Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2020

ใช่หรือไม่ ว่าสิ่งที่เรามักจะขุ่นเคืองไม่พอใจผู้อื่น นั่นคือตัวตนที่เราไม่สามารถเป็นได้
How to enjoy life
20 July 2020

ใช่หรือไม่ ว่าสิ่งที่เรามักจะขุ่นเคืองไม่พอใจผู้อื่น นั่นคือตัวตนที่เราไม่สามารถเป็นได้

เรื่อง ศรีสุภา ส่งแสงขจร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘เรื่องที่ทำให้เราขุ่นเคืองไม่พอใจผู้อื่น จะนำไปสู่การเข้าใจตัวเราเองได้’ – คาร์ล ยุง
  • ตาราง 4 ช่อง เป็นแบบฝึกหัดง่ายๆ ที่ทำให้คุณเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงการรับรู้แบบเดิมๆ
  • การทำตาราง 4 ช่อง เปิดโอกาสให้เราได้เห็น “ศักยภาพ” บางอย่างที่เราทอดทิ้งไป ไม่ใช่เพราะมันเป็นด้านไม่ดี แต่เบื้องหลังของการที่เราตัดสินนิสัยของคนอื่นที่เราคิดว่าไม่ดี มันยังมีประโยชน์หรือคุณูปการบางอย่าง บางทีเราตัดสินนิสัยนั้นมากๆ จนเราไม่สามารถมองเห็นข้อดีของมันได้เลย ทำให้เรามีความพร้อมที่จะกลับมาหลอมรวม “ศักยภาพ” บางอย่างที่เราทอดทิ้งไปได้อีกด้วย

ใครกันแน่ที่กวนใจ “เรา”

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงรู้สึกไม่ชอบหน้าใครบางคน แม้เพิ่งจะเจอหน้ากันก็ตาม 

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงรู้สึกเดือดดาล อารมณ์ขึ้นทันที เมื่อเจอคนมีนิสัยบางอย่างที่เราไม่ชอบ

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเรามักคิดว่า ฉันไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้เลย ฉันจะไม่ทำแบบนี้แน่ๆ 

แล้วจริงหรือไม่ ที่เราจะไม่มีนิสัยแบบคนที่กวนใจเรา หรือจริงๆ เราแค่เก็บกดนิสัยนั้นเอาไว้

หลายคำถามที่เคยสงสัยและถามตัวเอง ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันเคยทนอึดอัดกับบางพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เราสองคนต้องทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน แต่ด้วยอารมณ์อึดอัดขัดข้องใจก็ทำให้ฉันแทบไม่มีความสุขในงานเสียเลย วันๆ ก็มีแต่คำพูดกวนใจส่งเสียงดังในหัวของฉัน

 “หึ….เธอชอบพูดจาเสียงดังโผงผาง รบกวนสมาธิชะมัด แถมไม่มีมารยาท ไม่เคยเกรงใจกัน ไม่ชอบหน้าเลยจริงๆ” 

“อีกแล้ว ทำไมเรารู้สึกอึดอัดมากขึ้น ไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้ แล้วยังต้องเจอกันทุกวันอีก”

นอกจากเสียงในหัวจะดังแบบที่เล่าแล้ว ฉันเองก็ยังแสดงพฤติกรรมโต้ตอบอัตโนมัติทุกครั้งที่เจอเพื่อนคนนี้ เช่น แรกๆ ก็แสร้งตอบไปตามมารยาท ทั้งที่ในใจไม่อยากตอบรับ ต่อมาก็เริ่มปฏิเสธ โกรธ ฮึดฮัด พูดจาไม่ดีเป็นการตอบกลับ นานวันเข้าก็ปะทุลุกลามไปจนถึงเพิกเฉย ไม่สนใจ ราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ 

ยิ่งฉันมีความรู้สึกภายในต่างๆ นานาเกิดขึ้นก็ยิ่งบั่นทอนความสัมพันธ์ของฉันกับเพื่อนร่วมงานให้แย่ลงไปเรื่อยๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุของความทุกข์ในเรื่องความสัมพันธ์นี้ แล้วฉันจะออกจากวงจรแห่งทุกข์นี้อย่างไรดี

ทำความรู้จัก “ตาราง 4 ช่อง” แบบฝึกหัดเช็คความปรี๊ด-จี๊ดในใจเรา

จนกระทั่งวันหนึ่งฉันได้มีโอกาสร่วมงานกับนักเขียนท่านหนึ่ง คือ เรือรบ – จิณณ์ณัฏฐ์ พรหมนุรักษ์และได้อ่านหนังสือของเขาชื่อ “สิบวันเปลี่ยนชีวิต”  ในหนังสือเล่มนั้นมีแบบฝึกหัดที่เรียกว่า ตาราง 4 ช่อง เมื่อลองทำตามก็ทำให้เข้าใจตนเอง และยังทำให้ค่อยๆ เห็นเพื่อนคนนี้ในแง่มุมใหม่ที่ตัวเองก็ไม่เคยนึกถึง ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ของตัวเอง ช่วยให้คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ที่สะสมมานานกว่า 2 ปี  

ขอเกริ่นถึงที่มาของแบบฝึกหัดตาราง 4 ช่องที่ว่านี้ ซึ่งคุณมะเหมี่ยว  – วรธิดา วิทยฐานกรณ์  Voice Dialogue Facilitator ได้ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ไว้ว่า 

“ต้นกำเนิดแรกมาจากแบบฝึกหัดชื่อ Bug You Exercise ซึ่งคิดขึ้นโดย เจมี่ โอน่า แพนกาย่า (J’aime Ona Pangaia) ครูอาวุโสของงาน Voice Dialogue แบบฝึกหัดนี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจในเบื้องต้นสำหรับผู้สนใจเรียนรู้ Voice Dialogue หรืองานจิตวิทยาเพื่อการตระหนักรู้และการเปลี่ยนแปลง”

Voice Dialogue เป็นเครื่องมือที่ผสมผสานระหว่างศาสตร์ด้านจิตวิทยาและจิตวิญญาณ ที่พัฒนาขึ้นโดย ดร.ฮัลและซิดร้า สโตน (Drs.Hal and Sidra Stone) ทั้งคู่เป็นสามีภรรยานักจิตวิทยาที่ศึกษาศาสตร์จิตวิทยาเชิงลึก (Depth Psychology) ในแนวทางของ คาร์ล ยุง (Carl Jung) โดยเครื่องมือและวิธีการที่ทั้งสองค้นพบและพัฒนาขึ้น นั่นคือ การสร้างการตระหนักรู้ ผ่านการสำรวจรูปแบบตัวตนภายใน (Voice Dialogue Facilitation) ซึ่งมีศักยภาพอย่างมากในการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยผ่านกระบวนการพัฒนาการตระหนักรู้ ซึ่งสามารถช่วยสนับสนุนนให้เกิดการเติบโตระดับลึกในแต่ละบุคคล

ส่วนแนวคิดของแบบฝึกหัด Bug You Exercise คือ โดยทั่วไปคนเรามักยึดติดอยู่ในรูปแบบการเป็นที่เราคุ้นเคย เรียกว่า “Primary Selves” หรือ “ตัวตนหลัก”  ฉันเป็นคนแบบนั้น ฉันเป็นคนแบบนี้ และปฏิเสธ “ตัวตน” รูปแบบการเป็นบางอย่างที่คิดว่า ฉันไม่เป็น ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ทำแน่ๆ เรียกว่า “Disowned Selves” หรือ “ตัวตนที่ถูกปฏิเสธ” การยึดถือระบุตนเองและการปฏิเสธรูปแบบตัวตนทั้งสองประเภทนี้ จะทำให้เกิดการครอบงําและควบคุมวิถีการดําเนินชีวิตของเราไปทั้งชีวิตอย่างที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว 

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ขออุปมาเปรียบเทียบกับสำรับไพ่ เมื่อคนเราทุกคนเกิดมาพร้อมไพ่ 52 ใบเท่ากันหมด นั่นคือเรามีศักยภาพมากมายเหมือนไพ่เต็มสำรับ แต่ชีวิตในแต่ละช่วงวัยที่ผ่านการเติบโตและเรียนรู้ ทั้งจากการเลี้ยงดู ครอบครัว ศาสนา สังคม ความเชื่อ การศึกษา การคบเพื่อน เพศ ฯลฯ ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ที่จะเลือกทิ้งไพ่บางใบออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นไพ่บางส่วนที่เข้ากันไม่ได้กับวัฒนธรรมของเรา หรือบางส่วนที่เราค้นพบว่าถ้าเราเป็นแล้ว จะเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีหรือคนอื่นจะไม่ยอมรับ หรือบางส่วนที่อาจมีบางเหตุการณ์ในชีวิตที่การเป็นบางอย่างของเราในอดีต เคยสร้างผลลัพธ์ที่เจ็บปวดจนเกิดเป็นบาดแผลในใจขึ้นมา หรือบางส่วนที่กระบวนการเลี้ยงดูจากพ่อแม่และครอบครัวของเราหล่อหลอมและหวงห้ามไม่ให้เราเป็น เราก็จะเลือกทิ้งไพ่แห่งศักยภาพเหล่านั้นทีละใบๆ  ไปเรื่อยๆ   

ตัวอย่างเช่น สมัยเด็กๆ เราเคยเป็นเด็กซน แต่พ่อแม่เราเป็นคนเข้มงวดมาก พอเราซนก็โดนลงโทษอย่างรุนแรง เราจำต้องละทิ้งความซนนั้นไป โตขึ้นเรากลายเป็นคนเรียบร้อย พอนานวันเข้า เราจะเริ่มมองคนที่ไม่อยู่ในระเบียบ ไม่เรียบร้อย ว่าเขาเป็นคนไม่ดี เมื่อคนเหล่านั้นผ่านเข้ามาในชีวิต อาจเป็นเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกค้า หรือคนที่บ้าน เป็นแฟน เป็นสามีหรือภรรยา หรือเป็นลูกเราเอง เราก็จะเกิดปฏิกิริยาอัตโนมัติ คือ หงุดหงิดงุ่นง่าน เห็นแล้วขัดตาเคืองใจ รู้สึกจี๊ดในใจ ไปจนถึงขั้นอารมณ์ปะทุขึ้น เกิดการทะเลาะกันเป็นเรื่องราวตามมา บางคนอาจยังไม่ทันหายมีเรื่องกับคนหนึ่งก็อาจไปมีเรื่องเดิมๆ กับคนใหม่ที่มีพฤติกรรมเดิมๆ ได้อีก ซึ่งหากมองลงลึกด้วยจิตวิทยารูปแบบตัวตน (Psychology of Selves)  ก็คือ เราเลือกทิ้งไพ่ความซนของตัวเองไปตั้งแต่เด็ก จนเราคุ้นชินไปแล้ว และเราก็ถือไพ่ของการอยู่ในระเบียบวินัยมาตลอดชีวิตที่เหลือ

ถ้าเทียบกับปัญหาความสัมพันธ์ที่เรามักเจอในชีวิตประจำวัน ทำไมเราต้องเกิดความขัดแย้งหรือมีปัญหากับคนแบบหนึ่งเสมอ หรือทำไมจู่ๆ เราเกลียดหรือไม่ชอบหน้าคนแบบนี้ หรือทำไมเรามีแฟนทีไรก็เจอแต่กับปัญหาเดิมๆ เปลี่ยนแฟนมากี่คนก็เจอแต่คนที่มีลักษณะแบบนี้อีกแล้ว และถึงที่สุดเราก็มักจะต้องทุกข์ทรมาน เพราะความไม่เข้าใจกัน 

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนตรงต่อเวลา เราก็มักไม่ชอบคนมาสาย แต่วันหนึ่งเราเจอคนในฝัน เขาคนนั้นช่างดูเป็นคนผ่อนคลาย ง่ายๆ สบายๆ เราคิดว่าเลือกดีแล้ว แต่แล้วก็พบว่าหนีไม่พ้นได้แฟนเป็นคนมาสาย ไม่ตรงเวลา แม้เลิกกันไป เปลี่ยนแฟนคนใหม่กี่คน สุดท้ายก็มักจะได้แฟนที่เป็นคนเช่นนั้นทุกครั้งไป เพราะขั้วต่างกันเลยดึงดูดกัน แต่ก็ต้องจบความสัมพันธ์ เพราะหาความลงตัวไม่ได้

เล่ามาถึงตรงนี้ อยากให้ลองนึกภาพตามว่า ตั้งแต่เกิดจนถึงเด็กวัยพอรู้ความประมาณ 5-6 ขวบ เราอาจเลือกทิ้งไพ่ไปเรื่อยๆ จนเหลือไว้ในมือแค่ 3-4 ใบ ไพ่ที่เหลือในมือเราคือ Primary Selves ตัวตนหลักคือ บุคลิกภาพหลักๆ ของเรา และไพ่มากมายที่ถูกทิ้งไป ซึ่งก็จะตกอยู่ใน 3 หมวดนี้ คือ ตัวตนที่เราปฏิเสธ จะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว (Disowned Selves) หรืออาจจะเป็นตัวตนที่เราเป็นได้บ้างบางครั้งบางคราว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือบริบท  (Sometimes Selves) และสุดท้าย ตัวตนที่เรายังไม่เคยรู้จักมาก่อน เนื่องจากประสบการณ์ในชีวิตนี้ยังไม่ได้เผยปรากฏขึ้นมาให้กับเรา (Unknown Selves)  

นี่คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ผ่าน Bug You Exercise หรือที่หลายคนได้ค้นพบประโยชน์ของแบบฝึกหัดจนได้นำไปถ่ายทอดต่อๆ กันในชื่อ ตาราง 4 ช่อง สิ่งที่เราคิดว่า เราใช่ เราเป็น นั้นยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่เราอาจไม่เห็นหรือไม่ได้ตระหนักรู้ ด้วยการยึดอยู่ในรูปแบบการเป็นบางอย่างของเราเอง ที่มาพร้อมกับเสียงตัดสิน  ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นข้อดีของการเป็นในรูปแบบที่เราปฏิเสธได้เลย แต่เมื่อเราได้ลองทำแบบฝึกหัดตาราง 4 ช่องนี้ อาจทำให้เรากลับมาค้นพบว่า ที่ผ่านมาเกือบตลอดชีวิต เราเลือกทิ้งไพ่หรือศักยภาพต่างๆ ในตัวเราไปมากมาย และยังทำให้เราค้นพบเบื้องหลังที่เราตัดสินนิสัยบางอย่างของคนอื่นที่คิดว่าไม่ดีนั้น อีกด้านมันยังมีประโยชน์หรือคุณูปการบางอย่าง ทำให้เรามีความพร้อมที่จะกลับมาหลอมรวม “ศักยภาพ” บางอย่างที่เราทอดทิ้งไปได้อีกด้วย 

เล่าเป็นแนวคิดแล้วอาจยังไม่เข้าใจกระจ่างนัก ขอชวนมาลองทำตาราง 4 ช่องต่อไปนี้เพื่อเข้าใจกันมากยิ่งขึ้นค่ะ

ฝึกทำตาราง 4 ช่องกันเถอะ

จากหนังสือของคุณเรือรบที่ฉันเคยได้อ่านครั้งนั้น จึงอยากชวนกันมาเขียนตาราง 4 ช่อง นำกระดาษ A4 หนึ่งแผ่น แบ่งกระดาษเป็น 4 ช่อง เขียนเลข 1 – 4 ไว้แต่ละช่อง แล้วตอบคำถามต่อไปนี้ 

(ตัวอย่างการเขียนตาราง 4 ช่อง)

1.ด้านบวกหรือข้อดี2.ฉันไม่ใช่คน…3.ฉันเป็นคน…4.ด้านลบหรืออีกด้าน
ปากตรงกับใจ ชัดเจน ตรงไปตรงมาหยาบคายสุภาพดัดจริต
อิสระ ชอบเรียนรู้โง่ฉลาดอวดรู้
ผ่อนคลายเหลวไหลมีความรับผิดชอบแบกโลก แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ดูแลตัวเองเห็นแก่ตัวเสียสละไม่ดูแลตัวเอง
ประสิทธิภาพวู่วามสุขุมรอบคอบไม่กล้าตัดสินใจ
มีเอกลักษณ์ เป็นตัวของตัวเองยึดติดตัวเองยืดหยุ่นไร้จุดยืน
………..…..…..

1. เขียนตารางช่องที่ 3 “ฉันคือคน….”

ให้เขียนสิ่งที่เราเชื่อว่าเราเป็น เป็นคุณสมบัติของตัวเราเอง เขียนออกมาเยอะๆ เช่น ฉันสุภาพ ฉันฉลาด ฉันตลก ฉันมีน้ำใจ ฉันเสียสละ ฯลฯ 

จำได้ว่าตอนแรกที่ฉันลงมือทำแบบฝึกหัดนี้ เริ่มจากมองตัวเองก่อน กรอกลงไปในช่อง 3 ว่า “ฉันสุภาพ” ใช่แล้ว ฉันคิดในใจกับตัวเองต่อไปว่า เพราะฉันมีมารยาท รู้จักกาลเทศะ อะไรควรไม่ควร เคารพกติกาของสังคม ให้เกียรติผู้อื่น และไม่ทำอะไรที่เดือดร้อนผู้อื่น 

2. เขียนตารางช่องที่ 2 “ฉันไม่ใช่คน…”

ให้เขียนสิ่งที่เราไม่ชอบของคนที่มักกวนใจเราหรือเราไม่ชอบหน้า พอบอกไม่ชอบปุ๊บ เห็นหน้าเขาผุดขึ้นมาเลย พอมีไหม แต่หากไม่มี ก็ลองนึกถึงพฤติกรรมหรือบุคลิกลักษณะที่เราไม่ชอบ เราไม่ใช่คนแบบนี้ เรารับไม่ได้ เช่น ฉันไม่ใช่คนหยาบคาย ฉันไม่ใช่คนโง่ ฉันไม่ใช่คนเรียบร้อย ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว ฯลฯ สังเกตจะเห็นว่าช่องที่ 2 นี้เป็นขั้วตรงข้ามกับช่องที่ 3 

ฉันทบทวนเรื่องที่ผ่านมา ภาพของเพื่อนร่วมงานผุดขึ้นมาในหัว ไม่ลังเลที่จะกรอกช่อง 2 คือ คนพูดจาเสียงดัง ไม่สุภาพ ไม่มีมารยาท ไม่ให้เกียรติผู้อื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แหม แค่ย้อนคิดแล้วก็เหมือนมีอารมณ์กรุ่นๆ เกิดขึ้นในใจไปด้วยเลย

3. เขียนตารางช่องที่ 1 “ด้านบวกหรือข้อดี…”

ข้อนี้จะเริ่มท้าทายหน่อยๆ จากช่องที่ 2 “ฉันไม่ใช่คน…” เชื่อไหมว่าด้านที่ไม่ใช่เรา บ่อยครั้งเรามักคิดตัดสินไปเลยว่าด้านนี้ไม่ดีหรือเลว แต่เบื้องหลังที่เราตัดสินนิสัยบางอย่างนั้น มันยังมีประโยชน์หรือคุณูปการบางอย่าง บางทีเราตัดสินด้านนั้นมากๆ จนเรามองไม่เห็นข้อดีของมันเลย ลองมาเขียนกันว่าข้อดีมีอะไร แต่หากคิดไม่ออก จะลองถามเพื่อนๆ ใกล้ตัวก็ได้นะ เช่น 

  • คนหยาบคาย ด้านบวกคือ เป็นคนปากตรงกับใจ ชัดเจน ตรงไปตรงมา กล้าเปิดเผย 
  • คนโง่ ด้านบวกคือ อิสระ ชอบเรียนรู้ 
  • คนเหลวไหล ด้านบวกคือ ผ่อนคลาย 
  • คนเสแสร้ง ด้านบวกคือ ดูแลและปกป้อง 
  • คนเห็นแก่ตัว ด้านบวกคือ คนดูแลตัวเอง 

มองกลับมาที่ตัวฉันเอง ทบทวนข้อดีของการพูดจาเสียงดัง ไม่มีมารยาท หรือไม่เกรงใจคนอื่น แบบเพื่อนร่วมงานคนนี้แล้ว แรกๆ ก็ยากมากที่จะคิดว่ามีข้อดีในนี้ด้วยหรือ แต่เมื่อฉันค่อยๆ ทบทวนก็พบว่า ด้านบวกของนิสัยคนที่ฉันไม่ชอบก็คือ ความชัดเจน ตรงไปตรงมา กล้าเปิดเผย และเป็นตัวของตัวเอง ใช่แล้ว ฉันไม่เคยคิดถึงเขาในมุมนี้เลยจริงๆ ว่าไปก็เป็นอีกมุมที่ทำให้ฉันเริ่มประหลาดใจเช่นกัน 

4. เขียนตารางช่องที่ 4 “ด้านลบหรืออีกด้าน….”

จากช่องที่ 3 “ฉันคือคน…” เรามักคิดว่า สิ่งที่เราเป็นเราคือข้อดีแล้ว แต่อีกด้านของข้อดีนี้ คนอื่นก็อาจมองเห็นว่าเราเป็นได้ ถ้าเป็นคิดเป็นคำถามก็คือ “คนในช่อง 1 จะมองว่าคนในช่อง 3 เป็นคนอย่างไร” ซึ่งจะเป็นในทางลบ แบบฝึกหัดข้อนี้อาจทำให้หลายคนอึดอัดใจ คิดไม่ออก แต่อยากให้ลองคิดหรือหากคิดไม่ออก จะถามหรือชวนเพื่อนๆ มาช่วยคิดกัน เช่น 

  • คนสุภาพ อีกด้านคือ ดัดจริต สร้างภาพ คลุมเครือ
  • คนฉลาด อีกด้านคือ อวดรู้ 
  • คนมีความรับผิดชอบ อีกด้านคือ คนแบกโลกหรือเจ้าข้าวเจ้าของ 
  • คนจริงใจ อีกด้านคือ คนไร้เดียงสาหรือซื่อบื้อ 
  • คนเสียสละ อีกด้านคือ คนไม่ดูแลตัวเอง อ่อนต่อโลก ถูกหลอกง่าย

กลับมาที่ตัวฉันเอง ช่องสุดท้ายนี้อาจยากหน่อย เพราะต้องมองให้เห็นข้อเสียของตัวเอง หากช่อง 1 ฉันเป็นคนสุภาพ มีมารยาท และให้เกียรติผู้อื่นแล้ว อีกด้านจะคืออะไร ฉันก็พยายามคิดแบบเป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างตัวเอง และมองตามความเป็นจริง คำตอบที่ค้นพบก็คือ คนอื่นๆ อาจดูว่าฉันเป็นคนเคร่งเครียด จริงจัง ไม่เป็นตัวของตัวเอง และอาจดูว่าเป็นคนดัดจริต สร้างภาพ หรือคลุมเครือก็ได้เช่นกัน

พอเขียนแบบฝึกหัดนี้เสร็จ ฉันได้ทบทวนตัวเองก็เริ่มเข้าใจปัญหาที่เกิดกับเพื่อนร่วมงานในเวลานั้น ที่ฉันสะสมความโกรธ ความไม่ชอบ ไม่พอใจ การโยนความผิด และตัดสินนิสัยเพื่อนร่วมงานคนนั้นกว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากฉันจะทุกข์แล้ว ฉันยังเห็นภาพบิดเบือนจากความเป็นจริง ฉันเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็นเท่านั้น เพราะการยึดอยู่ในการเป็นของฉันแบบนี้ ฉันจึงไม่สามารถเห็นอีกด้านที่เป็นบวกของเขาหรืออีกด้านที่เป็นลบในตัวเองได้เลย 

ปรับมุมคิด พลิกมุมมอง เราเปลี่ยนไป โลกก็เปลี่ยนตาม 

จากแบบฝึกหัด 4 ช่องที่ทำกันไป จะเห็นได้ว่า ช่องที่ 1 กับ 2 เปรียบได้กับไพ่ที่ถูกทิ้งไปหรือ Disowned Selves ตัวตนที่เราปฏิเสธ ไม่ยอมให้ตัวเองเป็น ส่วนช่องที่ 3 กับ 4 คือไพ่ที่ถูกถือไว้ในมือ หรือ Primary Selves สังเกตได้ว่าตัวตนของเราในช่องที่ 3 จะบ่งบอกถึงระบบคุณค่า ความเชื่อ ความหมายของชีวิต สิ่งที่เรายอมรับว่าทำไปแล้วเรารู้สึกดี แต่นานวันเข้า เมื่อเรายึดถือไพ่ชุดนี้อย่างเหนียวแน่น แน่นอนว่าเราจะต้องไม่พอใจกับคนที่แสดงไพ่ตรงกันข้ามหรือคนที่เป็นแบบช่องที่ 2 ทันที เราจะรู้สึกจี๊ดหรือปรี๊ดขึ้นมา  เราจะไม่ยอมเป็นอย่างช่องที่ 2 โดยเด็ดขาด และผลลัพธ์ที่พ่วงตามมาด้วยคือ เราได้ปฏิเสธและละทิ้งความสามารถในช่องที่ 1 ไปด้วยนั่นเอง

หากมองแต่ละช่องแบบแยกเดี่ยวๆ เช่น ช่องที่ 1 เป็นด้านบวกของรูปแบบการเป็นที่เราคิดว่าไม่ดีหรือเราไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ ทั้งที่ความจริง มันมีคุณประโยชน์หรือคุณูปการ และเป็นอีกศักยภาพสำหรับชีวิตเราเช่นกัน แต่พอเราปฏิเสธลักษณะแบบช่องที่ 2 กลับทำให้เราทิ้งไปเลยทั้งช่อง 1 และ 2 เช่น เราไม่กล้าพูดตรงไปตรงมา ไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง เพราะเรากลัวคนมองว่าเราไม่สุภาพ ไม่มีมารยาท หรือเราไม่กล้ารักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะเรากลัวถูกมองว่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น 

ยิ่งไปกว่านั้น หากเราไม่ตระหนักรู้และยึดอยู่ในตัวตนแบบช่องที่ 3  ผลที่ตามมาเราสามารถถูกมองว่าเป็นช่อง 4 ได้ทันทีเช่นกัน เช่น เราใจดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อไปซะทุกอย่าง เราสามารถถูกมองว่าเป็นคนอ่อนต่อโลก ถูกหลอกประจำก็เป็นได้ หรือเราอาจจะมองตัวเองว่าเป็นคนพูดจาไพเราะ มีมารยาท สุภาพ รู้กาลเทศะ และให้เกียรติคนอื่นแล้ว แต่เพื่อนก็อาจคิดว่าเราดัดจริตหรือสร้างภาพได้ 

อย่างไรก็ดี จุดประสงค์หลักในการทำ Bug You Exercise หรือตาราง 4 ช่อง คือ เพื่อให้เราสังเกตเห็นบางอย่างภายในตัวเราเอง และอาจเป็นบางอย่างที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นมาก่อน เพื่อที่เราจะได้ทำความรู้จัก และเปิดรับความเป็นไปได้หรือศักยภาพใหม่ๆ รวมถึงได้แนวทางว่าเราจะสามารถทำงานกับโลกภายในตัวเราต่อไปอย่างไรได้บ้าง  

คุณซอย – วริวรรณ์ วิทยฐานกรณ์  Voice Dialogue Facilitator เล่าเสริมว่า  “สำหรับบางคนที่ทำ Bug You Exercise แล้วรู้สึกว่าทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าเราไปพยายามทำความเข้าใจคนอื่น แต่เป็นเพราะว่าเราเริ่มรับรู้แล้วว่า สิ่งที่เราไม่เคยเห็นและรับรู้ได้ในช่องที่ 1 ได้ช่วยคลี่คลายความรู้สึกของเราไปโดยปริยาย และการที่เราทำช่องที่ 4 ออกมาได้ มันจะลดความจริงจังของความเชื่อในสิ่งที่เรามีลงมาได้ เพราะฉะนั้นนอกจากความสามารถในการเข้าใจตัวเองแล้ว มันยังทำให้เราสามารถคลี่คลายบางอย่างในตัวเราได้” 

หากมองย้อนไปหลายต่อหลายครั้งที่เราโกรธใครบางคน คนที่ทำให้เราขุ่นข้องหมองใจ คนคนนั้นนั่นเองเขาเป็นดั่งกระจกสะท้อนตัวเรา แล้วเขาอาจมีไพ่หรือนิสัยที่เราเคยเป็นแต่ทิ้งมันไปนานแล้วก็ได้ มันอาจเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดมากในอดีตตอนที่เราทำสิ่งนั้น แล้วคนนี้ก็ทำให้เราระลึกถึงเหตุการณ์นั้นได้ เราจึงไม่พอใจเพราะมันเคยทำให้เราเจ็บปวด 

เหมือนเช่นเหตุการณ์ของฉันกับเพื่อนร่วมงาน หลังจากที่ฉันได้ทำตาราง 4 ช่อง มุมมองและการรับรู้ต่อตัวเองก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันเห็นตัวฉันในหลากมุมมากขึ้น เปิดกว้างที่จะเรียนรู้มุมมองของเพื่อนในอีกหลายๆ ด้านที่ฉันไม่เคยเห็น ขยายศักยภาพและโอกาสที่จะให้ตัวเองและเพื่อนร่วมงานได้เป็นตัวของตัวเอง วงจรความทุกข์ค่อยๆ คลี่คลาย ความเข้าใจในตัวเองเปลี่ยนไป และสถานการณ์ตอนนั้นก็ดีขึ้น จนทุกวันนี้แม้ฉันและเพื่อนจะไม่ได้ทำงานที่เดิมแล้ว แต่เราทั้งคู่ก็ยังเป็นเพื่อนกันต่อไป 

สมดุลด้วยการตระหนักรู้ทุกตัวตนในชีวิต

นอกจากแบบฝึกหัด 4 ช่องจะช่วยขยายมุมมองความเข้าใจเรื่องตัวตนของเราและผู้อื่นแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ฉันได้เรียนรู้ นั่นคือ ความสมดุลของชีวิต

แม้เราจะเห็นว่าคนเรามีหลากตัวตนแล้ว แต่ยังรวมถึงการรักษาสมดุล ด้วยการเพิ่มพื้นที่ของการเข้าถึงศักยภาพในตัวเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ใช่แค่การที่เราจะแปรเปลี่ยนตัวเองไปได้ในทันที เช่น หลายคนอาจจะคิดไปล่วงหน้าก่อนว่า ถ้าเราเป็นคนนิสัยอีกแบบ ตรงข้ามกับที่เป็นอยู่ เราจะเป็นเหมือนคนคนนั้นได้เลย (คือ คนในช่อง 1 และช่อง 2)  

คุณซอย – วริวรรณ์ วิทยฐานกรณ์  Voice Dialogue Facilitator พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เรามักจะจินตนาการไปสุดขีดว่า ถ้าเราเป็น เราจะเป็นหนักเหมือนคนคนนั้น เช่น หากเราต้องเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เราก็จะกลายเป็นคนลวกๆ เราจินตนาการไปไกลเกิน แต่เราจะไม่เคยจินตนาการว่าถ้าเราสามารถมีคุณลักษณะแบบที่เขาเป็นแค่ 2% จะเป็นยังไง มันอาจจะผ่อนคลายขึ้นเลยนะ จริงๆ แค่เพียงนิดเดียวของคุณลักษณะนั้นก็เปลี่ยนพลวัตข้างในตัวเราได้มหาศาลเลย”

สมดุลชีวิตในที่นี้ จึงหมายถึงการตระหนักรู้ต่อการยึดอยู่ในรูปแบบตัวตนของตัวเองใดๆ ด้วยสติปัญญา และการมีความสัมพันธ์กับโลกนี้ ทั้งต่อผู้คน และต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม เราจะค้นพบว่าชีวิตสู่การเป็นมนุษย์ที่แท้ อาจไม่ใช่แบบที่เราเคยคิดตัดสินว่าถูกหรือผิด ดีหรือเลว ฉันเป็นคนแบบนี้ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น แต่คือการหลอมรวมและเปิดใจยอมรับคุณลักษณะต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในตัวเราทุกๆ ด้าน ความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนจะถูกเปิดออก และความบริบูรณ์ของชีวิตที่มีแต่ดั้งเดิมก็กลับมาอีกครั้ง 

สุดท้าย เมื่อเราเข้าใจความเป็นมนุษย์ในตัวเราได้มากขึ้น เราก็จะสามารถเข้าใจความเป็นมนุษย์ในผู้อื่นได้มากขึ้นเช่นกัน

อ้างอิง
มะเหมี่ยว  – วรธิดา วิทยฐานกรณ์  Voice Dialogue Facilitator. สัมภาษณ์, 25 พฤษภาคม 2563
จิณณ์ณัฏฐ์ พรหมนุรักษ์. สิบวันเปลี่ยนชีวิต. กรุงเทพฯ. สวนเงินมีมา. 2551
รู้จักงาน Voice Dialogue ตอนที่ 1
จากจิตวิทยาสู่จิตวิญญาณผ่านว๊อยซ์ไดอะล็อก
Leadership Capacity for Social Facilitation (EP.3 – 2015)

Tags:

จิตวิทยาชีวิตการทำงาน

Author:

illustrator

ศรีสุภา ส่งแสงขจร

ชื่อเล่นว่า เมย์ นักเรียนรู้โลกภายในตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to enjoy lifeBook
    งานทำคุณ หรือคุณทำงาน คำถามจากหนังสือ A LIFE AT WORK – ที่ทางของคุณบนโลกนี้

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ห้องเรียนใหม่รับเปิดเทอม เทคโนโลยีจะช่วยครูอย่างไร ให้ยังสอนและสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อยู่
Voice of New Gen
20 July 2020

ห้องเรียนใหม่รับเปิดเทอม เทคโนโลยีจะช่วยครูอย่างไร ให้ยังสอนและสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อยู่

เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • เสวนาที่ชวนคนรุ่นใหม่พูดคุยถึงห้องเรียนยุค New normal จะรับเทคโนโลยีมาช่วยจัดการเรียนรู้อย่างไรที่ยังสร้างการเรียนรู้ ครูไม่เหนื่อยเกินไป และสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อย่างสมจริง
ภาพ: StartDee

ถึงแม้โรงเรียนกลับมาเปิดเรียนตามปกติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ได้ทำให้รูปแบบการเรียนการสอนภายในโรงเรียนจำเป็นต้องเปลี่ยนไป การศึกษาไทยยุคใหม่จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นส่วนสำคัญ 

จึงเป็นที่มาของงานเสวนาระดมความคิดทางการศึกษาที่จัดขึ้นโดย StartDee ในหัวข้อ “เมื่อโฉมหน้าห้องเรียนหลังเปิดเทอมเปลี่ยนไป ออกแบบการศึกษาอย่างไรให้เด็กไทยเรียนรู้ได้อย่างไร้รอยต่อ” งานเสวนาจัดขึ้นที่ BASE Playhouse สามย่านมิตรทาวน์ พื้นที่การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ โดยวิทยากรรับเชิญผู้คร่ำหวอดในวงการการศึกษาไทยได้มาแสดงทัศนะต่อการปรับตัวของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเทคโนโลยีทางการศึกษา บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการปรับตัวของผู้ปกครอง

โดยวิทยากรที่ได้รับเชิญมาพูดทั้งหมดได้แก่

  • คุณทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิชาการ TDRI ด้านการปฏิรูปการศึกษา
  • ครูร่มเกล้า ช้างน้อย ครูคณิตศาสตร์รุ่นใหม่ โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เจ้าของไอเดียขับเคลื่อนการสอนรูปแบบใหม่ใน inkskru
  • คุณพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้ง StartDee แอปพลิเคชันด้านการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาไทย
  • คุณเมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง BASE Playhouse ที่เชื่อมั่นในการฝึกฝนทักษะที่วัดผลได้จริง
  • คุณกัญญาภัค บุญแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด
พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้ง StartDee

จุดเริ่มต้นของการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ให้เทคโนโลยีขับเคลื่อนการศึกษา

คุณพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้ง StartDee แอปพลิเคชันด้านการศึกษาที่มุ่งนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาระบบการศึกษาไทย ได้กล่าวเปิดงานเสวนาและแสดงความคิดเห็นว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้การศึกษาในช่วงวิกฤติโควิด-19 เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ พร้อมชูแนวคิด ‘TURN TECH TO TEACHER’ 7 ปัจจัยที่เทคโนโลยีสามารถช่วยการศึกษาได้ ดังนี้

  1. T Teaching เนื้อหาการสอน : ให้บริการบทเรียนคุณภาพที่ให้ความรู้อย่างครอบคลุมทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิตที่จำเป็น
  2. E Experience ประสบการณ์การเรียน : สร้างบรรยากาศที่เหมาะสมกับการเรียนออนไลน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ยกการเรียนในห้องมาไว้บนออนไลน์แบบไม่สนใจบริบท 
  3. A Access เข้าถึงง่าย : สามารถใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือทั้ง iOS, Android และ Desktop พร้อมร่วมมือกับ AIS แจกซิมฟรี ให้เด็กๆ ทั่วประเทศใช้บริการได้โดยไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต
  4. C Classroom : เทคโนโลยีเป็นทางเลือก ไว้เป็นตัวช่วยครูในห้องเรียน 
  5. H Hand-made/Personalized เฉพาะบุคคล : ฟีเจอร์ My Startdee วิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนแต่ละบุคคลว่าควรเรียนเรื่องอะไร มีอะไรที่ยังขาด ปรับตามความสามารถและความถนัด (ดูจากการทำข้อสอบถ้าตอบผิดในข้อที่ง่ายจะเปลี่ยนเนื้อหาให้ง่ายลง เพื่อให้เข้ากับความความสามารถของผู้เรียน) 
  6. E Equality สนับสนุนความเท่าเทียมทางการศึกษา : โดยการร่วมมือกับ Garena, Taejai และบริษัทที่สนใจด้านการศึกษา เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กที่อยู่ห่างไกลและมีฐานะยากจน
  7. R Research/Data ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล : นำข้อมูลที่มีมาใช้วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้เรียนมากขึ้นอยู่เสมอ รวมถึงวางแผนร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยต่างๆ เพื่อออกแบบงานวิจัยร่วมกัน
(ซ้ายสุด) ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิชาการ TDRI ด้านการปฏิรูปการศึกษา

คุณทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิชาการ TDRI ด้านการปฏิรูปการศึกษา ได้แบ่งปันอุปสรรคและ 3 บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาไทยในช่วงเปิดภาคเรียนที่ผ่านมา 

บทเรียนแรก-คือความไม่พร้อมของนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์การสื่อสารและไฟฟ้า 

บทเรียนที่สอง-คือความไม่พร้อมของครูที่พบความยากลำบากในการสอนทางไกลเนื่องจากความซับซ้อนในเชิงการเตรียมการสอนและการเลือกใช้อุปกรณ์ 

และบทเรียนสุดท้ายคือมาตรการของภาครัฐที่เข้มงวดเกินไป เช่น การเลื่อนเปิดเรียนมาเป็น 1 ก.ค. โดยคุณทัฬหวิชญ์ได้ให้ความเห็นว่า ปกติในช่วงปิดเทอมหรือช่วงรอยต่อนักเรียนมักจะลืมบทเรียนที่โรงเรียนกันอยู่แล้ว ยิ่งเลื่อนปิดเทอมให้ไกลออกไปก็ยิ่งต้องคำนึงถึงการทบทวนบทเรียนในช่วงเปิดเรียน

ในด้านของทิศทางการศึกษาไทยในอนาคต คุณทัฬหวิชญ์ได้แบ่งปันการปรับตัวที่เป็นไปได้ทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่

  1. การใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพขึ้น แต่ต้องคำนึงว่าควรใช้เครื่องมือใดที่จะเหมาะสมที่สุด 
  2. ความยืดหยุ่นของสถานศึกษา โรงเรียนควรยืดหยุ่นเกี่ยวกับตารางเรียน หากต้องการให้นักเรียนมีทักษะ การเรียนควรจะเปลี่ยนจากการเรียนแยกแต่ละวิชามาเป็นการบูรณาการมากขึ้น และเมื่อเด็กสามารถเรียนรู้จากนอกห้องเรียนได้ เช่น การเรียนผ่านแอปพลิเคชัน StartDee โรงเรียนก็อาจจะนับรวมเข้ากับชั่วโมงเรียน นอกจากนี้โรงเรียนควรหารือเกี่ยวกับการปรับลดชั่วโมงเรียนใหม่
  3. การปรับบทบาทของภาครัฐ ที่สามารถร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนออนไลน์ของนักเรียน เช่นเดียวกับที่ StartDee ร่วมมือกับ AIS ในการแจกซิมอินเทอร์เน็ตให้ใช้ฟรี
(คนกลาง) ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูคณิตศาสตร์ โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เจ้าของไอเดีย InsKru

ครูร่มเกล้า ช้างน้อย ครูคณิตศาสตร์ โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เจ้าของไอเดียขับเคลื่อนการสอนรูปแบบใหม่ใน inskru ได้ให้ข้อเสนอแนะในการออกแบบการเรียนการสอนที่ผสมผสานการเรียนออนไลน์และออฟไลน์อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้แนวคิด Design Thinking ทั้ง 5 กระบวนการเพื่อออกแบบการเรียนที่เหมาะสมที่สุด

  1. Empathise ทำความเข้าใจ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมของนักเรียน สำรวจความพร้อมของคุณครู หาตัวอย่างการสอนจากแหล่งอื่น 
  2. Define ลิสต์ปัญหาทั้งหมด
  3. Ideate รวบรวมไอเดียที่ได้แล้วเลือกวิธีที่คิดว่าดีหรือเหมาะสมที่สุด
  4. Prototype ออกแบบโมเดลในกระดาษแล้วไปคุยกับผู้อำนวยการ
  5. Test ให้คุณครูทุกคนดูโมเดลและรับข้อเสนอแนะเพื่ออุดช่องโหว่

โดยการออกแบบการสอนของโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตารามจะแบ่งออกเป็นการเรียนออฟไลน์ที่โรงเรียนเป็นหลัก 5 วิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อังกฤษ ไทย สังคม และอีก 5 วิชาที่นักเรียนสามารถรับภารกิจไปทำต่อที่บ้านแต่โรงเรียนนับเป็นชั่วโมงเรียน ได้แก่ พลศึกษา สุขศึกษา ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ สำหรับนักเรียนที่ไม่สะดวกเรียนที่บ้านโรงเรียนจะจัดพื้นที่ให้โดยมีคุณครูดูแล

นอกจากนี้คุณครูร่มเกล้ายังแบ่งปันนวัตกรรม QR SHEET ซึ่งเป็นเอกสารการเรียนที่คุณครูเตรียมไว้โดยแนบ QR Code คลิปการสอนใน YouTube ที่สอนตามลำดับเอกสารการเรียน ทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย โดยแรงบันดาลใจในการสร้าง QR SHEET เกิดจากการที่นักเรียนขาดเรียนเพื่อไปทำงานส่งเสียตัวเองเรียน ครูร่มเกล้าจึงคิดสร้างช่องทางที่ทำให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงบทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

คุณพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้ง StartDee แอปพลิเคชันด้านการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาไทยแสดงทัศนะว่าการเรียนออนไลน์ที่ดีนั้นมีอยู่จริงแต่ต้องปราศจาก 3 สิ่งนี้ ได้แก่ 

  1. ต้องไม่บังคับ เพราะไม่ใช่นักเรียนทุกคนหรือทุกครอบครัวที่มีความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยี
  2. ต้องไม่ทดแทนการเรียนในห้องเรียน เพราะบทบาทของคุณครูที่โรงเรียน การเจอเพื่อนและทำกิจกรรมที่โรงเรียนยังมีความสำคัญ จึงควรเรียนออนไลน์ควบคู่
  3. ต้องไม่สอนเหมือนในห้องเรียน การสอนออนไลน์ที่ดีไม่ใช่การย้ายห้องเรียนกายภาพมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่เป็นการออกแบบประสบการณ์ของผู้เรียนให้สอดรับกับพฤติกรรมของเด็กในการเรียนออนไลน์

ซึ่งคุณพริษฐ์ยังชี้แจงอีกว่าการออกแบบประสบการณ์ (Experience) ในการเรียนออนไลน์นั้นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการพัฒนาแอปพลิเคชันการเรียนรู้ออนไลน์ของ StartDee เช่นกัน นอกจากนี้ คุณพริษฐ์ยังนำเสนอเทคนิค 3 จ. ในการจัดทำสื่อการสอนออนไลน์ของ StartDee อีกด้วย

  1. จูงใจ หลังจากที่ StartDee เปิดให้ทดลองเรียนฟรีช่วงหนึ่ง มีเด็กเข้ามาดาวน์โหลดเยอะมาก แต่หลังจากนั้นก็เลิกเรียนไป จึงเปิดตัวฟีเจอร์ Startdee World ที่มีการแจกเหรียญและ XP เพื่อเพิ่มเลเวลหลังดูวิดีโอและหลังทำแบบฝึกหัด ซึ่งสามารถนำไปซื้อชุดตกแต่งตัวละครในแอปพลิเคชันได้ ซึ่งสถิติออกมาว่าหลังเปิดตัวฟีเจอร์ ผู้ใช้มีการดูคลิปและทำแบบฝึกหัดเพิ่มขึ้นถึง 72%
  2. จดจ่อ จากสถิติของผู้ใช้ในแอปพลิเคชันพบว่าความยาวที่เหมาะสมของแต่ละคลิปจะอยู่ที่ 10 นาที หากคลิปมีความยาวมากกว่านั้นอัตราการดูจบจะลดลง จึงแนะนำว่าการแบ่งคลิปเป็นหลายคลิปช่วยให้เด็กๆ จดจ่อได้ดีกว่า
  3. จดจำ สร้างการจดจำเกี่ยวกับเนื้อหาด้วยการผูกกับเรื่องเล่า
เมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง BASE Playhouse

คุณเมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง BASE Playhouse ให้ความเห็นว่า การฝึกฝนทักษะผ่านช่องทางออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพนั้นสามารถทำได้ด้วยกระบวนการออกแบบประสบการณ์ของผู้เรียนให้พวกเขาลงมือทำจริง คงความสนุกและสานสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนได้เหมือนเดิม บางทักษะสามารถฝึกฝนผ่านออนไลน์ได้ เช่น ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการสื่อสาร

นอกจากนี้ เขาได้ให้นิยามของความเก่งว่าเป็นการดึงศักยภาพของตัวเองออกมาเพื่อสร้างความสำเร็จในเส้นทางที่ตัวเองอยากจะเป็นได้ และไม่จำเป็นต้องเก่งตามความคาดหวังของสังคม ซึ่งเขามองว่าความเก่ง (Competence) นั้นเกิดจาก 3 สิ่งได้แก่

  1. ชุดความรู้ (Knowledge) สามารถได้รับจากการทำความเข้าใจ เช่นการอ่านหนังสือ
  2. ชุดทักษะ (Skill) จำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกฝนในสนามจริง
  3. ชุดความคิด (Mindset) คือมุมมองหรือทัศนคติของคนๆ หนึ่งที่มีต่อเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างยากที่สุด

โดยชุดความรู้นั้นเป็นสิ่งที่คุณครูสามารถส่งต่อให้นักเรียนผ่านทางออนไลน์ได้อยู่แล้ว ส่วนชุดทักษะและชุดความคิดนั้นถือเป็นความท้าทายของคุณครูทุกท่านในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ต้องสรรหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดในแบบของตัวเองเพื่อมอบให้กับนักเรียน

กัญญาภัค บุญแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด

คุณกัญญาภัค บุญแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด สำนักพิมพ์สำหรับเด็กและเยาวชนที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 28 ปี ได้แสดงความคิดเห็นในมุมมองของผู้ปกครองเกี่ยวกับการศึกษาในยุค New Normal ว่า 

“ที่ผ่านมาพ่อแม่และผู้ปกครองอาจทิ้งภาระและความคาดหวังทางการเรียนของลูกไว้ที่โรงเรียน แต่โควิด-19 ได้สอนบทเรียนให้เรารู้ว่า การสนับสนุนจากสถาบันครอบครัวนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด” และยังให้คำแนะนำกับผู้ปกครองท่านอื่นให้ปรับตัวให้เท่าทันกับรูปแบบการเรียนแบบใหม่ พยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของการเรียนในระบบออนไลน์ ไปจนถึงการปลูกฝังการรักการอ่านและทักษะชีวิตที่สำคัญในโลกอนาคต

รับชมการเสวนาย้อนหลังได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/startdeethailand/videos/302265464289452/

Tags:

งานเสวนานวัตกรรมการศึกษาGeneration of Innovator

Author:

illustrator

ปรียานุช ปรีชามาตย์

นิสิตภาควารสารที่สมัครฝึกงานกับ The Potential เพราะชอบสีม่วง แต่ดันค้นพบสีสันมากมายระหว่างบรรทัดที่ได้ลองเขียน ชอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวตามตรอกเพื่อคุยกับแมวจร รอ fromis_9 คัมแบคมา 1 ปีแล้ว

Related Posts

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Education trend
    ยุคที่การศึกษาขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยจะปรับตัวรับมืออย่างไร: เสวนา SIIT

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เทคโนโลยี-นวัตกรรม จุดชี้ขาดทางรอดโลกอนาคต: เสวนา SIIT ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character buildingVoice of New Gen
    “ลูกค้าคือทรัพยากรของนวัตกรรม” ทักษะคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างนวัตกรรม กับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร SCB10X

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Swan Lake 2: ข้อมูลที่จิตสำนึกไม่รับทราบ แต่หาทางไปปรากฏในความฝันและการเสพติด
Myth/Life/Crisis
17 July 2020

Swan Lake 2: ข้อมูลที่จิตสำนึกไม่รับทราบ แต่หาทางไปปรากฏในความฝันและการเสพติด

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Swan Lake ตอนที่2 พาไปสำรวจข้อมูลที่จิตสำนึกของเราไม่รับทราบ แต่หาทางไปปรากฏในความฝันและการเสพติดสารบางอย่าง โดยมีตัวอย่าง ‘ความฝัน’ ที่เชื่อมโยงไปยังความสัมพันธ์กับคนอื่นและคุณลักษณะภายในตัวตนเองที่เราหลงลืมไป ส่วน ‘อาการเสพติด’ เชื่อมโยงกับความทรงจำแห่งความสัมพันธ์อันเป็นขุมพลังชีวิตที่แท้จริง
  • เช่น คนไข้ฝันถึงดาบแล้วพบว่าเกี่ยวข้องกับพ่อและนิสัยของพ่อในตัวเอง ส่วนฮันนาฮ์เสพติดการดื่มไวน์ และพบว่าแท้จริงแล้วเธอเชื่อมโยงไวน์กับการที่แม่กลับบ้านมาอยู่ด้วยกัน

“การปลอบโยนเพียงอย่างเดียวเมื่อผมขึ้นไปข้างบนในยามค่ำคืนก็คือ แม่จะเข้ามาและหอมผมเมื่อผมอยู่บนเตียงแล้ว ทว่าการส่งเข้านอนนี้ก็เป็นเวลาอันสั้นเหลือเกิน…” – คำเล่าของมาร์เซล จาก Swann’s Way เขียนโดยมาร์เซล พรูสต์

บทก่อน (อ่านตอนที่ 1 ได้ที่นี่) เราได้เรียนรู้ถึงเงามืด (Shadow) ผ่านเรื่อง Swan Lake ซึ่งได้นิยามเพื่อให้ง่ายต่อการประยุกต์ใช้ไว้ว่า เงามืดเป็นลักษณะที่เราปฏิเสธหรือไม่ตระหนักรู้ในตัวเอง หรือเป็นลักษณะที่ยังดิบอยู่ซึ่งอาจเป็นลักษณะทางบวกก็ได้ เราได้เรียนรู้แล้วว่าเงามืดดังกล่าวอาจหาทางปรากฏในความสัมพันธ์อันแสลงใจ กระนั้น การตระหนักรู้เงามืดในจิตใจในที่นี้ ไม่ใช่การดำดิ่งสู่ด้านมืดกระทั่งเพลิดเพลินในการเบียดเบียนผู้อื่นและตัวเอง แต่เป็นเพียงความตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ในจิตใจอย่างทั่วถ้วนขึ้น เราจึงมีอิสรภาพทางใจมากขึ้น

บทนี้จะขยายไปสำรวจข้อมูลที่จิตสำนึกของเราไม่รับทราบ ซึ่งหาทางปรากฏขึ้นในความฝันและการเสพติดสารบางอย่าง โดยความฝันนั้นเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์กับคนอื่นและคุณลักษณะภายในตัวเองที่เราหลงลืมไป ส่วนอาการเสพติดที่จะกล่าว ก็เชื่อมโยงไปอีกทอดกับความทรงจำแห่งความสัมพันธ์อันเป็นขุมพลังชีวิตที่แท้จริง ซึ่งเราจะเห็นกระบวนการที่ละเอียดขึ้นของการพาไปตระหนักรู้ข้อมูลที่หลงลืมไป และปลดล็อคจิตใจให้ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ความบริบูรณ์กว่าเดิม

ในโลกอดีต ความฝันมีความสำคัญทั้งในการกำหนดนโยบายของบ้านเมืองในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน การรักษาเยียวยาความเจ็บป่วยและความอนาทรร้อนใจ จนถึงปัจจุบัน ความฝันก็ยังมีบทบทสำคัญในศาสนาและความเชื่อต่างๆ อย่างในพุทธสายทิเบตนั้น เห็นว่าจิตที่ฝันของผู้ที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นใหม่คล้ายกับจิตของผู้ที่ไม่ตื่นขึ้นอีกหากแต่เดินทางเข้าสภาวะ “ระหว่าง” การตายสู่การเกิดใหม่ หรือ บาร์โด 

หนังสือ The Ultimate Illustrated Guide to Dreams, Signs & Symbols ระบุว่าการตระหนักรู้ว่าเรากำลังฝันในขณะฝันอยู่ สำคัญต่อการเตรียมจิตสู่ความตาย นอกจากนี้ชาวพุทธสายทิเบตในบางสำนักก็มีการใช้ความฝันเป็นส่วนหนึ่งของอุบายการปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง

จิตวิทยาสายยุง (Carl Gustav Jung) และที่ได้รับอิทธิพลจากยุงมีหลายแนวคิดเกี่ยวกับความฝัน หนึ่งในนั้นคือความฝันช่วยสร้างสมดุล อีกทั้งเราสามารถใช้ความฝันเยียวยา ยกระดับจิตใจสู่บุคลิกภาพที่ไพศาลกว่าเดิม และอิสรภาพทางใจที่มากกว่าเดิมได้ ดังกรณีศึกษาจากกระบวนการทำงานกับความฝันของ คาร์ล ยุง จิตแพทย์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ อีกทั้งกรณีศึกษาของดร. Elaine N. Aron นักจิตวิทยาวิจัยในอเมริกาที่ได้รับอิทธิพลจากคาร์ล ยุง ทั้งสองกรณีเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์กับคนอื่นซึ่งสะท้อนกลับมายังลักษณะภายในตนเองที่หลงลืมไป

ตัวอย่างที่หนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งตั้งใจมาบอกเล่าความฝันเกี่ยวกับดาบให้คาร์ล ยุง ฟัง ซึ่งภายหลังเธอสืบย้อนไปที่ความสัมพันธ์กับพ่อ รวมทั้งคุณลักษณะของเธอเองที่ได้ถูกกลบฝังไว้อีกด้วย เธอฝันว่ามีคนนำดาบโบราณประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตา ซึ่งถูกขุดขึ้นจากหลุมศพมาให้ เมื่อได้รับคำถามว่าเธอเชื่อมโยงดาบเล่มนั้นกับอะไร เธอพลันนึกถึงกริชของคุณพ่อ เธอโยงใยลวดลายบนดาบไปถึงบรรพบุรุษเคลติกของครอบครัว อีกทั้งสำหรับเธอนั้น ดาบยังพ้องกับบุคลิกภาพที่มุ่งมั่นทว่าวู่วามของพ่อด้วย 

บทสนทนาของเธอและยุงค่อยๆ ขยายให้เห็นบรรยากาศของความฝันและรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ในฝัน และค่อยๆ ปล่อยให้ความหมายอันหลากหลายในบริบทของหญิงสาวเองนั้นคลี่เผยออกมาในความรับรู้ กระทั่งเธอพบด้วยว่านิสัยของพ่อเธอซึ่งดาบได้สะท้อนออกมานั้น ก็เป็นบุคลิกลักษณะบางอย่างในตัวลูกของพ่อคนนี้ ที่เธอลืมเลือนไปแสนนานนั่นเอง แล้วเธอก็ปลดล็อคสู่บุคลิกภาพที่ไพศาลกว่าเดิม

ตัวอย่างที่สอง เป็นเรื่องราวของผู้เข้ารับการปรึกษาของ ดร. Elaine N. Aron ผู้มีชุดความฝันที่เชื่อมโยงกับปัญหาความสัมพันธ์กับเจ้านาย ทว่าได้คลี่คลายไปสู่ความตระหนักรู้ลักษณะต่างๆ ของตัวเธอเองที่เคยจมหายไปจากความรับรู้ แต่เดิมผู้หญิงคนนี้ยึดติดอย่างสูงกับการที่ไม่อยากเป็นคน ‘ฉลาดแกมโกง’ อีกทั้งยังกดความนึกคิดไม่ให้ตนเองรับรู้ลักษณะที่เธอเห็นเป็นแง่ลบในตัวคนอื่นด้วย เธอรู้สึกว่าหัวหน้างานมีบางอย่างชอบกลแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทว่าในที่สุดเธอพบข้อเท็จจริงว่าหัวหน้าเขียนบันทึกที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ 

เมื่อได้รับความเห็นว่าเธอควรจะเป็นการเมืองในที่ทำงานมากกว่านี้หน่อย เธอก็รู้สึกว่าต้องทำสิ่งที่ ‘แปดเปื้อน’ แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีชุดความฝันที่เกี่ยวเนื่องกัน เป็นความฝันที่สำแดงเงามืดของ ‘ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง’ ให้ปรากฏขึ้น อารัมภบทด้วยการฝันเห็นแพะที่ถูกปิดล้อม ซึ่งก็คือความสำนึกรู้แบบเดิมของเธอมีความคับแคบจำกัด ทว่าจากนั้นเธอก็ฝันเห็นนักสู้ตัวน้อยข้างถนนที่มีความอึด และปิดด้วยการฝันเห็นนักธุรกิจหญิงผู้ผ่านโลกมามาก 

เมื่อเธอนำความฝันเหล่านี้ยกขึ้นพูดคุย เธอก็รู้จักลักษณะต่างๆ เหล่านี้ในตัวเองชัดขึ้น เช่น เธอมีความเป็น “นักสู้” เธอ “มีประสบการณ์” มากขึ้น เธอตระหนักรู้ในที่สุดว่าว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยสงสัยวาระซ่อนเร้นของคนอื่นเหมือนกัน เธอเริ่มกล้าตรวจสอบและพบว่าตัวเองเชื่อใจคนได้มากขึ้น เธอปลดล็อคจากการเสพติดการเป็น ‘คนดี’ และคลายความอึดอัดดับข้อง อีกทั้งมีชีวิตที่ไหลลื่นขึ้น

นอกจากการใช้ความฝันในการปลดล็อคตัวเองแล้ว การสังเกตอาการเสพติดอะไรบางอย่างของตัวเองก็เป็นเครื่องมือในการตระหนักรู้ข้อมูลที่แอบซ่อนอยู่ในจิตใจเบื้องลึก ซึ่งนำไปสู่การปลดล็อคตัวเองได้เช่นเดียวกัน ดั่งเช่นเรื่องราวของฮานนาฮ์ ที่สามารถปลดล็อคจากการนิยมเสพไวน์แดง เพราะเธอตื่นรู้ในที่สุดว่าไวน์แดงเพียงชดเชยแม่และพลังใจที่หายไป

ฮานนาฮ์ชอบดื่มไวน์แดงและดื่มทุกครั้งที่มีโอกาส กระนั้น เธอไม่เคยรู้เลยว่า ไวน์ เชื่อมโยงกับอะไรที่ลึกกว่านั้นมาก กระทั่งวันหนึ่งมีคนถามเธอว่า “ชอบดื่มไวน์แดงที่ไหน กับใครที่สุด?” ซึ่งฟังดูเป็นคำถามแสนธรรมดาสามัญ ทว่ากลับเป็นวินาทีแห่งการปิ๊งแวบสว่างไสวจนน้ำตาซึม

เธอไม่เคยตระหนักเลยว่าเธอชอบดื่มไวน์ “ที่บ้าน” มากกว่าสถานที่ใด และดื่ม “กับแม่” มากกว่าใครคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เธอระลึกถึงวัยเด็กที่ว่าวันไหนได้ดื่มไวน์ แปลว่าวันนั้นแม่กลับมาบ้านแล้ว มวลหมอกแห่งภาพความทรงจำต่างๆ ผุดขึ้นให้เธอ “เห็นอีกครั้ง” ว่าในวัยเด็ก แม่ของฮันนาฮ์ทำงานที่ต้องเดินทางเสมอและจะไม่อยู่บ้านครั้งละเป็นเวลานาน 

แม้ว่าครั้งหนึ่งตอนอายุประมาณ 4 ขวบ เธอจะเคยร้องไห้กอดขาแม่ด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่หน้าประตูบ้านชั่วขณะที่แม่ก้าวขาออกไป แต่จากนั้นมา เด็กตัวน้อยคนนั้นก็เข้าใจและเต็มใจรับผิดชอบกิจวัตรต่างๆ ตามที่แม่บันทึกไว้ให้ไปตามลำพัง นอกจากนั้น ทุกครั้งเมื่อแม่กลับบ้าน แม่มักจะมาพร้อมกับไวน์แดงซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่แม่ชื่นชอบที่สุด เมื่อฮานนาฮ์โตขึ้น แม่ก็ยังชวนเธอดื่มเช่นนั้นอีกเสมอมาเมื่อแม่พักผ่อนอยู่บ้านว่างๆ และเมื่อแม่ต้องการเฉลิมฉลองความสำเร็จต่างๆ ของฮันนาฮ์

เธอจึงเชื่อมโยงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่า ไวน์แดง คือ การได้อยู่กับแม่ อีกทั้งเป็นความชื่นชมจากแม่ด้วย เวลาแห่งการดื่มคือเวลาแห่งการคืนสู่เหย้าอันแวดล้อมด้วยความผ่อนคลายและยินดี หลักจากนั้นไม่นาน ฮานนาฮ์ก็ไม่ดื่มไวน์พร่ำเพรื่ออีกเลย แท้จริงแล้วฮันนาฮ์ไม่ได้ติดใจแอลกอฮอล์ ความทรงจำที่ถูกฝังกลบอยู่ในอดีตซึ่งเชื่อมโยงกับเครื่องดื่มต่างหากที่เป็นแหล่งพลังชีวิตซึ่งเธอโหยหา เฉกเช่นที่เมื่อเจ้าชายซิกฟรีดตระหนักรู้ว่าโอดีลไม่ใช่โอเด็ต เขาก็เริ่มเข้าสู่หนทางที่จะหลุดจากพันธนาการลวง

ทุกเรื่องที่กล่าวมาล้วนแสดงให้เห็นว่า หากเราสามารถมองทะลุความฝันและการเสพติด เราจะได้สัมผัสกับขุมพลังบางอย่างซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจ

ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกล้าเผชิญหน้ากับมันหรือไม่เท่านั้น

อ้างอิง
การบรรยายหัวข้อ “จิตในความฝันและความตาย” โดย รศ.ดร.กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ชั่วขณะสุดท้ายแห่งชีวิต เขียนโดย ทะไลลามะ โดยมีเจฟฟรี ฮ็อปกินส์ เป็นบรรณาธิการและผู้ถอดความเป็นภาษาอังกฤษ และแปลเป็นภาษาไทยโดย ธารา รินศานต์ โดยมีพจนา จันทรสันติ เป็นบรรณาธิการ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
Introducing Buddha โดย Jane Hope
Jung A very short Introduction โดย Anthony Stevens
Swann’s Way (เป็นหนังสือเล่มแรกของนวนิยาย In Search of Lost Time) โดย Marcel Proust นักเขียนชาวฝรั่งเศส แปลภาษาอังกฤษโดย C.K. Scott Moncrieff & Terence Kilmartin
The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You โดย Elaine N. Aron
The Ultimate Illustrated Guide to Dreams, Signs & Symbols โดย Mark O’Connell, Raje Airey และ Richard Craze
Tibetan Yogas of Dream and Sleep โดย Tenzin Wangyal Rinpoche

Tags:

จิตวิทยาMyth Life Crisisจิตใต้สำนึก

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

Queer eye: รายการที่บอกให้เห็นคุณค่าตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่มี และเราสมควรได้รับความรักเช่นกัน
Dear ParentsMovie
17 July 2020

Queer eye: รายการที่บอกให้เห็นคุณค่าตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่มี และเราสมควรได้รับความรักเช่นกัน

เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Working Mom เชื้อสายเกาหลีทำงานเป็นหมอเด็ก ซึ่งมีลูกอายุ 3 ขวบ เธอคือแม่ที่ออกไปทำงาน ส่วนสามีก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกแทนเธอ ลึกๆ เธอรู้สึกผิดกับความรู้สึกว่า ‘แม่’ น้อยกว่าแม่คนอื่น อึดอัดเวลาได้รับคำชมเรื่องรูปร่าง รู้สึกว่าต้องรับมือกับการตัดสินจากคนอื่น กับสังคมที่ไม่ยกย่องสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ เกิดเป็นความขัดแย้งในใจและที่สำคัญเธอรู้สึกว่าเธอไม่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว
  • ในใจเราคอยโทษแม่ตลอดว่าแม่ทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่เราก็ไม่รู้จะไปต่อยังไง ถึงตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า ส่วนหนึ่งของปัญหามันเกิดจากเราที่ไม่ยอมปล่อยให้ความคิดนี้จบไปได้ซักทีตังหาก ไม่ใช่แม่ที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ เรานี่แหละที่ทำตัวเอง เรานี่แหละที่ไม่ยอมมูฟออนออกจากความคิดวนเวียนนี้ซักที
Anthoni (เสื้อสีชมพู) Karamo (เสื้อสูทลายดอท)
Tan (เสื้อสีฟ้า) Jonathan (เสื้อสีดำ) Bobby (เสื้อสีน้ำตาล)

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)เพศซีรีส์LGBTQ+Queer eye

Author & Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Sex Education: ความเข้าใจเรื่องสิทธิ์เนื้อตัวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ครอบครัวต้องหยุดสร้างทัศนคติ Victim blaming

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    เพียงพบบรรจบฝัน – เมื่อรสนิยมทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องชอบชายหรือหญิง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Movie
    Firefly Lane : บางทีเราก็ต้องการใครสักคนที่เชื่อในตัวเรา บอกว่าตัวเราเปล่งประกายและมีคุณค่าได้จากศักยภาพที่ตัวเองมี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    อาริยา มิลินธนาภา: เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง
Life classroomMovie
16 July 2020

Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • เพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด เขาและเพื่อนๆ จึงสร้างมหาวิทยาลัยปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกพ่อแม่ นี่คือพล็อตของหนังเรื่อง Accepted ภาพยนตร์ที่จะมาเสียดสีและตีแผ่ระบบการศึกษา

วัยรุ่นชายคนหนึ่งที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดสักที่ เพื่อให้รอดพ้นจากคำด่าและความผิดหวังของพ่อแม่ เขาและเพื่อนที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกันจึงสร้างมหาวิทยาลัยปลอมๆ เพื่อหลอกพ่อแม่ แต่ดันมีคนมาสมัครเรียนจริงๆ เสียนี่…

นี่คือพล็อตภาพยนตร์เรื่อง Accepted จากประเทศสหรัฐอเมริกาออกฉายเมื่อปี 2006 ว่าด้วยเรื่องของบาร์เทิลบี เกนส์ (Bartleby Gaines) เด็กหนุ่มที่กำลังเรียนจบเกรด 12 (หรือม.6 ในบ้านเรา) เขาก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบ สนใจ หรืออยากทำอะไร แต่เพราะกฎที่พ่อแม่ตั้งไว้ คือ เขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ทำให้เป้าหมายของบาร์เทิลบีในช่วงเกรด 12 (หรือทั้งชีวิตในโรงเรียน) คือ เขาต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

แต่เพราะตัวบาร์เทิลบีไม่มีอะไรที่โดดเด่น ผลการเรียนก็ธรรมดาและออกจะแย่ด้วยซ้ำ แถมไม่ใช่นักกีฬาชื่อดังประจำโรงเรียน ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมอะไรสักอย่าง ถึงจะหว่านแหส่งใบสมัครไปหลายมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่มีที่ไหนตอบรับเขาสักแห่ง (แต่ก็นะ ถ้าเขาได้เข้ามหาวิทยาลัยตามที่หวังหนังเรื่องนี้คงจบภายใน 10 นาทีแรก)

หลังจากคนรอบตัวทะยอยสอบติดมหาวิทยาลัย รวมถึงเพื่อนสนิทของเขาอย่าง เชอร์แมน ชเรเดอร์ (Sherman Schrader) ความเครียดก็บังเกิดกับบาร์เทิลบีทันที เขาจะทำยังไงดี? ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนตอบรับเขาเลย บาร์เทิลบีตัดสินใจลองคุยกับพ่อแม่ว่า ตัวเองจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย พ่อแม่ตอบกลับด้วยสีหน้าที่งวยงงและถามว่า ‘เขาเป็นบ้าอะไร’ 

ขออนุญาตเล่าพื้นเพพ่อแม่บาร์เทิลบีพอให้เข้าใจตัวละครเพิ่ม กล่าวคือ เกนส์คนพ่อทำงานนอกบ้านในตำแหน่งพนักงานระดับสูงที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเกนส์คนแม่เป็นแม่บ้านดูแลลูก เมื่อมีลูก พวกเขาก็คาดหวังและอยากให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ จะได้มีอนาคตดีๆ เหมือนกับตัวเอง

แม้บาร์เทิลบีจะงัดเหตุผลมาสู้ว่า เรียนมหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายมาก สิ้นเปลือง เอาเวลาไปทำงานหาประสบการณ์ดีกว่า แต่พ่อแม่บาร์เทิลบียื่นคำขาดว่า เขาต้องเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น ยิ่งพอรู้ว่าบาร์เทิลบีสอบไม่ติดสักที่ สิ่งที่พ่อแม่มีให้กับบาร์เทิลบี คือ ความผิดหวัง ยิ่งตอนไปร่วมงานฉลองที่เชอร์แมนสอบติดมหาวิทยาลัยลัย ตลอดทั้งงานสีหน้าของพ่อแม่แสดงออกถึงความเศร้า ขณะที่พ่อแม่คนอื่นๆ ต่างคุยกันออกรสว่า ลูกตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนบ้าง แต่พวกเขาไม่สามารถร่วมวงได้

ความกดดันตกอยู่ที่บาร์เทิลบี สุดท้ายเขาก็ปิ๊งไอเดียว่า สร้างมหาวิทยาลัยปลอมๆ มาหลอกพ่อแม่ไปก่อนดีกว่า เพื่อซื้อเวลาระหว่างหามหาวิทยาลัยสอบเข้าใหม่ บาร์เทิลบีและเพื่อนๆ ที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกันช่วยกันสร้างมหาวิทยาลัยปลอมๆ ขึ้นมา ใช้ชื่อว่า The South Harmon Institute of Technology (หรือเรียกย่อๆ ว่า S.H.I.T.) แต่ด้วยระบบที่อาจจะสมจริงเกินไปทำให้มีคนสมัครเข้ามาเรียนเกือบ 300 คน! นั่นเป็นสิ่งที่พวกบาร์เทิลบีไม่ได้คิดไว้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่อมา

ครอบครัว

เราดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกตอนที่อยู่ม.ต้น สำหรับเรามันก็เหมือนหนังวัยรุ่นทั่วไปที่เล่าปัญหาของตัวเอก ทำให้เราลุ้นว่าพวกเขาจะแก้ปัญหาของตัวเองยังไง แต่พอมีโอกาสกลับมาดูในตอนที่เราสำเร็จการศึกษาแล้ว (ตามที่สังคมกำหนดไว้) เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ซึ่งภายนอกดูเหมือนหนังวัยรุ่นทั่วไป แต่ภายในอัดแน่นไปด้วยการเสียดสีและตีแผ่ระบบการศึกษา

ผู้ปกครองในเรื่องทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ลูกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เรามองว่าเพราะเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองลองทำแล้วและเห็นว่าการศึกษานี่แหละที่ทำให้ชีวิตพวกเขาดีจริงๆ มีอนาคตที่สดใสรออยู่ ซึ่งมันก็เป็นจริงในประสบการณ์ชีวิตพวกเขานั่นแหละ ทำให้เมื่อบาร์เทิลบีถามพ่อแม่ว่า ทำไมถึงอยากให้เขาเรียนมหาวิทยาลัยหนักหนา? พ่อแม่เขาก็ตอบกลับมาว่า ‘จะได้มีอนาคตไงล่ะ’ และคนที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ก็คือคนที่จะประสบความสำเร็จ แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่อาจไม่ได้มอง คือ ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เส้นทางชีวิตที่เข้ามหาวิทยาลัยอาจจะเหมาะกับพ่อแม่ แต่อาจไม่ได้เหมาะกับลูกของเขา ‘ดี’ ของพวกเขากับ ‘ดี’ ของลูกนิยามอาจจะไม่เหมือนกัน

เรารู้สึกว่าตัวเองก็เหมือนบาร์เทิลบี (และคิดว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนกัน) เราไม่รู้หรอกว่าชอบหรืออยากทำอะไร เราโตมากับคำพูดของพ่อแม่ที่ว่า ‘ต้องเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้’ นั่นกลายเป็นเป้าหมายการเรียนของเราไปโดยปริยาย แต่อาจจะโชคดี (หรือโชคร้าย) กว่าบาร์เทิลบีที่ตอนม.6 เราพอรู้ว่าอยากจะเข้าคณะไหนและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

บางครั้งเราก็คิดว่า ทำไมพ่อแม่ต้องกดดันพวกเราขนาดนี้ ทำไมต้องบอกตลอดว่า ‘ต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้’ เขาไม่เข้าใจเราเลยหรอ? ลำพังเรียนในห้องก็หนักแล้ว ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก แต่พอดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ เราสังเกตเห็นท่าทางของบาร์เทิลบีในฉากงานเลี้ยง เขาเองก็ไม่ได้มีความสุข แถมต้องเห็นพ่อแม่ที่ถูกพ่อแม่คนอื่นๆ ถามว่าลูกตัวเองสอบติดที่ไหน สีหน้าของพ่อแม่เขามันยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่สามารถทำตามสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังไว้ได้

เราเข้าใจว่าพ่อแม่เองก็มีความกดดันในแบบของเขา การอยู่ในสังคมที่เพื่อนๆ ชอบยกเรื่องลูกมาเล่าว่า ลูกตัวเองเรียนได้เกรดดี สอบเข้าโรงเรียนดีๆ ได้ มันก็กลายเป็นแรงกดดันที่พ่อแม่เจอและเผลอผลักให้ลูกต่อ (เราว่าหน้าตาทางสังคมก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางคน ไม่ใช่เรื่องผิด เปรียบเทียบกับตัวเราเองเวลาเห็นเพื่อนได้คะแนนดีๆ เราก็รู้สึกกดดัน) บางทีพ่อแม่อาจต้องถามตัวเองว่า เราไม่สนสิ่งที่สังคมยกยอมันได้ไหม แต่มาสนใจที่ความต้องการลูกแทน

ระบบการศึกษา

ภาพเด็กๆ ที่หนังนำเสนอมีทั้งเพื่อนสนิทของพระเอกอย่างเชอร์แมน ที่เขามีเป้าหมายแล้วว่าต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์มอนให้ได้เพราะคนในตระกูลเข้าได้ทุกคน และเขาก็สามารถทำได้ (เขาจึงเป็นตัวแทนของคนที่ทำตามความคาดหวังของคนในครอบครัวสำเร็จ!) หรือรอรี่ เทรเยอร์ (Rory Thayer) เพื่อนสาวพระเอกที่บอกว่าตัวเองเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยกลุ่มไอวีลีก (Ivy League) ตั้งแต่อนุบาล พอไม่สามารถทำตามฝันได้มันทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งชีวิตพังหมดแล้ว หรือวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่สอบติดมหาวิทยาลัยของบาร์เทิลบีเขาบอกว่า ตอนที่พ่อแม่รู้ว่าเขาติดมหาวิทยาลัย นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าพ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา เด็กๆ ในเรื่อง (รวมถึงเรา) ต่างถูกสังคมหล่อหลอมว่าเป้าหมายการศึกษาของเราคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ถ้าพลาด ทุกอย่างก็จบ

แต่สำหรับเราคิดว่าไม่ใช่ (แต่กว่าเราจะค้นพบได้ก็นะ เรียนจบแล้ว…) การศึกษามันเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้เราค้นพบสิ่งที่ชอบ อย่างที่บอก เราไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วการจะค้นพบมัน คือ เราต้องออกไปหาประสบการณ์ไง เพื่อดูว่าเราชอบ-ไม่ชอบอะไร การศึกษาก็เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้เรารู้ มันเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ (แต่บางคนที่พ่อแม่มีแรงซับพอร์ต เขาอาจจะมีโอกาสเยอะกว่า ไม่ต้องพึ่งระบบการศึกษา) แต่เอาเข้าจริงพอไปเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเรากลับไม่มีเวลาให้เรื่องพวกนี้ เพราะทั้งเวลาและพละกำลังเราใช้ไปกับการเรียนทั้งหมด สุดท้ายเราจบออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่เราชอบ ต้องการหรือเปล่า? 

ตอนที่บาร์เทิลบีตั้งใจอยากทำให้มหาวิทยาลัยนี้เป็นของจริง เขาเริ่มโดยปรึกษาลุงเบนที่ถูกจ้างให้เป็นอธิการบดีปลอมๆ ลุงเบนก็เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย แต่เพราะทนกับระบบการศึกษาไม่ได้เขาจึงตัดสินใจลาออก ลุงเบนให้คำแนะนำบาร์เทิลบีว่า มหาวิทยาลัยก็เหมือนกับธุรกิจอย่างหนึ่งที่ต้องตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่จ่ายเงินเข้ามาเรียนเพื่อซื้อประสบการณ์

แต่ประสบการณ์ที่ทุกคนอยากได้ก็ไม่เหมือนกัน บาร์เทิลบีเริ่มต้นสร้างหลักสูตรด้วยการถามทุกคนว่า ‘อยากเรียนอะไร?’ ปฏิกิริยาตอบกลับของแต่ละคน คือ งงกับคำถามของเขาพร้อมกับถามกลับว่า ‘นั่นไม่ใช่หน้าที่ของมหาวิทยาลัยหรอ? ที่จะบอกว่าพวกเขาต้องเรียนอะไร’

เป็นเรา ถ้ามีคนมาถามแบบนี้ เราก็คิดว่าเขาคงถามไปตามหน้าที่ให้ดูว่า ‘เราใส่ใจคุณนะ’ แต่สุดท้ายสิ่งที่เราบอกกลับไม่เคยได้รับการตอบสนอง (เพราะมันก็มีปัจจัยอีกหลายอย่าง) เราแค่รู้สึกว่าตั้งแต่เรียนมาเราไม่เคยถูกถาม (แบบจริงๆ) ว่าอยากเรียนอะไร แถมเวลาได้เลือกก็คือเลือกสิ่งที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเตรียมให้แล้ว 

วิชาเรียนในมหาวิทยาลัยบาร์เทิลบีที่เขาตั้งต้นจากความชอบของแต่ละคนจึงเต็มไปด้วยวิชาแปลกๆ อย่างวิชาขี้เกียจ101 วิชานั่งสมาธิในสวน วิชาทำสติ๊กเกอร์ติดท้ายรถ หรือวิชาเล่นสเก็ตบอร์ด (ด้วยความที่หนังเล่าอยู่ในบริบทปี 2006 ปัจจุบันมีวิชาแนวนี้เกิดขึ้นจริงๆ) สายตาคนนอกอาจจะมองว่านี่ไม่ได้เรียกว่าวิชา เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ขึ้นอยู่ที่การมอง ถ้ามองว่าวิชาคือสิ่งที่ต้องให้ความรู้ (นิยามความรู้ก็ตามที่สังคมกำหนดไว้) พวกนี้ก็อาจไม่ใช่วิชา แต่ถ้ามองว่าวิชาคือเรื่องอะไรก็ได้ที่เราเข้าไปเรียนรู้ เข้าไปมีประสบการณ์กับมัน สิ่งนี้ก็อาจจะใช่

เด็กพวกนี้ก็เหมือนบาร์เทิลบีที่ถูกมองว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน แหกคอก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเขาไม่สามารถทำตามแผนที่ระบบการศึกษากำหนดไว้ได้ สุดท้ายก็ถูกผลักออกจากสังคมแล้วถูกตัดสินว่าแย่ ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีระบบไหนดีหรือเหมาะสมกับเด็กได้ทั้งหมด พวกเขาอาจไม่เก่งในสิ่งที่สังคมกำหนด แต่ยังมีสิ่งอื่นที่พวกเขาทำได้และทำได้ดี เพียงแต่ขอโอกาสให้ได้ทำ

มุมมองผู้ใหญ่ VS เด็ก

นอกจากเรื่องครอบครัว ระบบการศึกษาแล้ว หนังยังยกประเด็นมุมมองการมองโลกที่แตกต่างของผู้ใหญ่และเด็ก ทำให้เกิดความขัดแย้ง เพราะผู้ใหญ่คิดอย่าง เด็กคิดอีกอย่าง อย่างการเรียนมหาวิทยาลัยผู้ใหญ่มองว่าเป็นใบเบิกทางที่จะมีอนาคตดีๆ ในขณะที่เด็กกลับมองว่าอนาคตดีๆ ไม่จำเป็นต้องเข้ามหาวิทยาลัย

บ่อยครั้งด้วยมุมมองที่ขัดแย้ง ทำให้เด็กคิดว่า ‘ผู้ใหญ่ชอบตัดสินเรา พวกเขาไม่เคยสนใจสิ่งที่เราพูดที่เราคิด’ เราขอยกประโยคที่บาร์เทิลบีพูดตอนอยู่ในศาล จุดนี้ขออนุญาตวกกลับไปเล่าเรื่องย่อๆ ว่า หลังจากที่บาร์เทิลบีโดนเปิดโปงว่าเป็นมหาวิทยาลัยต้มตุ๋นและโดนสั่งปิด แต่เชอร์แมน (ที่ทุกข์ทรมานกับชีวิตในมหาวิทยาลัยที่เขาฝันไว้) ลองยื่นขอรับรองการจัดตั้งมหาวิทยาลัยจากสมาคมรับรองวิทยฐานะ (state board of accreditation) แต่คำขอพวกเขาถูกอธิบการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์มอน (มหาวิทยาลัยที่พวกเขาตั้งลอกเลียนแบบฟ้อง) เกิดเป็นฉากตัดสินในศาลว่าจะให้มหาวิทยาลัยของบาร์เทิลบีจัดตั้งได้ไหม

หลังจากฟังคำอธิบายของบาร์เทิลบี สีหน้าของคณะกรรมการดูไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด บาร์เทิลบีตัดสินใจพูดว่า

And it’s too bad that you judge us by the way we look and not by who we are. Just because you want us to be more like them when the truth is we’re not like them. And I am damn proud of that fact!

มันแย่มากที่คุณตัดสินเราจากสิ่งที่พวกคุณเห็นไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น แค่เพราะคุณต้องการให้เราเป็นอย่างพวกคุณ ขณะที่ความจริงเราไม่ใช่ ซึ่งขอบอกเลยนะว่า เราชอบข้อเท็จจริงนี้มากๆ เลยเหอะ 

เพราะภาพลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่เห็นง่ายที่สุด บางครั้งคนส่วนใหญ่ก็จะตัดสินสิ่งต่างๆ จากเปลือกบวกกับทัศนคติของตัวเองเป็นตัววัด (เราเองยังเผลอตัดสินหนังเรื่องนี้ว่าเป็นแค่หนังวัยรุ่นทั่วไปเลย) เหมือนผู้ใหญ่ในเรื่องที่ตัดสินไปแล้วว่าพวกบาร์เทิลบีห่วย ไม่มีอนาคต เพียงเพราะชีวิตพวกเขาไม่ตรงตามกรอบที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้  

แต่บางครั้งขณะที่เราบอกว่าผู้ใหญ่ตัดสินเรา เราเองก็อาจกำลังตัดสินผู้ใหญ่เหมือนกัน อย่างตอนท้ายที่ผลการตัดสินออกมา คณะกรรมการบอกกับบาร์เทิลบีว่า ‘พวกคุณก็อย่าตัดสินเขาเหมือนกัน’ ถึงพวกเขาจะดูเคร่งครัด ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ แต่นั่นเป็นหน้าที่พวกเขาเพื่อให้มั่นใจว่าเด็กๆ จะได้รับการศึกษาที่ดี สุดท้ายเราอาจต้องให้การตัดสินภาพลักษณ์ภายนอกเป็นแค่ปฏิกิริยาตอบกลับแรก แต่ไม่ควรนำมาใช้ในการประมวลผล หรือใช้ตัดสินว่าคนๆ นั้นหรือสิ่งนั้นเป็นอย่างไร ก่อนที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่าง

การได้รับการยอมรับ

Accepted การถูกยอมรับ – สิ่งหนึ่งที่หนังบอกกับเรา การกระทำของตัวละครทั้งเรื่องไม่ว่าจะสร้างมหาวิทยาลัยปลอม พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่พ่อแม่ต้องการ หรือทำตามคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลของรุ่นพี่ นั่นก็เพราะพวกเขาอยากได้รับการยอมรับ กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เขาทำสิ่งต่างๆ โดยลืมความผิดถูก ลืมเหตุผล 

ถามว่าการได้รับการยอมรับสำหรับวัยรุ่นมันสำคัญยังไง? ในฐานะที่เราก็เป็นคนวัยเดียวกัน เราคิดว่ามันสำคัญมากๆ เพราะการยอมรับนั่นหมายถึงเรามีตัวตนในสายตาพ่อแม่ ในสังคม และจะได้รับความรักเป็นการตอบแทน ทำให้เราดิ้นรนตะเกียกตะกายเป็นคนที่พ่อแม่หรือสังคมอยากให้เป็น บาร์เทิลบีและเพื่อนก็เคยเป็นแบบนั้น แต่โชคดีที่สุดท้ายแล้วครอบครัวพวกเขาก็ยอมรับสิ่งที่เขาเป็น แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่ไม่โชคดีแบบเขา

ชีวิตเรามันไม่เหมือนสูตรทำขนม ไม่มีสูตรตายตัวว่าทำแบบนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ หรือถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่าหมดอนาคต ชีวิตมันคือการทดลองและได้ทำสิ่งที่เราชอบ เพราะเป้าหมายในการใช้ชีวิตก็เพื่อให้เรามีความสุข สุดท้ายแล้วก็อาจจะเหมือนที่บาร์เทิลบีบอก เด็กอย่างพวกเราก็แค่อยากได้โอกาสจากผู้ใหญ่ การยอมรับและให้เราเติบโตอย่างมีความสุข

Tags:

ระบบการศึกษาวัยรุ่นภาพยนตร์coming of age

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ‘ความไม่แน่นอน คือ สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญ’ เสียงจากนักเรียนม.6 ต่อสถานการณ์โควิด-19 และอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทาง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Dear Parents
    เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย

    เรื่องและภาพ KHAE

ทำไมคำถามจึงสำคัญ? สร้างบทสนทนาในห้องเรียนด้วยคำถามแบบโสเครติส : อรรถพล ประภาสโนบล
Learning Theory
15 July 2020

ทำไมคำถามจึงสำคัญ? สร้างบทสนทนาในห้องเรียนด้วยคำถามแบบโสเครติส : อรรถพล ประภาสโนบล

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • การตั้งคำถามแบบโสเครติส’ (Socratic Questioning) การสร้างวิธีการเรียนรู้กับผู้คนด้วยการเข้าไปตั้งคำถามกับความเข้าใจที่ผู้คนมีก่อนหน้า และช่วยให้คู่สนทนารู้ว่าเขามีสิ่งที่ยังไม่รู้ เป็นวิธีคิดของโสเครติสนักปรัชญาชาวกรีก
  • หากเปรียบเปรยก็คงเหมือนตู้ที่มีลิ้นชักนับไม่ถ้วน เราอาจเปิดเพียงลิ้นชักหนึ่งออกมาแล้วว่านี่คือคำตอบหรือความจริงแล้ว แต่โสเครติสแสดงให้เราเห็นว่าตู้ใบนั้นไม่ได้มีเพียงลิ้นชักเดียว จงเปิดลิ้นชักอื่นออกมา ยิ่งเปิดมันมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งได้เห็นคำอธิบาย คำตอบ หรือความจริงมากขึ้นเท่านั้น
  • นักการศึกษาเห็นตรงกันว่าการตั้งคำถามแบบโสเครติส ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) เพราะเป็นการเปิดให้นักเรียนคิดเกี่ยวกับมโนทัศน์สำคัญที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยในมุมมองที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดเป็นความเข้าใจใหม่ของนักเรียนขึ้นมา

ครู: เกิดอะไรขึ้นกับภูมิอากาศของโลกเราบ้าง?

นักเรียน Stan: มันกำลังอุ่นขึ้น

ครู: เรารู้ได้อย่างไรว่ามันอุ่นขึ้น อะไรเป็นหลักฐานที่เราใช้สนับสนุนคำตอบ?

นักเรียน Stan: ก็มันอยู่ในข่าวทุกๆ วัน พูดกันเสมอว่าภูมิอากาศจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน มีการบันทึกค่าความร้อนของแต่ละวันไว้ทั้งหมดด้วย

ครู: มีใครได้ยินข่าวลักษณะนี้อีกไหม?

นักเรียน Denise: เคยค่ะ หนูเคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ เขาเรียกว่า ‘ภาวะโลกร้อน’

ครู: หนูกำลังจะบอกว่า หนูเรียนรู้เรื่องภาวะโลกร้อนมาจากผู้ประกาศข่าว และหนูก็กำลังตั้งสมมติฐานว่า ผู้ประกาศข่าวรู้ว่าภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้น อย่างนั้นใช่ไหม?

นักเรียน Heidi: หนูก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน มันน่ากลัวมาก ยอดภูเขาน้ำแข็งในอาร์กติกกำลังละลาย สัตว์กำลังสูญเสียบ้านของมัน หนูคิดว่าผู้ประกาศข่าวได้ยินมาจากนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษาประเด็นนี้อีกที

ครู: งั้นก็หมายความว่าผู้ประกาศข่าวรู้มาจากนักวิทยาศาสตร์อีกที แล้วนักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไรล่ะ?

นักเรียน Chris: พวกเขามีอุปกรณ์ที่จะวัดภูมิอากาศ พวกเขาทำการวิจัยและวัดอุณหูมิของโลก

ครู: เราคิดว่านักวิทยาศาสตร์ทำแบบนั้นมานานแค่ไหนแล้ว?

นักเรียน Grant: คงประมาณ 100 ปี

นักเรียน Candace: อาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย

ครู: จริงๆ แล้ว มีการศึกษาเรื่องภาวะโลกร้อนมากว่า 140 ปีแล้ว ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1860

นักเรียน Heidi: พวกเราตอบได้ใกล้เคียง

ครู: ใช่แล้ว แล้วเรารู้ได้อย่างไร?

นักเรียน Grant: ผมแค่คิดว่ามันเป็นยุคที่มนุษย์เริ่มคิดค้นเครื่องมือสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เครื่องมือเหล่านั้นในการวัดอุณหภูมิ

ครู: ถ้าอย่างนั้น เราลองมามองดูกราฟ 100 ปีนี้ ของสภาพภูมิอากาศกัน บอกอะไรเกี่ยวกับภูมิอากาศของโลกได้บ้าง?

นักเรียน Raja: ศตวรรษที่ 20 อุณหภูมิสูงกว่าศตวรรษก่อนหน้ามากเลย

ครู: เราพอจะตั้งสมมติฐานได้ไหม ว่าเป็นเพราะอะไร?

นักเรียน Raja: คำเดียวเลย ‘มลพิษ’

ครู: อะไรคือข้อสันนิษฐานของเรา เมื่อเราบอกว่า ‘มลพิษคือสาเหตุที่ทำให้อุณหูมิเพิ่มสูงขึ้น’ ?

นักเรียน Heidi: รถยนต์ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และโรงงานต่างๆ ปล่อยสารเคมี

นักเรียน Frank: สเปรย์ฉีดผม ทำให้สารเคมีอันตรายขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศโลก

ครู: โอเค มาใช้เวลาสักครู่ทบทวนสิ่งที่เราได้อภิปรายกันไป

จากบทความ Designing Effective Project : Questioning The Socratic Questioning Technique

เรื่องราวที่ปรากฏในบทสนทนาระหว่างครูกับนักเรียนข้างต้น เป็นร่องรอยการเรียนรู้ของนักเรียนผ่านหัวข้อสำคัญอย่างสภาวะโลกร้อน สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดจากห้องเรียนคือ 

ครูไม่ได้เป็นผู้บอกเล่าความรู้แก่นักเรียน ในทางกลับกัน นักเรียนเองต่างหากที่แบ่งปันความคิดร่วมกันกับเพื่อนๆ ของเขา 

คำถามของครูเป็นเครื่องมือชั้นเลิศในการพานักเรียนเข้าสู่โลกแห่งการครุ่นคิดอย่างจริงจัง และนี่ก็คือ ‘การตั้งคำถามแบบโสเครติส’ (Socratic Questioning) โสเครติส (Socrates) คือใคร ทำไมถึงเขาใช้วิธีการตั้งคำถามเช่นนั้น แล้วเราจะมีวิธีการตั้งคำถามแบบนั้นในชั้นเรียนได้อย่างไร

โสเคสติส (Socrates) 

หากกล่าวถึงโสเครติส เขาคืออดีตนายทหารของเอเธนส์ในสงครามเพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian War) ระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตาก่อนศริสตกาล เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม โสเครติสได้กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้รักความรู้ หรือนักปรัชญานั่นเอง 

เขาใช้ชีวิตกับการสนทนาตั้งคำถามแลกเปลี่ยนกับผู้คนในเมืองเอเธนส์  เช่น ความยุติธรรมคืออะไร? เทพเจ้าเซอุสมีความยุติธรรมจริงไหม? ฯลฯ โดยทั้งหมดมาจากวิธีคิดที่เขาเชื่อว่า ‘ชีวิตที่ไม่ถูกตรวจสอบนั้นไร้ค่า’ เรื่องราวของโสเครติสไม่ได้มาจากตัวของเขาเองโดยตรง เพราะเขาไม่ได้ทำการเขียนบันทึกไว้ แต่มาจากบันทึกความทรงจำของเพลโต (Plato) ลูกศิษย์ของเขา อาจกล่าวได้ว่าเรากำลังทำความเข้าใจหรือรู้จักโสเครติสจากมุมมองมองของเพลโต และเราต้องเข้าใจก่อนว่าโสเครติสไม่ได้เรียกวิธีการของตัวเองว่า ‘Socratic Questioning‘ หรือ ‘Socratic Method‘ แต่เป็นคำเรียกจากผู้คนที่เอาการตั้งคำถามหรือวิธีการสนทนาของเขาไปใช้ต่างหาก

การตั้งคำถามแบบโสเครติส (Socratic Questioning)

ทำไมเขาจึงใช้วิธีการเช่นนั้น ก่อนอื่นเราต้องกลับมาทำความเข้าใจบริบทช่วงที่เขาใช้ชีวิต ในเวลานั้น เอเธนส์ก่อกำเนิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้น โดยระบอบประชาธิปไตยในยุคนั้นไม่ได้เหมือนกับปัจจุบัน แต่มีลักษณะการปกครองแบบเสียงส่วนน้อย เอเธนส์มีประชากรอยู่ราว 300,000 คน และเสียงส่วนน้อยคือ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด ผู้หญิงและทาสไม่ได้มีสิทธิออกเสียง เมื่อเอเธนส์แพ้สปาร์ตาในสงคราม สปาร์ตาได้แต่งตั้งผู้ปกครองเอเธนส์ใหม่ขึ้นเป็นคณะปกครองตามที่เห็นชอบ แต่ก็เกิดการรบกันระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนการปกครองแบบเดิมกับการปกครองแบบใหม่ที่มีสปาร์ตาสนับสนุน 

สุดท้ายฝ่ายสปาร์ตาก็แพ้ ทำให้เอเธนส์กลับมามีอำนาจตามเดิม ด้วยเหตุนี้ทำให้ฝ่ายที่ขึ้นมามีอำนาจมองว่า การที่เอเธนส์แพ้สงครามกับสปาร์ตา เป็นผลมาจากวิธีการที่โสเครติสใช้พูดคุยกับคนหนุ่มในเมืองให้กระด่างกระเดื่องไม่นับถือในเทพเจ้า ทำให้คนเสื่อมศรัทธาต่อเทพเจ้า เพราะชาวเอเธนส์ชื่อว่าเทพเข้าเป็นผู้ปกปักษ์ดูแลเมืองเอาไว้ จนสุดท้ายโสเครติสถูกสั่งประหารชีวิต

การประกาศว่า ‘ชีวิตที่ไม่ถูกตรวจสอบนั้นไร้ค่า’ ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการท้าทายอำนาจผู้ปกครองอย่างตรงไปตรงมา ที่นำมาสู่การสั่นคลอนรากฐานความเชื่อที่สัมพันธ์กับอำนาจของผู้ปกครอง

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ความปกติที่ปรากฏอยู่ในสังคมในเวลานั้น ได้ถูกโสเครติสเติมเครื่องหมายคำถามลงไปอย่างชัดเจน พร้อมกับการชวนคู่สนทนาสำรวจดูว่าสิ่งที่พวกเขาเคยเชื่อและศรัทธา มันคือความปกติหรือไม่ มากไปกว่านั้นสิ่งที่เชื่อและยึดถือมั่นไว้ ตั้งอยู่บนหลักความเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่

วิธีการของโสเครติสเป็นแนวทางที่ต่างไปจากกลุ่มนักปรัชญาโซฟิสต์ (Sophists) ที่เน้นการใช้สำนวนโวหารดึงดูดให้คนยอมรับมุมมองของผู้พูด ซึ่งเป็นแนวการสอนกระแสหลักในเวลานั้น 

แล้วเราจะนำวิธีการของเขามาใช้ได้อย่างไร ก่อนอื่นเราอาจต้องมองวิธีการของโสเครติสไปให้ไกลกว่าแง่มุมเทคนิคการตั้งคำถามเสียก่อน นั่นคือ เขามองความรู้อย่างไร? โสเครติสมองว่า ‘ความรู้คือการรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย’ มุมมองความรู้ของเขาในแง่นี้ จึงเป็นมุมมองความรู้ที่ไม่ได้มีเส้นขอบเขตอย่างชัดเจนว่าสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่สังคมที่เราดำรงอยู่มักขีดเส้นตายตัวขอบเขตความรู้ให้เรารับรู้และเข้าใจเอาไว้เสมอ ดังที่เราเห็นจากชาวเอเธนส์ที่มีการขีดเส้นความรู้ความเข้าใจว่าการแพ้ชนะสงครามขึ้นอยู่กับเทพเจ้าเท่านั้น

หากเปรียบเปรยก็คงเหมือนตู้ที่มีลิ้นชักนับไม่ถ้วน เราอาจเปิดเพียงลิ้นชักหนึ่งออกมาแล้วว่านี่คือคำตอบหรือความจริงแล้ว แต่โสเครติสแสดงให้เราเห็นว่าตู้ใบนั้นไม่ได้มีเพียงลิ้นชักเดียว จงเปิดลิ้นชักอื่นออกมา ยิ่งเปิดมันมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งได้เห็นคำอธิบาย คำตอบ หรือความจริงมากขึ้นเท่านั้น

ด้วยมุมมองที่มีต่อความรู้เช่นนั้น ทำให้เขาสร้างวิธีการเรียนรู้กับผู้คนด้วยการเข้าไปตั้งคำถามกับความเข้าใจที่ผู้คนมีก่อนหน้า และช่วยให้คู่สนทนารู้ว่าเขามีสิ่งที่ยังไม่รู้ นี่จึงเกิดเป็นวิธีการที่เข้าไปเขย่าผู้คนในเอเธนส์ในประเด็นหลักๆ ที่เกี่ยวกับ ความยุติธรรม ความงาม ความกล้า มิตรภาพ ฯลฯ 

ซึ่งต่างจากการมองความรู้แบบโซฟิสต์ (Sophists) ที่เห็นว่า ความรู้เป็นสิ่งที่ผู้รู้ค้นพบ แล้วต้องส่งต่อให้ผู้ไม่รู้ ดังนั้น วิธีการเรียนรู้จึงเป็นการสร้างศรัทธาให้ยอมรับผู้รู้มากกว่าการตั้งคำถาม 

เพราะฉะนั้น การเข้าไปสนทนากับผู้คนผ่านคำถามของโสเครติสนั้นจึงไม่ใช่การไปถกเถียงเพื่อเป็นผู้ชนะหรือหาผู้แพ้แต่อย่างใด แต่เป้าหมายคือการพาผู้สนทนาคิดหาคำตอบหรือสืบหาความเป็นจริง 

นักการศึกษาเห็นตรงกันว่าการตั้งคำถามแบบโสเครติส ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) เพราะเป็นการเปิดให้นักเรียนคิดเกี่ยวกับมโนทัศน์สำคัญที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยในมุมมองที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดเป็นความเข้าใจใหม่ของนักเรียนขึ้นมา นักการศึกษาหลายคนได้ถอดบทสนทนาของโสเครติสออกมาใช้ในพื้นที่ทางการศึกษาหลากหลายรูปแบบ ดังตัวอย่างของ Bogohossian นักการศึกษาที่สนใจการสอนแบบโสเครติส (Socratic pedagogy) 

เขาเห็นว่าการสอนเช่นนี้ ครูจะเป็นผู้สังเกต เป็นผู้ช่วยเหลือแนะนำ ไม่ใช่เจ้าของความรู้ ที่สำคัญคือการพานักเรียนแบ่งปันความคิดผ่านการสนทนาด้วยคำถามกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน เขาสรุปหลักการออกมาเป็น 5 ขั้นการเรียนรู้ ดังนี้

1. ความสงสัย (Wonder) การสร้างคำถามให้เกิดความสงสัยขึ้นมา เช่น ความกล้าหาญคืออะไร คุณธรรมคืออะไร

2. สมมติฐาน (Hypothesis) เป็นการตอบคำถามจากความสงสัย ซึ่งจะเป็นการให้ความเห็นหรือกล่าวอ้างเกี่ยวกับคำถามนั้น ซึ่งสุดท้ายจะมาเป็นข้อสมมติฐานของการสนทนา

3. การพิสูจน์ (Elenchus) ช่วงนี้เป็นขั้นตอนสำคัญมากที่จะเป็นการพิสูจน์ โต้แย้ง หรือหักล้าง เกี่ยวกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งจะมีการใช้คำถามและการให้ตัวอย่างย้อนกลับที่ค้านกลับสิ่งที่ตั้งไว้

4. การยอมรับหรือปฏิเสธของสมมติฐาน (acceptance/rejection of hypothesis) หลังจากที่มีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น สิ่งที่มีการโต้แย้ง ยกตัวอย่าง เรายังเห็นด้วยกับสมมติฐานของเราอยู่หรือไม่

5. ปฏิบัติการ (action) การนำเอาสิ่งที่ค้นพบที่เกิดจากขั้นตอนที่ผ่านมาไปสู่การปฏิบัติ

นอกจากนี้ บทความ Socratic Method as Approach to Teaching ได้ระบุว่าวิธีการเช่นนั้น ช่วยให้มีคำถามนำการแลกเปลี่ยน มีการสนทนาและโต้แย้ง ซึ่งช่วยให้นักเรียนสะท้อนคิดอย่างจริงจังบนความเข้าใจที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับประเด็น นอกจากนี้ยังสร้างให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เกิดความสงสัย และฝึกฝนให้ได้รู้จักไต่สวนจากหลักเหตุผล สุดท้ายเมื่อเขาเผชิญกับข้อมูลชุดใหม่ เขาจะเป็นคนที่จะไม่เชื่ออะไรโดยง่าย และนักเรียนจะกลายเป็นผู้ที่รู้จักการคิดและตรวจสอบสิ่งที่เขาได้รับมาเสมอๆ

ถ้าเช่นนั้น เราจะตั้งคำถามให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนขึ้นในห้องเรียนอย่างไร? บทความ Designing Effective Project : Questioning The Socratic Questioning Technique  และบทความ มุมมองใหม่การเรียนรู้ ศิลปะการตั้งคำถามโดยวิธีโสเครติส ของ รศ.มัณฑรา ธรรมบุศย์ ชี้ตรงกันว่า 

การจะทำให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนได้นั้น คำถามที่ครูนำมาใช้ต้องมีความน่าสนใจ มีการให้เวลานักเรียนในการคิดคำตอบ ที่สำคัญต้องมีการวางแผนการใช้คำถามอย่างเป็นระบบ 

ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องรู้ว่านักเรียนมีความคิดความเชื่ออย่างไรบ้างในเรื่องที่จะสนทนา เพื่อให้การสนทนาไม่ไปสู่ทางตันของการแลกเปลี่ยน แต่กระตุ้นให้นักเรียนได้ดึงเหตุผลออกมาคิดแลกเปลี่ยน ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนได้นำบทความทั้งสองมาสรุปประเภทการใช้คำถาม ตัวอย่างของคำถาม รวมถึงแนวทางการใช้ ดังนี้

ประเภทของคำถามตัวอย่างแนวทางการใช้
Clarification questions 
เป็นคำถามที่เน้นให้เกิดความกระจ่าง
– ทำไมถึงตอบเช่นนั้น?
– ความหมายที่ถูกต้องจริงๆ คืออะไร?
– ยกตัวอย่างในสิ่งที่กำลังอธิบายได้ไหม? 
ตรวจสอบความคิดหลังจากให้คำตอบไปแล้ว หรือหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น 
Questions about an initial question or issue
คำถามที่เน้นให้ตั้งคำถามกับคำถามหรือประเด็นเริ่มแรก
– ทำไมคำถามนี้จึงสำคัญ?
– ประเด็นการตั้งคำถามข้อนี้คืออะไร?
– คำถามนี้หมายความว่าอย่างไร
คิดทบทวนเกี่ยวกับคำถามหรือประเด็นที่นำเสนอไป
Assumption questions 
คำถามที่เน้นตั้งข้อสมมติฐาน
– อะไรคือสมมติฐาน?
– ทำไมใครบางคนถึงตั้งสมมติฐานเช่นนี้?
– ดูเหมือนจะมีการสมมิตฐานว่…ใช่ไหม?
– จะมีวิธีการพิสูจน์สมมติฐานนี้อย่างไร?จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า..?
ก่อนเริ่มอภิปรายร่วมกันเพื่อกระตุ้นการคิด
Reason and evidence questions
คำถามที่เน้นให้นำเสนอเหตุผลและหลักฐาน
– ทำไมจึงคิดว่าสิ่งนี้ถูกต้อง?
– ช่วยอธิบายเหตุผลให้ฟังได้ไหม?
– ด้วยเหตุผลเช่นนี้นำมาสู่ข้อสรุปว่าอย่างไร?
– เหตุผลที่ยกมา คิดว่าเพียงพอแล้วหรือยัง
– เรื่องนี้มีข้อหักล้างได้ไหม
– นั่นคือเหตุผลที่สงสัยเกี่ยวกับหลักฐานดังกล่าวใช่ไหม?
ระหว่างการอภิปรายแลกเปลี่ยน ที่ต้องมีการหาเหตุผลหรือหลักฐานเพื่อสนับสนุนคำตอบ
Origin or source questions
คำถามที่เน้นตรวจสอบแหล่งอ้างอิงหรือแหล่งที่มา
– ได้รับความคิดมาจากที่ใด?
– นี่เป็นความคิดของเธอ หรือเธอได้ยินมันมาจากที่อื่น?
– อะไรเป็นสาเหตุที่เลือกใช้ข้อมูลนี้
ระหว่างอภิปราย เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาและเหตุผลในการเลือกใช้ข้อมูล
Viewpoint questions
คำถามที่เน้นมุมมอง
– ข้อแตกต่างระหว่าง…กับ… คืออะไร?
– มีแง่มุมอื่นในการพิจารณาสิ่งนี้อีกไหม?
– สามารถมองเรื่องนี้ในแง่มุมอื่นได้หรือไม่?
ระหว่างการอภิปรายแลกเปลี่ยน ที่ต้องมีการให้คิดในแง่มุมอื่น
Implication and consequence questions 
คำถามที่เน้นความเกี่ยวข้องและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา
– สิ่งนั้นสามารถเกิดขึ้นจริงๆ หรือมันแค่อาจจะเกิดขึ้น?
– ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว อะไรบ้างอาจจะเกิดขึ้นตามมา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? 
หลังสรุปการอภิปราย เพื่อต่อยอดการนำไปใช้หรือประเมินสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
สรุปจากบทความ Designing Effective Project : Questioning The Socratic Questioning Technique และบทความ มุมมองใหม่การเรียนรู้ ศิลปะการตั้งคำถามโดยวิธีโสเครติส ของ รศ. มัณฑรา ธรรมบุศย์

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เราคงได้เห็นวิธีการที่เรียกว่า Socratic method หรือการตั้งคำถามแบบ Socratic Questioning สามารถทำอย่างไรได้บ้าง และได้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการคิดเชิงวิพากษ์ได้อย่างไร หากกล่าวสรุปสั้นๆ ว่าวิธีการแบบโสเครติส คืออะไร? 

ในฐานะผู้เขียน ผมคงสรุปดังที่ Sira Abenoza กล่าวใน Ted Talk : Why Socratic Dialogue should become our business card ไว้ว่า

‘การสนทนา (แบบโสเครติส) คือเครื่องมือที่เปี่ยมพลังที่จะลดปีศาจ (ของความไม่รู้)’ 

อ้างอิง
ทำไมโสเครตีสเกลียดประชาธิปไตย
มุมมองใหม่การเรียนรู้ ศิลปะการตั้งคำถามโดยวิธีโสเครติส
โสกราตีส คือใคร
โสเครติสกับกฎหมาย จากมติชนออนไลน์
Designing Effective Project : Questioning The Socratic Questioning Technique
Should Educators use the Socratic Method of Teaching?
Socratic Method as Approach to Teaching
The dialectical method of Socrates

** ภาพ The Death of Socrates, Painting by Jacques-Louis David
https://www.metmuseum.org/art/collection/search/436105

Tags:

การฟังและตั้งคำถามอรรถพล ประภาสโนบลการคิดเชิงวิพากษ์(critical thinking)การตั้งคำถามแบบโสเครติส (Socratic Questioning)เทคนิคการสอน4Cs

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Related Posts

  • Learning Theory
    7 วิธี ตั้งคำถามแบบโสเครติส

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • BookLearning Theory
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    สังคมดี เพราะเด็กรู้คิดและคิดดี มีคุณครูเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Self-Regulation: มีเป้าหมาย กำกับตัวเอง หักห้ามใจ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
Character building
15 July 2020

Self-Regulation: มีเป้าหมาย กำกับตัวเอง หักห้ามใจ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Self-Regulation – ความสามารถในการกำกับและยับยั้งชั่งใจตนเอง – คุณลักษณะสำคัญที่ไม่เพียงเป็นพลังผลักดันสู่เป้าหมายแต่ยังหมายถึง ‘เซนส์’ ที่ฉุดให้เราตั้งหลักใคร่ครวญเสียใหม่ก่อนเป๋ออกนอกลู่นอกทาง
  • Self-Regulation เป็นคนละเรื่องกับเด็กที่ว่านอนสอนง่ายและทำตามกฎที่วางไว้เป๊ะๆ จุดต่างสำคัญคือเขาต้องมีเป้าหมายในใจที่ชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไร และจะไปถึงเป้าหมายอย่างไรโดยไม่ต้องมีคนคอยจี้จ้ำไช …ซึ่งกว่าจะถึงขั้นนี้ได้ต้องใช้เวลา

ถ้าถามว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการลดน้ำหนัก ทำให้เรายั้งใจจากข้าวขาหมู กินอาหารดีๆ และลุกขึ้นมาออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราวได้ อะไรที่ทำให้คุณข่มใจตัวเองไว้ไม่ตอบโต้ชวนตี เมื่อถูกใครสักคนกวนประสาทกลางวงสนทนา หรือคุมสติไว้ไม่เปิดกระจกด่ากราดเวลาถูกรถคันอื่นทะเล่อทะล่าขับปาดหน้าเข้ามาในเลนกะทันหัน และอะไรที่ทำให้เด็กคนหนึ่งอดทนต่อสิ่งยั่วยุใจ ไม่วอกแวกหยิบไอแพดมาเล่นเกมแล้วนั่งตั้งใจทำการบ้านจนเสร็จ 

สิ่งเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นได้ด้วยทักษะ Self-Regulation – ความสามารถในการกำกับและยับยั้งชั่งใจตนเอง – คุณลักษณะสำคัญที่ไม่เพียงเป็นพลังผลักดันสู่เป้าหมายแต่ยังหมายถึง ‘เซนส์’ บางอย่างที่ฉุดให้เราตั้งหลักใคร่ครวญเสียใหม่ก่อนเป๋ออกนอกลู่นอกทาง

คนที่มี Self- Regulation จึงรู้คิดรู้รับผิดชอบว่านี่ฉันกำลังนึกคิดและทำอะไรที่จะส่งผลร้ายกับตัวเองและผู้อื่นอยู่รึเปล่า เมื่อมีอะไรมาทำให้ไขว้เขว ฉันยับยั้งชั่งใจได้และรู้ว่าควรจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร เลฟ วิกอตสกี (Lev Vygotsky) นักจิตวิทยาบอกว่าคนที่มี Self-Regulation ก็เปรียบเสมือนกับมี ‘เสียงฝ่ายธรรมะในหัว’ (Private Speech) คอยเตือนสติไม่ให้ตัวเองเผลอไผลทำอะไรวู่วามจนเสียการ

ถ้าไม่มี Self-Regulation การเรียนรู้ก็เป็นเรื่องยาก

งานศึกษามากมายขีดเส้นใต้ว่า ทักษะกำกับควบคุมตนเองส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ในห้องเรียน และจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กควรฝึกทักษะนี้เป็นฐานตั้งต้น ก่อนต่อยอดไปยังวิชาการด้านอื่น 

นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาสังเกตว่าหนูน้อยเตรียมอนุบาลซึ่งถูกประเมินว่ามีทักษะกำกับควบคุมตนเองได้ เมื่อขึ้นชั้นอนุบาลจะมีพัฒนาการทางคณิตศาสตร์และการอ่านเขียนดีกว่าเด็กที่ขาดทักษะนี้ โดยแบบสำรวจความคิดเห็นของครูระดับชั้นอนุบาลระบุว่า ลักษณะการกำกับควบคุมตนเองที่แสดงถึงความพร้อมในการเรียนรู้คือ เด็กสามารถ…

  • สื่อสารความต้องการและความคิดออกมาเป็นคำพูดได้
  • จดจ่อและกระตือรือร้น สนใจในกิจกรรมการเรียนรู้
  • หักห้ามใจเป็น เชื่อฟังกฎกติกาที่วางไว้
  • ผลัดสลับกันเล่นของเล่นหรือใช้สิ่งของ และจับความรู้สึกของผู้อื่นได้

หากขาดทักษะนี้ ก็ยากที่นักเรียนจะมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนตรงหน้าได้ตลอดรอดฝั่ง ชั้นเรียนจะเต็มไปด้วยเด็กที่อยู่ไม่สุข เหมือนรถที่ทำยังไงก็ไม่ถึงจุดหมายเพราะเอาแต่หยุดแวะข้างทางเมื่อเจอสิ่งล่อใจ หรือแย่ที่สุดคือขับเตลิดเปิดเปิงออกไปนอกเส้นทาง

ไม่นับว่าในวัยที่โตขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้ทักษะนี้ระหว่างการมีส่วนร่วมในชั้น รับฟังความเห็นผู้อื่น ตั้งเป้าและกำหนดแนวทางเรียนรู้ ไปจนปรับเปลี่ยนวิธีเรียนรู้ไปตามจุดแข็งจุดอ่อนของตน รวมทั้งต้องเอาชนะใจตนเองเพื่อทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจให้ได้

ซึ่งนอกจากด้านการเรียน ทักษะนี้ยังมีส่วนช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับสังคมรอบตัว เพราะการที่เด็กคนหนึ่งกำกับควบคุมตนเองได้หรือไม่นั้น สะท้อนว่าเขาสื่อสารและสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนและครูผู้สอนอย่างไร แม้แต่ เดเนียล โกลแมน( Daniel Goleman) ผู้เขียนหนังสือ Best Seller ระดับโลกอย่าง Emotional Intelligence ยังระบุว่า Self-Regulation คือหนึ่งในตัวชี้วัดความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งกับการมีคุณภาพชีวิตในระยะยาวมากกว่าการมี IQ สูงเสียอีก 

Self-Regulation = ไม่วู่วาม+หักห้ามใจได้ 

ถ้าคาดหวังให้เด็กคนหนึ่งมี Self-Regulation เรากำลังพูดถึงการฝึกให้เขารู้คิดพิจารณาไตร่ตรองได้ว่าทำตัวเช่นไรจึงเหมาะควร (Behavioral Self-Regulation) และจะระงับปรับจูนอารมณ์ความรู้สึกเมื่อถูกกระทบได้อย่างไร (Emotional Self-Regulation)

Key Concept ของทักษะนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับการมี EF (Executive Functions) สมองส่วนคิดไตร่ตรองและรู้จัก ‘แตะเบรค’ ยับยั้งตนเองได้โดยหลักปฏิบัติอยู่ที่  

1. รู้รับผิดชอบหน้าที่ วินัย จุดร่วม 3 ข้อที่เป็นแก่นในการพัฒนา Self-Regulation และ Executive Functions คือ

  • ความจำใช้งาน (Working Memory): ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างที่ดี สอนและทำให้เห็นเป็นรูปธรรม จำได้และนำมาใช้ใหม่ในสถานการณ์อื่นๆ
  • การหักห้ามตนเอง (Inhibitory Control): บ้านและโรงเรียนวางกฎระเบียบหน้าที่ มีขอบเขตให้ปฏิบัติตามเป็นกิจวัตร
  • ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยน (Mental Flexibility): เปิดโอกาสให้คิดแก้ปัญหาเอง ไตร่ตรอง พิจารณาว่าขณะนั้นสิ่งใดสำคัญ ควรทำอย่างไร

ดร.แคลร์ คาเมรอน โพนิทซ์ (Claire Cameron Ponitz) นักจิตวิทยาการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนชี้ว่า แรกเริ่มเด็กจะพัฒนา Self-Regulation จากการจดจำทำตามพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ไว้ใจใกล้ชิด พร้อมกับซึมซับปรับตัวตามระเบียบปฏิบัติที่ใช้ในครอบครัวหรือโรงเรียน สภาพแวดล้อมจึงควรโน้มนำให้เขาพูดจาสุภาพ มีกิริยามารยาทสัมมาคารวะ สอนการแบ่งปันและเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องแบ่งของเล่นกับน้อง ไปจนถึงกิจวัตรหน้าที่ที่ต้องทำทุกวันอย่างการเก็บที่นอน ดูแลความสะอาดห้องหับ จัดสรรเวลาเล่นเกมทำการบ้าน เข้านอนเป็นเวลา เหล่านี้คือการหล่อหลอมเบื้องต้นทั้งสิ้น

แต่บอกก่อนว่ากฎระเบียบที่เคร่งครัดจนเกินไปก็ไม่เวิร์คเช่นกัน ลิเลียน่า เจ เลงกัว (Liliana J Lengua) อาจารย์จิตวิทยามหาวิทยาลัยวอชิงตัน ชี้ว่าความสามารถในการกำกับควบคุมตนเองของเด็กมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งใช้รับมือกับความเครียด ปกติฮอร์โมนตัวนี้จะสูงในช่วงเช้าเพื่อตื่นตัวกับปัญหา และค่อยๆ ลดลงในตอนเย็น แต่เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเคร่งเครียดกดดันจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลน้อยกว่าปกติตลอดเวลา ส่งผลให้สมองส่วนวางแผนจัดการบกพร่อง ไม่สามารถโฟกัสจดจ่อและยับยั้งชั่งใจได้ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Self – Regulation ก็เป็นคนละเรื่องกับเด็กที่ว่านอนสอนง่ายและทำตามกฎที่วางไว้เป๊ะๆ(Obedience) จุดต่างสำคัญคือเขาต้องมีเป้าหมายในใจที่ชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไร และจะไปถึงเป้าหมายอย่างไรโดยไม่ต้องมีคนคอยจี้จ้ำไช …ซึ่งกว่าจะถึงขั้นนี้ได้ต้องใช้เวลา

2. รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง

ในหลายกรณี Self-Regulation ถูกนิยามถึงการจัดการอารมณ์ลบ เช่น ความเครียด เบื่อหน่าย ไม่มีแรงจูงใจ ไขว้เขวจากชั้นเรียน ไปจนถึงอาการหัวร้อนเมื่อถูกกระตุ้นโทสะ ก่อนจะทวงคืนสมดุลให้อารมณ์ การตระหนักรู้สภาวะจิตใจตนเองได้ (Mindfulness) ต้องมาก่อน 

เทคนิคง่ายๆ ลงไว้ใน The New York Times Mindfulness บอกขั้นตอนให้เด็กๆ หยุดสังเกตและจับไปที่ความรู้สึก ณ ปัจจุบันขณะ มีชื่อย่อเท่ๆ ตรงกับหลักการว่า S.T.O.P !

อยากชวนให้คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูลองนำไปใช้ฝึกเด็กๆ กัน

  • STOP – หยุดพักจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ 
  • TAKE A BREATH –ดึงใจจดจ่อที่ลมหายใจเข้าออก สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ
  • OBSERVE – สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในความคิด และทบทวนสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
  • PROCEED – เมื่อจับสถานการณ์ทั้งหมดได้แล้ว ค่อยดำเนินสิ่งที่ทำอยู่ต่อไป

อีกเทคนิคที่มาด้วยกันคือ R.A.I.N ใช้จัดการอารมณ์ขั้วลบของพ่อแม่ เป็นต้นแบบการควบคุมอารมณ์ที่ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติให้เด็กๆ เห็นเป็นตัวอย่าง

  • RECOGNIZE – มองสถานการณ์ด้วยความสงบ
  • ACCEPT-ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าเพิ่งว้าวุ่นใจและพยายามแก้ไขเดี๋ยวนั้นทันที
  • INVESTIGATE-สำรวจความรู้สึกที่ปะทุขึ้นให้ละเอียด ซึมซับความเจ็บปวดเสียใจ หรือชื่นใจมีความสุข จนกระทั่งบรรเทาเบาบางลง
  • NON-IDENTIFICATION- วางเฉยกับความรู้สึก มองอารมณ์ลบเป็นขณะชั่วแล่น ไม่เอามาขยายต่อในใจและจำกัดนิยามตนเอง

4 ข้อสำคัญปลุกปั้นทักษะ Self-Regulation

เพื่อเป็นแนวทางที่ชัดเจนขึ้น ขอยกข้อแนะนำว่าด้วยการปลูกฝัง Self-Regulation จากศูนย์วิจัยเพื่อแผนพัฒนาเด็กและครอบครัวของมหาวิทยาลัยดุ๊ก (The Duke Center for Child and Family Policy) ซึ่งทำงานค้นคว้าด้านพัฒนาการทักษะนี้ในเด็กวัยแรกเกิดถึง 5 ปีมาดังนี้

1. สายสัมพันธ์ที่อบอุ่นปลอดภัยคือหัวใจ แสดงความรักความเอาใจใส่เป็นคำพูดและการกระทำ

2. ไม่เลี้ยงลูกแบบเสรีฟรีสไตล์จนเกินไป ควรวางขอบเขต มีกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติจนเป็นกิจวัตร และฝึกให้รู้รับผิดชอบหน้าที่ 

3. เปิดโอกาสให้ฝึกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองและเหมาะสมกับวัย โดยคอยให้คำแนะนำ ปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

4. เป็นแบบอย่างที่ดี ตั้งเป้า และติดตามพัฒนาการสม่ำเสมอ โดยเด็กเล็กวัยก่อนเข้าเรียนควรเริ่มฝึกให้รอคอย แก้ปัญหาเล็กน้อยด้วยตนเอง แสดงออกและระงับอารมณ์ได้

เป็นธรรมดาที่ระหว่างฝึกฝน เสียงงอแงจะเกิดขึ้นและบางครั้งอาจเป็นการฟาดงวงฟาดงาเอาชนะ แม้วิธีการของครูและผู้ปกครองแต่ละบ้านไม่หมือนกัน สำคัญและห้ามลืมคือความรักความเข้าใจ ผู้ใหญ่ต้องใจเย็นและไม่น็อตหลุดให้เขาเห็นเสียเอง อย่าถอดใจและปล่อยให้อารมณ์เป็นเครื่องมือในเกมการต่อรอง และการฝึกให้เขาแก้ปัญหาด้วยตนเองกับแนะวิธีจัดการอารมณ์นั้นๆ ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าการแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง 

และเช่นเดียวกับ Soft Skills อื่นๆ ทักษะนี้ต้องอาศัยการปฏิบัติให้ซึมซับเป็นนิสัย การฝึกฝนจึงไม่ใช่การรู้รับผิดชอบ หรือวินัยหน้าที่แค่ช่วงเปิดเทอมหรือตอนไปออกค่าย แต่ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไปและใช้เวลา ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ใช่อัจฉริยะภาพด้านใดด้านหนึ่ง แต่เป็นอุปนิสัยที่จะติดตัวเขาไปในวันข้างหน้าและการได้ใช้ประโยชน์จากความรู้จักยับยั้งชั่งใจเมื่อช่วงเวลาท้าทายนั้นมาถึงก็นับเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งแล้ว

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การกำกับตัวเอง(self-regulation)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Character building
    Shyness : ความขี้อายไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind
Creative learning
13 July 2020

Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Cultural Ecology เครื่องมือทางศิลปะที่แสนทรงพลังในการจับมือคนในชุมชนเข้าไว้ด้วยกันทั้งในฐานะของผู้เล่นและผู้ชม เสกคาถาให้คนเหล่านั้นเท่าทันรากฐานโบราณของตัวเองและไปด้วยกันได้อย่างร่าเริงกับความร่วมสมัยของตัวละครที่เหลือในโลก
  • ง่ายที่สุดคือการอธิบายว่าเป็นครูอุ๋ย ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง ครูละครที่เรียนศิลปะการละครเพื่อทำอย่างอื่น ละครเร่เพื่อพัฒนาไมตรีในสังคม เข้าใจชุมชน สร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมผ่านละครร้อยแปดรูปแบบจนยึดหลัก Cultural Ecology หรือนิเวศวิทยาวัฒนธรรม เพื่อสร้างการวิพากษ์ในโลกจริงที่สมาชิกในสังคมสนุกกับชีวิต และเรียนรู้ร่วมกันในชุมชนได้โดยที่ไม่มีใครทิ้งใครไว้ข้างหลังไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่
  • ในพาร์ทของครูอุ๋ยเอง เธอเป็นตัวละครในสังคมโลกที่อยากใช้ละครเพื่อสร้างคนและระบบนิเวศน์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เพราะคิดว่ามันเป็นเครื่องมือทางศิลปะที่แสนทรงพลังในการจับมือคนในชุมชนเข้าไว้ด้วยกันทั้งในฐานะของผู้เล่นและผู้ชม เสกคาถาให้คนเหล่านั้นเท่าทันรากฐานโบราณของตัวเองและไปด้วยกันได้อย่างร่าเริงกับความร่วมสมัยของตัวละครที่เหลือในโลก

เรื่องราวมันอาจจะเริ่มง่ายๆ มาจากตอนที่เด็กหญิงพรรัตน์ ดำรุง ตัวจิ๋วได้จับมือตัวการ์ตูนใส่รองเท้าสเก็ตจริงๆ ใน Holiday on Ice สมัยก่อน แล้วเกิดความทรงจำว่าละครสามารถสร้างความรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจได้ หรือเป็นตอนที่นั่งเย็บชุดละครอย่างบ้าคลั่งอยู่หลังเวทีละครตอนเรียนวิชาละครที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าตัวบอกว่าทำงานถึกเยี่ยงทาส แต่ก็ไม่เคยบ่นเพราะมีความสุขมาก หรือไม่ก็ตอนเรียนปริญญาโทด้านการบริหารการศึกษาแบบเรียนไปร้องไห้ไปที่มหาวิทยาลัย NSU ที่รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา จนไปลงเรียนการละครซึ่งเป็นวิชาโทในปริมาณที่มากกว่าวิชาที่ตั้งใจไปเรียน

“ภาควิชาศิลปการละครดึงดูดเราเข้าไป หลังโรงละครฝึกให้เราเป็นนักปฏิบัติ เย็บผ้า ทำหุ่น ทำฉาก เรารู้สึกว่าเรามีความเป็นส่วนตัวในการทำงานหลังฉาก แต่เราก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะเราเย็บชุด ทำฉาก เราเพนท์สีเพื่อช่วยงานใครสักคนหนึ่ง เราชอบวาดรูป ชอบประดิษฐ์ พอใช้ทักษะนี้แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าเราสนุก มีพื้นที่ปลอดภัยให้แสดงออก เรามีส่วนเล็กๆ ในการทำงานใหญ่  และงานที่ทำก็มีคนเห็น มีคนชอบ ถือว่าเป็นการออกสื่อแบบหนึ่ง”

จะบอกว่าโลกนี้คือละครก็ไม่ผิด เพราะครูอุ๋ยวนเวียนอยู่กับโรงละคร คณะละครหุ่นเล็กๆ  โดยมีงานหลักคือ เขียนบท สร้างหุ่น สร้างสรรค์ฉากหุ่น ให้ตัวละครแปลกประหลาดในนิทานสำหรับเด็กมีชีวิตขึ้นมา วาดภาพ ประดิดประดอยอุปกรณ์ประกอบฉากนับตั้งแต่ได้แรงบันดาลใจมาจากครูแอ๋ว หรือ รศ.อรชุมา ยุทธวงศ์ ครูคนแรกๆ ผู้แนะนำให้รู้จักละครสร้างสรรค์และบุกเบิกงานละครสำหรับเด็กและเยาวชนในช่วง พ.ศ. 2516 -2522

ที่สำคัญคือครูแอ๋วเป็นผู้ก่อตั้งและผู้จัดรายการ “หุ่นหรรษา” ที่ออกอากาศแบบสดทางช่อง 4 บางขุนพรหม และเป็น influencer ทางใจในช่วงเวลาที่ครูอุ๋ยคิดไม่ตกว่าอยากเป็นครูหรือนักการละครในช่วงเรียนปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

จิตวิญญาณครูและเชื้อไฟจึงถูกเติมอยู่ไม่เคยขาด ครุศาสตร์ฝึกฝนให้ครูมีระบบคิดในเชิงสังคมศาสตร์ด้วยปริญญาในฐานะนักการศึกษา องค์ความรู้ตะวันตกสร้างคอนเซปต์การสอนละครที่แตกต่างจากความรู้ในสาขาวิชาการละคร (Drama/ Theatre Studies) จะใช้กิจกรรมละครอย่างไรเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนๆ สนุกกับการเรียนปนเล่น ร้อง เต้น เล่นเป็นละคร

เมื่อกลับมาที่ประเทศไทย ครูอุ๋ยจึงตะลุยทำรายการหุ่นหรรษาร่วมกับครูแอ๋วในฐานะคนเขียนบท คนออกแบบและสร้างสรรค์ฉากและหุ่นในแต่ละตอน เป็นครูพิเศษสอนการละครที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จากนั้นจึงกลับมาร่วมทัพกับครูแอ๋วที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพื่อสอนวิชาใหม่ในยุคนั้น ได้แก่ ละครในการศึกษาช่วยงาน พานิสิตไปลงพื้นที่ทำละครเร่ในต่างจังหวัดในนามละครเร่อักษรศาสตร์

ปรุงรสชาติการละครให้ถึงใจผู้ชม ประยุกต์ด้วยการเหยาะส่วนผสมจากภูมิรู้ตะวันตกลงไปในความเป็นไทยจนกลายเป็นคลาสเท่ๆ ที่มีเวทีเป็นชุมชนและคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น สร้างละครเวทีให้เหมาะกับวัยที่แตกต่าง เด็ก  ทำให้ “ละคร” เป็น “เพื่อนสนุก-แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ ไม่สอนสั่ง” 

“ครูว่าครูมีความเป็นลูกผสมในทุกเรื่องและมีรสนิยมบางอย่างที่อยากจะเข้าใจคนไทย ด้วยความที่ครูไม่ได้เรียนที่จะเป็น Theatre director ที่สร้างผลงานแล้วนำเสนออยู่ในโรงละคร แต่ได้เข้าไปหาชุมชน สำรวจว่าใครเป็นหัวหน้าชุมชน พระ คุณครูที่นี่แข็งแรงไหม ดังนั้น ทั้งหมดนี้เป็นความรู้ทางสังคมที่ทำให้เราต้องคิดด้วยว่าละครของเราจะสนุกไหม มีอะไรบ้างที่จะทำให้ผู้ชมของเราสนุกไปกับสิ่งที่เราทำ

ดังนั้น ความรู้ของเราคนเดียวมันไม่เวิร์ค เพราะต้องเก็บรวบรวมทักษะหรือเรื่องราวอื่นๆ ในชุมชนด้วย ละครคือการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว แต่เราจะเลือกใครมาช่วยงานเราล่ะ อะไรคือความทุกข์ หรือปัญหาความขัดแย้งในใจเขา  แล้วเราอยากจะเล่าอะไรให้เขาฟังแต่เป็นละครพื้นบ้านที่มีรากมาจากเขาและถูกตีความใหม่ นิทาน-และเรื่องพื้นบ้านจึงเป็นข้อมูลที่คนนอกสามารถมองเข้าไปในชุมชน  นิทานก็จะถูกตีความใหม่อีกครั้งโดยมีที่ทางในการวิพากษ์ วิจารณ์ จากมุมมองที่แตกต่างออกไป”

ย้อนความกลับไป เด็กหญิงพรรัตน์ ดำรุง บอกว่าตัวเองโตมาจากความเป็นลูกผสม เป็นเด็กกรุงเทพฯ ที่โตมาพร้อมกับลิเกที่ยายดูและชุมชนช่างของการรถไฟไทยที่ย่านมักกะสัน แต่มีพ่อแม่ที่ใฝ่ใจการศึกษาจึงส่งเสริมให้เรียนในโรงเรียนคอนแวนต์ที่เธอต้องร้องเพลงในโบสถ์ เติบโตในวัฒนธรรมแคทอลิกที่มีเพื่อนหลายคนมาจากชุมชนพ่อค้า นักธุรกิจย่านเยาวราช เมื่อสอบเอ็นทรานซ์ผ่านเข้าไปเป็นสาวอักษรฯ จุฬาฯ ก็เป็นปัจเจกที่สนใจการเมืองทั้งในยุคของ 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ 

นิยามการเป็นครูของศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง จึงลื่นไหลและหลากหลายไปตามหัวใจวัยรุ่นของเธอเอง เป็นอาจารย์ที่ภาควิชาศิลปการละครตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เกษียณอายุในปี พ.ศ. 2558 และตามหาตัวเองในบทที่ต้องเล่นต่อ ที่ยังไม่สิ้นสุด โดยการเป็นเมธีวิจัยอาวุโส (สกว.) 2559 ภาคีราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม 2561 และศาสตราจารย์วิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2562

ง่ายที่สุดคือการอธิบายว่าเป็นครูละครที่ “ทำละครเพื่อคนอื่น” ละครเร่เพื่อพัฒนาไมตรีในสังคม เข้าใจชุมชน สร้างระบบนิเวศน์ทางวัฒนธรรมผ่านละครร้อยแปดรูปแบบจนยึดหลัก Cultural ecology หรือนิเวศวิทยาวัฒนธรรม เพื่อสร้างการวิพากษ์ในโลกจริงที่สมาชิกในสังคมสามารถสนุกกับชีวิต อยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งทั้งในโลกของ ละคร การแสดง และการวิพากษ์ในโลกความเป็นจริงได้

นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเป็นแนวคิดทางมานุษยวิทยาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกับวัฒนธรรม ว่ารูปแบบของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคนในสังคมและจักรวาลวัฒนธรรมนั้นๆ 

ในมุมมองเชิงมานุษยวิทยา จูเลียน สจ๊วต นักมานุษวิทยาชาวอเมริกันเชื่อว่า วัฒนธรรมจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้มนุษย์ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ เขาศึกษากลุ่มชุมชนที่ยังใช้ชีวิตในวิถีดั้งเดิม และเห็นว่าผู้คนเหล่านั้นปรับใช้ทรัพยากรล้อมรอบเพื่อการมีชีวิตรอดอย่างไร สร้างเงื่อนไข ประเพณี และความเชื่อเพื่อให้ชุมชน สังคมของตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมในสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ

ไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมใด และวัฒนธรรมเองก็เป็นชิ้นส่วนหนึ่งของปัจเจกที่จะสื่อสารเรื่องราวของตัวเองต่อสังคมโลกได้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ จึงเป็นปัจจัยสำคัญและลึกซึ้งในการที่จะพัฒนาชุมชนไปได้อย่างยั่งยืน

นิเวศวัฒนธรรมในแบบของครูอุ๋ยเป็นนิเวศวัฒนธรรมทางศิลปะที่มีความเชื่อมโยงกับนโยบายแห่งรัฐ หรือเมือง โดยมีหลักคิดว่าศิลปะ-วัฒนธรรมเปรียบเสมือนกับระบบนิเวศ  และมีคุณค่ามหาศาลต่อมนุษย์ ให้ชีวิต ความภาคภูมิใจและความรื่นรมย์ เป็นทั้งกระบวนการ เครื่องมือ และผลผลิตในการพัฒนา ผู้คน ชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน”

ในพาร์ทของครูอุ๋ยเอง เธอก็เป็นตัวละครในสังคมโลกที่อยากใช้ละครเพื่อสร้างคนและระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย  ทำให้ศิลปะ-วัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ ในรั้วและนอกรั้วมหาวิทยาลัยเพราะคิดว่ามันเป็นเครื่องมือทางศิลปะที่แสนทรงพลังในการจับมือคนในชุมชนเข้าไว้ด้วยกันทั้งในฐานะของผู้เล่นและผู้ชม เสกคาถาให้คนเหล่านั้นเท่าทันรากฐานโบราณของตัวเองและไปด้วยกันได้อย่างร่าเริงกับความร่วมสมัยของตัวละครที่เหลือในโลก 

เริ่มง่ายๆ จากเรื่องเล่า นิทาน จินตนาการที่เป็นความทรงจำร่วมของชุมชนนั้นๆ จับมือทำความรู้จักกับตัวเองว่าเป็นใคร อัตลักษณ์พลิกแพลงมาอย่างไรตั้งแต่เริ่มหายใจบนโลก แล้วคุณค่าเล็กๆ ตรงนี้จะสามารถสร้างสำนึกทางสังคมและระบบนิเวศแห่งความอบอุ่นได้ในปลายทางของโลกที่ก้าวขาที่ไม่รอใคร

Cultural ecology คืออะไร เชื่อมโยงกับการทำละครอย่างไร

คำว่า Cultural Ecology คือ การสร้างพื้นที่ดีๆ ที่ทำให้ศิลปะได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้คนได้ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เน้นให้มีกิจกรรมทางศิลปะ-วัฒนธรรม สร้างละคร-การแสดงที่เชื่อมต่อผู้คนต่างหน้าที่ ต่างความคิดในชุมชนนั้นๆ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ กิจกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงกับการละครแบบง่ายๆ ตรงที่เราสามารถใช้กระบวนวิธีของละครมานำเสนอในพื้นที่ร่วมสมัยที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายๆ เป็นผลงานละครที่สัมพันธ์กับการพัฒนาผู้คนให้มีประสบการณ์ด้านการละครที่แตกต่าง หรือนำเสนอศิลปะแบบดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ๆ ทำให้เกิดการวิพากษ์ วิจารณ์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันในชุมชน

ถ้าเราเห็นคุณตาแก่ๆ ที่ทำหมอลำมาตลอดชีวิต เป็นศิลปินพื้นบ้าน ถึงเขาจะเป็นเกษตรกรที่เลี้ยงหมูอยู่ แต่เราเข้าใจในทักษะหรือสิ่งที่เขาฝึกฝนมาตลอดชีวิตหรือเคารพเขาไหม เราจะใช้ความรู้ของเขาอย่างไรเพื่อเล่าเรื่องที่เป็นสมัยใหม่ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้คือการทำงานร่วมกันและเคารพกัน เราต้องนับถือภูมิรู้ที่แตกต่างจากเรา ทำความเข้าใจ พูดคุยในละครหรือพื้นที่ใหม่ แล้วก็ทำความเข้าใจคนดูว่าคือใคร ถ้าคิดแบบนี้ก็จะเรียกได้ว่าเป็นสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม เราจะเป็นทั้งผู้ที่สร้างสรรค์ทำงาน และผู้ที่สร้างการเชื่อมโยง มีแพลตฟอร์มในการพูดคุยกัน แล้วเราก็สามารถที่จะนำเสนอความคิดที่เป็นความดีงามโบราณ แต่นำเสนอวิธีเล่าใหม่หรือแตกต่าง 

ทำไมต้องเป็น ecology แบบโบราณ

ก็เพราะพื้นที่ที่ครูอยู่เป็นพื้นที่สมัยใหม่ มีแต่คนทันสมัย ล้ำไปสู่อนาคต มีความเป็นสากลและเป็นพื้นที่ธุรกิจการค้า เลยอยากนำเสนองานการแสดงที่แตกต่าง เรื่องแบบโบราณที่คนรุ่นเก่าต้องการถ่ายทอดสื่อสารโดยใช้ทักษะความรู้แบบตะวันตกมาช่วยสนับสนุน 

แพลตฟอร์มของการทำงานศิลปะที่มหาวิทยาลัยที่ใช้ทักษะหรือภูมิรู้ของศิลปินโบราณมันจะสามารถสร้างวัฒนธรรมใหม่ หรือสร้างเรื่องซึ่งมีความเป็นลูกผสมและ critical thinking (ความคิดเชิงวิพากษ์) ให้กับผู้ชมได้ ครูหลายคนโตในเมืองแล้วได้โอกาสไปเมืองนอกมีความรู้ที่เป็นสากลแต่ทำไมถึงไม่คิดจะเรียนรู้จากชาวบ้านที่เป็นครู ผู้ที่ตลอดชีวิตมีความรู้ในศิลปะและทักษะของท่าน 

อย่างในชีวิตของครู ครูอยู่ในหอคอยงาช้างมาตลอดซึ่งก็คือมหาวิทยาลัย แล้วคนในมหาวิทยาลัยก็ถือเป็นคนที่มีโอกาสดีกว่า สิ่งที่สังคมเราขาดก็คือการเชื่อมต่อกับโลกของชุมชน

เมื่อเราได้แพลตฟอร์มที่มีบรรทัดฐานจากศิลปะที่เป็นของโบราณ ผสานกับศิลปะในโลกปัจจุบันที่คนหลายคนเสพ แล้วจะสามารถสร้างเป็นตัวตนของชุมชนเรา Cultural Ecology จึงจะเกิดเพราะผู้คนโดยรอบ แล้วศิลปินท้องถิ่นก็จะเข้าไปในมหาวิทยาลัยได้โดยที่ไม่ต้องจบปริญญา เป็นผู้ให้ความรู้กับวัยรุ่นได้ ผลที่ตามมาคือจะเกิดเด็กลูกผสมที่เข้าใจทั้งละครร่วมสมัย ละครตะวันตก การใช้ critical mind รวมไปถึงการร้องเพลงโบราณ คุณค่าของชาติพันธุ์ซึ่งเด็กแต่ละคน จะติดสติปัญญาให้เกิดภูมิรู้ว่าฉันมาจากไหน ฉันเป็นใคร 

ถ้าคนรุ่นใหม่ตั้งคำถามว่าทำไมต้องคิดถึงเรื่องโบราณเพราะโลกมันก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ 

การที่เราจะหลากหลายกับคนในโลกได้ เราต้องรู้จักตัวเองก่อน แต่การรู้จักตัวเราเองนั้นไม่ต้องกลับไปสู่เรื่องโบราณอย่างเดียว ระบบการศึกษาจะต้องเปิดให้เกิดการรู้จักตัวเอง เช่น มันจะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถร้องแร็พโดยใช้สำเนียงอีสาน สำเนียงเหนือ สำเนียงใต้  หรือสำเนียงอื่นๆ ที่บ้านเรามี

เราเป็นชาติที่มีความเก๋า มีศิลปวัฒนธรรมที่แข็งแรง ดีงาม และแตกต่าง ศิลปะการเล่าแบบเก่า หรือการร่ายรำ ดนตรีแบบเดิมๆ เป็นความทรงจำร่วมกันของชุมชนจะทำให้เราเข้าใจเจ้าของเรื่อง รู้ว่าเราเป็นใคร ทำไมต้องร้องด้วยภาษาแบบนี้  ศิลปะโบราณทำให้เรามีทักษะที่แตกต่างและเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร

ครูคิดว่าคนที่จะทำให้ Cultural Ecology มีประสิทธิภาพอย่างชัดเจนคือคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับการสร้างสรรค์งานซึ่งใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือแล้วเชื่อมต่อกับคนที่แตกต่างจากเรา มันเลยสำคัญว่าเรารู้จักตัวเราไหม เรามีภูมิรู้อะไร ถ้าภูมิรู้ของเราเป็นภูมิรู้สากล มันก็จะเหมือนกันไปหมด แต่ถ้าเรารู้จักความรู้ที่เป็นชาติพันธุ์ของเรา เราก็มีสิ่งที่จะไปแลกเปลี่ยนหรือเชื่อมต่อได้ 

ทำอย่างไรให้คนในชุมชนทันสมัยไปกับเราด้วย  เราจะเล่าเรื่องเก่าๆ และเรื่องใหม่ๆ อย่างไร ให้มันตอบโจทย์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในชุมชนในวันนี้ 

ดังนั้น ครูเห็นว่ามหาวิทยาลัยหรือระบบการศึกษาของเราควรออกแบบให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจตนเองและชุมชน ไม่ใช่เรียนไปเพื่ออยู่ในกรอบอะไรบางอย่างที่เป็นกรอบของอำนาจ ครูมีอำนาจที่จะสั่งการ ซึ่งมันระบาดในระบบ แต่กิจกรรมทางศิลปะ กีฬา ละคร มันทำให้คนอ่อนโยนลง ทำให้คนใช้ศิลปะซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่แม้จะเป็นเรื่องบ้านๆ อย่างดนตรีหมอลำ สิ่งเหล่านี้ทำให้กลับไปสู่ความรื่นรมย์ แล้วมันก็ทำให้คนเราสามารถพูดคุยหรือแม้กระทั่งวิพากษ์วิจารณ์กันได้ผ่านกิจกรรมทางศิลปะ 

การใช้ละครเพื่อนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์สำคัญอย่างไร

จุดตั้งต้นของการฝึกละครคือการสร้างพื้นที่ให้เกิดการสื่อสาร รับฟังแลกเปลี่ยน เราจะนั่งกันเป็นวงกลม ที่ทุกคนได้มองเห็นหน้ากัน พูดคุย เท่าทียมกัน คนในวงกลมจะแสดงความคิดเห็นกันตรงๆ แต่คนสร้างงานก็มีสิทธิจะเห็นต่างกัน ไม่ปรับแก้ เพราะเป็นสิทธิของเขาในการพัฒนางานของตน

การใช้ละครเป็นวิธีทางธรรมชาติด้วยซ้ำ เพราะบางครั้งไม่ได้มีบทหรือมีบทให้นิดหน่อย ที่เหลือมันเปิดพื้นที่ให้เราสบายใจที่จะพูด ความเป็น top-down มันจะหายไป เราจึงสามารถมีความเป็นกันเองและมีความเท่าเทียมกันได้ มีความเป็นประชาธิปไตยแบบที่ไม่ต้องสอนประชาธิปไตย 

ทุกคนพูดได้อย่างเท่าเทียมกัน มีกฎระเบียบสั้นๆ นิดหน่อยวางไว้ คนนี้พูดก่อน คนนี้ฟัง เพราะฉะนั้นกิจกรรมของละครมันเชื่อมต่อกับสิ่งเหล่านี้ถ้าเราประยุกต์มันในวิถีชีวิต ในระบบการศึกษา มันเชื่อมตัวเรากับคนที่เราทำงานด้วยแล้วมันก็ขยับไปที่ชุมชน ใช้ศิลปะเป็นตัวเชื่อมแล้วค่อยลองทำงานด้วยกัน การวิพากษ์ เป็นการส่องทาง สื่อสารความคิดต่าง เช็คว่าสิ่งที่เราทำชัดเจนไหม บ้านเราต้องการพื้นที่ในการแสดงความเห็นที่แตกต่าง

รูปแบบของละครที่จะสร้าง ecology ที่ดีต้องเป็นไปอย่างไร

เป็นละครรูปแบบไหนก็ได้ แต่ทุกช่วงกระบวนการต้องมีการสื่อสาร ช่วยกันแสดงความเห็นและแก้ปัญหา พื้นที่ของละครทั้งหน้าฉากและหลังฉากล้วนเป็นพื้นที่อิสระที่ต้องมีวินัยกำกับ และทุกคนต้องยอมรับนับถือวินัยนั้นร่วมกัน ละครแบบที่ทุกคนมีส่วนร่วมและไม่ได้มุ่งหวังให้ใครเป็นศิลปิน นักแสดง แต่หวังให้มีการ สื่อสาร พัฒนาทักษะ และเกิดการสร้างสรรค์ผลงานร่วมกันโดยเชื่อว่าทุกคนในกลุ่มมีศิลปะในเนื้อในตัว ให้พื้นที่กับผู้คนได้ใช้ศิลปะ และเราต้องเชื่อในศิลปะ เพราะศิลปะทำให้อ่อนโยน 

แต่ศิลปะที่ใช้ใน Applied Theatre(ละครประยุกต์) หรือ Cultural Ecology มันจะไม่ได้เข้มข้นที่พุ่งไปสู่เส้นทางของความทรหดและการฝึกฝีมือ แต่ศิลปะในวิถีที่ทำเพื่อให้เกิดความรื่นรมย์ พูดคุย ร้องรำทำเพลงได้ ดังนั้นจะร้องเหน่อ แหบ คาราโอเกะก็ทำได้ ใช้ภาษาสนุกได้ แต่ขณะเดียวกันจะต้องบวกกับ Critical Thinking ด้วย

ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ดูง่าย ย่อยง่าย สื่อสารด้วย แต่ในความเป็นจริง คนที่จะเอาสิ่งนั้นมาทำจะต้องผ่านการวิจัย แทบจะต้องเป็นนักวิจัยเลย จึงจะทำสิ่งนั้นออกมาให้เวิร์ค

เราต้องเป็นนักวิจัยตลอดชีวิต มีองค์ความรู้เรื่องการจัดการชุมชนและความรู้เรื่องศิลปะ สำหรับละคร กระบวนการบางเรื่องก็ย่อยง่าย บางเรื่องสะเทือนใจ บางเรื่องพูดความจริงที่ทุกคนไม่กล้าพูดในวิถีปกติแต่เป็นความจริงในใจ ที่รับรู้ร่วมกัน  การแสดงบางโครงการก็เป็นเพียงการนำเทคนิคของละครมาใช้เพื่อสื่อสารระหว่างผู้ร่วมกิจกรรมเพื่อทำให้เขาเข้าใจตน รู้ปัญหา  

ดังนั้น ถ้าให้สรุปคือ Cultural Ecology เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น ในพื้นที่ชายขอบมากๆ เล็กมากๆ  แต่ทำให้คนสามารถเข้าใจในคอนเซ็ปต์ของโลก ที่กำลังดำเนินไป แบบนี้ได้ไหม 

คำว่า ชายขอบ ไม่น่าใช่  แต่คำว่า “ชุมชน- พื้นที่–เฉพาะพื้นที่ “น่าจะเป็นคำที่ใช้ในบริบทของนิเวศวัฒนธรรมได้ดีกว่า คำว่า “ชุมชน” “ชาวบ้าน” ก็ไม่ได้แปลว่า ชนบท ชายขอบ แต่อาจหมายถึงชุมชนเมือง เช่น โครงการนิเวศวัฒนธรรมทางศิลปะการแสดงของจุฬาฯ ที่สนใจการทำให้เกิดพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ

โครงการวิจัยที่ทำอยู่ ใน cluster ศิลปวัฒนธรรมจึงต้องการทดลองสร้างพื้นที่ที่ไม่มีใครใช้โดยใช้ศิลปะ-การแสดงเป็นสื่อในการสร้างความเข้าใจระหว่างกัน แนะนำว่ามาดูละครในพิพิธภัณฑ์ก็ได้นะ เราลองสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และกลวิธีที่แตกต่างในการเสพศิลปะ     

เช่น เทศกาลชีวิตกับการแสดง LIFE | Performance เรานำเสนอทั้งพื้นที่จริงรอบๆ จุฬาฯ และพื้นที่เสมือนผ่านเพจ Ppar เทศกาลเคยนำเสนองิ้วไทยที่อุทยาน 100 ปี ของจุฬาฯ และเปิดการแสดงมโนราห์ที่ Lido Connect ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างในการนำงานแบบขนบให้มาอยู่ในพื้นที่ใหม่ ทำให้คนหลายรุ่นได้ชมงิ้วร่วมกัน โดยไม่ต้องไปศาลเจ้า ที่สยามสแควร์ ได้เห็นม็อบโนราห์ มีวัยรุ่นที่ร่ายรำแบบขนบได้แข็งแรง ทำให้คนที่ไม่เคยดูได้ซึมซับความงามที่แตกต่าง หรือครูเคยนำงิ้วแต้จิ๋วแต่ร้องไทยไปเล่นในพื้นที่ชนชั้นกลางที่อุทยาน 100 ปีฯ ชวนอาม่า อากง ของอาจารย์และลูกศิษย์แถวนั้นมาชม 

นี่คือการเอาของโบราณมาเล่นในพื้นที่ใหม่ เช่น Lido connect ซึ่งมีเด็กใส่ชุดคอสเพลย์เดินกันเยอะ แต่จู่ๆ เรามารำโนราห์เฉยเลย หรือครูจัดงิ้วในสวนที่เล่นนอกเทศกาลงิ้ว มีคนที่ไม่เคยดูงิ้วเลยแต่พาคุณแม่มาดู ตัวเขาไม่รู้ภาษาแต้จิ๋ว เลยเป็นครั้งแรกที่เขาได้ดูงิ้วที่ร้องเป็นภาษาไทยในสวนแล้วรู้สึกประทับใจ เพราะเป็นภาษาไทยที่ร้องแบบงิ้วและร้องในสวนซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เป็นการเล่นเพื่อถวายเจ้า มันเป็นกิจกรรมที่เขาดูด้วยกันได้ อยู่ร่วมกันได้

เราเลยได้เห็นภาพคนรุ่นใหม่ นุ่งกางเกงยีนส์ใส่เสื้อยืดรำโนราห์กลางสยามสแควร์ โนราห์ไม่ใช่ของคนแก่ จะคนปักษ์ใต้จะคนกรุงเทพฯ เขาก็รำกัน ซึ่งสร้างความน่าตื่นเต้นไปอีกเพราะไปยึดพื้นที่ของโลกสมัยใหม่ กรุงเทพฯ ต้องมีพื้นที่และกิจกรรมที่เชื่อมระหว่างคนหลายรุ่นวัยรุ่นวัยเรียนไม่ได้จำเป็นต้องเกาหลี คอสเพลย์ญี่ปุ่นเท่านั้น 

จริงๆ แล้วเขารำกันสวยมาก ท่ารำงดงาม เราไม่เคยเห็นแบบนี้ในพื้นที่ร่วมสมัย รถเมล์ถึงกับจอดดูเลย เป็น Event ที่ถ้าเรามาพินิจพิเคราะห์ต่อได้ว่ามันสร้างอะไรบ้าง

เราสามารถบอกว่ามันเป็นพัฒนาการทางวัฒนธรรมได้ไหม

มันเป็นการพัฒนาพื้นที่ทางศิลปะ-วัฒนธรรมเพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนดีขึ้น เช่น ลองทำให้เมืองหรือพื้นที่รอบชุมชนจุฬาฯ เป็นพื้นที่ทางศิลปะที่มีความแตกต่าง เกิดปรากฏการณ์การแสดงที่หลากหลาย เพราะศิลปะ เช่น ลิเก โนราห์ งิ้ว มันหายไปจากเมืองใหญ่  หรือแอบอยู่ในพื้นที่แบบเก่า ดังนั้น เราเลยลองนำงานศิลปะแบบเก่ามานำเสนอนอกเวลาตามแบบแผนและพื้นที่แบบเดิมเพื่อยืนยันว่าคนรุ่นใหม่ที่สนใจงานแบบเก่าๆ ก็มีอยู่ เราต้องให้พื้นที่เขาด้วย

มันเป็นพัฒนาการทางวัฒนธรรมแน่ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยเมื่อ 20 ปีก่อน แต่มันมีพัฒนาการเพราะว่า UN ประกาศนโยบายมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Culture Heritage) โดยมีจุดประสงค์คือ ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมที่หลากหลายในท้องถิ่น เพราะวัฒนธรรมเล็กๆ กำลังจะตาย UN เลยพยายามส่งเสริมให้ชาติที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมกลับไปฟื้นฟูอัตลักษณ์หรือว่าเอกลักษณ์ของชุมชนของคนในวัฒนธรรมนั้นๆ สิ่งที่ทำให้คนเรารู้ว่าเราหลากหลายนะเว้ย เรามีวัฒนธรรมเหนือ อีสาน โน่นนี่ มันแค่ถูกแบ่งแยกด้วยพรมแดน

อย่างไทยคือมีความเป็นชนชั้นของศิลปะ เช่น โขนเป็นศิลปะชั้นสูง ครูคิดว่ามันสามารถทลายกำแพงนี้ ไปจนเป็น Art Form ที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ไหม

ถ้าเราอยู่กับความเป็นจริง เราต้องยอมรับว่า กำแพงนั้นมันได้ถูกทำลายไปแล้วในวันนี้ เพราะโขนเป็นศิลปะไทยที่มีความป๊อบ เป็นที่นิยมอย่างมากจากเยาวชน บ้านเรามีเด็กๆ ฝึกโขนและอยากเต้นโขนจำนวนมากทั้งหญิงและชาย ใครเต้นโขนเป็นจะเท่มาก โขนเป็นงานแบบคลาสสิคที่มีแบบแผนมีวินัยที่ท้าทาย ต้องรักที่จะฝึกและมีความตั้งใจจริง ปัญหาหลักของบ้านเราคือ รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องในการจัดการเรื่องศิลปะวัฒนธรรมยังไม่เข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลง  

และไม่รู้ว่าประเทศไทยต้องการนโยบายในการจัดการด้านศิลปวัฒนธรรมแบบใหม่ที่ไม่ใช่การถาโถมเพื่อขาย Product หรือการบริการเท่านั้น แต่เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศที่เป็นวงจรของศิลปวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”  นั่นคือการสร้างพื้นที่คุณภาพเพื่อเป็นสถานที่สำหรับการแสดงที่สะท้อนความรุ่มรวย ความหลากหลาย ทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ  กระบวนการฝึกฝนศิลปะที่ใช้แนวคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างงานที่สะท้อนความดีแบบเก่าด้วยกระบวนวิธีแบบร่วมสมัย ใช้วิถีทางแบบสากลมาสนับสนุน และมีการพัฒนาระบบทุนสนับสนุนที่มีความต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาที่ทำให้เครือข่ายต่างๆ มีความแข็งแรง เช่น โขนใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าจะแข็งแรงได้

บ้านเรายังขาดแพลตฟอร์มที่มีการแสดงที่หลากหลาย ป้าๆ ยายๆ ตัวหนาๆ เราบอกกันว่า รำไม่สวยนะ ทั้งๆ ที่เป็นการรำแบบจิตวิญญาณ มีความอิสระ เป็นธรรมชาติ แต่คนมองว่าไม่สวยเพราะต้องเป็นไปตามแบบแผนเท่านั้น ฉะนั้น ความเข้าใจเรื่องศิลปะที่หลากหลายของเรามันน้อย เพราะเราเชื่อว่ามันมีแบบที่ถูกต้อง ดังนั้น มันต้องมีพื้นที่ให้คนเอา know-how ของศิลปะไปสร้างสรรค์สไตล์ของตัวเองให้ได้ ซึ่งยาก เพราะต้องส่งครู ต้องสอบ มีครูตรวจ 

เราจึงควรส่งเสริมความงามของตัวศิลปะนั้นๆ ที่อาจไม่เป๊ะแบบมาตรฐาน แต่เป็นความงามแบบชาวบ้าน  ถึงจะฉูดฉาด โฉ่งฉ่าง แต่ก็งาม คึกคักแต่สนุกเร้าใจ ว่ากลอน ด้นกลอนกันมันไม่ลดละ  

ความงามที่สัมพันธ์กับชาติพันธุ์ สัมพันธ์กับความ ‘ไม่กรมศิลป์’ นั้นมีดีและความงามขึ้นอยู่กับตัวศิลปิน เป็นศิลปะของปัจเจก ถ้ารัฐและผู้คนที่ทำงานทางศิลปะมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของศิลปะในการ พัฒนาตัวตน รัฐก็ไม่ต้องทำอะไรมาก สนับสนุนปัจจัย ทุน และพื้นที่ของเทศกาลทางศิลปะอย่างต่อเนื่อง

เหมือนถูก Centralized (รวมศูนย์) ให้เป็นแบบฟอร์มเดียวกัน  

เราล้วนยอมเอง บ้านเมืองของเราคุ้นเคยกับการรวมศูนย์ เชื่อฟังกัน ซึ่งถือว่าเป็นการปลูกฝังทั้งในระบบการศึกษา ในวิถีครอบครัว ในศรัทธาต่อศาสนาและประเพณี

ถ้าเราเป็นสถาบันการศึกษาก็ต้องมีหลักสูตรและแบบแผนเพื่อสร้างบรรทัดฐานในการปฏิบัติ การมีมาตรฐานจึงสำคัญ ดังนั้น แต่ละสถาบันที่สอนศิลปะ สอนการแสดง ก็ควรมีมาตรฐาน แต่ต้องมีสไตล์ของตนเองด้วย  ศิลปะจึงจะสนุก เราจึงจะได้เห็นความงามที่แตกต่างในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค เช่น ที่เชียงใหม่ที่มีโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาที่สร้างพื้นที่การเรียนศิลปะล้านนา การฟ้อน การขับร้อง ดนตรี และศิลปะอื่น จากครูศิลปินล้านนา

คิดว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันที่เราโดน Disrupt จนโลกเชื่อมกันหมด  ดังนั้นการสร้างความเข้าใจใน Cultural Ecology จะมีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง

เข้าใจว่า Cultural Ecology เป็นทิศทางของปัจจุบันและอนาคตที่มองศิลปวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนร่วมสมัย เมื่อโลกปัจจุบันเปลี่ยนทิศทางและให้ความสำคัญกับมนุษย์ การสร้างความเป็นอยู่และชีวิตที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ ระบบนิเวศทางวัฒนธรรมจึงจัดที่ทางให้ศิลปวัฒนธรรมเป็นตัวเชื่อมให้ผู้คนได้ เรียนรู้กันมากขึ้น

เราต้องมีพื้นที่ดีๆ สำหรับผู้คนได้เรียนรู้ศิลปะมากกว่าที่เคยเป็น งานการแสดงน่าจะมีปรากฏในโรงเรียนที่มีเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่นานถึง 12 ปี ต่อเนื่อง มีพื้นที่ให้ งิ้ว ลิเก ฟ้อนต่างๆ ได้มีโอกาสแสดงในพื้นที่ศิลปะที่ผู้คนร่วมสมัยเข้าถึงได้

ช่องทางที่เราจะถ่ายทอดต้องมีหลายช่องทาง เพราะเด็กสมัยนี้ฉลาดมาก เช่น เขาดูบอยแบนด์เกาหลีแล้วก็เต้นตามได้เลย ดังนั้นทำไมไม่มีระบำไทย ฟ้อนไทยบ้างล่ะแล้วเต้นให้เป็นอีเวนท์ เราต้องสร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทยในแบบที่เราตีความให้ได้ แต่นี่เราไม่เล่นเลย เพราะรัฐมีความคิดแต่จะบอกเล่าอย่างเดียว 

รัฐบาลมีเป้าหมายในการสร้างทักษะชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเก่ามากสำหรับครู แต่ถ้ารัฐบาลสนใจสิ่งนี้จริงจัง เราทุกคนก็ช่วยกันผลักดันได้ แต่มันต้องสร้างอีเวนท์ที่คนมีส่วนร่วม วัฒนธรรมที่เห็นแล้วเท่ เห็นแล้วดี ในวันนี้มีลูกหลานทั้งหญิงและชายสนใจโขน อยากเล่นเป็น มันเป็น Guts (สัญชาตญาณ) ที่ทำแล้วเท่ ไม่ต้องเต้นโคฟเวอร์ก็ได้ เต้นโขนได้ เท่ออก มันต้องสร้างพลังงานแบบนี้ให้ได้ในบ้านเมืองเรา

ในอีกมุมหนึ่งเขามองว่าเรื่องท้องถิ่น โขน มันยังติดขนบมากมาย แต่การเข้าหาวัฒนธรรมเกาหลีดูร่วมสมัยกว่าและเป็นปัจจุบัน เข้าถึงได้ มีอิสรภาพในการแสดงออก เช่น ในเรื่องการแต่งกาย เขาเลยรู้สึกเชื่อมโยงได้มากกว่า

จริงๆ แล้วเกาหลีเขาขายวัฒนธรรมที่ Repackaging นะ เขาเอาวัฒนธรรมโบราณมา Repackage ฉะนั้น เราก็ต้องทำแบบนั้น แต่เราดัน Repackaging ไม่เป็น Cultural Ecology ไม่ใช่ว่าอยู่ในชุมชนแล้วไม่ขายเลยนะ แต่ก่อนหน้านั้นมันต้องทำ Ecology เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ เข้าใจเนื้อแท้ของศิลปวัฒนธรรมนั้นก่อนเพื่อนำไปสู่การรู้ว่าจะขายอะไรได้ แต่เราต้องรู้จักภูมิเราก่อน เราจะได้จัดช่องทางถูก แต่คนที่จะจัดช่องทางเหล่านั้นได้จะต้องมีความเข้าใจแก่นแท้ของวัฒนธรรมด้วย

Cultural Ecology ต้องรับใช้สังคมไหม มันต้องทำเพื่อพัฒนาสังคมหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วทำเพื่อแค่เข้าใจตัวเอง เชื่อมโยงชุมชนเข้าด้วยกัน

คิดว่าเป็น Service ที่รัฐ ควรจัดให้แก่สังคม ทำให้พลเมืองผู้เสียภาษีมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในความคิดของครู มันไม่ใช่สิ่งใหม่เลยในวิถีไทย เพราะเรามีวิถีนี้ในอดีตอยู่แล้ว การร้องรำทำเพลง การทำอาหาร จัดบ้านจัดเรือน ศิลปะการแสดงอยู่ในกิจกรรม พิธีกรรมสำคัญๆ ระหว่างช่วงเปลี่ยนแปลงชีวิต พิธีกรรมต่างๆ เช่น การทำบุญที่วัดล้วนเกี่ยวเนื่องกับศิลปะเพราะมันอยู่ในวัฒนธรรม เป็นวิถีชีวิต

ในวันนี้ คนที่อยู่ในชนบทยังใกล้ชิดกับศิลปวัฒนธรรมและมีนิเวศวัฒนธรรมที่แข็งแรง คนในเมืองใหญ่ๆ อย่างเราต่างหากที่พร่องขาดและถูกเติมเต็มไปด้วยความบันเทิงอื่นๆ ที่โลกมีเดียสะกดจิตเรา

บ้านเราจำเป็นต้องมี Cultural ecology ไหม

ครูว่าจำเป็น เพราะบ้านเรามีคนที่มีองค์ความรู้ดีมากจากตะวันตกและมีคนที่มีองค์ความรู้ของไทยนานาพรรณ ไม่ใช่ไทยกรมศิลป์ หรือไทยร่วมสมัย ไทยท้องถิ่น ไทลื้อ ไทมอญ เรามีเด็กที่เป็นกะเหรี่ยง อีสานเหนือ อีสานใต้ พูดภาษายาวี 

บ้านเรายังมีศิลปวัฒนธรรมที่อยู่ในวิถีชีวิต เช่น ในชนบทยังใกล้ชิดกับศิลปะ ชุมชนจึงเป็นกลไกสำคัญ ถ้าจะสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมในพื้นที่ร่วมสมัย  รัฐไทยคุ้นเคยกับการสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมในแบบเก่า เช่น ผลงานที่เป็นตัวแทนชาติ แต่ในโลกวันนี้การจัดการให้ทุนทางศิลปวัฒนธรรม ต้องมีนโยบายรัฐหรือผู้นำชุมชนต้องสนับสนุน  การพัฒนาพื้นที่ที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของผู้คนในชุมชน จัดหาพื้นที่สำหรับการแสดงและนำเสนอผลงานเพื่อให้วงจรการพัฒนาฝีมือศิลปินเกิดขึ้น  สร้างผู้ชมหลากรุ่น สร้างรสนิยม “ไทยที่แข็งแรง” และทำให้เกิดระบบนิเวศทางศิลปวัฒนธรรมที่สุดท้ายจะสามารถนำไปสู่การพัฒนาพลเมืองให้มีคุณภาพในการใช้ชีวิต มีความภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมของตน และพัฒนาอาชีพในวิถีของศิลปินได้

ล้อมกรอบ ข้อมูลโดยครูอุ๋ย 
– จุดเริ่มต้นของการศึกษานิเวศวัฒนธรรมของครูอุ๋ยเกิดขึ้นจากผลงานวิจัยของ Dr. John Holden  ที่นำเสนอเป็นหนังสือชื่อ The Ecology of Culture ให้กับสภาศิลปะและมนุษยศาสตร์ (Arts and Humanities Council) ของประเทศอังกฤษ  ผลสังเคราะห์มาจากบทสัมภาษณ์ศิลปิน นักบริหารองค์กรศิลปะทั่วโลกว่า ศิลปวัฒนธรรมนั้นมีคุณประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไร และปรับมุมมองของ ศิลปวัฒนธรรมให้เหมือนกับสภาวะแวดล้อมที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ สร้างความมั่นคง ความภาคภูมิใจของผู้คนที่หลากหลาย สามารถเชื่อมโยงผู้คน มีระบบ เครือข่ายที่สัมพันธ์กัน และสร้างความเปลี่ยนแปลงชุมชน สังคมให้มีคุณภาพ
    
– แนวคิดที่เห็นว่าศิลปวัฒนธรรมควรอยู่กับการใช้ชีวิตของผู้คนนั้นเป็นแนวคิดเพื่อตอบโต้และถ่วงดุลกับนโยบายทางเศรษฐกิจของ นายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษในยุค 90 ที่มองศิลปะและวัฒนธรรมเป็นทุนที่นำมาต่อยอดสร้างเม็ดเงิน  เน้นการเร่งสร้างมูลค่าในเชิงธุรกิจ/ อุตสาหกรรมที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์”

– นิเวศวัฒนธรรมในวันนี้เกี่ยวข้องกับนโยบายในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และพื้นที่-พักอาศัย-ความเป็นอยู่ ให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่ดี และมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้คนหลากหลายชาติพันธ์ุ  หลากหลายภูมิรู้อยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุขโดยใช้ “ศิลปวัฒนธรรม” เป็นสื่อ

Tags:

Cultural ecologyCreative Deschoolingพรรัตน์ ดำรุง

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Creative learning
    Cultural ecology (2) : เล่นละครใส่กัน เถียงกัน เคารพกัน จนกลายเป็นฉันที่เข้าใจตัวเองและผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learning
    คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘นิ้วกลม’ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์: ถ้าประเทศนี้…ไม่มีโรงเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    ออกไปเรียนรู้ อย่าอยู่แค่ในห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (3): โกลาหลหลังคลอด และต้องลุ้นว่าน้ำนมจะมารึเปล่า
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
10 July 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (3): โกลาหลหลังคลอด และต้องลุ้นว่าน้ำนมจะมารึเปล่า

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ไม่ใช่ทุกคนที่มีน้ำนมแม่พร้อมให้ลูกดื่มหลังคลอดลูก สำหรับคุณแม่ที่น้ำนมมาช้า นอกจากจะต้องกระตุ้นโดยให้ลูกเข้าเต้าบ่อยๆ บีบนวดประคบร้อน และทานอาหารเร่งน้ำนมแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือกำลังใจจากคนรอบข้าง เพราะหากปล่อยให้คุณแม่เครียดน้ำนมก็ยิ่งมาช้า กลายเป็นวงจรสะท้อนกลับที่มีแต่แนวโน้มแต่จะย่ำแย่ลง
  • เวลากลางคืนในสองสัปดาห์แรกคือช่วงเวลาที่เด็กน้อยกำลังปรับตัวเข้ากับโลกใบใหม่ พ่อแม่ต้องใจเย็นและอดทน โดยสามารถกระตุ้นการเรียนรู้เรื่องกลางวันและกลางคืนด้วยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน 
หากผู้อ่านคนไหนยังไม่ได้อ่านบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อนตอนที่ 2 สามารถอ่านได้ที่ บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (2): ตามหาสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก

ผมได้สัมผัสว่าเวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์อย่างชัดเจนตอนที่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด ระหว่างที่ภรรยากำลังถูกบล็อกหลัง (Spinal Block) ตามคิวผ่าคลอดตอนเก้าโมงเช้า ได้ยินแว่วๆ ว่าทีมแพทย์พบปัญหาขลุกขลักเล็กน้อย แต่ดูจากรอยยิ้มพยาบาลที่เดินสวนไปมาก็คิดว่าไม่มีอะไรน่ากังวล ผมดูนาฬิกาบ่อยครั้งทั้งที่เลขนาทีแทบไม่ขยับ สมาธิสูญสลายได้แต่ไล่สายตาผ่านหน้าโซเชียลมีเดียโดยไม่มีอะไรเข้าหัวสมอง ก่อนที่ผมจะถูกเชิญตัวเข้าห้องผ่าตัดประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง 

ข้างในนั้นวุ่นวายกว่าที่คิด เสียงสัญญาณชีพดังระคายหู ผมได้รับเชิญให้นั่งอยู่ข้างภรรยา เธอยังยิ้มร่าเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะได้เห็นหน้าลูกน้อย แล้ววินาทีนั้นก็มาถึง คุณหมอชูเด็กชายตัวสีเทาที่เริ่มร้องไห้จ้า พยาบาลพาเด็กน้อยมาโชว์ตัวก่อนเพื่อถ่ายรูปครอบครัวครั้งแรกของเราพ่อแม่ลูก ก่อนที่ผมจะถูกเชิญออกจากห้องผ่าตัดเพื่อรอไปแผนกเด็กพร้อมลูกน้อย 

รูปใบนั้นถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียพร้อมเสียงตอบรับอย่างล้นหลามพร้อมข้อสังเกตว่าผมหน้าซีดกว่าภรรยา (ที่อยู่ในระหว่างการผ่าตัด) และเด็กน้อย (ที่เพิ่งเกิด)  

ก็แน่นอนสิ! ผมไม่ค่อยถูกกับเลือดสักเท่าไหร่ ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เป็นลมในห้องผ่าตัดให้กลายเป็นภาระคนอื่น 

ระหว่างที่ภรรยายังไม่กลับจากห้องผ่าตัด ผมก็มีหน้าที่จัดแจงบอกญาติผู้ใหญ่ที่แวะมาเยี่ยมเยือนว่าเด็กตัวจิ๋วคนไหนคือลูกชายของเรา ธารินทร์น้ำหนักประมาณ 2.6 กิโลกรัมนับว่าปริ่มตกเกณฑ์แต่ทุกคนต่างก็ให้กำลังใจว่าไว้เดี๋ยวมาโตเอาข้างนอก เด็กชายร้องไห้จ้าสลับกับลืมตาจ้องมองผ่านตู้กระจกห้องแผนกเด็กด้วยความสงสัยใคร่รู้ กว่าเราจะได้พบกันแบบไม่มีกระจกกั้นก็จวนเที่ยงหลังคุณแม่ฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบแล้วกลับมาที่ห้องพัก 

เขาหลับปุ๋ยในผ้าห่อตัว เด็กน้อยดูบอบบางจนผมกลัวที่จะอุ้มมาไว้แนบอก แต่ผมต้องใช้ความกล้าในฐานะพ่อจับเจ้าตัวเล็กอย่างระมัดระวัง ประคองคอที่ยังไม่แข็งแรง แล้วอุ้มไปให้ภรรยาที่ยังไม่สามารถลุกจากเตียงได้เชยชม 

เด็กน้อยหลับตาพริ้ม แต่มือเล็กๆ ก็ยังยื่นมาคว้าจับนิ้วเราไว้แน่น ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะขณะที่ปากก็หุบยิ้มไม่ได้ นี่คือสัญญาณของการออกเดินทางไกลในฐานะพ่อที่ผมต้องบอกว่าสองสัปดาห์แรกคือทางวิบาก 

ค่าน้ำนม 

สมัยตอนเป็นเด็ก ผมยอมรับว่าเคยร้องเพลง ‘ค่าน้ำนม’ ทีเล่นทีจริงเสมอในงานวันแม่ของโรงเรียน แต่เมื่อเปลี่ยนสถานะจากลูกสู่พ่อ ต้องเห็นกับตาถึงทุกกระบวนการว่ากว่าจะได้น้ำนมแต่ละหยดมานั้น แม่ต้องทุ่มเทพยายามมากแค่ไหน ก้อนความรู้สึกผิดในใจก็อัดแน่นขึ้นมาในอก 

ผมเคยจินตนาการว่าหลังแม่คลอดปุ๊ป น้ำนมก็ไหลมาเป็นสายพร้อมให้ลูกดื่ม แต่ในความเป็นจริงแล้วกว่าคุณแม่จะมีน้ำนมเพียงพอนั้นต้องผ่านการกระตุ้นที่เข้าขั้นทรมาน ลองคิดดูสิครับ คนเพิ่งผ่าตัดเสร็จ แผลก็ยังไม่หายดี ยาชาก็ยังไม่หมดฤทธิ์ แต่ต้องถูกปลุกมาเพื่อพาลูกเข้ามาดูดเต้าเพื่อกระตุ้นน้ำนม แถมเจ้าตัวเล็กก็ใช่ว่าจะให้ความร่วมมือทุกครั้ง ต้องคอยเกาเท้า เกาคาง ไม่ให้เผลอหลับ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการก็อาจใช้เวลาค่อนชั่วโมง ตามมาด้วยคุณพยาบาลที่แวะมาเอาน้ำร้อนประคบนมทั้งสองเต้า แล้วบีบนวดอยู่เป็นอีกชั่วโมง ได้หลับตางีบลงสักหน่อยก็วนมาถึงเวลาที่หนูน้อยจะเข้ามาดูดนมอีกครั้ง 

วัฏจักรนี้วนเวียนไปไม่สนใจกลางวันกลางคืน แต่หากจะให้นมแม่ คุณแม่ก็ต้องอดทนเพราะน้ำนมยึดหลักอุปสงค์อุปทาน หากไม่เอาลูกเข้าเต้ากระตุ้นบ่อยๆ น้ำนมที่กำลังเริ่มมาก็อาจแห้งเหือดหายไปง่ายๆ 

แต่สิ่งที่ชวนปวดใจกว่านั้นคือการต้องปล่อยให้ลูกหิว เพราะถ้าให้นมผงจนท้องอิ่ม เด็กน้อยก็จะเอาแต่หลับไม่ยอมตื่นมาดูดกระตุ้นน้ำนมแม่ ผมและภรรยาจึงต้องทนเห็นหนูน้อยร้องไห้จ้า ขณะที่น้ำนมซึ่งไหลออกมาอยู่ในระดับหยด แม้คุณหมอจะบอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะเด็กมีพลังงานเพียงพออยู่แล้วถึงจะไม่ได้รับน้ำนมในช่วงแรก แต่หัวอกของคนเพิ่งเป็นพ่อแม่ผนวกกับแรงกดดันของญาติผู้ใหญ่ที่กลัวหลานจะหิวก็ทำให้คุณแม่เครียด เมื่อเครียดน้ำนมก็ยิ่งมาช้า กลายเป็นวงจรสะท้อนกลับ (feedback loop) ที่มีแต่แนวโน้มแต่จะย่ำแย่ลง  

แม้ว่าในใจผมจะสงสารลูก แต่ผมก็ต้องยืนข้างภรรยา เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าจะให้นมแม่ก็ต้องไปให้สุดทางเพราะเราเชื่อว่านี่แค่ความลำบากในระยะสั้น แต่เป็นทางเลือกที่ดีต่อทั้งเราและลูกในระยะยาว 

แต่แรงกดดันยิ่งทวีหนักขึ้นเมื่อหมอเด็กตรวจพบว่าธารินทร์มีค่าตัวเหลืองสูงเกินปกติ ซึ่งสารดังกล่าวค่อนข้างอันตราย แต่ะสามารถขับถ่ายออกจากอุจจาระและปัสสาวะตามธรรมชาติ แต่เมื่อนมแม่ยังไม่มาเจ้าตัวเล็กเลยขับถ่ายน้อยกว่าที่ควรจะเป็น คุณหมอเลยสั่งให้หนูน้อยนอนในตู้อบยูวีต่ออีกหนึ่งวัน 

ผมต้องคอยปลอบภรรยาเพราะคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่เจ็บปวดมากที่สุด ขณะที่เด็กน้อยนอนหลับสบายอยู่ในตู้ฉายแสงสีฟ้า เธอบอกผมบ่อยครั้งว่าฝากเดินไปดูลูกให้หน่อย แม้จะเห็นไกลๆ ก็ยังดี 

เราใช้เวลาหนึ่งวันที่ลูกต้องอยู่ห่างจากอกแม่ ร่วมด้วยช่วยกันนวดเค้นเพื่อเร่งให้น้ำนมมา ทานยาทั้งแผนปัจจุบัน รวมถึงกินน้ำอุ่น ดื่มน้ำขิงทั้งวัน ซดแกงเลียงหัวปลีทุกมื้อ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้น้ำนมมา 

แล้วในที่สุดน้ำนมก็มาจริงๆ แม้อาจจะยังไม่มาก แต่ก็เป็นกำลังใจว่าเรามาถูกทางแล้ว 

วันกลับบ้าน 

นอกจากเรื่องน้ำนม ทุกเรื่องเกี่ยวกับทารกสำหรับเรานับว่าเป็นเรื่องใหม่หมด ทั้งวิธีพับผ้าห่อตัว การอาบน้ำทำความสะอาด การป้อนนมผสมด้วยแก้วป้อนนม (feeding cup) เพื่อไม่ให้เด็กติดจุกนมแล้วไม่ยอมดูดเต้าแม่ และอีกสารพัดรายละเอียดปลีกย่อย ทั้งหมดนี้ถูกอัดอยู่ในประสบการณ์ 5 วันในโรงพยาบาล ก่อนเราจะพาเจ้าตัวเล็กกลับบ้านหลังจากค่าตัวเหลืองอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย 

บ้านหลังเดิม เพิ่มเติมคือเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอด 

เราพาธารินทร์ไปชมบ้านทั้งหลัง แนะนำห้องนอนแห่งใหม่ ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง นี่คือบทเรียนแรกที่ตัวเล็กต้องเรียนรู้คือความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน ซึ่งพ่อแม่สามารถช่วยได้โดยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในช่วงกลางวันและกลางคืนให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลาและความอดทน 

ในคืนแรกๆ ผมยอมรับว่าท้อ ตอนกลางคืนที่เคยเป็นเวลาพักผ่อนอย่างสงบสุขกลับต้องถูกรบกวนด้วยเสียงร้องของเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่คุ้นชิ้นกับบ้านหลังใหม่ ขณะเดียวกันเราก็ต้องกลั้นใจแม้ว่าจะอยากนอนแค่ไหน ปลุกเด็กชายให้มาเข้าเต้าทุก 3 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นน้ำนม ด้วยความกลัวว่าค่าเหลืองจะกลับมาสูงใหม่ ผมก็ต้องรับหน้าที่วิ่งขึ้นวิ่งลง นึ่งของ ชงนม และป้อนนมผงเสริมนมแม่ด้วยแก้วป้อนนมหลังจากเข้าเต้าอย่างน้อย 30 นาที การป้อนนมด้วยแก้วเป็นไปอย่างทุลักทุเล ดื่มบ้าง บ้วนบ้าง เลอะเทอะกันอยู่พอประมาณ หลังจากอิ่มก็ต้องอุ้มให้เจ้าตัวเล็กเรอเอาอากาศในท้องออก กล่อมจนหลับ กว่าพ่อแม่จะได้นอนอีกครั้งก็เกือบชนเวลาที่ต้องปลุกเจ้าตัวเล็กมาเข้าเต้ารอบต่อไป 

สิ่งที่ผมต้องเจอตอนกลางคืนทำให้รู้สึกหวั่นใจทุกครั้งที่ฟ้าเริ่มมืดลง เพราะผลัดกลางคืนอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ล้วนๆ โดยไม่มีปู่ย่าตายายมาช่วยเหลือ ในใจได้แต่ภาวนาให้เด็กน้อยโตวันโตคืน (ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ต่างมองว่าทารกเป็นวัยน่ารัก ไม่วิ่ง ไม่ซน ไม่เถียง ฯลฯ)  

ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางในช่วงหยุดยาวปีใหม่ เมื่อน้ำนมคุณแม่มาเพียงพอทำให้ผมหมดภาระที่ต้องชงนมและนึ่งของ ภาระหนักส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับภรรยาที่ต้องตื่นมาให้นมลูกตอนกลางคืนขณะที่ผมมักจะหลับลึกไม่ยอมตื่นแม้ลูกจะร้องไห้โยเย เด็กชายน้ำหนักพุ่งพรวดจากเกือบหล่นเกณฑ์เข้าสู่เด็กที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี 

การได้เฝ้าดูพัฒนาการของเด็กน้อยจากนิ่งงัน เริ่มมองตามสิ่งของ หยิบจับ ยิ้ม หัวเราะ ได้เห็นแววตาที่ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่ออุ้มพาเดินรอบบ้านหรือพบเจอกับคนใหม่ๆ สำหรับผม การได้เป็นพ่อคือสิ่งพิเศษนะ เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่ได้สัมผัสความอบอุ่นในหัวใจเมื่อได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของลูกในแต่ละวัน 

Tags:

พ่อบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(5): รูปลูกออนไลน์ โพสต์แค่ไหนถึงพอดี

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นLife classroom
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (4): หน้าที่ของพ่อคือเปิดโอกาสให้แม่ไม่ต้องเป็นแม่

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (2): ตามหาสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (1): ความไม่ง่ายของการตัดสินใจเป็นพ่อ

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ประเมินกำลัง หาวิธีปราบ ใช้ไอเท็มเสริม: จัดการความเครียดช่วงเปิดเทอมกับนักจิตวิทยาโรงเรียน
Education trend
9 July 2020

ประเมินกำลัง หาวิธีปราบ ใช้ไอเท็มเสริม: จัดการความเครียดช่วงเปิดเทอมกับนักจิตวิทยาโรงเรียน

เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • New normal รับเปิดเทอมกำลังทำให้เด็กๆ เครียดขึ้นเรื่อยๆ กระบอกเสียงน้อยๆ ของนีท (จากเด็กที่เราได้พูดคุยกัน) สะท้อนบางอย่างกับผู้ใหญ่ว่า เด็กๆ กำลังตึงมือกับข้าศึกมากกว่าที่เรา(ผู้ใหญ่)คิด บทความนี้จะมาพูดคุยกันว่า เรา-ที่เป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ คุณครู หรือตัวของเด็กเอง จะชนะศึกครั้งนี้ ลดความเครียดรายวันอย่างไร ในหนึ่งมุมมองจาก นีท เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาโรงเรียน
  • “ประเมินกำลังรบ หาวิธีปราบ และ ใช้ไอเท็มเสริม” 3 วิธีที่นักจิตวิทยาโรงเรียนอยากแชร์เพื่อช่วยนักเรียนกำจัดความเครียดด้วยตัวเองได้ทุกวัน ไม่หมักหมมพอกพูน

สวัสดียุค New normal ที่แท้จริงสำหรับเด็กๆ นักเรียนทุกคนนะคะ ต้องบอกเลยค่ะว่า วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ ทุกสื่อต่างจับจ้องไปที่การเปิดเทอมในแทบทุกโรงเรียนทั่วประเทศ เพราะถือเป็นวันออกศึกของนักเรียนที่ต้องกลับมาใช้วิถีความเป็นนักเรียนในโรงเรียน หลังจากที่เด็กๆ หยุดอยู่บ้าน แต่การกลับมาโรงเรียนครั้งนี้มีความพิเศษมากกว่าทุกครั้ง เพราะเด็กนักเรียนทุกคนจะต้องมีกฎในการดูแลตัวเองมากขึ้น เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าโรงเรียน การใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การมีตารางเรียนแบบใหม่ ที่บางวันก็เรียนออนไลน์หรือบางวันก็มาเรียนที่โรงเรียน เป็นต้น

แล้วการออกศึกของนักเรียน “ชนะ” ไหม ?

บอกเลยค่ะว่า ตอนนี้ยังไม่รู้ เพราะเด็กนักเรียนกำลังรบกับศึกการปรับตัวอยู่ค่ะ

ต้องบอกทุกคนนะคะว่า ด้วยกฎหลายๆ อย่างที่ต้องปฏิบัตินั้น สำหรับผู้ใหญ่อย่างเรา ฟังดูแล้วอาจจะง่าย แต่สำหรับนักเรียนมันไม่ง่ายเลย (ซึ่งนีทจะขอเน้นไปที่เด็กนักเรียนชั้นมัธยมเป็นหลักนะคะ เพราะนีทได้ไปคลุกคลีกับเด็กๆ มัธยมมาแล้ว)

กระบอกเสียงบางส่วนบอกนีทว่า

“ตอนแรก ผมว่าใส่หน้ากากก็คงไม่เป็นไรนะ น่าจะโอเค แต่พอผมขึ้นบันได หรือต้องเดิน ผมก็รู้สึกเหนื่อย คงเพราะอากาศหายใจมันน้อยไปหน่อย”

“หนูปรับตัวเรียนไม่ทันค่ะ หยุดไปนาน และสิ่งสำคัญคือ หนูเรียนหนักมาก เลิก 5 โมงแล้วพี่ สมองไหลไปแล้ว”

“เดือนหน้าสอบแล้วครับ ปรับตัวไม่ทัน การบ้านเยอะอยู่ครับ”

กระบอกเสียงน้อยๆ ของนีท (ที่เราได้พูดคุยกัน) กำลังสะท้อนบางอย่างกับผู้ใหญ่ว่า เด็กๆ กำลังตึงมือกับข้าศึกมากกว่าที่เรา(ผู้ใหญ่)คิด เพราะผู้ใหญ่อาจจะมองแค่ว่า เด็กนักเรียนก็แค่ไปโรงเรียน เรียนเหมือนเดิม อาจจะมีเพิ่มเติมแค่ใส่แมสและปรับเวลาเรียนแค่นั้น แต่จริงๆ มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย ยกตัวอย่างเช่น การใส่แมสทั้งวันมันทรมานกว่าที่คิดนะคะ นีทลองใส่แค่ 3 ชม. ก็ต้องอดทนมากค่ะ เพราะหายใจลำบาก บางทีอากาศก็ขึ้นแว่น พูดไม่สะดวก (เรื่องนี้ ต้องใช้เวลาปรับตัวนะคะ เพื่อให้คุ้นชิน) 

หรือเรียนมากกว่าเดิม ทุกทีเด็กเรียน 8 วิชา ก็ว่าการบ้านเยอะอยู่แล้ว แต่บางโรงเรียนปรับให้เรียน 10 วิชาต่อวัน การบ้านก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย (เรื่องนี้ ก็ต้องให้เวลาเด็กในการบริหารชีวิตตนเอง ว่าจะรับมือกับการบ้านที่เพิ่มขึ้นอย่างไร) จากเรื่องที่เล่ามาเรารู้สึกว่าเด็กต้องการเวลาในการปรับตัว แต่น่าเสียดายที่ชีวิตจริงของเด็ก ไม่มีเวลาปรับตัวมากนัก พอเด็กยังปรับตัวไม่ได้ มันก็เกิดเป็นความเครียดขึ้นมา

ดังนั้นบทความวันนี้ เราจะมาพูดคุยกันว่า เรา-ที่เป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ คุณครู หรือตัวของเด็กเอง จะชนะศึกครั้งนี้อย่างไร ในหนึ่งมุมมองจาก นีท เบญจรัตน์ นักจิตวิทยาโรงเรียนค่ะ

นีทมองว่าการที่นักเรียนจะรบชนะในครั้งนี้ได้ นักเรียนต้องวางกลยุทธด้วยกัน 3 วิธีคือ “ประเมินกำลังรบ หาวิธีปราบ และ ใช้ไอเท็มเสริม”

ประเมินกำลังรบ 

ประเมินกำลังรบคืออะไร

การประเมินกำลังรบ คือการประเมินว่า ‘เครียดหรือไม่?’ นีทขอเล่าแบบนี้ค่ะ เวลาที่เด็กมัธยมกำลังเจอสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้จัก  มันอาจจะมีสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกมาได้ เพราะความเครียดมันคือการที่คนเราเจอสถานการณ์แล้วรู้สึกว่า ตายแล้ว! สถานการณ์นี้มันมาแล้ว มันคุกคามฉัน มันรุนแรงมาก และไม่น่าจะรับมือกับมันได้ ความคิดแบบนี้ ทำให้นักเรียนเกิดความเครียดค่ะ (แปลภาษาจิตวิทยาให้เข้าใจง่าย โดยนำมาจากนิยามความเครียดของ Lazarus และ Folkman (1984)) ดังนั้น การประเมินกำลังรบคือ การประเมินว่า “เครียดหรือไม่”

แล้วจะประเมินความเครียดอย่างไร?

ฉัน (เด็ก) เครียดหรือเปล่านะ? หรือจริงๆ แล้ว ฉันเครียดแบบไม่รู้ตัวกันนะ

ถ้าหากเราปล่อยให้เด็กมัธยมคิดลอยๆ หรือไม่ได้ใส่ใจตัวเองอย่างแท้จริง มันคงออกมาแบบ ง.งู 2 ตัว คือคำว่า “งง” เพื่อลดคำว่า “งง” ให้ออกไปจากชีวิต เราจึงควรประเมินตนเองว่า “วันนี้ ฉัน (เด็ก)เครียด หรือเปล่านะ”

ส่วนมากแล้วการประเมินความเครียด เราก็มักจะประเมินด้วยการทำแบบสอบถามค่ะ ซึ่งแบบสอบถามเรื่องความเครียดมันมีเยอะมากเลย แต่นีทขอมาแนะนำแบบสอบถามที่ใช้ง่าย ตอบไม่เยอะ ถูกเลือกและแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ นั่นคือ แบบประเมินความเครียด (ST5) ของกรมสุขภาพจิต

แบบประเมินความเครียด (ST5) นั้น เป็นแบบสอบถามออนไลน์ ที่เด็กตอบคำถามเพียงแค่ 5 ข้อ (ไม่นับข้อมูลทั่วไปที่ทางกรมสุขภาพจิตขอให้กรอกนะคะ) ก็จะสามารถประเมินตนเองเบื้องต้นได้ว่า เด็กเครียดหรือไม่ ซึ่งข้อดีของการทำแบบสอบถามออนไลน์นั้น คือ ระบบจะประเมินมาให้เราเลยว่า เรามีระดับความเครียดมาก- น้อยแค่ไหน

โดยส่วนตัว นีทชอบคำถามของแบบประเมินความเครียดนี้นะคะ เพราะแบบประเมินนี้พยายามให้เราประเมินความเครียดผ่านมิติต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ด้านร่างกาย (นอนหลับไหม) ด้านอารมณ์ (ความเซ็ง) หรือสังคม (การพบปะผู้คน) เป็นต้น ซึ่งพอเราได้ทำแบบประเมินนี้ มันจะช่วยบอกกับทุกคนว่า ถ้าเด็กรู้สึกนอนไม่หลับ เซ็ง หรือไม่อยากเจอใคร มันก็เป็นอาการหนึ่งของการมีความเครียดนะ ต่อไป พอเด็กมีอาการแบบนี้ ทุกคน (คนรอบข้างและตัวเด็ก) จะได้รู้ตัวมากขึ้นว่า “มีความเครียด” 

(สามารถเข้าไปทำแบบสอบถามได้ที่นี่)

หาวิธีปราบ

รู้ตัวว่าเครียด แล้วทำอย่างไรต่อ?

การที่เด็กรู้ตัวว่า “เครียด” นั้น ไม่ใช่ ให้พ่อแม่ไปดุว่า “ทำไมถึงเครียด” แต่มันควรเป็นการบอกว่า “โอเคนะ เมื่อเครียดแล้ว จะจัดการกับความเครียดอย่างไร” เพราะความเครียดมันเป็นเพียงแค่ปรากฎการณ์หนึ่งที่เข้ามา แล้วถ้าหากเด็กหาทางรับมือได้ ความเครียดจะจากไป

จึงเข้ามาสู่ข้อหัว “หาวิธีปราบ”

การหาวิธีปราบนั้น นีทเคยพูดไว้กับบทความก่อนหน้านี้แล้ว (อ่านที่นี่)จึงขออนุญาตพูดสั้นๆ คือ เด็กต้องทำ ข.อ.อ.ก.

  • พยายามเข้าใจว่า อะไรคือปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด  (ข. = เข้าใจ)
  • พยายามหาให้ได้ว่าอะไรคือ ปัญหาที่แท้จริง (อ. = อะไร)
  • พยายามประเมินว่า เราไม่ได้คิดมากไปใช่ไหม ลดความกลัวของตนเองลด (อ. =โอเวอร์ไหม)
  • พยายามหาทางแก้ไข (ก. = แก้ไข)

ดังนั้น วิธีการปราบมันจึงง่ายๆ เพียงแค่ เด็กอย่ายอมจำนน และจงมุ่งแก้ปัญหา ค่ะ

หาไอเท็มเสริม

ดูแล้ว ราวกับว่า แค่ 2 วิธีนี้ก็น่าจะพอนี่นา ทำไมต้องมีวิธีที่ 3 อีก ซึ่งเป็นวิธีที่นีทตั้งชื่อว่า “ใช้ไอเท็มเสริม” ด้วย

นีทขอเล่าแบบนี้ค่ะว่า ในช่วงการแก้ไขปัญหานั้นมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เด็กจะแก้ไขได้วันเดียวแล้วจบ หรือ ทำแค่ครั้งเดียวก็ผ่าน เรื่องบางเรื่องมันต้องอาศัยพลังในการผ่าฟัน ยกตัวอย่างเช่น จากปัญหาที่นักเรียนบอกว่า “การบ้านเยอะมาก ทำไม่ทัน” นีทขอถามว่า เขาเจอการบ้านแค่วันเดียวหรือเปล่า? คำตอบคือไม่ใช่ เด็กต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ทุกวัน หรือแทบทุกวัน 

ดังนั้น มันต้องมีการใช้ไอเท็มเสริม เพื่อให้เขารับรู้ว่า ถึงแม้ตัวฉัน(เด็ก) ยังมีความเครียดนะ แต่เราไม่ได้เครียดไปทั้งหมด อย่างน้อยๆ ฉัน (เด็ก) ก็มีความสุขในชีวิตเหมือนกัน หรืออย่างน้อย วันนี้ก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตฉันนะ วิธีการหนึ่งที่นีทจะขอแนะนำคือ “หัดขอบคุณสิ่งดีๆ  1 อย่างก่อนนอน”

หัดขอบคุณ 1 อย่างก่อนนอน คืออะไร?

กิจกรรมนี้ มาจากศัพท์ทางจิตวิทยา ที่เรียกว่า gratitude (ขอบคุณ) ที่เราสามารถเข้าใจง่ายๆ ว่า มันคือ การที่เราได้ขอบคุณอะไรสักอย่างหนึ่งที่เราได้รับมา ขอบคุณใครก็ตามที่ใจดีและช่วยเหลือเราเพื่อให้เรารู้สึกว่า มันมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต มีคนที่พร้อมจะมอบสิ่งดีๆ มอบความรักให้กับเรา เมื่อไรก็ตามที่เราได้พูดคำว่า “ขอบคุณ” มันจะทำให้เราเหมือนได้รับพลังบวกที่มากขึ้น และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่มอบของให้กับเรา  (แปลภาษาจิตวิทยาให้เข้าใจง่าย โดยนำมาจาก Harvard Medical School ) 

ดังนั้น “การขอบคุณ” จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราควรจะมี และหัดทำบ่อยๆ เพราะว่า งานวิจัยทางจิตวิทยาบอกว่า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้จัก “ขอบคุณ” สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มันจะช่วยทำให้เรามีความสุขมากขึ้น เพราะว่า การที่เราเริ่ม”ขอบคุณ” อะไรบางอย่าง มันแปลว่า เรามองเห็นสิ่งดีของมัน เราเริ่มรับรู้ว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้ก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเหมือนกัน’ จากที่คนเราเต็มไปด้วยอารมณ์ทางลบ มันเลยทำให้เราพอมีอารมณ์บวกได้บ้าง และแน่นอนว่า พอเราเริ่มไม่เครียด เริ่มมีความสุข มันก็จะส่งผลต่อสุขภาพที่ดี นอนหลับเต็มอิ่มนั่นเอง  

เราลองมาคิดดูนะคะว่า สมมติ วันนี้ นีทเป็นเด็กมัธยมศึกษาคนหนึ่ง ที่ชีวิตนีทเต็มไปด้วย “เช้าวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมา รีบไปโรงเรียน โดยฉันต้องใส่แมส แต่ฉันกำลังจะไปโรงเรียนสายจึงทำให้ต้องวิ่ง ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อยเพราะเจ้าแมสบ้า ทำให้ฉันหายใจไม่ทัน อากาศก็น้อย พอวันนี้เรียน โห! เรียนหนักอีก ตั้งแต่ แปดโมงครึ่ง จนถึง ห้าโมงเย็น การบ้านทุกวิชา ทำไม่ทันแน่ กลับมายังโชคดีหน่อยนะ ที่กับข้าวที่แม่ทำ มีต้มยำไก่ของโปรด จากนั้นก็ต้องรีบมาอาบน้ำ ทำการบ้านถึงเที่ยงคืน เฮ้อ!  วันนี้เหนื่อยจัง”

ถ้าตัวนีทที่เป็นเด็ก ไม่รู้วิธีขอบคุณถึงสิ่งดีๆ ที่เข้ามาในชีวิต “วันนี้ทั้งวัน คงเต็มไปด้วยอารมณ์บูด และนอนด้วยอารมณ์เซ็งๆ”

แต่ถ้าตัวนีทที่เป็นเด็ก พยายามหาจุดดีๆ สักหนึ่งอย่างของวันนี้และขอบคุณมัน จะกลายเป็นว่า “วันนี้อย่างน้อยๆ ฉันก็ยังได้กินต้มยำไก่ของโปรด อร่อยจังเลย กินจนอิ่ม อิอิ อย่างน้อยวันนี้ฉันก็มีความสุขและคงหลับฝันดีอยู่บ้าง”

นีทจึงอยากชวนให้เด็กๆ หัดมา “ขอบคุณ 1 อย่างก่อนนอนกันค่ะ” โดยวิธีนี้ ทำไม่ยากเลย เด็กๆ หรือพ่อแม่ อาจจะหาสมุดโน๊ตเล่มเล็กๆ สัก 1 เล่ม วันนี้ก่อนนอนก็ให้หยิบสมุดขึ้นมา เปิดไปที่หน้าหนึ่งของสมุด แล้วคิดว่า “วันนี้อะไร 1 อย่างที่ทำให้ฉันมีความสุข” แล้วก็เขียนมันลงไปค่ะ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขเพราะการขอบคุณ และสามารถมองหาความสุขในชีวิตได้ค่ะ

โดย “เรื่องที่ขอบคุณ” ที่เขียนลงไปนั้น นีทว่าเป็นอะไรก็ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น (เลือกสักข้อหัวนะคะ)

  • สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข : อาหาร, เพลงใหม่ของศิลปิน, การบ้านน้อย, ฝนไม่ตก, มีเวลาดู YouTube ต้อง 3 นาที
  • ใครที่ทำให้เรามีความสุข : ได้คุยกับเพื่อน, แม่พาไปซื้อของ, เพื่อนช่วยยกของ, เพื่อนแบ่งขนม, น้องไม่ดื้อ
  • เหตุการณ์ที่วันนี้เราประทับใจในตนเอง: วันนี้ฉันลุกให้คุณยายนั่งบน BTS, ฉันทำการบ้านเสร็จ, ฉันมาทันโรงเรียน, ฉันไม่โกหกแม้ว่าจะทำผิด

แม้ว่า วันนี้เราจะไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ทั้งหมด หรือบางทีเราก็อาจจะต้องแบกรับความเครียด ความไม่สบายใจไว้บ้าง แต่สิ่งนั้นไม่ได้หมายความว่า เราต้องยอมปล่อยให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเครียด หรือความเหนื่อยล้า เพียงแค่เราลองเริ่มต้นที่จะหามองว่า “อย่างน้อยวันนี้ฉัน… อยากจะขอบคุณอะไร”

ความสุขที่คิดว่าไม่มี ก็จะเริ่มค่อยๆ มองเห็น

Tags:

การจัดการอารมณ์นักจิตวิทยาเบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์แบบประเมินความเครียดCharacter world

Author:

illustrator

เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์

นักจิตวิทยาโรงเรียน ผู้ฝันอยากจะเป็น “ฮีโร่” ให้กับเด็กๆ และวัยรุ่น ให้เขามีความสุขในชีวิตมากขึ้น ปรับตัวได้ดีมากขึ้น และมีพลังมุ่งหน้าไปสู่ฝัน นอกจากนี้ยังมีความโลภอยากจะเชิญชวนให้มนุษย์ผู้ใหญ่ทุกคนมาร่วมกันเป็น “ฮีโร่” ของเด็กๆ ผ่านปลายปากกา

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    Compassion Deficit Disorder: ทำอย่างไรในยุคที่เด็กๆ (และเรา) ป่วยเป็นโรคขาดความเมตตา

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ‘รับมือ’ และ ‘สร้างขวัญกำลังใจ’ เพื่อก้าวผ่านความกลัว (แม้ขายังสั่นอยู่) โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ไม่ว่าจะมีนิสัยที่เป็นภัยหรือไม่ เราทุกคนต่างก็เป็นที่รักได้ : Things No One Taught Us About Love
  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel