Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2019

‘HOW TO RAISE YOUR SELF-ESTEEM’ เพียงแค่รักและไว้ใจตัวเอง เราจะเป็นได้ทุกอย่างในชีวิตนี้
BookCharacter building
17 September 2019

‘HOW TO RAISE YOUR SELF-ESTEEM’ เพียงแค่รักและไว้ใจตัวเอง เราจะเป็นได้ทุกอย่างในชีวิตนี้

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ บัว คำดี

  • หนังสือ How to Raise Your Self-esteem พาเรากลับไปหาต้นเหตุของความไม่นับถือตัวเอง กลับไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เรามักหลีกหนี
  • ไม่ใช่เพื่อให้รู้สึกแย่กับตัวเอง แต่เพื่อให้เปิดใจยอมรับความจริงว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเรา และมองเห็นอย่างเข้าใจลึกซึ้งโดยไม่ตัดสิน เพื่อกลับไปคืนดีกับตัวเองได้
  • ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างรู้ตัว ใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และ ใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นจริงๆ และสุดท้าย…กลับมานับถือตัวเอง

มนุษย์ทุกคนมีความต้องการสูงสุดในชีวิตไม่ต่างกัน เราต้องการเป็นที่รัก ได้รับการยอมรับ มีความสุข ประสบความสำเร็จ ‘ในแบบที่ตัวเองเป็นจริงๆ’ มิใช่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเพื่อตอบสนองความพอใจของคนอื่นหรือในแบบที่สังคมบอกว่าดี แต่มีกี่คนที่นำพาชีวิตไปถึงจุดนั้นได้จริง หลายคนประสบความสำเร็จในมุมมองของสังคม ทว่าภายในกลับรู้สึกพังทลายคล้ายคนที่หลอกตัวเองให้เป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น ขณะเดียวกันก็หลอกให้คนอื่นเห็นความสุขทั้งที่มีความทุกข์ท่วมท้นใจ

How to Raise Your Self-esteem หรือ พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง เขียนโดย เนธาเนียล แบรนเดน (Nathaniel Branden PH.D.) นักจิตวิทยาชื่อดังที่ทำงานบุกเบิกด้านแนวคิดจิตวิทยาเกี่ยวกับการนับถือตัวเองมานาน จนได้รับการเรียกขานว่า ‘บิดาแห่งจิตวิทยาการนับถือตัวเอง’ เป็นหนังสือเล่มเล็กทรงพลังที่เชื้อเชิญให้เรากลับมาเชื่อมโยงกับตัวเอง สืบค้นหาความรู้สึกคับข้องใจภายในเพื่อนำพาไปสู่ความรู้สึกนึกคิดและมุมมองใหม่อย่างมีชีวิตชีวาในการใช้ชีวิต

การนับถือตัวเองหรือ self-esteem เป็นพลังภายในที่ขับเคลื่อนชีวิต มีผลโดยตรงต่อการคิด การตัดสินใจ การลงมือทำ การตอบสนองผู้คนและเหตุการณ์ทุกเรื่องราวในชีวิตของเรา ช่วยให้เราสำเร็จและล้มเหลวได้พอๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้สึกต่อตัวเองอย่างไร

ผู้เขียนให้นิยามของการนับถือตัวเอง หมายถึง การมีจิตใจที่ไว้ใจและยอมรับตัวเองได้ รู้ความต้องการของตัวเองและยืนหยัดต่อความต้องการนั้น เลือกใช้ชีวิตเชิงบวกโดยเป็นผู้เลือกลงมือทำ รับผิดชอบผลของการเลือกทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ (ไม่ว่าดีหรือร้าย) และมีชีวิตที่เป็นมิตรกับตัวเองอย่างสงบสุข

ความรู้สึกนับถือตัวเองนั้นก่อตัวขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่เราได้รับการเลี้ยงดูทั้งจากครอบครัว โรงเรียน รวมถึงผู้คนรอบข้างที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ตลอดชีวิต เกิดเป็น self-concept หรือภาพในใจบางอย่างที่เราใช้เป็นกรอบความคิดเพื่อมองตัวเองว่า เราเป็นใคร เราเป็นคนแบบไหน ทั้งในระดับที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ส่งผลต่อการเลือก การตัดสินใจทำ/ไม่ทำ ทุกเรื่องในชีวิต สิ่งที่ปรากฏในชีวิตของเราทุกวันนี้ (ปัจจุบัน) จึงเป็นผลลัพธ์โดยตรงต่อความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเราเอง (อดีต) หากเราเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ (ปัจจุบัน) เราย่อมสร้างสิ่งที่เราต้องการ (อนาคต) ได้อย่างไม่ยากเย็น

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือ การนำพาเรากลับไปมองหาต้นเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกนับถือตัวเองต่ำ ว่าเกิดขึ้นจากอะไร เป็นการพาตัวเรากลับไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เรามักหลีกหนี เก็บกดเอาไว้ ผ่านคำถามสั้นๆ ที่เรียบง่ายแต่ค้นลึกถึงแก่นแท้ความเป็นจริงที่บางครั้งอาจทำให้เราต้องร้องไห้

ตัวอย่างคำถามในแบบฝึกหัด เช่น

ถ้าเด็กที่อยู่ในตัวฉันพูดได้ เขาจะพูดว่า…

สิ่งที่ตัวตนวัยเด็กต้องการจากฉันคือ…

ไม่ง่ายเลยที่ฉันจะยอมรับว่า…

ถ้าฉันยอมรับความรู้สึกของฉันได้มากขึ้น…

สิ่งที่ฉันไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองอย่างหนึ่งคือ…

สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับตัวเองอย่างหนึ่งคือ…

ถ้าฉันต้องยอมรับว่าฉันชอบตัวเองแค่ไหน… ฯลฯ

ฉันเองได้ทดลองทำแบบฝึกหัดในหนังสือและพบว่า คำถามเหล่านั้นได้พาเรากลับไปมองเห็นความกลัว ความกังวล ความรู้สึกเชิงลบต่างๆ ที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง และที่ชอบมากที่สุดคือการพาเราไปพบกับตัวเองตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่นเพื่อเห็นการก่อรูปของความคิด ความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง แต่เพื่อให้เราเปิดใจยอมรับความจริงว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเรา และมองเห็นอย่างเข้าใจลึกซึ้งโดยไม่ตัดสินว่ามันเกิดขึ้นในตัวเราด้วยสาเหตุใด เพื่อกลับไปคืนดีกับตัวเองได้ ขณะเดียวกันก็พาเรากลับไปสืบค้นความดีงามภายในที่เรามีอยู่ ที่บางครั้งเรากดข่มตัวเองไว้ ทำให้เรารักตัวเอง ภูมิใจในตัวเองอย่างที่เราเป็นได้ลึกซึ้งกว่าที่เคย

การยอมรับตัวเอง (self-awareness) ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นข้อจำกัดเพื่อ ‘เป็นหนึ่งเดียวกับตัวเอง’ จึงเป็นก้าวแรกของการเดินต่อ ทำให้เราได้มองเห็นทางเลือกในการลงมือทำมากขึ้น เต็มใจรับผิดชอบชีวิตของตัวเองมากขึ้น (ด้วยการตัดสินใจเลือกเอง) การเลือกด้วยตัวเองทำให้ตระหนักถึงอำนาจที่ควบคุมชีวิตตัวเองได้มากขึ้น ช่วยให้เรายืนหยัดต่อความท้าทายและโอกาสในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ

เนื้อหาหนังสือในแต่ละบทจึงค่อยๆ นำทางให้เรากลับไปสืบค้นสิ่งต่างๆ ภายในอย่างช้าๆ ทั้งการเรียนรู้ การยอมรับตัวเอง การปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกผิด การหลอมรวมตัวตนวัยเยาว์ เพื่อว่านับจากนี้ไป เราจะใช้ชีวิตได้อย่างรู้ตัว (live consciously) ใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และ ใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นจริงๆ

คีย์เวิร์ดสามคำนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก เพราะผู้ที่มีความนับถือตัวเองสูงย่อมสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยปัญญา ตระหนักเสมอว่าอำนาจในการเลือกทำหรือไม่ทำนั้นอยู่ที่ตัวเอง จึงเป็นผู้เลือกผลักดันตัวเอง (active) เสมอ หรือ อย่างน้อยก็สร้างทางเลือกเพิ่มขึ้น กล้าเผชิญหน้าความจริง ยอมเสี่ยงลงมือทำ (และเต็มใจรับผลการกระทำนั้น) ไม่ใช่รอคอยให้เกิดสถานการณ์ที่ตัวเองต้องกลายเป็นเหยื่อของการเลือก (passive) เช่น ทำตามความต้องการของคนอื่นทั้งชีวิตโดยกดข่มความต้องการของตัวเองไว้ลึกที่สุด หรือ ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรทั้งที่รู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์มาก

คนที่รับรู้ความรู้สึก-ความต้องการของตนเองอยู่เสมอ จึงได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวตนจริงแท้ ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง ชอบตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง ตระหนักรู้ว่าตัวเองมีความสามารถ คู่ควรที่จะมีความสุข และรักตัวเองได้อย่างแท้จริง

การรักตัวเองหรือการเพิ่มความนับถือตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว หากเป็นวิธีการที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนได้กลับไปมองเห็นศักยภาพสูงสุดภายในของตัวเองและได้ใช้ชีวิตอย่างเปล่งประกายสูงสุด

ถ้าคนทุกคนได้ ‘ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองเป็นอย่างแท้จริง’ เขาจะรักตัวเองได้ รักตัวเองเป็น คนที่รักตัวเองเป็น จะเป็นคนที่รักคนอื่นเป็นไปโดยปริยาย เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่อิ่มเต็มแล้วด้วยตัวเอง (ไม่ต้องรอการเติมเต็มจากคนอื่นไม่ว่าเรื่องความรักหรือการยอมรับก็ตาม) โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง พูดและทำตรงกับใจอย่างรับผิดชอบต่อตัวเองและคนอื่น พอใจตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง และเรียนรู้การปฏิบัติตนต่อคนอื่นด้วยความเคารพ รับฟัง ยอมรับและให้เกียรติคนอื่นด้วยเช่นกัน

How to Raise Your Self-esteem หรือ พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง จึงเป็นเครื่องมือนำทางให้เราได้กลับไปทำความรู้จัก มองเห็น และเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างง่ายดายและมีพลังที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่เราจะพึ่งพาตัวเองได้ เพราะแนวทางของคำถามในแบบฝึกหัดนั้นเป็นการกลั่นกรองจากประสบการณ์การบำบัดคนไข้ของผู้เขียนมาหลายสิบปี ผ่านคำถามเรียบง่ายที่เชื่อเถิดว่าเราจะได้มองเห็นตัวเองในอีกมุมหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

และวันใดที่เราเป็นมิตรกับตัวเองได้ โอบกอดตัวเองได้ รักตัวเองได้อย่างแท้จริง วันนั้นจะไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้” อยู่ในพจนานุกรมชีวิตของเราอีกต่อไป

How to Raise Your Self-esteem หรือ พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง เขียนโดย Nathaniel Branden PH.D. แปลโดย สาริศา มีสุขศรี โดยสำนักพิมพ์ OMG Books ราคาเล่มละ 220 บาท

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)หนังสือ

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Book
    ที่ปลายขอบฟ้า มีขุมทรัพย์…และความฝัน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Element: การค้นพบ ‘ธาตุ’ ที่บอกว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character buildingBook
    ความโง่ไม่ใช่สิ่งถาวร ถ้าเขามี ‘ครู’ ให้พิงหลัง

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

นโม INSKRU: นักออกแบบการศึกษาที่อยากเห็น “ใครๆ ก็อยากเป็นครู”
Voice of New Gen
16 September 2019

นโม INSKRU: นักออกแบบการศึกษาที่อยากเห็น “ใครๆ ก็อยากเป็นครู”

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • นโม Inskru ไม่ใช่ครู แต่คือ สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิตด้านการออกแบบและดีไซน์ UX มาสร้างสตาร์ทอัพการศึกษา
  • Inskru คือสตาร์ทอัพการศึกษาที่ต้องการสร้างพื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน ช่วยครูแก้ปัญหาภาระการศึกษา กระตุ้นจินตนาการการสอนที่สนุกและเป็นไปได้
  • “ฝันอยากเห็นอาชีพครูเป็นอาชีพที่คนสบายใจจะเป็น คนเก่งมาเป็นครูได้ ใครๆ ก็อยากเป็นครู” คือความตั้งใจและภาพที่นโมอยากเห็นภายใน 5 ปี
ภาพ: ลักษิกา จิรดารากุล

“จริงๆ Inskru มาจาก Pinterest* นะ เป็นนักออกแบบต้องดู Pinterest ก่อนใช่ไหม (หัวเราะ) หาแรงบันดาลใจน่ะพี่ ถ้าให้คิดจากศูนย์มันคิดไม่ออกอยู่แล้ว พอจะทำสตาร์ทอัพเรื่อง ‘ครู’ เลยคิดว่าครูก็น่าจะต้องมีแรงบันดาลใจในการสอนเหมือนกัน ยิ่งมี input เยอะเท่าไร เราก็ยิ่งมีวัตถุดิบในการจับนู่นเชื่อมนี่มาพัฒนาคาบสอนของเรา จากตอนแรกที่อาจเห็นมุมมองแค่ข้างเดียว แต่ถ้ามุมมองเรากว้างขึ้น คาบเรียนของเราก็ดีขึ้นไหม?” 

นโม-ชลิพา ดุลยากร เจ้าของแพลตฟอร์ม Inskru สตาร์ทอัพทางการศึกษาที่ต้องการสร้างพื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน กล่าวด้วยเสียงใสผ่านดวงตายิบหยี

นโม-ชลิพา ดุลยากร

หลายคนคุ้นหน้าเธอจากความเคลื่อนไหวในวงการศึกษาจนหลายคนเข้าใจผิดไปหลายทีว่าเธอต้องมีคำว่า ‘ครู’ นำหน้าชื่อแน่ๆ แต่อันที่จริงเธอเป็น ‘นักออกแบบ’ ที่เพิ่งก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่านเพียงไม่ถึง 2 ปี Inskru เองก็ถือเป็นธีสิสจบปริญญาตรีที่เธอปลุกปั้นด้วยสายตานักออกแบบเพราะต้องการแก้ปัญหาภาระงานครู 

“ins – ที่มาจากคำว่า inspire / kru – ถอดเสียงจากคำว่า ครู” นโมเล่าให้ฟังอีกครั้งแม้จะเล่าให้สื่อหลายสำนักฟังไม่รู้กี่ทีแล้ว 

ที่ชวนนโมมานั่งคุยในบ่ายแก่ๆ ของวันฝนโปรยในฤดูเปิดเทอม เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นโมและทีมงานเพิ่งปิดจ็อบโครงการ Inskru Hackathon งานที่ชวนครูและคนหลากอาชีพมาร่วมพัฒนา ‘นวัตกรรม’ ทางการศึกษา ใช้แว่นตาของนักออกแบบพยายามแก้ปัญหาหนักในห้องเรียนฉบับ Hackathon เอาไอเดียบางอย่างมาจับทำให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างในเวลาอันรวดเร็ว

ปรัชญาของมันคล้ายว่าถ้าปล่อยให้ไอเดียนั้นอยู่ในอากาศเนิ่นนาน ความสร้างสรรค์จะไม่สดใหม่ คนคิดคนทำพลอยเฉา สุดท้ายไอเดียที่ว่านั้นจะถูกผลักเข้าไปอยู่ใน ‘wish list’ – รอคอยไปก่อนนะ เพราะต้องไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า

ความน่าสนใจของงานคือ นโมเอาวิธีการทำงานแบบ developer มาจับกับปัญหาของครู ผู้ที่เข้าร่วมงาน Inskru Hackathon มีทั้งนักออกแบบ นักจิตวิทยา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง นักวิจัย ภาคประชาสังคม กราฟิกดีไซเนอร์ นักออกแบบประสบการณ์ (UX designer)

มันตื่นตาตื่นใจ เพราะหลายๆ ปัญหาที่เคยคิดว่าหนักหนาสำหรับครู พอนำมาจับกับวิธีคิดของคนสายอาชีพอื่น ก็กลายเป็นความสนุกและเป็นไปได้

จึงเป็นเหตุให้ The Potential สนใจอยากชวนนโมคุยถึงวิธีคิดการสร้าง Inskru โดยใช้รูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม การเป็นนักเคลื่อนไหวที่อยู่ตรงกลางระหว่างสายธุรกิจจ๋ากับคนทำงานสายสังคมศาสตร์ นอกจากนี้ นโมยังเป็นนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ในประเด็นการศึกษาที่ไม่ได้สวมหมวกครู แต่เป็นนักออกแบบ ทำงานเรื่องพื้นที่และการออกแบบการเรียนรู้สร้างสรรค์แก้ปัญหาการศึกษาในสเกลที่เป็นไปได้ เป็นบอร์ดพินเทอเรสต์ทำให้ครูมีจินตนาการเรื่องการสอนและการจัดการภาระงานศึกษาแบบใหม่ๆ ที่สนุกและเป็นไปได้

Inskru ที่มาจากสายตานักออกแบบประสบการณ์  

ก่อนจะพูดเบื้องหลังงาน Hackathon อยากให้นโมเล่าที่มาที่ไป จากนักศึกษาออกแบบ เพราะอะไรจึงเปลี่ยนมาอยู่สายงานการศึกษาได้

นโมสนใจเรื่องการศึกษาอยู่แล้ว คุณย่าเป็นเจ้าของโรงเรียนประถม บ้านนโมอยู่ในโรงเรียนเลย แต่ตอนนั้นเราไม่ชอบโรงเรียน ครูทุกคนปฏิบัติกับนโมแตกต่างจากปกติ หรือเวลาเพื่อนแกล้งก็จะบอกว่าไปฟ้องย่าสิ เรารู้สึกว่า “ทำไมต้องปฏิบัติกับเราแบบนี้ ฉันเป็นเด็ก ฉันเข้าใจ ฉันไม่ได้อยากมีอภิสิทธิ์” ตอนเด็กๆ คงไม่ได้พูดขนาดนี้นะ แต่ความรู้สึกในใจคือไม่อยากแตกต่างหรือได้รับการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนโมเลยไม่มีความทรงจำที่ดีตอนเป็นเด็กประถมเลย แต่พอเข้ามัธยมจะอีกเรื่อง ดีขึ้น เพราะย้ายโรงเรียนแล้ว

ทีนี้เข้ามหา’ลัย เลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรม ด้านการออกแบบและเรื่องดีไซน์ UX (User Experience) หรือการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งาน พอจับสองอันนี้มาเชื่อมกัน ก็คิดว่าเราสามารถดีไซน์ประสบการณ์ผู้เรียนให้ดีกว่านั้นได้รึเปล่านะ เราเลยยิ่งอินกับการทำ Inskru เพราะเหมือนได้เอาสิ่งที่เรียนด้านสถาปัตย์มาเชื่อมกับสิ่งที่เป็นการศึกษา นโมพบว่ามันเชื่อมได้หลายอย่างมากเลย

ไม่ได้เริ่มต้นจากความอยากเป็นครู แต่เป็นนักออกแบบที่สนใจประเด็นการศึกษา?

ชอบสอนหนังสือด้วย ก่อนหน้านั้นก็ชอบสอนหนังสือเด็ก ทำค่ายอาสา ด้วยความที่เรียนเรื่องการออกแบบมา เลยคิดเยอะมากว่าจะออกแบบการเรียนยังไงให้เด็กๆ ในห้องเรียน นโมเอาเรื่อง design thinking มาคิดกับการสอนด้วยนะ แต่พอกลับมาจากค่าย เด็กๆ ก็ต้องเรียนกับครูของเขาอยู่ดี เลยคิดว่าถ้าทำให้ครูสร้างคาบเรียนได้น่าจะอิมแพคกว่า มีวิธีการสอนที่น่าสนใจหรือมีความหมายต่อเด็กได้ ตอนนั้นมันมี inspire แบบเป็นก้อนมัวๆ อยู่ แต่พอเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่ยีราฟ (สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School) และพี่เคนโด้ ซึ่งเป็น developer ที่เคยทำ Saturday School เขาบอกว่าคิดเหมือนกัน ก็เลยรวมตัวกันทำ Inskru แต่ด้วยความที่ทุกคนก็ขยายไปทำทางของตัวเอง Inskru เลยเหลือนโมคนเดียว (ทำเสียงร้องไห้เบาๆ)

Inskru จึงเริ่มจากสายตาของนักออกแบบ?

ทำเว็บไซต์ก่อนเลย ซึ่งแบบ… พัง (หัวเราะ) เว็บไซต์ไม่ได้มีคนอ่านขนาดนั้น แต่ใช่ มันเริ่มจากแบบนั้น นโมมาจากสายสตาร์ทอัพด้วย แต่ไม่ได้มองมันเป็นธุรกิจ แต่ใช้หลักการเรื่อง market research หรือ positioning map แล้วมาพัฒนาตัวโมเดลของเรา

แต่จริงๆ แล้ว Inskru เริ่มต้นจากธีสิสจบของนโม ตอนแรกมันไม่ใช่แบบนี้เลย แต่เป็นแอพฯ คล้ายๆ ติวเตอร์ ซึ่งมันไม่ได้ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและไม่ใช่สิ่งที่เราอิน นโมทำโปรเจ็คต์นั้นไปแล้วหนึ่งเทอมด้วยนะ แต่สุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยน ใช้เวลาปิดเทอมหาว่าจริงๆ แล้วเราอยากทำอะไร และเพราะบ้านนโมเองทำโรงเรียนประถม เลยลงไปโรงเรียน ไปคุยกับครูว่ามีปัญหาอะไร

นโมคุยกับครูไปทั่วเลยว่าเขาเป็นยังไง เจอปัญหาอะไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำเอกสาร นี่ขนาดเอกชนก็ยังมีปัญหาเลย

มีครูคนหนึ่งสะท้อนว่าเขาต้องลบสื่อการสอนทุกครั้งและดาวน์โหลดใหม่ทุกเทอมเพราะเมมโมรีในเครื่องเต็ม เราถามเขาต่อว่ามีการแชร์ไฟล์ให้คนอื่นรึเปล่า เขาบอกว่าไม่ได้มีการแชร์ ตอนนั้นเลยเริ่มมาคิดว่า เออ… ชอบเรื่องนี้อะ ถ้าเราทำพื้นที่ที่เก็บไฟล์แล้วให้ทุกคนมาแชร์ไฟล์ไว้ใช้ร่วมกันน่าจะดี หรือถ้ามันมีที่ให้ครูได้มาใช้ source เรื่องวิธีการสอนร่วมกันน่าจะดีนะ

ความน่าสนใจของ Inskru อีกอย่าง คือเป็นการทำงานเรื่องการศึกษาผ่านเวทีสตาร์ทอัพ ในแง่ธุรกิจเพื่อสังคม

Inskru ก่อตัวมาจากเวทีสตาร์ทอัพ นโมเอาไอเดียของ Inskru ไปแข่ง EdTeach Hackathon แต่ช่วงแรกโดนตียับเพราะในเชิงการตลาด target group ไม่มีกำลังจ่าย เราหาตังค์ไม่ได้ ล้มแบบไปครั้งหนึ่งแล้วไปคิดไอเดียที่จะหาเงินได้ สุดท้ายคิดมาจนถึงตีสอง ตีสาม เราก็ยังไม่อิน เลยเอา Inskru นี่แหละพรีเซนต์ สุดท้าย Inskru ได้ที่ 2 งงมาก (หัวเราะ)

ความดีงามที่เราเริ่มจากฝั่งนี้ (ธุรกิจเพื่อสังคม) คือเราสามารถเชื่อมสายที่โคตร (ลากเสียง) จะสังคมกับสายธุรกิจให้มาเจอกันได้ เราพยายามบาลานซ์ตัวเองให้อยู่ตรงนี้ เพราะตรงนี้เป็นคอนเนคชั่นที่ดีมาก เขาพาเราไปคุยกับคนนั้นคนนี้ได้ Inskru เองก็เป็นที่รู้จักขึ้นมาเพราะสายธุรกิจช่วยผลักดันด้วย ยังขอบคุณตัวเองเลยที่เอา Inskru ไปเข้าประกวด เพราะตอนนั้นมันได้กำลังใจมหาศาล ได้คอนเนคชั่นของคนที่อยู่ในนั้น อย่างพี่ยุ้ย Stormbaker (ยุ้ย จันทนารักษ์ MD ของ StormBreaker Venture โครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านการศึกษา) ก็เป็นประตูที่ทำให้เราได้รับการสนับสนุนและเดินต่อ

หลายคนเวลาพูดถึงคำว่า ‘ธุรกิจ’ แล้วจะกลัวๆ Inskru เองก็จะไม่สร้างจุดยืนของตัวเองว่าเป็นธุรกิจขนาดนั้น

จริงๆ มีสตาร์ทอัพที่ทำเรื่องการศึกษาและเป็นธุรกิจได้เต็มไปหมดเลย แต่พอเรามาจากสายสังคม อยู่กับ พี่ก๋วย (พฤหัส พหลกุลบุตร กลุ่มละครมะขามป้อม) พี่มะโหนก (ศุภวิชช์ สงวนคัมธรณ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Black Box) ได้เจอกับกลุ่มครู ทำให้เราเอนเอียงมาสายสังคมหน่อยๆ ด้วย และการทำงานกับครูมากๆ รู้ insight ว่าคำว่า สตาร์ทอัพ มันดูน่ากลัวสำหรับพวกเขา ดูเป็นโลกธุรกิจ จนทำให้เราซึ่งตอนแรกเริ่มต้นงานในเชิงสตาร์ทอัพ ก็เริ่มไม่อยากใช้คำนี้

สิ่งที่กลัวเสมอคือ ถ้าเราใช้มุมทางธุรกิจนำทาง ผลประโยชน์มักตกไปอยู่กับคนที่มีเงิน แม้ตอนแรกเราตั้ง impact ไว้อย่างนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเราอยากไปแบบนี้ แต่ถ้ามองในทางธุรกิจจ๋า เราก็ต้องหาเงินให้เราอยู่ได้ก่อน สุดท้ายมันก็ตั้งคำถามกับเราแหละว่า สิ่งที่ทำมันเป็นเรื่องการศึกษาจริงเหรอ มันจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำรึเปล่า

จากที่คุย นโมมักใช้เซนส์ ‘ความอิน’ ของตัวเองนำทางในการตัดสินใจหลายๆ ครั้ง passion แบบไหนที่นโมใช้ตัดสินใจ

(นิ่งคิด) วัดว่าอะไรที่ไม่อินมากกว่า คือเวลาต้องทำอะไรที่มันไกลตัวเรามากๆ รู้ว่ามันไม่ใช่ความชอบของเราเลย แต่ Inskru มันมีความชอบของเราเองอยู่ในนั้นเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบการสอน

เช่น?

เช่น Inskru มาจาก Pinterest นะ เป็นนักออกแบบต้องดู Pinterest ก่อนใช่ไหม (หัวเราะ) หาแรงบันดาลใจ ถ้าให้คิดจากศูนย์มันคิดไม่ออกอยู่แล้ว พอจะทำสตาร์ทอัพเรื่อง ‘ครู’ เลยคิดว่าครูก็น่าจะต้องมีแรงบันดาลใจในการสอนเหมือนกัน ยิ่งมี input เยอะเท่าไร เราก็ยิ่งมีวัตถุดิบในการจับนู่นเชื่อมนี่มาพัฒนาคาบสอนของเรา จากตอนแรกที่อาจเห็นมุมมองแค่ข้างเดียว แต่ถ้ามุมมองเรากว้างขึ้น คาบเรียนของเราก็ดีขึ้นไหม

อย่างตอนแรก ถ้าเราไม่เห็นคาบเรียนของพล (อรรถพล ประภาสโนบล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘พลเรียน’) นโมก็คิดว่าคาบเรียนน่าจะเป็นแบบหนึ่ง แต่พอเห็นของพล เฮ้ย… คาบเรียนมันเป็นอีกระดับหนึ่งเลยนะ เลยคิดว่าหากมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมไอเดียการสอนของครูหลายๆ คนมาไว้ด้วยกัน มันเปิดโลกของครูนะ

ใช้ความชอบที่ไม่ขัดกับความเชื่อของตัวเองใส่ไปในงาน?

ใช่ๆ ซึ่งรู้สึกว่ามันดีมาก ทำให้ทุกวันนี้ที่ทำอยู่มันสนุกมาก มันทำได้เรื่อยๆ ทุกงานเป็นสิ่งที่เราอยากทำทุกอย่างเลย

Inskru Hackathon: แก้ปัญหาห้องเรียนสร้างสรรค์ด้วยวิธีคิดแบบ developer

หนึ่งปีผ่านไป จากแรงบันดาลใจสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันไอเดียการสอนที่ตั้งต้นจาก Pinterest สู่ การระดมไอเดียสร้างสรรค์จริงรูปแบบ Hackathon อยากให้นโมเล่าวิธีคิด เบื้องหลังให้ฟังค่ะ 

เริ่มจากการคุยกับพี่ทราย TDRI (ณิชา พิทยาพงศกร นักวิจัยนโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษา) ว่าถ้าครูได้มาสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนกันก็น่าจะดีนะ พี่ทรายเขามีแนวคิดแบบ Hackathon อยู่แล้ว พอมาคุยกันมันเลย พรึ่บๆๆ เสร็จแล้วเลยไปชวนพี่ๆ จาก Saturday School มา kick off กัน

ตอนนโมแข่งงาน EdTech Hackathon (เฟ้นหา Edtech Startup ที่สามารถสร้างนวัตกรรม หรือ เทคโนโลยีทางการศึกษา) มันทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ของไอเดียแบบ Inskru แต่ว่างานนั้นทำให้เราต้องมาคิดถึงการตอบโจทย์ทางธุรกิจ พอต้องคิดถึงธุรกิจทำให้มันตอบโจทย์คนแค่บางกลุ่มและจะไม่ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำ พอจะทำของตัวเอง Inskru Hackathon เลยอยากเอาข้อจำกัดเรื่องการตอบโจทย์ทางธุรกิจออกไปและเริ่มจาก insight เริ่มจากปัญหาจริงๆ อีกอย่างคือ ในงาน EdTech Hackathon บังคับว่าต้องเป็นเทคโนโลยี งานของเราเองเลยไม่บังคับ ออกมาเป็นอะไรก็ได้ 

หนึ่งในความน่าสนใจของ Inskru Hackathon คือคนที่มาร่วมหลากหลายมาก เห็นว่ามีนักจิตวิทยา พ่อแม่ นักวิจัย นักเรียนมัธยมก็มา

ปัญหาการศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนอินง่าย ทุกคนมี pain point (ปัญหาของลูกค้าที่เกิดจากสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ลูกค้าไม่ชอบหรือทำให้ชีวิตลำบากขึ้น จนทำให้ลูกค้าต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการแก้ไขปัญหาที่ว่าคือ การซื้อสินค้าหรือใช้บริการบางอย่างเพื่อแก้ปัญหานั้น) แต่พอถึงเวลาจริงๆ หลายคนจะบอกว่าเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ไม่รู้จะทำเรื่องอะไร เราเลยอยากหาจุดที่เขากับการศึกษาเจอกันให้ได้ งานนี้เลยอยากเป็นจุดเชื่อมให้ทุกคน ไม่ว่าจากอาชีพอะไรได้มาเจอกัน

ตัวอย่างนวัตกรรมที่คนหลายอาชีพมาคิด solution แก้ปัญหาการศึกษาในงานและคิดว่ามันมากๆ

กลุ่ม Fasttrack ที่ทำเว็บไซต์มาจัดการเอกสารราชการ มันเป็นการทำงานร่วมกันของแก๊งครูที่มี pain point ในงานเอกสาร กับ แก๊งสตาร์ทอัพที่เคยทำผลงานด้านเอกสารการเงินมาก่อน ที่ชอบเพราะนโมเห็นเบื้องหลังการทำงานของเขา ทีมครูนำเอกสารทั้งหมดมากาง ทีม developer ก็สอนครูออกแบบการวางโครงสร้างข้อมูล เราเห็นคุณครูนั่งทำ excel ในรูปแบบคล้ายการเขียนโค้ดเลย ทีมครูก็บ่นทีม developer ว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้ายด้วยความเปิดใจพร้อมเรียนรู้ของแก๊งครูก็ทำให้ก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างมาได้ มันมันตรงนี้แหละ ซึ่งตอนนี้ทีมนี้เขาจะทำจริงวางขายในโรงเรียนแล้ว คุณครูก็มาเป็นฝ่ายขายด้วย

อีกกลุ่มคือ Krucare เป็นการรวมตัวกันของนักเรียน ครู ปกครอง ผู้บริหารสตาร์ทอัพ และยูทูบเบอร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ทีมนี้มันตรงที่เขาเลือก pain point การจัดการปัญหาพฤติกรรมเด็กของฝ่ายปกครอง ครูเองก็ไม่ได้อยากจัดการเด็ก เด็กเองก็ไม่ชอบการจัดการของครู เลยเกิดปัญหาความสัมพันธ์ขึ้น กลุ่มนี้เลือกแก้ปัญหาโดยใช้แอพพลิเคชั่นจัดการคะแนนพฤติกรรมเด็ก (แอพพลิเคชั่นนี้จะทำให้เด็กทุกคนรู้ที่มาที่ไปว่าโดนหักคะแนนพฤติกรรมเพราะอะไร ให้นัยยะของระบบเป็นคนหักคะแนนไม่ใช่ครู ลดการเผชิญหน้ากันระหว่างครูและนักเรียน เด็กเองจะรู้คะแนนของตัวเองตลอดปีทำให้รู้ว่าคะแนนของตัวเองปริ่มน้ำจนจวนจะมีปัญหาตอนปลายภาคหรือเปล่า และถ้าถูกหักคะแนนอย่างไม่สมเหตุสมผล เด็กสามารถขอตรวจสอบได้ ส่วนวิธีแก้ไขคะแนนสร้างสรรค์และออกแบบได้ เช่น ถ้าเด็กคนนี้ชอบเล่นฟุตบอลมากๆ ก็อาจไม่ให้เขาลงสนามแข่งฟุตบอลเป็นเวลาหนึ่ง) 

ครูเล่าว่ากว่าจะทำให้เด็กในทีมเปิดใจคุยกับครูก็ปาไปครึ่งวันแล้ว ดราม่ามาก (หัวเราะ) แต่สุดท้ายผลงานก็ออกมาได้ พอเอาไปทดสอบในโรงเรียนปรากฏว่าเด็กไม่สนใจคะแนนพฤติกรรม แต่ต้องการพื้นที่พูดคุยกับครู pivot solution (การปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ในขั้นสุดท้าย) เป็นชีทแผ่นนึงที่ทำให้ครูและนักเรียนได้ reflect กันแทน (ดูได้ที่: https://inskru.com/idea/-LmnVN6r5CUmGZqBSgE8)

ที่ออกแบบให้คนหลากอาชีพมาเจอกัน ตั้งใจทำให้เกิดอะไร อยากเห็นภาพอะไร

นโมเชื่อในความ co-creation ตอนเรียนดีไซน์ ถ้าเอาคนจากอาชีพต่างๆ มาเจอกัน เราจะได้มุมมองจากอาชีพนั้นมาเติม เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเกิดอะไรใหม่ได้แน่นอน แต่นโมลุ้นมากเลยนะ ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

จบงานแล้ว ได้ตามที่วาดหวังไหม

จริงๆ ฝันว่าทุกทีมจะไปต่อได้ (หลายทีมไม่ได้ไปต่อในช่วงการนำไปทดลองในโรงเรียน) ด้วยความที่คนในทีมมาจากสองฝั่งสองโลก (โลกการศึกษา กับ คนในอาชีพอื่น) ครูบางคนก็มาจากต่างจังหวัด เลยยากที่จะมาเจอกันเพื่อคุยงานให้ไปต่อได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมงาน Ed Hackathon เขาถึงให้คนสมัครมาเป็นทีม เพราะทีมสำคัญมาก พอทีมคลิกกัน มันก็อยากทำงานกันต่อ แต่นโมมีข้อสังเกตนะ บางทีมก็มาจากต่างโรงเรียนและอยู่คนละจังหวัด แต่ไปต่อได้ เขาจะมีคาแรคเตอร์ของความขบถนิดๆ  มีความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่เขาก่อกันขึ้นมา

ข้อค้นพบหรือข้อสังเกตในด้านอื่น มีอะไรบ้าง

มันได้ product ที่หาไม่ได้ในงาน EdTech Hackathon สมมุติฐานที่ตั้งไว้มันถูกต้อง คือถ้าเราคิดด้วยธุรกิจตั้งแต่แรกมันจะไม่มีไอเดียอะไรเหล่านี้ ใครจะอยากมาแก้ปัญหาเอกสารครู แล้วจะขายนวัตกรรมแบบนี้ในโรงเรียนได้เหรอ? คำถามมากมายจะตามมาและมันจะปิดความเป็นไปได้นั้นลง แต่งานนี้มันทำให้ความเป็นไปได้ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้จริง เพราะเราเอาข้อจำกัดนั้นออกไป และนโมก็บิลด์ทีมตั้งแต่วันแรกว่าเราทำงานนี้ด้วยจุดประสงค์ 3 ข้อ คือ

หนึ่ง – Co-creation งานนี้ไม่ได้อยากให้คุณมาถามๆๆ ครู พองานจบแล้วคุณก็ทิ้งครูไว้ แต่อยากให้ทุกคนไปพร้อมกัน เชื่อในศักยภาพของกันและกัน พัฒนา product ไปด้วยกัน

สอง – Impact งานนี้จะไม่ทำอะไรที่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ทิ้ง target ไหนไว้ข้างหลัง ต้องทำให้มันเกิด impact ขึ้นให้ได้

สาม – เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นการแก้ปัญหาแบบ one size fit all

อีกอย่างคือ นโมรู้สึกว่ามันเป็นคอมมูนิตี้แบบหนึ่ง จากแต่ก่อนที่เรามีแค่ครู แต่ตอนนี้เราจะเห็นคนที่มี passion ทางการศึกษามาอยู่ด้วยกัน เป็นข้อดีมากๆ

ความตั้งใจ ภาพที่อยากเห็น Inskru เป็นในอีก 3–5 ปี

(นิ่งคิด) ไม่มีเลย อยู่กับปัจจุบัน (ทำเสียงร้องไห้และหัวเราะในคราวเดียว) แต่ถ้าตอบแบบความตั้งใจรวมๆ นโมอยากเห็นระบบและวัฒนธรรมดีขึ้นจนทำให้ครูมีความสุข เด็กมีความสุข

นโมฝันอยากเห็นอาชีพครูเป็นอาชีพที่คนสบายใจจะเป็น คนเก่งมาเป็นครูได้ ใครๆ ก็อยากเป็นครู ถ้าเราไม่สร้างค่านิยมหรือระบบให้เป็นแบบนั้น มันจะไม่มีครูที่อยากเป็นครูจริงๆ เข้ามา ระบบก็ยิ่งถอยหลังไปเรื่อยๆ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่คิดตลอดเวลาว่า “ทำไงวะ?”

ส่วนนักเรียนมีความสุข คืออยากเห็นทุกห้องเรียนมีวัฒนธรรมใหม่ในการสอน ไม่มีการใช้อำนาจ ไม่มีการเรียนเพื่อท่องจำ เด็กก็จะอยู่ในห้องเรียนอย่างมีความสุขมากขึ้น

 *Pinterest เว็บไซต์ที่รวบรวมภาพ คลิปวิดีโอ กราฟิก และงานทางภาพอื่นๆ ที่เน้นความสวยงามของศิลปะและการออกแบบ เว็บไซต์ที่ถือเป็นแหล่งชุมนุมของนักออกแบบทั่วโลก แต่อันที่จริงก็เป็นเว็บไซต์ที่คนทั่วไปเข้าไปหาแรงบันดาลใจในงานออกแบบ ตัวเลขผู้เข้าใช้ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2019 อยู่ที่ 300 ล้านคน/เดือน หลายคนใช้คำว่า Pinterest ในความหมายเฉพาะ เช่น แต่งบ้านแบบ Pinterest, ทำงานอาร์ตแบบ Pinterest

Tags:

ระบบการศึกษาdesign thinkingกลุ่มพลเรียนInsKruชลิพา ดุลยากร

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป
Life Long Learning
13 September 2019

ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ทองคำ เจือไทย หญิงแกร่งวัย 67 จากเกษตรกรขึ้นต้นตาล-เคี่ยวตาล ชีวิตพลิกผันมาเป็นนักวิจัยชาวบ้าน เป็นหัวหน้าโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปูแสมโดยโรงเรียนและชุมชนวัดศรีสุวรรณคงคาราม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
  • เริ่มจากความสงสัยว่าทำไมอาชีพจับปูแสมถึงหายไปจากชุมชน สู่การลงมือทำวิจัย เป้าหมายหลักของโครงการไม่ใช่การเพิ่มจำนวนปู แต่เป็นประสบการณ์การทำงานกับคน ฝึกค้นให้เจอปัญหา ตั้งคำถาม และสร้างสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
  • การทำวิจัยครั้งนี้ ช่วยคืนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับคนในชุมชนโดยเฉพาะเด็กๆ แม้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างทางป้าจะท้อ เหนื่อย อยากล้มเลิกตลอดเวลา
  • ป้าทองคำ เป็นตัวอย่างของผู้สูงวัยที่ทำให้เห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนรู้ ถึงแม้เป็นชาวบ้านก็ลุกขึ้นมาเป็นนักวิจัยและผู้นำชุมชนได้

เข็มนาฬิกาบอกเวลาตี 4 ทุกเช้าป้าทองคำจะต้องตื่นมาทำกับข้าว หุงหาอาหารเตรียมไว้เป็นมื้อเช้าสำหรับลูกๆ มือเป็นระวิงจนถึง 8 โมงจนส่งลูกๆ ไปโรงเรียนเรียบร้อย ก็ได้เวลาหยิบมีดพร้าเล่มยาวเดินเข้าสวนตาล เตรียมเนื้อตัวและใจให้พร้อมเผชิญกับความสูง 

‘ป้าทองคำ’ หรือ ทองคำ เจือไทย กับสามี เป็นชาวแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งคู่มีอาชีพทำสวนตาล เก็บตาลลงมาเคี่ยว บรรจุลงปี๊บขายให้พ่อค้าในตลาด เป็นอาชีพหลักที่จุนเจือครอบครัว จนป้าและลุงส่งลูกเรียนจบทั้ง 4 คน

ป้าทองคำ – ทองคำ เจือไทย

ป้าเริ่มขึ้นตาลครั้งแรกหลังแต่งงานกับลุงตอน ป้ายังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ตอนนั้นอายุแค่ 22 ปี

“ป้าร้องไห้ ต้องร้องไห้หลายหน กว่าจะขึ้นเป็น มันกลัวตก ขึ้นแล้วก็ลงอยู่อย่างนั้นหลายรอบ” ป้าทองคำบอก

“วันหนึ่งป้ากับลุง ต้องขึ้นตาลสองรอบ จะได้ประมาณสองปี๊บ เหนื่อย ไม่มีเวลาพัก ขึ้นตาลรอบแรกช่วงเช้า พอเคี่ยวเสร็จก็ประมาณเที่ยง จากนั้นก็ต้องหุงข้าวเตรียมไว้ตอนเย็น แล้วเดี๋ยวเย็นก็มาขึ้นต่อ” ป้าอยู่กับการทำตาลมาเกือบทั้งชีวิตจนปัจจุบันอายุ 67 ป้าตัดสินใจหยุดทำอาชีพนี้อย่างถาวรไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเพราะสุขภาพร่างกายไม่เอื้อ ทำให้งานหลักในชีวิตประจำวันของป้าเหลือแค่การเลี้ยงหลานและดูแลปากท้องคนในบ้านเท่านั้น

ย้อนไปสมัยยังโสด ป้าทองคำไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาปีนต้นตาลหรือเคี่ยวตาลขายมาก่อน ตอนเด็กๆ ป้าอาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นแม่ค้ารับซื้อปูแสม ป้าเห็นแม่นำปูมาดองและส่งไปขายกรุงเทพฯ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ชุมชนที่ป้าอาศัยอยู่ก็เปลี่ยนตาม นอกจากคนในรุ่นแม่แล้ว ป้าทองคำก็ไม่เห็นใครทำอาชีพจับปูแสมอีกเลย 

แต่ไม่รู้ว่าชะตาหรือฟ้าลิขิต เมื่อเวลาผ่าน ป้าทองคำจับพลัดจับผลูกลายเป็นนักวิจัยชาวบ้านโดยไม่ตั้งใจ และไม่น่าเชื่อว่างานวิจัยที่ป้าลงแรงศึกษานานถึง 3 ปี คลุกอยู่กับมันจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ…

“นักวิจัยชาวบ้านด้านปูแสม” น่าจะเป็นคำที่เหมาะกับป้าทองคำมากที่สุด

จากชาวสวนปีนต้นตาลกลายมาเป็นนักวิจัยชุมชนได้อย่างไร

เรื่องปูแสมไม่เคยอยู่ในหัวป้ามาก่อน ป้าไม่ได้คิดจะทำตรงนี้เลย เพราะทำตาลก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เรื่องมันเริ่มปี 2546 โรงเรียนวัดศรีสุวรรณคงคาราม โรงเรียนลูกสาว วันหนึ่งครูเขาเชิญป้าไปเป็นคณะกรรมการประธานศึกษา เพราะลูกเรียนดี นิสัยดี (ดูจากตรงนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ) ป้าได้เข้าไปเป็นกรรมการอาสา ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าครูเชิญป้าไปทำไม แต่ได้ยินว่ามีนโยบายให้โรงเรียนทั่วประเทศจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น คงเป็นเหตุผลที่ครูเชิญป้าไปในฐานะเป็นผู้ปกครอง 

ครูบอกกำลังจะเริ่มทำหลักสูตรท้องถิ่น แต่ครูไม่มีความรู้ จึงเชิญพ่อแม่มาช่วยกัน ครูอธิบายว่าหลักสูตรท้องถิ่นคือการให้เด็กๆ กลับมาเรียนรู้อาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษในชุมชนตัวเอง ครูจึงให้ผู้ปกครองทุกคนลองเสนออาชีพที่ตัวเองทำอยู่ขึ้นมา บางคนทำตาล บางคนก็เย็บผ้าขาย บางคนก็รับจ้าง 

ตอนนั้นป้านั่งฟัง ทุกอาชีพมันน้อยลงจริงด้วย เพราะคนเปลี่ยนอาชีพหันไปทำโรงงานกันหมดแล้ว แต่บางอาชีพที่ผู้ปกครองคนอื่นพูดมาก็ยังมีให้เห็นอยู่ในหมู่บ้าน

ป้าเลยเสนอ ‘อาชีพจับปูแสม’ เป็นอาชีพที่แม่ป้าเคยทำ เพราะอาชีพนี้มันหายไปจริงๆ ไม่มีคนในชุมชนทำอาชีพนี้เลย อีกอย่างป้ามองว่าอาชีพจับปูมันสามารถทำได้ทุกคนแม้กระทั่งเด็ก ครูจึงสนใจ

อีกอย่างถ้าอาชีพจับปูกลับคืนมา มันจะสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ง่ายมาก ออกจับปูตอนหัวค่ำ พอเช้าก็ได้ตังค์แล้ว ทำให้คนไม่ยากจน ไม่ต้องรอพ่อค้ามาซื้อ เพราะมีคนซื้ออยู่ในหมู่บ้าน ถ้าขายไม่ได้ก็เอาไปทำอาหารกินเองในครอบครัว แถมตอนที่ออกไปจับปูก็สามารถจับกบไปด้วยได้ สร้างรายได้อีกทาง

แต่ในเมื่ออาชีพจับปูแสมมันหายไปแล้ว ป้าทำงานต่ออย่างไร

ตอนที่ป้าเสนออาชีพนี้ทุกคนในชุมชนก็ว่า “เสนอไปได้ยังไง” “อาชีพมันหมดแล้ว” และ “ไม่มีทางกลับมาหรอก” ทุกคนต่างค้าน มีแต่ครูเท่านั้นที่สนใจ เพราะมันท้าทาย แต่มันก็ไปสุดแค่นั้น ขนาดป้าเองที่เป็นคนเสนอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยวิธีไหน ให้อาชีพนี้กลับมา มันตันไปหมด แต่โชคดีที่ได้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. เข้ามาช่วยตั้งคำถามและกระตุ้นว่าจะไปทางไหนต่อ (ขณะนี้ สกว. ได้เปลี่ยนเป็นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ) 

ป้ามีวิธีการหรือขั้นตอนการทำวิจัยอย่างไร

ตอนนั้นป้าไม่รู้อะไรเลย รู้เรื่องแค่การจับปู การดองปู การขาย แต่ป้าไม่รู้ว่าปูมันอยู่อย่างไร มันเลี้ยงได้ไหม ไม่รู้จะไปถามใครเพราะอาชีพนี้ไม่มีใครทำแล้ว สกว. เขาเชิญคนจับปูแสมตัวจริงมาพูดคุยกันในเวที คนจับยืนยันว่าปูแสมเลี้ยงไม่ได้ เพราะว่ามันกินดิน กินใบไม้ ต้องอยู่กับน้ำสะอาด ต้องอยู่ในรูตามธรรมชาติ 

พอเจอข้อมูลแบบนี้ป้าก็ตันไปต่อไม่ถูก เหนื่อย ท้อ ยาก ทางครอบครัวก็ไม่เข้าใจ ตอนนั้นป้าเริ่มออกจากบ้านบ่อยเพราะต้องไปประชุม “ก็งานวิจัยมันทิ้งไม่ได้เนอะ (หัวเราะ)” ตอนนั้นป้าอยากเลิกทำมากๆ บอกครูว่า “ครูทำไปเถอะ ป้าไม่ไหวแล้ว” แต่ครูก็พยายามให้ป้าไปต่อ เพราะป้าเป็นเจ้าของเรื่อง ป้าก็ต้องไปต่อ

เราจึงมาตั้งโจทย์กันใหม่ ว่าเราต้องการอะไร คำตอบคือเราต้องการให้เด็กในหมู่บ้านรู้เรื่องปูแสมให้ได้ ป้าจึงตัดสินใจพาเด็กไปเรียนรู้กับคนจับปูแสมตัวจริง ไปดูซิว่า ปูมันอยู่ยังไง ปูมันกินอะไร ไปดูสภาพแวดล้อม เดินทางไปกับเขา ศึกษาชีวิตปู เอาให้ชัดไปเลย ในเมื่อปูแสมมันเลี้ยงเองไม่ได้ใช่ไหม แต่เรารู้สาเหตุแล้วว่าปูมันอยู่อย่างไร ปูมันกินอะไร ดังนั้นเราก็ต้องรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ปูมันกลับมา 

ซึ่งต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดมันคือเรื่องสิ่งแวดล้อม เราต้องไม่ทิ้งสารเคมีในหมู่บ้าน ที่ปูมันหายเพราะเกิดจากการขุดบ่อ โค่นต้นไม้ป่าชายเลน เอารถแม็คโครไปตัก รูปูพัง ปูก็จะหนีไปเรื่อยๆ โดนรุกพื้นที่ไปเรื่อยๆ 

แต่กว่างานวิจัยสำเร็จ คาดว่าน่าจะใช้เวลานาน ช่วงนั้นเจอกับความยากลำบากอะไรบ้าง

เช่น ตอนที่จะพาเด็กไปเรียนรู้เรื่องปู ต้องไปอยู่กับคนจับปู ซึ่งเวลาออกไปหาปูต้องออกไปกลางคืน กลับเข้ามาตอนเช้า เพราะตอนกลางวันปูจะอาศัยอยู่ในรู ตอนนั้นป้าก็กลัว ครูเขาก็กลัว กลายเป็นว่าเราก็ตันอีก สกว. ต้องเข้ามากระตุ้น เพื่อให้เราอย่ายอมแพ้และไปต่อ

เมื่อป้ารู้ที่มาที่ไปของอาชีพนี้แล้ว จะทำหลักสูตรท้องถิ่นขึ้นมาได้อย่างไร

ก็ต้องให้เด็กลงมือทำ ไม่ใช่ดูเฉยๆ หลังจากตกผลึกเรียบร้อย มันจึงเกิดเป็น โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปูแสมโดยโรงเรียนและชุมชนวัดศรีสุวรรณคงคาราม ขึ้นมา เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นคนในชุมชน ทั้งครู ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปกครอง และมีการกำหนดขอบเขตในการเริ่มทำวิจัยขึ้นมา 

ย้อนไปตอนนั้น ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงออกคำสั่งให้ขุดบ่อหลังโรงเรียน ทดลองเอาปูแสมมาเลี้ยง เพื่อทำพื้นที่ให้เด็กไปเรียนรู้ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล แต่มันก็มีอุปสรรคมากมาย เพราะผู้ปกครองบางคนก็ไม่เข้าใจ บอกว่า บ่อเป็นที่เพาะยุงบ้าง, กลัวเด็กตกบ่อตายบ้าง ป้าโดนกดดันทุกทาง จนรู้สึกว่า งานวิจัยมันโคตรยาก ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าคนอื่นจะเข้าใจ

แต่ป้ากับครูพยายามพาเด็กๆ ลงไปพื้นที่ให้เห็นของจริงมากที่สุด ป้าจะให้เด็กๆ เตรียมกระดาษ ปากกา ดินสอ ลงไปสำรวจ โดยที่ไม่บอกว่าต้องทำอะไร ต้องเขียนอะไร จากนั้นเมื่อกลับมาครูจะทวนบทเรียนกับเด็ก ชวนกันถอดบทเรียนว่าเราเห็นปัญหาอะไร และจะแก้อย่างไร มันทำให้ป้าสนุกมากขึ้น 

อีกอย่างป้ามีโอกาสเข้าไปเวทีงานวิจัยใหญ่ๆ ไปศึกษาว่าคนอื่นเขาจัดการปัญหาในพื้นที่ของตัวเองอย่างไร ไปแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม แล้วเอามาปรับใช้กับเรา

พอเรารู้ข้อมูลต่างๆ ป้าก็กลับมาจัดเวทีคืนข้อมูลให้ชาวบ้านชุมชนบ้าง เอาโครงการของเราที่ทำกับโรงเรียนมาเป็นตัวตั้ง จัดเวทีคืนข้อมูลทำให้ชาวบ้านรู้ถึงสาเหตุที่ปูหาย สาเหตุที่ทำให้อาชีพนี้หาย 

ชาวบ้านสะท้อนความคิดเห็นบอกป้าเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่เลย ปูหนีออกไปไกลเรื่อยๆ เพราะการบุกรุกของคน” ปูแสมมันไม่ได้หายไปไหน แต่มันหนีไปไกล มันถอยห่างเราออกไป คนจับก็ต้องไปไกลกว่าจะถึง จนกลายเป็นอาชีพที่เลิกไป ถ้าจะให้กลับมา คนในชุมชนก็ต้องเตรียมพื้นที่ที่เหมาะสำหรับปู แล้วเขา(ปู)จะกลับมา

บทสรุปของโครงการนี้ ปูแสมกลับมาไหม แล้วเด็กๆ ได้เรียนรู้อะไรผ่านงานวิจัยของป้า

ไม่มีใครเชื่อว่าปูแสมจะกลับมา แต่หลังจากทำพื้นที่ที่เหมาะสมกับปู ไม่กี่เดือนชาวบ้านบอก มันเริ่มกลับมาแล้ว ตอนนั้นคนในชุมชนต่างฮือฮาที่เห็นรูปูอยู่ข้างบ้าน เวลานั้นไม่ใช่ปูแสมอย่างเดียวที่หายไป ปูเล็กปูน้อย ปลาตีน งูปลา ปลา ปูเปรี้ยว ทุกอย่างหายไปหมด เพราะว่าสารเคมีที่ใช้โรยบ่อกุ้ง รวมถึงการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีออกมาจากฟาร์มกุ้งต่างๆ ที่ทำให้ปูตาย งานวิจัยนี้ช่วยสรุปว่า ชุมชนต้องหันมารณรงค์ไม่ให้ใช้สารเคมีได้แล้ว ไม่ให้ทำลายถิ่นที่ปูชอบอยู่ 

ส่วนเด็กๆ หลังจากที่เขาเข้าใจปัญหา รู้สาเหตุ รู้ว่าต้องรักษาสิ่งแวดล้อม เขาก็มีวิธีแก้เป็นของตัวเอง บางคนห้ามพ่อแม่ไม่ให้ทิ้งสารเคมี บางคนก็มาฟ้องครู บางคนเขียนรายงานส่งครูว่าวันนี้หนูบอกพ่อแม่ว่าอย่างนั้น อย่างนี้  

งานวิจัยเรื่องนี้มีวิธีการพาเด็กเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมแบบไม่สอนได้อย่างไร

เด็กๆ จะกลับมาหาความรู้ด้วยตัวเอง พอเด็กลงพื้นที่ไปจดบันทึก เขียน วาดภาพ เขาจะอธิบายได้หมด นำเสนอได้หมด กลายเป็นความสนุก การพาเด็กไปเจอของจริงคือเทคนิคในการทำให้เขาเคลื่อนงานไปโดยที่เราไม่ต้องสั่ง เด็กรู้เอง การลงพื้นที่ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น เขาจะรู้สึกอยากไป พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็กลับมาบอกว่า เด็กกลับบ้าน ถามเรื่องปู ถามเรื่องรูปู ปูอยู่ยังไง กินใบไม้อะไร 

มันทำให้ป้ารู้ว่า “อ๋อ ถ้าเราทำแบบนี้ นี่คือหลักสูตรท้องถิ่นที่เด็กรู้เอง” การที่เขากลับไปถามผู้ปกครองเอง ไปหาความรู้เอง แล้วก็ทำงานมาส่งครู เด็กเขียนรายงานเองได้ เขาออกไปหาคนที่เขาอยากถาม เขาวาดภาพส่ง มานำเสนอหน้าชั้น เขียนบทความเป็นเรื่องราว ครูเขาก็บอกว่าไม่น่าเชื่อเลย

แต่สำหรับป้าการที่เด็กมีความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมติดตัว นี่ไงหลักสูตรท้องถิ่นสำเร็จแล้ว

ตั้งแต่วันแรกที่ป้าบอกว่าเรื่องปูแสมไม่ได้อยู่ในหัวเลย จนวันที่ป้าเข้าสนามวิจัย เริ่มจะเป็นนักวิจัย ผ่านความท้อ ความยาก ผ่านแรงปะทะ ความกดดัน ทางตัน ทั้งหมดนี้มันให้อะไรกับป้าบ้าง

มันให้ประสบการณ์เยอะ เราต้องสู้ เคยถามตัวเองว่าเราต้องสู้เพื่ออะไร ตังค์ก็ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ มันไม่ใช่แค่เงิน ชีวิตคนไม่ใช่อยู่ด้วยการมีเงินอย่างเดียว หรือว่าการไปนั่งฟังพระเทศน์ มันอธิบายยาก การเสียสละไม่ใช่ไปเก็บขยะนะ 

ทุกวันนี้ป้าเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่ป้าทำคือการทำเพื่อบ้านเมืองตัวเอง ทำเพื่อชุมชน โดยที่เราไม่ต้องบอก เราไม่ต้องอธิบาย 

วันที่ป้าเห็นปูกลับมา ป้ารู้สึกยังไงบ้าง

รู้สึกว่าเราทำสำเร็จแล้ว แต่ตัวป้าก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องเห็นปูกลับมานะ เป้าหมายคือการให้เราเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เขาไม่ได้บอก 1-2-3-4 ว่าเราต้องทำอะไร แต่เราเรียนรู้เอง เรียนรู้ตั้งแต่เราเริ่มออกจากบ้าน 

เช่น การที่ป้าไปนั่งอยู่ในเวทีนำเสนองานวิจัย ทำให้ป้าได้ไปเจอคน มันแปลกประหลาด มันไม่ใช่กลุ่มคนที่เคยเจอ ไม่ใช่กลุ่มชาวบ้าน มันไม่ใช่กลุ่มงานวัด งานบวช งานแต่ง ที่พูดเรื่องชีวิตในบ้าน แต่ดันพาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ พาไปเข้าใจเรื่องใหม่ๆ แชร์ปัญหา แชร์วิธีแก้ ที่สำคัญคือการลงมือทำ ฟัง คิด วิเคราะห์ แล้วมันประจักษ์ด้วยตัวเราเอง ทุกอย่างต้องลงมือ แล้วมันเปลี่ยนชีวิต-เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมได้

จึงเป็นเหตุทำให้ป้าได้ทำงานต่อยอดโครงการ Active Citizen ด้วยใช่ไหมคะ

สำหรับโครงการ Active Citizen ป้าได้เข้าร่วมเพราะทาง สกว. ชักชวน เขารู้ว่าป้าทำงานตรงนี้ เข้าใจวิธีการทำวิจัย ทั้งที่เราก็แก่ป่านนี้ มันเป็นโครงการของเด็กวัยรุ่น ตอนแรกป้าก็งงจะให้ไปดูอะไร แต่ก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ป้าก็ไป เพราะนิสัยอยากรู้อยากเห็นด้วย (หัวเราะ)

ใน Active Citizen หน้าที่ของป้าก็เริ่มตั้งแต่ดูโครงการของเด็กๆ ดูวัตถุประสงค์ ดูประโยชน์ที่จะได้รับ คอยช่วยลำดับภาพ คอยคอมเมนต์ เพราะว่าเราโดนมาเยอะเนอะ ถ้าใครไม่ได้ผ่านประสบการณ์มาก่อนจะยาก ป้าเหมือนเห็นภาพตัวเองตอนที่ทำวิจัย เวลาเขาตันไปต่อไม่ได้ ก็จะเข้าไปช่วย มองหาช่องและจังหวะ ไม่ซ้ำเติม

อยากให้คุณป้ายกตัวอย่าง อะไรที่เด็กๆ นำเสนอมาแล้วคุณป้ามีคอมเมนต์เพิ่มเติม

เช่น การตั้งหัวข้อโครงการ การจะทำโครงการอะไรต้องทำให้ชัด ถ้าตั้งชื่อโครงการยังไม่ชัดมันจะไปต่อไม่ได้ ป้าจะช่วยตั้งคำถามกับเด็กๆ กระตุ้นให้เขาคิดว่าเขาจะทำโครงการอะไรกันแน่ ลองเล่าให้ป้าฟังหน่อย เคยมีเด็กกลุ่มหนึ่งจะทำโครงการเรื่องยาสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษา แต่งานที่เด็กๆ นำเสนอ มันทำยากเกินไปเมื่อเทียบกับข้อจำกัดและเวลา จะต้องไปทดลองรักษาโรคจริงๆ มันยากเกินและใช้เวลามาก ถ้าเปลี่ยนเป็นการกินสมุนไพรพื้นบ้านแทน มันน่าจะง่ายขึ้นและใช้เวลาเหมาะสม

ป้าต้องการแค่ให้เด็กอยากทำ ทำแล้วบอกได้ว่าสิ่งที่ตัวเองลงมือทำกับมือมันเกิดอะไรขึ้น และเขาได้เรียนรู้อะไร ใช้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร

กลับมาทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ ๆ เป็นยังไงบ้างคะ

เด็กรุ่นใหม่ ไม่เหมือนเด็กเล็กๆ ในโรงเรียนที่ป้าเคยทำงานด้วย เด็กรุ่นใหม่เขาจะไม่มีเวลามาก แต่ใจเขายังใช้ได้อยู่ เด็กๆ เขามีพลังของการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับวิธีการที่ผู้ใหญ่หรือหน่วยงานต่างๆ จะให้เขาเดินอย่างไร

พอทำงานกับเด็ก ป้ามีวิธีการอย่างไร ที่ทำให้เด็กรู้สึกว่าเราไม่ไปสอนหรือสั่งเขา แต่เป็นการทำงานด้วยความเข้าใจ

เราทำงานกับเด็ก ก็ต้องทำตัวเป็นเด็ก ลงไปสนิทกับเขา ถ้าเราไม่สนิทกับเขา เรามีความต่างด้านอายุ เขาจะไม่ไว้วางใจ ไม่อยากพูดกับเรา ป้าจะใช้วิธีเข้าไปรู้เรื่องของพวกเขาให้เป็นอัตโนมัติ เมื่อเด็กๆ มานำเสนอโครงการ เวลากินข้าว นั่งเล่น เราก็เข้าไปคุยกับเขา เพื่อจะให้เขาผ่อนคลาย พอเขาวางใจเรา พอถึงเวลาเราต้องนำ เขาก็จะเปิดใจ เข้าไปเป็นเพื่อน หาจังหวะเอาจริงเอาจังในงาน เราต้องจับให้ได้ว่าตรงไหนคือจุดบกพร่องที่ต้องเติมเต็ม  

การทำงานครั้งนี้ป้าได้แลกเปลี่ยนอะไรกับเด็กรุ่นใหม่บ้าง

อาจจะไม่ได้แลกเปลี่ยนตรงๆ แต่ใช้วิธีแลกเปลี่ยนผ่านการตั้งคำถามกลับไป ป้ามองอีกมุมที่เด็กและพี่เลี้ยงมองไม่เห็น พอเห็นว่าจุดไหนที่ขาด เราก็ซัดเลย

ในฐานะที่ป้าอยู่กับคำว่าเรียนรู้มาตลอด เป็นทั้งนักวิจัย เป็นทั้ง Mentor ให้กับเด็กๆ สิ่งเหล่านี้ให้อะไรป้าบ้าง

ป้ามีมุมมองว่าทั้งหมดที่ผ่านมา ป้าเรียนรู้ไปเพียงขี้ปะติ๋วเดียว…มันยังมีเรื่องราวอีกเยอะที่เรายังไม่รู้ เราทำงานแบบคนตัวเล็ก เราไม่ได้ตัวใหญ่มาก แต่เราต้องพยายามในสิ่งที่เราทำอยู่ให้มากๆ เพราะในโลกมีเรื่องราวให้เรียนรู้อีกกว้าง

สิ่งที่ทำให้ป้าสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้คืออะไร

เพราะป้าได้เรียนไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง ป้าคิดว่าสิ่งที่ป้าออกจากบ้านไปทำ คือ การเรียน

มันได้มองในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มองอีกด้านหนึ่งของชีวิตคน มันไม่น่าเบื่อเลย เราเห็นความรู้ที่เราเคยรู้จากคนโบราณเอามาปรับใช้กับยุคสมัย ถ้าเราอยู่กับที่ชีวิตเราจะดักดาน ไม่มีรสชาติ ป้าบอกกับคนที่บ้านตลอดเลย “ฉันจะไป ห้ามฉันไม่ได้หรอก (หัวเราะ)” 

คนบอกว่า โอ้ย อายุป่านนี้ทำไมไม่อยู่บ้าน “ก็เนี่ย…ชีวิตฉัน พอสาวๆ ชีวิตเป็นของลูกและผัว ต้องทำงานเพื่อลูก ต้องขึ้นตาล แต่พอตอนแก่ ฉันเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองแล้ว ขอทำอะไรที่อยากทำบ้าง”

ทุกวันนี้มีคนสูงวัยจำนวนไม่น้อย ที่คิดว่าตัวเองเป็นภาระ ไม่มีคุณค่า แต่ฟังจากเรื่องที่ป้าเล่า ป้าไม่น่าจะคิดแบบนั้น?

ป้าไม่ได้รู้สึกมานานแล้วว่าเราเป็นภาระของใคร เพราะเราไม่เคยทำตัวให้เป็นแบบนั้น เราอยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวเองหมด ป้าคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้คุ้มแล้ว ไม่ได้ทำตัวเองอย่างเดียว ทำเพื่อลูก ครอบครัว เราเต็มที่หมด อาจจะเป็นที่นิสัยและความคิดด้วยที่ทำให้เราเป็นคนแบบนี้ เราไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะเรา 

จะสื่อสารอะไรไปถึงเพื่อนๆ สูงวัย ที่อาจจะกำลังเฉาๆ หรือมองว่าตัวเองแก่แล้ว

เรื่องแบบนี้มันเป็นที่ความคิดของแต่ละคน ถ้าเขาออกไปพบปะ แลกเปลี่ยน ได้ไปคุยกับคน ออกไปเห็นโลก อาจจะเปลี่ยนความคิดของเขาก็ได้ ป้าโชคดีที่ได้ออกไปทำเพราะมีโครงการให้ทำ มันมอบอีกชีวิตหนึ่งให้เราเลย มันคือชีวิตคนละม้วนกับที่บ้านเลย

ป้าทองคำตอนอยู่บ้าน กับ ป้าทองคำตอนอยู่ข้างนอก ต่างกันอย่างไรบ้าง

ตอนอยู่บ้านทำทุกอย่าง หุงข้าว กวาดบ้าน ล้างถ้วยชาม เราทำคนเดียว พอออกไปข้างนอกเราไปได้นั่งสบายไปคอมเมนต์คนอื่นด้วย (หัวเราะ) ป้าเป็นคนทำงานบ้านอยู่แล้วนะ แต่การออกไปข้างนอกเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่บ้านเราเจอแค่ลูก อยู่ข้างนอกเราต้องไปคอมเมนต์ลูกคนอื่น จะทำอย่างไร ใช้คำพูดแบบไหน เพราะเขาก็ไม่ใช่ลูกเรา ดังนั้นเราต้องคิด วิเคราะห์ เพราะเด็กที่เราทำงานด้วยเขาก็มีความหลากหลาย เป็นโอกาสและกำไรชีวิตของป้าที่ได้รู้จักคน

ถ้าวันนั้นป้าทองคำไม่ได้เป็นนักวิจัย ไม่ได้เข้าโครงการ Active Citizen มองภาพตัวเองเป็นอย่างไร

ก็คงเป็นคนแก่ๆ อยู่กับบ้าน (หัวเราะ) คงไม่ได้ออกไปไหน ไปตลาด งานแต่ง งานบวช อย่างดีก็คงไปวัดเหมือนคนอื่น หาอะไรทำไปเรื่อย สุดท้ายคงจบที่การไปนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย เพราะเราคงอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ล่ะมั้ง

Tags:

active citizenสิ่งแวดล้อมนักวิจัยทองคำ เจือไทย

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • เดินสำรวจหอยขาวอ่าวท่าชนะ ในวันที่ธรรมชาติจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    หนีโควิดไปติดหาดกับอาหารเมนูหอยแซ่บๆ ที่บ้านมดตะนอย เกาะลิบง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ผ้าสบงและป้ายรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ การลุกขึ้นมาจัดการป่าของเยาวชนบ้านหนองสะมอน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life Long Learning
    การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’
Learning Theory
12 September 2019

วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ครบหนึ่งร้อยปีของการก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟ – แนวทางการศึกษาที่เน้นความเป็นมนุษย์ โดย รูดอร์ฟ สไตเนอร์
  • 1 ศตวรรษผ่านไป ปัจจุบันมีโรงเรียนประถมและมัธยมสไตล์วอลดอร์ฟราว 1,100 แห่ง และโรงเรียนอนุบาลราว 2,000 แห่งทั่วโลก
  • แนวทางการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อัตตามนุษย์ คำถามสำคัญวันนี้และอยากชวนคิดต่อว่า “วอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม”

7 กันยายน 2562 – วันนี้เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วคือวันก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟ -การศึกษามนุษยปรัชญา- ครั้งแรกของโลกที่เมืองสตุตการ์ต ประเทศเยอรมัน ไม่ใช่แค่อนุบาลบ้านรักที่จัดงานเฉลิมฉลองอย่างน่ารักเป็นกันเอง แต่โรงเรียนวอลดอร์ฟทั่วโลกต่างกำลังร่วมกันฉลองการถือกำเนิดแนวทางการศึกษาที่เน้นความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน

ภายในงานประกอบไปด้วยร้านรวงที่มากางโต๊ะขายของ ทั้งขนม สีเทียน (สีเทียนแท่งสีเหลี่ยม ลักษณะเฉพาะที่พบได้ในการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ) อาหารการกินที่ทุกคนพร้อมใจกันนำภาชนะจากบ้านมาเองเพื่อทำให้ ‘ขยะเป็นศูนย์’ ตามคอนเซ็ปต์ของโรงเรียนในตอนนี้

ทั้งมีวงคุย 2 วง วงแรกนำคุยโดย คุณดำรงค์ โพธิ์เตียน ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยปรัชญา ว่าด้วยประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟครั้งแรก

และวงที่ 2 ว่าด้วยปรัชญาจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ ว่าให้อะไรกับผู้เรียน ผ่านมาหนึ่งร้อยปี การศึกษาแนวมนุษยปรัชญายังทันสมัยและจำเป็นอยู่ไหม วงนี้ชวนคุยโดย ครูอุ้ย-อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้ก่อตั้งอนุบาลบ้านรัก และวิทยากร 3 ท่าน ได้แก่

ครูมอส-อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี เจ้าของ ‘สตูดิโอศิลปะจากด้านใน’ (๗ Arts Inner Place)

หมอปอง-นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์ธรรมชาติบำบัดตามแนวมนุษยปรัชญา

และ หมอชาย-นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท ดุษฎีบัณฑิตจากฮาร์วาร์ดที่ศึกษามานุษยวิทยา และบรรณาธิการ ‘สมุดปกขาวอากาศสะอาด’

หมอชาย-นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท, หมอปอง-นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล, ครูมอส-อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

โรงเรียนวอลดอร์ฟที่เริ่มต้นจากความคิดผู้จัดการโรงงานยาสูบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

คุณดำรงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยปรัชญาและผู้ที่ได้รับการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ เริ่มต้นเล่าที่มาของการก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟแห่งแรก ณ เมืองสตุตการ์ต ประเทศเยอรมนี วันที่ 7 กันยายน 1919 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่า มี 2 ข้อเท็จจริงที่ต้องเล่าไปทีละขั้น คือ…

หนึ่ง นี่คือการจัดการศึกษาด้วยแนวคิดมนุษยปรัชญาโดย รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) ซึ่งสมัยนั้นถือว่าการจัดการศึกษาด้วยแนวคิดนี้เป็นเรื่องที่ใหม่มาก (อันที่จริงการจัดการศึกษาระบบโรงเรียนทั้งหลายก็เป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด เช่น การเกิดขึ้นของโรงเรียนอนุบาลหรือ kindergarten ก็เพิ่งเกิดขึ้นในปี 1837 (ไม่เกิน 200 ปี) ที่ประเทศเยอรมนี ใหม่ขนาดที่ว่าสมัยนั้นไม่มีครูคนใดที่จัดการศึกษาแนวนี้ได้ เมื่อตั้งใจจะเปิดโรงเรียน ครูจำนวน 12 คนต้องผ่านการอบรมอย่างเข้มงวด – เข้มข้น และด้วยเงื่อนเวลาที่งวดมากๆ เพียง 14 วันก่อนเปิดเรียน อย่างที่สไตเนอร์เรียกว่า นี่เป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกันระหว่างครูและเด็กเลยทีเดียว

สอง การก่อตั้งโรงเรียนที่ชวนสไตเนอร์มาเป็นผู้ออกแบบการศึกษา ริเริ่มโดย เอมิล โมลท์ (Emil Molt) ผู้จัดการโรงงานยาสูบที่เมืองสตุตการ์ต เยอรมนี ครูดำรงค์เล่าประวัติอย่างคร่าว (แต่ก็ยาวพอจะเข้าใจประวัติศาสตร์เยอรมนีสมัยนั้นเลยทีเดียว!) เพราะในสมัยนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีและประเทศในยุโรปเต็มไปด้วยโรงเรียนอุตสาหกรรม คนงานในโรงงานยาสูบมีจำนวนมากขึ้น โมลท์ต้องการให้การศึกษากับคนงาน ทั้งวิชา โดยช่วงแรกถึงขนาดให้คนงานเรียนตั้งแต่ ประวัติศาสตร์ การผลิตกระดาษ การเก็บเกี่ยวใบยาสูบ รวมถึงวรรณกรรม ต่อมาค่อยเปลี่ยนไปเรียนหลังเลิกงาน แต่คนงานบอกว่าวิชาพวกนี้มันยากเกินไปและเริ่มมาเข้าเรียนน้อยลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม โมลท์เห็นว่าการศึกษาสำคัญ และจะสำคัญมากกว่าถ้ามอบมันแก่ลูกหลานของคนงานที่เขาดูแลอยู่

รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) และ เอมิล โมลท์ (Emil Molt) ตามลำดับ

โมลท์เจอกับสไตเนอร์ครั้งแรกในงานวิชาการปี 1904 เขาตั้งใจเลยว่า ความรู้ทางมนุษยปรัชญาที่สไตเนอร์มีนี่แหละที่ควรจะนำมาใช้จัดการศึกษาจริง คุณดำรงค์เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆ ว่า แม้วันนี้จะถือเป็นวัน ‘เปิดเทอมวันแรก’ แต่เด็กๆ ได้เข้าห้องเรียนจริงๆ ก็เข้าวันที่ 8 กันยายน 1919 เนื่องจากว่าเฟอร์นิเจอร์ได้มาส่งในวันนั้น จุดนี้ทำเอาคนในห้องกระจกสีชมพูมีเสียงหัวเราะตามเบาๆ

ในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 มีโรงเรียนวอลดอร์ฟจำนวน 32 แห่งในเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ฮอลแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน ฮังการี ออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนเหล่านี้บ้างถูกสั่งปิดหรือถูกทำลายด้วยเหตุผลการสงคราม อย่างไรก็ตาม หลังจบสงครามคือราวปี 1945-1989 โรงเรียนวอลดอร์ฟถูกก่อตั้งเพิ่มขึ้นและกระจายไปทั่วโลกมากขึ้น ปัจจุบันมีโรงเรียนประถมและมัธยมสไตล์วอลดอร์ฟราว 1,100 แห่ง และโรงเรียนอนุบาลราว 2,000 แห่งทั่วโลก

ก่อนจบวง ครูดำรงค์ตั้งคำถามให้แก่วิทยากรทั้ง 3 ท่านและผู้ปกครองในช่วงถัดไปว่า ผ่านมาแล้ว 100 ปี วอลดอร์ฟยังจำเป็นอยู่ไหม ทันสมัยอยู่ไหม และปัจจุบันอะไรที่จำเป็นต่อการจัดการศึกษาในรูปแบบนี้?

ดำรงค์ โพธิ์เตียน

การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการเก็บ ‘จินตภาพ’ มากกว่า ‘ความทรงจำ’

พักเบรกสิบห้านาทีเพื่อให้ผู้ฟังพักไปชมตลาดและเติมของว่างใส่ท้องแล้วค่อยกลับมาต่อที่วงคุย 3 หนุ่ม หมอชาย ดุษฎีบัณฑิตจากฮาร์วาร์ดที่ศึกษามานุษยวิทยา หมอปอง-แพทย์ธรรมชาติบำบัดตามแนวมนุษยปรัชญา และ ครูมอส-เจ้าของ ‘สตูดิโอศิลปะจากด้านใน’ (๗ Arts Inner Place)

หมอชาย เป็นผู้กล่าวเปิดวงโดยอธิบายก่อนว่าจุดเริ่มต้นที่สนใจการศึกษาวอลดอร์ฟก็เพราะลูกๆ ของคุณหมอเข้าเรียนด้วยแนวคิดนี้ และเพราะทำงานกับผู้ป่วย ต้องเห็นปัญหาสังคมที่ตามมากับชีวิตคนไข้ หมอชายตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาจนมาเจอกับแนวคิดเรื่อง Social Three Folding ของสไตเนอร์ที่ว่าด้วยปัญหาสังคม 3 มิติและเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ส่วนคำตอบของคำถามที่ว่า การศึกษาวอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม? หมอชายยกบทเรียนที่สไตเนอร์ใช้อบรมครูรุ่นแรกในคลาสว่าด้วยภารกิจพื้นฐานหนึ่งของการศึกษาคือการเอาชนะอัตตา หรือ egoism

“การที่สไตเนอร์ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อัตตามนุษย์ มันพอจะทำให้คิดต่อได้นะครับว่าวอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม?” หมอชายตั้งคำถามปลายเปิดก่อนอธิบายต่อว่า อีโก้ที่ว่าไม่ใช่การสร้างให้มีเพื่อโอ้อวดหรือให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้ แต่เป็นการศึกษาที่ทำให้เข้าใจอัตตา ความมีตัวตนของตัวเอง ก่อนที่จะเรียนรู้เพื่อจัดการกับมัน โดยเฉพาะถ้ามองไปที่จุดมุ่งหมายของการศึกษาที่เน้นให้เด็กมีความเข้าอกเข้าใจ (empathy) ซึ่งเป็นทักษะที่ถูกพูดกันบ่อยๆ ในโลกยุค disruption และเป็นหนึ่งในทักษะศตวรรษที่ 21 แล้ว วอลดอร์ฟยิ่งน่าจะถูกนำไปปรับใช้ในการศึกษากระแสหลัก

“แล้วเราจะ empathy ได้อย่างไรถ้าไม่เข้าใจตัวเอง?” หมอชายตั้งคำถามชวนคิดให้หมอปองและครูมอสขยายประเด็นต่อ

ขณะที่ หมอปอง กล่าวถึงการศึกษาแนวมานุษยปรัชญาที่เชื่อมกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ไว้อย่างน่าสนใจว่า แต่ก่อนในวงการศึกษาและแพทย์บอกว่าการเรียนรู้ของมนุษย์มีศูนย์กลางอยู่ที่สมองและ DNA ฉะนั้นการจัดการศึกษาจึงเน้นไปที่การฝึกคิดและท่องจำองค์ความรู้ แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยอมรับว่า การเรียนรู้ของเราไม่ได้อยู่แค่สมองและ DNA แต่อยู่ในชีวนิเวศจุลชีพ (microbiome) อย่างมีนัยสำคัญ

“การเรียนรู้ของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่สมองอีกต่อไป แต่อยู่ภายในร่างกาย ลำไส้ จิตใจ ทุกอย่างเชื่อมกันหมด ”

หมอปองกล่าวและอธิบายว่า การจัดการศึกษาจึงไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่คือการฝึกปฏิบัติและพัฒนา senses ต่างๆ ของร่างกายให้ทรงพลังยิ่งขึ้น

ต่อมาที่ประเด็น การศึกษาวอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม หมอปองยกตัวอย่างดีเบต AI ใน World AI Conference ที่เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง แจ็ค หม่า ผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ อีลอน มัสก์ ผู้สร้างนวัตกรรมระดับโลก แม้ทั้งคู่จะแสดงจุดยืนที่ต่างกัน แต่มีประเด็นร่วมที่น่าสนใจและหมอปองหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นคือ…

มนุษย์จะเอาชนะ AI ได้หรือไม่นั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าการประมวลผลเกิดขึ้นจาก ‘ความจำ’ (memory) กล่าวคือ ระบบปฏิบัติการจะจำความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นเป็นพันๆ รูปแบบแล้วประเมินผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น หากระบบปฏิบัติการนั้นถูกเซ็ตขึ้นมาให้เป็นอัจฉริยะการเล่นหมากรุก มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะไม่มีวันชนะเจ้า AI ตัวนี้ มนุษย์เอาตัวรอดได้ทุกวันนี้ก็เพราะ ‘ความจำ’ เช่นกัน สมองของเราจะประมวลและจำลองภาพอย่าง before & after -เพราะเราเคยทำสิ่งนี้ ผลเลยเกิดแบบนี้ ทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าต่อไปเราจะทำหรือไม่ทำพฤติกรรมนั้น- เมื่อรวมความทรงจำมากๆ เข้า เราจะมีชุดข้อมูล (data set) บางอย่างประกอบการพิจารณาตัดสินใจ

นี่คือสิ่งที่เหมือนและถ้าแข่งกันเรื่องความจำ ให้ตายอย่างไร AI ก็จะถูกพัฒนาแซงความสามารถของมนุษย์ แต่สิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ในเร็ววัน คือ ‘จินตภาพ’

“การศึกษาของเรามาแบบท่องจำ นั่นคือการสร้าง data set ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือเรามีการคิดแบบ ‘จินตนาการ’ เพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆ”

ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องทำให้เกิดในระบบการศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นเรื่อง will หรือ ความมุ่งมั่น การลงมือทำ ที่ทำให้เราสร้างตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

ขณะที่ ครูมอส ต่อประเด็นเรื่อง ‘จินตนาการ’ ว่า การศึกษาที่ควรเป็น โดยเฉพาะในโรงเรียนอนุบาลคือไม่ใช่แค่ให้เด็กมี ‘ความจำ’ ในฐานะ memory แต่ต้องทำให้มี imaginary หรือ จินตภาพ

อธิบายก่อนว่าหนึ่งในการศึกษาวอลดอร์ฟคือการใช้ศิลปะเป็นฐานการเรียนรู้ เด็กเล็กอย่างน้อย 0-7 ปีจะไม่ได้รับสื่อ เช่น สื่อจากโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และจะไม่ได้ฝึกท่องหนังสือในช่วงวัยนี้เลย ที่ไม่ให้รับสื่อก็เพราะไม่ต้องการให้เด็กได้รับ ‘สารที่ถูกตีความแล้ว’ จากสังคม เช่น ตอนเด็กๆ เรามีภาพวาดไม้ตายและเป็นตำนาน คือ ภาพบ้านริมทะเล ที่มีภูเขา ดวงอาทิตย์มีริ้วแฉก และนกเป็นตัวเอ็มมีขีดตรงปาก คำถามคือ จินตนาการภาพแบบนี้ มาจากจินตภาพของเรา หรือรับมาจากใครอีกทอดหนึ่ง หรือ ทำไมเจ้าหญิงของเราจึงเป็นหญิงผิวขาวผมบลอนด์ มาจากภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน หรือมาจากอะไร?

ครูมอส เล่าว่าในการทำงานศิลปะกับเด็กๆ ถ้าเราอยู่กับเด็กเล็กและปล่อยให้เขาวาดรูป เราจะอดทึ่งไม่ได้กับจินตภาพในหัวของเด็กๆ เป็นเส้นวาดที่ไม่ได้พบเห็นง่ายๆ เป็นความสร้างสรรค์ที่ไม่รวม ‘ความคิด’ ซึ่งมาจากการเก็บสะสมความทรงจำที่อาจสร้างกรอบคิดให้กับเด็กๆ (เช่น ตอนนี้เราคงไม่อาจวาดดวงอาทิตย์โดยไม่มีริ้วแฉกได้แล้ว ไม่แน่ใจว่าได้ ‘ความคิด’ เรื่องดวงอาทิตย์มาจากการ์ตูนเรื่องเทเลทับบี้หรือเปล่า) ซึ่งจินตภาพที่น่าทึ่งเหล่านี้ แม้จะค่อยๆ หายไปตาม ‘ความคิด’ หรือความทรงจำใหม่ที่ได้จากสังคม แต่อิสรภาพจากการถูกปล่อยให้ได้มีจินตภาพเช่นนี้ในวัยเด็ก จะเป็นดั่งของขวัญที่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต

สุดท้ายนี้ ตกลงการศึกษาวอลดอร์ฟยังทันสมัยไหม?

ถ้าการศึกษาคือการที่ทำให้มนุษยชาติแก้ปัญหาใหม่ๆ ได้ การทำให้คนรุ่นใหม่มีจินตนาการ มีแรงบันดาลใจที่จะแก้ปัญหาใหม่ๆ ร่วมกัน การบ่มเพาะจินตนาการ ความสร้างสรรค์ และสำนึกร่วมในการสร้างสังคม ก็ถือว่ายังจำเป็น เพราะเรามีคุณค่าต่างจาก AI ที่ใช้เพียงข้อมูลในการแก้ปัญหา

คงไม่ใช่แค่ทำให้เราชนะ AI ได้ แต่มันคือการเรียนรู้ที่ทำงานในระดับ ‘ชีวิต’

Tags:

อภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)พ่อแม่ปฐมวัยงานเสวนา

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning TheoryEarly childhood
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Character buildingEarly childhood
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

GIRL’S SECRETS: เปลี่ยนความลับเป็นนวัตกรรม เพราะประจำเดือนไม่ใช่เรื่องต้องปิด
Voice of New Gen
12 September 2019

GIRL’S SECRETS: เปลี่ยนความลับเป็นนวัตกรรม เพราะประจำเดือนไม่ใช่เรื่องต้องปิด

เรื่อง

  • ทั้งที่ประจำเดือนอยู่คู่กับมนุษยชาติมาตั้งแต่ต้น แต่ยังไม่เคยมีสื่อการสอนที่รวบรวมข้อมูลและสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับเมนส์ไว้ในที่เดียวกัน เนื้อหาในโปรแกรม Girl’s Secrets ทำให้ผู้ใช้ทราบถึงลักษณะการเป็นประจำเดือน การดูแลตัวเอง วิธีบรรเทาอาการปวดท้องโดยไม่ใช้ยา ไปจนถึงวิธีการปฏิบัติตัวก่อนประจำเดือนหมด 
  • ด้วยความแปลกใหม่ ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลพิเศษ Smart Education ของยูนิเซฟ พัฒนาโปรแกรมโดยน้องๆ โรงเรียนระยองวิทยาคม จังหวัดระยอง 
เรื่อง: กิติคุณ คัมภิรานนท์, มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

เมื่อมนุษย์เมนส์ปรากฏกาย โลกของคุณผู้ชายก็ถูกปกคลุมไปด้วยความลับ เพราะอารมณ์เหวี่ยงวีนจากฮอร์โมนของคุณผู้หญิงจะดึงเอาเรื่องราวสารพันมาโถมใส่อย่างไม่มีเหตุผล และทิ้งคุณไว้กับความงุนงงว่าเธอหงุดหงิดจากเรื่องอะไร…

ประจำเดือนกับคุณผู้หญิงคือธรรมชาติทางเพศที่แสนสามัญธรรมดา แต่ความที่จารีตบ้านเราบัญญัติว่า นี่คือเรื่องลับ! ทำให้การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจไม่เปิดกว้างนัก คุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจึงรับมือกับเรื่องลับๆ นี้ไม่อยู่มือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัย จากวัยรุ่นสู่วัยสาว และจากวัยสาวสู่วัยทอง

ถ้าความลับของเรื่องลับมันทำให้เกิดปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็เปิดความลับให้เป็นความรู้เลยไม่ดีหรือ?

โปรแกรม Girl’s Secrets

Girl’s Secrets โปรแกรมสื่อการเรียนรู้เรื่องประจำเดือน จึงเกิดขึ้นจากความคิดและฝีมือของน้องๆ โรงเรียนระยองวิทยาคม จังหวัดระยอง เพื่อความรู้เท่าทันตัวเองของคุณผู้หญิง และเพื่อโลกอันสงบสุขของคุณผู้ชาย

จับปัญหามาทำโปรเจ็คต์

นวัตกรหลายทีมมักเลือกหัวข้อทำโปรเจ็คต์จากปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่ง นุ่น-วจิรัชญา เบญญากุล, ไอซ์-ฉัตราพร หัสคุณไพศาล, และ ปอ-สุทธิพงษ์ ศิริรักษ์ ก็เป็นเช่นนั้น ต่างเพียงหัวข้อโปรเจ็คต์ของทั้งสามได้แรงบันดาลใจมาจากปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวพวกเขาชนิดถ้าเป็นงูก็โดนฉกตายไปแล้ว

ปอ-สุทธิพงษ์ ศิริรักษ์, นุ่น-วจิรัชญา เบญญากุล และ ไอซ์-ฉัตราพร หัสคุณไพศาล

“ตอนนั้นหนู ปอ นุ่น กำลังคิดหัวข้อโปรเจ็คต์ แต่คิดไม่ออก พอดีหนูกับนุ่นปวดท้องประจำเดือน หงุดหงิดก็โวยวายเหวี่ยงใส่ปอ” ไอซ์เปิดบทสนทนาอย่างร่าเริง

ถ้าเป็นคนอื่น เหวี่ยงใส่เพื่อนเสร็จแล้วก็คงตั้งหน้าตั้งตาหาหัวข้อต่อไป แต่เผอิญว่าไอซ์กับนุ่นเกิดแรงบันดาลใจฉับพลันเรื่องประจำเดือน จึงลองไปค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ก่อนจะพบว่า…

“ข้อมูลมีเยอะมาก แต่บางอย่างเราไม่เคยรู้ เลยมาถามเพื่อนว่าสนใจทำแอพฯ สื่อการเรียนรู้เรื่องนี้ไหม ยังไม่มีใครเคยทำ น่าจะเป็นประโยชน์” ไอซ์เล่าต่อ

สองสาวจึงใช้อภิสิทธิ์ของผู้มีประจำเดือน ชวนแกมบังคับให้หนุ่มปอทำโปรเจ็คต์นี้ด้วยกัน

“ตอนแรกก็ช็อกๆ เอาจริงเหรอ? (หัวเราะ) ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน และเอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ยาก แต่พอถามครู ครูบอกน่าสนใจดี เพื่อนก็สนใจด้วย หนึ่งเสียงสู้สองเสียงไม่ได้อยู่แล้ว” ปอเล่าไปหัวเราะไป 

เมื่อหัวข้อมา หน้าที่ก็เกิด โดยไอซ์กับนุ่นเป็นคนหาข้อมูลจากหนังสือ อินเทอร์เน็ต และตรวจสอบความถูกต้องจากคุณแม่ของไอซ์ที่เป็นพยาบาล หลังจากนั้นส่งให้ปอเขียนโค้ด ส่วนไอซ์กับนุ่นทำกราฟิก จน Girl’s Secrets เวอร์ชั่นแรกสำเร็จ ได้รางวัลชมเชยในหมวดสื่อการเรียนรู้จากเวที การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (National Software Contest) หรือเวที NSC

“พอได้ข้อมูลเราก็คิดว่าแต่ละหน้าของแอพฯ ควรเป็นแบบไหน แล้วทำเป็นแอนิเมชั่นเพราะพวกหนูไม่ชอบอ่านตัวหนังสือเยอะๆ (ยิ้ม) หนูกับไอซ์ชอบเล่นเกมแต่งตัวอยู่แล้ว ก็สรรหามาประยุกต์ บางอย่างก็ได้มาจากเกมแต่งตัว” นุ่นอธิบายแนวคิดของทีม

ผลงานชิ้นเอก ของต้องแปลก! คนต้องอึด!

Girl’s Secrets เวอร์ชั่นแรกแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ช่วงวัย คือ วัยรุ่น (ก่อน/เริ่มมีประจำเดือน) วัยปกติ (มีประจำเดือนแล้ว) และวัยสูงอายุ (หมดประจำเดือน) โดยทีมได้ออกแบบเนื้อหาให้ผู้ใช้ได้ทราบถึงลักษณะการเป็นประจำเดือน การดูแลตัวเอง วิธีบรรเทาอาการปวดท้องโดยไม่ใช้ยา ไปจนถึงวิธีการปฏิบัติตัวก่อนประจำเดือนหมด ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้เองที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลพิเศษ Smart Education ของยูนิเซฟ 

“หนูว่าเราได้รางวัลเพราะมันแปลก (ยิ้ม) ยังไม่เคยมีใครทำ และพอทำออกมาแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมาก ยูนิเซฟก็ติดต่อมาให้เราไปนำเสนอผลงานให้คนทำงานยูนิเซฟที่เป็นต่างชาติฟัง ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ฝรั่งนั่งเต็มห้อง เขาสนใจกันมาก ถามว่าทำกันได้ยังไง มีกี่คน ใช้เวลาไม่กี่เดือนทำได้ขนาดนี้” ไอซ์เล่าอย่างภาคภูมิใจ

ก่อนที่ปอจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องคุณสมบัติของนวัตกรว่า “เราต้องมีความคิดต่างจากคนอื่น มีความคิดแปลกใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์” 

ขณะที่ไอซ์สำทับด้วยรอยยิ้ม “แต่จะแปลกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีประโยชน์ต่อสังคมด้วย อย่างแอพฯ เราคือแปลกในเรื่องที่ยังไม่มีใครทำ และมีประโยชน์ต่อผู้หญิงที่มีประจำเดือน” 

และหลังจากจบ NSC ทีมก็ถูกทาบทามเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 6 ด้วยความอยากลองพา Girl’s Secrets ไปให้สุดทาง ทีมจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเปรียบเหมือนการพาตัวเองเข้าสู่ลู่วิ่ง และเริ่มต้นใหม่ในจุดสตาร์ท เพราะ Girl’s Secrets ถูกคอมเมนต์จากทีมโค้ชให้ปรับแก้ โดยเฉพาะการเฟ้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ให้ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการออกแบบเนื้อหาใหม่ให้เหมาะสมขึ้น

“ตอนแรกเราแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 3 กลุ่ม แต่โค้ชบอกว่าควรเน้นไปที่เด็กกลุ่มเพิ่งเริ่มมีประจำเดือนกับกำลังจะมี จึงต้องปรับใหม่ ไล่เนื้อหาไปทีละบท เปลี่ยนเมนูใหม่ รวมๆ แล้วก็คือปรับใหม่หมดเลยยกเว้นหน้าเข้าเริ่มแรก” นุ่นหัวเราะร่าท้ายประโยค 

บอม-ณัฎฐ์ ภิญโญ

ภาระงานที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งสามต้องชวน บอม-ณัฎฐ์ ภิญโญ เข้ามาช่วยเขียนโค้ด เพื่อผ่านพ้นมันไปด้วยกัน

“งานมันไม่ได้ยาก แต่มันเยอะ ต้องทำตลอด ข้อดีคือได้ฝึกทำงานเราก็มีทักษะมากขึ้นที่จะเอาไปใช้ในอนาคต ข้อเสียคือมันเอาเวลาช่วงวัยรุ่นของเราไปหมด” บอมหัวเราะขื่นๆ ก่อนเล่าต่อในมิติของการเป็นนักพัฒนา ว่างานหนักคือด่านที่ทุกคนต้องฝ่าฟันเพื่อผ่านพ้น

“สำคัญคือต้องอดทน และทำต่อไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งเราอาจคิดว่าเสร็จแล้วพอ แต่มันมีอะไรให้ทำต่อได้อีก เพราะการพัฒนาแอพฯ ไม่ได้ทำวันสองวันเสร็จ ต้องทำเป็นเดือนๆ สำหรับผม งานโค้ดก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเรื่อยๆ จะรอความรู้จากคนอื่นไม่ได้ ต้องศึกษาด้วยตัวเองให้เข้าใจและไปทำได้ แก้ปัญหาได้” บอมกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้งานจะมากมายก่ายกองแค่ไหน แต่ทั้งสี่ก็ไม่มีใครทิ้งงานหนีไป เพราะคำว่าทีมเวิร์ค

“มันช่วยฝึกเราไปในตัว เหนื่อยมาก อดหลับอดนอน ทำมากๆ แล้วปวดหัว แก้ตรงนี้ไม่ได้ซะที นานๆ ไปก็เริ่มท้อ แต่รับงานมาแล้วก็ต้องทำ มันเป็นงานกลุ่ม ไม่ได้มีแค่เรา ไม่ใช่ว่าจะเลิกก็เลิกได้ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ” ปอเผยความรู้สึก

ทีมเวิร์คที่ดี ต้องอย่ามีความลับ…

แม้จะทำเรื่องความลับของคุณผู้หญิง แต่น่าสนใจว่าการทำงานของทีมนั้นแทบไม่มีความลับต่อกัน เพราะมีอะไรก็ใช้วิธีพูดกันตรงๆ และยึดเอาประโยชน์ของผลงานเป็นที่ตั้ง ทำให้การทำงานเดินหน้าได้เร็ว

“มีเถียงกัน ทะเลาะกันตลอด แต่ส่วนใหญ่มันไม่ได้หนัก หลักๆ คือคุยกันไม่รู้เรื่อง เสนอไปคนละความคิด เราอยากได้อันนี้ อีกคนอยากได้อันนี้ ไม่ค่อยลงตัว” ไอซ์เล่าถึงบรรยากาศการทำงาน

ก่อนที่ปอจะเสริมว่า “แต่ดีที่ทีมเราพูดอะไรกันตรงๆ ไม่มีอะไรปิดบังกัน อะไรไม่ดีก็พูด เราไม่พอใจอะไรก็พูด เราโอเคกับอะไรก็บอก ทำให้ไว้ใจกันมากขึ้น”

“หัวใจคือทีมเวิร์คต้องมี” บอมเสริมต่อ

“เวลาเราคุยกันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นด้วยทุกอย่าง ต้องยอมบ้าง การยอมไม่ได้แปลว่าเราแพ้ แต่ยอมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ทุกคนโอเคและทำด้วยกันต่อไปได้”

ซึ่งทีมก็ยอมรับว่า ความสนิทเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมสามารถเปิดความลับคุยกันได้ทุกอย่าง เพื่อให้งานไหลลื่นไปข้างหน้า

“ถ้าไม่สนิทกับเพื่อนในกลุ่ม เวลาทำงานมันลำบาก คุยกันได้ไม่เต็มที่ งานก็ไปได้ไม่ไกล” นุ่นสรุปประเด็น

ด้วยหัวข้อโปรเจ็คต์ที่เกิดจากปัญหาใกล้ตัว ทว่ามีความแตกต่าง (เพราะคนอื่นไม่ทำกัน) เป็นจุดขาย บวกกับความอดทน ความรับผิดชอบ ทีมเวิร์คที่เปิดเผยและยึดผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นที่ตั้ง ทำให้ Girl’s Secrets พัฒนาออกจากกรอบของความลับ มาสู่การเป็นแอพพลิเคชั่นความรู้เรื่องประจำเดือน ที่สาววัยแรกแย้มสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมได้ในที่สุด

“ได้ไปทดลองกับรุ่นน้องในโรงเรียนทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย รวมถึงคุณครู เสียงตอบรับจากเด็ก ม.ต้น ก็จะดี๊ด๊า เขินๆ หน่อยเวลาเห็นภาพ (หัวเราะ) ม.ปลาย ก็มีเขินบ้าง แต่น้อย เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรรู้ และมีบางเรื่องในแอพฯ ที่เขาสนใจ ส่วนอาจารย์ก็ชมว่าไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้” ไอซ์เล่าพลางยิ้มแก้มปริ

“เป็นประสบการณ์ที่ดีที่เด็กทั่วไปไม่มีโอกาสทำ เราได้ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการกับเพื่อน พอมาถึงเส้นชัยแล้วมองกลับไป เราผ่านอะไรมาเยอะมาก พวกเราทุกคนอยากให้มันไปให้สุด อยากให้มันดีที่สุด ฝ่ายกราฟิกก็วาดออกมาดี ผมก็มาทำต่อให้ดีที่สุด แล้วมันก็ออกมาตามที่คาดหวัง ก็แฮปปี้และภูมิใจกับงานชิ้นนี้มาก” บอมกล่าวอย่างมีความสุข

“ภูมิใจที่เราได้มีแอพฯ ของตัวเอง เด็กอายุ 18 มีแอพฯ ของตัวเอง แค่นี้หนูก็ภูมิใจแล้ว มันมาไกลมาก” นุ่นยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ

Girl’s Secrets พร้อมเผยความลับเป็นความรู้สำหรับคุณผู้หญิงแล้ววันนี้ที่ Google Play แต่แม้ไม่ใช่ผู้หญิง ก็โหลดมาศึกษาได้ เพื่อพร้อมรับมือกับภัยพิบัติจากมนุษย์เมนส์

“ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมเราต้องมารู้เรื่องนี้ด้วย เราเป็นผู้ชาย แต่พอทำไปก็ได้ความรู้เยอะมาก ตอนนี้ผมอาจจะรู้เรื่องประจำเดือนมากกว่าผู้หญิงซะอีก” ปอจบบทสนทนาอย่างร่าเริง

Tags:

เพศโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    นิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”
Creative learning
11 September 2019

มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • โรงเรียนต้องเปลี่ยนจากที่ที่เด็กมาเรียน มาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคน – แนวคิดสำคัญของโรงเรียนมีชัยพัฒนา
  • มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียน ต้องการสร้างคนที่ประเทศต้องการคือมีทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต เพื่อออกไปใช้ชีวิตได้จริง
  • “ฉะนั้นการศึกษาต้องเข้าใจจริง ปฏิบัติได้ มีเหตุมีผล” เพราะที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบัน เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว
  1. ด้วยเนื้อที่ขนาด 8 ไร่ มี ‘ไม้ไผ่’ เป็นขาใหญ่ยึดอยู่แทบทุกตารางเมตรของโรงเรียน จนได้สมญาว่า Bamboo School
  2. ถึงแม้จะเปิดอย่างเป็นทางการมา 12 ปี แต่ ณ ตอนนี้รับนักเรียน ม.1-ม.6 ได้เต็มที่เพียง 180 คน ชั้นการเรียนละ 1 ห้อง ห้องละ 30 คน ต่อครูดูแลห้องละ 2 คน
  3. ถามเพิ่มว่ารับได้อีกไหม… “ถ้ารับ เราต้องดูว่าเรารู้จักชื่อเขาไหม รู้จักหน้าเขาไหม ไม่รู้จักหน้ามันเหมือนนักโทษ มันต้องค่อยๆ ขยาย ตอนนี้ห้องละ 30 ก็เพิ่มเป็น 35 ก็ได้ แต่ต้องจำเด็กๆ ให้ได้ทุกคน” 
  4. ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักเรียนที่นี่ตกราวๆ คนละ 100,000 บาทต่อหนึ่งปีการศึกษา แต่จะไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียนเป็นเงิน ใช้การปลูกต้นไม้และทำความดีแทนค่าเทอม
  5. ไม่มีการสอบเข้า แต่จะมีการสัมภาษณ์ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และตัวเด็กเอง ตั้งคำถามและประเมินโดยเด็กๆ เอง เพราะที่นี่นักเรียนเป็นผู้บริหารผ่านตัวแทนที่เรียกว่า ‘คณะมนตรี’ ไม่ใช่คุณครูหรือผู้อำนวยการ

“ผู้อำนวยการ มีหน้าที่แค่ทำตาม” มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์แนะนำโรงเรียน

มีชัย วีระไวทยะ

ทำไมต้องสร้าง โรงเรียนมีชัยพัฒนา

ชีวิตผม 50 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องการวางแผนครอบครัว โรคเอดส์ ขจัดความยากจน การสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน ช่วยเหลือตนเองด้านการเงินด้วยธุรกิจเพื่อสังคม 

พอทำมาหมด ขั้นตอนต่อไป คือเรื่องการศึกษา เพราะตอนนี้ประชากรเกิดน้อย คุณภาพการศึกษาจึงต้องดีเป็นพิเศษ 

สมัยนี้มีโลกใหม่ๆ เข้ามาหลายใบ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เคยมีคำพูดว่า ใครอยากทำงานง่ายๆ ให้ไปทำงานธนาคาร ตอนนี้ไม่มีธนาคารจะให้ทำแล้ว โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง 

เปลี่ยนโรงเรียนจากโทรศัพท์ตั้งโต๊ะเป็นโทรศัพท์มือถือ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนในชุมชน แล้วเอาโรงเรียนเป็นประตูไปสู่ความเจริญของหมู่บ้าน ใช้นักเรียน ครู ใช้ทุกอย่างเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญ ได้มาตรฐาน

ไม่ใช่เป็นแค่โรงเรียนเฉยๆ โรงเรียนต้องเป็นจุดศูนย์กลางพัฒนาชุมชน นักเรียนต้องได้รับการฝึกและลงมือทำจริง 

เราต้องการสร้างคนที่ประเทศต้องการ ประเทศสร้างคนที่เราไม่ต้องการเยอะแล้ว คนโกง อาชีพไหนบ้างไม่มีคนโกง คนรวยที่ไม่คิดแบ่งปันคนจน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนไทยเลว แต่เพราะไม่ได้รับการฝึกให้แบ่งปัน ซื่อสัตย์ อดทน ไม่ย่อท้อ ทำอะไรแล้วอย่ายอมแพ้ง่ายๆ และรู้จักการเคารพสิทธิของผู้อื่นในทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องเพศสภาพ และต้องหาทางช่วยให้คนอื่นดีขึ้น 

ฉะนั้นค่าเทอมโรงเรียนนี้จึงจ่ายด้วยการทำความดี ปลูกต้นไม้ ไม่ได้จ่ายด้วยเงิน นักเรียนเป็นผู้บริหารโรงเรียน ชื่อ ‘คณะมนตรี’ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องผ่านคณะมนตรีโรงเรียน ไม่มีอะไรที่ไม่ผ่านคณะมนตรี เช่น ซื้อของ นักเรียนเป็นผู้ซื้อทั้งหมด ตั้งแต่ผลไม้ไปจนถึงรถยนต์ เวลามีแขกมา นักเรียนเป็นผู้ต้อนรับและชี้แจง เราสอนให้ทั้งทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ปิดเทอมก็ให้ทำงาน 

เด็กๆ ได้พบผู้ใหญ่จะได้พูดจาเป็น ตอบปัญหาเป็น เป็นโอกาสให้เขาได้มีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนสิ่งเหล่านี้ 

ตอนแรกคุณมีชัยมองว่าโรงเรียนกับชุมชน ยังแยกส่วนกันอยู่?

(พยักหน้า) ต่อไปนี้โรงเรียนต้องเป็นส่วนสำคัญของชุมชน ชุมชนต้องเป็นส่วนสำคัญของโรงเรียน โรงเรียนต้องไม่ใช่ของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนต้องเป็นของประชาชน ของประเทศ ทุกอาชีพปล่อยให้กระทรวงเดียวดู ตายแน่ มันใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้กระทรวงเดียวดู

โรงเรียนต้องเปลี่ยนจากที่ที่เด็กมาเรียน มาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคน 

จุดมุ่งหมายสำคัญอีกอย่างของโรงเรียน คือ เป็นโรงเรียนเตรียมครู เรามีโรงเรียนเตรียมกีฬา เตรียมทหาร ทำไมไม่มีโรงเรียนเตรียมครู เราจะเอาปัจจัยสำคัญๆ ของการเป็นครูที่ดีที่สุดในโลกใส่เข้าไปตั้งแต่เด็ก ม.1 ให้เขารับรู้ รับทราบ แล้วออกไปสอนในโรงเรียน

ครูรุ่นใหม่ต้องเป็นเพื่อนและพี่เลี้ยงของนักเรียน ไม่ใช่ไปยืนพ่นน้ำลาย และเป็นผู้ที่สร้างความเข้มแข็งให้แก่นักเรียนด้วย สอนในที่นี้ไม่ใช่สอนแต่วิชา แต่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ทั้งเรื่องธุรกิจ การช่วยเหลือชุมชน สอนให้นักเรียนพัฒนาโรงเรียนและออกไปพัฒนาชุมชน นี่คือครูรุ่นใหม่ที่ประเทศไทยยังไม่มี แต่โรงเรียนนี้กำลังสร้าง 

ที่ผ่านมา การแยกส่วนโรงเรียนกับชุมชนอย่างชัดเจน ก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง 

โรงเรียนเป็นเพชร แต่เราใช้มันเหมือนเป็นพลาสติก โรงเรียนเป็นนิติบุคคล มีที่ดิน มีอาคาร ไฟฟ้า น้ำ ครู มีชุมชน แต่เราไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย 

ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ดึงโรงเรียนเข้ามาร่วมกับชุมชน แทนที่จะแยกกันอยู่ โดยส่วนตัว ผมอยากเสนอว่า ทุกอย่างที่ทำผ่านกรรมการหมู่บ้าน เราจะต้องทำผ่านโรงเรียน แล้วเอาโรงเรียนเป็นประตูไปสู่ความเจริญของหมู่บ้าน

หลักสูตรของโรงเรียนมีชัยพัฒนา เหมือนหรือแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอย่างไร 

เราก็ต้องมีหลักสูตรตามที่กระทรวงฯ กำหนด เช่น คณิต วิทย์ ภาษาไทย ฯลฯ​ แต่เรามาเน้นว่าสอนอย่างไรให้น่าสนใจ ทำอย่างไรให้ที่นี่เป็นเหมือนสวนสนุกมากกว่าโรงพยาบาล ให้เด็กอยากเข้าห้องเรียน อยากเดินอยู่กับสิ่งเขียวๆ เจอของใหม่ เจอปัญหาที่ต้องขบ ต้องแก้ อยากได้อะไร เสนอมาได้ทั้งนั้น แต่ไปดูซิ ที่อยากได้มันราคาเท่าไหร่ ซื้อได้ที่ไหน จะเอาเงินมาจากไหนไม่ใช่ว่าแค่อยากได้แล้วต้องได้ 

เราสอนให้คิดละเอียด ซื้อของก็ต้องคิด ตรวจสอบก็ต้องคิด การก่อสร้างนักเรียนก็ต้องไปตรวจสอบว่าการวัด คำนวณ มันถูกต้องไหม เราสอนให้มีอะไรนอกเหนือไปจากหลักสูตร และเสนอให้มีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ 

ปิดเทอม ม.2 เป็นต้นไปมีงานทำหมดทุกคน มีรายได้ ได้ไปสัมผัสกับบริษัท องค์กรต่างๆ มีธุรกิจในโรงเรียน มีกองทุนเงินกู้ให้ห้องละ 3 แสนบาทให้ทำธุรกิจอย่างจริงจัง ตอนนี้เราจะขยายให้มากขึ้น อยากให้นักเรียน ม.1-ม.6 มีเงิน 1 แสนบาทเมื่อจบจากการทำธุรกิจ 

เขาจะได้อยู่กับบ้านต่อไป ไม่ต้องทิ้งบ้าน ถ้าไม่ดีจริงก็ไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ ออกมาแล้วไม่ได้ฉลาดขึ้นจะเข้าไปทำไม จุดนี้สำคัญ เข้าไปแล้วได้อะไร แต่ที่นี่สอน ที่นี่ก็เหมือนกับมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต 

ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ มันเริ่มและปรับมาอย่างไร 

เริ่มต้นจากเกษตร เช่น ถั่วงอก 4 วันงอกแล้ว เมล็ดผัก 3-4 อาทิตย์ เก็บได้แล้ว นี่เป็นจุดเริ่มต้น เหมือนเป็นพรสวรรค์ที่สรรค์สร้างขึ้นมาได้ 

เราค่อยๆ ขยายธุรกิจจากเดิมมีไม่กี่ชนิด มาทำมะนาว เห็ด ตอนนี้เพาะเนื้อเยื่อ ซึ่งสอนกันตอนมหาวิทยาลัย ปี 4 แต่เราสอนตั้งแต่ ม.1 หลายๆ อย่างที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เราดึงลงมาอยู่มัธยม ควรทำอย่างนี้ในหลายวิชา ที่ผ่านมาเรามัวมาดองอยู่ในมหาวิทยาลัย 

แปลงผักไฮโดรโปนิกส์ เด็ก ม.1 ทำได้หมด ที่นี่เด็กได้สัมผัสของจริง การได้สัมผัสจริงเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ได้เรียนจากกระดาษอย่างเดียว  

อุปสรรคแรกๆ ในการก่อตั้งโรงเรียนมีบ้างไหม เช่น การทำความเข้าใจโรงเรียนในความหมายใหม่?

ผมไม่ถือว่าเป็นปัญหา ผมคิดว่าเป็นการเดินขึ้นเขา แล้วกล้ามเนื้อมันต้องตึง ผมไม่เคยถือว่าคำปฏิเสธของใครเป็นคำตอบของผม ผมถือว่าคำปฏิเสธของคนอื่นเป็นการเสนอให้ผมตั้งคำถามใหม่ 

เมื่อก่อนจอมพลถนอม ไม่เอากับผมตั้ง 5 ปีเรื่องวางแผนครอบครัว ตอนหลังเขาเบื่อเลยยอม เรื่องเอดส์แรกๆ เขาก็ไม่เอา ตอนหลังก็ยอมและทำมาตลอด 

ฉะนั้น ผมคุ้นกับการถูกปฏิเสธ เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผมทำอันนี้(โรงเรียน)ไม่มีคนต่อต้านผมเลย มีแต่ความยากจนที่ต่อต้านผม เพราะผมไม่มีเครื่องปั๊มเงิน 

ถ้าเปรียบปัญหาเหมือนแค่กล้ามเนื้อตึง เรามีวิธีนวดอย่างไร 

เรารู้ว่าร่างกายมันเปลี่ยนแปลง มนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงมันไปรบกวนสภาพชีวิตของเขา 

ให้นั่งเก้าอี้แข็งไม่ได้ ต้องนั่งเก้าอี้นุ่ม จุดนี้สำคัญ นี่คือสภาพทั่วไป เราเลยมองว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติ พระพุทธเจ้าสอนไว้ การเกิดมีทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ก็อย่าเกิดมา 

เกิดมาต้องทุกข์ ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ผมทำมาตลอด 

ระหว่างคำว่าการศึกษากับการเรียนรู้ ในความเห็นของคุณมีชัย มันต่างหรือเหมือนกันอย่างไร 

การเรียนรู้ ประเทศไทยบางทีเรียนแล้วมันไม่รู้ เรียนแล้วเรียน เรียนแล้วท่องจำ แต่ไม่ได้รู้ ฉะนั้นการศึกษาต้องเข้าใจจริง ปฏิบัติได้ มีเหตุมีผล 

ดูสิครับที่เข้ามหาวิทยาลัย ไปติวกันสะบั้นหั่นแหลกแล้วสำรอกออกมาในตอนสอบ แล้วตอนอยู่มหาวิทยาลัยทำอะไรได้บ้าง นอกจากวิชาการ ออกมารู้แค่ไหน ภาคปฏิบัติเป็นอย่างไร

มหาวิทยาลัยมันใหญ่เหลือเกิน มหาวิทยาลัยไม่ใช่ที่ที่จะฝึกสอนให้ดี น่าจะเริ่มที่โรงเรียน มหาวิทยาลัยควรจะลงไปช่วยโรงเรียนทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่กระทรวง มหาวิทยาลัยต้องเป็นพี่เลี้ยงให้โรงเรียน สร้างวัตถุดิบ สร้างคนตั้งแต่อนุบาล ไม่ใช่ปล่อยให้ใครไม่รู้สร้างแล้วมารับเบ๊เอาตอนปลาย 

แล้วในที่สุดต้องแบ่งอำนาจการศึกษามาอยู่ที่จังหวัด ให้มหาวิทยาลัยเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน แล้วเอาคนในชุมชนมาช่วยกันบริหารจัดการ ทำหลักสูตรใหม่ที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น บริหารการศึกษาขอนแก่นไม่ได้เหรอ กระทรวงควรเป็น regulator ไม่ใช่ operator เป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ปฏิบัติ จังหวัดไหนพร้อม ทำเลย ถ้ามหาวิทยาลัยรันโรงเรียนไม่ได้ก็แย่แล้ว อย่ามีประชาธิปไตยสิ ถ้าแค่บริหารโรงเรียนก็ยังทำไม่ได้ 

ที่บอกว่าเป็นโรงเรียนเตรียมครู มีวิธีเตรียมครู บริหารจัดการ เสริมสร้างอะไรให้ครูบ้าง 

ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเผื่อคุณไม่มีสันดานเป็นครู คุณอย่ามาอยู่ที่นี่ มันไปทำลายเด็ก คุณต้องมีจิตใจอยากจะช่วยเด็ก อยากสอนเด็ก เอ็นดูเด็ก 

โรงเรียนนี้ไม่เหมือนโรงเรียนอื่นที่สี่โมงเย็นคุณจบแล้ว แต่ที่นี่เลิกเรียนครูจะอยู่กับเด็ก มาถามอะไรได้ ครูต้องเป็นมิตร เป็นญาติกับเด็ก 

เราพยายามให้ครูไปสัมผัสข้างนอก ไปอบรมต่างๆ แต่ไม่ได้ดูแลอะไรเป็นพิเศษ บอกแต่ว่าอยากให้ก้าวหน้า ย้ำเสมอว่า “โรงเรียนนี้ไม่ได้มีสำหรับครูหรือผม มีไว้สำหรับนักเรียน จำไว้ เราต้องช่วยให้นักเรียนดีขึ้น” 

 มีวิธีเลือกรับเด็กอย่างไร 

อย่าถามผม ให้เด็กนักเรียนตอบ (ผายมือ)

‘เน้น’ นางสาวชรัญญกร อุตส่าห์ นักเรียนชั้น ม.6 หนึ่งในคณะมนตรี โรงเรียนมีชัยพัฒนา 

เน้น : จะเป็นการสัมภาษณ์น้องๆ ค่ะ  

เน้น : คำถามแรก จะให้น้องแนะนำตัวและบอกน้องว่าไม่ต้องตื่นเต้น ให้น้องรีแล็กซ์ที่สุด ยัง ป.6 อยู่น้องอาจจะตื่นเต้น เราให้น้องผ่อนคลายก่อนแล้วค่อยเริ่มถาม เช่น ทำไมน้องถึงอยากมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ทราบไหมว่าที่นี่เขาไม่ให้ใช้โทรศัพท์นะ อยู่ได้ไหม เคยอยู่โรงเรียนประจำไหม อยู่ได้ไหม ไม่มีพ่อแม่นะ น้องมีเป้าหมายอะไรที่จะมาอยู่ในโรงเรียนนี้ 

เน้น : ถามความพร้อมตัวน้อง และความพร้อมในตัวผู้ปกครอง เพราะบางครั้งน้องไม่ได้อยากมา แต่พ่อแม่บอกว่าน้องอยากมาเรียนมากๆ เลยค่ะ เราเลยต้องแยกห้องสัมภาษณ์ เราจะได้รู้ว่าผู้ปกครองพูดจริงหรือเปล่า บางคนผู้ปกครองอยากให้มา แต่เด็กไม่ได้อยากมา 

ลึกๆ แล้วคุณมีชัยมองการศึกษาไทยอย่างไร 

ผมมองการศึกษาไทยว่าอยู่ในฐานะที่พัฒนาได้ เหมือนอาหาร ทำยังไงให้อร่อยขึ้น มีประโยชน์ขึ้น แล้วให้คนมาช่วยทำอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ใช่นั่งกินอย่างเดียว มาช่วยกัน ทั้งพ่อแม่ ครู ชุมชน ฯลฯ

นักเรียนออกไปหาชุมชนแล้วดึงชุมชนเข้ามา อันนี้เป็นจุดเริ่มต้น เราต้องช่วยกัน เราอยากเป็นเหมือนสิงคโปร์เหรอ ก็ไม่ เราอยากเป็นคนไทยที่แบ่งปันเป็น ซื่อสัตย์ มีความสุขกับของง่ายๆ 

ผมหวังว่าเราจะช่วยเติมเต็มให้ แต่ผู้ประเมินไม่ควรจะเป็นผม ผมเป็นผู้ทำและพร้อมจะฟังว่ามีอะไรดีก็ควรขอบคุณ อะไรที่ควรพัฒนาก็บอก ผมพร้อมเสมอที่จะจัดการ 

ผมถามนักเรียนเสมอว่าอยากปรับปรุงไหม อยากทำอะไร เสนอมา อยากมีเฮลิคอปเตอร์ก็เสนอมา ผมก็จะถามต่อว่าเอาเงินมาจากไหน ขับเป็นหรือยัง ที่สุดแล้วก็บอกว่า อย่าขอของที่เป็นไปไม่ได้ 

มีวิธีเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไร 

หลายแห่งเขาไปติว ผมไม่เอา การติวแสดงว่าโรงเรียนด้อยพัฒนา ผมเตรียมทั้งด้านจิตใจ ด้านฝึกอบรม ตอบคำถามและตั้งคำถาม ตอนนี้หลายแห่งเริ่มดูนิสัย ทัศนคติ กิจกรรม ไม่ได้ดูคะแนน ฉะนั้นเราต้องเตรียมคนที่ดี ตอบคำถามเป็น ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แต่สามารถตอบได้ว่า หนูไม่รู้คำตอบนี้แต่อยากจะแนะนำอย่างอื่นให้ ได้ไหมคะ

ไม่ใช่แค่สอบสัมภาษณ์ในมหาวิทยาลัย แต่หลายๆ ที่วัดกันด้วยความคิด ทัศนคติ คิดว่าทำไมการคัดเลือกถึงเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ 

ความสำคัญของคนอยู่ที่ความคิด ไม่ได้อยู่ที่กระดาษ บางคนได้เกียรตินิยม เรียนเก่ง ท่องจำเก่ง ไม่ใช่เขาไม่ดีนะ แต่โลกของการบริหารจัดการไม่ได้ต้องการคนแบบนี้ 

คนที่สำเร็จ ต้องเคยสอบตก แต่ที่นี่ เรามีคะแนนให้และได้คะแนนเป็นเงินด้วย สมมุติได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ 80 บาท บางคนได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ 20 บาท เราต้องการสร้างให้เห็นว่า 1. การเรียนสนุก 2. ความไม่สำเร็จ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จได้ อย่าท้อ 

อย่างที่เราไปช่วยทำให้โรงเรียนข้างนอก มีฟาร์มให้ มีเงินกู้ให้ เด็กก็สนุก มาโรงเรียนเร็วขึ้น 

คนให้ความสำคัญกับความคิดมากขึ้น เรากำลังเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ในความเห็นคุณมีชัย เราควรมีอะไรบ้างที่ทำให้อยู่ได้และอยู่อย่างแข็งแรง 

1. ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น อันนี้เปิดประตูให้เราหลายแห่ง บางแห่งเราเข้าไม่ได้เพราะเขาไม่เปิดประตู การแบ่งปัน ความกรุณาปรานี เป็นจุดสำคัญมาก 

2. ไม่โกง ให้เกียรติคนอื่น ฟังเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้คนหันมอง และควรตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ใน

การเรียนมหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่ไหม 

ถ้ามหาวิทยาลัยทำให้เด็กดีขึ้น จะสำคัญ แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ควรจะปิดไปซะเป็นส่วนใหญ่ 

ทำให้ดีขึ้น ดีแบบไหนคะ 

มหาวิทยาลัยควรจะดูว่าเด็กทุกคนไม่เหมือนกัน เด็กไม่ใช่ปลา ไม่ใช่นก ไม่ใช่ลิง ทำไมต้องท่องจำเก่งถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ มหาวิทยาลัยควรเป็นที่พัฒนาคน 

อีกอย่าง ข้อสอบทั้งในมหาวิทยาลัยและในโรงเรียน ควรทำหน้าที่เหมือนหมอตรวจสุขภาพ ไม่ใช่ตอบว่าคนนี้ใกล้จะตายแล้วหรือคนนี้ขึ้นสวรรค์ มันควร diagnose หรือ วินิจฉัยเพื่อบอกสภาพ ว่าควรลดกินอาหารชนิดนี้ ควรเพิ่มการออกกำลังกาย เช่นเดียวกัน มหาวิทยาลัย ไม่ได้มีแต่สอบได้กับสอบตก ชีวิตนี้มีสอบตกไหม ไม่มี มีแต่ตาย

ผมนี่เป็นนักสอบตก ประถมก็สอบตก มัธยมก็สอบตก มหาวิทยาลัยก็สอบตก เพราะผมไม่ชอบเรียน วิธีสอนมันไม่ตรงกับผม แต่ในที่สุดผมก็สอบได้เพราะไม่งั้นมันจะออกจากไอ้ตรงนี้ไม่ได้ แล้วผมก็มาทำสิ่งต่างๆ ที่ผมถนัด ที่อยากทำ และผมทำมาก (เน้นเสียง) กว่าตอนเรียนหนังสือเยอะ เพราะตอนเรียน ผมไม่สนุก 

ตอนที่ผมจบมาจากออสเตรเลีย ทำงานที่สภาพัฒน์ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ผมทำงาน 5 อย่างนะ สอง สอนธรรมศาสตร์ สาม เขียนให้ นสพ.บางกอกโพสต์ ทุกจันทร์ สี่ จัดรายการวิทยุทุกคืนวันจันทร์ถึงเสาร์ ห้า เป็นพระเอกละครคู่กรรม ช่อง 4 บางขุนพรหม (โกโบริ) ผมเรียนรู้หลายอย่าง เหนื่อยกว่าเรียนหนังสือนะ แต่สนุก 

ทำอย่างไรให้การเรียนสนุก อย่างผมสอบบัญชี ผมตก ผมก็เลยไปสมัครงาน ขอไปอยู่แผนกบัญชี ได้ลองทำ เลย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ใช้เวลาเรียนรู้ยังไม่ถึงครึ่งของตอนเรียนเลย ผมสรุปได้ว่าอาจารย์กับผม วิธีคิดไม่ตรงกัน ดังนั้นมหาวิทยาลัยควรมีหน้าที่เทรนคน ฝึกคน ให้ลงมือทำจริงมากที่สุด เรียนรู้ไป 

ตอนแรกประเทศไทยเอาแบบฝรั่ง เรียนปริญญาตรี 4 ปี แล้วมาต่อปริญญาโท แต่เราไม่มีครูที่สอนการพัฒนา สอนให้เด็กทำธุรกิจเป็น เป็นเด็กวิสาหกิจ ธุรกิจเพื่อสังคม และสร้างความเข้มแข็งให้กับเด็กและชุมชน 

พอเด็กจบไป เขาจะไปเป็นผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจ เขาก็ยังบริหารจัดการและอยู่ในชุมชนได้ แต่ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยมีเพื่อดึงคนออกจากหมู่บ้านนะ ตอนนี้มีเด็กที่เป็นกำพร้าเทียม 6 ล้านคน อยู่กับปู่ย่าตายาย พ่อแม่ไปทำงานข้างนอก เพราะตอนเรียนหนังสือไม่มีใครสอนเขา 

ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กๆ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร จบปริญญาตรีก็ยังไม่รู้ เราโทษอะไร หรือใครได้ไหมคะ

โทษคนมันก็ง่าย แต่ควรจะหาว่าจะแก้ยังไงมากกว่า ความผิดคนมันชี้ง่าย แต่วิธีการควรจะทำยังไง นี่สำคัญ 

ตอนที่เขาเรียนควรจะฝึก ที่นี่มีวันหนึ่ง เรียกว่า ‘วันเตรียมอนาคต’ ทุกๆ วันพุธ ใครอยากสอนก็ออกไปสอน เปิดโอกาสให้เขาทดลองทำตั้งแต่เขาเป็นนักเรียน ไม่ใช่ไปอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว เรียน 4 ปี ค่อยออกมาทำ 

แต่ถ้าทำอย่างนี้จะรู้ก่อนเลยว่า อยากเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่อยาก แล้วถ้าเข้า อยากเรียนอะไร 

วันเตรียมอนาคต เราต้องการให้เด็กรู้สึกว่าฉันต้องนึกถึงอนาคต วันหนึ่งฉันต้องมีงานทำ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร เช่น ที่นี่มีเด็กชุดหนึ่งทำอาหารไปให้ผู้ป่วยที่โรงพยาบาลทุกวันพุธ ไปเยี่ยม เล่นดนตรีให้ฟัง เด็กไปเห็นผู้ป่วย ก็รู้สึกว่าทำไมโรงพยาบาลแน่นอย่างนี้ เต็มไปด้วยคนแก่ ได้เห็น ได้รู้สึก และคิดได้ว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ให้เขาตั้งคำถามต่อชีวิตเขาว่า ฉันอยากจะมีความสุข หรือ อยากจะมีเงิน ฉันอยากทำอะไรให้มีความหมาย ก็พยายามกระตุ้นเขาว่า ทำอะไรก็ได้ขอให้เป็น change maker ผู้เปลี่ยนแปลงในอาชีพนั้นๆ

ใครอยากทำอะไร ส่งไปทำ แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีใครอยากเป็นพระเลย ถ้ามีก็จะส่งไป (หัวเราะ) 

แต่เด็กก็ยังต้องสอบ O-NET อยู่ จะทำอย่างไร

ใช่ๆ เขาต้องสอบได้ ไม่ต้องเป็นห่วงมาก เขาทำได้ดีด้วย แต่เราไม่ได้ไปสนใจว่าเขาทำได้ดีหรือไม่ดี โอเน็ตไม่ได้บอกว่าคุณภาพของเด็กอยู่ที่ไหน 

เราฝึกเด็กให้มีวุฒิภาวะ เพราะฝึกแต่วิชาการมันไม่มีวุฒิภาวะ ความมั่นคงในตัวเขามี อันนี้สำคัญ

เชื่อว่าหลายโรงเรียนก็อยากเป็นแบบนี้ แต่ทำไม่ได้?

ไม่ได้ทำ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้  บางคนบอกคุณมีชัย ทำไมไม่ขยาย ผมบอก อยากได้สัก 8,000 แห่งเลย แต่ผมไม่มีเครื่องปั๊มเงินไง

อยากจะให้ท่านเอาเงินมา ผมสอนให้หมด เงินแบ่งเป็นสามก้อน หนึ่ง ค่าที่ดิน ก่อสร้าง สอง ค่าบริหารจัดการ 8 ปี และสาม กองทุน สำหรับธุรกิจเพื่อสังคม โรงเรียนต้องเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต ไม่ใช่รอรับเงินตลอด

ไอ้ที่บ่นๆ บ่นแล้วไม่ได้อะไร ถ้าบ่นแล้วมันได้ ผมจะบ่นทุกวันเลย (หัวเราะ) เลยมาทำโรงเรียน อาจจะไม่สำเร็จวันนี้ก็ได้ แต่ทำต่อไป 

ทำไมโรงเรียนนี้ต้องเป็นไม้ไผ่

หนึ่ง ไม้ไผ่หาที่ไหนก็ได้ สองกินก็ได้ ใช้ทำอะไรได้หมด ใบไผ่ดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าใบไม้อื่น ตัดมัน ภายใน 5 ปี ก็ใหญ่เท่าเดิม มันยั่งยืน จะเอาซีเมนต์ต้องไปทุบภูเขา เป็นหลุม เป็นบ่อ เด็กก็เข้าใจ มันก็ร่มเย็นดี

บรรยากาศ สถานที่โดยรอบ ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างไร 

คิดว่าการที่เราเห็นของเขียวๆ ร่มๆ เย็นๆ เป็นธรรมชาติ ถึงอยู่ในห้องก็ปีนออกมาได้ ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าถูกบีบ 

ต่อไป ผมจะมีชั่วโมงอ่านหนังสือให้มากที่สุด อ่านแล้วต้องเล่าให้ฟัง อ่านแล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่ไปดูแต่โทรศัพท์ อยากให้อ่านจากหนังสือจริง 

มีแผนรับเด็กเพิ่มอีกไหมคะ

ถ้ารับ เราต้องดูว่าเรารู้จักชื่อเขาไหม รู้จักหน้าเขาไหม ไม่รู้จักหน้ามันเหมือนนักโทษ มันต้องค่อยๆ ขยาย ตอนนี้ห้องละ 30 ก็เพิ่มเป็น 35 ก็ได้ แต่ไม่อยากให้เกิน 200 คนทั้งโรงเรียน 

ผมรู้จักทุกคน จำชื่อได้ยังไม่หมด แต่ก็ตามดูอยู่นะ เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นาน ส่งรูปทางไลน์มาให้ดูเรื่อยๆ นักเรียนต้องติดต่อกับผมทุกวัน ถ่ายรูป ตอนเช้าทำอะไร ถ่ายมุมต่างๆ ของโรงเรียน กิจกรรมนักเรียน แล้วในไลน์สะกดผิดไม่ได้นะ ต้องเช็คก่อน (หัวเราะ)

Tags:

โรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsมีชัย วีระไวทยะระบบการศึกษา

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learningCharacter building
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
EF (executive function)
10 September 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

การแพทย์ด้านสมองสมัยใหม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเมื่อคนเราได้ยิน สมองส่วนที่เรียกว่า temporal lobe ซึ่งอยู่ด้านข้างๆ จะทำงาน เมื่อคนเรามองเห็นสมองส่วนที่เรียกว่า occipital lobe ซึ่งอยู่ด้านหลังจะทำงาน นี่กล่าวเฉพาะประสาทสัมผัสด้านการได้ยินและการมองเห็น  

แต่มนุษย์ยังมีจมูก ลิ้น กาย และใจ  ส่วนไหนทำงาน สมองส่วนที่รับผิดชอบจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นได้เสมอด้วยเอกซเรย์สมัยใหม่ที่เรียกว่า fMRI และด้วยการตรวจวัดเมตาโบลิสซึมเฉพาะตำแหน่งของสารบ่งชี้

ใจคิด สมองเปลี่ยนแปลง เราแสดงให้เห็นได้ทั้งรูปภาพและตัวเลข

แต่มนุษย์มิได้มีเพียงประสาทสัมผัสเท่านั้นที่สาธิตให้เห็นได้ว่าสมองเปลี่ยนไป พัฒนา และเติบโต การแพทย์สมัยใหม่พบว่าสมองก่อตัวขึ้นด้วยปัจจัย 5 ข้อต่อไปนี้

​1. ประสาทสัมผัส

2. ความจำ

3. การตัดสินใจ

4. การเรียนรู้

​และ 5. การเคลื่อนไหว

อย่างสั้นที่สุดคือ อ่าน-เล่น-ทำงาน นั่นเอง

​ในท้ายที่สุดแล้วสมองจะมีเซลล์จำนวน 1 แสนล้านเซล์ (100 billion = 100,000,000,000) และจะมีจุดเชื่อมต่อประสาทที่เรียกว่า synapses จำนวน 1 ร้อยล้านล้านจุด (100 trillion = 100,000,000,000,000) ทั้งหมดนี้เริ่มต้นด้วยการอ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน

หากจะเปรียบเทียบการทำงานของสมองเป็นอะไรที่เราคุ้นเคย ตัวอย่างแรกคือสนามบินและจำนวนเครื่องบินที่บินไปมาทั่วโลก เซลล์สมองมีการรวมกลุ่มเป็นโหนด (node) ขนาดใหญ่หลายร้อยกลุ่มแล้วแต่ละกลุ่มทำงานเชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อนและทั่วถึง  

อีกตัวอย่างหนึ่งคือวงออร์เคสตรา เครื่องเป่า เครื่องสี เครื่องเคาะ เครื่องดีด ทั้งหมดนั้นทำงานพร้อมกันแต่เครื่องมือทุกชิ้นมีหน้าที่เฉพาะตัว เช่น ไวโอลินไม่เหมือนวิโอลา หากเครื่องดนตรีทุกชิ้นเปล่งเสียงด้วยความดังสูงสุดพร้อมกันเราย่อมฟังไม่เป็นเพลงเลย แต่เพราะเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นทำหน้าที่ของตัวโดยที่เครื่องอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังทำหน้าที่ของตัว แม้กระทั่งเครื่องเป่าอาจจะหยุดเป่าชั่วคราว ผลรวมของการประสานงานทั้งหมดนั้นคือการก่อกำเนิดของสมองและจิตใจ

เครื่องบินที่จอดเฉยๆ เครื่องดนตรีที่วางไว้เฉยๆ ยังมิใช่สมองและจิตใจ พวกมันต้องทำงาน

สมองซับซ้อนกว่าเครือข่ายสายการบิน จากงานวิจัยขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์งานวิจัยเพื่อดูการทำงานของสมองมากกว่า 10,000 ชิ้น ครอบคลุมวิธีคิดและทำงาน 83 รูปแบบ ได้ข้อสรุปว่าสมองทำงานด้วยโครงสร้างแบบโมดูล (modular structure) ในแต่ละโมดูลมีหลายโหนด การประสานงานกันในโมดูลเดียวกันมีความรวดเร็วมากกว่าการประสานงานกันข้ามโมดูล งานวิจัยพยาธิตัวตืด Caenorhabditis elegans ซึ่งมีเซลล์ทั้งตัวเพียง 302 เซลล์ก็พบโครงสร้างอย่างเดียวกัน นั่นคือเป็นโมดูล

ในแง่นี้คำเปรียบเปรยกับสายการบินหรือวงออร์เคสตรายังใช้ได้ดีอยู่ การต่อเที่ยวบินข้ามทวีปย่อมมีหลายขั้นตอนมากกว่าบินในประเทศ การสื่อสารภายในกลุ่มเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันมีความรวดเร็วมากกว่าข้ามกลุ่ม 

และหน้าที่ 5 อย่างของสมองข้างต้นมีลักษณะเป็นโมดูลด้วย

แม้ว่าเครื่องดนตรีทุกชิ้นในวงออร์เคสตราจะเล่นเป็นหนึ่งเดียว แต่ทุกชิ้นเป็นอิสระต่อกันในบางจังหวะเราจะพบว่ามีนักเป่าเป่าอยู่เพียงคนเดียว ขณะที่นักเป่าคนอื่นหยุดทั้งหมด เวลานั้นนักดนตรีชิ้นอื่นๆ ก็ยังคงเล่นอยู่เป็นบางชิ้นแล้วแต่วาทยกรจะกำหนด ที่แท้แล้วโหนดที่อยู่ต่างโมดูลกันยังสามารถทำงานพร้อมกันและด้วยกันข้ามโมดูลได้ด้วย เราเรียกว่าฮับ (Hub)

ฮับที่สำคัญคือฮับที่รับผิดชอบการควบคุมตนเอง การบริหารความจำใช้งาน และการคิดยืดหยุ่น ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในบริเวณของสมองที่เรียกว่า fronto-parietal lobe ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฮับที่ทำงานด้านการยับยั้งปฏิกิริยา (response inhibition) เหมือนเครื่องเป่าทุกชิ้นที่ต้องหยุดเหลือเพียงเครื่องเดียวที่ยังเป่าอยู่ กระบวนการทางสมองทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า Executive Function (EF) 

คือฮับที่เราอยากให้เหลือรอดจากกระบวนการตัดแต่งสมองที่เรียกว่า synaptic pruning ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณอายุ 9-12 ขวบ เป็นดังที่พูดเสมอว่าหากถึงระดับประถมปลายแล้วยังไม่อ่าน ไม่เล่น ไม่ทำงาน เราจะเป็นห่วงมาก กล่าวคือสมองของเด็กทำงานได้เพียงระดับโหนดและโมดูล แต่ไม่มีฮับที่สำคัญหลงเหลือ

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฮับสายการบินเสียหาย อาจจะเพราะพายุหรือก่อการร้าย หลายโมดูลจะหยุดทำงานไปด้วย เกิดความเสียหายแผ่ขยายกว้างไกลมากกว่ามาก

ในโครงการ Human Connectome Project ของ NIH ซึ่งศึกษาและทำแผนที่การทำงานของสมองตลอดชั่วอายุขัย พบว่าสมองที่มีการเชื่อมต่อระหว่างโหนด โมดูล และฮับมากกว่าจะทำให้เจ้าของสมองมีพัฒนาการด้านภาษา ระดับสติปัญญา ทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถประวิงความสุขที่เรียกว่า delayed gratification ดีกว่า ส่วนสมองที่มีการเชื่อมต่อน้อยกว่าจะมีความสามารถต่างๆ ที่เล่ามาต่ำกว่า ส่งผลต่อระดับสติปัญญา การตั้งสมาธิ นอนไม่หลับ และการใช้สารเสพติดที่สูงขึ้น

พูดง่ายๆ ว่าสมองสร้างคุณให้เป็นคุณ

ทารกเกิดมาไม่มีตัว ไม่มีตน การอ่าน-เล่น-ทำงาน ต่างหากที่สร้างเขาให้เป็นเขา

ข้อเขียนนี้แปลและเขียนใหม่จากบทความ ‘How Matter Becomes Mind’ ของ Max Bertolero และ Danielle S. Bassett รูปประกอบที่แสดงให้เห็นโครงสร้างของโหนด โมดูล และฮับ วาดโดย Mark Ross Studios ตีพิมพ์ในนิตยสาร Scientific American, July 2019 หน้า 18-25

(ยังมีต่อ)

หมายเหตุ : ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน เรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่านเล่นทำงาน: อ่านนิทาน
อ่านเล่นทำงาน: เล็กๆน้อยๆ แต่สำคัญมากของ‘นิทานก่อนนอน’ 
อ่านเล่นทำงาน: สมอง‘อ่าน’ อย่างไร
อ่านเล่นทำงาน: ความต่างระหว่าง‘อ่านออก(เร็ว)’ กับ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
ทำงาน: เด็กทำอะไรช้ามาจาก‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆจึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่านเล่นทำงาน: อ่าน‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: อ่านวรรณคดีไทยลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

Tags:

พัฒนาการนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก
BookFamily Psychology
10 September 2019

การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ความรู้สึกผูกพันในครอบครัวคือหัวใจสำคัญของพัฒนาการที่ดีทางอารมณ์และความรู้สึกของลูก ซึ่งมาจากการที่พ่อแม่ถ่ายทอดความรัก ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และเห็นคุณค่าของความรู้สึกของเขา
  • แต่การเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกนั้น พ่อแม่ยังต้องเคารพความต้องการพื้นที่ส่วนตัวของเขาอยู่ แม้อันตรายภายนอกอาจทำให้เราต้องระวัง แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายที่ไม่ล่วงล้ำจับจ้องทุกกิจกรรมแบบไม่คลาดสายตา
  • ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกขาดไม่ได้ในการเลี้ยงลูก เพราะนัยหนึ่งมันคือการบอกว่าพ่อแม่เป็นพวกเดียวกันกับเขา กับทั้งยังเป็นวิธีที่เขาเรียนรู้คุณค่าความหมายของประสบการณ์

ความรู้สึกผูกพันในครอบครัวคือหัวใจสำคัญของพัฒนาการที่ดีทางอารมณ์และความรู้สึกของลูก ซึ่งมาจากการที่พ่อแม่ถ่ายทอดความรัก ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และเห็นคุณค่าของความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการได้แบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันกับครอบครัว (the sharing of emotions) 

เป็นข้อความที่กล่าวไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ Parenting from the Inside Out เขียนโดย ดร.เดเนียล เจ. ซีเกล (Dr.Daniel J. Siegel) จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาครอบครัวแห่ง UCLA, Harvard Medical School และ แมรี ฮาร์ทเซล (Mary Hartzell) อาจารย์ที่ปรึกษาการเลี้ยงดูบุตรชื่อดัง

การสื่อสารในครอบครัวจึงเป็นคำตอบสำคัญของพัฒนาการทางอารมณ์ รวมถึงความรู้สึกผูกพันระหว่างพ่อ แม่ และลูก ซึ่งจะกลายเป็นพลังชีวิต (a sense of vitality) และจุดเริ่มต้นของทักษะการเข้าใจผู้อื่น (empathy) ต่อไป เราเลยอยากแนะนำวิธีสร้างความผูกพัน 7 ข้อง่ายๆ ที่เรียกว่าหลัก Integrative Communication มาบอกต่อคุณพ่อคุณแม่ให้ลองใช้วิธีเหล่านี้สื่อสารกับลูก

  1. มีสติ (Awareness) นอกจากตระหนักรู้ว่าตนเองกำลังมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ต้องรู้จักอ่าน ‘ภาษากาย’ หรืออากัปกิริยาของลูกออก และเลือกที่จะตอบสนองเขาด้วยวิธีการทางบวก 
  2. ปรับจูนเข้าหาลูก (Attunement) ด้วยการรับฟังอารมณ์ความรู้สึกของเขาแล้วปรับการตอบสนองให้สอดคล้องกลมกลืนไปกับเขา 
  3. เข้าอกเข้าใจ (Empathy) ยอมรับความรู้สึกของลูกในจุดที่เขาเป็น โดยไม่ตัดสิน 
  4. แสดงออก (Expression) พ่อแม่ต้องมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอย่างเปิดเผยจริงใจอย่างเป็นบวก ในขณะเดียวกันก็เคารพความรู้สึกของเขาด้วย
  5. มีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน (Joining) พ่อแม่ลูกต้องร่วมกันแบ่งปันความรู้สึก คำพูดและการแสดงออกท่าทางแบบรับส่งทั้งสองทาง 
  6. อธิบายให้กระจ่างชัด (Clarification) คือการให้ความสำคัญและคุณค่ากับประสบการณ์ต่างๆ ของลูก เช่น ชมเชยความสำเร็จหรือยินดีเมื่อเห็นเขามีความสุข ปลอบโยนให้กำลังใจเมื่อเขาผิดพลาดหรือให้คำชี้แนะเมื่อทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม
  7. เคารพความต่าง (Individuality) ฟังอย่างเปิดรับและทำความเข้าใจโดยปล่อยวางความแตกต่างระหว่างกัน

ให้ลูกรู้สึกว่า ‘เราพวกเดียวกัน’

สมมุติลูกกลับจากเล่นสนุกในสวนมาพร้อมขวดโหลใส่แมลงตัวหนึ่ง เขาวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นเพื่อโชว์ให้แม่เห็นว่าปีกแมลงตัวนี้สีสวยแค่ไหน แม่ซึ่งเป็นห่วงว่าแมลงอาจจะหลุดออกมาบินว่อนไปทั่วบ้าน แม่ควรตอบโต้อย่างไร 

ถ้าไม่ได้ตอบรับความสำคัญของประสบการณ์ที่เขาค้นพบและดุเขากลับไปว่า “อย่าเอาแมลงเข้าบ้านนะ ไปปล่อยมันข้างนอกเดี๋ยวนี้!” ลูกซึ่งคิดว่าตัวเองกำลังนำประสบการณ์ที่เขาคิดว่า ‘ดี’ และความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ค้นพบของสวยงามมาแบ่งปัน ถูกแม่ปฏิเสธแล้วยังแสดงออกเหมือนกำลังบอกว่าสิ่งที่เขาทำมัน ‘เลวร้าย’ ย่อมต้องรู้สึกสับสน แปลกแยกจากแม่

เพราะไม่เพียงแม่ประเมินประสบการณ์ที่ตนตีความไว้ว่า ‘ดี’ เป็นไร้ค่า ยังไม่ยอมร่วมแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกที่มีความหมายสำหรับเขาและไม่เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกตื่นเต้นในครั้งนี้ด้วย 

พื้นฐานความผูกพันคือการที่สมาชิกในครอบครัวรู้สึกถึงคุณค่าและความหมายของประสบการณ์ร่วมกัน

อาจารย์แมรีอธิบายว่าในสถานการณ์ที่ลูกต้องการความสนใจดังข้างต้นนี้ คือ แรงผลักตามธรรมชาติที่แสดงถึงความต้องการที่จะต่อติดความรู้สึกภายในของเขาเข้ากับความรู้สึกแม่ ดังนั้น พ่อแม่ต้องมีความละเอียดอ่อนด้านอารมณ์ในการสื่อสารกับลูกให้มากพอ โดยเฉพาะการตอบรับประสบการณ์ทางอารมณ์ต้องมีการปรับจูนให้สอดคล้องกับเขา (Attunement) และ ‘สะท้อน’ อารมณ์ความรู้สึกที่ส่งมานั้นกลับไปด้วยระดับเดียวกัน (Resonance)

การปรับจูนในที่นี้คือสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเขา ลูกในวัยซุกซนไม่ประสา หรือวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน สิ่งที่เจอมันแปลกใหม่ น่าตื่นเต้นไปซะหมด พ่อแม่ต้องมองประสบการณ์เหล่านั้นผ่านสายตาของเขา ไม่กลั่นกรองด้วยประสบการณ์ตนเองแล้วตัดสินแบบ “แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน” ไปซะหมด เพราะนั่นเท่ากับปิดโอกาสให้เขาเรียนรู้ 

ส่วนการสะท้อนคือ ถ้าลูกตื่นเต้นมาเราต้องรับลูกเออออตามไปด้วย ‘อู้หู’ ‘โอ้โห’ เวลาลูกเล่า หรือถ้าเขาแสดงออกว่ากำลังซีเรียสก็ต้องตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ ไม่ทำเบื่อหน่ายทำนองว่าเรื่องของเขาเป็นเรื่องเล็ก

ในกรณีข้างต้น แม่สามารถตอบรับและสะท้อนความตื่นเต้นที่ลูกส่งมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น ใช้น้ำเสียงกระตือรือร้น “ไหนๆ ขอดูหน่อยสิจ๊ะ โอ้โห! แมลงสีสวยจัง ไปเจอที่ไหนมา ปีกน้องแมลงสวยอย่างนี้แม่ว่าน้องคงอยากบินอวดเพื่อนๆ ในต้นไม้ใบหญ้าที่เป็นบ้านของเขา มากกว่าอยู่ในโหลนี้แน่เลย” 

การสื่อสารที่ปรับจูนตามพัฒนาการลูกและสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกอย่างสอดคล้อง นอกจากเขาจะรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ (feel felt) ยังเข้าใจได้ว่าแม่กับเขากำลังแบ่งปันประสบการณ์ด้วยกัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างความหมายให้กับเขาในการเชื่อมโยงความรู้สึกภายในตัวเองเข้ากับประสบการณ์ที่ได้รับจากโลกภายนอกและถักทอความผูกพันกับแม่

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องระวังด้วยว่า การสื่อสารที่ปรับจูนให้สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกลูกเป็นคนละเรื่องกับการตามใจ ให้อารมณ์ของเขาอยู่เหนือเหตุผลจนกลายเป็นสปอยล์ อีกทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกนั้น พ่อแม่ก็ยังต้องเคารพความต้องการพื้นที่ส่วนตัวของเขาอยู่ แม้อันตรายภายนอกอาจทำให้เราต้องระแวงระวัง แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายที่ไม่ล่วงล้ำจับจ้องทุกกิจกรรมแบบไม่คลาดสายตา

ละเอียดอ่อนกับอารมณ์ที่ซ่อนในภาษากาย

อีกหนทางที่จะเปิดโอกาสให้พ่อแม่สร้างสัมพันธภาพกับลูกได้ดียิ่งขึ้น และมองเห็นวิธีจัดการกับอารมณ์ทั้งของตัวเองและลูก ต้องมาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่าอารมณ์มีจุดเริ่มต้นและทำงานภายในจิตใจอย่างไร 

ลึกเข้าไปในแต่ละอารมณ์โกรธ ดีใจ ตื่นเต้น ของลูกที่เราเห็น ในทางจิตวิทยามีคำอธิบายอย่างมีที่มาที่ไปแบบเป็นกระบวนการหนึ่งสองสามและแจกแจงถึงส่วนต่างๆ ในสมองที่ใช้ประมวลผลไว้โดยละเอียด ในที่นี้ ขออธิบายกลไกการเกิดขึ้นของอารมณ์ในสมอง (หรือใจ) เพียงคร่าวๆ เพื่อโยงเข้าคอนเซ็ปต์การสร้างความรู้สึกผูกพันและอุปสรรคปัญหาที่เป็นตัวขัดขวางการสื่อสารความรู้สึกระหว่างพ่อแม่กับลูก

อารมณ์คือส่วนหนึ่งของผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกันของสมองทุกส่วนและทุกหน้าที่ (integration) ลองนึกภาพก้อนสมองที่ประกอบไปด้วยเซลล์ (neurons) จำนวนมหาศาลซึ่งแต่ละเซลล์ส่งสัญญาณซึ่งกันและกันแบบเปะปะไร้ทิศทาง เบสิคสุดคือการทำงานของสมองถูกแบ่งเป็นสองซีกซ้ายขวา ซีกซ้ายดูแลการคิดวิเคราะห์กับตรรกะเหตุผล ส่วนอารมณ์ความรู้สึกอยู่ภายใต้การทำงานของซีกขวา ส่วนที่สำคัญที่สุดด้านการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของสมองส่วนนี้คือพื้นที่ limbic ซึ่งประกอบไปด้วย amygdala, anterior cingulate, hippocampus, hypothalamus

ประเด็นคือทุกส่วนทั้งหมดทั้งปวงในสมองล้วนมีการประสานการทำงานกัน (เรียกได้ว่าเป็น neural integration) เพื่อช่วยให้สามารถประมวลข้อมูลได้อย่างสมดุลและควบคุมตนเองได้ 

อารมณ์แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ อารมณ์ขั้นมูลฐานกับอารมณ์ที่เราแสดงออกทั่วไป อยากให้ผู้อ่านโฟกัสไปที่ ‘อารมณ์ขั้นมูลฐาน’ เป็นพิเศษ เพราะสิ่งนี้คือปราการด่านแรกซึ่งพ่อแม่คนไหนอยากจะจูนตัวเองกับลูกให้ติดได้ ต้องเข้าใจที่มาที่ไปของมันและรู้จักสังเกตให้เป็นเสียก่อน 

  • อารมณ์ขั้นมูลฐาน (primary emotions) เป็นกระแสพลังงานที่พุ่งขึ้นในจิตใจแบบปุบปับเมื่อถูกกระตุ้น โดยอารมณ์นี้จะแวบขึ้นมากน้อยหรือฉับพลันแค่ไหน ก็หมายถึงว่าลูกสนใจหรือ ‘อิน’ กับเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด อารมณ์ขั้นมูลฐานแสดงออกผ่าน ‘ภาษากาย’ เป็นอากัปกิริยาต่างๆ เช่น แววตา น้ำเสียง ท่าทาง เมื่อรู้สึกไม่พอใจ ภาษากายที่ชี้ได้คือ ขมวดคิ้วนิ่วหน้า หายใจแรง เสียงดังกว่าปกติ หรือเวลารู้สึกกลัว ไม่มั่นใจ ลูกอาจหลบตา กัดเล็บ เป็นต้น 

อารมณ์ขั้นนี้มีกลไก 2 อย่างเกิดขึ้นคือ 

– ความรู้สึกเบื้องต้น (initial orientation) ร่างกายและความสนใจจดจ่อสิ่งนั้นปุ๊บปั๊บทันที 

– การประเมินสัญญาณ (appraisal and arousal) ใจจะประเมินประสบการณ์นั้นแบบตื้นๆ ว่า “ดีหรือไม่ดี”

  • อารมณ์ทั่วไป (categorical emotion) คืออารมณ์ที่ทุกคนแสดงออกเป็นสากล คือ เศร้า กลัว โกรธ เป็นสุข ประหลาดใจ ขยะแขยง และอับอาย 

ขั้นตอนการเกิดอารมณ์ของเราเรียงลำดับได้ดังนี้

1) เมื่อได้รับการกระตุ้นจากภายนอกหรือสัญญาณภายใน สมองตอบสนองสัญญาณนั้นด้วยความรู้สึกเบื้องต้น เป็นสัญญาณส่งต่อไปบอกใจว่า “สนใจเดี๋ยวนี้นะ! เรื่องนี้สำคัญนะ!” ใจเราก็จะจดจ่อกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นนั้น 

2) ต่อไปสมองก็ทำการ ประเมินสัญญาณ ที่ได้จาก สิ่ง ที่กำลังจดจ่อนั้นอีกทีว่าเป็นเรื่อง ‘ดีหรือแย่’ ในขั้นตอนนี้เกิดขึ้นไปพร้อมกับการที่สมองส่วนอื่นๆ ทำการประมวลข้อมูลปลีกย่อยด้านอื่นด้วยในขณะเดียวกัน ในขั้น การประเมินสัญญาณ นี้เราจะรับรู้ได้ว่าประสบการณ์ขณะนั้นเป็นเรื่องดีหรือร้ายและมีความหมายอย่างไร 

3) เมื่อประเมินแล้วภายในใจก็จะจัดการและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการแสดงพฤติกรรมบางอย่าง ถ้า การประเมินสัญญาณ บอกว่า ‘ดี’ ก็เข้าสู่กระบวนการขั้นอื่นต่อไปเช่นลงมือทำ แต่ถ้าบอกว่า ‘ไม่ดี’ ก็จะหยุดพักไว้แค่นั้น

พ่อแม่ที่อ่าน อารมณ์ขั้นมูลฐาน จากอากัปกิริยาของลูกขาด เมื่อบอกว่า “หนูโอเค” น้ำเสียง แววตา ท่าทางหมายความอย่างนั้นจริงหรือไม่ เขากำลังต้องการพื้นที่ส่วนตัวหรือโหยหาคำปลอบใจ พ่อแม่ต้องใส่ใจสัญญาณเหล่านี้ให้มากพอเพื่อปรับจูนการสื่อสารและสะท้อนความรู้สึกเหล่านั้นกลับไปให้สอดคล้องกับความคาดหวังเพื่อกระตุ้นความรู้สึกว่าเขา “มีความสำคัญ” (feel felt) อย่างกรณีตัวอย่างที่ลูกวิ่งตื่นเต้นเอาแมลงมาอวดแม่นั่นเอง

ปมปัญหาและบาดแผลติดค้างที่ขัดขวางการสื่อสารความรู้สึกผูกพัน

ในเมื่ออารมณ์เป็นผลลัพธ์จากการทำงานของสมองส่วนต่างๆ ซึ่งขึ้นตรงต่อจิตใจ มันจึงสะท้อนสุขภาพจิตรวมไปถึงภาวะการทำงานทั่วไปในสมองได้ คนที่มีสภาวะอารมณ์บกพร่องหรือมีปัญหาอาจส่อถึงกระบวนทำงานร่วมกันของสมองมีความผิดปกติเกิดขึ้น หรือเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสมองไม่สามารถเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันอย่างสิ้นเชิงอาจเกิดสภาวะตายด้านทางอารมณ์ได้

เช่นเคสหนึ่งที่น่าสนใจของคุณหมอเดเนียล คนไข้เป็นคุณพ่อนักวิชาการวัยสี่สิบเข้ามาปรึกษาเนื่องจากมีปัญหาความสัมพันธ์ห่างเหินกับลูกสาวและ ‘ตายด้าน’ ทางความรู้สึก กล่าวคือ เขาไม่สามารถ ‘รู้สึก’ ถึงอารมณ์ตนเองได้ อาการหนักถึงขนาดว่าขณะวินาทีที่ทราบข่าวภรรยาและเพื่อนรักป่วยหนักแกกลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เลย 

ในการวินิจฉัยและบำบัดคุณหมอได้ข้อมูลว่า 

– คนไข้ไม่เข้าข่ายซึมเศร้าหรือมีภาวะวิตกจริตใดๆ มีแค่อาการด้านชาทางความรู้สึก

– รู้สึกโดดเดี่ยว ชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า เพราะรู้สึกต่อไม่ติดแม้กับใครเลย 

– การงานไม่มีปัญหา

– ไม่มีความทรงจำวัยเด็กร่วมกับพ่อแม่เลย นอกจากรู้ว่าทั้งสอง ‘เก่ง’ 

– ถูกเลี้ยงดูมาให้รู้แค่ถูกผิด รู้หน้าที่ว่าต้องทำอะไร ควรและไม่ควรทำอะไร พ่อแม่ไม่เคยพูดคุยเรื่องอารมณ์ความรู้สึก

– พ่อเสียช่วงวัยรุ่น แม่ไม่เคยพูดถึงหรือแสดงออกว่าเสียใจ 

– ปัจจุบันรู้ตัวว่ารักลูกมาก แต่เมื่อพูดคุยกันใจจะคิดไปถึงภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ พะวงถึงแต่ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ไม่สามารถต่อความรู้สึกติดกับลูก

ทีแรกคุณหมอเดเนียลคาดว่า อาการตายด้านทางอารมณ์น่าจะเกิดจากสมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่แสดงอารมณ์และความรู้สึกของคนไข้พัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งถ้าปัญหามาจากสมองส่วนนี้ เป็นไปได้ด้วยว่าคนไข้จะขาดทักษะศิลปะหรือสุนทรียศาสตร์โดยสิ้นเชิง แต่ปรากฏว่าคนไข้รายนี้มีทักษะศิลป์เยี่ยมยอดเทียบเท่าสถาปนิกเก่งๆ คนหนึ่ง

ปัญหาที่ไม่สามารถเชื่อมความผูกพันกับลูกสาวเพราะพอพูดคุยกัน คุณพ่อท่านนี้จะคิดวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าควรพูดอย่างไร ทำอะไร ในขณะเดียวกันก็จู้จี้กับคำพูดและการกระทำของลูกสาวเช่นกัน แต่แปลกตรงที่การเชื่อมโยงความรู้สึกภายในของตนเอง และ mindsight (ความเข้าใจจิตใจผู้อื่น) กลับไม่ทำงานเลย ลักษณะนี้น่าจะเป็นเพราะสมองซีกซ้ายเข้ามาสั่งการมากเกินไป

เมื่อบำบัดพูดคุยจึงรู้ว่าการเลี้ยงดูแบบแห้งแล้งของพ่อแม่คือต้นตอของอาการตายด้านความรู้สึก

เพราะอารมณ์ขั้นมูลฐานของคนไข้ถูกปิดกั้นมาโดยตลอด ระบบการประเมินที่ติดตัวมาแต่เกิดซึ่งตั้งโดยอัตโนมัติไว้ว่าความสัมพันธ์มีความสำคัญและ ‘ดี’ ถูกตัดขาดจากจิตใจเพื่อปรับตัวตามการเลี้ยงดู แล้วใจยังสร้างกลไกป้องกันตัวที่เข้ามากดความรู้สึกโหยหากับความผิดหวังซึ่งถ้าเปิดรับความรู้สึกนี้โดยตรง ใจเขาอาจแหลกสลาย กลไกป้องกันตัวจึงกดความทรงจำวัยเด็กไว้อย่างแรงกล้าจนไปปิดการทำงานของอารมณ์ขั้นมูลฐานไปด้วย

เพราะคนไข้ตัดขาดการสื่อสารด้านอารมณ์ความรู้สึกตามอย่างพ่อแม่ อารมณ์ขั้นมูลฐานที่ประเมินสถานการณ์คุณค่าความหมายในชีวิตจึงไม่ทำงาน นี่เองจึงทำให้คนไข้กลายเป็นคน ‘ไม่รู้สึกรู้สา’ กับเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์นอกจากความว่างเปล่า

เมื่อคนไข้ได้รับการบำบัดให้จดจ่อกับความรู้สึกที่เกิดกับร่างกาย ฝึกแสดงความรู้สึกจากการมองภาพที่ไม่มีคำพูดกำกับหรือตีค่าความหมายของประสบการณ์เหล่านั้น พร้อมกับเขียนบันทึกสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกภายในทุกวัน สมองทั้งสองฝั่งก็เริ่มประสานการทำงานร่วมกันใหม่ได้อีกครั้ง 

จนในที่สุดขณะท่องเที่ยวดำน้ำกับลูกสาว คนไข้ก็สามารถเข้าถึงความรู้สึกผูกพันอย่างท่วมท้นได้เป็นครั้งแรก เพราะการใช้ ‘ภาษากาย’ ใต้น้ำ เช่น eye contact การสัมผัสและสัญญาณมือ ทำให้อารมณ์ขั้นมูลฐานที่ถูกปิดตายได้กลับมาใช้งานอีก

ขณะดำน้ำเมื่อไม่ต้องใช้สมองซีกซ้ายคิดวิเคราะห์ตรรกะใดๆ สมองซีกขวาโดยเฉพาะส่วนที่แสดงออกถึงอารมณ์ขั้นมูลฐานถูกเปิดใช้งานเต็มที่ คนไข้ก็กลับมารู้สึกได้อีกครั้งและลงเอยที่สามารถเชื่อมต่อความรู้สึกกับลูกสาวได้ในที่สุด พร้อมกันนั้นเขาก็ค้นพบหนทางเดินหน้าเพื่อสะสางความรู้สึกที่ตกค้าง (unresolved issues) จากการสูญเสียคุณพ่อและเปิดรับความรู้สึกที่มีต่ออาการเจ็บป่วยของภรรยาและเพื่อนรักต่อไป

ตัวอย่างนี้ขีดเส้นใต้ความสำคัญของการสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกระหว่างกันในครอบครัว (emotional communication) อย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกขาดไม่ได้ในการเลี้ยงลูก เพราะนัยหนึ่งมันคือการบอกว่าพ่อแม่เป็นพวกเดียวกันกับเขา กับทั้งยังเป็นวิธีที่เขาเรียนรู้คุณค่าความหมายของประสบการณ์ โดยเฉพาะวิธีจัดการทางอารมณ์ที่สะท้อนตามอย่างวุฒิภาวะของพ่อแม่

การสื่อสารที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกในกรณีของคนไข้ข้างต้น พ่อแม่ไม่เคยถามว่าลูกรู้สึกอย่างไรหรือแชร์ประสบการณ์ทางอารมณ์ของตนเองเมื่อโกรธ เสียใจหรือตื้นตัน โดยบางครอบครัวอาจคิดว่าไม่ควรนำความทุกข์ใจมาใส่ลูก นี่เองกลายเป็นปัจจัยปัญหาที่ทำให้ลูกกับพ่อแม่ “ต่อกันไม่ติด” 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกจากหลักการสื่อสารที่กล่าวมา การคิดทบทวน (self-reflection) การเข้าใจและยอมรับตัวเอง (self-understanding) ของพ่อแม่ยังคงสำคัญยิ่งเหนืออื่นใด เพราะหากผู้ใหญ่ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความเปราะบางของตนเองเพื่อสะสางปมบาดแผลติดค้างมาจากเหตุการณ์ในอดีต ปัญหาเหล่านั้นจะคอยกระตุ้นกลไกป้องกันตัวให้เราหลีกหนีอารมณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เลวร้ายทุกครั้งไป และผลที่ตามมาคือลูกตกเป็นเหยื่อของพฤติกรรมเกรี้ยวกราดที่แสดงมาจากกลไกป้องกันตัวของพ่อแม่

เช่นอีกเคสหนึ่ง คุณแม่ซึ่งวัยเด็กขาดความอบอุ่นและถูกสามีทิ้ง ไม่สามารถแสดงความรักต่อลูกวัยสามขวบและมีน้ำโหทุกครั้งเมื่อเขาเรียกร้องความสนใจ เพราะไม่เคยทบทวนทำความเข้าใจกับความว้าเหว่และการต้องการความรักของตนเองมาก่อน กลไกการป้องกันตัวจึงผลักเธอให้หลีกหนีจากความรู้สึกเดิมทุกครั้ง (ผิดหวังจากการถูกพ่อแม่หรือสามีเมินเมื่อเรียกร้องความสนใจ) เป็นอุปสรรคให้ไม่สามารถเปิดรับและเข้าอกเข้าใจลูกในจุดที่ตนเองเคยเป็นได้ เคสนี้ก็เช่นเดียวกัน การเยียวยาทำได้โดยแม่ต้องเริ่มต้นที่การยอมรับความผิดหวัง เจ็บปวดและเข้าใจตนเองให้ได้เสียก่อน 

ทบทวนความรู้ก่อนนำไปใช้ 

  • เป็นห่วงทักษะอื่นๆ และผลการเรียนได้ แต่อย่าละเลยการเอาใจใส่ด้านอารมณ์ความรู้สึกของลูกเพราะความรู้สึกผูกพันกับครอบครัว และความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้สึกกับผู้อื่นคือพลังขับเคลื่อนชีวิต และคุณค่าความหมายของเขาเริ่มต้นจากตรงนี้ 
  • ยึดหลักการสื่อสาร 7 ข้อข้างต้นในการพูดคุยกับลูกให้เป็นนิสัย 
  • รับฟังประสบการณ์อารมณ์ความรู้สึกลูกจากฝั่งของเขา (empathy) ปรับจูนและสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกตามวัยและนิสัยใจคอเพื่อต่อกับเขาให้ติดด้วยความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน และความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ 
  • เคารพพื้นที่ส่วนตัวของลูก เอาใจใส่ไม่มากไม่น้อยเกินไป เอาให้พอดีกับที่เขาต้องการ
  • ใส่ใจถึงภาษากายและอากัปกิริยาของลูกนอกจากคำพูด บางครั้งลูกอาจไม่ได้พูดสิ่งที่รู้สึก ภาษากายบ่งบอกได้ และในทางกลับกันพ่อแม่เองก็ต้องระมัดระวังภาษากายที่อาจสื่อความหมายลบโดยไม่ตั้งใจกับลูกด้วยเช่นกัน 
  • แบ่งปันความรู้สึกสุขทุกข์ของตนให้ลูกร่วมรับฟังในฐานะที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว โดยปราศจากความคาดหวังให้เขาแบกรับหรือทำเพื่อเรา การแบ่งปันไม่ใช่การผลักความรู้สึกโกรธ กลัวหรือเครียดให้ลูกรู้สึกตามไปด้วย แต่เป็นการบอกเล่าความรู้สึกอย่างเปิดเผยจริงใจและอาศัยโอกาสนี้แนะวิธีทางบวกที่ใช้รับมือจัดการกับปัญหาความรู้สึกนั้น เช่น หารือ เปิดอกพูดคุยกัน หรือหากิจกรรมทำร่วมกันในครอบครัว เป็นต้น
  • มีส่วนร่วมในความสำเร็จของลูกด้วยคำชื่นชม ให้กำลังใจเมื่อผิดพลาดล้มเหลว 
  • สำคัญที่สุดคือการรู้ใจเราเองให้ได้ก่อนแล้วจึงจะเข้าใจลูก ทบทวนตนเองให้ถี่ถ้วน ยอมรับจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองไปจนถึงให้อภัยและปล่อยวางความเลวร้ายหรือข้อผิดพลาดในอดีต จดจ่อใส่ใจกับปัจจุบันขณะ และเปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ไปพร้อมกันกับเขา
อ้างอิง
Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Feel: Emotion in Our Internal and Interpersonal Worlds. In Parenting from the Inside Out (pp. 53-79). New York: tarcherperigee.

Tags:

ปม(trauma)Parenting from the Inside Outความเข้าอกเข้าใจ(empathy)พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)หนังสือจิตวิทยา

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookHow to enjoy life
    DESIGNING YOUR LIFE: ปัญหาที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ไม่ต่างกับ ‘แรงโน้มถ่วง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน
Grit
9 September 2019

S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

แม้จะวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่บางครั้งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า นั่นอาจเป็นเพราะแผนที่คุณวางคลุมเครือและสับสน

S.M.A.R.T. goal คือ เครื่องมือช่วยตั้งเป้าหมายอย่างเป็นระบบแผนที่ดีต้องมีปลายทางชัดเจน

แต่ละก้าวต้องมีการวัดผลที่แน่นอน มีจุดเช็คพอยท์ คอยประเมินเราทุกๆ ระยะว่าที่ผ่านมาว่าเรามาถูกทางแล้วหรือยังเมื่อคุณทำได้ทั้งหมด เป้าหมายก็ใกล้นิดเดียว

S.M.A.R.T. ย่อมาจาก Specific, Measurable, Attainable, Relevant และ Timely

  1. Specific: ตั้งเป้าหมายให้เจาะจงยิ่งเจาะจง ยิ่งเป็นจริงได้มาก
    ผ่านการตั้งคำถามต่างๆ กับตัวเอง ดังนี้อะไรที่อยากทำให้สำเร็จ เมื่อไร อย่างไร ?
    ทำไมถึงอยากทำสิ่งนี้ ?
    เงื่อนไขหรือข้อจำกัดคืออะไร ?
    มีแผนสำรองอะไรบ้างที่พอจะเป็นทางเลือก?
  2. Measurable: มีหลักเกณฑ์วัดความคืบหน้า อะไรจะเกิดขึ้นบ้างเมื่อคุณถึงเป้าหมาย ซอยย่อยแผนการทำงานแล้ววัดไปทีละอัน ความสำเร็จเล็กๆ ที่เกิดเป็นระยะ ผลักดันให้เราไปต่อถึงเป้าหมายได้
  3. Attainable: ประเมินและหาความเป็นไปได้ที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายหาว่าอะไรคือความเป็นไปได้ในการทำให้ถึงเป้าหมาย ที่เรายอมรับและพร้อมจะลงทุนกับมันจริงๆ ไม่เกี่ยงว่าคิดการณ์เล็กหรือการณ์ใหญ่
  4. Relevant: ทบทวนว่าสิ่งนั้น ‘ใช่’ จริงๆ หรือไม่ คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ คือ ทำไมคุณถึงอยากทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ? และ คุณทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร? ถ้าตอบได้ ก็ลุยเลย
  5. Timely: กำหนดตารางเวลาเพื่อลงมือทำ การกำหนดเวลาสำคัญมาก กำหนดเวลาที่เป็นไปได้จริงและยืดหยุ่น ไม่สร้างความเสียหาย ถ้าเข้มงวดมากไปจะสร้างความกดดัน แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะจะสะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบและไม่มีวินัย

อ่านบทความ 5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด เพิ่มเติมได้ ที่นี่

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsGrit

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Grit
    GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้
Social Issues
8 September 2019

เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • รายงาน The Good Childhood Report 2019 จาก The Children’s Society พบว่าพื้นที่ที่ทำให้เด็กๆ ซึมเศร้าและกดดันมากขึ้นคือ โรงเรียน
  • สาเหตุสำคัญมาจากการประเมินโดยให้คุณค่ากับความสำเร็จเชิงวิชาการมากไปกว่าคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต
  • ไม่ใช่แค่เด็กๆ กดดัน เครียด ไม่มีความสุข แต่ครูและคนในแวดวงการศึกษาก็ ‘Burnout’ หรือ หมดแรง หมดไฟกับการทำงานตามความตั้งใจทางอุดมการณ์ของตัวเองด้วย
  • คอสตาริกาและเม็กซิโก สองประเทศนี้ให้ความสำคัญกับ เพื่อน ครอบครัว เพื่อนบ้าน คนมีความยืดหยุ่นสูง เข้าใจความหลากหลาย และสนุกกับชีวิตแม้เผชิญความยากลำบากในชีวิต และออกแบบทั้งหมดนี้ให้มีขึ้นผ่านโรงเรียนด้วย

ขณะที่เรื่องทางบ้าน โซเชียลมีเดีย การเปรียบเทียบเรื่องรูปร่างหน้าตา และอื่นๆ ส่งผลต่อสภาพจิตใจและภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นชาวมิลเลนเนียลมากขึ้นเรื่อยๆ รายงาน The Good Childhood Report 2019 จาก The Children’s Society พบว่าพื้นที่ที่ทำให้เด็กๆ ซึมเศร้าและกดดันมากขึ้นไปอีกคือ… โรงเรียน กระนั้น ก็เป็นโรงเรียนอีกนั่นเองที่จะเปลี่ยนการเรียนการสอน ออกแบบการเรียนรู้ให้นักเรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

รายงานประจำปีของสหราชอาณาจักรเล่มนี้ศึกษาว่าเด็กและวัยรุ่นอายุ 10-17 ปี รู้สึกเกี่ยวกับมุมมองความสุขในชีวิต 10 มุมมอง คือ มุมครอบครัว, มุมการใช้เวลา, มุมสุขภาพ, มุมเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัย, มุมเพื่อน, มุมอนาคต, มุมตัวเลือกในชีวิต, มุมรูปร่างและหน้าตา, มุมสิ่งของ และมุมโรงเรียน งานวิจัยชิ้นนี้เริ่มทำทุกปีตั้งแต่ปี 2005 เพื่อต้องการคำยืนยันว่าเด็กๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีจริงหรือไม่ แนวโน้มความสุขของเด็กๆ เป็นอย่างไรและจะแก้ไขอย่างไร

มุมมองชีวิตในภาพรวมพบว่าเด็กๆ มีความสุขน้อยลง และเฉพาะมุมมองเรื่องโรงเรียน เด็กๆ เองก็รู้สึกเช่นกันว่าพวกเขาทุกข์มากขึ้นเมื่อต้องอยู่ในโรงเรียนและการเรียนการสอนที่เครียดขึ้งอย่างทุกวันนี้

แองเจิล เออร์บินา-การ์เซีย (Angel Urbina-Garcia) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในงานศึกษาด้านปฐมวัย มหาวิทยาลัยฮัลล์ (University of Hull) ประเทศอังกฤษ เขียนบทความชื่อ Why aren’t schools helping children lead happier lives? (ทำไมโรงเรียนทำให้เด็กๆ มีความสุขไม่ได้?) อธิบายสถานการณ์ดังกล่าว และฉายให้เห็นภาพการแก้ปัญหาผ่านงานวิจัยของเธอเองว่า…

  • ทำไมโรงเรียนทำให้เด็กๆ มีความสุขไม่ได้? – ก็เพราะมันเป็นพื้นที่แห่งความกดดันสุดๆ ไปเลยน่ะสิ!
  • ตัวอย่างการแก้ปัญหา: โรงเรียนที่ให้คุณค่าของความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต ‘เท่ากัน’ กับทักษะวิชาการ

ทำไมโรงเรียนทำให้เด็กๆ มีความสุขไม่ได้? – ก็เพราะมันเป็นพื้นที่แห่งความกดดันสุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

เออร์บินา-การ์เซีย อ้างอิงระบบการศึกษาประเทศอังกฤษ – แต่คล้ายกันกับปัญหาการศึกษาโลก นั่นคือกับดักเรื่องการประเมิน ทั้งศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียนและการสอนของครู เช่น การประเมิน PISA* หรือถ้าเป็นในไทยก็เช่น การสอบ O-NET ในชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ที่ไม่ได้กดดันแค่นักเรียนแต่หมายถึงการสอนของครู การบริหารของผู้อำนวยการโรงเรียน นโยบายของภูมิภาค และเจ้าหน้าที่การศึกษาของหน่วยงานรัฐในระดับบนขึ้นไป – ที่ทุกหน่วยงานต้องทำอย่างไรก็ได้ให้นักเรียนในความดูแลของตัวเองมีคะแนนสอบที่ดีที่สุด เพื่อหน่วยงานที่ตนเองอาศัยอยู่จะมีผลประเมินได้อันดับที่ดีตามไปด้วย

ท้ายที่สุด อย่างที่ทุกคนวิจารณ์กันตลอดมา มันคือการประเมินโดยให้คุณค่ากับความสำเร็จเชิงวิชาการมากไปกว่าคุณภาพชีวิต/ความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต อย่างที่เออร์บินา-การ์เซีย กล่าวว่า นี่ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ ‘นักเรียนจะถูกสอนอย่างไร’ (ถูกสอนเพื่อไปสอบ) แต่คือการเข้าถึงการศึกษาที่เธอหมายถึงทักษะชีวิตด้วย

ไม่ใช่แค่เด็กๆ กดดัน เครียด ไม่มีความสุข แต่ครูและคนในแวดวงการศึกษาก็ ‘Burnout’ หรือ หมดแรง หมดไฟกับการทำงานตามความตั้งใจทางอุดมการณ์ของตัวเอง

ข้อเสนอของ เออร์บินา-การ์เซีย คือ โรงเรียนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความป่วยไข้ทางจิตใจของผู้เรียน หนึ่งในนั้นคือการกำหนด ‘คุณค่า’ เรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิตอย่าง ‘เท่ากัน’ กับการเรียนรู้ทักษะวิชาการ

นี่เป็นข้อพิสูจน์จากโรงเรียนที่อยู่ในประเทศหรือสังคมที่ให้คุณค่าการเรียนรู้ในวิธีดังกล่าว มีผลชี้วัดชัดเจนว่าทรัพยากรบุคคลของประเทศนั้นๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นสุข และคนมีความรู้ความสามารถขับเคลื่อนประเทศในยุค disruption เช่นในเวลานี้

ตัวอย่างการแก้ปัญหา: โรงเรียนที่ให้คุณค่าต่อความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต ‘เท่ากัน’ กับทักษะวิชาการ

เออร์บินา-การ์เซียอธิบายผ่านงานศึกษาของเธอเอง ระบุว่าความหมายและวิธีการศึกษาของ กลุ่มนอร์ดิก** กลุ่มประเทศที่ติดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก และเป็นกลุ่มประเทศที่ให้คุณค่าและออกแบบการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีทักษะของการเรียนรู้ทางสังคม เช่น ไม่มีการสอบวัดประเมินการเรียนรู้ มีเพียงการสอบเพื่อให้คำแนะนำว่าเด็กๆ ควรเรียนต่อสายไหน (เด็กจะเลือกสายนั้นหรือไม่ก็ได้) มากกว่านั้น โรงเรียนก็จะไม่ถูกประเมินหรือจัดอันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดอย่างที่เป็นไปในประเทศอื่นๆ

อีกหนึ่งตัวอย่างคือการศึกษาในบางประเทศแถบลาตินอเมริกา เช่น คอสตาริกาและเม็กซิโก ประเทศที่ติดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

สองประเทศนี้มีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับ เพื่อน ครอบครัว และความเป็นเพื่อนบ้าน คนในประเทศมีความยืดหยุ่นสูง เข้าใจความหลากหลาย และสนุกกับชีวิตแม้เผชิญความยากลำบากในชีวิต ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ประเทศในแถบลาตินอเมริกาออกแบบให้มีขึ้นผ่านโรงเรียนด้วย

อย่างที่เออร์บินา-การ์เซียเสนอ โรงเรียนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความป่วยไข้ทางใจของผู้เรียน ทั้งหมดนี้จะแก้ได้ก็ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงนโยบายการประเมินอย่างถึงราก อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในกรอบโรงเรียนยังมีอุปสรรคและอยู่ระหว่างทาง แต่คุณูปการจากคำเตือนของเออร์บินา-การ์เซีย อาจเริ่มที่การทำงานกับเรา กับลูกหลานและคนใกล้ตัว จัดลำดับความสำคัญของความสำเร็จใหม่โดยมุ่งเป้าไปที่ความสัมพันธ์และความเป็นอยู่ในชีวิตปัจจุบัน อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความสุขท่ามกลางความกดดันเข้มข้นที่มองไม่เห็นในโลกที่ใครๆ ก็อวดความสำเร็จในเชิงรูปธรรมกัน

*PISA (Programme for International Student Assessment) โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) คือ การประเมินระดับนานาชาติในเด็กอายุ 15 ปีทั่วโลก ว่ามีความพร้อมใช้ชีวิตในสังคมเพียงใด สามารถนำสิ่งที่เรียนในห้องเรียนไปประยุกต์แก้ปัญหาในชีวิตหรือสถานการณ์จริงได้หรือไม่ ทดสอบ 3 วิชาคือ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะการอ่าน**กลุ่มนอร์ดิก กลุ่มภูมิภาคในยุโรปเหนือ คือ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน และดินแดนปกครองตัวเองในสังกัดประเทศเหล่านั้นสามแห่ง ได้แก่ กรีนแลนด์ (เดนมาร์ก) หมู่เกาะแฟโร (เดนมาร์ก) และหมู่เกาะโอลันด์ (ฟินแลนด์)

Tags:

ซึมเศร้าระบบการศึกษาโรงเรียนการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกจิตวิทยา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learningEducation trend
    จุดร่วม 8 ข้อของประเทศที่มีการศึกษาคุณภาพสูง: สิงคโปร์ แคนาดา ฟินแลนด์ จีน ออสเตรเลีย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ภาพ อัยยา มัณฑะจิตร

  • Adolescent Brain
    เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodEF (executive function)
    เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel