Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2020

โควิด19-เทคโนโลยี-ทัศนคติ ความท้าทายเเละจุดเปลี่ยนระบบการศึกษา: สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
Education trend
21 September 2020

โควิด19-เทคโนโลยี-ทัศนคติ ความท้าทายเเละจุดเปลี่ยนระบบการศึกษา: สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • เราจะเปลี่ยนโลกที่เราไม่รู้ให้เป็นโลกที่เรารู้ทุกอย่างได้อย่างไร ส่วนหนึ่งจากการพูดในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนการศึกษาไทย” โดยดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ณ โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา
  • 3 จุดเปลี่ยนของโลกนั่นคือ โควิด-19, เทคโนโลยี เเละทัศนคติของคนต่อระบบการศึกษาไทย เป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่ต่างจากการล้มของแถวโดมิโน เมื่อจุดหนึ่งล้มลง ก็ต่างกระทบกระแทกต่อกันไปเป็นทอดๆ
  • ชวนหาคำตอบว่า ทักษะของผู้เรียนเเบบไหนที่การศึกษาควรเข้าไปเติมเต็มให้พวกเขาอยู่รอดได้ในโลกที่ไม่เเน่นอนเเบบนี้

โควิด-19 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เทรนด์ของเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยอยู่เเล้วถูกกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วขึ้น เพื่อรองรับการดำเนินชีวิตเเละพฤติกรรมของคนที่ต่างจากเดิม ทำให้คนรับรู้ข่าวสารผ่านช่องทางใหม่ๆ หลากหลายเเพลตฟอร์ม ส่งอิทธิพลต่อความคิดของมนุษย์ต่อปรากฏการณ์ทางสังคม 

ทำให้เราเดินมาอยู่ในจุดที่คำถามส่วนใหญ่ของมนุษย์ยุคนี้ไม่ได้มองว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนเเปลงอย่างไร เเต่กำลังจินตนาการว่าถ้าโลกเปลี่ยนไป พวกเขาจะปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอดบนความเปลี่ยนเเปลงนี้

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

นี่คือมุมมองของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บนเวที TEP@Rayong2020 ในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนการศึกษาไทย” ณ หอประชุม 40 ปี โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา

ดร.สมเกียรติ มองว่าผลกระทบที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จากโควิด-19 ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีจนส่งผลต่อความคิดของผู้คน กล่าวคือ วาระของโลกไม่ได้ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราเท่านั้น เเต่มีผลต่อการจัดการศึกษาที่จะต้องเปลี่ยนเเละปรับตัวไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง 

ตลอดการเสวนา ดร.สมเกียรติ ทำให้เห็นว่า 3 จุดเปลี่ยนของโลก คือ โควิด-19, เทคโนโลยี เเละทัศนคติของคนต่อระบบการศึกษาไทย เป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่ต่างจากการล้มของแถวโดมิโน เมื่อจุดหนึ่งล้มลง ก็ต่างกระทบกระแทกต่อกันไปเป็นทอดๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ สื่อมวลชน ภาคพลังงาน เเละภาคการศึกษา พร้อมชวนหาคำตอบว่า ทักษะของผู้เรียนเเบบไหนที่การศึกษาควรเข้าไปเติมเต็มให้พวกเขาอยู่รอดได้ในโลกที่ไม่เเน่นอนเเบบนี้

จุดเปลี่ยนที่1 โควิด-19: ทดลอง สังเกต ตั้งคำถาม เครื่องมือรู้ทันโลกหลังโควิด 19

“โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของมนุษยชาติ ซึ่งระบบการศึกษาและการเรียนก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้รับผลกระทบไปด้วย”

ดร.สมเกียรติ เปรียบเทียบจุดเปลี่ยนที่ 1 คือ เจ้าโควิด-19 ว่าเป็นการกำเนิดของศักราชใหม่ เพราะโควิด 19 จะเปลี่ยนโลกของเราไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเเง่โรคระบาด เศรษฐกิจที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรมเเละวิถีชีวิตของเรา ใครจะไปคิดว่าในปี 2020 เราจะต้องใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้าน ทั้งยังเปลี่ยนเเปลงสังคม การเมือง เเละทัศนคติของคนในสังคมจากที่มีอยู่เเล้วให้เกิดเร็วขึ้น

“โควิดเร่งการเปลี่ยนเเปลงหรือเทรนด์ที่มีอยู่เเล้วให้เกิดเร็วขึ้นกว่าเดิม  ที่เห็นได้ชัดก็คือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การประชุมหรือการเรียนออนไลน์ สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยคิดว่าต้องทำ เเต่ต้องทำเมื่อเกิดโควิด”  

โรคโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงโลกที่ผลิกผันซึ่งคุณลักษณะของมันสามารถย่อได้เป็น VUCA ย่อมาจาก Volatility (เปลี่ยนไว) Uncertainty (ไม่แน่นอน) Complex (ซับซ้อน) Ambiguity (คุมเครือ) เป็นโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร หรือ Unknown Unknown ซึ่งเราจะอยู่กับโลกแบบนี้อย่างไร และระบบการศึกษาจะช่วยให้เราอยู่กับโลกแบบนี้ได้อย่างไร

Unknown Unknown – สิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร
Known Unknown – สิ่งที่รู้ว่าเรายังไม่รู้อะไร
Unknown Known – สิ่งที่เราไม่รู้ว่ารู้อะไร
Known Known – สิ่งที่เรารู้ทุกอย่าง

อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำให้ Unknown Unknown (สิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร) กลายเป็น Known Unknown (รู้ว่าเรายังไม่รู้อะไร)ได้ ผ่านการสังเกต ทดลอง เช่น ถ้าเราไม่รู้ว่าวัคซีนจะออกมาเมื่อไร สิ่งที่เราทำได้คือติดตามข่าวสารในโลก ถ้าเราอยากรู้ว่าการศึกษาในโลกจะเปลี่ยนไปหลังโควิดอย่างไรเราอาจจะดูว่าประเทศจีนหรือฟินแลนด์จัดการศึกษาอย่างไร ลองตั้งสมมติฐานว่าถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อถึงจุดที่เป็น Known Unknown เราจะรู้ว่าเรายังไม่รู้อะไร 

ทั้งนี้ เราสามารถเปลี่ยน Known Unknown ให้กลายเป็น Known Known ได้ ผ่านการเปลี่ยนความไม่แน่นอนให้เป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นอีกหนึ่งทักษะในการช่วยประเมินความเป็นไปได้ที่มีอยู่หลายทางให้เเคบลง เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้น 

สามารถเปลี่ยน Unknown Known ให้กลับมาเป็น Known Known ได้ผ่านการจัดการความรู้ (Knowledge Management)

ทักษะทั้งหมดนี้คือสิ่งที่โควิดกำลังบอกว่า หากโลกเปลี่ยน ทักษะของคนทำงานเเละการเรียนรู้ในอนาคตก็จะต้องเปลี่ยนตาม เพราะทุกคนต่างจะยืนอยู่บนสิ่งที่เรา ‘รู้’ มากกว่า ‘ความไม่รู้’

จุดเปลี่ยนที่ 2 เทคโนโลยี: เทคโนโลยีการเรียน และ ปัญญาประดิษฐ์ 

จุดเปลี่ยนที่ 2 ในมุมมองของ ดร.สมเกียรติ ที่เป็นผลจากโควิด-19 นั่นก็คือ การเปลี่ยนเเปลงด้านเทคโนโลยีที่ถูกกระตุ้นให้เกิดเร็วขึ้นเนื่องจากตอนนี้นักเรียนไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนก็สามารถเข้าถึงการเรียนการสอนได้ เพราะมีทั้งการเรียนที่โรงเรียน (On ground หรือ On Site) เรียนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ (On Air) เเละเรียนจากที่ไหนก็ได้ เเต่ยังคงโต้ตอบเเละมีปฏิสัมพันธ์เหมือนอยู่ในห้องเรียนได้ (Online) 

รวมถึงอิทธิพลจากความชาญฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่สามารถทำงานได้หลายอย่าง เช่น OpenAI ของ Elon Musk สามารถทำคำสั่งซับซ้อนได้ อย่างเช่น การใช้แขนหุ่นยนต์แก้ปัญหารูบิคได้ เล่นเกมซ่อนหา เข้ามาต่อเติมภาพที่ขาดหายไป ไม่ต่างจากการทำงานของมนุษย์คนหนึ่งเป็นความท้าทายของระบบการศึกษาว่าจะใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีตอบโจทย์การเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

ดร.สมเกียรติเชื่อว่า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเเค่ไหน เเต่เรายังคงต้องการทักษะของคนที่มีองค์ประกอบ 3  อย่าง คือ

  • A – Attitude : ทัศนคติในการใฝ่หาความรู้ มีความใคร่รู้ อดทน เเละมีความรับผิดชอบ
  • S – Skill: ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การสื่อสาร เเละการทำงานเป็นทีม
  • K – Knowledge: ความรู้ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน

“การเรียงลำดับตัวอักษร เอา A – Atiitude หรือทัศนคติขึ้นมาก่อนเพราะทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกที่เปลี่ยนไว ไม่เเน่นอน ซับซ้อน คลุมเครือ รองลงมา คือ S-Skill หรือทักษะต่างๆ เพื่อใช้ในการทำงาน เเละสุดท้ายคือ K-Knowledge ความรู้ เเต่การศึกษาในปัจจุบันสอนเรื่องทัศนคติกับทักษะน้อยเกินไป เเละสอนความรู้มากเกินไป”

จุดเปลี่ยนที่ 2.1 ทักษะศตวรรษที่ 21 ++ 

นอกจากนี้ ดร.สมเกียรติยังมองว่าทักษะศตวรรษที่ 21 เเบบเดิมอาจไม่เพียงพอ เขาจึงเสนอการต่อยอดทักษะเดิมไปอีกหนึ่งขั้น หรือทักษะศตวรรษที่ 21 ++ ที่จะทำให้นักเรียนมีทักษะที่ตอบโจทย์ปรากฏการณ์ทางเทคโนโลยีเเละโควิด-19 ได้ กล่าวคือ นอกจากทัศนคติ (Attitude) ของผู้เรียนที่จะชอบเรียนรู้เเล้ว ต้องมีจิตใจเปิดกว้างมองว่าความไม่เเน่นอนเป็นเรื่องปกติ เปิดใจรับสิ่งใหม่เสมอ กล้าทดลองเเละยอมรับความล้มเหลว 

“คนที่มี Fix mindset จะไม่สามารถอยู่ได้ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การกล้าทดลองและยอมรับความล้มเหลวคือจุดสำคัญ ทุกวันนี้โรงเรียนเเละระบบการศึกษาของเรายอมรับให้มีการทดลอง ยอมรับให้มีการล้มเหลวได้หรือไม่”

ส่วนของการเติมเต็มทักษะ (Skill) เรื่องความคิดสร้างสรรค์ การมองภาพใหญ่โดยใช้ร่วมกับทักษะการสังเกต ทดลองเเละการตั้งคำถาม เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้น

“การอาศัยทักษะต่างๆ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการภาพโลกที่เราไม่รู้ให้เราเห็นภาพว่า ถ้าในอนาคตโลกเป็นเเบบนี้ เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร”

สุดท้ายคือการให้ความรู้ (Knowledge) เเต่ไม่ใช่การเรียนในห้องเรียนเเต่เป็นการเรียนรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก เพราะตอนนี้โลกเชื่อมต่อกันโดยอาศัยเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลก

เมื่อโลกเปลี่ยน การศึกษาจะผลิตทักษะศตวรรษที่ 21++ ให้กับผู้เรียนอย่างไร นับเป็นความท้าทายของระบบการศึกษาไทยว่าจะใช้เวลานานเท่าไรในการต่อสู้กับเเนวคิดเเละกรอบการศึกษาเเบบเดิมกว่าจะนำไปสู่การพลิกหน้าระบบการศึกษาไทยที่จะทำให้นักเรียนไทยอยู่รอดบนเส้นความเปลี่ยนเเปลงเเละความไม่เเน่นอนที่เกิดขึ้นครั้งนี้

จุดเปลี่ยนที่ 3 ทัศนคติ: ปรากฏการณ์ม็อบนักเรียนที่ทำให้เราต้องก้าวทันความคิด(คนใน)ระบบการศึกษา

“โรงเรียนไทยเปลี่ยนไม่ทันเพราะยังติดกับความคิดเเบบเดิมอยู่ เช่น เเม้จะออกกฏหมายห้ามลงโทษนักเรียนที่ถือเป็นการหักไม้เรียวเเต่ทุกวันนี้การใช้ไม้เรียวยังเกิดทั่วไป ทำให้ยังมีการคุกคามนักเรียนในสถานศึกษาจนเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของม็อบนักเรียนที่เกิดขึ้นอยู่ นี่คือปัญหาที่โลกเเละกติกาเปลี่ยนไปเเล้ว เเต่การศึกษาตามไม่ทัน”’

ดร.สมเกียรติ ยกตัวอย่างปรากฏการณ์ม็อบนักเรียนเเละพูดถึงข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเเต่งกาย ทรงผม หรือหลักสูตรการเรียนที่ทำให้นักเรียนคิดว่าระบบการศึกษาไทยยังล้าหลังเเละก้าวไม่ทันความเปลี่ยนเเปลงของโลก

“ข้อเรียกร้องของนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนนี่คือจุดเปลี่ยนการศึกษาในโรงเรียนว่า การศึกษาตามทันเเละความเข้าใจข้อเรียกร้องของนักเรียนได้หรือไม่ หรือการศึกษาจะอยู่ที่เดิม”

เขายังชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่เเค่โควิด-19 เเละการเปลี่ยนเเปลงทางด้านเทคโนโลยีที่การศึกษาจะต้องตามให้ทัน เเต่จะต้องเท่าทันทัศนคติของนักเรียนเเละผู้ปกครองที่เปลี่ยนไปเช่นกัน กล่าวคือทัศนคติของนักเรียนที่กล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญมากขึ้นเเละการเลี้ยงดูของพ่อเเม่ที่เรียนรู้ว่าสิ่งไหนจะเหมาะสมกับลูกมากที่สุด

“10 ปีที่ผ่านมาพ่อเเม่รู้เเล้วว่า ถ้าต้องการให้ลูกมีเเรงบันดาลใจภายในตนเอง การบังคับเหมือนระบบการศึกษาเเบบเดิมใช้ไม่ได้เเล้ว ปรากฏการณ์ม็อบนักเรียนคือความท้าทายของระบบโรงเรียนเเละการศึกษาว่า นักเรียนเเละพ่อเเม่เปลี่ยนไปมากเเล้ว เเล้วโรงเรียนเปลี่ยนหรือยัง”

ทั้ง 3 จุดเปลี่ยนสะท้อนให้เห็นว่า หากระบบการศึกษาต้องการจะยืนอยู่บนยอดเขาเพื่อให้เห็นภาพรวมของความเปลี่ยนเเปลง เพื่อที่จะได้วางเเผนการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถตอบโจทย์ความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกที่มีการเปลี่ยนเเปลง ระบบการศึกษาจะต้องเดินออกจากกรอบเดิม เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ เเละเรียนรู้ไปพร้อมกับผู้เรียน

Tags:

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ระยองพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไวรัสโคโรนา(โควิด-19)TEP Forum

Author:

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social IssuesCreative learning
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Education trend
    ‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    TEP@Rayong พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง ความหวังปฏิรูปการศึกษาไทย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Coco (2017): สิทธิที่จะรู้ความจริง และสิทธิที่จะเลือกชีวิตตัวเอง
Dear ParentsMovie
17 September 2020

Coco (2017): สิทธิที่จะรู้ความจริง และสิทธิที่จะเลือกชีวิตตัวเอง

เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • “เราคิดว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะมองสิ่งเดียวกันแต่มีความคิดเห็นต่างกัน รู้สึกต่างกัน อย่างเรากับแม่ มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เรามองสิ่งเดียวกันจากมุมเดียวกัน แล้วรู้สึกเห็นด้วยคล้อยตามกัน ส่วนใหญ่จะต้องมีฟาดฟันเถียงกันตลอด แต่ด้วยพลังแห่งสายเลือดอะ หรืออาจเป็นความจำเป็นที่เราต้องเจอหน้ากันทุกวันอะ หรือว่าอาจเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละของการเป็นครอบครัวเดียวกัน ที่ทำให้ ‘การเห็นต่างกัน’ ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเท่า ‘การที่เราจะโกรธและไม่คุยกัน’ “
มิเกล

Tags:

ภาพยนตร์ความขัดแย้งพ่อแม่

Author & Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Family Psychology
    สานสัมพันธ์พี่ – น้องให้แน่นแฟ้นด้วยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ : ใช้เวลาร่วมทุกข์ – สุขและให้ความยุติธรรม

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!
Early childhoodFamily Psychology
17 September 2020

ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความที่ถอดจาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์
  • ตอนแรกว่ากันเรื่อง คำบางคำ คำพูดติดปากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ที่อาจสร้างบาดแผล สร้างโรคบางอย่าง สร้างโลกบางใบให้กับลูกโดยที่เราไม่รู้ตัว
  • เริ่มกันที่โหมดดุด่า ตำหนิ (อาจมาจากความเป็นห่วง) คำว่า ทำไมโง่อย่างนี้, แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย, ทำได้แค่นี้แหละ , เมื่อไหร่จะเลิกเล่น , โกหก 
สามารถรับฟังในรูปแบบ Podcast ได้ทาง โรคพ่อแม่ทำ EP.1 ที่มารายการ และ รวมถ้อยคำทำร้ายลูก 1

ทำไมโง่อย่างนี้, แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย, ทำได้แค่นี้แหละ , เมื่อไหร่จะเลิกเล่น , โกหก 

Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ รายการที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือโรคพ่อแม่ทำ เขียนโดย ศ.นพ.ชิเงโมริ คิวโกกุ ศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านโรคภูมิแพ้และโรคทางกายที่เกิดจากสภาพจิตใจไม่ปกติ (Psychosomatic Disorder) ได้บันทึกและทำวิจัยเกี่ยวกับโรคที่รักษาว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยเฉพาะการเป็นผู้ปกครองหลังยุคอุตสาหกรรมที่ได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ผู้คนเคร่งเครียดขึ้นและส่งผลทางจิตวิทยาและทางกายต่อลูกๆ หลายโรคดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูโดยผู้ปกครอง แต่เมื่อคุณหมอคิวโกกุแนะนำให้รักษาด้วยการ ‘ห่าง’ จากพ่อแม่ อาการนั้นกลับหายราวไม่เคยเกิดมาก่อน เช่น ประจำเดือนไม่มา หรือมาไม่ปกติ ภูมิแพ้ เป็นต้น

โรคบางอย่างที่เกิดกับลูกนั้น หลายอย่างมาจากความรักและหวังดีของพ่อแม่ (ที่อาจมากเกินไป) คือคีย์เวิร์ดจากหนังสือที่รายการนี้อยากหยิบยกมาพูดถึงต่อ เจาะจงไปที่พ่อแม่มือใหม่ ทำความเข้าใจเพื่อไม่สร้างโรคให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกัน ก็ชวนคนเป็นลูกทุกช่วงวัยเปิดฟังเพื่อกลับไปสำรวจบาดแผลวัยเด็ก ทำความเข้าใจพ่อแม่ในมุมมองใหม่ และฟังเพื่อถอนพิษให้กับตัวเอง

ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์ 

ในตอนที่ 1 อยากจะเริ่มต้นกันด้วยเรื่อง ‘ถ้อยคำ’ ครับ โดยเฉพาะ ‘ถ้อยคำทำร้ายลูก’ เพราะมีหลายถ้อยคำที่เราเคยพูด ไม่แน่ใจว่าคำนี้มันไปสร้างโรคและโลกอะไรให้ลูก ชีวิตเขาจะเป็นยังไงส่วนหนึ่งก็มาจากคำติดปากที่เราใช้กับเขา ตัวอย่างเช่น “ทำไมแกโง่อย่างนี้เนี่ย” “แกทำได้แค่นี้แหละ”, “เห้อ..เมื่อไหร่จะเลิกเล่นสักที” หรือ “นี่เธอไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย” 

รับฟังในรูปแบบ Podcast คลิก

ทำไมโง่อย่างนี้! 

ผมลองลิสต์คำฮิตมาคุยกับครูณาครับ เริ่มกันที่คำแรก “ทำไมโง่แบบนี้” เป็นคำที่เราเผลอกันตลอดเลย และไม่ต้องพ่อแม่พูดกับลูกนะ ผมเป็นพี่ชายก็ยังพูดกับน้องสาวสมัยเด็กๆ แบบนี้เพราะคิดว่าเราคงพูดได้ “ทำไมโง่อย่างนี้” ประโยคนี้มันรุนแรงแค่ไหนครับ

ถ้าเกิดว่าพูดในลักษณะเล่นๆ ไม่ซีเรียส บางคนบอกว่า ที่พูดว่า “ทำไมโง่อย่างนี้” ก็เพื่อปรับเปลี่ยนตัวเขาเองให้ฉลาดขึ้น อย่างนั้นมันใช้ได้ถ้าเด็กคนนั้นมีพื้นฐานที่ดีแล้วเขาก็จะเอาคำเหล่านั้นไปเพื่อแก้ไขตัวเอง 

แต่ลองคิดดูนะ เด็กคนหนึ่ง ตอนที่เขาเกิดมาใหม่ เขาเป็นชีวิตใหม่ เพิ่งเกิดมาใหม่บนโลกใบนี้ ยังไม่รู้ว่า “ฉันคือใคร” ฉันเป็นใครบนโลกใบนี้นะ ฉันมีศักยภาพยังไง ฉันเป็นคนแบบไหน แล้วคำพูดของพ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ที่ไปใส่ว่า “ทำไมโง่อย่างนี้” สุดท้ายสิ่งที่เขาได้มาก็เหมือนเป็นคำสาปว่า ฉันคือคนโง่ๆๆ 

โอเค อาจจะมีเด็กบางคนที่พอรู้สึกว่าตัวเองโง่ วันหนึ่งที่เขาอาจมีแรงฮึด (ลุกขึ้นมาต่อสู้ปรับเปลี่ยนตัวเอง) แต่ไอแรงฮึดแบบนี้ เราต้องรู้ว่ามันมาจากไหน มันก็มาจากฐานเดิมที่เขามีด้านอื่นเข้ามาในชีวิต ทำให้เขารู้สึกรักตัวเอง รู้สึกอยากจะพัฒนาตัวเอง ซึ่งอันนี้แปลว่าเขาไปรับฐานด้านอื่นมาแล้ว แต่มีเด็กจำนวนเยอะมาก เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก ที่เขาเจอคำเหล่านี้แต่ไม่มีฐานอื่นมารองรับเพื่อซัพพอร์ตเขาเลย สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนโง่จริงๆ ดังนั้น เราจะเห็นว่า เวลาชาวบ้านที่สอนลูกในทำนองที่เหมือนกับว่าลูกโง่ หรือโรงเรียนทำให้เด็กรู้สึกโง่ เราจะเห็นคนที่รู้สึกเหมือนตัวเองไม่สามารถพัฒนาอะไรได้จนตลอดชีวิตเยอะมาก 

ยิ่งเป็นเด็กเล็กเขายังไม่มีภาพของตัวเองข้างในจิตใจว่าฉันคือใคร ฉันจะแก้ปัญหาชีวิตของฉันได้ไหม ดังนั้นเวลาที่เราพูดแบบนี้ คือบทสรุปของเด็กหลายคนว่า อ้าว เพราะฉันโง่ใช่มั้ย?

เพราะฉะนั้นคำพูดในทำนองว่า งี่เง่า โง่ ไม่ฉลาดเลย ไร้สาระ ทำไมขี้แงอย่างนี้ เหมือนเราไปสรุปให้เลยว่าเขาเป็นแบบนี้ เขาขี้แง 

ใช่ อย่างพี่เนี่ย ตอนเด็กๆ ก็จะถูกเรียกว่าเป็นคนที่ขี้แงคนนึงนะ คือร้องไห้มากเลย ฉะนั้นเรารู้สึกถึงจิตใจเราเลย เราเลยจะมีคำต่อตัวเราเอง เป็นภาพที่เราเห็นตัวเราเองเป็นเด็กขี้แง 

สมมติว่าเรามีแฟ้มอันหนึ่งที่เราเลือกจดจำว่าตอนนี้ “ฉันคือใคร” แต่ปรากฏว่าเด็กที่ถูกใส่แฟ้มไปมีแต่คำที่บอกกับตัวเองห่วยๆ ทั้งนั้น พอเวลาที่เขาเจอสถานการณ์บางอย่าง ในสมองของเขาจะต้องเลือกว่าเขาเป็นใคร เขาก็ไม่มีต้นทุนด้านอื่น เพราะเขาเพิ่งเกิดมาใหม่ เขาก็เลือกได้แค่ Categories หรือหมวดหมู่ที่โดนผู้ใหญ่พูดมาแบบนี้ 

ถ้าหมวดหมู่ของคำที่พูดมาแบบนี้ มันกลายเป็น ‘แฟ้มคำสาปแช่ง’ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาจะถือมันไปทั้งชีวิตเลย แล้วพอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่ต้องประมวลว่า “ฉันจะใช้คนไหนของฉันดีนะ” เขาก็เลือกโดยที่ไม่รู้ตัวว่า “ก็ฉันเป็นคนขี้แงอะ นิดนึงฉันก็ร้องไห้” 

เคยเจอเคสผู้ใหญ่ที่มาเยียวยากัน เขาเป็นคนที่ร้องไห้ง่ายแล้วก็หยุดไม่ได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขารู้สึกว่า ผู้ใหญ่รู้สึกว่าเขาขี้แง 

ไปค้นแฟ้มก็มีคำนี้อยู่ และมีแฟ้มไม่กี่อันด้วย 

ใช่ ไม่มีแฟ้มที่เข้มแข็ง หรือแฟ้มที่วาดรูปเก่ง แฟ้มที่อยู่ในมือมันมีแต่ที่บอกว่า ไร้สาระ ขี้แง โง่เหลือเกิน เรียนสู้คนอื่นไม่ได้

ประเด็นแรกก็คือ เราควรจะชมเชยเขาให้มีแฟ้มอื่นบ้างในวัย ให้เขาสะสมแฟ้มนี้ไว้ว่าเขามีเหลี่ยมมุมด้านอื่นด้วย คล้ายๆ ว่าเขาเกิดมายังไม่ทันจะโง่เลย ยังไม่ทันจะขี้แงเลย แต่เราไปฝังแฟ้มนั้นไว้เสียแล้ว แต่ก็มีอีกกรณี คือผมคิดถึงตัวเองนะว่าเวลาที่ผมพูดกับคนอื่นว่า “เธอมันขี้แง” ก็เพราะเขาขี้แงจริงๆ เขาร้องไห้เก่งจริงๆ นี่ครับ แบบนี้พูดไม่ได้เหรอ 

ก็ใช่ คือในตามความเป็นจริงเวลาที่เราเห็นเด็กสองคน คนนี้ร้องไห้บ่อย คนนี้ร้องไห้ไม่บ่อย แต่แก่นของเราเวลาไปบอกเขาอย่างนั้น คือเราอยากให้เด็กที่ร้องไห้บ่อยเขาหายร้องใช่มั้ย? เราไม่อยากให้เขาเป็นเด็กขี้แงใช่มั้ย แต่เรากลับไม่รู้ตัวว่าการพูดแบบนี้เป็นการตอกย้ำแฟ้มของเขา 

ไปทำให้แฟ้มเขาหนาเลย 

ใช่ แฟ้มของเขาก็จะเป็นตัวหนาอะ ใครๆ ก็พูดว่าฉันเป็นๆๆ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรพูดตอกย้ำตรงนั้น เพราะยิ่งไปสร้างวงจรในสมองของเขา จากวงจรที่อาจจะ… สมมติต้องเสียใจระดับสิบถึงจะร้องไห้ แต่พอไปพูดเยอะๆ มันก็เหมือนเราไปบัดกรีอยู่ในนี้ เราไปช่วยขยายให้ความเสียใจจากระดับสิบอาจไปสิบห้า และไปช่วยทำให้กลายเป็นวงจร (ร้องไห้ง่าย) นั้นถาวร  

ที่พูดกัน เราเชื่อว่า “เราเผลอ” นะ บางทีพ่อแม่หรือครูก็ทำตามสัญชาตญาณเดิมที่เราถูกเลี้ยงดูหรือเคยได้รับมา เห็นภาพแรกเราก็พูด หรือบางทีที่พูดก็เพราะว่าเหนื่อยใจนะ มันก็เหนื่อยอะ “สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ ทำไมโง่อย่างนี้เนี่ย” และในบางทีเราก็หวังดีด้วย เราอยากให้เขาเปลี่ยนแปลง แต่ทีนี้ถ้าเราจะเปลี่ยนคำพูด เราทำยังไงดี 

สิ่งที่อยากจะบอกคุณผู้ปกครองให้เห็นภาพเลยนะคะว่า เวลาที่เราเห็นพฤติกรรมของลูกเราแล้วเรารู้สึกว่า “ไม่ดีเลย” สิ่งที่ต้องตอกย้ำตัวเองให้ตระหนักเสมอคือ… 

“ถ้าเราพูดประโยคเดิม แต่ยิ่งพูดแล้วเขายิ่งเป็น” อย่างแรกเลยต้องหยุดพูด จริงไหมล่ะ? 

เพราะคำพูดของเรามันไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ทำให้เขาหาย กลายเป็นว่ายิ่งพูดแล้วเขายิ่งเป็น แล้วคนโดยส่วนใหญ่ไม่ตื่นว่า ถ้าฉันพูดตั้งหลายครั้งแล้วแต่ยิ่งพูดยิ่งเป็น ฉันควรจะหยุดนะ อันนี้ที่ต้องตระหนักเลยว่า ไม่ว่าจะชุดคำพูดแบบไหนก็ตาม ถ้าเราพูดกับลูกบ่อยๆ แล้วกลายเป็นว่ายิ่งพูดยิ่งเป็น ให้หยุดก่อน แล้วค่อยมาตามหาว่า เราอยากได้อะไรที่เป็นผลลัพธ์กับเขา แล้วค่อยๆ คิดว่าเอาไงดี 

อย่างคำว่า “ลูกโง่” เนี่ย พูดเพราะเราอยากให้เขาฉลาด เพราะฉะนั้นเราต้องเติมแฟ้มฉลาด ถูกปะ? ให้เขาเห็นแล้วก็หยิบตัวตนเขามาใช้ได้ง่าย ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราก็ต้องมองเขาในวาระอื่น เช่น ตอนที่เขาทำอะไรไม่ได้ ให้เราเงียบไว้ก่อน แล้วก็บอกกับตัวเองว่าฉันจะเติมแฟ้มฉลาด พอเวลาที่เขาทำอะไรที่ฉลาดนิดหน่อย เราก็บอก “โห เวลาที่ลูกทำแบบนี้ แก้ไขปัญหาแบบนี้ได้นะ โอ้ เธอคิดได้ไงเนี่ย” แบบนี้มันมีพลังใจขึ้นมาแล้ว “เออนะ เราก็ทำได้นี่นา” แล้วพอเวลาที่เราตอกย้ำเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งแฟ้มฉลาดของเขามันหนากว่าแฟ้มโง่ มันเด่นกว่า เวลาที่เขาจะทำอะไร เด็กที่เชื่อว่าตัวเองฉลาดและแก้ปัญหาได้ เขาถึงจะมีพื้นฐานที่จะเริ่มสู้กับปัญหา เราก็ต้องไปทำตรงนี้ 

เช่น ลูกพี่คนเล็กที่เป็นนักปั้น แน่นอนว่างานปั้นของเด็กไม่เก่งเหมือนงานผู้ใหญ่ เราต้องเข้าใจนะ ตอนเขาปั้นแรกๆ ก็ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นตัวอะไร แต่ถ้าเราไปพูดว่า “ทำไมปั้นอย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนของจริงเลย” แบบนี้เขาจะอยากทำไหม? สุดท้ายเขาก็จะสะสมความล้มเหลว แต่พี่ก็จะดูงานลูก ค่อยๆ ดู พอเราดูไปเรื่อยๆ เราจะเห็นลักษณะของเขาที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาปั้น แล้วเราก็บอก “โห… นี่ลูกจับโครงสร้างเก่งนะนี่ ไอ้ตรงนี้เป็นดาบแบบนี้ด้วย” พอเราพูดไปแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นเด็กที่จับโครงสร้างเก่ง พอเขาปั้นอย่างอื่นก็จะเริ่มมีพลัง แล้วเราก็ค่อยพูดว่า “โห… ตรงนี้ลูกปั้นได้ละเอียดมากเลย” “ตรงนี้สีลูกเหมือนเนอะ” แบบนี้เขาสะสมความสำเร็จไง สุดท้ายเขาก็จะปั้นด้วยความเชื่อว่า เขาคือนักปั้น 

ในมุมคุณพ่อคุณแม่ อาจจะอยากติให้เขาพัฒนา ถ้ามันไม่สวย เขาควรรู้ว่ามันไม่สวย ในมุมแบบนี้ ครูณาคิดว่าไงครับ

ใช่ คุณจะติเพื่อพัฒนาได้ แต่ตอนนั้นลูกคุณต้องแข็งแรงแล้ว ลูกคูณต้องมีพื้นฐานที่แข็งแรงว่า “ฉันมีศักยภาพ” “ฉันมีความฉลาดที่จะแก้ปัญหาได้” ถูกปะ แต่ถ้าเขาไม่มีพื้นฐานตรงนี้ แล้วเขาก็สะสมว่า “คนโง่ๆๆ” เขาจะเอาตรงไหนมาบอกกับตัวเองว่าเขาแก้ปัญหาได้ คุณติเด็กได้ แต่ต้องรู้ว่าวัยไหนที่ติได้ การที่คุณจะติเด็กได้มันเป็นวัยที่เกือบจะวัยรุ่นไปแล้ว แต่ท้ายที่สุด มนุษย์ทุกคนอยากได้ยินว่า เราเจ๋งอะไร แล้วเราจึงจะมีพื้นฐานไปแก้ปัญหาได้ 

ลองนึกถึงเด็กที่เป็นขวดเปล่าๆ ยังไม่รู้ว่าฉันคือใคร แล้วเราก็ใส่บางอย่างเข้าไปในตัวเขาเพื่อระบุว่าเขาคือใคร แต่สิ่งที่เราใส่ไปก็คือ “เธอคือคนโง่” “เธอทำสิ่งนี้ไม่สวย” เวลาที่เขามองมาที่ตัวเอง ที่ขวดเปล่านี้มันสำคัญมากนะว่า ฉันจะเป็นใครวะเนี่ย ฉันก็เป็นได้ตามที่ผู้ใหญ่บอกมา เพราะว่าฉันไม่มีความรู้ เขาไม่มีประสบการณ์ว่าเขาคือใคร ฉะนั้นในวัยเล็กๆ สิ่งที่เราต้องใส่ให้กับขวดเปล่าขวดนี้คือ ฉันคือคนฉลาด ฉันคือคนที่อดทน ฉันคือคนที่มีความรัก ใส่สิ่งที่สวยงามก่อน เพราะว่าความสวยงามจะเป็นพลังงานที่ทำให้เขาขับเคลื่อนตัวเองได้

ผมในฐานะที่เป็นพ่อ จริงๆ ก็ต้องหัดสงบปากสงบคำ โดยเฉพาะช่วงที่ลูกเล็กๆ จุดตัดที่ผมชอบคือ พูดแล้วก็ไม่มีประโยชน์จะพูดทำไม แต่ประเด็นคือมันอดใจไม่ได้ แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันพูดไปไม่มีประโยชน์ สมมติเขาทำอันนี้ไม่ได้สักที เราก็สู้เงียบไว้ก่อนแล้วค่อยหาแง่มุมอื่น ถูกไหมครับ ค่อยๆ เติม สร้างฐานให้แข็งแรงก่อน เหมือนครูณาเน้นย้ำก็คือ โดยเฉพาะวัยเด็กๆ ต้องระวังนิดนึง

ใช่ พี่ชอบที่เม้งพูดถึง “สงบปากสงบคำ” เพราะว่ามันเห็นภาพจริงๆ คือทุกวันนี้เราต้องเข้าใจว่าสื่อโซเชียลเยอะมาก เหมือนเด็กถูกเติบโตมาในภาวะที่มีคนตะโกนใส่ พูดใส่ตลอดเวลา ดังนั้นจริงๆ เราต้องถามตัวเราเองว่า ชีวิตเรา เราอยากได้ความสับสนวุ่นวายหรือความสงบ? แล้วเด็กที่เกิดมาใหม่ อะไรที่ทำให้เขาแข็งแรงข้างใน มันคล้ายๆ กับเรากำลังจะปั้นดินเหนียวที่จะเป็นลูกเรา เราจะรู้ว่าแป้นหมุนมันต้องบาลานซ์มากๆ แล้วเราก็ต้องมือนิ่งมากๆ คนที่จะปั้นต้องสงบมากๆ อยู่กับมือแล้วค่อยๆ ไล่ดินขึ้นมา แต่ถ้าเด็กที่เรากำลังจะค่อยๆ ช่วยพยุงเขาให้เกิดเป็นรูปร่าง แต่ถ้าเราเป็นคนที่ chaos หรือ เป็นคนที่สับสนวุ่นวาย เขย่าอยู่ตลอด นึกออกไหม? เราจะได้เด็กที่เละเทะ ดังนั้นเวลาที่เรา “สงบปากสงบคำ” มันเป็นคำที่ดีมากเลย เราควรที่จะเรียนรู้ฝึกความสงบในบ้าน แล้วก็ฝึกที่จะใส่เด็กให้สงบ ถ้าพูดแล้วรู้สึกไม่ดี สงบปากสงบคำนั่นแหละยอดเยี่ยม แล้วค่อยไปคิดว่าพูดยังไงแล้วถึงจะดี

แต่ในบางกรณีที่เราต้องพูดความจริง ต้องซื่อสัตย์ เราทำอะไรได้บ้าง 

พี่ก็จะบอกว่าในวัยเด็ก สิ่งที่เขาทำมันต้องมีแง่มุมที่สวยงาม สมมติว่าลูกพี่วาดรูปมาน่าเกลียดมาก แล้วมาถามว่าสวยไหม วิธีการที่จะปลูกฝังเขาก็คือ ให้เราพูดอย่างซื่อสัตย์โดยการมองแง่มุมที่ดี ที่เจ๋งจริงๆ แล้วก็บอกว่า ตรงนี้ลูกทำได้ดีมาก แม่ชอบตรงนี้เพราะอะไร แล้วลูกเขาก็จะรู้ว่าตรงนี้ดี 

ถ้าให้เม้งเห็นภาพง่ายๆ คือ ตอนเด็กๆ เวลาลูกเล่นเปียโนทั้งเพลง ถ้าฟังทั้งเพลงเราก็รู้สึกว่า โอ้แม่เจ้า! ถูกปะ? แต่ถ้าเราตั้งใจฟังทั้งเพลง จะมีบางท่อนที่เขาเล่นได้ดี เพราะว่าเอาจริงๆ นะ 

คนที่เล่นเพลงทั้งเพลง แม้โดยรวมไม่ดีแต่ก็จะมีบางท่อนที่เขาเล่นได้ดี เพราะฉะนั้นพี่ก็จะนั่งฟังลูกเล่นทั้งเพลงเลย เวลาที่เขาเล่นท่อนไหนดีเราก็จะบอกว่า “โห..แม่ชอบท่อนนี้อะ ท่อนนี้เธอเล่นได้แบบนี้” ลูกเราก็จะเอามือเข้าไปเล่นเปียโนแล้วบอกว่า “อย่างนี้หรอแม่”/ “ใช่ ลูกเล่นท่อนนี้ได้จังหวะดี” แบบนี้เขาก็จะจดจำว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดีของเขา แล้วเขาก็เอาสิ่งที่ดีของเขาไปแก้ด้านที่ไม่ดีได้ 

แต่ถ้าเราซัดตูมว่า “โอ๊ย! เธอเล่นเพลงนี้ยังไงเนี่ย ห่วยจัง ทำไมเป็นอย่างนี้!” แล้วไงต่ออะ? เขาไม่มีเครื่องมือไปแก้ไข 

พอนึกภาพออกฮะ คือพอพูดแต่สิ่งที่ไม่ดี มันก็เหมือนชีวิตไม่มีทางออกเลยเนอะ

ใช่ “ทำไมโง่อย่างนี้วะ!” แล้วไงต่ออะ? แล้วเธอจะสอนอะไรเขา หรือเธอต้องการให้เขาเห็นตัวเองว่าผมคนนี้เป็นคนโง่ เพราะฉะนั้นการพูดมันสำคัญมากๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก เขาไม่มีความทรงจำ เขาเรียกว่า Self-actualization คือ การตระหนักรู้ว่าฉันมีศักยภาพอะไร เป็นใคร

“แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย”
และ “เก็บมาเลี้ยง” 

ประโยคที่สองครับ เวลาเหนื่อยสุดๆ โกรธสุดๆ “แกไม่น่าเกิดเป็นลูกฉันเลย” ซึ่งเป็นประโยคที่ผมอ่านเจอในหนังสือของครูณาด้วยว่าเคยพูดกับลูกแบบนั้น และลูกก็พูดกลับด้วยว่า “ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกแม่เลย” เข้าใจว่าบางทีประโยคนี้ก็อาจจะหลุดพรวดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจเป็นเพราะความคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากจะพูดอย่างนี้หรอก แต่ ณ วันนั้นสิ่งที่พอมันพูดออกไป มันทลายหรือทำลายอะไรไปบ้าง เอาจากประสบการณ์ครูณา

ที่เม้งยกตัวอย่างว่าลูกพูดกับพี่ว่า “ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกแม่เลย” เนี่ย เป็นลูกพูดกับพี่ซึ่งมีพื้นฐานที่แข็งแรงพอสมควรในการที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่ได้กับตัวเองคือ พี่ไปหาความรู้ว่า ฉันจะเป็นแม่ที่ลูกอยากจะเกิดมาเป็นลูกฉันได้ยังไง แต่อันนี้มันเป็นคำพูดที่เป็นทางกลับกันกับคนที่ไม่มีฐานเลยนะ เด็กเขาต้องการความรู้สึกว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีค่า 

อันนี้ณาอยากให้พ่อแม่ได้เข้าใจจริงๆ นะ ผู้ฟังคนที่เป็นพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเด็กต้องเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อเขาเป็นวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่แล้วเขาทำอะไรได้สวยงามเนี่ย เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีค่า เป็นมนุษย์ที่มีค่า เพราะฉะนั้นเขาก็จะสร้างความมีค่าให้กับสังคม แต่ตอนที่เขาเล็กๆ ถ้าเราไม่ได้ทำให้เขามีค่า เขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างการกระทำที่ไม่มีค่า ที่ไร้ค่า เพราะว่าเราไปใส่แฟ้มให้เขาแบบนั้น

เชื่อไหม คำพูดว่า “ไม่น่าเป็นลูกเลย” “แกไม่น่าเกิดมาเลย” มันรุนแรงมาก ในคำพูดเป็นหมื่นเป็นแสนประโยค พูดคำนี้ไปครั้งเดียวแต่ลูกอาจจำประโยคนี้ไปทั้งชีวิต แล้วมันทำให้เขาเกิดความสงสัยเสมอเลยว่า “รักฉันไหม ฉันเป็นลูกที่เธอรักไหม” มีเด็กที่ได้ยินประโยคนี้แล้วเขาเจ็บปวดไปทั้งชีวิต 

คำแบบนี้พี่ก็นึกออกอีกคำนึงนะ “เก็บมาเลี้ยง” อย่างนี้ดูไม่รุนแรงเนอะ 

ขำๆ เป็นคำที่พูดบ่อย ชอบหยอกกัน ขำๆ อย่างมีคนหนึ่งหน้าไม่เหมือนพี่น้องคนอื่น ก็จะถูกอำเล่นว่า “เก็บมาเลี้ยง”

พี่ไง คนในครอบครัวพูดบ่อย พอพูดบ่อยมันก็เริ่มเกิดความสงสัย เพราะว่าเด็กเขายังไม่รู้อะไร แล้วเราดันหน้าไม่เหมือนพี่น้อง พี่น้องเราทั้งสวยทั้งหล่อ แล้วเราก็เป็นยัยหน้าจมูกแบน หัวแบน (หัวเราะ) แล้วก็อ้วนเตี้ยอย่างนี้ แล้วพอพูดกับเราบ่อยๆ มันเป็นความสงสัยไง เฮ้ย… จริงไหมวะ แล้วพอเวลาที่เราทุกข์หรืออะไรก็ตาม มีเหตุการณ์ที่มันพ้องกัน ซึ่งสุดท้ายเราจะไปดึงเหตุผลมาประกอบ เช่น ซื้อทุกอย่างให้กับคนอื่น แต่ไม่ซื้อให้เรา เราจะหยิบไฟล์นี้ขึ้นมาเฉยเลย เอ๊ะ..หรือว่าเราไม่ใช่ลูก แล้วพอเมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกเชื่อมโยงเป็นวงจรว่า “หรือเราไม่ใช่ลูก?” คราวนี้วงจรมันจะเริ่มแตกขยาย เหตุการณ์นั้นก็ “หรือว่าไม่รักเรา” “หรือว่าเราไม่ใช่ลูกจริงๆ” 

เชื่อไหมว่ามีผู้ใหญ่หรือคุณแม่บางท่านที่ยังเจ็บปวดกับการที่ แม้กระทั่งพี่เลี้ยงก็คอยพูดกับเขาว่า “โอ๊ย! แม่เขารักคนนั้นมากกว่า” ฟังไปฟังมา สุดท้ายก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง พอโตมาก็ยังคิดว่าจริง คือคำพูดเหล่านี้เราต้องถามตัวเองว่าเราพูดทำไม เราทำไปทำไม 

ความตั้งใจของคำพูดว่า “ทำไมโง่อย่างนี้” “ทำไมขี้แงอย่างนี้” ความตั้งใจคงอยากให้เขาดีขึ้น แต่อันนี้ผมคิดเองนะว่า ประโยคอย่าง “แกมันไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย” นอกจากการอำกัน คนพูดน่าจะอยู่ในจุดที่มีความโกรธประมาณนึง แล้วผมคิดว่าประโยคแบบนี้พ่อหรือแม่ก็น่าจะเสียใจที่พูดออกไป แต่ทีนี้ทำยังไงที่ประโยคนี้มันจะไม่หลุดออกมาจากเรา 

คนส่วนใหญ่ก็ชอบถามพี่เหมือนกันว่าเวลาที่มันโมโหขึ้นมา มันก็ต้องหลุดไป มันไม่ทัน ดังนั้น ตอนที่เราโมโหมันไม่ใช่เวลาฝึกสติ เธอจะฝึกสติตอนที่โมโหมันทำไม่ได้ แต่ตอนที่ผู้ฟังฟังอยู่นี่ล่ะค่ะ ตอนที่เราปกติดีอยู่ จงฝึกสติ ถ้าจะพูดอะไร คิด อย่าพูดพล่อยๆ อย่าสักแต่ว่าพูด ให้คิดก่อนพูด หรือเวลาที่ทำอะไรให้ฝึกรู้ตัว บางทีเราก็ต้องฝึกสมาธิภาวนานั่นแหละ เพราะอะไร? เพราะเอาไว้ใช้ในตอนที่ไม่แข็งแรง ตอนปกติเราก็ต้องฝึกจิตให้แข็งแรง แล้วพอตอนที่เราไม่ปกติ เราโมโห จิตของเราแข็งแรงเราจะฉุกคิดได้เร็ว 

ครูณา เดี๋ยวมีคนเขาไม่สนใจภาวนาเขาก็จะไม่ค่อยเข้าใจมั้ยฮะ (หัวเราะ) หรือเราจะทำยังไงให้ง่ายกว่านั้นฮะ ฝึกพูดน้อยๆ อย่างนี้ได้ไหม

ใช่ อย่างน้อยถ้าอะไรที่ไม่สำคัญหรือไร้สาระ หรือพูดแล้วมันอาจจะทำให้คนอื่นบาดเจ็บก็ไม่ต้องพูด ก็คล้ายๆกับสงบปากสงบคำนั่นแหละ 

“เมื่อไหร่จะเลิกเล่น” 

ต่อกันที่คำว่า “เมื่อไรจะเลิกเล่น” หรือคำว่า “เล่นอยู่นั่น” ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนเราพูดแล้วเด็กไม่ฟังใช่ไหมฮะ ซึ่งคำนี้เป็นคำที่ครูณายกขึ้นมาเองด้วย แต่สงสัยว่าคำนี้ก็ห้ามพูดเหรอครับ มันเป็นยังไง 

คือต้องเข้าใจว่าเด็กยังไม่มีกระบวนการคิดนะ แล้วพอเราไปถามเขา “จะเล่นถึงเมื่อไหร่” เด็กเขาก็จะตอบว่า “แป๊บนึง” แล้วผู้ใหญ่ก็ไปมโนว่า “แป๊บนึง” ของผู้ใหญ่คือเท่านี้ แต่แป๊บนึงของเขามันยังไม่ถึงที่สุด หรือถ้าสิ่งที่เราจะพาให้เด็กออกจากคำว่า “แป๊บนึง” ได้ อาจเป็นคำว่า “เล่นถึงเท่านี้นะลูก” แล้วพอถึงตอนที่เขาได้เวลาจะเลิกเล่น เราต้องหาสิ่งอื่นให้เขาทำหรือสนใจ ไม่ใช่พูดว่า “เมื่อไหร่จะพอ” แต่ไม่มีอย่างอื่นให้เขา 

คือเด็กเขาก็ต้องการมีประสบการณ์หรือต้องการจะทำอะไรสักอย่าง แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น พอพูดว่า “เมื่อไหร่จะเลิกเล่น” แล้วอะไรต่อล่ะ? ถ้าอย่างพี่จะบอกกับลูก “ถึงเวลากินข้าวแล้วนะลูก ปะ กินข้าวกัน” “เฮ้ย… ถึงเวลาทำอันนี้แล้ว มา” แล้วพอเขางอแงเราก็บอก “โห… ยังสนุกอยู่เลยใช่มั้ย อีก 1 นาทีแล้วกันนะ/อีก 2 นาทีบอกแม่นะ” คือเหมือนทำให้เขาได้รู้จักวิธีที่จะชะลอตัวเอง แล้วก็บอกว่า “อีก 2 นาทีนะลูกแล้วเดี๋ยวเราไปกินข้าวกัน” “อีก 2 นาทีนะลูกเดี๋ยวเราจะทำอันนี้”  

ถ้าเราเป็นคนที่ยืดหยุ่นกับเขา ยืดหยุ่นไม่ใช่หละหลวมชนิดที่ว่าเขาไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไรได้ เหมือนกับเราเตือนเขาก่อน เราบอกจังหวะที่จะไปสเต็ปถัดไปก่อน มันก็จะทำให้เขาเตรียมใจ แล้วเราก็ต้องเตรียมแพลนของเรานะว่าจะทำอะไร เพราะว่าเด็กเขาไม่มีแพลนไม่มีแผน เราจะมาบอกว่าเขาต้องแพลนเป็น ต้องบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ยังแพลนไม่ได้เลย ถูกปะ? ถ้าคุณพ่อคุณแม่แพลนได้ คุณพ่อคุณแม่แพลนก่อนสิว่าต่อไปนี้สเต็ปถัดไปเขาต้องทำยังไง แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่แพลนเป็นเดี๋ยวเขาก็เรียนรู้วิธีแพลน แต่อันนี้เรียกว่าคุณพ่อคุณแม่บ่นไปเรื่อยๆ “เมื่อไหร่จะพอ วันๆ เอาแต่เล่น” แล้วไงต่อละ? ต้องการให้ทำอะไรหรอ “ก็ไปหาอะไรทำ” แล้วอะไรล่ะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใช้คำพูดแบบนี้บ่อยๆ แสดงว่าเราเองก็ไม่ได้แพลนอะไรให้กับลูก 

เอาจริงๆ ตรงนี้ก็เคลียร์นะฮะ ที่ว่าทำอะไรต้องมีแผนสำรองให้เขา แต่ฟังเรื่องนี้แล้วขอข้ามไปตรงเรื่อง “การต่อรอง” นิดนึง เพราะผมเองก็ต่อรองกับลูกบ่อย เช่น ผมพูดกับลูกว่า “พอได้แล้วลูก เราต้องกินข้าว” แต่เขาก็อาจจะเล่นไปเรื่อย เริ่มมีการต่อรอง เช่น ทำอย่างนี้นะเดี๋ยวจะได้สิ่งนี้ตามมา กินข้าวนะแล้วจะให้ทำ จุดจุดจุด เริ่มคุยกันแบบมีข้อแม้บ้างและอาจไหลไปในเลเวลที่เยอะขึ้น แบบนี้มันดีรึเปล่า เขาจะไม่หยุดหรือเปล่า

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่พี่ไม่ทำเลยนะ พี่ก็ไม่รู้ว่าทำได้ไม่ได้นะ แต่พี่ไม่ต่อรองกับลูก และพี่ไม่ตั้งเงื่อนไข พี่เป็นคนที่ไม่เอาเลยว่า “ถ้าลูกเรียนเปียโนแล้วจะให้อันนี้ๆ” พี่จะไม่ใช้แบบนี้ สมมติว่าแกนของเรา คือ การที่เด็กได้ทำอะไรด้วยความรู้สึกจากข้างในของเขาจริงๆ แล้วได้สรรค์สร้างบางสิ่งบางอย่างจากความเป็นเขาจริงๆ แต่เวลาที่เราเอาอย่างอื่นมาหลอกล่อ 

เช่น ไปเรียนเปียโนแล้วจะได้ของเล่น สอบได้ที่ 1 แล้วจะได้อันนี้เป็นรางวัล เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อรางวัล แล้วให้สังเกตนะ เด็กที่ได้รางวัลไปเยอะๆ พอจนถึงวันหนึ่ง เขาไม่สนใจรางวัล เพราะในระดับจิตใจข้างใน รางวัลมันไม่ได้สำคัญเท่ากับการเจอความหมายของตัวเขาเอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเจอความหมายยังไงไง เพราะว่าเราไม่เคยฝึกเขา 

ดังนั้นพี่เชื่อว่า การเรียนเปียโน การที่เขาปั้นงาน มันเป็นคนละเรื่องกับรางวัล พี่ไม่ให้รางวัล พี่จะให้ของขวัญก็คือ วันนี้แม่มีของขวัญมาฝาก แต่พี่ไม่สร้างเงื่อนไขว่า ทำอันนี้ได้ สอบเข้า ม.1 ได้ แม่มีรางวัล พี่ไม่ทำเลย เพราะอันนี้คือสินบน อันนี้เราสร้างวัฒนธรรมแบบที่เข้าไปในรากของจิตใจเลยว่า ถ้าเขาทำอะไร เขาควรที่จะหวังผลที่ได้ 

นี่เห็นภาพสังคมทุกวันนี้ 

ใช่ เราไม่ควรทำสิ่งนี้ ถ้าเขาทำได้ ความสำเร็จที่ได้ ความสุขที่ได้ คือรางวัลของชีวิตเขาแล้ว เรามีหน้าที่จัดสรรแล้วทำให้เขารู้สึกอยากทำได้ อย่างลูกพี่พี่ก็ไม่เน้นการไปแข่ง เพราะมันก็คือรางวัล พี่ต้องการให้เขาเจอวิธีการเล่นเปียโนแล้วเล่นจากความสุขข้างใน แล้วความสุขที่เขาได้คือรางวัลที่มีค่าที่สุดสำหรับจิตใจของมนุษย์เลยนะ ไม่ใช่รางวัลที่สังคมมาให้เขา 

เขาแข่งบ้างไม่ได้เหรอครับครูณา หรือแข่งแต่ไม่ได้คาดหวังว่าต้องชนะ หรือยังไงฮะ

ของพี่นี่นานน้าน (เสียงสูง) แข่งที แล้วพี่ไม่เคยพาไป เอาเป็นว่าตั้งแต่ลูกพี่เล่นเปียโนมา พี่ไม่เคยพาแข่งจนกระทั่งเขาเพิ่งมาแข่งตอนอยู่ปี 1 ที่อังกฤษ พอปิดเทอมเขาก็มาแข่งที่สิงคโปร์ ตอนนั้นคนในสนามงงมากว่าคนนี้คือใคร เพราะว่าไม่เคยเห็นในสนาม แต่ปรากฏว่าพอเล่นทีเดียว แค่คอนเซ็ปต์เขาที่จับว่า เขาเล่นให้มีความสุข เขาได้รางวัลระดับใหญ่มาก 

แต่โรงเรียนก็จัดให้เราแข่งขันอยู่ตลอด 

โอ้โห พี่นี่แอนตี้มากเลยนะพวกไวนิลที่อยู่หน้าโรงเรียน หรือเด็กที่อยู่ชั้นเดียวกันแล้วมันมีเด็กคนหนึ่งที่ได้รางวัลที่ 1 แล้วก็ขึ้นอย่างนี้ แสดงว่าเรามีเด็กอีก 200 คนที่ต้องเห็นแล้วก็เปรียบเทียบตัวเองกับคนนี้ทุกวันเลย 

อันนี้ผมโยงนะฮะ ปัญหาความเคว้งคว้างในวัยรุ่นมันเกิดจากสิ่งนี้หรือเปล่า ถ้าเรามีหลักยึดมันโอเค แต่วันที่ไม่รู้จะเกาะอะไร รางวัลก็ไม่ได้ เป้าหมายก็ไม่มี มันก็เลยเคว้งคว้างนะ

หรือบางคนมีรางวัลวางไว้ แต่เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวฉัน แล้วเขาไม่อยากได้แล้ว เพราะจริงๆ สิ่งที่มนุษย์ควรจะพบคือคุณค่าความหมายและศักยภาพที่แท้จริงของเขา แต่สมมติว่าเรามีเด็กอยู่คนหนึ่งที่บังเอิญไปแข่งตอน ป.1 ได้รางวัลวาดรูปภาพ แล้วทีนี้พอแม่ก็เอาชีวิตของเขาไปอยู่กับการเก็บเกี่ยวรางวัล แต่บังเอิญว่าวาดรูปมันเป็นแค่ติ่งหนึ่งในชีวิต แต่มีอย่างอื่นที่เป็นแกนหลักของชีวิตเขา แต่เวลาของเขาทั้งหมดพุ่งไปเพื่อที่จะทำการวาดรูปซึ่งเป็นของเทียมเพื่อให้ได้รางวัล กว่าจะมารู้ตัวอีกที ม.3 เวลาทั้งหมด 9 ปี สูญเสียไปกับของปลอม นี่คือโทษของรางวัลที่มันทำร้ายในระดับของจิตวิญญาณเลยนะ 

“โกหก”

ขออีกคำนึงครับ “โกหก” “นี่จริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมชอบพูดโกหก” อันนี้รวมถึงเวลาที่เราก็เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดอาจไม่จริงด้วยนะฮะ แต่เวลาเราพูดกับเด็กอย่างนี้มันทำอะไรลูกเรา  

คือตัวพี่จะไม่ใช้คำพูดแบบนี้กับเด็กว่า “ไม่โกหกนะ” หรือแม้กระทั่งวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ บางทีสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือ เราไปใส่แฟ้มว่า ฉันเป็นคนโกหก แล้วถ้าเกิดเราใช้คำพูดแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กที่โกหกจริงๆ มันไม่เห็นคุณค่าในจิตใจ แล้วก็กลายเป็นว่า เขาจะกลายเป็นคนที่โกหกให้เนียนขึ้น 

แล้วต้องบอกเขายังไงฮะ พอทันทีที่รู้ว่าเขาเริ่ม Tricky ละ อาจจะมีเล่ห์เหลี่ยมเกิดขึ้น 

ถ้าเป็นพี่ก็จะกอดเขาแล้วก็บอกว่า “แม่เข้าใจนะ แม่รัก แล้วครั้งนี้แม่ก็จะเชื่อ แต่ลูกต้องเข้าใจนะว่า ความเชื่อหรือศรัทธามันหายไปได้ ถ้าไม่แน่ใจหรือว่าลูกมีอะไรที่อยากจะพูดมากกว่านี้ก็มาบอกแม่ได้นะ” พี่ก็จะพูดกับเขาโดยที่ให้เขารู้ว่าเขามีทางเลือกนะว่า เขามาพูดความจริงกับพี่ได้ หรือการพูดโกหกเนี่ย พี่รู้นะ แต่พี่จะไม่ใช้คำพูดว่า “เธอเป็นคนพูดโกหก” แต่พี่จะทำให้เขารู้ว่า เขาควรจะเป็นคนที่ทำตัวเองให้มีความวางใจ แต่ชุดคำพูดแบบนี้มันเป็นสำหรับเด็กโตเนอะ

แต่ถ้าสำหรับเด็กเล็กให้เราลองปล่อยไปก่อน เพราะว่าเด็กเล็กๆ เขาไม่ได้โกหกในระดับที่รุนแรงหรอก แต่ว่าสิ่งที่เราควรจะฝึกเขาก็คือ การทำให้เขาพูดความจริง อย่างเวลาที่เขาบอกความจริงกับเรา เราก็จะกอดแล้วบอก “ขอบคุณนะที่ลูกบอกความจริงกับแม่ แม่จะได้รู้” เพื่อให้เขาได้มีแฟ้มที่ควรจะซื่อสัตย์และพูดความจริง 

เด็กเล็กๆ สิ่งที่เขาโกหกบางทีเขาไม่ได้รู้สึก มันไม่ใช่กลไกลของสมองที่พยายามจะพูดให้โกหกนะ แต่แค่เขาไม่อยากโดนดุ ไม่อยากโดนตำหนิ 

พูดจริงๆ นะ เด็กที่พูดโกหกกับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ใช้วิธีลงโทษแล้วเด็กไม่กล้าพูดความจริง เด็กถึงต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงด้วยการโกหก ดังนั้นคนที่โกหกเพราะเขากลัวถูกลงโทษ พ่อแม่ต้องกลับมาที่ตัวเองว่า อะไรในตัวเราที่ทำให้เด็กไม่กล้าพูดความจริง เราต้องหยุดกระบวนการที่บอกว่า “ทำไมลูกเป็นเด็กที่โกหก” เพราะถ้าพูดแบบนี้เขาจะทำให้มันเนียนขึ้น เขาจะรู้สึกถึงความสูญเสียบางอย่างในจิตใจเขา แล้วเขาก็ไม่อยากกระทบจากคำพูดรุนแรง เขาก็จะทำให้มันเนียนขึ้น หรือหาทางที่จะทำให้จับไม่ได้ 

จริงๆ นี่ไม่กี่หมวดคำเองนะครับ ถ้อยคำที่เราเผลอทำร้ายลูกไป เดี๋ยวตอนหน้าเราจะมาคุยกันต่อว่า เราจะมีคำที่แนบเนียนที่เราอาจไม่รู้ว่านี่เป็นคำที่ดี คำที่สวยงาม แต่ทำร้ายเขาไปจนโตก็มี ผมยังมีลิสต์อีกเยอะที่อยากจะคุยกับครูณาครับ ก็เป็นคำที่ผมเผลอพูดบ่อยด้วย ยังมีคำไม่ดีๆ อีกเยอะ รวมถึงคำขู่ที่เราเป็นห่วงลูกมากเกินไป ที่ยังอยากจะคุยกับครูณาอีก ก็อาจจะต้องมาต่อกันตอนหน้า ตอนนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ 

Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ รายการที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ โรคพ่อแม่ทำ เขียนโดย ศ.นพ. ชิเงโมริ คิวโกกุ ศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านโรคภูมิแพ้และโรคทางกายที่เกิดจากสภาพจิตใจไม่ปกติ (Psychosomatic Disorder) ได้บันทึกและทำวิจัยเกี่ยวกับโรคที่รักษาว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยเฉพาะการเป็นผู้ปกครองหลังยุคอุตสาหกรรมที่ได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ผู้คนเคร่งเครียดขึ้นและส่งผลทางจิตวิทยาและทางกายต่อลูกๆ หลายโรคดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูโดยผู้ปกครอง แต่เมื่อคุณหมอคิวโกกุแนะนำให้รักษาด้วยการ ‘ห่าง’ จากพ่อแม่ อาการนั้นกลับหายราวไม่เคยเกิดมาก่อน เช่น ประจำเดือนไม่มาหรือมาไม่ปกติ ภูมิแพ้ เป็นต้น

โรคบางอย่างที่เกิดกับลูกนั้น หลายอย่างมาจากความรักและหวังดีของพ่อแม่(ที่อาจมากเกินไป) คือคีย์เวิร์ดจากหนังสือที่รายการนี้อยากหยิบยกมาพูดถึงต่อ เจาะจงไปที่พ่อแม่มือใหม่ ทำความเข้าใจเพื่อไม่สร้างโรคให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกัน ก็ชวนคนเป็นลูกทุกช่วงวัยเปิดฟังเพื่อกลับไปสำรวจบาดแผลวัยเด็ก ทำความเข้าใจพ่อแม่ในมุมมองใหม่ และฟังเพื่อถอนพิษให้กับตัวเอง 

ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์ 

Tags:

Growth mindsetoverprotective parentโรคพ่อแม่ทำพ่อแม่ปฐมวัยแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodGrowth & Fixed Mindset
    ‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ สุริยเดว ทรีปาตี

    เรื่อง The Potential

“ลูกค้าคือทรัพยากรของนวัตกรรม” ทักษะคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างนวัตกรรม กับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร SCB10X
Character buildingVoice of New Gen
17 September 2020

“ลูกค้าคือทรัพยากรของนวัตกรรม” ทักษะคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างนวัตกรรม กับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร SCB10X

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • คุยกับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Head of Venture Builder แห่ง SCB10X, ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสอนวิชานวัตกรรม Design Thinking for Business Innovation ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง และอีกหลายบทบาทเกี่ยวกับงานนวัตกรรม 
  • ว่าในฐานะคนที่ทำงานกับคนรุ่นใหม่ ในฐานะหัวหน้าทีมนวัตกรรมแห่งธนาคารไทยพาณิชย์ เขาเห็นว่าอะไรคือศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มองหา อะไรคือจุดปิดกั้นศักยภาพนั้น และทำไมการมีทักษะนวัตกร จึงจำเป็นสำหรับคนยุคนี้
ภาพ: วัชรพล สายสงเคราะห์

คงไม่ต้องพูดกันอีกแล้วว่าทักษะของคนรุ่นใหม่ ในโลกการทำงานแบบใหม่ เราต้องการคนที่คิดนอกกรอบ สงสัยใคร่รู้ ตั้งคำถาม ยืดหยุ่น กล้า พร้อมทดลอง และไม่หวั่นไหวกับฟีดแบกที่อาจได้ก้อนหินแทนดอกไม้ (โดยเฉพาะก้อนหินในโลกไซเบอร์) — ทั้งหมดนี้เราได้ยินกันบ่อยๆ ว่านี่คือทักษะในศตวรรษที่ 21 

แต่ถ้าถอดสมการออกมาดีๆ นี่คือขั้นตอนการทำงานหรือระบบคิดที่เรียกว่า Design Thinking วิธีการทำงานในการสร้างนวัตกรรมโดยมีต้นกำเนิดที่ซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley สำนักงานใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลก ส่วนใต้ของพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา) ที่ซึ่งผลิตองค์กรอย่างกูเกิล แอปเปิ้ล — แปลว่ามีมานานแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ด้วยวิธีการได้ทำให้เกิดของใหม่ได้ไม่รู้จบ 

เริ่มต้นธีมใหม่อย่าง Generation of Innovator ที่เชื่อ (และมีหลักฐานชัดเจน) ว่า ทักษะของคนรุ่นใหม่คือการมีความคิดแบบนวัตกร หรือผู้ที่ใช้ความสงสัยใคร่รู้ของตัวเองมาแก้ปัญหาในสังคม มาสร้างเครื่องมือ องค์กร ธุรกิจ แบบใหม่ที่ตอบโจทย์กับชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน 

โดยบทความแรกๆ เราชวนคุณต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ผู้เชี่ยวชาญด้าน Design Thinking และจบการศึกษา d.School, Stanford University สถาบันที่ให้กำเนิดหลักการ Design Thinking เป็นแห่งแรกของโลก, Head of Venture Builder แห่ง SCB10X, ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสอนวิชานวัตกรรม Design Thinking for Business Innovation ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง และอีกหลายบทบาทเกี่ยวกับงานนวัตกรรม 

ที่อยากชวนคุยไม่ใช่ว่า Design Thinking คืออะไร (เพราะมีผู้อธิบายให้เข้าใจง่ายไว้มากแล้ว) แต่อยากชวนคุยว่า ในฐานะคนที่ทำงานกับคนรุ่นใหม่ ในฐานะหัวหน้าทีมนวัตกรรมแห่งธนาคารไทยพาณิชย์ เขาเห็นว่าอะไรคือศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มองหา อะไรคือจุดปิดกั้นศักยภาพนั้น และทำไมการมีทักษะนวัตกร จึงจำเป็นสำหรับคนยุคนี้ 

ก่อนเข้าเรื่องคาแรกเตอร์คนทำงานที่ SCB10X มองหา อยากชวนถามย้อนว่า ทำไมธนาคารไทยพาณิชย์ ถึงต้องทำทีมนวัตกรรม

จริงๆ เรื่องนวัตกรรม (innovation) องค์กรหลายที่คิดจะทำมานานแล้ว ระบบนวัตกรรมหรือการทำอะไรใหม่ๆ ก็ต้องดูว่าธุรกิจเราต้องการทำอะไรใหม่ๆ หรือเปล่า ถ้าเป็นธุรกิจธนาคาร เราจะพอทราบว่ามันจะอยู่ในมุมของคนที่ชอบพูดเรื่อง disruption ว่าธนาคารจะโดน disrupted หรือเปล่า ธนาคารจะทำแบบเดิมได้มั้ย ซึ่งมุมมองธนาคารไทยพาณิชย์ชัดเจนว่า (เว้นวรรค) ไม่ได้ จริงๆ ต้องบอกว่าทำแบบเดิมได้ แต่ทำแบบเดิมอย่างเดียวไม่ได้ แต่ก่อนจะยืนยันแบบนี้ ธนาคารทดลองทำนวัตกรรมภายในองค์กรกันมาสักพักและทำมาหลายอย่างมาก แต่เพื่อจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น มันก็จะมีโมเดลหนึ่งคือการ spin off บริษัทออกไปทำข้างนอก ไม่ได้อยู่ข้างในองค์กรใหญ่ ซึ่ง SCB10X ก็เป็นการ initiative หนึ่งที่ตั้งขึ้นมา โดยพยายามเซ็ตคน เซ็ตวิธีการทำงานใหม่ เพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

ในมุมมองของคุณ นวัตกรรม คืออะไร

ต้องมีประโยชน์ และประโยชน์นั้นไม่ได้เกิดจากคนทำแต่มาจากคนใช้ อันนี้มีประโยชน์ อันนี้ก็เป็นนวัตกรรม อันนี้ดีกว่าอันนั้น อันนี้ก็เป็นนวัตกรรม ย้ำว่าถ้ามันมีประโยชน์กับคนใช้ ก็เรียกสิ่งนั้นว่านวัตกรรม ถึงแม้คุณเอาเทคโนโลยีมาจับ ล้ำมากเลยนะ แต่มันกลับเป็นของขึ้นหิ้ง ไม่มีใครใช้ ก็เสียเวลา เสียแรง

นวัตกรรม จำเป็นต้องเป็นของใหม่มั้ย

ถ้ามันเป็นของใหม่ที่ไม่มีใครใช้ มันก็ไม่เรียกนวัตกรรม วันนี้ถ้าคุณจะทำของใหม่และเป็นนวัตกรรม มันก็ต้องใหม่กว่าสิ่งปัจจุบันถูกมั้ย แต่คีย์ของมันคือต้องมีประโยชน์

กลับมาที่ตอนทำทีมนวัตกรรมแรกๆ ตอนนั้นคุณต้องการคนทำงานแบบไหน ที่ว่า spin off ออกจากบริษัทเดิม แปลว่าต้องโละคนทำงานเก่าแล้วหาคนใหม่มาเข้าทีมหรือเปล่า

ไม่ได้โละคนเดิม อย่าโละๆ จริงๆ แบบเดิมมันก็ทำเงินได้นะ มันโอเคในเชิงธุรกิจ แต่ทำแบบเดิมจะได้แบบเดิม ซึ่งพอเราอยากได้ของใหม่ เราก็ลองหาวิธีคิดแบบใหม่ๆ เข้ามาในองค์กร

ถามว่ามองหาคนแบบไหน? จริงๆ มองหาคนที่มีทักษะอยากเรียนรู้ของใหม่ ถ้าเราเชื่อและอันที่จริงต้องบอกว่าโลกอนาคตเป็นโลกดิจิทัล ถ้าเราเชื่อแบบนั้น คนที่มีทักษะในการพัฒนาโพรดักท์ที่อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล (product digital) ก็จะมีวิธีของมัน ซึ่งแบบเดิมหรือโลกเดิมมันทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ปุ๊บก็ต้องคิดกันเยอะๆ

ในโลกดิจิทัล ต้นทุนของการล้มเหลวมันต่ำ เราจึงต้องมูฟให้เร็วขึ้น เลยต้องใช้วิธีการทำงานแบบใหม่ เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า Lean หรือ Agile ซึ่งด้วยเทคโนโลยีมันสามารถทำโพรดักท์ให้เร็วได้ คนที่เรามองหาในช่วงนั้นก็คือคนที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ และก็มีทักษะเชิง hard skills ที่เหมาะสม เช่น ทักษะการออกแบบ (design) โค้ดดิ้ง (coding) คนที่คุยกับลูกค้าเป็น

คุณมักให้สัมภาษณ์บ่อยๆ ว่าคุณให้ความสำคัญกับ ‘คน’ และ ‘อิสระทางความคิด’

สองอย่าง หนึ่ง – คนต้องใช่ คือคนที่อยากเรียนรู้ของใหม่ และ สอง – มีทักษะที่ถูกต้อง และถ้าได้คนที่ใช่แล้ว อย่าไปบอกให้เขาทำอะไร แต่ให้อิสระเขา วิธีคิดแบบเดิมๆ คือเอาใครก็ได้เข้ามาก่อนแล้วเดี๋ยวเทรนให้ เดี๋ยวมีไกด์ไลน์ให้ อันนั้นคือองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร แต่กับองค์กรขนาดเล็ก เราเชื่อในพลังของคน เราไม่รู้หรอกว่าคนๆ นี้เขาจะคิดอะไรหรือทำอะไรได้ในอนาคต แต่เราเชื่อว่าถ้าเขาเรียนรู้ของใหม่อยู่ตลอดเวลา เขาอยู่ใน ecosystem (ระบบนิเวศ) ที่เหมาะสม เขามีทัศนคติที่ดีต่อการลงมือทำ ถ้าเขามีทักษะเหล่านี้ เราจะให้พื้นที่เขาได้ทดลอง

ถามว่าเขาจะทดลองอะไร? เราก็มีกรอบให้เขาว่าเราสนใจเรื่องนี้ด้วยสโคปประมาณนี้นะ แต่เรื่องอื่นๆ ลองไปหามาแล้วกัน ฉะนั้น คนที่ใช่กับอิสระ มันเลยลิงก์กัน คนบางคนให้อิสระไปไม่ได้นะ ให้อิสระแล้วกลับบ้านเลย ไม่ทำงานก็มี เราเลยต้องชัดเจนว่าการให้อิสระมันสำคัญ แต่ไม่ได้ให้ได้กับทุกคน แต่สำหรับคนที่ใช่ แล้วเขาจะสร้างของใหม่ได้

‘ใช่’ ที่ว่า ต้องเป็นยังไง

มีสองสามส่วน อย่างแรก คือมีทัศนคติที่ถูกต้อง คือเชื่อว่ายังมีเรื่องที่ตัวเองไม่รู้อะไรอีกเยอะมาก เพราะเวลาคนจะทำของใหม่ต้องคิดว่าตัวเองไม่รู้ คนที่รู้คือลูกค้าเรา คือ user (ผู้ใช้งาน) ซึ่งคนที่ว่าเหล่านี้อาจไม่ใช่ลูกค้าเราในปัจจุบันก็ได้ เค้ามีปัญหาอะไร ไปค้นหาปัญหาของลูกค้า อย่าคิดเองเยอะ ในภาพใหญ่มันก็คือ customer centric (การรู้จักและเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง) คือคุณสมบัติของคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่รู้ คนประเภทนี้ก็จะไม่ชอบประชุมอะไรนานๆ เพราะว่าประชุมไปก็ไม่รู้อยู่ดี แต่ไปเรียนรู้กับ user หรือออกไปหาอะไรอ่านเพิ่มเติมอีกเยอะแยะเลย คือเป็นคนไม่เต็มแก้วอะ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก

ถัดไปเป็นเรื่องทักษะ ถ้าพูดเรื่องทักษะก็จะมีหลายอย่าง มีคนหลายประเภท เช่น คนที่คุยกับลูกค้า อาจเป็นแก๊งที่จบจิตวิทยาก็ได้เพราะต้องไปคุยกับคนจริงๆ คือคนสายธุรกิจหรือสายวิศวะ คุยกับคนก็จะได้ประมาณนึง เวลาคุยจะได้นำสิ่งที่อยู่ในหัวมาคอนเฟิร์ม แต่การคุยแบบนี้คือการคุยเพื่อหาความต้องการหรือ pain ของลูกค้าเพราะนี่คือทรัพยากรของนวัตกรรม ก็ต้องการคนที่มีทักษะแบบนี้มาอยู่ในทีม แล้วก็ต้องมีคนที่โค้ดดิ้งได้ คนที่สร้างของได้อย่างรวดเร็ว ส่วนนี้ก็จะเป็นสาย software engineer (วิศวกรรมซอฟแวร์ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเว็บไซต์) แล้วก็ต้องการคนที่ทำให้โพรดักท์นั้นใช้ง่ายใช้สะดวก ที่เราอาจเรียกว่า UX designer (User Experience Designer ผู้ออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งานในสินค้าได้ง่าย สะดวก สวยงาม สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้งาน) รวมทั้งต้องการคนที่ทำการตลาดเป็น

เหล่านี้จะเป็นทักษะในการทำงาน ซึ่งจะเห็นว่ามันแยกกัน ทัศนคติที่พูดไปคือ ชอบลงมือทำ คิดว่าตัวเองไม่รู้ ชอบทดลอง เหล่านี้จะเป็นตัวคลุม แต่ทักษะก็จะเป็นอีกเรื่องนึง ซึ่งถ้ามีครบมันก็จะสามารถสร้างโพรดักท์ สร้างบริการได้

การหาคนที่มีทักษะการทำงานแบบ hard skills น่าจะหาได้ง่ายเพราะมีตัวชี้วัดก่อนเข้างานชัดเจน เช่น ดูจากพอร์ตหรืองานที่เคยทำมา แต่เรื่อง ‘ทัศนคติ’ น่าจะยากกว่า แบบนี้วัดหรือดูยังไงดี

วัดยากมาก มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์เลยต้องลองผิดลองถูก มีเครื่องมือหลายอย่าง การสัมภาษณ์ก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาคุยก็คงถามว่าทำอะไรมาบ้างแล้วก็ค่อยถามเจาะลึก คนที่เคยทำจริงๆ เค้าจะตอบได้ คนที่ตอบกว้างๆ โม้ๆ หน่อย เราก็จะรู้ว่า อ่า… เค้าไม่เคยทำ สิ่งที่ทำในอดีตจะบอกว่าอันนี้ทำได้หรือไม่ได้ หรือบอกได้ว่าอนาคตอยากทำอะไร ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าเด็กกิจกรรมจะมีอะไรแบบนี้เยอะ เค้าจะเคยทำงานเป็นทีมมาก่อน เค้าจะรู้ว่าทำงานกับมนุษย์มันไม่ใช่เทคโนโลยี

แต่จริงๆ แล้วเครื่องมือที่ดีที่สุดคือ referral (การยืนยันจากบุคคลที่เคยทำงานด้วย หรือจากงานที่เคยทำมา) คนเราไม่ได้อยากทำงานกับคนเก่งอย่างเดียวแต่ต้องนิสัยดีด้วย ซึ่งถ้าต้องเลือก การใช้ referral จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ต้องเสียแรงเยอะ

อีกวิธีหนึ่งก็คือ probation (ช่วงเวลาทดลองงาน) ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับมาแล้วอยู่ตลอดไป ยุคนี้ต้องทำงานให้ดู ก่อนรับทำงานมาก็อาจต้องให้ assignment ทำให้ดูด้วยซ้ำ บางคนบอกว่า “นี่แค่สมัครงานต้องทำ assignment เหรอ” ใช่ดิ (พยักหน้า) คอนเซปต์ของการทดสอบว่าเค้าทำอะไรได้บ้างมีความสำคัญมาก

คุณเคยให้สัมภาษณ์เรื่องการประชุมของทีมนวัตกรรมว่า “ประชุมให้น้อย” มันเป็นยังไงคะ

จริงๆ การประชุมยาวๆ ไม่ได้ผิด อยู่ที่ว่าเราประชุมด้วย context ไหน ถ้าเราทำของเดิมก็ต้องเชื่อประสบการณ์ถูกปะ การเชื่อประสบการณ์ก็คือเชื่อคนในห้องประชุม อันนี้ก็ควรประชุมกันนานๆ ทำอะไรผิดไม่ได้ มันมีงานแบบนั้นอยู่เยอะมากในโลกใบนี้นะ คนชอบงงว่า โอ ฉันต้องสร้างสรรค์กันอยู่ตลอดเวลา จริงๆ ไม่ใช่ มันมีงานที่ต้องทำแบบเดิม เหมาะกับคนแบบเดิม อันนั้นปล่อยให้เขาทำไป

พอเป็นเรื่องนวัตกรรม สิ่งสำคัญคือเราไม่รู้ พอเราไม่รู้ปุ๊บ คนในห้องนี้ก็ไม่ควรจะรู้ พอเราไม่รู้ก็ต้องเดินออกไปข้างนอกไปคุยกับ user เรา เพราะงั้นการประชุมมันควรสั้น เพราะว่าเราก็รู้ประมาณนี้แหละ เราไม่มีประสบการณ์มาก่อนนี่นา เราก็ต้องมีวิธีการออกไปเทสต์กับลูกค้าบ่อยๆ นี่คือสาเหตุว่าทำไมประชุมกันสั้น มันมีเหตุผลของมัน ถ้าทำของใหม่ คุยกับคนในห้องนี้แล้วจะได้สิ่งที่ถูกต้องมั้ย? ถ้าคิดว่าไม่ใช่ จะคุยกันนานไปทำไม ก็เอาสิ่งที่ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ออกไปทดสอบ และลูกค้าไม่ได้อยู่ในห้องประชุมกับเรา แค่นั้นแหละ

ส่วนตัวชอบอะไร

ไม่จำเป็นเลย ทำมาทั้งสองแบบก็คิดว่ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย สำหรับพี่แล้ว คนที่ทำงานได้ดีควรจะยืดหยุ่น เข้าใจวัตถุประสงค์งาน ไม่ใช่ติดว่าเราต้องทำแบบไหนแบบเดียว

ขั้นตอนของกระบวนการ Design Thinking 

Empathy การทำความเข้าใจต่อกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด
Define การสังเคราะห์ข้อมูลซึ่งเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามโดยยังไม่ต้องคิดถึงกรอบการแก้ปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่าปัญหาคืออะไร เรากำลังจะแก้อะไร แนวทางที่ควรจัดการเป็นแบบไหน 
Ideate การระดมความคิดว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร และเพื่อตอบขั้น Define
Prototype การสร้างแบบจำลองหรือการสร้างต้นแบบเพื่อให้เกิดการทำลองเพื่อวิพากษ์กัน 
Test การทดลอง เพื่อให้เกิดการปรับปรุง รับความเห็นจากผู้ใช้ เพื่อพัฒนาผลิตภัณธ์ต่อไป

ตัวอย่าง project ที่ประทับใจของ SCB10X

ตัวหนึ่งที่ประกาศ launch ไปแล้ว ได้ผลค่อนข้างโอเคแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมาก เคยขึ้นไปอยู่อันดับสองของ google playstore คือแอปพลิเคชัน ชื่อ Partyhaan (ปาร์ตี้หาร) มันเป็น promotion sharing app เช่น คุณไปเจอโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 แต่อยากได้อันเดียวทำยังไงดี ก็คือการหาคนหาร ซึ่งโพรดักท์นี้เกิดจากน้องฝึกงานในทีม อายุ 20 ต้นๆ เรียกว่าเป็นโพรดักท์คนรุ่นใหม่ที่ตัวเราก็ไม่รู้ว่ามันมีแบบนี้อยู่รึเปล่า แต่มันมีคนแบบนี้จริงๆ จะเห็นจากกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่แชร์อะไรแบบนี้กันเต็มไปหมดเลย แต่เฟซบุ๊กไม่ใช่แพลตฟอร์มที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ดี เนี่ย… มันก็เริ่มจากการมี pain แบบนี้

โชคดีที่คนของเรามีความหลากหลายในทีม มีคนอายุน้อยอายุเยอะ กรณีนี้คือเรามีคนอายุน้อยที่เขาก็ไปเห็น pain ในคนอายุน้อย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราไม่มีทางจะเห็นเลย นี่คือ empathy หรือหลักสำคัญการทำของใหม่ คุณต้องอยู่ตรงนั้นกับลูกค้า เห็นและรู้สึกได้ว่ามันเป็นปัญหา เป็นกระบวนการของ design thinking อันแรก การเห็นปัญหาที่อยู่ในที่ของเขา

จากนั้นเรามาทดลอง คิด ทดสอบ และเอาไปประกวดงาน LINE_HACK ปีที่แล้ว (2019) งาน hackathon ปีที่แล้วและได้แชมป์มา การแข่งขันมันเป็นการ validate idea (พิสูจน์ไอเดีย) แต่ยังไม่ได้สร้างอะไรจริงจัง เราก็ เฮ้ย… ไอเดียนี้มีคนสนใจ ก็ทำในไลน์ ถามว่าจะทำแอปฯ ของตัวเองเลยดีมั้ย เราบอกอย่าเพิ่ง เพราะแอปฯ ใช้เวลาทำนาน ก็เลยทำเป็นแอปพลิเคชันในไลน์ก่อนและไม่ได้ใช้เวลาเยอะ เพราะคนก็อยู่ในนั้นเยอะ ก็เริ่ม launch เล็กๆ ว่ามันเป็นยังไง เทสต์กันว่าคนชอบ/ไม่ชอบ เริ่มคุยกับลูกค้าเยอะๆ ปรับไปเรื่อยๆ จนคนเริ่มใช้เยอะจนเกิน capacity ของไลน์แอปฯ หมายถึงว่ามันเริ่มมีฟีเจอร์บางอย่างซึ่งคนต้องการมากขึ้นแต่ไลน์แอปฯ ต่อไม่ได้แล้ว เช่น คนโกงกัน โอนเงินไปแล้วไม่ส่งของมา ก็เลยคิดว่าถึงเวลาเริ่มทำแอปฯ ตัวเอง ค่อยๆ ปรับไป ฟังลูกค้าว่าเขาอยากได้อะไรแล้วก็ค่อยๆ ปรับ วนไปเรื่อยๆ จนแอปฯ มันติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ คนเริ่มใช้เยอะ

ทีนี้ก็เริ่มเห็นว่าอยู่ในจุดที่ทำเงินได้ คนเห็นคุณค่า ก็เลยเริ่มคิดไอเดียใหม่ๆ ว่าเราจะเริ่มขายของแล้ว เริ่มหาพ่อค้าแม่ค้าเอาของมาขาย แล้วมาดูกันซิว่าคนจะมาแชร์กันยังไง ค่อยๆ คุยกับลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นว่ามันไม่ได้มีแพลนนิ่งว่าต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้นเป๊ะๆ เราไม่แพลนกันเองแต่แพลนจากลูกค้า เสร็จปุ๊บเรา launch ออกไป ถ้ามันไม่ใช่เราก็เปลี่ยน

ทัศนคติที่สำคัญ คือการเรียนรู้กับลูกค้าตลอดเวลา ถัดไปคือเราเลือกแพลตฟอร์มที่ปรับอะไรได้เร็ว ซึ่งก็เป็นคีย์หลักของการทำ start up เปลี่ยนได้เร็ว ทำ MVP (Minimum Viable Product: การทำผลิตภัณฑ์ขึ้นมาโดยมี Feature ให้น้อยที่สุด) แล้ว launch ได้บ่อยๆ launch ทุกอาทิตย์ เรียนรู้ไปไม่มีวันจบ

กระบวนการแบบนี้ใช้เวลาเท่าไร

น่าจะ 6 เดือน จริงๆ เราเริ่ม LINE_HACK และ launch ผลิตภัณฑ์ประมาณต้นปี เพิ่งมาเริ่ม launch แอปฯ เมื่อเมษายนนี่เอง และก็เติบโตได้ดีฮะ แต่เรายังไม่ได้ทำการตลาดนะ อยากให้มันนิ่งกว่านี้นิดนึงแล้วค่อยเริ่ม ก็มีพาร์ทเนอร์เข้ามาเยอะแล้ว ร้านค้าใหญ่ๆ อยากเข้ามาทำโปรโมชันในนี้ เราก็เริ่มเห็นว่ามันมีศักยภาพจะโต ซึ่งแรกๆ เราไม่ได้เห็น ก็พยายามฟังคนให้เยอะๆ

ตอนฟังไอเดีย “ปาร์ตี้หาร” ครั้งแรก ตอนนั้นคิดยังไง

คิดว่าน่าสนใจดี แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่ความคิดตัวเองลงไปเพราะกลัวผิด หมายถึงว่า เราได้ทำแล้วผิดดีกว่านั่งคิดเอง อย่างที่เรียกว่า fault positive คือทำแล้วผิดดีกว่ามานั่งคิดว่าอยากทำอะไรให้มันถูกเป๊ะๆ คนเรามันไม่มีทาง balance สิ่งนั้นได้ เลยพยายามให้ Benefit of the Doubt กับทีมว่าเราอาจจะไม่รู้อะไรก็ได้ และถ้าไม่ได้เทสต์ ไม่ได้สร้างอะไรนานมาก… Why not?

ให้โอกาสทำผิดได้ ไม่มีวัฒนธรรมหาคนผิดในทีม?

โอ๊ย… ห่างไกลจากวัฒนธรรมแบบนั้นมาก ข้ามมานานมาก

ที่ถามแบบนี้เพราะว่า เวลาทำงานในทีมที่มีความหลากหลายสูง อย่างน้อยก็เรื่องอายุที่ห่าง มันอาจมี generation gap เวลาผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มาก่อนฟังเด็ก หลายครั้งเราได้รับการปฏิเสธเพราะคิดว่า มันไม่น่าจะทำได้ เลยอยากรู้ว่าเวลาได้ยินไอเดียแบบนี้ คุณจะทำยังไง  

ก็ถามว่าทำไมไม่ทำ? ส่วนใหญ่คนที่ไม่ทำ เพราะกลัวผิด แต่ถ้ากลัวผิดแล้วไม่เข้าใจโลกว่ามันมีวิธีการเทสต์ที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ ไม่ต้องใช้เวลานาน รู้มั้ยว่ามันมีแพลตฟอร์มที่ทำให้ทำงานได้เร็วๆ คำถามคือคุณรู้รึเปล่าว่ามันมี เด็กๆ อะรู้นะ ผู้ใหญ่ไม่ค่อยรู้

ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไปก็ล้มเหลว เธอไม่ต้องทำหรอก

ทุกอย่าง อย่ามองขาวกับดำ นี่คือประเด็น ที่เราชอบเห็นต่างกันเพราะเห็นว่าโลกนี้มีศูนย์กับร้อย เราไม่เคยหาตรงกลาง ทุกอย่างต้องหาตรงกลางให้เจอ เรากลับไปที่โจทย์ ถ้าเป็นเรื่องใหม่-ประสบการณ์ใช้ได้มั้ย หรือ เรื่องใหม่-ประสบการณ์เก่าๆ ใช้ได้มั้ย ถ้าบอกว่าได้ คุณก็สร้างองค์กรแบบที่เชื่อประสบการณ์เก่าๆ คนก็จะเลือกองค์กรว่าเค้าอยากอยู่องค์กรแบบนี้รึเปล่า นี่กำลังพูดถึงองค์กร ประเทศ ทุกอย่าง เหมือนกันหมด คุณสร้างวัฒนธรรมนั้นขึ้นมา คนจะเลือกว่าอยากอยู่ในวัฒนธรรมนั้นมั้ย ถ้าไม่ได้ เขาก็จะโวยวาย

ถ้าเป็นเรื่องงาน พี่ว่าเรามี option (ทางเลือก) เสมอที่จะเลือก ก็ควรเลือกว่าเราอยากทำที่ไหน บางทีการเปลี่ยนคนมันไม่ง่าย เราต้องรู้สึกว่ามี power ที่จะเปลี่ยน ถ้าเขาไม่เปลี่ยน เราก็ลองดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง อันนี้คือสิ่งที่สำคัญ

ถ้าเอาคอนเซปต์นวัตกรไปไว้ในทุกอย่าง คงดีเนอะ

อาจจะเป็นแบบนั้น แต่อาจจะล้มเหลวก็ได้ ใครจะรู้ (ยิ้ม)

จุดที่ยาก / ง่าย ของแอปฯ ปาร์ตี้หาร

จริงๆ เรียกว่าความท้าทายของโพรดักต์ใหม่ทุกอย่าง คือการทำยังไงให้ user ใช้และชอบมัน

หาจุดกึ่งกลางความชอบของ mass ยังไง

มันไม่มีกึ่งกลาง ถ้าเค้าชอบ เค้าต้องชอบให้สุดไปเลย เค้าอยากได้อะไร เราควรใส่สิ่งนั้นให้เค้า เอา user มาตั้ง คำถามคือหา customer segment หรือวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าให้เจอว่า segment ไหนเหมาะกับแผนธุรกิจของเรา

พื้นฐานการทำโพรดักท์คือ Building products that people want. นวัตกรรมที่เฟลเยอะที่สุดคือนวัตกรรมที่ Building products that nobody want. ทำเพราะคิดเองเออเอง 

นโยบายก็คิดเองเออเอง โพรดักต์ก็คิดเองเออเอง สไตล์คนรวย หลายๆ ครั้งไม่ใช่ตังค์เรายิ่งชอบเลย เรื่องที่เบสิคมากๆ คือทัศนคติของ entrepreneurship (ผู้ประกอบการ) คนที่มีทัศนคติผู้ประกอบการ ถ้าเขาคิดว่านี่คือตังค์เราเขาจะคิดอีกแบบ ฉะนั้น สิ่งที่เรากลัวมากคือทำของที่ไม่มีคนต้องการ แล้วก็ไปพยายามโน้มน้าวว่าทำไมคุณไม่ต้องการ? …คนเขาไม่ต้องการ ก็คือเขาไม่ต้องการ แต่ถ้ามันแตะ pain คนเมื่อไร เดี๋ยวเค้าต้องการเอง แปลว่าคุณต้องเริ่มจาก pain point ไม่ได้เริ่มจากอยากทำอะไร

ฟังดูแล้ว การเป็นทีมนวัตกรรมไม่ใช่แค่การทำงานระหว่างคนต่างรุ่นหรือระหว่างเพื่อนร่วมงาน แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดโอกาสให้ทำงานอย่างไม่กลัวผิด การทำโพรดักท์ให้ user ชอบ พร้อมสร้างทัศนคติการเป็นเจ้าของ นี่คือเงินของฉัน แปลว่าในฐานะผู้บริหารต้องทำวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้ด้วย ยากมั้ย

ไม่ยากเลยถ้ามีคนที่ถูกต้อง Culture is people behavior. คือคนชอบพูดให้มันซับซ้อน พี่อาจจะผิดนะ แต่ วัฒนธรรมคือ collective behavior ของผู้คน แค่นั้น วัฒนธรรมเป็นเหมือน background music อะ ทำยังไงให้เปิดขึ้นมาแล้วคนจะมีพฤติกรรมแบบนั้น แต่ถ้าเรามีคนแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องเปิดเพลงก็เป็นแบบนั้น ฉะนั้น กลับไปที่การเลือกคน สำคัญสุด ไม่มีวัฒนธรรมไหนที่ทำขึ้นมาแล้วเปลี่ยน behavior (พฤติกรรม) คนได้

สมมติมีน้องคนนึงเข้ามาในองค์กร เป็นคนเก่งมากเลย ทักษะ hard skills ดีมาก แต่เขาขี้กลัว ไม่กล้าทำผิด คุณจะทำยังไง

อันนี้หมายถึงเข้ามาแล้วใช่มั้ย? แต่ปกติจะไม่รับ

แต่ทักษะเค้าดีนะ

ทัศนคติสำคัญกว่า ถ้าเค้ากลัวผิด ก็เหมือนเด็กเก่งทั่วไปในสังคมไทย อยู่ใน tract ที่ก็เก่งไป คนที่ไม่กล้าทำผิดก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรใหม่

หมายถึงว่าถ้าอยู่ในบทบาทของอาจารย์ คุณจะโค้ช แต่ถ้าเป็นคนที่รับเข้าทำงาน จะเลือกคนที่มั่นใจกว่า

แน่นอน เพราะพี่รับคนได้ไม่เยอะ ซึ่งนี่คือสิ่งที่น้องๆ ไม่ค่อยเข้าใจ ชีวิตตอนเรียนกับทำงานมันคนละแบบกัน ถึงชอบไปสอนเด็กในมหาวิทยาลัย เพราะหลายๆ ครั้ง ก้าวออกจากมหาวิทยาลัยมันสายไปแล้ว

อาจเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม เรามีทักษะ แต่เรากลัวผิด

ต้องเทรนด์ การเทรนด์ที่ดีคือเทรนด์ที่มหาวิทยาลัย พี่สอน design thinking ที่จุฬาฯ ตอนสอนก็ต้องมีการปรับความคิดอะไรหลายอย่าง ย้อนกลับมาว่าถ้าต้องโค้ชจริงๆ ถ้าเขาจำเป็นต้องอยู่กับเราไปอีกนาน …ใช้เวลาครับ คงไม่ไปบอกอะไรว่า “ทำได้อยู่แล้ว” เด็กไม่เชื่ออยู่แล้วสมัยนี้ ก็ให้เค้าลองทำดู Face the Truth ให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าไม่ได้ทำ

จากการเป็นอาจารย์ในคลาส design thinking มีข้อสังเกตว่านักศึกษาเป็นแบบไหน

กลัวผิดแหละ ไม่กล้าทำอะไรถ้าไม่ชัวร์ มองสายตาคนรอบข้างว่าคิดยังไงกับฉันตลอดเวลา แปลว่ากลัวผิดอยู่ดี จริงๆ มันไม่ได้ผิดอะไรแต่เป็นยุคสมัยของโซเชียลมีเดียที่เราเห็นตัวอย่างการประสบความสำเร็จเยอะ  เราก็อยากประสบความสำเร็จ แต่แค่ไม่ได้กลับมาจุดเริ่มต้นว่า ฉันต้องการอะไร แล้วฉันจะออกไปเจอสิ่งนั้นได้ยังไง พอกลัวผิดก็จะมัวแต่คิดและไม่กล้าทำ ซึ่งนี่ก็คือ innovation ของตัวเอง ถ้ามองแต่ตัวเองก็จะไม่เกิด

สิ่งที่ดีที่สุด บอกได้อย่างเดียว คือฝึกงาน ไม่ใช่เรียนในห้องเรียน ชัวร์ เรารู้อยู่แล้ว วันนี้ห้องเรียนไม่ได้ช่วยคุณ ถ้าคุณอยากมีงานมีอนาคตที่ดี คุณต้องออกไปหาตัวเอง การหาตัวเองที่ดีที่สุดคือต้องฝึกงานหลายๆ อย่างที่คุณสนใจ ยิ่งเจองานที่ไม่ชอบยิ่งดี คุณจะได้รู้ว่ามันไม่ใช่

ทักษะการใช้เครื่องมือ design thinking จำเป็นยังไงกับคนรุ่นใหม่

ทัศนคติที่สำคัญคือ ชอบลองผิดลองถูก แล้วก็อยากจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ อย่างหนึ่งที่พี่จะบอกน้องๆ เสมอคือ เราชอบโฟกัสว่าคนจะมองฉันยังไง ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกว่าเราตัวเล็กลงเรื่อยๆ ฉันจะต้อง success มีแต่ฉันกับฉัน ซึ่งตอนอยู่มหาวิทยาลัยมันเป็นอย่างนั้น มีแต่ฉันคนเดียวนี่แหละ ฉันก็คิดแต่ตัวเอง แต่พอเรียนจบแล้ว คุณต้องคิดว่าสังคมมันมีปัญหาอะไรบ้าง คุณอยากจะแก้อะไร นี่คือแรงบันดาลใจ เรียนจบมาแล้วอยากทำอะไร ต้องคิดออกไปนอกตัวเองได้แล้ว

และถ้ามันสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ คุณจึงจะหาทางมีพลังผลักดันตัวเองไปทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเองแล้วแต่เป็นเรื่องของตัวเองที่อยากจะแก้ปัญหาให้เค้า ทีนี้ค่อยมาเรียน design thinking ค่อยมาเริ่มนู่นนี่นั่น มันก็จะมีวิถีของมันในการทำโพรดักท์ มีการเทสต์ แต่ถ้าคุณไม่มีแรงบันดาลใจ (get inspire) จากเรื่องรอบข้างเลยว่าคุณอยากจะแก้อะไรแล้ว คุณบ้าตามกันไปเพราะเห็นความสำเร็จ มันก็เฟล เพราะ drive (แรงขับ) คุณไม่พอ drive คุณมีแต่เรื่องของตัวเอง

ทัศนคติ ลองผิดลองถูก กระหายใคร่รู้ คือ drive สำคัญในการเป็นนวัตกร

ถูกต้อง เค้าเรียกว่า angle (มุมมอง) กับสิ่งที่คุณอยากเปลี่ยนมากพอ เพราะว่าของใหม่มันยาก คนเริ่มทำพร้อมกัน คนหนึ่งอดทนมากกว่าก็ชนะแล้วไม่ใช่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง เพราะยังไงของใหม่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ยิ่งเก่งมากไม่รับของใหม่ยิ่งไม่ดี เรื่องของความอดทนมากกว่าไม่ใช่การบังคับให้ต้องอดทนนะ แต่เพราะเขาอยากแก้ปัญหานั้นมากกว่า เขาก็จะอดทนและผ่านอุปสรรคไปได้

Tags:

นวัตกรรมdesign thinkingGeneration of Innovatorกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • 21st Century skills
    Generation of Innovators : กล้าที่จะสร้างนวัตกรรม ทักษะคนรุ่นใหม่ในยุค Disruption

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    Nexplore กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ทุกคนคิดแบบ Superhero Thinking ปลดปล่อยไอเดียบ้าๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เทคโนโลยี-นวัตกรรม จุดชี้ขาดทางรอดโลกอนาคต: เสวนา SIIT ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ห้องเรียนใหม่รับเปิดเทอม เทคโนโลยีจะช่วยครูอย่างไร ให้ยังสอนและสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อยู่

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Everyone can be an Educator21st Century skills
    USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล
Early childhood
16 September 2020

Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความถอดจากรายการ Podcast ‘ในโลกอนุบาล’ ตอนที่ 2 ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวอลดอร์ฟและผู้อำนวยการอนุบาลบ้านรัก ชวนรู้จักกับหลัก 3R : Rhythm (จังหวะชีวิต), Repetition (การทำซ้ำ) และ Reverence (ความเคารพนับถือกัน) หัวใจสำคัญของการดูแลเด็กช่วงอนุบาล การสร้างจังหวะชีวิตให้พวกเขา
  • “อย่าให้ความรู้สึกของเด็กเกิดความไม่มั่นคงขึ้นว่าเมื่อไหร่จะมาสักที เขาก็อยากจะเล่นแต่ก็ไปไหนไม่ได้ ความไม่มั่นคงในตัวเขามันก็พอกขึ้นกลายเป็นความไม่ไว้ใจ ไม่ไว้ใจนี่ยากมากนะ แต่เขาบอกไม่ได้หรอกว่าอย่าผิดคำพูดกับหนู แต่เขาบอกเราได้ด้วยการร้องไห้ แล้วก็มักจะมีคำพูดจากผู้ใหญ่ “ลูกเป็นอะไร ทำไมร้องไห้อย่างนี้” เด็กก็บอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่ให้สำรวจตารางของตัวเองแล้วกันว่าทำอะไรผิดจังหวะกับลูกหรือเปล่า ทำอะไรไม่ซ้ำเดิมกับลูกหรือเปล่า”

The Potential Podcast รายการ ‘ในโลกอนุบาล’ รายการที่จะชวนคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง แม่ครู และครูที่ต้องทำงานกับเด็กวัยอนุบาลทุกคน พูดคุยกันว่า ธรรมชาติของวัยนี้ต้องการอะไรบ้าง 

โดยใน 4 เทปแรก เราเชิญ ‘ครูอุ้ย’ อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวอลดอร์ฟ ผู้อำนวยการอนุบาลบ้านรัก ผู้เป็นแม่ครู และคุณครูของครูอนุบาลของใครอีกหลายท่าน มาคุยกันว่า ในการจัดการศึกษาแนวมนุษยปรัชญา จัดการเรียนรู้ให้เด็กๆ วัยอนุบาลอย่างไร 

โดยในซีรีส์นี้วางแผนไว้ว่าจะพูดถึงหัวใจ 4 เรื่องหลัก นั่นคือ 

  1. ธรรมชาติวัยอนุบาล 
  2. หลัก 3R (Rhythm จังหวะ, Repetition การทำซ้ำ และ Reverence การเคารพ) ในการดูแลเด็กช่วงอนุบาล
  3. ธาตุของเด็กที่แตกต่าง เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
  4. 4 senses อุปกรณ์ในการเรียนรู้โลกของวัยอนุบาล 

สำหรับเทปที่สอง ซึ่งเรียบเรียงภาษาให้เหมาะแก่การอ่านชิ้นนี้ ว่าด้วยเรื่อง “หลัก 3R ในการดูแลเด็กช่วงอนุบาล” จะเป็นอย่างไร เชิญอ่านกันได้เลย 🙂

รับฟังเป็นเสียง คลิก: ในโลกอนุบาล ว่าด้วยเรื่อง 3R

Rhythm Repetition Reverence หรือที่เรียกว่า 3R เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กในช่วงอนุบาลอย่างไร 

ต้องบอกว่า 3R เป็นหัวใจของแม่ครูอนุบาล และถ้าผู้ปกครองได้รู้ว่า 3R มีความหมายยังไงกับการเป็นแม่ครูอนุบาล คุณพ่อคุณแม่อาจเห็นด้วยและพยายามทำให้เกิดขึ้นในบ้าน เอาง่ายๆ คือว่าเวลาที่เราเลี้ยงเด็ก ลองมองดูว่าหากเราทำอะไรที่มันไม่เป็นเวล่ำเวลา อะไรจะเกิดขึ้น? เด็กก็จะปั่นป่วน แล้วพวกเราเองในฐานะผู้ใหญ่ก็จะป่วนตัวเอง ทำให้ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงไปหมด ฉะนั้นการมีรูปแบบที่เราจะต้องรักษาเอาไว้ มันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น 

Rhythm จังหวะ(ชีวิต) 

R ตัวแรก Rhythm จังหวะ(ชีวิต)

R ตัวแรก คือ Rhythm หรือ จังหวะ เมื่อชีวิตของเราไม่มีจังหวะ อะไรเกิดขึ้น? ความวุ่นวายก็มาละ แต่เราก็ต้องมองดูว่าจังหวะคืออะไร หลายๆ คนอาจะบอกว่า จังหวะก็คือจังหวะดนตรี จังหวะสนุกสนาน แม่อุ้ยอยากจะให้พวกเราลองตบมือตาม แม่อุ้ยจะท่องกลอนง่ายๆ ที่พวกเราก็จำได้อยู่แล้ว 

หนึ่ง สอง สาม สี่ (เริ่มตบมือตามจังหวะ) โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ หมาหางงอกอดคอโยกเยก (ตัวหนา คือคำที่ลงจังหวะตบมือ) 

ตอนที่เราตบมือครบรอบครึ่งหนึ่ง (วาดมือเป็นวงกลมแล้วตบให้เห็นตามจังหวะ) พวกเรารู้สึกยังไงคะ? 

เราจำจังหวะได้ 

จำได้ เดี๋ยวลองอีกทีหนึ่งนะ คราวนี้แม่อุ้ยจะตบมือ โดยสลับจังหวะให้หนูตบด้วย เราก็จะท่องกลอนบทเดิม พร้อมนะ (หันมายิ้ม) 

โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ หมาหางงอกอดคอโยกเยก (ตัวหนา คือคำที่ลงจังหวะตบมือ) 

ในขณะที่เราสลับจังหวะกันตบ จังหวะที่แม่อุ้ยส่งให้หนูเป็นคนตบ หนูรู้สึกยังไงคะ?  

ก็ยังคงจังหวะ ตบตามจังหวะเดิมได้อยู่ รู้สึกปลอดภัยว่าเราจะกลับมาลงจังหวะเดิม 

ตรงนี้แหละค่ะคือความหมาย ถ้าเด็กของเราถูกเลี้ยงโดยจังหวะเดิม เด็กเขาก็จะรู้ว่าถ้าขึ้นจังหวะนี้แล้วจะต้องลงตรงนี้ เขาก็จะมีความมั่นใจว่ายังไงแม่อุ้ยก็จะรักษาจังหวะ วงรอบมันจะกลับมาที่เดิม เช่น วันหนึ่งบอกไม่ต้องตื่นเช้าก็ได้ลูกวันนี้ตื่นสายได้ วันนี้บอกไม่ต้องกินข้าวเช้าก็ได้ลูก เดี๋ยวเราไปกินข้าวในรถ วันนี้ไม่ต้องอย่างนั้นก็ได้ลูก ไม่ต้องอย่างนี้ก็ได้ลูก มันไม่ต้องเหมือนเมื่อวานก็ได้ลูก เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วยังไงต่อ? ใจของเด็กก็จะ อ้าว… แล้วยังไงล่ะ สับสนแล้ว 

ถ้าจะให้ชีวิตมันง่ายขึ้น มันก็ต้องลงจังหวะเดิม ไม่ถูกเหรอคะคุณแม่ ไม่ถูกเหรอคะแม่ครู? นี่แหละค่ะคือจังหวะ Rhythm คือความที่เรารู้สึกมั่นใจว่ามันจะมาซ้ำเดิม ให้ความมั่นใจกับเด็กว่า “เดี๋ยวมันก็ต้องเป็นแบบนี้” ฉะนั้นให้คุณแม่แล้วก็แม่ครูรักษาจังหวะในการเลี้ยงเด็กไว้ให้ดี ตื่นเช้า มาอนุบาล แล้วก็ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม กลับบ้านให้ตรงเวลา แค่นี้ ไม่ต้องบอกว่าเดี๋ยวอย่างนั้นอย่างนี้ ชีวิตไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องผิดจังหวะ เราจะพบว่าเด็กของเราง่ายขึ้น อันนี้คือ R แรก 

Repetition การทำซ้ำ

ตัวที่สอง Repetition การทำซ้ำ

เวลาที่ตบมือ ถ้าแม่อุ้ยมีบทกลอนใหม่เรื่อยๆ ไม่ซ้ำเดิม พวกเรารู้สึกยังไง? แต่ถ้าทุกอย่าง เราได้ซ้ำๆ เหมือนจังหวะเวลาในแต่ละวัน ตอนเช้าเราทานข้าวเช้า เสร็จแล้วตอนสายเราทานอาหารว่าง แล้วก็อาหารเที่ยง อาหารว่างบ่าย แล้วก็อาหารเย็น และเข้านอน เด็กจะรู้ว่า อ๋อ… มันจะมีจังหวะเวลาแบบนี้ อันนี้แค่ใน 1 วันนะ ทุกอย่างเป็นแบบนี้ 

แล้วถ้าเป็นฤดูกาลล่ะ หน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว เด็กเขาจะมอง อ๋อ… พอถึงหน้าฝน ฝนจะตก อีกไม่นานก็จะมีงานที่ชื่อว่างานลอยกระทงเกิดขึ้น งานลอยกระทงเหมือนคราวที่แล้วเลย ต่อจากลอยกระทงก็จะเป็นช่วงหน้าหนาว อาจจะมีงานรื่นเริง งานครอบครัว งานที่คนมารวมกัน เด็กก็จะ อ๋อ… เหมือนคราวที่แล้วเลย 

อะไรก็ตามที่มาเป็นลักษณะการซ้ำเดิม แบบเดิม ทำเหมือนเดิม เด็กจะอ๋อ… เป็นแบบนี้นี่เอง อาจจะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ได้ อย่างการเล่านิทาน ถ้าผู้ใหญ่เล่านิทานแบบเดิม ทุกอย่างแบบเดิม เด็กก็จะรู้สึกวางใจไม่สงสัย แต่ถ้าผู้ใหญ่เปลี่ยนเค้าโครงนิทาน เด็กจะ อ้าว… ทำไมไม่เป็นแบบนี้ล่ะ? อะไรก็ตามที่เรากระทำแล้วไม่ซ้ำ มันจะเกิดความสับสน 

พอร้องเพลงไม่ซ้ำก็ปั่นป่วนละ เล่านิทานไม่ลงแบบเดิม เปลี่ยนแปลงนู่นนี่นั่น ตัวละครต่างๆ เด็กจะรู้สึกว่า“อ๊ะ..ไม่ใช่อย่างนั้นหรอ?” อะไรก็ตามที่เราเคยทำเอาไว้แล้วเราเปลี่ยน เด็กก็จะเริ่มสงสัยข้างใน คราวที่แล้วไม่ได้ทำอย่างนี้นะ แต่เขาอาจจะพูดไม่ได้ จะแค่งงๆ ไปไม่เป็นนิดหน่อย ทีนี้ถ้าเรารู้ว่าการทำซ้ำแล้วทำให้เขาขยายภาพในสิ่งที่เขารู้แล้วให้มีรายละเอียดมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีนะ 

แม่อุ้ยชอบพูดคำว่า พอเพียง แม่อุ้ยอยากจะใช้คำว่า “เพียง” ก่อน โห… เด็ก “เพียง” แค่นี้จะเอาอะไรกับน้องมากมาย มา “ชั่ง” ซะก่อน มา “เพียง” ซะก่อน จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำกับเด็กมัน “พอ” แค่ไหน ถ้ามากไปแล้วเราใส่ให้เด็กไม่ซ้ำเลย มันไม่ไหวนะ

การซ้ำ การย้ำ ขยายภาพเดิม มันจะช่วยอะไรเด็กคะ

จะทำให้เขามั่นใจ ถ้าเปลี่ยนอะไรบ่อยๆ ก็เหมือนกับว่าเราพยายามทำให้เขาได้อะไรใหม่ๆ แต่ของเดิมยังไม่แน่น เราก็ต้องมา “เพียง” ก่อนไง โถ… เด็กเพียงแค่นี้ อย่างเพิ่งเลยน่า ซ้ำก่อน จะได้ย้ำความมั่นใจและความมั่นคง เพราะฉะนั้นความรู้ที่เราเคยให้ไว้เดิมเราก็ยังต้องคงไว้เดิมสำหรับเด็กตัวแค่นี้ Repetition ก็จะเข้ามาช่วยทำให้แม่ครูยั้งตัวเอง ให้บทเรียนตรงนี้อย่าไปเปลี่ยนเขาบ่อยๆ อาจจะทำให้เขายากลำบากมากขึ้นอะไรที่เราเคยออกแบบไว้เดิม ขอให้คงไว้ก่อน อะไรในชีวิตประจำวันมากมายที่เราจะต้องทำให้มันเกิดการกระทำซ้ำแล้วทำให้เด็กมั่นใจมากขึ้น

ครูอุ้ยยกตัวอย่างได้ไหมคะ การย้ำเดิม เช่นกิจกรรมอะไร  

เอาเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันก่อน คืองานบ้าน แม่ครูก็ออกแบบเอาไว้แล้วว่าการจัดโต๊ะอาหารควรจะใช้วิธีนี้ เช่น จัดจานก่อน ช้อนวางข้างนี้ ส้อมวางข้างนี้ แก้วน้ำวางอย่างนี้ แล้วก็ต้องมีผ้ารองจาน จัดโต๊ะกี่คนก็ว่ากันไป ถ้าเราจะใช้ระบบนี้ก็ขอให้ยึดอย่างนี้ทุกวัน จนกว่าเราจะมีเด็กน้อยลง เด็กมากขึ้น หรือมีโจทย์อย่างอื่นเข้ามา แต่ถ้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้แต่ให้ทิ้งระยะเวลาอีก ตอนนี้เปลี่ยนแล้วนะลูก ไม่ใช่เปลี่ยนทุกวัน ถ้าเปลี่ยนทุกวันก็แย่เลย สำหรับเราที่เป็นผู้ใหญ่ การไปไหนแล้วรู้สึกว่าเราทำได้ เรามั่นใจ ไปสถานที่เดิม เรารู้สึกสบายมากกว่าที่จะไปไหนแล้วทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด 

เวลาที่เราทำจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะระยะสั้นหรือแบบยาว อะไรก็แล้วแต่ ถ้าลงจังหวะเดิม เรารอจนกระทั่งถึงจังหวะเดิม ปุ๊บ! เดี๋ยวมันก็ต้องมาเป็นแบบนี้แหละ การรอคอยว่า “เดี๋ยวก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” แล้วมันลงตรงนี้จริงๆ ทำให้เรารู้สึกว่าการรอมีความหมายมาก แต่ถ้า โอ้โห… มันไม่มาที่เดิม จังหวะอันนี้ทำไมมันยาว ทำไมอันนี้มันสั้น เราไม่รู้เลยว่าเราจะถูกโยกย้ายอะไรไปไหนยังไง แม่บอกว่า “เดี๋ยวมานะลูก” ไม่เข้าใจคำว่า “เดี๋ยว” ของแม่หรือ “เดี๋ยว” ของผู้ใหญ่เลย ทำไม “เดี๋ยว” ของแม่นานจัง ฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่พอผิดจังหวะแล้ว เราจะพบว่าเด็กของเราไปยาก ไปไม่เป็น 

ทำไมเราต้องทำซ้ำ เด็กๆ จะเบื่อการทำซ้ำไหม 

ในความเป็นผู้ใหญ่ ตอนแม่อุ้ยเริ่มทำงานในการศึกษาแนวธรรมชาติของเด็กหรือว่าการศึกษาวอลดอร์ฟ แรกๆ ก็นึกอยู่เหมือนกันว่าเด็กเขาไม่เบื่อหรอ ถ้าจะต้องฟังนิทานซ้ำๆ อยู่ทุกๆ วัน เราควรจะให้นิทานเพิ่มเนื้อเรื่องแล้วก็ทำอะไรหน่อย ให้มันขยายความสนุก หรือว่ามีเหตุผลแอบแฝงบางอย่าง อย่างเช่นเวลาเล่าเรื่องนี้แล้วเราก็แอบใส่อะไรสักนิดหน่อยเพื่อเป็นการสอน เด็กน่าจะได้อะไรมากกว่า 

พอทำไปนานๆ แล้วถึงได้เข้าใจว่า อ้อ… ครูบาอาจารย์ของการศึกษาแนววอลดอร์ฟบอกว่าเด็กในวัยนี้เขาเรียนรู้ในรูปแบบของการกระทำซ้ำนะ เราจะเข้าใจไม่ได้เลยถ้าเราไม่ได้มองเห็นเด็กจริงๆ ว่าเด็กเขาต้องการการย้ำทวนอันนี้จริงๆ

เพราะฉะนั้นมองเข้าไปว่า ถ้าเราไม่ย้ำกับเรื่องนี้จะมีผลอะไรกับเขาหรือเปล่า เคยมีนิทานบางเรื่องที่ครูไม่ได้เล่าซ้ำเดิม อาจจะเป็นเพราะว่าครูจำไม่ได้ หรือเพราะว่าครูอยากจะเพิ่มอะไรเพิ่มเติม เหมือนที่แม่อุ้ยก็เคยกระทำมาแล้ว เด็กเขาก็จะสงสัยมากเลย เขาก็จะมองแบบนี้ (ทำสีหน้าสงสัย) แล้วจะถามว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอ ไม่ใช่แบบที่เขาเคยได้ยินเมื่อวานหรอ เราก็ชะงักนิดหนึ่ง แล้วจะมีอีกคนปั่นป่วนขึ้นมาเลยว่า “จริงด้วยๆ เมื่อวานเราได้ยินแบบนี้นะ เมื่อวานเป็นแบบนี้ต่างหาก” เขาหลุดออกไปจากสิ่งที่เรากำลังให้บทเรียนตรงนั้นไปเลย 

แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ คือครูเปลี่ยนแปลงบทเรียน หรือเปลี่ยนอะไรโดยที่ไม่คำนึงถึงเด็กที่ต้องการการกระทำซ้ำ เด็กก็จะไม่มั่นคง ภาพในใจหรือจินตนาการเวลาฟังนิทานของครู ภาพในใจเหล่านั้นมันจะต้องเปลี่ยนแปลง ภาพในใจที่เขามีอยู่มันต้องเปลี่ยนใหม่ แล้วเขาจะชะงัก แล้วก็ต้องสร้างภาพในใจใหม่ แต่เขาบอกเราไม่ได้ แต่เราจะเห็นในแววตาเขาเกิดความสงสัย แล้วแป๊บนึงเขาก็ต้องตามเรา ถ้าแม่ครูทำแบบนี้บ่อยๆ ก็ไม่เกิดผลดีแก่เด็ก 

เราอย่าลืมว่าเด็กวัยนี้เขาหล่อหลอมด้วยจินตนาการ จินตนาการของเขาเป็นภาพในใจ แล้วมันก็จะซ้ำๆ แต่ถ้าเราไปเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ภาพในใจที่เขาเคยสร้างก็จะมีร่องรอย เราอาจจะบอกว่าทำให้เขาเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น แต่ยังไม่ใช่วัยนี้ วัยนี้เขาต้องการการทำซ้ำ

การเห่กล่อมก็เหมือนกัน เรายังมีจังหวะที่โยกไปมา เมื่อเด็กได้จังหวะที่โยกไปมาซ้ำๆ เขาจะเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายและหลับสบาย แต่ถ้าเขาไม่ได้จังหวะนี้อะไรจะเกิดขึ้น เขาจะเกิดความไม่มั่นคง และจิตใจข้างในของเขาจะได้รับความอบอุ่นไหม ซึ่งเราให้ความอบอุ่น ให้ความมั่นคงกับเขาไปเต็มที่ก่อน จนกว่าฟันน้ำนมโยก ฟันแท้ขึ้น พลังของความอบอุ่น พลังของความมั่นคง มันจะอยู่ในเนื้อตัวของเด็ก เราให้เขาก่อนไม่ได้หรอ

สิ่งที่เราให้เขา อย่าเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น ถ้าเล่านิทาน ในวัยของเด็กเล็ก สังเกตดูนะ เด็กเขาจะร้องขอนิทานซ้ำๆ “ขออันนี้ได้ไหมแม่ อยากฟังเรื่องนี้อีก” แม่ก็จะ “โอ๊ย… ไม่เบื่อหรอลูก” คนที่เล่านี่อาจจะรู้สึกว่าลูกเราทำไมร้องเรียกแต่เดิมๆ หรือว่าลูกเราจะไม่พัฒนาหรือเปล่า แต่เด็กเขาต้องการขยายภาพในใจ การย้ำ การใช้ภาพเดิม ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ อบอุ่นใจ เราเอาความอบอุ่นใจมาก่อน อย่าพึ่งใส่ข้อมูล แต่เรามักจะคิดแง่มุมของผู้ใหญ่ไงว่า เราใส่ข้อมูลแต่ความอบอุ่นใจไม่เป็นไรฉันให้ลูกได้อยู่แล้ว แต่กับเด็กนี่กลับกัน ขอความอบอุ่นใจก่อน หนูไม่ได้อยากได้อะไรที่เปลี่ยนแปลงหรอกแม่ แต่เขาบอกไม่ได้ไง หนูอยากจะได้เดิมๆ 

เรื่องเล่นก็เหมือนเดิม ต้องลองมองดูนะว่าเด็กเขาจะเล่นแบบเดิมไประยะใหญ่ๆ เช่น เด็กคนหนึ่งในอนุบาลของเราที่เพิ่งไปเที่ยวไปทำบุญที่ต่างจังหวัดมา พอมาถึงอนุบาลปั๊บ สิ่งที่เขาเล่นก็คือเขาไปหาผ้าสีเหลืองมาพัน แล้วก็ให้เพื่อนใส่บาตร (หัวเราะ) แล้วจะเล่นเรื่องนี้ซ้ำๆ ระยะใหญ่ๆ แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย เพราะถ้าเขาจะเปลี่ยน เขาจะเปลี่ยนตามความสนใจเขาเอง ก็ไม่เป็นไร บางคนเล่นรถ ขับอยู่นั่นแหละ ขับทุกวัน เขาก็จะเล่นจนถ้าเขาสนใจเรื่องใหม่ เขาก็จะเปลี่ยนเอง ฉะนั้นผู้ใหญ่ไม่ต้องไปบอกว่า โอ๊ย… เล่นเรื่องเดิมอีกแล้ว ไม่ต้อง ก็เงียบๆ เฉยๆ มองว่าตอนนี้เด็กกำลังทำอะไรอยู่ ขอให้เรื่องของการทำซ้ำเป็นเรื่องที่เขาจะย้ำทวนภาพในใจให้ชัดเจนขึ้น 

R ที่ 3 Reverence ความเคารพนับถือกัน

R ที่ 3 Reverence ความเคารพนับถือ 

R ตัวสุดท้ายจะเป็น R ที่ต้องบอกได้ว่ามีความสุขมาก คือ Reverence การให้ความเคารพ ให้ความนับถือ เกรงใจกับเด็ก ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ชีวิตในบ้านหลังหนึ่งจะมีสันติสุข เช่น การอยู่บ้านโดยมีผู้ใหญ่ในบ้าน เวลาเด็กตัวน้อยๆ มาถึง เขาจะให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่ในบ้านก่อน เช่น “กลับมาบ้านแล้วไปสวัสดีคุณปู่ก่อนนะคะ” นี่คือการให้ความเคารพนับถือ ความเกรงใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ สบายเลย บ้านนี้จะกลายเป็นบ้านที่มีความสุข มีสันติสุข เพราะว่าเรามีใจให้กัน 

ในอนุบาลก็เหมือนกัน พี่ดูแลน้อง น้องก็ทำตามอย่างพี่ พี่รินน้ำให้น้อง น้องดื่มน้ำและขอบคุณพี่ พี่รู้สึกว่าพี่ภูมิใจ พี่รินน้ำให้น้องทุกคนในโต๊ะก็รู้สึกภูมิใจ น้องเองก็ขอบคุณ น้องให้ความเคารพพี่ พอเลื่อนชั้นอีก หนึ่งปี น้องก็ทำได้แบบพี่ เขามองเห็นพี่ทำยังไงเขาก็ทำตามแบบเหมือนพี่เขาทุกอย่าง พี่เองก็ให้การดูแลน้อง ฉะนั้นถ้าเรามีสังคมให้กันดูแลกัน ให้ความเกรงใจกัน  

R นี้หมายถึง เราต้องเคารพในตัวเด็กน้อยด้วยใช่ไหมคะ 

ใช่ R ที่ 3 (Reverence) นี้สำคัญมากเลย เพราะเป็น R แห่งความสุข เมื่อเราให้ความเคารพซึ่งกันและกันแล้ว เราต้องมองเข้าไปในตัวเด็กว่า เด็กเองพวกเขาก็เพิ่งลงมาจากเบื้องบนไม่นานมานี้เอง ก่อนหน้านี้พวกเขายังคงเป็นจิตวิญญาณ เรียกสั้นๆ ว่าเป็นดาวบนฟ้าแล้วกันนะ พวกเขาลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ มองเห็นโลกมนุษย์สดชื่น สวยงาม มีแต่สิ่งที่งดงามอยากทำให้โลกใบนี้มีความสุขมากขึ้น เรามองเขามาจากที่สูง มาจากเบื้องบน แล้วลงมาช่วยโลกมนุษย์ให้โลกมนุษย์มีความสุขมากขึ้น เห็นภาพนี้แล้วเราจะเห็นเด็กค่อยๆ ลงมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ มาเป็นลูกศิษย์ของครู เห็นภาพที่เขามาจากข้างบนแล้วเรารู้สึกยังไงคะ เรารู้สึกยินดีกับเขา เราเคารพในจิตวิญญาณที่เขาลงมาเกิดในโลก แล้วมาทำงานร่วมกับพวกเรา แล้ววันหนึ่งเขาโชคดีที่เรามาเจอกัน ได้มาเป็นครูเป็นลูกศิษย์กัน ถ้ามองอย่างนี้แล้ว พอถึงวันเกิดของหนู เดี๋ยวแม่ครูจะจัดวันเกิดให้นะคะ 

(ครูอุ้ยท่องกลอนวันเกิด) ตัวเจ้าเป็นดาวบนฟ้า อยู่บนฟากฟ้าในยามค่ำคืน มองเห็นโลกใบกลมสดชื่น ต้นไม้ร่มรื่น ผู้คนมากมี จึงอยากมาช่วยสร้างโลก ให้หมดทุกข์คลายโศกมีสุขเต็มที่ มองดูพ่อแม่คู่นี้ รักกันนานปีอยากมีลูกผูกใจ จึงชวนหมู่ดาวหลายดวง เรียงร้อยเป็นพวงรถเลื่อนแล่นไป รู้ทอดสะพานรักให้ เจ้าจงลงไปรออยู่ในครรภ์ หูย… มิตรภาพสวยงามนะ พ่อแม่ต่างเฝ้ารอคอย เฝ้าคอยลูกน้อย เฝ้าคอยใจมั่น ลูกน้อยเติบโตในครรภ์ พ่อแม่นับวันรอเจ้าเกิดมา วันนี้เป็นวันเกิดเจ้า ในครอบครัวเราตื่นเต้นนักหนา ปากนิดจมูกน้อยหน้าตา เจ้าแบ่งเอามาจากพ่อแม่เท่ากัน เติบโต เจ้าจงมั่นใจเป็นคนดีให้ได้อย่างเจ้าตั้งมั่น จงรักและจงแบ่งปัน นำความสุขสันต์ให้โลกเราเอย

นี่เป็นบทกลอนสั้นๆ ที่แม่ครูอาจจะจัดให้เด็กๆ ของเขาทุกคน เอ่ยถึงการเกิดที่มาจากสิ่งที่สวยงาม แล้วมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ แล้วมาสร้างสรรค์โลกนี้ให้สวยสดงดงาม 

พอเรามองถึงภาพนี้ เคารพในจิตวิญญาณของเด็กหนึ่งดวง รู้สึกดีกับจิตวิญญาณดวงนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าเด็กคนนี้จะยากลำบากอะไรก็แล้วแต่ในชั้นเรียน กินยาก นอนยาก กรี๊ดมาก อะไรก็แล้วแต่ เรากลับไปที่เดิมว่าเขาก็เป็นดาวบนฟ้ามานั่นแหละ เขาลงมาเพื่อที่จะทำให้โลกนี้งดงาม ไม่ว่าอุปสรรคอะไรเราจะช่วยเขาก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนั้นๆ 

ใน R ที่ 3 แม่ครูต้องพยายามย้อนกลับไปคิดว่า เขาก็เพิ่งมานะ เขาเป็นดาวบนฟ้าจะมาทำให้โลกนี้งดงามตามความตั้งใจของเขา มันแค่นอนยาก งั้นเดี๋ยวเราช่วยกัน วันนี้แค่กินยาก งั้นเดี๋ยวเราช่วยกัน วันนี้อะไรก็ยากไปหมด งั้นเดี๋ยวเราช่วยกัน อะไรคืออุปสรรคที่เขาต้องเผชิญบ้าง ณ ตอนนี้ เราลองมองหลายๆ มุมซิ ปัญหาอยู่ที่ไหน เรามาช่วยกัน เพราะว่าเด็กทุกคนตั้งใจลงมาเป็นคนดี ที่จะทำ ให้โลกนี้สวยสดงดงาม 

R ตัวนี้ก็เหมือนเป็น R ที่เตือนสติเราไว้ให้เคารพจิตวิญญาณของเด็ก? 

ใช่เลย เราจะพยายามจนได้ที่จะช่วยเด็กคนนี้ให้ได้ แล้วถ้าทำงานร่วมกับพ่อแม่ แล้วพ่อแม่รู้ว่าคุณครูก็พยายามช่วยอยู่นะ อุปสรรคใดๆ ก็จะฝ่าฟันกันไป ให้เขาก้าวข้ามอุปสรรคของเขาไปให้ได้ เราไม่รู้ว่าคืออะไร

เราอยากเลี้ยงเด็กในบรรยากาศแบบไหนล่ะ หนึ่ง- Rhythm ก็คือมีจังหวะ สอง – Repetition ก็คือมีการกระทำซ้ำ ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกย้ำและมั่นคง สาม – Reverence การมีความเคารพนับถือกัน เรามองดูว่าเด็กตัวเล็กๆ เราไม่ต้องให้ความนับถือเขาหรอ แต่ถ้าเรามองเข้าไป เขาเป็นดวงวิญญาณที่มาจากเบื้องบน ฉะนั้นการนับถือในความรู้สึกของเรา อย่างแรกเลยก็คือว่า หนูมาจากที่สูง เบื้องบน หนูลงมาเกิดบนแผ่นดินโลก เพราะฉะนั้นหนูมาถูกต้องแล้ว แผ่นดินโลกมีความน่าอยู่ มีความดี อะไรก็แล้วแต่ที่มันจะเป็นอุปสรรคกับหนู เดี๋ยวเราจะมาช่วยกัน

แล้วถ้าเราผิดไปหมด ไม่ได้เป็นไปตาม 3R ไม่ได้เป็นจังหวะ ไม่ได้ทำซ้ำ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนหนึ่งคะ

เกิดความปั่นป่วน ทั้งเด็กแล้วผู้เลี้ยงเด็ก มันจะวุ่นวายไปหมดเลย เอาง่ายๆ นะ คือเราจะจับจังหวะไม่ถูกว่าเราจะเอายังไง เพราะฉะนั้น สู้ใส่ระบบระเบียบให้เป็นจังหวะไว้ก่อน แล้วพบว่าทั้งเด็กทั้งเราก็ง่ายขึ้น นอกจากบทบาทสำคัญของผู้ใหญ่ที่ต้องมี 3R แล้ว จริงๆ ในชีวิตของเราแต่ละคน 

หากทุกอย่างผิดจังหวะไปหมด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดในชีวิตของเด็ก ทุกอย่างมีความรู้สึกว่าไม่มีใจให้กันเลย สับสนไปอีก เราไม่ได้คำนึงถึง 3R นี้เลย ไม่ได้คำนึงถึงจังหวะ Rhythm ไม่ได้คำนึงถึง Repetition การทำซ้ำ ไม่ได้คำนึงถึง Reverence คือความนับถือเกรงใจ เราไม่มีเรื่องเหล่านี้เลย นอกจากจะปั่นป่วนแล้ว มันยังทำให้สุขภาพ สุขภาวะของเราไม่ดีไปด้วย เหมือนลมหายใจของเรา หายใจเข้าเรารู้สึกสดชื่น รู้สึกได้เติมเต็ม ลมหายใจออกเราได้ผ่อนคลาย แค่จังหวะที่สัมพันธ์กับลมหายใจ มีทั้งเข้าและมีทั้งออก เรายังบอกได้เลยว่าจังหวะเหล่านี้จะทำให้เรามีสุขภาพดี 

ครูอุ้ยเคยเล่าว่า บางช่วงเด็กอาจจะมีกรี๊ด ทะเลาะกับพ่อแม่บ้าง ท้าทายต้องการเอาชนะพ่อแม่ พฤติกรรมแบบนี้เชื่อมโยงกับ 3R ไหมคะ

เวลาครูเห็นอาการแบบนี้นะ อย่างหนึ่งที่เป็นสมมติฐานแรก ต้องไปดูว่าจังหวะชีวิตของบ้านนั้นหรือเด็กคนนั้นเขาได้รับมายังไง นอนพอไหม นอนเวลาไหน ตอนเช้าถ่ายไหม กินหรือยัง จับได้เลยว่าร่างกายของเขามันไม่เข้าที่ บอกไม่ได้เลยว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน เขาหงุดหงิด เขาอารมณ์ไม่คงที่ไปหมดเลย กลับไปดูจังหวะของแต่ละบ้านจะพบว่า จังหวะของแต่ละบ้านไม่เข้าที่จริงๆ แล้วทำให้เด็กเป็นแบบนั้น พอเรามาคุยกับคุณพ่อคุณแม่ว่าเรามาคุยเรื่องจังหวะชีวิตสักนิดกันดีไหม? คุณพ่อคุณแม่อยากเล่าเรื่องอะไร เล่าให้ครูฟังได้เลยนะ มักจะพบว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการผิดเวลา แล้วเป็นการผิดเวลาที่เด็กเอาความแน่นอนไม่ได้ แล้วอารมณ์ก็จะปั่นป่วนมา พอมาถึงที่อนุบาลก็มักจะแสดงให้เห็นสักนิดหนึ่ง ตอนจากกันก็จะแสดงมากหน่อย พอหลังจากจากกันไปแล้วก็สะอึกสะอื้นนิดหน่อย แล้วก็เข้าที่ 

เพราะจังหวะของอนุบาลของเราจะเป็นจังหวะอยู่แล้ว เด็กก็จะมั่นใจ เราลงจังหวะเดิม เขาก็จะรู้แล้วว่าเมื่อแม่ครูรับเด็กเข้าอนุบาล ทุกอย่างก็จะลงแบบนี้ ถ้ามาสายเดี๋ยวก็จะได้ทานอาหารว่างช่วงเช้า เดี๋ยวก็จะได้เล่น เดี๋ยวจะได้ทำกิจกรรมนี้ เดี๋ยวก็จะได้ออกไปข้างนอก เด็กก็จะรู้จังหวะ แต่ถ้าที่บ้านไม่ได้ทำอย่างนี้ เขาต้องแสดงให้เห็นนิดหน่อยว่าเขาเกิดอารมณ์ยังไง แต่เขาอาจจะบอกความต้องการไม่ได้ว่าอย่าทำอย่างนี้กับหนูนะ หนูรู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าถ้าแม่ครูจับอาการได้ ก็ไปให้ความเห็นกับคุณพ่อคุณแม่นิดหนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้นคะ 

เช่น เด็กที่อนุบาลคนหนึ่ง ช่วงนั้นมีญาติมาที่บ้านแล้วปรากฏว่าตื่นเต้น รู้สึกว่าทำไมเขาไม่ได้กลับไปกับพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทำไมเขาต้องมาที่อนุบาล ทำไมน้องได้กลับบ้านแต่เขาไม่ได้กลับไปด้วย เด็กเกิดความสงสัย พบว่า อ๋อ… จังหวะชีวิต ณ ตอนนี้มีแขก มันไม่ปกติ ถ้าปกติก็คือไม่มีแขก ครูก็ยอมรับได้ว่าช่วงนี้ปู่ย่ามาเยี่ยม เพราะฉะนั้นก็อาจจะเกิดอาการปรี๊ดๆ หน่อยตอนจากกัน แต่ว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็คุยกันได้ว่า “ไม่เป็นไรนะ อยู่กับแม่ครูไปก่อน เย็นนี้เดี๋ยวคุณปู่คุณย่ามารับไม่ใช่เหรอ?” ก็ว่ากันไป 

ครูแค่ให้ความสำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตประจำวันเขา จังหวะชีวิตมันผิดไปนิดหนึ่งตรงที่ว่าเมื่อก่อนไม่เคยมีแขกมา แต่ช่วงนี้มีแขกมา เท่านั้นเองเรื่องก็จบละ 

แปลว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมา พ่อแม่ “เอ๊ะ” ได้ว่าเมื่อเริ่มกรี๊ด แสดงว่าอาจมีการผิดจังหวะอะไรบางอย่าง

บางทีคุณพ่อคุณแม่ก็เอ๊ะไม่ได้นะ (หัวเราะ) บางทีก็ต้องถามคนอื่นบ้าง “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคุณครู ทำไมผมมาส่งกรี๊ดจังเลย ช่วงนี้เป็นอะไร” ก็บอก “ก็คุณแม่อุ้มน้องมาด้วยไง ก่อนหน้านี้คุณแม่ไม่ได้อุ้มน้องมาด้วยใช่ไหม ตอนนี้อุ้มน้องมาด้วย เขาเลยอยากอยู่กับคุณแม่นานๆ อีกนิดนึง” บางทีคุณครูก็ต้องเอะใจบ้าง ก็คุยกัน แต่ต้องย้อนกลับไปที่จังหวะแหละค่ะ เอ๊ะ… อะไรในชีวิตประจำวันที่มันไม่เหมือนเดิมนะ เห็นไหมคะว่าอะไรที่ไม่เหมือนเดิมทำให้เด็กเกิดอะไรขึ้น ข้างในเขาก็เกิดความไม่มั่นคง แต่ถ้าเหมือนเดิมเขาก็รู้สึกสบายใจ แต่ว่าถ้ามันเปลี่ยนแปลงแล้วเราเข้าใจได้ เราก็กลับไปทำอะไรให้จังหวะชีวิตมันเหมือนเดิมสักนิด หรือว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ก็ให้เวลาเขาหน่อยว่า “ตอนนี้มันเปลี่ยนแล้วลูก มันเปลี่ยนไปแล้ว ยังไงซะแม่ก็ต้องกระเตงน้องมาส่งหนู แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ทุกวัน” ก็บอกเขา เขาก็ยอมรับได้ อะ… ต้องจากกันแล้วนะ บ๊ายบาย แม่จะไปเลี้ยงน้องนะ จะสะอึกสะอื้นสักแป๊บนึง ก็ทำอย่างนี้ทุกวันๆ  เดี๋ยวเขาก็เข้าที่เอง 

เด็กที่เขาได้รับการเลี้ยงดูแบบเป็นจังหวะ มีการทำซ้ำ ได้รับการเคารพนับถือ จะส่งผลยังไงในตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ มันจะไปถึงตรงนั้นไหม

มันจะเกิดความเคยชิน เป็นความทรงจำที่ดี ถ้าพูดง่ายๆ คือเราอยู่ในบรรยากาศที่ดีมาก่อน อยู่ในบรรยากาศที่ไม่สับสน แล้วพอเราโตขึ้นบรรยากาศแบบนี้มันจะหล่อเลี้ยงเรา เมื่อโตขึ้นไปความเคยชินตรงนี้เราอาจจะทำให้คนอื่น แล้วก็อาจจะไม่ชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลา หรือไม่ตรงต่อเวลาเราก็พยายามแก้ไขว่าการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องดีนะ ทำอะไรที่ให้ความสำคัญ ทำซ้ำสักนิดเป็นเรื่องดี แต่ว่าเด็กไม่สามารถที่จะบอกได้เป็นทฤษฎีอะไรแบบนี้หรอกค่ะ แต่การสร้างความเคยชินที่ดีมาก่อนจะช่วยได้ในระบบระเบียบชีวิตในภายภาคหน้า 

เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็จะอยากจัดระเบียบ 

เพราะเขาเคยชินในสิ่งที่มันเรียบง่ายแบบนั้น แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะสบาย ถ้าทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามนั้น แต่ถ้าเขาเป็นคนแข็งแรงจริงๆ เขาก็จะสามารถปรับเปลี่ยนไอที่สับสนวุ่นวายให้เป็นเรื่องที่ไม่สับสนวุ่นวายได้ เพราะว่าเขาเคยรับสิ่งที่ดีมาก่อนไง มันก็เป็นความเคยชินที่ดี 

ถามแทนคุณพ่อคุณแม่ พ่อแม่ทำมาหากิน ทำงานในเมืองจะแงะลูกจากเตียงรีบออกไปส่งอนุบาลตั้งแต่เช้า ต้องกินอาหารในรถ หลายอย่างเราไม่สามารถทำจังหวะชีวิตให้ปกติได้ เราจะทำยังไงดี

อันแรกคือเราต้องให้ความสำคัญก่อนว่า เรื่องนี้ (จังหวะชีวิต) เป็นเรื่องดีสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก แล้วถ้าเกิดไม่ให้สิ่งเหล่านี้กับเด็กมันจะมีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นเราก็ระวัง เช่น รู้ว่ารถติดแน่เลย เราก็ต้องทำอะไรให้มันเสร็จเช้าหน่อย ถ้าทำอะไรไม่ได้จริงๆ เช่น อาหารเช้าทานไม่ได้ที่บ้านจริงๆ  ก็คงต้องฝากกล่องข้าวมาให้คุณครูทราบว่า ลูกไม่ได้ทานอาหารเช้าทุกวันที่บ้าน เพราะบ้านไกล ฉะนั้นถ้าเขาไม่ได้ทานในรถ ก็ขอฝากให้ครูช่วยให้เขาทานด้วยตอนเช้า ถ้ามีการเตรียมตัวที่ดี แล้วทุกอย่างไม่ผิดจังหวะเวลามาก เพราะลูกจะรู้ว่าเดี๋ยวก็จะต้องหิ้วกล่องข้าวนี้ไปทานที่อนุบาล ซึ่งที่อนุบาลของเรา จะมีเด็กที่หอบหิ้วเอากล่องข้าวเช้ามาทานกันหลายคน แล้วมันจะมีก๊วนอาหารเช้า รวมทั้งแม่ครูด้วย (หัวเราะ) ก็จะมาทานด้วยกัน

ทีนี้ตอนกลับเหมือนกัน อย่าผิดเวลากับลูกมาก ให้มองดูว่าเวลาที่อนุบาลแต่ละที่เขาหมดเวลากี่โมง ถ้าเขาหมดที่บ่ายสอง คุณแม่ก็ไม่ควรจะเกินเวลาจากบ่ายสองมากเกินไป ถ้าเขาเลิกช้ากว่านั้น คุณแม่ก็ควรจะตรงเวลา ถ้าเพื่อนกลับไปก่อนแล้ว จะมีการชะเง้อแล้วว่าเมื่อไหร่บ้านเราจะมารับสักที หรือถ้าเป็นอะไรที่ต้องช้าจริงๆ แอบบอกคุณครูไว้ว่าวันนี้คงจะช้าแน่เลย ให้เขารู้ตัวไว้ก่อนว่าช้าแน่ เดี๋ยวคุณครูก็หาอะไรให้ทำ ถ้าผิดเวลาแล้วเราจะช่วยกัน 

เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เหลือบ่ากว่าแรงที่เราควบคุมไม่ได้เรื่อง 3R ต้องมีตัวช่วย ก็ต้องบอกกันไว้ก่อน อย่าให้ความรู้สึกของเด็กเกิดความไม่มั่นคงขึ้นว่าเมื่อไหร่จะมาสักที เขาก็อยากจะเล่นแต่ก็ไปไหนไม่ได้ ความไม่มั่นคงในตัวเขามันก็พอกขึ้นกลายเป็นความไม่ไว้ใจ ไม่ไว้ใจนี่ยากมากนะ แต่เขาบอกไม่ได้หรอกว่าอย่าผิดคำพูดกับหนู แต่เขาบอกเราได้ด้วยการร้องไห้ แล้วก็มักจะมีคำพูดจากผู้ใหญ่ “ลูกเป็นอะไร ทำไมร้องไห้อย่างนี้” เด็กก็บอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่ให้สำรวจตารางของตัวเองแล้วกันว่าทำอะไรผิดจังหวะกับลูกหรือเปล่า ทำอะไรไม่ซ้ำเดิมกับลูกหรือเปล่า 

แม่อุ้ยอยากให้พวกเราให้ความสำคัญกับ R ที่ 3 คือ R ที่บอกว่าเราต้องให้ความเคารพนับถือ มองดูเด็กเถอะค่ะว่า เด็กทุกคนรวมทั้งตัวเราด้วย เราก็มาจากจิตวิญญาณที่มาจากเบื้องบน แค่นี้ ถ้าเรานึกถึงว่าทุกคนมาจากสิ่งที่เรียกว่าประทานพรลงมา ยังไงก็ตามเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับทั้งตัวเด็ก ทั้งสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก หรือว่าเป็นอะไรก็ตามที่เราเข้าใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก ทำไมเขาถึงเลี้ยงยาก หรือว่าไม่สามารถที่จะผ่านความยากลำบากในเรื่องอะไรไปได้ อาจจะร้องไห้มาก นอนไม่ได้ กินไม่ได้ ให้ย้อนกลับไปตรงนี้เลยว่า พวกเขาล้วนมาจากสิ่งที่ได้รับการประทานพรลงมา พวกเขามีโอกาสเท่ากันทุกคน มาจากเบื้องบน มาทำสิ่งที่ดีงามบนโลก ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรเราก็จะช่วยเขาแก้ไขอุปสรรค ผ่านอุปสรรคไปให้ได้ 

Tags:

ปฐมวัยอภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ในโลกอนุบาล

Author:

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    ความรุนแรงในวัยอนุบาล : ได้รับแล้วประทับในกาย ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่เซฟทับประสบการณ์เก่า : นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning TheoryEarly childhood
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning TheorySocial Issues
    ให้การ ‘อยู่บ้าน’ ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีได้ทำความรู้จักลูกจริงๆ ผ่านงานบ้าน งานครัว งานสวน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

วิชาประวัติศาสตร์ที่ต้องคิด และไม่ใช้ปัจจุบันตัดสินความผิดถูก ของครูโจ้ – ศรัณยพงศ์ จันทะศรี
Unique Teacher
16 September 2020

วิชาประวัติศาสตร์ที่ต้องคิด และไม่ใช้ปัจจุบันตัดสินความผิดถูก ของครูโจ้ – ศรัณยพงศ์ จันทะศรี

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ภาพห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง? นั่งฟังครูบรรยายในห้องสี่เหลี่ยม ท่อนจำเนื้อหา แต่ห้องเรียนสังคมของครูโจ้ – ศรัณยพงศ์ จันทะศรี แห่งโรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร จังหวัดอุดรธานี จะพาเราไปเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์พาเพลินที่ไม่จำเป็นต้องท่องจำอีกต่อไป
  • การเรียนการสอนของครูโจ้ ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนและในตำราเรียน การหยิบยกเรื่องราวบริบทชุมชนใกล้ตัวมาขยายภาพในชั้นเรียนเป็นสิ่งที่ทำอยู่เป็นกระจำ ยิ่งเป็นวิชาภูมิศาสตร์การท่องเที่ยวด้วยแล้ว ครูโจ้รับอาสาพานักเรียนออกไปเรียนรู้ในห้องเรียนชุมชน ให้ได้ลงมือคิด วางแผนการเรียน และปฏิบัติด้วยตัวเอง เพราะครูโจ้เชื่อว่า เลคเชอร์วิชาสังคมในห้องเรียน ถ้าไม่ได้ลงมือทำ ไม่มีคำว่าสนุก

ชุมชนดั้งเดิมพื้นถิ่นในตำบลห้วยเกิ้ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มีเชื้อสายมาจากประเทศจีน ห้วยเกิ้งเป็นชุมทางรถไฟในเส้นทางอีสานเหนือตัดผ่านโคราช ขอนแก่น อุดรธานี ก่อนไปสิ้นสุดที่หนองคาย พื้นที่ทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งในภาคอีสานที่เต็มไปด้วยพหุวัฒนธรรมอันน่าสนใจ น่าสืบเสาะให้รู้ที่มาที่ไป และเข้าใจความเป็นไปในปัจจุบัน

ครูโจ้ – ศรัณยพงศ์ จันทะศรี จะพาเราไปเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์พาเพลินที่ไม่จำเป็นต้องท่องจำอีกต่อไป

“คุณครู…ฝากหลานด้วยนะ เด็กมันไม่มีพ่อไม่มีแม่“

เป็นประโยคสั้นๆ ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เปลี่ยนความคิดของ ครูโจ้ให้เลือกเดินบนเส้นทางความเป็นครู

ครูโจ้ เปิดเผยตรงไปตรงมาว่า เข้าเรียนคณะครุศาสตร์ เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ด้วยความจำใจ ช่วงขณะที่กำลังวางแผนสอบเอนทรานซ์ใหม่ เพื่อเข้าเรียนด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม แม่ขอร้องแกมบังคับให้ครูโจ้สมัครเข้าร่วมเป็นครูอาสาในโครงการค่ายอาสาของมหาวิทยาลัย

จุดหมายของการเดินทางในครั้งนั้น คือ โรงเรียนบ้านห้วยดอกไม้ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ตั้งอยู่ที่ตำบลโคกก่อง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ที่ต้องดั้นด้นเดินทางเข้าป่า ผ่านเส้นทางถนนที่ยากลำบาก ห่างไกลความเจริญและไม่มีสัญญาณโทรศัพท์  

“ฉันต้องออกไปจากที่นี่” นั่นเป็นความคิดแรกในหัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คนหนึ่ง เมื่อเจอกับสภาพที่เห็นตรงหน้า

แต่…ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อได้ยินผู้ปกครองเอ่ยคำว่า “ครู” กับตนเอง

“เฮ้ย….เราเป็นครูเหรอเนี่ย” ครูโจ้ คิดหลังได้ยินคำนั้น

“ผมรู้ตอนนั้นว่าคำว่าครูมันมีพลังมากจริงๆ เด็กไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างเรา อยู่กับเรา เกาะแขน แล้วให้เราเดินจูงมือไปส่งถึงบ้าน พอเราเดินมาส่ง ผู้ปกครองยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วเรียกเราว่าครู”

“กลับมาผมตัดสินใจบอกเพื่อนที่มาด้วยกันเลยว่า ไม่สมัครเรียนต่อการท่องเที่ยวและการโรงแรมแล้ว จะเป็นครูนี่แหละ”

ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ครูโจ้บรรจุเป็นครู โรงเรียนห้วยเกิ้งพิทยาคาร ตำบลห้วยเกิ้ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี สอนวิชาสายสังคมศึกษา ทั้งภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เป็น 9 ปีที่มีคุณค่ามากสำหรับเขา

การเรียนการสอนของครูโจ้ ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนและในตำราเรียน การหยิบยกเรื่องราวบริบทชุมชนใกล้ตัวมาขยายภาพในชั้นเรียนเป็นสิ่งที่ทำอยู่เป็นกระจำ ยิ่งเป็นวิชาภูมิศาสตร์การท่องเที่ยวด้วยแล้ว ครูโจ้รับอาสาพานักเรียนออกไปเรียนรู้ในห้องเรียนชุมชน ให้ได้ลงมือคิด วางแผนการเรียน และปฏิบัติด้วยตัวเอง เพราะครูโจ้เชื่อว่า เลคเชอร์วิชาสังคมในห้องเรียน ถ้าไม่ได้ลงมือทำ ไม่มีคำว่าสนุก

“วันนี้เราจะไปไหนดี ยกตัวอย่างจับฉลากได้พระธาตุดอนแก้ว กุมภวาปี ตั้งโจทย์สมมติว่าครูเป็นทัวร์จีน นักเรียนจะแนะนำคณะทัวร์อย่างไร บูรณาการภาษาจีนเข้ามาด้วย สิ่งที่ผมเห็นคือความจริงจังในการจัดการของเด็กๆ – เก็บเงินรวมกันมาซื้อเบรกของว่าง แจกผ้าเย็น แต่งตัวเตรียมชุดมาพร้อม หรือสมมติเป็นทัวร์มาจากกรุงเทพฯ เป็นอากงอาม่า เด็กๆ เตรียมลูกอม ยาดมมาแจกเพื่อนๆ ในห้อง

“ไปใกล้ๆ เดินสำรวจชุมชน ห้วยเกิ้งเคยเป็นชุมชนตีมีดมาก่อน มีคนจีนอาศัยอยู่มาแต่ดั้งเดิม มีศาลเจ้าของคนจีน มีชาวจีนที่อพยพมาจากโคราช โรงงานน้ำตาลกุมภวาปี หรือ โรงงานชิบาโต ขนาดใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น มีแรงงานต่างชาติชาวจีนทำงานอยู่กว่าพันคน ตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่กี่กิโลเมตร ทุนวัฒนธรรมที่นี่มีเยอะ เลยจับเข้ามาเป็นบทเรียนได้”

เรียนประวัติศาสตร์ ก้าวข้ามความเกลียดชัง

“ประวัติศาสตร์ควรให้เด็กได้คิด เพราะอะไร ทำไม มากกว่าแค่จำๆ ไปสอบ”

เมื่อเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ในหนังสือมีเส้นทางเรียนรู้อยู่ในขอบเขตของประวัติศาสตร์ส่วนกลาง เช่น สมัยสุโขทัย อยุธยา ครูโจ้ จึงขีดไทม์ไลน์ขึ้นมาใหม่อีก 2 เส้น เป็นเส้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่อยู่และเส้นประวัติศาสตร์โลก เพื่อให้นักเรียนมองเห็นภาพกว้างและเข้าใจสถานการณ์โลกในยุคสมัยปัจจุบัน

ครูโจ้ บอกว่า ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวที่มีพลังมากมหาศาล ทำให้คนภูมิใจได้ ในทางกลับกันก็ทำให้คนลืมตัวตนและลืมรากเหง้าของตัวเอง

“ประวัติศาสตร์สอนให้ชาติมีตัวตน แต่บางทีลบความเป็นตัวเราออกไปจากชาติ คนอีสานก็เลยอายที่เป็นอีสาน เพราะไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์อีสานบ้านเราถูกตัดออกไป ผมเลยลากเส้นไทม์ไลน์ 3 เส้นมาอธิบายไปพร้อมๆ กัน เด็กต้องยอมรับให้ได้นะว่าตัวเองเป็นลาว ในสมัยอยุธยาพื้นที่บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทร์ แล้วเพิ่งมาเป็นไทยเมื่อปี 2436”

“เรื่องประวัติศาสตร์ไทยกับลาว ผมได้เปรียบตรงที่ผมอ่านภาษาลาวได้ เพราะยายผมสอน ผมข้ามไปเวียงจันทร์ ให้ญาติที่เวียงจันทร์หาซื้อหนังสือประวัติศาสตร์ลาวมาอ่านเลย พอได้อ่านได้หาข้อมูล ผมเข้าใจเลยว่าประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะเป็นยังไง”

เรื่องเล่าของเจ้าอนุวงศ์

เจ้าอนุวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทร์พระองค์ที่ 5 และพระองค์สุดท้าย ผู้พยายามกอบกู้เอกราชชาติลาวจากการเป็นประเทศราชของราชอาณาจักรสยาม

ในบทเรียนเอ่ยถึงเจ้าอนุวงศ์ในฐานะกบฏ ยกทัพมาตีเมืองโคราชในสมัยรัชกาลที่ 3 ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ขับไล่เจ้าอนุวงศ์จนต้องยกทัพกลับเวียงจันทร์ แล้วจับเจ้าอนุวงศ์มารับโทษประหารที่กรุงเทพฯ นี่คือส่วนของประวัติศาสตร์ที่ไทยเขียนขึ้น ขณะที่ลาว ยกย่องเจ้าอนุวงศ์เป็น ‘มหาราช’ ที่ประกาศเอกราชไม่สำเร็จ เวียงจันทร์เลยโดนทำลาย นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ลาว จีน และต่างชาติ เขียนเล่าสถานการณ์ต่อจากการสำเร็จโทษเจ้าอนุวงศ์ไว้อย่างน่าสนใจ

หลังสำเร็จโทษเจ้าอนุวงศ์ ไทยส่งทหารยกทัพไปตีเวียงจันทร์ เกณฑ์ผู้คนหลายแสนคนจากเวียงจันทร์มากรุงเทพมหานคร

“ถ้าตรวจดีเอ็นเอ คนกรุงเทพส่วนหนึ่งก็คือคนลาวที่มาจากเวียงจันทร์ ชุมชนบางยี่ขัน ชุมชนบ้านหม้อ ชุมชนฝั่งธน เป็นชุมชนลาวเวียง ย้อนไปอีก คนไทยจริงๆ สมัยอยุธยา ก็โดนกวาดต้อนไปพม่าตั้งแต่ครั้งที่เสียกรุงศรี สมัยก่อนเมื่อตั้งอาณาจักร ถ้าประชากรไม่มีก็ต้องเทครัวจากอาณาจักรอื่นมา ไทยแท้ไปพม่า ส่วนลาวแท้มากรุงเทพฯ คนลาวในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นชาวเขาที่อพยพลงมาที่ราบ จากการเคลื่อนย้ายประชากร”

“พอผมได้ศึกษา ผมก็สามารถบอกนักเรียนต่อได้ว่า เวลาเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่าเอาจุดยืน ณ ปัจจุบันไปตัดสิน ให้คิดว่าถ้าเรายืนอยู่ ณ เวลานั้นเราจะตัดสินตามที่ประวัติศาสตร์ว่ามาหรือไม่ ประวัติศาสตร์เรียนรู้ได้ อินได้ แต่อย่าเอามาเป็นปัจจุบัน”

แม้วิชาประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ต้องเรียนในชั้นเรียน แต่บรรยากาศชั้นเรียนของครูโจ้ มีความบันเทิงแผ่กระจายจากหน้าห้องมาถึงหลังห้องได้แรงดีไม่มีตก นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมกับชั้นเรียน ตอบรับคำถาม ขานคำตอบอย่างไม่ขัดเขิน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของห้องเรียนไปแล้ว

นักเรียนได้ความสนุกเพลิดเพลินที่สอดแทรกสาระความรู้ที่ผ่านการสั่งสมประสบการณ์ ครูโจ้ เล่าว่า สมัยเริ่มสอนแรกๆ เคยมีสมุดบันทึกหนึ่งเล่มไว้เขียนสคริปท์สอน แล้วซ้อมสอนตามสเต็ปก่อนสอนจริง เขาเปรียบเทียบห้องเรียนของตัวเองว่าเหมือน “เกมโชว์”

“ได้เวลาออนแอร์แล้ว แอคชั่น” ครูโจ้ เอ่ยขึ้นเมื่อเข้าชั้นเรียน

“ผมจะไม่นั่งและเขียนขึ้นกระดานน้อยที่สุด เพราะถ้าขึ้นกระดานปุ๊บเด็กจะสนใจกระดานไม่สนใจครู พอสอนไปเรื่อยๆ ก็ต้องเช็คเรทติ้งว่านักเรียนสนใจหรือเปล่า ถ้าเริ่มแผ่วก็ต้องหาวิธีดึงความสนใจ”

วิธีการสอนของครูโจ้ที่ดึงดูดใจ แต่หากย้อนกลับไป 9 ปีก่อนก็ยังเป็นเรื่องใหม่ ที่ถูกตั้งคำถามจากครูคนอื่นๆ

“มาแรกๆ ครูคนอื่นก็คิดว่าเราพาเด็กเล่นหรือเปล่า เสียงดังมาก ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่ 3 ปี จนนักเรียนที่เรียนกับผมจบ ม.6 ไปเรียนต่อครู กลับมาแนะแนวรุ่นน้อง แล้วบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรา ผมว่าครูกับพระสอนยากที่สุดในโลก เราต้องทำให้เห็น ยอมรับเลยว่าช่วง 3 ปีแรกผมใช้ความอดทนมาก ช่วงนั้นผมไม่อยู่บ้านพักโรงเรียนนะ เช่าอยู่ข้างนอกเพราะรู้สึกไม่มีความสุขเวลาเจอเพื่อนครู มีความสุขแค่เวลาสอน แต่หลังจากนั้นเมื่อได้รับการยอมรับ ทุกอย่างก็ง่าย”

ครูโจ้ แนะนำเทคนิคว่า เวลาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ไม่ต้องบอกหมด ให้บอกไว้เป็นน้ำจิ้ม กระตุ้นให้เด็กอยากรู้ แล้วเด็กจะไปหาคำตอบเอง เพราะยุคสมัยนี้มีช่องทางให้เด็กค้นคว้าเรื่องราวที่สงสัยได้ไม่ยาก

“บางครั้งนักเรียนทักเมสเสจมาตอนกลางคืน ครูครับ…ผมไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขียนในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์คนนี้เขียนไว้ เด็กทำไปโดยไม่รู้ตัวว่านี่คือการสืบค้นข้อมูลเพราะเขาอยากรู้”

‘เธอ เขา เราใคร?’ สืบสาแหรกเลือดในตัวที่เปลี่ยนไม่ได้

“เสียวัฒนธรรม เสียตัวตน ก็คือการเสียชาติ แต่เสียแผ่นดินไม่ได้เสียชาติ แผ่นดินก็คือแผ่นดิน คนไปสร้างประเทศบนแผ่นดินใหม่ได้ แต่ถ้าเราเสียวัฒนธรรมไป เสียความเป็นตัวเองไป เราไม่เหลือชาติ” ครูโจ้ ถ่ายทอดสารที่ยายมักสื่อให้รับรู้อยู่บ่อยครั้ง ไม่เฉพาะผ่านคำพูดแต่จากการกระทำ

ครูโจ้ เล่าว่า หากพูดถึงความเป็นไทยหรือเป็นลาวกับผู้คนแถบนี้ มักมีความย้อนแย้งที่สร้างความสับสนถึงตัวตนในสังคม

“เด็กที่นี่จะงงว่าตกลงฉันป็นไทยหรือฉันเป็นลาว ทำให้เด็กบางคนเวลาไปกรุงเทพจะไม่กล้าบอกว่าตัวเองมาจากที่ไหน เพราะอาย อายที่จะพูดภาษาถิ่นตัวเอง พอไปกรุงเทพถูกหาว่าเป็นลาว พอไปลาวทางโน้นก็ว่าฉันเป็นไทย ตกลงว่าฉันเป็นใคร…?”

ด้วยเหตุนี้ เรื่องวัฒนธรรมภูมิปัญญาเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ใช่แค่เพื่อการอนุรักษ์ให้คงอยู่ แต่เพื่อสื่อสารถึงตัวตนของตนเอง เป็นที่มาให้ครูโจ้มอบหมายโจทย์กับนักเรียนให้ไปสืบสาแหรกหาที่มาที่ไปของแต่ละครอบครัวในกิจกรรม ‘เธอ เขา เราใคร?’

“ยายผมบอกว่าตัวเองไม่มีประเทศเพราะถูกเนรเทศออกมา (สมัยสงครามกลางเมืองลาว หรือสงครามลาวแตก ช่วงปี 2496-2518) แกคงตายแล้วไม่มีทางกลับเข้าไปประเทศลาวได้อีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นลาว อย่างหนึ่งที่ทำได้ คือ การแต่งตัว แกเลยไม่เปลี่ยนแต่งตามแบบไทย แม่ผมสมัยเป็นครูยังนุ่งซิ่นแบบผู้หญิงลาวไปสอนหนังสือ เพราะอยากให้คนรู้ว่าฉันเป็นลาว

ถ้ากลับไปบ้านผมต้องพูดสำเนียงลาวแบบเวียงจันทร์ สืบสาแหรกจริงๆ คนเวียงจันทร์กับคนเชียงใหม่เป็นญาติกัน สำเนียงลาวเวียงจันทร์ฝั่งนี้เลยเป็นสำเนียงผสมระหว่างลาวกับเชียงใหม่ ผมบอกเด็กว่าครูไม่อายนะ เพราะยายครูสอนมาแบบนี้ ครูรู้เรื่องราวของตัวเอง ภูมิใจในความเป็นตัวเอง ผมเลยคิดว่าเด็กที่อายอาจเป็นเพราะเขาไม่รู้ประวัติของเขา เราเปลี่ยนค่านิยมคนสมัยเก่าไม่ได้ แต่เราปรับคนสมัยใหม่ได้”

เมื่อถามถึงที่มาที่ไปของบทเรียนท้องถิ่น ที่ไม่มีบรรจุไว้ในตำราส่วนกลางเล่มไหน ครูโจ้ บอกว่า เขาเก็บเกี่ยวเนื้อหาบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาพื้นถิ่นจากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านนักเรียนตามนโยบายของโรงเรียน

“การเยี่ยมบ้านเป็นนโยบายของโรงเรียน บ้านนักเรียนบางคนไกลออกไป 40 กิโลเมตร ขับรถไปผมก็ได้เห็นบริบทชุมชน เวลาไปคุยกับผู้ปกครอง ถ้าเป็นคนเฒ่าคนแก่เราจะคุยเรื่องเราให้เขาฟังก่อนไม่ได้ เราต้องเป็นผู้ฟังก่อน…เตรียมไป 3 คำ – ครับ จริงเหรอ สุดยอดเลยครับ – เท่านั้น นั่งฟังไปฟังมา เราก็ได้เนื้อหาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น พอผู้ปกครองเริ่มเหนื่อย เราก็คุยเรื่องของเราได้”

เปิดกว้าง (Openness)

The Potential ให้ครูโจ้เลือกบัตรคำที่อธิบายถึงความเป็นตัวเองขึ้นมา 1 ใบ จากบัตรคำทั้งหมด 24 ใบ “เปิดกว้าง” เป็นคำที่ครูโจ้เลือก

ครูโจ้ บอกว่า อัตตา ความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงเกิดไปเป็นกับดักอย่างหนึ่งในการเป็นครูผู้สอนโดยเฉพาะในวิชาสังคมศึกษา แต่ประสบการณ์ทำงานสอนให้ครูโจ้ ‘รับฟัง’ และ ‘ยอมรับสิ่งใหม่ๆ’ เปิดกว้างเพื่อสร้างพื้นที่และโอกาสแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากใจถึงใจ

“ถ้าผมไม่เปิดกว้าง เป็นคนอัตตาสูงมาก เชื่อมั่นมากว่าสิ่งที่ฉันรู้ถูกต้องแล้ว โดยไม่รับฟังความรู้ชุดใหม่ ผมคงเป็นครูสอนวิชาสังคมไม่ได้ เพราะผมจะไปเถียงคนอื่นในสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ตัวเองรู้ เท่ากับผมปิดกั้นการเรียนรู้ของตัวเอง ปิดกั้นการเรียนรู้ของเด็กที่จะได้เรียนกับผม

“หรืออย่างการออกไปเยี่ยมบ้านนักเรียน ถ้าผมไม่รับฟังผู้ปกครอง รับรองได้ว่าผมคงไปเยี่ยมบ้านครั้งต่อไปไม่ได้ แต่เพราะผมเปิดกว้างที่จะรับฟัง จนเขารู้สึกเต็มที่ หลังจากนั้นผมถึงเริ่มงานของตัวเอง แม้แต่ในชั้นเรียนผมฟัง มีเวลาให้นักเรียนได้คุย บางทีคำตอบที่นักเรียนตอบมาอาจไม่ถูกต้องแต่มีเหตุผลสนับสนุนคำตอบนั้น เป็นเหตุผลที่ทำให้เรา…เฮ้ย! ได้เหมือนกัน เราก็มาคิดต่อว่าเขาคิดแบบนี้เพราะอะไร

“เวลาผมแซวนักเรียนเรื่องไปดูหมอลำ กลับบ้านดึกไม่ทำการบ้าน ผมก็ไปดูนะครับ ผมไปดูให้รู้ว่าเป็นยังไง เคยไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์สมัยเรียนเต็มที่เหมือนกัน ผมถึงได้รู้ว่าเป็นแบบนี้ พอมาเป็นครูก็ตัดตรงนั้นไปแต่ผมเอาสิ่งที่ไม่ดีในอดีตมาเล่าเพื่อเป็นบทเรียนให้กับนักเรียนได้ นักเรียนที่มีปัญหาถูกตีตราไปแล้วว่าติดยาเสพติด เราก็ต้องเปิดกว้างให้โอกาสเขา”

นอกจากนี้ ครูโจ้ บอกว่า การเปิดกว้างทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะได้รับฟัง ลองทำ และไม่ด่วนตัดสินใจ จนได้รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไรจริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนกลับไปยังห้องเรียน

“ครูเป็นเหมือนเชฟ ทฤษฎีต่างๆ ไอดอลที่ชื่นชอบเป็นเหมือนวัตถุดิบที่ครูเป็นคนเลือกหยิบมาปรุงอาหารเมนูใหม่ ดึงสิ่งที่ตัวเองชอบและเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนมาผสมกันเป็นเมนูของตัวเอง นักเรียนกินแล้วก็ได้ประโยชน์ เป็นนวัตกรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง 

“ครูไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ถ้าครูเหมือนกันหมดก็คงไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ถ้าเป็นแบบนั้นเรียนในกูเกิ้ลเอาก็ได้ แต่เสน่ห์ของการเรียนกับครูตัวเป็นๆ อยู่ที่ความไม่เหมือนกัน เป็นสีสันให้เด็กได้ลองในแต่ละชั่วโมง”

ความสำเร็จของนักเรียนในมุมมองของครูโจ้ คือ การที่เด็กสามารถเดินไปบนเส้นทางที่อยากเดินและเลือกเดินด้วยตัวเองได้อย่างมั่นคง มีความสุขและเลี้ยงตัวเองได้ พร้อมที่จะปรับเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับชีวิตของตัวเอง

ครูโจ้ เล่าว่า เมื่อแรกเข้ามาทำงานได้พบปัญหาเรื้อรังในชุมชน ทั้งเรื่องฝุ่นควันจากการเผาไร่อ้อยและโรงงานอุตสาหกรรม สาเหตุหลักที่ทำให้คนในพื้นที่มีสถิติเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจสูง จึงมีความมุ่งมั่นอยากเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมที่เป็นอยู่ แต่เส้นทางแห่งการเรียนรู้ทำให้ครูโจ้เข้าใจความสำคัญของ “การปรับ” ที่จะนำมาสู่ “การเปลี่ยนแปลง” ภายหลัง

“แต่ก่อนเรามุ่งเน้นแต่ว่าเราจะไปเปลี่ยน แต่เราไม่เคยคิดเรื่องการไปปรับให้เด็กอยู่กับสิ่งที่มีแล้วทำให้ดีขึ้นได้”

“เด็กบางคนเรียนจบปริญญาตรีออกมาทำไร่อ้อยที่บ้าน แต่กลับมาทำแบบมีสติ…มาบอกว่าผมไม่เผานะครู บางคนเอาข้าวมาฝากบอกว่าทำอย่างที่ครูเคยสอน จากเดิมที่ปลูกแต่อ้อยต้องซื้อข้าวกิน กลับมาทำไร่อ้อยและทำข้าวด้วย ตอนนี้ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ไปเจอเด็กขายอาหารอยู่ในงานวัด ทักเราแล้วบอกว่า ครูจำผมได้มั๊ยครูเคยสอนผม วิชาเศรษฐศาสตร์ของครูเลยนะ ที่ผมขายหมาล่าที่นี่เพราะมีคนจีนเยอะผมเลยขาย อุปสงค์ของผมคือคนจีน สิ่งเหล่านี้ที่เจอทำให้ผมภูมิใจเพราะสิ่งที่เราสอนเด็กนำไปใช้จริง ไม่ใช่ทฤษฎีที่ลอยอยู่บนฟ้าจับต้องไม่ได้”

จากจุดเริ่มต้นที่แรงบันดาลใจถูกปลุกเมื่อได้ไปเป็นครูอาสา จนกระทั่งอาสาไปสอนบ่อยๆ เพื่อเติมพลังให้ตัวเองทำในสิ่งที่ใช่ “ฉันเป็นครูนะ ฉันเป็นครูนะ” ครูโจ้ ย้ำว่า ทุกครั้งเมื่อได้ทำหน้าที่ หัวใจของเขาพองโต เพราะความสุขที่ได้สอน และไม่เคยมีตอนไหนที่คิดเปลี่ยนใจไปจากความเป็นครู

“ทำอย่างไรเด็กจะมีความสุขในการเรียน ทำอย่างไรเด็กที่เรียนกับเราจะประสบความสำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เราทำกับเด็กจะตอบมาเป็นวิทยฐานะของเราเอง ครูไม่ใช่นักวิจัยที่จะมาทำเอกสารเป็นเล่มๆ การเขียนแผนการสอนเป็นเรื่องจำเป็น บางอย่างถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ทำ แต่ถ้าให้สอนให้ทำให้ดู มาเลยเราทำได้ทันทีเลย มาสอนแข่งกันก็ได้…กล้าท้าสู้เลยครับ”

แม้น้ำเสียงที่กล่าวทิ้งท้ายจะฟังดูผ่อนคลาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความตั้งใจและจริงจัง

Tags:

เทคนิคการสอน4Csunique teacherวิชาสังคมศรัณยพงศ์ จันทะศรี

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Unique Teacher
    ห้องเรียนที่เท่ากัน กับ ความจริงใจที่ไม่ต้องเอาอะไรมาแลก ของครูโปเต้ ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    “ผมอยากให้เด็กเจอตัวเองในแบบของเขาในห้องเรียนของผม” ความฝันจากวัยเยาว์สู่ห้องเรียนขยายโอกาส

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • 21st Century skills
    สังคมดี เพราะเด็กรู้คิดและคิดดี มีคุณครูเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เรียน ‘วิชาเงียบ’ เพื่อให้เด็กๆ ฟังเสียงตัวเองชัดขึ้น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
14 September 2020

ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • คุยกับ ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ นักบำบัดในถาดทรายแห่งเพจ Sand Tray Play ก็ดี Therapy ก็ได้ และพ่อเลี้ยงเดี่ยวซึ่งดูแลลูกที่มีภาวะอัลฟี่ซินโดรม
  • ตั้งแต่เรื่องการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว พัฒนาการน้องเซนจากวันแรกที่รู้ว่าลูกเป็นคนพิการสู่วันที่เขาเข้าใจและเรียนรู้ร่วมไปกับลูก ภาพความสมบูรณ์ของความเป็นครอบครัวเป็นอย่างไรในมุมของเขา ตลอดบทสัมภาษณ์ที่เล่าเรื่องปัจจุบัน และแทรกเสริมด้วยอดีต ทำให้เราเห็นมุมมองได้ใกล้เคียงกับเขามากขึ้น 
  • “ลูกเกิดมาเป็นคนพิการ เพราะฉะนั้นเขาจะมีชะตากรรมในแบบของตัวเอง โอกาสที่จะถูกกลั่นแกล้งก็สูง ชีวิตเขาจะไม่ประสบความสำเร็จแบบที่คนทั่วไปคิด ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องเป็นอุปสรรคชีวิตเขา ผมคิดว่าเลี้ยงลูกให้มีความภาคภูมิใจในตัวเองจะเป็นภูมิต้านทานดีๆ ให้กับชีวิตเขา หากเขาได้เลือก คิด และตัดสินใจด้วยตัวเอง รู้จักปฏิเสธคน พอเขามั่นใจ เขาก็จะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีความสุข รับรู้ได้ว่าเก่งเรื่องอะไร สรุปง่ายๆ คือการรู้สึกดีกับตัวเอง”

เจอความพิการตอนน้องเซนมีอายุ 5 เดือนครึ่ง ความรู้สึกตอนนั้น ช็อค ช็อค สับสน ไม่แน่ใจ ไม่มั่นคง หวั่นไหว สั่นไหว สั่นสะเทือนข้างใน กลัว เสียใจ ผมบอกแม่ของเซนในวันที่คลอดว่า ไม่ว่าลูกจะเกิดมาอย่างไรก็จะเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด นั่นเป็นฐานที่ทำให้ความรู้สึกเรายังอยู่ได้ในเบื้องต้น

ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ ด้านหนึ่งเขาคือนักบำบัดในถาดทรายแห่งเพจ Sand Tray Play ก็ดี Therapy ก็ได้ ชวนผู้คนเข้ามาสำรวจอาณาจักรใจและห้วงความรู้สึกผ่านทรายและของเล่นวัตถุสัญลักษณ์ อีกด้านเขาคือพ่อเลี้ยงเดี่ยวซึ่งดูแลลูกที่มีภาวะอัลฟี่ซินโดรม เรานัดคุยกับเขาที่บ้านย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา ในบ้านต้นไม้ร่มรื่น มีเล้าไก่และแปลงผัก ระหว่างที่นั่งคุยเราสัมผัสได้ถึงความรัก ภาพการสวมกอดและบอกรักไม่ใช่เรื่องแปลก และเขายังใช้ภาษามือสื่อสารกับลูกเพื่อบอกความต้องการและความรู้สึก 

ชอตหนึ่งที่เราเห็น ศุภฤทธิ์เดินไปกระซิบลูกว่า “รักนะ เซนเกิดมาดีแล้ว เกิดมาสวยงามแล้ว เกิดมาสมบูรณ์แบบแล้ว ป๊ะป๋ารักเซน” แล้วเซนก็ใช้ภาษามือบอกความต้องการตัวเองกลับว่าเขารู้สึกยังไง เราเองรู้จักเด็กที่มีความต้องการพิเศษหลายคน ก็เพิ่งเคยเห็นเซนนี่แหละที่สื่อสารความต้องการของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน  

บนหน้าเฟซบุ๊กของเขา เราจะได้เห็นเรื่องราวของ เซน จากพ่อผู้เล่าเรื่องการเติบโตและพัฒนาการ เลี้ยงไก่ เล่นน้ำ ปีนป่าย ศุภฤทธิ์มองเห็นย่างก้าวเล็กๆ ที่สำคัญของลูก และเขียนเล่าออกมาในพื้นที่ส่วนตัวบนโลกออนไลน์ เขามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือก้าวสำคัญในการเรียนรู้ของลูก 

เราชวนศุภฤทธิ์ คุยเรื่อง พ่อเลี้ยงเดี่ยว  พัฒนาการน้องเซน จากวันแรกที่รู้ว่าลูกเป็นคนพิการ สู่วันที่เขาเข้าใจและเรียนรู้ร่วมไปกับลูก ภาพความสมบูรณ์ของความเป็นครอบครัวเป็นอย่างไรในมุมของเขา ตลอดบทสัมภาษณ์ที่เล่าเรื่องปัจจุบัน และแทรกเสริมด้วยอดีต ทำให้เราเห็นมุมมองได้ใกล้เคียงกับเขามากขึ้น 

ความรู้สึกแรกหลังจากที่รู้ว่าลูกตัวเองมีความต้องการพิเศษรู้สึกอย่างไร

ผมรู้วันที่ 31 มีนาคมปี 2556 ตอนนั้นเซนอายุประมาณ 5 เดือนครึ่ง ทราบเพราะพาลูกไปตรวจกรองพัฒนาการ คือพอตรวจแล้วผลไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ทีนี้พอพัฒนาการช้าผมก็ตัดสินใจไปหาหมอพัฒนาการเด็กเลย หมอเขาก็ขอตรวจที่โครโมโซม ดูความผิดปกติซึ่งตรวจแล้วก็เจอ เจอตอนอายุ 5 เดือนครึ่ง ความรู้สึกตอนนั้นคือช็อค

ช็อค สับสน ไม่แน่ใจ ไม่มั่นคง หวั่นไหว สั่นไหว สั่นสะเทือนข้างใน กลัว เสียใจ ผมบอกแม่ของเซนในวันที่คลอดว่า ไม่ว่าลูกจะเกิดมาอย่างไร ผมก็จะเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด นั่นเป็นฐานที่ทำให้ความรู้สึกเรายังอยู่ได้ในเบื้องต้น

หลังจากนั้นสิ่งที่จำได้แม่นๆ เลยคือฝันร้าย นอนแล้วตื่นกลางดึกอยู่ 3-4 ครั้ง คิดว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต ลูกจะเป็นยังไง กังวลอยู่สักพักก็เริ่มตั้งหลักได้ เริ่มคิดว่าจะทำยังไง อย่างแรกคือจะสู้กับมันได้เราต้องตั้งหลักและรู้จักภาวะนี้ก่อน โดยพยายามหาข้อมูลว่าอัลฟี่ซินโดรมคืออะไร

อัลฟี่ซินโดรมคืออะไร 

โครโมโซมก็เหมือนกับปาท่องโก๋ มันจะมี 2 ชิ้นติดกัน ทีนี้โครโมโซมก็จะมีทั้งหมด 23 คู่ รวมโครโมโซมเพศ กรณีอัลฟี่ซินโดรมนี้คือขาของโครโมโซมคู่ที่ 9 บางส่วนหายไป ส่งผลกระทบต่อเซนคือ ทำให้กระโหลกศีรษะผิดรูป พัฒนาการช้า กล้ามเนื้อนุ่มนิ่ม แนวโน้มสติปัญญาต่ำ จึงพาลูกไปหาหมอพันธุกรรมเด็กโดยตรง 

สิ่งที่กลัวก็คือลูกจะอายุไม่ยาว กลัวลูกตาย มีข้อมูลตัวหนึ่งที่พยายามอธิบายว่า เด็กที่มีซินโดรมนี้ส่วนใหญ่อายุจะไม่ถึง 2 ขวบ ทำให้มีความกังวลตรงนี้มาก แต่อีกมุมหนึ่งก็ทำให้คิดได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ เช่น ควรให้ความสำคัญกับพัฒนาการก่อนรึเปล่า แต่ก็คิดว่าการที่จะมานั่งฝึกพัฒนาการเป็นบ้าเป็นหลัง ฝึกแล้วก็เครียด บังคับจับมือเด็กแล้วเด็กก็ไม่อยากทำ ให้ทำแล้วเขาต่อต้าน หรือฝึกเหมือนหุ่นยนต์ ผมตั้งคำถามกับการฝึกลูกมากขึ้น จะทำไปทำไม สมมติว่าลูกอยู่ไม่ถึง จะให้ลูกอยู่กับช่วงเวลาแบบนี้จริงๆ เหรอ ให้เขามีช่วงเวลาที่ดี ใช้ชีวิตร่วมกัน ให้ลูกได้ยิ้มและหัวเราะ พยายามบาลานซ์มันให้ได้ 

หลังจากที่รู้แล้วว่าลูกเป็นอะไร โจทย์หลังจากนี้คือการส่งเสริมพัฒนาการ ผมพาลูกไปฝึกหลายๆ แบบ ได้เจออาจารย์นักบำบัดหลายๆ คน มีคนหนึ่งที่พูดแล้วสะดุดใจมาก เขาพูดเรื่อง ‘การยืนยันในการปฏิเสธ’ ว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเด็กไม่เอาแล้วเขาสามารถแสดงออกมาได้ว่าเขากำลังปฏิเสธ นี่เป็นเรื่องสำคัญ บางคนไม่ได้คิดแบบนี้ การปฏิเสธเกิดขึ้นเพราะมองเห็นว่าตัวเองมีตัวตน จึงปฏิเสธในสิ่งที่เห็นว่าขัดแย้งกับตัวเอง ความเห็นของเขาสำคัญ

เข้าใจว่าตอนรู้เรื่องแรกๆ ความเข้าใจเรื่องอัลฟี่ซินโดรมน่าจะน้อยหรือแทบไม่มีแน่ๆ คุณเริ่มค้นคว้าเรื่องเด็กที่มีความต้องพิเศษจากไหน

ผมชอบไปอบรมหลายๆ ที่เกี่ยวกับด้านการดูแลเด็กและพัฒนาตนเอง ด้านจิตใจ ที่หนึ่งที่ดีเลยก็คือ ‘Rainbow Room’ ได้เห็นว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษมีศักยภาพอะไรบ้าง 

พอมีความเข้าใจมากขึ้นผมก็ตั้งหลักชีวิตได้ จากที่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรและทำอย่างไร เขาทำให้เห็นว่าเด็กที่มีดาวน์ซินโดรมมีศักยภาพมากกว่าที่คิด เขาทำอะไรได้เยอะ กลายเป็นว่าที่ผ่านมาคิดไปเองถึงสิ่งที่เขาทำไม่ได้ 

อาชีพที่เขาทำได้ก็มีหนทางในแบบของเขา เล่นกีฬา ดนตรี ทำได้สารพัด เป็นเจ้าของกิจการก็มี วิธีคิดของผมจึงเปลี่ยนไปมาก เชื่อในศักยภาพของเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากขึ้น 

อย่างเรื่องการสื่อสาร ผมเข้าใจลูกได้ รู้สึกได้ เพียงแต่รูปแบบจะไม่ตรงอย่างที่บางคนคาดหวัง เซนสัมผัสได้ว่าผมรู้สึกอะไรอยู่ เช่น ถ้าอารมณ์ไม่ดีอยู่เซนก็ไม่ค่อยกล้ามาใกล้เท่าไหร่ นี่เป็นสิ่งที่ลูกรับรู้

พัฒนาการช่วงแรกของเซนเป็นอย่างไร 

ช่วงแรกเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเซนนุ่มนิ่มมาก นิ่มเหมือนฟองน้ำ มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ วางตรงไหนแขนขาเขาก็แบะตรงนั้น กว่าจะนั่งได้ก็อายุขวบกว่าๆ กว่าจะคลาน กว่าจะเดิน ก็อายุ 6 ขวบ ดังนั้นการกายภาพบำบัดจึงสำคัญ

เรื่องการพูด ตอนนี้ภาษาเขายังจำกัด พูดไม่ได้เยอะมาก พูดได้อยู่ไม่กี่คำ เพียงแต่เขาใช้การส่งเสียงบางอย่าง ที่คล้ายๆ กับเป็นภาษาแต่ไม่ชัดขนาดที่เราจะรู้ได้ ผมอาศัยการเดาความต้องการและบริบทจากน้ำเสียง ผมจึงฝึกให้เขา พยักหน้าส่ายหน้า และปฏิเสธ สอนให้มีการโต้ตอบ 

เคยพูดในบทสัมภาษณ์ว่าเลี้ยงลูกให้มีความนับถือตัวเองคือเรื่องสำคัญ อยากให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติม  

ลูกเกิดมาเป็นคนพิการ เพราะฉะนั้นเขาจะมีชะตากรรมในแบบของตัวเอง โอกาสที่จะถูกกลั่นแกล้งก็สูง ชีวิตเขาจะไม่ประสบความสำเร็จแบบที่คนทั่วไปคิด ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องเป็นอุปสรรคชีวิตเขา ผมคิดว่าเลี้ยงลูกให้มีความภาคภูมิใจในตัวเองจะเป็นภูมิต้านทานดีๆ ให้กับชีวิตเขา หากเขาได้เลือก คิด และตัดสินใจด้วยตัวเอง รู้จักปฏิเสธคน พอเขามั่นใจ เขาก็จะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีความสุข รับรู้ได้ว่าเก่งเรื่องอะไร สรุปง่ายๆ คือการรู้สึกดีกับตัวเอง บางคนวิ่งเก่งแต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีกับตัวเองก็มี พ่อแม่บางคนเขาก็ไม่ได้มองในจุดนี้ อาจจะเลือกที่จุดอื่น นี่ไม่ใช่การเลี้ยงลูกแบบไทยๆ หลายคนมองว่าห้ามชมลูกเลยก็มี เดี๋ยวเหลิง 

ในทางปฏิบัติเราต้องหาขอบเขต จุดเชื่อมต่อระหว่างกันที่ชัดเจน เวลาลูกทำถูกเราชม แต่ไม่ได้ชมแค่ว่าเก่งหรือดี แต่ชมว่าเขาทำอะไรได้ดี เขาเกิดมาพิการ แต่เขาก็สมบูรณ์แบบได้  เซนเกิดมาดีแล้ว เกิดมาสวยงามแล้ว เกิดมาสมบูรณ์แบบแล้ว 

ตั้งแต่เดินเข้ามา เราจะเห็นว่าคุณให้ลูกจับไก่ ปลูกต้นไม้ ฯลฯ คุณให้ลูกได้ทดลองทำอะไรด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา 

ผมชอบให้ลอง ความพิการไม่ใช่ข้อจำกัด ทำไมจะลองไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะปล่อยให้ลูกทำ ลองได้ควรให้ลอง เขาอยู่ในวัยที่เรียนรู้และทดลอง มันมีประโยชน์ ต่อให้เขาจะทำไม่สำเร็จก็ตาม เด็กควรได้ใช้ชีวิตในแบบเด็ก อย่าเพิ่งให้เขารีบใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนักเลย 

ผมสอนให้ลูกจับไก่ เพราะเด็กที่มีความต้องการพิเศษหลายคนมีปัญหาเรื่องเล่นกับเพื่อนแรง สาเหตุนึงมาจากการที่เขากะน้ำหนักไม่ถูก ผมเอาสิ่งนี้มาสอนลูก สอนให้เขาอุ้มไก่ ถ้าเขากะน้ำหนักไม่ได้ไก่ก็ไม่อยู่ เล่นกับเพื่อนไม่ต้องพูดถึง 

ถ้าไม่รู้จักมีปฎิสัมพันธ์กับสัตว์ แล้วจะเล่นกับเพื่อนได้เหรอ ต้องสอนให้เขารู้จักความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แล้วจะเดินไปจับไก่มาอุ้ม ไก่ก็ไม่ได้อยู่นิ่งๆ ให้จับ ต้องคิด ต้องวางแผน ต้องใช้ใจ สิ่งเหล่านี้อาศัยการเรียนรู้แบบสะสม    

ถ้าเขาทำในสิ่งที่ขัดใจเรา 

ล่าสุดเขาเพิ่งไปขี่ช้างมา ลำพังตัวเราเองก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ แต่ลูกไม่กลัวเลย สิ่งนั้นเปลี่ยนความคิดผมมาก เคยคิดว่าถ้าผมตายแล้วลูกจะอยู่อย่างไร เขาจะปรับตัวได้หรือเปล่า แต่ผมเห็นแล้วว่าเขาปรับตัวอยู่กับช้างเพียงลำพังแบบ 1 เด็ก 1 ช้างยังได้ เขาไปต่อได้     

เห็นว่าคุณสอนภาษามือกับลูกด้วย เหตุผลที่สอนคืออะไร 

ผมรู้ว่าภาษาพูดของลูกจำกัด พัฒนาการด้านภาษาเขาไม่ได้มีเท่าเด็กทั่วไป มีความล่าช้า ผมเลยมองหาช่องทางการสื่อสารกับลูก จึงเน้นภาษาท่าทางและภาษามือ ให้ได้สื่อสารออกมา หากเขาได้แสดงความรู้สึก อย่างน้อยความคับข้องใจก็จะได้น้อยลง พูดไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ต้องเกิดการสื่อสาร แสดงความต้องการ ชี้นิ้วจะเอาอะไร ไม่งั้นไม่รู้ พอได้เรียนรู้ผมก็เข้าใจกันมากขึ้น เซนฟังแล้วเข้าใจได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้เท่าคนอื่น 

ตอนนี้เขาสองขวบ ผมพยายามให้เขาแนะนำตัวเองให้ได้ ทำให้เขาภาคภูมิใจว่าทำสิ่งใดได้ ใครรักเขา และสอดแทรกเรื่องความพิการและความต้องการพิเศษลงไปด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน ความพิการไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดหรือเสียหาย ถ้าโตขึ้นเขาอยากจะบอกคนอื่นหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเขาในการสร้างการรับรู้ไม่ใช่ปัญหา เกิดมาเป็นคนพิการแล้วสร้างสิ่งดีๆ ได้

ดูคุณเตรียมพร้อมให้น้องเชน สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเข้มแข็งและด้วยตัวเขาเอง ซึ่งค่อนข้างต่างจากผู้ปกครองท่านอื่น ที่อาจไม่ได้พาลูกเข้าสู่สังคมมากนัก

แต่ละคนอาจจะมีสาเหตุไม่เหมือนกัน คนอื่นเขาอาจจะอายหรือเปล่า บางคนเขาอาจวิ่งตามเด็กไม่ทัน เด็กไม่รู้จักที่ปลอดภัย ถูกกระตุ้นเร้าทางประสาทสัมผัสได้ง่ายจนควบคุมตัวเองไม่ได้หรือเปล่า เซนอยากไปไหน ถ้ามีกำลังก็จะพาเขาไป ผมเอาลูกเป็นที่ตั้ง ไม่ได้แคร์คนอื่น  

เท่าที่รู้จักผู้ปกครองในกลุ่มลูกพิการ ส่วนใหญ่มักเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณพอจะมีคำอธิบายมั้ย

เอาเรื่องมีลูกเป็นคนพิการออกไปก่อน คนเป็นแฟนกัน มีโอกาสที่จะทะเลาะและเลิกกันได้อยู่แล้ว พอมีลูกที่มีความต้องการพิเศษ ปัจจัยที่จะทำให้เครียดก็มีมากขึ้น เพราะต้องดูแลเด็กเป็นพิเศษ แถมค่าใช้จ่ายมากขึ้น แนวทางการเลี้ยงและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็ทำให้เครียด  บางครั้งพ่อแม่ก็โทษกันไปมา ความเครียดมีมาก พ่อแม่กลุ่มนี้เหนื่อยทั้งการดูแลลูก และเหนื่อยกับการดำรงชีพ 

อีกเรื่องนึงที่เกิดขึ้นคือ ความคาดหวังจากคนรอบข้างในครอบครัว เครือญาติ ทำไมลูกไม่ดีขึ้น ทั้งหมดที่เล่ามาส่งผลถึงผู้ดูแล อย่างกลุ่มออทิสซึมจะโดนเยอะ เพราะใบหน้าของเขามองภายนอกจะดูเหมือนคนทั่วไป ญาติก็คาดหวังว่าจะมีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น  

สิ่งหนึ่งที่คิดว่ายังเป็นปัญหาคือ เมืองไทยไม่มีคนให้คำปรึกษาที่รองรับคนเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว อาจเป็นเพราะความเข้าใจเรื่องนี้น้อย ยิ่งเจาะไปในกลุ่มที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวของเด็กที่มีความต้องการพิเศษซึ่งมีรายละเอียดโดยเฉพาะยิ่งยาก 

สำหรับคุณเองที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว นิยาม ‘ครอบครัว’ ในมุมของคุณคืออะไร  

ครอบครัวที่ไม่เป็นครอบครัวคือขาดความอบอุ่น มีการทะเลาะเบาะแว้ง ตีกันรุนแรง ดังนั้น ความอบอุ่นคือฟังก์ชัน ส่วน ‘ความครบ’ ที่ว่าคือองค์ประกอบ คือพ่อแม่ลูก แม้มีโครงสร้างแต่ไม่ฟังก์ชันก็ได้ มีครบไม่ได้แปลว่าอบอุ่นเสมอไป 

ผมโตมาในครอบครัวที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวมาก่อนเหมือนกัน พ่อผมเป็นพ่อหม้าย แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ผมจึงไม่ได้คิดว่าการหย่าเป็นเรื่องเสียหาย เมื่อเทียบกับความขัดแย้งและความรุนแรงที่มันจะเกิดขึ้น การหย่าก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสม ชีวิตไม่ได้ยืนยาวมากพอที่เราจะไปอยู่กับความขัดแย้ง อยู่กันครบแต่ทะเลาะกันรุนแรง ผมมองว่าแยกกันแต่ทั้งสองฝ่ายมีความสุขขึ้นดีกว่า เปรียบเทียบเป็นการกินข้าว เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้ช้อนกับส้อมเสมอไป ใช้ช้อนกับตะเกียบ หรือช้อนกลางอย่างเดียวก็ได้ หรือใช้มือก็ได้ เพียงแต่อาจจะไม่ใช่รูปแบบที่คุณคุ้นเคยก็เท่านั้น   

พ่อแม่บางคนไม่เชื่อในศักยภาพของลูก มันเกิดจากอะไร 

ทั้งพ่อและแม่ มีความซับซ้อนไม่เหมือนกัน มาจากหลายปัจจัย เขาอาจจะมีประสบการณ์ไม่ดีมาก่อน  เขาไม่อยากซ้ำรอย อาจกลัว กังวล หรือเจ็บปวด คงมีต้นทางที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ลูกบางคนอายุสามสิบ พ่อแม่ก็ยังมองเห็นเขาเป็นเด็กน้อย ลูกหลายคนยอมทำในสิ่งที่พ่อแม่สบายใจ แต่ตัวเองก็เก็บมาเจ็บปวด พ่อแม่บางคนใช้คำว่ากตัญญูเป็นเครื่องมือในการคุยกับลูกให้เชื่อฟัง ถ้าไม่ได้มาจากใจก็กลายเป็นการกดทับไปอีก 

ผมอยากให้คนเป็นพ่อเป็นแม่คิดตาม ลองจินตนาการดูว่าตอนที่เราเป็นเด็ก มีสักครั้งไหมที่เราอยากให้พ่อแม่เชื่อ อยากทำแล้วพ่อแม่เห็น อยากให้เข้าใจบางอย่าง อยากให้เขาฟังและเชื่อ ลูกของเราเขาก็ต้องการความเชื่อแบบนั้น เขาอยากให้เราเห็นสิ่งดีๆ ที่เขาทำได้ ถ้าเขาทำผิดพลาดก็ยอมรับและไปต่อ ชีวิตคือการทดลองเรียนรู้ ถ้าเขาไม่ทดลองตอนนี้จะให้เขาไปลองตอนไหน ให้เขาลองตอนนี้แล้วสนับสนุนเขา ผลักดันเขา ให้กำลังใจเขา

ทำไมถึงเชื่อในการรับฟัง

ผมมี passion กับการฟัง พอรู้ว่าใครมีความทุกข์มาก็พร้อมรับฟัง เพราะรู้สึกว่าผมเคยทุกข์มาก่อน มันเป็นพื้นฐานที่ต่อยอดงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ผมคิดว่าเพราะลึกๆ เมื่อก่อนผมอยากให้พ่อแม่ฟัง พอมีคนเป็นทุกข์ผมเลยรู้สึกว่า การฟังมันช่วยได้มาก

การรับฟังนอกจากการฟังเสียงลูกแล้ว ยังเป็นเรื่องของการฟังเสียงภายในด้วย เรื่องนี้ส่งผลต่อการตื่นรู้ในใจผม และช่วยส่งผลในการเลี้ยงลูก ตัวอย่างครั้งหนึ่งที่ชัดเจนคือเวลาลูกกินข้าวหกผมจะหงุดหงิดมาก แม้พยายามบอกตัวเองด้วยเหตุผล ในใจก็รู้ว่าเด็กก็กินข้าวหก ใครๆ ก็ต้องกินข้าวหกมาก่อน แต่ความรู้สึกมันปั่นป่วน ตอนนั้นถามตัวเองว่าเป็นอะไรวะ

เมื่อถามด้วยเหตุผลตัวเองแล้วไม่ได้คำตอบ ผมจึงตัดสินใจเผชิญกับมันเลย ผมเอาข้าวมาขยี้เล่นลงพื้นให้ทั่วเลย เอาข้าวมาเขี่ยเล่นตามพื้นไปเรื่อยๆ ทำให้พื้นมันสกปรก แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังปั่นป่วนและหงุดหงิดในใจ

ผมใช้เวลา 2 เดือนมานั่งคิดและไตร่ตรองแล้วก็เจอ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากปมในใจสมัยเด็ก ตอนนั้นพ่อชอบกินเหล้า แล้วให้ผมทำกับข้าวให้ ทำเป็นกับแกล้มหลายๆ อย่าง ต้อง 5-6 อย่างขึ้นไป ทำน้อยเขาก็ไม่พอใจ มื้อเย็นต้องอลังการมากๆ แถมกินไม่หมด เหลือทิ้งเยอะมาก เกิดคำถามว่าจะทำไปทำไมตั้งเยอะแยะ กินเหลือทิ้ง ผมก็เสียดาย ความเสียดายนั่นแหละมันติดตัวผมมา พอลูกกินข้าวหก มันก็เกิดความปั่นป่วนในใจ ความปั่นป่วนนั้นมันคือความโกรธของผมที่มีต่อพ่อเมื่อก่อน พอเข้าใจ หลังจากนั้นผมก็ไม่โกรธลูกแล้ว อยากกินข้าวหกก็หกไป ผมรู้ตัวแล้วว่าผมไม่ได้โกรธลูกแต่โกรธคนอื่น ไม่มีประโยชน์ที่จะมาโกรธลูก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการจัดการข้างในซึ่งเป็นภาพซ้อนจากวัยเด็ก

การมีลูกครั้งนี้ คุณได้เรียนรู้อะไร 

มากที่สุดคงเป็นเรื่องการใช้ชีวิต ความหมายในการมีชีวิตอยู่ ผมเป็นคนที่เคยมองหาจุดหมายของชีวิตมาก่อน ผมตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่าภารกิจและเป้าหมายในการดำรงชีวิตของตัวเองคืออะไร จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม พอมีลูกซึ่งเขาเป็นแบบนี้มันเติมเต็ม พบว่าสิ่งที่หล่อหลอมมาตลอดชีวิตคือเพื่อเติมต่อให้ลูก จากความว่างเปล่า มันเติมเต็มสำหรับผมมากๆ ผมเอาสิ่งที่ต่อเติมจากเขาไปให้คนอื่นได้อีก 

ผมพบว่าจังหวะที่ใช่มันอยู่ในอนาคต จนมีลูก รับรู้ความต้องการพิเศษของลูก ถึงได้รู้ว่ากว่าจะมาจุดที่ตัวเองเป็นทุกวันนี้ก็ใช้เวลา คลี่คลายปมในใจตัวเองมามาก พอจัดการตัวเองได้ รับรู้ความหมายของชีวิต ก็รู้ว่าจะทำงานอะไรแนวไหน เริ่มทำงานสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ จนตอนนี้ผมทำงานเฉพาะทางไปเลย คือการบำบัดในถาดทราย ได้สำหรับเด็กและผู้ใหญ่

คือ ส่งเสริมพัฒนาการ ตลอดจนให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต สุขภาพจิต และจิตบำบัดความเข้มข้นต่ำ แก่ผู้ใหญ่ด้วย สำหรับผมถาดทรายเหมือนการขุดหลุมโบราณคดีทางจิตใจ คล้ายสิ่งที่ผมเคยเรียนคือโบราณคดี ภายในถาดทราย คือความเชื่อ โครงสร้างทางจิตใจ วัฒนธรรม ค่านิยม คุณค่า ที่อยู่ในถาดทรายของคนนั้นๆ ผมเป็นเหมือนนายช่างสำรวจแห่งอาณาจักรใจ นำพาผู้ใช้บริการเข้ามาสำรวจอาณาจักรใจของตัวเอง เพื่อเขาจะได้ฟังเสียงจากจิตใต้สำนึกและบอกออกมาผ่านเรื่องราวและสัญลักษณ์บางอย่างในถาดทราย ที่ปกติแล้วอาจเป็นเรื่องเล่าได้ยากและอาจเป็นคำตอบว่า ทำไมบางเรื่องจิตสำนึกรู้แล้ว แต่ทำได้จริงไม่ได้เสียที นั่นเป็นอาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกไม่ได้บอกแบบนั้น  

ยังกังวลเรื่องอนาคตไหม กลัวตัวเองจะอยู่นานไม่เท่าลูกหรือเปล่า 

ไม่แล้วครับ ผมเชื่อมั่นว่าเขาจะโตได้ เพราะแต่ก่อนผมไม่ได้เชื่อมั่นตัวเองและลูก แต่ปัจจุบันผมรู้แล้วว่าเขาโตได้ ปรับตัวได้ เขาเอาตัวรอดได้ ทำให้ไม่ห่วงอะไรมาก เมื่อก่อนกลัวมาก ผมอยากเขียนหนังสือเป็นเล่มๆ เป็นคู่มือให้ลูก เผื่อไว้ในวันที่ผมไม่อยู่ แต่ตอนนี้คิดว่าให้เขาหาวิธีเติบโตด้วยตัวเองดีกว่า  

ผมศึกษาแล้วพบว่าทั้งมวลเกิดจากความกลัวของตัวผมเอง กลัวลูกจะตาย กลัวลูกเอาตัวรอดไม่ได้ กลัวแต่ไม่เคยยอมรับว่านี่คือความกลัว มันเป็นความกลัวที่อยู่เบื้องหลังวิธีคิดผม ความกลัวที่จะไม่ปลอดภัย กลัวไม่มั่นคง เวลาไปโรงหนังก็ต้องไปคอยดูว่าทางออกทางหนีไฟตรงไหน ไปนั่งศึกษาแผนผังทางออก ถามว่าคนอื่นเขาทำขนาดนั้นหรือเปล่า ความกลัวมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียบางสถานการณ์มันก็ทำให้เรารอดมาได้ แต่ข้อเสียคือมันคืออาจทำให้เรากลายเป็นคนวิตกจริตกลัวไปสารพัด ใช้ทั้งพลังงานและทรัพยากรกับความกลัวมากเกินไป

สำหรับคนเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือมีลูกเป็นคนพิการ มีข้อระลึกอะไรไหม 

สำหรับการเลี้ยงเดี่ยว คือควรมองผลประโยชน์ลูกเป็นที่ตั้งมากที่สุด แม้สิ่งนั้นจะขัดใจ ก็ต้องประนีประนอมบ้าง เหมือนผู้ใหญ่กับเด็กวิ่งสามขาด้วยกัน และสิ่งที่พ่อแม่จะต้องเผชิญมากๆ คือความรู้สึกตัวเอง ต้องถามใจตัวเองดีๆ  อีกเรื่องนึง การที่ลูกมีความต้องการพิเศษหรือเป็นคนพิการ ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่เรื่องแย่ๆ ลองค้นหาดูว่าแย่จริงไหม จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้บ้างไหม

บางคนคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ดีเท่าเป็นแม่

ผมจะชวนเขาคุยว่าเป็นแบบนั้นจริงไหม เคยเห็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ดูแลลูกได้ดีหรือเปล่า หรือมันเกิดภาวะอะไรขึ้นในใจเขา คงต้องชวนคุย ผู้ชายสามารถอ่อนโยนได้ไหม ผู้หญิงที่ฆ่าลูกตัวเองก็มี 

ผมไม่มีเรื่องเพศสภาพชัดเจนในการเลี้ยงลูก โตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นคนทำงานบ้าน แม่หาเงิน ซึ่งคิดว่าใครทำก็ได้  ไม่เห็นว่าบทบาทนี้จะต้องเป็นของใครเฉพาะ หรือบทบาทไหนผูกกับเพศอะไร เป็นผู้ชายก็เลี้ยงลูกได้ ยุคสมัยนี้ผมมองว่าควรเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันมากกว่า

Tags:

คนพิการศิลปะบำบัดพ่อมายาคติการเป็นแม่

Author & Photographer:

illustrator

คชรักษ์ แก้วสุราช

รักการอ่านและการนั่งรถเมล์ สนใจประเด็นทางสังคม คนพิการ และของกิน อยากเป็นนักเล่าเรื่องที่มีคนอยากฟัง

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ชีวิตปกติสุขของ ตุ๊ก ชนกวนัน: ไม่มีวันที่แม่ไม่ไหว แค่ไหนก็แค่นั้น

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง
Voice of New Gen
14 September 2020

Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Deschooling Game คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ออกแบบบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ สมาชิกประกอบด้วยอาจารย์ต้น เดชรัตน์ สุขกำเนิด, เทอร์โบ – วรุตม์ นิมิตยนต์, เอ็ก – พีรัช ษรานุรักษ์ และ แดน – แดนไท สุขกำเนิด 
  • จุดเด่นของบอร์ดเกมนอกจากความสนุกแล้ว ผู้เล่นยังจะได้รับประสบการณ์ ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ได้ลองคิดลองตัดสินใจเอง และเมื่อผิดพลาดก็เริ่มใหม่ทำให้ดีขึ้นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือแนวทางในการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ผ่านบอร์ดเกม
  • “สิ่งที่เรารู้ information มันไม่ใช่ความรู้ แต่ความรู้ที่แท้จริงมาจากประสบการณ์ สมมติเรารู้ว่าไฟมันร้อน แต่เราจะไม่มีทางรู้ว่าร้อนเป็นยังไง จนกว่าเราจะเอานิ้วไปจับ แล้วเราจะรู้ว่า ‘อ่อ ร้อนเป็นแบบนี้นะ’ คือต่อให้อธิบายให้ตายยังไงก็สู้ไปสัมผัสแบบจริงๆ ไม่ได้ เกมไม่ได้เป็น experience มือสองเหมือนหนังสือเรียนที่เขาดีไซน์มาให้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรที่เราควรรู้ ส่วนนักเรียนมีหน้าที่ซึมซับ แต่เกม คือ ถ้าคุณอยากรู้จักนักดับเพลิง คุณต้องไปลอง” เทอร์โบ – วรุตม์ นิมิตยนต์

‘เพราะเชื่อมั่นว่ามีความหลากหลายในการเรียนรู้’ ทำให้ Deschooling Game กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประกอบด้วยเทอร์โบ – วรุตม์ นิมิตยนต์ นักออกแบบเกมเพื่อการเรียนรู้ เอ็ก – พีรัช ษรานุรักษ์ นักออกแบบสื่อการเรียนรู้สำหรับสอน และ แดน – แดนไท สุขกำเนิด ที่กำลังเรียนการศึกษาทางไกล (กศน.) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมตัวกันเพื่อออกแบบสื่อการเรียนรู้ที่มีชื่อว่า ‘บอร์ดเกม’

จากซ้ายไปขวา เอ็ก – พีรัช ษรานุรักษ์, แดน – แดนไท สุขกำเนิด และ เทอร์โบ – วรุตม์ นิมิตยนต์

ถ้าพูดถึงสื่อการเรียนรู้ที่เป็นเกม เราคิดว่าจุดเด่นที่ทำให้เกมแตกต่างจากหนังสือเรียน หรือสื่อการเรียนรู้ประเภทอื่นๆ คือความสนุก แต่เทอร์โบ เอ็ก และแดนบอกว่าไม่ใช่แค่สนุกเท่านั้น เพราะหัวใจสำคัญของบอร์ดเกม คือ ประสบการณ์ที่ผู้เล่นจะได้รับ ‘อยากรู้อะไรก็ต้องลองด้วยตัวเอง’ ผ่านการสวมบทบาทเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็นและเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลอง เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เล่นจะได้รับประสบการณ์มือหนึ่งกลับไป ไม่ใช่มือสองอย่างหนังสือเรียนที่มีคนเขียนไว้ให้

ตัวบอร์ดเกมว่าน่าสนุกแล้ว ขั้นตอนการทำบอร์ดเกมก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะการออกแบบเกมนั้นไม่ต่างจากการทำงานวิจัยขนาดย่อม ที่พวกเขาต้องเริ่มจากศึกษากลุ่มเป้าหมายก่อนถึงจะออกแบบเกมได้ จนมาถึงขั้นออกแบบตัวเกมที่ไม่ใช่แค่คิดเนื้อเรื่องหรือรูปแบบ แต่ต้องออกแบบด้วยว่าทุกๆ มิชชั่น ทุกๆ เควส ที่ผู้เล่นเจอ เขาจะได้รับอะไรกลับไป

เพื่อให้เข้าใจบอร์ดเกมลึกซึ้งกว่าเดิม เราเลยชวนเทอร์โบ เอ็ก และแดนมานั่งคุยกันตั้งแต่จุดตั้งต้นของการทำบอร์ดเกม ไปจนถึงกระบวนการผลิต

จุดกำเนิด ‘Deschooling Game’

ขอเริ่มต้นด้วยคำถามสุดคลาสิค ทั้ง 3 คนเจอกันได้ยังไง?

เทอร์โบ: พวกเราเจอกันที่งานๆ หนึ่ง ชื่อว่า มหา’ลัยเถื่อน เป็นงานสำหรับคนที่สนใจประเด็นการศึกษามารวมตัวกัน ซึ่งพวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่แดนกับเอ็กนี่เขาจับกลุ่มทำบอร์ดเกมอยู่แล้ว ส่วนตัวผมมาทีหลัง มาเจอกับพวกเขาที่นี่ แล้วเห็นบอร์ดเกมที่พวกเขาทำก็สนใจเลยขอเข้ารวมกลุ่มด้วย นอกจากพวกเรา 3 คน ก็ยังมีอาจารย์เดชรัตน์ สุขกําเนิด หรืออาจารย์ต้น พ่อของแดน

งานที่กลุ่ม deschooling Game ทำ คือสร้างสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบของบอร์ดเกม อยากรู้ว่าทำไมถึงเลือกทำบอร์ดเกม พวกเรามองเห็นอะไรในสิ่งๆ นี้?

เอ็ก: ก่อนอื่นต้องนิยามคำว่าการเรียนรู้ซะก่อน ถ้าในมุมมหา’ลัยเถื่อน การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากหลายๆ สิ่ง ไม่ใช่ที่อยู่ในขนบเท่านั้น เราถูกบอกว่าการเรียนต้องมีครู ต้องมีการสอน มีอุปกรณ์เป็นกระดานดำเท่านั้น ซึ่งมันไม่จำเป็น

แล้วอะไรที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้บ้าง? มากมายเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นการลงมือทำ การทดสอบ การได้ลองเลือกลองคิด ฯลฯ สิ่งพวกนี้ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ได้ ฉะนั้น ตัวเราที่เชื่อมั่นว่ามีความหลากหลายในการเรียนรู้ เราเลยลองหาสื่อกลางอื่นๆ มาสร้างเป็นการเรียนรู้ บอร์ดเกมเป็นกระบวนการเรียนรู้หนึ่งที่ทำให้เราได้ลองคิด ลองตัดสินใจ แถมผิดพลาดก็เริ่มใหม่ได้

เทอร์โบ: พวกเรารู้สึกว่าเกมเป็นเหมือน experience หนึ่ง เป็นกระบวนการที่ให้เราทำอะไรบางอย่าง เช่นเกม Werewolf (บอร์ดเกมที่ให้ผู้เล่นสวมบทบาทสมมติต่างๆ เพื่อไขคดีฆาตกรรม) 

เกมจะมี role ให้ผู้เล่นสวมบทเป็นนายพราน ฆาตกร หรือหมาป่า ผ่านการจำลองสถานการณ์ต่างๆ ด้วยลักษณะนี้ของบอร์ดเกม ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งของนักออกแบบการเรียนรู้ เราสามารถดีไซน์ตัวเกมว่า อยากให้ผู้เล่นเจอกับเกมเนื้อหาแบบไหน เล่นเกมนี้แล้วคนเล่นจะได้ประสบการณ์อะไรกลับไป จากนั้นค่อยถอดประสบการณ์ที่ได้เป็นความรู้ให้เขา 

แดน: เหมือนอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ แทนที่เราจะเป็นแค่คนอ่านอย่างเดียว เราสามารถเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือเป็นรอน วีสลีย์ได้ บอร์ดเกมอนุญาตให้เราเป็นใครก็ได้ที่ในชีวิตจริงเราอาจเป็นไม่ได้ เช่น เป็นพระเจ้าได้ รวมไปถึงจำลองสถานการณ์ให้เราลองเข้าไปอยู่ ซึ่งสถานการณ์นั้นอาจเป็นสิ่งที่เราจะเจอในอนาคต หรือเป็นอดีตให้เราย้อนกลับไปศึกษาว่า ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นเราจะทำอะไรได้บ้าง เหมือนเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต เช่น บอร์ดเกมที่พูดเรื่องเหตุการณ์ต้มยำกุ้งปี 40 เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่เขาเกิดไม่ทัน ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่เข้าใจว่าต้มยำกุ้งคืออะไร? เราก็ให้เขาเรียนรู้ด้วยการจำลองสถานการณ์ให้เขาลองเข้าไปอยู่

กว่าจะมาเป็นบอร์ดเกม

กว่าจะมาเป็นกล่องบอร์ดเกมที่อยู่ตรงหน้าพวกเราตอนนี้ จุดเริ่มต้นคืออะไร ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง?

แดน: ต้องมีคนจ้างก่อน (หัวเราะ)

เทอร์โบ: จุดเริ่มต้นจะแบ่งเป็น 2 จุดใหญ่ๆ คือ อยากทำเอง กับ มีคนจ้าง ส่วนใหญ่บอร์ดเกมที่เราทำจะเกิดจากมีคนจ้าง ซึ่งจุดที่ยากที่สุดของการเริ่มต้น คือ บางทีคนจ้างจะมาด้วยโจทย์กว้างๆ เช่น อยากทำเกมเกี่ยวกับการเงิน (หัวเราะ) แต่ถ้าพูดคำว่าการเงินมันก็เยอะนะ เช่น เรื่องไฟแนนซ์ เรื่อง money literacy การวางแผนออมเงิน การลงทุน ฯลฯ

เพราะงั้นพอได้โจทย์มาปุ๊บ หน้าที่เราคือต้องตีความโจทย์นั้นๆ สมมติเขาให้โจทย์การเงินมา พวกเราในทีมก็จะมานั่งคุยกันแล้วว่า แล้วการเงินแบบไหนที่น่าจะเวิร์ค

เอ็ก: หลังจากรู้โจทย์ สิ่งที่เราอยากรู้ต่อมา คือ ปลายทางของบอร์ดเกมว่าจะใช้กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และเพื่ออะไร สมมติเจ้าของโจทย์อยากใช้บอร์ดเกมนี้ในฮอลล์ใหญ่ๆ เลย ตัวบอร์ดเกมเราก็ไม่สามารถออกแบบเป็นกล่องได้ละเพราะเยินแน่นอน (หัวเราะ) หรือถ้าโจทย์คืออยากใช้ในเวิร์คช็อป ให้คนเล่นเป็นกรุ๊ปๆ ละ 10 คน ก็อาจจะทำเป็นกล่องบอร์ดเกมได้

การตีความโจทย์ทำอย่างไร?

เทอร์โบ: เหมือนทำงานวิจัย เราต้อง research หาข้อมูลที่เกี่ยวกับโจทย์ๆ นั้นซะก่อน สมมติโจทย์ที่ได้รับ คือ เรื่องการเงิน เราก็จะไปดูว่ามีคนพูดเรื่องการเงินในแง่มุมอะไรบ้าง ตอนนี้แง่มุมไหนกำลังได้รับความสนใจ

เอ็ก: เครื่องมือที่พวกเราใช้ก็เช่น แบบสอบถามทั่วไป หรือทำ focus group แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้กลุ่มเป้าหมายของบอร์ดเกมก่อนนะ สมมติคนจ้างอยากทำบอร์ดเกมเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กมัธยม เราก็จะทำแบบสอบถามไปให้เด็กมัธยมว่า ช่วงนี้พวกเขาสนใจการเงินประเด็นไหนบ้าง

แดน: ขั้นตอนตีความโจทย์ขึ้นอยู่กับผู้จ้างล้วนๆ อย่างวิธีที่พี่เทอร์โบกับพี่เอ็กยกตัวอย่าง ใช้ในกรณีที่ผู้จ้างยังไม่ลงรายละเอียด หรือไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ก็ต้อง research หาข้อมูลก่อนเพื่อที่จะวางแผนต่อได้ แต่ว่างานที่ผมเคยทำกับคุณพ่อชิ้นหนึ่งได้โจทย์มาจากกลุ่มสมัชชาคนจน (Assembly of the Poor) เขามีความต้องการในใจแล้วว่า เป้าหมายของบอร์ดเกมชิ้นนี้คือ นักการเมือง ผมก็ข้ามขั้น research ไปได้เลย  แล้วไปสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกกับเจ้าของโจทย์แทน

เอ็ก: จริงๆ แรกเริ่มสุด เราต้องชวนเจ้าของโจทย์เล่นเกมก่อนนะ เพราะแต่ละคนมีภาพเกมในหัวไม่เหมือนกัน เคยเจอมาแล้วพอถามว่า ‘ภาพเกมในหัวพี่ตอนนี้คืออะไร?’ มาเลยครับ ทั้งบันไดงู บิงโก หรือเซียมซี (หัวเราะ) ทำให้เราต้องลองเล่นเกมกับคนให้โจทย์ก่อนเลย เพื่อที่จะได้สัมผัสและเข้าใจคำว่าเกมในปัจจุบันตรงกัน

ส่วนการเซอร์เวย์ (survey) ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เพราะเราต้องเข้าใจ user ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้ทำเกมที่สื่อสารให้ตรงกับเขา

แล้วการไปทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมาย (target group) มีวิธีการอย่างไร?

เทอร์โบ: สมมติเราจะทำบอร์ดเกมเกี่ยวกับการเงิน โดยมี target group เป็นเด็กมัธยม คำถาม คือ เราคิดว่าเด็กมัธยมสนใจเรื่องการเงินไหม? เราอาจจินตนาการว่าเด็กวัยมัธยมเขาคงอยากรู้เรื่องออมเงินหยอดกระปุก แต่พอไปถามเขาจริงๆ ปรากฎว่าสิ่งที่เด็กมัธยมสนใจ ‘มีหนทางไหนที่ผมหาเงินได้บ้าง’ แล้วพอถามต่อว่าเขาคิดหาเงินด้วยวิธีไหน? คำตอบที่ได้ ‘เล่นหุ้นได้ไหม?’ ‘ขายของในเกมได้ไหมครับ?’ ‘ขับ grab ได้ไหมพี่’ กลายเป็นว่าเขามีมุมมองที่กว้างกว่าที่เราคิดมาก ถ้าไม่ถามคงไม่มีทางรู้ จะมีแต่ภาพในหัวเราที่เด็กมัธยมกำลังช่วยแม่ขายลูกชิ้น (หัวเราะ)

เอ็ก: ที่ต้องทำความเข้าใจ target group เพราะเราไม่สามารถคิดแทน หรือเอาภาพในหัวเราไปกำหนดได้ หลายครั้งที่การเซอร์เวย์ทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ตลอด

แล้วสิ่งที่พวกเราพยายามควานหาในการทำความเข้าใจ target group มีอะไรบ้าง?

เทอร์โบ: ถ้าของผม ผมหา Iceberg model (แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง) เพื่อดูรากของเหตุการณ์ที่ปรากฎ ว่ามันมีแพทเทิร์นแบบไหน มีโครงสร้าง หรือรูปแบบอะไร เช่น มีเด็กจำนวนหนึ่งพูดพร้อมกันว่า ‘อยากเป็น youtuber’ แสดงว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างล่าง ที่ทำให้พวกเขามีความคิดแบบนี้ เราก็ต้องไปหามา

เอ็ก: ไปคุ้ย ไปฟังเสียงที่คนอื่นไม่ค่อยได้ยิน เพราะการทำเกมคือการทำสื่ออย่างหนึ่ง ถ้าเราพูดในสิ่งที่คนอื่นพูดกันอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ทำให้เกมเรามีความน่าสนใจอะไร กลับกัน ถ้าเราสามารถจับจุดที่คนไม่ค่อยพูดถึง หรือนึกไม่ถึง แล้วเราหยิบเรื่องนี้มาพูดในเกมก็จะน่าสนใจ เพราะอย่างที่บอกเกมมันเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะพูด

เทอร์โบ: เคยพูดเป็นเรื่องขำๆ ในกลุ่มว่า ช่วงหลังๆ มานี้เราแทบจะไม่ได้ออกแบบเกมเลย แต่เรารีวิวเกมแทน (หัวเราะ) ‘พี่อยากพูดเรื่องนี้เหรอ พี่ไปซื้อเกมนี้มาใช้เลย ไม่ต้องให้พวกผมทำหรอก’ (หัวเราะ) ถ้ามีบอร์ดเกมที่พูดเรื่องที่เจ้าของโจทย์ต้องการสื่อสารอยู่แล้ว ก็บอกให้เขาหยิบมาใช้แทน ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าเรามานั่งออกแบบเกมที่มีอยู่ในโลกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

แดน

แล้วถ้าเป็นมุมของแดนที่รู้อยู่แล้วว่า target group เป็นใคร สิ่งที่แดนกำลังค้นหาต่อคืออะไร?

แดน: เหมือนของพี่เทอร์โบ ใช้ Iceberg model แต่ของผมจะหา message ที่เกมอยากสื่อสาร เวลาที่ผมออกแบบเกม จะต้องหาต้องเป็น message ที่เกมอยากสื่อสารให้ได้ ไม่ใช่แค่ประเด็นเฉยๆ เพราะประเด็นเฉยๆ มันทำเกมไม่ได้ มันไม่ใช่ turning point เช่น นโยบายที่ออกแบบมาเพื่อคนจนในมุมไหนบ้าง

ถ้าโจทย์ที่ผมได้รับคือ เขาต้องการให้นักการเมืองสวมบทบาทสมมติเป็นคนจน เพื่อให้เข้าใจวิถีชีวิตพวกเขา จะได้ออกนโยบายให้ตรงกับความต้องการพวกเขา ผมก็ออกแบบบอร์ดเกมให้นักการเมืองจำลองเป็นคนจนเพื่อที่จะได้เข้าใจว่าบริบทคนจนเป็นยังไง

เอ็ก: ของแดน topic พูดเรื่องคนจน target group คือ นักการเมืองเล่น ส่วน message คือ ทำไมนักการเมืองถึงต้องรู้เรื่องคนจน การรู้เรื่องนี้มันส่งผลกับเขายังไง? แดนก็ออกแบบบอร์ดเกมที่ให้นักการเมืองมาลองสวมบทเป็นคนจนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของนักการเมือง

แสดงว่าหลังจากทำงานตีความโจทย์ ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเสร็จ ขั้นตอนต่อมา คือ ออกแบบตัวเกม

เอ็ก: การดีไซน์เกม นอกจากดีไซน์ให้ตรงกับความต้องการคนจ้างแล้ว ต้องมีมุมที่เราสนใจด้วย ส่วนใหญ่ทีมเราจะไม่ชอบการเล่าเรื่องแบบทางเดียว เดินไปเป็นเส้นตรง เกมของเราต้องมีพาร์ทให้ถกเถียง มีทางเลือกให้ลองชั่งน้ำหนักระหว่างเล่น เพราะเราเชื่อว่าเกมเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการตัดสินใจ ถ้าเกมเดินเป็นเส้นตรงอย่างเดียว ก็ไปอ่านหนังสือเอาก็ได้เนอะ 

การเรียนรู้จากเกม คือ การได้ลองผิด ไม่ได้ลองถูกนะ ต้องลองผิด พอลองผิดเสร็จปุ๊บ ถึงมันจะพัง จะแย่ แต่โอเค เราได้เรียนรู้อะไรบ้างอย่างจากมัน เล่นรอบนี้พลาด รอบหน้าเราจะปรับให้เป็นยังไง ถ้าเกมมันวิ่งไปทางเดียว คือ ไม่มีทางที่ผิดเลย ทุกคนเล่นไหลไปเรื่อยๆ แล้วจะเกิดการเรียนรู้ยังไง? 

เทอร์โบ: เรียกว่าตั้งแต่ดีไซน์เกม พวกเราก็ต้องหา turning point ของผู้เล่นไปด้วย

เทอร์โบ

อยากให้ช่วยอธิบายว่า turning point ในเกมคืออะไร?

เทอร์โบ: เป็นคียเวิร์ดหลักที่เราต้องหาให้ได้ว่า สุดท้ายแล้วเกมนี้จะพาผู้เล่นไปเจอ หรือไปพบความเปลี่ยนแปลงอะไร เราจะได้ลักษณะผู้เล่นที่เราต้องการ ออกแบบเกมต่อได้ เรียกว่าเป็น goal ของผู้เล่น ถ้าเป็นภาษาละครเขาเรียกจุด turning point มันคือจุดที่ตัวละครต้องเจอกับอะไรบ้างอย่าง เพื่อที่เขาจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง

หลังจากหาข้อมูล ทำความเข้าใจ target group คิด turning point ให้ผู้เล่น รวมไปถึงทำความเข้าใจประเด็นที่อยากสื่อสาร อยากรู้ว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าประเด็นที่เราได้เป็นสิ่งที่เราอยากสื่อสารจริงๆ 

เทอร์โบ: ทำ prototype (การสร้างแบบจำลอง เพื่อพัฒนาต่อยอดให้ผลิตภัณฑ์ของเราดีขึ้น) แล้วก็ test 

เอ็ก: เพราะการดีไซน์เกมมันไม่ใช่ครั้งเดียวจบอยู่แล้ว ขณะที่กำลังออกแบบอยู่เราอาจจะเจอที่ว่า ‘ตรงนี้มุมไม่คม สื่อสารไม่ดี’ หรือ ‘เอ๋ ประเด็นนี้สื่อสารแล้วคนเล่นจะรู้สึกหนักไปเครียดไปไหม’ ก็ต้องนั่งปรับกันไป

ส่วนจะทดสอบว่าเนื้อหาในเกมมันใช่หรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า target group เกมมีสองกลุ่ม คือ คนเล่น กับคนที่เป็นผู้รู้ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นนั้นๆ เพื่อทดสอบประเด็นเราก็ต้องเข้าไปพูดคุยถามเขาก่อน เช่น เราอยากสื่อสารประเด็นคนจน เราก็ list ประเด็นที่จะสื่อสารในเกมไว้ประมาณนี้ๆ ยกไปถามผู้เชี่ยวชาญว่ามันครอบคลุมไหม หรือว่ามีอะไรเพิ่มเติมแก้ไข

เทอร์โบ: มีวิธีออกแบบบอร์ดเกมอีกวิธีหนึ่ง คือ แทนที่เราจะเป็นคนออกแบบ ก็ให้เจ้าของโจทย์เป็นคนทำ สมมติ The Potential อยากทำบอร์ดเกม ก็มา เดี๋ยวพวกผมมาจัดเวิร์คช้อปให้ หน้าที่ของคุณคือ ทำ prototype แล้วเรามาช่วยกันปั้นบอร์ดเกมออกมา

เอ็ก: วิธีนี้เคยทำตอนได้รับโจทย์ให้ทำเกมปลอดบุหรี่กับครู ก่อนอื่นเรารู้อยู่แล้วว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นเรื่องบุหรี่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราให้ทำ คือ ให้ครูแต่ละคนทำ prototype ออกมาเอง แล้วเราไปจัดเวิร์คชอปวิธีทำบอร์ดเกมให้เขา ครูเป็นคนก่อร่าง (form) ไอเดีย ระหว่างที่พูดคุย เขาได้ตกตะกอนว่าจริงๆ เขาอยากสื่อสารเรื่องอะไร เหมือนเราใช้กระบวนออกแบบเกมเป็นกระบวนการให้เขาได้เจียระไนไอเดียของตัวเอง แล้วเราเอาเกมเขามาทำอีกทีหนึ่ง

อาจแบ่งทำเป็นกลุ่มเล็กๆ สัก 2 – 3 คน แต่ละคนจะมีไอเดียที่ไม่เหมือนกัน เราจะได้เห็นไอเดียของคนอื่นๆ คนนี้อยากทำเกี่ยวกับเด็กมัธยม หรือคนนี้อยากสื่อสารกับคนทั่วไป คนข้างนอก เกิดการ cross ไอเดียกลายเป็นเกมที่เอาไปต่อยอด 

เทอร์โบ: วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าเป็นไปได้เราจะใช้วิธีนี้ ให้คนที่เป็นเจ้าของโจทย์ร่วมออกแบบบอร์ดเกมกับเรา จะทำให้งานออกมาชัดเจน ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลานานและมีความซับซ้อน

เอ็ก

สิ่งหนึ่งที่ต้องเจอแน่ๆ ในการออกแบบบอร์ดเกม คือการทดลอง (test) อยากรู้ว่า deschooling game ทดลองอย่างไร มีขั้นตอนยังไงบ้าง?

เอ็ก: test เราจะมี 3 ระดับ หนึ่ง – test วงเล็กสุด ทำตอนที่เรากำลังคิดเกม คือ ขณะที่คิดเกมเราก็ต้องลองเล่นไปด้วยว่ามันเวิร์คไหม สมมติแดนมีไอเดียอยากทำเกมๆ หนึ่ง แต่ก่อนก็ลองทำมาเล่นกันก่อน หลังเข้าใจกันแล้วก็แค่เล่าให้ฟังว่ามันจะเป็นประมาณนี้ๆ เล่นยังไงบ้าง ช่วยกันเสนอไอเดียว่ามันควรปรับหรือเพิ่มอะไร เนื้อเรื่องมันเวิร์คไหม กฎกติกาล่ะโอเคหรือเปล่า ทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่ามันจะเล่นได้แน่ๆ

พอ test วงแรกผ่านปุ๊บ เราโอเคละ ก็เข้าสู่ สอง – เราจะ test กับกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ แบ่งเป็นคนที่เชี่ยวชาญเนื้อหาที่เราทำในเกม กับคนที่เชี่ยวชาญด้านการทำเกม เราจะทำต้นแบบให้เขาลองเล่น จะบอกว่าสองวงนี้ test เยอะมาก (ลากเสียง) บอกไม่ถูกเลยว่าเทสต์กี่ครั้ง เรียกว่าเป็นลมหายใจของนักออกแบบเพื่อการเรียนรู้เลย (หัวเราะ) มันต้องทำเรื่อยๆ บางทีเล่นครั้งที่หนึ่งเสร็จปุ๊บ ขอแก้ใหม่แล้วเล่นรอบที่สองต่อทันที

สาม – test กับ user หลัก กลุ่มเป้าหมายของบอร์ดเกม เช่น เด็กมัธยม หาเวลาว่างเอาบอร์ดเกมไปให้เขาลองเล่น

เคยเจอคอมเมนต์ที่ไม่ดีจากคนเล่นเกมไหม ทั้งตอนที่ test เกมหรือตอนที่ออกเป็นบอร์ดเกมสำเร็จรูปแล้ว?

เอ็ก: ตอน test เจอบ่อยครับ ก็บอก ‘เดี๋ยวแก้ครับ’ (หัวเราะ) เพราะอยู่ใน prototype ที่เราต้อง test อยู่แล้ว ก็โอเคเดี๋ยวแก้

ส่วนเจอคอมเมนต์ที่ไม่ดี เราต้องขอบคุณเขาเลยนะ เพราะถ้าคอมเมนต์ดีผมไม่สามารถเอาไปทำอะไรต่อได้ (หัวเราะ) ถ้าระหว่างการทำเกมช่วง test การเจอคอมเมนต์ติจะช่วยได้มากๆ (ลากเสียง) มันจะทำให้เราพัฒนาบอร์ดเกมต่อไปได้ แต่ก็ต้องพิจารณาแต่ละฟีดแบ็คด้วยนะ ไม่ใช่รับมาทั้งหมด เพราะบางฟีดแบ็คอย่างเช่น ‘ไม่ชอบเกมนี้เลย’ เราก็ต้องมาพิจารณาละว่า ไม่ชอบนี้ไม่ชอบตรงไหน เป็นที่ตัวเกมหรือเป็นที่ทัศนคติส่วนบุคคล

แดน: ถ้าเจอคนเล่นที่คิดไม่ตรงกับที่เราต้องการสื่อสาร ถ้ามีโอกาสเราก็ชวนเขาคุยต่อนะว่า ทำไมเขารู้สึกยังไง ได้เรียนรู้อะไรจากเกมๆ นี้ ซึ่งบางทีก็ไม่ตรงกับที่เราตั้งเป้าหมายไว้

เทอร์โบ: Deschooling ไม่ได้ทำแค่บอร์ดเกม แต่เราทำ after play ด้วย เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เล่นจบแล้วคุยอะไรต่อ เหมือนเวลาดูหนังกับเพื่อนพอออกจากโรงหนังก็คันปากอยากเม้าท์ต่อ ช่วงหลังๆ เราเริ่มดีไซน์ after play เล่นจบมีคำถามเตรียมไว้สัก 5 – 6 คำถาม หรือมีกระบวนการบางอย่างที่ต้องทำหลังเล่นเกมเสร็จ 

ก็อาจจะมีคนที่บอกว่า หลังจากถอดความรู้แล้วสิ่งที่เขาได้คนละเรื่องกับที่เราวางไว้ แต่เรารู้สึกว่าก็โอเคนะ เข้าใจได้ ถ้าจะปรับอะไรคงไว้สำหรับการทำงานครั้งหน้าเราคงทำให้บอร์ดเกมมันคมขึ้น แต่ในเมื่อทำเสร็จแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไร 

การออกแบบบอร์ดเกมค่อนข้างวนไปมา ไม่ได้เรียงลำดับ 1 2 3 4 แล้วจบ

เทอร์โบ: กระบวนการมัน คือ Design Thinking (การคิดเชิงออกแบบ) ทำวนหลายรอบกว่าจะออกมาโอเคแล้ว เพราะหลายขั้นตอนที่ต้องดูไปพร้อมๆ กัน 

แดน: บางทีที่ทำขั้นที่ 1 2 3 4 เสร็จแล้ว ต้องกลับมาปรับขั้นแรกใหม่ หรือพอไปถึงขั้นคิดจุดไคลแมกซ์ ทดลองกับผู้เล่น แต่ไม่เวิร์คก็ต้องกลับมาแก้ใหม่

เอ็ก: การทำงานออกแบบบอร์ดเกมไม่เหมือนกับการวิ่ง เราไม่ได้ทำงานเดินเป็นเส้นตรง 1 – 2 – 3 – 4 – 5 จบ เราต้องเอาหลายๆ อย่างมาผสม เหมือนกับทำอาหาร เฮ้ย เราชอบกินผักนะ ใส่ผักไปเยอะๆ แต่ไม่มีเนื้อเลยก็ไม่ได้ เพราะมันต้องปรุงให้อร่อย

บอร์ดเกมกับระบบการศึกษาไทย

เห็นว่ากลุ่มเรามีสโลแกน ‘ความสนุกปลุกการเรียนรู้’ อยากรู้ที่มาของสโลแกนนี้เกิดจากอะไร?

เอ็ก: สโลแกนนี้เป็นจุดตั้งต้นแรกเริ่มของกลุ่มเราเลย เพราะเรามองว่า ทำไมการเรียนต้องน่าเบื่อ? ทำไมไม่ทำให้มันสนุก พวกเราเลยตั้งใจเอาการเรียนกับความสนุกมาอยู่ด้วยกัน ให้ความสนุกเป็นตัวจุดประกายความอยากเรียนรู้ แต่ว่าตอนนี้มุมมองพวกเราเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากค้นพบว่าสโลแกนนี้ทำให้ mislead (ทำให้เข้าใจผิด คลาดเคลื่อนกว่าที่ตั้งใจไว้) คือ พอตั้งเป้าว่าความสนุกทำให้เกิดการเรียนรู้ เลยเกิดการ ‘ยัดความสนุก’ เข้าไปในความรู้แบบดื้อๆ

เทอร์โบ: บอร์ดเกมไม่ได้ทำหน้าที่ต่างจากสื่อการเรียนรู้อื่นๆ เพราะว่ามันสนุก มันไม่ใช่ว่าทำเกมเพราะเด็กอ่านหนังสือเรียนไม่สนุก เบื่อ ก็เลยมาทำเกมแทน ถ้าคิดแบบนี้ ผิดเลย เพราะเด็กอาจจะเล่นเกมแล้วเบื่อก็ได้ เกมไม่ได้ทำงานบนฟังก์ชั่นนั้น

แดน: เพราะความตั้งใจเราไม่ได้ต้องบอกว่า การเรียนรู้เกิดจากความสนุก ไม่อย่างนั้นทำให้หนังสือเรียนสนุกก็จบแล้ว แต่ความตั้งใจเราที่ต้องการสื่อสาร คือ บอร์ดเกมทำงานบนฟังก์ชั่นจำลองประสบการณ์

แล้วประสบการณ์มันสำคัญกับการเรียนรู้อย่างไร?

เทอร์โบ: เคยมีลุงคนหนึ่งเขาพูดว่า สิ่งที่เรารู้ information มันไม่ใช่ความรู้ แต่ความรู้ที่แท้จริงมาจากประสบการณ์ สมมติเรารู้ว่าไฟมันร้อน แต่เราจะไม่มีทางรู้ว่าร้อนเป็นยังไง จนกว่าเราจะเอานิ้วไปจับ แล้วเราจะรู้ว่า ‘อ่อ ร้อนเป็นแบบนี้นะ’ คือต่อให้อธิบายให้ตายยังไงก็สู้ไปสัมผัสแบบจริงๆ ไม่ได้

เกมไม่ได้เป็น experience มือสองเหมือนหนังสือเรียนที่เขาดีไซน์มาให้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรที่เราควรรู้ ส่วนนักเรียนมีหน้าที่ซึมซับ แต่เกม คือ ถ้าคุณอยากรู้จักนักดับเพลิง คุณต้องไปลอง ไม่ต้องไปอ่านประสบการณ์จากคนอื่น คุณสามารถลองเป็นได้เลย เกมทำให้เราได้ทำในสิ่งที่ในชีวิตจริงเราทำไม่ได้ เช่น ลองตายได้ ในชีวิตจริงเราทำไม่ได้แน่ๆ 

เอ็ก: เกมอนุญาตให้เราลองเป็นคนไม่ดีได้ ให้เราได้สัมผัสความรู้สึกของการไปฆ่าคนอื่น หรือการแย่งของกันมันเป็นยังไง เราจะรับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า เกิดการเรียนรู้วิธีรับมือ การจัดการ

มีคนเคยบอกว่าบอร์ดเกมทำให้เห็นสันดานดิบของมนุษย์แต่ละคนชัดเจนที่สุด

เทอร์โบ: อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ หรือจริงๆ มันอาจจะโอเวอร์เกินไป หมายถึงพอเรารู้ว่าเล่นเกมแล้วไม่เป็นไร เราก็จะเปิดด้านที่ไม่ดี เผลอๆ เราจะผลักให้มันดูเยอะด้วย จริงๆ เกม คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยของการเรียนรู้ขึ้นมา อันนี้เป็นเป้าหมายหนึ่งของ deschooling game ทุกคนในเกมเท่ากันหมด อยู่ภายใต้กฏกติกาเดียวกัน คุณครูต้องลงมานั่งเล่นเท่ากับเด็กๆ

เอ็ก: ง่ายๆ คำว่าพื้นที่ปลอดภัย มันสามารถให้เราทำอะไรก็ได้ แต่แปลกนะเวลาเราอยู่ห้องเรียนซึ่งเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ แต่เรากลับรู้สึกว่านี้มันเป็นพื้นที่ๆ ไม่ปลอดภัย เพราะเราถูกตัดสินอยู่ตลอดเวลา แต่เกมเป็นแค่กล่องแค่นี้ กลับกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้

ถ้าจุดเด่นของบอร์ดเกม คือ ประสบการณ์ที่เราได้รับ แล้วมันแตกต่างกับเกมอย่างอื่นๆ อย่างไร เพราะเล่นเกมคอมพิวเตอร์ก็ให้ประสบการณ์เราได้เหมือนกัน

เอ็ก: มันอยู่ที่สื่อ สมมติเล่มเกม ROV สิ่งที่เราปะทะคือหน้าจอ ถึงแม้เราจะรู้ว่าหลังจอมีใครอยู่ แต่สิ่งที่เราปะทะตรงๆ ก็คือหน้าจอ แต่การเล่นบอร์ดเกมสิ่งที่เราปะทะ คือ คนที่มีชีวิต อยู่ตรงหน้าเรา เนื้อเป็นๆ มีอารมณ์ ทำให้เราหนีไม่ได้ ถ้าเล่นเกมออนไลน์ ‘เฮ้ย อันนี้มันด่าเรา’ ‘คนนี้เล่นไม่ดีเลย ออกๆ เลย’ เราสามารถหนีได้ แต่เล่นบอร์ดเกมมันคือฝึกการรับมือ มีการยับยั้งชั่งใจ การอยู่ในสังคม เป็นจุดสำคัญของบอร์ดเกมทำให้เราได้ฝึกทักษะการมีชีวิตอยู่กับคนอื่นเพิ่มขึ้น

อีกอย่างพวกเกมคอมพิวเตอร์ข้อมูลที่เราได้รับมา มันถูกเลือกมาแล้วว่าเกมจะแสดงอะไรบ้าง แต่บอร์ดเกมมันไม่มีตัวเลือกให้เรา เราต้องสังเกตเอง อย่างเล่น Werewolf เราต้องคิดคำพูด วิเคราะห์สถานการณ์เอง

เทอร์โบ: อย่างช่วงที่เกิดโควิด-19 หนักๆ ทุกคนต้องอยู่กับบ้าน มีเทคโนโลยี zoom ที่ทำให้เราติดต่อสื่อสารกันได้ แล้วทำไมเรายังต้องการเจอคนแบบเป็นๆ อีก เพราะจริงๆ แล้วเราก็โหยหาการเจอมนุษย์

บางคนบอกอาจจะเล่นเกมออนไลน์ได้ แต่เกมออนไลน์ไม่สามารถให้สัมผัสแบบที่เราได้รับจากบอร์ดเกม ‘เฮ้ย แดนดูมีพิรุธว่ะ ทำใช่ไหม?’ ‘อยู่ๆ ก็เขย่าขา เป็นไรอะ?’ สิ่งเหล่านี้เทคโนโลยีปัจจุบันยังทำให้เราไม่ได้ เพราะงั้นเวลาใครบอกว่าทำไมไม่ทำบอร์ดเกมออนไลน์ ก็เพราะเทคโนโลยียังไม่ถึง เราไม่สามารถสัมผัสใกล้ชิดแบบจริงๆ ได้ 

แดน: อย่างเกมคอมพิวเตอร์มันจะคำนวณให้เราเลย แต่บอร์ดเกมเราต้องเป็นคนคำนวณเอง ตัดสินใจเอง เราจะรู้สึกว่าเราอยู่ในทุกๆ การคำนวณ การตัดสินใจมากขึ้น 

วงการนักออกแบบเกมในไทย

เท่าที่พูดคุยกันจะเห็นว่าการทำบอร์ดเกมมีการหยิบกระบวนการ Design thinking มาใช้ อยากรู้ว่ากระบวนนี้มันสามารถเอามาปรับใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้ไหม?

เอ็ก: Design thinking คือ การทำบางสิ่งบางอย่างให้ดีกว่าเดิม สมมติถ้าเราอยากแข็งแรงกว่าเดิม ก็ลองดูว่าจะใช้วิธีไหน เช่น ใช้วิธีออกกำลังกายบ่อยๆ เลือกเลยว่าจะวิ่ง ว่ายน้ำ หรือเต้นอยู่บ้าน หลังจากลองทำก็มาดูฟีดแบ็คว่าเป็นยังไง ‘ไปวิ่งแล้วรู้สึกไม่ค่อยเข้าทางตัวเอง เต้นอยู่กับบ้านดีกว่า’ พอได้ฟีดแบ็คแบบนี้ ขั้นต่อไป คือ แก้ไขหาวิธีใหม่ เลือกวิธีเต้น เต้นแบบไหนดี? เต้นตามนางแบบ เต้นตามคลิปในยูทูป ฯลฯ ทำวนไป พัฒนาไปเรื่อยๆ

เทอร์โบ: ส่วนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการนี้ไม่สำเร็จ คือ ความกลัว อันนี้เจอกับตัวเองเพราะช่วงแรกๆ ผมก็กลัวการใช้ Design thinking กลัวทำไม่ได้ กลัวทำแล้วจะผิด อย่างแรกเราต้องไม่กลัวผิด คีย์เวิร์คอันนี้สำคัญมาก เพราะสุดท้ายถ้าเรากลัว เราก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย มีคนจำนวนมากที่โตมาในระบบการศึกษาที่บอกเราว่า ‘ห้ามผิด’ สอบก็ผิดไม่ได้ หรือเราบอกว่าอยากทำสิ่งนี้ จะได้รับคำตอบว่า ‘จะทำดีเหรอ?’

คียเวิร์ด คือ ไม่กลัวผิด ผิดแล้วไง? ก็ทำใหม่ ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ อย่างทำเกมถึงเราใช้กระบวนการ design thinking แต่ถ้าเราไม่เข้าใจกระบวนการมัน กลัวว่าทำแล้วผิด สุดท้ายก็จะไม่ไปไหน ขอยกเรื่องตัวเองที่บอกว่าก่อนหน้านี้เราก็ไม่กล้าทำ เชื่อไหมวันที่เรารวบรวมความกล้าเดินเข้าไปขอเอ็กกับแดนทำงานด้วย ตอนนั้นเราอายุประมาณ 20 ปลายๆ แล้วนะ แต่เรายังรู้สึกเลยว่าเรากลัวผิด แล้วเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่โตมากับระบบการศึกษาแบบนี้ มันยากมากเลย

พอจะมีคำแนะนำให้คนที่กำลงตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไหม ควรแก้ไขมันอย่างไรดี?

เทอร์โบ: ก็กลับไปที่ Design thinking (หัวเราะ) ฟีดแบ็คคืออะไร ถ้าพี่คิดว่า prototype ที่เป็นผม พี่ไม่ซื้อ พี่ให้ฟีดแบ็คมา เดียวผมกลับไปแก้

เอ็ก: Design thinking มันเลย test แล้ววนมาที่ discover ถ้าจบที่ 1 2 3 4 แล้วไป test ไม่ใช่ Design thinking เราต้องลองแล้วสามารถเจ๊งได้ วนกลับไปทำใหม่

เทอร์โบ: ฟังดูง่ายนะ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจเหมือนกัน อย่าไปมองว่ากระบวนการนี้เอาไว้ออกแบบโปรดักส์ (product) เท่านั้น ขอย้ำว่าหลักๆ คือ อย่ากลัวผิด ไม่เป็นไร เอาใหม่ เข้าใจคอนเซปต์มันให้ได้ ไม่หยุดการเติบโต

ถ้าอย่างนั้นสภาพแวดล้อมแบบไหนที่จะเหมาะให้เด็กๆ โตมากล้าคิดกล้าทำ ไม่กลัวผิด

เทอร์โบ: ผมมีโอกาสทำงานร่วมกับอาจารย์ต้น (เดชรัต สุขกำเนิด) พ่อของแดน ก็จะพอเห็นสภาพแวดล้อมเวลาเขาอยู่ด้วยกัน จะเป็นลักษณะแบบ ‘ให้โจทย์’ ซึ่งแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆ ที่มัก ‘ให้ทำ’ อาจารย์ต้นจะไม่บอกแดนว่า ‘แดนทำแบบนี้ๆ สิ’ ‘แดนตัดกระดาษสิ’ แต่อาจารย์ต้นจะพูดเชิงว่า ‘แดนช่วยออกแบบหน่อย’ โจทย์มีลักษณะเปิดกว้าง

แดน: เวลานั่งรถกลับบ้านกับพ่อ เราก็จะใช้เวลาคุยกันเรื่องเกม พอขับถึงบ้านก็คุยเสร็จพอดีได้เกมๆ หนึ่ง จากนั้นผมก็จะไปทำการ์ด แล้วปรี้นมาทดลองเล่นกับพ่อ

เทอร์โบ: ครอบครัว คือ ต้องมีส่วนร่วมด้วย อันดับแรกต้องไม่ห้ามลูก ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่อยากทำ พ่อแม่วางบทบาทเป็นเพื่อนร่วมงาน

เอ็ก: ให้อยู่ในลักษณะที่ทุกคนอยู่ใน space เดียวกัน ทุกคนสามารถทำผิดได้หมด แล้วถ้าพ่อแม่ทำผิด ลูกสามารถบอกได้ มันต้องเกิดภาวะแบบนี้ก่อน

เส้นทางต่อไปของกลุ่ม Deschooling Game

เทอร์โบ: ถ้าในมุมภาพรวมคิดว่า กลุ่มเราคงเป็นหนึ่งในคนที่ทำงานออกแบบเกมเพื่อการศึกษา เราอยากทำให้คนเรียนรู้จากบอร์ดเกมมากขึ้น ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องยาก สร้างคัลเจอร์ของการเล่นบอร์ดเกม เพราะในไทยคัลเจอร์นี้ยังน้อย ในต่างประเทศอย่างเยอรมัน บ้านเขาบอร์ดเกมถือเป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้าน มีติดไว้หยิบเอามาเล่น เล่าเรื่องนู่น พูดเรื่องนี้ได้ แต่เส้นทางนี้คงไม่ได้เกิดจากเราแค่กลุ่มเดียว ต้องมีเครือข่ายช่วยกัน ซึ่ง Deschooling Game เป็นลักษณะคนที่อยู่สองขาระหว่างขานักเล่นบอร์ดเกม กับนักการศึกษาพยายามโยงเข้าหากัน

เอ็ก: จริงๆ บอร์ดเกมมีคุณค่า (value) หลากหลายมากนะ งานของเราพยายามให้เห็น value ด้านหนึ่งของมัน คือ สร้างการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้มันก็มีหลากหลาย บอร์ดเกมสามารถตอบ value นี้ได้ นอกจากนี้บอร์ดเกมสามารถสร้างความบันเทิงก็ได้ เป็นตัวสร้างปฎิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว บางบอร์ดเกมมันอาจไม่ได้มีคุณค่าเรื่องการเรียนรู้ แต่มันทำให้เรามีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น เป็นยาใช้บำบัดบางโรค เช่น อัลไซเมอร์ หรือ value อื่นๆ อีกมากมาย กลุ่ม Deschooling Game เราอยากยืนยัน message ว่าบอร์ดเกมเป็นประตูบานหนึ่งที่สร้างการเรียนรู้ที่น่าสนใจ สนุก และมีคุณค่าได้

การจะไปถึงเส้นทางนั้น ระหว่างการเดินทางควรเป็นอย่างไร การสนับสนุนที่ช่วยให้เราไปถึงจุดหมายได้?

เทอร์โบ: เพื่อให้มันทำงานง่ายขึ้น เพราะผมรู้สึกว่าสังคมไทยเราต้องการนักวิชาการมาพูดเพื่อรองรับ ไม่ใช่มีคนอื่นมาพูดลอยๆ ผมคิดว่าควรมี academic มารองรับ เช่น มีนักวิชาการที่ออกมาพูดว่ากลไกประสบการณ์ที่ได้จากการเล่นเกม มันเข้าสู่กรอบการเรียนรู้นี้ๆ นะ สามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ เพื่อมาซับพอร์ตให้คัลเจอร์บอร์ดเกมเข็มแข็งขึ้น

สาเหตุหนึ่งที่เรารู้สึกว่าทำให้บอร์ดเกมแพร่ในไทยยากเพราะราคาสูง เราอยากให้มีการผลักดันการผลิตบอร์ดเกมในประเทศ เพราะตอนนี้บอร์ดเกมส่วนใหญ่ผลิตในจีน สุดท้าย พยายามรวบรวมคนที่ทำบอร์ดเกมกับคนที่ทำงานออกแบบการเรียนรู้เข้าหากัน สร้างเครือข่ายขึ้นมา

เอ็ก: เราไม่ได้ตั้งใจให้ทุกคนมาออกแบบเกม แต่ให้เป็น inspiration ว่าเรามาออกแบบการเรียนรู้ที่มีคุณค่ากับคนสอนดีกว่า ถ้ามองว่าครูเป็นแค่คนอ่านหนังสือให้เด็กฟัง มันก็บั่นทอนความรู้สึกเหมือนกันนะ ตอนนี้เราเริ่มเห็นครูหันมาทำกิจกรรมอย่างอื่นมาก เอ็นจอยกับการสอน เช่น มีให้เด็กลองแต่งเพลงแรป (Rap) เป็นต้น เมื่อสร้างรูปแบบเรียนรู้มีคุณค่าได้ ทั้งครูและนักเรียนก็อยากมีส่วนร่วม การเรียนรู้และเปลี่ยนก็เกิดโดยธรรมชาติครับ

Tags:

ระบบการศึกษาเทคนิคการสอนบอร์ดเกมพื้นที่ปลอดภัยGeneration of Innovator

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Learning Theory
    ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    หากโควิดบังคับให้ครูเปลี่ยน จะสอนออนไลน์ยังไงให้ป็อปและยังมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์อยู่?

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    ครูปุ้ย วรีย์ สืบสมุท: ใช้ ‘บอร์ดเกม’ เสกคาบว่างในวิชาแนะแนวให้หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง
Relationship
11 September 2020

ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • อัครมีความสัมพันธ์แปลกๆ กับแม่ของเขา แม่ของอัครมีวิธีคิดว่าต้องเป็น ‘ผู้ให้’ อยู่ตลอดและจะรู้สึกอึดอัดมากหากต้องเป็นผู้รับ ด้วยบุคลิกภาพเช่นนี้ แม่ได้ดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ทำให้อัครต้องเล่นบท ‘ผู้รับ’ มาตลอด แต่มันเริ่มเป็นการบีบคั้นที่แสนปวดร้าวอย่างยากจะทนทานเมื่อแม่ของเขาเพิ่งเกษียณอายุ
  • กระนั้น วันหนึ่ง อัครก็เข้าใจได้ว่าเขาเผชิญความทุกข์อย่างเดียวกันกับแม่ของเขา อัครโอเคเฉพาะกับการเป็นผู้ให้ ในการไดอะล็อกสำรวจโลกภายใน อัครโดนย้อนถามเป็นฟ้าผ่าที่กลางใจว่า “คุณไม่รู้จักอนุญาตให้คนอื่นเป็น ผู้ให้บ้างหรือ?”
  • อัครตระหนักว่าเขามีนิสัยเหมือนแม่ เขาเริ่มสังเกตและเห็นตัวเองเพิ่มเติมอีกว่า เวลาที่เขาดูแลเด็กหรือดูแลให้อาหารแมวโดยมีเจตนาส่งความรักออกไปด้วยนั้น เขารู้สึกถึงความรักมากกว่าตอนได้รับการดูแล อีกทั้งเขาเข้าใจลึกขึ้นอีกว่าเขาได้อาหารใจจากการเป็นผู้ให้ เช่น ความรู้สึกว่าได้ทำประโยชน์ เขามีค่า ชีวิตของเขามีความหมาย และรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เขาจึงควรจะอนุญาตให้แม่ผู้เกษียณของเขาได้รู้สึกมีค่าเช่นนั้นด้วย

การเป็นผู้ให้มิได้มีแต่ด้านที่ดูดีเท่านั้น แต่มีด้านมืดด้วย ทั้งนี้ ดร.โศบา ศรีนิวาสัน (Shoba Sreenivasan) และดร.ลินดา อี. เวียนเบอร์เกอร์ (Linda E. Weinberger) อาจารย์ด้านจิตวิทยาทั้งสองแห่งมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียใต้ (USC) ได้แยกแยะด้านมืดของผู้ให้ไว้สามประเภท คือ

1 การให้ที่มีลักษณะที่ต้องการผลตอบแทน

2 การให้ที่มีรากมาจากการนับถือตนเองต่ำ

และ 3 การให้ที่แสดงความเสียสละเพื่อให้ผู้อื่นมาชื่นชม

นอกจากนี้ ก็ยังมีการให้จากเหตุผลอื่นๆ ซึ่งแม้จะดูดำมืดน้อยกว่าการให้ 3 ประเภทดังกล่าว แต่ก็สามารถทำให้คนที่เป็น ‘ผู้รับ’ ดู อ่อนแอกว่า หรือ ต่ำต้อยกว่า เช่นกัน อีกทั้งอาจทำให้คนที่จำเป็นต้องรับรู้สึกแย่ และสามารถกัดกร่อนสัมพันธ์ได้ทั้งสิ้น ดังตัวอย่างที่จะเห็นได้จากความสัมพันธ์กับอัครและแม่ของเขา

อัคร เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบเจ็ดปี เขามีพี่สาวหนึ่งคน ในอดีตนั้น ทั้งสองอยู่ร่วมกับแม่เป็นสามคนในบ้านซึ่งโดยรวมก็ถือว่าอบอุ่น กระนั้น นับแต่เป็นวัยรุ่น เขาเริ่มมีความขัดแย้งกับแม่มากขึ้น แต่อาศัยว่าเขาต้องไปเรียนที่ไกลๆ และจากนั้นก็เลือกทำงานที่ไกลบ้านจึงเลี่ยงปัญหาได้ด้วยการไม่อยู่บ้านมากนัก เขาได้ทำงานที่ชอบ มีเพื่อนฝูงที่สนทนากันเข้าใจและเกื้อกูลกัน เขามีความรื่นรมย์ในชีวิตอยู่พอสมควร ทว่า ทุกครั้งที่เขากลับบ้านด้วยความรู้สึกว่าอยากกลับไปช่วยพี่สาวดูแลแม่ ความสัมพันธ์กับแม่กลับทำให้เขารู้สึกติดขัดอยู่เรื่อยมา

อัครมีความสัมพันธ์แปลกๆ กับแม่ของเขามาเป็นเวลานานแล้ว นั่นเป็นต้นตอของความขัดแย้งเรื้อรังที่เกริ่นไว้ เพราะแม่ของอัครชินกับการเป็น ‘ผู้ให้’ อยู่ตลอด แม่รู้สึกอึดอัดหากต้องเป็นผู้รับ ซึ่งอัครก็พยายามเข้าใจว่าเขาและพี่สาวเป็นเหมือนชีวิตของแม่ อีกทั้งแม่เติบโตมาในบ้านของคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ของตัวเอง จึงถูกบ่มเพาะให้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นและดูแลคนอื่นมาตลอด

และยังมีเรื่องอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงขับเช่นนี้ แม่ได้ดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ทำให้อัครต้องเล่นบท ‘ผู้รับ’ อยู่เสมอ ความทรงจำอันเด่นชัดของอัครก็คือ เมื่อเขาปฏิเสธความช่วยเหลือจากแม่ หลายครั้งแม่จะหงุดหงิดและนำไปสู่อารมณ์ขัดแย้ง  

ยิ่งช่วงที่แม่เพิ่งเกษียณอายุอันเป็นช่วงที่พี่สาวเขาย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว แม่ของอัครไม่ค่อยมีอะไรทำและอยากมีส่วนร่วมกับแทบทุกกิจกรรมต่างๆ ของอัคร โดยแม่ต้องทำตัวเป็น ‘ผู้ให้’ ด้วย บางครั้งอัครรู้สึกถึงขนาดว่าตนเป็นเหยื่อที่ต้องแบกรับบทบาท ‘ผู้รับ’ ไว้เลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ อัครจำยอมรับบท ‘ผู้รับ’ นับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เขาต้องโดนหยามเหยียดจากญาติห่างไกลและคนแปลกหน้ามากมายที่เข้าใจผิดว่าอัครเป็นผู้ขอร้องให้แม่ช่วยทำอะไรต่างๆ ให้ แทนที่อัครจะทำเอง แม้แต่พี่สาวก็เคยแซวเล่นว่าอัครถูกพะเน้าพะนอทำให้อัครรู้สึกไม่ดี หนำซ้ำแฟนสาวของอัครก็มีท่าทีบางอย่างเมื่อเห็นแม่ของอัครต้องการทำสิ่งต่างๆ ให้เขาถึงเพียงนั้น การที่แม่พยายามมาให้ความช่วยเหลือและดูแลอัครในสิ่งที่เขาทำได้อยู่แล้วนั้นจึงเป็นเรื่องฝืนใจอัครอย่างมาก เพราะแท้จริงแล้วเขาเองก็ให้คุณค่าที่ตัวเองได้เป็นที่พึ่งแก่คนมากมายและมีความเป็น ‘ผู้ให้’ ไม่แพ้แม่เลย

กระนั้น มาวันหนึ่งอัครก็เข้าใจว่าเขาเผชิญความทุกข์อย่างเดียวกันกับแม่

อัครชอบที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่ใช่แค่อึดอัดกับแม่ที่ชอบแย่งเป็นผู้ให้ เขาอึดอัดเมื่อต้องทวงเงินหรือบริการจากคนอื่นด้วย อย่าว่าแต่รู้สึกไม่ค่อยปลอดโปร่งในการทวงเงินที่สมควรได้จากลูกค้าที่กะชักดาบเลย ขนาดลูกค้าเสนอเงินเพิ่มให้เพราะพอใจในงานที่เขาทำให้ เขายังต้องคิดอยู่พักใหญ่กว่าจะตอบรับ

ในการไดอะล็อกสำรวจโลกภายใน อัครโดนย้อนถามเป็นฟ้าผ่าที่กลางใจว่า “คุณไม่รู้จักอนุญาตให้คนอื่นเป็นผู้ให้บ้างหรือ?”

ฉับพลันนั้นอัครก็ตระหนักว่าเขามีนิสัยเหมือนแม่เป๊ะ ทั้งเขาและแม่อยากแต่จะเป็นผู้ให้กระทั่งไม่รู้จักเป็นผู้รับบ้างเลย หากอัครต้องคิดอยู่นานกว่าจะทวงเงินหรือยอมรับเงินที่เขาสมควรได้รับจากลูกค้า แม่เขาก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่แพ้เขาในยามที่ต้องเป็น ‘ผู้รับ’ หากแม่เขารู้วิธีผ่อนปรนจิตใจแล้วอนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง แม่เขาก็คงทำไปนานแล้ว

อัครเริ่มสังเกตและเห็นตัวเองเพิ่มเติมอีกว่าเวลาที่เขาดูแลเด็กหรือดูแลให้อาหารแมวโดยมีเจตนาส่งความรักออกไปด้วยนั้น เขารู้สึกถึงความรักมากกว่าตอนได้รับการดูแล อีกทั้งเขาเข้าใจลึกขึ้นอีกว่าการได้เป็นผู้ให้นั้นให้อาหารใจอันจำเป็น เช่น ความรู้สึกว่าเราได้ทำประโยชน์ เรามีค่า ชีวิตของเรามีความหมาย และรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เขาจึงควรจะอนุญาตให้แม่ผู้เกษียณของเขาได้รู้สึกมีค่าเช่นนั้น

นับแต่นั้น อัครตระหนักถึง “การให้” โดย “อนุญาตให้คนอื่นเป็นผู้ให้” โดยเฉพาะกับแม่ของเขา แม้ว่าในหลายสถานการณ์ เขาต้องสวมบทบาทผู้รับและก็จะมีคนตัดสินเขาเหมือนเช่นเคย แต่อัครต้องเข้าใจเจตนาภายในของเขาเอง ซึ่งสำคัญกว่าความรับรู้ฉาบฉวยของคนอื่น นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ของอัครและลูกค้าก็ง่ายขึ้นด้วย เมื่ออัครเลิกทำตัวเป็นเหยื่อหรือพ่อพระ ลูกค้าของเขาก็ย่อมไม่ต้องเล่นบทคนโกงหรือผู้ได้รับความเมตตาจากอัครผู้แสนดี  

อัครนึกถึงคำกล่าวที่ว่าบางทีคนอื่นก็ไม่ได้พูดคำว่ารักเราออกมาตรงๆ แต่มันผ่านประโยคที่ว่า “ให้ไปรับไหม? กินข้าวหรือยัง? ทำกับข้าวไว้ให้นะ” แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้ความสัมพันธ์ของอัครกับแม่ของเขาคลี่คลายขึ้นอีกหน่อยแล้ว เมื่ออัครอนุญาตให้ตัวเองเป็นผู้รับด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น พฤติกรรมของแม่เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่สมดุลขึ้นเช่นกัน ทุกวันนี้แม่ของอัครก็รู้จักเป็น ‘ผู้รับ’ การดูแลบ้างแล้ว ซึ่งแท้จริงก็คือ การให้โดยอนุญาตให้อัครเป็นผู้ให้ด้วย นั่นเอง

อ้างอิง
The Dark Side of Being a Giver

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)การเติบโตภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

MACKCHA

ชรารัตติ์ สาระอาภรณ์ (mackcha) Youtuber และ ศิลปินอิสระ ผู้มีความสนใจในธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม และมักจะสร้างสรรค์ผลงานจากสิ่งเหล่านั้น

Related Posts

  • Myth/Life/CrisisMovie
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(7): หย่านมแบบลูกนำ กับมื้ออาหารที่ไม่ต้องคอยป้อน
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
11 September 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(7): หย่านมแบบลูกนำ กับมื้ออาหารที่ไม่ต้องคอยป้อน

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การหย่านมแบบลูกนำ (Baby-Led Weaning) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแทนที่จะป้อนอาหารกึ่งเหลว พ่อแม่จะเสิร์ฟสำรับอาหารของเจ้าตัวเล็กเป็นผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ปรุงสุกที่หั่นมาแบบพอดีคำ ให้เด็กน้อยได้ ‘สำรวจ’ อาหารหลากหลายรูปแบบ รับรู้รสสัมผัสที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการรับประทาน และหยุดเมื่อต้องการจะหยุด
  • การที่เด็กได้ใช้มือสัมผัสและพยายามคว้าจับเข้าปากช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ สร้างเสริมความมั่นใจในการเลือกอาหารด้วยตนเอง การศึกษายังพบว่าเด็กที่มีโอกาสรับประทานอาหารหลากหลายจะมีแนวโน้มเปิดรับอาหารชนิดใหม่ๆ ในอนาคต

หลังจังหวะชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง เผลอไม่ทันไรเด็กชายที่เคยผอมแห้งก็กลายเป็นเด็กสมบูรณ์ ชอบหยิบจับเอาทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าปาก สนุกกับการเล่นจ๊ะเอ๋ได้ครึ่งค่อนชั่วโมง แถมยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อถูกจั๊กกะจี้พุง ธารินทร์กลายเป็นหลานที่ปู่ยาตายายทั้งรักและหลง ส่วนตัวผมเองก็มีความสุขทุกวันที่ได้ตื่นมาพบหน้าลูกชาย

เราพาเจ้าตัวเล็กไปพบคุณหมอเพื่อรับวัคซีนตามตารางเมื่อครบ 6 เดือน หลังจากทั้งวัดทั้งชั่ง หลอกล่อให้เล่นของเล่นอยู่สักพัก คุณหมอก็สรุปว่าพัฒนาการเป็นไปตามวัยและถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเริ่มให้อาหารเสริมเพิ่มเติมจากนมแม่ โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็กที่สำคัญต่อการพัฒนาการแต่มีค่อนข้างน้อยในน้ำนมแม่

เมื่อได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เหล่าปู่ยาตายายก็พร้อมนำเสนอเมนูข้าวตุ๋นตับไก่เอย กล้วยบดเอย ไข่ต้มผสมน้ำนมแม่เอย และอีกสารพัดเมนูปั่นต้มบดตุ๋นเป็นอาหารกึ่งเหลวที่ต้องมีคนคอยป้อน แต่ครั้งนี้คุณแม่ไม่ยอมโดยยืนกรานว่าจะให้อาหารเสริมด้วยวิธีใหม่คือการหย่านมแบบลูกนำ (Baby-Led Weaning) ที่จะเสิร์ฟอาหารทุกอย่างแบบพอดีคำ แล้วเปิดโอกาสให้เจ้าตัวเล็กเลือกเองว่าต้องการรับประทานอาหารชิ้นใด

“จะไม่ติดคอแน่นะ เค้าจะได้สารอาหารเพียงพอหรือเปล่า” ญาติผู้ใหญ่แสดงความกังวล แต่เมื่อได้เห็นฝีไม้ลายมือเจ้าตัวน้อยที่หยิบอาหารขึ้นมาแทะอย่างมีความสุขหลังเริ่มได้ประมาณสองสัปดาห์ บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็นับว่าไม่ง่าย เพราะการหย่านมแบบลูกนำมีรายละเอียดค่อนข้างมาก รวมถึงมีข้อควรระวังที่พ่อแม่ต้องรับทราบและฝึกฝนก่อนเริ่มกระบวนการ

พลิกตำรา ‘หย่านมแบบลูกนำ’

คำว่าการหย่านมแบบลูกนำเริ่มใช้เป็นครั้งแรกโดยจิลล์ แรปลีย์ (Gill Rapley) นักวิจัยด้านพัฒนาการและอาหารของวัยทารก เป็นวิธีทางเลือกของการป้อนอาหารกึ่งเหลวโดยเป็นแนวคิดค่อนข้างใหม่ที่มีอายุเพียงราว 15 ปีเท่านั้น วิธีดังกล่าวเป็นที่นิยมของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและนิวซีแลนด์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลกรวมถึงที่ไทยเองก็เริ่มมีการแปลตำราการหย่านมแบบลูกนำมาให้พ่อแม่รุ่นใหม่ได้ทดลองทำตาม

เป้าหมายของวิธีดังกล่าวคือมื้ออาหารที่ทานกันแบบพร้อมหน้าโดยไม่มีใครต้องคอยป้อนและถูกป้อน โดยสำรับอาหารของเจ้าตัวเล็กจะเป็นผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ปรุงสุกที่หั่นมาแบบพอดีคำ ให้เด็กน้อยได้ ‘สำรวจ’ อาหารหลากหลาย

รูปแบบ รับรู้รสสัมผัสที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการรับประทาน และหยุดเมื่อต้องการจะหยุดโดยไม่มีการบังคับเพื่อสร้างประสบการณ์มื้ออาหารที่มีความสุขสำหรับทุกคนในครอบครัว

การที่เด็กได้ใช้มือสัมผัสและพยายามคว้าจับเข้าปากยังช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ สร้างเสริมความมั่นใจในการเลือกอาหารด้วยตนเอง การศึกษายังพบว่าเด็กที่มีโอกาสรับประทานอาหารหลากหลายจะมีแนวโน้มเปิดรับอาหารชนิดใหม่ๆ ในอนาคต อีกประเด็นที่น่าสนใจแต่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมคือเด็กๆ ที่หยิบอาหารรับประทานเองจะไม่ทานอาหารเกินพอดีซึ่งเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่โรคอ้วน เพราะเขาหรือเธอสามารถตัดสินใจตั้งแต่เด็กว่าทานแค่ไหนคืออิ่ม

แต่ไม่ใช่ทารกทุกคนที่เหมาะกับมื้ออาหารที่หยิบขึ้นมารับประทานเอง โดยพ่อแม่ต้องพิจารณาจากพัฒนาการไม่ใช่อายุ โดยเด็กที่พร้อมจะต้องนั่งตรงได้ด้วยตัวเองและเริ่มหยิบจับของเข้าปากได้ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่อายุประมาณ 6 เดือน อีกทั้งพ่อแม่ยังต้องระมัดระวังเรื่องสารอาหารโดยเฉพาะธาตุเหล็ก เพราะช่วงสองเดือนแรกเจ้าตัวเล็กจะยังคงหยิบอาหารรับประทานได้ไม่มาก จึงต้องเฝ้าดูว่าลูกมีลักษณะขาดธาตุเหล็กหรือไม่

เตรียมสำรับ

เมื่อเราตั้งใจว่าจะเริ่มมื้ออาหารที่ลูกหยิบขึ้นมาทานเอง สิ่งแรกที่ผมทำไม่ใช่มุ่งหน้าไปซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือเปิดตำราทำอาหาร แต่คือการชมคลิปวีดีโอในยูทูปเรื่องการช่วยชีวิตเด็กหากมีสิ่งของติดคอซึ่งเป็นความเสี่ยงหนึ่งของวิธีหย่านมแบบให้ลูกนำ หลังจากชมคลิปเสร็จก็ต้องฝึกฝนกับตุ๊กตา พร้อมทั้งเตือนตัวเองว่าห้ามทิ้งให้ลูกนั่งอยู่คนเดียวระหว่างมื้ออาหารเด็ดขาด

เมื่อฝึกฝนการช่วยชีวิตเบื้องต้นจนมั่นใจ ขั้นตอนต่อไปก็คือการเตรียมสำหรับอาหารในแต่ละมื้อ โดยผู้เขียนในฐานะพ่อบ้านตื่นเช้ามีหน้าที่เข้าครัวเตรียมอาหารให้ลูกทุกวัน ซึ่งบอกตามตรงว่าไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมากนัก เพียงการตัดหั่นให้เป็นชิ้นพอที่มือน้อยๆ จะหยิบจับได้ถนัดโดยจะต้องไม่เล็กเพราะอาจเสี่ยงติดคอ แล้วนำไปนึ่งหรือต้มให้เด็กชายที่ยังไม่มีฟันน้ำนมสามารถเหงือกบดจนละเอียด

หากใครจินตนาการไม่ออกว่าต้องนุ่มแค่ไหน ก็ลองหยิบอาหารที่ทำเข้าปากแล้วใช้ลิ้นดุนอาหารกับเพดานเหงือก หากพอบดแหลกก็เป็นอันใช้ได้

อาหารที่เราเลือกมานำเสนอเจ้าตัวเล็กมีตั้งแต่แครอท แตงกวา ฟักทอง บร็อคโคลี่ อาโวคาโด แอปเปิล มะละกอ มันหวาน มันฝรั่ง พริกหยวก กล้วย ตับ หมูสับ อกไก่ ข้าวปั้น ไปจนถึงพาสต้าซอสมะเขือเทศที่ไม่ได้ปรุงรส จุดสำคัญคือการให้หนูน้อยลองทานทีละอย่างเพื่อสังเกตอาการแพ้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเติมอาหารชนิดใหม่ในภายหลัง

มื้อที่ไม่มีใครต้องคอยป้อน

แล้วก็ถึงเวลาที่ทั้งครอบครัวจะได้กินข้าวพร้อมหน้ากัน อุปกรณ์ที่ใช้มีไม่มาก เพียงเก้าอี้เด็กและผ้ารองพื้นกันเลอะเทอะ มื้อแรกของเจ้าตัวเล็กเป็นฟักทองนึ่งวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า คู่มือแนะนำว่าในวัยนี้ยังไม่ควรใช้อุปกรณ์อย่างจานชามเพราะเด็กน้อยอาจสนใจที่จะแทะเครื่องครัวมากกว่าของกิน

ผมและภรรยานั่งรับประทานอาหาร ขณะที่ธารินทร์มองแท่งฟักทองด้วยตากลมโต แล้วขยับมือน้อยๆ ไปขยุ้มจนแหลกเละคามือ ผมยิ้มแหะๆ ท่าทางฟักทองจะนุ่มเกินกว่าที่จะคว้าจับได้ แต่เด็กชายก็หยิบเนื้อเละๆ มาละเลงป้ายหน้าป้ายตาจนเปรอะเปื้อน บางครั้งคว้าเข้าปากเป็นชิ้น แต่ไม่นานก็ส่งเสียงไอค่อกแค่กแล้วคายออก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ฟักทองอาจเข้าปากไปไม่กี่โมเลกุลส่วนที่เหลือละเลงอยู่เต็มตัว หน้า เก้าอี้ และพื้น

นี่คือสภาพที่พ่อแม่ต้องทำใจก่อนเริ่มหย่านมแบบลูกนำ การสำลักเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้สำหรับการกลืนอาหาร ส่วนเรื่องปริมาณอาหารที่รับประทานได้น้อยก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะมื้อหลักของเจ้าตัวเล็กก็ยังเป็นน้ำนมแม่ แต่เรื่องความเลอะก็ต้องอดทนไปอีกหลายเดือนกว่าลูกจะหยิบจับอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว

แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือความสุขที่ได้กินข้าวอย่างพร้อมหน้า และไม่มีใครต้องถูกขืนใจให้กินอาหาร

เด็กชายมีพัฒนาการในการหยิบจับอาหารอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผมที่เรียนรู้ว่าต้องปรุงให้นิ่มแค่ไหนจึงจะเหมาะสม การได้เห็นเด็กน้อยกินแอปเปิลรสเปรี้ยวแล้วทำหน้าหยี ชิมมะละกอหวานหอมแล้วทำตาโต หยิบอาโวคาโดของโปรดเป็นอย่างแรกทุกมื้อ หรือกินพาสต้าซอสมะเขือเทศเหมือนกันทั้งพ่อแม่ลูก กลายเป็นความทรงจำดีๆ บนโต๊ะอาหารที่ไม่อยากจะแบ่งปันให้ใคร และหวังลึกๆ ว่าเราจะได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันอีกนานแสนนาน

Tags:

ปฐมวัยEFบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อนการหย่านมแบบลูกนำ(Baby-Led Weaning)พัฒนาการ

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social IssueUnique Teacher
    การศึกษาไม่ควรมีคำว่า ‘ชายขอบ’ พัฒนาเด็กปฐมวัยในพื้นที่ชายแดนด้วย ICAP: ครูมื่อ-ประทิม สายชลคีรี 

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel