Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: November 2020

Growing up with HIV: ชีวิตไม่แพ้ของ ‘เพลงพิณ’ มายเซ็ตที่เปลี่ยนการตีตราเป็นความเติบโต
Social Issues
30 November 2020

Growing up with HIV: ชีวิตไม่แพ้ของ ‘เพลงพิณ’ มายเซ็ตที่เปลี่ยนการตีตราเป็นความเติบโต

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • เมื่อเด็กหญิงวัย 12 ปีต้องรับรู้ว่าตัวเองมีเชื้อ HIV ในร่างกาย เธอฝ่าฟันมาได้อย่างไร เส้นทางชีวิตและวิธีคิดที่เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นแต้มต่อของ ‘เพลงพิณ’ เจ้าของเพจ Growing up with HIV 
  • เนื่องใน ‘วันเอดส์โลก’ 1 ธันวาคมของทุกปี ร่วมแบ่งปันความรักความห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อ HIV เลิกตีตราและเลือกปฏิบัติ บนพื้นฐานการยอมรับความแตกต่างหลากหลายในสังคม
ภาพ: ปริสุทธิ์

“ขอบคุณนะที่ทำให้หนูมี HIV”

น้ำเสียงหนักแน่นของ ‘เพลงพิณ’ (นามสมมติ) ส่งผ่านความรู้สึกในวันที่เธอได้พูดประโยคนี้กับผู้เป็นพ่อก่อนที่ท่านจะจากไป

“พ่อพูดตลอดว่า ป๊าขอโทษนะที่ทำให้หนูมีเชื้อ ขอโทษที่ดูแลหนูไม่ดี ขอโทษที่เป็นคนทำลายชีวิตหนู พอโตมาเราก็บอกกับเขาว่า ป๊าไม่ต้องพูดแบบนี้แล้ว ขอบคุณนะที่ทำให้หนูมี HIV ขอบคุณนะที่ทำให้หนูมาเจอเพื่อน เจอครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่ง ขอบคุณมากๆ เลย”

25 ปี กับการอยู่ร่วมกับ HIV แม้จะมีหลายครั้งที่เธอเกือบเสียศูนย์ แต่ไม่มีสักครั้งที่ ‘เสียใจ’ หรือตัดพ้อต่อว่าโชคชะตา

“ถ้าไม่มี HIV ทุกวันนี้หนูอาจจะเป็นเด็กที่เหลวไหลอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ก็ได้ หนูอาจจะเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้ หนูอาจจะตีตราคนที่เขามีเชื้อ HIV ก็ได้ มันทำให้หนูเจออีกโลกหนึ่งเลย

การที่มีเชื้อ HIV มันคือความยิ่งใหญ่สำหรับหนูเลยนะ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ในสิ่งที่เลวร้าย แต่ HIV ทำให้เราต่อยอดได้ ทำให้สังคมเห็นว่าคนที่มีเชื้อ HIV สามารถอยู่ได้ และอยู่ได้โดยมีศักยภาพไม่ต่างจากคนปกติด้วยซ้ำ”

ถ้าเปรียบกับหนังสักเรื่อง ชีวิตของ ‘เพลงพิณ’ ก็ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทดราม่าน้ำตาท่วมจอ แต่เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เติบโตบนพื้นฐานของความรัก โดยมี HIV เป็นบททดสอบสำคัญ และแม้จะเพิ่งมารู้ว่าตนเองมีเชื้อนี้เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น แต่เธอก็ไม่ได้ฟูมฟาย หรือปล่อยชีวิตให้ผุพังไปกับความสิ้นหวัง

“รู้ว่าตัวเองมีเชื้อ HIV เมื่ออายุราวๆ 12-13 ปี โดยได้รับเชื้อจากพ่อซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ร่วมกับ HIV มาตั้งแต่วัยรุ่น ตอนนั้นเขาเลือกที่จะไม่บอก เพราะช่วงที่เราเกิดคือปี 2538 เป็นช่วงที่โรคเอดส์ระบาดหนัก และยังไม่มียามารักษาเช่นทุกวันนี้”

จนวันหนึ่งเมื่อพ่อล้มป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบ อาการทรุดหนัก เธอทำหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด กระทั่งตัวเองเริ่มป่วยและได้รับเชื้อวัณโรค  ด้วยความสงสัยคุณป้าจึงขอให้หมอตรวจเลือด ผลก็คือมีเชื้อ HIV

“ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นด้วยซ้ำ รู้แค่เป็นวัณโรคกับปอดอักเสบ”

จากนั้นทางโรงพยาบาลได้แนะนำให้เพลงพิณไปพบกับคุณหมอท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งคุณหมอได้อธิบายเกี่ยวกับ HIV ว่าเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเป็นโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ง่าย

“เราก็นั่งฟังและคิดในใจว่าเขาอธิบายให้เราฟังทำไม เกี่ยวอะไรกับเรา สุดท้ายแล้วหมอก็ตัดสินใจบอกว่า ที่หมอเล่าให้หนูฟังก็เพราะว่าหนูก็มีเจ้าตัวไวรัสนี้อยู่ในร่างกาย ทีนี้หนูจะต้องกินยาตัวหนึ่งเพื่อเข้าไปกดไวรัสไม่ให้ออกมาแพร่ระบาด

เราก็อึ้งไปสักแป๊บนึงและตอบหมอไปว่า…ค่ะ แค่นั้น ยังจำภาพเหตุการณ์วันนั้นได้ดี เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ไม่มีความกลัว แต่คนรอบข้างก็จะคอยถามตลอดว่าโอเคไหม ซึ่งเรารู้สึกว่าในเมื่อมียารักษาก็แค่ต้องกินยาเท่านั้นเอง”

ความรักของคนในครอบครัวคือภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด

ระหว่างการสนทนาในหัวข้อที่คิดว่าน่าจะหนักหนาที่สุดสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นึกถึงภาพเด็กตัวเล็กๆ อายุแค่ 12 ปี มีความรู้เรื่อง  ‘HIV-AIDS’ เพียงเล็กน้อยและก็เป็นแง่มุมที่แสนจะหดหู่สิ้นหวัง ต้องมารับรู้ว่าตัวเองมีเชื้อร้ายนี้อยู่ในร่างกาย นาทีนั้นน่าจะร้องไห้ฟูมฟายด้วยความกลัว แต่สำหรับ ‘เพลงพิณ’ ไม่ว่าจะในวันนั้นหรือวันนี้ ไม่เคยมีน้ำตาจากความสิ้นหวัง

“กลับมาถามตัวเองว่าในวันนั้นไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ สุดท้ายแล้วก็ได้คำตอบเหมือนเดิมว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ นอกจากความรู้สึกที่ว่าต้องกินยาแค่นั้น แต่กับพ่อ-เขาเป็นคนที่เซนซิทีฟ เขาจะรู้สึกว่าตัวเองคือคนผิด และพยายามทำทุกอย่างให้เรามีชีวิตที่ดี”

เธอว่า ชีวิตแม้จะเริ่มต้นจากการเป็นเด็กบ้านแตก แต่ก็หล่อหลอมขึ้นมาด้วยความรักของพ่อและย่า ไม่เคยรู้สึกว่า ‘ขาด’ และไม่เคยคิดที่จะโทษใคร

“ทุกวันนี้พอมานั่งนึกดูว่า ทำไมเด็กอายุ 12 ในวันนั้นถึงสตรองได้ขนาดนี้ คิดว่าสิ่งที่ทำให้ยืนหยัดมาได้ก็คือความรักจากคนรอบข้างและความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เพราะครอบครัวเราเป็นเหมือนครอบครัวอบอุ่นครอบครัวหนึ่งถึงจะไม่มีคุณแม่ก็ตาม เนื่องจากพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เรายังเด็ก และอาศัยอยู่กับครอบครัวคุณพ่อตั้งแต่นั้นมา

บางคนจะมองว่าการไม่มีแม่ การที่บ้านแตกต้องเกเร เป็นเด็กมีปัญหา ซึ่งเรากลับรู้สึกว่าไม่เลย ครอบครัวทางฝั่งคุณพ่อเป็นฝ่ายเติมเต็มให้เยอะมาก ไม่ว่าจะเรื่องเรียน การใช้ชีวิตต่างๆ ทุกสิ่งที่เราชอบเขาพร้อมจะสนับสนุน พร้อมที่จะให้ความรักความอบอุ่น ก็เลยไม่มีปัญหาในครอบครัวและไม่ได้รู้สึกขาดความอบอุ่น”

เธอว่า ที่รู้สึกแบบนี้เพราะเชื่อมั่นในความรัก “…มันอยู่ที่ว่าจะมองเห็นความรักในมุมมองไหน” และแม้จะเคยดื้อบ้างออกนอกลู่นอกทางไปบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ ‘เพลงพิณ’ ก็ไม่เคยหันหลังให้กับความรักของคนในครอบครัว

“ช่วงเข้าสู่วัยรุ่นเริ่มรู้สึกเบื่อที่ต้องกินยา เพราะตลอด 12 ปีก่อนที่จะรู้ว่ามีเชื้อ HIV เป็นคนกินยายากมาก พอเข้ามหาวิทยาลัยเจอเพื่อนเจอแฟน ก็เริ่มคิดหนักว่าจะทำอย่างไร จะหลบหลีกในการกินยาอย่างไร เลยเลือกที่จะไม่กิน เป็นช่วงอยากลอง เห็นคนอื่นบอกว่าถ้าไม่กินจะเป็นโน่นเป็นนี่ เราก็กินๆ หยุดๆ ในช่วงระยะเวลาปีสองปี พอเข้าปีที่สามก็หยุดกินไปเลย รวมๆ แล้วกว่าจะป่วยก็ 5 ปี ซึ่งเป็น 5 ปีของความทรมานระดับหนึ่ง” 

หลังจากผ่านการป่วยหนักมาได้ เธอบอกกับตัวเองว่าต้องกลับมากินยาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ

“เป้าหมายในชีวิตตอนนั้นคือ ความรู้สึกที่อยากจะอยู่ต่อ เพราะย่าเรายังอยู่ ย่ายังไม่เห็นหลานสาวคนเดียวใส่ชุดรับปริญญา จะทำอย่างไรให้ย่าภูมิใจได้บ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกที่จะไม่กินยา คนที่เสียใจมากที่สุดอีกคนก็คือย่า”

นอกจากความรักที่เป็นพื้นฐานของหัวใจที่แข็งแรงแล้ว การหาความรู้เกี่ยวกับ HIV ก็มีส่วนสำคัญในการดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดให้สามารถอยู่ร่วมกับ HIV ได้อย่างมีคุณภาพชีวิต รวมถึงยังได้ช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาเหมือนๆ กัน

“ในส่วนของความรู้ก็สำคัญในระดับหนึ่ง บางอย่างเราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก บางอย่างเราก็ต้องอัพเดตเรื่อยๆ รวมถึงเรื่องสุขภาพจิตต่างๆ ก็จะคอยอัพเดตกันในกลุ่มเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือกัน

สำหรับคนที่โตมาพร้อมกับเชื้อเหมือนเรา อยากบอกว่าจริงๆ แล้วเขาก็คือคนปกติทั่วไป แค่ว่าทุกวันนี้ต้องกินยา และการใช้ชีวิตไม่ว่าใครจะมองเราอย่างไร ขอให้เรามองตัวเราเองให้ดีที่สุดว่าเราทำได้ เชื่อในตัวเองให้มากที่สุด”

พลังบวกจากการเห็นคุณค่าในตัวเองพร้อมส่งต่อสู่สังคม

หลังจากชัดเจนในเป้าหมาย เพลงพิณเริ่มมองไปที่อนาคต เธอรักการทำอาหารและอยากต่อยอดไปสู่เส้นทางสายอาชีพ แต่เพราะยังมีข้อจำกัดบางประการสำหรับคนที่อยู่ร่วมกับ HIV วันนี้เธอจึงเบนเข็มมาเรียนด้านสื่อสารมวลชน ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พร้อมไปกับการก่อตั้งเฟซบุ๊คแฟนเพจ Growing up with HIV (โตมากับเอชไอวี) เพื่อสร้างความเข้าใจและช่วยเหลือเยาวชนที่มีเชื้อ HIV ให้ก้าวผ่านการตีตราและยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นใจ

“พอรู้ว่าตัวเองมี HIV เราก็ได้ไปเข้าค่ายและทำกิจกรรมกับกลุ่มที่ทำงานในโรงพยาบาลจุฬาฯ ชื่อว่า Thank kids ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนเป็น Thank youth ทำให้ได้ซึมซับและเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติดีๆ ได้ความรู้เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับเชื้อ HIV แล้วก็ทำความเข้าใจมาเรื่อยๆ มีเพื่อนที่คอยซับพอร์ตความรู้สึกกัน เลยทำให้รู้สึกว่านี่แหละคือเซฟโซนของเรา”  

หลังจากนั้นเธอได้เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อีกหลายกลุ่มและคิดว่าเมื่อตัวเองยืนหยัดได้แล้ว ก็น่าจะได้นำประสบการณ์ของตัวเองมาแบ่งปันกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ถูกตีตราและเลือกปฏิบัติ

“เริ่มแรกก็อยากประคับประคองคนอื่นๆ ที่มีเชื้อเหมือนเรา เมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ มันคือสิ่งที่อยากช่วยสังคม อยากทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ อยากทำให้คนอยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ได้ ให้เขายืนได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งรังเกียจกัน ตีตรากัน หรืออย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียเพื่อนเพราะการไม่กินยาไปอีก มันคงถึงเวลาที่เราจะจริงจังกับการช่วยเหลือคนอื่นสักที”

หัวใจหลักของเพจที่เพลงพิณและเพื่อนๆ พยายามสื่อสารออกไป ก็คือ ทำอย่างไรให้คนในสังคมเข้าใจคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ว่าไม่ได้เป็นตัวอันตรายสำหรับใคร

“สิ่งเหล่านี้มันย้อนกลับมาเติมเต็มเราตรงที่ว่าเราจะเดินอย่างไรให้ถูกทาง เดินอย่างไรให้คนอื่นมองว่าเราเดินได้เขาก็เดินได้ เรายังมีไอดอลของเรา แล้วทำไมเราถึงจะเป็นไอดอลให้คนอื่นบ้างไม่ได้ เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นบ้างไม่ได้ แล้วพอทำได้มันก็เติมเต็มความรู้สึกที่ว่า…เราไม่ได้ด้อยค่า”

มันเหมือนคำพูดสวยๆ ที่ว่า ‘ยิ่งให้ก็ยิ่งได้’ แต่สำหรับกลุ่มเยาวชนผู้อยู่ร่วมกับ HIV ความรู้สึกที่คืนกลับมางดงามกว่านั้น เพราะยิ่งแบ่งปันก็ยิ่งภาคภูมิใจ

“ตอนนี้รู้สึกว่าภูมิใจในตัวเองระดับหนึ่งเลย คิดในใจว่าเราอยู่มาได้อย่างไรตั้ง 25 ปี โดยที่ชีวิตมันไม่ได้เหลวขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้แข็งขนาดนั้น เราสามารถเดินได้โดยที่สังคมไทยยังตีตราคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เราก็เห็นหลายๆ คนมีปัญหาแต่ทำไมเราถึงเดินได้ขนาดนี้ ถ้าเราเลือกที่จะจบชีวิตโดยการไม่กินยาในวันนั้น ก็คงจะไม่มีความภูมิใจในตัวเองขนาดนี้”

ความฝันและโอกาสไม่ควรถูกชี้ขาดด้วยผลเลือด

เพราะหลงรักในศิลปะการทำอาหาร เพลงพิณเคยวางความฝันในการเป็นเชฟไว้อันดับต้นๆ แต่แล้วด้วยข้อจำกัดและความกังวลถึงความก้าวหน้าบนเส้นทางสายนี้ ก็ทำให้เธอเก็บความฝันเดิมไว้ในลิ้นชัก แต่ยังคงเลือกทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร

“ตอนนี้ทำงานพาร์ทไทม์ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมานานพอสมควร เลยคิดว่าอยากจะหาความมั่นคงให้กับชีวิตด้วยการบรรจุเป็นพนักงานประจำ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะก่อนที่จะบรรจุต้องมีการตรวจหาเชื้อ HIV ซึ่งหมายความว่าเราหมดสิทธิ”

เธอบอกว่าแม้ผู้ติดเชื้อ HIV จะเข้าถึงระบบบริการสุขภาพและได้รับการดูแลให้สามารถดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ แต่เมื่อเข้าสู่วัยทำงานกลับถูกจำกัดทางเลือกในหลายๆ อาชีพ เช่น ตำรวจ พนักงานในธุรกิจอาหาร พนักงานประกันชีวิต ทำให้ราว 17 % ของผู้ติดเชื้อ HIV ต้องกลายเป็นคนว่างงานจากการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะมาจากการตรวจเลือดก่อนเข้าทำงาน การตรวจเลือดระหว่างเรียนหรือระหว่างทำงาน ส่งผลให้อนาคตของผู้ติดเชื้อ HIV ต้องจบลงที่การตีตราและเลือกปฏิบัติ

“เคยถามผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร เขาก็บอกว่าถ้าสังคมเข้าใจเขาก็พร้อมที่จะเปิดใจตรงนี้ แต่ตราบใดที่สังคมยังไม่เข้าใจก็สุ่มเสี่ยงที่ธุรกิจจะได้รับผลกระทบ และจากการไปเก็บข้อมูลเรื่องการตรวจเชื้อ HIV ก่อนเข้าทำงานในงานฟู้ดแฟร์ที่ผ่านๆ มา พบว่าส่วนใหญ่มีการตรวจ 9 โรคร้าย ซึ่งรวมถึงเชื้อ HIV ด้วย โดยจากการสอบถามฝั่งผู้ประกอบการพบว่าบางอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานประกอบการอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลด้วยเช่นกัน”

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานพยาบาลบางแห่งขายโปรแกรมการตรวจสุขภาพประจำปีให้บริษัทห้างร้านและองค์กรต่างๆ โดยแถมการตรวจเชื้อ HIV ด้วย ทั้งที่การตรวจดังกล่าวต้องได้รับการยินยอมและส่งผลตรงถึงเจ้าของ แต่หลายแห่งก็ส่งให้ฝ่าย HR ถือเป็นการละเมิดสิทธิในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

 “เรื่องนี้หลายองค์กรพยายามที่จะรณรงค์เพื่อนำไปสู่การยกเลิกการเลือกปฏิบัติและกีดกันด้านการประกอบอาชีพของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะการตรวจ HIV ของสถานประกอบการก่อนรับเข้าทำงานถือเป็นการละเมิดสิทธิ รวมไปถึงให้สถานพยาบาลเลิกใส่โปรแกรมเหล่านี้ไปในแพ็คเกจตรวจสุขภาพประจำปีด้วย” 

สำหรับ ‘เพลงพิณ’ การใช้ชีวิตร่วมกับ HIV ยังคงเป็นทั้งความสวยงามและโจทย์ท้าทาย…ไม่เฉพาะการเดินไปสู่เป้าหมายในอนาคตของตนเอง แต่หมายรวมถึงการเรียนรู้และเติบโตอย่างแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจของเพื่อนๆ ผู้ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน

“สังคมไทยกับผู้ติดเชื้อ HIV ยังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ พวกเขาถูกตัดตอนความฝัน ทั้งๆ ที่หลายคนมีศักยภาพมากพอ เพียงเพราะติดเชื้อ HIV เพราะฉะนั้นการที่จะเติบโตเป็นเยาวชนที่สมบูรณ์สักคนในกลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV จึงไม่ใช่เรื่องง่าย”

และหากขอได้…เธอก็ขอเป็นตัวแทนเยาวชนผู้อยู่ร่วมกับ HIV เรียกร้องความเข้าใจและการยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนในสังคม เพื่อการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่ตีตราและเลือกปฏิบัติ

HIV ไม่เท่ากับ AIDS
HIV  (Human Immunodeficiency Virus)  เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคน เป็นสาเหตุทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) หรือที่เรียกกันว่า ‘โรคเอดส์’  คือกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี  ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อไวรัสทำลายจนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้
ปัจจุบันทางการแพทย์พยายามเปลี่ยนคำว่า ‘ผู้ติดเชื้อเอดส์’ มาเป็น ‘ผู้ติดเชื้อ HIV’  และเนื่องจากคนที่ติดเชื้อ HIV ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะผู้ป่วย ดังนั้นจึงเรียกว่า ‘ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV’ แทน

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นการเติบโตประเด็นทางสังคมHIV

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Related Posts

  • Online Parenting Theory-nologo (2)
    Family Psychology
    สารพัดทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ พ่อแม่ควรทำอย่างไรท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    ครอบครัวที่ลัก : คงจะดีไม่น้อยถ้าเราเลือกครอบครัวได้เอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกช่วงวัยและเวลา คือภาพรวมที่สำคัญของการศึกษาและการดูแลเด็ก: นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล
Early childhood
29 November 2020

ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกช่วงวัยและเวลา คือภาพรวมที่สำคัญของการศึกษาและการดูแลเด็ก: นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกช่วงวัยและเวลา คือภาพรวมที่สำคัญในการศึกษาและการดูแลเด็ก เพราะปัญหาจะมีอีกไม่รู้จบ ตราบใดที่ยังไม่ตั้งคอนเซ็ปการศึกษาให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก
  • คุยกับ นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล อุปนายกสมาคมการแพทย์มนุษยปรัชญาไทย คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดและพัฒนาการเด็กในมุมมองการแพทย์มนุษยปรัชญา ให้เข้าใจพัฒนาการของวัยอนุบาล สิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องเติมให้กับเด็กวัยนี้ และสภาพแวดล้อมที่ควรจัดให้เขา

การรักษาหรือการดูแลให้คนคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะเด็กซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องดูสมดุลของกายและจิตใจ (Body & Mind) 

เป็นสิ่งที่หมอปอง – นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล อุปนายกสมาคมการแพทย์มนุษยปรัชญาไทย บอกกับเรา

หมอปอง – นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

หมอปอง คือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดและสนใจเรื่องพัฒนาการเด็กในมุมมองการแพทย์มนุษยปรัชญา เรามาคุยกับคุณหมอเพราะช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมามีข่าวการใช้ความรุนแรงกับเด็กจำนวนมาก หรือในทุกๆ เดือนเรามักเห็นอย่างน้อย 1 ข่าวที่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กในวัยอนุบาล

เพื่อไขความกระจ่างของสถานการณ์ดังกล่าว  เราชวนคุณหมอปองคุยกันให้ลึกลงไป ให้เข้าใจพัฒนาการของวัยอนุบาลมากขึ้น ทำความเข้าใจเด็กปฐมวัยในมุมมนุษยปรัชญา รวมถึงผลกระทบจากการได้รับความรุนแรง โดยแบ่งเป็น 2 บทความ  ในบทความนี้ซึ่งเป็นบทความแรกจะว่าด้วยเรื่องพัฒนาเด็กตามหลักมนุษยปรัชญา สิ่งสำคัญที่ต้องทำให้เด็กวัยนี้มี และการจัดสภาพแวดล้อมให้กับเด็กอนุบาล 

พัฒนาการเด็กปฐมวัยในมุมมองมนุษยปรัชญา

มุมมองที่หมอจะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องของการแพทย์แบบองค์รวม เมื่อพูดถึงพัฒนาการเราจะมองให้ครอบคลุม 2 ด้าน หนึ่งคือด้านกาย สองคือด้านจิตใจ หรือ Body & Mind เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายผมจะเปรียบเทียบว่า Body & Mind เหมือนกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ สมมติเรามีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เราบอกว่าวันนี้ทำไมฮาร์ดไดรฟ์เสียงมันดังจังเลย อ๋อ..ฮาร์ดไดรฟ์เสีย วิธีการแก้ไข เราก็ไปซื้อฮาร์ดไดรฟ์อันใหม่มาเปลี่ยน สิ่งที่เราแก้ไขตรงนี้เราเรียกว่าการแก้ไขทางด้านฮาร์ดแวร์หรือวัตถุ แต่มันอาจจะไม่จบปัญหาก็ได้ ถ้าเกิดว่าเหตุจริงๆ ที่ฮาร์ดไดรฟ์อันนั้นมันเสียจากการที่คอมพิวเตอร์ติดไวรัส ถามว่าไวรัสคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมมันจับต้องได้ไหม มันเป็นซอฟต์แวร์ จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่ เป็นการทำงานบางอย่างที่เรามองไม่เห็นแต่มันทำงานอยู่ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ 

เพราะฉะนั้น หมอก็เปรียบเหมือนกันว่า Mind หรือจิตใจ คือซอฟต์แวร์ของคนคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในร่างกาย เรามองไม่เห็น แต่ถามว่าเวลาเราโกรธ เราปวดหัวได้ไหม? หรือเวลาเรากลัว กังวล บางคนอาจบอกว่า ทำไมรู้สึกหน่วงท้องน้อยเหมือนอยากจะไปเข้าห้องน้ำ ถามว่าเกิดจากกระเพาะปัสสาวะเราผิดปกติไหม? ก็ไม่ใช่ แต่มันเกิดจากความเครียด ฉะนั้น การรักษาหรือการดูแลให้คนๆ หนึ่งเติบโตขึ้นมาแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะเด็กซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องดูสมดุลของกายและจิตใจ (Body & Mind) ที่ว่านี้

ในมุมมองที่ละเอียดลงไปอีก การแพทย์มนุษยปรัชญา (Anthroposophic medicine) บอกว่าซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่ภายในร่างกายมนุษย์มีเยอะมากกว่าแค่จิตดวงเดียว เรามีมุมมององค์ประกอบความเป็นมนุษย์คนหนึ่งว่า เกิดจาก Body, Soul และ Spirit หรือ กาย จิต และจิตวิญญาณ เมื่อไหร่ที่เรามีอารมณ์ มีความรู้สึกที่ผิดปกติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราก็จะรู้สึกปั่นป่วน ดังนั้น การดูแลสุขภาพต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ด้วย 

แต่ร่างกายของเราไม่ใช่ท่อนไม้ แพทย์มนุษยปรัชญาบอกว่า ร่างกายที่เป็น Body นั้นเราหยิบยืมพลังงานในธรรมชาติสร้างขึ้นมา ตอนที่เราปฏิสนธิอยู่ในท้องแม่จนครบ 9 เดือนแล้วคลอดออกมา ร่างกายประกอบด้วยธาตุต่างๆ คือ ดิน น้ำ  ลม ไฟ ที่เป็นพลังงานธรรมชาติและขับเคลื่อนให้เรามีปฏิกิริยาของชีวิต หรือชีวเคมีเกิดขึ้นในตัว เป็นกลุ่มก้อนของพลังงาน ถ้าเป็นภาษาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อาจเทียบได้กับ Electromagnetic field (คลื่นสนามพลัง) คือสิ่งที่เรียกว่ากายหยาบและกายละเอียด 

กายหยาบคือรูปกาย เป็นธาตุดิน เราจับต้องได้ แต่ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่เรามองไม่เห็น เกิดจากการทำงานของธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เช่น เราจับไปที่ร่างกายแล้วอุ่นๆ ความอุ่นนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย เช่น ตอนที่เราหลับไปตัวจะเย็นลง หรือตอนที่เราตื่นมีสติ อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้น หรือตอนที่เรามีอาการติดเชื้อ ร่างกายเราทำงานหนักเพื่อสู้กับเชื้อโรค แสดงออกมาเป็นอาการไข้ขึ้น ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่เปลี่ยนไป เมื่อไรที่สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับธรรมชาติแวดล้อม ธรรมชาติทั้ง 4 ที่เป็นกายหยาบกายละเอียดก็จะอยู่อย่างสมบูรณ์ไม่ป่วย แต่ถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายเราเสื่อมลงเรื่อยๆ การควบคุมธาตุต่างๆ เหล่านี้เริ่มเสียไป มันก็จะเสื่อมลงไปทีละอย่างๆ ในที่สุดโรคก็เริ่มมา

ในมุมมองแพทย์มนุษยปรัชญา การดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย ต้องสร้างสภาพแวดล้อมหรือการบำบัดเยียวยาที่เอื้อให้การเจริญเติบโตของกายหยาบ – กายละเอียดทั้งสี่นี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์เต็มศักยภาพที่สุด หรือถ้าร่างกายจะเสื่อมลงหรือถึงจุดหนึ่งที่เราต้องตาย ทำอย่างไรให้เกิดการตายที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ทรมาน คนเราป่วยได้ แต่ป่วยแล้วเราสามารถที่จะทำให้ดวงจิตของเรามีสุขภาพดีอยู่ได้ นี่เป็นสิ่งที่แพทย์มนุษยปรัชญามองว่า เป็นบทบาทและภารกิจที่แพทย์และนักบำบัดต้องทำ

เข้าเรื่องการดูแลเด็ก เราจะต้องดูแลอะไรบ้างเพื่อให้กายหยาบ-กายละเอียด หรือร่างกายของเขาเติบโตอย่างสมบูรณ์ที่สุด เวลาที่เราเกิดมาปุ๊บ คนมักคิดว่าคลอดแล้วคือจบ แต่ในมุมแพทย์มนุษยปรัชญาบอกว่า เราไม่ได้เกิดทีเดียว ตอนที่เราคลอด คือ การเกิดของรูปกายธาตุดิน แต่เราต้องรออีก 7 ปีเพื่อให้พลังชีวิตของเราสมบูรณ์ เป็นการเกิดครั้งที่ 2 และต้องรออีก 7 ปีจนถึงอายุ 14 ที่ธาตุลมหรือฮอร์โมน และอารมณ์ความรู้สึกของเรามันเติบเติบโตสมบูรณ์ เป็นการเกิดครั้งที่ 3 และก่อนที่จะไปถึงอายุ 28 ปีที่เรามีความเป็นปัจเจก มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เรียกว่าบรรลุนิติภาวะ การเกิดครั้งที่ 4 

เหมือนเราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง เราก็ต้องรอวันรดน้ำพรวนดิน จากเมล็ดค่อยๆ งอกราก ตอนงอกรากต้องการปุ๋ยประเภทหนึ่ง พอตอนแทงยอด ผลิใบ ใช้ปุ๋ยแบบเดิมไม่ได้ต้องเป็นปุ๋ยที่เอื้อให้ใบงอกงาม พอเขามีดอกก็ต้องเป็นปุ๋ยที่ทำให้ดอกเขามีศักยภาพสูงที่สุดและสุดท้ายคือออกผล เราจะเห็นว่าวงจรชีวิตเหล่านี้มันต้องมีการปรับการใช้ในเวลาให้เหมาะสม เราจะไปใส่ปุ๋ยเร่งดอกตอนเมล็ดงอกก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกัน.. ในมุมมองทางการแพทย์มนุษยปรัชญามองว่า การศึกษาเหมือนปุ๋ยที่ค่อยๆ shape up หล่อเลี้ยงให้พัฒนาการทั้ง 4 ระดับเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ถ้าเราไปเร่งข้ามขั้นก็เกิดการบาดเจ็บ สมมติเราไปเร่งดอกตั้งแต่มันยังไม่พร้อม ดอกที่ออกมาก็จะแกร็นๆ ย้อนกลับไปแก้ก็ไม่ได้

สิ่งที่สำคัญ คือ ในช่วง 7 ปีแรก พัฒนาการทางสมองจะเป็นอวัยวะที่เด่นที่สุด เซลล์สมองจะเพิ่มขึ้นได้อีกปริมาณหนึ่งหลังจากที่เราคลอดมาแล้ว แต่หลังจากอายุ 9 ปีเซลล์สมองเราไม่ได้เพิ่มขึ้น ความฉลาดของเราเกิดจากการที่สมองฝ่อ ตัดเอาวงจรความคิดที่ไม่ได้ใช้ออกไป เราเรียกว่า Synaptic pruning 

ถ้ามีการกระทบกระเทือนในช่วง 7 ปีแรก จะส่งผลที่บั้นปลายชีวิตเขา เราพบว่าเด็กที่ถูกเร่งเรียนมาแต่เล็กๆ พออายุสัก 60 ปี มีโอกาสเกิดสมองเสื่อมเยอะมาก มักเกิดกับคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ เจนเนอเรชันแรกหลังสงครามโลกที่ถูกเลี้ยงมาแบบนี้ ถูกเอาไปนั่งเรียนๆ ปัจจุบันแทบทุกบ้านมีคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น เพราะเรารีดเร้นเอาพลังชีวิตออกจากสมองมาใช้เร็วจนเกินไป เราอาจดีใจว่าเด็กท่องสูตรคูณได้เร็วตั้งแต่ป.1 – ป.2 แต่นั่นอาจไม่ใช่ดอกที่สวยที่สุดของเขาก็ได้

ถัดไปคือช่วงวัย 7 – 14 ปีเป็นช่วงที่หัวใจและปอดพัฒนาจากปริมาตรเล็กๆ ให้เติบโตขึ้นเท่ากับผู้ใหญ่ ถ้าเราไปทำให้การพัฒนาตรงนี้สะดุด จะทำให้อวัยวะเหล่านี้เกิดปัญหาได้ง่าย ในมุมมองของมนุษยปรัชญาบอกว่า ปอดและหัวใจทำงานเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกเยอะมาก ฉะนั้น ถ้าในช่วงนี้เด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่บ้านแตกสาแหรกขาด พ่อกับแม่เลิกกัน เราพบว่าบั้นปลายของเขาเมื่อเข้าสู่วัยทองจะเริ่มมีภาวะอารมณ์ผันผวนหรือพวกฮิสทีเรีย (Hysteria) อารมณ์เขาจะไม่มั่นคง ถามว่าเขาตั้งใจไหม? เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่มันสืบเนื่องมาจากการสร้างอวัยวะพวกนี้ไม่ปกติ

สุดท้าย ในช่วง 14 – 21 ปี เป็นช่วงที่เราต้องพัฒนาธาตุไฟให้ดี พัฒนาการอวัยวะที่สำคัญที่สุด คือ กระดูกและข้อต่อ การเคลื่อนไหว วัยรุ่นจะเป็นวัยที่มีแรง มีพลังมาก ถ้าเกิดปัญหากระทบกระเทือนอวัยวะเหล่านี้ เราจะพบว่า ในช่วงบั้นปลายเขามีโอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคเกี่ยวกับข้อต่อและการเจ็บปวดต่างๆ เราจึงควรระมัดระวังมากๆ ในช่วงที่เด็กเข้าโรงเรียนและหลักสูตรต่างๆ ควรจะทำให้พัฒนาการเหล่านี้เป็นไปโดยราบรื่น เพื่อตอนสุดท้ายเมื่อเขาโตไปเป็นผู้ใหญ่เขาจะมีสุขภาพที่แข็งแรง

ขอย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่งก็แล้วกัน การเกิดของธาตุดิน คือตั้งแต่วันแรกที่เราร้องอุแว้ๆ ถึง 7 ปี ธาตุน้ำจึงเกิด พออายุ 14 ปี เป็นการเกิดธาตุลม และ 21 ปี เป็นการเกิดธาตุไฟ พลังเจตจำนง หรือความเป็นปัจเจกบุคคลของเขา

จากประสบการณ์ของการทดลองหลายๆ อย่าง คนมักเชื่อว่าให้การศึกษาทุกอย่างไปจบที่สมอง แต่ในมุมการแพทย์มนุษยปรัชญามองว่า จริงๆ แล้วมันมีผลลึกไปกว่าสมองเพียงอวัยวะเดียว ถ้าเราไปดูวิจัยการทดลองทางสมองที่สำคัญมากชิ้นหนึ่ง คือ การทดลองของพาฟลอฟ (Pavlov) เขาจะนำสุนัขมาทดลอง ทุกครั้งที่ให้สุนัขกินอาหารเราจะสั่นกระดิ่ง มันจะเกิดวงจรความคิดของสุนัขขึ้นมาว่า อ๋อ ได้ยินเสียงกระดิ่ง แปลว่าจะได้กิน น้ำลายก็ไหล คราวนี้รอบที่สอง สั่นกระดิ่งอย่างเดียว ไม่มีอาหาร เกิดปฏิกิริยาตอบสนองน้ำลายไหลออกมาอัตโนมัติ 

ทีนี้มีคนทดลองต่อว่าถ้าเกิดเราไม่รู้ล่ะ ถ้าเป็นอวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับการรับรู้ มันจะมีผลกับกระบวนการเรียนรู้ (learning process) อย่างนี้หรือเปล่า เขาทดลองกับหนู โดยให้หนูดมกลิ่นอบเชย ซึ่งปกติหนูดมกลิ่นอบเชยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร มันอาจอยากกินก็ได้ ทีนี้เขาสร้างเงื่อนไขขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าทุกครั้งที่ดมกลิ่นอบเชย หนูจะโดนฉีดวัคซีน เวลาเราฉีดวัคซีน ภูมิต้านทานจะ active ร่างกายมีไข้ต่ำๆ นั่นคือภูมิต้านทานถูกกระตุ้นออกมา 

หนูได้ดมกลิ่นอบเชยทีไรก็ถูกฉีดวัคซีน ทำให้มันสะดุ้งทุกครั้งที่ได้กลิ่นอบเชย ตอนหลังเขาเปลี่ยนใหม่ว่าให้มันดมกลิ่นอบเชยอย่างเดียว แล้วเจาะเลือดมาดูโดยไม่ต้องฉีดวัคซีน ให้ทายว่าเกิดอะไรขึ้น? แค่หนูสะดุ้งภูมิต้านทานก็เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งถามว่าเม็ดเลือดขาวจะรู้เรื่องนี้ไหม? ไม่รู้หรอก แต่ร่างกายมันเมมโมรี่แล้วนะมันตอบสนองตามเงื่อนไขนี้ 

เราจะเห็นภาพว่าเด็กมีเมมโมรี่ต่อการไปโรงเรียนเป็นอย่างไร มันฝังอยู่ในร่างกายเขาโดยที่เด็กอาจบอกไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ร่างกายมันพร้อมจะตอบสนอง 

เอาเคสปกติที่สุดที่ไม่ต้องไปเจอกับพี่เลี้ยงหรือคุณครูใจร้าย เราเจอเคสที่ทำการสัมภาษณ์แล้วให้ลองนึกว่าความจำแรกที่สุดที่เราจำได้เป็นเรื่องอะไร?

ถ้าความทรงจำแรกของเขาจำได้ว่า วันแรกที่ไปโรงเรียนมันสนุกมากเลย ได้เจอขนม เจอดอกไม้ เจอเพื่อน ความทรงจำนี้จะเป็นตัวเซตแนวคิดพื้นฐาน (mindset) ของคนคนนั้นไปตลอด เขาจะเชื่อว่าว่าโลกนี้มันดี ในวัย 0 – 7 ปี เด็กต้องมีความเชื่อว่าโลกนี้มันดี มันปลอดภัย ถ้าเราสามารถสร้างความรู้สึกนี้ได้ในความทรงจำแรกๆ ของเขา เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เราพบว่าคนกลุ่มนี้ เมื่อต้องเผชิญกับอันตราย ความเครียด เขาจะมีความรู้สึกบางอย่างลึกๆ ที่บอกกับตัวเองว่า “เฮ้ย เดี๋ยวมันก็ดีนะ มันต้องดีสิ”

ตรงกันข้ามถ้าเราไปเจอเด็กคนหนึ่งไปโรงเรียน แต่เหตุการณ์ที่เขาจำได้ เด็กร้องกระจองอแง มีใครก็ไม่รู้ตัวใหญ่เดินมา แม่ก็หายไป มันจะเกิดเมมโมรี่อีกเซตหนึ่ง เป็นมายด์เซต (mindset) ของเขาว่าโลกนี้มันน่ากลัวจังเลย พอเขาโตขึ้น ไปเจออุปสรรคอะไรสักอย่าง ต่อให้มีคนมากรอกหูว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวมันก็ดี’ เขาจะไม่สามารถทำใจเชื่อได้ เพราะว่าร่างกายมันจำไปแล้ว เมื่อกี้ที่ผมบอกว่า ขนาดกลิ่นอบเชยยังทำให้ภูมิต้านทานของหนูมีระดับสูงขึ้นใช่ไหม? กับบางคนแม้ว่าเขาจะลืมประสบการณ์เลวร้ายไปแล้ว อย่างเช่น คนไข้คนหนึ่ง ใจสั่นเมื่อเข้าไปในห้องแคบๆ เขาจำไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่พอบำบัดกันไปเรื่อยๆ เขานึกออกว่าเคยถูกพ่อขังไว้ในห้องน้ำเพราะซนมาก เขาร้องไห้จนสลบในห้องที่ปิดไฟมืด ถึงความจำเขาจะจำไม่ได้แต่ร่างกายพอไปเจอเงื่อนไขเดิม เจอห้องมืดๆ อีก ร่างกายมีความทรงจำจึงหลั่งอะดรีนาลีนทำให้เกิดอาการใจสั่น กลายเป็นแพนิค 

การทำให้เด็กวัยอนุบาลรู้สึกว่าโลกนี้ปลอดภัย สำคัญอย่างไร?

ที่ต้องทำให้เด็กรู้สึกว่าโลกนี้ปลอดภัยเพื่อสะสมประสบการณ์แบบนั้นไว้ เมื่อถึงเวลาที่เราไปเจอโลกแห่งความเป็นจริง เราจะพร้อม มีความมั่นคงทางใจ มีงานวิจัยกลุ่มหนึ่งบอกว่า เมื่อเกิดปมบาดแผล (trauma) ขึ้นแล้ว ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (Post – traumatic stress disorder หรือ PTSD) นั้นส่งผลอย่างมาก ต่อให้คุณใช้เหตุผลอะไรมากำกับเขาก็ยังกลัว เพราะร่างกายบันทึกไว้แล้ว ฮอร์โมนความเครียดเกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ นี่ขนาดเป็นความทรงจำแค่ว่าเราเจอใครก็ไม่รู้นะ 

คนที่ดูสบายๆ หรือคนที่วิตกกังวลเป็นพิเศษ ถ้าลองไปซักดูจะพบว่าประสบการณ์ในวัยเด็กของเขามันต่างกัน

ในเคสที่ผ่านประสบการณ์รุนแรง เราไม่สามารถลบประสบการณ์นั้นทิ้ง แล้วสร้างประสบการณ์ใหม่ขึ้น ผมใช้คำว่าสร้างใหม่นะ ไม่ใช่ให้เหตุผลใหม่ว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก’ แต่เราต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ ให้ความปลอดภัยเขาคืนกลับมา 

นั่นคือกระบวนการบำบัด เช่น การนวดบำบัด ดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด เพราะในแนวมนุษยปรัชญา ตราบใดที่คุณไม่มีประสบการณ์มาบอกว่า ‘มันปลอดภัยแล้ว’ ต่อให้ใครมาพูดกรอกหูว่ามันปลอดภัย เขาจะไม่เชื่อเพราะมันไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้น

ฉะนั้น ช่วง 7 – 14 ปี ประสบการณ์ที่เด็กควรได้และเก็บไว้ในจิตใจ คือ โลกนี้มันงาม เราพบว่าเด็กที่ถูกให้เร่งเรียนมากๆ โดยไม่เคยสัมผัสด้านอื่นๆ เลย ด้านศิลปะ ความงามของชีวิตเขา คือ การได้เกรด 4 พอเรียนจบแล้วทำไง มันไม่ได้เกรดแล้ว ก็เกิดความผิดหวัง ถึงเพื่อนจะบอกไม่เป็นไรอย่าคิดมาก ยังมีเรื่องอื่นที่สวยงามที่เธอทำได้ดี เขาก็จะนึกไม่ออก ฆ่าตัวตาย เพราะมุมมองต่อโลกนี้ (viewpoint) มันไม่งาม เขาไม่เคยถูกใส่ประสบการณ์เหล่านี้ให้รู้ว่าความงามมันคืออะไร

ถ้าเป็นวัย 14 – 21 ปีจะเป็นเรื่องของความจริง เด็กจะเริ่มตั้งคำถามว่าความจริงคืออะไร เริ่มตั้งคำถามยิบๆ ย่อยๆ ถ้าเราให้ความจริงกับเขาได้ เขาจะเป็นคนที่มีวิจารณญาณที่เป็นปัจเจกชนต่ออย่างสมบูรณ์ เราต้องใส่ปุ๋ยให้เขาถูกช่วงวัยและเวลา นี่คือภาพรวมที่สำคัญในการศึกษาและการดูแลเด็ก

สิ่งแวดล้อมที่เด็กอนุบาลควรจะเจอ เช่น บุคคล หรือ space อย่างบ้าน โรงเรียน ควรเป็นอย่างไร?

ผมมองว่าการศึกษาในเมืองไทย สิ่งที่เรามักไม่พูดถึง แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด คือ ทัศนคติ ต้องบอกว่าไม่มีโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก เราแค่ต้องการคุณครูสักคนหนึ่งที่ทำให้เด็กรู้สึกอย่างนั้นได้ ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่ประสบตอนเด็ก จริงๆ ผมเป็นเด็กขี้อายมาก ค่อนข้างจะเป็นเด็กเรียน อยู่เงียบๆ แต่อยู่มาวันหนึ่งผมเจอคุณครูประจำชั้นคนหนึ่ง ยังจำชื่อท่านได้เลย ท่านชื่อ มาสเตอร์วรวุฒิ ท่านบอกว่าวันนี้เรามาวาดรูปคริสต์มาสกัน ก็แจกกระดาษเป็นภาพซานตาคลอสให้เติมสี

ด้วยความที่ตัวเองชอบระบายสี การระบายสีตามกรอบมันไม่ค่อยท้าทาย แทนที่จะระบายสีฟ้าเป็นสีฟ้าเหมือนเด็กทั่วไปเราก็เติมดาวเข้าไป พอคุณครูรวบรวมผลงานไปปุ๊บ ก็เรียกผมออกไปหน้าชั้น ตอนเด็กๆ เวลาถูกครูเรียกไปหน้าชั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เหงื่อตก แต่พอคราวนี้ออกไปหน้าชั้น มาสเตอร์บอกกับเด็กในชั้นว่า “ดูรูปของทีปทัศน์นะ เขามีความคิดสร้างสรรค์” โอ้โห วันนั้นมันกลายเป็นวันที่สดใสมาก เปลี่ยนมุมมองไปเลยว่าเราไม่ใช่คนที่ไม่มีความสามารถหรืออยู่เงียบๆ นี่ แค่จุดเปลี่ยนจุดเดียว มันเปลี่ยนเราไปเยอะมาก ผมเริ่มทำกิจกรรม เป็นหัวหน้าคณะหมู่ลูกเสือ กลายเป็นเด็กกิจกรรม บางทีสิ่งที่เราต้องการให้เด็กเจอ คือ ครูคนนั้นคนเดียวด้วยนะ แต่จะเจอรึเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายผิดว่าเด็กทุกคนต้องเหมือนกัน ผมเข้าใจความกดดันของคุณครูหลายคนที่มีปัญหากับเด็กเล็กว่าทำไมเด็กไม่นิ่ง ทำไมดื้อ ก็คุณตั้งดัชนีวัดความสำเร็จ (KPI) ว่าเด็กจะต้องนั่งเรียน ซึ่งมันไม่ใช่เวลานี้ สมองของเขายังอยู่ในช่วงฟักตัว แต่คุณไปบังคับให้เขาท่องสูตรคูณ เด็กบางคนเขามีเซนส์ (sense) ทาง kinetic (การเคลื่อนไหว) เยอะๆ เขาก็ทนไม่ได้ ต้องลุกเพ่นพ่าน 

ฉะนั้นถ้าเป้าหมายของการศึกษาในโรงเรียน คือ ให้เด็กนั่ง จะทำยังไงล่ะ? ก็ต้องไปสร้างบทลงโทษ ลงโทษธรรมดาก็จัดการเด็กไม่ได้ พอจัดการเด็กไม่ได้เลยต้องรุนแรง ฉะนั้น เมื่อเราตั้งเป้าหมายผิดแต่แรก เราเอาเขาไปนั่งเรียนทั้งๆ ที่เขาไม่พร้อม ถ้าเราไม่แก้คีย์เวิร์ดตรงนี้ใหม่ ผมเชื่อว่ากรณีที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้มันแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ยังมีอีกเยอะมาก ตราบใดที่ยังไม่ตั้งคอนเซ็ปการศึกษาให้สอดคล้องกับพัฒนาการที่เป็นมนุษย์ของเขา

ติดตามบทความที่ 2 ต่อได้เร็วๆ นี้

Tags:

ในโลกอนุบาลปฐมวัยThe Twelve Sensesนพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

Author:

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhood
    ความรุนแรงในวัยอนุบาล : ได้รับแล้วประทับในกาย ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่เซฟทับประสบการณ์เก่า : นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodLearning Theory
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhoodLearning Theory
    THE 12 SENSES กับหมอปอง: ทำไมเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เห็นอกเห็นใจ และไม่มี COMMON SENSE

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

ยุคที่การศึกษาขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยจะปรับตัวรับมืออย่างไร: เสวนา SIIT
Education trend
28 November 2020

ยุคที่การศึกษาขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยจะปรับตัวรับมืออย่างไร: เสวนา SIIT

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เมื่อโลกยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การศึกษาไทยจะปรับตัวอย่างไร จะสร้างคนที่มี ‘นวัตกรรมทางความคิด’ ได้อย่างไร? หาคำตอบได้ที่งานเสวนา Transform University: Learning for the future โดยสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินทร (SIIT)
  • ศ.ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย กล่าวว่า คณิตศาสตร์และการสร้าง hard skill และ soft skill ยังคงเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาสามารถเติมให้พวกเขาได้ โดยเฉพาะสถานศึกษาต้องออกแบบการเรียนรู้ยุคใหม่ที่เฉพาะบุคคลตามความต้องการและจุดแข็งของผู้เรียน
  • รองศาสตราจารย์ ดร.สุธาทิพย์ สวนมะลิ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการจัดการ กล่าวว่า วิธีการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่เป็นการเรียนที่ไม่รอรับคำสั่ง แต่มีความสนใจใคร่รู้และพุ่งเข้าหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ สิ่งมหาวิทยาลัยต้องปรับ คือ ไม่เรียนเฉพาะสาขาเดียว แต่ต้องผสมสานหลายๆ สาขาตามความสนใจผู้เรียน พร้อมกับมีเทคโนโลยีสนับสนุนการเรียนพวกเขา

เวลามีคนบอกว่า ต่อไปเราอาจส่ง ‘กลิ่น’ มาทางโลกโซเชียลได้ (เลือกซื้อน้ำหอมออนไลน์พร้อมทดลองกลิ่นได้เลย!) รถไร้ปุ่มที่ควบคุมเพียงการกระดิกมือ หรือ ที่อย่างพอจะมองเห็นและจินตนาการได้ในเร็ววันนี้คือรถเคลื่อนที่ด้วยไฟฟ้า 100% ทั้งหมดนี้ทำให้สงสัยว่า… มันจะเป็นได้จริง จริงๆ หรือ?

แต่ในวงการเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้เริ่มทดลองกันไปนานแล้ว คำถามคือ ประเทศไทยเรามีห้องปฏิบัติการเชิงทดลอง ที่รองรับการเรียนรู้แบบนี้หรือเปล่า? และการเรียนรู้แบบไหนที่จะสร้างบุคลากรที่มีนวัตกรรมทางความคิดเช่นนี้

ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของเสวนา Transform University: Learning for the future โดยสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินทร (SIIT) วันที่ 22 พฤศจิกายน 2563 เปิดบ้านเสวนาเล็กๆ ชวนผู้ปกครองคุยกันประเด็น การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยจะปรับตัวอย่างไร การเรียนการสอนต้องพัฒนาทักษะเด็กแบบไหน?

ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง

โลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘นวัตกรรม’ โจทย์ใหม่ในการสร้างคนของระบบการศึกษาไทย

ศาสตราจารย์ ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และราชบัณฑิต อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร ชวนผู้ฟังในห้องซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ให้ภาพเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้มีการทำ ทดลอง และลองปล่อยตัวทดลองออกมาให้เล่นบ้างแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น สื่อการเรียนการสอนแบบเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) การ ของเล่นเด็กเล็กที่เชื่อมของเล่นที่อยู่ตรงหน้าแล้วให้เด็กถ่ายรูปสิ่งนั้นแล้วเชื่อมกลับเข้าไปเล่นต่อในหน้าจอ, เรียนการสอนโดยใช้ระบบจำลอง (Simulation), รถยนต์ไร้คนขับ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง การจำลองจับสิ่งของ (ไม่ได้จับจริง) แต่มือเรารู้สึกเหมือนกำลังจับสิ่งนั้นอยู่ อันแปลว่าในอนาคตเราอาจสั่งงานกับอุปกรณ์ต่างๆ โดยที่ไม่ต้องใช้มือแตะสัมผัสเลย! และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ดูจะล้ำสมัย และเป็นเทรนด์การศึกษาโลกกำลังดำเนินไป

ก่อนที่ ศ.ดร.ธนารักษ์ จะโยงกลับมาที่ห้องเรียนว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก รวมทั้งปรากฎการณ์ทางสังคมที่ทำให้เราต้องปรับ (เช่น การระบาดของโควิด-19) และโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘นวัตกรรม’ ทั้งหมดนี้เป็นโจทย์ของแวดวงการศึกษาว่า การศึกษาจะปรับตัวอย่างไร จะสร้างคนที่มี ‘นวัตกรรมทางความคิด’ ได้อย่างไร?

“ผมคิดว่าคณิตศาสตร์ยังเป็นทักษะสำคัญที่จะเป็นพื้นฐานของอีกหลายเรื่อง ควบคู่ไปกับองค์ประกอบของการสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะประยุกต์ให้เกิดเป็นไอเดียที่ผสมผสาน สอดรับกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาป่วนในโลกของการศึกษา ทั้งเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ (Robotics) หรือวัสดุศาสตร์ (Materials Science)” ศ.ดร.ธนารักษ์ กล่าว

นอกจากนี้ยังย้ำว่า การ ‘สร้างคน’ ให้มี hard skill (ทักษะที่ว่าเรา ‘ทำงาน’ อะไรได้) นั้นง่าย แต่นวัตกรรมเหล่านี้ต้องการคนที่มี soft skill (ทักษะที่เรา ‘ใช้ทำงานกับผู้คน’ เพื่อทำให้เกิดงานนั้นๆ) นั้นยากกว่าแต่เป็นทักษะจำเป็นในโลกอนาคตและโดยเฉพาะแวดวงวิศวกรรมและเทคโนโลยี ทักษะเหล่านั้นก็เช่น การเข้าใจความรู้สึก (empathy) การวิเคราะห์ข้อมูล การคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (problem solving) ทักษะในการทำงานกับผู้คนคน (collaboration) ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) 

ซึ่งการได้มาซึ่งทักษะเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกันทั้งครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษา โดยอย่างหลังนี้ต้องมีการออกแบบห้องเรียนในยุคใหม่ ออกแบบการเรียนรู้เฉพาะบุคคลตามความต้องการและจุดแข็งของผู้เรียน

อย่างไรก็ตาม ที่ SIIT แม้จะเป็นสถาบันผลิตบัณฑิตด้านวิศวกรรมและการจัดการ ก็ยังยืนยันว่าต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการออกแบบห้องเรียนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง สร้างห้องปฏิบัติการจริงที่ผู้เรียนจะได้มาประลองวิชาและความคิด ได้แลกเปลี่ยนนวัตกรรมและเทคโนโลยีกับต่างประเทศ ซึ่งทาง SIIT ก็พยายามปรับตัวไปในทิศทางนั้นอยู่เสมอ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธาทิพย์ สวนมะลิ

การศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย: จัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานหลายๆ ศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วย

ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.สุธาทิพย์ สวนมะลิ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการจัดการ ให้สัมภาษณ์กับ The Potential เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันวิธีการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เป็นการเรียนที่ไม่รอรับคำสั่งแต่มีความสนใจใคร่รู้และพุ่งเข้าหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ หากมองไปที่อุปกรณ์ในการเรียนรู้ สิ่งนี้ก็เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่ใช้ไอแพด สมาร์ทโฟน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว เชื่อมกับสังคมโลก และทำให้รอบการเกินสิ่งใหม่นั้นเร็วกว่าที่ผ่านมา 

สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยจะสร้างให้ก็ต้องเปลี่ยน เช่น ที่ SIIT เริ่มใช้การเรียนรู้ด้วยวิดีโอคอลเรียนกับกลุ่มนักศึกษาหรืออาจารย์ต่างประเทศ ห้องแลปห้องปฏิบัติการทาง AI การที่นักเรียนสามารถเปิดโปรแกรมแล้วเรียนซ้ำได้ตลอดเวลา (อัดวิดีโอตอนอาจารย์สอนแล้วบันทึกลงระบบ) และอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา และเชื่อมโยงกับคนนอกห้องเรียนได้

รวมทั้งการเกิดขึ้นของ start up ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยนวัตกรรมในภาคใหญ่ แปลว่าการเรียนรู้ต้องปรับตัวเพื่อรองรับทักษะใหม่ๆ ของผู้คนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย

“เทรนด์ในปัจจุบันจะเป็นเทรนด์ที่มองไปในอนาคต การใช้นวัตกรรม มาแน่นอน ต่อไปในอนาคตเราแทบไม่แข่งกันที่ราคาแล้ว แต่แข่งที่นวัตกรรม ซึ่งการเรียนการสอนในต้องเป็นลักษณะที่ต้องมีการเรียนรู้อย่างไม่ใช่สาขาใดหนึ่ง ผสมผสานการเรียนรู้หลายๆ สาขาเข้าด้วยกัน โดยเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวจับ ขับเคลื่อนให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขยายความต้องการ โอกาส และการเข้าถึง(เทคโนโลยี ความต้องการ และโอกาส) ให้ได้ในทุกๆ ระดับ” ดร.สุราทิพย์กล่าว

Tags:

DisruptionนวัตกรรมGeneration of Innovator

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • เทคโนโลยี-นวัตกรรม จุดชี้ขาดทางรอดโลกอนาคต: เสวนา SIIT ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character buildingVoice of New Gen
    “ลูกค้าคือทรัพยากรของนวัตกรรม” ทักษะคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างนวัตกรรม กับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร SCB10X

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    ห้องเรียนใหม่รับเปิดเทอม เทคโนโลยีจะช่วยครูอย่างไร ให้ยังสอนและสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อยู่

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ช่วยพ่อแม่รับมือ ‘มือถือ/หน้าจอซินโดรม’ ในยุคที่เราหนีเทคโนโลยีไม่ได้แล้ว
Early childhoodFamily Psychology
27 November 2020

ช่วยพ่อแม่รับมือ ‘มือถือ/หน้าจอซินโดรม’ ในยุคที่เราหนีเทคโนโลยีไม่ได้แล้ว

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ห้ามเด็กเล็กๆ อยู่กับหน้าจอเด็ดขาด’ ‘เด็กเล่นเกมจะทำให้อารมณ์ร้าย’ และอีกสารพัดความเชื่อที่พ่อแม่มักได้ยินเกี่ยวกับเด็กและหน้าจอมือถือ จริงเท็จอย่างไร ชวนหาคำตอบกันได้ที่โรคพ่อแม่ทำ

ตอนที่แล้ว (อ่านบทความโรคพ่อแม่ทำตอนที่ 4) เราคุยกันเรื่องเลือกโรงเรียนให้ลูก ครูณาก็บอกว่าเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 7 ปี ยังไม่ควรเรียนหนังสือ เพราะพัฒนาการหรือโครงสร้างสมองของเขายังไม่พร้อมรับกับการเรียนรู้ที่อัดแน่นด้วยวิชาการ สิ่งที่เหมาะสมกับวัยเขาคือการเล่น โดยเฉพาะเล่นกับผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง

แต่ทีนี้พ่อแม่จะเล่นอะไรกับลูกดี ส่วนใหญ่ถ้าคิดไรไม่ออกเราก็หยิบมือถือให้ลูก หรือบางทีลูกก็เป็นคนขอเราเล่นเอง เพราะเห็นเราใช้มือถือตอบไลน์งาน ใช้ไอแพดทำงาน เปิดยูทิวบ์ เปิดอะไรเต็มไปหมด

ในยุคที่เราหนีเทคโนโลยีไม่ได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่จะอยู่กับลูกและหน้าจอยังไงบ้าง คือเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ ‘มือถือซินโดรม’

บทความนี้ถอดความมาจาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ตอนที่ 5 ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์ 

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่นี่

https://www.youtube.com/watch?v=lYrq2GIrcXw&t=1s

เราได้ยินมาตลอดว่า เด็กไม่ควรอยู่หน้าจอ ไม่ควรเล่นมือถือ ยิ่งตอนรัฐมีนโยบายให้แท็บเล็ตเด็ก หูย..คนออกมาต่อต้านกันเยอะ สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีครับ การให้เด็กอยู่กับหน้าจอ

ส่วนใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่มองว่า เกมหรือมือถือเป็นเหมือนศัตรูตัวฉกาจ เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันร้ายแบบไหน เป็นการฟังต่อๆ กันมาที่กลายเป็นความกลัว ไม่ได้หาทางออก เราอยากให้รู้ว่าจริงๆ เด็กเล่นเกมได้นะ เพียงแต่ในเด็กเล็กๆ ช่วง 0 – 7 ปี มันเป็นนาทีทองที่เราควรจะเติมอะไรเข้าไปในชีวิตเขา ถ้าเราเอาเวลานี้ให้เขาเล่นเกมจากแท็บเล็ต มือถือ มันก็น่าเสียดายเวลานะ เพราะมีอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่า 

เช่นอะไรครับ?

ถ้าเป็นช่วงเล็กๆ เขาควรได้เห็นว่าโลกนี้มีอะไรบ้าง ได้เรียนรู้ผ่านชีวิตผู้คนเพื่อเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์เข้าไปในตัวเขา เรียนรู้การใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กผ่านการเล่นของเล่น การปีนป่าย ขี่จักรยาน ไปเล่นน้ำ ทำงานศิลปะ หรืออ่านหนังสือ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กได้เห็นว่า เฮ้ย… ทางเลือกในชีวิตมันมีหลายอย่างนะ และเป็นการสร้าง senses (ผัสสะ/สัมผัสรู้) ในตัวเขา

ด้วยความที่พี่เดินสายทำงานเยอะ ตอนลูกเล็กๆ เขาก็จะตามพี่ไปทำงานด้วย แล้วตัวคุณพ่อก็จะชอบพาเขาไปตามพิพิธภัณฑ์ ไปนั่งเล่น ดูนู่นดูนี่ พาไปเล่นสนามเด็กเล่น ไปทะเล การที่เด็กรับประสบการณ์เหล่านี้ในช่วง 0 – 7 ขวบ มันจะสะสมเข้าไปเป็นเซลล์อยู่ในตัวเขา เป็นการใส่ความทรงจำว่าเขาจะต้องทำอะไร เขากำลังตามหาอะไรในชีวิต เพื่อให้ได้เจอสิ่งที่เขารักหรือให้เกิดความเชี่ยวชาญ กลายเป็นบุคลิกภาพ ที่สำคัญคือเป็นความสัมพันธ์ที่เขาได้อยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง

บางคนก็อาจมีคำถามว่า ไปพิพิธภัณฑ์ตอนโตกว่านี้ก็ได้นิ ทำไมต้องไปตอนเล็กๆ อีกอย่างถ้าเป็นช่วงที่ลูกต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ก็นี่ไง ให้เอานิ้วแตะหน้าจอเล่นเกม

ไม่เหมือนกันนะ เพราะเด็กใช้กล้ามเนื้อไม่กี่ส่วนในการควบคุมหน้าจอ ไม่เหมือนตอนเขาใช้ปั้นดินน้ำมัน เล่นบล็อกไม้ หรือทำงานศิลปะ จริงๆ ไม่ต้องกังวลหรอก(ว่าจะไม่มีอะไรเล่น เล่นไม่เป็น) เพราะถ้าเด็กเห็นอย่างอื่นที่สนุกมากกว่า เขาก็ไปเล่น ไม่ได้สนใจอะไร แต่สิ่งที่พี่รู้สึก คือ ตัวพ่อแม่กลัวเพราะไม่รู้จะให้ลูกทำอะไรดี พี่ก็ต้องรีบบอกเลยว่า ถ้าพ่อแม่ไม่รู้ว่าจะให้ลูกทำอะไรดี แล้วลูกจะรู้ได้ยังไง ถูกไหม? 

ใน Twelve Senses องค์ความรู้ของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ จะพูดถึงเซนส์ที่เด็กมีในช่วง 0 – 7 ปี เช่น Sense of Touch เป็นตัวที่ทำให้เด็กมีความแข็งแรงทางกายและใจ หรือ Sense of Life การรู้จักชีวิต เมื่อลูกเขาเกิดมา วิถีชีวิตแรกที่เขารับรู้คือของพ่อแม่ การอยู่บนโลกใบนี้ควรเป็นอย่างไร มนุษย์ควรปฏิสัมพันธ์กันยังไง วิธีกินข้าว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เขาจะเรียนรู้จากวิถีชีวิตของพ่อแม่ เก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์เข้าไปตัวเขา 

ฉะนั้น เรื่องการเล่น เขาจะเล่นอะไรหรือเล่นกับคนอื่นยังไง เขาก็เรียนรู้จากพ่อแม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มีช่วงเวลาของมันนะ ก่อน 6 ขวบ ถ้าพ่อแม่ให้ลูกอยู่กับหน้าจอก่อน 6 ขวบ ลูกยังไม่ถูกตั้งโปรแกรมจากวิถีชีวิตของพ่อแม่… พี่เห็นนะ เด็กบางคนเขาดูละครตบตีตั้งแต่เด็ก

ดูคู่กับพ่อแม่ พอพ่อแม่เปิดมาก็นั่งดูด้วย

ใช่ แล้วมันมีผลนะ เพราะว่าเด็กเวลาที่เขาโกรธ เขาก็จะเดินไปแล้วบอกว่า ‘อย่างนี้ต้องตบๆๆ’ เพราะมันเป็นช่วงที่เขากำลังเก็บความทรงจำเข้าไปในเซลล์สมองของเขา เป็นเซลล์กระจกเงาที่เขาเห็นว่า เมื่อคนๆ หนึ่งทำแบบนี้ แล้วผู้ใหญ่ตอบโต้แบบไหน ซึ่งแทนที่เขาจะได้เห็นชีวิตดีๆ จากพ่อแม่ เราก็ไปให้เขาดูจากในละคร แล้วเขาก็เอาวิถีชีวิตจากละครมาใช้ 

หรือถ้าเกิดเราให้เขาดูจากเกม เด็กที่อยู่กับการเล่นเกม เขาเห็นแต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ถ้าแพ้ก็กดสตาร์ทใหม่ แต่ถ้าเขาเล่นจริงๆ กับเด็กคนอื่น เขากดรีสตาร์ทไม่ได้ ถ้าเขาแพ้เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะดีลให้ได้ พยายามที่จะปรับตัวเองเพื่อที่จะเล่นกับเพื่อน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในสมองก่อน 7 ขวบ

แล้วการสลับช่วงเวลามันส่งผลมากน้อยแค่ไหนเหรอครับ สมมติผมให้ลูกดูละคร เล่นเกมก่อน 7 ขวบแล้วค่อยไปเรียนรู้วิถีชีวิตต่อจากนั้นได้ไหมครับ?

พี่จะบอกเสมอว่าเด็กเกิดมาก็เหมือนขวดเปล่าๆ เป็นเซลล์สดใหม่ ที่เขาต้องคอยเก็บความทรงจำใส่เข้าไป ต้องการสร้างโครงข่ายสมองที่บอกว่าถ้าเกิดสิ่งนี้ ฉันจะทำแบบนี้ แล้วพวกเราจะมีบุคลิกภาพยังไง มันสะท้อนจาก 7 ปีแรกของชีวิตนะ สรรค์สร้างมาเป็นตัวฉันที่จะอยู่กับโลกใบนี้ 

เพราะฉะนั้นการเล่นเกมหรือดูละคร มันก็จะถูกโปรแกรมเข้าไปในโครงข่ายของสมองว่า ถ้าเกิดสิ่งนี้ เธอก็จงคิดตัดสินแบบนี้ ช่วง 0 – 7 ปี ควรเป็นการโปรแกรมวิถีชีวิตจากพ่อแม่ที่จะทำให้ลูกเข้าใจตัวเอง คนเราจะมีความรักต่อกันยังไง เขาก็จะเรียนรู้จากความรักของพ่อแม่ การมีชีวิตที่ดีต่อกัน หรือเวลาเขางอแงแล้วพ่อแม่ปฏิบัติต่อเขายังไง สิ่งพวกนี้มันมีความหมายมากที่เขาจะเรียนรู้และเอาไปปฏิบัติต่อโลกภายนอก

ฉะนั้นให้ลูกเล่นมือถือตั้งแต่เล็กๆ มันก็ไม่ได้ผิดหรอก แต่เท่ากับเขาเกิดมาปุ๊บ เราใส่แฟ้มเกมไปเลย แทนที่เราจะใส่แฟ้มอย่างอื่นเพื่อสร้างบุคลิกภาพเขา ทำให้เมมโมรีเขาเต็มไปกับเรื่องพวกนี้

ใช่ กลายเป็นวิธีคิด วิธีเห็นโลกใบนี้ของเขา สมมติเขาถูกโปรแกรมว่า ถ้าอยากได้อะไรก็เหมือนกับการเลือกแอปพลิเคชัน เลือกไอเท็ม หรือเวลาเขาเล่นอะไรแพ้ก็ปิดเกมแล้วค่อยเปิดใหม่ เพราะเขาถูกโปรแกรมไปแล้วว่าชีวิตเป็นแบบนี้ แล้วถ้าเราจะมาบอกใหม่ว่า มันไม่ใช่นะ ก็ต้องไปรื้อวงจรเก่า ซึ่งโอ้โห.. มันรื้อยากนะ เหมือนรีโนเวทบ้านใหม่ บางทีกลายเป็นค่าใช้จ่ายสูงกว่า แล้วก็ไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ

แล้วการที่ให้เด็กดูยูทูบ ดูคลิปนี้ไม่ชอบ เปลี่ยนไปดูคลิปใหม่ อย่างนี้มันจะสร้างบุคลิกภาพที่ทำให้เขารอไม่เป็น ตัดสินใจเร็วไหมครับ?

ใช่ ถ้าไม่ชอบคลิปนี้ก็เอานิ้วปัด แต่ในชีวิตจริงไม่ชอบมันก็เอานิ้วปัดไม่ได้ไง เพราะฉะนั้นเด็กที่อยู่กับมือถือเยอะมากเกินไปก่อนวัยอันควร ก็จะมีบุคลิกภาพที่รอไม่เป็น ไม่ได้ก็กรี๊ด แต่พี่ก็ไม่อยากให้พ่อแม่รู้สึกหรือปฏิบัติราวกับว่ามือถือเป็นศัตรูนะ

โดยกายภาพผู้ปกครองเป็นคนเลือกที่จะใส่อะไรไปในแฟ้มลูก บางคนมีเงื่อนไขในชีวิตที่อาจต้องให้ลูกเล่นมือถือ หรือบางคนอาจรู้สึกว่ามือถืออันตราย แต่เราก็ยังต้องใช้ แล้วจะอยู่กับมันยังไงครับ

ไม่ใช่ว่าลูกต่ำกว่า 7 ปี แล้วเราห้ามไม่ให้เขาเห็นหรือจับมือถือเลย เพียงแต่พี่อยากให้พ่อแม่ทำอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะบางคนรู้สึกว่าต่อหน้าลูกห้ามใช้มือถือเด็กขาด ก็ไปใช้วิธีซ่อนหรือแอบเล่นแทน แต่มนุษย์เราไม่ได้ใช้แค่การเห็น หรือฟังในการสื่อสาร มันมีพลังงานอื่นด้วย จิตที่สัมผัสกันได้ เด็กเขาสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นในเมื่อโลกใบนี้เรายังต้องใช้มือถือ ไอแพด เราก็ใช้เหมือนเดิม เพียงแต่เราต้องจัดการตัวเองให้ได้ 

ตัวพี่จะตั้งว่าถ้าตอนเราทำงานแล้วดูลูกไม่ได้ ก็จงตั้งใจทำงาน ปล่อยให้ลูกเล่นไป ถือว่าโมเมนต์นี้วินๆ แม่ทำงานลูกได้เล่น แต่พี่ไม่ได้แบบว่าปล่อยยาวววว (ลากเสียง) เราก็คอยเบรกตัวเองพาลูกไปทำอย่างอื่น เช่น ไปขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ก็นั่งทำงานศิลปะกัน หรือหาอะไรกิน ที่พี่พูดเมื่อกี้ว่า พ่อแม่ถ้าไม่รู้จะให้ลูกทำอะไรดี แล้วลูกจะรู้ได้ยังไง หมายความว่าพ่อแม่ก็ควรจะรู้ว่าเราอยากให้ลูกทำอะไร ถ้าเราอยากให้ลูกอ่านหนังสือ เราก็ต้องเป็นคนอ่านหนังสือ โดยส่วนใหญ่ลูกพี่สองคนก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพราะมันคือช่วงเวลาว่างที่เราอ่านหนังสือแล้วเราอ่านให้เขาฟัง ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้เขารู้ได้ว่าถ้าไม่มีมือถือมันมีอย่างอื่น หรือนั่งทำงานศิลปะกัน 

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะใช้คำพูดที่ติดปากมากๆ ซึ่งพี่รู้สึกว่าเราไม่ยุติธรรมกับเด็ก เช่น ‘ไปหาอย่างอื่นทำบ้าง’ ‘ทำไมไม่รู้จักทำอะไรที่มันมีประโยชน์’ ‘วันๆ เล่นแต่เกม’ คือคำพูดแบบนี้มันเหมือนกับ.. แล้วจะให้ทำอะไรอะ? เขาไม่มีตัวอย่างว่าควรไปทำอะไรดี ฉะนั้น พ่อแม่ต้องเป็นคนพาเขาไปทำ สอนเขานะ พอหลัง 7 ขวบ เขาก็เลือกได้เองว่าจะไปเล่นอะไรดี หรือถ้าเราเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ เราจะพบเลยว่าลูกเรากำอะไรมาเกิด ความสนใจของเขาจะพาให้เขาไปหาสิ่งนั้นได้ 

ลูกพี่เล่นเกมในตอนที่เขาโตหน่อย เวลาที่เขาเล่น ใจของเขาก็รู้ว่าเขาจะไปเล่นอะไร ปั้นอะไร มันมีไอเท็มในชีวิตจริงให้เขาเลือก แต่โดยส่วนใหญ่พ่อแม่บอกว่า ‘วันๆ เอาแต่เล่นเกม’ แต่ไม่เคยสอนเขาว่ามีอย่างอื่นที่เล่นสนุก เราเคยเล่นบอร์ดเกมกับเขาไหม เคยเล่นการ์ด เล่นไพ่กับเขาไหม ถ้าเราเคยเล่นสิ่งเหล่านี้กับลูก ลูกก็จะมีไอเท็มเยอะขึ้นที่จะไปเล่นอะไร

เด็กซึมซับได้ง่าย เราไม่ต้องไปสอนอะไรเขามาก แต่พาเขาทำแทน แต่มันจะมีประเด็นนี้ครับ ยุคนี้เราส่วนใหญ่ work from home กัน พ่อแม่นั่งหน้าจอทั้งวัน กลายเป็นภาพจำเขา มันจะส่งผลอะไรไหมครับ?

ก็ให้เขาเห็นเพราะมันคือวิถีชีวิตของเรา แต่เราต้องจัดสรรเวลาพาเขาไปเล่นอย่างอื่นด้วย

บางครั้งเราจำเป็นต้องเลือกว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญก่อน ไม่ได้หมายความว่าเราทำงานไม่ได้นะ เราทำงานได้ พี่เองก็เป็นคนชอบทำงานหนัก แต่พี่จะแบ่งเลยว่า โอเค ถ้าเวลางานฉันจะทำเต็มสตรีม เพื่อให้มีประสิทธิภาพและจบ จากนั้นฉันจะได้ไปอยู่กับลูก พออยู่กับลูกจะเล่นการ์ด เล่นต่อสู้กับลูก เล่นอะไรที่บ้าๆ บอๆ ไปกับเขา พอถึงวัยที่เขาเล่นด้วยกันเองสองพี่น้องได้แล้ว เราก็สบาย

ถ้าเราไม่จัดการเวลาเพราะรู้สึกว่ามันจัดการยาก คุณก็จะมีชีวิตที่ยากอีกยาวนานเลยนะ ช่วง 0 – 7 ขวบ เราก็ขอย้ำว่ามันสำคัญจริงๆ ที่เราจะต้องเติมสิ่งต่างๆ ให้เขา ถ้าเราจัดการตรงนี้ได้ เราสร้างเหตุและปัจจัยในช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากนั้นเราก็ได้ผลของความสบายใจ ของการที่เขาสามารถดูแลตัวเองได้ แต่ถ้า 0 – 7 ขวบ เราบอกว่า เราไม่ว่าง ทำไม่ได้ ท้ายที่สุดเราจะมีเรื่องยุ่ง และเรื่องรบกวนจิตใจเราไปอีกเยอะมากเลย โอเค ไม่ว่างได้ แต่พยายามนะ (ยิ้ม)

อย่างน้อยช่วง 0 – 7 ขวบก็ขอละ เพราะต่อไปคุณจะเบา สบายขึ้นเยอะ

ถ้า 0 – 7 ขวบ เราจัดการมาไม่ดี ก็มีแนวโน้มที่เราจะลากมันแบบไม่ถูกต่อไป พอลูกเราเป็นวัยรุ่น แล้วความสัมพันธ์มันแย่ เขาจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ สุดท้ายตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ต่อให้งานยุ่งแค่ไหน เราก็ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อมาจัดการสิ่งที่มันเละเทะอยู่ข้างหน้าให้ได้ พี่เห็นเคสมาเยอะแล้วธุรกิจเยอะแค่ไหน แต่พอวันที่ลูกเป็นวัยรุ่นมันแย่แล้ว ท้ายสุดเขาก็ต้องทิ้งทุกอย่าง รวมทั้งเกิดความเครียด ความทุกข์ที่ต้องมาแก้ของแย่ๆ 

ถ้าคุณผู้ฟังเป็นพ่อแม่ที่ลูกอยู่ในช่วง 0 – 7 ขวบ ต้องบอกเลยว่าคุณต้องจัดการให้ได้ คืออย่างน้อยช่วงนี้คุณทำงานน้อยลง หรือมีใครคนหนึ่งเสียสละที่จะทำงานน้อยมากๆ เพื่อที่จะใส่สิ่งที่สำคัญ แล้วหลังจากนั้นพี่รู้สึกว่า เขาให้ของขวัญเรากลับมานะ เหมือนเราได้เห็นของขวัญจากการเติบโตของเขา ตอนนี้พี่ทำงานหนักแค่ไหน ลูกพี่ก็โอเค เหมือนกับ เออ..แม่ไปเหอะ อยู่ได้ ดูแลตัวเองได้ 

พอบอกว่าให้ลูกเล่นเกมมือถือได้ ก็จะมีคนบอกว่า ‘เล่นได้ แต่พ่อแม่ต้องอยู่ด้วย’ อันนี้จริงไหมครับ? 

ถ้าในช่วง 0 – 7 ขวบ พี่คิดว่าการอยู่ด้วยมันดีอยู่อย่างหนึ่ง อย่างเวลาลูกเล่นเกม พี่สังเกตว่าลูกพี่สองคนเล่นไม่เหมือนกัน เราจะได้รู้หลักการคิดหรือนิสัยของลูกจากการที่เห็นเขาเล่นเกม เช่น คนโตเป็นคนที่ชอบวางแผน เขาจะเลือกเกมที่คิดซับซ้อน วางแผน แต่ว่าลูกคนเล็กจะอาร์ตมากๆ ชอบงานศิลปะ ฉะนั้นเวลาที่เขาเล่นเกมกับพี่ชายก็จะแพ้ประจำ แต่ตัวเขาชอบเล่นเกมที่มีคาแรกเตอร์สนุก ตลก แปลกๆ อย่างเล่นเกม Angry Bird หรือ Cookie run เขาก็จะดูคาแรกเตอร์ตัวละครเพื่อมาใช้ทำงานศิลปะต่อ

การที่พ่อแม่อยู่กับลูกขณะที่เขาเล่นเกม เราก็จะได้รู้ลักษณะนิสัยความคิดของลูกเรา แต่พี่ไม่ถึงขั้นนั่งเฝ้านะ เพียงแค่ว่าคอมพิวเตอร์ลูกมันชนผนัง จอก็เลยหันมาตรงที่พี่นั่งทำงาน พี่ก็จะเห็นว่าเขาเล่นอะไร แล้วลักษณะการเล่นของเขาเป็นแบบไหน 

แต่การปล่อยให้เด็กเล่นเกมเยอะๆ เด็กมีโอกาสที่จะใช้ความรุนแรง ก้าวร้าวไหมครับ? เราเห็นพ่อแม่ชอบบอกว่า เวลาลูกทำพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ตะคอกแม่ เพราะมาจากเกม หรือที่ครูณาบอกตอนต้นว่า เด็กเล็กๆ ที่เล่นเกมจะทำให้เขามีนิสัยแพ้ก็ไม่ยอม มันจริงเท็จแค่ไหน หรือมีเรื่องอะไรที่มาตัดสินตรงนี้ได้บ้างครับ

ถ้า 0 – 7 ขวบ เขาตั้งโปรแกรมวิถีชีวิตที่ได้จากการเรียนรู้วิถีชีวิตของพ่อแม่ พอเขาเล่นเกมก็จะเริ่มมีอารมณ์ เราก็ค่อยใส่วิธีจัดการอารมณ์ให้เขา คือถ้าเราใส่สิ่งที่ดีเหล่านี้แล้ว ไม่ต้องห่วงเลย ลูกไม่มีทางก้าวร้าวจากเกม เพราะพี่ก็ปล่อยให้ลูกเล่น มีช่วงหนึ่งที่เขาเล่น 7 – 8 ชั่วโมง 

เคยมีคุณแม่คนหนึ่งโทรมาปรึกษาพี่ แกบอกว่าไม่เคยให้ลูกเล่นเกมเลยจนอายุ 10 ขวบ แล้วลูกไปเห็นคนอื่นเล่นเกมเขาก็อยากเล่นบ้าง แม่ก็เลยเลือกเกมให้เล่น ทีนี้พอเขาอายุ 14 ปี เขาก็เลือกเล่นเกมเอง อยากเล่นเกมเสมือนจริง มันก็ดูมีความรุนแรง คุณแม่คนนั้นก็ถามพี่ว่า เขาควรทำยังไง ให้ลูกเล่นเกมดีไหม แล้วเกมมันจะทำให้ลูกเขาก้าวร้าวได้ไหม 

พอดีตอนที่เขาโทรมาปรึกษาพี่นั่งอยู่กับลูกคนโต พี่ก็เลยบอกกับคุณแม่ไปว่า ขอโทษนะคะ เดี๋ยวโทรกลับ จะขอคุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องเล่นเกมก่อน ก็คือลูกชาย พี่ก็เล่าให้ลูกฟังแล้วถามว่า ‘แม่ถามจริง ลูกเล่นเกมมาเยอะ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องเล่นเกม ลูกคิดว่าเกมทำให้เด็กก้าวร้าวได้ไหม’ ลูกก็ชูนิ้ว 5 นิ้ว แล้วบอก ‘ว่า 5%’ พี่ก็บอก ‘โหย..มันน้อยมากเลยนะ 5% เองหรอ แล้วอีก 95% ล่ะ มันเกิดจากอะไรลูก’ ลูกก็บอกว่า ‘เกิดจากวิธีที่พ่อแม่ใช้เพื่อให้ลูกเลิกเล่นเกม ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีที่ก้าวร้าว ลูกก็จะก้าวร้าวมาจากวิธีการที่พ่อแม่เลือกใช้’ คือเกมไม่ใช่ตัวที่ทำให้ลูกก้าวร้าว วิธีการที่พ่อแม่ใช้ต่างหากที่ทำให้ลูกก้าวร้าว 

เพราะฉะนั้น ลูกก็บอกว่าแต่แม่ไม่เคยเลือกใช้วิธีนั้น ปันเล่นเสียขนาดนี้ ปันว่าปันไม่ก้าวร้าว แล้วลูกพี่สองคนไม่ก้าวร้าวจริงๆ ยิ่งไอตัวเล็กก็เล่นเยอะนะ แต่ว่าเป็นคนที่จิตใจแบบ..อื้อหือ พูดไปเดี๋ยวหาว่าอวยลูก (หัวเราะ)

แล้วลูกครูณาเขาเล่นเกมยิงๆ กันไหมครับ?

มีแต่เขาก็ไม่ได้ชอบนะ พี่ถึงบอกว่า 0 – 7 ขวบ ถ้าเราใส่อะไรที่ดีเข้าไป เราไม่ต้องเป็นคนมานั่งเลือกเกมให้เด็กเลย เด็กที่ได้รับสิ่งที่อ่อนโยน รู้สึกถึงสัมผัสที่มีความหมาย พลังงานดีๆ เข้าไปในชีวิตเขา ตอนที่เขาเลือกเกม เขาก็จะไม่เลือกไอเกมแบบนี้หรอก หรือถึงเลือกเล่น เขาก็เห็นอย่างอื่น เขาไม่ได้โฟกัสว่าจะต้องตัดหัวมนุษย์ด้วยวิธีแบบไหน เด็กเขาไม่ได้คิดแบบนี้ เขาคิดโดยการที่ดูสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เขาสนใจ

เพราะฉะนั้นถ้าเราใส่บางสิ่งให้เด็กได้โอเคแล้ว แล้วเราไม่ได้มีวิธีปฏิบัติกับเขา ความสัมพันธ์ของเรากับลูกดี วิธีปฏิบัติของเรากับเขาเกี่ยวกับเกมไม่ได้ก้าวร้าว เด็กก็จะไม่ก้าวร้าว 

สมมติลูกเล่นๆ อยู่กระชากออกมาเลย ‘พอได้แล้ว! มากไปละนะ’ อันนี้พ่อแม่กำลังปลูกฝังความก้าวร้าวให้ลูก

พี่เคยเจอเคสเด็กคนหนึ่งมาเข้าค่ายพี่ ตอนนั้นเขาอายุ 12 – 13 ปี พี่รู้สึกว่าเขาเป็นเด็กน่ารักมากๆ แต่แม่เขาบอกว่าลูกติดเกมเยอะ แต่พี่ดูแล้วก็ไม่มากนะ เขาก็ดูสนใจอย่างอื่นด้วย เช่น กีฬา แล้วเขาก็เหมือนลูกพี่ ชอบเล่นเกมวางแผน ซึ่งในเกมมันมีทักษะบางอย่างที่ทำให้ลูกพี่มีตรรกะในการคิด แล้วก็มีการฮึดเพื่อที่จะเอาชนะ พี่ก็บอกกับคุณแม่เด็กคนนั้นว่า เขาไม่ก้าวร้าวนะ เนื้อแท้ของเขาโอเคมากๆ เลย ให้ทำอะไรก็ทำ ตอนอยู่ในค่ายก็ดีมาก 

ผ่านไป 2 ปี แม่เขามาบอกพี่ว่าถูกลูกเตะตอนเขากำลังเล่นเกม พี่ก็ถามว่าทำอะไรลูกถึงเตะ เขาก็บอกว่าเขาให้ลูกเลิกเล่นเกม แล้วลูกตอบว่า ‘อีกแปปนึงแม่’ แม่ก็บอก ‘เลิกเดี๋ยวนี้!’ ลูกบอก ‘แม่ อีกแปปนึง! แปปเดียวจริงๆ!’ แล้วคุณแม่ก็ดึงปลั๊กออก แล้ววันนั้นเด็กกำลังแข่งอยู่ในระดับท็อป 10 ของประเทศไทย เขากำลังจะถึงคะแนนที่ Ranking ของเขามัน Touch ตรงนั้นได้

ความก้าวร้าวของมนุษย์เกิดจากทริกเกอร์ (trigger บางสิ่งที่เข้ามาทำให้เราอารมณ์ขึ้น) เวลาที่เด็กอยู่ในช่วงบ่มเพาะ แล้วมีบางสิ่งเข้ามาทริกเกอร์ให้เกิดความก้าวร้าวบ่อยๆ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจใช้ความก้าวร้าว เพราะว่าไม่มีสติจริงๆ 

อย่างเคสนี้เป็นความก้าวร้าวจากเกมหรือจากอะไร? สิ่งที่เราเห็นอย่างหนึ่ง คือ เด็กมักถูกควบคุมโดยที่ไม่ได้บอกหรือไม่ได้มีวิธีการที่ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจและจัดการอารมณ์ แต่เราจะโทษว่าเกมทำให้เขาเตะ พี่เชื่อว่ามันไม่ขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะเกม 100% มันเป็นวิธีการที่เราดีลกับลูกยังไง เราสอนเขาจัดการอารมณ์ยังไง เราใช้วิธีบ่นๆๆๆ แต่ไม่มีทางออก ไม่มีภาพที่ดีให้กะเขา แล้วพอถึงตอนนั้นเราไปดึงปลั๊กขณะที่เขากำลังจะเป็นผู้ชนะ คือพี่รู้ว่าผู้ชนะในความหมายของเกมมันอาจดูไร้ค่า แต่สำหรับเด็กไม่นะ เพราะเด็กบางคนก็มีอาชีพ มีรายได้จากการเล่นเกมในระดับแบบนั้น 

ถ้าสาวกับไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งมาถึงวันที่เขาเตะ ไม่ได้มีวิธีการสอนลูกในเรื่องของการจัดการอารมณ์ไง เขาต้องถูกฝึก ถูกทำให้เขาคิดแล้วก็จัดการอารมณ์เป็น พี่ว่าไม่แฟร์ว่าเขาก้าวร้าวเพราะเกม พี่ว่าไม่ใช่

อย่างที่เราคุยกันตอนที่ผ่านๆ มา สิ่งที่เราป้อนให้ลูกก็คือของสะสม มันมีหลายจุดกว่าจะดำเนินมาถึงตรงนี้ แล้วก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเกมหรือหน้าจอที่เขากำลังมองอยู่ตอนนั้น มันจะสร้างปัญหาให้เรามากน้อยแค่ไหน ก็คือก่อนหน้านั้นทั้งหมด

พี่ชอบคิดว่าฉันเป็นสิ่งมีชีวิต ฉันเป็นแม่ ฉันต้องมีเสน่ห์กว่าเกมว่ะ พี่อยากให้พ่อแม่เข้าใจว่าเราเป็นมนุษย์นะ เรามีเทคนิคมีอะไรตั้งเยอะแยะที่เราจะสามารถชนะเกมนี้ เพียงแต่ว่าเราไม่รู้จักบริหารเสน่ห์ คือ ถ้าชีวิตจริงเราไม่บริหารเสน่ห์กับอะไรก็ตาม ท้ายที่สุดเราก็เป็นชีวิตที่แข็งกระด้าง อยู่กับลูกก็แข็งกระด้าง

ถ้าฉันเรียกลูกไปไหน ลูกฉันต้องไปได้สิ แต่เราจะใช้วิธีบริหารเสน่ห์ ไม่ใช่อำนาจ เวลาพี่จะให้ลูกหยุดเล่นเกมแล้วไปกินข้าว พี่ก็จะเดินไปแล้วหอมแก้มแล้วบอกว่า ‘กินข้าวแล้วนะนาย’ เขาจะตอบว่า ‘ครับ แปปนึง’ เราบอก ‘แปปเดียวนะ’ แล้วไปนั่งรอ ตัวลูกพี่เขาก็เป็นคนที่จัดการเรื่อง ‘เดี๋ยว’ ของเขาได้ดีมาก หรือบางครั้งพี่รู้สึกว่า เฮ้ย..ครั้งนี้ไม่ได้ พี่ก็จะค้นหาวิธีที่จะสื่อสารให้ดี 

มีวันหนึ่งพ่อพี่ป่วยอยู่โรงพยาบาล พี่ก็ไปเยี่ยมเอาลูกไปด้วย ปรากฏว่าพ่อพี่จะอึ พี่ไม่ได้เรียกพยาบาลอะไรนะ ค่อยๆ ทำความสะอาดเขาไป ระหว่างนั้นเราก็ขอให้ลูกช่วยหยิบของ เขาบอกว่า ‘เดี๋ยว’ เขากำลังเล่นมือถืออยู่ เราก็บอกว่า ‘เดี๋ยวไม่ได้ลูก’ เขาก็บอกว่า ‘เดี๋ยว แปปนึง’ พี่เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องคุย เพราะเขากำลังเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งคุณต้องจัดการตัวเองเป็น ต้องคิดเป็น พอเขามาช่วยพี่ก็ใกล้เสร็จละ พี่ก็บอก ‘หยิบอันนี้ให้แม่หน่อย’ พี่อึนๆ ข้างในนะ แต่จะไม่ใช้คำรุนแรง ไม่ใช้ความก้าวร้าว 

ตอนกลับบ้าน เราก็พูดว่า ‘นายมาคุยกันหน่อยซิ แม่ให้เล่นเกมเนี่ย แม่เคยดุไหม แม่เคยห้ามหรือจำกัดเวลาไหม’ เขาก็บอก ‘ไม่มีอะครับ ทำไมอะแม่’ ‘โอเค ถ้าเราไปไหนที่เป็นที่สาธารณะ หรือไปไหนที่อยู่กับความสัมพันธ์หรือการดูแลคนอื่น ลูกต้องตระหนักเลยนะว่า ถ้าแม่เรียกแสดงว่ามันสำคัญ และบางเรื่องเดี๋ยวไม่ได้ เพราะถ้าเดี๋ยวแล้วเรื่องมันผ่านไปแล้ว แสดงว่าเราไม่แคร์กัน เพราะฉะนั้นถ้าแม่ขอลูกอย่าเดี๋ยว เพราะว่าตอนนั้นบางทีเรื่องบางเรื่องมันสำคัญ ขอนะ ถ้าเกมบางเกมที่เธอหยุดกลางทางไม่ได้ อย่าเล่นในขณะที่เราไปเจอกับความสัมพันธ์คนอื่น แล้วยิ่งตอนนี้ถ้าไปโรงพยาบาลแม่ไม่อนุญาตให้เล่นแบบนี้ แม่ขอ’ เขาก็จะ ‘อ่าครับๆ ได้ๆ’ แล้วพอเราไปอย่างนี้ เวลาเรียกเขาฉุกเฉินเขาก็จะทำทันที 

พี่เชื่อว่าเด็ก เราสอนเขาได้ เราบอกเขาได้ จะบอกว่าโห..มันยาก แต่เราต้องพยายามในช่วงแรกๆ ของชีวิต

ก็ต้องมีต้นทุนที่สะสมมาก่อนหน้านั้น แล้ววิธีการที่พ่อแม่ใช้ด้วย เราจะใช้อำนาจหรือจะใช้เสน่ห์ทำให้เขารักเรา ทำให้เขาหยุดเล่นเกม

พี่รู้สึกว่ามันเหมือนอำนาจกับบารมีเนอะ มันมีความรัก เหมือนกับเราจะต้องให้ความรักก่อน แล้วเราก็จะให้ความรู้ได้ ถ้าเราใช้อำนาจกับเขา เขาก็จะเรียนรู้ที่จะใช้อำนาจคืนกับเราในวันที่เขาตัวใหญ่พอ 

ผมชอบตรงที่ครูณาบอกว่า ‘เราเป็นสิ่งมีชีวิต เราต้องสนุกกว่าเกม’ แปลว่าปัญหาทุกวันนี้พ่อแม่ไม่สนุกกว่าเกมถูกไหมฮะ? ลูกเล่นเกมสนุกกว่าอยู่กับพ่อแม่ 

ใช่ เวลาเราให้ลูกหยุดเล่นเกมมากินข้าว เราก็ต้องทำให้การกินข้าวมันอร่อย คุยกันเรื่องที่สนุก ไม่ใช่ โอ้โห..ทำโต๊ะกินข้าวให้เป็นเวทีเทศนาเลย แล้วเขาจะอยากออกมาหรอ? คือถ้าเราเลี้ยงลูก แต่ไม่สร้างเสน่ห์ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เขามีความเครียดจากการอยู่กับเรา เขาก็ใช้เกมเป็นที่พึ่งในการปลอบประโลมจิตใจ ทำให้ตัวเองมีความสุขสนุกไปวันๆ

อีกอย่างในเกมเขาได้ชนะตลอดไง เพราะในชีวิตจริงเขาไม่เคยชนะเลย เป็นที่หลบซ่อนจากความสัมพันธ์นั่นแหละ อย่าว่าแต่เด็กเลย สามีภรรยาหรือเพื่อนถ้าไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สุดท้ายก็จะติดมือถือกันทั้งคู่แหละ เพราะมันเป็นที่หลบหนีความสัมพันธ์ที่ดีมาก

ผมชอบประโยคนี้ของครูณา ‘พ่อแม่ต้องมีเสน่ห์กว่าเกม’ เราเองแหละที่ทำให้เกมมันสนุกกว่า เราไม่เคยหัวเราะกับเขา เขามาก็ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่เคยมีกิจกรรม 

พี่ว่ามันน่าเศร้ามากเลยนะ เด็กมาเจอเราก็เป็นชั่วโมงเทศนา

อยากขยายต่อกับเคสที่คุณณายกมาที่แม่ไม่ให้ลูกเล่นเกมเลยจน 10 ขวบ คือมันจะส่งผลอย่างไรบ้างครับ กับการที่เราไม่ให้ลูกเห็นเรื่องพวกนี้เลย

สิ่งที่พี่เจอกับเด็กที่ถูกห้ามแบบเพียวขนาดนั้น คือ เด็กจะแอบทำ พ่อแม่ที่เลือกแบบนี้ส่วนใหญ่จะอยู่กับความคิดที่เข้มข้นมาก ต้องเป็นคนดี ต้องธรรมชาติ แต่ว่าในโลกความเป็นจริง มันไม่ใช่อย่างนั้นไง ตามที่พี่รู้สึกและเรียนมานะ ในยีนส์ของมนุษย์จะมีวิวัฒนาการ การรวมองค์ความรู้บางอย่างที่เป็นจริงต่อการเปลี่ยนแปลงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ 

เพราะฉะนั้นพี่ถือว่าเด็กที่เกิดมาในยุคนี้ เทคโนโลยีมันมากับยีนส์เขาเลยละ เราจะเห็นว่าเด็กยุคใหม่สามารถเล่นและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ดีกว่าเราอีก เพราะมันมีองค์ความรู้บางอย่างที่อยู่ในระดับของยีนส์ของมนุษย์ในยุคหลัง แต่เรากลับเอาเขาเหวี่ยงเข้าไปอยู่ในที่ที่มันย้อนแย้ง ไม่จริงเสียทีเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าเกิดถึงเวลาที่เขาต้องใช้มัน เขาจะรู้สึกว่ากำลังทำผิดต่อครอบครัว ทำให้เขาไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองที่ต้องอยู่ในยุคนี้ได้ดี 

พี่รู้ว่าบางอย่างมันมีความอ่อนโยน เด็กที่ไม่สัมผัสเกมเลยจะมีความอ่อนโยน แต่ประเด็นคือวิถีที่พ่อแม่จัดการกับสิ่งเหล่านี้ดูจะไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไร พอเขาเอาลูกไปที่ไหน ในห้างหรือว่าต้องซื้อของ แล้วลูกก็เริ่มเห็นคนในสังคม  แล้วเราก็สอนลูกโดยการที่วิจารณ์ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่โอเค เราก็กำลังโปรแกรมว่าคนที่ทำแบบนี้ไม่โอเค แล้วลองคิดดูสิ ลูกเรากำลังตัดสินคนบนโลกใบนี้อีกจำนวนขนาดไหน

เพราะฉะนั้นการที่พ่อแม่ไม่ให้ลูกเล่นเลย เราต้องทำงานหนักมากเลยนะ ถ้าพ่อแม่สุดโต่ง เด็กก็จะไม่เคยเข้าสู่สภาวะที่มันสนุกสุดติ่ง แต่เขาเห็นเด็กคนอื่นกำลังเล่น แล้วมีพลังงานของความสนุกสุดติ่งอยู่ แล้วตัวเองก็อยาก พี่จะเห็นเด็กเหล่านี้ แม้กระทั่งพี่ใช้มือถือเนี่ย เขาจะเอาหน้าพรวด แทรกเข้ามาดูเลยนะ แล้วก็เหมือนจะเสพมัน ว่ามันคืออะไร แล้วพี่ก็จะเห็นเด็กเหล่านี้ไปแอบดูทีวีทางผ้าม่าน ประมาณว่าเรียกก็ไม่ได้ยิน ซึ่งถ้าวิถีที่ปฏิบัติกับลูกในเรื่องของเกมหรือหน้าจอทีวีมันมากขนาดนี้ แสดงว่าเริ่มบางอย่างที่ผิดปกติละ อันนี้พี่รู้สึกว่า พี่อยากจะแนะนำคุณพ่อคุณแม่ ถ้าลูกเรารู้สึกบางอย่างที่เราเอ๊ะว่ามันผิดปกติหรือเกินพอดี เราจำเป็นต้องทบทวน

จุดตัดที่ดีที่สุดในการควบคุมหรืออยู่กับเทคโนโลยีคืออะไรครับ?

เจอได้บ้าง แต่พยายามอย่าให้ลูกโฟกัสกับมันในช่วงก่อน 7 ขวบ อยู่กันแบบหลวมๆ พาเขาไปรู้จักโลกแห่งความเป็นจริง แล้วก็ไม่ตัดสินว่าการเล่นเกมมือถือหรือเทคโนโลยีเป็นเรื่องเลวร้าย มันจะทำให้เขาอั้นความอยาก เพราะพอถึงเวลาที่เขาได้เล่น เขาจะเสพแบบไร้สติ เราก็อยู่กับความเป็นจริง ถ้าพ่อแม่ต้องใช้ ก็ใช้ แต่ว่าพ่อแม่ต้องจัดการตัวเอง 

แล้วพี่รู้สึกว่าในเด็กยุคใหม่ ถ้าเขาต้องอยู่กับโลกแบบนี้ พี่คิดว่าลูกพี่ยิ่งต้องรู้จักนะ เพราะไม่งั้นถ้าเราไม่รู้จักมัน แล้วเราจะจัดการมันได้ยังไง แล้วพี่พบว่า ลูกพี่พอรู้จักเยอะๆ พอถึงตอนหนึ่งที่เขาต้องซ้อมเปียโน เขาก็รู้จักมัน เขาก็จัดการมัน 

ก็ขึ้นอยู่ที่ความสัมพันธภาพของพ่อแม่กับลูกด้วยที่จะทำให้ลูกไม่ติดเกม ถ้าความสัมพันธ์ดี เราก็น่าจะคอนโทรลหน้าจอในระดับที่พอดีได้ พ่อแม่ให้ทางเลือก ทำตัวน่ารักกับเขา 

พ่อแม่สอนเขาด้วยจิตใจที่ดี รู้จักจัดการอารมณ์ เรียนรู้การจัดการอารมณ์ของพ่อแม่ แล้วลูกก็จะเรียนรู้การจัดการอารมณ์ของเขาผ่านตัวเรา ถ้าเป็นแบบนี้พี่รู้สึกว่าเขามีภูมิต้านทานที่ดี เพราะฉะนั้นถ้าพี่รู้สึกว่าถ้าพี่สร้างต้นเหตุมาดี พอถึง 9-10 ขวบ ลูกพี่จะเล่นเกมวันละ 4-5 ชั่วโมง 7-8 ชั่วโมง พี่เฉยๆ

ต่อให้ลูกไม่ติดหน้าจอ เขาก็ไปติดอย่างอื่นแทน สุดท้ายมันก็ปัญหาเดียวกัน ปัญหาเดียวกันเพื่อนสนุกกว่าพ่อแม่ เกมสนุกกว่า เตะบอลมันกว่า ตีสนุกเกอร์สนุกกว่า หรืออยู่กับเพื่อนต่างเพศสนุกกว่า กลับบ้านดึกๆ เหตุมันก็คือ สัมพันธภาพ

ใช่ ท้ายที่สุดเวลาเกิดอะไรขึ้นกับลูก พี่อยากให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาที่ตัวเอง เราใส่อะไรให้กับเขา เรามีวิธีจัดการอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตเขามีความหมาย สัมพันธภาพระหว่างเขากับเราดีไหม นั่นแหละเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ใช้มันไปในทางลบหรอกค่ะ 

ผมว่าน่าจะครบถ้วนสิ่งที่ผมและครูณาอยากสื่อสารละ ตอนต่อไปเราจะมาลงรายละเอียดกันต่อ เป็นอีพีที่ชื่อเดียวกับพอดแคสต์เลยครับ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ เราจะมาดูเคสต่างๆ ที่นอกเหนือจากที่เราพูดกันไปตอนก่อนๆ สิ่งที่ลูกได้รับและแสดงออกเป็นอาการทางกาย ทางใจ หรือเป็นบุคลิกภาพเขา มันสร้างความทุกข์ให้กับเด็กคนหนึ่งจนโตเป็นผู้ใหญ่ยังไง แล้วเจอกันใหม่อีพีต่อไปนะครับ สำหรับอีพีนี้ขอบคุณครับ

Tags:

ปฐมวัยความปลอดภัยไซเบอร์โรคพ่อแม่ทำ

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ‘ไม่ปฎิเสธ ไม่ยัดเยียด’ สอนให้ลูกเท่าทันความรู้สึกเมื่อต้องห่างกัน

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    “โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • EF (executive function)Early childhood
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Space
    พลังบวกมหาศาลในสนามเด็กเล่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.3 น้องหยิก
26 November 2020

ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.3 น้องหยิก

เรื่อง The Potential

วันนี้พี่เบิร์ด คิดแจ่มมีนิทานมาฝากเด็กๆ รวมถึงผู้ปกครอง กับเรื่อง ‘น้องหยิก’ เรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า น้องหยิก ซึ่งทั้งชีวิตของเธอต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง ถูกบูลลี่ เพราะผมหยิกของเธอ ชีวิตเธอจะเป็นยังไงต่อไป จะสามารถผ่านปัญหานี้ได้หรือไม่ ชวนหาคำตอบได้ในคลิปกันเลยค่ะ

นอกจากมีนิทานมาฝากแล้ว พี่เบิร์ดยังมีกิจกรรมสนุกๆ มาแนะนำอีกด้วย กิจกรรมง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในครอบครัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับ ‘นิทานต่อคำ’

Tags:

กลั่นแกล้ง(bully)นิทานนีลชา เฟื่องฟูเกียรติปฐมวัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ

    เรื่อง The Potential

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    เพราะเด็กคือความหวัง และนิทานมีพลังกว่าที่คิด: “ป่าดอยบ้านของเรา” ให้นิทานสร้างเด็กเพื่อให้เด็กสร้างเมือง

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

Reply 1988: แม่มีรักครั้งใหม่ได้นะ มาอยู่เป็นเพื่อนพึ่งพากันแบบในซีรีส์ได้ก็จะยิ่งยินดี
Dear ParentsMovie
25 November 2020

Reply 1988: แม่มีรักครั้งใหม่ได้นะ มาอยู่เป็นเพื่อนพึ่งพากันแบบในซีรีส์ได้ก็จะยิ่งยินดี

เรื่อง พิมพ์พาพ์

Tags:

ซีรีส์พิมพ์พาพ์เกาหลีใต้ความรัก

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Movie
    Start – up (2020) เราควรเลิกคาดหวังกันและกัน เพื่อกลับมาเป็นพ่อแม่ลูกดีกว่า

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน
Unique Teacher
25 November 2020

วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • คุยกับครูแอน – วนิดา ศิริวัฒน์ ครูประจำวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสตูล กับการเปลี่ยนรูปแบบการสอนจากเดิมที่ครูเป็นนักบงการ มาเป็นนักออกแบบการเรียนรู้แทน ผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า โครงงานฐานวิจัย 10 ขั้นตอน ขยายขอบจากห้องเรียนสี่เหลี่ยมในรั้วโรงเรียนเป็นลงพื้นที่เก็บข้อมูลนอกห้อง และได้เจ้าของความรู้อย่าง ‘ชาวบ้าน’ มาร่วมกัน
  • “แต่เดิมเรามองว่า ถ้าครูเป็นครู ครูต้องรู้มากกว่าเธอสิ มันคือความคิดในมุมเดิมที่เราถูกฝังมา แต่พอเรามาเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัยหรือการบูรณาการ เราพบว่ามีหลายอย่างที่ครูยังไม่รู้เลย ยิ่งพอโครงงานเป็นวิชาที่เราคาดหมายไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้เรียนคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ครูต้องพยายามมองว่าครูจะพา…ไม่ใช่พาสิ ครูกับนักเรียนจะเดินไปทางไหน ต้องวางแผนร่วมกันตลอด เราจะเดินไปอย่างไร เราจะหาวิธีเดินอย่างไร หาความรู้อย่างไร เรื่องที่นำมาเรียนรู้นั้นจะเป็นเพียงสื่อการสอน แต่ครูต้องคิดในใจว่ามันต้องใช้อะไรบ้างเพื่อให้เด็กมีโอกาสค้นหาความรู้ต่อหรือได้เรียนรู้ได้มากที่สุด”

ราวปี 53 การเปลี่ยนแปลงในชีวิตการทำงาน การสอน การเป็นครูกว่าสิบปีของครูแอน – วนิดา ศิริวัฒน์ ครูประจำวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสตูล ได้มาถึง และเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แทบพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนวิธีการสอนในห้องเรียนชนิดกลับด้านกลับทาง

การเปลี่ยนแปลงที่ว่ามาจากคำประกาศของสุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียน ณ ขณะนั้น และพ่วงตำแหน่งนักวิจัยที่เพิ่งย้ายมาใหม่เพียง 2 ปี ว่าอยากเริ่มทดลองการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ใช้งานวิจัยเป็นฐานการเรียนรู้ของนักเรียน ภายใต้ชื่อโครงการฐานวิจัย 10 ขั้นตอน (งานวิจัยดีเด่นในปี 2551) ที่สุทธิได้พัฒนาร่วมกับนักวิจัยท้องถิ่นและครูจากโรงเรียนบ้านตะโละใส – โรงเรียนเก่าที่สุทธิเคยบริหาร

“ตอนได้ฟังครั้งแรก เรางงมากว่าการเรียนด้วยโครงงานฐานวิจัยคืออะไร ยังนึกถึงการทำโครงงานของเด็กๆ สมัยก่อน ที่จะมี 5 บท นักเรียนเลือกเรื่องที่อยากทำเป็นตัวตั้งแล้วก็เดินเรื่องไป แต่พอเริ่มศึกษาการทำโครงงานฐานวิจัย เราพบว่า…ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเด็กต้องใช้อะไรเยอะมาก ซึ่งวันที่เริ่มเดิน เราพบว่าวิธีการเรียนแบบนี้ครูต้องเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก เพราะครูเองก็ยังไม่รู้เนื้อหา เพียงแต่ครูก็ไปโค้ชนักเรียน และนักเรียนเองก็เป็นครูของครูอีกทีหนึ่ง มันเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกัน” ครูวนิดาเล่าถึงความรู้สึกวันแรกๆ ที่รู้ว่าต้องเปลี่ยนวิธีการออกแบบห้องเรียน วิชาเรียน ไปเริ่มเรียนและสอนด้วย โครงงานฐานวิจัย

แม้เชื่อมั่นในตัวกระบวนการ เพราะโครงงานฐานวิจัย 10 ขั้นตอนนั้นเป็นที่พูดถึงกันมากในจังหวัดสตูล ในแง่การจัดการเรียนรู้แนวใหม่ที่ให้เด็กเป็นผู้เลือกหัวข้อด้วยตัวเอง มาจากความสนใจของเด็กเอง แถมผู้รู้ที่จะมาช่วยให้ข้อมูลในฐานะนักวิจัยร่วมก็คือเจ้าของความรู้อย่าง ‘ชาวบ้าน’ และการเรียนการสอนยังขยายขอบจากห้องเรียนสี่เหลี่ยมในรั้วโรงเรียนเป็นลงพื้นที่เก็บข้อมูลนอกห้อง และเชื่อมั่นในการนำของสุทธิ …ก็จริงอยู่

แต่การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่สอนด้วยวิธีที่คุ้นชินอย่างการถ่ายทอดความรู้ (ซึ่งเราเองก็ถูกฝึกให้เรียนด้วยวิธีเช่นนั้น) นั้นไม่ง่ายเลย มันเป็นการเรียนรู้ครั้งใหม่ การเดินทางครั้งใหม่ที่ต้องใช้จินตนาการร่วม และความเชื่อมั่นที่อยากเปลี่ยนวิธีการสอน ซึ่งเป้าหมายคือ ‘นักเรียน’ เป็นหลัก

ใครๆ ก็พูดกันเรื่องการเปลี่ยนห้องเรียนด้วยการยึดผู้เรียนเป็นหลัก สมรรถนะ…คือคำที่คนในวงการศึกษาเฝ้ามองและตั้งใจไปให้ถึงในวันนี้เพราะรู้แล้วว่าการถ่ายทอดความรู้แบบเดิมนั้นล้าหลังและไม่ทำให้ผู้เรียนมี ‘สมรรถนะ’ ได้จริง แต่จากปากคำของครูเล่า? เส้นทางการเปลี่ยนแปลงของครู การเติบโตของครู การเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้ทันสมัย เราอาจจำเป็นต้องพูดคุยและถอดบทเรียนจากครู ว่าเส้นทางการเดินทางของเขาเป็นอย่างไร จากเดิมที่คิดว่าดี…แต่เปลี่ยนแล้วดีขึ้นอย่างไร ดีขึ้นในมุมไหน

เรามีโอกาสพูดคุยกับครูวนิดาสั้นๆ แต่บทสนทนามีความหมายและสะท้อนให้เห็นความตั้งใจ ความหวัง และแรงบันดาลใจดีๆ ที่คิดว่า ครู จะส่งถึง ครู ด้วยกัน

อยากชวนทุกคนอ่านการจัดการศึกษาของ ‘ครู’ จากโรงเรียนอนุบาลสตูล โรงเรียนไม่เล็กไม่ใหญ่ของจังหวัดแต่กลายเป็นโรงเรียนตัวอย่างให้คนทำงานจากทุกภาคลงไปถอดบทเรียนกัน

ช่วงก่อนเปลี่ยนการเรียนการสอน เป็นยังไงบ้าง ครูจัดการเรียนการสอนอย่างไร  

ก่อนหน้านี้ โรงเรียนก็สอน 8 สาระวิชาเหมือนโรงเรียนอื่น ครูสอนวิชาอะไรก็สอนวิชานั้น เราเองที่สอนวิชาภาษาไทยก็ไม่รู้หรอกว่าสาระอื่นๆ เขาสอนอะไรบ้าง เรามุ่งสอนตรงไปที่วิชาของเรา ด้วยวิธีการสอนของครูที่เป็นการป้อนความรู้ให้กับนักเรียน การวัดและประเมินผลก็จะเน้นไปที่ความรู้ตามผลชี้วัด 

ซึ่งเอาเข้าจริง การเรียนแบบนั้น ในขณะนั้น มันก็เป็นไปได้ด้วยดีตามครรลองของมันใช่ไหม  

ณ วันนั้นเราก็มองว่ามันเป็นไปด้วยดีตามสภาพวันนั้นนะ วันที่เทคโนโลยีมีไม่มาก ในภาพของโรงเรียนอนุบาลสตูล เราเป็นสถานศึกษาที่ทั้งครูและนักเรียนต่างมีความมุ่งมั่น เป็นภาพของโรงเรียนชั้นแนวหน้า เป็นความคาดหวังของจังหวัด ทุกคนมองว่าโรงเรียนนอนุบาลสตูลคือสถานที่ของคนเก่ง

ตอนนั้นครูแอนจัดการเรียนการสอนแบบไหน

เราสอนภาษาไทย ก็พยายามศึกษาจากหนังสือโน่นนี่นั่น มีบ้างที่นักเรียนได้พูดบ้าง โต้ตอบในห้องแต่ไม่ได้มาก มีเด็กเล่านิทานบ้าง เด็กพูดบ้าง บางครั้งก็รวมกลุ่มกันแสดงบทบาทสมมติ แต่โดยวิธีการทั้งหมดครูจะเป็นคนกำหนดว่าเราจะทำอะไร จะเรียนกันแบบไหน ซึ่งนักเรียนไม่ได้มีส่วนมาร่วมคิดว่าเราจะเรียนแบบไหน คนต้นคิดมาจากครูเอง

ตอนนั้นเราชอบการสอนของตัวเองไหม?

ณ วันนั้นเราก็มองว่าเราก็ทำได้ดีที่สุดนะ คือเราไม่ได้มองที่เส้นทางการเดินของเราแต่มองที่เป้าหมายอย่างเดียว เช่น เด็กเราสอบได้ ก็แปลว่าเด็กเราเก่งแล้วล่ะ อันนั้นคือสิ่งที่เราคิด ณ วันนั้นนะ  

วันแรกที่ผอ. สุทธิบอกว่าจะเปลี่ยนการเรียนการสอนเป็นการเรียนด้วยโครงงานฐานวิจัย จะเริ่มเปลี่ยนโดยนำร่องที่ครู 12 คนก่อนและเริ่มทำกับเด็กๆ เพียง 36 ห้องเรียน ครูแอนเป็นครู 1 ใน 12 คนนั้นไหม

ไม่ได้เป็น 1 ใน 12 คนหลักนั้น แต่เป็นคนที่ประกบช่วยครูเหล่านั้นสอนอยู่ตลอด ขอเขาสอนคู่กับครูเหล่านั้นเพื่อเป็นคู่บัดดี้กัน ครูท่านนั้นชื่อว่าครูสวย เพราะเราเองก็อยากรู้สิ่งที่เขากำลังทำว่าคืออะไร แล้วเราใช้วิธีการจำเอา ดูเอา เราไม่ได้เป็นคนรับความรู้นั้นโดยตรงแต่พยายามทำตัวเป็นนักเรียนของครูสวยด้วย แล้วเราก็ช่วยคอมเมนต์สิ่งที่ครูสวยสอนด้วยว่ามันควรเป็นอย่างนี้หรืออย่างนั้นไหม? แล้วชั่วโมงต่อไปเราก็เริ่มสอนเอง ด้วยคุณลักษณะของเราที่เป็นคนสนุกสนานนิดนึงด้วย ก็เลยทำหน้าที่นำเข้าสู่บทเรียนให้มันสนุกๆ

ตอนที่ผอ. สุทธิบอกว่าจะเปลี่ยนมาเป็นการสอนแบบบูรณาการ ตอนฟังครั้งแรกเราเข้าใจว่าอะไร

ตอนได้ฟังครั้งแรกก็งงมากว่าการเรียนด้วยฐานวิจัยคืออะไร ยังนึกถึงการทำโครงงานของเด็กๆ สมัยก่อน ที่จะมีบทที่ 1-5 ขั้น นักเรียนเลือกเรื่องที่อยากทำเป็นตัวตั้งแล้วก็เดินเรื่องไป แต่พอเริ่มศึกษาการทำโครงงานฐานวิจัย เราพบว่า…ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเด็กต้องใช้อะไรเยอะมาก ซึ่งวันที่เริ่มเดิน เราพบว่าวิธีการเรียนแบบนี้ครูต้องเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก เพราะครูเองก็ยังไม่รู้เนื้อหา เพียงแต่ครูก็ไปโค้ชนักเรียน และนักเรียนเองก็เป็นครูของครูอีกทีหนึ่ง มันเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกัน

ตอนนั้นเรารู้สึกยังไงกับความคิดว่า ‘เด็กก็เป็นครูเรานะ’

ความคิดมันก็เปลี่ยนนะ แต่เดิมเรามองว่า ถ้าครูเป็นครู ครูต้องรู้มากกว่าเธอสิ มันคือความคิดในมุมเดิมที่เราถูกฝังมา แต่พอเรามาเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัยหรือการบูรณาการ เราพบว่ามีหลายอย่างที่ครูยังไม่รู้เลย ยิ่งพอโครงงานเป็นวิชาที่เราคาดหมายไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้เรียนคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ครูต้องพยายามมองว่าครูจะพา…ไม่ใช่พาสิ ครูกับนักเรียนจะเดินไปทางไหน ต้องวางแผนร่วมกันตลอด เราจะเดินไปอย่างไร เราจะหาวิธีเดินอย่างไร หาความรู้อย่างไร เรื่องที่นำมาเรียนรู้นั้นจะเป็นเพียงสื่อการสอน แต่ครูต้องคิดในใจว่ามันต้องใช้อะไรบ้างเพื่อให้เด็กมีโอกาสค้นหาความรู้ต่อหรือได้เรียนรู้ได้มากที่สุด  

แต่เดิมครูเป็นคนป้อนความรู้ แต่บรรยากาศตอนนี้ ครูเป็นแค่โค้ช เราวางแผนร่วมกัน วางเป้าหมายร่วมกัน ไม่ได้หมายความว่านักเรียนต้องทำตามที่ครูบอก แต่นักเรียนต้องคิดวิธีการเอง คิดเรื่อง คิดประเด็นเอง ครูไม่ใช่ผู้ให้ความรู้ เขาอาจไปหาความรู้จากที่ไหนก็ได้ที่ให้ความรู้กับเขาได้ ขณะเดียวกัน วิชาบูรณาการเหมือนเป็นพื้นที่ร่วมที่เปิดให้คนหลายๆ คนเข้ามาสร้างการเรียนรู้กับนักเรียนด้วยสิ่งที่นักเรียนเลือก เช่น นักเรียนเลือกสิ่งที่เกี่ยวกับชุมชน ก็ลงไปหาความรู้จากชุมชน หรืออย่างโครงงานศึกษาการตามรอยฟอสซิล (โครงงานศึกษาการตามรอยฟอสซิล ในอำเภอเมืองสตูล เพื่อร่วมกับชุมชนพัฒนาเป็นแหล่งการเรียนรู้ในจังหวัดสตูล) ของนักเรียนชั้นป.4 ครูเองก็ไม่มีความรู้เลย เบื้องต้นครูก็ต้องไปหาความรู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองก่อนที่จะมาโค้ชนักเรียน นักเรียนเองก็ต้องไปค้นหาความรู้เบื้องต้น หลังจากนั้นนักเรียนต้องไปหาวิทยากรหรือคนที่มีความรู้จริงๆ และลงพื้นที่ไปถามชาวบ้าน อันนี้เป็นเพียงตัวอย่าง มองว่ามันเป็นพื้นที่ที่ทำให้มีคนหลายคนเข้ามามีส่วนกับการจัดการศึกษา

เช่นใครบ้าง ใครที่เข้ามามีส่วนร่วมกับการจัดการศึกษาในวิชาบูรณาการได้บ้าง

คนในชุมชนและผู้ปกครอง เวลาขึ้นโจทย์ เด็กๆ เขาจะบอกเลยว่า ปู่หนูทำได้ ย่าหนูรู้ ยายหนูรู้ คือเขามองว่าคนใกล้ตัวเขาเป็นคนที่เขาไปหาความรู้ได้ แล้วพอวิชาบูรณาการกลายเป็นวิชาจริงในหลักสูตร ก็ทำให้มีอีกหนึ่งชั่วโมงเพิ่มเข้ามาคือ ‘ชั่วโมงครูสามเส้า’ กิจกรรมพัฒนาของโรงเรียนโดยให้ผู้ปกครองมาจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน ซึ่งเป็นเหมือนการวางเป้าหมายร่วมในสายชั้นว่าเขาอยากเห็นภาพลูกหลานตัวเองพัฒนาไปด้านไหน นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปิดพื้นที่ให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมจัดการเรียนให้กับนักเรียน

จุดที่นักเรียนกลายมาเป็นครูเรา ครูรู้สึกยังไง

ตอนแรกเราไม่เข้าใจนะ แต่พอเราเห็นว่าหลายเรื่องที่มีคนอื่นเข้ามาร่วมกันสอนแล้วนักเรียนพัฒนาขึ้น เช่น เด็กบอกว่าอยากนำเสนอความรู้ วันหนึ่งเด็กบอกว่า เนี่ย…น้าของหนูอยู่สถานีวิทยุ น้าเขามาเป็นคนสอนได้นะ แปลว่าความสัมพันธ์เบื้องต้นของเด็กๆ เป็นเส้นทางพาให้เด็กไปหาผู้รู้เหล่านั้น ซึ่งครูเองยังไม่มีความสัมพันธ์ตรงนี้เลย แล้วเด็กก็พาครูไปด้วยแล้วก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน เช่น ได้เรียนรู้การเขียนสคริปวิทยุ วิธีการพูด ซึ่งมันเป็นอีกแบบจากที่ครูสอน เราเห็นว่าเด็กได้ความรู้เฉพาะทาง มองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีกับเด็กมากกว่าที่เราสอนด้วยปากอย่างเดียวและเราไม่ได้มีประสบการณ์ทางนั้นโดยตรง  

มีความรู้สึกแย่กับตัวเองไหม เหมือนว่าครูมีบทบาทน้อยลง   

ไม่ค่ะ เพราะมันก็เป็นโอกาสของเราด้วย เป็นเส้นทางที่ทำให้ครูได้ประสบการณ์เพิ่ม มีหลายอย่างที่ครูไม่รู้และต้องเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน หรือบางครั้งวิถีชีวิตจากบ้านที่เด็กเป็นก็มาสอนครูได้ มันเป็นเรื่องปกตินะ 

แล้วบรรยากาศการเรียนการสอน ตอนนี้เป็นยังไงคะ  

ผ่อนคลายนะ เด็กบอกว่าครูไม่ต้องสอนเลยเพราะชั่วโมงนี้เป็นวิชาบูรณาการ เด็กๆ มองว่าเขาเองจะได้แสดงศักยภาพตัวเองเต็มที่ คือตอนที่เด็กๆ เรียนวิชาหลักเขาต้องใช้ความรู้เฉพาะตัว แต่พอเป็นวิชาบูรณาการ เด็กได้แสดงความสามารถตัวเอง บางคนอาจจะพูดเก่งแต่เขียนไม่เก่ง บางคนระบายสีเก่งแต่เขียนไม่ได้ บางคนถ้าลงพื้นที่นี่ลงไปพายเรือได้เลย บอกเส้นทางได้ ทอดแหได้ มีทักษะการสังเกต มีทักษะของนักจัดการ ขณะที่บางคนไม่มี เด็กได้แสดงความสามารถตัวเองออกมาตามศักยภาพที่หลากหลาย มันเป็นพื้นที่เปิดโอกาสให้ทุกคน

สอนแบบนี้เหนื่อยกว่าเดิมไหม

จริงๆ งานทุกงานมันก็เหนื่อยแหละ แต่ถ้าเรามองว่ามันคือความท้าทาย อยากให้ครูมองว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนการศึกษา บางทีเหนื่อยๆ แต่เห็นสิ่งที่สะท้อนกลับมา เช่น เด็กพัฒนาตัวเองขึ้น เด็กพูดเก่ง เด็กได้ทำสิ่งที่เขารัก ได้เลือกเรียนสิ่งที่เขาชอบ หรือบางทีไม่ใช่แค่มุมที่เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง แต่การที่เด็กลงไปหาคนในชุมชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนแก่ เขาก็รู้สึกมีคุณค่าและอยากจะสอนเด็กนะ โต๊ะ(คุณตา)บางคนอยากเล่าเรื่องให้ลูกหลานฟังว่าพื้นที่ตรงนี้มันเกิดกอะไรขึ้น เขาเองก็มีความสุขที่ได้เป็นผู้ถ่ายทอด เด็กๆ ไปหาเขาก็ดีใจ มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่อีกมากในการจัดการเรียนรู้ซึ่งเราอาจมองข้ามไป

สอนแบบไหนครูก็ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า มันอาจต้องทุ่มเทนิดนึง เนื่องจากเวลาที่เราสอน เราคาดการณ์ไม่ได้ ครูต้องพยายามออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด บางครั้งต้องมีการลงพื้นที่ ไม่ใช่ลงแค่ครั้งเดียวแต่ต้องลงแล้วลงอีก ติดต่อวิทยากรนู่นนี่นั่น แต่มองว่าครูเป็นแค่นักจัดการมากกว่าไม่ใช่ครูผู้สอน

การเรียนรู้มีหลายทางมาก การเรียนแบบไหนที่เหมาะกับเด็กๆ

ไม่ตายตัวนะ แต่มุมมองของเราที่เปลี่ยนไป คือเรามองว่าการที่เด็กได้เลือกเรียนหรือเอาสิ่งที่อยู่ในชีวิตของเขามาสอดคล้องกับศาสตร์การเรียนรู้ ทำให้เด็กมองว่าการเรียนรู้มันมีความหมายกับชีวิตเขา นำไปใช้ได้จริง มันเป็นเครื่องมือให้เขาไปเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้นหรือนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้  อาจมีเด็กที่มุ่งเรียนต่อ แต่บางคนที่ไม่มีโอกาสเรียนเพราะต้องไปประกอบอาชีพ ครูก็ต้องสอนศาสตร์วิชาให้เข้ากับชีวิตเขาให้ได้ เขาจะได้เห็นคุณค่าจากการเรียนว่าไม่ได้แยกจากชีวิตเขา คิดว่านี่คือความท้าทายของครู

ข้อดีการจัดการเรียนรู้แบบนี้

ที่ชัดคือ เด็กรู้จักชุมชนอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้เรามองว่าเราอยากให้เด็กรักถิ่นแผ่นดินเกิดนู่นนี่นั่น แต่เด็กไม่ได้เรียนรู้จริงๆ ไม่ได้ค้นหาจริงๆ ไม่ได้ลงไปสัมผัสจริง มีบางอย่างที่เขาคิดไว้แต่พอลงไปพื้นที่แล้วมันไม่ใช่ มองว่า เขาได้ซึมซับสิ่งเหล่านี้ เด็กได้กลับไปเรียนรู้ชุมชนตัวเอง ประวัติศาสตร์ชุมชน ได้ไปหาบุคคลสำคัญชุมชน รวมทั้งการได้ลงชุมชนร่วมกัน ได้เห็นการช่วยเหลือพึ่งพาว่าจริงๆ เด็กเขาจะอยู่แต่กับคนที่เรียนเก่งไม่ได้ แต่ทุกคนมีความหมายในการทำงานร่วมกัน

ครูแอนใช้เวลานานเท่าไรถึงเข้าใจการเรียนการสอนแบบนี้

ก็นานอยู่เหมือนกันนะ ตอนแรกมันมีการเรียนการสอนแบบนี้แค่อาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง ก็หัดเดินกัน ตอนแรกเราก็สับสนว่าวิธีการนี้มันจะไปยังไง จะไปที่เนื้อหาหรือวิธีการกันแน่ หลายคนคิดว่าถ้าสอน เราก็ต้องได้งานเป็นชิ้นเป็นอันออกมา แต่พอตอนหลังๆ สอนไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าการบูรณาการไม่ได้มีหลักยึดตายตัว แต่มีกระบวนการขั้นตอนการสอนอยู่คือการสอน  5 หน่วย 14 ขั้นตอน ขณะเดียวกัน ครูเองต้องออกแบบให้เด็กได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ สร้างการเรียนรู้ไปเชื่อมโยงกับสาระหรือสมรรถนะของตัวเองให้มากที่สุด ต่อยอดไปเรื่อยๆ

โรงเรียนช่วยพัฒนาเราอย่างไร

ในการเรียนรู้ของครู วง PLC (Professional Learning Community ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ) สำคัญมาก เพราะเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง เราต้องคอยถามเพื่อนๆ ว่าเป็นยังไง ต้องมาแลกกัน คนนี้เขาสามารถทำกระบวนนี้ได้ดีนะ ลองออกแบบให้เด็กทำชิ้นงานแบบนี้ไหม เราไปหาคนนี้ให้มาช่วยดีไหม อะไรแบบนี้ ต้องแลกกันตลอด

แล้วก็ต้องขอบคุณทีมงานจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูล ด้วย เขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยดูแลตลอดตั้งแต่เริ่มเดินเลย ซึ่งตอนแรกเราเองกังขาว่า จะเดินกันไปยังไง แต่ตอนหลังเราไว้วางใจกัน มองว่าเขาจะมาช่วยเรา

มันคือการแลกกันน่ะ ต้องพัฒนาและเติมตัวเองเรื่อยๆ เป็นการเรียนที่ไม่หยุดอยู่กับที่ ไม่มีตำราตายตัวว่า 1 2 3 ครูต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ แต่ต้องใช้การเพิ่มพูนประสบการณ์ไปเรื่อยๆ  

อยากให้ช่วยขยายความ ความยากของวิชาบูรณาการที่จะทำงานกับความคิดนักเรียน เชื่อมหลายๆ วิชา ทำได้อย่างไร

คือครูต้องเชื่อมโยงวิชาบูรณาการไปวิชาหลักให้ได้ เช่น ครูบอกว่าจะพาเด็กลงพื้นที่ ครูต้องใช้คณิตศาสตร์เขียนแผนที่ การคำนวณระยะทาง คิดรายรับรายจ่าย ค่าร้อยละ สมมติทำแบบสอบถามการลงพื้นที่ของเพื่อนในห้อง เด็กต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ครูต้องพาเด็กไปให้ถึง การเขียนสื่อสาร การใช้สื่อเทคโนโลยี ในส่วนของวิชาวิทยาศาสตร์

ในการทำวิชาบูรณาการ ครูต้องเอาตัวชี้วัดมากางเลยนะ ต้องเชื่อมลงไปให้ถึง การเกิดธรณีพิบัติ อุปสงค์ อุปทาน การปกครองในท้องถิ่น เราต้องพาเด็กไปให้ถึงตรงนั้นให้ได้ ให้เด็กรู้สึกว่าสิ่งที่ครูสอนมันมีความหมาย ที่เขาต้องนำไปใช้ได้อย่างแน่นอน

แล้วผลผลิตที่ได้มันชัดเจนว่าเขาวางแผนตัวเองได้ วิชาบูรณาการไม่ได้เน้นเนื้อหาแต่เป็นเพียงสื่อที่เด็กจะได้เป็นนักจัดการ นักวางแผน ดูแลเพื่อน ดูแลสังคม และดูแลตัวเองได้

ชอบตัวเองในบทบาทครู ช่วงเวลาไหนมากกว่ากัน ก่อนหรือหลังสอนแบบบูรณาการ  

คงจะไม่บอกว่าชอบหรือไม่ชอบตัวเองนะ (หัวเราะ) แต่เราเองก็เปลี่ยนไปมาก รู้สึกว่าเรามีความเป็นครูมากขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะรู้เฉพาะภาษาไทยอย่างเดียว แต่พอต้องบูรณาการทุกสาระ เราต้องรู้ตัวชี้วัดของคนอื่นทั้งหมด เราจะทำยังไงให้ในหนึ่งชั่วโมงนั้นเด็กได้ความรู้ ได้วางเป้าหมายร่วมกัน พัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด มองว่าเราเหมือนเป็นนักจัดการมากขึ้น วางแผนมากขึ้น ไม่ได้เป็นแค่คนบอกเด็ก การเรียนของเราต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบมากขึ้น ความเป็นครูไม่ได้เป็นนักบงการแต่เป็นนักจัดกระบวนการมากขึ้น เราเองก็ภูมิใจ แล้วเรากับสังคมก็ได้ปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น

รู้สึกอย่างไรที่โรงเรียนอนุบาลสตูลเป็นโรงเรียนนำร่องโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา  

จริงๆ ไม่ได้อยากบอกว่าเก่งอะไรนะ แต่ ณ วันนี้ ครูพยายามเรียนรู้และเติมเต็มตลอดเวลา อาจจะมีโอกาสได้แลกกับคนอื่นบ้าง แต่ไม่บอกว่าเราเก่งหรืออะไร แต่อาจมีวิธีการสอนที่อาศัยความพยายามจะใฝ่รู้ เราเองพยายามแลกเปลี่ยนกันตลอด

มีอะไรอยากฝากถึงคุณครูท่านอื่นที่กำลังอ่านอยู่ไหมคะ

ความเป็นครู อย่าปิดตัวเอง อย่าหยุดอยู่กับที่ ถึงแม้โลกจะเปลี่ยน เด็กเติบโตขึ้นทุกวัน เพื่อให้ทันกับโลก กับการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน การรับฟังสำคัญมาก ฟังแล้วต้องได้ยินเสียงนักเรียน อย่าพูดอยู่ฝ่ายเดียวต้องฟังนักเรียนด้วย เราจะได้ร่วมกันเรียนอย่างมีความสุข

โรงเรียนอนุบาลสตูล จัดการเรียนการสอนชั้นอนุบาล ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ดูแลนักเรียนราว 1,600 คน และเรียกว่าเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่หลายครอบครัวฝันส่งลูกมาเรียน ทดลองเปลี่ยนการเรียนการสอนมาใช้โครงงานฐานวิจัย 10 ขั้นตอน ในราวปี 53 หลังจากนั้นทีมบริหารและคณะครูค่อยๆ ผลักให้หลักสูตรเริ่มใช้วิชาบูรณาการอย่างจริงจังและเริ่มขยายวิธีการเรียนการสอนแบบนี้ไปที่โรงเรียนอื่นอีกราว 10 – 15 แห่ง

บอร์ดคณะกรรมการสถานศึกษาที่นี่ก็น่าสนใจ เพราะดึงเอาคณะผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ซึ่งผู้ปกครองมาจากหลากวิชาชีพจึงได้รับคำแนะนำจากคนหลายๆ แว่นสายตา โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจ

ปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลสตูล เป็นหนึ่งในโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งออกแบบมาให้เป็นพื้นที่ทดลองปฏิรูปการศึกษาที่เน้นตอบโจทย์คนในท้องที่และใช้นวัตกรรมทางการศึกษาหลากหลายมาพัฒนาผู้เรียน

Tags:

เทคนิคการสอนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาครูสามเส้าResearch Base Learning(RBL)สตูลวนิดา ศิริวัฒน์โรงเรียนอนุบาลสตูล

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ‘ครูสามเส้า’ นวัตกรรมการศึกษาโรงเรียนอนุบาลสตูล : เมื่อครูอยู่รอบตัวเรา และการเรียนรู้ไม่ได้หยุดแค่ห้องเรียน

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    การออกแบบการสอนที่ให้เด็กทำสิ่งสำคัญ คือ การ ‘ฝัน’ และพิสูจน์สิ่งที่ฝันให้ได้ก่อน: อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Learning TheoryCreative learning
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

“ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู
Creative learning
24 November 2020

“ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • ทุกทรัพยากรรอบบ้าน ต้องถูกมองและพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนได้ด้วย มันจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า?
  • ครูในชุมชนที่มีบทบาทสร้างการเรียนรู้กับคนรุ่นใหม่คือใครก็ได้ที่อยู่ในชุมชน แล้วเห็นความสำคัญของคนรุ่นใหม่ที่จะลุกขึ้นมาอยู่ร่วมในชุมชนของเขา คนๆ นั้นเราเรียกเขาว่าเป็น “พี่เลี้ยง”
  • กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ผู้จัดการโครงการพัฒนาเยาวชน (active citizen) มาแบ่งปันฮาวทูพัฒนา 5 ทักษะในการเป็นพี่เลี้ยงสร้างการเรียนรู้ให้เยาวชน ทั้งพี่เลี้ยงนักฟัง พี่เลี้ยงนักสื่อสาร พี่เลี้ยงนักสร้างทีม พี่เลี้ยงนักวางแผน และ พี่เลี้ยงนักตั้งคำถามเพื่อสร้างการเรียนรู้ เพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นความมั่นคง เป็น ‘พี่’ ที่ไม่ใช่แค่พาน้องๆ ทำงาน แต่เป็นความไว้ใจ คนรุ่นใหม่อยากพูดคุยปรึกษา

กว่าจะโตมาเป็นคุณทุกวันนี้ อยากชวนย้อนคิดว่าคุณเติบโตมากับสภาพแวดล้อมแบบไหน กับคนกลุ่มใด? 

กับเพื่อนเล่นวัยเด็ก กับสนามเด็กเล่นใกล้บ้าน กับคุณป้าร้านขายของชำ กับรักครั้งแรก กับการเข้าไปรับผิดชอบในโครงการธนาคารขยะหมู่บ้าน และหากอายุของคุณพ้นเลข 3 ไปนิดหน่อยถึงค่อนข้างมาก คุณอาจมีภาพทรงจำวัยเด็กอย่างการวิ่งเล่น และมีหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในท้องไร่ท้องนา เรื่องราวแบบนี้พาคุณย้อนเวลาไปทบทวนได้เป็นวันๆ 

คิดถึงตรงนี้ เราพูดได้ไหมว่า การเรียนรู้ของคุณไม่เคยอยู่แค่ในขอบรั้วโรงเรียน? แต่การพัฒนาคนๆ หนึ่งให้เติบโตอย่างมีประสบการณ์ มีทักษะ เป็นคุณอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ประกอบด้วยสภาพแวดล้อม ผู้คน และชุดประสบการณ์จากกลุ่มคนวัยเด็กมากมายเหลือเกิน 

คุณไม่ใช่ลูกหลานของคนในบ้านหลังเดียว แต่เป็นลูกเป็นหลานคนในหมู่บ้านนั้น ในชุมชนนั้น ไม่ทางใดทางหนึ่ง …พวกเขาช่วยเลี้ยงดูคุณมา 

การมาของโรคระบาดในรอบ 100 ปี อย่างโควิด-19 ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่าหรือกำแพงโรงเรียนจะค่อยๆ ล่มสลาย จะมีการเรียนออนไลน์ หรือจะเรียนที่บ้านเป็นหลักผ่านการออกแบบร่วมของโรงเรียนและผู้ปกครอง แต่ก็ไม่ใช่การเอานักเรียนออกจากรั้วโรงเรียนเพื่อไปขังอยู่ในรั้วบ้าน (และหน้าจอสี่เหลี่ยม) แต่ทุกทรัพยากรรอบบ้านต้องถูกมองและพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนได้ด้วย มันจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า? 

เราคิดถึงคนหลายกลุ่มที่ทำงานพัฒนาเด็กและคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ผู้ปกครอง พ่อค้าแม่ค้า ผู้นำชุมชน หรือคนกลุ่มไหนก็ตามที่เป็นเหมือนครูในชุมชน หรือในที่นี้จะเรียกว่า “พี่เลี้ยง” เป็นผู้ที่ตั้งใจทำงานจัดกระบวนการเรียนรู้สำหรับเด็กๆ ด้วยวิธีหลากหลาย ตั้งแต่การสร้างการเรียนรู้ผ่านทรัพยากร หรือวัฒนธรรมท้องถิ่น (อาหาร เสื้อผ้า ประเพณี วิถีชุมชน) การทำงานกับเด็กโดยให้พวกเขาทำโครงการ (project) ที่ตัวเองสนใจ ที่เรียกว่า community based learning หรือ project based learning ที่มีเป้าหมายเพื่อให้นี่เป็นพื้นที่ของเด็กๆ ในการที่จะพัฒนาตัวเองไม่ต่างจากโรงเรียน เราคิดว่า การทำงานของคนกลุ่มนี้จะยิ่งมีค่ายิ่งขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน 

พี่เลี้ยงที่ไม่ใช่แค่คนที่อยู่กับเด็ก แต่ต้องเป็นที่พึ่ง เป็นความมั่นคงให้พวกเขา แทนครู แทนผู้ปกครองบางครอบครัวที่ต้องไปทำงานไกลบ้าน และเป็นคนจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ 

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ผู้จัดการโครงการพัฒนาเยาวชน (active citizen) มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในคนทำงานด้านการพัฒนาคนรุ่นใหม่มานานกว่า 7 ปี ชวนพูดคุยว่า วิธีเสริมศักยภาพผู้ใหญ่ในชุมชนหรือพี่เลี้ยง ให้เป็นผู้ประคับประคองการเรียนรู้ให้เด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ทำได้อย่างไร พวกเขาควรมีทักษะอะไรบ้าง 

ใครบ้างที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็ก เยาวชน และพี่เลี้ยงนักฟัง นักสื่อสาร นักสร้างทีมนักวางแผน และนักตั้งคำถามเพื่อสร้างการเรียนรู้ ทำได้อย่างไร จำเป็นอย่างไร ทำไมพี่เลี้ยงต้องมีทักษะเหล่านี้? 

พี่เลี้ยง คือใคร ทำไมจึงกลายเป็นคีย์หลักในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในช่วงเวลานี้ 

ต้องพูดก่อนว่าโครงการ Active Citizen เป็นโครงการที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้พัฒนาทักษะตัวเอง 4 ด้าน ถ้าคำศัพท์ในเรื่อง ‘ทักษะศตวรรษที่ 21’ เราเรียกว่า 4Cs คือ 

  • หนึ่ง-พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) 
  • สอง-การพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) 
  • สาม-พัฒนาทักษะเรื่องการสื่อสาร (Communication Skills) 
  • และ สี่-เรื่องจิตสำนึกความเป็นพลเมือง ที่จะลุกขึ้นมารับผิดชอบต่อปัญหาของชุมชนตนเอง (Citizenship หรือ Civic Engagement) 

โครงการนี้เราทำงานกับคนรุ่นใหม่ในชุมชนทั่วประเทศ และคนในชุมชนที่มีบทบาทสร้างการเรียนรู้กับคนรุ่นใหม่หลายคนมาก แต่ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือผู้นำชุมชน พี่เลี้ยง หรือใครก็ได้ที่อยู่ในชุมชน แล้วเห็นความสำคัญของคนรุ่นใหม่ที่จะลุกขึ้นมาอยู่ร่วมในชุมชนของเขา คนๆ นั้นเราเรียกเขาว่าเป็นพี่เลี้ยง พูดง่ายๆ ว่า พี่เลี้ยงชุมชนเป็นคนในชุมชนที่อยากจะลุกขึ้นมาสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้มีพื้นที่ ให้มีกระบวนการเรียนรู้ใดๆ ก็ตามที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับชุมชนได้ ที่น่าสนใจคือ พี่เลี้ยงคนนี้ไม่ได้มีอาชีพเป็นพี่เลี้ยง และก็ไม่ได้เป็นครูด้วย 

ทำไมหน้าที่สร้างการเรียนรู้ให้เด็ก เยาวชน ต้องไปอยู่ในมือพี่เลี้ยง หรือคนในชุมชน 

สถานการณ์คนรุ่นใหม่หรือสถานการณ์ในการพัฒนาของชุมชนตอนนี้ พี่เลี้ยงหลายคนบอกว่าเรากำลังเจอวิกฤต หนึ่ง พอมีสื่อเทคโนโลยีเข้ามา เขาก็เลือกใช้เวลาอยู่กับมัน ผลที่ตามมาก็คือ คนรุ่นใหม่จะไม่ได้อิงอยู่กับชุมชนแล้ว สอง หน้าที่ของคนรุ่นใหม่คือการไปโรงเรียน อยู่แต่ในโรงเรียน เรียนเฉพาะวิชาความรู้ สอบ ติวเตอร์ พ่อแม่ก็คาดหวังให้ลูกได้เกรดดีๆ สุดท้าย คือ เด็กๆ ไม่ได้มีหน้าที่ในการดูแลบ้าน ซึ่งมันสอนเรื่องความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมที่สำคัญมากๆ เพราะเวลาส่วนใหญ่ของเด็กอยู่ที่มือถือ 

ไม่นับว่ากิจกรรมของชุมชนเอง งานวัฒนธรรมประเพณีมันก็ลดน้อยลงแล้ว ทำให้มองกันว่าสถานการณ์แบบนี้ทำให้ไม่มีพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมามีส่วนร่วม ฉะนั้น การมีพี่เลี้ยง การพาคนรุ่นใหม่กลับมาเชื่อมโยงตัวเองกับสิ่งแวดล้อม กับวัฒนธรรม กับชาติพันธุ์ เชื่อมโยงกับรากเหง้า กับงานกิจกรรมของชุมชน เราคิดว่าจำเป็นและสำคัญมากสำหรับโลกยุคนี้ เพราะถ้าเขาเชื่อมโยงตัวเองกับชุมชนตัวเองได้ มันเป็นพื้นฐานในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกรับผิดชอบต่อประเทศ จังหวัด ชุมชน ที่สำคัญคือการเชื่อมโยงตัวเองกับประเด็นหรือวาระของโลก ที่เราเรียกว่า Global Citizens เหมือนเกรต้า ธันเบิร์ก ที่ลุกขึ้นมารณรงค์ให้คนตระหนักเรื่องภาวะโลกร้อน จุดเริ่มต้นก็เขารู้สึกว่าเราใช้ทรัพยากรมากเกินไปแล้ว 

เวลาเรานึกถึงคนสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็ก เรามักนึกถึงครู หรือไม่ก็พ่อแม่ แต่นี่เรากำลังพูดถึงบทบาทของพี่เลี้ยงที่เป็นใครก็ได้ในชุมชน 

บทบาทของคนๆ นี้น่าสนใจมากนะ คนๆ นี้จะเป็นใครก็ได้ที่อยากสร้างการเรียนรู้กับคนรุ่นใหม่ แล้วบทบาทของเขาคืออะไรกันแน่? เรามองว่าบทบาทของเขามี 3 เรื่องด้วยกัน 

บทบาทที่หนึ่ง – เป็นคนชักชวนเด็ก เยาวชน ที่อยากพัฒนาตัวเอง คนๆ นี้เขาจะมีหน้าที่ในการแสวงหาคนรุ่นใหม่มารวมกลุ่มกันแล้วทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำกิจกรรมเก็บขยะที่ชายหาด ทำกิจกรรมปลูกป่า พาไปทำกิจกรรมที่งานบุญ งานบวช งานตายในชุมชน 

บทบาทที่สอง – การหนุนเสริมหรือสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ทำกิจกรรม ตรงนี้พี่เลี้ยงก็อาจจะแนะนำว่าคนรุ่นใหม่จะไปทำกิจกรรมอะไรดี คล้ายๆ เป็นหัวหน้าในการชวนให้น้องๆ ไปทำกิจกรรมดังที่พูดไปแล้ว 

บทบาทที่สาม – สำคัญมากและต้องใช้ทักษะพอสมควร คือ บทบาทในการเสริมพลังและสร้างคนรุ่นใหม่ให้เกิดการเรียนรู้และเติบโต เติบโตทั้งทักษะ ทั้งกระบวนการคิด และเติบโตภายใน จากระบวนการที่ทำกิจกรรม พูดให้ถึงที่สุด มันคือการสร้างจิตสำนึกที่โตขึ้น จิตสำนึกที่อยากจะร่วมรับผิดชอบชุมชน 

ซึ่งเราคิดว่าทั้ง 3 กระบวนการนี้เป็นกระบวนการเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา นอกจากคนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้เนื้อหาวิชาการระหว่างทำกิจกรรมแล้ว การทำอะไรสักอย่างเพื่อชุมชนยังเป็นการเรียนรู้วิชาชีวิตด้วย ฉะนั้น ทั้ง 3 บทบาทของพี่เลี้ยงเป็นบทบาทที่จำเป็นมากของคนในยุคนี้ ต้องกล้าและบ้าบิ่นมากด้วยนะที่จะมาทำ คนเราอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ หรือถ้าไม่ได้เป็นครู เป็นพ่อแม่ ก็ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาสร้างการเรียนรู้ให้เด็กหรอก  

นอกจากบทบาทพี่เลี้ยง มีประเด็นอะไรที่พี่เลี้ยงต้องทำความเข้าใจเป็นพื้นฐานร่วมกัน

เรื่องพัฒนาการตามช่วงวัย ต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงวัย 14-24 ปี เป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการทางสมองที่น่าสนใจมาก เป็นช่วงวัยที่สมองกำลังจะพัฒนาส่วนอารมณ์ได้อย่างเต็มที่แล้วค่อยเชื่อมมาสู่การพัฒนาสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนแห่งการคิด การวางแผน การกำกับตัวเอง (ที่เราเรียกว่า EF) เราเรียกช่วงวัยนี้ว่าเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสในการที่จะพัฒนาเซลล์สมองส่วนนี้ได้ดีที่สุด 

วัยรุ่นเป็นวัยที่สมองมีความยืดหยุ่น ภาษาวิชาการเรียกว่า Brain Plasticity วัยนี้เป็นวัยที่อารมณ์พลุ่งพล่าน มี passion หรือความคลั่งไคล้อยากทำอะไรอย่างสุดความสามารถ ขณะเดียวกัน แม้ทักษะการกลับมาคิด ทบทวน และวางแผน จะค่อยๆ ทำงานได้ดีขึ้น (เพราะช่วงวัยนี้สมองส่วนหน้ายังทำงานไม่สมบูรณ์) แต่การวิ่งไปมาระหว่างการคิดกับอารมณ์ที่ยังทำงานคู่กันไม่สมบูรณ์เต็มร้อย ทำให้เขาเป็นคนที่อาจจะคิดน้อย ทำด้วยอารมณ์เป็นหลัก แต่ถ้าคิดแล้ว ตั้งใจแล้ว เขาจะลงมือทำ ใช้พลัง ใช้อารมณ์ตัวเองทำอย่างเต็มความสามารถ เรียกว่ามาแบบเต็มร้อยเลย 

หมายถึงว่า พัฒนาการของวัยรุ่น ถ้าดีก็ดีเลย ถ้าเขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาทำอะไรสักอย่างเพื่อชุมชน เขาจะทำอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าเขาเดินในทางลบ อยากลองยาเสพติด ลองอะไรเสี่ยงๆ เขาก็จะเต็มที่มากเช่นกัน เราจึงอยากให้พี่เลี้ยงใช้โอกาสของวัยรุ่นช่วงนี้ทำงานกับเขาอย่างเข้าใจพัฒนาการเขา การที่เขามีอารมณ์แปรเปลี่ยน หุนหันพลันแล่น การกำกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มันจำเป็นต้องมีใครสักคนที่ต้องอยู่เคียงข้างเขา เห็นเขา เป็นเพื่อนคนหนึ่งในการรับฟัง เป็นความมั่นคงให้กับเขา เราเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในวัยเปลี่ยนผ่าน กับใครสักคนที่เป็นความมั่นคงให้กับเขา 

โดยเฉพาะสังคมปัจจุบันที่หลายคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ บางทีพ่อแม่ก็ไปทำงานต่างจังหวัด ต้องอยู่กับตายายในบ้าน หรือไปอยู่ในโรงเรียนก็ไม่มีครูที่จะนั่งฟังเขา ไม่ได้มีเวลาอยู่กับเขาทุกชั่วโมง ทุกนาที การมีพี่เลี้ยงคนหนึ่งที่อยู่ในชุมชนแล้วลุกขึ้นมาให้ความสัมพันธ์กับเขา เป็นหลักยึดให้เขา จึงคิดว่านี่คือหน้าที่ที่สำคัญมาก

เพื่อทำบทบาททั้ง 3 นี้ได้ พี่เลี้ยงต้องมีทักษะอะไรบ้าง 

เราเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นจากการได้ลงมือทำ และการลุกขึ้นมาร่วมรับผิดชอบกับความทุกข์ร้อนกับประเด็นปัญหาในชุมชน กระบวนการนี้เราเรียกว่า Project Based Learning การเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหาชุมชนด้วยโครงงานอะไรก็ตาม การทำโครงการต้องการการวางแผน คิดก่อนทำ และหาข้อมูลเพื่อทำให้เขารู้จักและเข้าใจปัญหานั้นมากขึ้น เมื่อรู้สาเหตุปัญหามากขึ้น ก็เอาข้อมูลนั้นกลับมาคิดทบทวนว่าจะทำ (Action) อะไรเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาในชุมชน 

ลักษณะโครงการแบบนี้ต้องการคุณลักษณะและทักษะของพี่เลี้ยงที่สร้างการเรียนรู้ได้ตลอดเส้นทางการเรียนรู้ ฉะนั้น เราจึงวางคุณสมบัติพี่เลี้ยงหรือทักษะพี่เลี้ยงที่จำเป็นต้องมี 5 ด้าน คือ ฟัง สื่อสาร สร้างทีม วางแผน และตั้งคำถามสร้างการเรียนรู้ หรือพูดในอีกภาษาว่า ต้องเป็น พี่เลี้ยงนักฟัง พี่เลี้ยงนักสื่อสาร พี่เลี้ยงนักสร้างทีม พี่เลี้ยงนักวางแผน หรือ การทำกระบวนการทางความคิดให้คนรุ่นใหม่วางแผนก่อนทำงานได้ และ สุดท้าย พี่เลี้ยงนักตั้งคำถามเพื่อสร้างการเรียนรู้

เริ่มกันที่พี่เลี้ยงนักฟังก่อน ทักษะนี้สำคัญยังไง และทำให้มีทักษะนี้ได้อย่างไร

พี่เลี้ยงนักฟัง เป็นพี่เลี้ยงที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกตามพัฒนาการของเยาวชน เข้าใจความต้องการลึก ๆ ของเขา ที่สำคัญคือเป็นพี่เลี้ยงที่เห็นโอกาสการเติบโตจากปัญหาชีวิต หรือการเจอปัญหาในการทำกิจกรรมของเยาวชนอยู่เสมอ การเป็นพี่เลี้ยงนักฟังจึงเป็นประตูบานแรกที่จะเข้าไปสู่หัวใจคนรุ่นใหม่และหล่อเลี้ยงการเรียนรู้ของเขาได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่จำเป็นต้องฝึกเพื่อสร้างการเป็นนักฟังที่ดีมี 4 เรื่อง หรือ 4 ระดับ 

  • ระดับแรก คือ การฟังระดับปกติ การรับฟังเมื่อเยาวชนมาปรึกษา
  • ระดับที่สอง การฟังเพื่อเข้าไปเข้าใจความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ที่เขาพูดแบบนี้เขากำลังรู้สึกอะไร
  • ระดับที่สาม การฟังความต้องการที่แท้จริง หรือสิ่งที่เขาอยากได้รับการตอบสนอง ซึ่งเขาอาจไม่ได้พูดออกมา
  • ระดับที่สี่ ระดับสุดท้าย คือการฟังตัวตน ฟังเสียงของตัวตนแห่งการเติบโตของเขาว่าช่วงเวลานี้ปัญหาที่เขาเจอ เขาต้องการพัฒนาตัวตนอะไร ซึ่งระดับนี้เป็นการฟังระดับลึกที่สุด 

ซึ่งการทำให้พี่เลี้ยงมีทักษะการฟัง 4 ด้านนี้เริ่มต้นฝึกจากการอบรมเชิงปฏิบัติการ ก่อนไปลงมือทำจริง 

การฟังระดับแรก เราจะชวนพี่เลี้ยงไปฟังเรื่องราวง่ายๆ เช่น ความสุขความทุกข์ของคนรุ่นใหม่ ความสุขเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แค่เราฟังอย่างไม่ตัดสิน ฟังอย่างเข้าไปนั่งในหัวใจเขา หรือเท่าทันความคิดที่เกิดขึ้นมากมายของเราขณะฟัง แล้วก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ มองเข้าไปเห็น แล้วก็ฟังด้วยสายตา แค่นี้ก็จะเป็นเรื่องที่ยากแล้วนะ แต่เรานำกิจกรรมฟังเรื่องราวความสุขเข้ามาในขั้นแรก ให้พี่เลี้ยงฟังแบบปกติให้ได้ อดทนที่จะฟังอย่างยาวนานพอ 

ส่วนการฟังที่ลึกขึ้นในระดับที่สอง คือ ฟังความรู้สึก คนที่ทำงานกับคนรุ่นใหม่จะรู้เลยว่าเขาเป็นช่วงวัยแห่งการใช้อารมณ์ความรู้สึก ถ้าใช้อารมณ์ความรู้สึกแล้วทำงานได้ดีมาก จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกพี่เลี้ยงในการรับฟังความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกมีเยอะมากนะ ทั้งความรู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกหวาดกลัว ความรู้สึกท้อ ความรู้สึกเศร้าเสียใจ 

กระบวนการเรียนรู้ที่จะฝึกให้พี่เลี้ยงเข้าไปฟังความรู้สึก  คือให้พี่เลี้ยงลองช่วยเล่าความทุกข์ของเพื่อนพี่เลี้ยงด้วยกันดู ลองดูว่าในห้วงเวลาที่เรามีความรู้สึกทุกข์ เราก้าวข้ามมาได้อย่างไร ช่วงเวลาที่รู้สึกว่ายาก ตอนนั้นมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราจะฝึกพี่เลี้ยงให้เข้าไปฟังเรื่องราว แล้วก็จับความรู้สึกหลักของเหตุการณ์นั้นของเพื่อนให้ได้ มันยาก แต่พี่เลี้ยงก็ทำได้ทุกคนนะ พอเราจับความรู้สึกเป็น เราจะใช้สายตา ใช้การสังเกตดูว่าในเรื่องราวใดๆ ก็ตามที่เขาอยากจะเข้ามาหาเรา อยากมาปรึกษาเรา เหตุการณ์นั้น เขารู้สึกอย่างไร 

ระดับที่สาม คือพาลงไปรับรู้ความต้องการ เวลาพาไปรับรู้ความต้องการ เขาอาจจะไม่พูดออกมาเป็นคำพูด แต่มักจะพูดหรือแสดงออกมาเป็นมวลอารมณ์ ภาษากาย หรืออาจจะมีคำพูดเฉพาะบางอย่าง ใน 100 เปอร์เซ็นต์เรื่องเล่าของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาปรึกษาพี่เลี้ยง มีความต้องการเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

พี่เลี้ยงนักฟังที่ดี คือ คนที่ฟังได้ยาวพอและจับประเด็นได้ว่าเรื่องราวที่เขาเล่านั้น เขาต้องการอะไร 

ทำไมเราจึงต้องรู้ความต้องการของเด็กด้วย? เพราะเราจะได้ตอบสนองได้อย่างดีที่สุด และเมื่อคนรุ่นใหม่ได้รับการตอบสนองความต้องการ มันจะเสริมพลังการเรียนรู้ เสริมพลังการเติบโตของเขา 

สุดท้ายซึ่งเป็นการฟังอย่างลึกที่สุด คือการฟังตัวตนแห่งการเติบโตของเขา คนทุกคนอยากจะเติบโตขึ้นมาในโลกใบนี้ได้อย่างเป็นคนที่มีศักยภาพ เขาอาจจะมีศักยภาพลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ อยากจะทำ แต่มีไม่มีความกล้า มีแต่ ความกลัวและความไม่คุ้นชินเข้ามาเป็นปัจจัย การที่เราละเลยที่จะรับฟังตัวตนแห่งการเติบโตของเขา อาจเป็นการเสียโอกาสในการพัฒนาตัวตนของเขาได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นเวลาเขามาปรึกษา ไม่ว่าจะไปทะเลาะกับเพื่อนมาใหญ่โต เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกว่าเพื่อนไม่ฟังเขา แล้วทำให้เขาไม่อยากจะพูดกับพี่เลี้ยง ไม่อยากพูดกับเพื่อนเลย แต่พอเราเข้าไปฟังความรู้สึกของเขาว่าเขาเสียใจที่เพื่อนไม่ฟัง ความต้องการที่จะถูกรับฟังไม่ถูกตอบสนอง พี่เลี้ยงที่ฟังได้ดีจะช่วยเข้าไปสนับสนุนหรือเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความเห็นนั้นได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งหมดนี้ทำให้การฟังกลายเป็นทักษะหรือประตูบานแรกที่พี่เลี้ยงต้องฝึก และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดีที่สุด

ต่อกันที่ทักษะของพี่เลี้ยงนักสื่อสาร 

แน่นอนว่าการพี่เลี้ยงต้องใช้ชีวิตกับคนรุ่นใหม่ มันก็ต้องแลกเปลี่ยนความคิด ต้องพูดคุยกัน แล้วการสื่อสารมีช่องทางเดียวคือการพูดกับเขา และความเชื่อที่สำคัญของโครงการ active citizens คือพี่เลี้ยงต้องไม่ชี้นำทางความคิด 

พี่เลี้ยงจะสื่อสารด้วยการช่วยกันตั้งคำถาม ทำกระบวนทางความคิด และหรือเสริมพลังผ่านคำพูด 

เพราะที่ผ่านมา เวลาเราเชื่อมโยงหรือสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ แน่นอนว่าพี่เลี้ยงอายุเยอะกว่า ประสบการณ์ก็มากกว่า ความรู้ก็มากกว่า ทำงานกับชุมชนมาก็มากมาย มันก็อดไม่ได้ที่พี่เลี้ยงจะสื่อสารแบบชี้นำหรือบอกความรู้ หรือกระทั่งมีอารมณ์เวลาสื่อสารกับพวกเขาด้วยคำพูดเชิงลบ เช่น เวลาคนรุ่นใหม่มาสาย เวลาทำงานไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้ พี่เลี้ยงจะสื่อสารประมาณว่า “ทำไมเพิ่งมาถึง มาช้าแบบนี้ ไม่ต้องมาเลยดีไหม” หรือ “ถ้าทำเสร็จไม่ทัน เพื่อนรออยู่ ไม่ต้องทำเลยดีกว่าไหม” ซึ่งจริงๆ ความต้องการลึกๆ ของพี่เลี้ยงคือต้องการให้เขาเกิดการพัฒนา แต่เราจะไม่สื่อสารเชิงบวกเพื่อให้เกิดการพัฒนาแต่กลับใช้คำพูดเชิงลบมาก่อน 

การที่พี่เลี้ยงจะสื่อสารเชิงบวกได้ คือ หนึ่ง-พี่เลี้ยงต้องเข้าใจความรู้สึกของตัวเองก่อนว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร เราหงุดหงิด เราโกรธ เมื่อทำความเข้าใจความรู้สึกเราแล้วก็ไปทำความเข้าใจความรู้สึกคนรุ่นใหม่ ที่เขามาสายอาจจะไม่ได้ตั้งใจ เขาอาจจะมีภารกิจที่บ้าน แน่นอน คนที่มาสายเขารู้สึกผิดอยู่แล้ว ยิ่งเราใช้คำพูดในเชิงลบ มันยิ่งทับถมอารมณ์ความรู้สึกให้เขายิ่งปิดกั้นกับเรา 

หรือทำความเข้าใจว่าเราต้องการอะไร เราอยากสื่อสารอะไรกันแน่ แน่นอนว่าพี่เลี้ยงทุกคนย่อมต้องการให้เขาเติบโต ให้เขาได้ใช้ศักยภาพ ต้องการวินัย ต้องการให้เขากำกับตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเป็นทีม หรือทำงานร่วมกับชุมชนก็ดี พอพี่เลี้ยงเข้าใจความต้องการในระดับลึกแล้ว เวลาสื่อสาร เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนความรู้สึกเชิงลบและคำพูดเชิงลบสู่คำพูดเชิงบวกมาเสริมพลังคนรุ่นใหม่ 

ในการฝึกทักษะนี้ เราให้พี่เลี้ยงได้ลองฝึกเปลี่ยนคำพูด เปลี่ยนการสื่อสาร โดยให้เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตัวเองก่อน แล้วจึงสื่อสารความรู้สึกและความต้องการนั้นออกไปในเชิงบวก  เช่น จากประโยค“มาช้าแบบนี้ ไม่ต้องมาเลยดีกว่าไหม” เปลี่ยนเป็นพูดความรู้สึกก่อน “พี่รู้สึกหงุดหงิด พี่รู้สึกเสียใจ ที่เราไม่ตรงต่อเวลา พี่จึงต้องการให้น้องมาตรงเวลา เพราะเพื่อนๆ ทุกคนที่มารออยู่ไม่สามารถทำงานต่อไปได้” แล้วก็อาจจะเป็นในลักษณะของการเสริมพลังว่า “พี่เชื่อว่าเราไม่ตั้งใจที่จะมาสาย พี่อยากเห็นเรามาตรงเวลา เพื่อที่จะทำให้งานเดินต่อไปได้” แบบนี้เป็นต้น 

การอยู่ด้วยกัน การใช้คำพูดเสริมพลังจะเป็นส่วนหนึ่งให้เขาปรับปรุงตัวเองในทางบวก ไม่ใช่การทำงานเชิงลบหรือการต่อว่า และหรืออาจมีการใช้คำพูดที่เรียกว่ากระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เห็นตัวเองว่าการกระทำหรือพฤติกรรมของเขาส่งผลกับเพื่อนอย่างไร แต่ต้องมีกระบวนการในการสื่อสารที่พลิกมาเป็นเชิงบวกให้เขาเห็นว่าแม้เขาจะทำผิด แต่เขาก็มีโอกาสที่จะปรับปรุงตัวเองเพิ่มขึ้นมาได้ 

พี่เลี้ยงนักสร้างทีม 

ทำไมพี่เลี้ยงต้องทำเรื่องการสร้างทีม? เพราะการทำโครงการเพื่อลุกขึ้นมาคลี่คลายปัญหาชุมชนต้องใช้ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น การทำงานมันไม่มีใครทำงานคนเดียวได้ เราจึงเห็นความสำคัญของการที่พี่เลี้ยงจะช่วยพาน้องๆ เยาวชนเรียนรู้ผ่านการทำงานเป็นทีม 

อย่างแรก-จะทำอย่างไรให้เยาวชนเห็นเป้าหมายตรงกัน เห็นภาพความสำเร็จ และเห็นทิศทางที่จะไปสู่ความสำเร็จในทิศทางเดียวกัน  สอง-การบริหารจัดการทั้งเวลาและความสัมพันธ์ จะทำอย่างไรให้น้องๆ สามารถพุ่งเป้าไปสู่ทิศทางเดียวกัน ทุ่มเทพลังกาย พลังใจ ลงมือทำโครงการร่วมกัน แน่นอนต้องมีการขัดแย้งกันบ้าง แต่การเป็นทีมต้องมีการปรับตัวค่อนข้างสูง เมื่อเจอปัญหาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการยืดหยุ่น ถ้าเราเห็นเป้าหมายตรงกัน เราก็อาจจะปรับความยืดหยุ่นของเรา ปรับลดความต้องการของเรา ถ้าเรานำเกินไป คนที่ตามมีปัญหา ถ้าคนตามไม่ลุกขึ้นมานำบ้างในการทำงานร่วมกัน มันก็ไปกันไม่ได้ รวมถึงเวลาทำงานเป็นทีมคนเรามีศักยภาพต่างกัน 

แนะนำกิจกรรมเพื่อฝึกพี่เลี้ยงในการสร้างทักษะการทำงานเป็นทีมให้เยาวชน เริ่มจากกิจกรรมที่ 1 การแข่งขันทำเรือกระดาษเพื่อใช้ข้ามมหาสมุทร พี่เลี้ยงต้องทุ่มเทพอสมควรในการวางแผนว่ากระดาษที่เรามีแค่นี้ใช้ให้ครบคนอย่าง ไร จะเคลื่อนตัวด้วยกระดาษแผ่นที่ 2 ไปข้างหน้าอย่างไร จึงจะบรรลุชัยชนะร่วมกัน ผู้ชายกำลังแรงดีกว่าก็ต้องช่วยประคองผู้หญิง แล้วเราจะต้องหยิบกระดาษ ต้องลุกขึ้นลุกลง ก้าวแล้วพากันไปทีละคนๆ จนกว่าจะถึงเส้นชัย 

กิจกรรมที่ 2 เราเรียกว่าเกมไข่ตลกตกไม่แตก คือการทำเครื่องห่อหุ้มไข่ไก่ ใช้อุปกรณ์ที่มอบให้มาวางแผนว่าจะห่อหุ้มไข่เพื่อปล่อยจากที่สูง 6 เมตรแล้วไข่ไม่แตก เป็นกิจกรรมง่ายๆ ให้พี่ๆ เรียนรู้เรื่องการระดมความคิด การไว้ใจกัน การวางแผนร่วมกัน การใช้ศักยภาพที่แต่ละคนมีในกลุ่มเข้ามาวางแผน และออกแบบเครื่องหุ้มไข่

โดยหลังจากที่เราทำกิจกรรมเสร็จแล้ว จะต้องถอดบทเรียนเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรคืองานที่กลุ่มทำได้ดี อะไรคืองานที่ยังทำได้ไม่ค่อยดี ปัจจัยอะไรที่ทำให้ทำงานได้ดี แล้วถ้าเรามีโอกาสทำงานนี้อีกครั้งจะทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นอย่างไร เราอยากให้พี่เลี้ยงได้เห็นพลังของการร่วมแรงร่วมใจว่าความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเราไม่เห็นเป้าหมายร่วมกัน ไม่ร่วมคิด ไม่ร่วมกันลงแรง 

ที่สำคัญคือการทำงานเป็นทีมจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มี ‘ผู้นำร่วม’ ในการแก้ปัญหา ไม่รอ ‘ผู้นำเดี่ยว’ มาชี้ว่าแก้ปัญหาแบบนี้สิ แต่ทีมเกิดขึ้นจากการที่ทุกคนลุกขึ้นมาร่วมแก้ปัญหา ร่วมกันเข้าไปอุด ร่วมกันดำเนินงานไป 

ฟังดูแล้วเหมือนพี่เลี้ยงต้องมีทักษะการสร้างสรรค์เกมหรือกิจกรรมด้วย 

บางครั้งการจะสร้างการเรียนรู้ไม่ว่าเรื่องการทำงานเป็นทีมหรือเรื่องอื่นๆ ต้องอาศัยเกมหรือกิจกรรมให้เยาวชนเขาทำ ซึ่งเกมทุกเกมมีความหมาย และพาไปสู่การเรียนรู้ได้ พี่เลี้ยงต้องชัดเจนก่อนว่าวัตถุประสงค์ของเกมนั้นใช้ไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคือหลังเล่นเกม พี่เลี้ยงต้องมีทักษะในการถอดบทเรียน ซึ่งมันนำไปสู่ทักษะตัวต่อไป คือ การตั้งคำถาม พี่เลี้ยงนักตั้งคำถาม

งั้นต่อกันที่ พี่เลี้ยงนักตั้งคำถามเลยค่ะ 

คำถามเป็นเครื่องมือหรืออาวุธที่ดีที่สุดในการสร้างการเรียนรู้ ที่ผ่านมาเรามักเข้าใจว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากการสั่งสอน เราจะมีคำพูดมากมาย มีความรู้หรือประสบการณ์มากมายในการสั่งสอนคนรุ่นใหม่ บอกให้ทำแบบนั้นแบบนี้ 

แต่จริงๆ แล้ว การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านการลงมือทำนั้น ต้องวางเงื่อนไขหรือเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีประสบการณ์ก่อน ซึ่งจะทำให้เขาได้ลองผิด ลองถูก และแก้ปัญหา สุดท้ายแล้วทักษะจะเกิดขึ้นในระหว่างทางที่เขาลงมือทำ จะเนียนเข้าไปอยู่ในเนื้อในตัว จากนั้นพี่เลี้ยงค่อยใช้การตั้งคำถามเพื่อให้เขาได้ทบทวนประสบการณ์ ทบทวนความรู้สึก สำคัญคือทบทวนบทเรียน การเรียนรู้ และความรู้ที่เขาได้จากการทำกิจกรรมในครั้งนั้น

เราจะแบ่งชุดคำถามที่ใช้ในการถอดบทเรียนเพื่อสร้างการเรียนรู้ออกเป็น 6 ข้อด้วยกัน คือ  

คำถามแรก เป็นคำถามง่ายๆ ระหว่างทำกิจกรรม คือ เขารู้สึกอย่างไร เพราะเวลาที่เพิ่งผ่านประสบการณ์มาสดๆ ร้อนๆ  เขาจะมีความรู้สึกเยอะมาก บ้างสนุก บ้างกลัว บ้างไม่กล้า เราถามความรู้สึกเพื่อให้เขาได้ตระหนักรู้ในความรู้สึกตัวเองก่อน กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่ห้อยแขวนความรู้สึกไว้ พอเราตระหนักรู้ความรู้สึกแล้ว เราค่อยขยับไปสู่เรื่องทักษะ 

คำถามที่ 2 นี่เป็นชุดคำถาม คือ การถามว่าเราได้ใช้ทักษะอะไรบ้างในการทำกิจกรรม ตรงนี้เขาจะพรั่งพรูเลย เพราะเขาเพิ่งผ่านประสบการณ์มาสดๆ ร้อนๆ ทักษะการคิด ทักษะการฟัง ทักษะการสื่อสาร ทักษะการออกแบบ ทักษะการคิดสร้างสรรค์ มันจะพรั่งพรูออกมามากเลย 

คำถามที่ 3 เป็นชุดคำถามที่เอาไว้ทบทวนขั้นตอนการทำงาน ตรงนี้สำคัญมาก เพราะการเรียนรู้จะต้องเกิดขึ้นจากการที่เขาย้อนกลับไปมองหรือ reflection ทวนดูว่าการลงมือทำนั้นเขาผ่านอะไรมาบ้าง เราจะช่วยให้น้อง ค่อยๆ คลี่ว่าขั้นที่ 1, 2, 3, 4, 5 นั้น เขาทำขั้นตอนอะไร พอพี่เลี้ยงทบทวนขั้นตอนแล้ว พี่เลี้ยงอาจเขียนขึ้นกระดานให้น้องๆ ได้เห็นว่าพวกเราผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง การขึ้นกระดานถึงขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้พี่เลี้ยงตั้งคำถามต่อไปได้ 

คำถามที่ 4 ต่อเนื่องจากคำถามที่ 3 คือ ในการทำงานแต่ละขั้นนั้น พวกเราเจอปัญหาอุปสรรคอะไร แล้วเราแก้ไขมันอย่างไร และกระบวนการแก้ไขปัญหานั้นทำให้เราได้บทเรียนหรือความรู้ใหม่อะไรที่เกิดขึ้น อันนี้เป็นการถอดบทเรียนที่มีค่าที่สุดเพราะเป็นการถอดบทเรียนจากปัญหา เราเชื่อว่าปัญหาสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้ได้ 

คำถามที่ 5 หลังจากที่รู้ว่าน้องๆ เจอปัญหาและแก้ปัญหาอย่างไรแล้ว เราจะถามว่า แล้วเราควรทำอะไรเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น นี่เป็นการสร้างเงื่อนไขว่าถ้าเขามีโอกาสทำอีกครั้งเขาจะทำอะไรให้ดีขึ้น หากเราได้ให้โอกาสทุกคนได้พูดและได้รับฟังกัน ก็จะเกิดการออกแบบการทำงานได้ดีที่สุด 

คำถามสุดท้าย เป็นคำถามที่กลับมาสู่การเติบโตภายในของเขา อาจจะเป็นคำถามง่ายๆ เช่น อะไรคือสิ่งที่เราค้นพบใหม่ อะไรคือสิ่งที่เราเคยรู้และไม่เคยรู้ อะไรคือสิ่งที่เราเคยทำและไม่เคยทำ และเราเห็นตัวเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คำถามที่ถามว่า ‘เราเห็นตัวเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร’ จะช่วยให้เขากลับไปดูตัวเองในระดับลึก ไปค้นตัวเองจริงๆ ว่าอะไรที่เขาเติบโตจากการผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ มันจะทำให้เกิดการกดปุ่ม save บันทึกการเรียนรู้เข้าไปข้างในตัวเขา และเราอาจจะมีคำถามต่อได้ว่า อะไรคือสิ่งที่เขาอยากจะพัฒนาเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต  

เหล่านี้ก็จะเป็นทักษะการตั้งคำถาม ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการช่วยให้น้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่เขาทำ คำถามที่ดีจะช่วยให้เขาชื่นชมตัวเองได้ว่าที่เขาผ่านประสบการณ์มานั้น ผ่านมาได้อย่างไร ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเขาได้เห็นศักยภาพที่เขามีติดตัวอยู่แต่ไม่เคยมองเห็นมันมาก่อน แล้วคำถามที่ดีมันจะช่วยเสริมพลังให้เขานำศักยภาพนี้มาใช้บ่อย ๆ 

พี่เลี้ยงนักวางแผน 

ทำไมเราจึงใช้คำว่าพี่เลี้ยงนักวางแผน? เพราะพี่เลี้ยงไม่ใช่คนลงมือทำกิจกรรม แต่ส่วนใหญ่พี่เลี้ยงจะอดไม่ได้ที่จะทำให้น้อง เช่น เวลามีการจัดเวทีคืนข้อมูล พี่เลี้ยงไปประสานงานให้ จับไมค์พูดแทนน้อง การที่พี่เลี้ยง ‘ทำให้’ จะปิดกั้นโอกาสที่น้องจะได้เรียนรู้ เมื่อไม่ลงมือทำเองแล้วทำอย่างไร? วิธีการเดียวคือการช่วยน้องวางแผน 

พี่เลี้ยงนักวางแผนต้องรู้อะไรบ้าง หนึ่ง-ต้องรู้ว่าแผนที่ดีมาจากการเห็นเป้าหมายร่วมกัน สอง-แผนที่ดีจะได้มาจากการที่พี่เลี้ยงช่วยตั้งคำถามและคลี่การบริหารจัดการออกมาเป็นก้อนเพื่อให้น้องเห็นว่ามีอะไรต้องจัดการบ้าง โดยอาจใช้คำถาม เช่น ‘เพื่อทำให้งานนี้สำเร็จ มันมีกี่งานที่ต้องทำ’ พี่เลี้ยงเขียนกระดาษหรือใส่โพสต์อิทก็ได้ แปะงานให้เห็นเป็นก้อนๆ น้องก็จะเห็นว่ามีหลายงานมากเลย 

ต่อมาคือคำถามว่า ‘แล้วจะบริหารงานอย่างไร’ แน่นอนว่าต้องมีคนรับผิดชอบ สิ่งที่พี่เลี้ยงจะช่วยได้คือการตั้งคำถามว่า ‘ใครอยากรับผิดชอบงานนี้บ้าง’ ‘ใครมีความถนัดที่จะทำงานนี้ได้ดี’ หรือ ‘แม้ว่าเราไม่ถนัด ใครอยากจะทดลองฝึก’ 

เช่น แบบฝึกหัดในค่ายครั้งนี้เราให้พี่เลี้ยงลองชวนน้องวางแผน โจทย์คือ น้องจะต้องทำสื่อหนึ่งชิ้นเพื่อนำเสนอในค่าย น้องจะคิดเยอะมากว่าอยากทำอะไร มีทั้งคลิปวิดิโอ อยากทำโมเดลจำลองชุมชนของเขา อยากทำโมเดลจำลองหอยที่เขาค้นพบว่ามีกี่ชนิด 

น้องจะกำหนดเป้าหมายเพื่อให้บรรลุงานนั้น พี่เลี้ยงก็ต้องตั้งคำถามว่าถ้าเราอยากทำสื่อให้สำเร็จ อยากทำโมเดลให้สำเร็จ เราต้องทำอะไรบ้าง เช่น หนึ่ง-เอาข้อมูลมาเทกองเพื่อมาวิเคราะห์ สอง-แยกแยะ สาม-ไปเก็บหอยจริงๆ มาให้เพื่อนดู หรือวาดภาพให้ดู สี่-ใครจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ ห้า-ใครจะเป็นวางแผนการเขียนอธิบายความว่าอุปกรณ์แต่ละชนิดที่เราต้องการสื่อสารคืออะไร อย่างนี้เป็นต้น 

สิ่งที่พี่เลี้ยงช่วยได้ คือ การทำให้น้องเห็นเป้าหมายตรงกัน เห็นงานที่มีทั้งหมด และสุดท้ายคือพี่เลี้ยงก็สามารถช่วยตั้งคำถามให้น้องๆ แบ่งบทบาทหน้าที่ในการรับผิดชอบงานได้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะเวลาทำงานอันใดอันหนึ่ง ใครทำมากหรือทำน้อยกว่ามันจะเกิดปัญหาความขัดแย้ง การทำงานเป็นทีมที่ดีทุกคนต้องเหนื่อยยากเท่ากัน มีบทบาทหน้าที่เท่าๆ กัน แล้วเวลาที่งานมันสำเร็จ น้องจะได้รู้สึกว่าสิ่งที่เราทุ่มเททำงานนี้ เราเหนื่อยยากเท่ากัน เราบรรลุความสำเร็จร่วมกัน เราจะไม่ตัดใครออกไป คนทำงานน้อยก็จะไม่กันตัวเองออกไป ไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่เพื่อนทำ เราไม่ได้ทำ 

ฉะนั้น บทบาทพี่เลี้ยงในการเป็นนักวางแผน ช่วยน้องให้น้องกำหนดเป้าหมาย แบ่งงาน บริหารจัดการเวลา อะไรควรเสร็จก่อนเสร็จหลัง เป็นทักษะที่จำเป็นมาก ลองคิดดูว่าถ้าคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การวางแผนแล้วได้ลงมือทำงานจริงและทำเป็น ไม่ว่างานยากหรือซับซ้อนอะไร เขาก็จะใช้ทักษะเหล่านี้ในชีวิตจริง 

การเป็นพี่เลี้ยงนี่ยากเหมือนกันนะคะ เพราะนอกจากสร้างการเรียนรู้ให้เยาวชนแล้วยังต้องสร้างการเรียนรู้ให้ตัวเองด้วย 

เยาวชน คนรุ่นใหม่ เป็นวัยแห่งการคลุกฝุ่น เขาจะใช้อารมณ์ มีการทะเลาะเบาะแว้ง มีความเครียด การเรียนรู้ของเขาก็เกิดขึ้นจากการใช้พลังสร้างสรรค์ พลังคลั่งไคล้สุดโต่งในการกระโจนเข้าไปที่ปัญหาเลย พี่เลี้ยงเองต้องใจเย็น การสร้างความมั่นคงในตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก การทำงานกับคนรุ่นใหม่เหมือนเราอยู่ท่ามกลางพายุ มีทางเดียวก็คือรอให้พายุค่อยๆ คลายลง พี่เลี้ยงต้องใจเย็นและให้รู้ว่าพายุจะมีวันคลายตัวไป เหมือนเยาวชน วันหนึ่งเขาจะหยุดตัวเองได้  วิธีการที่พี่เลี้ยงจะสร้างความมั่นคงให้ตัวเองทำได้หลายด้าน หนึ่งคืออาจจะใช้การตั้งคำถามตัวเองว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร เราต้องการ อยากให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้อะไร แล้วถ้าเขาผ่านการเรียนรู้ในความวุ่นวายเหล่านี้ไปได้ เขาจะได้อะไร มันก็เป็นกระบวนการถามตัวเอง 

สอง ถ้าจะสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง พี่เลี้ยงอาจต้องถอยออกมาบ้าง เดินออกไปที่ต้นไม้ เดินออกจากงานในช่วงนั้น หรือไปทำงานส่วนตัว พอถึงเวลาเราค่อยกลับมาหาน้อง เพราะในช่วงที่น้องผ่านประสบการณ์ที่ยากขนาดนั้น เขาก็ต้องการคนที่มั่นคงพอที่จะอยู่กับเขา ประการที่สามคือ พี่เลี้ยงอาจใช้วิธีการให้น้องๆ ได้เช็คอิน-เช็คเอ้าท์ ล้อมวงพูดถึงความคาดหวังและความรู้สึกของตัวเองกับงานครั้งนี้ การเช็คเอ้าท์ก็อาจเป็นคำถามให้พี่เลี้ยงชวนน้องๆ ชื่นชมตัวเอง ชื่นชมเพื่อน หลังจากทำงานครั้งนี้ผ่านมาได้ ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมาได้ เราอยากชื่นชมอะไรตัวเอง อยากชื่นชมอะไรเพื่อน 

อยากให้กำลังใจพี่เลี้ยงว่า เราเชื่อว่าพี่เลี้ยงทุกคนมีใจ แต่เราค่อยๆ ฝึกประสบการณ์ตัวเองไปพร้อมๆ กับน้อง  ต้องมาถอดบทเรียนตัวเราเองในแต่ละครั้งด้วยหลังจากถอดบทเรียนกับน้องแล้ว การที่พี่เลี้ยงได้ถอดบทเรียนตัวเองว่าเราได้เรียนรู้อะไร เราได้ฝึกทักษะอะไร การมีวงพี่เลี้ยงต่างชุมชนได้มานั่งคุย ได้มาเจอกันก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้และเสริมพลังใจกัน 

ทักษะทั้ง 5 ด้านนี้คือสัญชาตญาณของการหล่อเลี้ยงคนๆ หนึ่งให้เติบโตโดยไม่จำเป็นต้องมองให้มันเป็นงานที่ยากเลย เพราะเรามีสัญชาตญาณอยู่ในเนื้อในตัวเราทุกคนอยู่แล้ว 

ความยากของการเป็นพี่เลี้ยง คือ การทำงานที่โดดเดี่ยว แต่พี่เลี้ยงไม่ควรทำงานคนเดียว ในชุมชนของเราอาจจะมีพี่เลี้ยงหลายคนที่เราจะจับมือกัน ช่วยกันเสริมพลังการเรียนรู้ให้กับน้องๆ พี่เลี้ยงบางคนอาจจะเก่งเรื่องการตั้งคำถาม บางคนอาจเก่งเรื่องการเล่นเกม พี่เลี้ยงบางคนอาจไม่ได้อยู่ใกล้เด็กเลยแต่มีบทบาทหนุนเสริมช่วยประสานงานกับน้องๆ พี่เลี้ยงบางคนเป็นตัวต่อที่ดีในการเชื่อมผู้นำชุมชน สนับสนุนให้น้องทำงานสำเร็จได้ ฉะนั้น การมีทีมพี่เลี้ยงชุมชน หรือเรียกว่ากลไกชุมชน ที่ลุกขึ้นมาช่วยกันเสริมพลังการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ คิดว่าสำคัญมากเลยที่จะทำให้พี่เลี้ยงไม่ทำงานโดดเดี่ยว ทำงานร่วมกันแม้ต่างบทบาทต่างหน้าที่  แต่ทำงานเป็นทีมของพี่เลี้ยงช่วยกันสร้างการเรียนรู้กับคนรุ่นใหม่ในชุมชนของตนเอง 

Tags:

project based learningโคช21st Century skillsactive citizen

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Creative learning
    การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ: โค้ชแห่งแม่กลอง ผู้ใช้สวน-แม่น้ำ-ชุมชนเป็นโรงเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ซูเปอร์แมว : โคชคนแกร่ง เปลี่ยนเด็กเสี่ยงเป็นเด็กสร้างสรรค์

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน
Early childhoodFamily Psychology
24 November 2020

ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • บางคนเคยชินกับการเลี้ยงดูเด็กที่ใช้ ‘การขู่’ เพื่อทำให้เขากลัว ‘แหย่’ เพื่อแสดงความเอ็นดู และ ‘ล้อเลียน’ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะ แต่พฤติกรรมเหล่านี้แม้คนทำจะมีเจตนาดี แต่การกระทำเช่นนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางลบกับเด็กได้
  • เม – เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจตามใจนักจิตวิทยา ชวนพวกเราทำความเข้าใจใหม่กับการ ‘ขู่ หลอก แหย่ ล้อเล่น’ ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบอะไรกับเด็กบ้าง พร้อมกับคำแนะนำวิธีสร้างสัมพันธ์กับเด็กๆ ที่จะไม่ทิ้งรอยแผลในใจเขา

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

การขู่เพื่อทำให้เด็กกลัวและหยุดทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

‘ซนแบบนี้ เดี๋ยวให้คุณหมอจับฉีดยาเลย’

‘ออกไปไหนคนเดียว เดี๋ยวผีปอบจับตัวไปกินตับนะ’

‘หยิบของโดยไม่ขอก่อน เดี๋ยวพาไปให้ตำรวจจับขังคุกดีกว่า’

‘ทำแบบนี้ เดี๋ยวแม่ไม่รักแล้ว’

ผู้ใหญ่บางคนมักใช้การขู่เหล่านี้เพื่อให้เด็กทำตามหรือทำในสิ่งที่เหมาะสม ทั้งนี้ แม้เจตนาของผู้ใหญ่เหล่านั้นจะเต็มไปด้วยความปรารถนาดี แต่ผลลัพธ์กลับให้ผลตรงกันข้าม เพราะเด็กๆ ที่ถูกสอนด้วยการใช้คำขู่ มักเรียนรู้ที่จะใช้สมองในส่วนของสัญชาตญาณมากกว่าส่วนของเหตุผล เนื่องจากการขู่มักนำไปสู่ความกลัว ซึ่งความกลัวมักจะทำให้คนเราเลือกที่จะตอบสนองอย่างเฉียบพลัน เพื่อทำให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว แต่ไม่ได้นำพาเราไปสู่การเรียนรู้ว่า ‘เราไม่ควรทำ หรือ ควรทำสิ่งใด’

เด็กบางคนอาจจะเติบโตมากลายเป็นผู้ใหญที่กลัวการไปหาหมอ กลัวที่แคบ กลัวความมืด กลัวสารพัดจะกลัว เพียงเพราะคำพูดขู่จากผู้ใหญ่บางคนที่ไม่ได้มีเจตนาร้าย อาจจะทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความกลัวฝังใจไปเลย

ซึ่งความกลัวที่ฝังใจที่ส่งผลต่อจิตใจเด็กที่สุด คือ “ความกลัวว่าพ่อแม่ไม่รักตัวเขา” เพราะการขู่ที่ใช้ความรักมาเป็นเงื่อนไขให้เขาทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่อยากให้เขาทำ ซึ่งเมื่อใช้บ่อยๆ เข้าเด็กอาจจะเรียนรู้ว่า “ความรักที่แม่มีแต่เขานั้นมีเงื่อนไข” ถ้าเขาต้องการเป็นที่รัก ก็ต้องทำในสิ่งที่แม่ต้องการให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ แม่อาจจะไม่รักเขา

ดังนั้น ผู้ใหญ่ทุกคนควร “หยุดขู่เด็ก!” เพื่อให้เขาทำตาม แต่ใช้วิธีทำความเข้าใจแทน เช่น ถ้าลูกต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เจอคนใหม่ๆ พ่อแม่ควรบอกเขาล่วงหน้า อธิบายเขาให้เข้าใจ หรือเตรียมนิทาน หรือภาพถ่ายของสถานที่ หรือบุคคลมาให้เขาดู เพื่อที่เด็กจะได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าเขาจะไปเจออะไร

หรือเล่าถึงสิ่งที่เด็กจะเจอให้เป็นกลาง เช่น ถ้าลูกต้องไปฉีดยาแล้วเขาต้องเจ็บตัว พ่อแม่ลองบอกลูกว่า ‘คุณหมอจะฉีดยาให้ร่างกายของลูก เพื่อร่างกายเราจะได้แข็งแรง แล้วต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ลูกจะได้ไม่ป่วย หรือ ถ้าเขาจะต้องไปพบนักบำบัดเพื่อถูกประเมิน เราสามารถบอกเขาได้ว่า ‘ให้ลูกทำสิ่งที่ลูกทำได้ เพื่อที่พี่เขาจะได้รู้ว่า ลูกทำอะไรได้บ้าง แล้วถ้าอะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่ต้องกลัว เพราะพี่เขาจะได้ช่วยสอนลูกได้’ เป็นต้น

หากต้องการสอนเด็กให้เขาหยุดทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและทำพฤติกรรมที่เหมาะสม เราไม่ควรทำให้เด็กกลัว เพราะการขู่ให้กลัวและความรุนแรงมักไม่เคยสอนอะไรนอกจากความรุนแรงและความกลัว

ธรรมชาติของสมองเรา เมื่อมีคนมาทำให้เรากลัว สมองจะตอบสนองโดยใช้สมองส่วนสัญชาตญาณ ซึ่งจะตอบสนองว่า “ให้สู้ (Fight)” “ให้หนี (Flight)” หรือ “ให้นิ่ง (Freeze)” ซึ่งการตอบสนองแต่ละแบบไม่ได้ทำให้เด็กเรียนรู้ด้วยเหตุผล แต่เรียนรู้ด้วยความกลัวและต้องรีบเอาตัวรอด ซึ่งวิธีการเอาตัวรอดของเด็กมักจะปรากฎอยู่ในรูปแบบของ “การพูดโกหก” หรือ “การโยนความผิดให้คนอื่น” เพื่อเอาตัวรอดได้

(อ่านบทความ ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก)

ดังนั้น เมื่อผู้ใหญ่ขู่เด็กและใช้ความรุนแรงในการลงโทษเด็ก เด็กอาจจะหยุดทำพฤติกรรมทันที แต่เป็นการหยุดที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราว เพราะเด็กอาจจะตกใจหรือกลัวจึงไม่ทำพฤติกรรมนั้นต่อ แต่ถ้าไม่มีผู้ใหญ่คนนั้น หรือในวันที่เขาโตพอจะไม่กลัวคำขู่นั้นอีกต่อไป เขาอาจจะทำพฤติกรรมนั้นอีก และอาจจะทำพฤติกรรมที่รุนแรงขึ้นไปอีก ถ้าเราไปห้ามเขาด้วยการขู่ นอกจากนี้เด็กจะมีแนวโน้มเลียนแบบการขู่ และการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นที่เขาสามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็น คนที่อายุน้อยกว่า คนที่มีอำนาจน้อยกว่า หรือคนที่อ่อนแอกว่าตัวเอง เพราะเขาเคยชินกับวิธีการเหล่านี้ จึงทำให้เขาอาจจะไม่เลือกใช้วิธีการอื่น

ถ้าอยากให้เด็กเรียนรู้ไม่ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยั่งยืน เราไม่ควรสอนเขาด้วยการทำให้เขากลัว แต่ควรสอนให้เขาฟังด้วยเหตุผล เพราะเราคงไม่อยากให้เด็กๆ เติบโตมาพร้อมกับการใช้งานของสมองส่วนสัญชาตญาณเป็นหลัก

แนวทางในการสอนเด็กๆ เมื่อเขาทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ขั้นที่ 1 รอให้เด็กสงบ อย่าเพิ่งสอนสั่งอะไรเด็กเวลาที่เขาอาละวาด นั่งลงข้างๆ เขา

ขั้นที่ 2 สงบแล้วจึงหันไปมองหน้าเขา บอกเขาชัดเจนว่า ไม่ควรทำอะไร และเขาควรทำอะไร เพราะอะไร

ขั้นที่ 3 ถ้าเขาทำไม่เหมาะสม สอนเขาขอโทษ เขาไม่ทำ เราทำไปพร้อมกับเขาได้ ทำเช่นนี้ทุกครั้งที่เกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสม เด็กจะเรียนรู้จากการทำสม่ำเสมอ ไม่ใช่จากเหตุการณ์ครั้งเดียว

เพราะสมองเหตุผลจะถูกพัฒนาได้ เมื่อเด็กสงบเพียงพอที่เราจะพูดให้เขาฟัง และเขาได้ยินเสียงเรา ผู้ใหญ่ไม่มีความจะเป็นต้องไปตะเบ็งเสียงแข่งกับเด็กเลย รอเขาสงบ แล้วพูดเมื่อเขาหยุดอาละวาด เขาจะได้ยินเสียงเราชัดเจน เมื่อได้ยินเสียง สมองจะประมวลเสียง และคิดตาม เมื่อนั้นสมองส่วนเหตุผลจึงจะได้รับการกระตุ้น และใช้งาน

เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมรุนแรง ผู้ใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องสู้กับเขา เราควรสงบดั่งหินผา ไม่ตอบโต้ แต่ไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหว ยืนหยัดในสิ่งที่ต้องการจะสอนเขา แต่ไม่ทำร้ายเด็กเพื่อให้เขากลัว

การหลอกหรือการแหย่เพื่อทำให้เด็กแสดงท่าทีโกรธหรือกลัว เพราะต้องการเข้าหาเด็กด้วยการเย้าแหย่หยอกเล่น

‘กินเยอะแบบนี้ เดี๋ยวอ้วนเป็นหมูหรอก’

‘ขี้งอนมากๆ เดี๋ยวไม่มีใครรักหรอก’

‘เขาทิ้งให้เราอยู่คนเดียวแล้ว คนอื่นเขาไปเที่ยวกันหมดแล้ว’

ผู้ใหญ่บางคนมักใช้การหลอกเหล่านี้เพื่อหวังจะเห็นเด็กแสดงท่าทีโกรธหรือกลัว เพราะมองว่าเวลาเด็กแสดงท่าทีแบบนั้น เป็นเรื่องตลกและน่าเอ็นดู นอกจากนี้ผู้ใหญ่บางคนไม่รู้ว่าจะเข้าหาเด็กได้อย่างไร จึงเลือกที่จะเข้าหาเด็กด้วยวิธีนี้ แต่ตัวเด็กที่ถูกผู้ใหญ่หลอกให้โกรธหรือกลัวมักจะไม่ได้รู้สึกดี และยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ใหญ่ทำแบบนี้ เมื่อจับได้ว่าเรื่องที่ผู้ใหญ่พูดเป็นเรื่องไม่จริง เด็กอาจจะรู้สึกไม่อยากเชื่อใจผู้ใหญ่คนนี้ เวลาผู้ใหญ่พูดอะไร เขาอาจจะไม่อยากฟังหรือทำตามอีก

เด็กที่เติบโตมาท่ามกลางการหลอกหรือการแหย่ของผู้ใหญ่รอบตัว เขาอาจจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบทำแบบนั้นเสียเองกับเด็กรุ่นต่อไปในอนาคต หรือเขาอาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่คอยระแวดระวังคำพูดของใครต่อใครตลอดเวลา ทำให้เขากลายเป็นคนขี้กังวลโดยที่เขาไม่รู้ตัว

การหลอกหรือการแหย่เด็กมักเกี่ยวโยงกับความรู้สึกทางลบมากกว่าทางบวก

แม้ว่าจะเป็นเด็ก แต่พวกเขาก็มีความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่ เพราะถ้ามองในมุมกลับกันผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่ชอบให้ใครเข้าหาตัวเองด้วยการหลอกเล่น เด็กก็เช่นเดียวกัน เขาอาจจะไม่อยากเป็นตัวตลกในสายตาใคร เพราะสิ่งที่เด็กและผู้ใหญ่ต้องการ คือ “ความจริงใจ” และ “ความสนใจ” ที่สามารถแสดงออกผ่านการมีเวลาคุณภาพให้กัน

แนวทางในการเข้าหาและสร้างสายสัมพันธ์กับเด็ก (และผู้อื่น)

ขั้นที่ 1 มีเวลาคุณภาพให้ กล่าวคือ มีสายตาที่มองเห็นเขาและเขาที่มองเห็นเรา ร่างกายที่พร้อมจะตอบสนองเขา เช่น รับฟัง พูดคุย กอด อุ้ม หอม บอกรัก และการทำกิจกรรมต่างๆ กับเขา

ขั้นที่ 2 พูดคำไหนคำนั้น เมื่อสัญญาอะไรไว้แล้ว เราก็ควรทำตามสัญญา เด็กจะเรียนรู้ว่า เราเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่อใจได้ แล้วเขาสามารถวางใจของเขาไว้กับเราได้

ขั้นที่ 3 เล่นกับเด็ก แทนการแหย่หรือหลอกเขาเล่น ถ้าเราไม่รู้ว่า เราควรเล่นอะไร บางครั้ง แค่เพียงใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากพอ เราจะรู้ว่า เด็กชอบอะไร และเขาต้องการอะไรจากเรา

หากมีผู้ใหญ่ที่มาหลอกหรือแหย่ลูกหรือเด็กที่เราดูแล หากเด็กไม่ชอบ เราสามารถสอนเขาให้พูดบอกผู้ใหญ่ได้ว่า ‘ไม่ชอบที่มาแหย่หรือมาหลอก’ เมื่อเขาพูดแล้ว (หรือยังไม่สามารถพูดปกป้องตัวเองได้) และผู้ใหญ่ยังไม่หยุดแหย่หรือหลอกเขา ให้เราทำหน้าที่พาเด็กออกมา หรือพูดบอกผู้ใหญ่คนดังกล่าวให้หยุดทำแบบนั้นด้วยคำพูดที่สุภาพ แต่ตรงไปตรงมา

การล้อเลียนหรือการแซวเล่น ที่คนล้ออาจจะสนุกแต่คนถูกล้ออาจจะไม่ได้สนุกด้วยเลย

‘ตอนนี้อยู่บนบก ถอดห่วงยางออกได้แล้ว’ เมื่อผู้ใหญ่เห็นเด็กรูปร่างอ้วนท้วม

‘โอ้โหไปทะเล 2 วัน กลับมาดำจน ฟันลอยได้แล้ว’ เมื่อผู้ใหญ่เจอเด็กที่ผิวไหม้เกรียมจากการถูกแดดเผา

แม้กระทั่งคำพูดและเสียงหัวเราเยาะเย้ยเมื่อเด็กทำอะไรไม่ได้ หรือ ทำอะไรแล้วไม่ได้ออกมาได้ไม่ดี ‘เล่นแบบนี้ กลับบ้านไปนอนดีกว่าไหม’

ผู้ใหญ่บางคนอาจจะมองว่าการล้อเลียนเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา และเห็นว่าเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่เด็กควรเจอบ้าง แต่ทว่าเจตนาดีเหล่านี้อาจจะส่งผลให้เด็กบางคนเกิดปมและความรู้สึกทางลบกับตัวเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกว่า ‘ตัวเองไม่ดีพอหรือไม่ดีเหมือนใครๆ’ ‘ตัวเองห่วย’ ‘ตัวเองทำไม่ได้’ ฯลฯ

ตัวอย่างเหตุการณ์

เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังฝึกนับเลขอยู่ แต่เมื่อเธอนับเลขได้ไม่คล่องนักทำให้นับข้ามหรือพูดตัวเลขไม่ชัด 

‘หนึ่ง สอง สาม ฉี่’ ทำให้ผู้ใหญ่หัวเราะเธอด้วยความเอ็นดูปนขำ

เด็กหญิงเริ่มหงุดหงิด และไม่ชอบใจ แต่ยังคงพยายามฝึกนับเลขต่อไป เมื่อเธอนับอีกครั้งหนึ่ง

‘หนึ่ง สอง สาม ห้า’ ผู้ใหญ่คนเดิมหัวเราะเยาะเธอด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเก่า

เด็กหญิงบอกทันทีว่า ‘หยุดนะ อย่าหัวเราะ หนูไม่ชอบ’

แต่ผู้ใหญ่ยังคงหัวเราะต่อไปอย่างสนุกสนาน จนทำให้เด็กหญิงที่สู้ไม่ได้ ร้องไห้ออกมาในที่สุด

ผู้ใหญ่รีบเข้าไปปลอบใจ แต่เด็กหญิงก็ยังรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่

เหตุการณ์ดังกล่าวบางคนอาจจะมองว่า ‘ก็แค่เสียงหัวเราะเองจะคิดมากทำไม’

เราแต่ละคนมีข้อจำกัดทางอารมณ์และความรู้สึกแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ และความแตกต่างของแต่ละบุคคล ถ้าหากเราเอาบรรทัดฐานของเราไปวัดความรู้สึกของคนอื่น นั่นเท่ากับว่า เรากำลังยึดเอาตัวเราเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอยู่ ทั้งๆ ที่ในสังคมเราไม่มีใครเลยที่จะเหมือนกัน เราจะเอาตัวเราเป็นไม้บรรทัดวัดทุกคนบนโลกไม่ได้

บางคนไวต่อความรู้สึก (Sensitive) กับเรื่องบางเรื่อง ดังนั้นคนเราจึงไม่ได้เข้มแข็งกับทุกเรื่อง ลองมองกลับมาที่ตัวเราเองว่า เราก็มีมุมที่อ่อนแอหรือรู้สึกมากกับอะไรบางอย่างเช่นกันแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครรู้สึกมากกับกับเรื่องไหน คำตอบ คือ เราไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะเข้าใจที่มาที่ไปของคนๆ นั้น

กลับมาที่เด็กหญิง แม้ว่าเธอจะนับเลขได้หรือทำไม่ได้ก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะเธออยู่ดี เพราะเธอบอกชัดเจนแล้วว่า ‘เธอไม่ชอบ’ และ ‘อยากให้หยุดหัวเราะเธอ’ แต่เมื่อผู้ใหญ่หัวเราะต่อไป นั่นคือการแสดงออกถึงการกลั่นแกล้งรูปแบบหนึ่ง แม้ว่า “หัวเราะ” ไม่ได้มีคำพูดที่ทำร้ายแฝงอยู่ แต่การหัวเราะในสถานการณ์นี้ทำให้ผู้ที่ถูกหัวเราะใส่รู้สึกแย่กับตัวเองอย่างมาก

สามสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรตระหนักอยู่เสมอ

ข้อที่ 1 คนล้ออาจจะสนุก แต่คนถูกล้อไม่ได้สนุกด้วย เราอาจจะคิดว่า ‘นี่เป็นแค่การล้อเล่นเฉยๆ’ แต่การล้อเล่น หรือ เล่นสนุก อีกฝ่ายที่ถูกกระทำต้องรู้สึกสนุกด้วย ถ้าเด็กไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น นั่นคือ ‘การล้อเลียน’ ซึ่งเป็นการกลั่นแกล้งเด็ก

ข้อที่ 2 เวลาเด็กทำอะไรไม่ได้ เราควรเข้าไปช่วยเหลือ หรือ ให้กำลังใจ เพราะการหัวเราะเขาไม่ได้ช่วยให้เด็กทำได้หรือทำได้ดีขึ้น

ข้อที่ 3 รับฟัง และเคารพเด็ก

เมื่อเด็กบอกว่า เขาไม่ชอบในสิ่งที่เราทำ หรือ สิ่งที่เราทำนั้นทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี เราก็ควรจะหยุดทำโดยทันที

บทเรียนสำหรับผู้ใหญ่

บทเรียนที่ 1 อย่าปล่อยเรื่องการหัวเราะเยาะ การล้อเลียนปมด้อย รูปลักษณ์ภายนอกของผู้อื่นเลยผ่านไป

เพราะผู้ใหญ่หรือเด็กๆ ที่กระทำเช่นนั้นจะมองว่า ‘เป็นเรื่องปกติ’ เขาจะมีแนวโน้มทำเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติในอนาคตเช่นกัน ส่วนเด็กๆ ที่ถูกกระทำก็รู้สึกเสียความมั่นใจ และหมดคุณค่าไปเรื่อยๆ

เด็กปฐมวัยให้เรียนรู้ความแตกต่างเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หรือ เรื่องความสามารถของเพื่อนๆ ของเขาแล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรสอน คือ ‘เด็กๆ รู้ไหม รูปร่างของเรา สีผิวของเรา ผมของเรา บางอย่างเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่พ่อแม่ของเด็กๆ มอบให้เราด้วยความรัก ดังนั้นเราไม่ควรไปว่า ใครที่ร่างกายของเขา เด็กๆ สามารถชมเพื่อนๆ ได้ ในสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เพื่อนคนนี้พูดเพราะ เพื่อนคนนี้ช่วยครูเก็บของ เพื่อนคนนี้เล่นด้วยแล้วสนุก’

บทเรียนที่  2 ผู้ใหญ่รอบตัวเด็กๆ ควรตระหนักอยู่เสมอว่า การหัวเราเยาะเด็ก การแหย่เด็ก แม้จะทำด้วยความรัก ความเอ็นดู แต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

หากเด็กรู้สึกไม่ชอบ เพราะถ้าเราทำต่อไป เด็กจะเรียนรู้ว่า เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน เขาจะทำเช่นนั้นกับเพื่อนหรือคนอื่นๆ ดังนั้น ถ้ารักและเอ็นดูเขา ให้พูดเอ่ยปากชม หรือ แสดงด้วยการเข้าไปกอด ดีกว่าการเข้าไปหยิกแก้มเด็กด้วยความหมั่นเขี้ยว

บทเรียนที่ 3  ผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างให้กับเด็ก

เด็กทำไม่ได้ เราไม่ล้อเลียนเขา หรือ ขู่ให้เขากลัว แต่เราใช้การสอน และทำให้ดู

เราไม่ซ้ำเติมใคร เวลาที่คนๆ นั้นทำผิดพลาด แต่เราจะสอนเขาให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เวลาเราเจอคนที่ด้อยกว่าเรา เราไม่ดูถูกเขา เช่น ถ้าไม่เรียนหนังสือจะต้องไปเป็นคนขี่สามล้อนะ หรือ อย่าแต่งตัวแบบนี้ไม่งั้นจะเหมือนขอทาน เพื่อสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่น และไม่ดูถูกใคร

ทุกคนแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกัน ทุกคนไม่ต้องเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างนั้น หรือ การเป็นตัวเราเองนั้น ต้องไม่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเดือดร้อน

บทเรียนที่ 4 การหัวเราะเยาะ การเย้าแหย่ การล้อเลียน ไม่ใช่วิธีการเข้าหาเด็กที่ดี

ในผู้ใหญ่ที่เล่นกับเด็ก หรือ เข้าหาเด็กไม่เป็น มักจะใช้วิธีเหล่านี้ หากต้องการเข้าหาเด็กเราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจจากเด็กด้วยวิธีเหล่านี้เลย เพราะนอกจากจะทำให้เด็กหงุดหงิด รำคาญ โมโห

เด็กบางคนอาจจะเรียนรู้ว่า ถ้าอยากเข้าหาคนอื่น เขาควรจะเข้าไปแกล้ง แหย่คนอื่น เขาจะได้สนใจเราได้

เด็กบางคนอาจจะเสียความมั่นใจในตนเองไป เพราะโดนล้อบ่อยๆ เรื่องเดิมๆ ที่เขาทำผิดพลาด

เด็กบางคนอาจจะไม่อยากเข้าหาบุคคลที่ทำเช่นนั้นกับตนอีกเลย พาลให้ความสัมพันธ์ไม่เกิดแล้วยังติดลบอีกต่างหาก

อยากเล่นกับเด็ก เราเข้าไปนั่งดูเขาเล่น บางทีเขาจะชวนเราเล่นเอง ไม่ต้องกังวล เป็นตัวเราเอง และเข้าไปหาเด็กอย่างจริงใจ นั่นคือสิ่งที่ควรจะทำ

การสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก หรือกับใครก็ตาม ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกดี หรือสนุกด้วย เราควรหยุดทำทันที

สิ่งที่ควรทำ คือ การเป็นตัวของตัวเอง และทำในสิ่งดีๆ ให้กับอีกฝ่ายก่อน ถ้าไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งดีๆ สำหรับอีกฝ่าย ลองถามดูก็ได้ว่า เขาอยากให้เราช่วยทำอะไรหรือเปล่า หรือ ถ้าอยากเข้าไปเล่นด้วย ก็เพียงแค่บอกเขาไปเลยว่า “เเม่อยากเล่นกับลูกจัง แม่ขอเล่นด้วยได้ไหม” เป็นต้น

หากเราต้องการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับเด็กๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องกระทำกับเขาด้วยสิ่งที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ชอบ เพราะวิธีการที่ดีกว่า คือ

การมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเด็ก ทำให้เขารับรู้ว่า ความสัมพันธที่มีอยู่จริง ทำให้เขามองเห็นตัวเขาเองและตัวผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น ผู้ใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจจากเด็กด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมอีก

การมีความรักที่ปราศจากเงื่อนไข เพราะความรักที่เรามีให้เขาทำให้เขารักตัวเขาเอง และคนที่รักเขา ซึ่งทำให้เขาอยากทำสิ่งที่ดีงามมากกว่าสิ่งที่ไม่เหมาะสม

การสอนด้วยความมั่นคงอย่างสม่ำเสมอ ผ่านการพูดคำไหนคำนั้น และพูดจริง ทำจริงให้เขาดู เด็กจะเรียนรู้ที่จะทำเช่นเดียวสิ่งที่เราทำ

สุดท้าย ภูมิคุ้มกันทางใจที่ก่อเกิดในตัวเด็กคนหนึ่งสามารถทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้ก้าวร้าว และยืนหยัดเพื่อตัวเอง แต่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

Tags:

กลั่นแกล้ง(bully)การเลี้ยงลูกThe Untold Storiesปฐมวัย

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    Wednesday’s child : แค่ความรักที่พร่อง (ของพ่อแม่) ไม่ได้ทำให้เด็กสูญเสียคุณค่า

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Character building
    ประชาธิปไตย Vs. เผด็จการ เมื่อการเลี้ยงดูสามารถสร้างคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (1)
21st Century skills
24 November 2020

Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (1)

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • “นึกออกมั้ยครับ…ถ้าเราอยากเป็นนักกอล์ฟ เราก็ซื้อไม้กอล์ฟ ซื้อลูกกอล์ฟมาตีกับกำแพง ซึ่งเราอาจใช้เวลา 5 ปีแต่อาจไม่ไปถึงไหน แต่ถ้าเรามีโค้ชที่มาสะท้อน มายืนมองเรา เราอาจลดเวลาเหลือ 2 ปี สิ่งที่ผมมองคือ นี่เลยเป็นที่มาของว่าหากเราสามารถสะท้อนกลับวิธีการเรียนรู้หรือ learning style ที่เฉพาะตัวของเขาได้ ทำให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง น่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างและร่นระยะเวลาของเด็กได้”
  • รู้จักกับ ‘Learning Analytic’ ระบบการวิเคราะห์สไตล์การเรียนเฉพาะบุคคล ทางลัดในการติดตั้งทักษะให้นักเรียน โดยนพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์

“สิ่งที่เราเชื่อคือ ทุกคนมี learning style ของตัวเอง ทุกคนมีวิธีการเรียนรู้ที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวแน่ๆ หน้าที่ของเรา คือ จัดองค์ประกอบในการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เค้าเป็น

“(…)แต่ข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะคือ มันต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราเข้าใจ learning style ของแต่ละคน เราจะใช้เวลาน้อยมากเพื่อพัฒนาทักษะนั้น เช่น ถ้าเราอยากเป็นนักกอล์ฟ เราก็ซื้อไม้กอล์ฟ ซื้อลูกกอล์ฟมาตีกับกำแพง ซึ่งเราอาจใช้เวลา 5 ปีแต่อาจไม่ไปถึงไหน แต่ถ้าเรามีโค้ชที่มาสะท้อน มายืนมองเรา เราอาจลดเวลาเหลือ 2 ปี นี่เลยเป็นที่มาว่า หากเราสามารถสะท้อนกลับวิธีการเรียนรู้หรือ learning style ที่เฉพาะตัวของเด็กได้ ทำให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง น่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างและร่นระยะเวลาของเด็กได้

“กระบวนการสำคัญ คือ การสะท้อนให้เห็น นี่จึงเป็นที่มาที่ของการเอาเทคโนโลยีมาวิเคราะห์และสะท้อนรูปแบบการเรียนรู้เฉพาะของแต่ละคนให้ได้”

นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์

คือคำของนายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี – สฤษดิ์วงศ์ ผู้ซึ่งหากเราเสิร์ชชื่อของเขาในเสิร์ชเอนจิ้นจะพบประวัติการทำงานหลากหลายและข้ามสายไปมา ตั้งแต่… นายแพทย์, บอร์ดบริหารทีมแพทย์เครือโรงพยาบาลกรุงเทพกลุ่มภาคตะวันออก และกรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำระบบข้อมูล (ไอที) ให้กับโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก, ก่อตั้งบริษัท สุขสาธารณะ จำกัด กิจการเพื่อสังคมที่ทำตั้งแต่การไปตะลุยท้องนาเพื่อให้เห็นชีวิตและวงจรการทำนา พัฒนาพันธุ์ข้าวลงลึกระดับยีน จนถึงคลินิกองค์รวมผสานตั้งแต่แพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพร และอาหารออร์แกนิก

ไม่เท่านั้น ก่อนจะเข้ามาลุยงานการศึกษาเต็มตัวด้วยตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิสดศรีฯ นายแพทย์ก้องเกียรติยังสร้างโรงเรียนกาละพัฒน์ ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อยืนยันว่า เด็กทุกคนไม่ได้มีปัญหาด้านการเรียนรู้ เพียงแต่ ‘เสื้อโหลไซส์เดียว’ ที่ตัดมาให้ทุกคนใส่ ไม่สามารถใช้ได้กับเรื่องการพัฒนาคน เรื่องการศึกษา ที่มีความเฉพาะเป็นของตัวเอง

อันที่จริงในมุม ‘การเรียนรู้’ เราคงนั่งคุยกับนายแพทย์ก้องเกียรติได้เป็นวันไม่มีจบเพราะเขาเป็นคนประเภทที่…มองอะไรก็เป็นเรื่องการเรียนรู้ได้ แต่ไฮไลต์ (เด็ด) ที่เราอยากนำเสนอและประกาศให้ทุกคนรู้ (ว่าสิ่งนี้มันมีอยู่จริง!) คือเรื่อง Learning Analytic – ระบบ หรือ การวิเคราะห์การเรียนรู้เฉพาะตัว (Learning Style) เทคโนโลยีช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่า แผนการสอนที่ออกแบบมานั้น กำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ได้จริง ทดลองใช้งานจริงแล้ว และยังได้รางวัลในชุมชนการศึกษาใหญ่อย่าง British Educational Research Association สาขา Best EdTech Paper ในปี 2019 มาด้วย!

ตั้งต้นกันที่ระบบ Learning Analytic ก็จริงอยู่ แต่ตลอดบทความชวนอ่านชีวิต ความคิด การทำงานในประเด็น ‘การเรียนรู้’ ที่นายแพทย์ก้องเกียรติให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘การถ่ายทอดทักษะ’ ซึ่งสำหรับเขามันเป็นเรื่องยาก ใช้เวลา และต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและด้วยตัวเอง (มากๆ) ก่อนที่จะส่งต่อทักษะนั้นให้กับผู้เรียนต่อไป

จริงอยู่ที่เราอยู่ในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับ ‘ทักษะ’ เพราะเรารู้กันแล้วว่า มันไม่สำคัญว่าเราเรียนอะไร แต่เราทำอะไรได้กับสิ่งที่เรารู้ ซึ่ง ‘ทักษะ’ นี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา adapt และ adopt (ตามคำของนายแพทย์ก้องเกียรติ) นำความรู้ในเนื้อตัวไปทำงานในโลกยุคโควิด-19 ที่ทำลาย ‘ความมั่นคง’ แบบเดิมๆ ทิ้งไปสิ้น

ถ้าทักษะนี้สำคัญจริง ชวนกันมาคุยกันจริงจังอีกทีว่าคืออะไร โรงเรียนได้สร้างทักษะเหล่านี้หรือไม่ และเทคโนโลยีอะไรที่จะมาช่วยครูทำงานเรื่องนี้

โดยบทความจะขอแบ่งเป็น 2 ชิ้น ชิ้นแรกว่าด้วยเหตุผลที่ทำให้คุณหมอสนใจ ‘ทักษะ’ ที่มาจากประสบการณ์เรียนรู้ของตัวเขาเอง ชิ้นที่ 2 ว่ากันเรื่อง Learning Analytics ว่าคืออะไร ทำอย่างไร และจะช่วยเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายคนได้จริงอย่างไร (อ่านที่นี่)

… อย่ารอช้า อ่านกันค่ะ 🙂

จากวงการแพทย์ถึงงานการศึกษา อะไรคือจุดเปลี่ยนทำให้คุณหมอเข้ามาอยู่ในวงการศึกษาคะ 

มีสองสามประเด็นฮะ คือเมื่อสัก 15 ปีที่แล้ว ก่อนที่อาจารย์ของผม คือ คุณหมอธาดา ยิบอินซอยจะเกษียณ ท่านเกิดสนใจเรื่องการศึกษา เลยอยากไปดูงานที่โรงเรียนหลายที่ ตามประสาเนอะ…ผู้ใหญ่ไปเราก็ตามไป พอไปก็เลยได้เห็นโรงเรียนในรูปแบบใหม่ เช่น ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาใช้กระบวนการจัดการศึกษาแบบใช้ ‘ปัญหา’ เป็นฐาน หรือ Problem based และทำในจังหวัดที่จนที่สุดในประเทศคือ บุรีรัมย์ ส่วนที่โรงเรียนบ้านสามขา จังหวัดลำปาง ก็ใช้แนวคิด constructivism คือเอาแนวคิดโครงสร้างการจัดการต่างๆ ทางวิศวกรรมมาสอนเด็กในชนบท ตอนนั้นเลยเริ่มแปลกใจว่า เอ้อ…การศึกษามันมีความหลากหลายนะ ไม่ใช่โรงเรียนอย่างสมัยที่เราเป็นเด็กๆ

ประกอบกับตอนนั้นมีลูก เลยเกิดคำถามว่าจะเอาลูกไปเรียนที่โรงเรียนไหนดี ก็เลยเริ่มสนใจอ่านหนังสือต่างๆ แล้วตอนนั้นใครๆ ก็พูดว่าระบบการศึกษาฟินแลนด์ดีนะ เลยออกตังค์เองไปดูโรงเรียนและระบบการศึกษาที่ฟินแลนด์เลย ไปฟังหลายคนคนที่เขาออกแบบการศึกษา ทำนโยบาย พัฒนาระบบ จนถึงไปนั่งคุยกับครูที่โรงเรียน

อีกเรื่องคือ ตอนนั้นลูกอยู่อนุบาล 2 แล้วครูเรียกผมไปพบ บอกว่าลูกเป็นสมาธิสั้น เราก็ตั้งคำถามว่าเด็กที่สมาธิสั้นนั้นเป็นยังไง ครูบอกว่า ก็เด็กมีคำถามอยู่ตลอดเวลาและครูไม่สามารถจัดการให้เด็กอยู่นิ่งๆ ได้ ด้วยความที่เราเป็นหมอเนอะ เราก็เข้าใจว่าลูกเราไม่ได้สมาธิสั้น แต่ลูกเราเป็นเด็กที่อยากถามมากกว่า ตอนนั้นเลยตัดสินใจทำโรงเรียนขึ้นมาเลย

คือเมื่อไรที่เราอยากรู้ว่าอะไรคือปัญหา มันก็มีสองทางเลือก คือ จะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดนั่งบ่นไปเรื่อยๆ หรือลุกขึ้นไปทำเลย ให้มันรู้ไปเลยว่าตกลงปัญหามันอยู่ที่ไหนบ้าง ก็เลยไปทำโรงเรียนกาละพัฒน์ขึ้นมาที่จังหวัดภูเก็ต จัดกระบวนการเรียนการสอน กิจกรรมภายในโรงเรียน โดยเอาความรู้ต่างๆ ที่มีมาประมวลกันแล้วสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เด็ก สนุกมาก

เลยเป็นคุณหมอและคุณพ่อที่มาเปิดโรงเรียน

แล้วพอคนคิดว่า “หมอมาเปิดโรงเรียน” ก็จะมีผู้ปกครอง 2 กลุ่มที่ส่งลูกเข้ามา กลุ่มหนึ่งส่งมาเพราะอยากให้ลูกเป็นหมอ อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งมาเพราะเด็กหลายคนมีปัญหามาจากการเรียนรู้ในระบบ จนกลายเป็นมีเด็กมีปัญหาด้านการเรียนรู้ (Learning disorder) เช่น อยู่ป.2 แล้วยังอ่านหนังสือไม่ได้ โรงเรียนกาละพัฒน์เลยเป็นที่รวมของ X-Men (ยิ้ม)

ตอนนั้นเลยเป็นจุดที่ทำให้ผมเริ่มมาทำความเข้าใจต่อกระบวนการเรียนรู้ของพวกเขาแต่ละคนๆ เลยเห็นว่า เอ้อ…จริงๆ แล้วเด็กไม่ได้มีปัญหาในการเรียนนะ เพียงแต่การเดินทางของคนแต่ละคน จากจุด A ไปยัง B บางคนเดินตรงถึงเลย บางคนอาจเดินวนไปวนมา บางคนหยุดชมนก ชมไม้ แต่ถ้าเราใจเย็นพอ “ไว้ใจ” เขามากพอ เดี๋ยวเขาจะหาทางเดินไปจนถึงจุด B ได้เอง โดยที่เราเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ แต่ระบบการศึกษาของเราบังคับให้ทุกคนต้องเดินทางจากจุด A ไปยัง B ในเวลาเดียวกัน และต้องใช้เป็นเวลาเท่ากันด้วย

เลยเห็นว่าถ้าเราออกแบบการศึกษาให้เฉพาะตัวคนได้ เราน่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กได้ ซึ่งก็เห็นผลจริงๆ ครับ เราจัดการดูแลเขาโดยใช้ความรู้ทั้งทางการพัฒนาการตามช่วงวัย จิตวิทยา และการจัดการเรียนรู้ จนก็เห็นปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในการทำงาน

แต่เราเข้าใจนะ ที่โรงเรียนผมทำได้เพราะห้องหนึ่งมีนักเรียกแค่ 10 คนต่อครู 2 คน ทำงานง่ายมาก แต่ครูที่ต้องดูแลเด็ก 40 – 50 คน จะทำงานเรื่องนี้กันยังไง อันนี้ก็เป็นประเด็นที่ทดเอาไว้ว่า เราคงแก้ปัญหาได้ในกลุ่มเล็กและคนที่มีความรู้ความเข้าใจที่เอาใจใส่ได้จริงๆ แต่โรงเรียนในระบบโครงสร้างปกติ ครูอาจมีความสามารถในการวิเคราะห์แต่อาจไม่มีเวลามากขนาดนั้น

ทำโรงเรียนในฐานะผู้บริหาร แต่เข้าไปเห็น ไปสังเกต pain point พวกนี้จนคิดแก้ไขปัญหา ออกแบบการเรียนรู้จนพัฒนาการเด็กโอเคในที่สุด ทำยังไง 

ถ้าเป็นภาษา design thinking (กระบวนการคิดเชิงออกแบบ) คือ ทำ empathize (ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย) คือไปนั่งดู ไปนั่งสังเกต ดูว่าเขามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งนี้ยังไง ที่โรงเรียนเราถูกออกแบบมาโดยใช้ความรู้ที่มีทั้งหมด เช่น ทางเดิน เราเทพื้นนะแต่เอาหินไปใส่เต็มเลย คือถ้าเดินเร็วหรือวิ่ง ล้มแน่นอน เพราะฉะนั้นตอนเช้าตอนที่ผู้ปกครองมาส่งเด็กๆ เข้าโรงเรียน เขาจะเดินแบบอ้อยอิ่งมาก แล้วข้างๆ จะมีต้นไม้ มีสระน้ำ เขาก็จะเดินชมนู่นชมนี่จนมาเข้าห้องเรียน

พอเข้าห้องเรียนเราก็จะมีกระบวนการทำจิตศึกษาพาไปเดินอีก คือที่โรงเรียนจะมีต้นไม้เยอะมาก เพราะเราไปได้ที่ที่เหมือนป่ารกร้าง เรียกว่าป่ามหัศจรรย์ มันก็จะเป็นกระบวนการคูลดาวน์ ถ้าภาษาทางการแพทย์จะเรียกว่าทำให้ BrainWave คลื่นสมองช้าลง เด็กก็มีความพร้อมในการเข้าสู่กระบวนการเรียน การจัดการเรียนรู้ เราก็จะเอาวิชาบางวิชามาไว้ตอนเช้า บางวิชาไว้ตอนบ่าย เราออกแบบพื้นที่ระดับอนุบาลให้เป็นสนามทรายขนาดใหญ่มาก เด็กเล่นกันเลอะเทอะ ดูสกปรก มอมแมมมาก แต่การเล่นเลอะเทอะ การเล่นดินเล่นทราย คือการระบายความเครียดของเด็กๆ เพราะเด็กไม่มีวิธีการระบายความเครียดอย่างอื่น พอเราจัดองค์ประกอบทั้งเรื่องกระบวนการ รูปแบบการเรียน และพื้นที่ การเรียนรู้มันก็เกิดขึ้น

สิ่งที่เราเรียนรู้ คือ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อเด็กรู้สึกปลอดภัย เมื่อเขารู้สึกปลอดภัย เขาจะเรียนรู้ แล้วเราก็ใช้กระบวนการพัฒนาการของสมอง ล้อไปกับการเรียน เช่น เราเริ่มจากการฟัง ครูจะอ่านนิทานเยอะมาก นึกอะไรไม่ออกอ่านนิทานให้ฟัง พ่อแม่ทุกคนจะมีการบ้านให้อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน พออ่านนิทาน ก็เป็นการสะสมคำศัพท์ พอเขาสะสมคำศํพท์มากขึ้นเขาจะเริ่มพูด การพูดเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเด็กในการเข้าสู่สังคม เพราะเขาจะบอกความรู้สึกได้ ความอึดอัดจะหมดไป เพราะตอนที่เขาโตมาก่อนเข้าอนุบาล ในจักรวาลของเขามีเขากับแม่สองคน ไม่มีคนอื่น ฉะนั้นพอเขาอยู่กับคนอื่นมันก็เกิดพื้นที่ที่ต้องปะทะกัน ถ้าเขาไม่มีคำศัพท์ในการบอกความรู้สึก เขาก็จะทะเลาะ และรู้สึกไม่ปลอดภัย

หรือ ที่โรงเรียนเราจะมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น เสื้อนอนก็ต้องเป็นเสื้อที่ติดกระดุม กระบวนการเหล่านี้ทำให้ได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก เด็กบางคนกว่าจะเขียนได้ กว่าจะอ่านได้ก็ป.2 ซึ่งเราบอกผู้ปกครองว่าต้องใจเย็นๆ นะ มันไม่มีใครใช้นาฬิกายี่ห้อเดียวกันทั้งโรงเรียน ฉะนั้น เราต้องทำงานกับผู้ปกครองให้ไม่สามารถอวดลูกกับคนอื่นได้ว่าลูกฉันคัดก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูกได้ แต่สุดท้าย เราจะพบว่าทุกคนไปด้วยกัน

แต่ทั้งหมดทั้งมวล สิ่งที่เราเชื่อคือ ทุกคนมี learning style ของตัวเอง ทุกคนมีวิธีการเรียนรู้ที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวแน่ๆ หน้าที่ของเราคือจัดองค์ประกอบในการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาเป็น

แปลว่าคุณหมอสนใจเรื่องกระบวนการเรียนรู้อยู่แล้ว แล้วยิ่งมีข้อมูลและประสบการณ์ที่ยืนยันว่าการพัฒนาการศึกษาต้อง ‘เป็นเรื่องเฉพาะตัว’

ใช่ครับ แต่สิ่งที่คาใจอยู่คือ แล้วเราจะสเกลหรือขยายผลยังไง? เพราะปัญหาการศึกษาไม่ได้เป็นปัญหาของแค่คนในพื้นที่โรงเรียนนั้นโรงเรียนเดียว แต่เป็นปัญหาของทั้งประเทศ หรือเผลอๆ เป็นปัญหาของทั้งโลก คำถามที่เกิดขึ้นคือ โอเคเราทำได้ เรามีความสุขละ เราจะสเกลยังไง

ก่อนจะมาเป็นเลขาฯ ที่มูลนิธิ ผมก็เป็นกรรมการมูลนิธิสดศรีฯ มาก่อน ก็ได้ฟังปัญหาและโจทย์การศึกษาต่างๆ เราพบว่าในช่วงที่ผ่านมามูลนิธิก็พยายามปฏิรูปการศึกษามาตลอดโดยใช้กระบวนการการพัฒนาครู แต่สิ่งที่ผมเห็นและสะท้อนคือ มันไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง เราใช้พลังมาก เราใช้ทรัพยากรมากในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาครู ที่ผมคิดคือ แล้วกระบวนการที่นำไปสู่โรงเรียนนั้น มันผ่านการคิด ผ่านการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้วหรือยัง?

ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ การจะให้ยาตัวหนึ่ง โอ้โห…กระบวนการมากมาย แต่พอมาเห็นระบบการศึกษา ประกาศไปว่า ‘ปีนี้เราจะทำเรื่อง’ แล้วก็โยนโครมลงไปโดยที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กเป็นยังไง ผมคิดว่ามันอาจมีสุญญากาศของความสูญเสียโอกาสไปเลย พอได้มีโอกาสเป็นเลขาฯ เลยพยายามจะหาวิธีว่าจะทำยังไงที่จะแก้โจทย์พวกนี้แล้วสามารถสเกลมันได้ 

แปลว่าคีย์เวิร์ดคือ การสเกลหรือขยายผล โดยใช้เทคโนโลยี? 

ผมไปปรึกษาคุณหมอประเสริฐ (นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ อดีตเลขาธิการมูลนิธิสดศรีฯ) ท่านเป็นจิตแพทย์ แกก็บอกให้ไปดูสตาร์เทรค (Star Trek) ไปดูกัปตันเคิร์ก (เจมส์ ที เคิร์ก) ก็เลยได้ความคิดว่า เออใช่… ถ้าเราอยากไปข้างหน้าเพื่อแก้ปัญหาต้องใช้ยานยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ เราต้องหาวิธีวาร์ป (warp) ไป เราจะมานั่งทำง้องแง้งๆ ทีละเรื่องๆ เทรนด์ครูทีละไม่กี่คน มันคงไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเราจะเอาเทคโนโลยีอะไรที่จะมาช่วยในการแก้ปัญหา

แล้วทำไมถึงตั้งต้นด้วยเทคโนโลยี

เพราะเป็นวิธีเดียว ถ้าต้นทุนมีแค่นี้ และยังมีเรื่องให้แก้อีกเยอะมาก และถ้าต้องการแก้อย่าง ‘ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้’ เทคโนโลยีน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาการศึกษา

เราตั้งประเด็นกันว่าเราอยากทำให้เกิดความเท่าเทียมทางการศึกษา เราก็มาจับประเด็นกันว่า ทำยังไงเด็กถึงจะเท่าเทียมได้ ทั้งแง่ความรู้ ทักษะ และทัศนคติ ซึ่งเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จ อย่างความรู้ เด็กต่างจังหวัดแพ้เด็กกรุงเทพฯ แน่นอนเพราะเขาไม่มีครูติว ไม่มีครูสอน แต่ปัจจุบันดีขึ้นตรงที่ว่ามันมีออนไลน์ มียูทูป มีนู่นนี่นั่น แต่สิ่งที่เด็กต่างจังหวัดอาจมีโอกาสเหนือกว่าเด็กกรุงเทพฯ คือ ทักษะ ถ้าเราทำให้เขามีทักษะการเรียนรู้ หรือทักษะต่างๆ ได้ เขาน่าจะชนะ นี่คือสิ่งที่พวกเราคิด ซึ่งไม่นับรวมว่าเด็กทุกคนควรได้ทักษะด้วยไม่ใช่แค่ความรู้อย่างเดียว

แต่ข้อจำกัดของการพัฒนาทักษะคือ มันต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจ learning style เราจะใช้เวลาน้อยมากเพื่อไปให้ถึงทักษะ

นึกออกมั้ยครับ…ถ้าเราอยากเป็นนักกอล์ฟ เราก็ซื้อไม้กอล์ฟ ซื้อลูกกอล์ฟมาตีกับกำแพง ซึ่งเราอาจใช้เวลา 5  ปีแต่อาจไม่ไปถึงไหน แต่ถ้าเรามีโค้ชที่มาสะท้อน มายืนมองเรา เราอาจลดเวลาเหลือ 2 ปี สิ่งที่ผมมองคือ นี่เลยเป็นที่มาของว่าหากเราสามารถสะท้อนกลับวิธีการเรียนรู้หรือ learning style ที่เฉพาะตัวของเขาได้ ทำให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง น่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างและร่นระยะเวลาของเด็กได้

อย่างผม ผมจบแพทย์มาได้ด้วยความลำบากมากเพราะผมเป็นคนฟังคนไม่รู้เรื่อง เวลาอาจารย์ฉายสไลด์ ผมก็… (ทำหน้าหลับ) ไปพร้อมกับไฟที่ปิด นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่ทำให้ผมจบมาได้คือ ผมรู้ว่าวิธีการเรียนให้ชนะของผมคืออะไร ผมรู้ว่าผมจะอ่านหนังสือยังไง สุดท้ายผมหาวิธีการจนผมไปในสิ่งที่ผมต้องการได้ ฉะนั้น ผมคิดว่าทุกคนน่าจะรู้วิธีการเรียนรู้ของตัวเองอย่างงี้ได้ แต่คุณต้องเห็น ต้องรู้ ต้องตั้งคำถาม แปลว่ากระบวนการสำคัญคือการสะท้อนให้เค้าเห็น นั่นก็เลยเป็นที่มาที่ไปที่เราจะเอาเทคโนโลยีมาวิเคราะห์และสะท้อนกลับมาให้ได้

เคยฟังเรื่องการเรียนรู้ทักษะจากครูของคุณหมอ ซึ่งมันเห็นภาพการถ่ายทอดทักษะว่าเป็นเรื่องยากและใช้เวลา อยากให้ช่วยเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ

ตอนที่ผมเป็นนักเรียนแพทย์ ความใฝ่ฝันของนักเรียนแพทย์ผู้ชายคือ อยากเป็นหมอผ่าตัด เพราะ โห…พระเจ้า มันเท่อะ เท่มาก แต่ปัญหาที่สำคัญคือ อาจารย์ผมผ่าตัดเก่งมาก ผมยืนช่วยผ่าตัดอยู่ฝั่งตรงข้าม หน้าที่ของผมคือเปิดพื้นที่ให้อาจารย์มองเห็นได้ชัดที่สุด ส่วนผมจะถือกรรไกรไว้อันนึงเพื่อรอเวลาอาจารย์บอกว่า “ตัดไหม” แล้วผมก็ตัดไหม คำถามคือ ผมต้องยืนถือแบบนี้กี่ชั่วโมงถึงจะผ่าตัดเก่งเท่าอาจารย์? ผมเคยต้องช่วยผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจเด็กที่ผิดปกติ สิ่งที่ทำคือ ผมต้องอ่านหนังสือเยอะมากเพื่อจำภาพนั้นให้อยู่ในหัวแล้วก็ไปยืนช่วยแบบนั้นเหมือนเดิม เพราะไม่มีใครปล่อยให้นักศึกษาแพทย์ปี 6 ไปผ่าตัด คำถามคือ ผมต้องผ่าคนไข้กี่คนที่อาจต้องตายเพื่อให้ผมเก่ง?

ฉะนั้น การถ่ายทอดทักษะเป็นคำถามที่รบกวนจิตใจผมมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา เพราะเราแทบไม่รู้เลยว่าเราจะไปให้ถึงเป้าหมายอย่างคนนี้ได้ยังไง และเส้นทางนี้มันต้องมีคนล้มตายบาดเจ็บกันสักเท่าไร เราไม่สามารถจะทำนายได้เลย เพราะคนไข้ไม่ใช่รถยนต์ที่มาตามสายพานที่ผมมีหน้าที่ไขสกรูให้ทันเวลา ตรงเวลา แล้วผมจะเป็นคนที่เก่งมากเพราะสกิลเซ็ตซ้ำๆ  แต่คนไข้จะเปลี่ยนไปตลอดเวลา

พอมาทำเรื่องการศึกษาก็เห็นปัญหา ตอนที่ผมทำโรงเรียน เราประกาศรับคนที่ไม่ได้จบครู เพราะเชื่อว่าเราอยากจะเห็นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าจะเห็นกระบวนการสั่งสอนนักเรียน เพราะคนที่มีฐานความรู้อยู่แล้วจะเริ่มด้วยการถ่ายทอดความรู้ หนักหน่อยคือสั่งสอน ซึ่งผมไม่คิดว่าเราจะเห็นปรากฎการณ์การเรียนรู้จากสิ่งนั้น เราอยากเห็นครูพัฒนาการเรียนรู้และรู้ว่าฉันจะถ่ายทอดให้กับเด็กยังไง

ผมสัมภาษณ์ครูคนหนึ่งเข้าทำงานที่โรงเรียน เขาบอกว่าตลอดช่วงชีวิตของเขาสอบคณิตศาสตร์แล้วตกตลอด เขาบอกว่าเขาไม่เข้าใจคณิตศาสตร์ ผมสัมภาษณ์เขาเสร็จผมขอให้เขาเป็นครูคณิตศาสตร์ เขาตกใจมาก เขาบอกว่า คุณหมอ…มันผิดรึเปล่า? เขาจบป.ตรีมาก็จริงแต่คณิตศาสตร์เป็นยาขมสำหรับเขานะ ผมก็ถามเขาต่อว่าทำไมเป็นยาขม เขาบอกว่าตอนเรียนเขาทำผิดแล้วครูในอดีตก็จัดการเขา มันเลยทำให้รู้สึกว่าคณิตศาสตร์ไม่สนุก ไม่น่าเรียน ทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็ยังขอให้เขาเป็นครูคณิตศาสตร์

จากนั้นเราพยายามหาเครื่องมือ หาวิธีการ ซึ่งผู้ปกครองก็ต่อต้านเยอะมากเพราะรู้สึกว่าเขาไม่รู้คณิตศาสตร์แล้วคุณให้มาสอนคณิตศาสตร์ได้ยังไง? แต่เรามองว่า คณิตศาสตร์ในระดับป.1 – 6 มันไม่ได้มีเรื่องมหัศจรรย์อะไร นึกออกมั้ยครับ? มันไม่ใช่แคลคูลัสชั้นสูง ต้องทำอินทิเกรชันห้าชั้นหกตลบ แต่สิ่งที่พบคือ ครูออกแบบการเรียนรู้ให้ตัวเองก่อนจนเข้าใจแล้วถึงไปทำกับเด็ก เด็กจึงสามารถเรียนรู้กระบวนการนั้นได้ ถ้าเราตัดสินใจเอาครูที่เก่งคณิตศาสตร์ จบคณิตศาสตร์มาเขาอาจไม่เข้าใจว่าเธอไม่รู้เรื่องได้ยังไง มันง่ายแค่นี้

ผมเลยเป็นคนที่เชื่อว่าถ้าเราอยากถ่ายทอดทักษะ เราต้องรู้วิธีการได้มาซึ่งทักษะนั้น แล้วจึงจะบอกคนถัดไปหรือส่งต่อได้ว่า นี่ล่ะ…มันทำอย่างนี้ มันสำคัญมากที่เราต้องเห็นกระบวนการเหล่านี้ในครูก่อนจะไปถึงเด็ก

ความคิดที่ว่า ‘ครูถอดกระบวนการเรียนรู้ของตัวเองก่อนแล้วค่อยถ่ายทอด’ มากกว่าการสอนสิ่งที่ครูเคยถูกสอนมา ได้มาตอนไหน

ส่วนหนึ่งอาจเป็นที่ตัวผม ผมเป็นคนที่คิดสั้น นึกอยากทำผมก็ทำโดยไม่กังวลว่าผมจะมีความรู้รึเปล่า อย่างตอนที่ผมทำระบบให้กับโรงพยาบาล ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่รู้ทุกอย่าง แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเห็นเป้าหมายชัด เดี๋ยวเราหาทางเจอเอง บางครั้งความรู้ที่มีมากเกินไปมันรัดตัวเราครับ แล้วมันก็จะบอกว่า “เพราะฉันรู้ เธอจึงต้องเชื่อฉัน” และอาจเป็นที่ผมเองถูกสอนมาแบบนี้ด้วยนะ เนื่องจากผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ‘เกรดนิยม’ อันดับหนึ่ง ไม่ใช่ ‘เกียรตินิยม’ นะ ‘เกรดนิยม’ คือเกรด 2.2 มันเป็นเกรดของคนส่วนใหญ่ (ยิ้ม)

คือ เวลาอ่านเอกสารงานวิจัยกับอาจารย์ เราก็แปลความคิดของเราอย่างหนึ่ง แต่ผมโชคดีที่อาจารย์ไม่ได้บอกว่า “เฮ้ย ผิด” อาจารย์ผมจะบอกว่า “ผมอ่านอันนี้แล้วคิดแบบนี้… คุณลองอ่านดูใหม่นะ” อาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้ผม แต่บอกวิธีคิดว่า เมื่ออ่านสิ่งเหล่านี้ อาจารย์เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าผมมองไม่เห็น สิ่งที่ต้องเรียนรู้คือ “ทำไมเขามีวิธีคิดแบบนี้นะ ทำไมเราถึงมองไม่เห็นภาพแบบนี้” แต่ถ้าอาจารย์ผมเก่งดุจเทพ แล้วบอกว่า “โห หมอ หมอช่างโง่จริงๆ คนทั่วไปเขายังอ่านรู้เรื่องเลย ทำไมหมอโง่แบบนี้ อ่านไม่รู้เรื่อง” ผมก็ไม่มีความอยากจะอ่าน นึกออกไหม? คือไปทีไรก็แพ้ทุกที ผมแพ้อยู่แล้วเพราะผมจ่ายเงินมาเรียนหนังสืออะ ถ้าผมรู้เท่าอาจารย์ผมจะมานั่งทำแมวตรงนี้ทำไม (หัวเราะ)

ทักษะอย่าง critical thinking (การคิดอย่างมีวิจารณญาณ), decision making (การตัดสินใจ) พวกนี้ ถือว่าเป็นทักษะขั้นสูงและไม่สามารถบอกได้ว่าผิดหรือถูก มันแค่บอกว่า “ผมคิดแบบนี้ คุณคิดยังไง” เพราะงั้นจะเริ่มแลกเปลี่ยน pattern หรือ รูปแบบการเรียนรู้ระหว่างกันได้ อาจารย์ก็จะเห็นว่า โอเค…เขามีวิธีคิดหรือ ตรรกะ (logic) แบบนี้ วิธีที่จะยกระดับตรรกะ ก็ต้องท้าทายด้วยสิ่งนี้ 

อ่านตอนที่ 2 ต่อได้ที่ Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)

Tags:

นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์Learning Analyticระบบการศึกษา21st Century skillsGeneration of Innovator

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Education trend
    Learning Analytic: วิธีวาร์ปไปแก้ปัญหาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • 21st Century skillsSocial Issues
    การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel