Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2020

บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ
Voice of New GenSocial Issues
8 July 2020

บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

เรื่อง The Potential

  • เรื่องราวของ ‘บ้านสวนกง’ หมู่บ้านเล็กๆ ติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จังหวัดสงขลา กับการต่อสู้ของชาวบ้านในการทำประมงพื้นบ้านและความยั่งยืนทางอาชีพและวิถีชีวิต เขียนโดยกลุ่มรักเด็กบ้านสวนกง 
  • เล่าตั้งแต่การต่อสู้ของชาวบ้านในปี 2536 ถึง ปัจจุบัน, วิถีชีวิตคนหาและฟังเสียงปลา ‘ดูหลำ’, การทำ ‘อูยัม’ หรือบ้านปลา), การทำปลาเส้น (ต่อยอดการทำปลาเค็ม), ภาพเรือเกยหาด ที่เป็นทั้งการจอดเพื่อพักผ่อนและกีฬา, คนเดินเต่า ภูมิปัญญาชุมชนสมัยก่อนเกี่ยวกับฤดูการวางไข่ของเต่า และอื่นๆ 
  • “ชาวบ้านได้เริ่มปกป้องตั้งแต่ปี 2536 – 2560 และชาวบ้านจะใช้ทะเลแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตอาหารของคนสงขลาและอาเซียน บ้านสวนกงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมาเป็นเวลา 24 ปี ทะเล (…) จะนะเปรียบเสมือนตู้ ATM หน้าบ้าน เบิกถอนเมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีวันหมด และทะเลก็ไม่เคยทอดทิ้งคนในชุมชน”
เรื่อง: กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง
บรรณาธิการต้นฉบับ: อภิศักดิ์ ทัศนี

12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้รู้จักผู้หญิงที่เข้มแข็งและกล้าหาญอีกคนในชื่อ ‘ลูกสาวแห่งจะนะ’ หรือ ไครีย๊ะห์​ ระหมันยะ อายุ 17 ปี ปักหลักที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา เพื่อขอยื่นหนังสือถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด คัดค้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ และขอให้ยุติเวทีรับฟังความเห็นในโครงการในวันที่​ 14-20​ พฤษภาคม 2563 ความมุ่งมั่นของเธอในวันนั้นได้รับเเรงสนับสนุนจากสังคม และแรงนั้นมากพอที่จะเลื่อนเวทีรับฟังความคิดเห็นออกไป วันนี้เธอเดินทางขึ้นมาเมืองกรุง เพื่อส่งเสียงเรียกร้องแทนชาวบ้านอีกครั้ง เพื่อขอยุติเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 นี้

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สืบเนื่องจากวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา หลังคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณก้อนแรกจำนวน 18,680 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการพัฒนาพื้นที่เป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้านในพื้นที่ตลอดมาด้วยเหตุผลต้องการปกป้องแหล่งผลิตอาหารทางทะเลและปัญหาสิ่งแวดล้อม ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ชาวเน็ตได้ร่วมกิจกรรมคัดค้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวทางโซเชียลมีเดียพร้อมติดแฮชแทก #SAVECHANA

ไครียะห์ ในฐานะพลเมืองผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย บ้านเกิด อาชีพ และครอบครัวอยู่ที่นั่น เธอนำข้อมูลทั้งหมดที่มีในตัวเอง ตั้งใจสื่อสารให้ถึงคณะรัฐมนตรี 

หลายคนตั้งคำถามว่าเธอเป็นใคร ออกมาทำไม ช่วงเวลาและอายุเท่านี้ เธอควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นการจัดการของผู้ใหญ่ แต่เธอไม่ได้คิดเช่นนั้น มากกว่าชีวิตและความเป็นอยู่ นี่คือพื้นที่เธอทำการศึกษา เธอและเพื่อน – กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง ทำงานศึกษาอย่างเกือบเต็มเวลากับเรื่องนี้ บทความชิ้นนี้ คืองานวิจัยและเขียนโดย กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง ดูแลต้นฉบับและการทำงานโดย อภิศักดิ์ ทัศนี ที่จะบอกเล่าถึงชีวิต ความเป็นอยู่ ระบบนิเวศน์ ของบ้านสวนกง เหตุผลและหลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องอยู่ตรงนั้น

(ประวัติ)บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมาเป็นเวลา 24 ปี

บ้านสวนกงตั้งอยู่ ณ หมู่ 11 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทย และอยู่ระหว่าง ต.นาทับและต.ตลิ่งชั่น เป็นหมู่บ้านที่มีทะเลที่อุดมสมบูรณ์เต็มเปียมไปด้วยสัตว์น้ำในทะเลกว่า 144 ชนิด และมีเนินทราย 6,000 ปี ที่นักวิชาการได้มาสำรวจ ก็ว่ากว่า 7,000 ปี หมู่บ้านแห่งนี้อยู่กันมาทั้งหมด 4 ชั่วอายุคน เริ่มแรกชาวจีนมาอาศัยอยู่ก่อน บ้านสวนกงมาจากคนจีนเรียกพ่อของพ่อเป็นอาก๋อง จึงมีชื่อเรียกเป็นสวนกงมาจนถึงปัจจุบันนี้ 

แต่ก่อนคนส่วนใหญ่จะทำนาและออกประมงเป็นบางครั้ง หากชาวบ้านมีประมงก็จะเอาปลาที่ได้มาไปทำปุ๋ยเพื่อเอาไปทำนา อยู่ๆ ชาวบ้านเห็นว่าการทำประมงได้ดีกว่าการทำนา ชาวบ้านจึงเลือกทำประมง 100% แทนนามาจนถึงปัจจุบัน 

แต่ก่อนชาวบ้านออกทะเลไม่มีเครื่องมือใดๆ ที่ทันสมัย ชาวบ้านจึงเลือกใช้ภูมิปัญญาแทนเครื่องมือต่างๆ  พอถึงยุคที่ทันสมัย ก็เริ่มมีเรืออวนลากอวนรุนมาบุกรุกในเขตรัศมี 3,000 เมตร จนกระทั่งทรัพยากรและหน้าดินเสียหายจนไม่เหลือทรัพยากรให้ชาวบ้านได้ทำมาหากิน ชาวบ้านต้องตัดสินใจออกไปหากินนอกบ้าน (ประมงนอกบ้าน) แต่ด้วยความลำบากในการออกไปหากินนอกบ้าน เนื่องจากต้องแบ่งเป็น 2 หม้อข้าว หมายถึง คนที่ทำประมงจะต้องออกไปนอกบ้าน ได้กลับบ้านสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง (เพื่อมาประกอบพิธีละหมาดวันศุกร์) และคนที่อยู่บ้านคือภรรยาและลูกต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกเอง 

จากการออกไปหากินนอกบ้าน ชาวบ้านบอกว่าได้ดีก็จริงแต่มันไม่ไหว และนอกจากถูกแบ่งเป็นสองหม้อ ยังโดนเพื่อนบ้านด่าว่า ‘ทะเลบ้านคุณก็มีทำไมไม่ไปประมงที่บ้านคุณ’ จากนั้นชาวบ้านเลยคิดวิธีการทำอูยัม (การสร้างบ้านปลา) ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 และทำอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี จนกระทั่งทะเลกลับมาฟื้นฟูและอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงกลับมาทำประมงใกล้บ้านไม่ต้องออกไปไหนไกลบ้านอีกเลย

พอมาอีกช่วงหนึ่ง ทหารมาซ้อมยิงปืน ทำให้บ้านปลาที่สร้างพังและทำให้สัตว์ปลาหนีหายไป ชาวบ้านได้ไปเจรจา ว่าการซ้อมปืนเท่ากับเป็นการทุบหม้อข้าวของชาวบ้าน บ้านบ้านเจรจาสำเร็จ ทหารก็ได้ไปซ้อมยิงปืนที่อื่น

อยู่ไปอยู่มามีนายทุนจากสตูลมาทำโป๊ะ ซึ่งเป็นเครื่องมือผิดกฎหมายในตอนนั้น จึงทำให้ชาวบ้านไม่ยอม เลยมีการส่งหนังสือเพื่อเจรจากับนายทุนสตูล แต่นายทุนไม่กลัวเพราะอ้างว่าตนมีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แต่ชาวบ้านเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจะไปสู้อะไรเขาได้ ชาวบ้านก็เลยคิดใช้วิธีสู้ด้วยการตั้งกลุ่มสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้ ชาวบ้านแจ้งกรมประมงหลังจากแจ้งกรมประมง  2-7 วัน กรมประมงก็มารื้อโป๊ะออก 

ต่อมามีเรือลากสายเคเบิลเป็นเรือใหญ่ขนาดตึก 3-4 ชั้น ชาวบ้านได้ออกไปขับไล่ แต่เขาส่งนักการเมืองมาเจรจาต่อรองแต่ไม่เห็นผล เพราะชาวบ้านบอกว่าทะเลแห่งนี้เป็นปากท้องของชาวบ้าน และเขาได้รับปากกับชาวบ้านว่าจะไปทำอีกแล้ว แต่พอถึงช่วงฤดูมรสุมเขาก็ไปแอบทำแต่ชาวบ้านทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนดู และต่อมามีทหารมาขุดเนินทราย 6,000 ปี เพื่อไปทำบังเกอร์ แต่ชาวบ้านไปเจรจาให้เหตุผลว่า เนินทรายแห่งนี้เป็นเนินทรายธรรมชาติ ทหารเชื่อฟังเลยตัดสินใจที่จะไม่ขุดต่อ

ปัจจุบันล่าสุดชาวบ้านโดนรังแกเนื่องจากมีบริษัทมาขุดเจาะดินเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ชาวบ้านได้ออกไปขับไล่เช่นเคย และมีผลสำเร็จ ในขณะที่ต่อสู้ ชาวบ้านได้ปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติเป็นระยะๆ และชาวบ้านจะสร้างบ้านปลาเป็นระยะๆ และพร้อมดูแลมิให้เครื่องมือผิดกฎหมายเข้ามา

ชาวบ้านได้เริ่มปกป้องตั้งแต่ปี 2536 – 2560 และชาวบ้านจะใช้ทะเลแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตอาหารของคนสงขลาและอาเซียน บ้านสวนกงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมาเป็นเวลา 24 ปี 

ดูหลำ: คนฟังเสียงปลา

ดูหลำ หรือ คนฟังเสียงปลา การดำน้ำฟังเสียงปลาภูมิปัญญาของชาวประมง ซึ่งไม่ธรรมดาเลย แม้เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพชาวประมง  แต่ชาวประมงถือว่าเป็นการมีเกียรติสำหรับเขา มีน้อยคนที่จะสามารถฟังเสียงปลาได้ แต่น่าเสียดายที่ดูหลำกำลังจะสูญหายไปจากท้องถิ่น 

คุณรุ่งเรือง  ระหมันยะ หรือ บังนี  ดูหลำแห่งบ้านสวนกง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา บังนีได้เล่าถึงเรื่องราวของการเป็นดูหลำให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่า การดำปลาต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง บวกกับการเอาใจใส่ในการถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ดังนั้นต้องค่อยๆ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้เรื่องดูหลำไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องสี่เหลียม จึงต้องใช่ทะเลเป็นห้องเรียน หากจะทำให้ ได้ยินเสียงปลาดีจะต้องดูน้ำตั้งแต่เช่ามืด ประมง ตี 4 ตี 5 เพราะช่วงนี้ปลาจะออกเสียงดีกว่าช่วงอื่น 

เพราะว่าตั้งแต่ช่วงค่ำ ปลาจะร้องหลายตัว จะร้องออกเสียงพร้อมกันหมด ทำให้รู้ว่ามีปลา แต่จับจุดไม่ถูก ปลาจะออกเสียงพร้อมกันหมด พอค่อยๆ จะสว่างมันจะค่อยๆ เงียบเสียงจนกระทั่งเหลือตัวสองตัว แต่ปลาก็ยังร่วมกันเป็นฝูง ซึ่งการรวมหรือไม่รวมฝูงปลานี้ขึ้นอยู่กับทิศทางลมด้วย 

ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นลมพัดอยู่(ลมตะวันตก) ปลาก็จะร้อง แต่ปลาจะเงียบไปเรื่อยๆ จะทำได้จนทั่งถึงตอนเที่ยงก็จะเป็นลมนอก(ลมตะวันออก) ปลาก็จะแตกฝูงกันออกไป เวียนอยู่แบบนี่ตลอดปกติแล้ว ปลาจะร้องเสียงไม่ดังมาก จะร้องเหมือนหุงข้าวแล้วข้าวกำลังจะเดือด บางทีเสียงดัง ‘ปอกแป๊ก’ แต่ปลาแต่ละชนิดจะดังไม่เหมือนกัน แต่คนที่ดำจะบอกได้ว่าเสียงที่ฟังจะเป็นเสียงปลาอะไร มีปลาอะไรบ้าง รู้แม้กระทั่งปลาที่ไม่ออกเสียง เช่น ปลาทู แต่ดูหลำสามารถเดาได้ เดาได้สองทาง คือ ไม่ใช่ปลาทู หรือ ปลาโคก 

ดูหลำจะใช้เรียกปลาที่ไม่มีเสียง ว่า “ปลาบา” คือปลาที่มาพลอย(พึ่งพา/อาศัย)อยู่ในฝูงปลาที่มีเสียง ปลาเป็นพันตัวจะขยับพร้อมกัน หันหัวพร้อมกัน ได้ยินเสียง ‘วูม’ จะรู้ได้เลยว่าปลาอยู่ตรงนั้น เมื่อรู้ว่าปลาอยู่ตรงไหน ดูหลำต้องดำปลา การดำปลาต้อ มีเรือสองลำขึ้นไปลำเดียวได้ แต่จะได้ปลาน้อยเพราะปลาจะเดิน ทำให้ล้อมไม่ได้ ดังนั้นเวลาล้อมต้องใช้เรือ 2-5 ลำ แต่ลำเดียวจะเอาไม่อยู่ บางทีได้ยินเสียงปลาอยู่ตัวเดียวเท่านั้น แต่พอขึ้นมากลับได้ปลาเป็น 400-500 กิโลกรัม หรืออาจถึง 1,000 กิโลกรัมเลยหากว่าใช้เรือ 4-5 ลำ 

คนทำปลานั้นจะมีอุปกรณ์ บางคนใช้แกลลอน 5 ลิตร แล้วก็ว่ายน้ำไป บางคนก็ใช้เรือลำเล็กที่ทำกับโฟม การส่งสัญญาณระหว่างคนที่อยู่ในน้ำเพื่อฟังเสียงปลากับคนที่อยู่บนเรือ คนดำน้ำจะสาดน้ำเพื่อแสดงว่าให้เรือวาง คือ เรือที่อยู่กันเป็นวงกลม คนละด้านกัน 2 ลำก็ 2 ด้าน ถ้า 3 ลำก็ 3 ด้าน แล้วแต่จำนวนเรือ เมื่อคนสาดน้ำ หมายความว่าให้วางอวนได้เลย หากปลาเดินเร็วก็จะสาดน้ำเร็ว พอติดเครื่องแล้วเสียงเรือมันก็จะดัง

เมื่อเสียงเรือดัง ปลาก็จะเดิน พอเดินพร้อมกันปลาก็จะงง ทิศเหนือก็ดัง ทิศใต้ก็ดัง ปลาจะอยู่ที่เดียว ว่ายน้ำกันอยู่ตรงนั้น ซึ่งการวางเรอพร้อมกัน 2 ลำไปจะเร็ว จะปิดปลาแน่นอน การลงดำแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาไม่นาน ดำแค่พอให้รู้ว่าปลาอยู่ทิศไหน ก็ดำตามต่อไปเรื่อยๆ ลงไปแค่พอจมหูไม่ต้องลึก ดำพอได้ยินเสียง เพราะในทะเลจะเสียงดังกว่าบนฝั่ง 3-4 เท่า อยู่เป็นกิโลเมตร ก็ยังได้ยินและใช้เวลาในการจับจุด ก็ไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ก็ปลาสองซี่ เคาะดังๆปลาก็จะวิ่ง เคาะลำละ 2-3 ปลาก็จะวิ่งหมด

คุณรุ่งเรือง ระหมันยะ หรือบังนี ทิ้งท้ายอย่างภาคภูมิใจ ว่า “คุณค่าของดูหลำนี่ ไม่เพียงแต่เป็นการทำงานที่สร้างรายได้ แต่เป็นการทำงานที่มีเกียรติ “เกียรติ” จากวันเวลาที่ได้สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น การลองผิดลองถูก สะสมประสบการณ์กันมาจนเกิดเป็นองค์ความรู้ ไม่ใช่แค่การฟังเสียงปลาหากรวมถึงการสังเกต การจดจำ และการเรียนรู้จากธรรมชาติ หวังว่าจะมีผู้สนใจ สืบทอดภูมิปัญญานี้ต่อไปนี้ เพื่อไม่ให้ดูหลำกลายเป็นเพียงภูมิปัญญาในความทรงจำของบ้านสวน

อูยัม (การสร้างบ้านปลา) 

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ชาวประมงพื้นบ้านในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ประสบปัญหา ความเสื่อมโทรม และการลดลงของทรัพยากรสัตว์น้ำ อันเนื่องมาจากปัญหาเครื่องมือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ของนายทุนและนักการเมือง เช่น อวนลากอวนรุน ขนาดใหญ่ เรือปั่นไฟปลากระตัก และโป๊ะของนายทุนที่มาจากจังหวัดสตูล เข้ามารุกล้ำพื้นที่หากินของชาวประมงพื้นบ้านของ อำเภอจะนะ ให้เกิดปัญหาตามมามากมาย รวมทั้งผลกระทบต่อชุมชนและครอบครัวด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก 

ทำให้ชาวบ้านที่สวนกง อำเภอจะนะต้องออกไปหากินนอกบ้าน โดนเพื่อนด่า ว่า “ทะเลบ้านตัวเองมี ทำไมต้องออกมาหากินบ้านเพื่อน” จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้เห็นทางมะพร้าวลอยอยู่ ซึ่งมีปลาอยู่ด้วย เขาก็ได้คิดว่าเอาทางมะพร้าวสร้างเป็นบ้านปลา ซึ่งต้องอาศัยไม้ไผ่กับทางมะพร้าว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางธรรมชาติ เพื่อหลอกให้ปลามาเล่น มาอาศัย เพื่อที่จะได้จับปลา 

การสร้างบ้านปลาเกิดมานานรุ่นสู่รุ่น เป็นภูมิปัญญา การสร้างบ้านปลาทำให้ปลาทั้งเล็กใหญ่มาอาศัยพึ่งพาได้ อูยัมชนิดทางมะพร้าวส่วนใหญ่จะได้ปลากระบอก ปลาซา เป็นต้น ส่วนอูยัมชนิดไม้ไผ่ได้ปลา เก๋า อินทรีย์ ปลาหมึก และอื่นๆ เป็นต้น 

การที่เขาจะตั้งจุดว่าจะตั้งอูยัมตรงไหนดูจาก มีฝูงปลาขึ้นมาเป็นฝูง เช่น ปลาลัง ปลาทู หากมีปลาเล็กก็ย่อมมีปลาใหญ่ หากตรงไหนที่มีทั้งโลมาและเต่าตรงนั้นก็มีลูกปลามากเช่นเดียวกัน เพระโลมาจะกินสัตว์เล็ก เขาก็ได้บอกอีกว่าการทำอูยัมจะได้อยู่ใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องออกจากบ้านไปไกลๆ เหมือนแต่ก่อนเพราะบ้านสวนกง อำเภอ จะนะ บ้านของเขาเป็นทะเลที่อุดมสมบูรณ์ 

ชาวบ้านได้บอกเทคนิคที่จะทำอูยัม คือ การดูสถานที่ที่เหมาะสม หลังจากนั้นก็ทิ้งไม้ไผ่ลงน้ำแล้วเอาเชือกผูกลูกหินกับไม้ไผ่แล้วก็ทิ้งลูกหินลงไปในน้ำ ส่วนแบบทามะพร้าว คือ เอากะลาผูกกับทางมะพร้าวและทิ้งกะลาลงไปในน้ำและหลังจากนั้นทรายจะดูดตามธรรมชาติของมันเอง และนอกจากนี้ยังเป็นงานที่สะดวก คือ ตั้งอูยัมเวลาใดก็ได้ เก็บเวลาใดก็ได้ เป็นอาชีพที่อิสระ การจับจุดเพื่อความจำเราต้องอาศัยทุ่นสีแดงขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ระยะ เวลาในการใช้ประโยชน์ คือ ตั้งวันนี้จะได้พรุ่งนี้ อายุการใช้งานของอูยัมคือ ปี/ปี มีรายได้เฉลี่ยวันละ 3,000 บาท อูยัมจะตั้งได้เฉพาะทุกที่ที่มีทะเลที่อุดมสมบูรณ์

การทำปลาเส้น

ทะเลจะนะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำมากมายนาๆ ชนิด มีทั้งปลาเล็กและปลาใหญ่ แต่มีปลาชนิดหนึ่งที่เป็นตัวเล็ก เหมาะแก่การทำปลาเส้นแดดเดียว การทำปลาเส้นมีมากมายหลายชนิด เช่น ปลาเส้นแบบผสมง่า แบบเค็ม ซึ่งเป็นการต่อยอดในการทำปลาเค็มแบบธรรมดาทั่วไป คือ การนำมาแปรรูป ปลาที่มีรสนิยมส่วนใหญ่ คือ ปลาม้าว ปลาบาง ปลาโคก ปลาส่วนใหญ่ที่เอามาทำปลาเส้นเอามาจากทะเลบ้านสวนกง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ปลาเส้นสามารถทำได้ทุกฤดู ได้ตลอดปี ยกเว้นฤดูฝนเพราะการที่จะทำปลาเส้นต้องแห้งมาก ดังนั้นจึงต้องอาศัยแดดมากที่จะตากให้แห้ง ปลาที่ซื้อมาลงทุนไป กิโลกรัมละ 10-15บาท แต่หากทำสำเร็จรูปแล้วกิโลกรัมละ 300 บาท ราคาแตกต่างกันสิ้นเชิง 

ทะเลจะนะเปรียบเสมือนตู้ ATM หน้าบ้าน สามารถเบิกถอนได้เมื่อไหร่ก็ได้ล่ะ ไม่มีวันหมด และทะเลก็ไม่เคยทอดทิ้งคนในชุมชน 

การทำปลาเส้นทำได้ด้วยการนำปลามาขอดเกล็ดแล้วผ่าเอาไส้ออก เอาไปล้างน้ำ 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็แช่น้ำเกลือประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยการใส่ตะกร้าแล้วราดน้ำผ่าน หลังจากนั้นก็นำไปตากให้แห้งภายในแดดเดียว 

วิธีการทำปลาเส้นทำเหมือนทำปลาเค็มทุกขั้นตอน จะแตกต่างกันตรงที่เมื่อปลาแห้งสนิท เอาตัดเป็นเส้นๆ คล้ายๆ ปลาฟิชโช ซึ่งก่อนที่จะทำปลาเส้นต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม นั่นก็คือ มีด เขียง ถาด กะละมัง น้ำสะอาดและเกลือ

การทำปลาเส้นไม่เป็นเพียงแค่การทำปลาเส้น แต่เป็นการสร้างรายได้ในการเดินทางไปปกป้องทะเลอ่าวไทย-อันดามัน จากโครงการแลนบริจด์สงขลา-สตูล หรือเป็นการเอากำไรไปปรับปรุงหรือทำกิจกรรมต่างๆในการเรียนรู้เรื่องหาดทรายและทะเลนอกจากนี้ยังนำเอาไปจ่ายค่าอาหารในการประชุมแต่ละครั้งของกลุ่ม

เรือเกยหาด: การแข่งขันเรือเกยที่แรกของประเทศไทยและว่าน่าจะมีที่นี่ที่เดียว

ถ้าพูดถึงบ้านสวนกงอำเภอจะนะ ต้องนึกถึงสิ่งนี้เป็นสิ่งแรก คือ หาดทรายบ้านสวนกงที่เป็นทรายที่ละเอียดและงดงาม หาดทรายเป็นแนวกันชนตามธรรมชาติ และเป็นพื้นที่แห่งความสุข พื้นที่ชีวิตของคนในชุมชน เช่น การจอดเรือ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และยังเป็นที่แข่งขันกีฬาเรือเกยหาด เป็นต้น 

คุณกอดีรี ชายเห หรือ บังกอดีรี หนึ่งในกรรมการแข่งเรือเกยหาด ได้เล่าว่าที่จัดการแข่งขันกีฬาชนิดนี้ก็เพื่อให้คนอื่นได้เห็นถึงหาดททรายที่อุดมสมบูรณ์และแสดงให้เห็นว่าบ้านสวนกงยังมีหาดทรายอยู่ ซึ่งบางพื้นที่ในภาคใต้ก็ไม่มีหาดทรายที่สวยงาม เนื่องจากโดนเอาโครงสร้างแข็งต่างๆ มาวาง เช่น การวางกระสอบหน้าหาดทำให้หาดถูกทำลาย ในที่สุดหาดก็พัง ก

การแข่งขันเรือเกยนับว่าเป็นที่นี่ที่แรกของประเทศไทย และคิดว่าน่าจะมีที่นี่ที่เดียว การแข่งขันกีฬาชนิดนี้เป็นการแข่งขันกีฬาที่แฝงไปด้วยความสนุกและแสดงให้คนที่มาดูเห็นคุณค่าของหาดทรายอีกด้วย จัดขึ้นครั้งแรกเมื่องานอะโบ๊ยหม๊ะครั้งที่3 พ.ศ. 2558 ที่สำคัญคือ เมื่อจะตัดสินแพ้/ชนะ ต้องดูเรือลำที่อยู่สูง ไม่ได้วัดกันที่ความเร็ว คือ เรือที่วิ่งเร็วกว่าไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญนั้นเรือจะต้องขึ้งมาอยู่บนหาดสูงกว่าก็ถือว่าเรือลำนั้นชนะไป 

การแข่งขันมีอยู่สามประเภท คือ เป็นเรือความยาว 7 เมตร มี่กระดูกงู เรือความยาว 7 เมตรไม่มีกระดูกงูและเรือ 6 เมตร แต่ละประเภทนั้นจะมีกฏิกาที่เหมือนกัน ระยะทางก็เหมือนกัน โดยมีระยะทางประมาณ 400 เมตร เวลาแข่งจะแยกประเภทแต่ละประเภท จะมีรอบชิงเพียงรอบเดียวเท่านั้น แต่ละครั้งก็จะมีรางวัลแต่รางวัลจะไม่เหมือนกัน หากแพ้ก็จะมีรางวัลชมเชยให้ คือ คนที่มาแข่งกีฬาชนิดนี้จะไม่มีคนใดกลับไปมือเปล่า จะมีรางวัลให้ทุกลำ แต่ต้องตามลำดับ

คนเดินเต่า

การเดินเต่าเป็นภูมิปัญญาของชุมชนสมัยก่อน ซึ่งปัจจุบันนี้ภูมิปัญญานี้จะหายไปจากชุมชนแล้ว เพราะไม่มีคนสืบต่อภูมิปัญญา หาดทรายไม่มีเต่ามาวางไข่ และการเดินเต่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เมื่อก่อนมีคนชำนาญเดินเต่า ชื่อว่านายดีน และแระ แต่ตอนนี้ก็ได้เสียชีวิตแล้ว 

เล่ากันว่า สมัยก่อน การเดินเต่าต้องดูดินฟ้าอากาศ คืนที่น้ำขึ้นและมีเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบเขาจะคาดเดาว่าจะมีเต่าขึ้นมาไข่ เหตุผลที่ต้องดูจากตรงนี้ ก็เพราะเวลาน้ำขึ้น น้ำจะลบรอยเต่าที่เดินมาไข่ไว้ได้ การเดินเต่าแต่ก่อนจะต้องคอยเฝ้าว่าเต่าจะขึ้นต้องไหน 

แต่หากเต่ารู้ตัวก่อนเต่ามันก็จะไม่ขึ้น หรือบางคนอาจจะไปพบรอย คือ มันมีหลายวิธีแล้วแต่ภูมิปัญญาของใคร แต่พอพบรอยแล้ว กว่าจะไปถึงรังก็ต้องใช้เวลามาก เพราะเต่ามันมีความฉลาดมาก 

คือ เต่ามันจะทำรอยหลอกไว้ ที่จริงมันไข่อีกที่หนึ่งแต่มันจะทำรอยอีกทีหนึ่ง ความลึกรังก็ประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งเป็นการยากที่จะขุด ต้องอาศัยภูมิปัญญาจริงๆ ที่จะหาพบ แต่ละรังจะต้องมีไข่ 120-130 ลูก คนแต่ก่อนเขาจะเก็บไข่มาไม่หมด คือ ใน 100 ลูก เขาจะเอาไว้สัก 20 ลูก 

เต่าจะมีสองชนิด คือ เต่าบก กับ เต่าทะเล รอยเท้าเต่าทะเลจะใหญ่ แบน คล้ายพายหรือคล้ายๆ กับรอยเท้าที่เราบิดไม้พาย แต่รอยเท้าเต่าบกจะเป็นนิ้ว เราจะรู้ว่าเต่าทะเลจะขึ้นบก ก็ด้วยวิธีการเดินเต่า คือ การเอาไม้มาตำๆ ดู หากเป็นที่วางไข่ของเต่า เมื่อทิ่มไม้ลงไปก็จะพบไข่เต่า เต่าที่มาวางไข่บนชายหาด คือ เต่าตะนุ เต่าจะขึ้นมาวางไข่ในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน เต่าจะวางไข่ปีละครั้ง 70-80 ลูก ซึ่งที่วางไข่ของเต่าจะอยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 5-7 เมตร เต่าจะวางไข่ปีละครั้ง จะมีรอยให้เห็น เต่าจะเดินขึ้นมาจากทะเลมาวางไข่บนชายหาด แล้วจะกลบหลุมยัดทรายให้แน่น และบางตัวจะทำรอยหลอกไว้จนดูได้ยาก 

หากไม่มีความชำนาญในด้านนี้จริงๆ จะหาไม่เจอ หลังจากที่เต่าวางไข่เสร็จ เต่าก็จะลงสู่ทะเล หลังจากนั้น 1 เดือน เต่าจะฟักออกมาเป็นตัว และเดินเรียงแถวกันลงสู่ทะเลต่อไป 

สมัยก่อนที่ริมชายหาดบ้านสวนกง คนนิยมหาไข่เต่ากันเยอะมากจนเรียกได้ว่าเดินไหล่ชนกันเลยทีเดียว เต่าจะมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง คือ จะวางไข่ในที่ประจำ ปีนี้วางไข่ไว้ที่ไหน ปีต่อไปก็จะกลับมาวางไข่ไว้ที่เดิมอีก โดยวัน/เดือน/ปี ที่เต่าวางไข่ก็จะใกล้เคียงกันมาก หากมีการคลาดเคลื่อนก็จะไม่เกิน 3 วัน ปัจจุบันนี้หาได้ยากขึ้นเนื่องจากรอยบนชายหาดมีหลายรอย ทำให้สังเกตได้ยากว่าอันไหนเป็นรอยเต่า อันไหนเป็นรอยจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นรอยเรือ รอยเดิน รอยเส้น รอยต่างๆ มีหลากหลายต่อหลายรอย จึงทำให้ไม่มีใครสืบทอด’การเดินเต่า จึงทำให้คนในปัจจุบันไม่-รู้จักวิธีการเดินเต่าที่ถูกต้อง

การดักปลากระบอก

การดักปลากระบอกเป็นภูมิปัญญาหนึ่งที่ควบคู่ไปกับการทอดแห เป็นงานที่สะดวกสบาย เป็นงานอิสระ และอีกอย่าง ยังเป็นงานสำรองอีกต่างหาก ตื่นมาตอนเช้ามืดมาทอดแหและมาเอาปลาตอนเช้า เป็นงานที่สะดวกสบาย พอดักเสร็จก็นอนต่อ 

คนในการดักปลากระบอกใช้คนดักเพียงคนเดียว โดยจะเลือกดักตรงที่หน้าหาดตื่นๆ เพราะปลาส่วนใหญ่จะเล่นหาด ปลาจะคล้ายๆ กับเด็ก คือ ชอบสิ่งไหนก็เล่นสิ่งนั้น ซึ่งคนที่ไม่รู้จริงจะทำไม่ได้ การดักปลากระบอกไม่เพียงแต่ได้ปลากะบอก แต่ระหว่างตั้งดักปลากระบอก จะติดปลาอื่นๆ มาด้วย เช่น แม่หลุมพรุก ปลาซา นอกจากนี้ยังติด ปู หมึก กุ้ง มาด้วย แต่จะติดมาไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นปลากระบอก ช่วงที่นิยมดักปลากระบอก คือ เดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน รายได้แต่ละวันอย่างน้อยได้ถึง 500-1,000 บาท 

วิธีการปัก คือ เอาไม้หลักปักลงให้เป็นแถวจากหาดลงไปในทะเลให้เป็นแนว หลังจากนั้นก็ผึ่งอวนแล้วก็เอาเชือกผูกแขวนไปตามไม้ ไม้หลักที่ใช้ปักต้องมี 12 ด้าม/อวน 1 หัว ซึ่งอวนแต่ละหัวมีความยาวประมาณ 60 เมตร การใช้ปักต้องใช้ไม้ที่มีขนาดเท่าข้อมือประมาณ12ด้าม

นายเส็น หมัดเหล็ม หรือบังเส็น ได้บอกถึงอาชีพอย่างภาคภูมิใจว่า “นี้เป็นเพียงอาชีพสำรองที่ทำควบคู่ไปกับการทอดแห่ เป็นที่ไม่เกิน1

เจ้าทะเล

บ่าว ระหมันยะ หรือ บังเหตุ ชาวประมงในชุมชนและชาวบ้านสวนกง ยกฉายา ‘เจ้าทะเล’ ให้เขา เพราะ บังเหตุมีความรู้ ประสบการณ์ และเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเลและการหาปลา บังเหตุสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและรู้ว่าจะเกิดภัยทางธรรมชาติขึ้น วิธีการสังเกต สามารถดูได้หลายทาง ได้แก่ ปูลม 

ปกติปูลมจะอยู่ที่บริเวณชายหาด แต่หากว่าจะเกิดคลื่นใหญ่ ปูลมจะหนีขึ้นมาอยู่แถวชายคาบ้านหรือหากเอาเท้าย่ำลงไปบนทราย ทรายจะทรุดตัวลงอย่างไร้สาเหตุ และหากเริ่มมืดฟ้าครึ้มขึ้นมา นั่นแปลว่าไม่ควรออกเรือ ควรกลับฝั่งโดยเร็ว เมื่อออกทะเลไปแล้วมันจะมีสัญชาติญาณ มีคลื่นเดิ่ง หมายความว่ามีคลื่นที่สูง เมื่อก่อนออกทะเลไปกลางคืนมืดไม่มีไฟ ไม่มีเครื่องมือใดๆ เขาจะดูจากดาวเหนือ แต่เหตุการณ์นี้ ณ บ้านสวนกงไม่มีการหลงเพราะออกทะเลไปไม่ไกล ส่วนมากเมื่อมีฟ้าลั่นฟ้าแลบ ควรระวังจะมีพายุเข้า บังเหตุเคยนอนริมชายหาด เพราะ หนึ่ง-บังเหตุจะสามารถสังเกตธรรมชาติได้ง่ายขึ้น สอง-เนื่องจากปล่อยเรืออยู่ในน้ำทอดสมอ สาม-เวลาปวดเมื่อยขา ขุดดินฝั่งขาให้จมอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เอาเท้าขึ้นมาจะรู้สึกสบายขึ้น 

วิธีการหาปลา ต้องรู้ดินปลา สมมุติว่าหาปลาอินทรีย์ เพราะปลาใหญ่ส่วนมากจะอยู่เป็นที่ๆ ปีนี้อยู่ตรงนี้ ปีหน้าก็อยู่ตรงนี้ นี่เป็นสาเหตุที่ชาวบ้านห่วงหนักห่วงหนา เพราะทะเลแหล่งนี้เป็นที่ปลาอยู่อาศัย ก่อนจะหาปลาต้องดูน้ำดูลม วิธีที่ดีที่สุดคือการดูค่ำ 2 ค่ำและยังมีวิธีการเกี่ยวเบ็ด ใช้วิธีปกติแต่ต้องดูว่าปลากินเหยื่ออะไร เช่น ปลาอินทรีย์ใช้เหยื่อปลาหลังเขียว เพราะสีของมันทำให้ปลาอินทรีย์เห็นได้ชัด บังเหตุได้ลองใช้ปลาอื่นแล้วแต่อินทรีย์ไม่กินเหยื่อ บังเหตุบอกว่าเบ็ดสามารถทำเองได้ เราถามต่อว่าสามารถทำได้ทุกคนไหม? บังเหตุบอกว่าไม่สามารถทำได้ คนที่ทำได้มีไม่กี่คน เนื่องจากการทำเบ็ดอันตราย สาเหตุที่บังเหตุชอบวิธีนี้ ก็เพราะเป็นวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ 

บังเหตุได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างภาคภูมิใจว่า ภูมิปัญญาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ทำได้กันทุกคน แต่ต้องใช้ใจรักเป็นอันดับหนึ่ง จึงจะทำได้

เดินหาหอยเสียบ

หาดทรายบ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะ นะ จ.สงขลา ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ผืนในประเทศไทย อีกทั้งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเล็กๆ หนึ่งในสัตว์น้ำที่พบริมหาดทราย คือ หอยเสียบ 

นิห๊ะ คนหาหอยเสียบริมทะเล บ้านสวนกง บอกเล่าว่า การหาหอยเสียบเป็นภูมิปัญญาหนึ่งของคนสวนกง อีกทั้งยังเป็นอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ การหาหอยเสียบนี้จะหาได้ในที่ที่มีหาดอยู่เท่านั้น การหาหอยเสียบสามารถหาได้ตลอดทั้งปี แต่หากเป็นช่วงฤดูมรสุมจะหาค่อนข้างได้น้อย เนื่องจากคลื่นจะสัดขึ้นมาสู่ฝั่ง จึงทำให้ไม่เห็นรูหอย  การหาหอยสามารถหาได้หลากหลายวิธี เช่น บ้านสวนกง  จะหาด้วยวิธีการเดินรู ซึ่งช่วงที่หอยเสียบจะหาได้ในเวลาช่วงสายๆจนไปถึงช่วงบ่าย 4 ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่หอยเปิดรู แต่ถ้าเกินช่วงเวลานั้นแล้วหอยอาจจะปิดรูได้เนื่องจากน้ำอาจจะซัดขึ้นมาสู่ฝั่งได้  รูหอยจะปิดและจมไปกับน้ำได้ การเดินดูรูหอยก้มดูครั้งหนึ่งอาจเห็นได้หลายรู ถ้าจับรูหอยได้หลายรูหรือได้ไม่มากขึ้นอยู่กับความชำนาญของเจ้าของภูมิปัญญา กว่าน้ำจะซัดขึ้นสู่ฝั่ง 

ระยะเวลาที่ใช้ในการหาหอย ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง เก็บหอยได้ถึงกว่า 4-5กิโลกรัม แล้วนำไปขายกิโลกรัมละ 100 บาท ในแต่ละวันได้ถึง 300 ถึง 500 ต่อวัน หรือหากไม่นำไปขาย ก็เอามาแช่เกลือใส่กระปุก แช่เกลือประมาณ 2-3วัน ก็สุกแล้ว แต่จะมีรสชาติเค็มหน่อยๆ จากนั้นก็สามารถนำไปรับประทานกับข้าวได้ ดังที่กล่าวมานี้เป็นการแปรรูปเพื่อไม่ให้เสียของเช่นกัน

ภูมิปัญญาเรื่องการทำปลาอินทรีย์เค็ม

การทำปลาอินทรีย์เค็มฝั่งดินเป็นภูมิปัญญาของหมู่บ้านสวนกงที่ไม่เหมือนที่อื่นทำกัน  การเอาปลามาทำเค็มเป็นการแปรรูปเพื่อไม่ให้ปลาเสียของ คือ การคัดเลือกปลาที่ใช้ไม่ได้แล้วเอามาทำเค็มเพื่อไม่ให้สูญเปล่า หากทิ้งไปก็จะไม่ได้เงินสักบาท แต่ถ้าเอามาทำเค็มได้แล้ว หนึ่งตัว 5 กิโลกรัม ได้ถึง 1,500บาท เมื่อนำไปขาย ขายชิ้นละ 20 บาท เพราะสมัยก่อนไม่มีการชั่งกิโลขาย

การทำปลาอินทรีย์เค็มฝังดินจะได้รสชาติหอมถูกหลักอาณามัย แมลงวันจะไม่ตอมเพราะเราฝังทรายไว้แล้ว ปลาอินทรีย์ที่พองจะมีน้ำหนัก 6-7 กิโลกรัม หากเอามาทำเค็มจะมีน้ำหนัก 2-3 กิโลกรัมต่อปลาอินทรีย์หนึ่งตัว การทำปลาเค็ม หากใช้วิธีการแบบแควน จะทำให้หนีไม่พ้นแมลงวัน และจะต้องใช้ยาหนอน การฝังดินนับว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยจะใช้เกลือแช่อย่างเดียว

การทำปลาเค็มจะต้องทำปลาอินทรีย์ให้พองก่อน หลังจากนั้นก็ดึงไส้ปลาดึงพุ่งปลาออกให้หมด แล้วนำเกลือใส่ในท้องปลาให้เต็ม แล้วปูกระดาษหนังสือพิมพ์ตั้งและเอาเกลือทับอีกครั้ง เสร็จแล้วก็ห่อให้เป็นชิ้นๆ และหลังจากนั้นก็เอากระสอบมา ไม่ว่าจะเป็นกระสอบไหนก็ได้หมดสอบอะไรก็ได้  แล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด นำไปห่อตัวปลาให้เป็นชิ้น โดยการเอาเชือกมามัดทั้งหัวและท้าย นำไปฝั่งดิน ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน พอครบหนึ่งเดือนแล้วก็เอามารับประทานได้เลย โดยการนำไปผัดกับผักคะน้าเอาไปคุกกับข้าวนอกจากนี้ยังนำไปทอด ปรุงกับหอมแดง พริก และเมื่อทอดเสร็จก็นำมะนาวบีบใส่ตัวปลา

บ่อน้ำจืด ริมทะเล

การขุดบ่อน้ำจืด มีมาเนิ่นนานสืบต่อมารุ่นสู่รุ่นและมีในบางพื้นที่ในตอนนี้ที่มีน้ำจืดกว่าจะมีการขุดบ่อน้ำจืดมันมีเหตุผลที่ทำให้ขุด คือ เมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีน้ำ น้ำแห้งแล้งจึงลองขุดดูที่ชายหาดและย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ชาวบ้านประสบกับปัญหา ไม่มีปลาเล็ก ไม่มีปลาใหญ่ เนื่องจากเรือประมงพาณิชย์เข้ามารุกล้ำพื้นที่และนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวประมงทำอาชีพหน้าบ้านของตนเองไม่ได้ จึงออกไปหากินที่บ้านเพื่อน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวประมงคิดว่าหากกลับบ้านไปจะได้ไม่คุ้มเสีย จึงอยู่ต่อจนเกิดการขุดบ่อน้ำจืดขึ้นมา น้ำจืดที่ได้มานั้น สามารถนำมากิน นำมาหุงข้าว นำมาใช้ได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องผ่านการต้ม เพราะว่าบ่อน้ำที่จุดลงไปมันจะมีกรวดทรายทำหน้าที่กรองน้ำให้สะอาด

การขุดบ่อน้ำจืดจะขุดหน้าหาด ต้องขุดห่างจากบ่อหน้าทะเล ไม่เกิน 2 เมตร หากจะขุดน้ำให้ลึกจะต้องดูน้ำหากน้ำทะเลขึ้นสูงขุดไม่เกิน 1 เมตร มองง่ายๆ หาดจะสั้น เวลาน้ำทะเลลงต้องขุดลึกไม่เกิน 1.5  เมตร ขุดได้ตลอดทั้งปี ยกเว้นช่วงมรสุม 

 ปัจจุบันนี้มีหาดทรายเหลืออยู่เพียงไม่กี่ผืนในประเทศ จึงเกิดแรงบันดาลใจให้เก็บหาดทรายผืนนี้  

ไซปลา

บ้านสวนกงมีความอุดมสมบูรณ์มีปลามากมายหลายชนิด ชาวประมงจึงได้คิดวิธีการหาปลาด้วยการทำไซปลาเพื่อให้สะดวกแก่การหาปลา น้อยคนในหมู่บ้านสวนกงแห่งนี้ที่จะทำได้เพราะเป็นความสามารถเฉพาะตัว

การทำไซปลาคือเริ่มแรกจากการตั้งในทะเล และจะได้ปลามามากมายหลายชนิด เช่น ปลาอังจ้อ ปลาดอกไม้ ปลาการ์ตูน ปลาโฉมงาม และปลาอื่นๆ อีกมากมาย เทคนิคในการตั้งไซปลาของแต่ละคนก็จะเหมือนกัน วิธีการตั้งก็จะตั้งข้างๆ ปะการังเพื่อที่จะได้ปลาเยอะๆ ช่วงมรสุมก็จะตั้งได้แต่จะต้องถ่วงกับแกลลอนที่ใส่ทรายการตั้งไซปลา ไซปลาจะตั้งได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงคลื่นสงบก็จะได้ปลามาเยอะกว่าช่วงมรสุม ก่อนถึงช่วงมรสุมเขาก็จะดูคลื่นและลม ช่วงมรสุมคลื่นก็จะใหญ่กว่าปกติและลมจะแรงกล่าวปกติ วิธีการตั้งไซปลาเขาก็จะโยนลงไปในน้ำทะเลการตั้งไซปลาจะตั้งได้ 1-2 วัน เวลาตั้งไซปลาควรตั้งคนเดียวเพราะจะได้สะดวกและคล่องแคล่วในการตั้งไซปลา

การทำปลาเค็มตากแห้ง

การทำปลาเค็มตากแห้ง คือ การนำเอาปลามาแปรรูปเพื่อไม่ให้เสียของปลาที่ได้มาจากทะเลปลาใหญ่แม่ค้าจะนำไปขายสะส่วนใหญ่ ส่วนปลาเล็กจะนำมาทำปลาเค็มและเอาไปตากแห้ง โดยส่วนใหญ่การทำปลาเค็มจะทำได้ 2 วิธี คือ การทำปลาเค็มในช่วงฤดูปกติจะทำได้โดยวิธีและขั้นตอน เช่น เตรียมปลา ขั้นตอนแรกของการทำปลาเค็ม 

ต้องผ่าปลาหากจะทำให้เป็นแบบแผ่นหรือตัดหัวหากจะทำให้เป็นปลากลม เมื่อทำปลาเสร็จล้างให้สะอาดและนำไปแช่เกลือประมาณ10-15 นาที แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน พอแช่เกลือเสร็จล้างอีกสามน้ำให้สะอาดแล้วนำไปตากแดดให้แห้งนอกจากนี้ทำปลาเค็มตากแห้งยังทำได้ในช่วงฤดูมรสุมจะทำได้โดยวิธีการนำไปอบที่โรงอบการอบมี 2 แบบ

แบบแรก-จะอบแบบคนจน คือ อบใช้แบบใช้ราน โดยใช้พัดลมพัดใช้งบประมาณไม่มากจะทำให้ปลาเหม็นควันไฟ และแบบที่สอง-การอบแบบคนรวย คือ อบโดยการใช้เตาแก๊สซึ่งจะมีงบประมาณค่อนข้างเยอะ แต่กำไรที่ได้จากการทำปลาเค็มจะได้เยอะกว่า สรุปง่ายๆ ถือว่าคุ้มทุน 

ปลาจวดที่ยังไม่นำมาแปลรูปจะกิโลละ 10 บาท แต่หากปลาที่แปลรูปเสร็จแล้ว จะขายกิโลกรัมละ 100-300 บาท เนื่องจากปลาที่ผ่านการตากแห้งแล้ว ปลามันจะเบา

การสะเดาะเคราะห์หน้าบ้าน

เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่เมื่อมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่สบาย จะทำพิธีการ ‘สะเดาะเคราะห์’ คือ นำเล็บหรือเส้นผมใส่ไว้ในแพ แล้วปล่อยแพออกไปกับเกลียวคลื่นและสายลม เหลือไว้แต่เพียงสิ่งดีๆ 

อุปกรณ์สำหรับทำพิธีจะมี 1.แพ 2.อาหาร 3.ขนมหวาน 4.ข้าวเหนียว ส่วนบริเวณประกอบพิธีจะอยู่ที่ริมชายหาด เป็นสถานที่รวมตัวของคนทั้งหมู่บ้าน เหตุผลที่ทำการสะเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นการปล่อยทุกข์ แต่ปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีคนทำพิธีดังกล่าว เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คนอิสลามยุคใหม่ไม่ค่อยเชื่อพิธีสะเดาะเคราะห์หน้าบ้าน

ผู้เขียน : กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง บ้านสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โครงการศึกษาภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับชายหาดและทะเลบ้านสวนกง ภายใต้โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา โดยสงขลาฟอรั่ม

ด.ญ.สุไลมี ระหมันยะ (มาร์มี่) 
ด.ญ.ณัฐกฤตา หมัดเหล่ม (นี) 
ด.ญ.พัชริดา หมัดเจริญ (ซินดี้)
นางสาวไครียะห์ ระหมันยะ (ย๊ะห์) 
เด็กชายพายฟัด  หมัดเจริญ (ซิดดิ๊ก) 

บรรณาธิการต้นฉบับ: อภิศักดิ์ ทัศนี

Tags:

สิ่งแวดล้อมอภิศักดิ์ ทัศนีประมงสงขลาฟอรั่มactive citizen

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    ‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริงชีวิตจริง’ การเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจคนเรียนถูกขยาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต
Learning Theory
8 July 2020

ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ครูส่วนมากมักเข้าใจผิดในเรื่องข้อผิดพลาด มองเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จะต้องแก้ไข จัดการซุกซ่อน แล้วดำเนินการชั้นเรียนต่อไป นั่นคือสิ่งที่ผิดสำหรับการศึกษา ซึ่งที่จริงแล้วควรต้องมองว่าในกระบวนการเรียนรู้ การทำสิ่งผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • ในสภาพของการเรียนที่เข้มข้น นักเรียนต้องกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้าคิด กล้าแสดงออก เพื่อให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตน
  • หากนักเรียนรู้สึกว่าห้องเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัย เด็กจะลดความระแวดระวังภัย ลดแรงต้าน และกล้าเสี่ยงเพื่อการเรียนรู้
อ่านบันทึกตอนที่ 1 Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน

สาระหลักในบันทึกนี้คือ ในสภาพของการเรียนที่เข้มข้น นักเรียนต้องกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้าคิด กล้าแสดงออก เพื่อให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตน จึงต้องมีข้อตกลงและดำเนินการให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยทั้งทางกายภาพและทางอารมณ์

หากนักเรียนรู้สึกว่าห้องเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัย เด็กจะลดความระแวดระวังภัย ลดแรงต้าน และกล้าเสี่ยงเพื่อการเรียนรู้

เด็กต้องการห้องเรียนที่สะอาด น่าสนใจ ปลอดภัย และจัดอย่างเป็นระเบียบ

ความปลอดภัยทางกายภาพ

โรงเรียนต้องมีแผนปฏิบัติยามเกิดเหตุร้าย เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว มีพายุ หรือมีเด็กได้รับบาดเจ็บ และต้องมีการซ้อมปฏิบัติยามฉุกเฉินทุกเดือน เลือกเฉพาะเหตุร้ายที่มีโอกาสเกิดได้มาก เช่น ไฟไหม้

ครูพึงตรวจสอบห้องเรียน ประตูเข้าออก ทางไปห้องน้ำ จุดที่มีกระจกที่อาจแตกและเป็นอันตราย จุดที่มีสิ่งของที่เด็กอาจเดินหรือวิ่งชนและมีของหล่นลงมาทับ ฯลฯ และหาทางจัดให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด

ผมแปลกใจที่ในสหรัฐอเมริกาเขาแนะนำว่า ครูควรอนุญาตให้นักเรียนลาไปเข้าห้องน้ำทีละคน ให้คนก่อนกลับมาห้องเรียนเรียบร้อย จึงจะอนุญาตให้นักเรียนคนต่อไปไปเข้าห้องน้ำได้ เขาไม่ได้อธิบายเหตุผล แต่ผมเดาว่าเพื่อป้องกันการมั่วสุม หรือป้องกันการทะเลาะวิวาท

ความปลอดภัยทางอารมณ์

การที่เด็กสามารถแสดงออกได้อย่างปลอดภัยและได้รับการยอมรับ ช่วยสร้างอารมณ์ปลอดภัยแก่นักเรียน ครูต้องสร้างและบังคับใช้กติกาว่า ในห้องเรียนต้องไม่มีการหัวเราะเยาะ เยาะเย้ย กิ๊กกั๊ก หรือใช้ถ้อยคำดูหมิ่น เพื่อสร้างบรรยากาศส่งเสริมให้นักเรียนสบายใจที่จะแสดงออกเพื่อการเรียนรู้ของตน

เขาแนะนำครูให้แสดงพฤติกรรมตามปกติของห้องเรียนต่อไปนี้

  • เมื่อนักเรียนแสดงข้อคิดเห็นเรื่องใดก็ตาม ครูกล่าวคำขอบคุณทุกครั้ง
  • เมื่อนักเรียนพูด ครูมองตาเด็กอยู่ตลอด ครูจะหยุดมองตาเด็กเมื่อเด็กพูดจบและครูกล่าวคำขอบคุณจบ แล้วครูหันไปทางนักเรียนคนต่อไป
  • ไม่มีการโต้แย้ง ตัดบท แสดงความไม่เอาใจใส่ หรือให้นักเรียนคนต่อไปพูด จนกว่าครูจะกล่าวคำขอบคุณจบ เช่น ‘ครูขอบคุณที่สมชายแสดงข้อคิดเห็น หวังว่าในบทเรียนต่อไปเธอจะแสดงความเห็นอีก’
  • หากมีนักเรียนหัวเราะกิ๊กกั๊ก แสดงท่าทีดูหมิ่น หรือล้อเลียนต่อคำตอบหรือการแสดงข้อคิดเห็นของเพื่อน ครูต้องหยุดการเรียน เพื่อเตือนนักเรียนให้ระลึกถึงกติกาของชั้น และความจำเป็นที่ต้องมีความเคารพต่อกัน และมีความปลอดภัยทางความคิด กล่าวตักเตือนว่าพฤติกรรมเช่นนั้นอาจมีการปฏิบัติที่บ้าน แต่ห้ามทำในห้องเรียน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อประโยชน์ร่วมกันของตัวนักเรียนเอง

ครูพึงสื่อสาร ให้นักเรียนเข้าใจตัวครู ตนเอง และบรรยากาศของชั้นเรียนว่าที่มีการกำหนดให้ห้องเรียนมีความปลอดภัยทางอารมณ์ ไม่มีการคุกคามทางอารมณ์ ก็เพื่อให้นักเรียนกล้าเสี่ยงทำสิ่งที่ผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น

ครูส่วนมากมักเข้าใจผิดในเรื่องข้อผิดพลาด มองเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จะต้องแก้ไข จัดการซุกซ่อน แล้วดำเนินการชั้นเรียนต่อไป นั่นคือสิ่งที่ผิดสำหรับการศึกษาซึ่งที่จริงแล้วควรต้องมองว่าในกระบวนการเรียนรู้ การทำสิ่งผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

 เจนเซนชวนให้อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วพิจารณาว่ามีอะไรเหมือนกัน

  • ‘ตรวจสอบทางเลือกต่อไปนี้แล้วบอกว่าชอบทางเลือกไหนมากที่สุด พร้อมทั้งให้เหตุผล’
  • ‘ครูดีใจที่เธอแสดงข้อผิดพลาดของเธอแก่ครู สิ่งนี้จะช่วยให้ครูปรับปรุงวิธีสอนให้ดีขึ้น’
  • เมื่อนักเรียนบอกข้อผิดพลาดของครู ครูกล่าวว่า ‘ว้าว ขอบคุณมากที่ช่วยชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดที่ดีที่สุดในเดือนนี้ให้ครูเห็น ขอบคุณมากจริงๆ’
  • ‘เหตุผลที่คำตอบที่ผิด ช่วยการเรียนการสอนก็เพราะมันช่วยบอกว่า แนวความคิดแบบไหนที่ผิดทาง ช่วยให้เราแก้ไขและฉลาดขึ้น’
  • ‘ครูกำลังจะให้นักเรียนตอบ โดยคาดหวังว่าจะมีคำตอบที่แตกต่างหลากหลายมาก เรามาดูกันว่าครูเดาถูกไหม’

ข้อความทั้ง 5 ข้างบน ต่างก็บอกว่าการทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ คำแนะนำที่สำคัญยิ่งสำหรับครู คือ ให้เลิกเน้นที่คำตอบเท่านั้น ให้สนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำตอบนั้นของนักเรียน ได้แก่ สมมติฐาน ความรู้เดิม และวิธีคิดไปสู่คำตอบ

การยอมรับความผิดพลาดว่าเป็นการเปิดโอกาสของการเรียนรู้ เป็นทักษะที่นักเรียนต้องฝึก และการฝึกทักษะนี้ต้องการเวลา การโค้ช และการสนับสนุน ซึ่งจะเป็นการวางรากฐาน ‘ทักษะชีวิต’ ที่ส่งผลดีไปตลอดชีวิต

กติกาที่ทุกคนปฏิบัติตาม

หลักการให้กติกาศักดิ์สิทธิ์ คือ อย่ามีมากข้อ แต่ต้องให้ทุกคนเข้าใจแจ่มชัด  เจนเซนยกตัวอย่างกติกาห้องเรียนที่มีเพียง 4 ข้อ คือ หนึ่ง – จงมีอัธยาศัย (be nice) สอง – ทำงานหนัก (work hard) สาม – ไม่แก้ตัว (no excuse) และสี่ – รู้จักเลือก (choose well)

มีอัธยาศัย

มีอัธยาศัย (be nice) หมายความว่า ไม่มีความประพฤติไม่เหมาะสม เช่น ล้อชื่อ ชกต่อย ผลัก สบประมาท จี้ แหย่ หลอก กล่าวคำตำหนิเพื่อนนักเรียนหรือครู นอกจากนั้นยังหมายถึงใช้วาจาสุภาพ มีการ ขอบคุณ ขอโทษ ขอความกรุณา ผมผิดเอง และยังหมายความว่า ไม่มีการพูดโกหก สบถ ด่า ถกเถียง นินทา โกง ลัดคิว รวมทั้งไม่มีการขโมยสิ่งของ หรือหยิบไปใช้โดยไม่ขออนุญาตเจ้าของ รวมทั้งยกมือขออนุญาตพูด ไม่ใช่พูดแซงขณะที่คนอื่นกำลังพูด

ครูต้องทำเป็นตัวอย่าง และแสดงความเข้าใจจิตใจของคนอื่น (empathy) ด้วย

หากมีการละเมิดกติกา ครูปรามโดยพูดว่า ‘ในห้องเรียนนี้เราไม่ใช้คำเหล่านั้น กรุณารอคุยกับครูหลังหมดเวลาด้วยนะครับ (คะ)’ และคุยกับนักเรียนสองต่อสองหลังหมดเวลาเรียน โดยใช้เทคนิคต่อไปนี้

  • ฟื้นความสัมพันธ์ (rebuild the relationship) โดยครูพูดว่า งสมเกียรติ เธอเป็นนักเรียนที่มีความประพฤติดี ครูมีความภูมิใจในตัวเธอ’ เป้าหมายคือสร้างความรู้สึกเป็นมิตร
  • เข้าเรื่อง (establish relevance) ‘ที่ครูขอให้เธออยู่คุยกับครูหลังเลิกเรียน ก็เพราะครูอยากให้เธอเรียนจบปริญญาตรี งานที่เธอบอกครูว่าอยากทำต้องมีวุฒิปริญญาตรี คำพูดของเธอในชั้นเรียนวันนี้ ทำให้ครูเป็นห่วง จำได้ไหมว่าข้อตกลงเรื่องกติกาในชั้นเรียนข้อหนึ่ง คือ มีอัธยาศัยดี’ เป็นการใช้กลยุทธในการพบปะที่ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการช่วยแผ้วถางทางของนักเรียนสู่ความสำเร็จในชีวิต
  • สร้างพันธมิตร (create an ally) ‘ครูอยู่เคียงข้างเธอและครูรู้ว่าเธอเป็นเด็กดี แต่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ อาจไม่รู้จักเธอดีพอ การกล่าวคำพูดทำนองนี้ออกไป อาจมีผลให้เธอถูกลงโทษ อาจถึงกับถูกไล่ออกจากโรงเรียน ทำให้หมดโอกาสเรียนจบมหาวิทยาลัย’ เป็นการช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าคำพูดของตนมีผลต่อตนเอง
  • หาทางออก (work toward a solution) หากนักเรียนบอกว่ามีคนก่อเรื่องก่อน จงรับฟัง ซักถามรายละเอียด และกล่าวว่า ‘หากเกิดเรื่องทานองนี้อีกเธอควรทำอย่างไร เมื่อเธอถูกยั่วโทสะ’ แล้วรอให้นักเรียนตอบ เมื่อนักเรียนตอบ และเป็นแนวทางที่เหมาะสม ครูกล่าวว่า ‘เรามาลองซ้อมวิธีแสดงออกต่อการยั่วโมโหตามที่เธอเสนอ โดยครูจะเป็นผู้ยั่ว ตกลงไหม’
  • ยืนยัน (reaffirm) ‘เรามาทบทวนข้อเรียนรู้ครั้งนี้กัน ขอให้เธอสรุปประเด็นข้อเรียนรู้’
  • จบการพบปะ (exit the meeting) ‘ดีมาก สมเกียรติเธอกลับเข้าเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องแล้ว เป็นการปูทางสู่อนาคตที่เธอฝันไว้ ขอให้เธอประสบความสาเร็จ ครูขอบคุณที่เธอสละเวลาคุยกับครู’

โปรดสังเกตว่าเป้าหมายของการพบปะหลังเวลาเรียนไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่การตำหนิ แต่เป็นการเตือนสตินักเรียนว่า การที่ตัวเองร่วมสร้างบรรยากาศชั้นเรียนที่ปลอดจากความประพฤติที่ทำลายความรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก มีผลดีต่ออนาคตของตัวเอง ตามที่ตั้งวิสัยทัศน์ส่วนตัวไว้ (ตามในบันทึกที่แล้ว) อย่างไร

มองอีกมุมหนึ่งครูทำหน้าที่บังคับใช้กติกาเพื่อผลประโยชน์ของนักเรียนเป็นปฐม ไม่ใช่ยึดผลประโยชน์ของครูเป็นปฐม ไม่ใช่ผลประโยชน์ความดีความชอบของผู้บริหารโรงเรียนเมื่อมีการตรวจสอบ หากนักเรียนตระหนักรู้ด้วยสัมผัสตนเองต่อเป้าหมายหลักนี้ การปฏิบัติตามกติกาก็เป็นเรื่องง่าย แต่หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม หากนักเรียนเห็นชัดว่า ตนต้องทำตามกติกาเพื่อผลประโยชน์ของผู้บริหารและครูเป็นเป้าหมายหลัก การประพฤติแหกกฎก็จะเป็นความท้าทายของนักเรียน

เพื่อส่งเสริมความประพฤติดี ครูต้องสร้างบรรยากาศเชิงบวกในชั้นเรียน เมื่อนักเรียนรู้สึกสนุกและมีความสุข โอกาสทำผิดกติกาจะลดลง เพราะในสภาพที่สนุกและสุขสมองจะหลั่งโดปามีน สร้างความรู้สึกพึงพอใจ และสร้างความคาดหวังต่อการได้รับความพึงพอใจ การมีพลังของความจำใช้งาน (working memory) และการมีความพยายาม

‘มีอัธยาศัย’ เป็นกติกาที่กว้าง และปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์ โดยต้องนิยามให้ชัดเจนสำหรับสถานการณ์นั้นๆ

ทำงานหนัก

กติกานี้สื่อว่า การบรรลุเป้าหมายที่ดีต้องการการเตรียมตัว การลงมือทำ และความมุ่งมั่นมานะพยายามระยะยาว สำหรับนักเรียนการทำงานหนักหมายความว่า มาโรงเรียนโดยเตรียมตัวมาอย่างดี และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญอุปสรรค พร้อมที่จะเปลี่ยนกลยุทธในการทำงานหรือการเรียน

ครูต้องสร้างความคิดว่า หากต้องการความสำเร็จที่ดีกว่าปัจจุบันก็ต้องทำงานหนักขึ้น และแสวงหาวิธีทำงานให้ได้ผลดียิ่งกว่าเดิม โดยผมขอเพิ่มเติมว่าครูควรเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ที่สำคัญกว่าทำงานหนัก (work hard) คือ ทำงานอย่างฉลาด (work smart) และบอกให้นักเรียนมั่นใจว่า ครูจะช่วยสนับสนุนให้นักเรียนได้ฝึกทั้งทำงานหนัก และทำงานอย่างฉลาด

เคล็ดลับของ ‘ครูเพื่อศิษย์’ คือทำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของศิษย์ (empathy) และทำให้การต่อสู้กับความท้าทายเป็นเรื่องสนุก

  • ไม่แก้ตัว

นี่คือการฝึกให้ไม่โดน ‘นิสัยเสีย’ มากัดกร่อนความเจริญก้าวหน้านี้ของนักเรียน คือ นิสัยชี้ผู้รับผิดชอบความผิดพลาดไปที่ผู้อื่น เพื่อให้ตนพ้นผิด ซึ่งเป็นนิสัยที่ปิดกั้นการเรียนรู้จากความผิดพลาด และปิดกั้นการฝึกความรับผิดชอบ

กลยุทธสำคัญที่สุดคือ ครูทำเป็นตัวอย่าง ‘ครูขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ ครูขอเลื่อนจากวันนี้ (วันพุธ) ไปเป็นวันศุกร์ได้ไหม’

ครูมีบทบาทสูงมากในการสร้างคุณลักษณะที่ดีเหล่านี้แก่ศิษย์ โดยมีเคล็ดลับสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของศิษย์หรือเอาความรู้สึกนึกคิดของศิษย์เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นตัวตั้ง

รู้จักเลือก

กติกาข้อนี้เตือนใจนักเรียนในเรื่องการกำกับตัวเอง และพลังของการเลือก คนเราทุกคนไม่สามารถควบคุมหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดต่อตัวเราได้ (เช่น พ่อหรือแม่ตาย พ่อแม่ตกงานเพราะบริษัทลดคนงาน น้ำท่วม รถยนต์ถูกคนเมาขับรถมาชน ฯลฯ) แต่เราสามารถเลือกวิธีเผชิญวิกฤติเหล่านั้นได้

คำหลักคือ ‘ทางเลือก (choice)’ ครูต้องส่งเสริมให้นักเรียนฝึกฝนตนเอง ให้รู้จักทางเลือกที่เป็นคุณต่อชีวิตในระยะยาว ไม่ใช่เลือกแบบคิดสั้น เอาสบายในสถานการณ์เฉพาะหน้า

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ เป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้

บันทึกนี้เป็นบันทึกที่ 2 ใน 3 บันทึก (อ่านบันทึกที่ 1 ได้ที่นี่) ภายใต้ชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้ม (rich classroom climate mindset) ตีความจาก Chapter 11 : Set Safe Classroom Norm เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

Tags:

ระบบการศึกษาเทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนพื้นที่ปลอดภัยRich classroom

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

“ผมอยากให้เด็กเจอตัวเองในแบบของเขาในห้องเรียนของผม” ความฝันจากวัยเยาว์สู่ห้องเรียนขยายโอกาส
Unique Teacher
8 July 2020

“ผมอยากให้เด็กเจอตัวเองในแบบของเขาในห้องเรียนของผม” ความฝันจากวัยเยาว์สู่ห้องเรียนขยายโอกาส

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • เพราะต้องมนต์สะกดในห้องเรียนของแม่ตัวเอง ทำให้ครูยอร์ช – ณัฐพงศ์ อนุสนธิ์ ตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทาง ‘ครู’ ตามรอยแม่ ฝันของเขา คือ อยากให้นักเรียนรู้สึกสนุกในห้องเรียนของตัวเองเหมือนกับที่แม่ทำ
  • แต่เส้นทางอาชีพของครูยอร์ชไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและไม่ได้อบอวลด้วยความสุข แต่เต็มไปด้วยด่านทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นครูที่ดีว่าต้องเข้มงวด เขี้ยวเข็น และไม่อ่อนข้อกับนักเรียน หรือระบบครูในโรงเรียน อุปสรรค์ที่เจอทำให้ครูยอร์ชต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘สิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้องแล้วจริงๆ หรือ?‘ และ ‘การเป็นครูที่ดีต้องทำแบบนี้จริงๆ หรือ?‘
  • ครูยอร์ชในปัจจุบัน คือ ครูยอร์ชที่ค้นพบวิธีสร้างความสุขในห้องเรียนตัวเอง นั่นคือการรู้จักนักเรียนของตัวเองและออกแบบการเรียนการสอนบนพื้นฐานเข้าใจความแตกต่างของเด็กๆ

“ผมอยากเป็นครูมาตั้งแต่เด็ก มีแม่เป็นครูภาษาไทย ชอบขอตามแม่ไปโรงเรียน จำได้ว่าแม่เป็นคนสอนหนังสือสนุก ตอนนั้นยังใช้วิธียืนพูดยืนเล่า แต่น้ำเสียง ท่าทาง การเดินไปรอบห้องของแม่สะกดคนนั่งฟัง แม่ดึงความสนใจของนักเรียน รวมถึงผมให้ตั้งใจฟังที่เขาสอนในทุกๆ ชั่วโมงได้ ผมอยู่ในห้องเรียนแล้วมีความสุข การเรียนแบบนี้นี้ทำให้ผมรู้สึกชอบวิชาภาษาไทยมาก แล้วก็เป็นคนที่เก่งวิชาภาษาไทยมาก

“ตอนที่เป็นเด็ก ตอนนั้นผมรู้สึกว่าการสอนของแม่ เหมือนได้ฟังนิทานเรื่องหนึ่งในแต่ละชั่วโมง แต่เป็นนิทานที่มีแบบฝึกหัด พอฟังแล้วก็มานั่งทำแบบฝึกหัด นึกถึงเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังในห้อง”

ครูยอร์ช – ณัฐพงศ์ อนุสนธิ์ เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของเส้นทางชีวิตความเป็นครู ที่ปลูกสร้างมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก เขาเลือกสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เลือกเฉพาะสาขาด้านศึกษาศาสตร์ทุกอันดับ จบการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ การศึกษาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ ปัจจุบันสอบบรรจุเข้าในโครงการครูคืนถิ่น เป็นครูสอนอยู่ที่ โรงเรียนวัดบางขวาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งแต่ปี 2559 ถึงตอนนี้ประมาณ 3 ปีแล้ว

ปีการศึกษานี้ครูยอร์ชรับหน้าที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่เพิ่มเติม หรือหน้าที่พลเมือง ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

แม้การแสดงออกจะเป็นคนโผงผาง เด็ดขาด และตรงไปตรงมา จนหลายครั้งกลายเป็นกำแพงในการทำงาน รวมถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นครูที่ดีว่าต้องเข้มงวด เขี้ยวเข็น และไม่อ่อนข้อกับนักเรียน เคยใช้อำนาจในห้องเรียนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งต่อว่า ดุด่า และลงโทษนักเรียน จนต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘สิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้องแล้วจริงๆ หรือ?‘ และ ‘การเป็นครูที่ดีต้องทำแบบนี้จริงๆ หรือ?‘

แต่เมื่อสามารถผ่านด่านการทำความเข้าใจตัวเองไปได้ ครูยอร์ชก็สามารถกลับมาสร้างสรรค์บรรยากาศห้องเรียนที่เต็มไปด้วยความเพลิดเพลินและสนุกสนานได้อย่างไม่ฝืนตัวเอง

ห้องเรียนขยายโอกาส

โรงเรียนวัดบางขวากเป็นโรงเรียนขยายโอกาส มักได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเชิงเปรียบเทียบอยู่บ่อยๆ ว่า โรงเรียนเหมือนต้องจ้างเด็กมาเรียน เพราะสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ผู้ปกครองอยากให้ลูกมาช่วยทำงานหาเลี้ยงปากท้องมากกว่ามาเรียนหนังสือ วันไหนมีนักเรียนในชั้นเรียนครบตามจำนวนที่ลงทะเบียนไว้ แทบเป็นเรื่องน่าแปลกใจ

“ภาพห้องเรียนแม่กับห้องเรียนของผมต่างกันราวฟ้ากับดิน พอมาสอนเด็กวัดบางขวาก แรกๆ ผมยังไม่รู้วิธีการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในห้องเรียน ผมมาสอนแบบยืนพูดหน้าชั้นให้เด็กฟัง ทำให้คุมห้องเรียนไม่ได้ นักเรียนจากที่ไม่ได้อยากมาโรงเรียนอยู่แล้วก็ไม่สนใจ ผมเลยเริ่มใช้อำนาจควบคุมชั้นเรียนมากขึ้น ลงโทษเขี้ยวเข็นนักเรียน ทุกวันๆ ความอึดอัดในตัวยิ่งทวีความรุนแรง บรรยากาศในชั้นเรียนไม่มีความสุขเลย”

อย่างไรก็ตาม ภาพที่ครูยอร์ชเล่าให้ฟังถึงการลงโทษนักเรียนจนไม่มาโรงเรียน แตกต่างจากบรรยากาศในห้องเรียนที่เราเห็นอย่างสิ้นเชิง

อาคารอเนกประสงค์ของโรงเรียน ถูกใช้เป็นห้องเรียนในคาบของครูยอร์ชมาได้ราว 1 ปีการศึกษาแล้ว นักเรียนล้อมวงนั่งอยู่ในระดับเดียวกันบนพื้น จับกลุ่มสมมุติตัวเองเป็นโมเลกุลเคมีในวิชาวิทยาศาสตร์ แล้วทำกิจกรรมจับคู่โมเลกุล เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสนุกในห้องเรียน ทำให้เรานึกภาพห้องเรียนที่น่าอึดอัดแบบเดิมไม่ออก

“ห้องเรียนของผมเปลี่ยนไป จากวันที่ผมเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำมาตลอดในห้องเรียนคือการใช้อำนาจ สิ่งที่มากระทบจนทำให้ผมเสียศูนย์ คือ โครงสร้างการใช้อำนาจในระบบราชการที่บังคับให้ต้องคล้อยตาม ก่อนนี้ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ความคิดในหัวผมมันฟุ้งไปหมด

“การเข้าร่วมโครงการก่อการครูให้คำตอบกับผม โครงการถอดให้ผมเห็นตัวเองก่อน ทำให้ครูกลับเข้าไปเห็นความเป็นมนุษย์ ครูเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกได้ผิดได้ ชี้ให้เห็นห้องเรียนแห่งอำนาจ ฉายภาพให้เห็นว่ามีการใช้อำนาจในห้องเรียนและในโรงเรียนเต็มไปหมด แล้วบ้างครั้งครูก็เผลอใช้อำนาจ ไม่ได้เป็นอำนาจที่เกิดจากตัวเราเท่านั้น แต่มีโครงสร้างในระบบที่มาบีบคั้นกำหนดทิศทางการทำงานของครูด้วย หลังจากนั้นผมจึงมาทำความเข้าใจห้องเรียนตัวเอง เข้าใจที่มาที่ไปว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนั้น”   

วิธีสร้างการเรียนรู้ที่จะทำให้ห้องเรียนเปลี่ยน ครูต้องออกแบบการเรียนการสอนที่เข้าใจความแตกต่างของเด็ก ทำอย่างไรให้เด็กเรียนรู้หลายๆ อย่างในห้องเรียนได้มากที่สุด ทำอย่างไรให้นักเรียนสามารถเจอสิ่งที่เขาสนใจในห้องเรียน นอกจากเนื้อหาตามหลักสูตร

“วิธีการสอนควรเป็นลีลาของครู ครูมีลีลาการสอนแบบนี้ อยู่กับเด็กกลุ่มนี้ ครูเรียนรู้และเข้าใจเด็กกลุ่มนี้ แล้วไปออกแบบการสอนมาให้เหมาะกับเด็กแต่ละกลุ่ม แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ครูเจอ ครูถูกตีด้วยเนื้อหา ผลสัมฤทธิ์ การสอบโอเน็ต ต้องรีบสอนเพราะเด็กต้องเอาความรู้ไปสอบ”

“ห้องเรียนของผม วิชาการเป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่กิจกรรมที่ได้ทำจะสร้างทักษะติดตัวเด็กไปได้ เช่น การทำงานเป็นทีมที่เด็กจะเอาปัญหามานั่งถกกัน ความสัมพันธ์ที่ต้องจัดการระหว่างเพื่อนซึ่งไม่เคยทำงานด้วยกัน หรือระหว่างชายกับหญิง ผลสัมฤทธิ์เป็นการใช้สมองแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความถนัดด้านอื่นยังมีอีกเยอะแยะ ผมอยากให้เด็กเจอตัวเองในแบบของเขาในห้องเรียนของผม” 

แรงเสียดทานที่ทำให้โดดเดี่ยว ท้อแท้ แต่ต้องก้าวต่อ

“ผมให้เวลาตัวเองเตรียมสอน เข้าใจนักเรียน อยู่กับนักเรียนเพื่อวิเคราะห์ผู้เรียน ผมเลยเริ่มปฏิเสธงานโรงเรียนบางอย่าง จากเดิมที่รับงานโรงเรียนหลังชนฝาจนแทบไม่มีเวลาสอนหนังสือ แล้วช่วงแรกๆ ก็เพลิดเพลินและสนุกกับมันด้วยซ้ำ ภาพจำยอร์ชคนเดิมพานักเรียนทำกิจกรรมทุกอย่างตอบสนองนโยบายและโครงการของโรงเรียนเต็มไปหมด หลังๆ กลายเป็นครูยอร์ชที่ละวาง เริ่มใช้เวลากับตัวเองวางแผนการสอนให้ดีมากขึ้น ใช้เวลาในห้องเรียนมากขึ้น แต่กลับทำให้เกิดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างผมกับครูคนอื่นๆ ในโรงเรียน”  

ความรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะทำตัวแปลกแยกห่างเหินจากคนอื่น ไม่ได้ทำให้ครูยอร์ชถอย เขากลับมาโฟกัสที่นักเรียน แม้แต่การแต่งกายประจำวันยังดูคล่องแคล่วในชุดกีฬาที่ทำให้ดูเหมือนเป็นครูพละมากกว่าครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์

“ใส่ชุดแบบนี้มาสอนแล้วมันสบายกว่า เมื่อผมเข้าใจตัวเอง มันคลี่คลายปมในใจไปได้ มันอ๋อ…ขึ้นมาเลยว่า ที่ห้องเรียนเราไม่มีความสุขเพราะเราใช้อำนาจอยู่หรือเปล่า ที่ผมเครียดกับการทำงานเพราะโครงสร้างอำนาจแบบนี้หรือเปล่า เด็กคนนั้นที่หลุดออกไปจากโรงเรียนเป็นเพราะผมไม่ฟัง ตัดสิน และไม่เปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายของเด็กหรือเปล่า แต่ตัวตนของความดุดัน ความเป็นเผด็จการในห้องเรียนก็ยังมีอยู่ ผมก็ยังเห็นตัวเองใช้อำนาจในห้องเรียนอยู่ในหลายๆ จังหวะ แต่ก็ท้าทายกับมัน พยายามช้าลงมากๆ เรียนรู้ว่าสิ่งไหนทำได้ไม่ได้ ช่วงไหนทำได้ผมก็มีความสุขสนุกกับมัน

“ช่วงไหนที่ทำไม่ได้ผมก็กลับมาเครียดอีกเหมือนกัน ความคิดความรู้สึกผมไวมาก สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่เปลี่ยนแบบทันทีทันใดเมื่อทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ ผมเลยสนใจเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมจากเวทีต่างๆ มากขึ้น เช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับการฟัง เวทมนต์ของห้องเรียน การโค้ช ความแตกต่าง และการเรียนรู้ตัวตนที่ทำให้เข้าใจตัวเองและความเป็นมนุษย์ ผมว่าเราต้องให้โอกาสตัวเองด้วย”

จริงใจ (Sincerity)

The Potential ให้ครูยอร์ชเลือกบัตรคำที่อธิบายถึงความเป็นตัวเองขึ้นมา 1 ใบ จากบัตรคำทั้งหมด 24 ใบ ‘จริงใจ’ เป็นคำที่ครูยอร์ชเลือก

“จริงใจ ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ปรากฏอยู่ในการทำงาน ความสัมพันธ์ และในสิ่งที่เราทำด้วย ผมพยายามทำให้ความจริงใจเป็นส่วนหนึ่งในตัวเอง จะให้เอาตัวเข้าแลกก็ยอม ผมคิดว่าความจริงใจที่มีทำใหผมกล้าเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องงานสอน หรือแม้แต่การเป็นครูที่ผมกล้าบอกเด็กว่าผมไม่ดียังไง สิ่งนี้ผมเคยทำมาแล้วผลลัพธ์เป็นยังไง รวมถึงบอกด้านดีของตัวเองด้วย แล้วดูเหมือนว่าผมจะเรียกร้องสิ่งนี้จากคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน”

และเพราะต้องการความจริงใจนี้เอง ครูยอร์ชจึงไม่เข้าข้างตัวเองว่าเด็กชอบทุกกิจกรรมและเพลิดเพลินไปกับการเรียนทุกคาบที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น และให้นักเรียนประเมินการสอนอย่างเปิดเผย

การสอบปลายภาคเทอมที่ผ่านมาของนักเรียนชั้น ม.1-3 ที่ได้เรียนกับครูยอร์ช มีส่วนหนึ่งที่ให้นักเรียนสะท้อนตัวเองออกมาว่าเรียนรู้อะไรไปบ้าง ชอบอะไรในสิ่งที่เรียน ไม่ชอบอะไร หรือเรื่องไหนที่ยังไม่เข้าใจ รวมไปถึงการสะท้อนการจัดการเรียนรู้ และตัวครูผู้สอน

“ผมให้เด็กสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อห้องเรียนผ่านการเขียน สังเกตสายตา อารมณ์ และพลังงานของเขาที่ร่วมกับเราในห้องเรียน มันจะมีวันที่สอนเสร็จแล้วฟินกับตัวเองมาก บอกกับตัวเองว่าดีมากๆ รักคาบนี้มาก แต่ก็มีวันที่รู้สึกเฉยๆ และมีวันที่คิดว่าเอาแค่ให้ผ่านไปแบบนี้แล้วกัน”

หรือการสอบจบวิชาวิทยาศาสตร์ชั้น ม.3 ที่ครูยอร์ชให้โจทย์ว่า สอบจบแบบไหนก็ได้ แต่ให้ประมวลความรู้ทั้งหมดลงมาในรูปแบบการนำเสนอร่วมกัน โดยมีข้อแม้ 3 ข้อ ได้แก่

หนึ่ง ห้ามแต่งกายชุดนักเรียน ถือว่าไม่ให้เกียรติครูยอร์ช

สอง วิชาครูยอร์ชทั้งที จะมายืนพูดเฉยๆ ธรรมดาๆ ก็แล้วแต่นะ คิดเอาเอง

และสาม มีเวลาจำกัดให้ไม่เกิน20นาที จะใช้เครื่องเสียง ใช้อุปกรณ์ หรือสถานที่ใดๆ ก็ได้

ปรากฏว่านักเรียนจัดหนักจัดเต็ม เตรียมชุดแต่งกาย ร้องเต้น เล่นละคร แบบมีสาระ ขนาดที่ทำให้ครูทั้งขำจนหยุดไม่อยู่และภูมิใจในความทุ่มเทของนักเรียน

และเพราะความจริงใจอีกเช่นกัน ที่ทำให้ครูยอร์ช บอกกับเราว่าหลายครั้งตัวเขาเองยังรู้สึกสับสน เขาเล่าให้ฟังถึงโครงการประกวดการจัดแสดงทางวิทยาศาสตร์ หรือ Science Show ที่เป็นเหมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และมีคุณค่าเป็นเหมือนเครื่องต่อรองเชิงอำนาจของเขากับความสัมพันธ์ที่มีกับโรงเรียน

Science Show ส่งเสริมให้นักเรียนแสดงความสามารถด้วยการนำเสนอและสื่อสารความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านการแสดง โครงการนี้นักเรียนต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม ครูยอร์ช ปลุก ปั้น และผลักดัน ให้ทีมนักเรียนวัดบางขวากได้รับรางวัลระดับประเทศมาแล้วติดกัน 2 ปีซ้อน

“ผมต้องส่งเด็กเข้าประกวด เป็นสิ่งที่ผมรู้ว่าทำได้ แล้วผมรู้ด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผมก้าวหน้า เป็นอำนาจต่อรองบางอย่างในระบบแห่งนี้ ถ้าผมคิดจะหัวรั้น ผมต้องหาที่ยืนให้ได้ แล้วผมก็ทำได้สำเร็จ

“เฝ้าสังเกตตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ผมพุ่งเข้าหาความสำเร็จแต่ทุกครั้งที่ได้รับความสำเร็จผมไม่มีความสุขเลย ผมอยู่กับเด็กตอนได้รับรางวัล อยู่ข้างนอกก็ยิ้มๆ ไป พอกลับมาถึงห้องพักกลับไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างนั้น แต่รู้สึกโหวงเหวง โดดเดี่ยว ถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันแน่

“มันเป็นความย้อนแย้งในตัวเองที่แง่หนึ่งผมไม่เอาระบบ แต่ผมก็ส่งเด็กเข้าประกวดแข่งขัน ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าปล่อยมันไปไม่ได้ ตอนซ้อมผมจริงจังมาก คิดเลยว่าต้องเอาชัยขนะมาให้ได้ ถ้าไม่ได้ผมจะรู้สึกเหมือนว่าไม่เป็นที่ยอมรับ มีความคิดว่าเราจะยืนอยู่ในโรงเรียนนี้ได้ยังไง แค่โดดเดี่ยวอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็วิเวกพอแล้ว แล้วเรายังไม่ทำให้ใครเห็นอีกหรือว่าเรามีดียังไง อย่างปีนี้ก็กำลังมองหาเด็กใหม่ที่จะมาทำ Science Show ”

อย่างไรก็ตาม แม้คำถามและความสับสนในใจจะผ่านเข้ามาให้ต้องทบทวนตัวเอง แต่บทสรุปที่ครูยอร์ชให้กับตัวเองในท้ายที่สุด ในทุกๆ ครั้ง เป็นคำตอบเดียวกันเสมอ

“ผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงความฝัน ผมไม่รู้เลยว่าวันนี้ถ้าไม่เป็นครูจะทำอะไรอยู่”

Tags:

ระบบการศึกษาเทคนิคการสอนunique teacherณัฐพงศ์ อนุสนธิ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Unique Teacher
    ห้องเรียนที่เท่ากัน กับ ความจริงใจที่ไม่ต้องเอาอะไรมาแลก ของครูโปเต้ ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    ห้องเรียนประวัติศาสตร์และพุทธศาสนาที่ชวนตั้งคำถามถึงความดี ความรู้ และความจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย
Learning Theory
7 July 2020

Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

จัดบรรยากาศห้องเรียนให้น่าเรียนและมีผลลัพธ์สูง (high-performing classroom) ด้วยการใส่พลังการมีส่วนร่วม ความยอมรับนับถือ การฟัง การแลกเปลี่ยน ฯลฯ นอกจากจะดีต่อใจนักเรียนแล้ว ยังดีต่อใจครูอีกด้วย เพราะจะช่วยให้ชีวิตครูง่ายขึ้น มีปัญหาจากความประพฤติของนักเรียนน้อยลง

ปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมีอยู่ 4 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ร่ำรวยการยอมรับ (affirmation) ร่ำรวยสภาพที่ตรงตามความต้องการของนักเรียน (relevancy) ร่ำรวยการผูกพัน (engagement) ตัวนักเรียนและร่ำรวยปฏิสัมพันธ์ (relationship) ห้องเรียนไหนที่มีปัจจัยดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัย กล้าเรียนรู้แบบกล้าเสี่ยง ทั้งเสี่ยงเชิงวิชาการและเชิงพฤติกรรม รวมทั้งช่วยให้นักเรียนกล้าฝันในลักษณะของ ‘ฝันใหญ่’

ชุดความคิดนี้เริ่มจากการทำให้นักเรียนแต่ละคนรับรู้ว่า ครูและคนอื่นๆ ในชั้นเรียนรับรู้ตัวตนของนักเรียน รับรู้สิ่งที่นักเรียนมุ่งหวัง และรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของนักเรียน โดยเครื่องมือทำให้เกิดการรับรู้นี้มี 3 ชิ้น คือ หนึ่ง – ความหมาย (relevance) ต่อนักเรียน สอง – เสียง (voice) ของนักเรียน และสาม – วิสัยทัศน์ (vision) ของนักเรียน

อ่านบทความฉบับเต็ม ที่นี่

Tags:

เทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนRich classroom

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์
Myth/Life/Crisis
6 July 2020

Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา เขียนถึงการแสดงเรื่อง Swan Lake ในประเด็นเกี่ยวกับ “ลักษณะที่เราปฏิเสธหรือไม่ตระหนักรู้ว่ามีอยู่ในตัวเองหรือด้านที่ยังดิบ ทั้งนี้ ไม่ได้จำกัดแค่ด้านร้าย” นี่คือนิยามง่ายๆ ของเงามืด (Shadow) ของเรา ยิ่งเรารู้จักเงามืดในตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็มีอิสรภาพทางใจและทางความสัมพันธ์มากขึ้นเท่านั้น
  • เงามืดที่เราไม่ตระหนักรู้จะหาทางสร้างสมดุลให้เรา โดยอาจปรากฏขึ้นเป็นการเสพติดความสัมพันธ์กับคนที่แสดงเงามืดของเรา ซึ่งอาจเป็นความสัมพันธ์ที่เรื้อรังหรือเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
  • เช่น คนที่เคยชินกับการทำตามความต้องการของคนอื่นมากกว่าตัวเอง ย่อมดึงดูดคนที่ชอบชี้นำให้วนเวียนอยู่ในชีวิต หรือใครคนหนึ่งพยายามทำตามกฎเกณฑ์ มีมาตรฐานความซื่อสัตย์ซื่อตรงสูง ทว่าอยู่มาวันหนึ่งเขากลับรู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่างแรงกล้าให้คบกับคนขี้โกงและเล่นไม่ซื่อ 

“แสงยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ เงาก็ยิ่งมืดมากเท่านั้น” – คาร์ล กุสตาฟ ยุง

นิทานที่จะเล่าต่อไปนี้มาจากการแสดงเรื่อง Swan Lake ซึ่งแต่งโดยไชคอฟสกี (ชื่อเต็ม Pyotr Ilyich Tchaikovsky) โครงเรื่องดังกล่าวไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใด หากแต่เป็นไปได้ว่ามาจากนิทานพื้นบ้านรัสเซียและเยอรมัน คณะแสดงต่างๆ เล่าเรื่อง Swan Lake อยู่หลายเวอร์ชัน กระนั้น แกนเรื่องที่มีร่วมกันก็คือตัวละครต่างๆ ในเรื่อง ล้วนทำให้เราเห็นภาพชัดเจนของลักษณะที่ได้รับการพิจารณาว่าดีงาม และขั้วตรงข้ามอันเป็นเงามืด (Shadow) ที่ถูกขัดเกลาให้ผลักไสออกจากนิสัยของเรา ซึ่งส่งผลให้มนุษย์มีแนวโน้มต้องแสดงหรือรับรู้เฉพาะพฤติกรรมอันเป็นที่ยอมรับและทิ้งส่วนที่เหลือไว้ในเงามืด*

ทั้งนี้ ขอนิยามเงามืดใหม่อย่างเรียบง่ายเพื่อความสะดวกต่อการนำไปประยุกต์ใช้ว่า เป็นลักษณะที่เราปฏิเสธหรือไม่ตระหนักรู้ในตัวเอง หรือด้านที่ยังดิบซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ด้านร้าย (รวมกรณีกลับกันที่เราโอบกอดเฉพาะด้าน ‘ร้ายๆ’ แต่ปฏิเสธคุณความดีภายในตัวเองด้วย) ยิ่งเรารู้จักเงามืดในตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็มีอิสรภาพทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะมีความสงบสันติมากขึ้นในการสัมพันธ์กับคนอื่น และคนกลุ่ม ‘อื่น’

1.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ปราสาทเยอรมันโบราณซึ่งตั้งตระหง่านโอบล้อมด้วยขุนเขาและสายน้ำ มีการจัดงานฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดของเจ้าชายซิกฟรีด ในวันนั้นเองเขาได้เข้าไปในป่าพร้อมกับของขวัญวันเกิดจากมารดา ในป่านั้นเขาได้พบกับทะเลสาบลึกลับซึ่งมีฝูงหงส์ร่อนพลิ้วอยู่เหนือผืนน้ำ เมื่อแสงจันทร์แห่งราตรีทอประกายระยับบนผืนทะเลสาป หงส์สวมมงกุฎก็ปรากฏร่างเป็นสาวผู้มีความงามอันบริสุทธิ์ขึ้นต่อหน้า เธอมีนามว่าโอเด็ตต์ ซิกฟรีดทราบจากโอเด็ตต์ว่าตัวเธอเองและหญิงสาวอีกมากมายถูกพ่อมดผู้มีอำนาจมนตร์ดำชื่อ ฟอน รอธบาร์ต (Von Rothbart) สาปให้กลายเป็นหงส์ และหนทางเดียวที่จะถอนคำสาปดังกล่าวก็คือ ต้องมีชายหัวใจบริสุทธิ์มอบสัญญารักแด่เธอ

วันต่อมาได้มีการจัดงานเพื่อให้ซิกฟรีดเลือกเจ้าสาว โดยมีหญิงสาวมากมายมาร่วมงาน หนึ่งในนั้นคือสาวงามผู้มีรูปโฉมเหมือนโอเด็ตต์ไม่ผิดเพี้ยน ทว่าแท้จริงแล้วเธอคือ โอดีล ลูกสาวของพ่อมดรอธบาร์ต ซึ่งรอธบาร์ตเพียงแต่เสกให้โอดีลมีรูปโฉมเหมือนกับโอเด็ตต์เท่านั้น ด้วยความเข้าใจผิด ซิกฟรีดจึงสารภาพรักและขอแต่งงานกับโอดีล โอเด็ตต์ตัวจริงที่แอบมองอยู่ผละหนีออกไปทำให้ซิกฟรีดตื่นจากความลวง เขาวิ่งตามโอเด็ตต์ตัวจริงไปยังทะเลสาบ แต่แล้วรอธบาร์ตกับโอดีลก็ตามมาปรากฏร่างเป็นอสูรกายคล้ายนก รอธบาร์ตลำเลิกให้ซิกฟรีดแต่งงานกับลูกสาวของเขาตาม ‘พันธะสัญญา’ ทว่าซิกฟรีดยอมกระโดดน้ำตายไปกับคนรัก ฉับพลันนั้น หญิงสาวทั้งหลายที่เคยถูกสาปก็คืนร่างจากหงส์กลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง…  คำสาปสิ้นฤทธิ์แล้ว

2.

ตามท้องเรื่อง พ่อมดรอธบาร์ตมีอำนาจมืด และลูกสาวของเขาก็มีเล่ห์กลแพรวพราว ทั้งคู่เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามของซิกฟรีดกับโอเด็ตต์ ที่คนหนึ่งถูกเล่าให้เป็นพระเอกแต่ไร้ซึ่งอำนาจเมื่อเทียบกับพ่อมด ส่วนอีกคนก็ถูกเล่าให้เป็นนางเอกผู้มีความงามอันขาวบริสุทธิ์ แต่ถูกขังในร่างหงส์ในเวลากลางวัน สองคู่ความสัมพันธ์นี้ เปรียบเหมือนลักษณะที่เป็นเงามืดและแสงสว่างในตัวเราเอง และเราอาจแสดงลักษณะบางอย่างบ่อยครั้งในชีวิตประจำวันก็ได้เพียงแค่เราไม่รู้ตัว ความไม่รู้ตัวนี้เองที่ทำให้เราไร้อำนาจเหนือตนเอง ซึ่งก็คือการมีอิสรภาพทางใจน้อย   

นักจิตบำบัดท่านหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทำบำบัดตามแนวทางของคาร์ล ยุง (จิตแพทย์ผู้ก่อตั้งจิตวิทยาวิเคราะห์ เกิดที่สวิตเซอร์แลนด์ (1875-1961)) เคยถ่ายทอดกรณีศึกษาเกี่ยวกับคนไข้ให้ฟัง โดยเล่าขนานไปกับเทพนิยายจีนซึ่งมีโครงสร้างคล้าย Swan Lake ทำนองว่านางเอกเป็นเทพีใสๆ ที่แสนดีและรักกับชายคนหนึ่งอยู่ แต่ต่อมาเธอถูกแย่งคนรักโดยนางยั่วพราวเสน่ห์ นางเอกเศร้าโศกกระทั่งเสื่อมสภาพทิพย์ กระนั้น คนไข้แสดงทั้งลักษณะของทั้ง ‘นางเอก’และ ‘นางร้าย’ ในเทพนิยาย ทั้งนี้ ด้านที่คนไข้ยังไม่ตระหนักถึงหรือปฏิเสธก็คือเงามืดของคนไข้เอง

ในแวดวงทางศาสนาและจิตวิญญาณ เราอาจเจอการทอดเงามืดที่เข้มข้นกว่านั้นอีก ศาสนาต่างๆ มักมีตัวอย่างของบุคคลที่ใสสว่างบริสุทธิ์ เช่น ศาสดาหรือนักบุญ ซึ่งทอดเงามืดเป็นมาร เป็นซาตาน เป็นปิศาจ ภาพด้านสว่างทำให้ผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนาบางส่วนรู้สึกว่าตนจะดีพอก็ต่อเมื่อเป็นไปตามอุดมคติบางอย่างแล้วเท่านั้น 

Rob Preece อาจารย์ด้านภาวนาในสหราชอาณาจักร ผู้เป็นทั้งนักจิตบำบัดและมีความรู้จิตวิทยาสายคาร์ล ยุงด้วย เคยเล่าไว้ในหนังสือว่าเขาเคยรู้สึกไร้ค่าและเห็นแก่ตัวเมื่อเทียบกับอุดมคติของพระโพธิสัตว์ ส่วนพระเทวทัตซึ่งมีลักษณะเป็นเงามืดของพระพุทธเจ้าก็อาจรู้สึกแบบนี้ด้วย

นอกจากแวดวงศาสนาแล้ว แวดวงความเคลื่อนไหวทางสังคมก็ทอดเงามืดไม่น้อยไปกว่ากัน กระนั้น เจ้าปู่แห่งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอันอยุติธรรมก็ยังจงใจแสดงลักษณะที่ชอบความเหลื่อมล้ำบ้าง ไม่ชอบความเหลื่อมล้ำบ้างให้ศิษยานุศิษย์ดูเป็นวิทยาทานเสมอ ในที่สุดแล้วคงไม่มีใครที่มีแค่ลักษณะตามอุดมคติหรืออุดมการณ์ไหนได้ตลอดไป มีก็แต่เพียงสภาวะอย่างนั้นอย่างนี้ที่เกิด-ดับๆ แล้วเราเอามาลากเส้นต่อจุดเองว่าเราเป็นแค่สิ่งซึ่งแสดงคุณค่าที่เรายึดถืออยู่ แล้วจุดไหนที่เราไม่ชอบก็มักโยนไปให้คนอื่น ซึ่งมันจะอันตรายมากขึ้นหากมีกลุ่มคนพร้อมใจกันโยนลักษณะที่ปฏิเสธไปให้กลุ่มอื่น เฉกเช่นที่นาซีเยอรมันโยนเงามืดไปที่ชาวยิว  

มีตัวอย่างให้เห็นทั้งเรื่องครูทางจิตวิญญาณ ผู้ปฏิบัติธรรมและนักเคลื่อนไหวทางสังคมทั้งหลาย ซึ่งในที่สุดแล้วก็จำเป็นต้องยอมรับอีกด้านหนึ่งของตนเอง แม้จะเป็นเรื่องเจ็บปวดเพราะมันอาจเชื่อมโยงกับความรู้สึกผิด บาดแผลแห่งความไร้ค่าและการไม่ใช่คนพิเศษ แต่ความเจ็บปวดก็จะนำไปสู่การเติบโต และสู่ความกรุณาต่อผู้ ‘อื่น’ อย่างแท้จริงได้ (อ่านเพิ่มเติมใน The Wisdom of Imperfection ที่อ้างอิง)

ในจิตบำบัดสายยุงและที่ได้รับอิทธิพลจากยุง นักบำบัดมักพบว่าผู้เข้ารับการบำบัดทาบตัวเองอยู่กับบุคลิกลักษณะเพียงด้านเดียวเป็นเวลานาน กระทั่งวันหนึ่งเขารู้สึกอึดอัดในการดำเนินชีวิต บ้างก็ถึงขั้นทรมานสาหัส ในกระบวนการบำบัดเขาจะได้เผชิญกับลักษณะบางอย่างในตัวที่ละเลยไป พื้นที่ของการบำบัดจึงเป็นเหมือนทะเลสาปในป่าห่างไกลบ้านอันคุ้นเคย ที่ซึ่งเขาจะได้เจอกับเงามืดของตัวเอง 

การที่นักบำบัดสามารถทำให้เขาตระหนักรู้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เคยรับรู้ และโอบกอดลักษณะที่ไม่อยากจะรับรู้ในตัวเองได้นั้น ช่วยให้คนไข้ปลดล็อคตัวเองจากความคับข้อง และดำเนินชีวิตได้อย่างโปร่งโล่งมากขึ้น นอกจากนั้นก็ยังลดความเสี่ยงอันตรายจากความสัมพันธ์กับคนที่แสดงลักษณะอันเป็นเงามืดของเราด้วย 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราพยายามจะเป็น ‘คนดี’ ตามอุดมคติราวกับโอเด็ตต์ผู้อ่อนโยน และรับรู้เฉพาะด้านที่เราคิดว่าดี โดยที่มองไม่เห็นเงามืดของตนเองเลย เราก็ไม่สมดุล 

จากนั้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิต เงามืดที่เราไม่ตระหนักรู้ก็จะหาทางสร้างสมดุลให้เราโดยอาจไปปรากฏอยู่ในการเสพติดความสัมพันธ์กับคนที่แสดงลักษณะอันเป็นเงามืดของเราอย่างที่สุด ซึ่งมักทำให้ทุกข์และอาจมีการทำร้ายร่างกายร่วมด้วย เราจึงกลายเป็นหอคอยที่รอวันพังทลายลงมา โดยความสัมพันธ์ลักษณะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมาอย่างเรื้อรัง แต่เราตัดไม่ขาด หรืออีกแบบคือ อยู่ดีๆ ก็สนใจคนที่เรารู้ว่าอันตรายขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่อยากคบค้ากับคนลักษณะดังกล่าวเลย

ตัวอย่างความสัมพันธ์กับเงามืดอย่างเรื้อรัง คนที่ยอมคนอื่นมาตลอดและเคยชินกับการทำตามความต้องการของคนอื่นมากกว่าตัวเองย่อมดึงดูดคนที่ชอบใช้อำนาจชี้นำให้วนเวียนอยู่ในชีวิต คนลักษณะนี้บางคนก็ถึงขนาดรู้สึกถูกปฏิเสธหรือรู้สึกผิดอย่างง่ายดายเมื่อคนอื่นไม่พอใจเขา แม้ในเรื่องที่เขาไม่ผิด (มักเกี่ยวข้องกับบาดแผลในอดีตแต่ขอละไว้กล่าวในวาระถัดไป) กระทั่งวันหนึ่งเขาแบกรับการทำตัวเป็นประชากรชั้นสองที่ให้ความต้องการของคนอื่นสำคัญกว่าของเขาเองเสมอไม่ไหวแล้ว จิตใจที่อลหม่านของเขาบ่งบอกว่าลักษณะอันมีอำนาจของพ่อมดรอธบาร์ตในตัวที่เขาไม่ยอมรับรู้หรือไม่กล้าใช้นั้น ต้องการขึ้นมามีบทบาทบ้างแล้ว 

นี่ทำให้นึกถึงยักษ์นนทกผู้ล้างเท้าให้เหล่าเทวดาและถูกเทวดาเล่นผมจนหัวล้านซึ่งภายหลังเขาไปเกิดเป็นยักษ์ทรงพลานุภาพชื่อทศกัณฐ์ อันเป็นภาพที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงภายในใจแบบที่กล่าวไป

อย่างไรก็ดี หลายกรณีคนลักษณะนี้ก็ต้องเตือนตัวเองว่าอย่าทำตัวเองให้เป็น ‘เหยื่อ’ เพราะบางคนที่มาสัมพันธ์กับเราก็ไม่ได้เจตนาจะชี้นำหรือใช้อำนาจกับเราถึงเพียงนั้น ทว่าหากเราเอาแต่แสดงถ้าทีคล้อยตามความต้องการของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ย่อมไม่อาจรู้ใจและรอมชอมให้ถูกใจเราได้ 

ตัวอย่างความสัมพันธ์กับเงามืดอย่างฉับพลัน ใครคนหนึ่งพยายามทำตามกฎเกณฑ์มาตลอด เขามีมาตรฐานเรื่องความซื่อสัตย์ซื่อตรงสูง เขาหลีกเลี่ยงคบค้ากับคนเจ้าเล่ห์ซึ่งพลิกลิ้นอย่างง่ายดายเพื่อโกยประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เขาใช้ชีวิตราวกับถูกแช่แข็งในร่างหงส์ขาว ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง เขากลับรู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่างแรงกล้าให้สมาคมกับคนขี้โกงไร้สัจจะ แม้เขารู้แน่ว่านี่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่นำไปสู่สันติสุขแล้วเขาก็พังพินาศจริงๆ และตระหนักในที่สุดว่า บางเวลา เขาก็ไม่ได้ซื่อตรงขนาดที่ตัวเองคิด และบางครั้งเขาก็เล่นเกมเพื่อเจรจาต่อรองเหมือนกัน 

กระบวนการตระหนักรู้เงามืดในตนเองอาจเป็นเรื่องเจ็บปวดปางตาย แต่ก็ช่วยปลดบ่วงปิศาจให้เขาเป็นอิสระจากความสัมพันธ์อันเป็นพิษในที่สุด ในสังคมไทยบางส่วน เรามักจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความสัมพันธ์กับเจ้ากรรมนายเวร แต่ในทางจิตวิทยานั้น เรากำลังสัมพันธ์กับเงามืดของตนเอง

เมื่อเราเต็มใจที่จะรู้จักกับเงามืดของตน และยอมให้ตัวตนคับแคบที่ถูกขังอยู่ในลักษณะชุดหนึ่งชุดเดียวตายจากไป ตัวตนใหม่ก็ผุดขึ้นข้ามพ้นทวิลักษณ์ เรามีความทั่วถ้วนและอิสรภาพมากขึ้น และเสี่ยงน้อยลงที่จะตกอยู่ในอำนาจของคนอื่น อีกทั้งมีแนวโน้มน้อยลงที่จะมองว่าคนอื่นชั่วร้ายไปอย่างสุดโต่งกระทั่งเกิดความชอบธรรมให้เราทำร้ายเขา

ซิกฟรีดและโอเด็ตต์ช่วยปลดล็อคให้หงส์ทั้งหลายในทะเลสาบหลุดจากอำนาจคำสาปกลายเป็นคนใหม่เพราะพวกเขาได้รู้จักเงามืดของตน นี่แหละคือของขวัญวันเกิดจากมารดาของซิกฟรีด 

เพียงเรารู้จักกับเงามืดของตนเอง ก็เป็นการทำประโยชน์อย่างหนึ่งให้กับโลกแล้ว

*ตัวละครต่างๆ ของบัลเลต์เรื่อง Swan Lake คล้ายคลึงกับองค์ประกอบหลายอย่างในบทละครเรื่อง Faust ของเกอเต้ ซึ่งสามารถวิเคราะห์บางตัวละครในแง่การเป็น Anima ได้ด้วย เช่น หญิงสาวชื่อโอเด็ดเป็น Anima หรือภาพลักษณ์วิญญาณของซิกฟรีด ที่แสดงออกแบบพระแม่มาเรีย ส่วนโอดีลก็เป็น Anima แบบหญิงร้อยเล่ห์มารยาที่อาจใช้เสน่ห์ชักใยซิกฟรีดสู่ความพินาศได้ เป็นต้น ภาพลักษณวิญญาณก็เหมือนกับเงามืด (Shadow) ที่อยู่ในส่วนจิตไร้สำนึก (unconscious) รายละเอียดปรากฏตามหนังสือเกี่ยวกับ Carl Jung ที่อ้างอิงตอนท้าย โดยนักวิชาการสายยุงแต่ละคนอาจอธิบายแนวคิดเคลื่อนกันเล็กน้อย สิ่งสำคัญจึงควรเป็นความตระหนักรู้ในตัวเองมากกว่าทฤษฎี
อ้างอิง
บทละครเรื่อง Swan Lake จากโรงละครแห่งรัสเซีย Bolshoi
บทละครเรื่อง Swan Lake จาก Liveabout แห่งมหานครนิวยอร์ค
Introducing Jung เขียนโดย Maggie Hyde
Jung A very short Introduction เขียนโดย Anthony Stevens
“Psychology and Religion: West and East” ใน Collected Works, volume 11 เขียนโดย Carl Jung
The Wisdom of Imperfection: The Challenge of Individuation in Buddhist Life เขียนโดย Rob Preece

Tags:

จิตวิทยาการเติบโตMyth Life Crisis

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Life classroom
    Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    เลี้ยงอย่างไรหลังหย่าร้าง : ลูกจะโอเคที่สุดเมื่อพ่อแม่ไม่ขัดแย้งกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

Atypical: มุมมองครอบครัวที่ลูกมีภาวะออทิสติก แต่สมาชิกทุกคน (ต้อง) สำคัญเท่ากัน
Dear ParentsMovie
3 July 2020

Atypical: มุมมองครอบครัวที่ลูกมีภาวะออทิสติก แต่สมาชิกทุกคน (ต้อง) สำคัญเท่ากัน

เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • มีครั้งหนึ่งที่เคซี่ (น้องสาว) ได้โอกาสเรียนต่อม.ปลายที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังด้วยโควต้านักกีฬา แต่พ่อแม่กลับสนใจแต่เรื่องของแซม (พี่ชายซึ่งมีภาวะออทิสติก) เคซี่แทบจะไม่งอแงในเรื่องนี้ เธอรักพี่ชายและรู้ดีว่าแซมต้องมาก่อน แต่ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกหรอกนะ แฟนของเคซี่ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยทนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเคซี่ไม่ไหว ลุกขึ้นเพื่อพูดความจริงจุกๆ อย่างหนึ่งให้พ่อและแม่ของเคซี่ฟังว่า ‘ผมรู้ว่าแซมต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แต่พวกคุณไม่ได้มีลูกคนเดียวนะ’
  • Atypical รวมหลายเรื่องราวแสนจุกจิกในครอบครัว ทั้งจุดเริ่มต้นการไม่เชื่อใจกันของสามีภรรยา การรับฟังที่จริงใจ การโอบอุ้มความสัมพันธ์ที่แตกหักให้กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง และเราจะได้สัมผัสมุมมองครอบครัวที่ลูกมีภาวะออทิสติกอันทำให้เราเข้าใจความต้องการที่แตกต่างไปจากรูปแบบปกติดูบ้าง เป็นซีรีส์ครอบครัวในดวงใจของเราที่อยากให้ทุกคนได้ดู
  • ซึ่งแม้แซมจะต้องการการดูแลเป็นพิเศษก็จริง แต่ทุกคนใกล้ตัวของเค้าก็ไม่ได้ปฏิบัติกับแซมแบบแตกต่าง แซมก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยากใช้ชีวิตปกติทั่วไป

Tags:

Atypicalออทิสติก (Autistic disorder)จิตวิทยาซีรีส์ความสัมพันธ์

Author & Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Relationship
    ปัดจอจนเหนื่อยใจ แล้วไหนล่ะคู่ฉัน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา?

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ระเบียบ ‘ชุดนักเรียน’ ยืดหยุ่นไม่ได้จริงหรือ? คุยกับโรงเรียนที่ให้นักเรียนแต่งไปรเวท
Social Issues
3 July 2020

ระเบียบ ‘ชุดนักเรียน’ ยืดหยุ่นไม่ได้จริงหรือ? คุยกับโรงเรียนที่ให้นักเรียนแต่งไปรเวท

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • จากกรณี ‘ผู้ปกครองขโมยชุดนักเรียน’ เนื่องจากพิษเศรษฐกิจโควิด-19 สื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์ต่างวิพากษ์กันไปหลายสาย ตั้งแต่ประเด็นเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ ที่หนักหนาเสียงดังที่สุด ไม่พ้นคำถามที่ว่า ‘ชุดนักเรียนยังจำเป็นอยู่ไหม?’ 
  • เพื่อคลี่คลายประเด็นดังกล่าวและเสนอทางเลือกให้กับโรงเรียนและครอบครัวอย่างสมจริง The Potential ต่อสายตรงถึง ผู้อำนวยการโรงเรียนรัฐบาลสองแห่ง ซึ่งมีมติให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทได้ 1 วัน/สัปดาห์ คือ สมรักษ์ พรมมาสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ–หนองศาลาศรีสะอาด จังหวัดศรีสะเกษ และเสถียร พันธ์งาม ผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองคง (คงคาวิทยา) จังหวัดศรีสะเกษ 
  • “พูดกันตามตรง ระเบียบที่เข้มงวดก็เป็นกับดักหรือกำแพงกั้นจินตนาการ เสรีภาพ ภราดรภาพนะ เราใส่เสื้อโหลทั้งประเทศก็เหมือนการศึกษาที่เป็นบล็อก การศึกษาที่ไม่คำถึงถึงต้นทุนภูมิสังคมแต่ละพื้นที่ กลายเป็นกับดักทำให้การศึกษาวนอยู่ในอ่าง มันเป็นปัญหาแน่ๆ มันต้องมีคนกล้าพอจะทำและมีคำอธิบายที่ชัดเจนพอกับผู้เกี่ยวข้อง” ผ.อ.เสถียร พันธ์งาม

จากกรณี ‘ผู้ปกครองขโมยชุดนักเรียน’ เนื่องจากพิษเศรษฐกิจโควิด-19 สื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์ต่างวิพากษ์กันไปหลายสาย ตั้งแต่ประเด็นเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ ที่หนักหนาเสียงดังที่สุด ไม่พ้นคำถามที่ว่า ‘ชุดนักเรียนยังจำเป็นอยู่ไหม?’ 

โดยในประเด็นนี้ หลายคนชวนคุยกันว่า ที่มาของกฎเรื่องชุดนักเรียนก็เพื่อต้องการสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย ลดภาพความเหลื่อมล้ำเพราะหากให้นักเรียนใส่ไปรเวทอาจทำให้เกิดการแข่งขันทางแฟชั่น และจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในที่สุดนั้น แต่ภาพข่าวนี้กลับเห็นชัดว่า ค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์แรกเข้าทางการศึกษา อย่างชุดนักเรียน ก็สร้างภาระให้ผู้ปกครองหนักหนาไม่ต่างกัน 

เพื่อคลี่คลายประเด็นดังกล่าวและเสนอทางเลือกให้กับโรงเรียนและครอบครัวอย่างสมจริง The Potential ต่อสายตรงถึง ผู้อำนวยการโรงเรียนรัฐบาลสองแห่ง ซึ่งมีมติให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทได้ 1 วัน/สัปดาห์ คือ 

  • สมรักษ์ พรมมาสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ–หนองศาลาศรีสะอาด จังหวัดศรีสะเกษ 
  • เสถียร พันธ์งาม ผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา) จังหวัดศรีสะเกษ 

ชวนดูว่า วิธีคิดของผู้อำนวยการในการตัดสินใจจะ ‘ยืดหยุ่น’ เรื่องชุดนักเรียน มีวิธีคิดแบบไหน กระบวนการในการพูดคุยเรื่องชุดนักเรียนมีอะไรบ้าง และ ฟีดแบกจากผู้ปกครองและนักเรียนในโรงเรียนนั้นๆ เป็นอย่างไร 

แต่ก่อนจะว่ากันเรื่องวิธีคิดและกระบวนการ อยากชวนตั้งต้นที่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่สรุปใจความได้ว่า ระเบียบกระทรวงเขียนชัดเรื่องระเบียบชุดนักเรียนว่าต้องเป็นไปตามระเบียบดังกล่าว แต่ก็มีข้อยกเว้น ดังข้อ ๔ ๑๕ และ ๑๖ เขียนว่า 

  • ข้อ ๔ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแก่นักเรียนผู้ซึ่งศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ เว้นแต่สถานศึกษานั้นจะมีกฎหมายกำหนดเรื่องการแต่งกายไว้เป็นการเฉพาะแล้ว 
  • ข้อ ๑๕ สถานศึกษาใดจะกำหนดให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด นักศึกษาวิชาทหารหรือแต่งชุดพื้นเอง ชุดไทย ชุดลำลอง ชุดฝึกงาน ชุดกีฬา ชุดนาฏศิลป์ หรือชุดอื่นๆ แทนเครื่องแบบนักเรียนตามระเบียบนี้ในวันใด ให้เป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนด โดยคำนึงถึงความประหยัดและเหมาะสม 
  • ข้อ ๑๖ ในกรณีมีเหตุจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษให้สถานศึกษาพิจารณญายกเว้นหรือผ่อนผันการแต่งเครื่องแบบนักเรียนได้ตามความเหมาะสม

ชุดนักเรียนต้องเปี่ยมจินตนาการ ไม่เป็นอุปสรรคการเรียนรู้ : ผอ. เสถียร พันธ์งาม

ที่โรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา) จังหวัดศรีสะเกษ นักเรียนและครูที่นี่ใส่ชุดนักเรียนแค่ 2 วัน/สัปดาห์ นั่นคือวันจันทร์ และ วันพุธ โดยวันจันทร์นักเรียนใส่ชุดนักเรียนเต็มสูบ ครูใส่ชุดราชการสีกากีเต็มรูปแบบ ส่วนวันพุธใส่ชุดลูกเสือ แต่ยังมีเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นไปอีกว่า จะใส่ชุดลูกเสือเต็มรูปแบบก็เฉพาะในวันพุธสุดท้ายของเดือน หรือ สัปดาห์ที่ 4 เท่านั้น ส่วนวันพุธในสัปดาห์ที่ 1 ถึง 3 ของทุกเดือน ให้นักเรียนและครูใส่ชุดลำลองได้ เพียงแต่ใส่สัญลักษณ์อย่างผ้าผูกคอเท่านั้น เพราะผอ.เสถียรบอกว่า การเรียนลูกเสือไม่ใช่มีแค่การเปิดกองเท่านั้น  เด็กต้องทำกิจกรรมหลายอย่าง ต้องลุยทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ มากมาย การแต่งกายของลูกเสือจึงต้องมีการยืดหยุ่น ได้อย่างเหมาะสม 

“ ในตรรกะการแต่งกาย ผอ. คิดแบบนี้นะ หนึ่ง – ผอ. เข้าใจมาตลอดว่าเราแต่งกาย หรือใส่เสื้อผ้าก็เพื่อปกป้องร่างกายส่วนที่ไม่พึงเปิดเผยต่อสาธารณะ ต่อมาเสื้อผ้าก็ถูกออกแบบจากจินตนาการให้สวยงามโดยมีนิยามของคำว่า ‘สุภาพ’ คลุมไว้   สอง-ร่างกายของคนเราก็น่าจะมีเสรีภาพที่จะใส่เสื้อผ้าอะไรก็ได้ สาม – ผอ. คิดถึงเรื่องภูมิสังคม ต้นทุนสังคมในแต่ละพื้นที่ 

“สี่ – การเรียนรู้ทุกวันนี้ ต้องการให้เป็น active learning เด็กต้องเรียนทั้งในและนอกห้อง ต้องเผชิญสภาพจริง ต้องไปลงนา ถอนกล้า เข้าสวนปลูกต้นไม้ แหล่งเรียนรู้มันอยู่นอกห้อง เด็กต้องลุย  ข้อนี้ เครื่องแบบเลยกลับเป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการเรียนรู้ของเด็กในศตวรรษที่ 21” 

เมื่อสี่ปีก่อน โรงเรียนได้ทดลองใช้หลักการจัดการเรียนรู้ที่เป็น Active  Learning ผ่านนวัตกรรมกระบวนการ Friday is a Fly Day (วันศุกร์คือวันโบยบิน) โดยให้ทั้งครูและนักเรียนมีอิสระในการแต่งกายมาโรงเรียนในวันศุกร์ทุกสัปดาห์ ซึ่งทั้งเด็กนักเรียนและครูต่างก็ตื่นเต้นน่าดู มีความสุขกันถ้วนหน้า 

 พูดกันตามตรง ระเบียบที่เข้มงวดก็เป็นกับดักหรือกำแพงกั้นจินตนาการ เสรีภาพ ภราดรภาพนะ เราใส่เสื้อโหลทั้งประเทศก็เหมือนการศึกษาที่เป็นบล็อก การศึกษาที่ไม่คำถึงถึงต้นทุนภูมิสังคมแต่ละพื้นที่ กลายเป็นกับดักทำให้การศึกษาวนอยู่ในอ่าง มันเป็นปัญหาแน่ๆ มันต้องมีคนกล้าพอจะทำและมีคำอธิบายที่ชัดเจนพอกับผู้เกี่ยวข้อง” 

คนที่สี่ จากซ้ายมือ (เสื้อสีน้ำเงิน) ผอ.เสถียร พันธ์งาม

กระบวนการ 

“ผมเข้ามาเป็นผอ. ตอนอายุประมาณ 30 ปี เห็นนักเรียนใส่ชุดนักเรียนมาทุกวัน เวลาจะเล่นพละก็ต้องยัดชุดพละไว้ในกระเป๋าอีกที ทำไมเราต้องเพิ่มภาระให้นักเรียนขนาดนี้?” จึงเป็นเหตุผลให้ผอ.เสถียร เริ่มหารือกับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3 กลุ่มที่สำคัญ คือ ครู นักเรียน และ ผู้ปกครอง 

“ผอ. จะคุยหนักมาก ใช้เวลาเยอะมาก เรียกว่าทำประชาพิจารณ์กับ 3 กลุ่มนี้เลย คือ นักเรียน-เราคุยเยอะกับนักเรียนชั้นป. 4 5 6 เพราะเป็นวัยที่โตพอจะโยนคำถามเพื่อตัดสินใจกันได้แล้ว ผู้ปกครอง และ ครู – พูดให้เค้าฟังว่าเราทำไปเพื่ออะไร อธิบายทุกแง่มุม ข้อดี-ข้อเสีย ให้ข้อมูลครบทุกด้านและมาตัดสินใจร่วมกัน 

“มติเกือบเอกฉันท์เลยว่าโอเค แต่ตอนแรกก็มีผู้ปกครองบางส่วนที่เค้ายังยึดมั่นถือมั่นเรื่องวินัย ความเป็นเอกภาพขององค์กร เราก็อภิปรายว่าความเป็นเอกภาพไม่ได้มองแค่เอกลักษณ์ ลองทดลองกันดู พอเวลาผ่านไป เราได้ฟีดแบกจากผู้ปกครองกลุ่มนี้มาว่า ดีมากเพราะเค้าไม่ต้องเสียเวลารีดชุดนักเรียนให้กับลูก ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา” 

ยังมีเสียงห่วงกังวลว่า การให้ใส่ลำลอง นักเรียนที่บ้านร่ำรวยอาจใส่เสื้อผ้ามาอวดกัน? 

“ผมอธิบายว่าชุดนักเรียนมันก็เหลื่อมล้ำได้ ถ้ามองทางกายภาพชุดนักเรียนก็ว่าดีเพราะสีเดียวกัน แต่พอเจาะเข้าไป เด็กมันรู้นะว่าอะไรแพงอะไรถูก แค่รองเท้านักเรียนก็เห็นแล้ว แล้วเราจะเอาเรื่องนี้มาสกัดกั้นจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กเหรอ? ผอ.มองว่ามันไม่คุ้มหรอก” 

แต่ขั้นกระบวนการ ยังมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน เป็นแกนไว้อยู่ เรื่องนี้ผอ. เสถียรกล่าวว่า แต่โรงเรียนก็มีอำนาจในการทำหลักสูตรสถานศึกษา ที่โรงเรียนจะเป็นผู้กำหนดแผนการศึกษาของนักเรียน 

“เราเขียนไปเลยว่าเราจะเรียนด้วยวิธีการแบบไหน เช่น เราจะเรียนแบบ active learning แผนการเรียนก็เขียนไปว่านักเรียนต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ ไปเรียนรู้กับแหล่งการเรียนรู้ชุมชน ต้องขุดดิน ลุยโคลน  ปลูกต้นไม้ รดน้ำพรวนดินแหล่งการเรียนรู้เป็นแบบนี้ก็ต้องตามมาด้วยเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมและสุภาพ 

“เขาให้อำนาจโรงเรียนทำหลักสูตรสถานศึกษาและนี่คือจุดที่จะปลดล็อกให้เราได้ เพราะระเบียบยังไม่ถูกยกเลิก แต่เจตนาของระเบียบก็เพื่อให้โรงเรียนจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นก็ต้องมาออกแบบการเรียนรู้ว่าโรงเรียนเราจะออกแบบยังไง เมื่อมีหลักสูตรสถานศึกษาของเราแล้ว ใครจะตั้งกรรมการสอบยังไง แต่เราอ้างหลักสูตรตัวนี้แหละ ถ้าจะมีปัญหาก็คือ แต่ละโรงเรียนไม่ได้ออกแบบหลักสูตรการศึกษาเอง เพราะมันทำยาก ต้องเก็บข้อมูลพอสมควร ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยเขียนเอง แต่ใช้หลักสูตรกลางซึ่งนักวิชาการเขียนแล้วเอามาใช้กันทั้งประเทศ” 

เอาความสุขเด็กๆ เป็นที่ตั้ง: ผอ.สมรักษ์ พรมมาสุข 

อาจมีผู้อ่านบางคนเคยอ่านบทความ โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู ถ่ายทอดเรื่องราวของโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ-หนองศาลาศรีสะอาด พวกเขาสนับสนุนให้เด็กๆ ได้เป็นตัวของตัวเอง เปิดโอกาสให้ได้เติบโตอย่างมีอิสระ ไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด จุดหนึ่งที่แสดงออก คือ ทุกวันศุกร์ พวกเขาจะให้เด็กๆ แต่งกายด้วยชุดไปรเวท

ผอ.สมรักษ์ พรมมาสุข ผู้อำนวยการโรงเรียน เล่าให้ฟังว่า ตัวเองได้ไอเดียจากตอนไปศึกษาดูงานตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาโรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงเรียนรุ่งอรุณ ที่เด็กๆ แต่งกายด้วยชุดไปรเวท ผอ.สมรักษ์เกิดไอเดีย ‘ทำไมเราไม่ให้เด็กๆ แต่งกายด้วยชุดไปรเวทบ้างล่ะ?’

เรามองว่าการใส่ชุดนักเรียน เป็นเหมือนกรอบที่นักเรียนทุกคนต้องปฎิบัติตาม ต้องใส่ชุดนักเรียน เท่ากับ เป็นนักเรียน ไปโรงเรียนก็ต้องฟังครูสอน ต้องทำตามที่ครูบอก ฉะนั้น ถ้าเราให้นักเรียนแต่งชุดไปรเวท ก็เหมือนปลดล็อคให้นักเรียนออกจากกรอบ ให้เขาได้คิดเองว่าจะแต่งชุดแบบไหน ให้อิสระกับเขา ให้มีความคิดเป็นของเขาเอง 

“แล้วการแต่งชุดไปรเวทมันก็ไม่ได้กระทบกระเทือนต่อการเรียน เหมือนแต่งตัวอยู่บ้าน เด็กๆ จะได้เรียนรู้ตามธรรมชาติของเขา ทำกิจกรรมคล่องตัว ได้แสวงหาความรู้เอง มีอิสระในการทำงานมากขึ้น และทุกคนได้เป็นตัวของตัวเอง”

ผอ.สมรักษ์ พรมมาสุข 

พอได้ไอเดียปุ๊บ ผอ.สมรักษ์ตัดสินใจนำไปเสนอกับคณะกรรมการสถานศึกษาของโรงเรียน อันเป็นไปตามมาตราที่ ๓๘ ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ กำหนดว่าโรงเรียนจะต้องจัดตั้งคณะกรรมการสถานศึกษาประจำโรงเรียน เพื่อทำหน้าที่กำกับและส่งเสริมการทำงานในโรงเรียน จากนั้นไปคุยกับครู ผู้ปกครอง และเด็กๆ จนได้เป็นมติทดลองใส่ชุดไปรเวทอังคารถึงศุกร์ ส่วนวันจันทร์แต่งกายด้วยชุดนักเรียนเหมือนเดิม 

หลังจากทดลองทำมาหนึ่งเทอมปีการศึกษา 2562 ปรากฎว่าได้รับเสียงตอบรับจากฝั่งเด็กๆ อย่างล้นหลาม พวกเขาชื่นชอบและสนุกที่จะได้แต่งตัวแบบไหนก็ได้ที่อยากแต่ง ส่วนผู้ปกครองยังมีมุมมองว่า เมื่อลูกไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนแล้วดูไม่เหมือนนักเรียน ไม่เป็นระเบียบวินัย ผอ.สมรักษ์และครูในโรงเรียนจึงช่วยกันหาจุดตรงกลาง ปีนี้พวกเขาเปลี่ยนใหม่ให้ใส่ชุดไปรเวทเฉพาะวันศุกร์ ส่วนวันอื่นๆ อย่างจันทร์และพฤหัสบดีสวมชุดนักเรียน วันอังคารใส่ชุดกีฬา และวันพุธใส่ชุดลูกเสือ-เนตรนารี

“พอใกล้จะถึงวันศุกร์นะ เด็กๆ เขาจะตั้งตารอเลยว่าแต่งชุดอะไรดี มีบางห้องที่เขามาคุยกับเราบอกว่าห้องเขาอยากทำชุดยูนิฟอร์มใส่เองในวันศุกร์ มาขออนุญาตว่าทำได้ไหม เราก็ตอบว่า ‘แล้วแต่เด็กๆ เลย ไม่ติดอะไร’ แต่ก็มีถามเขาต่อนะว่าแล้วจะหาเงินทำชุดจากที่ไหน เด็กๆ เขาก็คุยกันต่อว่าจะค้าขายผัก ทำสักประมาณ 1 เดือนจะได้เงินก้อนนี้ เราก็เปิดโอกาสให้เด็กๆ ลองดู ท้าทายเขาไป

“อย่างชุดกีฬาเราก็ให้เด็กๆ ออกแบบเองว่าอยากใส่แบบไหน ครูเอาตัวอย่างมาให้ช่วยกันเลือก โรงเรียนและผู้ปกครองก็ช่วยกันลงเงินสนับสนุนเด็กๆ เราเอาความต้องการของนักเรียนเป็นที่ตั้ง

“ผู้ปกครองเขาก็เครียดนะ เงินสนับสนุนที่รัฐบาลให้มันน้อย ต้องซื้อหลายอย่างทั้งรองเท้านักเรียน ชุดนักเรียน แถมซื้อชุดเดียวก็ไม่พอ ต้องมี 2 ชุดต่อปี ถ้าผู้ปกครองคนไหนไม่ค่อยมีเงิน อัตคัดหน่อยก็มีชุดเดียว”

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ โรงเรียนหลายแห่งคงตั้งคำถามว่า มันทำได้เหรอ? ต้องขออนุญาตกระทรวงศึกษาธิการก่อนหรือไม่ ผอ.สมรักษ์อธิบายว่า เนื่องจากโรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ อยู่ในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา หรือ Partnership School เป็นโครงการจากกระทรวงศึกษาธิการที่เปิดโอกาสให้โรงเรียนที่เข้าร่วมสามารถออกแบบหลักสูตรได้ด้วยตัวเอง โดยมีภาคเอกชนให้การสนับสนุน การแต่งกายด้วยชุดไปรเวทถือเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง จึงไม่ได้แจ้งกระทรวงฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผอ.สมรักษ์ก็ได้ให้คำแนะนำแนวทางให้กับโรงเรียนที่สนใจอยากทำนโยบายดังกล่าว

“อันดับแรกต้องคุยกับคณะกรรมการสถานศึกษาของโรงเรียนก่อน ให้คณะกรรมการฯ อนุมัติเป็นแผนงานโรงเรียน จากนั้นค่อยไปคุยกับผู้ปกครองและนักเรียนเพื่อสอบถามความคิดเห็น ต้องได้รับคำยืนยันจากนักเรียนจริงๆ นะ ว่าพวกเขาอยากแต่งชุดไปรเวท

“ตอนนี้โรงเรียนเราก็ยังอยู่ในช่วงทดลอง ปีหน้าคงจะต้องคุยเรื่องชุดอีก ต้องจัดประชุมกับผู้ปกครอง นักเรียน ไม่ใช่ให้ผอ.วางนโยบายคนเดียว เพราะทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น ออกแบบร่วมกันได้”

สุดท้ายผอ.สมรักษ์ ส่งกำลังใจให้โรงเรียนอื่นๆ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจัดการยาก มีสิ่งที่ต้องคิดคำนึงหลายอย่าง ทั้งกฎกระทรวง ความเห็นผู้ปกครอง หรือความรู้สึกเด็กๆ 

ตอนนี้ผมคิดว่าโรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ เราหลุดออกจากระเบียบต่างๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเราเอาความสุขนักเรียนเป็นที่ตั้ง เราพยายามส่งเสริมให้นักเรียนเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เพราะถ้านักเรียนรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ระเบียบวินัยมันจะตามมา เขาจะเห็นว่ามีตัวเองมีประโยชน์ต่อสังคม ต่อโรงเรียน ต่อครู เขาก็จะไม่ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง หรือแต่งกายด้วยชุดที่เหมาะสมมาโรงเรียน 

“ก็เป็นกำลังใจให้โรงเรียนทุกแห่ง อยากให้ทุกคนลองทำงานโดยเอาความสุขนักเรียน เอาคุณภาพนักเรียนเป็นที่ตั้ง ลองเดินออกมาจากกรอบของกระทรวง อย่าไปกลัว เพราะกระทรวงเขาไม่ทำอะไรเราหรอก ถ้าเราสามารถตอบได้ว่าสิ่งที่เราทำๆ เพื่อเด็ก และเขามีความสุขกับมัน” 

Tags:

ศรีสะเกษประชาธิปไตยการลงโทษโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ-หนองศาลาศรีสะอาดโรงเรียนเมืองคง(คงคาวิทยา)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Unique TeacherSocial Issues
    เพราะอนาคตของเด็กถูกปูทางด้วย ‘ระบบการศึกษา’: ฝากปัญหาเดิมๆ ถึงรัฐบาลใหม่ จากใจครูบะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ผ้าสบงและป้ายรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ การลุกขึ้นมาจัดการป่าของเยาวชนบ้านหนองสะมอน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    “เด็กไทยวันนี้เข้าใจ ‘สิทธิ’ ดีที่สุดและสอนผู้ใหญ่ด้วยว่าสิทธิคืออะไร” คุยเรื่องการลงโทษและละเมิดสิทธิเด็กกับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Dear Parents
    การเมือง เรื่องที่ควรเริ่มคุยจากในครอบครัว : ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา?
Relationship
3 July 2020

Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา?

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อธิบายความผูกพัน (Attachment) ในเชิงวิวัฒนาการและจิตวิทยา ความผูกพันในแม่และเด็ก คู่รักทุกเพศ ถึงปรากฏการณ์สังคมในปัจจุบันที่มีคู่รักมากมายดำเนินความสัมพันธ์แบบห่างไกล แต่ทำไมความผูกพันทั้งทางกาย ใจ และความคิด จึงยังสำคัญอยู่? 
  • ความวิตกกังวลจากการแยกจากนั้นมีความสำคัญมากทีเดียวต่อสิ่งมีชีวิตที่ตัวอ่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น ลูกคน ลูกลิง และลูกนก แม่นั้นต้องอยู่ใกล้ลูกแทบจะไม่ให้คลาดสายตา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายกับลูกได้ คำถามต่อมาคือ แล้วคู่รักที่ดูแลตัวเองได้ หากินเองได้ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขา ทำไมถึงต้องผูกพันกัน?
  • แล้วกับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว คู่รักที่แยกกันอยู่หรือความรักในคนหลากหลายทางเพศซึ่งไม่ต้องการมีลูก หรือการเปลี่ยนของสังคมที่ทำให้คู่รักต้องห่างกันมากขึ้นล่ะ? ทั้งหมดนี้มีคำอธิบายที่เกี่ยวพันกับคำว่า ‘ความผูกพันทางความคิด’

หากคุณเพิ่งคบหากับแฟน หรือแม้แต่แต่งงานแล้ว ถ้ายังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน รักกันหวานชื่น คุณเคยมีความรู้สึกว่าตนเองแทบจะอยู่ห่างคนรักไม่ได้ ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ไม่ว่างานยุ่งแค่ไหน ก็ต้องหาเวลามาเจอกันให้ถี่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นแค่ไหน เช่น ต้องรีบทำงานส่ง ต้องไปงานแต่งงานญาติ รู้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุจำเป็น แต่คุณก็ยังรู้สึกไม่ดี รู้สึกกังวลไปหมด การมีคนรักก็เป็นเรื่องดี แต่ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ โดยเฉพาะถ้าที่นั่นไม่มีเขาอยู่ด้วย

ปัญหานี้อาจจะเกิดได้บ่อย ๆ ในสถานการณ์ที่เดินทางไปมาหาสู่กันไม่สะดวก เช่น สถานการณ์โรคระบาด ใครบ้านอยู่ห่างแฟน แถมต้องใช้รถสาธารณะก็คงลำบากหน่อย เพราะออกจากบ้านก็ต้องเจอกับความเสี่ยง แต่ใจก็อยากเจอเหลือเกิน ทั้งทุกข์ใจและบางคนอาจถึงขั้นน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมมาหา

เป็นเรื่องแปลกที่อาการแบบนี้เกิดกับความสัมพันธ์ในแบบแบบคู่รักเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เรารัก เช่น พ่อแม่พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท ถ้าต้องอยู่ห่างกันแล้วไม่ได้เจอพวกเขานานๆ เช่น ไม่ได้เจอเพื่อนเลยเพราะห้างปิด ไม่รู้จะนัดเจอที่ไหน พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดก็กลับไปไม่ได้ ช่วงนี้นั่งรถตู้มันเสี่ยงติดโรค ถ้าเขาเหล่านั้นยังสุขสบายดีอยู่เราก็อาจจะคิดถึงบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นกระวนกระวายแบบห่างแฟน แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่สุขสบายดี 

แล้วทำไมความรักแบบคู่รัก มันต้องการใกล้ชิดกันขนาดนั้น ทำไมเวลาอยู่ห่างกันถึงรู้สึกเป็นทุกข์ วิตกกังวล เอาแค่เจอกันแบบพอเหมาะแบบสบายๆ อิสระเหมือนกับเพื่อน หรือพออบอุ่นแบบพ่อแม่พี่น้อง ที่นานๆ เจอกันทีก็ยังไหวไม่ได้หรือ ความทุกข์เพราะรักจะได้มีน้อยหน่อย ไม่ว่างไม่เป็นไร ไม่ต้องโหยหาจนทรมาน แบบนี้จะดีกว่าไหม พูดมันง่าย แต่พอจะทำจริงๆ มันยากแสนยาก

อารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์นั้นมีต้นกำเนิดทางวิวัฒนาการเสมอครับ เรามีอารมณ์ทางบวกกับสิ่งที่ดีต่อการเอาตัวรอดและการสืบทายาทสร้างคนรุ่นถัดไป เช่น เรามีความสุขตอนกินอาหารหวานและมัน เพราะเป็นแหล่งพลังงานชั้นดี เรากลัวที่มืดเพราะมันอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ และรู้สึกเจ็บเพื่อที่เราจะได้เอาตัวเองออกจากอันตรายของสิ่งที่ทำให้เราเจ็บนั้น คำถามคือแล้วความรู้สึกกระวนกระวายตอนไม่ได้เจอหน้าคนรัก มันมีประโยชน์อะไร… 

ก่อนที่จะตอบคำถาม อยากให้คุณสังเกตพฤติกรรมของเด็กเล็กๆ กับแม่หรือคนเลี้ยง แล้วเอามาเปรียบเทียบกับคู่รัก ความต้องการที่จะอยู่ใกล้กันนั้นเรียกได้ว่าคล้ายกันมาก และสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดมากคือ ความวิตกกังวลหากต้องอยู่ห่างอีกฝ่าย กับเด็กนั้นแค่ไม่เห็นหน้าก็ร้องไห้แล้ว แม้จะไม่ได้หิวหรือผ้าอ้อมเปียกก็ตาม ส่วนแม่เองถ้ามีธุระต้องอยู่ห่างลูก บางทีก็กระวนกระวายเหมือนกันทั้ง ๆ ที่มีคนเลี้ยงแทนอยู่แล้ว 

ที่เล่ามาเพราะอยากบอกว่าความต้องการการใกล้ชิดในแม่และเด็ก และกับคู่รักนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือกลไกอย่างหนึ่งที่ฝังมาในดีเอ็นเอของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ในวงการวิชาการกลไกนี้มีชื่อว่า “ความผูกพัน” หรือ “attachment”

John Bowlby นักจิตวิทยาชาวอังกฤษสังเกตพฤติกรรมของแม่และเด็กทั้งในมนุษย์ไปจนถึงสัตว์ที่เป็นญาติ ๆ ของเรา อย่างเช่น ลิงชิมแปนซี ที่แม่ต้องคอยดูแลลูกเล็ก ๆ จนเขาตั้งทฤษฎีความผูกพันขึ้นมา ความผูกพัน นั้นเป็นกลไกตามชื่อ คือ “ผูก” และ “พัน” ให้คนที่รักกันต้องอยู่ใกล้กันไว้ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งห่างไป ก็เหมือนไปรั้งเชือกดึงให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี โดยความรู้สึกไม่ดีหลัก ๆ ก็คือ “ความวิตกกังวลจากการแยกจาก” หรือ “separation anxiety” ในเด็กเล็กเองแม้จะไม่รู้จักคำว่ากังวล แต่ก็แสดงทางสีหน้าหรือแสดงออกด้วยการร้องไห้ เช่นเดียวกับแม่ที่มักกังวลเเมื่ออยู่ห่างกันกับลูก

ความวิตกกังวลจากการแยกจากนั้นมีความสำคัญมากทีเดียวต่อสิ่งมีชีวิตที่ตัวอ่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น ลูกคน ลูกลิง และลูกนก แม่นั้นต้องอยู่ใกล้ลูกแทบจะไม่ให้คลาดสายตา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายกับลูกได้ เพราะธรรมชาติเต็มไปด้วยนักล่าที่พร้อมจะกินตัวอ่อนที่ไร้ทางสู้นี้ นอกจากนี้ ตัวอ่อนหรือทารกเอง ต้องอยู่ใกล้พ่อแม่เอาไว้เพราะถ้าห่างพ่อแม่ไปนอกจากจะอันตรายแล้ว ทารกยังหาอาหารเองไม่ได้ ต้องคอยพึ่งพาให้แม่มาป้อน ดังนั้น สัตว์เหล่านี้เลยมีวิวัฒนาการความวิตกกังวล และความทุกข์อย่างรุนแรง เพื่อให้ทารกอยู่ใกล้กับแม่เพื่ออยู่รอดสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป

คำถามต่อมาคือ แล้วคู่รักที่ดูแลตัวเองได้ หากินเองได้ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขา ทำไมถึงต้องผูกพันกัน นักจิตวิทยาที่ชื่อ Fraley กับทีมวิจัยก็หาคำตอบมาได้ว่า 

ในสัตว์ที่ตัวอ่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้น ความผูกพันก็ทำงานในคู่รักเช่นเดียวกัน ในโลกของธรรมชาติ คนรักก็คือคนที่จะมีลูกด้วยกัน ความผูกพันจึงทำหน้าที่ดึงพ่อกับแม่ให้อยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยเลี้ยงลูกที่แสนจะอ่อนแอนั่นเอง 

ลองนึกดูนะครับ ว่าถ้าแม่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แล้วพ่อไม่ค่อยสนใจรับผิดชอบ แม่ก็ต้องทั้งปกป้องอันตราย และหาอาหารไปด้วย ซึ่งตอนไปหาอาหารมันก็เสี่ยงที่ลูกจะโดนสัตว์อื่นกิน ดังนั้น ยีนส์ของทั้งพ่อและแม่ก็อดสืบทอดในรุ่นต่อไปเพราะลูกตายก่อน พ่อและแม่จึงมีบทบาทสำคัญทั้งคู่ ถ้าฝ่ายใดไปหาอาหารอีกฝ่ายก็ปกป้องลูก และสิ่งที่จะทำให้คู่รักอยู่ติดกันไว้ก็คือความวิตกกังวลจากการแยกจาก ดังนั้น คู่รักพอต้องห่างกัน จึงรู้สึกเป็นทุกข์ วิตกกังวล ทุกอย่างธรรมชาติเขียนไว้ให้แล้วในดีเอ็นเอของเราครับ

หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่า แต่ปัจจุบันพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวก็เยอะ หรือทั้งพ่อทั้งแม่ไม่อยู่ ก็จ้างพี่เลี้ยงได้ หรือให้ญาติเลี้ยงแทน ทำไมกลไกนี้ถึงยังฝังอยู่ทั้งๆ ที่ไม่มีประโยชน์แล้ว คำตอบคือสังคมมนุษย์เปลี่ยนไปไวมาก เราเพิ่งมีสังคมที่ทารกปลอดภัยจากนักล่ามาแค่หลักพันปี แต่วิวัฒนาการที่จะเปลี่ยนลักษณะบางอย่างนั้นใช้เวลาเป็นแสนปีขึ้นไป ความกังวลจากการแยกจากก็เลยอยู่กับเราไปอีกนาน

ความรักตามธรรมชาติก็คือการจับคู่ให้เป็นพ่อแม่ แม้ในปัจจุบันเราอาจจะรักกันโดยไม่อยากมีลูก หรือใน LGBTQ+ (คนหลากหลายทางเพศ) ที่รักกันได้โดยไม่ต่างจากคู่ชายหญิง หากเป็นคู่เพศเดียวกันก็มีลูกด้วยกันไม่ได้ แต่เมื่อใดที่รักกัน กลไกของความผูกพันก็ถูกกระตุ้นให้ทำงาน และเมื่อนั้นก็ทำให้คนเราอยากจะอยู่ใกล้ชิดกันเข้าไว้

ความลำบากของคู่รักในปัจจุบันคือ สังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สมัยก่อนคนเราก็รักกันในเผ่าเดียวกัน ในหมู่บ้านเดียวกัน คนรักก็คือคนอยู่ใกล้ๆ แต่พอสังคมที่เปลี่ยนรูปแบบ ทำให้คนที่ปกติอยู่ห่างกันมารักกันได้ โดยเฉพาะในสังคมเมือง เรามาจากที่ห่างกัน นั่งรถมาเรียนหรือทำงานเป็นชั่วโมง แต่บังเอิญได้พบเจอและรักกัน จะมาหากันทีก็ไม่ง่าย มันเลยมีช่วงเวลาที่คู่รักต้องอยู่ห่างกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่มากครับ คือช่วงหลักแสนปีของมนุษย์นั้น พอรักกันก็คืออยู่ด้วยกันและเตรียมพร้อมจะมีลูกในทันที แต่เพราะวัฒนธรรมและค่านิยมที่เปลี่ยนไป รูปแบบความสัมพันธ์มันเลยเปลี่ยนไปด้วย ไม่ใช่รักแล้วมาอยู่กันเลยทันที แต่เช่นเคยครับ ดีเอ็นเอมันเปลี่ยนตามสังคมไม่ทัน 

โชคดีหน่อยตรงที่เรามีเทคโนโลยีให้เจอกันแบบทางอ้อม คือ การสื่อสารออนไลน์ ไม่ว่าจะจดหมาย และโทรศัพท์ในยุคเก่า จนถึงการแชท และวิดีโอคอลในยุคใหม่ ซึ่งก็ช่วยลดความวิตกกังวลตอนอยู่ห่างกันได้ แต่ว่ามนุษย์ที่สื่อสารกันแบบระยะใกล้มาเป็นแสนปี ตอนเราพูดคุยกันเราเลยชินกับการมีครบทั้งได้ยินเสียง ได้เห็นหน้า และการสัมผัส หรือถึงแม้ไม่สัมผัสก็ได้รู้ว่าอยู่ใกล้ก็ยังดี ดังนั้นต่อให้เป็นวิดีโอคอล ก็ยังทดแทนการมาเจอหน้ากันไม่ได้ทั้งหมด การได้เจอกันแบบตัวเป็น ๆ จึงยังเป็นสิ่งที่คนรักมักจะต้องการอยู่ดี 

สังคมเปลี่ยน แต่ธรรมชาติมนุษย์ไม่เปลี่ยน ความเครียดจึงเกิดขึ้น แต่ในเมื่อเราเปลี่ยนสังคมไม่ได้ เราก็ต้องเท่าทันจิตใจเราเองให้ได้ครับ มนุษย์นั้นมีความคิดมีเหตุผล ซึ่งหลายๆ ครั้งเหตุผลอาจจะสู้อารมณ์ไม่ได้ แต่ถ้าเราหนักแน่นเพียงพอ มันก็ช่วยทุเลาความทุกข์ของเราได้ ตอนที่ต้องห่างไกลคนรัก ธรรมชาติกระตุ้นให้เราทุกข์โดยอัตโนมัติ และนั่นทำให้เราคิดลบไปต่าง ๆ นานาในรูปแบบความวิตกกังวล เขาไม่รักเราแล้ว เขาจะทิ้งเราไปหรือเปล่า หรือบางคนก็ออกมาในรูปแบบความเป็นห่วงว่าทำไมถึงไม่ตอบไลน์ ไม่รับสาย เพราะเขาไม่สบาย หรือไปเจออุบัติเหตุหรือเปล่า มีอันตรายเกิดขึ้นหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ทำงานเสี่ยงอันตรายอะไร

นักจิตวิทยาชื่อ Baldwin พบว่าความผูกพันนั้นเกี่ยวกับความคิด ยิ่งกังวลเราจะยิ่งหาเรื่องที่สอดคล้องกับความกังวลมาใส่หัว เช่น ตอนเราต้องอยู่ห่างจากแฟนเพราะแฟนไม่ว่าง ในหัวของเราที่กำลังกังวลจะไม่คิดหรอกว่า ก็เขาไม่ว่าง มันช่วยไม่ได้ แต่เราจะเลือกคิดแต่เรื่องที่สอดคล้องกับความกังวลของเรา เช่น เขาไม่รักเราแล้ว และยิ่งคิดแบบนั้นมันก็จะยิ่งกังวลเข้าไปอีก และยิ่งกังวลก็ยิ่งคิดลบกลายเป็นวงจรอุบาทว์ หลายๆ คู่ทะเลาะกันใหญ่โตทั้งที่แค่อีกฝ่ายไม่ว่างมาหาก็มีให้เห็นเยอะ 

คนเรามีกลไกลอัตโนมัติที่ทำให้เกิดความทุกข์จากความรักก็จริง แต่เราเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตหลุดกรอบจากวิวัฒนาการมามากแล้ว เราอาจใช้ความคิดและเหตุผลที่หนักแน่นมาต้านอารมณ์ที่มาจากธรรมชาติ แต่หลายๆ ครั้งที่เหตุผลก็ยังสู้ไม่ไหว เราก็เลยยังกังวลบ้าง แต่ขอให้ทบทวนและมีสติไว้ ที่เราอยู่ไกลกันเพราะมันจำเป็น ที่เขาไม่มาหาเพราะเขาไม่ว่าง ไม่ใช่เพราะเขาไม่รัก ถ้าหนักแน่นพอ ทุกข์ที่มากก็จะน้อยลง ความกังวลที่หนักหนา ก็จะเบาลง 

นอกจากนี้ สื่อออนไลน์ถึงจะให้เราได้ไม่ครบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลย ยิ่งตอนนี้เรามีวิดีโอคอลที่ให้ความรู้สึกสมจริงเกือบครบในการสื่อสาร ขาดก็แต่ความรู้สึกว่าอยู่ใกล้ หรือการสัมผัสร่างกายเท่านั้น แต่ขอให้ใส่ใจในน้ำเสียง ใส่ใจในสีหน้า และด้วยความคิดที่อย่าปล่อยให้สัญชาตญาณมาครอบงำ การได้พูดคุยเจอหน้ากับคนรัก ก็จะช่วยให้เราลดความกังวลได้มากครับ

และคนรักกัน หากไม่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ เช่นต้องไปเรียนต่อหรือทำงานต่างจังหวัด ต่างประเทศ การมาพบกันบ่อย ๆ หากทำได้ก็เป็นเรื่องดีเสมอ อย่าคิดว่าแค่รักแท้แล้วไม่มีทางแพ้ระยะทาง เพราะมนุษย์เรายังต้องอยู่กับสัญชาตญาณที่จะพอใจที่สุดเมื่อเจอตัวจริงไปอีกนานแสนนานครับ จะมีอะไรชื่นใจไปมากกว่าการได้มาเจอหน้าคนที่ตัวเองรัก ถ้าถามว่าเพราะอะไร คำตอบคือความผูกพันไม่ได้ให้เราแต่ความวิตกกังวลนะครับ แต่มันให้ความสุขที่ล้นเหลือตอนที่เราอยู่ใกล้คนรักด้วย มันเลยทำให้คู่รักอยากอยู่ใกล้กันไว้ 

ในธรรมชาติทุกอย่างมีประโยชน์มีโทษ มีทำให้สุขทำให้ทุกข์ แต่ขอให้เข้าใจธรรมชาติไว้ แม้ความเข้าใจจะกำจัดทุกข์ได้ไม่หมดทุกครั้ง แต่ก็จะช่วยให้เราควบคุมความคิดและอารมณ์ของเราได้ดีขึ้นแน่นอนครับ

อ้างอิง
Baldwin, M. W., (1995). Relational schemas and cognition in close relationship. Journal of Social and Personal Relationship, 12, 547-552.
Baldwin, M. W., Keelan, J. P. R., Fehr, B., Enns, V., & Rangarajoo, E. K. (1996). Social-cognitive conceptualization of attachment working models: Availability and accessibility. Journal of Personality and Social Psychology, 71, 94-109.
Bowlby, J. (1969). Attachment and loss: Vol. 1. Attachment. New York: Basic Books.
Bowlby, J. (1973). Attachment and loss: Vol. 2. Separation, anxiety, and anger. New York: Basic Books.
Diamond, L. M. (2019). Physical separation in adult attachment relationships. Current opinion in psychology, 25, 144-147.
Fraley, R. C., Brumbaugh, C. C., & Marks, J. J. (2005) The evolution and function of adult attachment: A comparative and phylogenetic analysis. Journal of Personality and Social Psychology, 89, 731-746.
Fraley, R. C., & Shaver, P. R. (2000). Adult romantic attachment: Theoretical Development, emerging controversies, and unanswered question. Review of General Psychology, 4, 132-154.
Neustaedter, C., & Greenberg, S. (2012, May). Intimacy in long-distance relationships over video chat. In Proceedings of the SIGCHI Conference on Human Factors in Computing Systems (pp. 753-762).

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)ความสัมพันธ์

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

เพราะโรงเรียนไม่ใช่แค่ที่เรียน Happy Back to School
Education trend
2 July 2020

เพราะโรงเรียนไม่ใช่แค่ที่เรียน Happy Back to School

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

แม้จะมีอุปสรรคปัญหาบ้าง และภาพห้องเรียนแบบ New normal ที่ทำให้เราอดสงสัยและเห็นใจเด็กๆ ยุคนี้ไม่ได้ แต่เราก็ยังคงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กๆ ที่ดีใจได้กลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาคุ้นเคย ได้พบเจอเพื่อน เจอคุณครู

แต่ไม่ว่าจะ New Normal อย่างไร อยากให้ทุกคนไม่ลืมว่า ‘โรงเรียนไม่ใช่แค่พื้นที่ให้ความรู้’ แต่โรงเรียนเป็นหลายๆ อย่าง

ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่เราได้พบกับประสบการณ์หลากหลาย ได้พัฒนาศักยภาพ ได้ค้นพบความชอบของตัวเอง พื้นที่ที่ตระเตรียมบุคลากรที่คอยช่วยซับพอร์ตการเติบโตของเราก็คือคุณครู หลบภัยจากปัญหาต่างๆ รวมทั้งได้เติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าและครบโภชนาการ

The Potential ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูทุกท่าน เปิดเทอมอย่างไม่เครียด เข้มแข็ง แต่ยืดหยุ่น มีกำลังใจเยอะๆ พร้อมรับทุกเสียงหัวเราะ(และร้องไห้) รับเปิดเทอมนะคะ

Tags:

โรงเรียนไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.3 แนวทางในการเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนเข้าสู่สังคม (โรงเรียน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    การศึกษาพื้นฐานในยุคโควิด-19: จะเปิด-ปิดโรงเรียนอย่างไร?

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    เลื่อนเปิดเทอม: โจทย์ วิธีรับมือ ของ 4 ครูไทยในพื้นที่และบริบทที่แตกต่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

จากครูไหวใจร้ายกลายเป็นครูเอ๋ใจเย็น: การเปลี่ยนผ่านของอดีตครูเจ้าระเบียบ เน้นท่องจำ
Unique Teacher
1 July 2020

จากครูไหวใจร้ายกลายเป็นครูเอ๋ใจเย็น: การเปลี่ยนผ่านของอดีตครูเจ้าระเบียบ เน้นท่องจำ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • ชวนไปคุยกับครูเอ๋ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ครูประจำชั้นของเด็กๆ ป.6 แห่งโรงเรียนบ้านปะทาย ที่อดีตเคยเป็นครูไหวใจร้าย แต่ปัจจุบันเธอเปลี่ยนเป็นครูเอ๋ใจดีของเด็กๆ
  • “ครูที่นี่เขาจะไม่พูดเสียงดัง เพราะเขามองว่าการใช้เสียงเบาๆ จะทำให้พื้นที่ปลอดภัยของเด็กเพิ่มมากขึ้น การตะคอกหรือการบ่นมันไปทำร้ายสมองเด็ก ทำให้เขาไม่เกิดการเรียนรู้ พอเราได้ยินแบบนี้นะมันทำให้เรารู้สึกว่า ‘ที่ผ่านมาเราทำผิดมาก สงสารเด็ก’ ถ้ามองย้อนกลับไปเด็กเขาเชื่อฟังเราทุกอย่างนะ เป็นเด็กดี เด็กน่ารักมากเลย แต่ทำไมเราถึงไปเสียงดังกับเขา รู้สึกเสียใจมาก เสียใจกับการใช้เสียงดังกับลูก กับนักเรียนที่ผ่านมา เรามองว่าถ้าย้อนกลับไปได้ ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้น เราจะไม่ทำแบบนั้น”

บริเวณสนามบาสโรงเรียน มีกลุ่มนักเรียนประมาณ 10 – 15 คนกำลังนั่งล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ แต่ละคนนั่งเงียบๆ ตาก้มมองมือตัวเอง มีบางคนที่อ้าปากตอบคำถามที่ผู้หญิงเสื้อชมพูเป็นคนถาม เธอเป็นผู้หญิงผิวขาว ผมรวบมัดเป็นหางม้า ท่าทางกระฉับกระเฉง เธอมีชื่อว่า ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ หรือ ครูเอ๋ ครูประจำชั้นของเด็กๆ ป.6 ประจำโรงเรียนบ้านปะทาย ตั้งอยู่ในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กิจกรรมที่ครูเอ๋กำลังพานักเรียนทำ เป็นกิจกรรมจิตศึกษา (กระบวนการพัฒนาปัญญาภายใน) อันเป็นนวัตกรรมการสอนหลักของโรงเรียนบ้านปะทาย

จิตศึกษาในช่วงเช้าจะเป็นการทำ Body Scan ให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลายก่อนเข้าเรียน กิจกรรมเริ่มด้วยการบริหารสมอง การจัดท่าทางร่างกายที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อ เพื่อให้ทุกคนหันกลับมามีสติที่ตัวเอง จากนั้นครูเอ๋จะเริ่มโยนประเด็นเพื่อเริ่มต้นวงสนทนา วันนี้เธอหยิบเอาประเด็นเหตุการณ์บ้านเมืองมาถามเด็กๆ แต่ละคนว่า มีความคิดเห็นอย่างไร รู้สึกอะไรกับมันบ้าง เด็กส่วนใหญ่เลือกที่จะเงียบ ครูเอ๋ต้องออกแรงถามเป็นรายคน พอถามวนครบทุกคนที่อยู่ในวงกลม ครูเอ๋ขอให้เด็กๆ หลับตา แล้วครูเอ๋ค่อยๆ บรรยายสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ทำให้จิตใจของพวกเขาสงบ ผ่านไปสักพักครูเอ๋ให้ทุกคนลืมตา ก่อนจะชวนขอบคุณสิ่งที่อยู่อยู่ตัวพวกเขา ‘ขอบคุณท้องฟ้า’ ‘ขอบคุณพระอาทิตย์’ เป็นอันจบกิจกรรมจิตศึกษาสำหรับช่วงเช้า ครูเอ๋ชวนนักเรียนกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อเริ่มเรียน ระหว่างเดินทางกลับครูเอ๋อธิบายกิจกรรมดังกล่าวให้เราฟังว่า เป็นการเตรียมเด็กๆ ให้มีสมาธิพร้อมสำหรับการเรียน โดยจะทำทุกๆ เช้า กลางวัน และก่อนกลับบ้าน

ห้องเรียนชั้นป.6 อยู่บนชั้นสองของตึกเรียน ภายในห้องเหมือนกับห้องเรียนทั่วไป มีกระดาษดำ โต๊ะเรียน และกำแพงที่อุดมไปด้วยความรู้ เช่น คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เทศกาลวันสำคัญของไทย สิ่งที่สะดุดตาเราคงอยู่ที่การจัดวางโต๊ะนักเรียนไว้ด้านขวาของห้องทั้งหมด เว้นพื้นที่ตรงกลางให้ว่างเปล่า ครูเอ๋อธิบายว่า เตรียมสำหรับเป็นพื้นที่ทำกิจกรรม

อาจเพราะเป็นคาบเรียนแรก แม้เด็กๆ จะผ่านการทำกิจกรรมจิตศึกษามาแล้ว แต่ดูท่าทางพวกเขาคงยังไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเรียน แต่เป็นการพูดคุยกับเพื่อนแทน เสียงในห้องจึงดังโหวกเหวก ครูเอ๋ทำการเรียกสมาธินักเรียนด้วยกิจกรรมบริหารสมองอีกครั้ง เธอให้เด็กๆ ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งกำมือ อีกข้างปล่อย ทำสลับกัน 2 ข้าง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที นักเรียนค่อยๆ หันกลับมาโฟกัสกับห้องเรียน

ครูเอ๋ให้เด็กแต่ละคนนำอุปกรณ์ที่ตัวเองเตรียมมาตรวจเช็คกันในกลุ่มว่าเตรียมมาครบหรือไม่ จัดการล้างให้สะอาดก่อนเริ่มทำกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมวันนี้เป็นการทำสบู่ หน้าของเราคงบ่งบอกถึงความสงสัย ครูเอ๋เลยชี้ให้เราดูบอร์ดที่ติดอยู่หลังห้อง โชว์รายละเอียดกิจกรรมที่ทำแต่ละสัปดาห์ มีด้วยกันทั้งหมด 10 สัปดาห์ เธออธิบายว่า การเรียนของที่นี่แต่ละเทอมจะแบ่งเป็นควอเตอร์ (10 สัปดาห์) โดยแต่ละควอเตอร์ตั้งเป้าหมายว่าอยากให้เด็กรู้เรื่องอะไร แล้วภายใน 10 สัปดาห์ก็จะจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกัน

อย่างควอเตอร์นี่ครูเอ๋และเด็กๆ อยากรู้วิธีรับมือกับการเปลี่ยนร่างกายของตัวเอง เพราะฮอร์โมนของพวกเขากำลังเปลี่ยนก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น บางคนเริ่มมีปัญหากลิ่นตัว มีปัญหาสิว ครูเอ๋ตั้งเป้าหมายให้เด็กๆ รู้จักดูแลตัวเอง เริ่มตั้งแต่ให้เด็กรู้ว่าสภาพผิวมีแบบไหนบ้าง ของพวกเขาเป็นแบบไหน ก่อนจะพาไปรู้จักวิธีดูแลตัวเอง 

“วิธีดูแลตัวเอง เราก็พาเด็กดูว่ามันมีอะไรบ้าง เช่น ต้องอาบน้ำ ซักเสื้อผ้าให้สะอาด พอเขารู้เรื่องทฤษฎีเสร็จ เราก็จะถามว่าพวกเขาอยากลองทำอะไร เด็กๆ ตอบอยากลองทำสบู่ เราก็โอเค กลับมาคุยวางแผนกัน แบ่งเด็กออกเป็นกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มไปสำรวจว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มตัวเองมีปัญหาผิวอะไร หาสมุนไพรที่แก้ไขปัญหา เสร็จช่วยกันคิดสูตรสบู่ในกลุ่มแล้วเอามาลงมือทำ”

ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนทำงานอย่างอิสระ ครูเอ๋ชวนให้เด็กๆ หันมามองกระดานดำหน้าห้องมีโจทย์เลขอยู่ 3 ข้อเกี่ยวกับการคำนวณสูตรทำสบู่ เช่น ถ้ามีสบู่ก้อนปริมาณเท่านี้ต้องใส่น้ำเท่าไร เธอชวนให้เด็กคิดคำนวณก่อน พอเสร็จแล้วก็จะปล่อยให้เข้ากลุ่มทำงาน ขณะที่รอให้เด็กๆ คิดเลขเสร็จ ครูเอ๋ก็อธิบายให้เราฟังว่า กิจกรรมที่ให้เด็กทำ เธอจะผนวกวิชาเรียนเข้าไป โดยดูตามตัวชี้วัดว่านักเรียนระดับชั้นนี้ควรรู้เรื่องอะไร อย่างการทำสบู่เธอเอาวิชาคณิตศาสตร์เรื่องอัตราส่วนมาใช้ รวมถึงวิทยาศาสตร์เรื่องสสาร เพื่อให้เด็กๆ เข้าใจเรื่องนี้ง่ายขึ้นผ่านการทำงานจริง

พอคิดเลขเสร็จ ครูเอ๋ก็ปล่อยให้เด็กๆ ทำงานทันที เด็กแต่ละคนรู้สูตรการทำสบู่ของตัวเองอยู่แล้วซึ่งได้จากการค้นคว้าด้วยตัวเอง พวกเขาต่างจดจ่ออยู่กับการละลายเบสสบู่ก้อน เตรียมสมุนไพร เช็ดบล็อกพิมพ์ให้สะอาดซึ่งก็มีหลากหลายทั้งบล็อกพิมพ์จากกระบอกไม้ไผ่ บล็อกพิมพ์จากใบตองที่ห่อทำเป็นกระทง แต่มีบางคนที่ใจของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับการทำงาน แต่อยู่ที่มือถือแทน พอครูเอ๋มองเห็นเธอแก้ไขด้วยการเดินไปจูงมือพวกเขามาทำงานกับเพื่อน ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเด็กๆ ถึงจะยอมทำงาน โดยมีครูเอ๋คอยนั่งดู ให้คำแนะนำ 

จนนาฬิกาตีบอกเวลาว่าอีก 30 นาทีจะถึงเวลาอาหารกลางวัน เด็กๆ ก็ทำสบู่เสร็จพอดี ครูเอ๋ชวนทุกคนมาจับกลุ่มคุยเพื่อให้แต่ละกลุ่มเล่าผลลัพธ์ของกลุ่มตัวเองรวมทั้งปัญหาตอนทำ เด็กแต่ละคนก็รีบชิงตอบ มีทั้งปัญหาเทสบู่ลงบล็อกพิมพ์แล้วไม่เรียบ บางคนสบู่ไม่ยอมแข็งตัว แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดมีเพื่อนบางคนไม่ได้ทำ ครูเอ๋ถามกลับว่า ‘เราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี’ แต่ละคนเสนอไอเดียว่าขอทำใหม่ ครูเอ๋เลยบอกว่าช่วงบ่ายจะให้ทุกคนกลับมาทำสบู่ใหม่ โดยคราวนี้คนไหนที่ไม่ได้ทำช่วงเช้า ช่วงบ่ายต้องทำจริงจัง เพื่อจะได้เข้าใจกิจกรรม

เคยเป็นครูไหวใจร้าย 

“ช่วงเป็นครูแรกๆ เราเคยเป็นแบบครูไหวใจร้าย ใช้อารมณ์กับเด็กตลอด จนมีเด็กชอบหนีไปอยู่ห้องน้ำ ผู้ปกครองก็มาว่าเราทำไมทำกับลูกเขาแบบนั้น”

เห็นครูเอ๋ดูท่าทางใจดีใจเย็นแบบนี้ แต่เธอบอกว่าเมื่อก่อนเธอเป็นครูที่ติดการใช้อารมณ์ เน้นระเบียบวินัย นักเรียนต้องปฎิบัติตามกรอบที่เธอวางไว้ เธอนิยามว่าเป็นเหมือน ‘ครูไหวใจร้าย’ ภาพจำครูเอ๋ของนักเรียนคือ การดุ ถ้าวันไหนครูเอ๋ไม่ดุ เด็กๆ จะพากันบอกว่า ‘วันนี้ทำไมครูไม่ดุ ครูไม่ดุแล้วกินข้าวไม่อร่อย’

“พอเด็กพูดแบบนั้นเราก็ถามกลับว่า ‘ทำไมครูต้องดุด้วยละ ก็วันนี้เด็กน่ารัก ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ครูไม่สบายใจ’ เราก็ไม่อยากเป็นนางมารร้ายตลอด (หัวเราะ)

“ที่เด็กพูดแบบนี้เรายังไม่ค่อยรู้สึกอะไรนะ คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ครูทุกคนจะต้องดุเพื่อทำให้นักเรียนอยู่ในกรอบ เพื่อให้เขาได้ในสิ่งที่เราอยากได้ ตอนนั้น mindset เรายังเป็นแบบนี้อยู่ พอยิ่งตอนท้องนะ โอ้โห เรายิ่งดุมากเลย แต่ดุยังไงเด็กยังเหมือนเดิม ครูดุก็ดุไปสิ เหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่างถ้าครูไม่ดุ (หัวเราะ)”

แล้วการสอนของครูเอ๋เมื่อก่อน ไม่ใช่พาทำกิจกรรมอย่างวันนี้ แต่เป็นการพานักเรียนจำเนื้อหาในหนังสือแทน ‘เธอต้องจำสูตรนี้ให้ได้นะ สูตรคำนวณรูปสามเหลี่ยม สูตรคำนวณรูปสี่เหลี่ยม’ เด็กต้องได้ตามมาตรฐานตัวชี้วัดเป๊ะๆ ต้องสอบได้คะแนนดี ถ้าคนไหนสอบได้คะแนนไม่ดีก็จะเคี่ยวเข็ญจับมานั่งติวตัวต่อตัว

พอฟังครูเอ๋อธิบายความเป็นตัวเองสมัยก่อนให้ฟัง ทำให้เราสงสัยว่าก่อนจะมาเป็นครู ครูเอ๋เคยวาดภาพไว้ไหมว่าอยากเป็นครูแบบไหน จบประโยคคำถามครูเอ๋นิ่งไปสักพักก่อนจะค่อยๆ ตอบว่า ตอนนั้นเธอเองยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นครูแบบไหน รู้เพียงแต่ว่าตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเข้ามหาวิทยาลัย ครูที่เธอเจอมาโดยตลอดเป็นครูในรูปแบบที่เนี๊ยบ เน้นกฎระบียบ ส่วนนักเรียนถูกวางกรอบว่านักเรียนที่ดี = ต้องทำตัวเรียบร้อย

“เราจำได้ว่าตั้งแต่เรียนป.1 เราก็เจอครูดุๆ มาตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เจออาจารย์เจ้าระเบียบ เหมือนเราเจอครูยุคเก่ามาตั้งแต่เด็ก ครูยุคเก่าเขาจะเป็นพวกพาทำ ให้นักเรียนลุยตามเขา เขาจะบอกว่าแบบนี้มันถูกต้องทำตามนี้เท่านั้น

“แล้วในมหาวิทยาลัยนะเขาจะบ่มเพาะให้เราเป็นครูที่เนี๊ยบ คิดตามกฏกติกา วางเป็นบล็อกๆ ว่าต้องทำแบบนี้ๆ เท่านั้นนะ ครูต้องแต่งตัวเรียบร้อย เด็กต้องมีระเบียบเรียบร้อยมีวินัยถึงจะดี 4 ปีที่เราต้องเรียนรู้แบบนี้ กลายเป็นเราก็ซึมซับมา”

เป็นครูเอ๋ที่กำลังปรับตัวเพื่อนักเรียน

อาจพูดได้ว่าตลอดการเป็นครูกว่า 16 ปีของครูเอ๋ เธอยังคงเป็นครูเจ้าระเบียบที่เน้นวิชาการและวางกรอบให้นักเรียน จนกระทั่งลูกครูเอ๋อยู่ป.3 สามีของเธอชวนว่า ให้ย้ายลูกมาเรียนที่โรงเรียนบ้านปะทาย เพราะเห็นว่านวัตกรรมการสอนที่นี่แตกต่างกับที่อื่นๆ มีทั้งเรื่องจิตศึกษา การจัดกระบวนการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Base Learning: PBL) การสร้างชุมชนการเรียนรู้ (Professional Learning Community: PLC) การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ (Active learning) ทฤษฎี 12senses ครูเอ๋เองพอได้ฟังก็รู้สึกสนใจเหมือนกัน ทั้งคู่ตัดสินใจย้ายลูกมาเรียนที่นี่ ส่วนครูเอ๋ก็ตัดสินใจย้ายมาเป็นครูที่นี่โรงเรียนนี่เพื่อที่จะได้ดูแลลูก เธอบอกว่า นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการทำอาชีพครู การย้ายมาโรงเรียนบ้านปะทายทำให้ครูเอ๋เพิ่งรู้ว่าตลอด 20 ปีของการเป็นครูเธอสอนผิดมาตลอด

“ผอ.ที่นี่ก็ถามว่า ‘ครูเอ๋จะอยู่ได้ไหมนะ’ เราก็คิดในใจ ‘เรื่องอะไรฉันจะอยู่ไม่ได้’ (เสียงหนักแน่น) ปรากฏว่าบริบทที่นี่มันแตกต่างจากโรงเรียนที่เราเคยอยู่มาทั้งหมดเลย เราต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะมาก (ลากเสียง)

“เช่น ครูที่นี่เขาจะไม่พูดเสียงดัง เพราะเขามองว่าการใช้เสียงเบาๆ จะทำให้พื้นที่ปลอดภัยของเด็กเพิ่มมากขึ้น การตะคอกหรือการบ่นมันไปทำร้ายสมองเด็ก ทำให้เขาไม่เกิดการเรียนรู้ พอเราได้ยินแบบนี้นะมันทำให้เรารู้สึกว่า ‘ที่ผ่านมาเราทำผิดมาก สงสารเด็ก’ ถ้ามองย้อนกลับไปเด็กเขาเชื่อฟังเราทุกอย่างนะ เป็นเด็กดี เด็กน่ารักมากเลย แต่ทำไมเราถึงไปเสียงดังกับเขา รู้สึกเสียใจมาก เสียใจกับการใช้เสียงดังกับลูก กับนักเรียนที่ผ่านมา เรามองว่าถ้าย้อนกลับไปได้ ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้น เราจะไม่ทำแบบนั้น”

เรื่องเสียงดังเป็นเรื่องหนึ่งที่ครูเอ๋ต้องปรับตัว นอกจากนี้เป็นรูปแบบการสอน จากที่สอนตามหนังสือ วัดตามเกณฑ์เป๊ะๆ ก็ต้องปรับใหม่เป็นการบูรณาการเอาทุกวิชามาผสมกัน สอนโดยตั้งปัญหาในห้อง ครูเอ๋อธิบายต่อว่า ความยากของที่นี่ คือ ไม่มีการสอบ จะวัดความรู้จากกิจกรรมที่เด็กๆ ทำ มันทำให้เธอที่เชื่อว่าเกณฑ์วัดคือทุกสิ่งต้องเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง 

“ตอนแรกเรายังไม่เข้าใจคำว่าบูรณาการแบบชัดเจน การบูรณาการ คือ พาเด็กทำเกษตรเหรอ? ทำอาหารเหรอ? เราตั้งคำถามตลอดว่ามันสามารถเรียนลงไปลึกได้แค่ไหน เราจะเอาเนื้อหาพวกนี้ให้เด็กได้ยังไง ความกังวลมันอยู่ตรงที่ว่าเด็กจะได้ข้อมูลครบทุกวิชาไหม

“แผนการสอนเราช่วงแรกๆ เลยเป็นแบบแยกส่วนว่าสัปดาห์นี้เรียนอะไร เช่น สัปดาห์นี้สังคม สัปดาห์หน้าวิทยาศาสตร์ ใน 1 ควอเตอร์ (10 สัปดาห์) จะมีครบทุกสาระทุกวิชา ส่วนเนื้อหาก็จะวัดจากตัวชี้วัดว่าเด็กควรรู้อะไรบ้าง พอเข้าควอเตอร์ที่ 2 เราก็ดูว่าสอนเนื้อหาอะไรเด็กไปแล้วบ้าง เรื่องไหนที่เรายังไม่ได้สอนเด็กก็เอามาสอน

“ที่นี่มีครูจากโรงเรียนลำปลายมาศมาเห็นแผนการสอนเรา เขาก็ถามว่า ‘ทำไมพี่เอ๋สอนเป็นวิชาๆ แบบนี้ละ’ เลยถามเขากลับว่า ‘พี่ควรทำยังไงให้ทุกวิชามันสามารถผสมกันได้’ ทำยังไงให้เราสามารถลงลึกไปในแต่ละวิชาได้ ครูเขาก็ถามกลับว่าเราอยากทำอะไร อยากสอนอะไรเด็ก แล้วคิดว่าเรื่องนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาเด็กได้ไหม

“อย่างกิจกรรมทำสบู่ เราจะมองละว่าเรื่องนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเด็กได้ยังไง จะเอาแต่ละวิชามาผสมแบบไหน จะใช้คำถามแบบไหนให้เด็กเข้าใจปัญหา ให้ครูคนอื่นๆ ในโรงเรียนช่วยดูแผนการเรียนทั้ง 10 สัปดาห์ว่าเราขาดตรงไหนต้องเติมอะไร เริ่มมองออกยากว่าช่วงนี้เป็นวิชาการงาน ช่วงนี้เป็นวิชาวิทยาศาสตร์นะ เราเข้าใจตัวหลักสูตรมากขึ้นในแต่ละวิชาที่เราไม่เคยสอน ปกติเราเคยสอนแต่คณิตศาสตร์ ไทย อังกฤษ อย่างวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่งเคยได้สอนก็ตอนอยู่ที่นี่ เรื่องไหนเราไม่รู้ไม่เป็นไรพาเด็กทำไปกับเรา เรียนไปพร้อมๆ กับเขา

“วิธีสอนแบบเดิม เด็กเรามีผลการสอบ O-net ระดับต้นๆ ของเขตพื้นที่ ได้เป็นตัวแทนแข่งขันกิจกรรมทางวิชาการต่างๆ ระดับภาค เราก็ภูมิใจนะ แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะในชีวิตของเด็กเขายังมีอีกหลายสิ่งที่ควรรู้นอกเหนือจากเรื่องวิชาการ แล้วการสอนแบบปัจจุบันทำให้เรามีความสุข ได้เห็นเด็กๆ เรียนรู้อย่างสนุก มีความสุข และสิ่งที่เขารู้มันมีความหมายต่อเขา”

เรียกได้ว่าการย้ายมาโรงเรียนบ้านปะทาย เป็นการทำลายกรอบความเป็นครูที่ครูเอ๋ยึดมาตลอด 16 ปี ทิ้งไป เธอเปลี่ยนตัวเองเป็นครูแบบใหม่ ครูที่ไม่วางกรอบให้กับตัวเองและนักเรียน 

เป็นครูเอ๋ที่พร้อมเข้าใจเด็ก

พอปรับตัวเข้ากับกระบวนการสอนได้แล้ว แต่ยังเหลือสิ่งหนึ่งที่ครูเอ๋ยังปรับตัวเข้าหาไม่ได้ คือ นักเรียน บางครั้งเผลอใช้เสียงดังกับเด็ก ไม่พอใจที่เด็กไม่ตั้งใจเรียน ตอนนั้นครูเอ๋เองก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับลูก เธอรู้สึกว่าเชื่อมกันไม่ติด เหมือนมีคลื่นรบกวนตลอดเวลา ประกอบกับวัยของลูกเธอเป็นวัยเดียวกันกับนักเรียนของเธอเอง เพื่อให้เข้าถึงจิตใจของเด็กมากขึ้น ครูเอ๋ตัดสินใจไปเรียนวิชาภายในจัดการกับจิตใจตัวเอง

“ไปเรียนเยอะมากทั้งเรียนแมนดาลา (ศิลปะบำบัด) นพลักษณ์ (ศาสตร์ที่ช่วยให้รู้จักตัวเอง เข้าใจจุดอ่อน/จุดแข็งของคนแต่ละประเภท แบ่งคนออกเป็น 9 กลุ่ม) เขาให้เราลองมองย้อนกลับตอนเราเป็นเด็ก ตอนนั้นเราเป็นยังไง วิธีคิดของเรา แล้วกลับมามองเด็กที่อยู่ตรงหน้าเรา ถ้าเราโดนให้ทำอะไรที่ฝืนใจตัวเอง ทำอะไรไม่ถูกใจถูกตำหนิ เราจะรู้สึกยังไง

“เราถึงได้มองเห็นตัวเองว่า เราเป็นคนที่เร็ว วางแผนอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ เช่น ถ้าคืนนี้เราวางเป้าหมายว่า ต้องทำแผนการเรียนทั้ง 10 สัปดาห์ให้เสร็จ ก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ แม้จะต้องอยู่ถึงตีสามก็ตาม ฉะนั้น แล้วเด็กก็ต้องเป็นเหมือนกับเรา ต้องทำอะไรรวดเร็ว วางเป้าหมายก็ต้องทำให้สำเร็จเหมือนเรา พอเด็กทำไม่ได้เราจะตัดสินทันที

“พอเรารู้ปัญหาตรงนี้ก็แก้ไขมัน กลายเป็นเรารู้จักรอคอยมากขึ้น ไม่รีบร้อน ยืดหยุ่น รอคอยเด็กได้ แล้วรู้สึกว่าเราแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้น อย่างชั่วโมงเรียนบางชั่วโมงถ้ากิจกรรมที่เตรียมมาเด็กทำไม่ได้ ถ้าเมื่อก่อนคงเครียด กดดันทั้งตัวเราและตัวเด็กให้ทำให้ได้ แต่ตอนนี้เราจะคิดว่า ‘เราจะเปลี่ยนยังไงดี’ ‘ค่อยๆ ปรับยังมีเวลา’

“มีสัปดาห์หนึ่งพาเด็กไปเรียนเรื่องตรวจน้ำ พาออกนอกสถานที่ไปทะเลสาบ แต่พอไปถึงเด็กไปเล่นน้ำแทนไม่สนใจเรียน เราก็โมโหแต่พยายามตั้งสติ ทำให้ใจเราเย็นก่อนมานั่งคุยกับเด็กว่าเป็นอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น การที่หนีไปเล่นน้ำ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะส่งผลกับใคร ถ้าแต่ก่อนยังไม่ได้ไปเรียนเรื่องพวกนี้นะ เราก็คงจะไปบ่นให้ครูคนอื่นฟัง (หัวเราะ) ‘เด็กเป็นอย่างนี้หนูจะทำยังไง อันนี้หนูวางแผนไว้แล้วมันต้องได้ ทำไมเขาถึงทำไม่ได้’ กลายเป็นเครียดมาก พอเรียนเรื่องภายในเราก็เข้าใจสภาวะของตัวเองมากขึ้น มองเห็นทางออก ยอมรับอะไรได้มากขึ้น”

เป็นครูเอ๋ที่จริงใจต่อตัวเองและเด็กๆ 

คาบบ่ายเริ่มด้วยการทำกิจกรรมจิตศึกษา Body Scan อีกครั้ง เด็กๆ นั่งเป็นวงกลมในห้องเรียน กระบวนการเหมือนกับช่วงเช้า พอเสร็จครูเอ๋ก็ย้ำข้อตกลงที่ทำร่วมกันเมื่อช่วงเช้าว่า กิจกรรมช่วงบ่ายเด็กๆ ทุกคนจะต้องได้ทำสบู่ ไม่มีการทิ้งใครไว้ข้างหลัง เด็กแต่ละคนพยักหน้ารับทราบก่อนจะแยกย้ายไปทำงาน คราวนี้ไม่มีใครนั่งเล่นมือถือ แต่ตั้งใจทำสบู่แทน 

กิจกรรมช่วงบ่ายผ่านไปด้วยดี ดูได้จากสบู่ในบล็อคพิมพ์ที่แห้งเรียบร้อย รูปร่างออกมาเรียบสวยงามตรงใจเด็กๆ ครูเอ๋ให้เด็กเอาสบู่ออกจากพิมพ์เก็บใส่กล่องเตรียมไว้สำหรับกิจกรรมวันพรุ่งนี้ คือการทำแพ็คเกจห่อสบู่ 

เมื่อใกล้เวลาเลิกเรียก ครูเอ๋เรียกนักเรียนรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อสรุปกิจกรรมที่ได้วันนี้ เธอแจกกระดาษ A4 ให้นักเรียนคนละ 1 แผ่น ให้ทุกคนเขียนสรุปวิธีการทำของตัวเองและประโยชน์ที่ได้จากกิจกรรมนี้ แต่นี้ยังไม่ใช่กิจกรรมสุดท้ายของวัน หลังจากนักเรียนคนสุดท้ายส่งกระดาษ ครูเอ๋ก็ให้นักเรียนนั่งเป็นวงกลมเหมือนตอนเช้า กิจกรรมจิตศึกษาก่อนกลับบ้าน

กิจกรรมจิตศึกษาที่ทำในครั้งนี้เรียกว่า AAR (After Action Review) การสนทนาหลังทำกิจกรรมเสร็จ เพื่อทบทวน ใคร่ครวญ เช่น เราได้อะไรจากการทำกิจกรรมนี้ รู้สึกอย่างไร บทสนทนาในวงกลมเริ่มต้นด้วยการแจกนมโรงเรียนอันเป็นการเติมพลังก่อนกลับบ้าน ครูเอ๋ชวนทุกคนคุยว่าวันนี้ความรู้สึกของแต่ละคนเป็นอย่างไร กิจกรรมที่ทำทุกคนรู้สึกโอเคกับมันหรือไม่ ก่อนจะให้นักเรียนหลับตา แล้วครูเอ๋ก็ปิดท้ายด้วยการ empower เด็กๆ ผ่านการขอบคุณที่พวกเขาทำกิจกรรมกับครูเอ๋ พร้อมชวนขอบคุณสิ่งต่างๆ รอบตัว ขอบคุณวัวที่ให้นม ขอบคุณท้องฟ้า ขอบคุณพระอาทิตย์ เป็นอันจบการเรียนในหนึ่งวันของโรงเรียนบ้านปะทาย

บทสนทนาระหว่างเรากับครูเอ๋ก็ดำเนินมาถึงฉากสุดท้าย เราทำการวางบัตรคำจำนวน 24 ใบ แล้วขอให้ครูเอ๋เลือกบัตรคำที่อธิบายถึงความเป็นตัวเองขึ้นมา 1 ใบ ครูเอ๋นิ่งคิดสักพักหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบบัตรคำ ‘จริงใจ’ ขึ้นมา เธออธิบายว่า เพราะว่าตัวเองชอบคนจริงใจ แล้วการที่จะได้เจอกับคนจริงใจ ตัวเราต้องจริงใจกับเขาก่อน มีน้ำใจกับเขา หวังดีจริงใจกับเขาจริงๆ เหมือนกับที่เธอจริงใจกับตัวเอง ยอมรับข้อผิดพลาด พร้อมที่จะแก้ไขปรับตัวเพื่อเด็กนักเรียน

“เรามองเห็นคำๆ นี้เพราะเราคิดว่ามันทำให้เด็กไว้ใจเรา กล้าที่จะพูด กล้าที่จะเปิดใจให้เรา เด็กบางคนเดินมาบอกเราว่า ‘ผมรู้สึกอิจฉาที่เพื่อนเก่งกว่า ทำใจไม่ได้’ พอเขากล้ามาเปิดใจเล่าปัญหาของเขาให้เราฟัง มันทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาและหาทางช่วยเขาได้

“ครูเป็นคนๆ หนึ่งที่สามารถมองเห็นคุณค่าของเด็กได้ ตอนแรกเราเองเกือบไม่ได้มีโอกาสเรียนต่อแล้ว แต่เพราะมีครูที่เห็นคุณค่าเราสนับสนุนให้เราเรียนต่อ เราถึงได้มาเป็นครูอย่างทุกวันนี้ สิ่งที่เราทำเราพยายามมองหาคุณค่าในตัวเด็ก ผลักดันให้ตัวเขาและคนอื่นๆ เห็น” ครูเอ๋กล่าวทิ้งท้าย 

Tags:

เทคนิคการสอนศรีสะเกษพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Creative learning
    ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว’ วิชาเรียนของเด็กๆ โรงเรียนบ้านกระถุนในช่วงโควิด – 19 ที่ยังคงได้ทักษะชีวิตและสมรรถนะที่จำเป็น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ลดภาระงาน เลือกทักษะที่สอดคล้องกับชีวิตเด็ก : หลักการจัดการเรียนรู้ในช่วงโควิด – 19 ของ ‘โรงเรียนบ้านปะทาย’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Unique Teacher
    วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ไม่ว่าจะมีนิสัยที่เป็นภัยหรือไม่ เราทุกคนต่างก็เป็นที่รักได้ : Things No One Taught Us About Love
  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel