Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: November 2021

อิงตามความรู้สึก หรือยึดแต่เหตุผล : สอนเด็กให้เข้าใจคุณธรรมจริยธรรม ด้วยการเรียนรู้การทำงานของสมอง
Adolescent BrainCharacter building
16 November 2021

อิงตามความรู้สึก หรือยึดแต่เหตุผล : สอนเด็กให้เข้าใจคุณธรรมจริยธรรม ด้วยการเรียนรู้การทำงานของสมอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘คุณธรรมจริยธรรม’ และ ‘ความถูกผิด’ ไม่ได้หมายถึงแค่ ความดี ความชั่ว หรือความเชื่อทางศาสนา แต่เป็นทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นในตัวมนุษย์ ส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของบุคคลหนึ่ง 
  • การทำงานของสมองเกี่ยวกับคุณธรรมเปรียบได้กับกล้องถ่ายรูป ที่ตั้งค่าได้ทั้งระบบอัตโนมัติ (Auto) และแมนนวล (Manual)
  • การตัดสินใจด้วยคุณธรรมจริยธรรมบนพื้นฐานของเหตุผล ต้องอาศัยการทำงานของสมองทั้ง 2 ระบบ แต่สมองส่วนไหนจะทำงานมากกว่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบด้านมากมาย เช่น พื้นฐานครอบครัว การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความเชื่อทางศาสนา ความแตกต่างทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมและค่านิยม

ในซีรีส์เรื่อง ‘บูล’ (BULL) ออกอากาศทางช่องซีบีเอส (CBS) สหรัฐอเมริกา เจสัน บูล เป็นนักจิตวิทยา เจ้าของบริษัทที่ใช้จิตวิทยาเข้ามาผนวกกับเทคโนโลยีอย่างอัลกอรึทึม วิเคราะห์และทำความเข้าใจคณะลูกขุน เพื่อให้ทนายความมีข้อมูลที่รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับอคติของคณะลูกขุนที่เข้าร่วมตัดสินคดีในชั้นศาล 

หลายประเทศใช้คณะลูกขุนช่วยพิจารณาพิพากษาคดีในกระบวนการยุติธรรม เช่น อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น แนวปฏิบัตินี้ใช้ในประเทศอังกฤษมาก่อนเป็นเวลากว่าร้อยปี ทั้งนี้ คณะลูกขุนจำนวน 6 – 12 คน (แล้วแต่ประเภทคดี) จะนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ร่วมกับฝ่ายอัยการ (ฝ่ายโจทย์ หรือ ผู้ฟ้องร้อง) ฝ่ายจำเลย (ผู้ถูกฟ้องร้อง) และผู้พิพากษา

คณะลูกขุนเป็นใคร?

คณะลูกขุน คือ บุคคลทั่วไป มีอาชีพ สถานภาพครอบครัว มีพื้นเพต่างกัน ศาลเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงทางกฎหมายได้เข้ามามีส่วนร่วมตัดสินคดี การพิพากษาคดีจึงไม่ได้ยึดกฎหมายและคำตัดสินจากผู้พิพากษาเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของ อารมณ์ ความรู้สึกและการตัดสินใจเชิงคุณธรรมจริยธรรม โดยคณะลูกขุนเข้ามาร่วมด้วย เพราะเชื่อว่า มติจากคณะลูกขุนมีความน่าเชื่อถือและน่าไว้ใจมากกว่าการให้อำนาจผู้พิพากษาตัดสินแต่เพียงผู้เดียว 

คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ แล้วความยุติธรรมเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลหรือความรู้สึกตัดสินกันแน่? หากทั้ง 2 อย่างเป็นสิ่งจำเป็น เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่เราคิดหรือตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม?

ท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลข่าวสารโลดแล่นเปลี่ยนผ่านเข้ามาสร้างการรับรู้ให้ทุกทิศทาง พ่อแม่จะสอนลูกอย่างไรให้ยืนหยัดอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่ถูกเอาเปรียบและไม่เอาเปรียบผู้อื่น นอกจากความรู้แล้ว ครูและโรงเรียนจำเป็นต้องส่งเสริมทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใดให้กับผู้เรียนบ้าง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตที่คาดเดาได้ยากเหลือเกิน

The Potential อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน

เราตัดสินผิดถูกด้วยสมองหรือความรู้สึกกันแน่?

ลำดับแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘คุณธรรมจริยธรรม’ และ ‘ความถูกผิด’ ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ ‘ความดี’ ‘ความชั่ว’ หรือ ‘ความเชื่อทางศาสนา’ แต่เป็น ทักษะ และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นในตัวมนุษย์ แตกต่างกันตามพื้นฐานครอบครัว สภาพสังคม วัฒนธรรม การศึกษา และสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิต ทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นนี้ส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของบุคคลหนึ่ง แน่นอนว่าการกระทำของบุคคลหนึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคมได้เช่นกัน 

โจชัว กรีน (Joshua Greene) ศาสตรจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักประสาทวิทยา เจ้าของหนังสือ ‘Moral Tribes’ ตีพิมพ์ฉบับบภาษาไทยในชื่อ ‘พวกฉัน พวกมัน พวกเรา’ นำเทคโนโลยีการสแกนสมองผนวกเข้ากับการทดสอบเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงศีลธรรม เพื่อศึกษากระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและอารมณ์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านคุณธรรมจริยธรรม ผลการวิจัยสรุปว่า ทั้งอารมณ์และเหตุผลมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินเชิงคุณธรรมจริยธรรม

กรีน อธิบายว่า วิวัฒนาการของคุณธรรมจริยธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความดีงาม แต่เพราะมนุษย์อยู่ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายที่สามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างกันได้ทุกเมื่อ วิวัฒนาการด้านคุณธรรมจริยธรรมจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือหรือเป็นแนวทางให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้ ทำงานด้วยกันได้ สร้างสังคมร่วมกันได้ แม้ว่าต้องแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา คุณธรรมจริยธรรม (Morality) จึงมีเรื่องของการหาจุดร่วมเพื่อสร้างความร่วมมือกัน (Cooperation) เป็นพื้นฐาน

การทำงานของสมองเกี่ยวกับคุณธรรมเปรียบได้กับกล้องถ่ายรูป ที่ตั้งค่าได้ทั้งระบบอัตโนมัติ (Auto) และแมนนวล (Manual)

“ข้อดีของการออกแบบกล้องให้มีทั้ง 2 ระบบ คือ มันให้สิ่งที่ดีที่สุดกับช่างภาพได้ทั้ง 2 ส่วน ระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ แค่เล็งแล้วกด กล้องก็ทำงานได้ด้วยตัวเอง และความยืดหยุ่นของระบบแมนนวลที่ต้องอาศัยช่างภาพเป็นผู้กำหนด…

“เคล็ดลับคือ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้โหมดอัตโนมัติ เล็งแล้วกด และเมื่อไหร่ควรใช้โหมดแมนนวล สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้มีการทำงานพื้นฐานไม่ต่างจากทั้ง 2 ระบบของกล้องถ่ายภาพ” กรีน กล่าว

การตอบสนองทางอารมณ์ หรือสัญชาตญาณเหมือนระบบอัตโนมัติ ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ได้รับอิทธิพลจากองค์ประกอบทางชีววิทยาของร่างกาย เป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้ ปรับตัวผ่านประสบการณ์ทางสังคม กลายเป็นค่าที่ถูกตั้งล่วงหน้าไว้ แต่ไม่ยืดหยุ่น และไม่สามารถลงลึกเพื่อจัดการรายละเอียดของภาพได้

การตอบสนองด้วยเหตุผลเหมือนระบบแมนนวล ช่างภาพต้องปรับแต่ง เซ็ตการทำงานของกล้องด้วยตัวเอง สามารถตั้งค่าให้เข้ากับสภาพแสง ปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ใช้เวลานานและยุ่งยาก

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้กรีนไม่ได้เป็นเพียงแค่นักปรัชญา แต่สวมบทบาทเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาทดสอบการทำงานของสมองด้วยเครื่องมือทางประสาทวิทยา สแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบ fMRI หรือ Functional Magnetic Resonance Imaging การศึกษาด้านประสาทวิทยาทำให้รู้ว่า 

สมองส่วนหน้าเชื่อมโยงกับการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและไตร่ตรอง

สมองส่วนอะมิกดาลาเชื่อมโยงกับการตอบสนองทางอารมณ์ และสิ่งที่แต่ละบุคคลให้คุณค่า เช่น อาหาร เงิน และอื่นๆ 

ปัญหารถราง (the trolley problem) เป็นการศึกษาการทำงานของสมองด้วยการตั้งคำถามด้านคุณธรรมจริยธรรมผ่านสถานการณ์สมมุติ การทดลองหนึ่งตั้งคำถามให้คิดว่า 

“เราจะยอมผลักคนๆ หนึ่งที่เราไม่รู้จัก ลงไปขวางทางรถรางเพื่อรักษาชีวิตของคนอีก 5 คนหรือไม่?” 

การศึกษาพบว่า คนที่ตอบว่า “ไม่” ผลจากการสแกนสมองแสดงให้เห็น สมองที่ตอบสนองทางอารมณ์ทำงานชัดเจนกว่าสมองด้านเหตุผล ด้านคนที่ตอบว่า “จะผลัก” 1 ชีวิตเพื่อแลกกับ 5 ชีวิต สมองส่วนที่ใช้เหตุผลทำงานชัดเจนกว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าคำถามด้านคุณธรรมจริยธรรมเดียวกัน หากให้เวลาคิดต่างกัน การตัดสินใจก็แตกต่างกันได้ เมื่อจำกัดเวลาให้ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มนุษย์มีแนวโน้มใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล แต่เมื่อให้เวลาตัดสินใจมากขึ้น สมองส่วนหน้าซึ่งสัมพันธ์กับการใช้เหตุผลทำงานมากขึ้น 

ท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจด้วยคุณธรรมจริยธรรมบนพื้นฐานของเหตุผล ต้องอาศัยการทำงานของสมองทั้ง 2 ระบบ แต่สมองส่วนไหนจะทำงานมากกว่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบด้านมากมาย เช่น พื้นฐานครอบครัว การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความเชื่อทางศาสนา ความแตกต่างทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมและค่านิยม เป็นต้น 

การพัฒนาให้สมองตัดสินใจอย่างมีเหตุผลโดยไม่ทิ้งสัญชาตญาณ

เรื่องราวในซีรีส์เรื่องบูลที่กล่าวถึงในตอนต้น สอดคล้องกับผลการศึกษาของกรีนที่สะท้อนให้เห็นว่า คุณธรรมจริยธรรมไม่ได้เป็นเรื่องของความดีงามเท่านั้น และการตัดสินบนหลักการและเหตุผล เช่น การใช้กฎหมายก็ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว ยกตัวอย่าง ศาลที่มีคณะลูกขุนเข้ามาช่วยพิพากษาตัดสินคดีความ หากเปลี่ยนคณะลูกขุนกลุ่มใหม่ผลการพิพากษาให้ผลลัพธ์แตกต่างกันได้ หรือการสับเปลี่ยนลูกขุนแค่คนใดคนหนึ่งที่ตัดสินใจต่างจากลูกขุนคนเดิม เมื่อรวมผลการพิพากษาสัดส่วนคำตัดสินของคณะลูกขุนก็แตกต่างกันได้เช่นกัน แน่นอนว่าทุกการตัดสินมีผลต่อคำพิพากษาในแต่ละคดีความ 

เราพบเห็นประเด็นด้านคุณธรรมจริยธรรมมากมายที่มักถูกพูดถึงในสังคม เช่น การทำแท้ง ความเท่าเทียมกันทางสังคม การส่งทหารไปรบในสงคราม ประชาชนที่ถูกฆ่าและได้รับผลกระทบจากสงคราม การรักษาพยาบาล การตัดสินโทษจำคุกหรือการประหารชีวิต การการุณยฆาตตัวเอง หรือแม้แต่เรื่องอัตราการเก็บภาษี สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ต่างๆ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การใช้ชีวิตนำพาทุกคนไปสู่การตัดสินใจทำและไม่ทำบางอย่างเสมอ กระบวนการตัดสินใจที่ว่านี้จึงไม่มีวันสิ้นสุด

ผลการศึกษาจำนวนมากด้านประสาทวิทยาย้ำชัดว่า อุปนิสัยด้านคุณธรรมจริยธรรมของเด็กและเยาวชนลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ผลจากการสำรวจจากผู้เข้าร่วมในสหรัฐอเมริการาว 2,600 คน โดย เอ็นบีซีนิวส์สเตทออฟไคน์เนส (NBC NEWS State of Kindness) แสดงสถิติ ดังนี้

ผู้ใหญ่ ร้อยละ 60 มองว่า การเรียนรู้ด้านคุณธรรมในเด็กเยาวชนล้มเหลวและเป็นปัญหาสำคัญของชาติ ร้อยละ 72 มองว่า ค่านิยมด้านคุณธรรมในสังคมกำลังแย่ลง ร้อยละ 40 ของเด็กเยาวชนมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นลดลงเมื่อเทียบกับ 3 ทศวรรษก่อน และมองว่า เด็กเยาวชนแสดงพฤติกรรมที่วางตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยไม่คิดถึงผู้อื่นมากขึ้นร้อยละ 58

ทั้งนี้ ผู้ปกครองสามารถเข้ามามีส่วนร่วมปลูกฝัง ทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้การการตัดสินใจอย่างมีคุณภาพอย่างมีเหตุผลและมีคุณธรรมได้ เช่น การจัดการตนเอง ความมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น การมีวินัยต่อตนเอง ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ การคิดขั้นสูง การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน เป็นต้น

มิเชล โบร์บา (Dr.Michele Borba) นักจิตวิทยาด้านการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงดูบุตร กล่าวถึง เคล็ดลับการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในเด็กเยาวชน ไว้ดังนี้

  1. ผู้ปกครองมีความมุ่งมั่นที่จะเลี้ยงลูกด้วยคุณธรรม

ผู้ปกครองต้องมีความเชื่อว่า ทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านคุณธรรมจริยธรรมสร้างได้ และมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของลูกในอนาคต

  1. ผู้ปกครองรู้และเข้าใจที่มาที่ไปของความเชื่อและวิธีคิดของตัวเอง และพร้อมถ่ายทอดให้กับลูก
  2. ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดีด้านคุณธรรมให้กับลูก
  3. สอนลูกในจังหวะเวลาที่เหมาะสม พูดคุยทำความเข้าใจกับลูกเกี่ยวกับคุณลักษณะด้านคุณธรรมด้านต่างๆ เช่น ในจังหวะที่สถานการณ์บางอย่างกำลังเกิดขึ้นแล้วต้องตัดสินใจ หลังดูการ์ตูน ละคร หรือหลังการอ่านนิทาน ที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม รวมถึงการชวนคิดจากสถานการณ์สมมุติ

ตัวอย่างคำถาม 

  • ลูกชอบตัวละครตัวไหน เพราะอะไร?
  • ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าลูกเป็นตัวละครนั้น ลูกจะทำอย่างไร เพราะอะไร?
  • ถ้ามีคนขโมยตุ๊กตา/ ของเล่นโปรดของลูกไป ลูกจะรู้สึกอย่างไร? ลูกคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรทำไหม เพราะอะไร?
  1. ชื่นชมและให้กำลังใจ เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ไม่ตำหนิ หรือลงโทษเมื่อลูกทำผิดพลาด แต่ใช้การตั้งคำถามจากข้อ 4 ชวนลูกสะท้อนคิดจากสถานการณ์สมมุติ เพื่อให้ลูกมองเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของตนเอง
อ้างอิง
Joshua Greene studies the scientific basis for moral decision-making | Harvard Magazine
Professor Joshua Greene Speaks on Human Morality – The DePauw
10 Ways to Raise Kids with Character | Michele Borba, Ed.D.

Tags:

การตัดสินใจการทำงานของสมองคุณธรรมจริยธรรม

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ชีวิตที่ดีงามควร ‘หนักอึ้ง’ หรือ ‘เบาหวิว’: ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenager
    เข้าใจ(สมอง)วัยรุ่น ทำไมชอบเสี่ยง?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • SpaceCreative learning
    วิดีโอเกมจะกลายมาเป็นบทเรียนได้อย่างไร

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    Nonviolent Communication : สร้างเด็กที่รักตัวเองและรับฟังคนอื่น

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    มีแต่คนคิดเหมือนกับเรา…จริงหรือ? : Echo Chamber และตัวกรองที่เรียกว่า ‘อคติ’ ในโลกออนไลน์

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน
Dear ParentsMovie
11 November 2021

About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • About time หนังที่เล่าถึงชีวิตของ ‘ทิม’ ได้รับมรดกตกทอดจากพ่อ ทำให้เขาสามารถเดินทางย้อนไปในอดีตที่ตัวเองเคยผ่านมาได้ พ่อของทิมใช้เวลาทั้งชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการย้อนอ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่าน ส่วน‘ทิม’ เขาเลือกที่จะใช้สิ่งนี้ในการตามหาความรัก
  • “เราว่าลูกหลายๆ ครอบครัว โดยเฉพาะลูกที่เกิดในยุค Gen Z หรือ Gen Y น่าจะเคยประสบเหตุการณ์ที่เราไม่ได้ค่อยใช้เวลากับครอบครัว พ่อแม่ของเราไม่รู้วิธีการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับลูก เพราะต้องทำงานอย่างหนักกันจนไม่ได้หันมาใช้เวลากับครอบครัวเท่าไหร่ เรากับพ่อแม่ต่างมีช่องว่างที่ถูกถ่างให้ห่างจากกัน เพราะต่างคนต่างไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกัน”
  • “บางครอบครัวก็อาจจะโอเคกับการต่างคนต่างอยู่ แต่บางครอบครัวก็มีความหวังที่จะมีเวลาร่วมกันในการทำสิ่งต่างๆ เราแค่รู้สึกว่าทุกๆ ความสัมพันธ์มันพยายามเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายนึงไม่ได้ เราว่ามันคงจะดีมากๆ ถ้าทั้งพ่อแม่และลูกมาพยายามไปพร้อมๆ กัน ในวันที่เรายังมีกันอยู่”
เนื้อหาในบทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน

Tags:

ภาพยนตร์แบบแผนทางความสัมพันธ์ปัญหาครอบครัว

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Family Psychology
    เรียนรู้ที่จะ “ใจกว้าง” ในความขัดแย้งกับครอบครัว เพื่อเราจะได้ไม่ต้องปล่อยมือจากกัน : คุยกับหมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Movie
    Shoplifters : การรวมตัวกันของคนไม่รู้จัก สร้างหลุมหลบภัยที่ขออ้อมแขนจากคนไม่ทำร้ายกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Life classroom
    ฮาวทูทิ้ง: มอง “ตัวละคร” ผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อเราต่างมี “ฮาวทู” จัดการความสัมพันธ์ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ
Social Issues
10 November 2021

‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ‘NEET’ (นีท) เป็นคำที่ย่อมาจาก Not in Education, Employment, or Training ใช้เรียกกลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ฝึกงาน หรือทำงาน ถูกบัญญัตินำมาใช้ครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษช่วงปี 1990 ก่อนจะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ
  • คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงปรากฎการณ์ NEET ในไทย
ภาพ Photo by The Creative Exchange on Unsplash

ช่วงที่เรียนจบใหม่ๆ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?

โล่งใจที่หลุดพ้นจากโลกที่ต้องใช้เวลาอยู่กับมันเกือบ 20 ปี หรือกังวลว่าเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร การใช้ชีวิตกว่า 20 ปีที่เคยชินกับการถูกตั้งโปรแกรมให้เดินไปตามทางที่วางไว้ พอหลุดพ้นมาก็ทำให้กังวลว่าแล้วเราต้องเดินไปทางไหนต่อ

บางคนที่รู้ความต้องการตัวเองก็อาจพร้อมเดินต่อ หรือถ้ายังไม่รู้ก็สามารถที่จะหยุดพักทบทวนว่าจะเขียนเส้นทางใหม่อย่างไรดี ถ้ามีทุนทรัพย์มากพอก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ออกไปค้นหาประสบการณ์ หรือที่เรียกว่า gap year แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้และไม่มีเวลาที่จะมานั่งหาว่าอนาคตตัวเองควรเป็นอย่างไร เช่นว่า ความกดดันที่อาจมาจากการเป็นลูกคนโตมีหน้าที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัว หรือไม่มีแรงซับพอร์ตมากพอที่จะหยุดเฉยๆ ได้ ทำให้พวกเขาต่างต้องผลักเฆี่ยนตีให้ตัวเองรอดมีงานทำ 

‘NEET’ (นีท) เป็นคำที่ย่อมาจาก Not in Education, Employment, or Training ใช้เรียกกลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ฝึกงาน หรือทำงาน ถูกบัญญัตินำมาใช้ครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษช่วงปี 1990 ก่อนจะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน แคนาดา เป็นต้น กลุ่มคนที่มักถูกพูดถึงมักเป็นกลุ่มเยาวชน (Youth) และอายุที่มักถูกพูดถึงอยู่ที่ 16 – 24 ปี แต่อาจครอบคลุมถึงระหว่างอายุ 15 – 29 ปี แล้วแต่คำจำกัดความคำว่าเยาวชนของแต่ละพื้นที่ 

ในประเทศไทย กลุ่ม NEET ยังไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก จากการสำรวจข้อมูลโดย TDRI เมื่อปี 2562 จำนวน NEET ในไทยอยู่ที่ 1.3 ล้านคน คิดเป็น 14% ของเยาวชนทั้งหมด เฉลี่ยอัตราเพิ่มขึ้นปีละ 1% สวนทางกับจำนวนเยาวชนที่ลดลงเฉลี่ย 1.2% 

คิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นอย่างไร? – ล้มเหลวที่เรียนมาตั้งนานกลับไม่รู้จักหาอะไรทำ หรือเหยื่อคนหนึ่งในระบบการศึกษาไทยที่ไม่สามารถทำให้เขาค้นหาตัวเองเจอ และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่บีบบังคับให้เขาต้องรีบเร่ง แทนที่จะได้ใช้เวลาทบทวนค้นหาตัวเอง

ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

เพื่อให้เข้าใจปรากฎการณ์ดังกล่าว ชวนคุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประสานงานหลักศูนย์ประสานงานเพื่อการวิจัยแรงงาน ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นผู้ศึกษา NEET ในไทย

เหตุผลที่ทำให้อาจารย์สนใจศึกษาเรื่อง NEET ในไทย

NEET เป็นประเด็นที่ต่างประเทศพูดถึงมานานละ แต่ในไทยยังไม่ค่อยพูดถึงหรือมีหลักฐานทางวิชาการที่เห็นชัดเจนว่าสถานการณ์ NEET ในไทยเป็นอย่างไร ที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นข้อมูลสถิติจากการสำรวจแรงงานซึ่งใช้ตัวแทนในการประมาณการณ์ทำให้สนใจอยากศึกษา ทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิด NEET แล้วการเกิด NEET เป็นไปตามที่ประมาณการณ์หรือไม่

เหตุผลที่สำคัญอีกอย่าง คือ ตอนนี้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงนี้ เราอยากรู้ว่าแล้วเยาวชนมีความคิดเห็นยังไง มีแนวโน้มหรือแนวทางที่เชื่อมโยงกับด้านอาชีพอย่างไรบ้าง

ผลสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ที่มีต่ออาชีพเป็นอย่างไร

ช่วงที่อาจารย์ทำวิจัยเป็นช่วงที่โควิด – 19 ยังไม่เกิด เป็นช่วงกลางปี 2019 อาจารย์จะใช้วิธีเชิงสำรวจทุกภูมิภาคและสัมภาษณ์เชิงลึก ลงพื้นที่เคาะตามบ้าน ซึ่งความคิดเห็นที่ได้ คือ เขาจะมี flexibility (ความยืดหยุ่น) กับการใช้ชีวิตมากขึ้น อาจารย์ขอใช้คำว่า คำจำกัดความของการทำงานและความมั่นคงต่างจากรุ่นเก่า

แตกต่างอย่างไร ปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้เกิดทัศนคติแบบนี้

ด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อมหลายอย่าง จริงๆ ถ้าเราลองเอาหมวกความคิดของคนรุ่นใหม่มาใส่ก็พอเข้าใจได้ คนรุ่นเก่าจะมีมายเซ็ตแบบค่อยๆ เจริญเติบโต ต้องทำงานไปทีละสเต็ป ขณะที่คนรุ่นใหม่โตมาในยุคเทคโนโลยี เขาสามารถเริ่มทำงานได้ตั้งแต่เด็ก ช่องทางในการได้มาซึ่งเงินในความคิดเขาไม่จำเป็นต้องใช้ชั่วโมงเข้าแลก แบบทำงาน 1 ชั่วโมงได้เงิน 50 บาท เพราะเขามีช่องทางเลือกในชีวิตที่มี flexibility มากขึ้น 

เวลาที่เราฟังพวกผู้ใหญ่บอกว่า ‘เฮ้ย เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยอดทน’ อาจเป็นเพราะว่า define (นิยาม) คำว่าอดทนไม่เหมือนกัน คนเราใส่แว่นคนละเลนส์ก็อาจมองคนละอย่าง และมีความเคยชินในการทำงานกันคนละรูปแบบ  

สถานการณ์ NEET ในประเทศไทยปัจจุบันเป็นอย่างไร

ผลการประมาณการณ์ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization) ปี 2020 ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มอายุ 15 ถึง 24 ปี มีสัดส่วนเป็น NEET ถึง 11.8% ในกลุ่มผู้ชายและ 18.5% ในกลุ่มผู้หญิง เทียบกับเมื่อปี 2015 ซึ่งมี NEET เป็น 9.3% ในกลุ่มผู้ชายและ 18.0% ในกลุ่มผู้หญิง มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ปัจจัยอะไรที่ส่งผลทำให้การเกิด NEET เพิ่มขึ้น

มันเป็นภาพรวมของทั้งโลกด้วยแหละที่ปริมาณการเกิด NEET เพิ่มขึ้น ทำให้แนวทางในการพัฒนาโดยเฉพาะโซนยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับเยาวชนมาก ขอหมายเหตุนิดหนึ่งประเทศไทยเราก็มีการส่งเสริมการทำงานและการเรียน การอบรม ทั้งส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุและของเยาวชน ในส่วนของเยาวชนเอง…อาจารย์ขอใช้คำว่าหลายภาคส่วนก็มีความพยายามหลายๆ อย่างแหละ แต่อาจจะยังไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนมากนัก ดูได้จากตัวเลข Youth NEET ที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลยังไงบ้าง

เอาภาพรวมเนอะ ถ้าการเกิด NEET เพิ่มขึ้น มีแนวโน้มแสดงว่าคนคนนั้นไม่ได้มีกิจกรรมที่ทำแล้วสั่งสมทักษะหรือความสามารถ ซึ่งในระยะสั้นๆ อาจจะยังเห็นผลไม่ชัดเจน แต่ถ้าเป็นระยะยาวๆ เขาอาจจะตามไม่ทันเพื่อน อาจจะทำให้เกิดทักษะล้าหลัง (skill obsolete) ไม่สามารถที่จะพัฒนาทักษะได้ตามตลาดที่ต้องการ แล้วก็อาจส่งผลด้านจิตใจด้วยความที่ไม่ได้ทำอะไรนานๆ เขาก็อาจรู้สึกสูญเสียกำลังใจ ไม่เห็นเป้าหมายในชีวิต คือส่งผลหลายอย่างนอกจากเรื่องของรายได้จากการทำงาน เป็นเรื่องของชีวิต

ถ้าเป็นแนวโน้มทั่วโลกว่าปริมาณ NEET เพิ่มขึ้น แล้วฝั่งต่างประเทศเขารับมือกับเรื่องนี้อย่างไร อาจารย์พอจะยกตัวอย่างได้ไหมคะ

มันมีหลาย initiative (แผนการริเริ่ม) แล้วแต่ละประเทศก็มีวิธีการไม่เหมือนกัน โดยภาพรวมจะเน้นในเรื่องโครงสร้างคือ ให้โอกาสเยาวชนสามารถเข้าไปมีบทบาทในด้านการทำงาน ผ่านการฝึกงาน หรือเข้าไปในสถานประกอบการมากขึ้น อีกส่วนคือไปปรับการให้คำแนะนำทางด้านอาชีพว่ามันมีช่องทางอาชีพอะไรบ้าง ส่งเสริมบริการการเข้าถึงงาน employment services ใหม่ๆ หรือทำให้เข้าถึงง่ายขึ้น

นอกจากนั้น ก็มีไปกระตุ้นเยาวชน ไปสร้างแรงจูงใจในหลายๆ รูปแบบ เช่น วิธีจะพัฒนาตัวเองอย่างไร เป็น life long learning การสร้าง growth mindset (ความคิดแบบเติบโตและยืดหยุ่น) 

การรับมือในไทย อาจารย์พอจะบอกได้ไหมคะ ว่าเรามีการรับมือเรื่องนี้อย่างไร

เรามีหลายองค์กรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเข้าถึงการทำงานของเยาวชน ที่เป็นภาคีภาครัฐหลักๆ ก็จะมีกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงาน ซึ่งทั้งคู่ก็ทำงานได้ดี แต่ตอนนี้มีความท้าทายเพิ่มขึ้นเพราะงานในอนาคตมันมีความหลากหลายมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนอยากเป็นอะไร…ก็ตำรวจ ทหาร พยาบาล แต่เดี๋ยวนี้มีอาชีพใหม่ๆ ที่โอ้โห…เราเองก็คิดไม่ถึง มันเข้ามาหลากหลายรูปแบบ แล้วบางอาชีพในมุมผู้ใหญ่อาจมองว่า มันใช่เหรอ? เพราะโลกของคนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเป็นยูทูบเบอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์สำหรับเขามันเข้าถึงได้ง่ายกว่า 

พอสองส่วนนี้ไม่ค่อยแมตช์กัน เกิดเป็นช่องว่าง บรรดาคนที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงต่างๆ ก็พยายามนะ เขาก็มีประเด็นที่ต้องวิ่งให้ทันโลกในอนาคตเหมือนกันว่า มีความท้าทายไหนที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกไหม

อีกประเด็นหนึ่งที่อาจารย์ขอเพิ่มเติม เรื่อง gender gap (ช่องว่างระหว่างเพศ) ที่ต่างประเทศก็มีเช่นกัน ในไทยอัตราเกิดค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีปัจจัยทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม ก็เป็นคาแรกเตอร์ของทางพื้นที่ด้วยแหละ ทำให้โอกาสในการเข้าถึงการทำงานของผู้หญิงในบางพื้นที่ก็ยังเป็นความท้าทายอยู่ 

แนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดการเกิด NEET อาจารย์เคยเสนอว่าให้เชื่อมโลกการศึกษาเข้ากับการทำงาน ซึ่งวาทกรรมที่เรามักได้ยินบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ ‘เรียนไปเด็กไม่ได้ใช้งานจริง’ ‘เรียนแต่ทฤษฎีไม่ได้ปฏิบัติจริง’ ในมุมอาจารย์คิดเห็นอย่างไรในประเด็นนี้

อาจารย์ขอแบ่งเป็น 2 ก้อนก่อน ในตลาดการทำงานจะมีงานเกิดขึ้นอยู่ 2 แบบ แบบแรก – เรียนจบก็เข้าไปเป็นลูกจ้างทำงานตามที่ต่างๆ กับอีกแบบหนึ่งเป็น Job Creator สร้างงานขึ้นมาเอง ถ้าเราแบ่งงานออกเป็น 2 ส่วน เราจะเข้าใจวาทกรรมที่ว่านี้มากขึ้นว่า จริงๆ แล้วระบบศึกษาไม่ตอบโจทย์การทำงานหรือไม่ 

งานในนิยามแรกก่อน ถ้าฟีดแบ็กจากนายจ้างหลายๆ คนที่อาจารย์ได้ยินก็เป็นแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่คนมียังไม่ตรงกับสิ่งที่นายจ้างต้องการ เพราะงั้นเลยเกิดประเด็นว่าระบบการศึกษาอ่อนแอลงหรือเปล่า หรือว่าเป็นที่ตัวเด็ก หรือเพราะความแตกต่างระหว่างวัย เกิดคำถามหลายๆ อย่าง ต้องยอมรับว่ามีความท้าทายในระบบการศึกษาด้วยเหมือนกันที่พยายามจะเข้าถึงครอบคลุม แต่ความครอบคลุมกับเรื่องประสิทธิภาพอาจจะแปรผกผันกัน ทำให้บางจุดก็มีปัญหาจริงๆ แต่ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด ในระบบก็จะมีเด็กที่แบบ…โห เก่ง สามารถทำได้ดีมากๆ เลย กับกลุ่มเด็กที่ยังต้องการได้รับการเติมเต็ม

สิ่งที่ควรทำในประเด็นนี้ คือ เชื่อมภาคการศึกษากับภาคการทำงานให้มากขึ้น แต่ก็ต้องมีจุดที่เหมาะสม (optimum) ด้วยนะ การพูดคุยระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ เช่นว่าเด็กควรจะเข้ามากี่เดือน แล้วการเข้ามาคงไม่ใช่ถ่ายเอกสารจบแล้วออกไป ต้องพิจารณาว่าจุดไหนเป็นจุดที่เหมาะในแต่ละอุตสาหกรรม 

เป็นปัญหาหนึ่งในการฝึกงาน คือ บางคนรู้สึกว่าไม่ได้อะไร ไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่ต้องการ

ส่วนใหญ่ก็จะคิดแบบนั้นแหละ คงต้องหาจุดที่มันบาลานซ์ บางที่อาจจะบอกว่าต้องใช้เวลามากขึ้น หรือบางที่ก็บอกให้เข้ามาทำงานเลยสิ ซึ่งต้องมีระบบที่ seamless ไร้รอยต่อขึ้น จะได้เข้ามาไม่ได้แค่ทฤษฏี แต่ปฏิบัติจริงได้ด้วย 

แนวทางการทำงาน ณ ปัจจุบันค่อนข้างชัดเจนว่า เราไม่ได้ต้องการความสามารถด้านเทคโนโลยีแบบเอ็กซ์ตรีมทุกด้าน แต่เราต้องการบางด้านในตัวคนคนนั้นที่ตอบโจทย์นายจ้าง เพราะงั้นต้องมีจุดให้เด็กเลือกว่าตรงไหนละที่เป็นตัวเขา ฉะนั้น การกำหนด core standard มาตรฐานหลักมาหนึ่งอันแล้วต้องเรียน 80 ตัวถึงจะจบออกมาได้ก็อาจไม่ได้แล้ว คงต้องปรับให้ยืดหยุ่นมีความเป็นชอปปิงมากขึ้น เขาสามารถเลือกได้เอง แต่จะเลือกได้เขาก็ต้องเห็นด้วยว่าแล้วเขาจะไปถึงจุดไหน ไม่ใช่เลือกผิดเลือกถูก เสียเวลาเด็ก เสียเวลาคนสอน เสียเวลาสถานประกอบการ

แล้วงานในอีกความหมายหนึ่ง

Job creator เรียนจบปุ๊บ มั่นใจละว่าฉันจะไปเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ไปทำสตาร์ทอัพ งานในมุมนี้จะไม่มีนายจ้างมาตัดสินละ แต่สิ่งที่จะเป็นตัวดูเด็กคนนี้ก็คือตลาดและความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) รวมถึงความอดทน อดทนกับความล้มเหลวที่จะเข้ามา เพราะส่วนใหญ่คงไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่ทำธุรกิจครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จทันที ลงลึกดีเทลมันก็ต้องมีจุดเฟลบ้างแหละ (หัวเราะ) 

ฉะนั้น งานในนิยามนี้คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเรียนแล้วไม่ได้ใช้จริง ไม่มีใครประเมินได้นอกจากตัวเด็กเองที่ต้องเป็นคนประเมิน ก็ต้องถามเด็กว่าการจะไปถึงจุดนั้นเขาต้องการเพิ่มความสามารถหรือทักษะอะไรบ้าง ที่ต้องมีแน่ๆ คือ core skills ทักษะพื้นฐานของการเป็นผู้ประกอบการ 

เห็นบางสถานศึกษามีโปรแกรมสอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ อาจจะเป็นเทรนด์หรือเปล่า

ใช่ เหมือนจะเป็นเทรนด์ อาจารย์ว่า ณ จุดนี้ ความคิดริเริ่มต้องมาจากตัวเด็กด้วยแหละ human center learning รวมถึงอาจจะต้องมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เขาสามารถเข้าสู่ความเป็นสตาร์ทอัพได้จริงๆ ecosystem (ระบบนิเวศ) อะไรที่จะเข้าไปเสริมได้

ซึ่งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ซับพอร์ตเด็กที่เดินบนเส้นทางสตาร์ทอัพส่วนหนึ่งมาจากภาครัฐ

ใช่ ต้องมาจากทั้งภาครัฐและภาคเยาวชนด้วย จริงๆ มันก็เป็นเทรนด์ที่กำลังมา แต่บ้านเรายังคงมีกลุ่มเด็กที่เป็นกลุ่มชนบทหรือกลุ่มอื่นๆ ที่อาจจะเข้าถึงยากหน่อย มีอยู่จำนวนเยอะมาก

ถ้าเรามองภาพรวมทั้งประเทศก็จะมีเด็กที่อยู่ใน ecosystem ที่เขารู้สึกว่า ‘เฮ้ย I can do ฉันทำได้’ เพราะมันมีปัจจัยที่เสริมเขาได้ แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยทุกวันนี้ยังมีกลุ่มที่เด็กรู้สึกว่า ตัวเขาไปไม่ถึง รู้สึกว่าขาดกำลังใจที่จะไปถึงตรงจุดนั้นได้ 

ตัว ecosystem ที่สำคัญที่เด็กจะเข้าถึงได้ง่ายที่สุดก็คือโรงเรียน แต่ระบบโรงเรียนของเราก็ยังมีความท้าทายอยู่พอสมควร หนึ่งในนั้น คือ ความไม่เท่าเทียมที่ในอนาคตมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เด็กเข้าถึงได้ยากขึ้น

การที่เกิดช่องว่างสูงแบบนี้ จะยิ่งส่งผลต่อการพัฒนาระบบการศึกษาเพิ่มขึ้นหรือไม่

อาจารย์คิดว่าทุกประเทศเจอความท้าทายแบบนี้คล้ายๆ กัน อยู่ในดีกรีที่มากหรือน้อย อย่างที่สิงค์โปร์ ecosystem เขาง่ายตรงที่ขนาดประเทศไม่ใหญ่ มี ecosystem ที่ค่อนข้างพร้อม รองรับคนง่ายหน่อย แต่ในประเทศที่ไซส์กลางๆ อย่างของเราก็มีความหลากหลาย

เท่าที่พูดคุยมา ให้ความรู้สึกว่าปลายทางของระบบการศึกษาก็คือมีการงานทำ และวัดคุณค่าตัวเราจากสิ่งนี้ 

ขั้นแรกเราคงต้องมา define คำว่า ‘การทำงาน’ ให้ชัดเจนก่อน การทำงานถ้าในความหมายคลาสสิกเลย คือ ทำงานแล้วต้องได้เงิน แต่ว่าในแนวทางรุ่นใหม่เขาก็พยายามดึงเอากลุ่มที่ทำงานแต่ไม่ได้เงินขึ้นมาด้วย เรียกว่าเป็นกลุ่มงานที่สร้างคุณค่า เช่น การเป็นแม่บ้านที่อยู่ดูแลบ้าน เขาอาจจะไม่ได้เงินแต่เขาสามารถสร้างคุณค่าขึ้นมาได้จากสิ่งๆ นี้ มันอาจจะต้องมาวิเคราะห์คำว่า ‘ทำงาน’ ใหม่

ซึ่งการทำงานมันกินเวลาในชีวิตประมาณ 40 ปีนะ สมมติถ้าเราใช้เวลาเรียน 20 ปี ทำงาน 40 ปี อาจจะมีเข้าๆออกๆ การทำงาน การเรียนบ้าง ที่เหลืออาจจะเป็นช่วงเวลาตอนปลาย ฉะนั้นช่วงเวลาการทำงานเป็นช่วงเวลาที่คนเชื่อมโยงกับการสร้างคุณค่า 

ถ้าการทำงานสามารถสร้างคุณค่าไม่ว่าจะเป็นตัวเงิน หรือว่าคุณค่าในชีวิตตัวเองหรือผู้อื่น ในความคิดเห็นของอาจารย์น่าจะเป็นการนิยามคำว่าทำงานชัดเจน งานที่มีความสุข การทำงานอย่างไงให้รู้สึกว่า นี่แหละคือตัวตนของเรา 

ยังไงชีวิตเราก็ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง แต่พอการศึกษาถูกผูกกับการทำงาน ทำให้พื้นที่นี้มันแคบลง จริงๆ ระบบการศึกษาควรเป็นพื้นที่เปิดกว้างให้เราได้ค้นหาตัวตนหรือเปล่า

จริง แต่ก็จะมีคำถามนิดหนึ่งคือ การเรียนในมหาวิทยาลัยภาครัฐเป็นกลุ่มที่ลงทุนจำนวนมาก เขามีการคำนวณว่าเด็กคนหนึ่งต้องใช้เงินเรียนในมหาวิทยาลัยเท่าไร อาจารย์จำตัวเลขเป๊ะๆ ไม่ได้ จะเปรียบเทียบแทนว่า สมมติเด็กคนหนึ่งต้องใช้เงิน 1 ล้านในการเรียนจนจบ ตัวเลขที่เด็กจ่ายจริงอาจจะแสนหนึ่ง ที่เหลือรัฐเป็นคนออก ถ้ามองในมุมการลงทุนของรัฐ เขาก็อาจจะคำนวณแล้วว่าต้องลงทุนในคณะไหนถึงจะคุ้มค่า 

มีการลงทุนจริงๆ ใช่ไหม

มีค่ะ งบประมาณในการจัดจ้างของกระทรวงศึกษาธิการส่วนใหญ่อยู่ที่การจ้างคน จ้างครู ต้นทุนพวกนี้แหละที่เป็นต้นทุนใหญ่เหมือนกัน แต่ก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์เยอะนะว่าจ้างครูจำนวนมาก แล้วได้ประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน จ้างเท่าไหนถึงจะเหมาะสม 

แล้วรัฐมีการลงทุนในด้านอื่นๆ อีกไหมในการพัฒนาคน

ถ้าในมุมการพัฒนาคน การลงทุนทางตรงจะเป็นด้านการศึกษา นอกจากนั้นก็มีมุมพัฒนาทักษะ ซึ่งจะมีกระทรวงแรงงานที่เป็นคนดูแลหลัก ในมุมภาครัฐก็มีความพยายามที่จะลงทุนในการฝึกเทรนคน จัดการอบรมต่างๆ เช่น ให้มหาวิทยาลัยทำคลิปย่อยๆ ออกมา หรือสร้างสถาบันอบรมอาชีพต่างๆ รวมถึงสร้างสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพพัฒนาในเชิงทักษะ

ในภาพ ecosystem เขาพยายามที่จะผลักดันเรื่องของการพัฒนาคนนั่นแหละ แน่นอนว่าการแมชต์กับตลาดก็ยังคงเป็นเรื่องท้าทาย

อาจารย์คิดเห็นอย่างไรกับการพัฒนาคนของรัฐ

ในมุมภาพรวมอาจารย์ขอใช้คำว่ามีความท้าทายเยอะละกัน เรื่องของการเชื่อมโยงกับการทำงานยังมีหลายประเด็นที่ภาครัฐยังต้องตามให้ทัน ต้องแบ่งเป็น 2 ก้อน กลุ่มที่มีศักยภาพเข้าถึงความหลากหลายทางอาชีพได้อยู่แล้ว เช่น กลุ่มที่เป็นชนชั้นกลางขึ้นไป ภาครัฐอาจจะช่วยเปิดทางเลือกชีวิต หรือมีการบูรณาการระหว่างละส่วน เพื่อให้เขาเห็นทางเลือกมากขึ้น 

ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นครัวเรือนรายได้ไม่สูงมากและอยู่ในพื้นที่เฉพาะ เป็นความท้าทายของภาครัฐที่ต้องเข้าไปทำงานด้วยมากๆ สร้างการเข้าถึงและสร้างโอกาส

การเชื่อมโลกการศึกษากับการทำงาน อาจารย์พอจะมีคำแนะนำไหมว่า ทำอย่างไรไม่ให้เป็นการผูกขาดป้อนแรงงานเข้าระบบแทน ให้การศึกษาอย่างน้อยยังคงเป็นพื้นที่ค้นหาตัวตนของเด็ก

อาจารย์ว่ามันขึ้นอยู่กับวิธีการด้วยเนอะ ถ้าเกิดว่าเขาสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ทำให้เป็นออปชันหนึ่งในชีวิต เป็นเหมือนประสบการณ์ชีวิตว่าเข้าไปอบรม หน้าตาเป็นแบบนี้ แล้วฉันชอบหรือฉันไม่ชอบ ค่อยเลือกหลังจากนั้นก็ได้ ถ้าบังคับให้ทำโดยไม่ดูพื้นเพความสนใจของเด็กก็คงไม่เหมาะเท่าไร เพราะคนเราถ้าไม่มีทางให้เลือกคงกลายเป็นตุ๊กตาทำตามคำสั่งเนอะ 

อาจารย์มองว่าการศึกษามันต้องสร้างทางเลือกในชีวิตมากกว่า ให้เขาตัดสินเลือกว่าเขาอยากเป็นแบบไหน หรือถ้าเขาเลือกช่องทางนี้แล้วไม่เวิร์ก เขาจะมีทางเลือกอื่นไหม เขาจะสามารถสร้างทางของตัวเองได้หรือเปล่า มันต้องสร้างออปชันนะ

ในฐานะที่เป็นคนศึกษาเรื่องนี้ ข้อดี – ข้อเสียของการเป็น NEET ในมุมอาจารย์

อาจารย์ว่าไม่ผิดที่ ณ จุดหนึ่งเราจะเป็น NEET นะ แต่ว่าถ้าเป็นนานๆ ก็คงไม่ดี ไอ้คำว่ายาวก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่มีทาง define ชัดเจน การที่เราหยุดบ้างเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ถ้าหยุดเพื่อที่จะอยู่ตรงนั้นแล้วกลายเป็นสถานะว่างเปล่า หรือความรู้สึกไร้คุณค่าในตัวเอง ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไร

อาจารย์เจอบางคนที่เขาเป็น NEET ไม่ได้ทำงาน แต่จริงๆ เขาสามารถเล่น E – Sport เล่นเกมจนเกิดรายได้เป็นช่วงๆ และจริงจังถึงขั้นทำเป็นอาชีพได้เลย เพียงแต่ตัวเขาหรือพ่อแม่ไม่ได้มองว่าสิ่งนี้เป็นการทำงาน แสดงว่ามองในมุมกลับมันก็จะมีกิจกรรมที่สามารถสร้างรายได้ เกิดจากความชอบตัวเองได้ แต่คำจำกัดความคำว่างานอาจจะยังไม่ชัดเจนมากในมุมเขา

คำว่างานคนอาจจะมองไม่เหมือนกัน แต่การสร้างคุณค่าคนเราจะให้คุณค่าคล้ายๆ กัน เพราะงั้นการให้คำจำกัดความของคำว่า NEET ก็อยากให้กลับมาดูคำว่า คุณค่าของการทำงาน คือ การให้คุณค่าคนๆ นั้นมากกว่า หรือจะลบการทำงานออกไปเลยก็ได้ ให้มันเป็นภาวะการสร้างคุณค่าของเรา 

ในฝั่งสังคม การเกิด NEET มีข้อดีหรือข้อเสียอะไรไหม 

ข้อดีไม่ค่อยมีคนพูดถึง (หัวเราะ) แต่ข้อเสีย สำหรับภาครัฐก่อน หมายความว่าเขาลงทุนในคนแล้วคนไม่มีแอคทีฟ ไม่ได้ทำงานทำอะไร ในระยะสั้นๆ คือเสียการลงทุนในคน ระยะยาวอาจจะก่อให้เกิดภาระทางการคลังในอนาคต นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องที่ส่งผลทางสภาพสังคมต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น มีคนหนึ่งเป็น NEET ตั้งแต่อายุ 20 จบมาเป็น NEET เลย ที่รัฐลงทุนไปว่างเปล่า พ่อแม่เองก็ไม่ได้รีเทิร์นอะไรกลับมา ยิ่งถ้าเป็น NEET จนกระทั่งแก่ใครจะเป็นคนดูแลเขา รวมถึงอาจเชื่อมในเรื่องคุณภาพชีวิต การเกิดอาชญากรรมอื่นๆ 

ลึงลงมาในระดับครอบครัว การเป็น NEET จะสัมพันธ์เรื่องการพึ่งพิงของลูก NEET ไม่จำเป็นต้องเป็นเยาวชนเพราะมันเป็นแค่สเตตัส NEET อาจได้ตั้งแต่เยาวชนจนถึงขั้นแก่ชรา เพราะงั้นถ้าเกิดครอบครัวมี NEET เขาต้องการการพึ่งพิงในครอบครัวระดับสูง ถ้าคนที่เป็นเสาหลักในครอบครัวเสียชีวิต คนที่เป็น NEET มีแนวโน้มดูแลตัวเองได้ยาก เพราะไม่เคยทำงาน รวมถึงคุณค่าในตัวเอง มีโอกาสที่คนในครอบครัวจะมองว่าคนคนนี้มีปัญหาเรื่องคุณค่า เกิดปัญหาทางความสัมพันธ์ครอบครัว 

ในระดับตัวตน ถ้าช่วงระยะสั้นๆ ไม่มีอะไรหรอก เหมือนช่วงเบรก แต่ว่าถ้าเป็นระยะยาวๆ จะเริ่มมีเรื่องคุณค่าในตัวเองลดลง เริ่มตามไม่ทันเพื่อน เพื่อนทำงานไป 1 ปี เป็นพนักงานประจำมีเงินเดือนสูง เขาจะเกิดการเปรียบเทียบ ยิ่งเป็น NEET ระยะยาวโอกาสกลับเข้าตลาดแรงงานก็ยาก เวลาไปสมัครงานเขาอาจจะถามว่าเว้นว่างมา 3 ปีทำอะไรครับ แล้วคุณจะสามารถตามทันได้ไหม โดยเฉพาะตอนนี้เทคโนโลยีไปเร็วมาก สมมติคนเป็น NEET นอนหลับไป 2 ปี ตื่นขึ้นมาเขาจะพบว่าคนใช้เครื่องมือใช้ดิจิทัลทำงานเยอะขึ้น ใช้ Zoom ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ 

สุดท้ายแล้วอาจารย์มีอะไรอยากทิ้งท้ายไหมคะ

การที่จะลดโอกาสคนเป็น NEET ระยะยาวๆ ecosystem สำคัญมาก ทั้งสังคมรอบข้าง โรงเรียน แล้วก็พ่อแม่ที่เป็นปัจจัยสำคัญมากๆ ที่เราพบตอนไปคุยกับเด็ก

บางทีเด็กอยากจะก้าวไปไกลแต่พ่อแม่บอกว่าอย่าเลย มันไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่งาน คงเป็นเรื่องที่พ่อแม่รุ่นใหม่ต้องเปิดรับโอกาสของตัวเด็กมากขึ้น มันไม่ใช่ยุคเก่าของเราที่บอกว่าคุณต้องจบไปเป็นตำรวจ ไปเป็นทหาร มันมีออปชันอื่นๆ ในชีวิตของเด็กเยอะมากขึ้น ต้องเปิดใจและเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่วิ่งขึ้นเร็วหลายเท่าในปัจจุบัน

อีกเรื่องที่สำคัญ คือ core skills ทักษะพื้นฐานที่คนต้องมี ที่จำเป็นเลย คือ เรื่องของการเปิดรับความรู้ใหม่ ประเภทที่ว่า ‘ฉันทำไม่ได้’ ไม่ได้ละ ต้องทำได้ทุกอย่าง แค่อาจจะเร็วหรือช้าเท่านั้นเองหรือความคิดแบบ growth mindset ทักษะภาษา ความสามารถการทำงานเป็นทีม ทักษะ data visualization (ถ่ายทอดข้อมูลในลักษณะของภาพ) และก็ทักษะ Data Validation (การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล) อันนี้สำคัญมากเพราะอนาคตจะข้อมูลเข้ามาอีกเยอะ ถ้าเด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถกรอกข้อมูลได้ก็จะเป็นปัญหา 

อาจารย์เคยเจอเด็กบางคนที่มีภาพในหัวว่า การเป็นยูทูบเบอร์หรือเล่น E – sport มันง่าย แต่จริงๆ ทุกอาชีพไม่ได้ง่าย ต้องใช้ความอดทนและตั้งใจจริง ต้องใช้เวลาถึงจะไปถึงจุดนั้น การเข้าใจชีวิตมนุษย์จะเป็นตัวเปิดให้เด็กรุ่นใหม่เห็นช่องทางใหม่ๆ ในชีวิตมากขึ้น ซึ่งต้องมีความเข้าใจในอาชีพใหม่ๆ และโอกาสใหม่ๆ ทั้งระบบ ตัวเด็กเอง พ่อแม่ โรงเรียน ชุมชน ภาครัฐ และภาคเอกชน 

ไม่เช่นนั้น สังคมที่บอกให้เราต้องสร้างคุณค่าด้วยการทำงาน แต่จริงๆ แล้วระบบไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็อาจทำให้เด็กหลุดจากวงโคจรโดยระบบที่ไม่มีทางเลือกก็เป็นได้

Tags:

มหาวิทยาลัยNeetผศ.ดร.รัตติยา ภูละออระบบการศึกษาความเหลื่อมล้ำ

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Education trend
    เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

ทำไมมนุษย์มักจะลำเอียงให้คนหน้าตาดีเสมอ
How to enjoy life
10 November 2021

ทำไมมนุษย์มักจะลำเอียงให้คนหน้าตาดีเสมอ

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ชวนคุยกับจิตวิทยาของใบหน้ากันว่า ทำไมมนุษย์ถึงแยกแยะได้ว่าใครหน้าตาดีหรือไม่ดี หน้าแบบไหนกันแน่ที่เรียกว่าหน้าตาดี ทำไมคนเราถึงชอบคนหน้าตาดี และคนหน้าตาดีนั้นจริงๆ แล้วดีก็แค่ใบหน้าหรือเปล่า
  • คำว่า ‘หน้าตา’ นั้นไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่หมายถึงสิ่งที่มองเห็นภายนอกไม่ว่าจะเป็น หุ่น การแต่งตัว การแต่งหน้า รวมถึงบุคลิกท่าทาง ล้วนแต่รวมเป็นภาพที่คนอื่นๆ จะรับรู้ตัวเราทั้งนั้น
  • การลำเอียงเพราะหน้าตานั้นมักจะเกิดเพราะเราไม่รู้ข้อมูลของคนคนหนึ่งมากพอ ดังนั้นการพยายามหาข้อมูลให้เพียงพอจะลดอคติตรงนี้ หากครูต้องให้คะแนนรายงานเด็ก ก็อาจจะต้องหาวิธีที่ละเอียดขึ้นว่า คะแนนนี้มาจากส่วนไหนกำหนดไว้ให้ชัดเจน

หากถามว่าในร่างกายของเราส่วนใดนั้นที่เป็นตัวแทนของเราได้ดีที่สุด คำตอบที่หลายๆ คนคงตอบตรงกันคือ ‘ใบหน้า’ ปกติแล้วเวลาเราจะจำใครเราก็จำเขาที่ใบหน้า คงน้อยคนที่จำคนด้วยการจำฝ่ามือหรือหัวไหล่ ใบหน้านั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ให้ความสำคัญมากครับ เนื่องจากแต่ละคนนั้นหน้าตาไม่เหมือนกันและยังมีการแบ่งคนออกเป็นคนที่ ‘หน้าตาดี’ และ ‘หน้าตาไม่ดี’ ถึงแม้ในบทเรียน คติสอนใจ หรือเรื่องราวต่างๆ มักจะสอนเราว่า หน้าตาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตานั้นยังเป็นสิ่งที่สังคมให้ความสำคัญเสมอ หากคิดไม่ออก ท่านเคยเห็นคนหน้าตาไม่ดีเป็นพระเอกหรือนางเอกสักกี่คนในชีวิตครับ หรือแม้แต่พิธีกร ดาราในโฆษณา พรีเซนเตอร์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่หน้าตาดีเกือบทั้งนั้น 

หลายๆ คนคงคิดเสมอว่าคนหน้าตาดีก็เหมือนมีทุนดีกว่าคนอื่น ทำอะไรก็ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ โลกนี้มันช่างลำเอียงเหลือเกิน แล้วในโลกความจริงคนเราลำเอียงในเรื่องนี้หรือเปล่า คำตอบนี้อาจเป็นข่าวร้ายครับ เพราะปกติแล้วมนุษย์มักจะลำเอียงให้คนหน้าตาดีเสมอ มีงานวิจัยสุดคลาสสิกที่ศึกษาและพบว่าครูมักจะมองว่าเด็กที่หน้าตาดีเรียนเก่งกว่าเด็กที่หน้าตาไม่ดีโดยไม่รู้ตัว และศาลนั้นมักจะลงโทษคนหน้าตาดีเบากว่าคนหน้าตาไม่ดีโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ฟังดูแล้วโลกนี้มันโหดร้ายเสียจริง 

ในวันนี้ผมเลยมาชวนคุยกับจิตวิทยาของใบหน้ากันว่า ทำไมมนุษย์ถึงแยกแยะได้ว่าใครหน้าตาดีหรือไม่ดี หน้าแบบไหนกันแน่ที่เรียกว่าหน้าตาดี ทำไมคนเราถึงชอบคนหน้าตาดี และคนหน้าตาดีนั้นจริงๆ แล้วดีก็แค่ใบหน้าหรือเปล่า

มนุษย์ทุกคนแยกแยะว่าใครหน้าตาดีหรือไม่ดีออกโดยไม่ต้องให้ใครมาสอนครับ และถึงแม้จะมีความแตกต่างทางรสนิยมบ้าง แต่โดยรวมก็มีใบหน้าที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าหล่อจริงสวยจังอยู่ อย่างเช่นหน้าของดาราที่คนก็มักจะเห็นตรงกันว่าแบบนี้แหละคือสวยหรือหล่อ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นสิ่งใดที่ทำได้โดยไม่ต้องสอนมักจะฝังอยู่ใน ‘ยีน’ หรือรหัสพันธุกรรมของเราเหมือนโปรแกรมสำเร็จรูป และยีนก็เป็นแหล่งที่สะสมข้อมูลวิวัฒนาการของมนุษย์เอาไว้ สิ่งใดที่คนเราชอบมักจะมีเหตุผลหลักๆ สองอย่างคือ ช่วยในการเอาชีวิตรอด และช่วยให้มีคู่สืบพันธุ์ แล้วหน้าตาดีมันช่วยเรื่องใดในสองข้อนี้กัน

นักจิตวิทยาได้วิจัยและพบว่าหน้าตาดีนั้นคือหน้าที่มีสัดส่วนทั้งขนาดรูปร่างของศีรษะและอวัยวะบนใบหน้า ตา หู จมูก ปาก รวมถึงตำแหน่งของอวัยวะต่างๆ นั้นอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย หรือถ้าเราเอาคนหลายๆ คนมาเฉลี่ยขนาดและตำแหน่งอวัยวะบนใบหน้ากัน เราจะได้คนหน้าตาดีครับ พูดง่ายๆ คือหน้าตาดีคือใบหน้าที่มีสัดส่วนพอดีไม่มีสิ่งใดที่มากไปหรือน้อยไป แล้วหน้าตาเฉลี่ยแบบนี้มันมีประโยชน์อะไร 

คำตอบคือความพอดีมักจะแสดงถึงความปกติ ไม่พิการ ไม่บกพร่อง และนั่นแสดงว่าบุคคลนั้นน่าจะสุขภาพดี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนแต่ต้องการคู่รักที่มียีนที่แข็งแรง เพื่อลูกที่มีด้วยกันจะได้แข็งแรงอยู่รอดสืบเผ่าพันธุ์ไป แต่คนเราดูยีนไม่เห็น เราเลยดูสิ่งที่สะท้อนมาจากส่วนหนึ่งของยีนก็คือใบหน้านั่นเองครับ ดังนั้นใบหน้าเฉลี่ยๆ แบบนี้แหละที่มนุษย์จะชอบ และมองว่ามันหล่อหรือสวย ความชอบนี้มันฝังอยู่ในยีนของเรามาเป็นแสนปีเป็นอย่างต่ำแล้ว และทำให้เราจำแนกได้ว่าใครหน้าตาดี เพื่อหาพ่อหรือแม่ที่ดีให้ลูกเราเอง 

แต่ถึงจะวิวัฒนาการมาเป็นแสนๆ ปี แต่การแยกคนด้วยใบหน้าก็ไม่ได้แยกความแข็งแรงของร่างกายหรือของพันธุกรรมได้แม่นยำเสมอไปหรอกนะครับ มันเป็นเพียงหลักคร่าวๆ นอกจากนี้มนุษย์เราเองก็เลือกคู่ด้วยปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาตั้งแต่โบราณแล้วเช่นกัน แต่นี่เป็นการอธิบายว่า เบ้าหน้าพระเอกนางเอกนี่มันทำให้คนทั่วไปรู้สึกชอบด้วยเหตุเบื้องหลังทางวิวัฒนาการแบบนี้นี่เอง แม้ว่าในปัจจุบันด้วยอาหารการกินและความก้าวหน้าของการแพทย์ทำให้มนุษย์มีสุขภาพแข็งแรงได้ถ้วนหน้า แต่สิ่งที่ฝังอยู่ในยีนนั้นมันใช้เวลานานมากเป็นหลักแสนหลักล้านปีในการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราก็ยังชอบคนหน้าตา ‘หล่อ’ ‘สวย’ กันแบบนี้ต่อไปอีกนาน

ความชอบนั้นเป็นบ่อกำเนิดของความลำเอียง และคนร้ายก็คือสมองของเราเอง ที่เราคุยกันไปตอนต้นว่ามีงานวิจัยที่บอกว่าคนเรามักจะลำเอียง มองว่าคนหน้าตาดีนั้นเก่งกว่า ฉลาดกว่า เป็นคนดีกว่า สิ่งนี้หลายครั้งมันลำเอียงไปเองโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะสมองของมนุษย์มักจะหาทางที่สะดวกในการตัดสินใจสิ่งต่างๆ และการตัดสินคนว่าเก่งไหม ดีไหม ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญที่สมองต้องตัดสินให้ได้ 

ประเด็นคือเวลาเราไปเจอใครโดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก หรือยังไม่สนิท เรามีข้อมูลของคนคนนั้นน้อยมากครับ เขาเก่งไหมเขาดีไหมเราก็ไม่มีข้อมูลเลย สมองเลยหาทางตัดสินให้โดยเลือกจากข้อมูลที่เราพอจะมี แล้วข้อมูลอะไรล่ะครับที่เรามักจะมีเป็นอย่างแรก คำตอบก็คือใบหน้าของคนนั่นเอง พอเห็นว่าหน้าตาดี สมองก็คิดง่ายๆ ว่าอย่างอื่นน่าจะดีไปด้วย นี่ไม่ใช่แค่หน้าตาของคนนะครับ แต่ทุกอย่างนั้นถ้าสวยแล้วด้านอื่นก็มักจะถูกมองว่าดีไปด้วย เหมือนอาหารที่จัดแต่งดีๆ ก็ดูน่ากิน ทั้งๆ ที่หน้าตากับรสชาติมันไม่จำเป็นต้องไปด้วยกัน ทางจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Halo effect’ เหมือนความสวยงามมันกลายเป็นประกายเจิดจรัสให้อะไรก็ดูดีไปหมด 

แน่นอนว่าในทางร่างกายแล้ว หน้าตาไม่ได้มีผลอะไรกับสมองและความสามารถอื่นๆ และไม่มีผลต่อจริยธรรมว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดีด้วย แต่การมีหน้าตาดีนั้นก็มีข้อดีที่แฝงมาทำให้คนที่หน้าตาดีมีความได้เปรียบจริงๆ ไม่ใช่คิดไปเองในบางครั้งด้วยนะครับ แต่มันเป็นผลทางเกิดทางอ้อมผ่านคนรอบๆ ตัวแทน

จากการวิจัยในห้องเรียนนั้น นอกจากจะพบว่าครูมักลำเอียงสนใจเด็กที่หน้าตาดีโดยไม่รู้ตัว มองว่าเด็กหน้าตาดีฉลาดกว่า ตั้งใจเรียนกว่า แล้วเรายังพบว่าเด็กที่หน้าตาดีจะได้รับผลดีจากการลำเอียงของครูในการทำให้ตนเองเก่งขึ้นจริงๆ 

เพราะเมื่อครูคาดหวังว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กดี น่าจะเก่ง ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่เก่งกว่าคนอื่นๆ แต่ด้วยความคาดหวังโดยไม่รู้ตัว ครูก็อาจจะเรียกเด็กคนนั้นตอบคำถามบ่อยกว่าเด็กคนอื่น ทำให้เด็กได้ฝึกฝนมากกว่า หรือถ้าเด็กตอบไม่ได้ ครูก็มักจะพยายามช่วยอธิบายจนเด็กเข้าใจและตอบได้ เพราะลึกๆ คิดว่าเด็กคนนี้น่าจะทำได้สิ แตกต่างจากเด็กหน้าตาไม่ดีที่ครูอาจจะไม่คิดว่าทำได้ และถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่แปลกใจ และไม่ได้พยายามช่วยเป็นพิเศษ ดังนั้นในระยะยาวเด็กที่หน้าตาดีเลยมีโอกาสพัฒนาให้เก่งขึ้นกว่าเด็กหน้าตาไม่ดีตามความคาดหวังจริงๆ ปรากฏการณ์นี้ทางจิตวิทยาเรียกว่า ‘Self-fulfilling prophecy’ ซึ่งก็คือความคาดหวังหรือผลการทำนายนั้นส่งผลให้คนเราทำอะไรที่เอื้อต่อสิ่งที่ตนคาดหวัง และทำให้ผลนั้นออกมาตามที่หวังได้จริง ๆ

นอกจากนี้ทักษะในการเข้าสังคมของคนหน้าตาดีนั้นมักจะดีกว่า เพราะคนก็จะเป็นมิตรกับคนหน้าตาดีมากกว่าโดยไม่รู้ตัวเพราะ Halo effect ทำให้สมองคิดว่าคนหน้าตาดีน่าจะเป็นคนดี น่าคบหา และพอคนมักจะพูดกับคนหน้าตาดีแบบเป็นมิตรมากกว่า คนหน้าตาดีก็เลยมีแนวโน้มที่จะมีโอกาสฝึกฝนทักษะการเข้าสังคมมากกว่า เลยดูเป็นมิตรขึ้นจริงๆ ส่วนคนหน้าตาไม่ดีนั้นพอคนไม่ค่อยเข้าไปคุยด้วยก็ยิ่งทำให้โอกาสฝึกฝนมีน้อยไปอีก และทำให้ดูเป็นมิตรน้อยกว่า ดังนั้นหน้าตาดีนั้นจึงเป็นเหมือนทุนและข้อได้เปรียบที่ช่วยส่งเสริมเจ้าของใบหน้าทางอ้อมได้เหมือนกัน

อ่านถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่าโลกช่างไม่ยุติธรรมเลย แล้วจะทำอย่างไรถ้าเราไม่ได้เกิดมาหล่อสวยโดดเด่น แบบนี้ไม่เท่ากับว่าต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่แย่กว่าคนหน้าตาดีหรือ ชีวิตอาจจะไม่ได้แย่ถึงขนาดแก้ไขอะไรไม่ได้ครับ แน่นอนว่าศัลยกรรมอาจเป็นทางแก้ที่ดูตรงจุดที่สุดหากคนไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตน และยุคสมัยใหม่ก็คงไม่ได้มองว่านี่เป็นสิ่งที่ผิดแปลกอีกแล้ว แต่ก็คำนึงถึงผลดีหรือผลเสียก่อนที่จะทำให้ดีแล้วกันนะครับ แต่ถ้าไม่มีเงินหรือไม่ได้รู้สึกเกลียดใบหน้าตนเองขนาดนั้น แต่แค่รู้สึกว่าฉันอยากได้โอกาสแบบคนหน้าตาดีบ้าง มีวิธีอื่นๆ อีกไหม แน่นอนว่ามีครับ

คำว่า ‘หน้าตา’ นั้นไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่หมายถึงสิ่งที่มองเห็นภายนอกไม่ว่าจะเป็น หุ่น การแต่งตัว การแต่งหน้า รวมถึงบุคลิกท่าทาง ล้วนแต่รวมเป็นภาพที่คนอื่นๆ จะรับรู้ตัวเราทั้งนั้น 

จริงอยู่ว่าใบหน้านั้นเป็นสิ่งที่เด่นที่สุดเป็นธรรมชาติ แต่คนเราก็มักจะมองอะไรเป็นภาพรวมไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นแม้ใบหน้าไม่ได้สวยหล่อมาก แต่หุ่นดี แต่งตัวก็ดูเก๋ บุคลิกก็ดูเท่ สิ่งเหล่านี้ช่วยขับให้หน้าตาของคุณดูดีขึ้นได้เหมือนกันด้วย Halo effect เจ้าเก่า ที่พอมีอะไรดีสักอย่าง อย่างอื่นมันจะดีตามไปด้วย และไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาหุ่น การแต่งตัวให้เหมาะ หรือปรับบุคลิกให้ดูดี เป็นสิ่งที่เราปรับเปลี่ยนเองได้หากพยายามจริงไหมครับ

อีกประเด็นคือการจะดูว่าคนไหนหน้าตาดีหรือไม่ดีนั้น มันยังมีเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคลมาเกี่ยวข้องด้วย บางครั้งเราจะพบว่าบางคนเรามองว่าไม่ได้หล่อสวยระดับพระเอกนางเอก แต่ก็ดูใช้ได้ทีเดียว แต่พอไปถามเพื่อน เพื่อนกลับส่ายหน้ารัวๆ ว่าไม่เห็นดีเลย นั่นแปลว่าบางคนอาจจะไม่ได้หล่อหรือสวยโดดเด่นในสายตาคนส่วนใหญ่เหมือนดารา แต่อาจจะหน้าตาดีในสายตาของบางคนก็ได้ และนอกจากนี้ที่ชัดสุดๆ คือเรื่องของเชื้อชาติ คนต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ก็มีรสนิยมในการชอบใบหน้าที่ต่างกันพอสมควร เราอาจจะหน้าตาไม่ดีเท่าไรในประเทศหนึ่ง แต่เราอาจจะหน้าตาดีขึ้นในสายตาของคนประเทศอื่นก็ได้ 

นอกจากนี้ต่อให้หน้าตานั้นเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญเหลือเกิน แต่พอคนเรารู้จักกันไปนานๆ เข้า ข้อมูลในส่วนอื่นๆ มันจะทำให้คนรู้ว่าคนนี้ดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่งในเรื่องไหน น่าคบหรือไม่ หน้าตาจะมีผลมากๆ แค่ตอนรู้จักใหม่ๆ ตอนยังไม่สนิท แต่พอสนิทขึ้น รู้จักในด้านอื่นๆ มากขึ้น ข้อมูลเหล่านั้นจะมาแทนที่ข้อมูลปลอมๆ จาก Halo effect ให้หายไป และด้านที่ดีหรือไม่ดีอื่นๆ จะมีผลในการประเมินหรือตัดสินคนคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนผลของใบหน้าจะค่อยๆ ลดไปตามเวลา 

เราคงมีเพื่อนหรือคนสนิทที่ไม่ได้หน้าตาดี แต่เป็นคนที่เราอยากไปไหนมาไหนด้วย พูดคุยแล้วถูกคอเพราะนิสัยดีหรือมีสิ่งอื่นๆ ที่ดี และหากสังเกตแล้วคนดังหลายๆ คนก็ไม่ได้หน้าตาดี แต่ดังด้วยความสามารถ คู่รักที่รักกันยาวนานหลายคู่มักจะบอกว่าชีวิตคู่นั้น หน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับนิสัยเลย และที่สำคัญ คนเรามีความเคยชิน ต่อให้หน้าตาดีแค่ไหน เห็นทุกวันมันก็เบื่อได้ครับ และไม่มีใครอยากคบกับคนนิสัยไม่ดีแต่หน้าตาดีหรอกครับ หรือไม่มีใครอยากจ้างคนที่หน้าตาดีแต่ไม่เก่งจริงๆ หากงานนั้นมันไม่เกี่ยวกับการใช้ใบหน้า

สุดท้ายเรามาย้อนมาดูเรื่องความลำเอียงกันอีกครั้ง ในเมื่อเรารู้ว่าหน้าตานั้นจะทำให้เราลำเอียงมองว่าคนสวยหรือหล่อดีกว่าความเป็นจริง เราจะทำอย่างไรถ้าเราอยู่ในตำแหน่งที่ต้องตัดสินคนอย่างยุติธรรม เช่น เราเป็นครู เป็นหัวหน้า ทำงานในศาล หรือตอนเราเลือกตั้ง การลำเอียงเพราะหน้าตานั้นมักจะเกิดเพราะเราไม่รู้ข้อมูลของคนคนหนึ่งมากพอ ดังนั้นการพยายามหาข้อมูลให้เพียงพอจะลดอคติตรงนี้ หากครูต้องให้คะแนนรายงานเด็ก ก็อาจจะต้องหาวิธีที่ละเอียดขึ้นว่า คะแนนนี้มาจากส่วนไหนกำหนดไว้ให้ชัดเจน เช่น เนื้อหาครบถ้วนแค่ไหน มีจุดผิดพลาดมากน้อยเพียงใด หรือหัวหน้าเวลาจะปฏิบัติกับลูกน้อง ก็อาจจะต้องมานั่งพิจารณาให้รอบด้านว่าลูกน้องแต่ละคนมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร ดูให้ละเอียดขึ้น เอาให้รู้ว่าเราชอบไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจตรงไหน เพราะอะไร และมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องใบหน้าหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็ช่วยลดความลำเอียงไปได้บ้างครับ

สังคมอาจจะไม่ค่อยยุติธรรม หน้าตาดีอาจจะได้เปรียบ แต่นั่นก็เพราะคนเราแตกต่าง และเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ความแตกต่างนั้นทำให้โลกไม่น่าเบื่อ มีความหลากหลายและสวยงาม ถ้าไม่มีคนหน้าตาไม่ดีไว้เปรียบเทียบ ก็ไม่มีคนหน้าตาดีให้รู้สึกชื่นชมหลงใหลเช่นกัน ทุกคนต่างมีคุณค่าในตัวของตัวเองจริงไหมครับ

อ้างอิง

Dion, K., Berscheid, E., & Walster, E. (1972). What is beautiful is good. Journal of personality and social psychology, 24(3), 285.

Eagly, A. H., Ashmore, R. D., Makhijani, M. G., & Longo, L. C. (1991). What is beautiful is good, but…: A meta-analytic review of research on the physical attractiveness stereotype. Psychological bulletin, 110(1), 109.

Efran, M. G. (1974). The effect of physical appearance on the judgment of guilt, interpersonal attraction, and severity of recommended punishment in a simulated jury task. Journal of Research in Personality, 8(1), 45-54.

Langlois, J. H., Roggman, L. A., & Musselman, L. (1994). What is average and what is not average about attractive faces?. Psychological science, 5(4), 214-220.

Langlois, J. H., Kalakanis, L., Rubenstein, A. J., Larson, A., Hallam, M., & Smoot, M. (2000). Maxims or myths of beauty? A meta-analytic and theoretical review. Psychological bulletin, 126(3), 390.

Little, A. C., & Perrett, D. I. (2002). Putting beauty back in the eye of the beholder. The Psychologist.

Perrett, D. I., Burt, D. M., Penton-Voak, I. S., Lee, K. J., Rowland, D. A., & Edwards, R. (1999). Symmetry and human facial attractiveness. Evolution and human behavior, 20(5), 295-307.

Snyder, M., Tanke, E. D., & Berscheid, E. (1977). Social perception and interpersonal behavior: On the self-fulfilling nature of social stereotypes. Journal of Personality and social Psychology, 35(9), 656.

Thorndike, E. L. (1920). A constant error in psychological ratings. Journal of applied psychology, 4(1), 25-29.

Tags:

จิตวิทยาบุคลิกภาพHalo effectSelf-fulfilling prophecy

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Character building
    ‘บุคลิกภาพ’ สร้างได้? เข้าใจ 5 บุคลิกหลักจากมุมมองทางจิตวิทยา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    ลูกจะนิสัยเหมือนฉันไหม: บุคลิกภาพและการส่งต่อทางสายเลือด

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    มองโลกแบบไหนถึงเรียกว่าในแง่ร้าย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ทลายกำแพงห้องเรียน กับ 5 พื้นที่เรียนรู้รอบเขาใหญ่ เมื่อระบบการศึกษาแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์
Creative learning
8 November 2021

ทลายกำแพงห้องเรียน กับ 5 พื้นที่เรียนรู้รอบเขาใหญ่ เมื่อระบบการศึกษาแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์

เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • 5 พื้นที่เรียนรู้รอบเขาใหญ่ มีห้องเรียนรู้หลายแบบ หลายวิชา ทุกวิชาไม่ต้องท่องจำและไม่ต้องทำข้อสอบ พร้อมให้เด็กๆ และผู้คนที่สนใจได้ไปเรียนรู้หรือลองใช้ชีวิต เพื่อจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ในช่วงที่ระบบการศึกษาอาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของชีวิตแบบทุกวันนี้
  • เป็นการเรียนรู้ที่ใช้ความรู้สึกนำ เพราะสิ่งที่ประทับอยู่ในความรู้สึกมักจะติดนานกว่าความรู้ที่มาจากการท่องจำมาก 
  • สำหรับเด็กๆ แล้ว นี่คือการฝึกทักษะอย่างแท้จริง เพราะทักษะไม่ได้เกิดขึ้นได้จากการท่องจำ หรือลงมือทำแค่ครั้งเดียว ทักษะคือการลงมือทำซ้ำๆ เมื่อซ้ำมากพอจนอยู่มือ สิ่งนั้นจะกลายเป็นความชำนาญ จะเอาความชำนาญไปพัฒนาต่อยอดเป็นอะไรก็ตามแต่ 

ถ้าเราเชื่อมั่นเหมือนกันว่าห้องเรียนของลูกกว้างกว่าห้องสี่เหลี่ยม ถ้าเราเห็นเหมือนกันว่าความรู้ไม่ได้มีแค่ในตำรา และครูของลูกก็ไม่ใช่แค่คนที่สอนในโรงเรียนเท่านั้น  แสดงว่าเราเชื่อมั่นสิ่งเดียวกัน ในช่วงเวลาที่เสียงบ่น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเรียนออนไลน์ของเด็กๆ ดังหนาหูขึ้นทุกวัน ทั้งจากเด็ก จากผู้ปกครอง ไม่เว้นแม้แต่จากครูเอง สภาวะแบบนี้ยิ่งอยู่นานยิ่งไม่ส่งผลดีกับใครเลย  

ครั้งนี้เราจึงอยากชวนทุกคนไปตามหาทางเลือกที่จะตอบโจทย์ชีวิตให้ลูกหลานกับ 5 พื้นที่ 5 กลุ่มรอบอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในนามเครือข่ายเขาใหญ่ดีจังที่เรามีโอกาสไปร่วมทริปครั้งนี้ ซึ่งเชื่อมั่นเรื่องเดียวกันและลงมือทำ ลงมือสร้างการเรียนรู้ที่ต่างไปจากเดิม ลองตามไปดูกันว่าแต่ละที่สร้างการเรียนรู้แบบไหนให้เด็กๆ กันบ้าง และที่ไหนน่าจะเหมาะกับลูกเรา

โลกคือห้องเรียนของเด็ก วิธีเรียนรู้ต้องหลากหลาย

(สวนไฟฝัน : กลุ่มไม้ขีดไฟ ปากช่อง นคราชสีมา)

การดูแลสุขภาพและการจัดการศึกษา คืออำนาจ  2  อย่างที่รัฐยึดไปจากเรานานแสนนานจนเราง่อยเปลี้ยเสียขา ทำอะไรไม่ได้ ป่วยนิดหน่อยก็ต้องพึงรัฐ(โรงพยาบาล) อยากให้ลูกอ่านออกเขียนได้ก็ส่งเข้าโรงเรียน ตั้งแต่ปากยังคาบขวดนมอยู่เลย วันนี้เมื่อการระบาดของโควิด 19 ทำให้ระบบโรงเรียนแบบเดิมทำหน้าที่ไม่ได้ เด็กๆ ต้องอยู่กับบ้าน เรียนที่บ้าน ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทั้งกับเด็ก ผู้ปกครอง และครูผู้สอน เพราะผู้ปกครองก็จัดการเรียนการสอนให้ลูกหลานเองไม่ได้ รับมือไม่เป็น ครูก็คุ้นชินกับการยืนสอนหน้าชั้นเรียน เมื่อไม่มีชั้นเรียน ไม่มีนักเรียน ทุกอย่างจึงดูยากไปหมด เด็กเองที่ห้องเรียนไม่เคยฝึกทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองเลย คุ้นชินกับการถูกสอนและบังคับเรียน ก็ยากที่จะเรียนผ่านเครื่องมือแบบออนไลน์เช่นนี้

ที่สวนไฟฝัน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ทำทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่รัฐสร้างไว้ เพราะความจริงแล้วอำนาจในการจัดการศึกษาให้ลูกหลานเคยเป็นของเรา เคยเป็นของชุมชนมาก่อน เพียงวันนี้มันถูกยึดไป ที่นี่จึงออกแบบพื้นที่ด้วยความคิดความเชื่อมั่นที่ว่า โลกคือห้องเรียนของเด็ก วิธีการเรียนรู้ของเด็กไม่ใช่แค่นั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยม แต่ต้องมีวิธีการที่หลากหลายเพราะเด็กแต่ละคนมีความหลากหลาย และไม่มีทางเหมือนกัน  รวมทั้งเชื่อว่าใครๆ ก็เป็นครูของเด็กๆ ได้ ทั้งปู่ ย่า ตา ยาย เกษตรกร คนเลี้ยงวัว แมลง พืช ฯลฯ 

ที่นี่จึงไม่มีห้องเรียน แต่มีลานโล่ง มีแปลงผัก มีต้นไม้ใหญ่ มีลำน้ำ มีเตาเซรามิก มีแป้งขนมปัง มีสี มีนิทาน มีของเล่นมากมาย บางครั้งก็มีพี่ๆ ชาวต่างชาติด้วย

ที่นี่ไม่มีครูผู้รู้ที่ยืนสอนหน้าชั้น แต่มีพี่ๆ ที่ชวนตัด พับ ปะ ระบายสี ชวนปืนต้นไม้ ชวนย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ หรือบางครั้งชวนลุยสวนด้วยภาษอังกฤษ ภาษาจีน ที่นี่มีคุณลุงที่ชวนเด็กๆ ลงมือปลูกผัก เพาะต้นกล้า มีคุณป้าที่ชวนเด็กๆ เก็บผักที่ปลูกมารังสรรค์เป็นเมนูสารพัดตามใจชอบ มีคุณอาที่ชวนเด็กๆ พายเรือสำรวจลำน้ำ สำรวจสัตว์หายากริมฝั่งน้ำ ฯลฯ

ที่นี่สอนให้เด็กๆ รู้จักชีวิต รู้ว่าชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร พี่กุ๋ยซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่บอกเราว่า “ยังไม่ต้องรู้ว่าอยากจะเป็นอะไรก็ได้ แค่รู้ว่าไม่ชอบอะไร ก็ทำให้เด็กๆ สามารถมีตัวเลือกในการพัฒนาตัวเองต่อไปได้แล้ว”

ทุก (วิชา) กิจกรรมที่ออกแบบ จึงเป็นเหมือนการเสิร์ฟอาหารที่มีรสชาติหลากหลายให้เด็กๆ ได้ชิม  ต้องมีสักจานแหละที่ถูกใจ  อยากกินอีก หรืออยากลองลงมือทำเอง เป็นเรื่องที่เด็กต้องไปต่อยอดและลงลึกแล้วหละ วิชา (กิจกรรม)เหล่านี้จึงไม่ต้องอาศัยความรู้ระดับปริญญาจากครูผู้สอน แต่เรียนรู้และลงมือทำจากผู้รู้ที่มีประสบการณ์ตรงได้เลย สิ่งที่เด็กจะได้กลับไปไม่ใช่ความรู้ที่ท่องเอาไปทำข้อสอบ แต่เป็นความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบต่อสิ่งนั้น 

การเรียนรู้ที่นี่ใช้ความรู้สึกนำ เพราะสิ่งที่ประทับอยู่ในความรู้สึกมักจะติดนานกว่าความรู้ที่มาจากการท่องจำมาก  

หากการเรียนรู้ของเด็กๆ ขับเคลื่อนแบบนี้แล้ว การที่เด็กต้องอยู่บ้านนานๆ ก็จะไม่เป็นปัญหาของผู้ปกครองอีกต่อไป หากเชื่อมั่นกฎของธรรมชาติที่ว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนกัน ต้นไม้แต่ละต้นยังต้องการดิน แดด ปุ๋ยที่ต่างกันเลย เด็กๆ ก็เช่นกัน การออกแบบการเรียนออนไลน์ก็จะไม่เป็นปัญหาของครู (ระบบการศึกษา) อีกต่อไป แต่ถ้าหากระบบการศึกษายังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่จึงเป็นเวลาที่ต้องยึดอำนาจในการจัดการศึกษาให้ลูกหลานมาไว้ที่เราบ้างแล้ว  และที่นี่จึงเป็นเหมือนห้องเรียนชีวิตที่คู่ขนานไปกับโรงเรียน สอนในสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน แต่เอาไปใช้ในชีวิตได้จริง

เรื่องกล้วยกล้วย ที่ไม่เคย ‘กล้วย’ อย่างชื่อ

(สวนปู่สม : กลุ่มลูกมะปราง แก่งคอย สระบุรี)

“สวนกว่า 50 ไร่ พ่อปลูกทั้งกล้วย ทั้งไผ่ และต้นไม้สารพัดชนิดทิ้งไว้ให้ จึงตั้งใจว่าอยากทำสวนของพ่อให้เป็นห้องเรียนรู้สำหรับเด็กๆ ลูกหลานต้องได้ใช้ประโยชน์จากสวนนี้ ไม่ใช่แค่เก็บดอกผลจากพืชพรรณของพ่อ แต่ต้องเรียนรู้ชีวิตจากสวนของพ่อด้วย” พี่หนึ่ง หัวเรือใหญ่กลุ่มลูกมะปรางเล่าที่มาของสวนให้ฟังด้วยดวงตาเป็นประกาย

แค่กล้วยเรื่องเดียว ก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าเรียนรู้ได้ไม่รู้จบ ที่นี่ต้อนรับเราด้วย Welcome Drink ที่เป็นน้ำหมัก (Combucha) ทำจากกล้วย  อาหารเที่ยงเป็นทอดมันหัวปลี ลาบไก่ใส่หยวกกล้วย และแกงเผ็ดไก่ใส่ลูกกล้วย ตบท้ายด้วยขนมหวาน แน่นอนมันคือ กล้วยบวดชีและกล้วยเชื่อม อิ่มท้องแล้วเราทำกิจกรรมกัน ทำหน้ากากหยวกกล้วย เป็นงานฝีมือที่ใช้ทักษะการแทงหยวกที่ใช้ในพิธีกรรมชั้นสูง ที่มีสอนกันในศิลปะช่างสิบหมู่อีกด้วย ต่อด้วยการทำกระทงใบตองสารพัดแบบ เพื่อไปใส่ขนมกล้วยที่พวกเราช่วยกันทำเป็นของว่างบ่ายนี้ เมื่อได้ลงมือทำเราเองรู้ตัวเลยว่า ช่างเป็นคนใจร้อนเอาเสียจริง แทงหยวกดูเหมือนง่ายแต่ทำออกมาโย้เย้มาก แม้แต่การจับจีบกระทงใบตอง แตกแล้วแตกอีก หาความสวยงามไม่ได้เลย จนต้องทำซ้ำๆ หลายๆ ใบ คุมใจตัวเองให้นิ่ง  กระทงจึงกลับมาดูสวยงามได้บ้าง

สำหรับเด็กๆ แล้ว นี่คือการฝึกทักษะอย่างแท้จริง เพราะทักษะไม่ได้เกิดขึ้นได้จากการท่องจำ หรือลงมือทำแค่ครั้งเดียว ทักษะคือการลงมือทำซ้ำๆ เมื่อซ้ำมากพอจนอยู่มือ สิ่งนั้นจะกลายเป็นความชำนาญ จะเอาความชำนาญไปพัฒนาต่อยอดเป็นอะไรก็ตามแต่ 

นี่คือสิ่งที่เด็กๆ ต้องได้ฝึก และที่นี่พร้อมให้เด็กได้ฝึกทักษะเหล่านั้น พร้อมให้เด็กได้ทำผิดพลาด พร้อมให้เริ่มทำชิ้นใหม่เสมอ โดยไม่ถูกล้อ ไม่โดนตัดคะแนน

“แกงกล้วยแบบนี้ไม่ค่อยมีให้กินบ่อยแล้ว ชาวบ้านไม่ค่อยทำกันเพราะมันยุ่งยาก นอกจากโอกาสพิเศษจึงจะทำกินทีนึง”

“กระทงใบตองแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีใช้แล้ว แม่ค้าเค้าใช้พลาสติกมากกว่ามันสะดวกดี”

“ของเล่นจากหยวกกล้วย ต้นกล้วยไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครทำให้ลูกเล่นแล้ว ของเล่นในตลาดเยอแยะ”

“กล้วย  กล้วย” เป็นคำแสลงที่ให้ความหมายว่า ง่ายๆ สบายๆ แต่เมื่อมาเรียนรู้กับที่นี่พบว่า กล้วย กล้วย มีความหมายมากมายในชีวิต และที่สำคัญไม่ได้ง่ายๆ อย่างความหมายทั่วไป หากแต่เป็นเครื่องมือให้เราเรียนรู้ชีวิตมากมายจากกล้วย ไม่ต่างจากการจัดการเรียนรู้ให้ลูกหลาน ดูเหมือนง่าย(หากทำตามๆ กันไป) แต่ถ้าลงรายละเอียดจะพบว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่เป็นสิ่งที่มีความหมาย และต้องทำอย่างเอาใจใส่

สำรวจอย่างง่ายในสวน สู่การสำรวจเชิงลึกในป่า

(The tropical E-co Coffee : กลุ่มใบไม้ บ้านนา นครนายก)

จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด ที่นี่คืออะไรกัน?   

ก. สวนมะยงชิด  ข. สตูดิโอถ่ายภาพ  ค. คาเฟ่  ง. พื้นที่กิจกรรม 

พวกเราเดินทางผ่านสวนมะยงชิดเข้าไป จึงพบอาคารทรงเท่ๆ หลังนึง ตั้งอยู่กลางสวน ข้างในให้แสงนวลตา แสงไฟนุ่มๆ ยกกล้องไปมุมไหนก็ทำให้ภาพได้แสงสวยมาก ด้านข้างมีบาร์กาแฟ และที่นั่งสบายๆ ในพื้นที่ไม่กว้างนัก ให้อารมณ์อบอุ่นและเป็นกันเอง มาถึงที่นี่พวกเราไม่ใช่แค่ได้ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ชอบเท่านั้น แต่เรายังได้รับรู้เรื่องราวของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟแต่ละแบบที่เราเลือก รู้จักคนเลี้ยงผึ้งที่เอาน้ำผึ้งมาผสมเครื่องดื่มให้เรา รู้จักธรรมชาติของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ รู้จักเจ้าของสูตรผสมเครื่องดื่มแต่ละชนิด รู้จักบาริสต้าที่ชงกาแฟให้เราดื่ม รู้จักความเป็นมาเป็นไปของที่นี่ และที่สำคัญเรารู้ว่าทุกวัตถุดิบที่นี่ต้องไม่เบียดบังหรือเอาเปรียบธรรมชาติจนเกินไป

เมื่อเราดื่มด่ำกับเครื่องดื่มแก้วโปรดแล้ว ทีมงานกลุ่มใบไม้ยกอุปกรณ์ที่เป็นดอกไม้ ใบไม้ให้สี โกร่งบดยาและกระดาษมาชวนพวกเราทำกิจกรรม ‘โปสการ์ดจากสีธรรมชาติ’ มีกระดาษแผ่นเล็กๆ คล้ายๆ ใบงานให้พวกเราไปสำรวจใบไม้ในสวนตามลักษณะที่บอกในใบงาน ชวนพวกเราดูนกง่ายๆ ในสวนด้วย Application ที่สามารถโหลดได้จาก สมาร์ทโฟนของแต่ละคน เอ้า…เมื่อกี้เป็นร้านกาแฟอยู่เลย ไหงกลายเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมซะแล้ว รวมทั้งบาริสต้า คนเสิร์ฟเมื่อกี้ก็กลายมาเป็นผู้นำกิจกรรมให้พวกเราเรียนรู้กัน

เก่งหัวเรือใหญ่ของกลุ่มใบไม้ เล่าให้พวกเราฟังว่า จากประสบการณ์การทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อม และถ่ายภาพมายาวนานอยากทำที่นี่เป็นสตูดิโอ และใช้สวนมะยงชิดของปู่ให้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมเรื่องสิ่งแวดล้อมสำหรับเด็กไปในตัว 

ให้เป็นเหมือนพื้นที่เริ่มต้นในการบ่มเพาะหัวใจรักธรรมชาติในเด็ก ดูนก เรียนรู้ธรรมชาติอย่างง่าย ไม่เข้มงวดมากเหมือนเวลาเข้าป่าจริง หรือไปอยู่บนอุทยานจริง เป็นเหมือนการเตรียมตัว ชิมก่อน และถ้าชอบถ้าจุดติดก็ลงลึกในป่า ในอุทยานต่อไปได้ 

แล้วไอเดียคาเฟ่ก็เกิดขึ้น ด้วยความชอบความสนใจก็ส่วนหนึ่ง  แต่คาเฟ่ก็เป็นจุดที่จะดึงดูดผู้คนเข้ามารู้จัก มาเรียนรู้ มาทำกิจกรรม คาเฟ่จึงไม่ใช่แค่มาดื่ม แต่ในทุกเมนูที่เสิร์ฟ ก็รู้จักและรู้สึกกับธรรมชาติไปด้วยแล้วอย่างเป็น…ธรรมชาติ อย่างที่พวกเราได้สัมผัสไปแล้ว  

มาถึงตรงนี้ตอบคำถามด้านบนได้แล้วหละ เพียงแต่หากจะตอบให้ถูกจริงๆ คงต้องเพิ่ม Choice ข้อ จ. ถูกทุกข้อ ลงไปด้วยคำตอบข้อนี้จึงจะถูกที่สุด

อะไรที่ไม่รู้ก็ค้นคว้าก็เติม อะไรที่ไม่มีก็หา หลายๆ กิจกรรมของกลุ่มใบไม้เกิดจากอาสาสมัครที่สมัครใจจะทำ พวกเขาจึงสละเวลาวันหยุดจากการทำงานประจำเพื่อมาทำค่ายกับเด็กๆ สละค่าน้ำมันรถเดินทางมาเองเพื่อไปช่วยกิจกรรมแม่ปลาวางไข่ หรือสละเงินเพื่อเติมบางส่วนในกิจกรรมให้เต็ม บางครั้งหากหาผู้สนับสนุนกิจกรรมไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็ช่วยกันขายของระดมทุนเพื่อหาเงินไปทำกิจกรรมนั้น    

“ผมมักบอกเพื่อนๆ ในทีมเสมอว่า ทำในสิ่งที่เราทำได้ ณ จุดที่เราอยู่ ด้วยสิ่งที่เรามี แต่อย่าให้ความไม่มี มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำหากสิ่งนั้นมันสำคัญและจำเป็นต่อธรรมชาติและผู้คน”  เก่งบอกพวกเรา

คาเฟ่แห่งนี้จึงกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้เด็กๆ และผู้คนที่มาดื่มด่ำรสชาติกาแฟและเครื่องดื่มไปในตัว เรียนรู้แบบไม่เคร่งเครียด ไม่ยัดเยียด เป็นปรัชญาหนึ่งของการศึกษาที่ดี เพราะเรื่องนี้สำคัญและจำเป็นต่อมนุษย์

พื้นที่เรียนรู้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ 

(บ้านสวนมีกิน : กลุ่มต้นกล้า เมืองนครนายก)

ที่นี่ชวนเราตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อตามพี่ปูไปดูนกแถวบ้าน ด้อมๆ มองๆ ส่องนก จดจำสี ลักษณะ มาเทียบเคียงกับหนังสือตำราดูนก แล้วบันทึกว่านกที่เราเจอชื่ออะไร มันอาศัยอยู่ถิ่นไหนบ้าง แค่ข้างบ้านระยะประมาณ 1 กิโลเมตร เช้าวันนี้นเราก็เห็นนกตั้ง 14 ชนิดแล้ว ทำให้คนไม่ชินกับการตื่นเช้าอย่างเรา ตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเส้นทาง

พี่ปูรู้จักนกแทบทุกตัว ไม่ใช่แค่ชื่อที่ปรากฏในหนังสือ แต่รู้จักเรื่องราวของมันด้วย เมื่อเรื่องราวของนกแต่ละชนิดถูกถ่ายทอดออกมาท่ามกลางสถานที่จริง ที่เราเพิ่งเห็นนกตัวนั้นจริงๆ มันทำให้เรื่องราวเหล่านั้นประทับอยู่ในใจของเราทันที ไม่ใช่แค่ในสมอง พี่ปูชวนพวกเรามารู้จักบ้านหลังน้อยที่ไม่ใช้ไฟฟ้า (แม้ไฟฟ้าจะเข้าถึงก็ตาม) ไม่ใช้แก๊ส หลีกเลี่ยงการเป็นผู้สร้างขยะ โดยลดการใช้กระดาษทิชชู่กลับมาใช้ผ้าขี้ริ้ว ลดการใช้สบู่ ใช้ยาสระผม น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้าที่ทำเองด้วยส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติ ทำให้ลดการใช้ภาชนะบรรจุภัณฑ์และลดการขนส่ง พี่ปูปลูกข้าว ปลูกผักสวนครัวอินทรีย์ไว้กินเอง แม้ไม่ทุกอย่าง แต่อย่างน้อยผักทั่วๆ ไปที่ใช้บ่อยๆ ก็มีให้เก็บกิน

เพราะชีวิตผูกพันกับนก กับป่าเขา กับธรรมชาติและรู้ว่ามนุษย์นี่แหละคือส่วนสำคัญในการรบกวนธรรมชาติ พี่ปูจึงมุ่งมั่นที่จะใช้วิถีของตัวเองให้รบกวนธรรมชาติให้น้อยที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ จึงออกแบบบ้านหลังนี้ ออกแบบชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตั้งใจ และใช้ชีวิตกับที่นี่มานานแล้ว 

พร้อมทั้งให้ที่นี่เป็นพื้นที่เรียนรู้ที่บ่มเพาะหัวใจรักธรรมชาติให้เด็กและเยาวชน โดยไม่ได้มุ่งหวังให้ต้องมาใช้ชีวิตแบบเดียวกัน แต่แค่ขอเป็นส่วนนึงให้เด็ก เยาวชนและคนที่สนใจ รับรู้ เข้าใจและรู้สึกบ้างก็พอ

ที่นี่จึงมีกิจกรรมให้ทำมากมายเพื่อให้เข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น ทั้งวาดรูปนกจากที่ไปดูมา ทำรังไว้ให้นกอาศัย หรือจะเป็นกิจกรรมเรียนรู้ธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย อย่างกิจกรรมนักสืบสายน้ำ นักสืบสายลม ที่พี่ปูชวนเล่น ชวนทำได้ทั้งวัน จนค่อยๆ รู้จัก ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รักธรรมชาติแบบไม่รู้ตัว

เป็นสะพานให้เด็กๆ ‘รู้สึก’ กับธรรมชาติ 

(กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ : อช.เขาใหญ่)

สถานที่สุดท้ายของเครือข่ายเขาใหญ่ดีจัง คือกลุ่มรักษ์เขาใหญ่ โดยใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นห้องเรียนรู้ห้องใหญ่ของพวกเรา มาถึงเขาใหญ่ มาอยู่กับกลุ่มรักษ์เขาใหญ่ พลาดไม่ได้ที่จะต้องได้ทำกิจกรรมเดินป่า สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง พี่นิม พาพวกเราเดินเข้าป่าเส้นดงติ้ว มอสิงโต ท่ามกลางสภาพหลังฝนตก แน่นอนว่าเรามีเพื่อนร่วมทางตัวเล็กที่ชื่อว่า ‘ทาก’ จำนวนมหาศาล  

“เดินป่าหน้าฝน ถ้าไม่มีทากแสดงว่าป่านั้นไม่มีความหลากหลายมากพอ ทากจึงเป็นตัวบ่งชี้ความสมบูรณ์ของป่า”  ได้ฟังแบบนี้ก็ทำใจเดินไปพร้อมน้องทากก็ได้นะ

ระหว่างเดินป่า พี่นิมชวนให้พวกเรารู้จักต้นไม้ทั้งไม้ยืนต้น ทั้งสมุนไพรมากมาย หลายอย่างเราก็เคยเห็นมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีประโยชน์ เป็นยา หรือสามารถกินได้ด้วย บางอย่างเคยได้ยินแต่ชื่อ  เพิ่งเคยเห็นต้นจริงๆ วันนี้แหละ พี่นิมชวนเราทำกิจกรรมที่เรียกว่า Nature Game แบบง่ายๆ โดยให้เราหาต้นไม้คนละต้นแล้วหลับตากอดเขาไว้นิ่งๆ ใช้หูฟังทุกเสียงที่ได้ยิน แล้วมาคุยกันว่าใครได้ยินเสียงอะไรบ้าง ไม่ต้องเล่าต่อก็น่าจะพอรู้นะว่าเมื่ออยู่ในป่าลึกจะมีเสียงมากมายขนาดไหนให้เราได้ยิน แค่เรา…ฟังบ้าง

เมื่อก่อนเราก็อยากให้ผู้คนที่มาเจอเราได้รับรู้ข้อมูลมากมายเรื่องธรรมชาติ เพื่อให้เขารักธรรมชาติ แต่เราพบว่า ข้อมูลและการรับรู้ด้วยสมองนั้นมันลืมง่าย 

หลายปีมานี้เราจึงทำหน้าที่เป็นสะพานให้เด็กๆ และผู้คนได้รู้สึกกับธรรมชาติ “รู้สึกนะไม่ใช่แค่รู้จัก”  เพราะการรู้จักหาข้อมูลที่ไหนก็ได้ แต่การรู้สึกต้องพาไปเจอจริงไปสัมผัสจริง ถึงจะบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร กับป่า กับช้าง กับทาก อย่างที่เราไปเจอมานั่นแหละ พี่อ๋อ บอกพวกเรา

กลุ่มรักษ์เขาใหญ่จึงออกแบบทุกกิจกรรมที่มุ่งไปที่เรื่องนี้ ทั้งกิจกรรมพาน้องเดินป่า กิจกรรมหมอยาน้อย หรือแม้แต่กิจกรรมรณรงค์ มาตรการ 4 ม ขอไม่มาก ที่เรามาเจอน้องๆ กำลังทำกิจกรรมในวันนี้ เพื่อให้น้องได้เจอจริง สัมผัสจริง และรู้สึกกับมัน วันนี้อยู่ในป่ารู้สึกได้ว่าอากาศดี  เย็นสบาย วันที่อากาศร้อนอบอ้าวในเมือง เขาจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง หากเขาจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยให้อากาศดีมันคงอยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงามมากๆ สำหรับสะพานแห่งนี้

และความโชคดีของที่นี่คือ การมีอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นห้องเรียนห้องใหญ่ มีหลากหลายวิชาให้เรียนรู้ในห้องเรียนห้องนี้

กิจกรรมธรรมชาติ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารต้านเศร้าได้

ในทริปนี้ไม่ใช่มีแค่พวกเรา แต่มีพี่ที่จบด้านจิตวิทยา และอาจารย์ที่ทำงานนิทานสำหรับเด็กร่วมทริปไปกับพวกเราด้วย ทุกวันพวกเราจะได้แลกเปลี่ยนเพื่อเชื่อมโยงให้เห็นว่ากิจกรรมของแต่ละที่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กๆ อย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าจะเอา STEAM หรือทักษะในศตวรรษที่ 21 มาจับ แต่ละกิจกรรมตอบโจทย์เหล่านี้ มากบ้างน้อยบ้างรายละเอียดตามกิจกรรม เพราะเบื้องต้นของการออกแบบกิจกรรมคำนึงถึงสิ่งเหล่าเป็นหลักอยู่แล้ว มิใช่การมุ่งเน้นให้ท่องจำและทำข้อสอบ เพราะฉะนั้นในทุกกิจกรรมมันคือทักษะที่จำเป็นในการประกอบชีวิตต่อไปในอนาคตของเด็ก

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสะดุดใจมากๆ พี่เขาเล่าว่า ข้อมูลจากการรับโทรศัพท์สายด่วนสุขภาพจิต พบว่าช่วงนี้เด็กๆ มีความเครียด ความกังวล จากเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว ปัญหาความรัก และมีภาวะซึมเศร้า การอยู่บ้านอยู่หน้าจอเป็นเวลานานๆ โดยไม่มีกิจกรรมอื่นใดเลยส่งผลให้เด็กจัดการความเครียด จัดการภาวะซึมเศร้าได้ยากกว่า

“การแก้ภาวะซึมเศร้าคือการต้องให้ร่างกายหลั่งสารต้านเศร้า และกิจกรรมธรรมชาติ  ช่วยได้”

ทั้ง 5 พื้นที่เรียนรู้ 5 กลุ่มที่ไม่ไกลจากเมืองหลวง มีห้องเรียนรู้หลายแบบ  มีหลายวิชา ทุกวิชาไม่ต้องท่องจำและไม่ต้องทำข้อสอบ ที่พร้อมให้เด็กๆและผู้คนที่สนใจได้ไปเรียนรู้ ได้ไปลองใช้ชีวิต เพื่อจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ในช่วงที่ระบบการศึกษาอาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของชีวิตแบบทุกวันนี้ ห้องเรียนห้องใหญ่ 5 ห้องนี้น่าจะช่วยเติมเต็มและเป็นทางเลือกสำคัญที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่ก็ได้

Tags:

ระบบการศึกษาการเรียนรู้Learning Spaceเขาใหญ่

Author:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Adolescent Brain
    6 วิธีจัดการชีวิตและสิ่งแวดล้อม สร้างสมาธิในการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

“ความคาดหวังของพ่อแม่อาจรังแกลูก” ชวนพ่อแม่ปรับมายเซ็ตในความสัมพันธ์ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน กับ ‘พ่อโต้ง’ สุระ จารุศศิธร เพจดีต่อลูก
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
8 November 2021

“ความคาดหวังของพ่อแม่อาจรังแกลูก” ชวนพ่อแม่ปรับมายเซ็ตในความสัมพันธ์ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน กับ ‘พ่อโต้ง’ สุระ จารุศศิธร เพจดีต่อลูก

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูด้วยความรัก ไม่ใช่แค่การมอบการศึกษา ไม่ใช่แค่การส่งเสริมพัฒนาการตามวัย แต่สำคัญกว่านั้นคือ ‘ความเข้าใจ’ เข้าใจหนึ่งชีวิตที่ค่อยๆ เติบโต จากวัยเด็ก สู่วัยรุ่น และเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว     
  • แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกจากคุณพ่อจอมดุ ที่เปลี่ยนมายเซ็ตใหม่เป็นพ่อแม่ที่ใจดีแต่ไม่ตามใจตั้งแต่การเป็นพ่อคนครั้งแรก ความรัก ความคาดหวังที่มีต่อลูกที่มาพร้อมกับแรงกดดันและผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก ไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีคุณภาพขึ้นมาใหม่ 
  • อันดับแรกต้องสร้างความเชื่อใจ (Trust) กับลูกใหม่ ผลัดกันเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ข้อสำคัญเลยคือ ให้เขาได้เป็นตัวเอง โดยไม่เอาเขาไปเปรียบเทียบกับใคร และสนับสนุนสิ่งที่เขาชอบ 

ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก ดีต่อลูก

หมอค่ะ/ครับ ลูกปลอดภัยไหม ครบ 32 รึเปล่า? เชื่อว่าหลังจากที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก นี่คงเป็นประโยคแรกที่คุณพ่อคุณแม่มักถามกับหมอผู้ทำคลอดเป็นอันดับแรก ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคงทั้งตื่นเต้นและเป็นห่วงว่าเจ้าตัวน้อยจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ยิ่งเป็นลูกคนแรกยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ แต่การเป็นพ่อแม่คนย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง 

ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูด้วยความรัก ไม่ใช่แค่การมอบการศึกษา ไม่ใช่แค่การส่งเสริมพัฒนาการตามวัย แต่สำคัญกว่านั้นคือ ความเข้าใจ…เข้าใจหนึ่งชีวิตที่ค่อยๆ เติบโต จากวัยเด็ก สู่วัยรุ่น และเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว     

The Potential ชวนคุณโต้ง-สุระ จารุศศิธร คุณพ่อลูกสามที่อยากแบ่งปันแนวทางการดูแลลูกแบบสร้างสรรค์ให้กับทุกๆ ครอบครัว เจ้าของเพจ ‘ดีต่อลูก’ และล่าสุดเขียนหนังสือชื่อ ‘ดีต่อลูก Vol.1 บ้านพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก’ รวบรวมบทความที่เคยเขียนไว้ในเพจตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แชร์ประสบการณ์ของการเลี้ยงลูก ตั้งแต่การเป็นพ่อคนครั้งแรก ความรัก ความคาดหวังที่มีต่อลูกที่มาพร้อมกับแรงกดดัน และผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก ไปจนถึงการปรับมายเซ็ตครั้งสำคัญของครอบครัว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีคุณภาพขึ้นมาใหม่ 

ความคาดหวังของพ่อแม่ อาจกำลัง ‘รังแก’ ลูกอยู่

คาดหวังว่า ‘ลูกต้องอัจฉริยะ’ ต้องเก่งต้องดี จนลืมไปว่า… ลูกมีความสุขอยู่ไหมนะ? 

“ในตอนนั้นก็เลี้ยงลูกด้วยการเปิดเพลงคลาสสิกให้ลูกฟัง เปิดทั้งตอนนอนตอนเล่นของเล่นก็เปิดตลอด ความรู้ตอนนั้นเพลงคลาสสิกทำให้เด็กฉลาดเราก็เชื่อแบบนั้น แล้วก็อ่านนิทานให้ลูกฟัง ซึ่งการอ่านนิทานให้ลูกฟังก็ทำให้ลูกเราพูดได้เร็วมาก อ่านหนังสือได้เร็วมาก แต่มันก็จะมาพร้อมกับความคาดหวัง พอลูกเริ่มโตขึ้นก็เริ่มมีความคาดหวังขึ้นไปอีก” 

และเมื่อลูกทำในสิ่งที่พ่อแม่มองว่าง่ายไม่สำเร็จ จึงตามมาด้วยการระเบิดอารมณ์ใส่ลูก เช่น สอนคิดเลขแล้วลูกทำไม่ได้ ก็เริ่มดุ เริ่มตี “ทำไมถึงเขาทำไม่ได้นะ เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” 

แม้พัฒนาการทางด้าน IQ ของลูกจะดีดั่งใจหวัง แต่คุณโต้งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกจะทั้งรักทั้งกลัวเขามาก เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนัก และพัฒนาการทางด้านอารมณ์ หรือ EQ ของลูกๆ ก็ค่อนข้างแย่ตามไปด้วย ยกตัวอย่างลูกสาวคนที่สองของบ้าน ที่ถูกเลี้ยงด้วยการให้อยู่เนอสเซอรีที่ช่วยเรื่องพัฒนาเด็กเล็กโดยเฉพาะตั้งแต่อายุ 2 เดือน ซึ่งก็ทำให้ลูกพูดได้เร็ว มีพัฒนาการที่ก้าวกระโดด แต่ก็แลกด้วย EQ ที่แย่ลง 

“พอเห็นลูกเรียนเก่ง โรงเรียนก็สอนดี ลูกก็พัฒนาการเร็ว เราก็อัดเขาขึ้นป.1 เร็วกว่าปกติหนึ่งปี พัฒนาการเขาหายไปหนึ่งปีเลยช่วงนั้น แทนที่เขาจะได้เล่น พัฒนา EQ ให้พร้อม ซึ่งเขาก็ทำได้ดีนะ แต่ก็จะมีความรู้สึกในใจของเขาว่าฉันสู้คนอื่นไม่ได้ เกิดความรู้สึกว่าตัวเองต้องทำได้มากกว่านี้ ต้องเพอร์เฟกตลอด แรกๆ คือ แพ้ไม่เป็น แพ้ไม่ได้ แพ้แล้วเฟล แพ้แล้วร้องไห้ เลิกเล่น ออกจากเกมดื้อๆ เลย แล้วก็เขาไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ เสียใจก็อธิบายไม่ได้ ดีใจก็อธิบายออกมาไม่ได้ ดีใจก็ดีใจไม่สุด เสียใจก็เสียใจไม่สุด” 

เปลี่ยนมายเซ็ต เลิกแล้วเป็น ‘พ่อแม่รังแกฉัน’ 

“สิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนมาเซ็ตตัวเองก็คือวันนั้นลูกเขาทำอะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วเราก็รู้สึกไม่พอใจ รู้สึกโกรธเขา ก็ดุเขาเสียงดัง เขาก็กลัวเรามาก ทุกครั้งที่ดุลูก ระเบิดอารมณ์เสร็จเราก็เสียใจนะ รู้สึกผิดในใจ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน มองหน้าภรรยาแล้วก็ร้องไห้กัน คิดว่าเราทำอะไรอยู่ เรารักลูกแต่สิ่งที่เราทำมันใช่หรอ เรากำลังทำให้เขาเสียใจ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ละ เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน วันนึงเขาโตขึ้นไปเรียนมหาลัยเขาต้องไปจากเรา ถ้าความสัมพันธ์กับลูกไม่ดีนะ ลูกจะไม่กลับมาหาเรา หรือมาแค่วันหยุด วันปิดเทอม แล้วก็โทรหาเราแค่ตอนที่เขาเงินหมด หรือต้องการให้เราช่วย แล้วก็ไม่ได้รู้จักกัน เพราะเขาไม่ได้ไว้ใจเรา ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

สิ่งที่คุณโต้งกับภรรยาทำก็คือ การขอโทษลูก แล้วบอกว่า เรามาเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวกันใหม่ จากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือจิตวิทยาเชิงบวก หนังสือพัฒนาการเด็ก หนังสือสมองเด็ก เพื่อทำความเข้าใจลูกและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา

อันดับแรกต้องสร้างความเชื่อใจ (Trust) กับลูกใหม่ ให้เขาเชื่อว่า “พ่อเปลี่ยนจริงๆ นะ พ่อจะไม่ทำเหมือนเดิมนะ” แต่หลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคทำนองว่า ความเชื่อใจที่พังแล้ว สร้างกลับมาใหม่ได้ยาก เช่นเดียวกันกับการทำให้ลูกเชื่อใจพ่อแม่ใหม่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก 

“เมื่อก่อนพอเขามีปัญหาก็จะไม่กล้าบอกเรา เพราะเขารู้ว่าถ้าสิ่งที่บอกเป็นสิ่งที่ไม่ดีของเขา เดี๋ยวพ่อจะต้องตี ต้องโกรธแน่นอน เราก็ต้องแบบสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างเรื่อยๆ เหมือนจีบผู้หญิงใหม่ คุยกับลูกมากขึ้น พยายามฟังเขาให้มาก และฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ซ้ำเติม เขาก็เริ่มเล่ามากขึ้น”  

เมื่อเปิดใจให้กันแล้ว ก็ต้องทำให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเอง มองเห็นข้อดีข้อด้อยของตัวเอง โดยอาศัยการชมบ่อยๆ แต่ชมบนพื้นฐานความจริง ชมในสิ่งที่เห็นว่าเป็นส่วนดีของเขา เช่น หนูทำอันนี้ดีแล้วนะ หนูเก่งเรื่องนี้นะ หนูเด่นเรื่องนี้นะ นอกเหนือจากนี้จะเป็นการทำกิจกรรมร่วมกัน ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกัน 

ข้อสำคัญเลยคือ ให้เขาได้เป็นตัวเองโดยไม่เอาเขาไปเปรียบเทียบกับใคร และสนับสนุนสิ่งที่เขาชอบ 

“หลังจากนั้นลูกก็คุยกับเรามากขึ้น ลูกปรึกษาเรา แม้แต่เรื่องการเมืองหรือความเชื่อที่ต่างกัน ก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ พอเราเข้าใจในมุมของวัยรุ่น เข้าใจมุมที่เขาคิด แล้วเราก็เข้าใจสมองเขามากขึ้นว่าวัยรุ่นก็เป็นแบบนี้แหละ เขาไม่ได้เถียงเรานะ เขาแค่อธิบายในมุมที่เขาคิด เราก็แค่ต้องฟังเขามากขึ้น แล้วเขาก็จะฟังเรามากขึ้น”  

ในขณะเดียวกันฝั่งของคุณพ่อคุณแม่เอง ต่างก็กลายเป็นคนใจเย็นขึ้น มีสติมากขึ้น อีกทั้งยังได้ทักษะการฟังด้วย 

“การที่เด็กคนนึงจะเติบโตเป็นมนุษย์คนนึงมันไม่จำเป็นต้องตามแพทเทิร์นเหมือนที่เราเคยเป็นมา ชีวิตในยุคของลูกเรามันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว การเรียนเก่งก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะประสบความสำเร็จ เราก็ได้มุมมองว่าการที่ลูกจะประสบความสำเร็จคือลูกก็เป็นแบบที่เขาเป็นนั่นแหละ แบบที่เขามีความสุข เขาหาตัวเองเจอว่าเขาชอบอะไร แล้วพ่อแม่ก็สนับสนุนเขาไปให้สุดนั้นคือสิ่งที่เราได้” 

ทั้งนี้ต้องเริ่มต้นจากการพูดคุยกันดีๆ ก่อน วางอคติหรือสิ่งที่คาดหวังไว้ในใจก่อน ลองเปิดใจรับฟังถึงจะเห็นมุมของลูก เห็นความชอบของลูกจริงๆ ไม่ใช่ความชอบของพ่อแม่ 

“บางทีพ่อแม่จะคาดหวังว่าลูกฉันต้องเป็นแบบนี้ ถึงจะมีอนาคตที่ดี เป็นความหวังดีของพ่อแม่ แล้วก็เป็นความคาดหวังของสังคมรอบข้างที่มองเข้ามา ก็เกิดการเปรียบเทียบลูกฉันลูกเธอ สำหรับตอนนี้ลูกใครจะไปสอบเข้าที่ไหนได้ก็เรื่องของลูกเขา แต่นี่คือลูกของเรา สนใจแค่ตรงนี้ดีกว่า” 

แต่สิ่งที่ควรคาดหวังคือ การที่ลูกไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ และมีความสุข โดยพ่อแม่มีหน้าที่ส่งเสริมให้เขาได้เรียนรู้ ลองทำในสิ่งสนใจ ถ้านั้นคือสิ่งที่ใช่ก็ช่วยผลักให้เขาลุยต่อ แต่ถ้าไม่ใช่ก็แค่ออกมาแล้วเริ่มต้นใหม่ 

“อย่างล่าสุดลูกก็ไปฝึกงานกับบริษัทจัดเทรนนิ่ง จัดคอร์สอบรมทักษะใหม่ๆ การพัฒนาตนเอง นี่ก็เป็นหนึ่งกิจกรรมที่ให้ลูกลองไปฝึกงานดูว่าจะชอบไหม เราก็พยายามหากิจกรรมใหม่ๆ ให้ลูกได้ลองทำดู เพื่อช่วยเสริมให้เขาค้นหาความชอบของตัวเอง ให้เขาลองดูว่าจะชอบไหม สุดท้ายเขาจะเลือกเอง เราก็แค่มีหน้าที่นำเสนอ พาไปทำ พาไปลอง ถ้าใช่ก็ลุบ ถ้าไม่ใช่ก็ออกมา”

ในขณะเดียวกันถ้าเขาค้นพบว่ามันไม่ใช่ แล้วเกิดผิดหวัง สิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุดคือการที่หันมาแล้วยังเห็นพ่อแม่อยู่ข้างๆ และไม่ซ้ำเติม 

ทำความเข้าใจลูก สร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน

“อย่างที่เขียนไว้ในหนังสือ ‘ดีต่อลูก Vol.1 บ้านพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก’ มันไม่ใช่คำภีร์หรอก เพราะไม่ได้มีหลักเกณฑ์ หลักการมาก แต่มันเป็นเหมือนประสบการณ์แล้วก็เป็นการปรับมายเซ็ตพ่อแม่มากกว่า อยากให้พ่อแม่รู้ในมุมที่เขาอาจจะยังไม่รู้ อยากให้ทุกคนได้เข้าใจลูก เพราะถ้าเราเข้าใจลูกอะไรๆ ก็ง่ายนะ” 

หัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ เข้าใจบ้าน เข้าใจครอบครัว เข้าใจสมอง พัฒนาการเด็กและวัยรุ่น สุดท้ายเข้าใจการศึกษาในยุคแห่งการเรียนที่เปลี่ยนไป และเด็กๆ ของเราก็กำลังแย่ลงเพราะการศึกษา หากเข้าใจทั้ง 3 ส่วน ต่อไปลูกโตขึ้นเขาจะเป็นมนุษย์ที่มีความสุข 

 “ไม่อยากให้เห็นเด็กวัยรุ่นต้องกรีดข้อมือ เด็กวัยรุ่นที่เป็นซึมเศร้า เมื่อเราเลี้ยงลูกเรา เราก็อยากเห็นลูกคนอื่นดีด้วย ลูกเรารอดคนเดียวไม่ได้ เพราะเขาต้องอยู่ในสังคม ถ้าลูกคนอื่นไม่ดีลูกเราอยู่ยากนะ ถ้าสังคมเต็มไปด้วยคนไม่ดีลูกเราก็อยู่ลำบาก เลยมองว่าถ้าเราทำให้สังคมมันดี ลูกเราก็อยู่สบาย เพราะว่าต่อไปพ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่กับเราด้วยเขาก็ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเขาเอง 

ถ้าเขาไม่มีพื้นฐานที่ดี การเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าของคนอื่น ต่อไปจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ไม่แคร์คนอื่น โกงกัน ฆ่ากัน ทะเลาะกันง่ายๆ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น”

นอกจากนี้สิ่งที่จำเป็นต้องสอนลูกอีกเรื่องก็คือ สิทธิในเนื้อตัวของลูก ซึ่งเป็นคุณแม่ที่รับหน้าที่สอนเรื่องนี้ โดยสอนให้เขารู้ว่าการที่มีคนมาถูกเนื้อต้องตัวโดยที่เราไม่เต็มใจ รู้สึกอึดอัด ไม่ใช่เรื่องปกติ เรามีสิทธิที่จะไม่ชอบ และต้องบอกพ่อแม่ ต้องให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่ใครจะมาทำกับเขาแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่าพอมีคนอื่นมาทำกับเขาแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ทำได้   

ลูกวัยรุ่น ‘เพื่อน’ มีอิทธิพลกับลูกมากกว่าเรา 

“ตอนแรกก็ไม่เข้าใจนะ แต่พอลูกเริ่มเข้าวัยรุ่นเราก็หาหนังสือเกี่ยวกับสมองวัยรุ่นมาอ่าน เราสนใจเรื่องสมองมาก สมองวัยรุ่นเนี่ยมันมีเรื่องของอารมณ์มากกว่าเหตุผล คือเราบอกเหตุผลกับลูกวัยรุ่นแทบตายไม่ฟังหรอก อารมณ์มันนำมาก่อน กับเพื่อน…วัยรุ่นเขาต้องการสังคมมากกว่า สังคมเพื่อน พ่อแม่ก็ส่วนหนึ่งแต่สังคมเพื่อนสำคัญกว่า”

สิ่งที่ทำได้คือ พยายามเข้าใจโลกอีกใบของเขา แต่จะไม่ก้าวเข้าไปในโลกใบนั้นมากเกินไป เพราะต่อให้พ่อแม่พยายามเป็นเพื่อนกับลูก แต่พ่อแม่ก็ไม่ใช่เพื่อนเขาอยู่ดี  

“เราก็เคยไปดูคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลีกับเขานะ เพราะเราก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร โอ้โห…วัยรุ่นเต็มเลย เราถึงได้เข้าใจว่าโลกวัยรุ่นยุคนี้มันเป็นแบบนี้เอง ก็เหมือนเราสมัยก่อนแหละ แต่แค่สมัยก่อนเราไม่มีพวกนี้ ยุคนั้นถ้าชื่นชอบนักร้องคนไหนก็จะไปซื้อเทป โทรเข้ารายการวิทยุไปหาเพลง แล้วก็ไปนั่งเฝ้า อ่านนิตยสารดารา ไม่ว่าจะวัยรุ่นสมัยลูกหรือสมัยเราก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน แต่แค่รูปแบบเทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง” 

“พ่อแม่หลายคนมักลืมว่า ครั้งหนึ่งฉันก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน เคยใจร้อน เคยดื้อ ซึ่งเราในตอนนี้ต่างกับลูกในตอนนี้หลายสิบปี เราต้องย้อนกลับไปดูเราตอนนู้น เราอาจจะเกเรกว่าลูกก็ได้ ตอนนี้ลูกก็เป็นเหมือนเราตอนนั้นแหละ แค่ต้องคอยดูไม่ให้เขาตกเหวตายเท่านั้นเอง อาจจะมีไปซ้ายบ้างขวาบ้าง แต่อย่าให้ตกเหวเป็นพอ พยายามประคองกลับมาให้ได้”

ความชอบของลูกไม่ใช่เรื่องไร้สาระ  

“จริงๆ ที่เราทำเพจนี้ก็เพราะว่าลูกตามไอดอลนะ 4 ปีที่แล้วลูกทำเพจก่อนตามนักร้องวง TWICE แล้วมันไม่เวิร์ก เราก็เลยอยากทำให้ลูกเห็นว่าการทำเพจ ถ้าหนูตั้งใจทำมันจริงๆ แล้วหนูไม่หยุดนะ หนูก็สามารถทำให้มันโตได้ ก็บอกลูก เดี๋ยวป๊าทำให้ดูนะ ลูกก็หัวเราะ ป๊าทำได้เหรอ ไม่มีใครรู้จัก ใครจะตาม ใครจะมาอ่าน เราก็บอกเดี๋ยวป๊าทำให้ดู ทำแบบนี้แหละ ทำจากสิ่งที่ป๊ามีนี่แหละ วิธีการเลี้ยงลูก เดี๋ยวไปอ่านหนังสือเพิ่ม ไปศึกษาเพิ่ม เพราะตอนนั้นก็เริ่มเข้าใจวิธีการเลี้ยงลูกแล้ว ก็เริ่มอยากจะถ่ายทอดบ้าง” 

จนในวันที่ลูกของเขาเห็นว่า เพจที่พ่อทำสามารถเติบโตได้จริง จากผู้ติดตามไม่กี่สิบคนสู่ผู้ติดตามหลักแสน ลูกจึงกลับมาทำอีกครั้งแต่บนแพลตฟอร์ตทวิตเตอร์ 

“เขาก็ทำบ้านเบสของเขา สนับสนุนศิลปิน แรกๆ ที่เขาทำ ถามว่าห่วงไหม ก็ห่วง เพราะตอนแรกที่ลูกทำเหมือนเป็นทีมงานของเขา มันก็มีต้องคุยกับคนในทีมที่เป็นผู้ชาย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครไง ดีไม่ดี จะมาหลอกลูกเราไหม แล้วลูกทำอันนี้มันต้องคอยติดตามมันจะเสียการเรียนไหม แรกๆ ก็กังวลสองส่วนนี้นะ แต่พอนั่งดูลูกทำไปก็มาคิดได้ว่า เอ๊ะ…การทำพวกนี้มันก็ดีนะ มันเหมือนเป็นการเรียนรูัการทำงานไปในตัว” 

อย่างแรกที่เป็นพ่อมองเห็นคือภาษา เพราะศิลปินเป็นคนต่างชาติ ต้องมีการแปลภาษา เช่น จีน อังกฤษ สองได้ฝึกการทำงานเป็นทีม การวางแผนกัน และสามได้ทักษะความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากต้องคิดคอนเทนท์ และทำภาพกราฟิกประกอบ 

“อย่างหนังสือที่เขียนภาพประกอบก็เป็นฝีมือลูก เขาไปเรียนรู้จากในยูทูบเอง สุดท้ายเราก็เห็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย ข้อเสียที่มองเห็นก็มีเรื่องเดียวคือ มันกินเวลาลูกเรา แทนที่จะได้มานั่งคุยกันกับเรา ก็มานั่งจดจ่อกับอันนี้ของเขา แต่ไม่เป็นไรเรายังสามารถใช้เวลาร่วมกันได้”

เป็นพ่อแม่ที่ใจดี แต่ไม่ตามใจ

ในฐานะที่เป็นครอบครัวที่ลองผิดลองถูกกับการเลี้ยงลูกมาหลายวิธี คุณโต้งแนะนำทริคเล็กๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ หรือคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังหาวิธีการเลี้ยงลูก เพื่อที่จะได้เอาไปปรับใช้กัน 

“จริงๆ แล้วทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ ถ้าความสัมพันธ์ของเรากับลูกดีนะ เราพูดคำเดียวลูกฟังเลย ไม่ต้องพูดถึงสิบคำ ไม่ต้องขึ้นเสียงด้วย เหมือนเรากับลูกนะ อยากให้ลูกทำอะไร เราก็เดินไปหาเขา หยุดได้แล้วลูก ลูกก็หยุด อะมาทำนี่ ลูกก็มา ไม่ต้องทำน้ำเสียงดุ พูดดีๆ ยิ้มแย้ม หรือถ้าลูกไม่มาเราก็ฟังเหตุผลของเขาว่าเขามาไม่ได้เพราะอะไร” 

“เคยฟังคุณหมอคนนึงเขาบอกว่า การที่พ่อแม่ขึ้นเสียงกับลูกหรือว่าดุลูก นั่นไม่ใช่การเรียกลูกครั้งที่หนึ่ง แต่เรียกลูกครั้งที่ห้า ครั้งที่สิบแล้วลูกไม่มา จนสุดท้ายแม่ขึ้นเสียงลูกถึงมาแล้วลูกก็จะติดเป็นนิสัยว่า เสียงเลเวลนี้ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องฟังก็ได้ เลเวลสองก็ยังโอเค แต่พอเลเวลสามเลเวลสี่นี่โดนแน่เลยถึงจะไป ดังนั้นพ่อแม่ควรบอกความต้องการให้ชัดเจนตั้งแต่เสียงเลเวลแรก ไม่ควรรอให้ไปถึงเลเวลที่สอง สาม หรือสี่ จนถึงจุดที่พร้อมระเบิดอารมณ์แล้วเราค่อยไปจัดการลูกอันนั้นก็ไปด้วยอารมณ์โกรธ” 

สุดท้ายนี้ ทุกคนเป็นพ่อแม่คนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจลูกได้ ถ้าเป็นไปได้อยากให้พ่อแม่ลองลด ละ เลิก พฤติกรรมที่จะส่งผลเสียต่อตัวลูกมากกกว่าผลดีเหล่านี้ดู 

หนึ่ง – เปรียบเทียบลูก อย่าทำ! ยิ่งเปรียบเทียบลูกกับพี่น้องยิ่งไม่ควรทำ จะทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า

สอง – ไม่ฟังเหตุผลลูก อย่าทำ! เพราะจะทำให้เขาจะรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าข้าง ต่อไปจะไม่มาคุยด้วยอีก

สาม – เป็นพ่อแม่ที่ขี้บ่น ชอบเอาเรื่องเก่าๆ มาพูด เช่น เคยทำแบบนี้เดี๋ยวก็ทำแบบนั้นอีก ขุดคุ้ยอดีตที่ผิดพลาดของเขามาพูด เหมือนเป็นการซ้ำเติม

สี่ – เป็นพ่อแม่ที่ขี้หงุดหงิดตลอดเวลา ไม่มีใครชอบคนที่ขี้หงุดหงิดหรือขี้บ่นอยู่แล้ว จริงๆ เราก็ไม่ชอบ 

หากหยุด! พฤติกรรมเหล่านี้ได้ ความสัมพันธ์กับลูกจะค่อยๆ ดีขึ้น มาเป็นพ่อแม่ที่ใจดีแต่ไม่ตามใจกันดีกว่า 

Tags:

สุระ จารุศศิธรความสัมพันธ์พื้นที่ปลอดภัยรูปแบบการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ (Parenting Styles)การฟัง

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ‘Echo Chamber’ เราต่างมีกะลาคนละใบ…ที่เข้าใจว่าคือโลกกว้าง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ใช่แค่ได้ยินแต่เข้าใจ : บันไดขั้นแรกของ ‘สมรรถนะการสื่อสาร’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เรียนหนัก อกหัก ทะเลาะกับพ่อแม่… ทุกเรื่องที่น้องอยากระบาย ‘สายเด็ก’ (Childline Thailand) ยินดีรับฟัง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

ธอโร กับหัวหน้าฮง (และขงจื๊อ)
Book
5 November 2021

ธอโร กับหัวหน้าฮง (และขงจื๊อ)

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • การหยิบหนังสือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในซีรีส์ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่องได้สอดแทรกเรื่องราวของหนังสือเข้าไว้ในชีวิตของตัวละคร เช่น ซีรีส์ Because This Is My First Life หนังสือได้เป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอก
  • ซีรีส์เกาหลีที่เพิ่งจบไปอย่าง Hometown Cha – Cha – Cha ก็ใช้หนังสือ ‘วอลเดน’ เขียนโดยเฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) สะท้อนคาแรกเตอร์สันโดษของตัวละคร ‘หัวหน้าฮง’
  • นอกจากเกาหลี ญี่ปุ่นและจีนก็มีวัฒนธรรมการอ่านที่แข็งแรง ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งมาจากหลักคำสอนของขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีน ที่เชื่อว่า การจะเป็นคนดีได้ ประการแรกต้องได้รับการศึกษาก่อน ไม่ว่าจะการศึกษาจากสถาบัน หรือการศึกษาด้วยตนเอง

เมื่อพูดถึงซีรีส์เกาหลียอดฮิต Hometown Cha – Cha – Cha เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ผุดขึ้นมาในใจหลายๆ คน โดยเฉพาะสาวๆ ที่ถูกตกด้วยรอยยิ้มใสซื่อของหัวหน้าฮง (รับบทโดย คิมซอนโฮ นักแสดงชาวเกาหลีใต้)

แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด บทความนี้ ไม่ใช่การรีวิวซีรีส์เกาหลี แต่เราจะพูดถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นพร็อพประกอบฉากในซีรีส์อารมณ์ดีเรื่องนี้แล้ว ยังเป็นหนังสือที่บ่งบอกนิยามความเป็นตัวตนของหัวหน้าฮง หรือ ฮงดูชิก พระเอกของเรื่องได้ดีที่สุด

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงหนังสือเรื่อง ‘วอลเดน’ ของเฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ซึ่งเป็นหนังสือที่หัวหน้าฮง หยิบขึ้นมาอ่านหลายครั้งในช่วงต้นๆ ของซีรีส์ ราวกับผู้สร้างต้องการย้ำว่า หนังสือเล่มนี้ คือ กุญแจเปิดประตูให้คนดูได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของหัวหน้าฮง

วอลเดน คือ หนังสือกึ่งอัตชีวประวัติของธอโร บอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลา 2 ปี 2 เดือน ที่เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังในบ้านที่ปลูกเองกับมือ ณ ริมบึงวอลเดน ในเมืองคองคอร์ด มลรัฐแมสซาชูเซ็ทส์ สหรัฐอเมริกา และหาเลี้ยงชีพด้วยการใช้แรงงานของตน ไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตร หรือรับจ้างทั่วไป

เพื่อไม่เป็นการเปิดเผยเนื้อเรื่องสำหรับคนที่ยังไม่ได้ชมซีรีส์ เราจะไม่บอกว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้หัวหน้าฮง ผู้มีความรู้ – การศึกษาระดับดีเยี่ยม เลือกใช้ชีวิตนอกกรอบ ด้วยการทำงานรับจ้างทั่วไปในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แทนที่จะทำงานที่มั่นคง หรือมีค่าตอบแทนสูงให้สมกับวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา แต่ในหนังสือวอลเดน บอกให้เรารู้อย่างชัดเจนตั้งแต่บทแรกๆ ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ธอโร ตัดสินใจเดินออกนอกกรอบ ด้วยการทำใช้ชีวิตเยี่ยงฤาษีกลางป่าลึก 

ธอโร เขียนไว้ในหนังสือวอลเดนว่า เขาเข้าไปอาศัยอยู่อย่างสันโดษกลางป่าลึกเพียงลำพังคนเดียว เพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตว่า แท้ที่จริงแล้วคนเราเกิดมาทำไม และการใช้ชีวิตที่แท้จริงควรเป็นเช่นไร

“ฉันไปสู่ไพรพฤกษ์เพราะปรารถนาที่จะอยู่อย่างสุขุม ที่จะเผชิญแต่ข้อเท็จจริงอันเป็นแก่นสารของชีวิตเท่านั้น และดูซิว่าจะสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่มันสอนให้ได้หรือไม่ เพื่อที่ว่าเวลาจะตาย ฉันจะได้ไม่พบว่าตัวเองยังไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย”

ซึ่งก็ดูเหมือนว่า ธอโรจะค้นพบคำตอบของคำถามข้อนี้แล้วว่า ชีวิตที่แท้จริง คือ ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด ลดทอนสิ่งฟุ่มเฟือยทิ้งไปให้มากที่สุด และดำรงชีวิตสอดล้องกับธรรมชาติที่สุด

“ความฟุ่มเฟือยหรูหราส่วนใหญ่ และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกกันว่าความสะดวกสบายแห่งชีวิตนั้น, ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งไม่จำเป็นเท่านั้น, แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการยกระดับมนุษยชาติด้วย”

แม้ว่าธอโรจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษและสมถะในระดับที่เข้มข้นกว่าหัวหน้าฮงค่อนข้างมาก แต่ในส่วนอื่นๆ ของชีวิต จะเห็นได้ว่าทั้งคู่มีอะไรที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง

ขณะที่ในเนื้อเรื่องของซีรีส์ Hometown Cha – Cha – Cha บอกกับเราว่า หัวหน้าฮงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโซล ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเกาหลี ทางด้านธอโร ก็จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาระดับไอวี่ลีกของอเมริกา

นอกจากนี้ ทั้งธอโรและหัวหน้าฮง เลือกที่จะใช้ชีวิตนอกกรอบเหมือนๆ กัน คือ แทนที่จะเข้าทำงานตามระบบ หรืองานที่ตรงกับสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมา ทั้งคู่กลับเลือกงานรับจ้างทั่วไป เพียงเพื่อหารายได้เพียงพอต่อการยังชีพเท่านั้น

ในซีรีส์ เราจะเห็นว่า หัวหน้าฮง มีทักษะความสามารถในการทำงานหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นช่างทาสี ซ่อมแซมบ้าน ซ่อมรถ ทำอาหาร ทำสบู่ – เทียนหอม รวมถึงงานประมงจับปลา ทางด้านธอโรเองก็มีความเป็นพหูสูตรไม่แพ้กัน หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ธอโรไปช่วยพี่ชาย ทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากนั้น เขาไปทำงานในโรงงานผลิตดินสอ ซึ่งธอโรได้ปรับปรุงและพัฒนาดินสอจนได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่า เป็นดินสอคุณภาพดีเยี่ยม แต่หลังจากนั้นแล้วธอโรกลับประกาศว่า เขาจะไม่ทำดินสออีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า “ทำไมจะต้องทำด้วย ฉันจะไม่ทำซ้ำในสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว”

ไม่เพียงเท่านั้น ธอโรยังมีความชำนาญในด้านการต่อเรือ เพาะปลูก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานสำรวจและรังวัด ซึ่งทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าไปสำรวจพื้นที่ธรรมชาติ ก่อนที่จะเข้าไปใช้ชีวิตกลางป่าลึกในช่วงหนึ่งของชีวิต

อย่างไรก็ดี สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างธอโรและหัวหน้าฮง ก็คือ  ขณะที่ฮงดูชิกเป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้านกงจิน ด้วยจิตใจที่อ่อนโยนและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม แต่ธอโรมีเพื่อนสนิทเพียงแค่ไม่กี่คน แม้ว่าทุกคนที่รู้จักจะรักเขา แต่น้อยคนที่จะเข้าถึงและสามารถสนิทสนมกับเขาได้

ขณะที่ธอโรเองก็ดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูงสักเท่าไหร่ เพราะนิสัยที่รักสันโดษอย่างยิ่งของเขา

“ฉันพบว่า ตนมีความสุขที่ได้อยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ การอยู่ในหมู่คณะ, แม้แต่ที่ดีที่สุด, ในไม่ช้าก็จะเหนื่อยหน่ายอ่อนล้า ฉันรักที่จะอยู่คนเดียว ฉันไม่เคยพบเพื่อนที่น่าคบหาเท่าความสันโดษ”

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแตกต่างอย่างชัดเจน ก็คือ ธอโรมีความเป็น ‘คนเถื่อน’ หรือผู้ใช้ชีวิตในพงไพรใกล้ชิดธรรมชาติ ในระดับที่ลึกซึ้งเข้มข้นยิ่งกว่าหัวหน้าฮง ซึ่งยังคงใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอารยะ แม้จะเป็นชุมชนชาวบ้านต่างจังหวัดที่มีความศิวิไลซ์น้อยกว่าในเมืองหลวงอย่างกรุงโซลก็ตาม

ขณะที่ฮงดูชิก ผูกมิตรจนเป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้าน ตั้งแต่เด็กน้อยจนถึงคุณยายสูงวัย ธอโร ก็ผูกมิตรกับสัตว์ป่านานาชนิดในป่าริมบึงวอลเดน ไม่ว่าจะเป็นหนู นก เป็ดป่า แรคคูน แมว หรือแม้กระทั่งสัตว์ตัวเล็กกระจ้อยร่อยอย่างเช่น มด

บทสรุปของเรื่องราวในซีรีส์ Hometown Cha – Cha – Cha หัวหน้าฮง ยังคงปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านริมทะเลต่อไป แต่บทสรุปของเรื่องราวในหนังสือวอลเดน ธอโร ตัดสินใจออกจากป่า กลับไปใช้ชีวิตในเมืองอีกครั้ง

“ฉันจากไพรพฤกษ์มาด้วยเหตุผลดีพอๆ กับที่ฉันไปที่นั่น บางทีเป็นเพราะฉันรู้สึกว่า ฉันยังมีชีวิตอีกหลายอย่างที่จะต้องใช้…”

“ฉันเรียนรู้เรื่องนี้, อย่างน้อย, ก็ด้วยการทดลองของตัวเอง รู้ว่าหากบุคคลหนึ่งก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อมั่นตามทิศทางแห่งความฝันของเขา และมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตอย่างที่ตนฝันใฝ่นั้น เขาจะประสบความสำเร็จอย่างชนิดที่ไม่อาจคาดหวังได้ในยามสามัญ”

ขงจื๊อ ผู้วางรากฐานวัฒนธรรมการอ่านในเอเชีย

สำหรับหนอนหนังสือแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจในซีรีส์ Hometown Cha – Cha – Cha ก็คือ ฉากภายในบ้านของหัวหน้าฮง ที่มีผนังด้านหนึ่งอัดแน่นไปด้วยหนังสือเรียงรายเต็มชั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตัวละครหัวหน้าฮง เป็นคนที่รักหนังสือคนหนึ่ง

แต่จะว่าไปแล้ว การหยิบเอาหนังสือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในซีรีส์ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง ได้สอดแทรกเรื่องราวของหนังสือเข้าไว้ในชีวิตของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ When The Weather Is Fine ซึ่งตัวเอกของเรื่องเปิดร้านหนังสือเล็กๆ ในเมืองชนบท หรือซีรีส์ Because This Is My First Life ซึ่งหนังสือได้เป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอก

พูดง่ายๆ ว่า การอ่านหนังสือ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม (Pop Culture) ในแบบเกาหลีไปแล้ว

ปรากฎการณ์ความคูลของการอ่านหนังสือในเกาหลี ไม่ใช่เรื่องใหม่ และว่ากันจริงๆ แล้ว ความเป็นหนอนหนังสือ หรือวัฒนธรรมการอ่าน ได้ฝังรากลึกในเกาหลีมาช้านานแล้ว

ในเกาหลี โดยเฉพาะในกรุงโซล มีร้านหนังสือขนาดใหญ่มากมาย ทั้งร้านที่เป็น chain store, franchise หรือร้านอิสระ ทั้งร้านที่ขายหนังสือมือสอง หนังสือภาษาต่างประเทศ และร้านที่เน้นแต่หนังสือการ์ตูน หรือคอมิกส์ ทั้งแบบขายและให้เช่าอ่าน

ร้านหนังสือขนาดใหญ่หลายร้านในเกาหลี กลายเป็นจุดแฮงค์เอาท์ หรือสถานที่นัดพบเจอของหนุ่มสาวชาวเกาหลี เพราะนอกจากหนังสือที่อัดแน่นเรียงรายบนชั้นวางแล้ว ภายในร้าน ยังมีสินค้าอย่างอื่นจำหน่าย รวมไปถึงคาเฟ่ให้นั่งจิบกาแฟ และดื่มด่ำกับเบเกอรี่อร่อยๆ

คาเฟ่เก๋ๆ หลายแห่ง ก็ใช้หนังสือเป็นจุดขาย โดยวางคอนเซ็ปต์ร้านเป็น book cafe ที่มีหนังสือให้อ่านมากมายภายในร้าน ซึ่งเป็นอะไรที่โดนใจบรรดาหนอนหนังสือ ที่สามารถนั่งละเลียดอ่านหนังสือ พร้อมจิบกาแฟอุ่นๆ ลำพังคนเดียวโดยไม่ขัดเขิน

จากผลการสำรวจที่ทำไว้เมื่อปี 2019 พบว่า ชาวเกาหลี อ่านหนังสือโดยเฉลี่ยปีละ 7.5 เล่ม ซึ่งถือว่า สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในเอเชีย

อะไรทำให้วัฒนธรรมการอ่านในเกาหลี แข็งแรงขนาดนี้?

อันที่จริง ในภูมิภาคเอเชีย ไม่ได้มีแค่เกาหลีเท่านั้นที่รักในการอ่านอย่างจริง ญี่ปุ่นและจีนก็ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการอ่านที่แข็งแรงเช่นกัน 

โดยในญี่ปุ่น การอ่านหนังสือบนรถไฟ เป็นภาพที่เราเห็นจนชินตามาช้านาน ทั้งหนังสือนิยาย เรื่องสั้น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือการ์ตูน ที่เรียกกันว่า มังงะ ขณะที่ตัวเลขผู้อ่านหนังสือในญี่ปุ่น สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียและของโลก

ส่วนในจีน นับตั้งแต่การเปิดประเทศกลายเป็นจีนยุคใหม่ วัฒนธรรมการอ่านของแผ่นดินใหญ่ ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างจริงจัง ดังจะเห็นได้จากการสร้างห้องสมุดขนาดใหญ่ในหลายเมือง จนทำให้ห้องสมุดหลายแห่งในจีน ได้รับการโปรโมทเป็นห้องสมุดที่สวยติดอันดับโลก และกลายเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ไปโดยปริยาย

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ชาติเอเชียตะวันออกทั้ง 3 ชาติ มีวัฒนธรรมการอ่านหนังสือที่เข้มแข็ง ก็คือ การให้ความสำคัญกับการศึกษา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักคำสอนของขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีน ผู้เคยมีชีวิตอยู่เมื่อกว่า 2,500 ปีที่แล้ว

ขงจื๊อเชื่อว่า การจะเป็นคนดีได้ ประการแรกต้องได้รับการศึกษาก่อน ไม่ว่าจะการศึกษาจากสถาบัน หรือการศึกษาด้วยตนเอง

จีน รวมทั้งญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งล้วนได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาตั้งแต่ยุคโบราณ ต่างรับมรดกตกทอดจากหลักคำสอนของขงจื๊อ ทำให้ประเทศเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับการศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบ และส่งผลให้หนังสือ ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อสำคัญของการเรียนรู้ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

(หมายเหตุ – ตัวเอนในบทความชิ้นนี้ คัดลอกจากหนังสือ วอลเดน เขียนโดย เฮนรี่ เดวิด ธอโร, แปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล พิมพ์โดย โครงการจัดพิมพ์คบไฟ)

Tags:

หนังสือซีรีส์เกาหลีใต้เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David)

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    Hometown Cha Cha Cha: ทะเลาะกันไม่ใช่ประเด็น แต่คือเรา ‘เอมพาตี้’ คนตรงหน้าแค่ไหน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Movie
    Start – up (2020) เราควรเลิกคาดหวังกันและกัน เพื่อกลับมาเป็นพ่อแม่ลูกดีกว่า

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Reply 1988: แม่มีรักครั้งใหม่ได้นะ มาอยู่เป็นเพื่อนพึ่งพากันแบบในซีรีส์ได้ก็จะยิ่งยินดี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เมื่อความรักไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ มา Unlearn และ Relearn คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ กันใหม่กับ Thaioasister
Everyone can be an Educator
2 November 2021

เมื่อความรักไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ มา Unlearn และ Relearn คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ กันใหม่กับ Thaioasister

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • ไม่มีผู้ร้ายในความสัมพันธ์เสมอไป และไม่มีใครสมควรถูกเรียกว่า ‘ดี’ หรือ ‘ร้าย’ ในความสัมพันธ์ เราต่างก็มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและร้ายสลับกันไปแล้วแต่สถานการณ์ ถ้าอยากมี healthy relationship เราอาจต้องมานั่งคุยกันว่าจะทำอย่างไร หาวิธีการให้ไปถึงจุดนั้น มากกว่ามานั่งหาว่าใครถูกหรือผิด
  • หนึ่งไฮไลท์สำคัญของไทยโอเอซิสเตอร์คือ บริการยุติความสัมพันธ์ ช่วยเหลือคนที่อยากออกจากความสัมพันธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ จากประสบการณ์ที่ทำงานช่วยผู้ถูกกระทำ สิ่งแรกที่พวกเขามองหาคือ ความช่วยเหลือ แต่ถ้าออกไปแล้วเจอแต่ความว่างเปล่า ผู้ถูกกระทำก็จะรู้สึกเคว้งและถูกบีบให้ต้องกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ปัญหาก็ค่อยๆ ก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทำร้ายร่างกาย
  • ชวนตั้งหลักเรียนรู้การมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีคุณภาพ ไม่เฉพาะความสัมพันธ์คนรัก แต่รวมถึงครอบครัว และเพื่อนด้วย เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญเสมอ กับ พิศชามญช์ เจียมวิจิตรกุล หรือ ‘ลี่’ Thaioasister

เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญเสมอ

สโลแกนปรากฏอยู่บนหน้าแรกของเว็บไซต์ Thaioasister ก่อตั้งโดย พิศชามญช์ เจียมวิจิตรกุล หรือ ‘ลี่’ ด้วยความตั้งใจว่าให้ไทยโอเอซิสเตอร์เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนๆ สามารถมาตั้งหลักเรียนรู้การมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีคุณภาพ

พิศชามญช์ เจียมวิจิตรกุล

“ไม่รู้สิ…เราเป็นคนชอบเรื่องมนุษย์มากๆ (เน้นเสียง)” ความหลงใหลที่มีต่อ ‘มนุษย์’ ทำให้ลี่เปลี่ยนเส้นทางจากมัณฑนศิลป์มาทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ และลงลึกศึกษาเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ เกือบ 8 ปี ให้คำแนะนำช่วยเหลือคนที่มีปัญหาในความสัมพันธ์ ค่อยๆ ก่อร่างเป็นไทยโอเอซิสเตอร์

หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คงใช้กับเรื่องความสัมพันธ์ได้เช่นกัน หากอยากได้ความสัมพันธ์ที่ดีมีคุณภาพ ต้องเริ่มจากตัวเราเรียนรู้จักสิ่งนี้ซะก่อน

บทสนทนาข้างล่างนี้จะทำให้เราเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์หลากหลายมิติ ให้สมดังสโลแกนที่ว่า เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญเสมอ

ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ความสัมพันธ์’

เพราะเคยตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) รวมถึงคนรอบตัวเองต่างเคยมีความสัมพันธ์เช่นนี้ ทำให้ลี่ตั้งคำถามกับคำว่า ‘ความสัมพันธ์’ และอยากเข้าใจสิ่งนี้ให้มากขึ้น เธอเริ่มหาคำตอบด้วยการลงมือศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ

“ความที่เราชอบเรื่องคน การจัดการคน เวลาคนมีปัญหาเราต้องทำยังไง การจัดการกับความสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่แล้วจากงานของเรา พอศึกษาเรื่องนี้ลึกขึ้นเราก็เริ่มทำพาร์ทไทม์ให้คำแนะนำกับคนที่เจอเรื่องพวกนี้ คนรอบตัวพอรู้ว่าเราสนใจเรื่องนี้ มีคนรู้จักที่เจอปัญหานี้ก็จะแนะนำให้มาคุยกับเรา

“ลี่รู้สึกสนุกที่จะพูดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าพูดเรื่องนี้กับลี่คือไม่หยุดอะ (หัวเราะ)” ลี่เน้นย้ำกับเราเสมอว่าเธอชอบเรื่องความสัมพันธ์จริงๆ ขนาดที่ว่าศึกษามา 8 ปียังคงมีเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นและสนุกที่จะเรียนรู้ตลอด

เรื่องไหนที่รู้แล้วตื่นเต้นที่สุด? – ลี่นิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า ไม่มีผู้ร้ายในความสัมพันธ์เสมอไป และไม่มีใครสมควรถูกเรียกว่า ‘ดี’ หรือ ‘ร้าย’ ในความสัมพันธ์ ฟังดูเป็นโควตประดับแอคเคาท์คำคมทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องที่แท้จริงสำหรับตัวลี่ เธออธิบายว่าเราทุกคนต่างก็มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและร้ายสลับกันไปแล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งเราก็อาจเป็นฝ่ายทำตัวไม่ดี ซึ่งก็ต้องยอมรับให้ได้ ยกตัวอย่างเช่นว่า เวลาที่เรารู้สึก insecurity ไม่มั่นคงกับบางอย่าง ทำให้การแสดงออกของเราอาจจะก้าวร้าวรุนแรงเพื่อป้องกันตัวเอง นั่นแหละอาจกลายเป็นลูกศรย้อนไปทำร้ายอีกฝ่าย

“รู้เรื่องนี้ปุ๊บทำให้ลี่เข้าใจว่าถ้าเราอยากมี healthy relationship ความสัมพันธ์ที่ดีที่ปลอดภัย เราอาจต้องมานั่งคุยในลักษณะที่ว่าจะทำยังไง หา solution วิธีการให้ไปถึงจุดนั้น มากกว่ามานั่งหาว่าใครถูกหรือผิด”

จากศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ ทำงานช่วยคนที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในความสัมพันธ์ สเต็ปต่อมาของลี่ถึงขั้นลงทุนเรียนกฏหมายจนได้ปริญญามาอีกหนึ่งใบ เหตุผลเพื่อเอามาใช้งานด้านนี้โดยเฉพาะ

“รู้สึกว่าได้อะไรเยอะจริงๆ ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ในลักษณะที่ logic (เชิงตรรกะ) มากขึ้น ปกติถ้าพูดเรื่องความสัมพันธ์ก็จะเป็นเรื่องความรัก ความผูกพัน เป็นอะไรที่นามธรรม แต่ในภาคกฏหมายทำให้เราเห็นเส้นชัดขึ้นว่าอะไรเป็นตัวแบ่งสิ่งเหล่านี้”

สัมพันธ์ที่แปลว่ามาเรียนรู้กันใหม่ มีพื้นที่ต่อรอง และจุดพักในนาม Thaioasister

คลุกคลีกับสายงานนี้มาสักพักถึงเวลาก่อโปรเจกต์สร้างพื้นที่ของตัวเอง ‘Thaioasister’ จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นคอมมูนิตี้ที่ทุกคน (ขอเน้นตัวแดงๆ ว่า ทุกคน) รู้สึก secure (ปลอดภัย) เหตุผลที่ต้องย้ำว่าทุกคน ลี่อธิบายว่าเมื่อพูดถึง Domestic violence ความรุนแรงในครอบครัวหรือความสัมพันธ์ จะมี 2 คำที่เรามักได้ยิน คือ Victim ผู้ถูกกระทำ และ Abuser ผู้กระทำ ไทยโอเอซิสเตอร์ไม่อยากเป็นแค่พื้นที่ให้กับผู้ถูกกระทำเท่านั้น แต่อยากเป็นพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการที่จะพัฒนาคุณภาพความสัมพันธ์ทุกๆ คน เพราะบางการกระทำผู้กระทำยังไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด และยังมีอีกหลายการกระทำเกิดจากความหวังดี

“เราอยากเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกๆ คนไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงในความสัมพันธ์ ถ้าเขาอยู่ในคอมมูนิตี้นี้จะได้ unlearn และ relearn เรื่องความสัมพันธ์ใหม่ เพื่อทำให้เขามีความสัมพันธ์ที่ดีและปลอดภัยต่อคนที่เขารักจริงๆ”

ในขณะที่มีกลุ่มที่ทำงานขับเคลื่อนประเด็นเกี่ยวเพศ ความรุนแรงในความสัมพันธ์ ความแตกต่างของไทยโอเอซิสเตอร์กับกลุ่มอื่นคืออะไร คำตอบของลี่ที่มีให้คือ คงเป็นเนื้อหาที่นำเสนอ เน้นไปที่วิธีสร้างให้เกิด healthy relationship การจะสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพต้องทำอย่างไร

ได้ออกมาเป็น 2 เส้นทางในเว็บไซต์ Thaioasister เส้นทางแรก คือ การสร้าง healthy relationship เป็นส่วนที่ชวนทุกคนมาคุยในเชิงกลยุทธ์กันว่าในความสัมพันธ์เราจะจัดการอย่างไร เพราะการมี relationship เราต้องใส่ afford ลงไป ไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้อย่างเดียว ไม่งั้นลงท้ายอาจกลายเป็นธรรมชาติที่ร้ายหรือดี

อีกหนึ่งเส้นทางเป็นเรื่อง Self – love การที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ ต้องเริ่มจากมีกับตัวเองก่อน จะทำให้เราแข็งแรงมากพอ มีพลัง เวลาที่เราไปสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นเราสามารถมีบทบาทควบคุมในความสัมพันธ์ได้

“เราอยากชวนทุกคนมาเริ่มต้นกันใหม่ ที่จริงการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ ส่วนหนึ่งมาจากชีวิตประจำวันซึ่งมีประเพณีวัฒนธรรมครอบอยู่ ถามว่าสังคมไทยเราดีไหม…ก็อาจจะดีบ้างในบางส่วน และมีส่วนที่ไม่ดีที่ส่งผลให้คนคนหนึ่งถูกกดทับจากความเชื่อ ประเพณีบางอย่าง ที่ทำให้เขาไม่มีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ มีความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด

“เช่น soft power จากเพลง หนัง ละคร หลายๆ เรื่องที่เราเคยเห็นจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงมีการส่งต่อความเชื่อที่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ขอใช้คำว่า Romanticize คือ ทำให้การกระทำที่ไม่ดีกลายเป็นเรื่องโรแมนติกไปซะงั้น เช่น ถ้าเขาหึงแปลว่าเขารัก แต่จริงๆ แล้ว เราจะไปวัดว่าใครรักหรือไม่รักโดยการดูจาการแสดงความหึงหวง ยิ่งเยอะ ยิ่งรัก มันก็ไม่ได้ เราต้องมาเรียนเรื่องนี้กันใหม่ว่า ไอความสัมพันธ์ที่ดีมันเป็นแบบไหน ถ้ามันดีมันต้องดียังไง เพราะดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่อีกสิ่งที่สำคัญคือทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่าในคำว่าความสัมพันธ์มันประกอบไปด้วยเรื่องอะไรบ้าง

“และลี่ว่าค่านิยมในสังคมไทยที่ส่งผลหนักสุดน่าจะเป็นเรื่อง Patriarchy ระบบปิตาธิปไตย ความคิดแบบชายเป็นใหญ่ แล้วก็ความเป็นเผด็จการ ความเป็นลำดับชั้น (Hierarchy) พวกนี้เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการมีความสัมพันธ์ที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดีต้องมีพื้นที่ที่ต่อรองกันได้ ในครอบครัวเราจะเห็นพ่อแม่บางคนทรีตลูกในลักษณะที่เธอต้องฟัง ต้องทำตาม มีสมาชิกคนหนึ่งเป็นผู้นำที่เหลือเป็นผู้ตาม

“ถามว่าครอบครัวสามารถเป็นลักษณะแบบนี้เป็นได้ไหม…ก็ได้นะ แต่มันอาจจะไม่ healthy สักเท่าไรกับสมาชิกคนอื่นๆ เพราะไม่มีพื้นที่ให้เขาสามารถต่อรองได้ ตัวของคนที่เป็นคนตัดสินใจเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจได้ เขาก็ไม่รู้จัก sense of security (ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย) secure base (ฐานความมั่นคง) คืออะไร เขาไม่รู้ว่าตัวเองสามารถปกป้องสิทธิได้ เพราะถูกลิดรอนทำให้ไม่รู้จักเรื่องนี้ตั้งแต่แรก”

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ทำให้เราสนใจไทยโอเอซิสเตอร์คือ บริการยุติความสัมพันธ์ สารภาพว่าตอนที่เห็นครั้งแรกภาพในหัวคือ โทรปุ๊บจะมีกลุ่มคนขับรถมารับเราไปทันที (เกิดจากดูหนังมากไปแหละ) ลี่เล่าว่า บริการนี้เป็นการช่วยเหลือคนที่อยากออกจากความสัมพันธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ จากประสบการณ์ที่ทำงานช่วยผู้ถูกกระทำ สิ่งแรกที่พวกเขามองหาคือ ความช่วยเหลือ แต่ถ้าออกไปแล้วเจอแต่ความว่างเปล่า ผู้ถูกกระทำก็จะรู้สึกเคว้งและถูกบีบให้ต้องกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ปัญหาก็ค่อยๆ ก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทำร้ายร่างกาย

ความตั้งใจของลี่จึงเป็นการมอบความช่วยเหลือตั้งแต่ต้น คนที่อยากออกจากความสัมพันธ์หรือมีคนรู้จักที่กำลังเผชิญสถานการณ์นี้ โดยที่ยังไม่มีความผูกพันทางกฏหมาย สามารถติดต่อมาที่ไทยโอเอซิสเพื่อรับบริการดังกล่าว

แล้วความสัมพันธ์ที่ดีเป็นอย่างไร? – ลี่บอกว่า การมีพื้นที่ที่สามารถต่อรอง สามารถที่จะเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง ความสัมพันธ์แบบ unhealthy ความสัมพันธ์ที่ส่งผลเสียจะตรงกันข้าม คือมีฝ่ายหนึ่งตั้งตัวไปผู้นำ ไม่เปิดพื้นที่ให้ต่อรอง ทุกการตัดสินเป็นของเขาคนเดียว

“ความสัมพันธ์ก็เป็นเหมือนสเปกตรัม วันนี้อาจจะเบรนด์ๆ ออกไปทางสีส้ม – แดง เป็น unhealthy relationship  ไทยโอเอซิสเตอร์เราอยากเป็นจุดพักที่ถ้าคุณขับรถอยู่ก็แวะเข้ามาพักที่นี่ได้ มาตั้งหลักโฟกัสใหม่ ให้โอกาสสองคนได้เปลือยความคิด จริงใจต่อกัน เพื่อจะได้รู้ว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นอย่างไรต่อ มันอาจจะค่อยๆ ถูกเบนเข็มกลับมาในสเปกตรัมที่ healthy ขึ้น แต่ถามว่าจะ healthy ตลอดไปไหม…ก็ไม่ใช่ ความสัมพันธ์เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เราก็จะเข้มแข็ง วันหนึ่งรักหมดเราก็สามารถอยู่ได้

“สังคมไทยมักมีมายเซ็ตว่า ความสัมพันธ์ถ้าให้ประสบความสำเร็จต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ซึ่งไม่จริง (เสียงสูง) ความสัมพันธ์มีดีสุดแค่ 2 – 3 ปีก็ถือว่าดีแล้วนะ หรืออาทิตย์เดียวก็ได้ ไม่เป็นไรเลย ขอแค่คุณมีความสุข อีกคนมีความสุข แล้วความสัมพันธ์นี้มีคุณค่า…จบ แค่นั้นก็ถือว่าดีมากแล้วที่ได้เกิดมาเจอความสัมพันธ์แบบนี้ ดีกว่าต้องทำให้มันนานที่สุด ซึ่งไม่จำเป็นเลย”

สัมพันธ์ที่แปลว่าครอบครัว เพื่อน คนรัก

เวลาพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เราส่วนใหญ่มักพุ่งไปที่ความสัมพันธ์รูปแบบคู่รักหรือครอบครัว มองข้ามความสัมพันธ์หนึ่งที่สำคัญมากๆ และสามารถสร้างพิษให้เราได้ คือ ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ซึ่งลี่มองประเด็นนี้ว่า มาจากสังคมไทยเป็นสังคมแบบ Collective (Collective Behavior พฤติกรรมรวมหมู่) จะยึดโยงคนเป็นกลุ่มๆ หลายครั้งที่แม้เราจะไม่ชอบ ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องฝืนตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับเคารพ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

“ขอยกตัวอย่าง ไข่ดาว ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ชอบกินไข่ดาวสุก แต่ไปกับเพื่อนกลายเป็นว่าเราต้องกิน เพราะเรากลัวไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อน ซึ่งจากจุดที่ดูเล็กๆ มันอาจขยายไปเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้เขาถูก manipulate ควบคุมได้

“มีบางเคสที่ลี่เจอ นอกจากเขา abuse ตัวเองเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม คนอื่นๆ ก็ยังมา abuse เขาอีก ด้วยความที่มนุษย์มีทรัพยากรเยอะ เวลา แรงงาน เงิน ทรัพยสิน เราก็สามารถถูก abuse จากอะไรก็ได้ เช่น ตีสามตีสี่เพื่อนโทรมา เราซึ่งกำลังจะนอนแล้ว แต่ตัวเขาต้องการโทรมาระบาย ถ้าเขาเอาเวลาเราไปแบบนี้ เราโอเคไหม?

“สิ่งที่ไทยโอเอซิสเตอร์พยายามสื่อสารคือ ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งนี้ไม่โอเค แต่คุณเลือกจะทำก็ได้นะ ไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่การเลือกเพราะคุณไม่รู้ say yes ไปก่อน เพราะมีความ insecure ความรู้สึกไม่มั่นคงที่ควบคุมคุณจากข้างใน ทำให้ค่อยๆ ถูกผลักเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้”

บางคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพื่อเพื่อนเราสามารถยอมได้สบาย ไม่ใช่เรื่องของการเสียเปรียบ – ได้เปรียบ ในมุมของลี่มองว่า มนุษย์สามารถยืดหยุ่นปรับตัวได้ แต่การจะทำสิ่งนั้นได้เราจำเป็นต้องรู้ตัวก่อนว่าเราอยากทำ กล้าที่จะพูดความต้องกล้าของตัวเอง

“บางคนถูกเลี้ยงในสังคมที่…อะ อย่างสังคมไทยละกัน ต้องยอมรับว่าหลายครอบครัวไม่อนุญาตให้ลูกสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้ หลายๆ คนอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่บางทีมันมีเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นคนง่ายๆ สบายๆ หรือจริงๆ เป็นคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่า Identity หรือตัวตนของเราเป็นแบบไหน

“ตัวลี่เองก็โตมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีเป้าหมายให้เราอยู่แล้ว เราจะรู้สึกว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นคนที่ทำให้เขาภูมิใจ จนได้มาศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ มาตั้งคำถามว่า จริงๆ เราชอบอะไร เป็นคำถามที่ลี่ตอบยากมาก รู้สึกตกใจมากเพราะมีบางเรื่องเกี่ยวกับตัวเราที่เพิ่งรู้ เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”

สัมพันธ์ที่กำลังแปลในอนาคต

หลังจากสื่อสารสร้างพื้นที่เรียนรู้ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ แพลนต่อไปของไทยโอเอซิสเตอร์จะขยับลึกอีก ด้วยการการเข้าไปให้ความรู้ในสถานศึกษา เพราะช่วงเปลี่ยนผ่านจาก teenage (วัยรุ่น) สู่ young adult (วัยผู้ใหญ่แรกเริ่ม) ถือเป็นช่วงที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ในช่วงนี้จะสำคัญมาก ไม่ว่าครอบครัว เพื่อน หรือคู่รัก

“มันสำคัญมากๆ นะ (เน้นเสียง) ความสัมพันธ์ที่เรามีช่วงนี้ ไม่ว่าจะแฟนคนแรก หรือความรักแบบ puppy love เพราะมันจะสอนเราเรื่อง relationship บ่มเพาะกลายเป็นชุดประสบการณ์ติดตัวเรา จริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่ที่บ้านแล้วละ เราเรียนรู้แพทเทิร์นความรัก การแสดงออกต่างๆ จากพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้สำคัญว่าเขาจะได้รู้จักการมีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ และในวันที่เขาเติบโตมีครอบครัวก็สามารถส่งต่อคุณค่านี้ให้ลูกต่อไป

“ลี่อยากโฟกัสกลุ่มนี้ เพราะเขาเป็นต้นอ่อนที่ยังสามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ ยังปรับทัศนคติได้ ที่จริงความสัมพันธ์ในวัยนี้ก็มีเรื่อง Intimate Partner Violence (ความรุนแรงในคู่รัก) ไม่ว่าจะเป็น sexual harassment (การล่วงละเมิดทางเพศ) ทางจิตใจหรือร่างกาย ลี่ว่ามีหมดแหละเหมือนผู้ใหญ่

“รู้สึกท้าทายเหมือนกัน เพราะคนที่ลี่เคยคุยด้วยส่วนใหญ่จะเป็นระดับมหาลัยขึ้นไป เคยไปคุยกับเด็กกลุ่มนี้ อายุ 15 – 16 เรื่องครอบครัว ส่วนใหญ่เขายังไม่ค่อยมีคอนเซปต์ในหัว ไม่รู้จัก power dynamic คืออะไร ก็รู้สึกท้าทายดี น่าจะทำให้เขาเห็นอะไรมากขึ้น”

ถ้าการแสดงออกของพ่อแม่มีผลต่อมุมมองความสัมพันธ์ในลูก แล้วสิ่งที่พ่อแม่ควรสอนลูกเรื่องความสัมพันธ์ในยุคนี้คืออะไร ลี่บอกว่าแค่พ่อแม่ทำให้บ้านมีพื้นที่ต่อรอง ลูกสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ไม่ต้องกลัวที่จะเปิดเผยตัวเอง ไม่ว่าจะด้านที่อ่อนแอหรือด้านที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกสามารถมองหาความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน เพราะเขาจะรู้ว่านี่เป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นความสัมพันธ์ที่ให้เขารู้สึกปลอดภัย เป็นอิสระ

“อยากให้คนเข้าใจเรื่องนี้เยอะๆ ขึ้น มาคุยกัน ลี่อยากบอกว่าไทยโอเอซิสเตอร์ไม่ใช่พื้นที่ที่ลี่ให้ความรู้คนเดียว ลี่อยากให้เป็นพื้นที่ที่คนนี้ก็รู้เรื่องหนึ่งแล้วมาแชร์กัน เป็นพื้นที่สร้างความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น เพราะเรื่องความสัมพันธ์มันร้อยแปดพันเก้า แต่ละคนมีวิธีคิดความรู้สึกไม่เหมือนกัน ลี่พยายามสื่อสารสิ่งนี้ผ่านโอเอซิส” ลี่กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

ความรักแบบแผนความสัมพันธ์พิศชามญช์ เจียมวิจิตรกุลปม(trauma)

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมการมีจุดยืนที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดี ? (Healthy Boundary)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว 

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel