Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
Creative learningCharacter building
25 April 2019

‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

เรื่องและภาพ The Potential

  • น้ำตกสายใจ แลนด์มาร์กสำคัญแหล่งท่องเที่ยวแห่งบ้านเขาไคร ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล หากแต่คนในอย่างเยาวชนและคนในหมู่บ้านบางคนยังไม่รู้จัก
  • ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว น้ำตกสายใจคือแหล่งต้นน้ำเลี้ยงคนทั้งชุมชน และคล้ายกับแหล่งท่องเที่ยวหลายพื้นที่ที่ทรัพยากรค่อยเสื่อมลงเพราะคนเข้าไปใช้งานอย่างไม่เคารพกติกา
  • เยาวชนในโครงการโครงการศึกษาน้ำตกสายใจเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนบ้านเขาไคร จึงรวมตัวกันเข้าทำงาน ทั้งเก็บข้อมูลวิจัย จัดค่ายอบอบรมส่งต่อข้อมูล สำคัญที่สุด คือการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพทุกด้านของเด็กๆ

ชมรมกีฬาและการอนุรักษ์บ้านเขาไคร ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล เกิดจากการรวมตัวของเยาวชนบ้านเขาไครที่ชอบเล่นกีฬาและทำงานอนุรักษ์ ภารกิจหลักคือการแข่งกีฬาของหมู่บ้านและการช่วยดูแลน้ำตกสายใจ จนเมื่อเจ้าหน้าที่จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาชักชวนให้ร่วม ‘โครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล’  น้องๆ เห็นว่า นี่คือโอกาสและความท้าทายใหม่ของชมรม

“เวลาเราเตะบอลเสร็จก็มักจะมาเล่นน้ำกันที่น้ำตกสายใจแห่งนี้ เวลาที่เห็นขยะเกลื่อนอยู่ที่น้ำตกก็จะช่วยกันเก็บ พอพวกบัง (บังหยาด-ประวิทย์ ลัดเลีย , บังเชษฐ์-พิเชษฐ์ เบญจมาศ พี่เลี้ยงศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสตูล) มาบอกว่ามีโครงการนี้เข้ามานะ สนใจมั้ย? พวกผมก็ใช้เวลาคิดอยู่สักพักนึงว่าจะเอามั้ย จะทำมั้ย สุดท้ายก็ตกลงว่าจะทำ จึงรวมกลุ่มกันเป็นชมรมอนุรักษ์และกีฬา กิจกรรมส่วนมากเป็นการแข่งขันฟุตบอล” ทีมงานเล่าถึงจุดเริ่มต้น

“เคยเป็นไหม เวลาไปไหนแล้วมีคนถามว่าที่บ้านมีอะไรน่าเที่ยว มีอะไรน่าสนใจ บ้านเราแท้ๆ แต่เรากลับไม่รู้อะไรเลย ตอนผมไปเรียนในเมืองหรือตอนนี้ที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เพื่อนมักจะถามว่าผมมาจากไหน? เขาไครอยู่ที่ไหน?  ต้องขี่ช้างเข้าไปในหมู่บ้านมั้ย? 

“การรู้ว่าบ้านเรามีอะไรดี  เราจะพูดได้อย่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เรามี ตอนนี้ผมกล้าพูดกับเพื่อนทุกคนได้อย่างภาคภูมิใจเลยว่า ‘ลองมาเที่ยวบ้านเราสิ รับรองจะติดใจ ไม่อยากกลับบ้านเลย’” ฮาริส-นัฐวุฒิ หนูปอง แกนนำรุ่นแรกเล่าที่มาของแรงบันดาลใจที่อยากทำโครงการ

ฟิส-ซุบฮี ด่านเท่ง

มีของดีต้องรักษา

ฮาริส-นัฐวุฒิ หนูปอง, ฟิส- ซุบฮี ด่านเท่ง, อาสอด-อาสอด ด่านเท่ง, ฟิต-กฤตพล รองสวัสดิ์ บ๊ะ-อิสรา ขุนจันทร์, มุ-มุซีรา อุรามา และ ฮัสฟา บิลหมาน เยาวชนในโครงการเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ตัดสินใจทำโครงการศึกษาน้ำตกสายใจเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนบ้านเขาไคร ว่า…

ก็เพราะอยากให้น้ำตกสายใจ  ซึ่งเป็นแหล่งรวมของคนในชุมชนกลับมามีความสวยงามรื่นรมย์อีกครั้ง

“น้ำตกสายใจเป็นเหมือนแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน  นักท่องเที่ยวหรือคนนอกชุมชนรู้จักชุมชนของเราก็เพราะน้ำตกสายใจนี่แหละ  ปัจจุบันป่าต้นน้ำและสภาพแวดล้อมของน้ำตกสายใจมีปัญหาน้ำน้อยในฤดูแล้ง และมีขยะ ส่งผลให้สัตว์น้ำลดน้อยลง น้ำเริ่มไม่สะอาด ส่วนหนึ่งอาจเพราะนักท่องเที่ยวและคนในชุมชนไม่ให้ความสนใจที่จะดูแลรักษาสภาพแวดล้อมของน้ำตกมากนัก  หากปล่อยทิ้งโดยไม่แก้ปัญหามันก็จะเกิดผลเสียกับคนที่ใช้ประโยชน์จากน้ำ แล้วเราจะนิ่งดูดายได้อย่างไร?” ฮาริส เล่าถึงสถานการณ์ของน้ำตก

“คนที่นี่ผูกพันกับน้ำตกมานาน  พอเสร็จจากงานก็จะมาเล่นน้ำ ยิ่งช่วงหน้าร้อน ไม่รู้จะไปไหนก็มาที่นี่ มานั่งคุยกัน มาพักผ่อน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่คนรุ่นแรกๆ ของหมู่บ้านเลย แต่ช่วงหลัง รอบๆ น้ำตกเริ่มมีขยะ ไม่สวยงาม  และไม่มีจุดให้คนที่มาเที่ยวได้เล่นน้ำ ” ฟิสอธิบายเพิ่มเติม

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาอยากร่วมกันทำคือ พัฒนาพื้นที่รอบ ๆ น้ำตกสายใจ ปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม ทำจุดเล่นน้ำ เพื่อที่ว่าเมื่อนักท่องเที่ยวมาสามารถเล่นน้ำตามจุดที่กำหนดใว้ได้ 

แต่ก่อนที่พวกเขาจะลงมือปรับภูมิทัศน์และทำจุดเล่นน้ำ จากการเรียนรู้กับโครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล พวกเขาพบว่าสิ่งที่ทีมงานควรจะรู้ก่อน คือข้อมูลของน้ำตกสายใจให้ดีก่อน

ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจสำรวจคุณภาพน้ำบริเวณน้ำตก ด้วยการวัดค่า PH เนื่องจากคนในชุมชนใช้น้ำจากน้ำตกในการอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบสภาพดิน ตั้งแต่ต้นทางน้ำไปจนถึงปลายน้ำ สำรวจพันธุ์ไม้ต้นไม้เพื่อดูว่ามีต้นไม้ชนิดไหนมากที่สุด มีสัตว์ชนิดไหนบ้างที่อาศัยในน้ำตก และสำรวจอาณาเขตของน้ำตกมีขนาดเท่าไหร่ 

“ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าต้องมีการเก็บข้อมูลด้วย คิดแค่ว่าได้งบประมาณมาเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์” กระนั้น แม้พวกเขาจะไม่มีความถนัดเรื่องการเก็บข้อมูลในพื้นที่ แต่ ‘ชมรมกีฬาและการอนุรักษ์บ้านเขาไคร’ ก็สามารถพาทีมเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน  อาสอดเล่าความเข้าใจครั้งแรกเมื่อรับรู้ว่าจะได้ทำโครงการ

“ตอนแรกเราหาข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ  เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะเข้าถึงข้อมูลนั้นให้เยอะกว่านี้ จนต้องไปถามด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลา 2-3 วัน ต้องไปนั่งรอจนกว่าเค้าจะอยู่ให้เราเก็บข้อมูล  คนที่ให้ข้อมูลเขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเด็กในชุมชนจะทำอะไรแบบนี้จริงจึงรึเปล่า ซึ่งยิ่งพอได้ข้อมูลก็ยิ่งทำให้ผมอยากทำความรู้จักชุมชนให้มากกว่านี้” ฮาริส เล่ากระบวนการเก็บข้อมูล

จากการเก็บข้อมูลทำให้รู้ว่า ‘น้ำตกสายใจ’ แห่งนี้ มีชื่อมาจากสายใยของคนในหมู่บ้านเขาไครที่ใช้น้ำตกแห่งนี้เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจ เป็นสายน้ำที่เสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนในหมู่บ้านทั้งหมด ส่วนความรู้เรื่องต้นไม้และสัตว์ป่านั้น บ๊ะเล่าว่า  

“คนในหมู่บ้านบอกว่าแต่ก่อนต้นไม้ในพื้นที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีคนบุกรุกตัดไม้บ้าง แต่คนเฒ่าคนแก่ก็ช่วยกันปกป้องรักษา เพราะรู้ว่าการตัดไม้จะทำลายระบบนิเวศและต้นน้ำได้ ต้นไม้บริเวณน้ำตกส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ ส่วนชื่อต้นไม้บางต้นนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น ต้นไม้แดง ต้นขานาง ต้นเต้า ด้านล่างลงไปก็จะมีต้นเขารัก ซึ่งเป็นชื่อที่คนแก่เรียกกัน บางต้นก็ชวนเขามาดูเลยว่าเป็นต้นอะไร ส่วนสัตว์เห็นแต่ลิง บางทีลงมาเป็น 100 ตัว แต่นานๆ ทีจะมีลงมา”  

นอกจากข้อมูล และความรู้เรื่องป่า น้ำตก และสัตว์ป่า การลงพื้นที่พูดคุยกับคนในชุมชนทำให้ทีมงานเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองและชุมชน ก่อให้เกิดสำนึกรักและผูกพันกับบ้านเกิดของตนเองมากขึ้น

“ทั้งที่นามสกุลของตัวเองมีคนใช้อยู่ทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เคยรู้ถึงประวัตินามสกุลตัวเองเลย รู้แต่ว่าเป็นพี่น้องกันกับบางบ้านเท่านั้น แต่พอได้รู้ความเป็นมา ก็ดีใจที่นามสกุลเราเป็นนามสกุลแรกที่คนเฒ่าคนแก่ให้มา ทำให้รักหมู่บ้านนี้ อยากปกป้อง เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเราได้มาบุกเบิก รู้สึกผูกพันเป็นครอบครัวกับคนในชุมชนมากขึ้น นั่งเรียนกับเพื่อนห้องเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน ก็รู้สึกว่าเป็นพี่น้องจากตระกูลเดียวกันนะ ยายเดียวกัน ทวดเดียวกัน แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ลดลงมาไม่ค่อยทะเลาะกันแล้ว”

ฟิสบอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสืบค้นข้อมูลชุมชน

รวมพลังพิสูจน์ความมุ่งมั่น

แม้การลงพื้นที่เก็บข้อมูลจะทำให้กลุ่มเยาวชนรู้ที่มาของน้ำตก เข้าใจระบบนิเวศของป่าที่อยู่เหนือน้ำตก ทั้งยังรู้วิธีการที่จะปรับปรุงทัศนียภาพของน้ำตกต้องทำอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลา “นำเสนอโครงการ” ต่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อรับฟังความเห็นก่อนดำเนินโครงการ ทำให้พวกเขาได้พบกับประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง

“ถูกคอมเมนต์เยอะเลยครับ เขาแนะนำให้พวกเราทำเรื่องเกี่ยวกับประปาภูเขา แต่เราไม่อยากทำ  เพราะว่ามันใหญ่เกินตัวที่พวกผมจะทำ อีกอย่างคืองานนั้นมีผู้รับผิดชอบหลักอยู่แล้ว” อาสอดกล่าว

ในขณะที่ฟิสบอกว่า “เฟลมาก ไม่กล้าพูด ยืนก้มหน้ารับอย่างเดียว ตอนนั้นเริ่มท้อ บางคนกลับมาร้องไห้เลย  แต่ก็ยังไม่อยากเลิก กลับมาเล่ากับคนที่ไม่ได้ไปนำเสนอว่าทีมไปเจออะไรมา ก็ได้แต่นั่งปลอบใจกัน แล้วก็ปล่อยให้เวลาเยียวยาความเสียใจที่เกิดขึ้น”

การ ‘รับฟัง’ ผู้อื่นที่มี ‘ความเห็นต่าง’ เพื่อมาสอบทานกับสิ่งที่ตนเองคิด ประกอบกับความกลัว ตื่นเต้น ที่ต้องนำเสนอโครงการต่อหน้าผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่ผ่านไปได้ไม่ง่าย  ชวนทำให้อยาก ‘ล้มเลิก’ เอาดื้อๆ

แต่ก็ตั้งหลักได้เพราะทีมโค้ชจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูลสังเกตเห็นถึงอาการซวนเซของน้องๆ จึงไปชวนคุยปลุกพลัง ให้ย้อนนึกถึงความตั้งใจเดิม และข้อมูลสถานการณ์และบริบทของน้ำตกที่ทีมงานมีข้อมูล และใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจไปต่อ

เมื่อตั้งหลักได้ ทุกคนก็เอาแผนการดำเนินงานออกมาดู พบว่าถึงช่วงเวลาการจัดกิจกรรมค่ายเพื่อสร้างฝายทำจุดสำหรับเล่นน้ำ 

“เราจัดกิจกรรมค่าย 2 วัน วันแรกเป็นกิจกรรมสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรม มีฐาน 5 ฐาน แต่ละฐานสอดแทรกความรู้ต่างกัน คือประวัติน้ำตกสายใจ, คุณค่าของฝาย, พันธุ์พืช, ขยะ และฐานสุดท้ายคือ ความสำคัญของน้ำ 

“เพราะเราอยากสอดแทรกสิ่งที่ได้รู้มาลงไปในกิจกรรมด้วย จึงวางผู้ดูแลฐานไว้ฐานละ 2 คน เพื่อคอยเล่าความเป็นมาของน้ำตก เช่น ฐานประวัติน้ำตกสายใจก็จะมีคนคอยเล่าว่าทำไมถึงเรียกด้วยชื่อนี้ เพราะคิดว่าน้องรุ่นหลังๆ อาจะจะไม่รู้  ส่วนฐานขยะ ก็สอนว่ามีวิธีการจัดการกับขยะว่าต้องทำยังไง ฐานน้ำจะเล่าถึงความสำคัญของน้ำ ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่เราเก็บตัวอย่างมา คุณภาพน้ำเป็นอย่างไร” บ๊ะอธิบายวิธีจัดการเรียนรู้ในค่าย

การ ‘รับฟัง’ ผู้อื่นที่มี ‘ความเห็นต่าง’ เพื่อมาสอบทานกับสิ่งที่ตนเองคิด ประกอบกับความกลัว ตื่นเต้น ที่ต้องนำเสนอโครงการต่อหน้าผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่ผ่านไปได้ไม่ง่าย  ชวนทำให้อยาก ‘ล้มเลิก’ เอาดื้อๆ

แต่ก็ตั้งหลักได้เพราะทีมโค้ชจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูลสังเกตเห็นถึงอาการซวนเซของน้องๆ จึงไปชวนคุยปลุกพลัง ให้ย้อนนึกถึงความตั้งใจเดิม และข้อมูลสถานการณ์และบริบทของน้ำตกที่ทีมงานมีข้อมูล และใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจไปต่อ

เมื่อตั้งหลักได้ ทุกคนก็เอาแผนการดำเนินงานออกมาดู พบว่าถึงช่วงเวลาการจัดกิจกรรมค่ายเพื่อสร้างฝายทำจุดสำหรับเล่นน้ำ 

“เราจัดกิจกรรมค่าย 2 วัน วันแรกเป็นกิจกรรมสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรม มีฐาน 5 ฐาน แต่ละฐานสอดแทรกความรู้ต่างกัน คือประวัติน้ำตกสายใจ, คุณค่าของฝาย, พันธุ์พืช, ขยะ และฐานสุดท้ายคือ ความสำคัญของน้ำ 

“เพราะเราอยากสอดแทรกสิ่งที่ได้รู้มาลงไปในกิจกรรมด้วย จึงวางผู้ดูแลฐานไว้ฐานละ 2 คน เพื่อคอยเล่าความเป็นมาของน้ำตก เช่น ฐานประวัติน้ำตกสายใจก็จะมีคนคอยเล่าว่าทำไมถึงเรียกด้วยชื่อนี้ เพราะคิดว่าน้องรุ่นหลังๆ อาจะจะไม่รู้  ส่วนฐานขยะ ก็สอนว่ามีวิธีการจัดการกับขยะว่าต้องทำยังไง ฐานน้ำจะเล่าถึงความสำคัญของน้ำ ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่เราเก็บตัวอย่างมา คุณภาพน้ำเป็นอย่างไร” บ๊ะอธิบายวิธีจัดการเรียนรู้ในค่าย

กิจกรรมค่ายมีเยาวชนในพื้นที่มาร่วมงานถึง 29 คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 30 คน ซึ่งการจัดกิจกรรมแม้จะมีปัญหาเรื่องการคุมเด็กเล็กและเรื่องเวลาบ้าง แต่หลายอย่างก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างสนุกสนานและเรียกร้องอยากให้มีกิจกรรมเช่นนี้อีก ผลตอบรับที่ดีเช่นนี้ยิ่งทำให้มีแรงขับเคลื่อนจาก ‘ความเป็นทีม การเปิดใจ และความกลัวผิดพลาด’

“สำหรับการทำงานและการจัดกิจกรรมครั้งแรกของทุกคน คิดว่าได้ผลดีเกินคาด ดีกว่าที่คิดไว้เลย ทุกคนแบ่งหน้าที่กันคนละอย่าง เช่น วางกฎกติกาคือ ห้ามนำรถมอเตอร์ไซค์มา แต่ให้ผู้ปกครองมาส่งแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการออกนอกพื้นที่ในช่วงค่ำ แบ่งทีมสำรวจพื้นที่เพื่อที่ใช้จัดกิจกรรมฐาน ฝ่ายประสาน ฝ่ายประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เยาวชนมาร่วมกิจกรรม เป็นต้น แม้จะวางแผนให้แต่ละคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ แต่พอวันทำค่ายจริงๆ ทุกคนคอยช่วยกันหมด พอตรงนี้ติดขัดอีกคนหนึ่งก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยทันทีโดยที่ไม่ต้องบอก เพราะคอยมองกัน คอยสังเกตกันอยู่ตลอดเวลา อีกส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะเรากลัวว่าจะงานออกมาไม่ดี เลยพยายามทำกับมันเต็มที่ สำคัญที่สุดคือการเปิดใจคุยกันทุกอย่าง คุยกันแบบพี่น้อง คุยกันแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวเพื่อให้สนิทกันมากที่สุด ซึ่งเรามองว่ามันสำคัญสำหรับการทำงานเป็นทีมมาก ทำให้ทีมรักกัน” บ๊ะเล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ

หลังจากกิจกรรมค่ายเยาวชน ความผูกพันระหว่างพี่น้อง ทำให้พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อมา เช่น ปลูกต้นไม้ ติดป้ายชื่อ รวมถึงการจัดการขยะ เป็นต้น

“วันจัดค่ายเวลาไม่พอ เลยนัดกับน้องๆ มาช่วยกันปลูกต้นไม้ที่ยังปลูกไม่หมด ติดป้ายชื่อต้นไม้ที่น้องเขาทำเอง แล้วก็มีเก็บขยะ หาจุดวางถังขยะ อีกเรื่องที่ตั้งใจคุยกันแล้วอยากทำคือ การแยกขยะ ถ้ามีกระป๋องก็รวมกระป๋องไปขาย จะได้เงินเข้ามาเป็นกองกลางด้วย ส่วนฝายให้คนมาเล่นน้ำ ตอนนี้ทำเสร็จแล้วจุดหนึ่ง เหลืออีกจุดหนึ่งจะรอนัดกันมาช่วยทำต่อ” ฟิสเล่าการทำงาน

ก้าวแรก และก้าวต่อ ๆ ไป

อาการ ‘เฟล’ จากการถูกคอมเมนต์ทำให้ทีมยอมรับว่า งานที่วางแผนไว้สะดุดเล็กน้อย แต่พวกเขามั่นใจว่าโครงการที่ทำเป็นการสร้างโอกาสให้พวกเขาและน้องคนอื่นๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานนอกห้องเรียน และยังมีส่วนในการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เยาวชน ได้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการบ่มเพาะให้เด็กๆ กล้าลุกขึ้นมาเรียนรู้ ลงมือทำ และมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชุมชนของตนเองให้ดีขึ้น

บ๊ะบอกว่า การเข้าร่วมโครงการทำให้เธอรู้สึกหวงแหนน้ำตกสายใจมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยสนใจแม้เธอจะใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคอยู่ตลอด และที่สำคัญคือได้พัฒนาตนเองทั้งในเรื่องของการทำงาน การใช้ความคิด ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยเรียนรู้การเขียนโครงการ ถึงจะอยู่ ม.6 แล้วก็ยังเขียนโครงการไม่เป็น แต่พอได้มาทำ ได้มาอยู่ในกลุ่ม เมื่อได้ฝึก ก็ทำได้

อาสอดเล่าว่า ทุกวันนี้กล้าแสดงออก กล้าพูดมากขึ้น จากเมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยกล้าพูด ตอนไปเสนอโครงการ กังวลว่าออกไปถือไมค์จะพูดได้มั้ย เพราะไม่มั่นใจ พอผ่านมาแล้วก็ถือว่าโอเคขึ้น เราคิดไปเองว่าเราทำไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมด้วย ปลูกฝังให้มีความกระตือรือร้นสูงขึ้น และมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย

การสำรวจ ศึกษา เพื่อฟื้นนิเวศ ‘น้ำตกสายใจ’ แห่งนี้ ถือเป็นเพียงก้าวแรกของเยาวชนบ้านเขาไคร ซึ่งก้าวต่อไปพวกเขาฝันว่า ‘น้ำตกสายใจ’ จะกลายเป็น ‘แหล่งท่องเที่ยวที่ถูกใจ’ ของใครหลายคน

สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น สะท้อนถึงความเข้มแข็งของชุมชนได้ และนั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึง ‘พลังของเยาวชน’ ในพื้นที่ด้วย

Tags:

สตูลวัยรุ่นactive citizenproject based learningสิ่งแวดล้อม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • EF (executive function)
    ACTIVE CITIZEN: สร้าง EF เปลี่ยนสมองวัยรุ่นด้วยการเรียนรู้นอกห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Character buildingCreative learning
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?
Healing the trauma
25 April 2019

ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ‘ปม ความขัดแย้ง หรือบาดแผล (trauma)’ ที่ส่งผลรุนแรงและยาวนานมาจากหลายสาเหตุ ยิ่งเกิดเมื่ออายุน้อยเท่าไรก็ยิ่งเป็นบาดแผลที่เราไม่ค่อยรู้ตัว แต่อันที่จริงบาดแผลเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนโต เพียงแค่สิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเด็กอาจอยู่ลึกจนบางทีเราลืมไป เลยมีผลกับตัวเราเยอะเพราะไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน
  • ทำความเข้าใจ ทบทวนตัวเอง ปลดล็อกข้อสงสัย กับ หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เรื่องปมอดีตฝังลึกที่เราอาจหลงลืมไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่ปมนั้นไม่เคยสูญหาย ยังคอยกำกับแบบแผนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
  • “ไม่มีพ่อแม่ที่เพอร์เฟค 24 ชั่วโมง ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนมันก็ต้องมีจุดสร้างความขัดแย้ง เกิดปมบางอย่างได้อยู่ดี ถ้ารู้ตัวทันว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันเป็นปัญหาของเรา เราจัดการตัวเองก่อน แต่ถ้าเผลอไปทำอะไรที่รุนแรง ลูกเสียใจ สิ่งที่เราทำได้คือ ก็เสียใจไปกับเค้าด้วย พ่อแม่ก็ขอโทษลูกได้”

อาจเคยได้ยินหลายคนวิเคราะห์ หรืออันที่จริงเราต่างก็เคยทบทวนด้วยตัวเองและรู้อยู่เต็มใจว่า พฤติกรรมที่เราแสดงออก เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติต่อบางสิ่ง มาจากความต้องการลึกๆ ในจิตใจ เกิดขึ้นจากร่องรอยของเหตุการณ์วัยเด็ก ถ้าจำได้ก็ได้ตั้งต้นเข้าใจความต้องการของตัวเอง ถ้าจำไม่ได้ หลายครั้งทำให้เกิดความทุกข์ – เอ๊ะ… เรื่องแค่นี้ทำไมมีอิทธิพลกับเราจัง คนอื่นไม่เห็นรู้สึกแบบเดียวกันเราเลย?

“ส่วนใหญ่เราพบว่า ปม ความขัดแย้ง หรือบาดแผล (trauma) มักเกิดขึ้นจากครอบครัว ยิ่งเกิดตอนเราอายุน้อยเท่าไรก็มักเป็นบาดแผลที่เราไม่ค่อยรู้ตัวและอาจส่งผลกับเราตั้งแต่เด็ก แต่ปมไม่ได้เกิดขึ้นจากครอบครัวเสมอไป ปมอาจเกิดจากที่โรงเรียน กับเพื่อน กับครู หรือกับผู้ใหญ่ จริงๆ trauma ยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งเราโตแล้ว แต่สิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเด็กมันอาจอยู่ลึกเข้าไปจนบางทีเราลืมไปแล้ว เลยมีผลกับตัวเราเยอะเพราะเราไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน”

คือคำอธิบายของ พญ.วินิทรา แก้วพิลา (หมอโบว์) จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และอาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ต่อประเด็นเรื่อง trauma หรือ บาดแผลฝังใจ ที่มีผลทางจิตวิทยา และคอยกำกับแบบแผนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน

คุณหมอยังอธิบายต่อไปว่า นอกจาก trauma  ซึ่งเกิดจากบาดแผลหรือเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจที่รุนแรงแล้ว การกระทบกระเทือนทางใจจากเหตุที่อาจเล็กลงมาเช่น ปม หรือ ความขัดแย้ง (conflict) ในอดีตอื่นๆ ก็อาจส่งผลต่อการสร้างแบบแผน วิธีแก้ปัญหา บุคลิกภาพของเราได้เช่นกัน

ตลอดเดือน มีนาคม ถึง พฤษภาคม The Potential ตั้งใจทำงานประเด็น Family Psychology หรือ จิตวิทยาครอบครัว หนึ่งในเนื้อหาที่อยากพูดถึงคือ ปม และ บาดแผลในวัยเด็กนั้น  อาจมีเหตุมาจากพ่อแม่ หรือแม้กระทั่ง เป็นปมของพ่อแม่ ที่เกิดจากปู่ย่าตายาย และยังผลส่งต่อแบบแผนเหล่านั้นไปยังลูกอีกที

ปม (conflict) และ บาดแผลฝังใจ (trauma) คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร มีผลต่อวิธีคิด ความกลัว และบุคลิกภาพภายในของเราอย่างไร  ทำอย่างไรเราจึงจะรู้จัก เข้าใจ และอยู่กับมันได้อย่างไม่เป็นปัญหา ทั้งอธิบายวิธีตัดตอน และฟื้นคืนสภาวะความเจ็บปวดนั้น เสร็จสรรพในบทความเดียว

ถ้าไม่ใช่กลุ่มโรค เช่น ออทิสติก สมาธิสั้น เคสที่คุณพ่อคุณแม่พาน้องๆ มาพบคุณหมอ มักเป็นเคสแบบไหน

ที่เจอเยอะ จะเป็นปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ ความก้าวร้าว หรือเป็นปัญหาด้านการเรียน แต่หลังจากที่ประเมินแล้วอาจจะพบปัญหาอื่น เช่น ความขัดแย้งในครอบครัว ความคาดหวังของพ่อแม่กับลูกที่ตอบสนองได้ไม่ตรงกัน

พูดได้ไหมว่าเด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์และไม่ใช่กลุ่มโรค มีปัญหาจากความสัมพันธ์ทางบ้านเป็นหลัก ถ้าไม่ใช่ ปัญหาทางจิตเวชมีสาเหตุจากอะไรบ้าง

ปัญหาทางจิตเวชมักจะเจอร่วมกันหลายปัจจัย ต้องอธิบายก่อนว่าปัญหาทางจิตเวชส่วนใหญ่ จะเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยทางกายภาพ (Biological), ปัจจัยทางจิตใจ (Psychology) และ ปัจจัยทางสังคม (sociology)  

ปัจจัยทางกายภาพ (Biological) เป็นปัจจัยภายใน เช่น การทำงานของสมอง พันธุกรรม และอื่นๆ เช่น พื้นอารมณ์ (temperament) ของเด็กแต่ละคนต่างกัน เด็กบางคนอาจจะปรับตัวง่าย ไม่ค่อยเกิดอารมณ์ทางด้านลบง่ายๆ  แต่บางคนปรับตัวยากและเซนส์ซิทีฟต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ แม้ว่าจะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน พื้นอารมณ์อาจจะคนละเรื่องกันเลยก็ได้ คือเค้าเกิดมามีแบบแผนพื้นอารมณ์แบบนั้นเลยโดยที่ไม่ขึ้นกับว่าพ่อแม่เลี้ยงเค้ายังไง ต่อมาคือปัจจัยทางจิตใจ (Psychological) ซึ่งอาจเป็น สติปัญญา วิธีคิด วิธีการปรับตัว สุดท้าย ปัจจัยทางสังคม (Sociology) ตรงนี้แบบแผนการเลี้ยงดูของพ่อแม่ โรงเรียน เพื่อน สังคม มีส่วนทำให้เด็กโตขึ้นมาและสร้างแบบแผนการเอาตัวรอดในชีวิต หรือ อาจจะสร้างปมหรือทำให้เกิดปัญหาขึ้นก็ได้   

เราพบว่า ปม ความขัดแย้ง หรือบาดแผล (trauma) ที่ส่งผลรุนแรงและยาวนาน มักเกิดขึ้นจากครอบครัว ยิ่งเกิดตอนเราอายุน้อยเท่าไร ก็มักเป็นบาดแผลที่เราไม่ค่อยรู้ตัวและอาจส่งผลกับเราตั้งแต่เด็ก

แต่ปมไม่ได้เกิดขึ้นจากครอบครัวเสมอไป ปมอาจเกิดจากที่โรงเรียน กับเพื่อน กับครู หรือกับผู้ใหญ่ จริงๆ trauma ยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งเราโตแล้ว แต่สิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเด็กมันอาจอยู่ลึก เข้าไปจนบางทีเราลืมไปแล้ว มันเลยมีผลกับตัวเราเยอะเพราะเราไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน

พอถึงตรงนี้ก็อยากจะเสริมว่า ไม่อยากให้รู้สึกกังวลหรือกลัวจนเกินไป จนต้องคอยไปตรวจหาว่าเรามีปมไหม จะเป็นอะไรไหม เป็นพ่อแม่จะต้องเลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้มีปมเลย จริงๆ แล้วการมีปม หรือ ที่เราต่างคนต่างมีแบบแผนการเอาตัวรอดต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้ ไม่ได้แปลว่าถ้าเรามีปมแล้วพ่อแม่เราเลวร้ายหรือเป็นคนไม่ดี กลับกัน, ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ที่ดีต้องเลี้ยงลูกให้ไม่มีปมอะไรเลย พ่อแม่เรา หรือ ตัวเราเองยังไงก็ต้องมีความผิดพลาดได้บ้าง เพราะเราก็ยังเป็นคนธรรมดา และถึงแม้พ่อแม่จะทำเต็มที่แค่ไหน หลายครั้งในความเป็นเด็กก็อาจมีข้อจำกัดในความเข้าใจได้เสมอ  ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนกันครั้งสองครั้ง แต่ที่เหลืออีกร้อยหรืออีกพันครั้ง เราแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดี และมีความหมาย อันนั้นก็จะช่วยให้เด็กๆ เติบโตมาอย่างมีความสุขได้

พอจะยกตัวอย่างการทำงานร่วมกันของปัจจัยทางจิตเวชให้เห็นภาพได้ไหมคะ

ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่มาปรึกษาว่าลูกมีปัญหาการเรียน แต่ในปัญหาการเรียนบอกได้หลายอย่างเลย บางคนอาจเป็นเรื่องสมาธิสั้น บางคนมีปัญหาเรื่องการอ่านเขียน เช่น LD (Learning disorder) หรืออาจจะมาจากการเลี้ยงดูก็ได้ เช่น พ่อแม่อาจคาดหวังกับลูกเรื่องเรียน หรือบางทีอาจเป็นเรื่องค่านิยมสังคมไทยที่เน้นทักษะวิชาการมากเป็นพิเศษก็ได้ หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากผลรวมของหลายปัจจัยได้

ประเด็นเรื่อง ปม บาดแผลทางจิตใจ ทับซ้อนกับภาวะอารมณ์โดยธรรมชาติ เส้นแบ่งของภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติ ไปสู่การเกิดปมหรือบาดแผลทางจิตใจมีเส้นแบ่งมั้ย เริ่มพัฒนาจากตรงไหนกัน

เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการทางอารมณ์ต่างกันอยู่แล้ว สมมุติเด็ก 2-3 ขวบ ก้าวร้าว ลงไปดิ้นกับพื้น สิ่งนี้อาจเป็นพฤติกรรมตามพัฒนาการของเค้า เค้ายังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่พ่อแม่จะสอนเด็กเรื่องอารมณ์ว่านี่คืออารมณ์อะไร  เพราะอารมณ์เป็นเรื่องข้างใน เวลาที่อารมณ์เกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ เค้ายังไม่มีชื่อเรียกมัน พ่อแม่อาจสอนได้ว่า “นี่ลูกกำลังโกรธอยู่นะ ลูกโกรธที่แม่ไม่ซื้อของนี้ให้ใช่มั้ย” การเรียนรู้เรื่องอารมณ์คือการรู้ว่าภาวะนี้คืออะไร เกิดอะไรขึ้นกับเรา เกิดเพราะอะไร และเป็นไปตามพัฒนาการ แต่หลังจากเกิดขึ้นแล้วจะจัดการอารมณ์โกรธอย่างไร พ่อแม่ก็จะมีส่วนช่วย

ขณะที่บางครอบครัวมองว่า นี่ก้าวร้าวนะ อาจจะดุ  ควบคุม ตี หรือทำให้ลูกกลัวเพื่อหยุดอารมณ์ ในแง่นี้พ่อแม่อาจเรียนรู้มาจากประสบการณ์การเติบโตของตัวเอง มองว่าความโกรธนี่ไม่ดีนะ แล้วอาจไปจัดการกับลูก ลูกอาจจะหยุด กลัว แต่แอบต่อต้านอยู่ข้างใน ซึ่งแต่ละบ้านมีกระบวนการดูแลอารมณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน จากนั้นมันก็จะส่งผลต่อไป

เช่น ในอนาคตเด็กคนนี้จะมองความโกรธยังไง? อาจมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเค้า เกิดขึ้นได้ หรือบางคนมองว่า ไม่ และปฏิเสธอารมณ์โกรธตรงนี้ไปเลยและอาจแสดงออกมาในรูปแบบอื่น เช่น มีปัญหาทางพฤติกรรมเกิดขึ้น หรือแสดงอารมณ์ก้าวร้าวแบบอื่น

เวลาพูดถึงปม เราควรเริ่มอธิบายจากตรงไหน?

ปมมันกว้างมากเลยเนอะ ถามว่าทุกคนมีปมมั้ย? มีเหมือนกันหมด ปมอาจจะเป็นแค่ความขัดแย้ง (conflict) เล็กๆ ระหว่างทางที่เราโตขึ้นมาแต่ความขัดแย้งนั้นมีผลต่อชีวิตเราก็ได้ ถ้าเป็นปมเล็กๆ น้อยๆ มันอาจไม่ได้เป็นปัญหามาก แต่ปมบางคนอาจใหญ่มากจนเรียกว่า trauma และส่งผลกระทบที่รุนแรงพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เด็กทุกคนที่เกิดมา ยังไงก็มี conflict หรือความขัดแย้งที่เกิดเป็นปมอยู่แล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนตอบสนองลูกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์และได้ตลอด 24 ชั่วโมง และถึงแม้พ่อแม่จะตอบสนองได้เยอะ แต่ในมุมมองของเด็กคนหนึ่ง ซึ่ง ณ วันนั้นเค้าไม่เข้าใจเหตุผลมาก ได้ข้อมูลไม่ครบ เค้าก็ตีความเรื่องราวนั้นจากโลกของเค้าเอง ซึ่งเค้าอาจมองว่าสิ่งที่พ่อแม่ให้มา เค้าไม่ได้รับการตอบสนอง มัน ยังไม่พอ ยังขาดไปก็ได้ อันนี้ถือว่าเป็นปมมั้ย? ก็อาจจะเป็นปมก็ได้ บางทีมันก็มีหลากหลายมาก เราชี้แจงแบ่งประเภทปมได้ยาก แต่ทุกคนมีปมเหมือนกันหมด

เวลาอธิบายปมหรือความขัดแย้งในใจคนอาจอธิบายได้ยากเพราะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเรื่องราวของแต่ละบุคคล แต่เราพอจะอธิบายกระบวนการเกิดขึ้นของปม หรือ ความขัดแย้งของเราได้มั้ย?

ตามทฤษฎีจิตวิทยาที่เป็นกลุ่ม Humanistic หรือ positive psychology จะมองว่าทุกคนเกิดมาอย่างมีคุณสมบัติ (quality) และทรัพยากร (resource) ด้านบวก (positive) อย่างสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ระหว่างทางของการเติบโตอาจต้องเจอกับสิ่งหรือเรื่องราวที่ไม่ตอบสนองในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ สถานการณ์ทางสังคม โรงเรียน เพื่อนหรืออะไรก็ตามแต่ที่ส่งผลกระทบต่อมุมมอง โลกทัศน์ต่อตัวเราเอง ต่อผู้คน และต่อโลกใบนี้ บังเอิญมีบางอย่างมากระทบใจอย่างรุนแรง พอกระทบ เราก็ต้องปรับตัว การปรับตัวก็จะไปสร้างแพทเทิร์นที่เรียกว่า “แผนการเอาตัวรอด”

เช่น เด็กบางคนเกิดแบบแผนการเอาตัวรอดว่า ต้องเป็นเด็กดีนะ ถ้าเป็นเด็กดี คุณแม่จะรัก ต้องเอาใจคุณพ่อคุณแม่นะ ต้องทำตัวให้เป็นที่รักและเป็นที่ต้องการ จึงจะอยู่รอดได้ ในขณะที่เด็กบางคนอาจเกิดโลกทัศน์หรือแบบแผนว่า พ่อแม่พึ่งพาไม่ได้ การจะอยู่รอดได้เราจะต้องไม่พึ่งใคร ต้องดูแลตัวเอง ต้องเข้มแข็ง ต้องไม่เปิดความรู้สึกให้ใคร ต้องไม่ไปแตะอารมณ์พวกนี้  อันนี้เป็นตัวอย่างว่าสองคนนี้ก็จะเป็นบุคลิกภาพที่ต่างกัน มีการใส่ใจและมีปัญหาในชีวิตที่แตกต่างกัน

มันจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมในการเติบโตมาแล้วสรุปหรือการตัดสินใจ (make decision) ในชีวิตว่า ถ้าเราจะเอาตัวรอดในโลกใบนี้ เราควรจะทำตัวอย่างไร เราควรจะมองคนอื่นหรือมองตัวเองอย่างไร พอตัดสินใจแล้วเค้าก็สร้างแบบแผนขึ้นมา สร้างแล้วเค้าก็จะใช้มัน แบบแผนไหนที่ได้ผล เราก็จะใช้แบบแผนนั้น แล้วเราก็จะดูฟีดแบกไปเรื่อยๆ ว่า แบบแผนไหนใช้ได้ผล เมื่อได้ผลเราก็จะใช้ไปเรื่อยๆ แบบแผนนั้นก็ถูกส่งเสริมขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเราใช้แบบแผนไหนเก่ง เราก็จะใช้อันนั้น ทุกคนที่โตมาก็จะมีแพทเทิร์นที่ใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเอง พอเราใช้มันนานๆ มันก็ฟอร์มตัว ยึดติดว่านี่คือตัวตนของเรา แบบแผนของเรา พอเราใช้มันเยอะเกินไป ใช้มันเก่งเกินไป เราก็อาจเจอปัญหาอีกด้านหนึ่ง

เช่น ถ้าเราเชื่อว่าเราต้องเป็นเด็กดี ต้องทำตัวให้เป็นที่รักและเป็นที่ต้องการแล้วยึดกับมันมากเกินไป พอโตขึ้นมาเราก็อาจจะเกิดความกังวลบ่อยๆ กลัวว่าจะทำให้ใครไม่พอใจ หรือทำให้เค้าผิดหวัง จริงๆความรู้สึกแบบนี้ก็เกิดได้กับทุกคน แต่กับบางคนมันอาจจะมากซะจนทำให้เราป่วย หรือ ชีวิตเราย่ำแย่ได้ อาจจะไปได้ถึงขั้นว่า “ ถ้าเค้าไม่รักหรือ ไม่เห็นค่าเรา เราก็อยู่ไม่ได้” มันจะกระเทือนกับคนนั้นมาก ในขณะที่คนบางคน “คนนี้ไม่ชอบชั้นก็ไม่เป็นไร ชั้นไม่แคร์ ชั้นดูแลตัวเอง” แบบนี้ก็ได้ ซึ่งการที่บางคนจะเป็นจะตายกับบางเรื่อง ก็เพราะนั่นคือแบบแผนที่เค้าใช้มาตลอด การจะไปดึงแบบแผนนั้นออก มันก็ยากลำบาก เรายึดกับแบบแผนไหนเยอะ มันก็จะมีเรื่องผลเสียในแบบต่างๆ

แบบแผนที่ว่ามีอะไรบ้าง

การสร้างแบบแผนก็เหมือนการสร้างบุคลิกภาพ (personality) ขึ้นมา ถามว่ามีกี่แบบ? ตอบยาก เพราะมีเยอะและหลายทฤษฎีมาก ถ้าเป็นทฤษฎีจิตบำบัดซาเทียร์ จะพูดถึง coping หรือวิธีการที่เราใช้แก้ปัญหาว่ามี 4 แบบ เช่น วิธีการโทษคนอื่น (Blaming), ยอมตามคนอื่น(Placating), อาจเป็นสายใช้เหตุผล (Super­reasonable) และ สายหนีปัญหา (Irrelevant) คือทำเฉไฉไปเลย หรือ ทฤษฎีบุคลิกภาพอื่น ที่นี่ (ภาคจิตเวชศาสตร์ รพ.รามาธิบดี) จะสนใจนพลักษณ์ (Enneagram) หรือบุคลิกภาพ 9 แบบ* แต่ละคนถูกผลักดัน (drive) ด้วยกิเลสต่างๆ และมี coping หรือวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนกัน บางคนถูกผลักด้วยอารมณ์โกรธเป็นหลัก บางคนเป็นอารมณ์กังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์  บางคนเป็นอารมณ์กลัว แต่ละบุคลิกภาพมีอารมณ์ที่เป็นแรงขับและโลกทัศน์ที่แตกต่างกัน

การรู้เรื่องพวกนี้ช่วยเราอย่างไร

อืม (นิ่งคิด) ถ้าเทียบกับการดูดวง เวลาที่ดูดวงแล้วบอกว่า “อ๊ะ แม่นอะ” ที่เราบอกว่า “แม่น” แปลว่า เราเคยเห็นแพทเทิร์นแบบนี้ของตัวเอง ปกติแล้วอาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเราเป็นคนแบบไหน แต่การเรียนรู้เรื่องพวกนี้คล้ายเป็นแผนที่ให้รู้ว่ามันมีแบบแผนไหนบ้างและให้เราเทียบว่าเราคล้ายแบบไหนมากกว่ากัน แต่การอ่านแผนที่เล่นๆ ที่บ้านก็คงไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าการถือแผนที่ลงไปเดินในพื้นที่จริง การลงไปเดินจริง… สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งคือการสังเกตตัวเอง (self awareness) การสังเกตตัวเองในปัจจุบันขณะ หรือแม้แต่การสะท้อนตัวเองย้อนหลังจากเหตุการณ์ต่างๆ จะเป็นเครื่องมือให้เรากลับมามองตัวเองชัดขึ้น ช่วยสะท้อนการใช้ชีวิตเราได้ว่าเรามีชีวิตแบบไหน เราตัดสินใจแบบนี้เพราะอะไร อะไรผลักดันเรา

ถ้ารู้แล้วว่าที่เราใช้แบบแผนนี้ ตัดสินใจแบบนี้เพราะประสบการณ์ในอดีตผลักดันเรา เราจะแก้ความกลัว ปัญหาในจิตใจเราได้มั้ย?

ได้นะ บางทีเราไม่รู้นะว่าเราทุกข์เพราะอะไร พ่อแม่บางคนทุกข์มาก ทำไมลูกเราสอบตกหลายวิชามากเลย เค้าก็พยายามบอกให้ลูกอ่านหนังสือ ให้ทำนู่นทำนี่เพื่อให้ลูกได้คะแนนดีขึ้น แต่พ่อแม่ก็เครียดมากและยังกังวลไปถึงอนาคตของลูก แต่ถ้าพ่อแม่ได้ย้อนกลับมาดูว่า เอ๊ะ… ที่เผลอตวาดลูกเพราะความโกรธ จริงๆ แล้วเพราะกลัวใช่มั้ยว่าอนาคตลูกจะแย่ กลายเป็นว่าสิ่งนี้ทำให้เค้ารู้ที่มาที่ไปว่าทำไมถึงต้องโกรธขนาดนั้น “อ๋อ… เพราะว่ากลัวนี่นา”

จะเห็นว่าความกลัวเป็นของเรา(พ่อแม่) เป็นสัมภาระเก่าของพ่อแม่ หลายครั้งเราต้องการให้ลูกมาขจัดความกลัวของเรา เช่น ถ้าลูกเรียนดี ก็เป็นหลักประกันว่าในอนาคตลูกน่าจะสบาย ถ้าลูกมีอนาคตที่ดี เราก็จะสบายใจ ความกลัวก็จะหายไป

แทนที่พ่อแม่จะเอาพลังงานไปปรับลูกเยอะแยะมากมาย ก็ให้กลับมาสำรวจที่ตัวเองว่า จริงๆ แล้ว เรากลัวอะไร เรากังวลเกินไปรึเปล่า? บางครั้งเรากังวลอนาคตมากเกินไป แปลว่าเรากำลังใส่ใจลูกในอนาคตมากกว่าลูกคนปัจจุบัน? หลายครั้งลูกในปัจจุบันก็ทุกข์มากเลยนะ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมรับสิ่งที่เค้าเป็น ยังทำไม่ได้ ผลการเรียนไม่ดี ยังไม่รับผิดชอบ ยังดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ห่วงลูกในอนาคตเลยกดดันลูกคนปัจจุบันเพื่อที่ลูกในอนาคตจะได้มีความสุข ตรงนี้คงต้องทบทวนว่าแล้วลูกในปัจจุบันล่ะ? ทำยังไงที่จะอยู่กับลูกในปัจจุบันอย่างมีความสุข ถ้าลูกในปัจจุบันมีความสุขและเราก็เชื่อมั่นในศักยภาพเค้า ค่อยๆ ดูแลกัน ในอนาคตเค้าน่าจะเอาตัวรอดได้ในแบบหนึ่ง ในแบบหนึ่งนะ (ย้ำ) อาจจะไม่ใช่ในแบบที่พ่อแม่คาดหวัง

คุณหมอเคยกล่าวว่า การบำบัดของคุณหมอไม่ใช่การบำบัดแค่น้องๆ แต่บำบัดพ่อแม่ด้วย

ส่วนหนึ่งค่ะ พ่อแม่พาเด็กมารักษาเพราะปัญหาอย่างหนึ่ง แต่บางทีปัญหานั้นอาจไม่ได้อยู่ที่เด็กแต่เป็นความคาดหวังของพ่อแม่ บางครั้งก็ต้องบำบัดพ่อแม่เกี่ยวกับความกลัวและความคาดหวัง จริงๆ ความคาดหวังไม่ได้เป็นปัญหาหรอก เพราะปกติพ่อแม่ก็ต้องคาดหวังสิ่งดีๆให้ลูกเป็นธรรมดา แต่สิ่งสำคัญคือต้องระวังและใส่ใจเรื่องการแสดงออกของความคาดหวังรวมถึงการแสดงออกความผิดหวัง  

จริงๆ แล้วเด็กเซนส์ซิทีฟมากนะ บางทีเค้าอาจจะยังพูดหรือสื่อสารด้วยภาษาไม่ชัดเจน แต่เค้ารับอารมณ์ สีหน้า พลังงาน แววตา ของคนรอบข้างได้แม้ไม่มีการสื่อสารกัน เช่น เวลาพ่อแม่โกรธ ผิดหวัง หรือ พ่อแม่ทะเลาะกัน ไม่คุยกันเลย เกิดความตึงเครียดในครอบครัว แม้ไม่ได้ต่อว่ากัน แต่เด็กรับรู้ความเครียดเหล่านี้ได้  

ปัญหาบางอย่างอาจแก้ลำบาก เช่น ในเด็กบางคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทางกายภาพจริงๆ เช่น มีปัญหาทางสติปัญญา จุดนี้ก็ทำให้พ่อแม่ทั้งเป็นห่วง กลัว และคาดหวังด้วย ก็ต้องคุยกับพ่อแม่ให้เค้ายอมรับธรรมชาติ

พูดยากเหมือนกัน?

(พยักหน้า) บางเคสเด็กมีปัญหากับพ่อแม่ เด็กมีปัญหาด้านอารมณ์เนื่องมาจากปัญหาการเลี้ยงดู หลายครั้งพ่อแม่พาเด็กมาหาหมอ คาดหวังให้หมอแก้พฤติกรรมจากในห้องตรวจ ซึ่งเป็นไปได้ยาก หลายครั้งหมอไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเด็กในห้องตรวจได้ เพราะเด็กไม่แสดงปัญหากับหมอแต่เป็นเฉพาะกับพ่อแม่  งานส่วนใหญ่เราเลยต้องช่วยแนะนำพ่อแม่ เกี่ยวกับการสื่อสารและการดูแลอารมณ์ของลูก พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจเด็กและปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่กับลูกของเค้า

จากปม หรือความขัดแย้งระดับเล็ก ไปสู่บาดแผลทางจิตใจ หรือ trauma ได้อย่างไร

trauma เป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมากกว่า หมายถึง การมีเหตุการณ์เข้ามากระทบกระเทือนคนๆ หนึ่งทางกายภาพหรือทางจิตใจแล้วมีผลกระทบหลงเหลือต่อไปในอนาคต อาจทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตหรือทางร่างกายก็ได้ ตัวผลกระทบรุนแรงพอสมควรที่จะทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง ทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ trauma อาจทำให้บางคนรู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธไม่ใส่ใจ ถูกทำให้อับอายขายหน้ามากๆ หรืออะไรที่มันรุนแรงมาก เช่น การถูกทำร้ายทางร่างกายหรือ ทางเพศ

บางครั้งอาจเกิดจากเหตุการณ์เล็กๆ ที่ไต่ระดับเพิ่มความขัดแย้งไปเรื่อยๆ หรือเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่กังวลว่าลูกจะสอบตก “ทำไมผลสอบได้เท่านี้ ทำไมไม่พยายามกว่านี้” จุดนี้เริ่มเป็นความขัดแย้ง ลูกอาจตอบกลับด้วยอารมณ์ก็ได้ ซึ่งก็อาจจะกลายเป็นเริ่มทะเลาะกันรุนแรงจน พ่อแม่อาจจะเผลอพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ เช่น ตัดพ่อตัดลูก หรือไล่ออกจากบ้าน เป็นต้น นี่ก็อาจเกิด trauma ขึ้นได้ถ้าคำพูดนี้ไปกระทบกระเทือนจิตใจ

ความขัดแย้งเกิดกับพ่อแม่ก่อน (เป็นห่วงเรื่องอนาคตของลูก กลัวว่าลูกจะสอบตก) พอแสดงออกไปแบบนั้นก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก พอขัดแย้ง ลูกก็เกิด conflict ในใจและแสดงออกมา ถ้าต่างคนต่างไม่เข้ามาดูแลภายในใจตัวเองมันก็จะเกิดปัญหาที่ใหญ่ขึ้นๆ

จากความขัดแย้ง ไปสู่ trauma นำไปสู่การแสดงออกหรือพฤติกรรมอะไรได้บ้าง?

เป็นได้หลายแบบ เช่น บางคนเป็นกลุ่มเก็บประสบการณ์เข้ามาข้างในก็อาจทำให้ซึมเศร้า บางคนมีพฤติกรรมแสดงออกภายนอก อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ เช่น ขโมยของ หรือ วัยรุ่นบางคนอาจใช้สารเสพติด หรือพฤติกรรมอะไรก็ตามที่เป็นการแสดงออกเพื่อหนีปัญหา ซึ่งมีหลากหลายมาก

ซับซ้อนมากเลยนะคะ เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกเหมือนภูเขาน้ำแข็ง เราไม่รู้ว่ามันเกิดจากปมหรือความกลัวแบบไหนที่อยู่ลึกลงไปใต้ภูเขา

วิธีจัดการ trauma คงต้องย้อนกลับมาที่เรื่องภายใน ทฤษฎีซาเทียร์จะพูดว่า ตัวพฤติกรรมหรืออาการไม่ใช่ปัญหา

เช่น เด็กอยากฆ่าตัวตาย หลายครั้งเราก็ไปวุ่นกับการพยายามหยุดพฤติกรรมอย่างเดียว อันนั้นไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่แท้จริงอยู่ข้างใน อะไรทำให้เค้าอยากฆ่าตัวตายละ? การฆ่าตัวตายเป็นทางออกของการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นทางออกที่ยังไม่ดีนัก ถ้าเรามัวแต่ไปจัดการหรือวุ่นวายกับการจัดการพฤติกรรม สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ปมหรือ trauma ข้างใน

แง่หนึ่ง ปมสร้างปัญหา เป็นเหตุผลให้เรามีพฤติกรรมเชิงลบ ขณะที่อีกด้าน ปมเป็นเชื้อเพลิงในการพัฒนาตัวเอง

เบื้องต้น เวลาเราจะทำความเข้าใจคุณลักษณะในคน มันไม่มีคุณลักษณะไหนที่ดีหรือแย่ เช่น เรามีไฟ ไฟมีพลังในตัวเอง เราจะมองว่าไฟดีหรือแย่ก็บอกได้ยาก เราอาจใช้ไฟทำอาหาร ให้ความร้อน ให้ความอบอุ่น แง่นี้ไฟมีประโยชน์ แต่ถ้าร้อนไป ไฟก็อาจทำอันตรายผู้อื่นได้ มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้คุณสมบัตินั้นในทางไหน ไฟก็เหมือนกับแบบแผนที่เราหรือเด็กแต่ละคนใช้เพื่อเอาตัวรอด ถ้าเราใช้มันในทางที่ดีมันก็พาเรารอดมาได้ถึงทุกวันนี้ แต่ถ้าใช้มันมากเกินไป มันก็เกิดปัญหา

ทฤษฎีจิตวิทยาสายคาร์ล ยุง (Carl Gustav Jung) อธิบายว่าเวลาที่เราเติบโตขึ้นมา เราสร้างแบบแผนบางอย่างขึ้น มันจะมีแบบแผนที่เรายึดถือ เราชอบมัน เรายอมรับว่านี่คือตัวตนของเรา และเราก็ทิ้งแบบแผนบางอย่างที่เราบอกว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราวางมัน เราเอามันไปไว้ที่อื่น ที่เป็นแบบนี้ เช่น เพราะเราเติบโตในครอบครัวที่ไม่โอเคกับความโกรธ ฉะนั้น ทุกครั้งที่แม่เกิด conflict กับลูก ลูกก็ต้องทำตามแม่อย่างเดียวเลย บ้านนี้ไม่มีใครแสดงอารมณ์โกรธเพราะมองว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี แล้วเค้าก็สร้างแบบแผนเป็นคนเอาใจคนอื่น พอเค้าโตขึ้นมา แบบแผน “เอาใจคนอื่น” จะเป็นแบบแผนที่เค้ายึดถือ ส่วนสิ่งที่เค้าทิ้งไปคือตัวตนที่มีพลังความโกรธ ตัวตนแห่งการยืนยันสิทธิ์ ตัวตนมีความแรง ตัวตนนี้เค้าไม่เอา

แต่ธรรมชาติของคนเราต้องมีหลายๆ อย่าง เพราะเราต้องเจอคนดี/ไม่ดี เจอเหตุการณ์ที่เอาใจต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ต้องมีอารมณ์อีกด้านเกิดขึ้นเหมือนเป็นเงาเสมอ ทีนี้เวลาที่เค้าเกิดความโกรธหรือความก้าวร้าวขึ้น เค้าไม่ยอมรับ เค้าจะยอมรับตัวตนอีกด้านได้ยาก มันก็เลยทำให้เกิดเป็น conflict ในตัวเอง และไม่รู้ว่าเราจะจัดการยังไง เพราะ conflict ข้างนอกก็ทำให้เกิด conflict ข้างใน

คาร์ล ยุง อยากกระตุ้นการพัฒนาการรับรู้ตัวตนอื่นๆ ที่เราไม่เอา เพราะถ้าเราบอกว่าเรายึดกับความเป็นคนดี เป็นคน nice ชอบตามใจคนอื่น เราจะชอบไปมีปัญหากับคนที่เค้ายืนยันสิทธิ์ คนที่กล้าพูด กล้าขัดแย้ง เราอาจไม่ได้ทะเลาะกับเค้าตรงๆ แต่เราจะไม่ชอบคนเหล่านี้เลย ซึ่งชีวิตของเราอาจจะไปเจอกับพลังงานแบบนี้ที่เราไม่ชอบมากๆ แต่เราทิ้งพาร์ทนี้ไปแล้ว เลยทำให้เราไม่เข้าใจโลกอีกส่วนหนึ่ง และนั่นเป็นสิ่งที่เราขาด เพราะเราไม่ยืนยันพลังของตัวเอง ไม่ยืนยันสิทธิ์ที่มี ไม่ยอมใช้ความก้าวร้าว ซึ่งจริงๆ ความก้าวร้าวมันก็มีประโยชน์ของมันถ้าใช้ให้ถูก

ทฤษฎีคาร์ล ยุง อยากให้เรา integrate ทั้งสองพาร์ท รู้จักใช้พาร์ททั้งสองพาร์ทเข้าด้วยกัน เพราะถ้าสองพาร์ทมันแยกออกจากกันชัดเจนมาก มันจะเกิดอาการที่เป็นทางจิตเวชได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะทางจิตบางอย่างได้เหมือนกัน การทำให้เราสอดคล้องกลมกลืนกับตัวเองจะทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น เราจะไม่ตัดสินคนอื่นง่ายๆ เราจะเข้าใจว่ามันก็มีประโยชน์นะที่คนเราจะยืนยันสิทธิ์ตัวเอง มีประโยชน์กับสังคมนะที่มีคนแบบนี้อยู่ ถ้าไม่มีคนแบบนี้เลย ก็อยู่ยาก

ทั้งหมดนี้ เราเลือกแบบแผนให้ตัวเองไม่ได้ เพราะมาจากอดีตหรือประสบการณ์ที่เราเองก็เลือกไม่ได้

ภาพในอดีตที่ผ่านมาเราอาจเลือกไม่ได้ และเราทำดีที่สุดแล้ว สังคมหรืออะไรต่างๆ ทำให้เราโตมาเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเรากลับมาตระหนัก สำรวจตัวเอง ทำ inner work หรือสำรวจภายใน เราจะเลือกได้ คล้ายๆ ทำความเข้าใจว่า “เราไม่ต้อง nice ตลอดก็ได้หนิ” ทำไมเราต้อง nice ละ? เพราะเรากลัวไง กลัวคนจะมองเราไม่ดี ไม่ยอมรับเรา แต่จะเป็นอะไรมั้ยที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องรักเรา แค่คนบางคนรักเราพอมั้ย? ทบทวนว่าเรายอมทิ้งบางส่วนเพื่อเป็นตัวเราจริงๆ ได้รึเปล่า

ความขัดแย้ง ปม กระทั่ง trauma หายหรือถูกเยียวยาได้มั้ย?

เวลาที่เราเจอเรื่องราวโหดร้ายรุนแรง เราไม่เข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่น เรื่องราวประเภทนี้มีผลกระทบด้านลบเยอะกว่าจนอาจทำให้บางคนหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหรือไม่แตะเรื่องนี้อีกเลย พอหลีกเลี่ยง มันก็เลยยังส่งผลในสมองเรา แต่เพราะเรื่องราวนี้ถูกบันทึกในสมองและอารมณ์ เมื่อมีเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอีก เราจะรู้สึกแบบนี้ จะปฏิบัติแบบนี้อย่างเป็นอัตโนมัติ ถูกจูนกลับไปที่ล็อกเดิม แพทเทิร์นเดิม ถ้าเราไม่กลับไปดูตรงนั้นเลยมันก็เหมือนเทปที่เปิดเล่นวนซ้ำไปเรื่อยๆ แต่ถามว่าเปลี่ยนแปลงได้มั้ย? เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการย้อนกลับไปฟังเทปใหม่แล้วอัดเทปทับประสบการณ์เก่า แต่ก่อนจะทำแบบนั้น เราต้องกลับไปทำความเข้าใจเทปนั้นใหม่ก่อน

บางคนมองว่า พ่อแม่โหดร้ายทารุณกับเรามาก เราจะย้อนกลับไปเพื่อทำความเข้าใจพ่อแม่ใหม่ “เฮ้ย ตอนนั้น สถานการณ์ในชีวิตของแม่มันรุนแรงมากนะ ไม่มีเงิน ไม่มีอะไร และแม่ก็โตมาในชีวิตที่ยากลำบากมากเลยนะ เค้าก็โตมากับพ่อแม่ของเค้า (ตาและยาย) ที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดูแลเค้ามาดีหรือไม่ดียังไง” พอทำความเข้าใจแล้วจะเห็นว่าในสิ่งที่เค้าทำมันมีทั้งบวกทั้งลบ และทำให้เข้าใจมากขึ้น

เหมือนเรารีไรท์เรื่องราวหรืออัดทับประสบการณ์ที่เลวร้าย แทนที่เราจะเป็นเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ กลายเป็นว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นั้น และยังได้เห็นศักยภาพตัวเองด้วยว่า “เฮ้ย ในภาวะที่แม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วนหนึ่งที่เราโตมาได้ก็เพราะการดูแลตัวเองและยังดูแลน้องๆ ด้วยนะ

การเห็นเรื่องเล่าในมุมใหม่ที่เราไม่เคยเห็น มันเติมอารมณ์ด้านบวกหรือการยอมรับขึ้นมาได้ เหมือนการอัดทับสมองที่เคยบันทึกของเก่าไว้ วิธีนี้ทำให้เราเปลี่ยนได้ พอเราเจอเหตุการณ์คล้ายเดิม เราก็จะเปลี่ยนมุมมอง อารมณ์ที่เจอก็จะเปลี่ยนไป

การรีไรท์หรือทบทวนประวัติศาสตร์ตัวเอง จำเป็นมั้ยที่จะต้องมีใครมาช่วยรับฟัง ช่วยถาม ช่วยชำระ หรือเราทวนด้วยตัวเองได้?

จริงๆ เราทวนกับตัวเองได้ แต่การมีคนอยู่กับเราอาจช่วยทำให้ง่ายและเร็วกว่า เพราะเวลาเราเล่าอะไรให้ใครสักคนฟัง มันมีการตอบสนอง มีแววตา มีพลังงานดีส่งมา  บางทีเล่าเรื่องเศร้าเพื่อนเราน้ำตาคลอไปด้วย แค่นั้นเราก็ถูกเยียวยาไปในตัวเอง เหมือนได้รับพลังบางอย่างที่เค้าส่งให้เรา หรือ บางครั้งเราก็ต้องการมุมมองใหม่จากคนอื่น

เคยมีเคสหนึ่งที่เคยดูแลตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านใหม่ เป็นเคสผู้หญิงใจดีและเข้าอกเข้าใจคนอื่น  ต่อมาถูกสามีนอกใจ เธอทุกข์มาก ซึมเศร้า ไม่มีกำลังใจมีชีวิต มาคุยกับหมอสองครั้งเราก็ช่วยเค้าไม่ได้มาก แต่เราก็ชื่นชมเค้าที่เค้าให้อภัยและไม่มีความเคียดแค้นสามี ครั้งที่สามคนไข้มาหาด้วยสีหน้าและพลังงานที่เปลี่ยนไป ดีขึ้นมาก เค้าเล่าว่า จากเดิมที่ไม่เคยกล้าเล่าให้เพื่อนฟัง ก็ไปลองเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง เพื่อนฟังๆ ไปแล้วโกรธแทนเธอ จนเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ย แล้วทำไมเธอไม่โกรธ?” พอมาคิดๆ ดู ก็เพิ่งรู้ว่า เออ… มันโกรธได้นะ ตอนแรกผู้หญิงคนนี้คงรู้สึกอยากปล่อยวางและไม่ควรโกรธ  ปรากฎว่าเพื่อนทำหน้าที่สะท้อนด้านอื่นๆ ว่า “เราโกรธได้นะ” พอโกรธได้ พลังงานบางอย่างก็ได้ปลดปล่อยออกมา อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างเฉพาะของเคสนี้นะ ไม่ได้หมายความว่าเคสอื่นจะแก้ปัญหาด้วยแบบนี้ได้

อันนั้นอาจเป็นพาร์ทการเยียวยาตัวเองของผู้ใหญ่ แต่ trauma ในเด็ก ฟื้นคืนได้มั้ย ทำยังไงให้เด็กกลับมาไว้ใจ มีความมั่นใจอีกครั้ง

เด็กก็กลับมาได้ คนเรามีคุณสมบัติฟื้นฟูตัวเองที่เราเรียกว่ามี resilience สมมุติเราเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีข้อจำกัด มีต้นทุนจำกัด และเราก็มีปัญหา มี trauma หลายอย่าง แต่ถ้าเกิดเราไปเจอครูที่ดี เจอเพื่อนที่ดี ผู้ใหญ่ที่ดีสักคน แค่หนึ่งความสัมพันธ์ที่มีความหมายก็สามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งได้ กระทั่งโตขึ้นแล้วเจอกับแฟนหรือเจอเพื่อนคนหนึ่งที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ นี่ก็เปลี่ยน trauma ได้จากการได้เรียนรู้ว่าจริงๆ มันมีความสัมพันธ์ที่มั่นคง เชื่อถือได้ เรามีคนที่ดีและเราก็เป็นคนที่ดี มีคนยอมรับ มีความสัมพันธ์ที่ดีได้

คุยกันถึงตรงนี้ พ่อแม่หลายคนอาจหนักใจแล้วว่าเผลอสร้างปมให้กับลูกหรือเปล่า เพราะแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นปมยิ่งใหญ่ของลูกได้

ไม่มีพ่อแม่ที่เพอร์เฟค 24 ชั่วโมง ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนมันก็ต้องมีจุดสร้างความขัดแย้ง เกิดปมบางอย่างได้อยู่ดี ถ้ารู้ตัวทันว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันเป็นปัญหาของเราเอง เราจัดการตัวเองก่อน แต่ถ้าเผลอไปทำอะไรที่รุนแรง ลูกเสียใจ สิ่งที่เราทำได้คือ ก็เสียใจไปกับเค้าด้วย พ่อแม่ก็ขอโทษลูกได้

แสดงให้เค้าเห็นว่าเราเสียใจนะ ขอโทษเค้า ทำให้เห็นว่าเรารักเค้านะ เราเข้าใจเค้านะ ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ เราย้อนกลับไปสร้างโอกาสในการเรียนรู้อะไรดีๆ ได้เสมอ

เราจะดูได้ยังไงว่าเด็กคนหนึ่ง มีปม มีบาดแผล

จริงๆ แล้ว เราไม่ต้องไปคอยตรวจหาว่ามีปมมั้ยหรอก เราก็แค่ทำความรู้จักลูกให้มากขึ้น ใช้เวลากับเค้า สังเกตเค้า เรียนรู้เค้า ลูกเราสนใจอะไร ชอบอะไร อารมณ์หรือนิสัยใจคอเป็นยังไง ปกติเค้าพูดคุยกับเรามากน้อยแค่ไหน ลองสังเกตสีหน้า แววตา น้ำเสียง เหมือนเราคอยใส่ใจเค้า พูดคุยกับเค้า เด็กบางคนเริ่มเก็บตัว แยกตัวไปทำอย่างอื่น เด็กบางคนเริ่มมีอารมณ์รุนแรงขึ้นจากเดิม ลองสังเกตดู ถ้าเราใช้เวลากับเค้าเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าลูกเริ่มเปลี่ยนไปแปลกๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะ “เอ๊ะ” อยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่ค่อยได้ใส่ใจ เราเห็นเค้าเรียนได้ ทำอะไรได้ เราก็ไม่ได้ใส่ใจ พักผ่อนของเราไป เราก็จะไม่ค่อยเห็นเวลาที่มันเปลี่ยนแปลง ใช้เวลากับลูกให้เยอะ

ถ้าเริ่มรู้สึกแปลกๆ ก็ลองคุยกับลูกก่อน ถ้าคุยแล้วเกิดความยากลำบากใจก็อาจขอคำปรึกษาได้จากนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักจิตบำบัดสายต่างๆ ซึ่งการพามาพบคุณหมอก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะมีปัญหาจริงๆ บางเคสที่มาพบคุณหมอก็ไม่ได้มีปัญหา แต่หมออาจบอกว่า “โอเคค่ะ ปกติดีนะ” พ่อแม่จะได้สบายใจ

นพลักษณ์ (Enneagram) ศาสตร์ที่ช่วยให้รู้จักตัวเอง เข้าใจจุดอ่อน/จุดแข็งของคนแต่ละประเภท พร้อมเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น แบ่งคนออกเป็น 9 กลุ่มตามลักษณะนิสัย ดังนี้

1.ผู้สมบูรณ์แบบ – อยู่กับความจริง มีหลักการและมโนธรรมสำนึก ดำเนินชีวิตตามอุดมคติของตนเอง
2.ผู้ช่วยเหลือ – เป็นคนอบอุ่น ดูแลห่วงใย และรับรู้ความต้องการของผู้อื่นได้ไว
3.ผู้ใฝ่สำเร็จ – กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี มั่นใจตัวเองและมีเป้าหมาย
4.คนโรแมนติก – อ่อนไหว อบอุ่น เข้าอกเข้าใจผู้อื่น
5.ผู้สังเกตการณ์ – สนใจหาความรู้ เก็บตัว ช่างวิเคราะห์และเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็ว
6.นักปุจฉา – รับผิดชอบ ไว้ใจได้ เห็นคุณค่าครอบครัว เพื่อนฝูง หมู่คณะ
7.นักผจญภัย – กระตือรือร้น มีชีวิตชีวา มองโลกแง่ดี สรรสร้างสังคม
8.ผู้ปกป้อง – ตรงไปตรงมา พึ่งตนเอง มั่นใจ ปกป้องผู้อื่น
9.ผู้ประสานไมตรี – เปิดรับ ใจดี หนุนผู้อื่น สร้างสามัคคี

Tags:

Adverse Childhood Experiences(ACE)พญ.วินิทรา แก้วพิลาจิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ
Family Psychology
24 April 2019

เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

จากงานศึกษาพบว่า ‘วิธีการลงโทษโดยการตีของพ่อแม่’ จะใช้ได้ผลในระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวกลับส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและสภาพจิตใจของเด็ก ผลเสียคือเพิ่มความขัดแย้ง ขุ่นเคืองใจ และปิดกั้นการเรียนรู้

ซึ่งการลงโทษแบบนี้ ไม่ต่างจากผลที่เกิดกับเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ จะกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านและตอบโต้ เชื่อมโยงไปสู่กลไกการป้องกันตัว ยังไม่รวมความรู้สึกอับอาย ความโกรธ อาจนำไปสู่การหาวิธีการไม่ให้ถูกจับได้ ดังนั้นหากพ่อแม่ใช้ความรุนแรงลงโทษลูก จะส่งผลให้ลูกมีความก้าวร้าวและขาดความยับยั้งชั่งใจ

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่บางคนอาจหลีกเลี่ยงวิธีลงโทษโดยการตีมาเป็น ‘การนิ่งเงียบ เฉยชา ไม่พูดไม่จา ไม่แสดงอารมณ์’ เมื่อลูกกระทำความผิด ซึ่งจะยิ่งผลให้ลูกยิ่งไม่ร่าเริง เก็บกด และขาดความอบอุ่น เนื่องจากภาวะดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน

ท้ายที่สุดย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้ลูกไม่กล้าพูดคุยอย่างเปิดเผยกับพ่อแม่ นอกจากนี้ยังกระทบต่อพัฒนาการและการแสดงออกทางอารมณ์ของลูกด้วย

แล้วถ้าไม่ตี-ไม่เงียบ จะมีวิธีเข้าใจลูก ได้อย่างไร ?

พ่อแม่ทำได้ง่ายๆ โดย 4 วิธี ดังนี้

1. มองให้ลึกถึงสาเหตุที่แท้จริง

2. กระตุ้นแทนให้รางวัล เพราะแรงจูงใจเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องสร้างแรงจูงใจอย่างถูกต้อง

3. ‘ช่วย’ แทนที่จะ ‘ลงโทษ’ เพราะพ่อแม่สามารถวางข้อตกลงและแนะนำลูกได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงโทษ

4. เป็นทีมเดียวกันกับลูก  

Tags:

วินัยเชิงบวกการลงโทษ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง
How to get along with teenager
23 April 2019

รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ในยุคดิจิทัลที่ลูกพกพาความสัมพันธ์ส่วนตัวติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา ทักษะชีวิตทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องช่วยสร้างให้ลูก โดยเฉพาะประเด็น ‘มันคือความปลอดภัยของตัวลูก’ ไม่ใช่ตัวผู้ปกครอง 
  • Sexting การส่ง, ส่งต่อ หรือได้รับข้อความในเรื่องเพศอย่างโจ๋งครึ่ม อย่างไรก็ตาม มีการใช้ Sexting ในลักษณะบุลลี่ ล้อเลียน กระทั่งแบล็คเมลหรือหลอกใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์

ว่ากันตามตรง ความสนใจและการแสดงออกเรื่องเพศ กับ วัยรุ่น เป็นสิ่งคู่กันทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ต่างกันไปตามเทคโนโลยีที่อยู่ในมือ ว่ากันตามตรงอีกเช่นกัน ทุกวันนี้การส่งข้อความหรือรูปภาพที่แสดงความเซ็กซี่อย่างโจ๋งครึ่มระหว่างกัน เกิดขึ้นเป็นปกติในในหมู่วัยรุ่นกระทั่งมีศัพท์ที่ใช้กันแพร่หลายคือคำว่า Sexting

Sexting คือการ ส่ง, ส่งข้อความต่อ หรือได้รับข้อความ (text) บรรยายในเรื่องเซ็กส์อย่างโจ๋งครึ่ม (explicit) และรวมถึงรูปภาพเซ็กซี่ต่างๆ เป็นการส่งกันระหว่างมือถือและรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม มีการใช้ Sexting ในลักษณะบุลลี่ ล้อเลียน กระทั่งแบล็คเมลหรือหลอกใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์ อ่านเพิ่มเติมที่นี่

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าความเข้าใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตนั้นมองได้หลากหลายด้าน ลูกอาจไม่ได้มองโลกมุมมองเดียวกับพ่อแม่ โดยเฉพาะในวัยรุ่น การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศดูเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขา แม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างในเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับพ่อแม่

ลอรี ก็อทลิบ (Lori Gottlieb) บรรณาธิการเว็บไซต์ The Atlantic, นักจิตอายุรเวช และผู้เขียนหนังสือ  ‘Maybe You Should Talk to Someone’ ยกตัวอย่างกรณีศึกษา เมื่อพ่อแม่เริ่มระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของลูกกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งแล้วแอบเปิดดูโทรศัพท์ของลูกสาว แล้วพบข้อความที่ไม่เหมาะสมทางเพศส่งมาจากเพื่อนผู้ชายคนนั้น ก็อทลิบบอกว่า

ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ช่วยคลายความกังวลของพ่อแม่ แถมยังช่วยลูกได้ด้วย คือการพูดคุยกับลูกด้วยท่าทีที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่า ลูกจะรู้สึกเสียใจ ไม่พอใจ และโกรธที่พ่อแม่แอบดูโทรศัพท์ของพวกเขา (เพราะเอาเข้าจริงแล้วนี่นับเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว – กองบรรณาธิการ) แต่อีกด้านหนึ่ง พวกเขาจะรู้สึกโล่งใจเมื่อพ่อแม่มีท่าทีเปิดใจรับฟัง จากเดิมที่พวกเขาอาจกำลังชั่งใจและค่อนข้างสับสนว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่อย่างไร

เมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากัน การวางตัวของพ่อแม่มีความสำคัญมากต่อความรู้สึกของลูก หากพ่อแม่ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าว แต่ทำให้พวกเขาอุ่นใจ ไว้วางใจ และให้ความรู้สึกปลอดภัย พวกเขาจะพูดคุยสื่อสารเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อแม่อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยจนหมดเปลือก

“ลูกอาจรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่พ่อแม่กำลังจะพูด แต่พ่อแม่ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจหลังจากเห็นข้อความที่ (ชื่อของเพื่อนลูก) ส่งหาลูกในมือถือ เลยอยากคุยกับลูกก่อน เพราะพ่อแม่อาจเข้าใจผิด พ่อแม่อยากรู้ว่าลูกรู้สึกยังไงกับข้อความนั้น” ก็อทลิบ ยกตัวอย่างวิธีเปิดบทสนทนากับลูก 

อะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม?

พ่อแม่บอกให้ลูกรับรู้ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อได้อ่านข้อความหรือเห็นภาพที่ส่งมา เน้นย้ำกับลูกว่าสิ่งที่พ่อแม่รู้สึกเป็นเพียงตัวอย่างความคิดเห็นแค่มุมมองหนึ่ง เพราะการวางท่าทีไม่ขัดขวางแต่พร้อมรับฟังของพ่อแม่ ไม่พยายามตัดสินสิ่งที่ลูกทำว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ช่วยให้บทสนทนาเรื่องความสัมพันธ์เดินไปไกลเท่าที่ความสงสัยของพ่อแม่จะไปถึง 

เขาเป็นเพื่อนหรือกำลังอยู่ในขั้นดูๆ กันไปก่อน?

ลูกสนใจเขาหรือเปล่า? 

ลูกสนใจอะไรในตัวเขา? ลูกคิดว่าเขาน่ารักมั้ย หรือออกแนวเท่ๆ?

มีอะไรที่ทั้งสองคนชอบเหมือนๆ กันบ้าง? 

ลูกอึดอัดมั้ยที่เขาส่งเมสเสจมาแบบนี้? 

ถ้าลูกไม่ได้สนใจเขา ลูกคิดว่าอะไรทำให้เขาส่งข้อความแบบนี้มาหาลูก?

หากลูกมีแฟน ลูกอยากให้แฟนปฏิบัติกับลูกยังไงบ้าง? 

คำถามต่างๆ ที่ว่าจะนำบทสนทนาไปสู่เรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ การแสดงความสนิทสนมใกล้ชิดกับเพื่อนต่างเพศ แรงกดดันทางสังคม ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากการสื่อสารออนไลน์ และการตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อสื่อสารกับคนแปลกหน้า การตั้งคำถามทำให้ลูกได้ถอยมาตั้งหลักคิดถึงความรู้สึกของตัวเองกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ลูกรู้เท่าทันสถานการณ์ แล้ววางตัวเองได้อย่างเหมาะสม 

ดิไอริชไทมส์ (The Irish Times) เปิดเผยในบทความ ‘Sexting: do you know what your teenager is doing on their phone?’ ว่า ผลสำรวจในปี 2016 ไอร์แลนด์จัดเป็นประเทศลำดับ 4 ในยุโรปที่วัยรุ่นนิยมส่งข้อความ (ที่พ่อแม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม) ทางเพศ (sexting) หากัน 

อย่างไรก็ตาม ดร.มารินา เอเวอร์รี (Marina Everri) นักจิตวิทยาไซเบอร์ และผู้นำโครงการวิจัยยุโรป (European Research Project) เกี่ยวกับบทบาทของสื่อดิจิทัลต่อพัฒนาการของวัยรุ่นและการสื่อสารในครอบครัว (The role of digital media in adolescent development and family communication) ร่วมกับวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน หรือแอลเอสอี (The London School of Economics and Political Science: LSE) หนึ่งในสถาบันที่มีชื่อเสียงในลอนดอน กล่าวไว้ในบทความว่า 

พฤติกรรมการส่งข้อความทางเพศเป็นพัฒนาการตามวัยของวัยรุ่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการนิยามอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศของแต่ละคน

ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะจ้องจับผิดลูก หรือเสียเวลาไปกับการหาคนรับผิดชอบ เช่น โบ้ยว่าโรงเรียนควรเป็นผู้รับผิดชอบให้ความรู้เรื่องเพศศึกษากับนักเรียน ขณะที่อีกด้านหนึ่งโรงเรียนก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนควรเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่

ทั้งหมดนี้พ่อแม่กลับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ ด้วยการอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า การสื่อสารเรื่องเพศเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวลูกเอง

ผลการสำรวจในไอร์แลนด์ พบว่า นักเรียนมัธยมศึกษาร้อยละ 49 เคยพูดคุยกับคนแปลกหน้าออนไลน์ และร้อยละ 16 เคยนัดแนะเจอกับคนที่พวกเขาได้พูดคุยด้วยทางออนไลน์เท่านั้น ซึ่งอาจนำไปสู่การล่วงเกินทางเพศได้ 

จิลล์ วิทนีย์ (Jill Whitney) ผู้เชี่ยวชาญและนักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัว กล่าวว่า พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการด้านพฤติกรรมทางเพศของลูก ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปัจจัย 3 ระดับด้วยกัน

  1. ปัจจัยส่วนบุคคล: วัยรุ่นผู้หญิง พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจ มีตัวตนและตื่นเต้น เมื่อเพศตรงข้ามทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเซ็กซี่ หรือน่าสนใจ (ความรู้สึกเกิดขึ้นไม่เฉพาะแค่วัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน) ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องนำเสนอมุมเซ็กซี่ของตัวเอง เห็นได้จากการถ่ายรูปเซลฟี่เซ็กซี่ ดึงดูดความสนใจ
  2. ปัจจัยด้านความสัมพันธ์: การส่งภาพเซ็กซี่ให้กันและกัน เหมือนเป็นของขวัญแสดงถึงการให้ความสำคัญระหว่างกัน
  3. ปัจจัยเรื่องสถานะ: เป็นความพยายามเรียกร้องความสนใจจากเพศตรงข้าม โดยเฉพาะจากคนที่ตนสนใจและอยากพัฒนาความสัมพันธ์ 

ย้อนกลับไปยังกรณีศึกษาของก็อทลิบที่กล่าวไว้ในตอนต้น หากฝ่ายหญิงไม่สนใจฝ่ายชาย การได้รับข้อความที่ไม่เหมาะสมทางเพศ อาจกำลังทำให้เธอรู้สึกอึดอัดหรือวางตัวไม่ถูก แต่หากเธอสนใจ ก็อาจกำลังสับสนอยู่ว่าจะตอบกลับข้อความนั้นอย่างไร การพูดคุยอย่างเปิดใจของพ่อแม่จะช่วยให้ลูกตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ไม่พลาดพลั้ง และทำให้ลูกรู้เท่าทัน

บอกให้ลูกรับรู้ว่า เมื่อข้อความ ภาพหรือวิดีโอต่างๆ ถูกส่งออกไปจากโทรศัพท์ของพวกเขา พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีก ไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะมีใครเห็นบ้าง ใครจะไปรู้ว่ามันอาจถูกเผยแพร่ไปยังคนอื่น ไปทั้งโรงเรียน หรือผ่านสื่อออนไลน์ไปทั่วโลกก็ได้

อ้างอิง:

theatlantic.com

parentingteensandtweens.com

nytimes.com

irishtimes.com

foreverymom.com

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นโซเชียลมีเดียเพศวัยพรีทีน (Preadolescence)Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)คุกคามทางเพศ (sexual harassment)Sexting

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ
EF (executive function)
22 April 2019

อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

มีคำสองคำที่ใช้กันในตำราหลายเล่ม หนึ่งคือ role play หมายถึงการเล่นบทบาทสมมุติ สองคือ pretend play หมายถึงการเล่นสมมุติ หนังสือบางเล่มใช้ทั้งสองคำ ในขณะที่บางเล่มใช้คำว่าเล่นสมมุติคำเดียว

การเล่นสมมุติหมายความง่ายๆ ถึงการหยิบฉวยวัสดุรอบตัวมาเล่นสมมุติแทนวัตถุจริง เช่น ใช้กล่องสักใบแทนเตาปฏิกรณ์ปรมาณู เป็นต้น อาจจะกินความไปถึงสมมุติตนเองเป็นใคร เช่น ไออ้อนแมน เป็นต้น (หากคนรุ่นเก่าเลือกแบทแมนหรือซูเปอร์แมนก็อย่าเสียใจที่เด็กๆ จะเลือกไออ้อนแมนหรือกัปตันอเมริกา)

การเล่นบทบาทสมมุติมีความหมายคล้ายคลึงกัน หมายความง่ายๆ ถึงการสมมุติเต็มรูปแบบทั้งผู้เล่น วัสดุ และสภาวะแวดล้อม เช่น เด็กสมมุติตนเองเป็นพ่อครัว หยิบฉวยวัสดุเหลือใช้รอบตัวมาสร้างเป็นครัว แล้วให้คุณพ่อเป็นลูกมือในครัว เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าการเล่นบทบาทสมมุติเข้าใกล้การเล่นละคร ซึ่งเป็นเรื่องสามัญสำหรับโรงเรียนในประเทศพัฒนาที่มักจัดให้มีการแสดงละครอย่างสม่ำเสมอ

การเล่นสมมุติหรือบทบาทสมมุติมีประโยชน์อย่างไรและทำได้อย่างไร

1. ช่วยให้เข้าใจว่าคนอื่นกำลังจะทำอะไร ความข้อนี้สำคัญ ทารกเกิดมาพร้อมความสามารถที่จะทำนายได้ว่าคุณแม่จะทำอะไรหรือควรจะทำอะไร ซึ่งจะนำไปสู่ความไว้ใจแม่และความไว้ใจตนเอง รวมไปถึงความไว้ใจโลกและจักรวาล เมื่อทารกเติบโตขึ้นถึงวัยเล่นได้ เขาพัฒนาความสามารถนี้ดีขึ้น เก่งขึ้น ซับซ้อนขึ้น ถึงระดับดูสีหน้าคนก็รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร การละเล่นที่เข้ามาเสริมความสามารถด้านนี้คือ การเล่นบทบาทสมมุติ

2. ช่วยให้เข้าใจและล่วงรู้ความรู้สึกของผู้อื่น ความข้อนี้สำคัญมาก ความสามารถที่จะเข้าใจไปจนถึงล่วงรู้ความรู้สึกในใจของผู้อื่นนี้มิใช่เรื่องอ่านใจหรือกระแสจิต แต่หมายถึง เอมพาธี (empathy) และเรียกความสัมพันธ์ที่มีเอมพาธีว่า empathetic relation คนทั่วไปควรมีเอ็มพาธีได้ระดับหนึ่งนั่นคือเข้าใจ ล่วงรู้ และสัมผัสความทุกข์ยากของคนอื่นและเพื่อนมนุษย์ พบว่าอาชญากรบางประเภท เผด็จการบางคน หรือฆาตกรบางคนไม่มีความสามารถนี้

3. ช่วยให้พัฒนาการทางภาษาดีขึ้น ระหว่างการเล่นบทบาทสมมุติเด็กสมมุติวัสดุรอบตัวเป็นวัตถุจริง เช่น นำกล่องมาวางเป็นเตาแก๊ส กล่องโฟมเป็นถังแก๊ส แผ่นไม้สักแผ่นเป็นกระทะ นำขวดเปล่ามาวางเรียงเป็นซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำมันหอย ฉีกหนังสือพิมพ์โรยเป็นผัก จะเห็นว่าลำพังขั้นตอนเตรียมอุปกรณ์คุณพ่อจะต้องพูดคำศัพท์จำนวนมากออกมาให้เด็กได้ยิน และบ่อยครั้งที่เด็กจะพูดตามโดยไม่รู้ตัว

4. ช่วยให้การอ่านและการเขียนดีขึ้นด้วย อย่าลืมว่าภาษาหรืออักขระคือเส้นสายสมมุติ มิได้มีอยู่จริงในตอนแรก เด็กไทยสมมุติให้การลากเส้นเช่นนี้ “ก” คือ ก ไก่ และชวนให้ใจคิดถึงสัตว์ 2 ขามีปีกที่ร้องเอ้กอีเอ๊กเอ้กในตอนเช้าๆ ในขณะที่เด็กฝรั่งสมมุติให้การลากเส้นเช่นนี้ “A” คือ A Ant และชวนให้คิดถึงสัตว์ 6 ขาที่กัดเจ็บ จะเห็นว่าลำพังการขีดเส้นบนผนังถ้ำหรือกระดาษเพียงสั้นๆ สามารถพาจิตใจของเด็กไปสู่ภาพสัตว์ที่เกิดขึ้น การเล่นสมมุติหรือการเล่นบทบาทสมมุติทำงานในลักษณะเดียวกัน คือช่วยพัฒนาระบบการให้สัญลักษณ์และถอดความหมายของสัญลักษณ์ (symbolization) นำไปสู่ภาษาที่ดีขึ้นทั้งการพูด อ่าน และเขียน เราจึงแนะนำให้คุณพ่อเล่นบทบาทสมมุติกับลูกเสมอเมื่อลูกพูดช้า

5. ช่วยเรื่องจินตนาการ ในระหว่างการเล่นทำครัว บ่อยครั้งที่เราเตรียมอุปกรณ์ไม่ครบ คุณพ่อสามารถคว้าตะหลิวด้วยมือเปล่ากลางอากาศแล้วพูดคำว่า “ตะหลิว” เพียงเท่านี้ตะหลิวก็มีอยู่จริงโดยพลัน สังเกตดูเถิดว่ามีอยู่จริงมิใช่เพียงในจิตใจของลูกแต่ของพ่อด้วย จะเล่นเป็นครูแต่ลืมไม้เรียว คุณพ่อสามารถคว้าไม้เรียวจากกลางอากาศเมื่อไรก็ได้ หากเล่นเป็นยอดมนุษย์อุลตร้าแมนจากดาว M78 ซึ่งอยู่ใกล้ๆ หลุมดำ M87 ก็ต้องไขว้มือปล่อยแสงสเปซเซี่ยม และถ้าเป็นก๊อดซิลล่าต้องร้อง “ก๊าซซซซซ” แล้วปล่อยแสงออกจากปากทำลายศัตรูราบเป็นหน้ากลอง ไม่นับการเหยียบย่ำทำลายตึกไปทั่วบ้าน นี่แค่เขียนยังนึกถึงสมัยที่ตนเองเป็นเด็กนำบล็อคไม้และกล่องเปล่ามาสร้างเป็นตึกรามบ้านช่องทั่วพื้นบ้านแล้วสมมุติตนเองเป็นก๊อดซิลล่า

6. ช่วยพัฒนาความคิดเชิงนามธรรม ระหว่างการเล่นบทบาทสมมุติเด็กจะได้ภาษาเชิงรูปธรรมง่ายๆ คือวัสดุเหลือใช้ที่เรานำมาสมมุติเป็นตะหลิว ไม้เรียว หูฟังของคุณหมอ ผัดกะเพราไข่ดาวใส่พริกด้วย แต่ระหว่างการเล่นเด็กจะได้คำศัพท์ที่นอกเหนือจากวัตถุ เช่น ใช้ตะหลิวผัดผัก “ซั่วซ่าๆ” เห็นไม้เรียวก็ “กลัวแล้วๆ” ฟังหัวใจได้ยินเสียง “ตุ้บ ตุ้บ” ผัดกะเพรา “เผ็ดจังเลย” เป็นต้น คำศัพท์ที่ไม่ใช่วัตถุ ได้แก่คำอุทาน คำวิเศษณ์ คำสันธาน คำบุพบท ไปจนถึงคำหยาบ วลี สำนวน คำพังเพย โวหาร เหล่านี้ล้วนรอเวลาหลุดออกมาในการเล่นบทบาทสมมุติ ก่อนที่จะก่อร่างสร้างตัวเป็นความสามารถระดับนามธรรมต่อไป

7. การเล่นบทบาทสมมุติช่วยระบายความคับข้องใจได้มาก เวลาเราเล่นบทบาทสมมุติบนกองทราย เด็กมักได้โอกาสระบายความเครียด เคียดแค้น โกรธ น้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ เหงา เปล่าเปลี่ยว ออกไปกับการละเล่น เช่น นำตุ๊กตาที่สมมุติว่าเป็นพ่อหรือแม่มาฝัง แม้แต่โยนคุณครูลงกระทะทอดกินก็มี เป็นต้น

อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการสมมุติและจินตนาการ เป็นกระบวนการระบายสิ่งสกปรกตกค้างออกจากจิตใจ เป็นวาล์วนิรภัยเปิดเพื่อระบายแรงดันไอน้ำออกบ้างก่อนที่จะระเบิด เป็นเรื่องดีและจะมีกันบ้างทุกคนไม่มากก็น้อย

8. การเล่นบทบาทสมมุติช่วยให้เด็กเข้าใจตนเอง นี่คือคุณูปการสูงสุดของการเล่นละครโรงเรียน ด้วยกลไกของสิ่งที่เรียกว่าละคร การสวมบทบาทตัวละครใดๆ ของเด็กๆ มีประโยชน์เสมอ ต่อให้สวมบทเป็น ทองคำ กำยาน และมดยอบ อันเป็นของขวัญจากมาไจในคืนวันคริสต์มาส หรือจะเล่นบทพระราม พระลักษณ์ ทศกัณฑ์ พิเภก อินทรชิต หรือสีดา บทบาทเหล่านี้จะแตะต้อง (touch) ถูกจิตใจและบุคลิกภาพเด็กๆ เสมอ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาบุคลิกภาพจึงมีทุกนิสัยใจคอซ่อนตัวอยู่

9. การเล่นบทบาทสมมุติสร้างพ่อที่มีอยู่จริง คงสังเกตได้แล้วว่ามีแต่คำว่าพ่อตั้งแต่ต้นบทความ เพราะนี่คือโอกาสทองที่พ่อจะได้นั่งลงเล่นทำครัวกับลูกแล้วปล่อยแม่ไปทำครัว อาบน้ำนานๆ ไปร้านเสริมสวย 4 ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาแสนสุขที่พ่อลูกจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเล่นด้วยกันโดยไม่ยาก หากคุณพ่อเหนื่อยจากงานมาเล่นทำครัวย่อมง่ายที่สุด เพราะนั่งเฉยๆ (อย่างแย่ที่สุดคือนอนหลับข้างกองทรายให้ลูกๆ สมมุติว่าป็นคนตายเพื่อเอาทรายกลบฝังก็ได้ อยากไม่มีเวลาดีนัก) ถ้าคุณพ่อมีพลังย่อมเล่นเป็นสไปเดอร์แมนได้ การเล่นเป็นผู้ป่วยนอนลงให้คุณหมอตรวจนั้นง่ายมาก แต่ถ้าเล่นเป็นทหาร ตำรวจหรือโจรขโมยก็จะเหนื่อยหน่อย

การเล่นบทบาทสมมุติเป็นโอกาสทองที่คุณพ่อจะได้ถดถอยกลับไปสู่ความเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง – ขอบอก

ได้แต่หวังว่าเรื่องจะไม่น่าเศร้าถึงระดับไม่มีคุณพ่อมาเล่นบทบาทสมมุติ หรือมีพ่อที่เอาแต่นั่งก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ข้างกองทราย

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการเล่นสมมติ (pretend play)

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง
Early childhood
22 April 2019

ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การลงโทษโดยใช้ความรุนแรง ตาต่อตาฟันต่อฟันกับลูกไม่ส่งผลดีอะไรเลยในระยะยาว แถมยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของลูก
  • พ่อแม่สามารถใช้วิธีการ หนุนเสริมเชิงบวก (positive reinforcement) แทนการตำหนิ ว่ากล่าว หรือตีได้ ลูกไม่เพียงมีพฤติกรรมดีขึ้น แต่ลูกจะเชื่อฟัง รับฟังเหตุผล มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และเข้ากับคนอื่นได้ดีขึ้น
  • แทนที่จะรุก พ่อแม่ควรเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วค่อยแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเชิงบวกกลับไป เรื่องใหญ่ๆ ยากๆ อย่างลูกชอบโกหก ก็จะง่ายขึ้น

จากรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2560 พบว่าเด็กปฐมวัยเป็นช่วงอายุที่ถูกทำโทษด้วยวิธีรุนแรงทางร่างกายมากกว่าวัยอื่น

ราว 3 ใน 4 ของเด็กวัย 3-4 ขวบถูกสมาชิกในครอบครัวทำร้ายร่างกายใน 1 เดือนที่ผ่านมา และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้เลี้ยงดูเชื่อว่าการลงโทษทางร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นในการเลี้ยงเด็ก

เมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม การหยุดตำหนิหรือว่ากล่าวลูกในทันที ดูเหมือนเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่ การตอบสนองด้วยปฏิกิริยาบางอย่าง เช่น การใช้คำพูดทำนอง

“อย่าทำแบบนั้น”

“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ”

หรือแม้กระทั่งการตี เป็นสิ่งที่แทบจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ

แต่รู้หรือไม่ว่า การตอบสนองดังกล่าว ยิ่งทำให้ลูกได้ใจ เพราะได้รับความสนใจ (attention) รับประกันได้ว่าแทนที่ลูกจะหยุดพฤติกรรมเหล่านั้น ลูกกลับหันมาเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีการเดิมอีกในอนาคต ในทางกลับกันกรณีที่ลูกทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม แทนที่จะโฟกัสไปที่การห้ามทำพฤติกรรมดังกล่าวโดยตรง พ่อแม่สามารถใช้วิธีการ หนุนเสริมเชิงบวก (positive reinforcement) แทนการตำหนิ ว่ากล่าว หรือการตีได้

Positive Reinforcement หรือการหนุนเสริมเชิงบวกคืออะไร แล้วจะช่วยปรับพฤติกรรมของลูกได้อย่างไร?

ลำดับแรก พ่อแม่ต้องจำให้ขึ้นใจก่อนว่า การลงโทษโดยใช้ความรุนแรง ตาต่อตาฟันต่อฟันกับลูกไม่ส่งผลดีอะไรเลยในระยะยาว แถมยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของลูก The Potential เคยนำเสนอบทความเกี่ยวกับการลงโทษไว้ใน ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

Positive Reinforcement หรือการหนุนเสริมเชิงบวก ไม่ใช่การกล่าวชมเชย หรือการดึงดูดความสนใจด้วยของรางวัลเท่านั้น แต่เป็นการปรับการตอบสนองของพ่อแม่ต่อพฤติกรรมของลูกในหลากหลายส่วน

ยกตัวอย่างเช่น การให้ลูกรับผิดชอบงานบ้านมากขึ้น หรือให้ลูกไปช่วยงานคนอื่นในเวลาว่าง โดยบอกให้ลูกเข้าใจว่าที่ลูกได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะลูกทำความผิดเรื่องอะไร

การให้ลูกเขียนจดหมายขอโทษเมื่อลูกทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี หรือเมื่อรังแกผู้อื่น เป็นต้น

การตอบสนองด้วยวิธีการลักษณะนี้เรียกว่าการหนุนเสริมที่เด็กจะได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์จากสิ่งที่ตัวเองลงมือทำควบคู่กันไป อีกทั้งยังทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าโดยไม่รู้ตัว เพราะได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

วิธีการหนุนเสริมเชิงบวกดีกว่าการวางเฉยแบบเฉยชา และดีกว่าการลงโทษอย่างที่ทำกันอยู่ เพราะไม่เพียงทำให้ลูกมีพฤติกรรมดีขึ้น แต่จะทำให้ลูกเชื่อฟัง รับฟังเหตุผล มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และเข้ากับคนอื่นได้ดีขึ้น

ถึงตรงนี้พ่อแม่หลายคนอาจกำลังกุมขมับ แล้วคิดว่านอกจากตัวอย่างที่บอกไป ยังมีวิธีการหนุนเสริมเชิงบวกแบบไหนอีก
การหนุนเสริมเชิงบวก ทำได้ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยสักนิด ยกตัวอย่างเช่น

  • การไฮไฟว์ (high five) หรือการประกบมือกับลูกเมื่อลูกทำสำเร็จหรือทำได้ดี
  • การกอดหรือการลูบหลัง
  • การปรบมือ ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ หรือแม้แต่การยกนิ้วโป้ง เพื่อแสดงว่า “ยอดเยี่ยม”
  • การบอกกับคนอื่นว่าภูมิใจในตัวลูกมากแค่ไหนต่อหน้าลูก

การกล่าวคำชมเชยหรือการให้รางวัล ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย พ่อแม่สามารถทำได้เมื่อลูกลงมือทำบางอย่างที่น่าชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด เช่น เมื่อลูกทำความสะอาดห้องตัวเองทั้งที่พ่อแม่ไม่ได้บอก กรณีนี้พ่อแม่สามารถหนุนเสริม ให้รางวัลลูกด้วยการพาไปสนามเด็กเล่นได้

หรือให้เวลาลูกเล่นแท็บเล็ตหรือทำในสิ่งที่เขาอยากทำมากขึ้น เมื่อเขามีความกระตือรือร้นทำการบ้านจนเสร็จอย่างรวดเร็วและทำออกมาได้ดี

ในวัยรุ่นการเลื่อนเวลาเคอร์ฟิว (curfew) ให้ลูกกลับบ้านช้าขึ้นได้อีก 1 ชั่วโมงสักครั้งหนึ่ง เมื่อเขาทำสิ่งที่ดีและน่าชื่นชมก็เป็นการหนุนเสริมอย่างหนึ่ง

การกล่าวชมเชยหรือให้รางวัลในจังหวะที่ถูกต้องจะเป็นแรงกระตุ้นและเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกทำพฤติกรรมที่ดีนั้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่พ่อแม่ควรระวังไม่ใช้วิธีชื่นชมหรือให้รางวัล เป็นการเสนอเงื่อนไขหรือแลกเปลี่ยนเมื่อลูกกระทำความผิด

พ่อแม่เป็นฝ่ายตั้งรับ

เอมี มอริน (Amy Morin) นักจิตอายุรเวท (psychotherapist) และอาจารย์มหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์น (Northeastern University) เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวถึงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ตามธรรมชาติของเด็กๆ ที่พ่อแม่ควรลิสต์เอาไว้ เพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับ ในบทความ ‘Common Child Behavior Problems and Their Solutions’ ได้แก่

การโกหก (lying) การต่อต้าน (defiance) การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป (too much screen time) ปัญหาเกี่ยวกับอาหาร (food-related problems) พฤติกรรมไม่สุภาพ/ไม่ให้เกียรติผู้อื่น (disrespectful behavior) การร้องไห้สะอึกสะอื้น (whining) พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ห้ามไม่ได้ไล่ไม่ทัน (impulsive behavior) ไม่ยอมหลับยอมนอน (bedtime behavior problems) ความก้าวร้าว (aggression) และอารมณ์แปรปรวน (temper tantrums)

เอมีกล่าวถึง วิธีตั้งรับการโกหก (lying) ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เด็กๆ ต้องโกหกมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน หนึ่ง เรียกร้องความสนใจ สอง ไม่อยากตกที่นั่งลำบาก เช่น ไม่อยากโดนดุ โดนตี และ สาม ทำให้พวกเขารู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองทำ

หากพ่อแม่แยกแยะสาเหตุการโกหกของลูกได้ ความขุ่นเคืองของพ่อแม่จะเบาบางลง และทำให้เข้าใจลูกมากขึ้น

“สิ่งที่ลูกบอกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ลูกอยากให้เกิดขึ้น? บอกความจริงกับแม่”

ถามลูกอย่างใจเย็น ด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย พร้อมเล่าความจริงทั้งหมด

เมื่อลูกบอกความจริง

“แม่ภูมิใจในตัวลูกมากที่ลูกบอกความจริงกับแม่ ว่าลูกแอบกินขนมเค้กไปหลังจากที่แม่บอกว่าพอแล้ว วันนี้แม่จะไม่ให้ลูกเล่นเกม แต่เพราะลูกพูดความจริงพรุ่งนี้ลูกจะได้เล่นเกมเหมือนเดิม”

ไม่พาลใส่ลูก โฟกัสให้ตรงจุด แล้วให้อภัย

การรับมือกับลูกในวัยเด็ก พ่อแม่ต้องใช้กลยุทธ์แบบหนึ่ง แต่สำหรับเด็กในวัยที่โตขึ้น พ่อแม่ต้องอาศัยการทำความเข้าใจในกระบวนการคิดที่ซับซ้อนขึ้นของพวกเขาเช่นกัน

ซารา บีน (Sara Bean) ผู้ให้คำปรึกษาด้านการศึกษา ที่มีประสบการณ์ทำงานกับเด็กและครอบครัวมากว่า 10 ปี กล่าวไว้ในบทความ ‘The Surprising Reason for Bad Child Behavior: “I Can’t Solve Problems’ เผยแพร่ในเว็บไซต์เอ็มพาวเวอร์ริ่งแพเรนส์ (empowering parents) ว่า เด็กมีพฤติกรรมเชิงลบ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาของตัวเองอย่างไร
ซาราแนะนำให้พ่อแม่ลองสังเกตว่าลูกมีปัญหาเหล่านี้หรือไม่…

หนึ่ง ปัญหาด้านอารมณ์ (emotional problems)

วัยรุ่นต้องรับมือกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เหวี่ยงไปมาจนยากจะควบคุม ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธเคือง เศร้าเสียใจ ผิดหวัง ไม่ได้อย่างใจ หรือตื่นเต้น หลายครั้งพวกเขาไม่รู้วิธีการรับมือกับอารมณ์เหล่านี้ หลายอารมณ์อาจนำมาสู่พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการตะโกน การขว้างปาข้าวของ หรือแม้แต่การต่อยฝาผนัง เป็นต้น

สอง ปัญหาด้านการเข้าสังคมหรือความสัมพันธ์กับผู้อื่น (social/relationship problems)

วัยรุ่นหลายคนต้องการการยอมรับ แต่กลับแสดงออกด้วยการรังแก แกล้งเพื่อนคนอื่น ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

และ สาม ปัญหาการเรียน/ทำงาน (functional problems)

เป็นไปได้ที่หลายครั้ง เด็กๆ อาจไม่เข้าใจบทเรียนที่ครูสอนในห้องเรียน จนทำให้รู้สึกเบื่อ ไม่อยากสนใจ ไม่อยากเรียน ไม่ยอมทำการบ้าน แต่โกหกพ่อแม่ว่าทำการบ้านแล้ว หรือเลยเถิดไปถึงการหนีเรียน หากพ่อแม่ไม่สังเกตพฤติกรรมลูก สุดท้ายมักมารู้เมื่อผลการเรียนออกมาต่ำกว่าที่เคยเป็น สอบตก หรือได้รับจดหมายเชิญผู้ปกครอง ซึ่งไม่สามารถช่วยหนุนเสริมลูกแก้ปัญหาเรื่องนั้นได้แล้ว

ซาราบอกว่า เมื่อพ่อแม่เข้าใจลูกจากต้นเหตุของปัญหา ไม่โทษตีโพยตีพายว่าเป็นความผิดของใคร พ่อแม่จะอยู่ในสถานะที่พร้อมพูดคุยกับลูก เพื่อแนะนำวิธีการแก้ปัญหาและช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายได้ ดังนี้

หนึ่ง หลีกเลี่ยงการถามว่า “ทำไม”

“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้?” แต่เปลี่ยนเป็นการถามเปิดใจ เช่น “เล่าให้แม่ฟังได้ไหมลูกว่าเกิดอะไรขึ้น? มีอะไรที่แม่ช่วยได้บ้าง?”

สอง โฟกัสไปทีละปัญหา ไม่ซ้ำเติม

หลีกเลี่ยงการฉายภาพตอกย้ำสิ่งที่ลูกทำผิดพลาด แต่ร่วมเป็นทีมเวิร์คเพื่อหาทางแก้ไข…ทีละอย่าง!!! เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเครียด

สาม แนะนำด้วยการแนะแนวทาง

เมื่อวิธีการที่ลูกใช้แก้ปัญหาไม่ใช่ทางออก ลองถามลูกว่า “ลูกคิดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงได้อีก? ไม่มีผิดไม่มีถูก แม่อยากรู้ว่าลูกคิดยังไง?” แล้วร่วมแสดงความคิดเห็น

สี่ พ่อแม่พิจารณาตัวเองว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกหรือไม่

หลายครั้งที่พฤติกรรมเชิงลบของลูกมาจากการเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ หากพ่อแม่ชอบบ่น ทะเลาะกันให้ลูกเห็น ไม่มีความกลมเกลียวในครอบครัว ก็เป็นเรื่องยากที่ลูกจะได้เรียนรู้ตัวอย่างที่ดี

เห็นได้ว่า หากอยากให้ลูกเปลี่ยนพฤติกรรม พ่อแม่ก็ต้องปรับตัว ทั้งหมดต้องอาศัยความอดทน เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้และเข้าใจกันและกัน เป็นการเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี โดยไม่สร้างบาดแผลทั้งทางกายและทางใจ…

อ้างอิง
https://www.verywellfamily.com/
https://www.verywellfamily.com/
https://www.verywellfamily.com/
http://drjamesdobson.org/
https://www.psychalive.org/
https://www.empoweringparents.com/

Tags:

วินัยเชิงบวกการลงโทษ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

นักสืบสายน้ำ : กลับมาเคารพร่างกายตัวเอง ให้ ‘สัมผัส’ อ่านสิ่งแวดล้อม
SpaceCreative learning
21 April 2019

นักสืบสายน้ำ : กลับมาเคารพร่างกายตัวเอง ให้ ‘สัมผัส’ อ่านสิ่งแวดล้อม

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 4 วันกับทริป นักสืบสายน้ำ รุ่นที่ 2 จัดโดย มูลนิธิโลกสีเขียว ณ มะขามป้อมอาร์ตสเปซ ทริปที่เปิดพื้นที่ให้เข้าไปทดลองเป็นนักสืบที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่
  • จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ค้นพบว่าแมลงตัวเล็กๆ ที่เคยน่ารำคาญ กลับดูน่ารักขึ้นมาเสียอย่างนั้น
  • เครื่องมือหลักๆ ของนักสืบสายน้ำที่เจ๋งมากๆ คือ ‘ร่างกาย’ เดินเข้าไปในป่า ลองฟังว่าได้ยินเสียงอะไร เห็นอะไร ได้กลิ่นอะไร เราจะใช้ ‘สัมผัส’ เพื่อ ‘อ่าน’ สิ่งแวดล้อม 

“พอดูไปเรื่อยๆ แล้วจะพบว่ามัน ‘น่ารัก’ นะ เหมือนเราได้ทักทาย พูดคุย สวัสดีกับมันอย่างใกล้ชิดเลย”  

ก่อนหน้านี้ใครมาพูดประโยคทำนองนี้ให้ฟังคงทำหน้า ‘ยี้’ ใส่แรงๆ เพราะ ‘มัน’ ในที่นี้หมายถึง แมลง ที่ชอบส่งเสียงหวึ่งๆ ชวนรำคาญ

แต่ความรำคาญ ก็กลายเป็นความน่ารักขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 วันของทริป ‘นักสืบสายน้ำ’

ทริป นักสืบสายน้ำ รุ่นที่ 2 จัดโดย มูลนิธิโลกสีเขียว ณ มะขามป้อมอาร์ตสเปซ เปิดโอกาสให้คนทั่วไป(ที่ไม่เคยเห็นความน่ารักของแมลง) เข้าไปทดลองเป็นนักสืบที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ วันที่ 1-4 มีนาคมที่ผ่านมา

เพียงวันแรกที่ได้เข้าไปลองทฤษฎีและใช้เครื่องมือ ได้ ‘ทักทาย’ กับเจ้าแมลงน้ำเป็นครั้งแรก ส่องไปส่องมา… ก็ต้องหันไปพยักหน้าหงึกๆ ให้กับเจ้าของคำพูดข้างต้น แม่ชีวิ-วิภาพรรณ นาคแพน – นักวิจัยโครงการนักสืบสิ่งแวดล้อม ซึ่งอันที่จริงแม่ชีวิเป็นอิฐก้อนแรกของการสำรวจธรรมชาติ ทั้งนักสืบสายน้ำ, นักสืบสายลม, นักสืบชายหาด และงานวิจัยอื่นๆ แม่ชีอยู่กับเราวันนี้ในฐานะพี่เลี้ยงกลุ่ม 

“ฮือ มันน่ารักจริงๆ ค่ะแม่ชี” เราพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ร้องเสียงหลงตอบกลับไป

แม่ชีวิ-วิภาพรรณ นาคแพน

แต่คำว่า ‘น่ารัก’ ไม่อาจขยายความถึงสิ่งที่กระทำกับ ‘เด็กเมืองที่โตมากับห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว’ ได้ทะลุทะลวงนัก ซูมเข้าไปอีกนิด ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เจ้าแมลงที่กระทำกับเรา แต่เป็นการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ต้องใช้แว่นขยายส่อง มันขยับแข้งขากวาดไกวไปมาในน้ำ ตัวมันเล็กเสียจนกลัวว่าการขยับมือเพียงเล็กน้อยจะทำชีวิตมันสูญหาย เสียงน้ำไหลจากลำธารที่ทอดตัวข้างกันเตือนว่าเราพาตัวเองมาอยู่ที่ ‘บ้าน’ ของมันอย่างแท้จริง ไม่นับกลิ่นน้ำ ดิน และน้ำมันหอมระเหยจากกองทัพต้นไม้ข้างๆ ที่โอบล้อมเราอย่างไม่ทิ้งระยะห่าง ทั้งหมดย้ำเตือนอย่างไม่มีเสียงว่า…

“มันมีชีวิตจริงอื่นปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แค่เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเจ้าหรอกนะ”

“เครื่องมือหลักๆ ของนักสืบสายน้ำที่เจ๋งมากๆ คือ ‘ร่างกาย’ เดินเข้าไปในป่า ลองฟังว่าได้ยินเสียงอะไร เห็นอะไร ได้กลิ่นอะไร เราจะใช้ ‘สัมผัส’ เพื่อ ‘อ่าน’ สิ่งแวดล้อม”

ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

คือสิ่งที่ ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว ย้ำอยู่เสมอตลอด 4 วันของค่ายนักสืบสายน้ำ

อันที่จริงต้องบอกว่า ดร.สรณรัชฎ์ หรือ ‘พี่อ้อย’ ไม่ได้ย้ำอย่างสอนสั่ง แต่ออกแบบการเรียนรู้ตลอดทริปชนิดที่ ค่อยๆ จิ้มๆ ยื่นๆ ย้ำๆ อยู่เสมอว่า ร่างกายของเรา สัมผัส หรือ sense ของเรานี่แหละ ที่ใช้ ‘อ่าน’ ธรรมชาติ แน่นอนว่าต้องมีอุปกรณ์นิดหน่อย* แต่ก็หาได้ง่ายและมีอยู่แล้วตามบ้านเรือน ซึ่งนี่นับเป็นจุดตั้งต้นหรือปรัชญาของทั้งนักสืบสายน้ำ นักสืบสายลม และนักสืบชายหาดเลยว่า เป็นกระบวนการที่ทุกคนจะอ่านธรรมชาติได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิชาการ นักวิจัย หรือเป็นดอกเตอร์ใดๆ

แล้วทำไมต้องอ่านธรรมชาติ?

ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าธรรมชาติมีคุณต่อระบบนิเวศ แต่เพราะการใช้ชีวิตของมนุษย์อย่างรุกล้ำรุกรานทำให้ธรรมชาติผันผวนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง นักสืบสายน้ำไม่ใช่แค่ ‘อ่าน’ คุณภาพน้ำ แต่ทำนายหรือวิเคราะห์ต่อไปได้ด้วยว่า การมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของแมลงน้ำชนิดไหน และจำนวนเท่าไร (ทั้งหมดนี้เป็นไปตามกระบวนการที่อธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจนในหนังสือคู่มือนักสืบสายน้ำ) แปลว่าน้ำมีคุณภาพดีหรือไม่ แหล่งน้ำ ซึ่งเปรียบเป็น ‘บ้าน’​ ของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ปลอดภัยพอให้พวกมันอาศัยอยู่หรือเปล่า และจะปลอดภัยไปอีกนานแค่ไหน การปรากฏ​ตัวของแมลงบอกได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นทำนายต่อไปได้อีกว่า ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ยังคงอยู่แบบนี้ น้ำจะเสีย เน่า คุณภาพแย่ลง และมันจะส่งผลต่อกันเป็นวงจรต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างไรบ้าง

ที่น่าสนใจกว่านั้น การปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ยังอธิบายได้ด้วยว่า พฤติกรรมแบบไหนที่ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตบางพวกหายไปหรือเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น เป็นเพราะการท่องเที่ยว, การทิ้งขยะ, สิ่งปฏิกูลจากการเลี้ยงสัตว์ หรือเพราะการทำฝายอย่างไม่ถูกหลักการ ทำให้น้ำขังนิ่ง ไม่ไหลเวียนจนไม่มีออกซิเจน (นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า หนึ่งในกระบวนการทดสอบคุณภาพน้ำต้องวัดความเร็วของสายน้ำเข้าไปด้วย!)

สิ่งที่ผู้เขียนชอบที่สุดในการเป็นนักสืบสายน้ำ (ผู้เขียนสอบผ่านด้วยคะแนนเกือบเต็มนะเอ้อ! แม้ว่าจะช่วยกันคิดกับเพื่อนก็ตาม) นอกจากจะได้พบโลกใหม่ รู้จักกับแมลงน้ำหน้าตาประหลาด คือความเข้าใจที่ว่า… ธรรมชาติมอบความสงบและพลังงานกับเราได้อย่างไร

ครั้งแรกที่พี่อ้อยเดินขบวนนำทัพนักสืบเข้าป่า พี่อ้อยบอกให้หยุดเป็นระยะๆ และขอให้จดจำเสียงน้ำไหล สูดกลิ่นป่า ขอให้เงียบ ย้ำเสมอว่าให้เคารพร่างกายของตัวเอง ใช้ร่างกายเพื่อรับสัมผัสจากธรรมชาติรอบตัว โดยเฉพาะที่พี่อ้อยอธิบายว่า เสียงน้ำไหลจากลำธารไม่ได้กระทำกับประสาทหูอย่างเดียว แต่ประจุไฟฟ้าลบ (-) ที่เกิดจากการไหลของน้ำลอยฟุ้งในอากาศ เมื่อสูดอากาศบริเวณนั้นเข้าสู่ร่างกาย ประจุไฟฟ้าลบจะไปหักลบกับประจุไฟฟ้าบวกในร่างกายที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงาน ประจุไฟฟ้าลบเหล่านี้จะเร่งนำออกซิเจนซึมเข้าเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็วขึ้น ในอากาศที่มีประจุลบมากๆ ทำให้มนุษย์ไม่เครียดและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคสูงขึ้น

เราจึงเห็นสปาจำนวนมากมีอุปกรณ์ปล่อยละอองน้ำและใช้น้ำมันหอมระเหยทำปฏิกิริยากับร่างกาย มันคือการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งในป่าอย่างนี้ มีน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติลอยอวลให้สูดเก็บเป็นพลังงานกลับไปสู้กับฝุ่นควันและความเครียดสะสมในเมืองใหญ่อย่างไม่จำกัด (แม้ว่าวันที่ผู้เขียนลงไปจะเจอกับฝุ่นควันภาคเหนือก็ตาม ในช่วงเวลานั้นวัดค่า PM2.5 ทะลุ 200 มคก./ลบ.ม. ไปนิดๆ) 

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ ไม่รู้ว่าตลอดชีวิต 26 ปีที่ผ่านมาเราไปอยู่ไหน เคยไปเข้าค่ายเดินป่า หรือพ่อแม่ชวนไปเดินป่าตามเส้นทางที่อุทยานการท่องเที่ยวจัดไว้ให้ก็จริง แต่ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็น ‘บ้านของสิ่งมีชีวิตอื่น’ เท่าๆ กับที่มันเป็นบ้านของเรา ไม่เคยใกล้ชิดและรู้สึกเชื่อมโยง กระทั่งพบว่าเจ้าแมลงพวกนี้มัน ‘น่ารัก’ เท่าวันนั้น

ทั้งหมดนี้เพียงอยากจะวกกลับมาว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นนักสืบสายน้ำ แต่คงจะดีไม่น้อยหากเด็กๆ ตัวเล็ก ประชากรที่เกิดใหม่ในเมืองต่างๆ ได้มีพื้นที่แห่งการเรียนรู้ หรือ outdoor education แบบนี้เยอะๆ เพราะถ้าเราตั้งต้นอยากให้คนมีจิตสำนึกเรื่องธรรมชาติ แต่จะทำได้อย่างไรหากเราไม่เคย ‘สัมผัส’ และรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติจริง

จะสอนให้เรารักธรรมชาติจากเลคเชอร์บนกระดาน เพียงเท่านั้นเองหรือ?

*อุปกรณ์ของนักสืบสายน้ำไม่หรูหราอลังการ แต่หาและใช้ได้จริงในครัวเรือนและร้านขายอุปกรณ์ใกล้บ้านเรา

– แว่นขยายขนาด X10 แบบที่ใช้ส่องพระ
– กระชอนตาข่ายละเอียด
– ถาดลึกหรือกะละมังสีขาว
– ถ้วยน้ำจิ้มพลาสติกสีขาว
– พู่กันเล็กๆ
– ช้อนพลาสติก

ส่วนถ้าจะวัดความเร็วการไหลของน้ำ อุปกรณ์ที่เพิ่มเติมมาคือ เชือกยาว 10 เมตร และ ผลส้ม วิธีการคือปล่อยผลส้มให้ลอยไปตามน้ำระยะทาง 10 เมตร (ใช้เชือกที่เตรียมไว้กะระยะทาง) แล้วจับเวลาดูว่าผลส้มนั้นใช้เวลาเท่าไร ทำซ้ำ 3 ครั้งแล้วหาค่าเฉลี่ย วิธีคิดง่ายๆ ก็คือ หากน้ำไหลเร็วมาก ก็แปลว่าน้ำมีการไหลเวียน ยิ่งไหลเวียนมากก็ยิ่งผลิตออกซิเจนมาก

**หนังสือ คู่มือนักสืบสายน้ำ ฉบับปรับปรุงประกอบด้วยหนังสือ 2 เล่ม คือ คู่มือสำรวจและดูแล และ คู่มือสัตว์ลำธาร เป็นการจัดทำเนื้อหาขึ้นและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่หลังจากตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2542 และครั้งที่สอง ปี 2545 ภายใต้โครงการนักสืบสายน้ำ มูลนิธิโลกสีเขียว ซึ่งหนังสือชุดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและเผยแพร่หมดมานานหลายปี

ถึงทุกวันนี้ ความต้องการหนังสือคู่มือชุดนี้ยังมีอยู่มาก ในปี 2561 มูลนิธิโลกสีเขียวจึงปรับปรุงหนังสือคู่มือนักสืบสายน้ำ ขึ้นใหม่ด้วยข้อมูลชีววิทยาที่ทันสมัยจากฐานงานวิจัยที่จัดการอย่างละเอียดและยาวนาน ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางทั่วประเทศไทยโดยเฉพาะภาคอีสาน และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจัดพิมพ์โดย มูลนิธิสยามกัมมาจล

Tags:

เข้าป่าความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมeco literacyมูลนิธิโลกสีเขียว

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    Parkใจ ปวดใจเมื่อไหร่ให้เข้าป่า

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน: หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

เพราะไม่อยากให้ปู่ย่าตายายใช้ชีวิตอย่างซึมเศร้า วัยรุ่นสตูลจึงออกตรวจสุขภาพกายและใจ
Creative learningCharacter building
19 April 2019

เพราะไม่อยากให้ปู่ย่าตายายใช้ชีวิตอย่างซึมเศร้า วัยรุ่นสตูลจึงออกตรวจสุขภาพกายและใจ

เรื่องและภาพ The Potential

  • ไม่อยากเห็นปู่ยาตายาย ใช้ชีวิตอย่างซึมเศร้ากันอีกต่อไป วัยรุ่นบ้านเขาน้อย จ.สตูล จึงลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อลดช่องว่างระหว่างวัยและทำให้สุขภาพกายและใจของวัยถือไม้เท้า-ดีขึ้น
  • เด็กๆ เลือกใช้ ‘ระบบวิจัย ใช้ข้อมูลปฐมภูมิจากรพสต. และลงเก็บข้อมูลเพิ่มในพื้นที่ สำรวจความต้องการของผู้สูงอายุในชุมชน ทั้งใช้แบบสอบถาม จดบันทึก อัดเสียง และถ่ายวิดีโอ เพราะคิดว่าการรู้ข้อมูลรอบด้านจะทำให้ ‘แก้ปัญหาได้ถูกจุด’
  • ไม่ใช่แค่ตรวจสุขภาพและสร้างกิจกรรมออกกำลังกาย พวกเขาอยากต่อยอดโครงการจักสารชุมชนและให้ผู้สูงอายุในฐานะปราชญ์ชุมชนและผู้รู้เรื่องวัฒนธรรมเป็นผู้ถ่ายทอดโครงการ นอกจากงานจักสานอาจกลายธุรกิจชุมชน แต่ผู้สูงอายุยังได้มีกิจกรรมทำ และสานต่อวัฒนธรรมชุมชนอีกด้วย

ภาพชุมชนชนบทในฝันของใครหลายคนอาจเป็นภาพทุ่งนาเขียวขจี ผู้คนหลากวัย เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ อยู่ด้วยกันเป็นวิถีชีวิตที่งดงามตามครรลอง…

ตัดภาพกลับมาชีวิตจริง-คนรุ่นใหม่และวัยแรงงานพากันย้ายถิ่นออกจากชุมชนที่เคยวิ่งเล่น  ไปเรียน ไปทำงานเพื่อปากท้องในเมืองใหญ่เพราะอยู่บ้านไม่มีจะเลี้ยงปากท้อง และหลายคนไม่มีโอกาสได้หวนกลับบ้านเกิดอีกเลย

ภาพที่เห็นคือ ‘สังคมสูงวัย’ ที่ใช้ชีวิตร่วมกับเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น หลายๆ ที่มีช่องว่างเพราะความต่างระหว่างวัย แต่ไม่ใช่ที่นี่ – บ้านเขาน้อย

เยาวชนกลุ่มหนึ่งในชุมชนบ้านเขาน้อย ตำบลย่านซื่อ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ประกอบด้วยซอล-ไฟซอล สาดอาหลี, นี-ฟิวส์ลดา โย๊ะฮาหมาด และนิส-นัสรีน สาดอาหลี  เล็งเห็นปัญหานี้ จึงรวมกลุ่มกันทำโครงการศึกษาเรียนรู้สุขภาพผู้สูงอายุตามวิถีชุมชน ด้วยการลุกขึ้นมาดูแลผู้สูงอายุในชุมชนที่ขาดคนดูแล ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุดูแลตัวเองได้ มีสุขภาพดีทั้งด้านร่างกาย สังคม และจิตใจ

ซอล-ไฟซอล สาดอาหลี, นี-ฟิวส์ลดา โย๊ะฮาหมาด, นิส-นัสรีน สาดอาหลี

‘ตั้งใจดี’ คือจุดตั้งต้น แต่หัวใจสำคัญของกิจกรรม คือ ‘ข้อมูล’

“ในหมู่บ้านของเรามีผู้สูงอายุค่อนข้างเยอะ บางคนถูกทอดทิ้งไม่ได้รับการดูแลจากครอบครัว ไม่อบอุ่น ทั้งยังมีผู้สูงอายุติดเตียง พวกเราเลยเห็นตรงกันว่าน่าจะทำโครงการเกี่ยวกับผู้สูงอายุ จากที่เคยซึมเศร้าเพราะอยู่แต่ในบ้าน ให้เขาได้ออกมาทำกิจกรรมพบปะกับเพื่อนวัยเดียวกัน ได้พูดคุย ได้หัวเราะให้เขารู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากลูกหลาน เพื่อให้เขามีกำลังใจในการมีชีวิตต่อไปค่ะ” นิสบอกเล่าความตั้งใจของเธอ

เมื่อความตั้งใจมีแล้ว ขั้นต่อไปคือการเก็บข้อมูล ทีมงานเก็บข้อมูลจาก 2 ทาง หนึ่ง-ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว คือจำนวนผู้สูงอายุจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และ สอง-ข้อมูลด้านสุขภาพที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ได้สำรวจไว้ และจากข้อมูลชุดนี้พบว่า ผู้สูงอายุกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคความดัน รองลงมาคือเบาหวาน

หลังได้ข้อมูลชุดแรกแล้ว ทีมงานเดินหน้าหาข้อมูลอีกชุดโดยลงไปเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุ และสำรวจความต้องการของผู้สูงอายุในชุมชนด้วยแบบสอบถาม จดบันทึก อัดเสียง และถ่ายวิดีโอ เพราะคิดว่าการรู้ข้อมูลรอบด้านจะทำให้แก้ปัญหาได้ถูกจุด

ผลการสำรวจทำให้ทีมงานพบว่า ผู้สูงอายุในชุมชนอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเป็นผู้ป่วยติดเตียง 2 คน ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตลอดการเดิน 1 คน ส่วนรายที่ยังเดินเหินคล่องแคล่วก็มีโรคประจำตัวคือโรคความดัน สิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการด้านสุขภาพคือการดูแลช่วยเหลือตามอาการเจ็บป่วย แต่สิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการและคิดว่าสำคัญมากกว่า คือความต้องการทางด้าน ‘จิตใจ’

ซอลเล่าว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่บอกว่าอยากพบปะกับเพื่อนๆ เพราะคู่ชีวิตของเขาจากไปแล้ว ทำให้ต้องอยู่คนเดียว หรือไม่ก็อยู่กันอย่างเงียบเหงา เนื่องจากลูกหลานไปทำงานกันหมดจึงต้องการเจอเพื่อนรุ่นเดียวกันเพื่อคลายเหงา

กิจกรรมที่คุณตาคุณยายบอกว่าอยากทำ คือพื้นที่ให้ผู้สูงอายุมาพบปะกัน อาจเป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันเองอยู่แล้วและทำไหว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยนำกิจกรรมเหล่านี้มาทำร่วมกันเลย เช่น การปลูกผักร่วมกัน สานใบลานใบเตยด้วยกัน

จากข้อมูลทั้งหมด ทีมงานจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาออกแบบกิจกรรม นั่นคือ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง, กิจกรรมตรวจวัดความดันเพื่อติดตามสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นระยะ และ การลงไปเติมกำลังใจให้ผู้สูงอายุ

กิจกรรมสร้างสุข(ภาวะ) ออกกำลังกายและเข้าเยี่ยมคุณปู่ย่าตามบ้านเรือน

กิจกรรมแรกที่ทีมงานจัดขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุในชุมชนได้มาพบปะกันคือกิจกรรมออกกำลังกายด้วยไม้กระบี่กระบองซึ่งทุกคนผลิตได้เองและทำได้ง่ายจากวัสดุท้องถิ่น สถานที่ออกกำลังกายคือมัสยิดประจำชุมชน นอกจากนี้ ทีมงานยังประสานกับ อสม. เพื่อให้เข้ามาช่วยเป็นวิทยากรให้ความรู้ วัดความดันผู้สูงอายุ และขอคำปรึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะจัดด้วย กระทั่งเลือกเป็นการออกกำลังกาย

ผลของความตั้งใจ คือการตอบรับของผู้สูงอายุเข้าร่วมกิจกรรมนั้นเกินกว่าความคาดหมาย และบรรยากาศโดยรวมดำเนินไปอย่างราบรื่น

“มันไม่ใช่แค่ออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ทำให้ผู้สูงอายุหลายคนได้พบปะกัน ได้สนุกสนานกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันกับเขา ปกติแล้วชาวบ้านจะได้เจอกันต้องอาศัยช่วงวันฮารีรายอเท่านั้น กิจกรรมนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุได้มีโอกาสมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน มีเสียงหัวเราะ การพูดคุยเรื่องสารทุกข์สุขดิบจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักที่เกิดขึ้นระหว่างรอทำกิจกรรม”  นิสเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

กิจกรรมต่อมาคือการเยี่ยมผู้สูงอายุตามบ้านเพื่อติดตามสุขภาพของผู้สูงอายุในวันเสาร์อาทิตย์ หลังเลิกเรียน หรือขึ้นกับเวลาของสมาชิกแต่ละคนว่าจะว่างวันไหนบ้าง หลายครั้งไม่ใช่แค่การเยี่ยมอย่างเดียว แต่มีของฝากติดไม้ติดมือไปให้ผู้สูงอายุ และชวนน้องคนอื่นๆ ในชุมชนไปช่วยฟังช่วยคุยด้วย ซึ่งทุกครั้งที่ไปจะมีการจดข้อมูลไว้เพื่อเก็บเป็นข้อมูล นอกจากนี้ ในกิจกรรมจะมีการวัดความดันและการพูดคุยเป็นกำลังใจแก่ผู้สูงอายุ ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ ทีมงานต้องไปเรียนรู้วิธีวัดความดันจากพี่ๆ อสม. ผ่านการฝึกอย่างจริงจึงเพื่อความเข้าใจ

“ระหว่างตรวจ เราก็จะพูดคุยกับผู้สูงอายุไปด้วยว่าความดันของเขาเป็นอย่างไร มีสาเหตุจากอะไร แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้เป็นปกติ และคอยให้กำลังใจเขาครับ” ซอลเล่า

ระดับความสุขไม่จำกัดอายุ

แม้ข้อมูลที่จดบันทึกจะยังไม่สามารถบอกความก้าวหน้าด้านสุขภาพกายของผู้สูงอายุได้ แต่สิ่งที่ทีมงานสัมผัสถึงความก้าวหน้าได้อย่างชัดเจนคือ ‘สุขภาพใจ’ ของผู้สูงอายุที่เพิ่มเลเวลขึ้นจนปรากฏออกมาเป็นรอยยิ้มตลอดเวลาที่พวกเขาไปหาที่บ้าน ชัดเจนที่สุด เห็นจะเป็นกรณีของผู้สูงอายุติดเตียงท่านหนึ่งที่พยายามยกแขนยกขาของตัวเองให้ได้เวลาที่พวกเขาไปช่วยทำกายภาพบำบัด ขณะเดียวกันทีมงานก็ค้นพบว่าสุขภาพใจพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปไม่ต่างจากผู้สูงอายุ

“ก่อนหน้านี้เราไม่เคยไปเยี่ยมผู้สูงอายุคนอื่นนอกจากญาติของตัวเอง แต่โครงการนี้ทำให้เราได้เข้าไปทำความรู้จักกับผู้สูงอายุในชุมชนมากขึ้น แม้ต่อไปจะไม่ทำโครงการนี้แล้ว เราก็คงไปเยี่ยมผู้สูงอายุเหมือนเดิมอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะเกิดความผูกพันกับเขาไปแล้ว” นิสบอกความรู้สึก

ไม่ใช่แค่ตรวจเยี่ยมสุขภาพ แต่พวกเขายังเดินหน้าโครงการต่อไปสำหรับผู้สูงอายุเป็นที่เรียบร้อย โครงการที่ว่าไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือข้อมูลความต้องการของผู้สูงอายุที่ทีมงานเคยสำรวจไว้ก่อนหน้านี้

“จักสานเป็นภูมิปัญญาของชุมชนบ้านเขาน้อยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้สูงอายุหลายคนยังมีภูมิปัญญาเรื่องนี้อยู่ เราจึงจะจัดกิจกรรมที่ผู้สูงอายุจะได้มารวมตัวและร่วมกันถ่ายทอดภูมิปัญญานี้ให้คนรุ่นหลัง ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่การสร้างรายได้แก่ผู้สูงอายุด้วยค่ะ” นิสเล่า

นีเสริมต่อว่า ยังมีกิจกรรมปลูกผักคิดว่าจะใช้พื้นที่แถวมัสยิด เพราะเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่ผู้สูงอายุได้รวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันได้ และผู้สูงอายุจะได้มีผักปลอดภัยไว้กินด้วย

แม้กิจกรรมหลังจากนี้จะมีเป้าหมายที่มากขึ้นทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องอาหารการกินดี ๆ ทีมงานก็ยังไม่หลงลืมเป้าหมายหลักที่จะจัดกิจกรรมเหล่านี้ให้เป็นพื้นที่รวมตัวกันของผู้สูงอายุได้พบปะกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งทำให้สุขภาพจิตของผู้สูงอายุดีขึ้น ซึ่งพวกเขายืนยันว่า เพราะเป้าหมายที่สำคัญที่สุดนั่นคือการทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลผู้สูงอายุมีกำลังใจในการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป

เส้นทางการเรียนรู้ของเด็กๆ ผ่านการทำงานกับผู้สูงวัย

มองจากความสำเร็จของโครงการ หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาเดินทางด้วยทิศที่ถูกต้อง และย่ำอยู่บนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทว่าสำหรับการทำงานภายในทีม พวกเขาก็ต้องพบขวากหนามไม่ต่างจากทีมอื่นๆ ปัญหาใหญ่ที่สุดคือเรื่อง ‘เวลา’ เพราะชีวิตของแต่ละคนไม่ได้มีพาร์ทเดียว ไหนจะการเรียน การบ้าน กิจกรรม และครอบครัว แม้แต่กะเซาะห์-บาจรียา แซะอามา พี่เลี้ยงโครงการเองก็ยังมีปัญหา เธอกล่าวขอโทษน้องๆ หลายครา แต่ในที่สุดปัญหาดังกล่าวก็คลี่คลายลงได้

กะเซาะห์ บาจรียา แซะอามา พี่เลี้ยงโครงการ

ซอลเล่าว่า เริ่มจากการทำความเข้าใจกันก่อนว่าแต่ละคนต่างไม่มีเวลา เบื้องต้นคุยกันว่าจะล็อกเวลาทำงานหลังเลิกเรียน และเสาร์-อาทิตย์ แต่ละคนต้องสละเวลาส่วนตัวมาทำเพื่อส่วนรวม เวลาที่ไม่ได้มาทำกิจกรรมก็ลองบริหารเวลาของตัวเองควบคู่ไป

วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่งจึงเข้าที่เข้าทาง และกลายเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะช่วยฝึกนิสัยการบริหารเวลาของพวกเขาไปในตัวด้วย ขณะเดียวกันทีมงานแต่ละคนก็ได้ค้นพบศักยภาพใหม่ที่ฉายแสงออกมาหลังจากเข้ามาทำโครงการนี้

นิสเล่าว่าโครงการนี้ยังเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาศักยภาพและความสามารถทางสังคม (soft skill) ของเธอด้วย เช่น เมื่อก่อนไม่ค่อยพูด ถามคำตอบคำ กลับจากโรงเรียนก็จะเก็บตัวอยู่ในบ้าน ขั้นแรก โครงการทำให้เธอพัฒนาทักษะการพูด ทักษะการบริหารจัดการ ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ

นีเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าพูดเช่นกัน เธอบอกว่าเมื่อก่อนเวลาต้องนำเสนองานในโรงเรียน เธอจะให้เพื่อนเป็นคนพูดแทน แต่หลังจากเข้ามาทำโครงการนี้ เธอพบจุดเปลี่ยนที่เข้ามาพังทลายกำแพงความกลัวลงไป

“ครั้งหนึ่งตอนเข้าร่วมเวทีเวิร์กชอปของโครงการกลไกฯ บังเชษฐ์ (พิเชษฐ์ เบญจมาศ และ ประวิทย์ ลัดเลีย โคชจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสตูล) ให้เราทุกคนพูดตอนจบกิจกรรมว่าได้เรียนรู้อะไร ถ้าใครไม่พูดจะไม่ได้กลับบ้าน หนูมีเรื่องที่จะพูดอยู่ในใจมาตลอดทุกครั้งที่เข้าร่วมกิจกรรมแต่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวผิด กลัวถูกต่อว่า แต่ครั้งนั้นด้วยความกลัวไม่ได้กลับบ้าน เลยฝืนใจพูดออกมาค่ะ (หัวเราะ)

“พอพูดแล้วไม่มีใครตำหนิ หนูเลยรู้สึกดีที่กล้าพูด หลังจากนั้นเวลาเข้าร่วมเวทีหรือมีกิจกรรมอะไรก็พูดออกมาเอง ไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน แค่พูดไปตามที่คิด ตามที่เห็นค่ะ”

เช่นเดียวกับซอลที่บอกว่าการไม่ถูกตัดสินว่าสิ่งที่พูดนั้นผิดหรือถูกก็มีผลต่อความกล้าของเขา จากเมื่อก่อนไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ เพราะกลัวทำผิด แต่พอได้เข้าร่วมเวทีเวิร์กชอปที่ต้องแลกเปลี่ยนพูดคุยทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ  และทำกิจกรรมที่ต้องพูดคุยกับผู้สูงอายุก็ทำให้เขาพบจุดเปลี่ยน

“ภูมิใจมากครับที่ได้ทำโครงการนี้ เพราะถ้าไม่มีโครงการนี้ พวกเราอาจไม่มีความรู้ ความกล้าที่จะเข้าไปพูดคุยกับผู้สูงอายุ และทำให้ผู้สูงอายุมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใสในทุกๆ วันแบบนี้” ซอลบอกถึงความสุขที่ได้รับ

ความตั้งใจสุดท้ายของทีมงานเกี่ยวกับโครงการนี้คือ อยากให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น จึงตั้งใจว่าจะจัดทำ ‘นาฬิกาชีวิต’ ของผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรงและผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ที่รวบรวมข้อมูลจากการพูดคุยสอบถามผู้สูงอายุในชุมชนเพื่อเปรียบเทียบกันแล้วบันทึกไว้ใน ‘สมุดผู้สูงอายุต้นแบบ’ ทีมงานแอบกระซิบเคล็ดลับบางข้อที่พวกเขารู้มาว่า

“ผู้สูงอายุที่สุขภาพดีส่วนใหญ่ จะตื่นเช้ามาออกกำลังกาย เน้นทานผักทานปลาเป็นประจำ และดื่มนมก่อนเข้านอนค่ะ”

เป็นตัวอย่างของกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งที่ไม่นิ่งดูดายต่อปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนของตนเอง ซ้ำยังลุกขึ้นมาเอาธุระกับผู้สูงอายุในชุมชนเสมือนเป็นคนในครอบครัว “รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ” ของผู้สูงอายุที่ทำกิจกรรม ถือเป็นรางวัลที่เยาวชนกลุ่มนี้รู้สึกภาคภูมิใจหลังจบโครงการ

Tags:

active citizenproject based learningสังคมสูงวัยสตูล

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ปันจักสีลัต ศิลปะและการต่อสู้ ที่ใช้ทั้งกาย จิต และปัญญาประสานเป็นหนึ่งเดียว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3
Learning Theory
18 April 2019

เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • อัพเดทเรื่องเพศศึกษาในตำราเรียน วันนี้เด็กๆ หันกลับมาหาความรู้เรื่องนี้จากห้องเรียนได้หรือยัง
  • ปลายทางอย่างคุณแม่วัยใส อาจเป็นหนึ่งในความล้มเหลวของการเรียนการสอน เพราะเด็กๆ ยังไม่ถูกสอนหรือแม้กระทั่งได้ทำความรู้จักสิ่งที่เรียกว่า Sexuality Education (เพศวิถีรอบด้าน หรือเพศวิถีศึกษา) สักที
  • ข่าวดีคือ ตอนนี้ หนังสือเรียนที่กำลังพัฒนาและบรรจุอยู่ในหนังสือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หนึ่งในนั้นคือบทที่บอกว่าสามารถ ‘ยุติการตั้งครรภ์’ ได้และมันไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้าย

คงไม่ช้าเกินไปหากจะย้อนกลับไปพูดประเด็น Sex Education ภาพยนตร์สตรีมมิ่งของ Netflix ที่จุดกระแสการพูดเรื่อง ‘เพศ’ ในประเทศไทย ยิ่งคึกคักและถูกตั้งคำถามมากขึ้นในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อพรรคพลเมืองไทยและกลุ่มพลังหญิงเพื่อพลเมืองไทย ร้องต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ปลดป้ายภาพยนตร์ชุดดังกล่าวจำนวน 2 จุดในเขตกรุงเทพมหานครลง

หากพยายามทำความเข้าใจ ‘ผู้ใหญ่’ ในบ้านเมือง คงเป็นความห่วงกังวลว่าเด็กและเยาวชนจะ ‘หัวนอก’ เกินไป ไม่อยากให้ไทยครองสถิติคุณแม่วัยใสอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ติดต่อไปอีกหลายปี ขณะที่ข้อถกเถียงอีกด้านตั้งคำถามที่น่าสนใจเช่นกันว่า… แล้วการปิดกั้นไม่ให้ข้อมูล ไม่สร้างความเข้าใจ ไม่มอบทางเลือก – อันมาจากความเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกาย เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดแล้วหรือ?

ที่สุดแล้ว สถิติคุณแม่วัยใสประเทศไทยที่สูงติดอันดับตลอดหลายปีจะถูกใช้เป็นหลักฐานได้หรือยังว่า ระบบการเรียนการสอนเรื่องเพศโดยเฉพาะในบ้านและโรงเรียน ถึงเวลาต้อง ‘ชำระ’ กันเสียที?

The Potential ชวน แสงจันทร์ เมธาตระกูล ผู้จัดการโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Electronic-learning เพื่อพัฒนาสมรรถนะครูให้สอนเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต มูลนิธิ Path2Health ในฐานะภาคประชาสังคมที่ทำงานพัฒนาหนังสืออ่านเพิ่มเติมเพศวิถีศึกษา และหนึ่งในคณะทำเนื้อหาหนังสือวิชาสุขศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 และเป็นคณะกรรมการปรับเนื้อหาวิชาสุขศึกษากับสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อคุยเรื่อง Sex Education กันอย่างจริงๆ จังๆ

บทความชิ้นนี้ตั้งต้นที่คำว่า Sex Education (เพศศึกษา) VS Sexuality Education (เพศวิถีรอบด้าน หรือเพศวิถีศึกษา) ทำความเข้าใจว่า คำที่เหมือนจะคล้าย แท้จริงแล้วให้ความหมายในระดับมุมมองความคิด ไปจนถึงวิถีปฏิบัติทางสังคมที่ต่าง, เนื้อหาของวิชาเพศวิถีรอบด้านคืออะไร มีอะไรบ้าง?, สิ่งที่ได้และเสียไปจากการตัดตอน ปิดปากไม่พูดเรื่องเพศ ทำอะไรกับสังคมบ้าง และ สำคัญที่สุด เนื้อหาเหล่านี้ ถูกนำไปปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในหนังสือเรียนได้จริงไหม ถ้าได้ รูปร่างหน้าตาของมันเป็นอย่างไร คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?

Sex VS Sexuality Education แตกต่างกันอย่างไร

ในสังคมไทย เราไม่ค่อยพูดเรื่องเพศอย่างเป็นทางการ แต่ในวิถีชีวิตประจำวันเราพูดถึงมาเนิ่นนาน เช่น ในหมู่เพื่อน คนสนิทใกล้ตัว มีล้อ แซว คุยกันในเรื่องทางเพศ ทั้งนี้ทั้งนั้น เทอมการจัดการศึกษาเดิมก็ไม่มีคำว่าเพศอย่างจริงจังในระบบ แต่เริ่มมีขึ้นในช่วงสงครามโลกจากประเด็นกามโรค อันเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและทำให้เกิดโรคติดต่อ หลังจากนั้นจึงมีการจัดการศึกษาให้เข้าใจเรื่องกามโรค ต่อมาจึงเป็นการศึกษาเรื่องชีวิตและครอบครัว เรื่องการแต่งงาน

คำว่า ‘เพศ’ (sex) เริ่มมาในระยะหลังและมาพร้อมกับความเป็นวิทยาศาสตร์ในแง่สรีระร่างกาย คำว่า Sex Education จึงค่อนข้างผูกติดกับเรื่องสรีระร่างกาย หน้าที่ของอวัยวะสืบพันธ์ุ หรือโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ และสมัยนั้นก็ยังไม่มีคำอื่นนอกไปจากคำนี้ (Sex Education) ความเข้าใจเรื่องเพศ (sex) จึงจำกัดอยู่แค่นั้น

ด้วยความเข้าใจแบบนั้น คำว่า sex จึงผูกกับคำว่า ‘เพศสัมพันธ์’ ?

กรอบนี้มันติดอยู่ในหัวคนมาตลอดว่า เพศ คือ เพศสัมพันธ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจู๋ จิ๋ม หน้าอก สะโพก นม เราเชื่อมโยงความเข้าใจไปในทางนั้น และเพราะความเข้าใจว่าการมีเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดโรค วิชาเพศศึกษาเดิมจึงผูกโยงความเข้าใจในเทอมนั้น Sex Education หรือเพศศึกษา ยังพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัว การแต่งงาน การป้องกันโรค การคุมกำเนิด พัฒนาการร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป และความต้องการเรื่องเพศสัมพันธ์เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงเรื่องเพศในแง่มุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของคน

แต่ในระยะหลัง โลกเปลี่ยนไป วิถีชีวิตคนเปลี่ยน ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ เพศวิถีรอบด้าน หรือ Comprehensive Sexuality Education จึงเป็นความรู้อีกชุดที่มองไปยังพฤติกรรมมนุษย์ เช่น เมื่อคนเราโตขึ้นแล้วเกิดความเปลี่ยนแปลง เกิดความสนใจเรื่องเพศจึงนำมาซึ่งวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับเรื่องเพศ เช่น ความรู้สึก ความต้องการ ตัวตนทางเพศของตนเองว่าเราเป็นเพศอะไร มีเรื่องความรื่นรมย์ทางเพศ มีคุณค่าทางสังคมหรือค่านิยมเข้ามาร่วมด้วย เช่น บทบาททางเพศ การปฏิบัติตัวของเพศต่างๆ กรอบเรื่องเพศวิถีรอบด้านจึงกว้างขึ้นมาก กินความหมายถึงความเข้าใจตัวเอง การเติบโต ความสนใจเรื่องเพศ แรงดึงดูด และการเรียนรู้เพื่อสร้างสัมพันธภาพ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มีความหลากหลายทางเพศและในวิถีทางเพศ

มิติต่างๆ ที่สัมพันธ์กับเรื่องเพศเป็นอย่างไร

เอาเข้าจริงแล้วเพศมีอยู่ทุกที่แม้แต่ในวัด วัดมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนอยู่ในนั้น หรือข้อกำกับต่างๆ ของแต่ละเพศ เรื่องเพศในแง่มุมที่เป็นแรงบันดาลใจเชิงศิลปะ เรื่องเพศที่สอดแทรกในโฆษณา เช่น การใช้แรงขับทางเพศเป็นจุดขาย เครื่องสำอาง ก๊อกน้ำ แชมพู ยาสระผม การเอาเนื้อตัวร่างกายผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ เรื่องเพศเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในทุกมุมของชีวิต เช่น การประกอบอาชีพ กฎหมาย สิทธิและความเสมอภาคทางสังคม การเข้าถึงและได้รับบริการทางเพศและอนามัยเจริญพันธ์ุ คำว่าเพศวิถีรอบด้านจึงเป็นการเรียนรู้แง่มุมเรื่องเพศที่อยู่ในที่ต่างๆ รวมทั้งในแง่ตัวเอง

แต่เดิม Sex Education พูดถึงแค่การเห็นอวัยวะภายนอก จู๋ กับ จิ๋ม มนุษย์จึงมีแค่สองเพศ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เรามีเพศหลากหลายมาก ความเป็นเพศมาจากข้างในตัวคน เป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติของคนนั้นว่าเขาจะเป็นเกย์ ทอม เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวล และอื่นๆ คำว่า Sexuality Education เพศวิถีศึกษา หรือ Comprehensive Sexuality Education เพศวิถีรอบด้าน จึงเป็นการศึกษาแง่มุมการดำเนินชีวิตที่มีเพศเข้ามาเกี่ยวข้องและมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ กรอบการเรียนรู้ทั้งสองเรื่องเลยต่างกันค่อนข้างเยอะ ซึ่งประเด็นนี้ก็กลับมาท้าทายความคิดของคนในสังคม

คนมักบอกว่าประเทศไทยเปิดกว้างทางเพศ เรามีเพื่อนเป็นคนหลากหลายทางเพศ เห็นพวกเขาในโทรทัศน์ และเป็นผู้นำหลายเรื่องโดยเฉพาะด้านบันเทิง แต่อีกด้าน เรายังได้ยินคำศัพท์ ‘ซ่อมทอม’ , คิดว่ากะเทยทุกคนชอบลวนลาม, กะเทยหรือเกย์ต้องเป็นคนตลก และอื่นๆ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเราไม่มีความเข้าใจเรื่องเพศรอบด้านอย่างแท้จริง พูดได้ไหมว่านี่คือหนึ่งในความแตกต่างระหว่างวิชา เพศศึกษา กับ เพศวิถีศึกษา ทำความเข้าใจเพศวิถีแตกต่างมากขึ้น?

คือแม้ว่าคนบางกลุ่มจะพูดเรื่องเพศอย่างสะดวกใจ หยอกเอินเรื่องเพศกันได้ แต่ถ้าต้องพูดกันอย่างจริงจัง เราก็อึดอัดไม่สะดวกใจที่จะพูดออกไปอย่างเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่มันเป็นปกติ เพราะเราไม่ได้จัดการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังและหลายแง่มุมว่ามันสัมพันธ์กับวิธีคิดและการให้คุณค่าในสังคม ซึ่งทั้งที่สังคมไทยแต่ก่อน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เลยนะ เราก็เปลือยอก เสื้อผ้าไม่ต้องแยกชายหญิงและเด็กกับผู้ใหญ่ใส่เหมือนกันหมด อยู่ก่อนแต่งก็มี เพศสัมพันธ์นอกสมรสก็มี แต่พอมีวัฒนธรรมวิคตอเรียนซึ่งมาจากฐานคิดแบบคริสเตียนเข้ามาที่ต้องการสร้างประเทศให้ศิวิไลซ์ ความคิดชุดนี้จึงกลับมาเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเพศในสังคมไทย

หรืออย่างเช่น การแต่งงานสมัยก่อนไม่ใช่แค่ความโรแมนติก แต่เพื่อครอบครัว เพื่อเศรษฐกิจ แต่พอสังคมเปลี่ยน สังคมให้คุณค่าเรื่องเพศสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัวเพียงเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันวิถีชีวิตของคนยุคสมัยนี้ก็แต่งงานช้าลง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีเพศสัมพันธ์ ฉะนั้น การพูดถึงเรื่องเพศที่เป็นชีวิตมันก็ต้องมีมุมของความรื่นรมย์ คนเรามีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เพื่อมีลูกแต่เพื่อผ่อนคลาย เพื่อตอบสนองความต้องการปลดปล่อยของแต่ละคน แต่เราจะมีอย่างไรและอย่างรับผิดชอบ แต่ผู้ใหญ่อาจยอมรับไม่ได้และไม่ยอมที่จะมองเรื่องเพศในแง่มุมเช่นนี้ ไม่สะดวกใจจะพูดเรื่องการใช้ถุงยางในห้องเรียน เรื่องการช่วยตัวเอง

การสื่อสารเรื่องเพศจึงควรทำให้เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ทุกคนควรเรียนรู้เพื่อเลือกได้ว่าตัวเองจะจัดการชีวิตของตัวเองแบบไหน มันเป็นความอึดอัดที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าพูด และพยายามจะปฏิเสธมัน

วิชาเพศศึกษาไม่ได้พูดเรื่องเพศสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัวอย่างเดียว แต่ให้คุณค่าเฉพาะเพศชายด้วย วิชาเพศวิถีรอบด้าน จะทำความเข้าใจเรื่องชายเป็นใหญ่ใหม่ด้วยหรือเปล่า

ภายใต้กรอบวัฒนธรรมที่บอกว่าเป็นไทย ในเรื่องเพศแล้วมองว่าผู้ชายเป็นคนที่เหนือกว่า ได้เปรียบกว่า ไม่มีใครกำหนดว่าผู้ชายควรมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่อไร อยากเรียนรู้ก็ไปกับเพื่อนได้ แต่ถ้าผู้หญิงคือทำไม่ได้ ไม่มีข้อห้ามหรือการกำกับเรื่องนี้กับเพศชายซึ่งเราเห็นได้ในหนังสือแบบเรียนชัดเจนมาก มันเป็นแนวคิดเรื่องหญิงชายที่กำกับควบคุมและมีผลต่อผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ฉะนั้นหากผู้หญิงแสดงออกในเรื่องเพศ เปลี่ยนคู่หลายคน อยู่ก่อนแต่งจะถูกมองเสียหาย เพราะฉะนั้นการพูดถึงความเสมอภาค ความเท่าเทียมทางเพศ จึงเป็นประเด็นสำคัญว่าแนวคิดชายเป็นใหญ่ส่งผลอย่างไร กับใคร ซึ่งไม่เฉพาะเพศหญิง แต่รวมถึงเพศอื่นๆ เพราะทุกคนต่างมีคุณค่าในตัวเอง มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

ความเข้าใจต่อเนื้อหาวิชาเพศวิถีรอบด้านที่กล่าวไป เข้าไปอยู่ในหนังสือเรียนแล้วหรือยัง

เฉพาะหนังสืออ่านเพิ่มเติมสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ซึ่งเราเริ่มทำเมื่อปี 51 52 ได้ประชาสัมพันธ์และแจกจ่ายไปยังโรงเรียนภาคีที่ทำงานด้วย บางที่ เช่น อบจ. อบต. บางแห่งที่มีงบก็จะซื้อไปพิมพ์เองและแจกในโรงเรียน และยังมีหนังสือสุขศึกษาใหม่ที่ สพฐ. กำลังจะนำไปใช้กับโรงเรียนกว่า 200 โรง เป็นการยกร่างเนื้อหาขึ้นใหม่ ดูว่าควรมีเนื้อหายังไงเพื่อให้ตอบโจทย์กับวัยรุ่นในยุคนี้

เฉพาะหนังสืออ่านเพิ่มเติม และหลักสูตรอบรมครู มีให้ดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งหมดที่เว็บไซต์ Path2Health

แถวบน-หนังสืออ่านเพิ่มเติม จัดทำโดย Path2Health และ สสส. / แถวล่าง-หนังสือสุขศึกษาจาก สพฐ. ที่กำลังปรับปรุง

ความเคลื่อนไหวของกระทรวงศึกษาฯ มีความหวังแค่ไหนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปสู่เนื้อหาที่กว้างขึ้นและในมุม Sexuality Education ไม่ใช่แค่ Sex Education

เขาเริ่มปรับแล้ว มีการรีวิวหนังสือสุขศึกษาของเอกชนทั้งหมดในเรื่อง เพศ ความเท่าเทียมทางเพศ และความหลากหลายทางเพศ ว่ามันถูกเขียนไว้อย่างไรแล้วจึงให้สำนักพิมพ์เอกชนปรับแก้ไข ปีการศึกษาใหม่ก็จะถูกปรับในระดับหนึ่ง บางอย่างต้องปรับใหม่ทั้งหมดเพราะมันยังมีเนื้อหาที่อยู่บนฐานคุณค่าการควบคุมเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง เช่น ความคิด “อย่านุ่งสั้นนะเดี๋ยวจะถูกข่มขืน” อะไรแบบนี้ต้องเอาออกไปหมด กระทรวงศึกษาฯ เองก็ต้องปรับตัวชี้วัดด้วย แต่ว่ามันอาจจะยังไม่เร็วๆ นี้ ต้องอาศัยเวลาอีกสักพักหนึ่ง

เนื้อหาในหนังสือสุขศึกษาจาก สพฐ. ที่กำลังปรับปรุงเนื้อหาเป็นอย่างไร

ถ้าเป็นเล่มที่เราทำ เราจะใส่แนวคิดแบบใหม่ที่มองเรื่องความเสมอภาค ความเท่าเทียม การได้รับความยินยอมพร้อมใจ (consent) ในการดำเนินความสัมพันธ์ การไม่ละเมิดคนอื่นด้วยวิธีการต่างๆ หรือการคุกคามคนอื่นโดยเจ้าตัวไม่ยินยอม นี่ถือเป็นเรื่องที่ผิด ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่ควรทำต่อกันทั้งสิ้น เป็นแนวคิดที่เราต้องปลูกฝัง

ทั้งยังเป็นเรื่องพฤติกรรมทางเพศ แต่ละคนก็ควรได้รับข้อมูลอย่างรอบด้านแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง เช่น เรื่องการป้องกันท้องในวัยรุ่น ก็ต้องให้ข้อมูลเรื่องการคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์ที่ยินยอมและรับผิดชอบ รวมทั้งการอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยไม่ตัดสินคุณค่า เคารพให้เกียรติ แต่สร้างความสัมพันธ์ด้วยการยอมรับความแตกต่าง นี่เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือที่เราออกแบบไว้

ตั้งแต่วิชาเพศศึกษาเดิม สู่การทำความเข้าใจเรื่องเพศวิถีรอบด้าน สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดคือความเห็น ความอึดอัด ความไม่สบายใจของผู้สอน ในฐานะที่คุณทำงานกับครูมากว่า 10 ปี เล่าให้ฟังได้ไหมว่าคุณครูอึดอัดใจเรื่องอะไร ส่งผลต่อการทำงานสร้างความรู้เรื่องเพศอย่างไร

ค่อนข้างยาก ต้องเข้าใจว่าตลอดชีวิต 40 50 ปี เขาถูกหล่อหลอมปลูกฝังมาแบบนั้น การรับรู้เทอมการศึกษาเพศวิถีรอบด้านมันไปขัดกับค่านิยมของเขา อีกส่วนหนึ่งคือ เราต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้มีครูรุ่นใหม่เยอะมากที่ไม่ได้มองพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นเป็นเรื่องด้านลบเพียงอย่างเดียว และมุมมองที่เปิดกว้างต่อพฤติกรรมทางเพศที่หลากหลายขึ้น แต่เมื่อเข้าไปในระบบที่ยังมีวัฒนธรรมเชิงอำนาจอยู่ เราต้องยอมรับความจริงว่าวัฒนธรรมองค์กรมีผลต่อวิธีสอนและการเปลี่ยนความเชื่อ

เวลาอบรมครูรุ่นใหม่ เขาบอกเลย “ใช่เลย แบบนี้แหละ” แต่ครูผู้ใหญ่บอกว่า “ไม่ได้นะ เธอจะมาพูด สอนแบบนี้ไม่ได้” ฉะนั้นครูรุ่นใหม่ก็จะสอนอะไรเยอะไม่ได้ จะสอนเรื่องถุงยางแล้วเอามาสาธิตให้เห็น… เพราะถ้าจะใช้จริงมันต้องสาธิตก่อนใช่มั้ย? แต่จะถูกบอก “ไม่ได้นะ” ถ้าครูรุ่นใหม่อยากทำแต่ผ่านครูผู้ใหญ่ไม่ได้ เขาก็ต้องหยุด ซึ่งเราเข้าใจนะ มันเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ ในระบบใหญ่ แต่เราก็ยังมีความหวังว่าระบบการศึกษาจะยังเปลี่ยนได้อยู่นะ

เรื่องคลาสสิกที่สุดของวิชาเพศวิถีรอบด้านที่ไม่ฟังก์ชั่น คือเรื่อง ท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น สุดท้ายนักเรียนที่ท้องถูกบีบให้ออกจากโรงเรียน

ในภาพความเป็นโรงเรียน สังคมตั้งภาพหวังไว้อย่างหนึ่งว่าต้องเป็นที่อยู่ของคนดี คนดีในที่นี้หมายถึงคนที่อยู่ในกรอบ เชื่อฟังครู ไม่ทำผิดพลาด คนไม่ดีออกไป “ออกไปจากระบบถ้าเธอมีครอบครัว มีแฟน เธอก็ต้องออกไปจากโรงเรียน” จึงมีบางแห่งที่ไม่ยอมให้อภัยกับความผิดพลาดของเด็ก การบีบเด็กให้ออกจากโรงเรียน มันไม่ใช่การให้โอกาสและเข้าใจว่า “วัยรุ่นมีถูกมีผิดบ้าง ครูพร้อมจะช่วยถ้าเธอเจอปัญหา แต่ครูจะพยายามเข้าใจและทำให้เห็นว่าก็ยังเรียนได้นะ ออกจากโรงเรียนตอนนี้อนาคตจะเป็นยังไง” แต่เรื่องนี้กลับไปเกี่ยวข้องกับหน้าตาชื่อเสียงของโรงเรียนเสียมากกว่า และละเลยในบทบาทของโรงเรียนที่มองว่าการป้องกันปัญหาท้องวัยรุ่น ครูควรจะพูดถึงความพร้อมในการตัดสินใจการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าการห้ามเพียงอย่างเดียว หรือการสอนเรื่องทางเลือกหากเกิดความผิดพลาดตั้งท้องขึ้นมาในวัยเรียน การยุติการตั้งครรภ์ก็เป็นทางเลือกหนึ่งได้ถ้าไม่พร้อมจริงๆ อะไรแบบนี้ การสอนเรื่องเพศในโรงเรียน ณ ตอนนี้ คือมันไม่ได้สร้างการเรียนรู้เพื่อการใช้ชีวิตจริง

ท้องไม่พร้อมเกี่ยวกับสองอย่าง หนึ่ง-ท้องแล้วเรียนต่อได้มั้ย? สอง-เมื่อท้องไม่พร้อม จะมีทางเลือกอะไรเพื่อ inform เด็ก อย่างน้อยครูไม่เข้าใจ แต่เด็กมีความรู้เพื่อทำงานกับตัวเองต่อ

กฎหมายมีความก้าวหน้านะ อย่างเรื่องการยุติการตั้งครรภ์มันเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง แม้เราจะพูดว่ามันไม่ถูกกฎหมาย แต่มันมีเงื่อนไขของการยุติการตั้งครรภ์ได้ถ้าการตั้งครรภ์นั้นส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ตั้งครรภ์ ยังมีรายละเอียดอื่นอีกเช่น อายุต่ำกว่า 15 ปียุติการตั้งครรภ์ได้เลยถ้าผู้ปกครองยินยอม มันมีเงื่อนไขหลายอย่าง ในทางกฎหมายมันมีโอกาสทำได้โดยถูกต้อง แต่ต้องยอมรับว่า นอกจากแนวคิดเรื่องการคำนึงถึงการตัดสินใจเลือกของผู้หญิงตั้งครรภ์เป็นหลัก ยังมีแง่มุมความคิดเรื่องศาสนา บาปบุญคุณโทษเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสองฝ่ายนี้ก็ไม่มีใครผิดถูก โดยเฉพาะอย่างหลังที่เป็นความเชื่อ

แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงมากคือ ถ้าเธอเกิดท้องขึ้นมา ทุกคนจะบอกว่า “เก็บไว้ๆ พ่อแม่เธอจะช่วยดูแลให้” หรือ “เธอทำได้ก็ต้องยอมรับได้สิ” พยายามไปบอกทางเลือกให้กับคนตั้งครรภ์โดยใช้เหตุผลทางศาสนาเพราะกลัวบาป ไม่ดี กล่อมเกลาให้ท้องต่อโดยไม่ได้นึกถึงปัญหาที่ตามมาว่าคืออะไร แต่เทอมการศึกษาที่อยากพูดถึง จะสร้างมุมมองที่กลับมายังตัวผู้หญิงด้วย เพราะเขาจะเป็นคนที่รับผิดชอบไปตลอดชีวิต เขาควรจะเป็นคนรับผิดชอบตัวเอง เลือกตัดสินใจเองตั้งแต่เบื้องต้น

เนื้อหาท้องไม่พร้อมและการยุติการตั้งครรภ์ถูกกฎหมาย อยู่ในเนื้อหาส่วนไหน ช่วงชั้นไหน

อยู่ในหนังสือเรียนที่กำลังพัฒนา จะบรรจุในหนังสือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้ความรู้ว่าสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้และมันไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้าย ไม่ใช่อย่างที่ได้ยินมา เช่น เอามีดมาขูดมดลูกนี่นั่น แต่มันมียาสอดที่ทำได้และปลอดภัย

จะมีเสียงตั้งแง่ว่า หนังสือเรียนแนะนำให้เขามีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรรึเปล่า

ทุกคนมีสิทธิเลือกและตัดสินใจในชีวิตตัวเอง ถ้าเขาอยากรู้ว่าแหล่งยุติอยู่ตรงไหนก็ต้องให้ได้ แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือไม่ให้ข้อมูล ไม่ยุ่งเกี่ยว และซ้ำเติม มันคือการกระทำซ้ำ เขาต้องการทางเลือกแต่เราไม่ให้ข้อมูล ไม่สนับสนุน และกีดกันไม่อยากให้เขาเลือกทางนี้ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไร

คนตัดสินใจคือคนที่ตั้งครรภ์ ซึ่งเขาควรเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบตัวเอง ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์แสดงว่าคุณต้องป้องกันตัวเองให้ได้นะ ถุงยางอนามัยหรือยาคุมกำเนิดเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่การยุติก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเราไม่ควรไปตัดสินใจแทนคนที่ตั้งครรภ์ว่าควรตั้งครรภ์ต่อหรือยังไง อำนาจตัดสินใจอยู่ที่ตัวเขาเอง

ถามว่าชี้โพรงให้กระรอกรึเปล่า? ก็กลับไปประเด็นเรื่องเพศกับความย้อนแย้งในวิธีคิด เราไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้และเราจะไม่ยุ่งเกี่ยว นักเรียนก็ขาดโอกาสเรียนรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง เพราะเรื่องเพศคือเรื่องของตัวเราเอง เป็นอารมณ์ ความรู้สึก การจัดการตัวเอง เด็กก็ขาดโอกาส

หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เลี้ยงลูกไม่ไหวแน่ๆ เพราะแฟนตัวเองไปไหนก็ไม่รู้ ไปเป็นของคนอื่นแล้ว ตั้งท้องก็ไม่อยู่ดูแล พ่อแม่ก็รับไม่ได้ เราก็เลี้ยงเองไม่ได้ แล้วผู้ใหญ่ก็บอก “ไม่ เธอทำเองเธอต้องรับผิดชอบลูกในท้อง” แล้วเด็กจะต้องทำยังไงต่อไป?

เพศวิถีศึกษาจึงไม่ใช่แค่การสื่อสารเรื่องเพศกับเด็ก แต่คือการบอกให้ทุกคนเคารพในการตัดสินใจ คือการพูดเรื่องความเสมอภาค?

เราควรเคารพในกันและกัน เคารพในเนื้อตัวร่างกายของคนอื่น เคารพในการตัดสินใจของคนอื่น เราเชื่อว่าคนอื่นตัดสินใจได้ถ้าเขาได้ข้อมูลที่เพียงพอและรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง เด็กก็เช่นกัน ผู้ใหญ่ในบ้านหรือในโรงเรียนก็ต้องทำให้เด็กได้รับการฝึกฝนในเรื่องนี้ การอยู่ร่วมกันอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เด็กควรได้รับการปฏิบัติต่อกันแบบนี้

เราต้องทำความเข้าใจเรื่องความเสมอภาค แต่เด็กก็ต้องทำตามผู้ใหญ่อยู่ดี อย่างคำว่า เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด, ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน

เราอยู่ในโครงสร้างการนิยมอำนาจ เราไม่ได้มองเด็กและเยาวชนเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมซึ่งต้องการการเรียนรู้เพื่อใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้า และเขาต้องฝึกรับผิดชอบตัวเขาเองเพราะเงื่อนไขการใช้ชีวิตคนแต่ละคนต่างกัน

แต่มันก็เป็นมุมของความรักและหวังดีของผู้ใหญ่เนอะ แต่เราไม่มองว่าเด็กควรได้ฝึกตัดสินใจและควรรับผิดชอบตัวเองในเรื่องของเขา เขามีโอกาสลองผิดลองถูกได้ แต่เรามักไปกำกับชีวิตเขาว่าต้องทำแบบนี้ๆ ซึ่งมันก็ขัดแย้งกับเรื่องที่เราพูดว่า เราต้องการเด็กที่คิดเป็นทำเป็น รับผิดชอบตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องมาจากการได้ลองทำ มีบทเรียน เขาถึงจะรู้จักตัวเอง ดูแลตัวเองได้ ให้มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง

การจัดการเรียนรู้เพศวิถีศึกษาจึงอยู่พื้นฐานการมองเด็กหรือเยาวชนในเชิงบวก ยอมรับพลังและความสามารถในตัวเด็ก ให้โอกาสเรียนรู้ และเลือกตัดสินใจอย่างรอบคอบ ประเมินทางเลือกที่ตระหนักรู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง และพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้เลือก

ในขณะที่โลกก้าวไปข้างหน้า สิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตรวดเร็วและง่ายดายมากขึ้น ช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้าง เราจำเป็นต้องฝึกเด็กให้รับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมมากขึ้น ดังนั้น เราต้องมองเห็นศักยภาพในการเรียนรู้ของเด็ก ว่าเขาสามารถเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และผู้ใหญ่ในวันนี้ต้องทำหน้าที่สนับสนุนโดยการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการนำไปใช้ในชีวิตจริง หรือช่วยเหลือในสิ่งที่เขาร้องขอ

Tags:

เทคนิคการสอนกลั่นแกล้ง(bully)เพศSexuality Education(เพศวิถีศึกษา)แสงจันทร์ เมธาตระกูล

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • MovieSocial Issues
    SEX EDUCATION 5 เรื่องกับครูสอญอ มัครินทร์

    เรื่อง

  • Learning Theory
    SEX EDUCATION ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Education trendLearning Theory
    SEX EDUCATION: เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา จากอนุบาลถึงมัธยม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
18 April 2019

ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • เราต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดก่อน ถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ คือ เคล็ดลับสำคัญในการใช้ชีวิต ดูแลครอบครัวและเลี้ยงลูกของคุณอุ่น ลฎาภา เบลีย์ เจ้าของเพจ ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’
  • อดีตแอร์โฮสเตสสุดแฮปปี้ที่ออกจากวงการมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ชีวิตแทบจะพลิกสุดขั้วทำให้เข้าสู่โหมดสติแตกไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมายืนหนึ่งได้ด้วยการตั้งต้นที่ความสุขของตัวเอง
  • จริงๆ แล้วคุณอุ่นเขียนเล่าเรื่องไว้ในเพจตัวเองสนุกกว่านี้มาก แต่บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้อยากเผยให้เห็นว่ากว่าแม่คนหนึ่งจะมีความสุขได้ ไม่ง่ายเลย
ภาพ: ลฎาภา เบลีย์

กลอนของเมีย…

รักกูหรือไม่ ไม่รู้
ทิ้งกูเมื่อไหร่ มึงตาย
อยากจากชั้นไป ออไร้ท์
แต่เดินออกจากบ้านไป ตัวเปล่า

รักซ้อนซ่อนเงื่อนเก่ง ใช่มั้ย
App Life360 มีไง คนผี
อย่าคิดเก่งกับชั้น คนดี
เหนือฟ้าเหนือน้ำยังมี มนุษย์เมีย

รู้มั้ยนอกใจมันผิด กฎหมาย
แล้วยังทำร้ายจิตใจ กูนี่
ขึ้นศาลไม่พอ กูต้องตี
หลอกให้กูรักครั้งนี้ ไม่ทน

เป็นกลอนของ ‘คุณอุ่น’ ลฎาภา เบลีย์ ที่อ่านให้สามี ไมเคิล เบลีย์ ฟังทุกคืน…

ชื่อ-นามสกุล ลฎาภา เบลีย์ อาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดถึงเพจ ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’ ที่ผู้เขียนอธิบายตัวเองไว้สวยๆ ในเพจว่า Best Cabin Crew of the Airline และ Best Housewife of the Planet หลายคนน่าจะรู้จัก

ประโยคแรกคืออดีตของ คุณอุ่น แอร์โฮสเตสสาวแห่งสายการบินการ์ตา ผู้ใช้ชีวิตโสดที่ผ่านมาอย่างเต็มที่จริงๆ

“ช่วงยังไม่มีสามี อุ่นใช้ชีวิตเต็มที่จริงๆ เต็มที่ในทุกๆ จุด เช่น ตอนอุ่นบิน พอแลนดิ้งปุ๊บ อุ่นเที่ยวเลย เที่ยวยันเช้ากลับมาไปบินต่อ อย่างนี้ตลอด เต็มที่กับทุกด้าน reach the top จนไม่จำเป็นต้องโหยหาอะไรอีก”

พอสวิตช์โหมดมาเป็นคุณแม่บ้าน แต่งงานกับสามีชาวอังกฤษ และเปลี่ยนสถานะมาเป็นแม่และภรรยา เพื่อนรักทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากเชื่อว่าอุ่นจะเป็นคุณแม่ได้ แต่จนถึงวันนี้ คุณอุ่นเชื่อสุดใจว่าตัวเองทำได้สมกับมอตโต้ Best Housewife of the Planet

“เราอยากเป็นคนที่ดี ต้องรู้จักเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ให้เป็นคุณแม่ให้ได้ เพื่อนอุ่นทุกคนพูดว่า ไม่อยากเชื่อว่าอุ่นจะเป็นคุณแม่ได้ คืออุ่นไม่รู้สึกว่าประหลาดนะคะ คนเราเมื่อถึงเวลา มันสวิตช์ได้ ถ้าเรารู้จักการปรับเปลี่ยนบทบาท รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ทุกคนก็น่าจะ survive ในสังคมได้”

จนถึงวันนี้ ลูกสาว – ‘น้องเอม’ เอมิลี่ เบลีย์ 4 ขวบแล้ว คุณอุ่นก็ยังเป็นแม่บ้านฟูลไทม์ ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เขียนและโพสต์ลงเพจ ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’ อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับธุรกิจขายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพออนไลน์ในเพจ ‘แม่ซื้อ’ ที่ยืนหนึ่งขึงมอตโต้ไว้ว่า I’m not a shopaholic, I’m helping the economy.

ไปกันได้ดีมากๆ กับ cover profile ของเพจที่เขียนเอาไว้ว่า Marriage is a workshop…where husband works and wife shops.

ฟังๆ ดูเป็นชีวิตที่สุข สนุกสนานมาก จนเราอดถามไม่ได้ว่า ความทุกข์ที่สุดเท่าที่นึกออกคืออะไร

“อยู่ๆ เป็นไมเกรน อันนั้นคือทุกข์แล้วค่ะ” คุณอุ่นใช้เวลานึกอยู่พักใหญ่

แต่พอถามว่าสุขที่สุดคืออะไร เรานึกว่า happy mom อย่างแม่บ้านแขกจะลิสต์ได้ยาวเป็นหางว่าว แต่คำตอบกลับตรงกันข้าม

“สุขที่สุด…ไม่มีค่ะ อุ่นว่าความสุขมันเป็นโมโนโทน อยู่แบบปกติ ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขสูงปรี๊ด พอเปลี่ยนวิธีการคิด รีแลกซ์กับตัวเองมากขึ้น มันกลายเป็นว่าหาความสุขกับชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ได้สุขที่สุดนะคะแต่มันคือความสุขธรรมดา เช่น อุ่นได้ทานอาหารอร่อยๆ มีคนทำอาหารให้เรากิน ก็มีความสุขละ มันแช่มชื่น ดังนั้นพอเรามีความสุข เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่มันเป็นลบ เราไม่ขอเรียกว่ามันความทุกข์อะค่ะ เพราะความสุขมันกลืนความทุกข์ไปหมด”

คีย์เวิร์ดสำคัญของประโยคยาวๆ ข้างต้น คือ ‘เปลี่ยนวิธีคิด’

จากแฮปปี้สู่สติแตก

ไปให้สุด คือ ชีวิตของคุณอุ่นสมัยใช้คำนำหน้าว่านางสาว มาหักมุมจริงๆ เอาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

“ก่อนมีลูกอุ่นคิดว่าทุกอย่างมันง่ายมาก ต้องเลี้ยงง่าย สบายมาก แต่พอมีลูกเอง รู้เลยว่ามันไม่ได้ง่าย บางทีบทความหมอที่เราอ่านที่บอกว่ามันง่าย คุณต้องทำทุกอย่างให้มันง่าย สวยงามไปหมด แต่ในชีวิตจริง มันไม่ใช่ โดยเฉพาะอุ่นที่เลี้ยงลูกเอง อุ่นเลยบอกทุกคนเสมอว่าถ้าอยากมีลูกก็ขอให้มีลูกเมื่อพร้อม อุ่นไม่เคยบอกใครเลยนะว่ามีลูกเลยสิ มันคือภาระ หน้าที่ การงาน การเงิน ความแข็งแรงของจิตใจ …ทุกอย่างเลยค่ะ เราต้องแบกรับตรงนี้ให้ได้”

ด้วยความที่คุณอุ่นใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศร่วมกับสามีชาวอังกฤษ จึงต้องปรับตัวทั้งกับคู่ชีวิตและสถานที่

กับคุณไมเคิล-สามี วิธีของคุณอุ่นคือเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทั้งสองฝ่ายต้องเรียนรู้ที่จะเสียสละและหาตรงกลางกันให้เจอ

“แรกๆ ทะเลาะกันบ่อยมาก โดยเฉพาะช่วงที่อุ่นปรับตัวกับชีวิตคู่ไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงที่อุ่นท้อง มันเครียดหนัก อุ่นขว้างปาข้าวของเหมือนเราไม่ใช่ตัวเอง จนวันหนึ่งหลับไปแล้วตื่นมาคิดว่า เฮ้ย เราจะปล่อยให้ตัวเราเป็นแบบนี้แล้วจะปล่อยให้สามี suffer เหรอ อุ่นบอกคนอื่นเสมอๆ ว่า มันไม่ใช่ only take มันต้อง give ด้วย เราต้องรู้จักอยู่ตรงกลาง เสียสละบ้าง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของเราให้อยู่รอดทุกๆ ความสัมพันธ์”

จนมาถึงบทบาทคุณแม่ คุณอุ่นรับบทหนักยิ่งกว่า ความเครียดที่ไม่เคยมาหาก็เข้ามาอย่างหนักหน่วง เพราะปรับตัวไม่ได้และต้องอยู่กับลูกสองคนทั้งวัน มีออกไปคุยกับคนอื่นบ้างแต่ก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเพื่อน

และก็มาถึงจุดที่เรียกว่า สติแตก

“ตอนนั้นอุ่นเริ่มสะสมความเครียดทุกวัน ปรับตัวกับที่ใหม่ไม่ได้ มันหลากหลายมาก จนก่อตัวเป็นความเครียด มีวันหนึ่งอุ่นขับรถพาลูกไป play group (เข้ากลุ่ม) ยังไงไม่รู้ มัน break down ร้องไห้ถล่มทลายจนต้องหยุดรถ สะอื้น แบบสติแตก กลับมาบ้านร้องไห้ไม่หยุดเลยค่ะ” คุณอุ่นเล่าจนเห็นภาพ

ต้องเป็นแม่ที่สุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้

ตอนนั้นคุณอุ่นเอาแต่คิดว่า ทำไมตัวเองถึงไม่มีความสุขเลย และคิดว่าต้องหยุดตัวเองเพราะไม่อยากให้ลูกเห็นแม่ในสภาพนี้

สิ่งแรกที่คุณอุ่นทำคือ โทรหาสายด่วนสุขภาพของประเทศอังกฤษ เล่าปัญหาที่เกิดขึ้น ปลายสายถามกลับมาว่า มีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองไหม อยู่กับลูกไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เขาจะส่งคนมาช่วยดูแล

คุณอุ่นไม่เคยมีความคิดทำร้ายตัวเอง สิ่งที่สายด่วนทำหลังจากนั้นคือ ส่งนักจิตวิทยามาคุย จนสรุปว่าภาวะที่คุณอุ่นเป็นคือ วิตกกังวล (anxiety) ยังไม่ถึงขึ้นซึมเศร้า (depressed)

“พอได้คุยกับนักจิตวิทยา เขาพูดกับอุ่นคำหนึ่งว่า ยูอย่าตั้งความหวังว่ายูจะเป็นแม่ที่ดีที่สุด ยูต้องเป็นคนที่มีความสุขที่สุดก่อน ยูถึงจะเป็นเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ ยูจะไม่มีวันเป็นแม่ที่ success เลย ถ้ายูไม่มีความสุข ความสำเร็จมันมาพร้อมกับความสุข…โอ้โห มันเหมือนคลายปม มันดีมากๆ”

เมื่อถูกคลายปม คุณอุ่นเปรียบเทียบความรู้สึก ณ ตอนนั้นว่า เหมือนเปิดตัวเองใหม่ พร้อมประโยคที่เข้ามาบงการทุกจังหวะในชีวิตว่า เราต้องมีความสุขก่อน

พอตั้งสติได้และรู้ว่าชีวิตจะเดินต่ออย่างไร สิ่งแรกที่ภรรยาทำคือกลับมาคุยกับสามี บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นและความต้องการอย่างตรงไปตรงมา

“คุยกับสามีว่าอุ่นต้องการสังคมของตัวเอง อุ่นต้องการพักผ่อน อุ่นต้องการเวลาที่รู้สึกว่าฉันไม่ได้เป็นแม่ ได้ออกจากโซนนี้บ้าง ซึ่งสามีบอกว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอุ่นจะเครียดขนาดนี้ เห็นอุ่นทำหน้าที่ทุกวัน ก็ไม่คิดว่าเราจะมีปัญหาอะไร แต่สามีโอเค บอกว่าจากนี้ตอนเย็นเป็นหน้าที่ของเขา อุ่นก็เริ่มจัดเวลา อยากบินกลับไทยเดือนละครั้ง อยากหาอะไรทำ อยากทำอะไรเพื่อตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ถึงไม่ใช่งานใหญ่มาก แต่มีอะไรทำ รู้สึกว่าชีวิตเริ่มมีความสุขมากขึ้น อุ่นเอาลูกเข้าเนิร์สเซอรีเลย มีเวลาได้พักผ่อน มีเวลาไปสปา ออกกำลังกาย เจอเพื่อนใหม่ๆ”

บางเดือนคุณอุ่นบินกลับมาเมืองไทยสิบกว่าชั่วโมง เพื่อใช้เวลาอยู่แค่วันเดียวแล้วก็บินกลับ แต่คุณอุ่นก็ทำ เพราะมันคือความสุข

“เราอยากบอกทุกคนว่าเราเผชิญตรงนี้มาแล้ว อย่าตั้งความหวังว่าตัวเองต้องเป็นแม่ที่ดี เราเป็นแม่ปานกลางก็ได้ แต่เราเป็นแม่ที่มีความสุข อย่าพยายามเสพบทความที่เขียนอย่างสวยหรูว่า คุณห้ามทิ้งลูก คุณต้องอยู่กับลูก การเป็นแม่ที่ดีต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา สำหรับอุ่น ไม่เลย อุ่นบอกทุกคนตลอดเวลาว่า ถ้าคุณเครียด คุณเหนื่อย เอาลูกเข้าเนิร์สเซอรีเลย ลูกได้สังคมด้วย มันไม่ผิดปกติอะไรเลยค่ะ ฝรั่งกลับ encourage ให้เด็ก play group เร็วๆ ด้วย เพื่อให้เขาไปสร้าง skill ทางสังคมให้ดีที่สุด เพราะตอนกลับมาบ้านเขาก็อยู่กับพ่อแม่อยู่แล้ว”

เหมือนที่ครั้งหนึ่งคุณอุ่นเขียนไว้ในเพจว่า…

ชั้นรักลูก รักสา แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งชีวิตชั้นจะต้องทุ่มเทให้กับเค้าสองคนไม่มีเวลาชีวิตของตัวเอง ใครที่คิดว่าการเป็นแม่ที่ดีคือห้ามจากลูกไปไหน ห้ามพัก ห้ามเหนื่อย ลูกอยู่กับเราทุกที่ ไร้สาระค่ะ

ทุกคนถามว่าเดินทางไม่เหนื่อยเหรอ ชั้นบอกเลยว่ามันเป็นเวลา 48 ชม. ที่ชั้นได้อยู่ตัวคนเดียว ได้กินข้าวเงียบๆ ได้ไปที่ๆ เอาลูกไปไม่ได้แน่นอน เอาสาไปก็เม้าไม่มันส์ สำหรับชั้น ในความเหนื่อยมันคือการพักผ่อน และมันคือช่วงเวลาที่มีคุณค่าของชั้นมากๆ

อย่ากลัวถ้าจะบอกใครว่า แม่ก็ต้องการปลีกตัวคนเดียว แม่ต้องการออกไปเจอเพื่อนโดยไม่มีลูกไปด้วย แม่อยากไปยิม แม่อยากไปนวดบ้างไรบ้าง ให้ของขวัญกับตัวเองบ้าง ในความเหนื่อยที่ตัวเองทำมาตลอดนะคะแม่ๆ

ที่สำคัญชั้นชอบการฝากลูกไว้กับสามาก แม้นางจะให้ลูกกินของแช่แข็ง ดูทีวียาวๆ ให้เล่นเลอะเทอะ ให้ทำอะไรที่ชั้นไม่ชอบใจ แต่ก็ถือว่าลูกก็ได้สิ่งที่ชั้นไม่ให้เหมือนกัน อารมณ์แบบแอบกินขนมในห้องเวลาครูไปเข้าส้วม สาก็ได้รู้ด้วยว่าเลี้ยงลูกมันไม่ได้ง่าย มันต้องพาเค้าออกไปข้างนอกแม้ว่าจะหนาว ฝนจะพรำก็ตามที

อย่ากลัวที่จะออกไปพักผ่อนค่ะแม่

……………………

คุณอุ่นไม่เคยมีไอดอลหรือตำราใดๆ ในการเลี้ยงลูก ไม่ใช่เพราะหลงตัวเองแต่เพราะเชื่อใน Myself and I มาก

“ทุกอย่างมันควรเป็นสูตรเฉพาะของเราคนเดียว เราไม่มีทางเดินตามชีวิตแบบใครได้ ในชีวิตคู่ คิดอะไรได้ก็ทำ เลี้ยงลูก คิดอะไรได้ก็ทำ ต่อให้มันเจอปัญหา สุดท้ายแล้วเราเอาชีวิตใครมาแก้ปัญหาไม่ได้ค่ะ เราต้องแก้ปัญหาของเราด้วยตัวเองทั้งการเป็นแม่และการเป็นเมีย”

นี่ล่ะ Best Housewife of the Planet แบบคุณอุ่น

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยามายาคติการเป็นแม่

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์: สังคมที่แม่เป็นบุคคลล่องหนและลูกคือศูนย์กลางของจักรวาล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel