้กับผู้คนทั่วโลก เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของหนังสือพิมพ์ The New York Times ระบุว่า ภายในหนึ่งปีเขาอ่านหนังสือไม่น้อยกว่า 50 เล่ม

นอกจากนี้ เขายังสรุปความรู้ที่ได้เขียนออกมาเป็นหนังสือต่างๆ อีกหลายเล่ม  

เกตส์ไม่ใช่อภิมหาเศรษฐีที่เกษียณแล้วไม่ต้องทำอะไรนะครับ เขาเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิบิลและเมลินด้าเกตส์ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ให้ทุนวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมของประชากรโลก ซึ่งต้องพิจารณาทุนและพบปะผู้คนเพื่อระดมทุนและทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมากมาย เรียกว่าแทบจะไม่ต่างจากซีอีโอทั่วไปทีเดียว 

เขาเชื่อว่าการอ่านเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับชีวิตและสติปัญญา และจำเป็นต่อการเข้าถึงความรู้ใหม่ๆ รวมไปถึงการกระตุ้นให้เกิดความคิดอ่านที่แตกต่างหลากหลายกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น 

อีลอน มัสก์ ก็เป็นนักอ่านตัวยงอีกคน เขาถึงกับเคยเล่าว่าเขาได้แรงบันดาลใจและอันที่จริงแล้ว เรียนรู้การสร้างจรวดผ่านการอ่านหนังสือต่างๆ นี่เอง! 

วอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาและของโลก ก็เป็นอีกคนที่มีนิสัยรักการอ่านอย่างหาตัวจับได้ยาก แม้อายุ 92 ปีแล้ว แต่เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าในแต่ละวันเขาอ่านหนังสือเฉลี่ยแล้วมากถึงราว 500 หน้า! 

การอ่านจึงไม่ได้เป็นแค่งานอดิเรก สำหรับคนเหล่านี้ แต่เป็น ‘ส่วนหนึ่งของชีวิต’ แบบเดียวกับการกิน การออกกำลังกาย และการนอน 

การอ่านอย่างสม่ำเสมอทำให้อ่านได้เร็วขึ้นหรือทนขึ้น จับความได้แม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเด็กที่อ่านหนังสือมากกว่าทำคะแนนวิชาอื่นๆ ได้สูงกว่าเด็กที่อ่านหนังสือน้อยกว่า [4] แต่ที่เยี่ยมไปกว่านั้นก็คือ นิสัยการรักการอ่านที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก จะทำให้เมื่อโตขึ้นสามารถทำคะแนนแบบทดสอบระดับสติปัญญาได้สูงกว่าเมื่อโตขึ้นอีกด้วย

การอ่านจริงจังสม่ำเสมอจึงเพิ่มสติปัญญาได้ 

มีผลการวิจัยที่แสดงว่าเด็กๆ ที่บ้านมีหนังสืออยู่มากกว่า ทำให้มีศักยภาพในการเรียนภาษา การคำนวณ และพื้นฐานความรู้ด้านเทคโนโลยีดีกว่า [5] และการอ่านหนังสือยังทำให้กระบวนการเสื่อมของสมองช้าลงอีกด้วย [6]

สรุปแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมาว่า นิสัยรักการอ่านให้ผลดีต่างๆ นานามากมาย 

ปัญหาใหญ่ของคนไทยยุคนี้ไม่ใช่การหาหนังสืออ่านยาก สำหรับหลายคนนั้นหนังสือที่บ้านมีมากเกินกว่าความสามารถที่จะอ่านได้หมดในชั่วชีวิต แต่ก็ยังจะซื้อเพิ่มเติมเข้ามาอีกอย่างไม่หยุดหย่อน 

ไม่ต้องตกใจไป นั่นอาจจะไม่ใช่ปัญหาเสียทีเดียว

ไมเคิล ซิมมอนส์ (Michael Simmons) ที่เป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารระดับโลกอย่าง  Time, Fortune และ Harvard Business Review ระบุว่า [7] เมื่อสำรวจผู้ประกอบการชั้นยอดและคนที่ประสบความสำเร็จมากมายหลายคนก็พบว่า คนพวกนี้ก็ซื้อหนังสือไว้มากมายและมีโอกาสอ่านได้มากที่สุดก็แค่เพียง 20–40% ของหนังสือทั้งหมดที่ซื้อมา 

เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ คนกลุ่มนี้มักจะอ่านหนังสือพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมาก บางคนอาจอ่านมากกว่า 10 เล่มพร้อมๆ กัน นี่อาจเป็นเคล็ดลับการอ่านแบบหนึ่งก็เป็นได้ พวกเขาไม่กังวลใจกับการที่ ‘ต้อง’ อ่านหนังสือเหล่านี้ให้จบ บางเล่มอาจอ่านแค่หนึ่งในสามเล่มหรือแค่ครึ่งเล่ม พวกเขาก็เห็นว่าคุ้มเงินแล้ว หากคิดว่าได้สิ่งที่ต้องการจากหนังสือนั้นแล้ว ก็สามารถหยุดอ่านได้ทันที  

การอ่านสำหรับคนเหล่านี้จึงเป็นการอ่านแบบมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมาก และมองว่าเราอาจอ่านหนังสือแบบเดียวกับอ่านนิตยสารก็ได้คือ ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวอักษรหรือทุกคอลัมน์ (ทุกบท)  

แต่เลือกอ่านเฉพาะส่วนที่เราสนใจเท่านั้น เพราะเรามีทรัพยากรที่จำกัดคือเวลา 

การอ่านของคนยุคปัจจุบันจึงอาจเป็นการผสมผสานระหว่างการมองหา คัดกรอง และบริโภคสิ่งที่ต้องการ รวมทั้งการประยุกต์ใช้สิ่งที่สรุปได้มาเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต การอ่านจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากหน้าแรกไปจนหน้าสุดท้าย อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเนิบนาบและซาบซึ้งไปเสียทั้งหมด ขึ้นกับประเภทของหนังสือด้วย 

หนังสือสักเล่มจากทั้งหมด 10 เล่มที่เราอ่าน หากสามารถเป็นประโยชน์ นำมาใช้งานได้จริง ก็ดูจะคุ้มค่ากับการลงทุน (ออกเงินซื้อและใช้เวลาอ่าน) แล้ว รูปแบบของสื่อที่เราเสพอยู่ที่ผ่านโซเชียลมีเดีย ก็อาจส่งผลต่อวิธีการอ่านและวิธีการคิดของเราในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน 

แต่แน่นอนว่าการอ่านนิยายเพื่อซึมซับสุนทรียภาพและความสะเทือนอารมณ์ก็อาจจะต้องยังละเลียดกันแบบเดิมต่อไป และเราก็ควรจะอ่านหนังสือทั้ง 2 ประเภทนี้ไปในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างสมดุลความคิด รวมไปถึงสมดุลของสารเคมีในสมองด้วย   

อีกวิธีการหนึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเวลาแล้วยังช่วยประหยัดเงินเราด้วยก็คือ การเลือกซื้อหนังสือจากการรีวิวของใครต่อใคร โดยค้นว่ามีคนแนะนำหนังสือดังกล่าวว่าอย่างไร ให้คะแนนดีร้ายประการใดเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ ซึ่งในยุคนี้ก็ทำได้ง่ายดาย เพราะมีเว็บไซต์ พอสแคสต์ และเพจที่ทำเรื่องพวกนี้มากมายเต็มไปหมด รีวิวพวกนี้มักจะแนะนำหนังสือเล่มอื่นที่คล้ายกันด้วย หากเราไม่สนใจเล่มนี้ แค่เปิดอ่านรีวิวเล่มอื่นต่อไปอีก ก็อาจเจอเล่มที่เราสนใจมากกว่าได้  

อีกคำแนะนำหนึ่งได้แก่การเข้าร้านหนังสือ แล้วลองสุ่มเปิดหนังสือที่มีชื่อน่าสนใจหรือมีปกดึงดูดใจ แล้วอ่านเฉพาะบทนำหรือบทที่ 1 กับบทสุดท้าย ก็อาจได้ร่องรอยมากพอประกอบการตัดสินใจซื้อได้ 

แต่เหนืออื่นใด สุดท้ายแล้วการอ่านก็เหมือนกับการออกกำลังกายและการเก็บเงินสำหรับอนาคต นั่นก็คืออยู่บรรจุอยู่ในตารางชีวิตและเป็นสิ่งแรกๆ ที่ต้องทำและต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่คิดว่าทำอะไรอย่างอื่นหมดแล้ว ถ้ามี ‘เวลาว่าง’ จะมาอ่านหนังสือ 

คนที่คิดแบบนี้มักจะล้มเหลว จากการหาเวลาว่างมาอ่านหนังสือไม่ได้

ในทางกลับกันหากมีเวลาที่แน่นอน เช่น ก่อนนอนหรือตื่นมาต้องอ่านหนังสือ 30 นาทีก่อนทำอย่างอื่น การอ่านก็จะกลายเป็นกิจวัตรและให้ผลดีกับเราอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เอง

แม้ในโลกปัจจุบันจะมีอะไรมากมายที่อ่านได้ฟรีบนโซเชียลมีเดีย แต่การพัฒนาตัวเองก็อาจจะยังจำเป็นต้องพึ่งพาการอ่านหนังสือที่เขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง ผ่านระบบตรวจสอบคุณภาพเข้มข้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างคุณสมบัติที่ดี กระตุ้นความคิดจิตใจ และเป็นต้นทุนชีวิตของเราไปได้อย่างนานแสนนาน  

เอกสารอ้างอิง

[1] https://enhancingbrain.com/how-many-books-do-geniuses-read-per-year/

[2] https://bookriot.com/how-many-books-does-the-average-person-read/

[3] https://lectupedia.com/en/number-of-books-read-in-each-country/

[4] https://www.realsimple.com/health/preventative-health/benefits-of-reading-real-books

[5] https://www.theguardian.com/books/2018/oct/10/growing-up-in-a-house-full-of-books-is-major-boost-to-literacy-and-numeracy-study-finds

[6] Robert S. Wilson, Patricia A. Boyle, Lei Yu, Lisa L. Barnes, Julie A. Schneider, David A. Bennett.

First published July 3, 2013, DOI: https://doi.org/10.1212/WNL.0b013e31829c5e8a

[7] https://medium.com/accelerated-intelligence/the-way-you-read-books-says-a-lot-about-your-intelligence-find-out-why-c2127b00eb03

Tags:

หนังสือภาษาการอ่านกลยุทธ์ฝึกสมองความคิด

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • 041-Novels & Poems-nologo
    Character building
    อ่านนิยาย ร่ายบทกวี ไม่มีเสียเปล่า

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Book
    หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ: รู้ทันกลลวงของเจ้าลิงตัวนั้น แล้วจัดการความวิตกกังวลที่ก่อกวนชีวิตเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Character building
    ‘นิสัยรักการอ่าน’ มรดกจากพ่อแม่ที่ช่วยให้เด็กเติบโตและมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    New Year’s Resolutions: อ่าน 7 เล่ม เพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าเดิม

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill): เมื่อการไขว่คว้าพาเรากลับมาที่จุดเดิมเสมอ
How to enjoy life
23 June 2023

ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill): เมื่อการไขว่คว้าพาเรากลับมาที่จุดเดิมเสมอ

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill) เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่กล่าวว่า ไม่ว่าคนเราจะมีความสุขจนเอ่อล้นหรือมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส ความรู้สึกเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะไม่คงอยู่อย่างถาวร โดยจะลดลงเรื่อยๆ จนกลับมาอยู่ในจุดตั้งต้นที่เป็นกลาง (Neutral Set Point)
  • Hedonic หรือ Hedonism คือแนวคิดที่มุ่งแสวงหาความพึงพอใจจากการทำกิจกรรมสร้างสุขและการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมสร้างทุกข์ (สุขนิยม) เช่น การกินอาหารอร่อยๆ การหาความสุขทางเพศ
  • ความสุขจากกิจกรรมภายนอกจึงเป็นความรู้สึกเพียงชั่วคราว แม้จะวิ่งไล่ไขว่คว้ามากแค่ไหนก็เหมือนไปไม่ถึงสักที บทความนี้จึงชวนหาวิธีออกจากลู่วิ่งเพื่อสร้างความสุขอย่างยั่งยืน

การไขว่คว้าหาความสุขและการหลีกหนีความทุกข์ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ หลายๆ ครั้งเราเลือกทำกิจกรรมที่สร้างสุขมากกว่ากิจกรรมที่สร้างทุกข์ หลายๆ ครั้งเราเลือกที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หลายๆ ครั้งเราเลือกเส้นทางที่นำพาเราไปสู่ความสุขอันสูงสุด แต่ในหลายๆ ครั้งเมื่อได้ความสุขที่ต้องการมาแล้ว เรากลับรู้สึกสุขน้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นรู้สึกชาชิน การทำกิจกรรมสร้างสุขเดิมๆ ไม่อาจก่อให้เกิดความสุขได้อีกต่อไป

ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าเรากำลังวิ่งไปหาความสุข แต่เมื่อไปถึงจุดนั้นแล้วเรากลับรู้สึกสุขน้อยลงจนกลายเป็นรู้สึกไม่มีความสุข ในทางจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘ลู่วิ่งแห่งความสุข’ ซึ่งเป็นลู่วิ่งที่เราไม่สามารถคงอยู่ในความสุขได้อย่างถาวร

‘ลู่วิ่งแห่งความสุข’ คืออะไร

ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill) เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่กล่าวว่า ไม่ว่าคนเราจะมีความสุขจนเอ่อล้นหรือมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส ความรู้สึกเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะไม่คงอยู่อย่างถาวร โดยจะลดลงเรื่อยๆ จนกลับมาอยู่ในจุดตั้งต้นที่เป็นกลาง (Neutral Set Point) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นความรู้สึกที่เป็นกลาง

กราฟแสดงระดับความสุขเมื่อเวลาผ่านไป

หากพิจารณาจากรูปคำของ Hedonic Treadmill จะแบ่งได้เป็น ‘Hedonic’ และ ‘Treadmill’

  • Hedonic หรือ Hedonism คือแนวคิดที่มุ่งแสวงหาความพึงพอใจจากการทำกิจกรรมสร้างสุขและการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมสร้างทุกข์ (สุขนิยม) เช่น การกินอาหารอร่อยๆ การหาความสุขทางเพศ
  • Treadmill คือลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้สำหรับการออกกำลังกาย โดยสายพานของลู่วิ่งจะเลื่อนไปด้านหลัง ทำให้เราต้องวิ่งต้านไปด้านหน้า มิฉะนั้นเราจะตกจากลู่วิ่ง

เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันจะได้ความหมายของ Hedonic Treadmill คือ ลู่วิ่งที่เราต้องแสวงหาความพึงพอใจการทำกิจกรรมสร้างสุขและการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมสร้างทุกข์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอยู่บนลู่วิ่งลักษณะนี้ เราจะไม่สามารถหยุดวิ่งได้แม้จะบรรลุไปถึงความสุขนั้นแล้ว เราต้องวิ่งต่อไปเพื่อไม่ให้เราตกลู่วิ่ง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงไม่สามารถคงอยู่ในความสุขนั้นได้ตลอดไป

นอกจากนี้ การเปรียบเทียบกับลู่วิ่งยังชวนให้ตั้งคำถามว่า ‘การบรรลุถึงความสุขในลักษณะนี้เป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่’ หากเราบอกว่าวันนี้วิ่งบนลู่วิ่งได้ 5 กิโลเมตร แต่ในความจริงเรายังคงอยู่ที่เดิม แล้วเราวิ่งไปไกลถึง 5 กิโลเมตรจริงหรือไม่ การบรรลุไปถึงความสุขแบบ Hedonism แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากเราวิ่งอยู่กับที่ จึงทำให้เกิดคำถามว่านี่เป็นความสุขที่แท้จริงแล้วหรือ

การศึกษา ‘ลู่วิ่งแห่งความสุข’ และการทดลองเชิงประจักษ์

Hedonic Treadmill เป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาโดยนักจิตวิทยา Philip Brickman และ Donald T. Campbell (1971) ในความเรียงชื่อ Hedonic Relativism and Planning the Good Society หลังจากนั้น Brickman และคณะ (1978) ได้มีการตีพิมพ์ผลการทดลองเชิงประจักษ์ถึงแนวคิดนี้โดยใช้ชื่อว่า Lottery Winners and Accident Victims: Is Happiness Relative?

การทดลองนี้เป็นการศึกษาความสุขในระยะยาวของคน 2 กลุ่ม คือ ‘กลุ่มคนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง’ กับ ‘กลุ่มคนที่ประสบอุบัติเหตุจนเป็นอัมพาต’ โดยคนทั่วไปอาจตั้งสมมุติฐานว่าคนที่ถูกลอตเตอรี่จะมีความสุขมากกว่าคนที่ประสบอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อผ่านไปในระยะยาว ไม่มีกลุ่มไหนสุขหรือทุกข์ไปมากกว่ากัน กลุ่มคนที่ถูกลอตเตอรี่เมื่อเวลาผ่านไป ระดับความสุขจะลดลงกลับมากเท่ากับตอนก่อนที่จะถูกลอตเตอรี่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกลุ่มคนที่ประสบอุบัติเหตุ แม้ในตอนแรกจะประสบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส แต่เมื่อเวลาผ่านไป ระดับความสุขก็จะกลับมาเท่ากับตอนก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุ

ผลการทดลองจึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าคนเราจะพบกับความสุขหรือความทุกข์มากเพียงใด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกเหล่านั้นจะเริ่มเบาบางลงจนกลายเป็นความรู้สึกที่เป็นกลาง (เป็นความรู้สึกก่อนที่เราจะประสบกับความสุขหรือความทุกข์นั้น)

‘ลู่วิ่ง’ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

จุดตั้งต้น (Set Point) ไม่ได้เป็นกลางเสมอไป

จากที่กล่าวไปในข้างต้นว่า ‘เมื่อเวลาผ่านไป ความสุขและความทุกข์จะลดลงเรื่อยๆ จนกลับมาอยู่ในจุดตั้งต้นที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สุขไม่ทุกข์’ ไม่ได้เป็นจริงในทุกคน เพราะจากการทบทวนข้อมูลในงานศึกษาเกี่ยวกับลู่วิ่งแห่งความสุขที่ผ่านมาโดย Ed Diener และคณะ (2006) พบว่าประมาณ 3 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่างรายงานผลคะแนนอารมณ์ที่สมดุลเหนือจุดที่เป็นกลาง

หมายความว่า เมื่อความสุขหรือความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ลดลงจนถึงจุดตั้งต้นแล้ว คนส่วนใหญ่อาจมีความรู้สึกเชิงบวกเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้เป็นความรู้สึกที่เป็นกลางโดยสมบูรณ์

อนุมานได้ว่าเมื่อคนเราผ่านเหตุการณ์ที่สร้างสุขหรือทุกข์มาแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นจะลดลงจนถึงจุดตั้งต้น แต่ความรู้สึกที่จุดตั้งต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ บางคนอาจมีความรู้สึกสุขเล็กน้อยที่ได้ผ่านเหตุการณ์นั้นมา เป็นเหมือนการได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตบทหนึ่ง

ทำไมจุดตั้งต้นของแต่ละคนถึงต่างกัน

จากการศึกษาจุดตั้งต้นความสุข (Happiness Set-Point) เพิ่มเติมโดย Sonja Lyubomirsky และคณะ (2011) พบว่า 50% ของจุดตั้งต้นถูกกำหนดโดยพันธุกรรม ในขณะที่ 10% ได้รับอิทธิพลจากเหตุแวดล้อม เช่น เราเกิดที่ไหนและใครเป็นผู้เลี้ยงดู จึงทำให้เหลือเพียง 40% ซึ่งเป็นส่วนที่เราควบคุมได้

แม้ว่าจุดตั้งต้นครึ่งหนึ่งจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เกือบอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นส่วนที่เราควบคุมได้ ดังนั้นแล้วการจะเปลี่ยนแปลงระดับความสุขจึงไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถลงมือเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของบิดาแห่งจิตวิทยาเชิงบวก Martin Seligman ที่กล่าวว่า “ข่าวดีมากๆ คือมีปัจจัยแวดล้อมภายในจำนวนมาก…ที่อยู่ภายใต้การควบคุมในอำนาจจิตใจ หากคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงเหตุแวดล้อมภายในเหล่านั้น (ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างแท้จริง) ระดับความสุขของคุณมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นได้อย่างยาวนาน”

เราจะออกจาก ‘ลู่วิ่ง’ ได้อย่างไร

เราทราบว่าจุดตั้งต้นความสุขสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงปัจจัยแวดล้อมภายในที่อยู่ภายใต้การควบคุมในอำนาจจิตใจ โดยปัจจัยแวดล้อมภายในที่สำคัญคือ ‘สติ’ (Mindfulness)

‘สติ’ เป็นสภาวะของการตระหนักรู้และการใส่ใจต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เรากำลังประสบในปัจจุบัน หากอิงจากแนวคิดของพุทธศาสนา สติในที่นี้หมายรวมไปถึงการตระหนักรู้อย่างชัดเจนถึงภายนอกและภายในตัวเอง ซึ่งครอบคลุมไปถึงการตระหนักรู้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมโดยปราศจากการปรุงแต่ง กล่าวคือ ไม่นำความเชื่อหรือประสบการณ์ในอดีตมาใช้ในการตัดสินสิ่งที่เรากำลังประสบในปัจจุบัน การกระทำเช่นนี้จะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง

การมีสติจะช่วยทำให้เรามีความสุขขึ้นได้อย่างไร

จากการศึกษาการเจริญสติหรือการฝึกฝนสติของนักประสาทจิตวิทยา Rick Hason (2012) พบว่า การเจริญสติทำให้เซลล์สมองและวงจรเชื่อมต่อในสมองทำงานดีขึ้น มีการหลั่งสารสื่อประสาท ‘เซโรโทนิน’ ซึ่งทำให้เกิดความผ่อนคลาย นอนหลับง่าย และไม่มีอาการซึมเศร้า นอกจากนี้การเจริญสติยังทำให้ ‘ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก’ ทำงานเด่นขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายผ่อนคลาย เช่น หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง (เปรียบเสมือนกับระบบเบรกของร่างกาย)

เห็นได้ว่าการมีสติช่วยให้ร่างกายของเราผ่อนคลาย ไม่เกิดความเร่งรีบ ทำให้เรามีโอกาสคิดไตร่ตรองถึงการกระทำของเราและสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบ และทำให้เราไม่หลงระเริงไปกับการวิ่งไล่ตามหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ซึ่งขัดกับแนวคิดของ Hedonism ที่ว่าความสุขเกิดจากการแสวงหากิจกรรมภายนอก การฉุกคิดว่าไม่ควรแสวงหาความสุขจากกิจกรรมภายนอกมากจนเกินไปถือว่าเป็นก้าวแรกของการหลุดพ้นจาก ‘ลู่วิ่ง’ แห่งนี้

ก้าวต่อไปคือการเจริญเมตตาภาวนา

เมื่อเราตระหนักได้ว่าไม่ควรแสวงหาความสุขจากกิจกรรมภายนอกมากเกินไป แล้วเราจะแสวงหาความสุขจากที่ใด คำตอบในเรื่องนี้อาจเหมือนกับกำปั้นทุบดิน คือ ‘การแสวงหาความสุขจากภายใน’ ซึ่งหมายถึงการสร้างอารมณ์เชิงบวกขึ้นมาภายในตัวเองด้วย ‘การเจริญเมตตาภาวนา’ (Loving-Kindness Meditation)

‘เมตตาภาวนา’ หมายถึง การแผ่จิตออกไปด้วยเมตตา การส่งความสุข ส่งความปรารถนาดีให้ผู้อื่น เป็นความรักที่ไม่เจือด้วยราคะ แสวงหาการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ดังนั้นแล้ว ‘การเจริญเมตตาภาวนา’ คือ การฝึกฝนการแผ่จิตออกไปด้วยเมตตา

การเจริญเมตตาภาวนาได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยทำให้เราอยู่เหนือผลจากลู่วิ่งแห่งความสุข โดย Fredrickson และคณะ (2008) ได้ศึกษาและพบว่า การเจริญเมตตาภาวนาช่วยทำให้เกิดอารมณ์เชิงบวกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอารมณ์เชิงบวกเป็นตัวแปรส่งผ่านในการเพิ่มความรู้สึกถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต การเพิ่มความรู้สึกถึงการสนับสนุนทางสังคม และการลดอาการเจ็บป่วย จึงกล่าวได้ว่าการเจริญเมตตาภาวนาทำให้มีความพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้นและมีอาการซึมเศร้าน้อยลง

อย่างไรก็ดี เมตตาภาวนาไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ยาก ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเสมอไป เพียงแค่เรามีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้กัน ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเมตตาภาวนาอย่างหนึ่งแล้ว 

พวกเรายังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดา การมีความสุขและความทุกข์เป็นเรื่องปกติ แต่การยึดติดในความรู้สึกเหล่านั้นจะนำพามาซึ่งความทุกข์ 

เราทุกคนล้วนอยู่บน ‘ลู่วิ่งแห่งความสุข’ ที่ซึ่งความสุขและความทุกข์เป็นสิ่งชั่วคราว การพยายามออกจากลู่วิ่งไม่ได้หมายความว่าเราจะกลายเป็นคนที่ตายด้านหรือไร้ความรู้สึก แต่จะทำให้เราเข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การแสวงหาจากภายนอก ความสุขจากภายในต่างหากที่เป็นความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

อ้างอิง

การเจริญเมตตาภาวนาของผู้ปฏิบัติธรรม: ศึกษากรณีชุมชนวัดโคกสว่าง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

การเจริญสติในวิถีพุทธจิตวิทยา

Hedonic Adaptation: Why You Are Not Happier

Practicing love-kindness meditation increased well-being, feelings of social support, and positive emotions among adults over fifteen months 

The Hedonic Treadmill – Are We Forever Chasing Rainbows?

What to Know About the Hedonic Treadmill and Your Happiness

Tags:

ความสุขชีวิตสัจธรรมลู่วิ่งแห่งความสุขHedonic Treadmillการดำเนินชีวิต

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    Joie de Vivre: เพลินใจกับสิ่งรอบตัว ปลดปล่อยแผนการสุดรัดกุม ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบชาวฝรั่งเศส

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    อิจิโกะ อิจิเอะ: การพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ปรัชญาที่ชวนเราตกหลุมรักชีวิตในทุกเช้าวันใหม่

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด
Book
21 June 2023

‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

เรื่อง อัฒภาค

  • หนังสือ ‘คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด การผจญภัยทางจิตวิทยา’ เขียนโดย Robert de Board แปลเป็นภาษาไทยโดย อรดา ลีลานุช (สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์) บอกเล่าเรื่องราวของคุณคางคกที่เกิดอาการซึมเศร้าและหมดแพสชันในการใช้ชีวิต ทำให้เพื่อนๆ ตัดสินใจพาเขาไปพบกับคุณนกกระสาซึ่งเป็นนักจิตบำบัด
  • ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือการพาผู้อ่านเข้าไปในเหตุการณ์การบำบัดของคุณคางคก เพื่อเสาะหาต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตซึ่งหลายสิ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์และวิถีชีวิตของเขาอย่างคาดไม่ถึง

มีใครบางคนบอกผมว่า “ตอนคุยกัน ทำไมถึงต้องพูดคำว่าขอโทษบ่อยๆ ด้วย” 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินประโยคนี้จากคนใกล้ตัว และเกือบทุกครั้งที่ถูกทักด้วยประโยคข้างต้น ผมก็มักพูดประโยคถัดไปแบบอัตโนมัติ “อ้าวเหรอ งั้นขอโทษด้วยนะ” 

ถ้าให้ผมวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเอง ผมคงมองว่า ‘ขอโทษ’ น่าจะเป็นคำพูดติดปากอย่างหนึ่งของผมเพื่อแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในระหว่างการสนทนา   

แม้จะวิเคราะห์ตัวเองแบบนี้ แต่ลึกๆ ผมเองก็ไม่มั่นใจสักนิดว่าสิ่งนี้จะสามารถอธิบายพฤติกรรมของผมได้จริงๆ จนกระทั่งผมได้อ่านหนังสือเรื่อง คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด ซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่าตัวเอกของเรื่องอย่างคุณคางคกก็ชอบพูดคำว่าคำขอโทษทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

หนังสือคุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด บอกเล่าเรื่องราวของคุณคางคกที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจนเพื่อนๆ ต้องบังคับให้เขาไปพบนกกระสาที่เป็นนักจิตบำบัดเพื่อดูแลสุขภาพใจให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งวิธีการบำบัดส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่การตั้งคำถามของนกกระสา เพื่อให้คุณคางคกค่อยๆ ย้อนกลับไปสำรวจอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงภูมิหลัง เพื่อค้นหาสาเหตุของความทุกข์ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน  

ก่อนที่เพื่อนจะมาพบคุณคางคกในสภาพที่เหี่ยวเฉาไร้พลัง คุณคางคกยอมรับว่าเคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาบอกกับนกกระสาว่าเขารู้สึกตัวเองไร้ค่าและเป็นสัตว์ที่แสนงี่เง่าในสายตาของเพื่อน แถมเพื่อนยังดูไม่ค่อยสนใจอยากรู้เรื่องราวของเขาเวลาที่เขาเริ่มจะเปิดปากเล่าพร้อมกับกล่าวหาว่าคุณคางคกเป็นแค่พวกคุยโวไปเรื่อย

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับคุณคางคกเป็นประจำ จนเขารู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไร้ค่าอย่างที่เพื่อนว่าจริงๆ เขาจึงพยายามทำตัวเองให้เป็นที่ ‘ยอมรับ’ ของเพื่อนๆ แม้สิ่งนั้นจะขัดใจตัวเองแค่ไหนก็ตาม

“ผมทำอย่างที่เคยทำมาตลอด ผมจะไม่สบายใจถ้าคนอื่นไม่พอใจผม เพราะอย่างนั้นผมจึงพยายามทำให้พวกเขาสงบลงและคลายความโมโห ผมสัญญาว่าจะทำแทบทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขากลับมาชอบผมอีกครั้ง ผมก็เลยยอมรับว่าผมงี่เง่ามากและสัญญาว่าจะปรับปรุงความประพฤติของตัวเอง” 

ในบรรดาเพื่อนของคุณคางคก ผมรู้สึกว่า ‘แบดเจอร์’ ดูจะมีอิทธิพลกับเขามากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นสัตว์ตัวโตที่ดูน่ากลัวแล้ว  การพบแบดเจอร์มักทำให้คุณคางคกนึกถึงพ่อผู้ล่วงลับ เพราะนอกจากเขาจะเป็นเพื่อนของพ่อแล้ว แบดเจอร์ยังมีพฤติกรรมคล้ายกับพ่อคือการชอบหาเรื่องมาต่อว่าคุณคางคกให้เสียน้ำตาเป็นประจำ

“แบดเจอร์ดุด่าผมเต็มที่ทีเดียวตามที่คาดไว้ ผมยังจำคำพูดของเขาได้แม่น ‘คางคก เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่ร้ายกาจ สร้างแต่ปัญหา แกไม่ละอายใจบ้างหรือไง พ่อของแกจะว่ายังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น!’ ผมเสียใจมากที่เขาไม่พอใจจนผมร้องไห้ออกมาและพูดอะไรไม่ออกเลย จากนั้นแบดเจอร์ก็บอกว่าปล่อยอดีตให้เป็นเรื่องของอดีตไป”

สำหรับผม ประโยคนี้คือกุญแจสำคัญที่ช่วยไขความสงสัยว่าแท้จริงแล้ว การกระทำของเพื่อนเป็นเพียงปัจจัยที่กระตุ้นถึงความทรงจำเลวร้ายในอดีตระหว่างคุณคางคกกับพ่อให้กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง 

“ปัจจัยสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ พวกเขามีผลกระทบต่อจิตสำนึกของเด็กตั้งแต่แรกเริ่ม แทบทุกสิ่งที่เด็กทารกทำเป็นเหตุให้เกิดการตอบสนองบางอย่างจากแม่หรือพ่อ และการตอบสนองเหล่านั้นก็มีอิทธิพลต่อตัวเด็กอย่างเต็มที่…

พ่อแม่ส่วนใหญ่พยายามทำให้ดีที่สุด และน้อยคนนักจะต้องการอย่างอื่นนอกเหนือจากสิ่งดีๆ สำหรับลูกของตน แต่พ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น นอกจากจะถ่ายทอดพันธุกรรมของตัวเองแล้ว พวกเขายังส่งต่อความเชื่อและพฤติกรรมให้ลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย ส่วนเด็กก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับมือและป้องกันตัวเองจากผลที่ตามมา” นกกระสากล่าว

ประเด็นถัดมาคือผมรู้สึกว่าพ่อของผมกับพ่อของคุณคางคกมีลักษณะนิสัยเหมือนกันทุกประการ ทั้งการเป็นจอมเผด็จการในบ้านที่ดุ เข้มงวด และขี้โมโห ทำให้คุณคางคกในวัยเด็กต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงจนเป็นที่มาของการพูดคำว่าขอโทษในทุกครั้งก่อนที่จะคุยกับพ่อเพราะพ่อมักหาเรื่องมาต่อว่าเขาเสมอ

“ผมจำได้ว่าพ่อมักดุผมเสมอ พ่อส่งสายตาไม่พอใจและพูดว่า ‘ทีโอฟิลัส ฉันต้องบอกแกอีกกี่ครั้ง อย่างทำอย่างนั้น!’ พ่อตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์ผมเป็นประจำ ผมค่อยๆ เริ่มยอมรับว่าพ่อถูกเสมอ ส่วนผมก็ผิดเสมอ ดังนั้นจึงดูมีเหตุผลที่พ่อจะดุด่าผม

ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยและชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน พ่อมักหาเรื่องตำหนิผม ขณะที่แม่ทำให้ผมอับอายขายหน้าซ้ำอีก ครั้งหนึ่งแม่ถามผมต่อหน้าเพื่อนๆ ว่าวันนั้นผมใส่กางเกงในที่สะอาดหรือเปล่า! ตอนนี้ผมก็หัวเราะได้อยู่หรอก แต่ผมรับประกันกับคุณได้เลยว่าตอนนั้นมันไม่ตลกสักนิด

เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ เหล่านั้น ผมจะนึกถึงความโกรธของพ่อแม่ ไม่ใช่ความโกรธของตัวเอง ผมถูกบอกให้ทำนั่นนี่อยู่เสมอ พ่อมักโกรธเวลาที่ผมประพฤติตัวไม่ดี” คางคกกล่าว

ผมรู้สึกสงสารคุณคางคกเพราะผมตระหนักดีว่าเด็กทุกคนล้วนอยากเป็นที่รักและทำให้พ่อแม่ภูมิใจ แต่น่าเสียใจที่พ่อของคุณคางคกอาจไม่เข้าใจในความจริงข้อนี้ ทำให้เขาสร้างบาดแผลในใจลูกโดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งแผลนั้นจะลามไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

“สิ่งที่น่าประหลาดใจคือการตระหนักว่าพฤติกรรมของเราในวัยผู้ใหญ่นั้นถูกเรียนรู้จากวัยเด็กมากแค่ไหน แต่เมื่อคุณไตร่ตรองดู มันก็ชัดเจนพอควร ความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดที่เรามีตอนเป็นเด็กจะกลายเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นประจำในวัยผู้ใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้ บางทีมันอาจเป็นความหมายของประโยคที่กวีเขียนไว้ว่า ‘เด็กน้อยคือบิดาของชายหนุ่ม’” นกกระสากล่าว

สิ่งที่ผมสนใจคือเมื่อคุณคางคกทราบอย่างแน่ชัดว่าอาการซึมเศร้าของตัวเองมาจากความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดที่พ่อสร้างไว้ในวัยเด็ก เขากลับรู้สึกดีขึ้นที่อย่างน้อยตัวเองก็ทราบที่มาของความทุกข์ระทมในจิตใจ

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อแม่มีอำนาจเหนือลูกๆ มากขนาดนี้ พวกเขาควบคุมทุกอย่างได้ จะรักหรือจะปฏิเสธลูกก็ได้ จะกอดหรือทำร้ายก็ได้ การที่คุณจะมีพ่อแม่แบบไหนก็เหมือนกับการซื้อลอตเตอรี่ดีๆ นี่เอง” คางคกกล่าว

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงข้อนี้ทำให้คุณคางคกรู้สึก ‘โกรธ’ พ่อที่ล่วงลับไปแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้จะจัดการกับไฟแห่งความโกรธหรือหาวิธีเอาคืนพ่อแม่ยังไงให้สาสมกับความผิดที่ทำ ในที่สุดเขาก็ขอคำชี้แนะจากนกกระสา ซึ่งคำตอบของนกกระสานั้นทั้งสั้นและสั่นสะเทือนความรู้สึกของผมอย่างมาก

“ถ้าอย่างนั้นก็มีสิ่งเดียวที่คุณทำได้ ยกโทษให้พวกเขา”

สำหรับผมการให้อภัยถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด โดยเฉพาะหากสิ่งนั้นมีอิทธิพลไปในทางที่เลวร้ายและส่งผลกระทบมาถึงความเป็นตัวผมในปัจจุบัน 

ในกรณีของผม แน่นอนว่าผมรักพ่อและผมรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นกัน แต่จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้ว่านิสัยติดขอโทษนั้นไม่ได้เกิดจากการที่ผมอ่อนแอมาแต่แรก แต่มาจากการที่พ่อสร้างบาดแผลให้ผมรู้สึกผิดอยู่เสมอซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมค่อยๆ หมดความมั่นใจในตัวเอง

ผมลองโทรศัพท์ไปหาใครบางคนที่พร้อมรับฟังและให้คำปรึกษาผมอย่างเป็นกลาง เธอบอกผมว่าแทนที่ผมจะแบกความรู้สึกหนักอึ้งไว้เพื่อรอให้พ่อมาขอโทษหรือเอาคืนในสิ่งที่พ่อเคยทำไว้ในอดีตเหมือนที่ผ่านมา สิ่งที่ผมทำได้เลยคือการกลับมาเก็บกวาดขยะในใจตัวเอง

“จิตใจมันก็เหมือนห้องๆ หนึ่งของเราที่ถูกพ่อเอาขยะเข้ามาทิ้งเต็มไปหมด เราอาจจะบ่นก็ได้ว่าพ่อผิดที่มาทำให้ห้องของเรารก แต่คำถามคือพ่อจะมาช่วยเราเก็บขยะจริงๆ เหรอ เพราะถ้าช่วยเขาคงเก็บไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราในฐานะผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในห้องนี้จะเลือกได้ก็คือการอยู่กับขยะนั้นต่อไป หรือจะลงมือเก็บกวาดขยะเหล่านั้นด้วยตัวเอง” เธอกล่าว

แม้คำตอบจากเสียงปลายสายจะฟังแล้วเจ็บปวดเพราะไม่ว่าผมจะเลือกทางไหนสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนที่น่าสงสารอยู่ดี แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีใจที่มีใครคนหนึ่งที่ให้คำแนะนำผมอย่างตั้งใจ ปลอบประโลมอย่างรู้จังหวะ และพร้อมส่งเสียงเชียร์ให้ผมใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขไม่ว่าผมจะเลือกอยู่กับขยะเหล่านั้นต่อไปหรือไม่ก็ตาม

Tags:

คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด การผจญภัยทางจิตวิทยา’สุขภาพจิตหนังสือโรคซึมเศร้าจิตใจการใช้ชีวิต

Author:

illustrator

อัฒภาค

Related Posts

  • Book
    ชีวิตที่ดีงามควร ‘หนักอึ้ง’ หรือ ‘เบาหวิว’: ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    นิกเซน (Niksen): ละทิ้งความคาดหวังและอยู่กับปัจจุบันขณะ ศิลปะของการไม่ทำอะไรของชาวดัตซ์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

“ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” เกมชีวิตจริงที่ชวนให้เราตระหนักว่า สังคมนี้ไม่ปลอดภัยและไม่ใจดีกับผู้หญิง
Voice of New GenSocial Issues
20 June 2023

“ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” เกมชีวิตจริงที่ชวนให้เราตระหนักว่า สังคมนี้ไม่ปลอดภัยและไม่ใจดีกับผู้หญิง

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” เป็นโปรเจกต์วิทยานิพนธ์ (Thesis) ของ ต้า-พิมพิศา เกือบรัมย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมัณฑนศิลป์ สาขานิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เกมทางเลือกที่จำลองเหตุการณ์ระหว่างทางกลับบ้านกลางดึกเพียงลําพัง แม้เส้นทางจะคุ้นเคยแต่กลับดูไม่น่าไว้วางใจ และทุกตัวเลือกมีผลต่อตอนจบของเกมที่ต่างกัน
  • เป้าหมายที่ต้าตั้งใจไว้คือ อยากสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงภัยคุกคามที่ผู้หญิงเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งต้องย้ำว่า ‘ผู้หญิง’ คือเหยื่อของอาชญากรรมทางเพศมากที่สุด แต่ก็ยังมีผู้ชายและ LGBTQ+ ที่ถูกคุกคามเช่นกัน
  • “…ถึงแม้ว่าเราจะระวังตัว จะไม่ประมาทแค่ไหน แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ปัจจัยมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเราอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับทั้งสภาพแวดล้อม ทั้งตัวคนร้ายด้วย ก็อยากให้มันเกิดอิมแพคอะไรบางอย่างขึ้นกับสังคม”

‘การกลับบ้านดึก’ เหมือนเป็นการก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในความเสี่ยงที่เรารู้อยู่แล้วว่าอาจนำไปสู่อันตรายได้ และหากมีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน คำถามที่สังคมมักสาดเสียเทเสียจะพุ่งเป้าไปที่ตัวเหยื่อก่อนเสมอ เช่น แต่งตัวโป๊หรือเปล่า? ทำไมถึงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ล่ะ? ทำไมไม่ให้คนในครอบครัวมารับล่ะ? 

แต่คำถามสำคัญคือ เหตุผลเหล่านั้นเป็นปัจจัยให้ถูกคุกคามทางเพศอย่างนั้นหรือ? เรากำลังโทษเหยื่อและหาความชอบธรรมให้กับผู้ร้ายอยู่หรือเปล่า?  

“ตั้งแต่เด็กเราโตมาในสังคมที่เวลาจะเดินทางกลับบ้าน หรือจะเดินทางไปไหนเราจะต้องได้ยินพ่อแม่คอยเตือนเสมอว่า “ระวังตัวด้วยนะ” หรืออย่างที่บ้านของหนูคือพ่อแม่จะคอยทักตลอดว่า วันนี้กระโปรงสั้นไปไหม ไปใส่กางเกงขายาวดีไหม หาเสื้อคลุมใส่หน่อย ซึ่งเราเข้าใจแหละว่าเขาเป็นห่วง แต่เราก็รู้สึกว่า แล้วทำไมเราถึงแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ ทั้งที่เราอยากจะใส่ แสดงว่าสังคมมันต้องอันตรายมากขนาดไหน แค่เรื่องการแต่งตัวเรายังทำไม่ได้ เราถึงยังต้อง concern (กังวล)

แล้วเวลาเราดูข่าวตามโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือตามข่าวในทีวีก็แล้วแต่ เราจะเห็นข่าวเกี่ยวกับการที่ถูกคุกคามทั้งผู้ชายและผู้หญิง หรือว่าข่าวปล้นด้วย ถูกล่อลวงไปทำสิ่งไม่ดีด้วย ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เขารณรงค์กันมานานมาก ตั้งแต่เราเด็กจนเราโต รวมไปถึงครอบครัวก็สอนให้เราป้องกันตัว แต่ว่าทำไมปัญหาตรงนี้มันยังไม่เคยหายไปเลย แล้วมันก็ยังมีมาแบบเรื่อยๆ”

ต้า-พิมพิศา เกือบรัมย์ นักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ สาขานิเทศศิลป์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยศิลปากร พูดถึงประเด็นผู้หญิงกับความรู้สึกไม่ปลอดภัย ในสังคมที่แทบจะไม่มีพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งเธอถ่ายทอดเรื่องราวผ่านโปรเจกต์วิทยานิพนธ์ (Thesis) ของตัวเองที่ชื่อว่า “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” เกมทางเลือก หรือ Interactive Game Website จำลองเหตุการณ์ระหว่างทางกลับบ้านดึกคนเดียว จะตัดสินใจเลือกทางไหนบ้าง ทุกตัวเลือกมีผลต่อตอนจบของเกมที่ต่างกัน

พื้นที่ (ไม่) ปลอดภัย 

จากการวิจัยความชุกของปัญหาการคุกคามทางเพศบนระบบขนส่งสาธารณะ เมื่อปี 2560 โดย ‘เครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง’ ซึ่งประกอบด้วยองค์กรแอ็คชั่น เอด ประเทศไทย, แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ, มูลนิธิชายหญิงก้าวไกล และเครือข่ายสลัม 4 ภาค พบว่า ‘ผู้หญิง’ คือเหยื่อของอาชญากรรมทางเพศมากที่สุด ส่วนเพศทางเลือกและผู้ชายคือกลุ่มที่ถูกกระทำรองลงมาตามลำดับ 

ซึ่งลักษณะพฤติกรรมการคุกคามทางเพศที่พบบนระบบขนส่งสาธารณะ เช่น พูดจาแทะโลม พูดลามก ชวนคุยเรื่องเพศ ยักคิ้วหลิ่วตาและเลียริมฝีปาก วิจารณ์หน้าตา-ทรวงทรงที่ส่อไปทางเพศ เดินตาม ตามตื้อ สะกดรอยตาม ใช้อวัยวะเพศถูไถร่างกาย สำเร็จความใคร่ให้เห็น ไปจนถึงขอมีเซ็กซ์ และพยายามข่มขืน  

จะเห็นว่าแม้แต่พื้นที่สาธารณะก็ไม่ปลอดภัย ซึ่งพื้นที่ปลอดภัยของผู้หญิงในปัจุบันในมุมมองของต้านั้น “คิดว่าอย่างน้อยก็ให้เราสามารถใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากขนาดนี้ แน่นอนว่าการระมัดระวังตัว การไม่ประมาทมันเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าบางทีเราก็คิดว่า เอ๊ะ….เราต้องระวังตัวกันมากไปหรือเปล่าจนกลายเป็นแพนิก เหมือนบางครั้งแค่เราเดินในที่สาธารณะแล้วมีผู้ชายเดินตาม เขาอาจจะแค่เดินของเขาเฉยๆ ก็ได้ แต่ว่าในใจของเราก็จะแพนิกไปแล้วว่า เขาจะทำอะไรเราหรือเปล่า เพราะมันก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในสังคม มันก็เลยทำให้เรากังวล แค่อยากใช้ชีวิตที่ไม่ต้องรู้สึกว่าต้องคอยกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายในชีวิต” 

นอกจากนี้การแสดงความคิดเห็นหรือการตั้งคำถามที่เป็นการโทษเหยื่อก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจนำไปสู่อาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น

“อย่างที่พูดกันบ่อยๆ ก็คือ เรื่องของการเบลมเหยื่อ โทษเหยื่อ 

เรารู้สึกว่าการโทษเหยื่อ มันเหมือนผลักความผิดไปให้กับคนที่โดนกระทำ ทั้งๆ ที่สาเหตุจริงๆ ของการที่เขาโดนกระทำ มันอยู่ที่ตัวผู้ร้ายเลยเพียงคนเดียว ไม่ว่าเขา (เหยื่อ) จะแต่งตัวอย่างไร ก็ไม่มีใครมีสิทธิไปคุกคามเขา 

แล้วยิ่งในสังคมนี้พอเราไปโทษเหยื่อ มันก็เหมือนเป็นการให้ท้ายผู้ร้ายไปด้วยว่าการที่คุณไปทำอะไรเขา เพราะว่าเขาแต่งตัวล่อแหลม เพราะเขาทำตัวแบบนี้เอง ก็ถูกของคุณแล้วที่จะโดนกระทำ สมควรโดนแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นปัญหาที่เล็กน้อยมากๆ แต่เราคิดว่าส่วนนี้มันเป็นจุดที่ทำให้เกิดอาชญากรรมในปัจจุบันนี้เช่นกัน การทำอย่างนี้มันเหมือนเป็นการหา excuse (ข้ออ้าง) ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า”

“ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” ประโยคที่สะท้อนถึงความไม่ปลอยภัยจากการเดินทาง

“ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” ฟังดูเป็นประโยคที่แสดงถึงความห่วงใยของผู้พูด และเป็นประโยคทิ้งท้ายก่อนแยกย้ายกลับบ้านที่เรามักใช้บอกเพื่อน หรือคนใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องกลับบ้านเพียงลำพัง ซึ่งประโยคนี้มันสะท้อนถึงความไม่ปลอดภัยจากการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด ทุกเส้นทางล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ 

แล้วผู้หญิงในสังคมนี้จะต้องระวังตัวขนาดไหนกัน ถึงจะปลอดภัยจากการถูกคุกคามทางเพศ?  

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ของต้า ในการหยิบเรื่องความปลอดภัยของผู้หญิงมาเล่าผ่านเกม 

“เรารู้สึกว่าประโยคที่บอกว่า “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” เป็นประโยคที่เราสามารถพบเจอได้ทุกวัน จากทั้งเพื่อน ทั้งแฟน ทั้งครอบครัว มันเป็นประโยคที่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เป็นห่วงของผู้พูด แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงอันตรายในสังคมที่มันมีเยอะมากจนคนอื่นเขาต้องมาคอยยืนยันว่าเราถึงบ้านแล้วนะ ไม่เจออะไรที่มันอันตรายระหว่างทางนะ

อีกอย่างมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆ สำหรับประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการใช้ชีวิต อย่างเช่นแค่การเดินทางกลับบ้าน ซึ่งเรายังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันยังไม่ถูกพูดถึงมากเท่าที่ควร มันมีการพูดคุยเรื่องพวกนี้แหละ มีการรณรงค์ด้วย แล้วมีการระมัดระวังกันมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้อิมแพคอะไรมากขนาดนั้น เราก็เลยหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูด” 

“แล้วก็อีกอย่างคือ เวลาเราเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก จะต้องมีคอมเมนต์ที่มาเบลมเหยื่อตลอดเลยว่า ก็คุณประมาทเอง คุณก็ต้องยอมรับนะว่าคุณจะเจออย่างนี้ หรือว่าพยายามโทษเหยื่อโดยหาจุดที่เหยื่อผิด เช่น การแต่งตัว แต่งตัวโป๊หรือเปล่า กลับบ้านทำไมดึกๆ ล่ะ แล้วทำไมไม่ให้คนในครอบครัวมารับ ซึ่งจริงๆ เรื่องแบบนี้คือต่อให้เหยื่อเขาจะประมาท ผู้ร้ายก็ไม่มีสิทธิจะไปคุกคามเขา” 

เมื่อต้าได้ประเด็นที่อยากจะสื่อสารออกไปแล้ว และผ่านด่านการเสนออาจารย์ที่ปรึกษามาแล้ว ก็ถึงเวลาของการรีเสิร์ช เก็บข้อมูล เพื่อนำไปออกแบบเกม Interactive Game Website เป็นเกมทางเลือกแนวเอาตัวรอดที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ปลอดภัยของผู้หญิงที่ต้องกลับบ้านคนเดียว 

“เราก็คิดว่ายุคนี้การที่เรานำมาทำเป็นเกมอยู่บนเว็บ มันจะสามารถเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น แล้วก็เป็นเกมที่เป็นทางเลือก มีการจำลองสถานการณ์ทีอาจนำไปสู่อันตรายระหว่างทางกลับบ้าน คนเล่นเขาจะมีความรู้สึกอินไปกับตัวเนื้อเรื่องด้วย เพราะว่าตัวเขาได้เป็นคนกำหนดเส้นทางเองว่าจะให้ตัดสินใจแบบไหน เราคิดว่าถ้าเป็นในรูปแบบประมาณนี้ มันน่าจะช่วยทำให้ Raise awareness (สร้างความตระหนัก) ให้กับสังคมได้ แล้วก็ตัวคนเล่นก็จะรู้สึกอิมแพคอะไรบางอย่าง”

ซึ่งในการรีเสิร์ชข้อมูลทำให้ต้าได้รับประสบการณ์ระหว่างทางกลับบ้านของผู้หญิงในสังคมมากมาย และยังได้เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดที่หลากหลาย นั่นยิ่งตอกย้ำว่าปัญหานี้ยังคงมีอยู่ในสังคมไม่น้อยเลยทีเดียว 

“เราไปเสิร์ชหาข่าวทั้งอินเทอร์เน็ต แล้วก็มีการทำ google form ที่เป็นแบบฟอร์มเก็บข้อมูลของคนที่เคยประสบเหตุแบบนี้ ก็มีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างเกิดขึ้น เหมือนทั้งที่เราเคยเห็นกันทั่วไป ก็คือโดนคุกคามบนแท็กซี่ รถโดยสารประจำทางก็มี สตอล์กเกอร์ (Stalker-คนที่มีพฤติกรรมสะกดรอยตามคนอื่น) เดินตามกลับบ้านก็มี แล้วเราก็สังเกตว่าแต่ละคนมีวิธีการเอาตัวรอดแตกต่างกันออกไป ทั้งวิธีที่เห็นได้จากอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น วิธีป้องกันตัว ท่าป้องกันตัว วิธีแกล้งคุยโทรศัพท์ หรือวิธีแปลกๆ ที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นแกล้งรำไปเลย ซึ่งเรารู้สึกว่าวิธีพวกนี้น่าสนใจ 

อย่างวิธีแกล้งรำมันดูเป็นเรื่องที่เหมือนเป็น joke (ตลก)ใช่มั้ยคะ แต่ว่าพอเรามองดีๆ มันคือ bad joke (ตลกร้าย) นี่เราต้องทำกันถึงขนาดนี้เลย แกล้งเป็นบ้าขนาดนี้เพื่อให้ชีวิตปลอดภัยจากการแค่เราจะเดินกลับบ้าน 

ที่แปลกๆ อีกก็มีอย่างเช่นบางคนเขาล้วงคอเพื่อให้อ้วกออกมา ให้ผู้ร้ายเขากลัวหรือว่าตกใจ บางคนก็แกล้งคุยโทรศัพท์อ้างว่ามีแฟนเป็นตำรวจนะ” 

นอกจากผู้หญิงที่มักถูกคุกคามทางเพศแล้ว จากการรีเสิร์ชข้อมูลของต้าก็ยังมีเพศอื่นอีกที่ถูกคุมคามเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ LGBTQ+ ก็ตาม แต่เหตุการณ์อาจจะแตกต่างกันไป 

“อย่างกรณีของ LGBTQ+ ก็มีเพื่อนคนนึงที่ตอนแรกเขาแต่งตัวเป็นผู้ชายปกติ แต่ช่วงหลังเขาเริ่มไว้ผมยาวคล้ายๆ ผู้หญิง แล้วดันโดนคนคุกคาม คนมาตามขอเบอร์ หรือแบบแซว ซึ่งเขาก็แค่เปลี่ยนการแต่งตัว การไว้ทรงผมแค่นิดเดียว แต่กลายเป็นว่าโดนคุกคามเฉยเลย หรืออย่างในกรณีผู้ชายก็จะมีบางคนที่โดนดักรีดไถเงิน โดนปล้น หรือหนักสุดเลยก็คือโดนยัดยาจากเจ้าหน้าที่”

หลังจากรีเสิร์ชข้อมูลแล้ว ก็กางเหตุการณ์ทั้งหมดและแยกย่อยว่าเหตุการณ์แบบไหนที่มันเกิดขึ้นเยอะที่สุด และจำลองว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะมีวิธีไหนที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงนั้นได้บ้าง จากนั้นก็เริ่มเขียนออกมาเป็นโครงเรื่อง เขียน Story Board เพื่อให้เห็นกรอบที่จะแสดงเรื่องราวที่ต้องการสื่อสารออกไป และเพื่อทำให้เห็นภาพชัดว่าจะวาดภาพประกอบ และใส่กราฟฟิกอะไรบ้างลงไปในเกมเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่น ซึ่งในการเขียนไดอะล็อกหรือบทสนทนาในเกมนั้น ต้าบอกว่าได้ แพรวพิชชา ตีรวัฒน์ เพื่อนจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มาช่วยเติมเต็มและร้อยเรียงเรื่องราวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 

โดยบทสนทนาระหว่างผู้คุกคามกับคนที่ถูกคุกคาม เป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์จริงของคนในสังคมที่เคยเจอ และจากประสบการณ์ตรงของต้าและเพื่อนด้วย 

“หลายๆ อย่างที่ใส่ไปก็เป็นเรื่องที่เราเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาด้วย อย่างเช่นในเรื่องที่เป็นเหตุการณ์บนรถแท็กซี่ เรานั่งแท็กซี่กลับบ้าน แล้วคนขับก็พูดคุกคาม ซึ่งเจอตอนกลางวัน เขาเริ่มพูดคุยปกติ แล้วอยู่ๆ ก็ถามอายุ ตอนนั้นก็ประมาณ 19-20 ปี พอเราตอบอายุไปปุ๊บ เขาพูดกลับเรามาว่า อ๋อ…อายุ 20 หรอ พี่อายุ 30 กว่าๆ อายุห่างกันหน่อย น้องโอเคไหม บทสนทนามันเริ่มแปลกๆ ละ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ละ เราก็ยิ้มแห้งๆ เขาก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ บอกว่า พี่ดูแลผู้หญิงดีนะ น้องมีแฟนรึยัง จนสุดท้ายใกล้จะถึงบ้านแล้วเราก็ขอลงก่อนเลย เพราะเราก็กลัวเขาจะรู้บ้านเราเหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน 

แล้วจังหวะที่เรากำลังเปิดประตูลงจากรถ เขาก็พูดขึ้นมาว่า อุ๊ย…เสียดายจังอยากนั่งรถกับคนสวยนานๆ หน่อย ตอนนั้นคือเราขนลุกเลย นี่ขนาดตอนกลางวันนะคะ มีคนพลุกพล่านข้างนอกด้วย เรายังรู้สึกกลัวขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดมันเป็นเหตุการณ์ตอนกลางคืนละ เราจะทำยังไงก็นึกไม่ออกเหมือนกัน พล็อตเรื่องในเกมส่วนใหญ่มันรีเลทกับเราและคนที่เข้ามาเล่นเองด้วย”

ต้า-พิมพิศา เกือบรัมย์ และ แพรวพิชชา ตีรวัฒน์

เกม “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” สร้างการตระหนักรู้ถึงอันตรายระหว่างการเดินทาง 

เป้าหมายปลายทางของเกม “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” ของต้าคืออยากสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงอันตรายจากการเดินทางคนเดียว โดยยกเคสผู้หญิงมาเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง และหวังลึกๆ ว่า คนที่ยังไม่เข้าใจว่าอันตรายที่ว่านั้นเป็นอย่างไร ระหว่างการเดินทางสามารถเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นได้บ้าง และสร้างบาดแผลให้ผู้ถูกกระทำมากน้อยแค่ไหน จะได้เห็นมุมมองนี้บ้าง 

“อยากให้เห็นว่าเหตุการณ์นี้ ถึงแม้ว่าเราจะระวังตัว จะไม่ประมาทแค่ไหน แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ปัจจัยมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเราอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับทั้งสภาพแวดล้อม ทั้งตัวคนร้ายด้วย ก็อยากให้มันเกิดอิมแพคอะไรบางอย่างขึ้นกับสังคม” 

“ซึ่งฟีดแบ็กจากหลายๆ คนที่เข้ามาเล่นเขาก็เริ่มตระหนักรู้มากขึ้น เขาเห็นจุดเล็กๆ ที่เราสอดแทรกเข้าไปด้วย เช่น การระมัดระวังตัวเวลาเดินคนเดียว สังเกตสิ่งรอบตัวมากขึ้น แต่ว่ามันก็มีบางคนที่เขามองอีกมุมว่า ทำไมคุณเผยแพร่สิ่งนี้ออกมา มันเป็นการโจมตีผู้ชายเกินไปหรือเปล่า ซึ่งเราก็อยากบอกว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีผู้ชายเลย เราเข้าใจว่าทุกเพศมันสามารถเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ แต่ว่าในกรณีนี้เราอยากจะนำเสนอในมุมมองของผู้หญิง ซึ่งตัวเราเองเราเป็นผู้หญิงด้วย แล้วก็เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ที่เราเห็นตามข่าวที่มันเป็นที่พูดถึง ผู้หญิงจะตกเป็นเหยื่อเสียมากกว่า”

“เราก็ไม่อยากให้มองว่ามันคือเกมของผู้หญิง เราอยากให้มองว่ามันคือเกมที่ทุกคนควรตระหนักว่าเหตุการณ์อันตรายนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้นะ อาจจะไม่ได้เกิดกับคุณ แต่อาจจะเกิดกับเพื่อน เกิดกับคนรัก เกิดกับคนในครอบครัวคุณก็ได้ แต่ก็มีบางคนที่เป็นผู้ชายเขาลองเล่นเกมของเราแล้วเขาก็มีฟีดแบ็กว่า ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเหตุการณ์มันจะน่ากลัวขนาดนี้ เหตุการณ์มันจะกดดันขนาดนี้ ด้วยความที่เขาอาจจะไม่เคยโดยถูกแซวทำนองคุกคาม เราก็ดีใจที่เขาเปิดใจ” 

ในอนาคตถ้ามีโอกาสต้าบอกว่าอยากจะพัฒนาเกมนี้ให้มีหลายมุมมอง หลายตัวละครมากขึ้น 

“เราอยากจะทำในหลายๆ มุมมอง ไม่ใช่แค่มุมมองของผู้หญิงอย่างเดียว เราอยากจะทำในมุมมองของผู้ชาย มุมมองของ LGBTQ+ หรือว่าในกรณีที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถแท็กซี่ อีกมุมหนึ่งตัวคนขับเองเขาก็มีความกลัวเช่นกัน เช่น กลัวผู้โดยสารจะมาจี้ มาปล้น เราก็อยากจะนำเสนอมุมเหล่านี้เช่นกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องของในอนาคต เพราะเราก็รู้สึกว่ามันมีเหตุการณ์อันตรายๆ อีกหลายอย่างที่ยังไม่ถูกพูดถึงเท่าที่ควร นอกจากในมุมของผู้หญิง เช่น การอยู่บ้านคนเดียว บ้านที่มีคนแก่ และเด็ก หรืออันตรายของการขึ้นรถโดยสารประจำทาง ที่คนอาจจะคาดไม่ถึง”

หากเป็นเช่นนี้แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี ถึงจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปลอดภัยทั้งกายและใจ ในมุมมองของต้า เธอบอกว่าจะให้ดีที่สุดต้องบอกว่าควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสี่ยงเหล่านั้น ซึ่งเข้าใจว่าเป็นไปได้ยากที่จะหลีกเลี่ยงไปตลอด แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสติเสมอ เรียนรู้วิธีป้องกันตัว หรือว่าพกพาอาวุธเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย 

“เรื่องการพกอาวุธป้องกันตัว อย่างที่เรารู้กันว่า สเปรย์พริกไทยที่สามารถใช้ป้องกันตัวได้มันก็ยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่ ซึ่งโทษในการพกพาก็ไม่น้อย เพราะว่าในทางกฎหมายถือว่าเป็นอาวุธ แต่ว่ามันก็มีทางเลือกอื่นอีกเช่นสเปรย์แอลกอฮอล์ที่เราสามารถพกได้ทั่วไป สามารถใช้ในกรณีที่เราถูกคุกคาม ใช้ฉีดใส่หน้าคนร้าย ใช้แทนกันได้ หรือจะเป็นกุญแจที่สามารถใช้ป้องกันตัวเองได้เช่นกัน” 

“ถ้ามองในมุมของกฎหมาย ก็ต้องบอกว่ากฎหมายบ้านเราไม่ได้เอื้อให้กับเหยื่อ กลายเป็นว่าเราต้องมาหาวิธีอื่นเพื่อที่จะป้องกันตัวเองแทน เรารู้สึกว่ากฎหมายต้องมีการปรับปรุง ต้องมีการร่างกฎหมายใหม่

อย่างในกรณีการพกสเปรย์พริกไทย คือเราเข้าใจว่ามันเป็นอาวุธที่อันตรายเพราะมันก็ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่จะพก แต่ว่ามันอาจจะมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ยกเว้นให้กรณีที่ผู้หญิงใช้สำหรับป้องกันตัว เรารู้สึกว่าน่าจะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น เท่าทันเหตุการณ์อันตรายในสังคมมากกว่านี้” 

“นอกจากเรื่องพกพาอาวุธแล้ว ก็เป็นเรื่องของบทลงโทษกับผู้ร้ายด้วยที่เรารู้สึกว่าบางทีโทษมันเบาไป หรือว่าเขาไม่ได้บังคับใช้กันอย่างจริงจัง ทำให้ผู้ร้ายยังกล้าที่จะทำ ซึ่งคนที่โดนหรือเหยื่อก็มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ใช้ชีวิตด้วยความแพนิก ยิ่งคนร้ายถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ยิ่งสร้างความกังวลให้กับเหยื่อ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขากลับตัวแล้วจริงๆ หรือเขาจะก่อเหตุอีกวันไหน”

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ล้วนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งต้าเองก็มองว่าคนในสังคมสามารถช่วยกันแก้ไขได้ “มันน่าจะทำให้ดีขึ้นได้นะคะ มันอยู่ที่ค่านิยมของสังคมด้วย ในการเคารพสิทธิคนอื่น มองว่ามันไม่มีเพศไหนที่ด้อยไปกว่ากัน ให้ความเท่าเทียม มันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงภายใน 10-20 ปีนี้แน่นอน แต่ว่าถ้าเกิดว่าเราเริ่มตระหนักเรื่องนี้กันมากขึ้น เห็นใจกันมากขึ้น คิดว่าในอนาคตมีสิทธิเป็นไปได้ที่มันจะเบาลง”

หากถามว่าเกมนี้ทำให้ตระหนักถึงอันตรายในสังคมแล้วอย่างไรต่อ? ปัญหาก็ใช่ว่าจะหายไป? แต่แค่การเริ่มตระหนักก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

“เราไม่ได้มองว่าปล่อยงานนี้ออกมาปุ๊บแล้วแบบว่าโจรหายไปเลย มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าอย่างน้อยให้งานเราได้ทำให้คนได้ฉุกคิด ได้เกิดอิมแพคอะไรบางอย่างที่สังคมนำเรื่องนี้กลับมาเป็นที่พูดถึง แค่นี้เราก็รู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จแล้วค่ะ

เพราะบางทีที่เรากลับบ้าน เราก็คิดว่ามันเป็นเส้นทางที่เราคุ้นชิน และมันก็เป็นระยะทางที่ไม่ไกล จนอาจลืมตระหนักเรื่องความปลอดภัยไปชั่วขณะ มันจะมีคำที่เราชอบคิดในหัวว่า “มันไม่น่าเป็นไรมั้ง ทางแค่นี้เอง” ซึ่งมันก็เหมือนเราก้าวขาข้างนึงไปที่ความอันตรายแล้วนะ” 

ติดตามข้อมูลของโปรเจกต์เพิ่มเติมได้ทาง https://twitter.com/newfilestudio 

Tags:

ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะต้า-พิมพิศา เกือบรัมย์เกมคุกคามทางเพศ (sexual harassment)พื้นที่ปลอดภัยความปลอดภัยผู้หญิง

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Space
    Civilization: เรียนสังคมและประวัติศาสตร์ด้วยเกม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Unique Teacher
    ‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (2)

    เรื่อง สัญญา มัครินทร์ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

Like Father, Like Son : นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ
Movie
14 June 2023

Like Father, Like Son : นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Like Father, Like Son เป็นหนังครอบครัว เขียนและกำกับโดยผู้กำกับชาวญี่ปุ่น Hirokazu Kore-eda ที่เล่าเรื่องของสองครอบครัวที่ต้องมาเกี่ยวพันกันด้วยเรื่องราวอบอุ่นปนความเจ็บปวดเพราะความสะเพร่าของโรงพยาบาล
  • หนังเล่าเรื่องราวครอบครัวของ ‘เรียวตะ’ กับ ‘มิโดริ’ และ ครอบครัวของ ‘ยูได’ กับ ‘ยูคาริ’ ที่มาค้นพบภายหลัง  6 ปี ว่าลูกของพวกเขาสลับตัวกัน
  • หนังทำให้เราเห็นว่าการมีเวลาให้กันคือสิ่งสำคัญและครอบครัวไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกัน ซึ่งทำให้เห็นถึงความหลากหลายของรูปแบบครอบครัวที่ไม่จำกัดและตายตัวเสมอไป

หนังครอบครัวที่ได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังคานส์ เขียนและกำกับโดย Hirokazu Kore-eda ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นที่มักจะหยิบเรื่องราวของครอบครัวมาเล่าซึ่งเราติดตามดูหนังของเขาแทบทุกเรื่อง และในโอกาสที่หนังของเขาได้มาลง Netflix อีกรอบก็เลยต้องกดดูซ้ำ แล้วก็พบว่าต้องเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่องนี้อีกจนได้

หนังเล่าเรื่องของสองครอบครัวที่ต้องมาเกี่ยวพันกันด้วยเรื่องราวอบอุ่นปนความเจ็บปวดเพราะความสะเพร่าของโรงพยาบาล

ครอบครัวแรกคือครอบครัวของ ‘เรียวตะ’ กับ ‘มิโดริ’ เรียวตะเป็นพ่อและสถาปนิกซึ่งให้เวลางานมากกว่าครอบครัว มิโดริเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลา ครอบครัวนี้มีฐานะดีอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ตึกหรูและเป็นครอบครัวที่ดูค่อนข้างจริงจัง มีกฎระเบียบหลายอย่าง ดูจากที่เปิดมาฉากแรกแล้วจะได้เห็น ‘เคตะ’ ลูกชายตัวเล็กๆ อายุ 6 ขวบของพวกเขาต้องสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียน

ครอบครัวที่สองคือครอบครัวของ ‘ยูได’ พ่อผู้ทำงานเป็นคนขายเครื่องใช้ไฟฟ้า กับ ‘ยูคาริ’ แม่ผู้ทำงานพิเศษที่ร้านขายข้าวกล่อง ครอบครัวนี้มีฐานะปานกลางค่อนไปทางจน มีลูก 3 คนที่ดูสนิทกันและสนุกสนานเสียงดังอยู่ตลอด บรรยากาศของครอบครัวนี้จะชิลๆ ดูจากที่แม้เด็กๆ จะวิ่งหกล้ม พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่และบอกกับครอบครัวของเรียวตะว่า เลือดออกนิดเดียวเดี๋ยวก็หยุด

และเรื่องราวที่ทำให้ทั้งสองครอบครัวต้องมาเกี่ยวพันกันนั่นก็คือ พวกเขาได้ค้นพบว่าลูกชายที่เขาเลี้ยงดูมาถึง 6 ปีไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขา เพราะดันถูกโรงพยาบาลสลับตัวตั้งแต่เกิด หลังจากนั้นพวกเขาเลยต้องตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูลูกที่มีสายเลือดของตัวเอง หรือลูกที่พวกเขารู้จักตั้งแต่เกิด

แค่พล็อตเรื่องก็ทำให้รู้สึกถึงดราม่า แล้วตอนมิโดริ(ภรรยาของเรียวตะ)รู้เรื่องนี้จากโรงพยาบาล เธอก็โทษตัวเองว่า “ฉันเป็นแม่ประสาอะไรถึงดูไม่ออก” หรือเรียวตะเองก็มีความสงสัยในใจมาตลอดว่าทำไมเคตะ ลูกชายคนเดียวของเขาถึงไม่มีพรสวรรค์หรือความสามารถที่คล้ายกับเขาเลย

ในตอนแรกทั้งสองครอบครัวตัดสินใจมาเจอกันเพื่อทำความรู้จักกันอาทิตย์ละครั้ง  ต่อมาก็ค่อยๆ ให้ เคตะ กับ ‘ริวเซ’ (ลูกชายสายเลือดเดียวกันกับเรียวตะ) สลับกันไปอยู่บ้านของอีกฝ่าย และเมื่อหลายเดือนผ่านไปเรียวตะก็ตัดสินใจเลือกลูกที่มีสายเลือดเดียวกันให้มาอยู่ด้วยแบบตลอดไป แน่นอนว่าเรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ง่ายดาย

เพราะบรรยากาศการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันมากทำให้ริวเซรู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงจะไม่ได้เจอป่าป๊าหม่าม้าคนเดิม เขาถึงกับหนีออกจากบ้านเพื่อมาหาครอบครัวเดิมของตัวเอง ส่วนเคตะแม้จะปรับตัวได้มากกว่าแต่เขาก็ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เด็กทั้งสองคนรวมถึงพ่อแม่ไม่มีใครแฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนที่ดูเราเองก็รู้สึกถูกบีบหัวใจอยู่เรื่อยๆ

แล้วระหว่างทางที่มีทั้งเรื่องกฎหมาย เรื่องการปรับตัวของแต่ละครอบครัว

ก็ได้มีการค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นด้วยว่าเพราะอะไรเรียวตะถึงให้คุณค่ากับสายเลือดมากกว่าความผูกพัน

ตัวเรียวตะเองไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับเคตะเพราะที่ผ่านมาเขามักจะทำงานตลอดเวลา ส่วนใหญ่คนที่ดูแลเคตะก็คือมิโดริ เขาให้เหตุผลที่ตัวเองต้องทำงานตลอดว่า “งานบางอย่างผมก็ให้ใครมาทำแทนไม่ได้” ยูได(พ่อของอีกครอบครัวนึง)ที่ฟังอยู่ก็บอกกับเขาว่า

“แต่นายก็ให้ใครมาเป็นพ่อของลูกแทนนายไม่ได้เหมือนกันนะ”

ประโยคของยูไดนั้นกระแทกเรียวตะให้หน้าหงายเลยจริงๆ เพราะมันทำให้เห็นว่าที่ผ่านมา เรียวตะแค่เลือกงานมาก่อนครอบครัวเสมอ ซึ่งเราก็ไม่ได้มองว่าเขาผิดที่จะทำแบบนั้นเพราะการที่เขาทำงานก็ช่วยให้เขามีอยู่มีกินสะดวกสบาย แต่มันก็คงดีกว่าจริงๆ ถ้าเขาแบ่งเวลาและสมดุลให้ทั้งงานและครอบครัวได้ เพราะเราคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปลูกก็จะค่อยๆ เติบโตออกจากบ้านไป พ่อแม่ก็คงไม่อยากให้สุดท้ายแล้วลูกออกจากอ้อมอกไปด้วยความรู้สึกว่า ไม่ผูกพันกับครอบครัว หรือไม่อยากกลับบ้านหรอกใช่มั้ย

แล้วหนังก็ได้เล่าต่อว่าในอดีต พ่อของเรียวตะนั้นได้แต่งงานใหม่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งมีลูกติด เขาเติบโตมาด้วยความรู้สึกไม่ผูกพันกับครอบครัว เขาไม่เคยเปิดใจเรียกแม่เลี้ยงว่า ‘แม่’ เลย ส่วนพ่อของเขาก็ไม่ใช่พ่อที่ให้เวลากับลูกเช่นเดียวกับที่เขาเป็น เรียวตะเคยพูดว่า “การให้เวลาก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น” แต่ก็ถูกยูไดสวนกลับมาอีกว่า “เด็กวัยนี้น่ะต้องการเวลาที่สุดแล้ว”

แล้วในตอนที่ริวเซหนีออกจากบ้านครั้งนั้น เรียวตะก็ได้ไปรับริวเซกลับมาและเล่าให้มิโดริฟังว่าตัวเองก็เคยหนีออกจากบ้านเหมือนกันเพราะคิดถึงแม่แท้ๆ ของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ถูกพ่อลากกลับมา

ฉากนี้เหมือนฉากที่ทำให้เรียวตะได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเองว่า เขากำลังเป็นพ่อแบบเดียวกับพ่อของตัวเองไม่มีผิด

ซึ่งในตอนท้ายยูไดก็ได้พูดกับเขาอีกว่า

“นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ”

หลายๆ เรื่องทำให้เรียวตะเริ่มเข้าใจสถานการณ์และปมชีวิตของเขา เขาเองก็ไม่รู้สึกผูกพันกับพ่อแม้พ่อจะมีสายเลือดเดียวกันกับเขา เพราะในตอนที่เขาเป็นเด็ก พ่อก็ไม่เคยใช้เวลาร่วมกับเขาเลย

หลังจากนั้นเรียวตะเลยเริ่มพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ เริ่มลดความจริงจังลง เป็นพ่อที่ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น สนุกกับโมเม้นตรงหน้าในช่วงเวลาที่ลูกต้องการพ่อมากที่สุด 

เรารู้สึกชอบที่หนังไม่ได้โรแมนติไซส์ว่า ครอบครัวที่ฐานะไม่ร่ำรวยแต่มีเวลาให้คือครอบครัวที่มีความสุขมากกว่า หนังทำให้เราเห็นว่าการมีเวลาให้กันคือสิ่งสำคัญและครอบครัวไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกัน ซึ่งทำให้เห็นถึงความหลากหลายของรูปแบบครอบครัวที่ไม่จำกัดและตายตัวเสมอไป

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวในครั้งนี้จะจบลงยังไง เรียวตะจะได้กลับมาอยู่กับลูกที่เขาเลี้ยงดูตั้งแต่เกิดมั้ย ก็อยากให้ได้ไปลองลุ้นดูกันเอาเองเนอะ

Tags:

ปัญหาครอบครัวครอบครัวLike Father Like Sonพ่อแม่ญี่ปุ่น

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ฟัก: ลำดับขั้นทางสังคม การให้ท้ายและการเรียนรู้ของชุมชน
Myth/Life/Crisis
14 June 2023

ฟัก: ลำดับขั้นทางสังคม การให้ท้ายและการเรียนรู้ของชุมชน

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ฟัก คือชายคนหนึ่งที่ห่มผ้าเหลืองตั้งแต่เด็ก และด้วยความกตัญญูและชื่อเสียงทางที่ดีของเขา ทำให้ชาวบ้านในตำบลต่างพากันสอนลูกๆ ให้ ‘เอาอย่างฟัก’
  • เหตุการณ์ที่ทำให้ฟักกลายเป็นจำเลยสังคม เพราะผู้คนล้วนมีธงคำตอบเปื้อนมลทินในใจ สถานะหัวแถวของเขาก็แปรเป็นหางแถว ไร้ความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย
  • อย่าไปคิดว่าตัวเองใฝ่ดีหรือเป็นเหยื่อ หรือคิดว่าตัวอยู่ข้างผู้ถูกกระทำตลอดเวลาขนาดนั้นเพราะบางทีพลังงานขั้วตรงข้ามมันก็รั่วไหลออกมาได้ในทุกคน

​ชีวิตของชายชื่อ ฟัก นั้นมีแต่พ่อซึ่งเป็นคนของวัดในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง พ่อเลี้ยงเดี่ยวทำงานให้วัดโดยได้ค่าตอบแทนเป็นอาหารสำหรับสองพ่อลูก นอกนั้นก็มีรายได้เพิ่มเติมจากงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ต่อมา พ่อของฟักมาเป็นภารโรงที่โรงเรียนอันเป็นที่ที่ฟักได้เรียนจนจบประถม 4 เมื่อเรียนจบฟักก็บวชเณร เป็นเณรที่ขยัน มีผลการสอบและการอ่านใบลานที่โดดเด่น ชาวบ้านวาดหวังว่าภายภาคหน้าเณรน้อยจะได้บวชกลายเป็น พระอาจารย์ฟักผู้น่านับถือ 

​แต่แล้วเมื่ออายุใกล้บวชพระได้ ฟักกลับตัดสินใจสึกเพื่อมาช่วยงานพ่อที่โรงเรียนและช่วยปรนนิบัติเจ้าอาวาสที่วัดด้วย 

เขารู้ว่าพ่อต้องทำงานหนักเขาจึงไม่อาจอาศัยผ้าเหลืองใช้ชีวิตสงบและสบายอยู่คนเดียวได้ ช่วงโรงเรียนปิด หนุ่มฟักออกไปรับจ้างดายหญ้า ตัดฟืน และนำค่าจ้างมาให้พ่อ จากนั้น เขาไปเป็นทหารและยังส่งเงินมาให้พ่อเสมอ ชาวบ้านในตำบลพากันสอนลูกๆ ให้ ‘เอาอย่างฟัก’

​แต่ทว่า เมื่อฟักปลดจากทหารและกลับมาบ้าน เขากลับได้พบผู้หญิงชื่อสมทรงมาอยู่กับพ่อ หญิงนางนี้ดูเพี้ยนๆ แต่ก็ไม่ทำร้ายใคร อย่างไรเสียฟักคิดว่าพ่อที่เลี้ยงเขามาควรมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ท่านมีความสุข อีกทั้งเมื่อภาระงานของพ่อที่โรงเรียนเพิ่มมากขึ้น ฟักผู้ไม่อยากให้พ่อทำงานหนักจึงเหมือนเอางานทั้งหมดของพ่อมาทำแทนโดยปริยาย

ไม่นานนักพ่อของเขาก็เสียชีวิต และในไม่ช้า ก็มีคนแพร่ข่าวลือว่าฟักได้แม่เลี้ยงเป็นเมีย ซึ่งนับว่าสะเทือนปมจริยธรรมคนทั้งตำบล.. 

เมื่อผู้คนมีธงคำตอบเปื้อนมลทินในใจอยู่แล้ว ที่เหลือก็แค่อยากให้ฟักขยายรอยด่างให้ฟังไปตามที่ตนคิด ชื่อเสียงทางดีของฟักจึงผันแปรเป็นทางเสื่อม

​ฟักเริ่มถูกล้อเลียนและถูกเหยียดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดบวชหนีหรือไล่แม่เลี้ยงฟั่นเฟือนไป แต่ก็ทะเลาะกับตัวเองว่าเขาอยากไล่นางไปเพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์คนเดียวโดยไม่สนใจว่าแม่เลี้ยงจะเดือดร้อนอย่างไรหรือเปล่า? เขาทบทวนเช่นนี้จึงไล่นางไปไม่ได้

​กระนั้น 

เพราะเหตุแห่งมนุษยธรรมของฟักนั้นเองที่ทำให้ฟักกลายเป็นจำเลยสังคม เขากลัดกลุ้มและคิดว่าหากตนมีสถานะเหมือนกำนันและครูใหญ่ของโรงเรียน ชาวบ้านคงไม่กล้ากล่าวหาว่าเขาสมสู่กับเมียพ่อ คงจะบอกว่าเขามีเมตตาเลี้ยงหญิงเสียสติไว้

​แต่จะว่าไปก็มีมนุษย์คนหนึ่งในตำบลที่ยอมเชื่อในความบริสุทธิ์ของฟัก นั่นคือสัปเหร่อไข่ซึ่งทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างพากันรังเกียจเพราะกลัวความสกปรกจากศพหรือกลัวผี เขาไม่เห็นว่าฟักโกหกไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร เพราะเขากับฟักตอนนี้ก็ดูเป็นคนปลายแถวไม่ต่างกันเท่าไหร่ ü

​แต่เขาก็ถามฟักด้วยว่าก่อนหน้านี้ฟักก็ไม่เคยจะมาหามาคุยกับเขาแบบเพื่อนบ้าน ใช่หรือไม่? ฟักตอนบวชเรียนก็นับว่าอยู่หัวแถวผิดกับตอนนี้ สัปเหร่อกล่าวกับฟัก “ข้าถึงเชื่อเอ็ง เพราะไอ้คนที่ยืนหางแถว พูดอะไรก็ไม่ค่อยมีใครเขาฟังหรอก” และสัปเหร่อไข่นี่เองที่ทำให้ฟักได้รู้จักฤทธิ์เหล้าที่ช่วยให้คำนินทาอันใหญ่โตของชาวบ้านกลายเป็นเรื่องเล็ก

​ฟักเริ่มใช้เหล้าย้อมใจ เวลาเมาก็มักพร่ำเพ้อถึงการเป็นพระและการได้ลำดับชั้นของพระซึ่งหมายถึงการยอมรับที่เขาจะได้ด้วย (อ่านเรื่องสมณศักดิ์เพิ่มในนิตยสารธรรมะ มุม) เขาติดเหล้าหนักและไม่อาจเลิกเหล้าตามที่สัญญากับหลวงพ่อไว้ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขายังถูกครูใหญ่โกงเงินแต่กลับไม่มีใครเชื่อว่าเขาถูกโกง หนำซ้ำเขายังกลับกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวบ้านไปอีก… ต่อมาไม่นาน ชายผู้เป็นเสมือนสัตว์บาดเจ็บสาหัส ก็ตายไปอย่างน่าเวทนา…

ฟักก็จัดลำดับชั้นคนไว้ในใจเหมือนกัน

​ใช่หรือไม่ว่า ในตอนแรกฟักเองก็จัดลำดับคนอย่างหลวงพ่อ กำนันและครูใหญ่ ไว้คนละที่(ชั้น)กับสัปเหร่อไข่ เหมือนที่สัปเหร่อตั้งคำถามว่า ก่อนหน้าที่ฟักจะถูกคนแทบทั้งตำบลเข้าใจผิด กลายเป็นคนชายขอบปลายอ้อปลายแขม ฟักคิดจะไปมาหาสู่สัปเหร่อแบบคนรู้จักกันบ้างหรือไม่? 

​นอกจากนี้ การที่ฟักคิดว่าถ้าหากตนมีหน้ามีตาเหมือนกำนันและครูใหญ่ของโรงเรียน ชาวบ้านคงจะไม่กล้ากล่าวหาเขาว่าเอาเมียพ่อเป็นเมีย อีกทั้งมักพร่ำเพ้อถึงการสอบภาษาบาลีและได้สมณศักดิ์ เหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนว่าชาวบ้านในตำบลของฟักถูกบ่มเพาะเรื่องลำดับชั้นทางสังคม (social rank) มาอย่างไร แต่ฟักก็มีลำดับในใจไม่ต่างจากนั้นเท่าไหร่และฟักก็อยากได้ลำดับสูงเหมือนกัน ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะหนึ่งในความหมายของการมีลำดับชั้นทางสังคมสูงกว่าก็คือ การได้รับการสนับสนุนจากชุมชนและวัฒนธรรมมากว่า พูดอะไรคนก็มีแนวโน้มจะเชื่อถือและให้ท้ายมากกว่า

คนไม่สำคัญ 

อีกประเด็นคือ คนเรามักจะอยากเป็นเหมือนหรือบางทีก็มีบ้างนิดๆ ที่อิจฉาคนที่เราหรือแวดวงเรา ‘ให้ค่า’ เพราะคิดว่าเขาได้รับการชื่นชมและได้รับการปกป้องแม้จะทำผิดหรือพลาด เช่น เมื่อผู้คนบอกว่าอิจฉา “สาวๆ น่ารักๆ มีแต่คนอยากเป็นเพื่อนและพร้อมให้อภัยเมื่อพวกเธอทำผิด” หรือ “เป็นผู้ชายนี่ได้รับพื้นทางศาสนาง่ายกว่าผู้หญิงเนอะ ต่อให้ใช้เล่ห์กลก็จะมีคนปกป้อง” ก็ตั้งคำถามได้ว่าเหล่านี้อาจเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นสากลไหม?  

เพราะคนอื่นอาจไม่ได้คิดแบบนั้น และสถานการณ์โดยรวมก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด

หลุดจากการเป็นไอ้ฟัก

เวลาคนเราหยิบยกตำนานเรื่องเล่าอะไรขึ้นมา ก็มักคิดว่าตัวเป็นฝ่ายดี ถูกต้องแต่ถูกกระทำ เช่น ฉันเป็นราวกับโยเซฟ (יוֹסֵף) ผู้ถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้ง (ดูเพิ่ม คัมภีร์ไบเบิลบทปฐมกาล และถ้าอยากเปลี่ยนเป็นบริบทของอิสลาม ลองหาจากชื่อ ยูซูฟ) หรือฉันมีใจกรุณาต่อสรรพสัตว์แต่ถูกเข้าใจผิด ฯลฯ 

เราแต่ละคนอาจเคยรู้สึกถูกกระทำและไม่มีใครเข้าข้าง ผู้คนมีเพียงคำตอบบิดเบี้ยวเกี่ยวกับเรา กระนั้นในเรื่องราวชีวิตของคนอื่น แน่ใจหรือว่าเราไม่ใช่หนึ่งในบรรดาคนที่ผสมโรงกับเรื่องแย่ๆ กับเรื่องของเขาที่อาจจะจริงหรือเท็จก็ได้ หรือดีขึ้นมาอีกหน่อยเราอาจเป็นพวกที่เห็นใจ ไม่เชื่อคำกล่าวหาใคร แต่ก็ไม่ช่วยไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม อย่าไปคิดว่าตัวเองใฝ่ดีหรือเป็นเหยื่อ หรือคิดว่าตัวอยู่ข้างผู้ถูกกระทำตลอดเวลาขนาดนั้นเพราะบางทีพลังงานขั้วตรงข้ามมันก็รั่วไหลออกมาได้ในทุกคน  ถ้าเห็นตัวเองได้ในหลายบทในแต่ละชั่ววินาทีที่เลื่อนไหลไป ก็จะหลุดพ้นจากบทไอ้ฟักและบทบาทอื่นๆ ได้

โอกาสการเรียนรู้ของชุมชนและคนที่มีลำดับขั้นทางสังคมสูงกว่า

แม้คนซึ่งมีลำดับขั้นทางสังคมน้อยกว่า (เช่น ผู้น้อย ลูก ลูกน้อง ฯลฯ) ที่รู้สึกได้รับความอยุติธรรมมักต้องรับมือด้วยการปรับที่ใจตัวเอง และในขณะที่คนที่มีลำดับขั้นทางสังคมสูงก็โดนทัวร์ลงได้เหมือนกัน 

แต่ก็มีอีกบริบทที่สมาชิกชุมชนมัวโอ้โลมเฉพาะคนที่วัฒนธรรมนั้นๆ ยกขึ้น เช่น พ่อแม่, พระภิกษุ, กระบวนกร (facilitator) ที่น่าจะต้องสามารถช้อนเสียงที่ไม่ถูกได้ยิน ฯลฯ กลายเป็นไม่เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้รับรู้สิ่งที่ทำพลาดหรือในการกระทำที่คนอื่นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ซึ่งทำลายโอกาสการเรียนรู้ของชุมชนและคนที่ได้รับการบูชาสักการะด้วย ทั้งที่หลายกรณี คนทั้งหมดก็อยากและควรเข้าใจภาพรวมให้ลึกซึ้งขึ้น 

อย่างในสถานการณ์ครอบครัว หากลูกถูกตีตราว่าขาดความฉลาดทางอารมณ์ ก็น่าจะตั้งคำถามสะท้อนได้เหมือนกันว่าพ่อแม่มีหรือไม่ เพียงไร? มันเป็นหน้าที่ลูกอย่างเดียวที่จะต้องเรียนรู้และทำงานกับโลกภายใน หรือจริงๆ พ่อแม่เองก็มีใจจะเรียนรู้และควรได้รับโอกาสเติบโตเหมือนกัน?

ในบริบทอื่นๆ ถ้ากัลยาณมิตรกล้าเตือนในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า ก็อย่าอาจหาญต่อหน้าเฉพาะกับสามัญชนคนอ่อนอำนาจวาสนา ฟักก็ทำดีบ้างพลาดบ้าง ครูใหญ่เองก็ทำดีบ้างทำผิดบ้างได้ ลองคิดว่า ถ้าผู้คนในตำบลที่ฟักอยู่สามารถรับฟังได้ว่าครูใหญ่ที่อาจเคยเกื้อกูลคนมามาก ก็สามารถโกหกและโกงไอ้ฟักผู้ถูกสังคมดูแคลนได้เหมือนกัน  

คนทั้งชุมชนเองก็มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกหน่อย


อ้างอิง

คำพิพากษา โดย ชาติ กอบจิตติ

คันฉ่องส่องตัวตน “บทวิเคราะห์สถานการณ์ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฏ์ กับความเป็นไปของคณะสงฆ์” โดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งกล่าวถึงธรรมยุติกนิกาย มหานิกาย และสมณศักดิ์ไว้มาก 

ยิว โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช 

คัมภีร์กุรอาน ขอบคุณเพื่อนอิสลามที่เล่าเรื่องยูซูฟให้ฟังและ ขอบคุณน้องเจิน วราลักษณ์ สำหรับการเชื่อมร้อยโยเซฟที่ปรากฏใน ยิว คริสต์ อิสลาม

นิตยสารธรรมะ มุม พฤศจิกายน-ธันวาคม พ.ศ. 2554 ฉบับที่ 18 โดย พระถนอมสิงห์ สุโกสโล (โกศลนาวิน) บรรณาธิการ และ อลิชา ตรีโรจนานนท์ บรรณาธิการที่ปรึกษา; ขอบคุณ คุณต่อ ถนอมสิงห์ โกศลนาวิน ผู้ชำนาญในปาฏิโมกข์ ที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมในระดับสังคมเรื่อยมาขอบคุณ ป๊อป กิตติพงษ์ หาญเจริญ ที่กล้าท้วงติงคนที่ดูมีสถานะมากในวงสนทนาต่างๆ รวมถึงกระตุ้นผู้อื่นให้ใช้พลังงานเช่นนั้นด้วย, ขอบคุณซือ ที่กล้าแสดงความรู้สึกของตนเองทำให้กลุ่มได้เรียนรู้, ขอบคุณ แบต สุปรียส์ กาญจนพิศศาล ที่ชี้ให้เห็นความพ้องกันของการปกครองคณะสงฆ์และกระทรวงมหาดไทย ดูเพิ่ม Buddhism and Politics in Thailand  โดย สมบูรณ์ สุขสำราญ, ขอบคุณพระวัดสายมหานิกายแห่งหนึ่ง ที่ทำให้เข้าใจมุมมองจากใจของฝั่งมหานิกายต่อสายธรรมยุติกนิกายมากขึ้น, ขอบคุณพี่ชุ ชุติมา มณีวัฒนา

Tags:


Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เดินตามฝันในวันที่ครอบครัวอาจไม่เข้าใจ ทางยูเทิร์นของเด็กวิทย์สู่อาร์ตทอยดีไซเนอร์ : ศิรินญา ปึงสุวรรณ (Poriin)
Life classroom
14 June 2023

เดินตามฝันในวันที่ครอบครัวอาจไม่เข้าใจ ทางยูเทิร์นของเด็กวิทย์สู่อาร์ตทอยดีไซเนอร์ : ศิรินญา ปึงสุวรรณ (Poriin)

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Poriin หรือ ศิรินญา ปึงสุวรรณ คือนักออกแบบของเล่นหรืออาร์ตทอยดีไซเนอร์ชื่อดังจากผลงานคาแรกเตอร์สุนัขจิ้งจอก Fenni
  • กว่าจะเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ เธอต้องผ่านบททดสอบหลายอย่าง โดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่เข้าใจและชี้นำให้เธอก้าวเดินไปบนเส้นทางสายวิทยาศาสตร์
  • สำหรับเธอ สิ่งที่สำคัญกว่าผลลัพธ์คือการเรียนรู้ อีกทั้งการทำอาร์ตทอยยังเป็นเหมือนไดอารี่ที่บันทึกเรื่องราวของเธอในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งช่วยให้เธอได้หยุดพูดคุยและทบทวนตัวเองมากขึ้น

หนึ่งในความทุกข์ใจที่หนักหน่วงที่สุดของเด็กคนหนึ่งคือการไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเอง เพียงเพราะความฝันนั้นไม่ตรงกับความต้องการของครอบครัว

ด้วยสถานะของความเป็นลูก เด็กส่วนมากจึงต้องยอมทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อเดินบนเส้นทางที่ครอบครัวขีดไว้ แต่ไม่ใช่กับ Poriin (โพ-ริน) หรือ ‘ริน’ ศิรินญา ปึงสุวรรณ อาร์ตทอยดีไซเนอร์ชื่อดังที่หาวิธีบาลานซ์ความฝันของตัวเองกับความต้องการของครอบครัวผ่านการประนีประนอม ก่อนค่อยๆ ก้าวสู่การเป็นเจ้าของคาแรกเตอร์สุนัขจิ้งจอก ‘Fenni’ (เฟน-เน่) ที่นักสะสมอาร์ตทอยชาวไทยและต่างชาติอยากได้มาครอบครอง

ยอมงอไม่ยอมหัก

ย้อนกลับไปในสมัย Y2K เด็กหญิงรินพยายามชายตามองหาเพื่อนเล่นแถวบ้านสักคน แต่จนแล้วจนรอดเธอก็พบว่าเพื่อนบ้านของเธอนั้นมีแต่รุ่นพี่ที่อายุห่างกับเธอหลายปี

เธอจึงมีเพื่อนสนิทเป็นตุ๊กตาหรือไม่ก็ของเล่นที่แถมจากขนมถุง ซึ่งหากเพื่อนตัวไหนถูกใจเธอเป็นพิเศษ เธอก็จะนำเศษผ้าของแม่มาตัดเป็นชุดตุ๊กตาให้กับเพื่อนตัวนั้น

“เราดีใจที่รู้ตัวเองแต่เด็กว่าชอบของเล่น นอกจากชอบสะสมมันแล้ว เราก็ชอบการปั้นการลงสีการวาดรูปเล่นมาตั้งแต่เด็ก”

แม้สิ่งที่เธอชอบจะไม่ได้แตกต่างจากเด็กทั่วไป แต่ด้วยความชอบที่ชัดเจนแน่วแน่ในเส้นทางสายศิลปะ ทำให้ครอบครัวของเธออดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงอนาคตของลูกสาว

“ครอบครัวเห็นว่าเราชอบศิลปะตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่เขารู้สึกเป็นห่วงเรา กลัวว่าถ้าสมมติเราศึกษาเรื่องนี้ไปแล้วในอนาคตเราจะทำงานยังไง จะไส้แห้งไหม จะมีอนาคตที่ดีหรือเปล่า มันเลยทำให้ครอบครัวพยายามจะกันเราออกจากเส้นทางนี้”

ศิรินญายกตัวอย่างว่าครั้งหนึ่งเธอเคยขอไปเรียนศิลปะแต่กลับถูกปฏิเสธทันควัน ส่วนเวลาอยากวาดรูปเธอก็ต้องแอบวาด ซึ่ง ณ เวลานั้นเธอรู้สึกเครียดมากที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากก้มหน้าก้มตาเชื่อฟังครอบครัวที่หวังให้เธอตั้งใจเรียนเพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางสายวิทยาศาสตร์ในอนาคต 

“แต่สุดท้ายพอเราเริ่มโตขึ้น เริ่มเข้าใจในสิ่งที่เขาทำว่าเขาก็รักเราแหละเพราะต่อให้เป็นเราก็ยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าอาชีพอาร์ตทอยดีไซเนอร์คืออะไร เหมือนสิ่งที่ดูใกล้เคียงกับศิลปะที่สุดก็คือจิตรกรรมกับประติมากรรม มันเลยทำให้เราเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์แบบที่ครอบครัวต้องการ”

ไม่กี่ปีต่อมา สาวน้อยจากอุดรธานีก็สามารถสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถก้าวไปบนเส้นทางที่ครอบครัวกำหนดไว้อย่างดี แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนี่เป็น ‘แผนการ’ ที่เธอวางไว้แต่แรก เพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองได้เข้าใกล้ความฝันด้านศิลปะมากขึ้น 

“เรายังชอบศิลปะและรู้ว่าตัวเองถูกกีดกันอยู่ เลยคิดว่าโอเคงั้นเรามากันคนละครึ่งทาง เลยเลือกมหาวิทยาลัยที่อยู่ไกลบ้าน เพื่อเปิดโอกาสการเรียนรู้ของเราให้มากขึ้น สามารถเข้ามาในกรุงเทพได้สะดวก สามารถเห็นและศึกษางานศิลปะที่หลากหลายขึ้น เราเลยใช้เวลาช่วงมหาวิทยาลัยในการไปงานศิลปะรูปแบบต่างๆ ทั้งภาพพิมพ์ ภาพวาด ประติมากรรม ตามงานอีเวนต์หรือไม่ก็แกลเลอรี่ คือพยายามเอาตัวเองลงไปคลุกคลีตรงนั้นให้ได้มากที่สุด แล้วก็พยายามศึกษาทดลอง ถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราชอบจริงๆ” 

อาร์ตทอย 101

พอได้อยู่ไกลบ้านและมีชีวิตเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง ในที่สุดความภักดีต่อศิลปะก็ได้นำพาเธอไปพบกับนิทรรศการแห่งหนึ่งซึ่งจัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับแมวเก้าชีวิต 

“จริงๆ ในงานมีการจัดแสดงผลงานศิลปะทั้งภาพวาด ประติมากรรม แต่สำหรับเรานี่คืองานศิลปะในรูปแบบอาร์ตทอยงานแรกที่ได้สัมผัส เราก็เริ่มรู้สึกว่าเฮ้ย…มันมีอาชีพนี้ที่สามารถทำอาร์ตทอยจริงๆ เราอยากลองเข้าไปอยู่ตรงนั้น เลยไปดูตารางว่าศิลปินจะมาวาดรูปสดในงานวันไหน พอถึงวันรินก็ไปยืนดูเขาวาดรูปทั้งวัน ได้เห็นกระบวนการทำงาน แถมมีโอกาสได้รู้จักศิลปินมากมาย ทั้งคนที่เคยออกแบบของเล่นตามถุงขนมกับคนที่ทำอาร์ตทอยเป็นอาชีพจริงๆ มันเลยทำให้รู้สึกว่าเฮ้ย..เราอาจจะทำมันได้ก็ได้นะ” 

เมื่อตกหลุมรักอาร์ตทอยจนไม่อาจถอนใจ นิสิตจากรั้วมหิดลก็พยายามรวบรวมเฟซบุ๊กของศิลปินทุกคนภายในงาน เพื่อคอยติดตามผลงานและเริ่มเรียนรู้วิธีการทำอาร์ตทอยของศิลปินเหล่านั้นด้วยตัวเอง

“เราค่อยๆ ฝึกทำอาร์ตทอยจากตรงนั้น ปรากฏว่าเราชอบมันมาก ชอบการปั้น ชอบโมเดล จนเริ่มหาซื้ออุปกรณ์มาทำตามพี่ๆ ซึ่งสมมติมีข้อสงสัยหรือเกิดปัญหาอะไรเราก็ลองทักไปถามพี่ๆ เขาก็ยินดีที่จะให้คำแนะนำเราเสมอ”

นอกจากการขยันฝึกฝนทักษะขั้นพื้นฐานอย่างมีวินัย เธอได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งออกไปหาประสบการณ์ Work&Travel ที่ซานฟรานซิสโก และได้พบกับร้านขายอาร์ตทอยร้านหนึ่งซึ่งจำหน่ายคาแรกเตอร์ที่มีชื่อว่า Dunny โดยจุดเด่นของมันคือการเป็น Platform Toy หรือของเล่นตัวเปล่าๆ สีขาวๆ ที่ผู้ซื้อสามารถนำมาสีมาเพ้นท์ตกแต่งได้ตามจินตนาการของตัวเอง ทำให้เธอปิ๊งไอเดียในการออกแบบคาแรกเตอร์ของตัวเอง

“เราได้ทำคาแรกเตอร์ชื่อ Toi (โต่ย) ตอนอยู่ประมาณปีสาม (2013) สำหรับเรา Toi คือกระดาษแผ่นหนึ่งที่เราเก็บไว้บันทึกเรื่องราวๆ ต่างๆ ที่เราเจอเพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ ตอนนั้นก็ลองปั้นน้องขึ้นมาจากดินน้ำมันบ้าง ดินสิงโตบ้าง ก่อนจะจบที่ดินเยื่อกระดาษ จากนั้นก็ทำพิมพ์เอง หล่อเอง ขัดเอง ลงสีเอง อยู่กับสารเคมี ทำทุกอย่างเองคนเดียวในหอพัก”

รินกล่าวต่อว่าถึงเธอจะหลงใหลกับอาร์ตทอยมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่เคยทิ้งการเรียน เพราะลึกๆ แล้ว เธอเองก็ยังมองไม่เห็นภาพในอนาคตของวงการอาร์ตทอยไทยแลนด์   

“ปีนั้นเรายังมองไม่เห็นช่องทางว่าจะทำของเล่นไปตลอดชีวิต คนที่เห็นเราทำอาร์ตทอยยังคิดด้วยว้ำว่าเราทำประติมากรรมอะไรสักอย่าง เราเลยแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาหารายได้เพิ่มเติมด้วยการสอนพิเศษน้องๆ มัธยมควบคู่ไปด้วย 

สำหรับการทำอาร์ตทอยช่วงแรกๆ ต้องบอกว่าเราได้นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาใช้เยอะมาก เรียกได้ว่าขุดความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีทั้งหมดออกมาเพื่อเขียนสูตรในการหล่อเรซิ่นให้ออกมาในแบบที่เราต้องการตามระยะเวลาที่เรากำหนด โดยที่เรซิ่นไม่แตกไม่ระเบิด

ถ้าถามว่าตอนนั้นตั้งความหวังกับผลงานตัวเองมากน้อยแค่ไหน เราเป็นคนที่รู้สึกว่าถ้าจะใช้ชีวิตเราจะใช้ให้มีความสุข เราเลยไม่สนว่าสุดท้ายมันจะทำเงินให้ได้ไหม แต่เราแค่รู้สึกว่าเรามีความสุขตอนที่ทำมัน เราแฮปปี้มากๆ กับการที่เอาเรซิ่นไปหล่อแล้วพอตอนที่แกะพิมพ์ขึ้นมาแล้วได้เห็นตัวโมเดลออกมาในแบบที่เราต้องการ คือมันมีความสุขมากๆ จริงๆ เรียกได้ว่าเอาความสุขเป็นที่ตั้งสุดๆ”

เมื่อผลิต Toi ออกมาสำเร็จ ชื่อของเธอก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการอาร์ตทอยและนักสะสมกลุ่มเล็กๆ ซึ่งคำนวณแล้วยังไม่เพียงพอต่อการยึดเป็นอาชีพหลัก เธอจึงตัดสินใจไปสมัครงานประจำในตำแหน่ง ‘นักวาดการ์ตูน’ ของสำนักพิมพ์ EQ PLUS ที่โด่งดังเรื่องการผลิตหนังสือการ์ตูนความรู้สำหรับเด็ก  

“ตอนสอบสัมภาษณ์เราบอกเขาไปตามตรงว่าชอบวาดรูปเล่นตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีพื้นฐานใดๆ ในการวาดรูปเลย จะมีก็แค่ใจที่อยากทำ พอฟังแล้วปรากฏว่าเขารับเราเข้าไปฝึก แถมยังช่วยหาคนมาสอนวาดรูปสอนลงสีรวมถึงสอนเทคนิคต่างๆ ให้เพื่อที่เราจะสามารถทำงานให้เขาได้”

เหตุนี้บัณฑิตป้ายแดงจึงได้เรียนรู้เทคนิคการวาดการ์ตูนมากมายโดยเฉพาะงานประเภทมังงะ ทั้งการออกแบบสัดส่วน การเขียนรูปร่างมนุษย์ เรียกได้ว่าเป็นงานที่ได้ทั้งเงินและความรู้

“พอผ่านไปหนึ่งปี พี่ๆ เขาให้การบ้านว่าอยากทำอะไรเพิ่มบ้าง ช่วงนั้นเราที่ทำอาร์ตทอยอยู่แล้วเลยเสนอว่าอยากทำบอร์ดเกมวิทยาศาสตร์ ซึ่งบริษัทก็สนับสนุนเต็มที่ ส่งเราไปเรียนทำโมเดล แถมซื้ออุปกรณ์ทำโมเดลราคาแพงๆ ให้ด้วย ซึ่งทุกวันนี้รู้สึกขอบคุณเขามากๆ ที่ให้โอกาสเรา หรือแม้แต่ตอนที่อาร์ตทอยของเราโด่งดังขึ้นจนไม่ค่อยมีเวลาโฟกัสกับงานประจำ เขาก็สนับสนุนให้เราออกไปทำในสิ่งที่รัก ไว้ถ้าวันหนึ่งไม่ไหวจริงๆ ค่อยกลับมาทำตรงนี้ใหม่ก็ได้”

บาดแผลคือสิ่งสวยงาม

จะด้วยกระแสงานอาร์ตทอยระดับโลกอย่าง Thailand Toy Expo หรือผลงานอาร์ตทอยของศิลปินไทยหลายคนที่ยกระดับฝีมือขึ้นมาเทียบเท่ากับอาร์ตทอยต่างประเทศ แต่ที่แน่ๆ คือตั้งแต่ปี 2019 ชื่อของ Poriin ถือเป็นหนึ่งในอาร์ตทอยดีไซเนอร์ชาวไทยไม่กี่คนที่บรรดานักสะสมและนักเก็งกำไรทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างแย่งชิงมาไว้ในครอบครอง

“ช่วงนั้นอาร์ตทอยกำลังเริ่มบูมในไทย ก็มีกลุ่มทุนจากจีนบินมา scout (แมวมอง) หาศิลปินในประเทศไทย เขาก็เจองานของรินและติดต่อมา ตรงนี้ถือเปลี่ยนจุดเปลี่ยนมากๆ ที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งปี จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับกลุ่มทุนที่ประเทศจีนในช่วงก่อนโควิด ซึ่งคาแรกเตอร์ตัวหลักที่ทำให้เราได้ไปจีนไม่ใช่ Toi แต่เป็น Fenni (เฟน-เน่) ซึ่งทำให้เราได้บินไปเมืองจีนทุกเดือนตามงานอีเวนต์ของเล่นต่างๆ ทำให้ผลงานได้กระจายออกไปสู่นักสะสมที่จีน ฮ่องกง ไต้หวัน จนเป็นที่รู้จักประมาณหนึ่ง” 

เมื่อถามถึงที่มาของเจ้าสุนัขจิ้งจอก Fenni นักออกแบบของเล่นวัย 30 ปีกล่าวว่าเกิดจากการที่เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ และความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้โลกใบนี้สวยงาม 

“จริงๆ คาแรกเตอร์ทุกตัวของเราจะแฝงปรัชญาเรื่อง Wabi-Sabi ของญี่ปุ่นที่สอนให้เรามองเห็นความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยรู้สึกว่าความไม่สมบูรณ์แบบของแต่ละคนทำให้คนๆ นั้น Unique (มีลักษณะเฉพาะ) และความ Unique คือสิ่งที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกัน นั่นคือความสวยงามและทำให้โลกของเรามีความหลากหลาย เลยถ่ายทอดออกมาผ่านอาร์ตทอยของเราโดยที่แต่ละตัวเขาก็จะมีความไม่สมบูรณ์แบบในแบบของเขา 

อย่างแขนที่มีผ้าพันแผลของ Fenni จริงๆ แล้วมันเป็นกิมมิกหนึ่งที่เป็นตัวแทนของความไม่สมบูรณ์แบบที่ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไงคุณก็ยังสามารถมีความรักดีๆ และมอบความรักดีๆให้กับคนอื่นได้” 

นอกจากอิทธิพลของ Wabi-Sabi ศิลปินสาวบอกว่าชื่อและหน้าตาของ Fenni ได้รับแรงบันดาลใจจาก Fennec Fox (จิ้งจอกจิ๋วที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย) ที่มีจุดเด่นคือการมีคู่ครองตัวเดียวเฉกเช่นนกเงือก

ผลงานของ Poriin (ภาพจาก Instagram poriin_poriin)

“ตอนเราทำ Fenni ขึ้นมาเพราะว่าเราต้องการสัตว์ที่มีคาแรกเตอร์ของความรักที่มั่นคง ประกอบกับอยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องราวตอนเด็กๆ ที่เราไม่ค่อยมีเพื่อนแถวบ้าน มันเลยทำให้เราใช้ชีวิตอยู่กับตุ๊กตา รู้สึกว่าตุ๊กตาคือเพื่อนของเรา แล้วก็รู้สึกว่ามันต้องมีคนที่รู้สึกเหมือนเราแน่ๆ เลยที่บางครั้งก็รู้สึกอ้างว้าง บางครั้งก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เลยอยากทำคาแรกเตอร์ตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้คาแรกเตอร์ตัวนั้นสามารถอยู่เป็นเพื่อนกับเขาได้ และจะไม่หนีเขาไปไหนไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไง คาแรกเตอร์ตัวนี้จะอยู่กับเขาเสมอ”

แม้ว่าผลงานของ Poriin จะเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ แต่เธอกลับเฮได้ไม่สุดเสียง ทั้งยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยเมื่อต้องบอกลาครอบครัวเพื่อเดินทางไปสานฝันในแดนมังกร 

“เราไม่เคยบอกที่บ้านว่าทำงานด้านนี้ เพราะรู้สึกว่าครอบครัวอาจไม่เข้าใจ เราก็เลยลองทำให้เขาเห็นก่อนว่าเรามีความสุขกับมันและทำให้มันมั่นคงได้ เหมือนทำให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยกลับไปบอกว่าเราทำอันนี้อยู่ 

ซึ่ง ณ วันที่แม่รู้คือเราต้องไปทำงานที่จีนแล้ว ด้วยความที่แม่ไม่เข้าใจเขาก็ถามเรา เราก็เอาโมเดลให้แม่ดู แม่ก็ถามว่ามันคืออะไรเอาไว้ทำอะไร ราคาสามพันมีคนซื้อเหรอ เราก็ค่อยๆ อธิบายแม่ ขอโอกาสให้เราได้ทำสิ่งที่ชอบก่อน แต่ถ้าทำแล้วไปต่อไม่ได้จริงๆ เราก็สัญญาว่าจะกลับมาเรียนต่อหรือทำงานในสายวิทยาศาสตร์อย่างที่พ่อกับแม่ต้องการ”

ผลลัพธ์ไม่สำคัญเท่าการเรียนรู้

ในฐานะหนึ่งในศิลปินรุ่นบุกเบิกที่ผ่านช่วงเวลาล้มลุกคลุกคลานกว่าจะได้ยืนอยู่ในแถวหน้าของวงการอาร์ตทอย เธอมองว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้คือการเอาความสุขเป็นที่ตั้ง   

“พอเรารักอะไรมากๆ เราก็มีความสุข เราเลยรู้สึกว่ามันจะมีทางไปเสมอถ้าเราชอบมันและสู้เพื่อมันจริงๆ มันอาจจะมีอุปสรรคบ้างในบางครั้งแต่ว่าเราลองพยายามหาวิธีแก้อุปสรรคตรงนั้นเพื่อให้เราก้าวไปสู่จุดที่เราต้องการ 

ที่สำคัญเราไม่เคยกลัวความล้มเหลวว่าน้อง(อาร์ตทอย) จะขายได้หรือไม่ได้ สำหรับเราการทำงานขึ้นมาอย่างหนึ่งและปล่อยมันออกมา เราก็ต้องชอบมันที่สุดอยู่แล้ว

นอกจากนี้เรามองว่าต่อให้เราไม่เก่งก็ไม่ได้แปลว่าเราจะทำมันไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือคนเราสามารถทำอะไรก็ได้ มันไม่ควรมีข้อมากำหนดว่าฉันอยากทำอันนั้น…แต่ พอ ‘แต่’ ก็ไม่ได้ทำ สำหรับเราถ้ามีคำว่า ‘แต่’ ก็อาจแปลว่าเขาอาจไม่ได้รักมันจริงๆ”

นอกจากการเอาความสุขเป็นที่ตั้ง เคล็ดไม่ลับอีกอย่างหนึ่งของเธอคือการไม่หยุดเรียนรู้

“ทุกวันนี้เราก็ยังเรียนรู้หาเทคนิคใหม่ๆ มาใส่ในชิ้นงาน เพราะการเรียนรู้มันเกิดขึ้นตลอดอยู่แล้ว ยิ่งพอมันเป็นอาร์ตทอย เราสามารถใส่เทคนิคต่างๆ แปลกๆ ประยุกต์ลงมาได้เยอะมาก เช่น ตอนดีไซน์ Toi เราจะคอยคิดภาพว่าจะให้มันออกมายังไง ไหนลองเอากากเพชรมาผสมสิ เอาสารเคมีตัวนี้มาผสมสิ ลองกวนมันข้างในดูว่ามันจะออกมาเป็นยังไง มันก็มีทั้งครั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ แต่ทุกครั้งมันก็คือการที่ทำให้เราได้เรียนรู้จากมัน 

ยิ่งสมัยนี้เรื่องวัสดุการทำอาร์ตทอยก็มีหลากหลายมากขึ้น มันก็ทำให้เราได้ศึกษาไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนสิ่งที่เห็นอาจมีแค่เรซิ่นกับพลาสติกแบบแข็ง ปัจจุบันมีซอฟท์ไวนิล มีพีวีซี มีไฟเบอร์กลาส และวัสดุอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละวัสดุก็ใช้สีไม่เหมือนกัน อย่างถ้าเป็นงานเพ้นท์อาจไม่ค่อยต่าง แต่ถ้าเป็นสีพ่นจะต่างมาก เช่น ซอฟท์ไวนิลจะมีความนิ่มเพราะฉะนั้นสีจะต้องยึดเกาะและยืดหยุ่น ต่างกับเรซิ่นที่ใช้สีสเปรย์ทั่วไปตามร้านอุปกรณ์ก่อสร้างก็ได้ แต่สีบนซอฟท์ไวนิลทำแบบนั้นไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม ศิรินญาทิ้งท้ายว่านอกจากการไม่หยุดเรียนรู้แล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคืออาชีพที่เธอรักได้ช่วยให้เธอมีเวลาหันกลับมาทบทวนและพูดคุยกับตัวเองมากขึ้น

“พอทำงานแบบนี้ ด้วยความที่เราวางคาแรกเตอร์ต่างๆ ให้เหมือนกับไดอารี่ชีวิต คาแรกเตอร์แต่ละตัวจึงเป็นตัวแทนของเรื่องราวต่างๆ ที่เราประสบพบเจอในช่วงชีวิตนั้นๆ 

ถ้าถามว่าได้เรียนรู้อะไรก็จะตอบว่า มันคือการได้เรียนรู้ตัวเองในแต่ละช่วงชีวิตในแต่ละช่วงวัย แล้วค่อยๆ บรรจงถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาเป็นอาร์ตทอย 

มันทำให้เราคุยกับตัวเองบ่อยขึ้น มานั่งนึกนั่งวิเคราะห์นั่งตกผลึกออกมา เพราะกว่าจะออกมาเป็นคาแรกเตอร์ตัวหนึ่งได้ เราต้องทำความเข้าใจในบริบทตัวเองด้วย เลยรู้สึกว่าจริงๆ แล้วอาร์ตทอยทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ซึ่งไม่ได้ดีขึ้นแค่ในแง่ของการขายแล้วได้เงิน แต่มันดีขึ้นในด้านที่เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น และทำให้เราได้พยายามเข้าใจคนอื่นในแบบที่เขาเป็น ซึ่งทั้งหมดทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความคิดหรือทัศนคติที่ดีขึ้น”

Tags:

ชีวิตดีไซเนอร์Poriinศิลปะครอบครัว

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Book
    เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The King of Staten Island: บางทีชีวิตมันก็ ‘อิหยังวะ’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    ก้าวข้ามมายาคติ ‘ครอบครัวอบอุ่นแสนดี’ แห่งยุคโซเชียล:  หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

    เรื่อง ลลิตา ไวสินิทธ์ธรรม

Simulation experience pedagogy: รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น
Learning Theory
12 June 2023

Simulation experience pedagogy: รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘Simulation experience pedagogy’ บอกเราว่า การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องทำผ่านการมองเห็นเสมอไป  และบางครั้งการมองเห็นและถูกมองเห็นกลับกลายเป็นม่านขนาดใหญ่ที่ทำให้เราหลงลืมที่จะ ‘มองเห็น’ จากความรู้สึก
  • เป็นกระบวนการที่ไม่ใช่แค่โลกจำลองประสบการณ์ แต่ท้ายสุดแล้วมันนำเรามาสู่คำถามว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต 
  • ประสบการณ์นี้จะพาเราไปอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ของความรู้สึกที่เราอาจไม่คุ้นเคย และได้สัมผัสถึงโลกที่เราและคนอื่นๆ ต่างมีประสบการณ์ แม้มองไม่เห็นได้ด้วยตาปรากฏชัดขึ้น

“Feel the world without seeing.”

“รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น”

นี่เป็นคำจัดความสั้นๆ ของ ‘Simulation experience pedagogy’    ที่บอกเราว่า การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องทำผ่านการมองเห็นเสมอไป  แนวคิดนี้อยู่ตรงข้ามกับแนวคิดที่ว่าการเรียนรู้จะต้องเริ่มต้นจากการดูหรือมองเห็นด้วยตา ด้วยการสังเกต จดจ่อ เก็บรายละเอียด เพื่อจดจำหรือครุ่นคิดกับมัน ราวกับว่าการเรียนรู้จะเริ่มขึ้นไม่ได้เลยหากเรา ‘ไม่เห็น’

รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองเห็น?

สิ่งนี้เป็นความคิดแวบแรกๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างเวิร์คชอร์ป Simulation experience pedagogy  x Narrative pedagogy ที่ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยมี ‘คุณหลิว’ ที่ทำงานด้านนี้มาเป็นวิทยากรหลัก หลังจากที่คุณหลิวบอกเล่าความหมายของ Simulation experience pedagogy  ให้เราเข้าใจคร่าวๆ เขาก็เริ่มเล่าถึงโลกที่เขาได้สัมผัสมากกว่าการมองเห็น  ซึ่งเป็นประสบการณ์ช่วงสั้นๆ ที่เขาอาสาทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย หากใครติดตามข่าวต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาจคุ้นเคยกับข่าวที่บอกเล่าชีวิตผู้อพยพจากตะวันออกกลางไปยังยุโรป โดยเฉพาะกรีกซึ่งเป็นจุดหมายแรกที่ผู้ลี้ภัยหวังพึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะไปถึงที่หมาย ในหลายครั้งความตายกลับเป็นสิ่งที่มาถึงก่อน

คุณหลิวเริ่มต้นทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่ง เขาเล่าถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญ การอาศัยอยู่ในเต้นเล็กๆ กฎระเบียบที่ห้ามไม่ให้ออกไปนอกค่าย ในช่วงค่ำอากาศก็จะเย็นลงกว่าปกติ นั่นทำให้เขาจินตนาการถึงความรู้สึกและความทรมานของผู้ลี้ภัยหลายชีวิตที่คล้ายกับกำลังลอยอยู่ในท้องทะเลไร้จุดหมายสักแห่ง

เรื่องหนึ่งที่ชัดอยู่ในความทรงจำของคุณหลิว คือน้ำตาและเสียงร้องไห้ของแม่คนหนึ่งเมื่อได้รู้ว่าเธออาจไม่มีวันได้เจอลูกของเธออีก  หลังจากที่ลูกของเธอขาดการติดต่อไปเมื่อหลายชั่วโมง เธอเคยมีความหวังว่าลูกของเธอจะตามเธอมาที่ค่ายแห่งนี้ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้น  คุณหลิวยังเล่าต่ออีกว่าชีวิตในระยะทางระหว่างต้นทางและปลายทาง มีเรื่องราวของการดิ้นรนมากมาย ใครหลายคนต้องแอบทำงานผิดกฎหมายเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าขึ้นเรือไปยังค่ายผู้ลี้ภัย ใครบางคนในครอบครัวต้องยอมเสียสละให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งได้ออกเดินทางไปก่อน  การลี้ภัยจึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของการอยู่รอด แต่เป็นเรื่องราวของการผลัดพราก

วันหนึ่งในระหว่างนั่งรถไปส่งผู้ลี้ภัยคนหนึ่งเพื่อยังไปจุดหมาย คนขับรถแท็กซี่ในท้องถิ่นถามคุณหลิวว่า “คุณทั้งคู่เป็นผู้ลี้ภัยใช่ไหม?” คุณหลิวตอบกลับไปทันทีว่า “ไม่ใช่” เขาไม่ใช่ผู้ลี้ภัย เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เท่านั้น     เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้คุณหลิวได้ค้นพบร่องรอยของอคติต่อการเป็นผู้ลี้ภัยที่มีอยู่ในตัวเขา ถึงแม้เขาจะทำงานด้านมนุษยธรรม แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น เขากลับมองผู้ลี้ภัยด้วยสายตาของความเป็นอื่น    

เรื่องเล่าของคุณหลิวในค่ายผู้ลี้ภัยทำให้ผม ‘รู้สึก’ อะไรมากมาย แม้ผมจะไม่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นกับคุณหลิว แต่ผมกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความโศกเศร้าของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ผมสัมผัสได้ถึงการเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง  ในคลาสนั้น นัยยะของความรู้สึกจึงเป็นสิ่งที่มีความหมาย เป็นกระบวนการหนึ่งของการเรียนรู้ที่ตัวเราค่อยๆ เดินออกจากโลกที่เราคุ้นเคยไปสู่โลกที่เราไม่คุ้นเคย ‘โลกที่เราไม่เคยรู้สึก’ ความรู้สึกของการเฝ้ารอคอยในโลกของเราอาจเป็นเพียงการได้กลับบ้านหลังเลิกงาน การรอคอยวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ในโลกของผู้ลี้ภัย มันอาจหมายถึงความหวังที่จะได้มีชีวิตที่อยู่ร่วมกันอีกครั้ง  ความรู้สึกของแต่ละคนจึงเป็นสิ่งซับซ้อนที่มนุษย์อย่างเราๆ ได้สัมผัสเมื่อเผชิญหน้ากับเงื่อนไขที่แตกต่างในโลกใบเดียวกันนี้  เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าลึกๆ แล้วโลกใบนี้กำลังทำงานกับเราและคนอื่นอย่างไร  และนี่อาจเป็นข้อจัดจำกัดของการเรียนรู้ที่ดวงตา การมองเห็น หรือแม้กระทั่งภาพถ่ายไม่สามารถให้เราได้   ผมนึกถึงการที่คุณหลิวเล่าถึงการรีบปฏิเสธอย่างทันควันว่าตัวเขาเองไม่ใช่ผู้ลี้ภัย บทเรียนนั้นทำให้ผมเห็นว่า บางครั้งการมองเห็นและถูกมองเห็นกลับกลายเป็นม่านขนาดใหญ่ที่ทำให้เราหลงลืมที่จะ ‘มองเห็น’ จากความรู้สึก

เรียนรู้จากโลกจำลองประสบการณ์ 

ความรู้สึกของความกลัว  การรอคอย ความหวัง  ความเสียใจ ความอึดอัด ความแปลกแยก ไม่ใช่สิ่งบังเอิญที่เกิดขึ้นอย่างลอยๆ และก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เพราะเราต่างอยู่ในโลกที่สังคม เศรษฐกิจ  การเมืองมีผลกับเราเสมอ นั่นทำให้ผมนึกถึงช่วงท้ายๆ ของเวิร์คชอร์ปที่เราแต่ละคนในกลุ่มจะได้บอกเล่าถึงความรู้สึกถึงบางอย่างในโลกที่เราเติบโตมา  เช่น เพื่อคนหนึ่งเล่าถึกความรู้สึกอึดอัดที่ต้องถูกบังคับจากพ่อแม่ในเรื่องการเรียน หรือตัวผมเองที่เล่าถึงความกลัวที่มีต่อครู จนทำให้ไม่กล้าขออนุญาตและฉี่แตกในห้องเรียน การบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกร่วมกันทำให้ผมเห็นร่องรอยของอำนาจนิยมและการแข่งขันที่กระทำต่อพวกเรา

เมื่อเราบอกเล่าเสร็จคุณหลิวก็ให้เราทดลองสร้างประสบการณ์จำลองขึ้นมา ประมาณ 5 นาที หลักๆ คือ การพาให้ผู้เรียน (เพื่อนกลุ่มอื่น) เรียนรู้ผ่านการปิดตา โดยที่คนหนึ่งจะเป็นคนค่อยๆ เล่าเรื่องราวไปตามฉาก ขณะเดียวกันผู้เรียนที่ถูกปิดตาอยู่บนเก้าอี้ ก็จะได้ลองเปิดสัมผัสความรู้ ผ่านการได้ยิน หยิบจับ ถูกปรับเปลี่ยนท่าทาง หรือการเคลื่อนย้ายไป (ซึ่งกลุ่มของคนออกแบบจะเป็นผู้ดำเนินการ)   

คุณหลิวได้ยกตัวอย่างกระบวนการนี้จากโปรเจคเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยที่เคยทำร่วมกับนักเรียนของเขา โดยการดัดแปลงโกดังแห่งหนึ่งให้เป็นฉากต่างๆ และพาผู้เข้าร่วมออกเดินทางในสถานะผู้ลี้ภัยเพื่อผ่านเหตุการ์ณต่างๆ เช่น การจำลองการล่องเรือในทะเล การถูกตรวจตรา เป็นต้น (ดูวีดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=I2M1c7Fv4jQ ) 

ในตอนนั้นกลุ่มของเราเลือกจำลองประสบการณ์ซึ่งมาจากเรื่องเล่าที่เราได้แลกเปลี่ยนไป โดยเล่าถึงเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาจากความรู้สึกอึดอัดที่ถูกบังคับบนความหวังดีของครอบครัว (ใช้การเข้าไปกอดให้รู้สึกอึดอัด)  เมื่อเขาเข้าสู่โรงเรียนเข้าก็เผชิญกับความกลัวที่โรงเรียนนั้นเต็มไปอำนาจนิยม (ใช้การตีโต๊ะด้วยเสียงที่ดัง และการตะโกนด้วยเสียงที่ดุ) อีกทั้งเขาต้องหลบซ่อนจากการถูกกลั่นแกล้งเพียงเพราะเขาแตกต่าง (ใช้ผ้าคุ้มเพื่อปกปิด)  หลังกิจกรรมเสร็จสิ้น เพื่อนคนหนึ่งร้องไห้ออกมา และสะท้อนว่าเมื่อเธออยู่ในโลกประสบการณ์ที่พวกเราออกแบบ มันทำให้เธอนึกถึงความกลัวที่อยู่ในโรงเรียนในตอนนั้น ที่ซึ่งเธอได้เผชิญหน้า แต่ทำอะไรกับมันไม่ได้   

Simulation experience pedagogy  ไม่ใช่แค่โลกจำลองประสบการณ์ที่เราได้เอาความรู้สึกที่เคยมีมาปะทะกับโลกของความรู้สึกอีกแบบในโลกที่มีเสียงและสัมผัสต่างไปจากที่เราคุ้นเคย ท้ายสุดแล้วมันนำเรามาสู่คำถามว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต  แต่ประสบการณ์จากกิจกรรมนี้ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวผู้ร่วมออกแบบด้วยเช่นกัน  เมื่อเสร็จกิจกรรม ผมได้กลับมาสังเกตความรู้สึกของตัวเองระหว่างการตระเตรียมก่อนเริ่ม ในตอนหนึ่งเราคุยกันว่าในฉากกลัวครู จะจำลองประสบการณ์อย่างไรได้บ้าง ผมทดลองเป็นผู้เรียนให้เพื่อนๆ ในช่วงที่เพื่อนๆ ลองประสบการณ์หลายๆ รูปแบบ คำถามที่เกิดขึ้นข้างในของผมก็คือความรู้สึกกลัวของผมมันมีหน้าตาอย่างไร เมื่อเพื่อนตบโต๊ะเสียงดังและตะโกน ความรู้สึกผมบอกว่าใช่ ผมรู้สึกได้ถึงความกลัวเหล่านั้นจริงๆ ความกลัวจากประสบการณ์ที่ผมเคยผ่านมา เมื่อมองย้อนกลับไปจึงเห็นว่าความรู้สึกนั้นเป็นเรื่องซับซ้อนและเฉพาะตัวที่คนอื่นยากที่จะเข้าใจ  แต่ในขณะเดียวระหว่างการซักซ้อม ความรู้สึกก็กลายเป็นบทสนทนาที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้พากันค่อยๆ เข้าไปอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ของความรู้สึกที่เราอาจไม่คุ้นเคย จุดนี้เองที่การเรียนรู้และสัมผัสถึงโลกที่เราและคนอื่นๆ ต่างมีประสบการณ์หรือกำลังเผชิญอยู่ แม้มองไม่เห็นได้ด้วยตาปรากฏชัดขึ้น 

Tags:

การเรียนรู้ความรู้สึกSimulation experience pedagogyประสบการณ์การมองเห็น

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Adolescent Brain
    โซเชียลมีเดียกับสมองวัยรุ่น: ความอ่อนไหวในโลกออนไลน์ที่งานวิจัยมีคำตอบ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ทำไมครูต้องสร้างบทเรียนเพื่อความยุติธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย
Movie
8 June 2023

Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Shrinking ซีรีส์คอมเมดี้ดราม่าจาก Apple TV เล่าถึงการเปลี่ยนผ่านเติบโตและโอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ยังสวยงามของชีวิต และคิดว่าน่าจะถูกจริตคนที่ชอบดูซีรีส์ฟีลกู้ดมาก
  • ซีรีส์เล่าถึง ‘จิมมี่’ นักจิตวิทยาผู้เสียภรรยาไปจากอุบัติเหตุรถยนต์ เค้าใช้เวลาในการทำใจจากความเศร้ายาวนานนับปี จนละเลยหน้าที่ ‘พ่อ’ จาก ‘อลิซ’ ลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเป็นวัยรุ่นและกำลังต้องการที่พึ่งพิง จนลูกค่อยๆ ถอยห่างจากเค้าไป
  • “พ่อทิ้งให้เธอรับมือและเยียวยาตัวของเธอเองเพียงลำพัง ทั้งที่ไม่ใช่พ่อคนเดียวที่ต้องเจอกับเรื่องนี้” อลิซพูดเพื่อดึงสติพ่อ ทำให้เห็นว่าการสื่อสารกันโดยตรงมันสำคัญจริงๆ ต่างฝ่ายต่างได้เห็นความรู้สึกของกัน  โดยไม่มีอคติ ศักดิ์ศรี หรือการป้องกันตัวเองมากั้นไว้

ซีรีส์คอมเมดี้ดราม่าจาก Apple TV ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ เป็นซีรีส์ที่มีกลิ่นอายการเล่าเรื่องที่คล้ายกับเรื่อง Ted Lasso คือเล่าถึงการเปลี่ยนผ่านเติบโตและโอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ยังสวยงามของชีวิต สำหรับเราคือเป็นซีรีส์ที่สนุกดูเพลินและคิดว่าน่าจะถูกจริตคนที่ชอบดูซีรีส์ฟีลกู้ดมาก

เราเองเป็นคนที่ชอบดูการบำบัดจิตวิทยาแบบตะวันตกมาก ดูแล้วได้เยียวยาตัวเองบ้าง ได้พบมุมมองใหม่ๆ บ้าง ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ได้เล่าถึงตัวละครหลัก ‘จิมมี่’ เค้าเป็นนักจิตวิทยาผู้เสียภรรยาไปจากอุบัติเหตุรถยนต์ เค้าใช้เวลาในการทำใจจากความเศร้ายาวนานนับปี จนละเลยหน้าที่ ‘พ่อ’ จาก ‘อลิซ’ ลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเป็นวัยรุ่นและกำลังต้องการที่พึ่งพิง จนลูกค่อยๆ ถอยห่างจากเค้าไป

ในเรื่องก็จะได้เห็นชั่วโมงบำบัด ได้เห็นมุมมอง วิธีการรับมือกับชีวิตที่ฉลาดและน่าสนใจ ทั้งของจิมมี่และเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของเค้าซึ่งต่างเป็นคาแรคเตอร์ที่สร้างสีสันให้กับซีรีส์ได้อย่างดี

ในชั่วโมงบำบัดของจิมมี่นั้นอาจไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดฝันว่าจะเกิดขึ้น เพราะเค้ารู้สึกว่าขณะที่ตัวเองก็ยังจิตใจพังมากๆ จากความเศร้าที่ภรรยาตาย แต่กลับต้องมารับฟังเยียวยาคนอื่นในเรื่องที่วนไปวนมา เค้าเลยเกิดสติแตก และบำบัดคนไข้ด้วยวิธีการบอกไปตามที่เค้าคิดจริงๆ พร้อมกับเข้าไปยุ่งวุ่นวายชีวิตของคนไข้มากเกินเบอร์ โดยไม่สนความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง

แว้บแรกนั้นก็เหมือนเรื่องราวจะนำพาเค้าและคนไข้ของเค้าไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายมันกลับสร้างปมปัญหาให้เค้าและคนรอบตัวจนเกิดเรื่องปั่นป่วนกวนใจดราม่าใหญ่โต แล้วนอกจากเรื่องที่ทำงานเค้าก็ต้องพยายามกลับมาทำหน้าที่พ่อก่อนที่มันจะสายเกินไปด้วย

ซึ่งก็จะมีช่วงที่จิมมี่พยายามกลับมาทำดีเล็กๆ น้อยๆ กับอลิซ ลูกสาวคนเดียวของเค้า แต่ลูกยังโกรธพ่ออยู่เลยบอกว่า สิ่งที่พ่อทำให้มันไม่พอที่จะทำให้เธอให้อภัยเค้าหรอกนะ อลิซบอกว่า ที่ผ่านมาพ่อทำเหมือนเรื่องนี้ (ที่แม่เสียชีวิต) มันเกิดขึ้นกับพ่อเพียงคนเดียว “พ่อทิ้งให้เธอรับมือและเยียวยาตัวของเธอเองเพียงลำพัง ทั้งที่ไม่ใช่พ่อคนเดียวที่ต้องเจอกับเรื่องนี้” 

หลังจากนั้นก็มีโอกาสที่ทำให้จิมมี่เปิดเผยความรู้สึกผิดของเค้าที่ไม่ได้ดูแลลูกให้เร็วกว่านี้ เค้าบอกว่า เค้ารู้สึกว่าอลิซเหมือนแม่มากๆ และเค้ายังทำใจไม่ได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ลูก เพราะมันทำให้เค้านึกถึงภรรยาของตัวเอง

อย่างแรกเรารู้สึกว่ามันน่าเศร้ามากเมื่อพ่อไม่สนใจอะไรเลยนอกจากความรู้สึกของตัวเอง ลูกจึงเหมือนถูกบังคับให้โตกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ลูกควรได้ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นอย่างเต็มที่ แต่กับต้องมารับมือกับความเจ็บปวดเองคนเดียว 

ต่อมาก็รู้สึกชอบที่ลูกพูดแบบนั้นเพื่อดึงสติพ่อได้และรู้สึกว่าการสื่อสารกันโดยตรงมันสำคัญจริงๆ ทำให้ต่างฝ่ายต่างได้เห็นความรู้สึกของกันจริงๆ โดยไม่มีอคติ ศักดิ์ศรี หรือการป้องกันตัวเองมากั้นไว้

อลิซแสดงจุดยืนด้วยการบอกว่าเธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง และนี่คือเหตุผลที่เธอสมควรแล้วที่เธอจะโกรธพ่อ ส่วนพ่อก็แสดงให้เห็นว่าเค้ายังรับมือกับความเศร้าไม่ได้แต่เค้าก็จะพยายาม เรารู้สึกมันแฟร์มากๆ กับการที่พ่อและลูกได้มีบทสนทนาแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีพ่อแม่ซักกี่คนที่มองลูกอย่างเท่าเทียมแบบนี้ได้

และที่กรี๊ดมากคือซีรีส์ใส่เรื่องที่แม่ของอลิซสอนเรื่องเพศสัมพันธ์กับลูกว่าต้องรับผิดชอบตัวเองยังไง ต้องป้องกันแบบไหนบ้าง รู้มั้ยว่าผู้หญิงต้องฉี่หลังมีเพศสัมพันธ์นะ (เพื่อป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบ—เรื่องนี้เราก็เพิ่งมารู้ตอนอายุ 20 ปลายๆ !) พูดเรื่องของอารมณ์ว่าถ้าเราไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ก็ต้องปฏิเสธเป็น 

แล้วก็มีฉากที่พ่อแม่ก็ยังไม่พร้อมรับมือกับเรื่องที่ลูกวัยรุ่นมีเซ็กส์กันแล้ว แต่พ่อแม่ก็ต้องฝึกรับผิดชอบอารมณ์ของตัวเองให้ได้ มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ใส่เข้ามาแล้วทำให้เห็นว่าเค้าใส่ใจอะ รู้สึกประทับใจ อยากให้เมืองไทยตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้และอยากให้พ่อแม่ยุคใหม่ได้ดูจริงๆ

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนนึงที่เราสนใจและหยิบมาพูดถึง แต่ความจริงในซีรีส์ยังมีอีกหลายช่วงมากๆ ที่น่านำมาเล่า ทั้งการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของครอบครัว ของเพื่อนร่วมงาน ความเป็นเพื่อนที่ไร้เพศไร้อายุ ซึ่งดูแล้วทำให้เรารู้สึกว่าอยากเป็นเพื่อนแบบนี้ให้กับเพื่อนของเรา รวมถึงอยากรายล้อมด้วยคนแบบนี้บ้าง สรุปคือชอบมากเอาไปเลยห้าดาวเต็มและขอเชิญชวนให้หาดูกันนะ

Tags:

ซีรีส์การสื่อสารครอบครัวชีวิตความเศร้าจิตบำบัดShrinkingวัยรุ่น

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    No hard feelings : พ่อแม่ต้องยอมให้เขาล้มเหลว หรือสำเร็จได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear Parents
    Young Sheldon: จะโกรธมั้ย ถ้าผมไม่ได้เลือกศาสนาเดียวกับแม่? 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Life classroom
    เดินตามฝันในวันที่ครอบครัวอาจไม่เข้าใจ ทางยูเทิร์นของเด็กวิทย์สู่อาร์ตทอยดีไซเนอร์ : ศิรินญา ปึงสุวรรณ (Poriin)

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel