อย่ากลัวว่าเราจะไปถึงเป้าหมายช้า อย่ากลัวว่าเราจะใช้เวลานานในการทำฝันให้เป็นจริง Life is a marathon, not a sprint ชีวิตเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเวลา ด้วยจำนวนครั้งของความสำเร็จ หรือด้วยความผิดพลาด แต่ชีวิตเราเหมือนการวิ่งระยะไกลในการตั้งเป้าหมายไว้เพื่อไปให้ถึง จะช้าหรือเร็วก็อยู่ที่พลังของเราค่ะ
อ้างอิง *เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์. (2559). ความสัมพันธ์ระหว่างความหวังและสุขภาวะองค์รวมโดยมีความเพียรและความเครียดเป็นตัวแปรกำกับ. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Duckworth, A. (2016). Grit: The power of passion and perseverance. Scribner/Simon & Schuster.
สิ่งหนึ่งที่ครูหม่อมชอบในห้องเรียนปฐมวัยที่อเมริกาก็คือว่า การเป็น lead teacher ก็ไม่ได้แปลว่า lead teacher forever ไม่ได้เป็นตลอดไป ใน 5 วัน ก็อาจมีสัก 2 วัน ที่ครูผู้ช่วยขึ้นมาคิดแผนหรือว่าเป็นผู้นำห้องเรียน ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อว่า หนึ่ง – เด็กๆ ไม่มองว่าใครเป็นผู้นำหรือมี authority มากกว่า แต่เราต้องเป็นที่พึ่งให้เด็กได้ทุกคนไม่วิ่งเข้าหาใครคนใดคนหนึ่งสอง – คนที่เป็น lead teacher จะได้พัก เราจะมีวิธีการแบ่ง เช่น พอเราอยู่กับเด็กสักสามชั่วโมง ใครที่ lead หนักๆ หน่อยจะได้พัก แล้วก็หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้พัก คือพักไม่นานหรอกค่ะ ประมาณ 20 นาที แต่กลับเข้ามามัน set zero ได้
ดร.วรนาท รักสกุลไทย: อยากจะสนับสนุนครูหม่อมนิดนึงค่ะ คือในฐานะผู้บริหาร ต้องบอกว่าตลอด 30 กว่าปีที่บริหารโรงเรียนมา ป้าหนูมองว่าการพัฒนาบุคลากรครู ครูผู้ช่วย ครูพี่เลี้ยง ระบบ support ในไทยกับที่ครูหม่อมเล่ามันแตกต่างกันมากมาย เช่นตอนนี้กระบวนการหนึ่งที่สมาคมปฐมวัยแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา (National Association for the Education of Young Children: NAEYC) ทำ เรียกว่า power to the profession หรือการเสริมพลังวิชาชีพ โดยให้องค์กรทั้ง 15 องค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาผนึกกำลัง ช่วยกันพัฒนา growth mindset ของครู
นอกจากนี้ยังมีการควบคุมคุณภาพจากกระทรวงสุขภาพเเละบริการมนุษย์สหรัฐ (United States Department of Health and Human Service) ที่เข้ามาตรวจปีละ 2 – 3 ครั้ง โดยไม่บอกก่อน ดังนั้น คุณครูต้องพร้อมในการสอนเเละดูเเลเด็กๆ ตลอดเวลา
ในทุกๆ ปีโรงเรียนต้องส่งเอกสารการดำเนินการเหล่านี้ให้กับกระทรวงสุขภาพเเละบริการมนุษย์สหรัฐ (United States Department of Health and Human Service) ในการประเมินคุณภาพ ซึ่งจะร่วมกับการมาตรวจโรงเรียน ที่มีการตรวจทั้งความสะอาด อาคาร สนามเด็กเล่น การเรียนการสอน นโยบายของครูและโรงเรียน และทุกๆ สองปีบุคลากรทุกคนในโรงเรียนก็ต้องเรียนและสอบ CPR , First Aid (การปฐมพยาบาลเบื้องต้น) เพื่อรักษาคุณภาพองค์รวมของโรงเรียน (ยังไม่รวมถึงระดับดาวในการรักษาคุณภาพองค์รวมระดับสากลทุกสามปี)
ก่อนเปิดเรียน ครูทั้งห้องจะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเพราะจะได้ดูว่าเด็กเป็นยังไง ดูสภาพเเวดล้อมที่บ้านว่าเวลาอยู่บ้านเป็นยังไง จะได้รู้ว่ามีเด็กที่ต้องการความดูแลพิเศษแบบไหนบ้าง แล้วเราจะต้องเตรียมตัวยังไง เรามีเวลาคุยกับพ่อแม่เขาแบบ one on one พ่อแม่อยากรู้อะไรถามมา เเละมี Open Door policy พ่อแม่อยากมาพบครูเมื่อไหร่นัดเวลามาได้เลย (เราสามารถขอล่ามได้ด้วยในกรณีที่พ่อแม่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่) โดยปกติมีการคุยและประชุมพ่อแม่ผู้ปกครองทุก 3 เดือนอยู่แล้ว อันนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละแห่งด้วย เท่าที่ทำงานมาเราเชื่อว่าครูกับพ่อแม่ต้องทำงานร่วมกัน เพราะไม่งั้นเด็กคือคนที่จะไม่ได้อะไรเลย
เส้นทางของการเป็นครูผู้ช่วย (Child care assistant) หรือ Educator ในออสเตรเลียจะต้องเรียนหลักสูตร ‘Certificate III in Early Childhood Education and Care’ เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน เเต่ถ้าต้องการจะทำในตำเเหน่งที่สูงขึ้นเป็นครูประจำชั้น หรือ Room leader จะต้องเรียนต่อในระดับ ‘Diploma’ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง และหากต้องการเรียนเพิ่มจนจบปริญญาตรีจะต้องเรียนต่ออีกประมาณ 2 ปี หรือใครแน่ชัดว่าชอบเป็นครูจะเรียนปริญญาตรี (Bachelor of Early Childhood Education) 4 ปีเลยก็ได้
ซึ่งคุณสมบัติของ Family Day Care educator ที่ออสเตรเลียระบุไว้ชัดเจนตามกฎหมายว่าต้องมีคุณสมบัติ คือ 1) สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรระดับ 3 ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาและการดูแลเด็ก (Certificate Ill level education and care) 2) มีใบรับรองการผ่านการอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการทำซีพีอาร์ (First aid and CPR) รวมถึงการจัดการภาวะฉุกเฉินของโรคหอบหืดและภาวะภูมิแพ้ 3) ผ่านการประเมินประสบการณ์ทำงานร่วมกับเด็ก ไม่เคยมีประวัติการทำร้ายเด็ก (Working with children check) 4) ต้องมีใบรับรองประวัติอาชญากรรม (Police Check) 5) มีใบรับรองแพทย์ สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคติดต่อ สุขภาพจิตดี
หน้าที่ของ Family day care educator จะเป็นคนดูแลและให้ความรู้เด็กทั้งสี่คนเองทั้งหมด แต่จะมี Family Day Care Coordinator มาเยี่ยมที่บ้านทุกๆ 1 – 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อตรวจบ้านและตรวจงานต่างๆ ของ educator คอยให้ความรู้เพิ่มเติม ให้ความช่วยเหลือในกรณีมีข้อสงสัยหรือเด็กมีปัญหา Family Day Care Coordinator จะต้องมีวุฒิ Diploma in Early Childhood Education
ส่วนใน Pre-school และ Child care center บทบาทของครูประจำชั้น หรือ Room leader (Diploma in Early Childhood Education) จะเป็นคนทำโปรแกรมการเรียนรู้ว่าในแต่ละวันเด็กจะทำกิจกรรมอะไร ซึ่งคอยดูจากความสนใจของเด็ก แล้วจะมี Child care assistant (วุฒิ Certificate III in Early Childhood education) ช่วยดูแลเด็ก และนอกจากครูประจำชั้น และครูผู้ช่วยแล้ว ยังมี ECT (Early Childhood Teacher)เป็นครูที่ดูภาพรวมทั้งหมดซึ่งจะจบปริญญาตรี
นอกจากการสอนพื่อพัฒนาความรู้ของเด็กแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับการเป็นครูคือจะต้องช่างสังเกตในสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและถ้าเด็กมีปัญหาจะต้องรู้วิธีที่จะรับมือเพื่อไม่ให้เด็กเกิดอันตราย ครูและ educator จะต้องอบรมเรียนการปกป้องเด็ก (Child protection training) ทุกๆ สามปีนอกเหนือจากการเรียนวิชา Identify and respond to children and young people at risk ในหลักสูตร และจะต้องเรียนเพิ่มเติมในเรื่อง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น (First aid and CPR) และเรียนรู้การรับมือกับหอบหืดและภูมิแพ้ (Asthma and Anaphylaxis) เด็กๆ ที่ออสเตรเลียเป็นโรคหอบหืดกับภูมิแพ้กันค่อนข้างเยอะ เด็กบางคนเป็นหนักมากจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นจึงให้ความสำคัญกับการเรียนปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งใบรับรอง CPR ต้องต่ออายุทุกปี และใบรับรองหลักสูตรปฐมพยาบาลต้องต่ออายุทุก 3 ปี
ระบบควบคุมคุณภาพและพัฒนาครู
ทุกรัฐจะมีกรอบตัวชี้วัดพัฒนาการของเด็ก และครูจะสังเกตพัฒนาการของเด็กอยู่ตลอด โดยใช้ Early Year Learning Framework เป็นแนวทางเพื่อดูว่าพัฒนาการของเด็กสมวัยตาม Developmental Milestones หรือไม่ และมีคู่มือ (guideline) ที่คอยดูว่าที่เราสอนเด็กไปตรงกับข้อไหน เด็กสามารถทำตามสิ่งที่ควรจะได้ทำตามวัยไหม เป็นมาตรฐานเหมือนกันทั้งประเทศ
ส่วนการประเมินโรงเรียนจะใช้ระบบ ‘Assessment and Rating’ จากกระทรวงศึกษาธิการ (Department of Education) ที่ออสเตรเลียใช้ National Quality Standard เป็นกรอบในการชี้วัด จะได้รับแจ้งล่วงหน้าก่อนการตรวจทุกๆ 2 – 3 ปี ไม่ได้ตรวจเเค่สถานที่ เเต่รวมถึงวิธีการเรียนการสอน การเก็บข้อมูลเด็ก ความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม สุขภาพและความปลอดภัยของเด็ก จำนวนครูต่อนักเรียน ความสัมพันธ์ของเด็กกับครู การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง และคุณภาพครู นอกจากนี้ยังมี Spot Check การเข้ามาตรวจโดยไม่บอกล่วงหน้า
ครูปุ๊กทิ้งท้ายว่า การตีเด็กเป็นเรื่องผิดกฎหมายของออสเตรเลีย เพราะฉะนั้นคุณครูควรมีความรู้เรื่องการจัดการพฤติกรรมของเด็ก (Behaviour Management Strategies) เช่น เวลาพูดกับเด็กควรย่อตัวลงให้อยู่ระดับใกล้เคียงกับเด็ก เวลาอยู่ใกล้กับเด็กจะทำให้เราได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของเด็กได้ดีขึ้นและจะช่วยให้เด็กสนใจตอนที่เราพูดหรือถาม ฟังในสิ่งที่เด็กพูด และใช้ทักษะการพูดให้เด็กอารมณ์เย็นลงและค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่เขาทำลงไป เเละถ้าเด็กจะต้องได้รับการดูเเลพิเศษ ก็จะปรึกษากับ Family Day Care Coordinator ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลให้คำปรึกษาของ Family day care educator ก่อนที่จะพูดคุยกับพ่อเเม่ให้พาลูกไปพบกับผู้เชี่ยวชาญเเละนักบำบัด
อ้างอิง Quiet: The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking โดย Susan Cain The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You โดย Elaine N. Aron The Princess and the Pea (หรือ The Princess on the Pea) นิทานโดย Hans Christian Andersen
หนึ่ง – Place based community การแบ่งตามพื้นที่กายภาพ เป็นวิธีที่เราคุ้นชินและรัฐนิยมใช้ เช่น มีการแบ่งขอบเขตชัดเจน ซึ่งเป็นได้ทั้งแบบที่ขึ้นทะเบียนและไม่ขึ้นทะเบียน เช่น อยู่ในรั้วเดียวกัน หมู่บ้านเดียวกัน
สอง – Community of Interest ชุมชนที่เกิดจากการรวมตัวกันจากความสนใจร่วม อย่างการติดแฮชแทค #ฉันรักเค้กแมคคาเดเมีย แล้วเราคลิกไปเจอคนที่สนใจร่วมกัน ก็รู้สึกคอนเนคกันได้แล้ว โดยไม่ต้องมี place based ร่วมเลย
สาม – Community of Practice คือชุมชนของคนร่วมอาชีพ เช่น สมาคมวิชาชีพ ก็จะมีสิ่งที่เป็น common มีศัพท์ มีเรื่องที่รู้กันในวงการ เป็นการคอนเนคกันไปได้แบบไม่รู้ตัว
สี่ – Community of Culture อันนี้จะเป็นแบบ ชาติพันธุ์ ศาสนา มีวัฒนธรรมความเชื่ออะไรบางอย่างร่วมกัน เช่น คนจีนเหมือนกัน คนพุทธเหมือนกัน ไปจนถึงการติดสติกเกอร์ ที่เห็นแล้วรู้ว่า อ้อ นี่ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดเดียวกันนิ
ห้า – Community of Resistant คือมีศัตรูร่วมกัน หรือร่วมต้านทาน อย่างเช่น บางชุมชนปกติอาจจะต่างคนต่างอยู่ แต่พอวันหนึ่งจะโดนเวนคืนที่ เลยต้องรวมตัวกันเพราะว่าต้องเกลียดร่วมกันก่อนเพื่อจะจัดการมัน ซึ่งจัดการศัตรูแล้วเราค่อยเกลียดกันใหม่ก็ได้
ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก
How I met your mother ซีรีส์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘เท็ด’ ชายหนุ่มที่เล่าเรื่องให้ลูกๆ ของเค้าฟังถึงการเดินทางในชีวิตกว่าจะมาเจอแม่ของลูกที่เค้าเฝ้ารอและตามหามาตลอดหลายปี แล้วระหว่างทางเค้าก็ได้เจอกับสาวมากหน้าหลายตา เป็นเรื่องราวการเติบโตที่วุ่นวายของเท็ดกับเพื่อนสนิทอีกสี่คนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์เล็กๆ ในนิวยอร์ค