Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Education trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skills
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: April 2019

อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?
Family Psychology
11 April 2019

อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • วินัยสร้างได้ในครอบครัวก็จริง แต่ซูมให้ลึกลงไปกว่านั้น วินัยย่อมสร้างจาก ‘สัมพันธภาพที่ดี’ และ ต้องเป็น ‘วินัยเชิงบวก’ ที่จะกลับไปสร้าง ‘ตัวตน’ ที่เต็มพร้อม ไม่ใช้พฤติกรรมด้านลบมาต่อสู้หักหาญกัน
  • 3 ประเด็นวินัยเชิงบวกกับ 3 วิทยากร บนเวที ‘วินัย สร้างได้ในครอบครัว’ โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) วันที่ 4 เมษายน 2562 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
  • ตั้งแต่วินัยเชิงบวกในปฐมวัย, วัยรุ่น และ การฟื้นคืนตัวตนของวัยรุ่นที่ก้าวพลาดด้วยวินัยเชิงบวก

“พ่อแม่อยากสอนให้ลูกมีวินัยในตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ แต่จะสร้างอย่างไรหากมันไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?”

คือความเห็นของ ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล บนเวทีสนทนา ‘วินัย สร้างได้ในครอบครัว’ จัดโดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ประโยคข้างต้นแทบจะสรุปฮุคเข้ากลางใจใครหลายคน เพราะหลายครั้งที่นึกถึงคำว่า ‘วินัย’ มักให้ภาพการสั่งสอน เข้มงวด เป็นความสัมพันธ์เชิงสั่งการ แต่จุดประสงค์บนเวทีผ่านความเห็นวิทยากร 3 ท่าน พูดตรงกันว่า วินัยสร้างได้ในครอบครัวก็จริง แต่ซูมให้ลึกลงไปกว่านั้น วินัยย่อมสร้างจาก ‘สัมพันธภาพที่ดี’ และ ต้องเป็น ‘วินัยเชิงบวก’ ที่จะกลับไปสร้าง ‘ตัวตน’ ที่เต็มพร้อม ไม่ใช้พฤติกรรมด้านลบมาต่อสู้หักหาญกัน

ปนัดดา ธนเศรษฐกร, ทิชา ณ นคร, จิราภรณ์ อรุณากูร

3 ประเด็นวินัยเชิงบวกกับ 3 วิทยากร ไล่ลำดับเรื่องเล่าจากเด็กเล็กไปถึงวัยรุ่น คือ

  • ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร หรือ ครูหม่อม: วินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัย
  • พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน: วินัยเชิงบวกในวัยรุ่น
  • ทิชา ณ นคร หรือ ป้ามล ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก: การฟื้นคืนตัวตนของวัยรุ่นที่ก้าวพลาดอย่างประณีต

วินัยเชิงบวก คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกเพื่อป้องกันและจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งช่วยพัฒนาสมองด้านอารมณ์และสังคม แต่เพื่อให้เห็นภาพและประชิดตัวพ่อแม่ขึ้นมาอีกนิด วงสนทนาจะอธิบายว่า ‘วินัยเชิงลบ’ หน้าตาเป็นอย่างไร สร้างผลกระทบในเชิงจิตวิทยาและพัฒนาการทางสมองอย่างไร

วินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัย: ตั้งแต่ตื่นนอน คุณ ‘สั่ง’ หรือ ‘สอน’ มากน้อยแค่ไหนกัน?

ดร.ปนัดดา เปิดวงคุยด้วยการชวนผู้ปกครองคิดกันว่า ตั้งแต่ตื่นนอน คุณ สั่ง หรือ สอน, ดุ หรือ ปลอบ, ต่อว่า หรือ ชื่นชม มากน้อยแค่ไหนกัน?

“เวลาที่แม่สั่ง เด็กต้องคิดไหม? เรากำลังกระตุ้นสมองส่วนคิด หรือ ส่วนต่อสู้ของเขา” ดร.ปนัดดายิงคำถามต่อ

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างวินัยที่ดีและสร้างให้เกิดจริงอย่างไรนั้น ดร.ปนัดดากลับไปอธิบายพัฒนาการทางสมองของเด็กในช่วงปฐมวัย (ตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึง 8 ปี) ก่อนว่า สมองคนเราแบ่งออกอย่างง่ายเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า กลาง และท้าย ส่วนที่อยู่ลึกและเก่าแก่ที่สุดตั้งอยู่บริเวณท้ายทอย เรียกว่าส่วนสัญชาตญาณ สมองส่วนนี้จะเต็มพร้อมตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ ต้องพัฒนาอย่างเต็มพร้อมก่อนที่เด็กจะลืมตาดูโลก พร้อมออกไปเผชิญโลกและเอาตัวให้รอดในโลกใบนี้

สมองส่วนกลางคือส่วนอารมณ์ จะเติบโตเต็มที่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์เช่นเดียวกัน ส่วนสุดท้ายคือส่วนความคิด ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาก อย่างที่นักการศึกษาหลายคนชี้ว่า นี่คือที่ตั้งของ EF (Executive function)* สมองส่วนนี้จะเติบโตพัฒนาอย่างเต็มที่หลังคลอดโดยเฉพาะช่วง 10 ปีแรก และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนไปสิ้นสุดที่ช่วงวัยรุ่น

สิ่งที่ ดร.ปนัดดา เน้นย้ำก็คือ สมองครึ่งหนึ่ง – ส่วนสัญชาตญาณและอารมณ์ เจริญเติบโตเต็มที่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สมองส่วนความคิดต่างหาก คือสิ่งที่พ่อแม่และคนรอบข้างต้องช่วยกระตุ้นให้เติบโต

วกกลับไปยังคำถามของ ดร.ปนัดดา ที่ว่า ในแต่ละวัน ผู้ปกครอง ‘สั่งหรือสอน, ดุหรือปลอบ และ ต่อว่าหรือชื่นชม’ มากกว่ากัน การสั่ง ดุ ต่อว่า คือการสั่งการที่กระตุ้นให้สมองส่วนความคิด ได้ทำงานหรือเปล่า?

แล้วการสั่ง ดุ ต่อว่า เกี่ยวข้องกับสมองของเด็กอย่างไร? ดร.ปนัดดาอธิบายว่า

“ยิ่งสั่ง ยิ่งดุ ยิ่งต่อว่า ก็เหมือนเรายิ่งหยอด (ประสบการณ์) ด้านลบเข้าไปในกระปุก หยอดอะไรเยอะก็เป็นการทำให้รู้ว่าตัวตนของตัวเองเป็นยังไง ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก เพราะ ‘ตัวตน’ (self) เป็นหนึ่งในพัฒนาการของเด็กด้วย เราหยอด (ประสบการณ์) อะไรลงไปในสมอง ลูกจะประมวลผลและเกิดการพัฒนา self-concept หรือการมองว่าตัวเองเป็นยังไง เรื่องนี้เป็นธรรมชาติ เป็นพัฒนาการนะคะ

“หากเราหยอดแต่คำว่า ‘ดื้อ’ ‘เกเร’ ‘โตแล้วยังต้องให้ว่า’ ‘ปากจะฉีกถึงหู’ เขาก็จะมองว่าตัวเองเป็นแบบนั้น ข้อมูล (ที่สะสมในกระปุก) ตรงนี้จะเป็นฐานข้อมูลเพื่อไปสร้างอัตลักษณ์ตัวเองต่อในวัยรุ่น และเกี่ยวกับการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรของเขา เช่น หากเรามองว่าตัวเองเป็นร็อคเกอร์ เดินไปเจอผ้าลูกไม้วางขายอยู่ เราจะซื้อไหม? ก็ไม่ซื้อใช่ไหมคะ หรือ เพื่อนของเราจะเป็นขาร็อคเหมือนกันหรือจะเป็นสไตล์แนวบอยแบนด์? ก็ต้องเป็นชาวร็อคเหมือนกัน นี่คือการสร้างตัวตน”

ดร.ปนัดดาขยายความต่อว่า การหยอดประสบการณ์ในกระปุกก็คือ ความทรงจำที่ฝังลงในสมองพร้อมถูกหยิบไปใช้งาน (working memory) เมื่อไรก็ตามที่มีสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ ความพร้อมใช้งานเหล่านี้จะถูกหยิบไปประเมินผลร่วมด้วยเสมอ

“คำถามคือ ใครเป็นคนใส่ประสบการณ์เดิมให้พวกเขา? ประสบการณ์เยอะหรือน้อยไม่สำคัญเท่ากับ ประสบการณ์เดิมที่มีนั้น มีคุณภาพเพียงพอให้เด็กคนหนึ่งดึงออกมาแล้วคิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ไหม

“เช่น มีรุ่นพี่มาจีบลูกของเรา หยอดคำหวานว่า ‘เขาจะมีแต่น้องคนเดียว’ แล้วก็ชวนไปมีอะไรกัน จุดที่ตัดสินใจ เขาต้องดึงประสบการณ์เดิมออกมาพิจารณา ถ้าหยิบประสบการณ์เดิมออกมาแล้วมีแต่คำต่อว่า พ่อบอกว่าแรด หยิบของแม่ออกมามีแต่คำว่า ‘ตั้งแต่มีแกก็ทำให้ไม่มีเวลาเลย ไม่น่ามีแกเลย’ คิดว่าแบบนี้เด็กจะไปไปไหมคะ?”

ดร.ปนัดดาย้ำว่า การสั่ง ดุ และต่อว่า นอกจากจะไม่กระตุ้นให้สมองส่วนหน้าทำงานแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณ และเมื่อสมองส่วนนี้ทำงานร่วมกัน (อารมณ์และสัญชาตญาณ) จะไม่เปิดโอกาสให้สมองส่วนหน้าลงมาร่วมทำงานด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า การต่อว่า ซ้ำเติม เข้มงวดเพื่อให้เกิดวินัยไม่อาจปลูกฝังวินัยให้เกิดได้จริง เพราะสมองส่วนความคิดไม่ได้ทำงาน มากกว่านั้น ในช่วงวัยเด็กเล็ก การดุว่าของพ่อแม่ที่หยอดกระปุกความทรงจำด้วยประสบการณ์ร้ายๆ ยิ่งทำให้เด็กไม่อาจพัฒนา ‘ตัวตน’ อย่างที่ ดร.ปนัดดาตั้งคำถามว่า

“พ่อแม่อยากสอนให้ลูกมีวินัยในตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ แต่จะสร้างอย่างไรหากมันไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?”

วินัยเชิงบวกในวัยรุ่น: พฤติกรรมลบๆ ในวัยรุ่น อาจเป็นแค่การเอาคืน?

พญ.จิราภรณ์ รายงานสถานการณ์คนไข้ที่เธอดูแลอยู่ว่า จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในวัยรุ่นมีมากขึ้นจริงๆ ที่เป็นเช่นนี้คุณหมอให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพสังคมที่ทำให้พ่อแม่ในปัจจุบันต้องส่งลูกไปให้คนอื่นเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างจังหวัด หรือแม้จะเลี้ยงดูด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นการดูแลที่ไม่สร้างความสัมพันธ์ หรืออย่างคำของ ดร.ปนัดดาที่ว่า ไม่หยอดกระปุกประสบการณ์ที่มีคุณภาพ

คล้ายกับความเห็นของวิทยากรท่านอื่น พญ.จิราภรณ์ชี้ว่าการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี การใช้เวลาร่วมกันที่มีแต่การดุด่า ต่อว่า บังคับ กระทั่งตามใจจนไม่มีขอบเขต เหล่านี้ล้วนสร้าง ‘วินัยเชิงลบ’ ที่ส่งผลร้ายต่อการสร้าง ‘self-esteem’ หรือคุณค่าในตัวเอง เมื่อหาไม่ได้ในบ้าน สังคมนอกบ้านคือคำตอบ

พญ.จิราภรณ์ อธิบายว่า เหตุที่พ่อแม่มักบ่นว่า ‘พูดอะไรไปลูกไม่ฟัง’ อาจเป็นผลลัพธ์ของครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยวินัยเชิงลบ นั่นคือ พ่อแม่ที่ใช้อำนาจเข้าควบคุมลูก มักใช้การดุด่า ควบคุม เข้มงวด อยากให้ลูกมีวินัย ทำทั้งหมดยกเว้น ‘การแสดงความรัก’ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการสร้างบุคลิกภาพและปมปัญหาทางจิตใจให้กับลูก เช่น อาจทำให้มีการแสดงออกด้วยวิธีการ เอาคืน, หนี และ ยอมตาม

“เมื่อสมองต้องอยู่กับภาวะเครียด เด็กจะใช้สมองส่วนสัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอด แต่ก่อนเราใช้สัญชาตญาณเพื่อหนีสิงสาราสัตว์ใช่ไหมคะ ตอนนี้เราหนีพ่อแม่ค่ะ (หัวเราะ) เด็กจะสู้ ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง หลายครั้งวัยรุ่นแสดงความรุนแรงด้วยการเอาคืนในรูปแบบอื่น เช่น ทำตัวแย่ เพราะลึกๆ มันสะใจที่ได้เห็นพ่อแม่รู้สึกเสียใจในสิ่งนั้น เป็นการต่อสู้ในรูปจิตวิทยา ไม่อยากให้กลับบ้านดึก/จะกลับ อยากให้ตั้งใจเรียน/ไม่เรียน มีไรปะ? ซึ่งเขาไม่ได้ทำด้วยความรู้ตัวนะคะ ทำโดยไม่รู้ตัว เป็นการเอาตัวเองให้รอดและตอบโต้ความโกรธในจิตใจด้วยการเอาคืนในรูปแบบที่ฉันทำได้

“การหนี เช่น เด็กหลายคนเรียกมาทำการบ้านไม่ทำ เขาไม่ได้หนีการบ้านนะ แต่หนีความเครียดที่แม่มาจี้ มาว่า มาตำหนิ เด็กเหล่านี้จะไม่เอา ไม่ลอง ไม่ทำ ไปจนถึงการปกปิด โมโห บิดเบือน ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กเหล่านี้โตไปมีภาวะวิตกกังวล เพราะเวลาที่เราหนี ลึกๆ แล้วไม่ได้สบายใจหรือปลอดภัยนะ เรากังวล

“อีกรูปแบบหนึ่งที่วินัยเชิงลบทำงานได้ผล คือการยอม พ่อแม่เงื้อมมือจะฟาด เด็กก็ยอมทำตาม แต่ทุกครั้งที่เด็กยอม ตัวตนภายในที่เขาสร้างคือ ‘ชั้นเอาชนะใครไม่ได้’ ‘ชั้นสู้เขาไม่ได้’ ‘ชั้นแพ้อีกแล้ว’ โตมาเขาจะยอมจำนน ใครให้ทำอะไรก็ทำ”

อีกหนึ่งวินัยเชิงลบในลูกอมสีหวาน คือวินัยเชิงลบในนามความรัก เพราะรัก จึงตามใจทุกอย่าง

“รักมาก แต่วินัยไม่มี เพราะไม่อยากให้ลูกเสียใจ และเข้าใจว่าถ้าลูกเติบโตด้วยการถูกรัก จะสร้างความรู้สึกดีให้เด็ก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะเด็กจะเติบโตมาแบบไม่มีขอบเขต ลองนึกภาพเราถูกจับไปทิ้งกลางทะเล ว่ายไปทีไรไม่เคยเจอขอบสักที จริงๆ เราไม่ปลอดภัยเลยนะ insecure ในตัวเองตลอด เพราะไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของมันอยู่ตรงไหน

“เด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่กับความผิดหวังได้ ลึกๆ จะไม่เคยรักตัวเอง เด็กที่ผิดหวังแล้วกลับมาเข้มแข็งได้ จัดการกับ ‘ความไม่ได้’ ของตัวเองได้ หลายครั้งกลายเป็นเด็กที่เคารพตัวเอง รู้สึกดีกับตัวเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง แต่พ่อแม่ที่ตามใจจะไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ หลายครั้งความรักทำลายเด็ก แม้เขาจะรู้สึกว่าเป็นที่รักและได้ทุกสิ่ง แต่ไม่ได้ภูมิใจกับตัวเอง”

คุณหมอกล่าวสรุปอย่างติดตลกว่า คลินิกที่ดูแลอยู่ทำงานกับวัยรุ่นซึ่งเป็นผลจากการเลี้ยงด้วยวินัยเชิงลบที่ไม่สร้างตัวตนและสัมพันธภาพ จุดนี้เป็นจุดทำงานกับวัยรุ่นช่วงสุดท้าย หากไม่ได้ผล สิ่งที่ตามมาคือการตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่การดูแลของนักสังคมสงเคราะห์อย่างป้ามลต่อไป

การฟื้นคืนตัวตนของวัยรุ่น: เหนือความผิดพลาดของเด็ก คือสังคมที่ไม่ลงทุนกับครอบครัว

อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาสัมพันธภาพที่สะสมตั้งแต่วัยเด็ก อธิบายโดย ดร.ปนัดดา และปัญหาพฤติกรรมในวัยรุ่น โดย พญ.จิราภรณ์ เมื่อแก้ไม่ทัน สะสมนานวันเข้าจนแผลปริแตก บ้านหลังต่อมาคือสถานดูแลเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ

“จากการทำงานและได้พูดกับพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้ พวกเขาไม่ต่างกับพ่อแม่ทั่วไปที่อยากดูแลให้ลูกให้ดี แต่เพราะความยากลำบาก ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหารุมเร้าต่างๆ ก็เป็นปัจจัยร่วมสำคัญที่ทำให้พ่อแม่เหล่านี้ไปไม่ถึงเป้าหมาย

“ในมุมของป้า เด็กเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากรแต่คือผู้แพ้ของสังคม บ้านกาญจนาฯ เป็นปลายน้ำของความล้มเหลวเชิงสังคม ไม่ใช่ปัจเจก”

ในฐานะผู้ที่ทำงานกับเด็กก้าวพลาดมาค่อนชีวิตและเคยทำงานดูแลเด็กบ้านเด็กกำพร้า ทิชาเห็นว่าปัญหาสำคัญคือการที่ระบบไม่ลงทุนกับสถาบันครอบครัว และการศึกษาที่ล้มเหลว หลักฐานที่ชัดเจนคือปริมาณเด็กที่ออกจากระบบการศึกษากลางคัน ปัญหาเชิงสังคมที่ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งต้องออกไปหาตัวตนที่อื่น

การทำงานในบ้านกาญจนาฯ การทำงานกับเด็กที่หลายคนบอกว่า ‘ไม่มีวินัย’ ไม่ใช่การสร้างระเบียบมาแล้วบังคับให้เด็กท่องจำและปฏิบัติตาม ไม่ใช่การฝึกวินัยเข้มงวดแบบภาพเบื้องหลังกรงเหล็กทั่วไป แต่คือการทำงานที่ทิชาใช้คำว่า ‘ประณีต’ ฟื้นคืนตัวตน ให้เห็นความสำคัญของตัวเอง ใส่ความเชื่อถือเชื่อมั่นว่าพวกเขาพัฒนาและดีกว่านี้ได้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งหมดนี้กลับไปร้อยโยงกับประเด็นตั้งต้นที่ว่า วินัยที่ดี สร้างจากความสัมพันธ์ที่เป็นอิสระ ไม่ใช่การบีบบังคับให้ทำตาม

อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

EF (Executive Functions) คืออะไร
ความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ควบคุมตนเอง (self control), ความจำใช้งาน (working memory – อย่างที่บทความนี้ใช้คำว่า ‘ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ’) และการคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น (cognitive flexibility)

Tags:

ปฐมวัยงานเสวนาวินัยเชิงบวกพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกรทิชา ณ นคร

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เพราะเป็นโรคขาดธรรมชาติ โรงเรียนจึงต้องสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ
Education trend
10 April 2019

เพราะเป็นโรคขาดธรรมชาติ โรงเรียนจึงต้องสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ไม่เพียงสภาวะปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันกระทุ้งให้เราต้องทบทวนการตระเตรียมเยาวชนให้เติบโตอย่างมีสำนึกต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่สภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็กำลังหันไปสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อโลก
  • นับแต่ปี 2012 จำนวน Nature Preschool ก็พุ่งทะยานขึ้นกว่า 66 เปอร์เซ็นต์ ทุกปี ตัวเลขล่าสุดในปี 2018 มีโรงเรียนเตรียมพัฒนาการและอนุบาลแนวนี้มากกว่า 250 แห่งแล้ว
  • ‘โรคขาดธรรมชาติ’ (nature deficit disorder) คือ เด็กที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ไม่มีกิจกรรมนอกบ้านหรือห้องเรียนให้ได้สัมผัสจับต้องกับธรรชาติอย่าง ต้นไม้ ดินหญ้า ลำธารหรือสวนสาธารณะใดๆ เลย มักใช้เวลาอยู่แต่กับการเล่นมือถือ เกม คอมพิวเตอร์ หรือเรียนพิเศษจนหมดวัน เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับตนเอง ไม่คิดสร้างสรรค์ สมาธิสั้น มีปัญหาในการจัดการอารมณ์และพฤติกรรมบางอย่าง เป็นโรคอ้วน ที่สำคัญคือบกพร่องเรื่องความเห็นอกเห็นใจและความละเอียดอ่อน

รายงานความเสี่ยงโลกปี 2019 (Global Risks Perception Survey 2019 14th Edition, World Economic Forum) โดย World Economic Forum สำรวจความเห็นจากคนในแวดวงธุรกิจ นักวิชาการ นักกำหนดนโยบาย องค์กรไม่แสวงหากำไร สถาบันระดับนานาชาติ และหน่วยงานอื่นๆ จัดอันดับประเด็นหรือสภาวะการณ์เลวร้ายที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยให้เลือกและให้คะแนนประเด็นที่พวกเขาเห็นว่า ‘มีแนวโน้มจะเกิด’ และถ้าเกิดแล้วจะ ‘มีผลกระทบมากที่สุด’

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากหลากอาชีพทั่วโลก และแม้ไม่ได้ทำงานในสายงานด้านสิ่งแวดล้อมต่างชี้ว่า ปัญหาด้านแวดล้อมกำลังเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ แม้แต่คนในแวดวงธุรกิจ ก็ยกให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นแท่นเป็นประเด็นความเสี่ยง เพราะท้ายที่สุดแล้วความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างผันผวนรุนแรง ย่อมส่งผลต่อภาคธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ประเด็นที่มีแนวโน้มจะเกิด (likelihood)

  • อันดับ 1 – ความผันผวนรุนแรงของสภาพอากาศ (extreme weather events)
  • อันดับ 2 – ความล้มเหลวในการบรรเทาปัญหาและการปรับตัวกับสภาพอากาศ (failure of climate-change mitigation and adaptation)
  • อันดับ 3 – ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (natural disasters)
  • อันดับ 4 – จารกรรมและการปลอมแปลงข้อมูล (data fraud of theft)
  • อันดับ 5 – โจรกรรมไซเบอร์ (cyber-attacks)

ประเด็นที่หากเกิดแล้วจะส่งผลกระทบมากที่สุด (impact)

  • อันดับ 1 – อาวุธทำลายล้างสูง (weapons of mass destruction)
  • อันดับ 2 – ความล้มเหลวในการบรรเทาปัญหาและการปรับตัวกับสภาพอากาศ (failure of climate-change mitigation and adaptation)
  • อันดับ 3 – ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (natural disasters)
  • อันดับ 4 – วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำ (water crises)
  • อันดับ 5 – ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (biodiversity loss and ecosystem collapse)

นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องกระตือรือร้นที่จะพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติให้กลับมาสู่มนุษยชาติ ควบคู่ไปกับการลงมือปลูกฝังลูกหลานให้มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นกับความจำเป็นในการปฏิรูปวิถีชีวิตของมนุษย์ให้อ่อนโยนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด นอกเหนือจากความรู้ทั่วไปด้านวิชาการหรือทักษะความสามารถต่างๆ ในโรงเรียน สิ่งที่การศึกษาต้องสนใจและติดตั้งให้เด็กในเจเนอเรชั่นนี้อย่างเร่งด่วนคือ จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และมันสมองที่จะเป็นกำลังไปสู่ทางสร้างสรรค์เพื่อพิทักษ์รักษาทรัพยากรบนโลกไปพร้อมๆ กับเยียวยาปัญหาที่มีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น

“We have to wake up to the fierce urgency of the now”

“เราต้องเปิดหูเปิดตาต่อปัญหาอันเร่งด่วนรุนแรงเดี๋ยวนี้”

คือความเห็นโดย จิม ยอง คิม ประธานธนาคารโลก จาก 15 quotes on climate change by world leaders (WEFORUM.ORG)

ว่าด้วยจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ใน Skilled by Nature: Why we need to nurture ecological intelligence for 21st Century Learning โดย พอล แชพแมน (Paul Chapman) ผู้อำนวยการก่อตั้ง Inverness Associates องค์กรที่ปรึกษาด้านการศึกษาเพื่อสิ่งแวดล้อมในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และครูผู้เชี่ยวชาญการออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ย้ำความสำคัญที่ว่า…

โรงเรียนต้องสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ (Ecological Intelligence) แก่เด็กๆ ในห้วงวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมนี้ นี่จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy) ให้เกิดขึ้นตามมาได้

ก่อนจะเข้าเรื่องว่าโรงเรียนจะสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติที่แชพแมนพูดถึงได้อย่างไร ขอท้าวความกลับไปถึงทฤษฎีพหุปัญญา หรือ Theory of Multiple Intelligences ของนักจิตวิทยาชื่อดังแห่งฮาร์วาร์ด โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1983 กันก่อน

ทฤษฎีนี้เรียกทักษะความสามารถแต่ละด้านว่า ‘ความฉลาด’ โดยที่เด็กแต่ละคนนั้นมีความฉลาดได้หลายด้านในระดับสูงต่ำแตกต่างกันไป สถาบันการศึกษาต่างๆ ยึดทฤษฎีนี้เป็นแนวทางพัฒนาทักษะนักเรียนกันอย่างกว้างขวาง โดยแบ่งความฉลาดออกเป็น 8 ด้านคือ

  1. ด้านภาษา (verbal-linguistic intelligence)
  2. ด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ (mathematical-quantitative intelligence)
  3. ด้านมิติสัมพันธ์ (visual-spatial intelligence)
  4. ด้านดนตรี (musical intelligence)
  5. ด้านมนุษยสัมพันธ์ (interpersonal intelligence)
  6. ความเข้าใจตนเอง (intrapersonal intelligence)
  7. ด้านร่างกาย (bodily-kinesthetic)
  8. ด้านธรรมชาติ (naturalist intelligence)

ในขณะนั้น การ์ดเนอร์นิยามความฉลาดด้านธรรมชาติว่า การมีความรอบรู้ด้านพืชพรรณหรือสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างๆ และถิ่นที่พบ รวมถึงสามารถในการดำรงชีวิตแบบวิถีธรรมชาติได้เป็นอย่างดี แต่จะเห็นได้ว่านิยามความฉลาดด้านธรรมชาติของการ์ดเนอร์ไม่ได้กล่าวถึงความสามารถด้านอนุรักษ์หรือจิตสำนึก

ต่อมาปี 2009 แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) นักจิตวิทยาผู้ให้กำเนิดคำว่า emotional intelligence (ความฉลาดทางอารมณ์) ได้หยิบยก naturalist intelligence จากทฤษฎีของการ์ดเนอร์ มาเกลาใหม่ต่อยอดให้ชัดเจนร่วมสมัยกว่าเดิมอีกครั้ง โดยเรียกเป็น ecological intelligence (ความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ) ดังที่แชพแมนกล่าวไว้ หมายความว่า การมีความรู้ความสามารถในอันจะปฏิบัติตนหรือกระทำสิ่งใดอันเป็นการลดผลกระทบจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ต่อระบบนิเวศเพื่อบรรเทาปัญหาและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน

การศึกษาบนทางคู่ขนานกับเทรนด์โลกสีเขียว

ในปัจจุบัน อเมริกาพยายามนำกระบวนการสร้างจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการเรียนการสอนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วถึง 30 รัฐ และที่กำลังออกแบบปรับปรุงหลักสูตรอยู่อีก 18 รัฐ อีกทั้งหน่วยงานสิ่งแวดล้อมจากหลายภาคส่วนเช่น The Green Schools National Network หรือ The U.S. Green Building Council ต่างจับมือกับสถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนออกแบบและผลักดันหลักสูตรความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและขั้นตอนรักษ์โลกอย่างยั่งยืนให้ออกมาเป็นรูปธรรมกันอย่างเต็มที่

นับเป็นการแผ้วถางความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคลให้มีความทักษะความรู้ไปรองรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่จะเปลี่ยนไปใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดมากขึ้น คาดว่าภายในปี 2030 ภาคอุตสาหกรรมทั้งหลายจะกลายเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวที่ล้วนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพึ่งพานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด ซึ่งแน่นอนว่าบุคลากรที่มีทักษะด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติหรือผ่านการอบรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังจะกลายเป็นที่ต้องการด้วยเช่นกัน

เรื่องนี้ยืนยันโดย ไอรินา จอร์จีวา โบโควา (Irina Georgieva Bokova) สุภาพสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และการศึกษาแห่งองค์กรสหประชาชาติปี 2009 ซึ่งเผยว่า ปัจจุบันตลาดแรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ในบังคลาเทศอุตสาหกรรมสีเขียวว่าจ้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติจำนวน 3.5 ล้านคน บราซิล 1.4 ล้านคน และเยอรมัน 2 ล้านคน แนวโน้มความต้องการกำลังคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

เฉพาะแค่ปี 2020 นี้ โลกอาจขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านนี้ถึง 40 ล้านคน หมายความว่าในอนาคตอันใกล้ คนที่ขาดทักษะความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีสิทธิตกงานในสภาวะการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวด้วยเช่นกัน

สรุปคือ ไม่เพียงเพราะสภาวะปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันกำลังกระทุ้งให้เราต้องทบทวนการตระเตรียมประชากรเยาวชนให้เติบโตอย่างมีสามัญสำนึกต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่สภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็กำลังหันไปสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อโลก

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ดังนั้น โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกระดับต้องตื่นตัวในการติดตั้งองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้นักเรียนมีศักยภาพไปเยียวยาแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่อาจรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

ปลูกฝังหัวใจสีเขียวให้เด็กๆ

ทีนี้กลับมาที่คุณครู ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาทักษะที่ว่าให้กับนักเรียนได้?

แชพแมนยืนยันว่า การสร้างความฉลาดด้านธรรมชาติหรือ Ecological Intelligence นั้น นอกจากเด็กๆ ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองโดยตรง โรงเรียนต้องจัดการการเรียนรู้ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านให้เขาทั้งในห้องเรียน การทดลองและพาออกไปเรียนรู้สัมผัสของจริงข้างนอกด้วย การจะปลูกฝังหัวใจสีเขียวให้กับเด็กๆ นั้น ประเด็นหลักที่โรงเรียนต้องสอนคือ

1. ระบบนิเวศและวัฏจักรการพึ่งพากันตามธรรมชาติเป็นอย่างไร เด็กๆ ต้องเข้าใจว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการพึ่งพาธรรมชาติในโลกนี้เช่นกัน การกระทำใดๆ ในชีวิตประจำวันเช่น การใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน การอุปโภคบริโภคน้ำหรือไฟฟ้า ส่งผลต่อระบบนิเวศเป็นห่วงโซ่

2. นักเรียนต้องมองเห็นและเข้าใจสภาวะสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นปัญหาได้ พวกเขาต้องได้รับโอกาสให้ใคร่ครวญ ตั้งคำถาม หรือสมมุติฐานเกี่ยวกับสภาวะรอบตัว ขวนขวายหาข้อมูลเพื่อหาคำตอบโดยการคิดอย่างเป็นระบบ

3. การมีใจอนุรักษ์ สำนึกรักในท้องถิ่น ประเทศชาติ รวมไปถึงโลกใบนี้ ตระหนักว่าการใช้ทุกๆ ทรัพยากรหรือการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบนิเวศใดๆ ต้องผ่านความคิดพิจารณาและกระบวนการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน

4. ความรับผิดชอบของตนเองและหน้าที่พลเมือง เลือกหนทางดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและฟื้นคืนธรรมชาติให้กลับมาแข็งแรงโดยดูจากความเป็นจริง สอนให้พวกเขาคิดอย่างมีวิจารณญาณ และใส่ใจขนบประเพณีชุมชนที่อาจส่งผลถึงธรรมชาติ เช่น ประเพณีลอยกระทงที่ส่งผลโดยตรงต่อแม่น้ำลำคลอง พวกเขาสามารถสืบสานประเพณีนี้โดยไม่รบกวนแหล่งน้ำให้เน่าเสียได้อย่างไร สามารถปรับเปลี่ยนธรรมเนียมการเผากระดาษเงินกระดาษทองหรือกงเต็กเพื่ออุทิศบุญกุศลแก่ผู้ล่วงลับเพื่อลดการสร้างมลพิษได้มากน้อยอย่างไร

อย่างไรก็ตาม จำนวนโรงเรียนที่ชูการพัฒนาจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมเพิ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นในระยะหลังมานี้ ผลสำรวจจาก Inverness Associates ปี 2012 ชี้ว่าโรงเรียนเอกชนในอเมริกาจากจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 2,000 แห่งมีไม่ถึง 200 แห่งที่บรรจุเป้าหมายพัฒนาความฉลาดด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมลงไปในหลักสูตร และแม้ฝ่ายบริหารการศึกษาโรงเรียนเหล่านั้นจะตระหนักดีว่านักเรียนจำเป็นต้องมีกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียนโดยตรงบ้าง แต่กลับไม่สามารถเพิ่มเนื้อหาและเวลามาโฟกัสเรื่องนี้ได้มากเท่าไร

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จึงเกิดโรงเรียนเตรียมพัฒนาเด็กที่เรียกว่า Nature Preschool ขึ้นในอเมริกามากมาย โรงเรียนประเภทนี้เน้นให้เด็กเรียนรู้นอกห้องเรียนถึง 3 ใน 4 ส่วนของการเรียนการสอน เช่น การออกไปเรียนรู้ในทุ่งนาของชุมชน หรือสวนพฤกษชาติ นับตั้งแต่ปี 2012 จำนวน Nature Preschool ก็พุ่งทะยานขึ้นกว่า 66 เปอร์เซ็นต์ทุกปี โดยตัวเลขล่าสุดในปี 2018 มีโรงเรียนเตรียมพัฒนาการและอนุบาลแนวนี้มากกว่า 250 แห่งแล้ว

สาเหตุใหญ่อีกประการที่ทำให้โรงเรียนแนวนี้ป็อปปูลาร์ขึ้นแบบพลุแตก ก็เพราะนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาพูดถึงภาวะ ‘โรคขาดธรรมชาติ’ (nature deficit disorder) ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ ‘Last Child in the Woods’ ของ ริชาร์ด โลฟ (Richard Louv) ว่า

เด็กที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ไม่มีกิจกรรมนอกบ้านหรือห้องเรียนให้ได้สัมผัสจับต้องกับธรรมชาติอย่าง ต้นไม้ ดินหญ้า ลำธารหรือสวนสาธารณะใดๆ เลย โดยใช้เวลาอยู่แต่กับการเล่นมือถือ เกม คอมพิวเตอร์ หรือเรียนพิเศษจนหมดวัน จะกลายเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับตนเอง คิดสร้างสรรค์ไม่เป็น สมาธิสั้น มีปัญหาในการจัดการอารมณ์และพฤติกรรมบางอย่าง เป็นโรคอ้วน ที่สำคัญคือบกพร่องเรื่องความเห็นอกเห็นใจและความละเอียดอ่อน

แม้จุดประสงค์หลักของโรงเรียนที่ชูการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นไปในทางส่งเสริมพัฒนาการสมอง การเข้าสังคม อารมณ์และจิตใจของเด็กนักเรียนเป็นหลัก เป็นระบบซึ่งออกแบบมาเพื่อชดเชยให้ผู้ปกครองที่เบื่อหน่ายกับระบบการศึกษาแบบบังคับลูกหลานให้เรียนหนักมากกว่าจะเน้นประเด็นความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่ในแง่หนึ่ง การเรียนรู้แบบใกล้ชิดธรรมชาตินี้ก็เป็นแนวทางน่าสนใจแนวทางหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้พวกเขามองเห็นภาพรวมของความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันในระบบนิเวศและตั้งคำถามถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างแน่นอน

เปลี่ยนวิธีที่เรามอง ‘สิ่งแวดล้อม’

เฟิร์น วิคสัน (Fern Wickson) หัวหน้านักวิจัยระดับอาวุโสแห่ง Responsible and Sustainable Biotechnoscience ในนอร์เวย์ ซึ่งดูแลธรรมาภิบาลการใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพและนาโนกับสิ่งแวดล้อมและศึกษาวิจัยประเด็นทั้งทางนิเวศวิทยาและจริยธรรม แสดงมุมมองเรื่องการสร้างจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างน่าสนใจว่า ส่วนมากเรามักกล่าวถึง มนุษย์และสิ่งแวดล้อมในทำนองปัจเจก กล่าวคือ สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่แยกขาดจากตัวเรา แม้เราจะอาศัยอยู่ในนั้น แต่วิธีที่เราคิดและดำรงชีวิตเราเหมือนเราแยกขาดเป็นเอกเทศจากธรรมชาติ จะยุ่งเกี่ยวหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันก็ได้

ให้ลองจินตนาการว่า มนุษย์ต้องหายใจเพื่อนำออกซิเจนเข้าไปในร่างกาย เราขาดออกซิเจนไม่ได้ ต้นไม้พืชพรรณทั้งหลายเป็นผู้ผลิตออกซิเจนเหล่านั้น นี่เท่ากับว่าทุกลมหายใจของเราขึ้นอยู่กับต้นไม้ทั้งหลายบนโลกนี้ ในขณะเดียวกันต้นไม้ก็ต้องอาศัยแสงแดด น้ำ แร่ธาตุในดิน นกและแมลงในการดำรงชีวิตอยู่เช่นกัน ลองนึกแตกยอดไปอีกที่น้ำ ดิน นก แมลง และสรรพสิ่ง ทุกอย่างล้วนพึ่งพาอาศัยโยงใยเป็นทอดๆ ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด

หากเราตั้งใจจะสร้างจิตสำนึกทางจริยธรรมแบบอัตโนมัติให้เด็กๆ รักและปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างทะนุถนอม โดยไม่ใช่เพราะรู้สึกเป็นหน้าที่ รู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือถูกบังคับ จุดที่ครูควรทบทวนมี 2 ประเด็นคือ ทัศนคติที่พวกเขามองว่ามนุษย์กับสิ่งแวดล้อมเป็นปัจเจก กับ การที่พวกเขาคิดว่าสิ่งแวดล้อมคือภาระหน้าที่ที่ต้องปกป้อง

จุดเปลี่ยนสำคัญคือครูต้องให้ลูกศิษย์เรียนรู้ที่จะสร้างตัวตนแห่งธรรมชาติ (ecological self) ควบคู่ไปกับการสร้างตัวตน (self) ของพวกเขา ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ค้นหาตัวตน การเข้าสังคม และอภิปรัชญาทั้งหลายทั้งปวงในโรงเรียน ตัวตนแห่งธรรมชาติที่ว่า คือความตระหนักรู้ภายในว่าธรรมชาติและตัวเราผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีพรมแดนกั้นความเป็นมนุษย์กับธรรมชาติจากกันได้ การอนุรักษ์ไม่ใช่หน้าที่หรือเป็นแค่เทรนด์ฮิตของโลก แต่เรากำลังรักและปกป้องธรรมชาติเหมือนอย่างที่เรารักและกระทำเช่นเดียวกันเพื่อตัวเอง

สู่โรงเรียนสีเขียว

การที่ครูตั้งเป้าหมายหลักสูตรการสอนในประเด็นสิ่งแวดล้อม 4 ข้อดังที่แชพแมนกล่าวไว้ข้างต้นเป็นเข็มทิศที่จะนำพาการเรียนการสอนให้อยู่บนบรรยากาศแห่งการกระตุ้นส่งเสริมจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนได้ ในขณะเดียวกัน ครูแต่ละฝ่ายควรร่วมกันวางแผนสอดแทรกคอนเซ็ปต์การรักษาสิ่งแวดล้อมลงไปในรายวิชาที่สอนด้วยเช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ภาษา หรือศิลปะ

ที่โรงเรียน Head-Royce แคลิฟอร์เนีย อเมริกาซึ่งเป็นต้นแบบโรงเรียนสีเขียวแห่งแรกๆ ที่ริเริ่มการปรับปรุงหลักสูตรการสอนโดยยึดหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาจิตสำนึกในเรื่องนี้ให้กับนักเรียนเป็นหัวใจสำคัญ ชั้นเรียนจริยธรรมของครูคาเรน แบรดลีย์ (Karen Bradley) พานักเรียนไปชมโรงจัดการขยะขนาดใหญ่ในพื้นที่เพื่อให้นักเรียนได้เห็นภูเขากองขยะมหึมาจากการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนของพวกเขาด้วยตาตนเอง มีการแชร์ไอเดียกันว่า นักเรียนจะงด ละ/เลิกพฤติกรรมใดได้บ้างเพื่อลดปริมาณขยะในชีวิตประจำวันลง ครูคาเรนเล่าวิธีของเธอให้เด็กๆ ฟังเป็นตัวอย่างว่า เธอชาเลนจ์กับตัวเองไว้ว่าจะไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยเป็นเวลาหนึ่งปี

สำหรับครูเดบรา ฮาร์เปอร์ (Debra Harper) ในชั่วโมงวิทยาศาตร์ที่เธอกำลังสอนภูมิประเทศของชายหาดเป็นทรายและหิน เธอให้นักเรียนสำรวจโมเดลชายหาดทั้งสองก่อนจะราดน้ำมันลงไปเพื่อจำลองสถานการณ์คราบน้ำมันที่ไหลปนเปื้อนสู่ทะเลจากการขุดเจาะหรือลำเลียงน้ำมัน นอกจากพวกเขาจะได้เรียนรู้ปฏิกิริยาของน้ำมันกับน้ำทะเลแล้วยังเห็นด้วยว่าการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้นเป็นไปได้ยากแค่ไหน มีวิธีทางวิทยาศาสตร์ใดที่จะช่วยขจัดหรือบรรเทาคราบน้ำมันเหล่านั้น จากนั้นเธอให้นักเรียนระดมสมองช่วยกันคิดวิธีการลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในชีวิตประจำวันที่พวกเขาสามารถทำได้

ส่วนชั่วโมงศิลปะของครูนีนา นาธาน (Nina Nathan) เด็กในชั้นได้รับมอบหมายให้ทำประติมากรรมจากวัสดุเหลือทิ้งจากงานก่อสร้าง และมีการร่วมมือกันนอกชั้นเรียนสร้างงานจิตรกรรมฝาผนังเพื่อสร้างรายได้เข้าช่วยเหลือพื้นที่ด้านตะวันออกของโอ๊คแลนด์ที่ประชากรในชุมชนรายได้ต่ำ โดยการนำขยะจากถังในบริเวณโรงเรียนมาแปรรูปเป็นไม้ นอกจากนั้นยังมีงานฝีมือที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลต่างๆ อีกด้วย

สรุปแล้ว การให้นักเรียนได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ นอกห้องเรียนและเห็นสภาพปัญหาในชุมชน รวมทั้งได้แชร์ผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและแนวทางการแก้ปัญหาระหว่างกันน่าจะเป็นการกระตุ้นความฉลาดด้านอนุรักษ์ธรรมชาติแบบเร่งรัดได้ อย่างน้อยให้พวกเขามองเห็นว่าตนเองก็เป็น ‘ส่วนประกอบหนึ่ง’ ในระบบนิเวศอันใหญ่โตและป่วยไข้นี้เช่นเดียวกับนกบนท้องฟ้าที่เคลือบเขม่า ปลาในท้องทะเลที่ปนเปื้อนขยะพิษ หรือช้างในป่าใหญ่ที่แห้งแล้ง

แท้จริงแล้ว การปลูกฝังจิตสำนึกต่อธรรมชาติอาจไม่ได้อยู่ที่คำถามว่าพวกเขาจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อธรรมชาติหรือจะแก้ปัญหาอย่างไรต่อไปดี แต่เป็นเราจะสนับสนุนให้พวกเขาค้นเจอรากเหง้าของมนุษย์ซึ่งก็คือตัวตนด้านธรรมชาติที่ไม่แบ่งแยกตัวเองออกจากทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ได้อย่างไรต่างหาก

ที่มา:

Paul Chapman’s Skilled by Nature: Why we need to nurture ecological intelligence for 21st Century Learning,

The Global Risks Report 2019 14th Edition by World Economic Forum

WEFORUM.ORG

15 quotes on climate change by world leaders

How do we skill our kids for tomorrow’s green economy? 

Why we need to forget about the environment

Tags:

สิ่งแวดล้อมeco literacyโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้
Family PsychologyMovie
9 April 2019

SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

เรื่อง

  • ดูละครแล้วย้อนดู วิเคราะห์ และตั้งคำถามกับความเป็นแม่ หรือ ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้แห่งเกาหลีใต้ผ่าน SKY Castle
  • ทำไมละครทางช่องเคเบิลทีวีเรื่องนี้ คว้าเรตติ้งสูงสุดมาได้ อาจเพราะมันไปเสียดสีและตบหน้า ‘ภารกิจตะเกียกตะกายแผ่นฟ้า (SKY)’ หรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยท็อปทรีของประเทศ
  • เบื้องหลังทั้งความสำเร็จและความพ่ายแพ้คือเหล่าออมม่า ที่ถูกสังคมกดทับให้คำว่าแม่และเมีย มาทีหลังสามีและลูกเสมอๆ
เรื่อง: รุ่งรวิน แสงสิงห์

ละครเรื่อง ‘SKY Castle’ เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อปลายปี 2018 ทางช่อง JTBC

กว่า 20 ตอน ที่ละครเรื่อง SKY Castle ได้ฉายทางช่องเคเบิลทีวี กลายเป็นกระแสโด่งดังเพราะเปิดตัวด้วยเรตติ้งเพียง 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ แต่ตอนจบกลับทำได้มากถึง 23 เปอร์เซ็นต์

เหตุผลหนึ่งที่คนให้ความสนใจอาจจะเป็นเพราะละครเรื่องนี้ดึงคนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับ ‘คอมมูนิตี้’ ของครอบครัวอีลีททั้ง 4 ครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวของศาสตราจารย์แพทย์ระดับประเทศ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายชื่อดัง พร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาที่กำลังเตรียมตัวจะสอบเข้าเรียนต่อใน SKY – ใช่ SKY แผ่นฟ้าที่สูงลิบลิ่ว คือเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายที่คนทั้งเกาหลีให้ความสนใจ

ความสนุกของละครเรื่องนี้คือ การเหยียดหยามโฉมหน้าของสังคมเกาหลี ด้วยการเสียดสีผ่านตัวละครสมมุติ มีการวางตัวแทนของคนกลุ่มต่างๆ ลงไปบนตัวละคร จากที่มีชีวิตอยู่แล้วกลับยิ่งมีชีวิตเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ แม้ละครเรื่องนี้จะเหมือนโลกเสมือนที่ล้อเลียนสังคมจริงของเกาหลีใต้ แต่ละครกลับซ่อนภาพของความเรียลและเซอร์เรียล (Real/Surreal) เอาไว้ในทุกๆ ฉาก เพื่อเป็นการหลอกตำหนิสภาพสังคมจริงๆ ในเกาหลี

การเติมชีวิตให้ตัวละครใน SKY Castle น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อละครได้สร้างคนอย่าง ‘เยซอออมม่า’ ผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของฝ่ายขวา เป็นพลังอนุรักษนิยมในเกาหลีใต้ ถ้าเปรียบ SKY Castle เป็นร่างกายของคน เยซอออมม่า คือมันสมองที่มีอิทธิพลทางความคิดส่งผลกระทบกับชีวิตต่อคนทั้งหมดในเรื่อง เธอพยายามอย่างหนักในฐานะการเป็น ‘แม่’ เป็นออมม่าที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยไม่สนวิธีการว่าจะนำพามาซึ่งสิ่งใด

เมื่อมีตัวแทนจากฝั่งอนุรักษนิยมแล้ว ก็ต้องมีพลังเสรีนิยมในการฟาดฟันกัน หน้าที่นี้ในเรื่องตกไปอยู่ที่ ‘อูจูออมม่า’ ผู้หญิงที่เป็นสัญลักษณ์แทนความขบถ ผิดแปลก และท้าทาย ต่อสังคมเกาหลีใต้ เธอเป็นตัวแทนของสิ่งที่ผู้หญิงเกาหลีใต้อยากเอาเยี่ยงและเอาอย่าง แต่ไม่สามารถผ่าทะลวงม่านวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ที่กางไว้อย่างหนาแน่นได้ อูจูออมม่า จึงกลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงอีกกลุ่ม ที่มีความคิดและเป็นตัวของตัวเอง พร้อมทั้งพลังที่คอยกระทุ้งให้ผู้ชมรู้สึกตั้งคำถามกับสิ่งที่สังคมเกาหลีใต้เผชิญอยู่ในขณะนี้

และนี่คือบทวิเคราะห์ถึงเรื่องสังคมและชนชั้นในเกาหลี กับสิ่งที่เรียกว่าค่านิยมที่กดทับ บทบาทและหน้าที่ของ ออมม่า ชาวเกาหลี

SKY: เรามาแตะแผ่นฟ้ากันเถอะ

ละครเรื่อง SKY Castle ตั้งชื่อล้อเลียน ถึงคำว่า SKY ที่มาจากชื่อของมหาวิทยาลัย top 3 อย่าง National Seoul University, Korea University และ Yonsei University

สำหรับคนเกาหลีแล้ว การได้เข้าเรียนใน SKY ถือเป็นความหวังสูงสุด และเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล บางคนที่อกหักจากการเรียนใน SKY จะต้องยอมเป็นเด็กซิ่ว ซิ่วแล้วซิ่วอีกเพื่อให้ได้เข้า SKY แน่นอนว่าช่วงเวลาของการซิ่ว พวกเขามักจะไม่เสียเวลาไปกับการทำตัวเรื่อยเปื่อย ยิ่งจุดหมายชัดเจนเท่าใด ความเข้มงวดในการกวดขันตัวเองก็จะมากขึ้นเท่านั้น

วิธีที่จะเข้า SKY ได้ จะต้องสอบ ‘ซูนึง’ ถ้าเทียบกับสังคมไทยก็คือการสอบ admission นั่นเอง ไม่เพียงแต่สอบซูนึงเท่านั้น การจะเข้ามหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของประเทศจำเป็นจะต้องมีประวัติผลการเรียน กิจกรรม ที่ดีมากพอที่จะเอาชนะคู่แข่งจำนวนมหาศาล ในละคร เยซอออมม่า ได้ติดต่อโค้ช มาประกบ ติว สอน วางโปรแกรม ให้กับเยซอลูกสาวของเธอโดยตรง เยซอมีความปรารถนาที่จะเป็นหมอเหมือนกับพ่อของเธอให้ได้ แน่นอนว่าอัตราการแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ในเรื่องโค้ชจะจัดโปรแกรมการเรียนการสอนรวมถึงจัดห้องนอน ปรับระดับสีไฟที่เหมาะกับการเรียนการสอน ทำทุกอย่างที่เรียกว่า ‘ก้าวล่วง’

แต่ความน่าสนใจคือ แทนที่เยซอจะงอแงที่ถูกออมม่าและโค้ชเข้าบงการชีวิต แต่เธอกลับชอบและสนุกไปกับความรู้สึกที่เสมือนว่าเธอกำลังจะชนะคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยการจัดการของโค้ช

มันสะท้อนอะไร? ชีวิตของเยซอสะท้อนให้เห็นวิธีคิดของเด็กเกาหลีที่ถูกเลี้ยงดูผ่านระบบการแข่งขันและความหวัง พวกเขาต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปให้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น แม้ว่าเยซอเองจะเป็นลูกหลานอีลีท โดยเฉพาะฉากที่แม่ของเธอไปพบกับย่า เราจะเห็นความเป็นชนชั้นนำจากบ้านหลังคามุงกระเบื้องของย่าของเยซอ เพราะบ้านของผู้ดีหรือขุนนางเก่าจะเป็นบ้านเกาหลีโบราณ ในปัจจุบัน อสังหาฯ ในประเทศเกาหลีมีราคาสูงมาก ต่อให้เป็นคนที่มีเงินทองมากมาย ก็มักจะเลือกซื้อบ้านที่เป็น อะพาททึ (apartment) เป็นห้องเช่ามากกว่าจะซื้อบ้านพร้อมที่ดิน

แค่บ้านขนาดใหญ่ของเยซอ และบ้านหลังคามุงกระเบื้องของย่า ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า นี่เป็นชีวิตของคนกลุ่มยอดบนพีระมิด เป็นชีวิตที่คนเกาหลีส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิได้พบเจอ สะท้อนว่าเยซอคือชนชั้นนำโดยกำเนิด เป็นชนชั้นนำที่เป็นสมบัติตกทอด แม้ว่าเยซอจะเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางความปลอดภัย ต่อให้เธออยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร ก็ไม่ทำให้เยซอปลอดภัยน้อยลงไปมากกว่านี้อีก แต่เธอกลับเลือกที่จะต่อสู้ เพื่อเอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า

ในสังคมเอเชีย เรามักจะเห็นรูปแบบการเรียนการสอนที่หนัก เด็กจะถูกนำเข้าสู่ระบบการศึกษาตั้งแต่ยังเล็ก ขณะที่เรื่องแบบนี้กลับพบไม่มากในสังคมตะวันตก เพราะเชื่อว่า การอยู่กับครอบครัว การเรียนรู้กับธรรมชาติคือสิ่งที่ดีที่สุด ยิ่งเข้าสู่โรงเรียนที่เป็นระบบช้ามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับเด็กๆ มากเท่านั้น เด็กจะไม่ต้องรีบแข่งขันกับใคร เด็กจะได้ค่อยๆ เรียนรู้และเติบใหญ่ เป็นคนที่มีความเป็นคนมากกว่าการรีบป้อนความต้องการของพ่อแม่ให้เด็กในวัยที่เล็กมากๆ

แต่ไม่ใช่สำหรับเยซอ – เยซอ ไม่ได้โตมาในระบบแบบนั้น เธอโตมากับการแบกรับความคาดหวังของพ่อและแม่ รวมถึงออมอนี หรือ คุณย่าของเธอ ที่จะได้เห็นเธอเป็นหมอสืบต่อเป็นรุ่นที่สามของครอบครัว

เยซอ โตมาในสังคมเกาหลีใต้ ที่เต็มไปด้วยความเปราะบางและความกลัว ในสังคมเกาหลี จะมีชุดความคิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ฮัน’ หมายถึงความทุกข์ยาก โศกเศร้า เป็นคอนเซ็ปต์ของการพยายามลุกขึ้นมาสู้ สู้กับความยากลำบาก เพราะคนเกาหลีเคยเผชิญกับสภาวะสงคราม เคยเผชิญกับการเป็นประเทศยากจนไม่มีอะไรให้กิน พวกเขา (โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า ที่เกิดทันความลำบากที่ว่า) มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความกลัว – นี่คือมุมกลับอีกด้านของความชาตินิยมและความภูมิใจใน แทฮัน (เกาหลีอันยิ่งใหญ่) ของพวกเขา เพราะพยายามถึงมีวันนี้ได้จากคนที่ไม่มีอะไรเลย

เราจะเห็นหนัง ละคร หรืออะไรก็ตามที่สัญชาติเกาหลี มักจะมีความ ‘ดราม่า’ เศร้าหนักเกินกว่าที่เราจะคิดได้ เพราะอิทธิพลของ ‘ฮัน’ ทำให้คนเกาหลีแอบมีความโรแมนติกกับความลำบาก แอบมีความโรแมนติกกับการต่อสู้ที่ยากและหนัก ถึงร้องไห้ก็จะเป็นภาพร้องไห้ที่ฟุ้งและงดงามที่สุด เพราะเขาเชื่อว่า การทำงานหนัก ทำอะไรที่หนักและมีความอดทน มักจะได้รับการตอบแทนด้วยดอกผลแห่งความสำเร็จ การเรียนหนักในวัยเด็กจึงเป็นภาพสะท้อนของวิธีคิดแบบนี้ ดอกผลแห่งความสำเร็จจะทำให้พวกเขาไปแตะแผ่นฟ้าได้ในที่สุด

ที่เกาหลีใต้ วันสอบซูนึง จะเป็นวันชี้ชะตาของการได้เข้า SKY หรือไม่ได้ จะถูกกำหนดเป็นวันพิเศษ ทุกอย่างจะเริ่มช้ากว่าเวลาสอบ 1 ชั่วโมง เช่น การทำงานจาก 08.00 จะถูกเลื่อนไป 09.00 เพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กๆ สามารถไปสอบซูนึงได้ทันโดยไม่ต้องติดอยู่บนถนน พวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กก่อนเป็นอันดับแรก และจะไม่มีการรบกวนทางเสียงไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามในระหว่างที่เด็กๆ มีการสอบฟังภาษาอังกฤษ 30 นาที เครื่องบินจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบินในช่วงการสอบดังกล่าว

ดอกผลของการเทรน การติว การเรียน อย่างหนักจะมาปรากฏผลในการสอบซูนึง ออมม่าชาวเกาหลีแทบจะทั้งหมด คาดหวังว่า ลูกๆ ของพวกเธอจะได้เข้าเรียนใน SKY หรือไม่ ก็ในมหาวิทยาลัยระดับรองลงมา บางคนก็หวังพึ่งเทพเจ้า ไปทรงเจ้าเข้าผี บางคนก็จัดเมนูพิเศษเพื่อลูกของเธอก่อนวันสอบจริง เพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการสอบ ออมม่าเหล่านี้ทำได้หมดทุกอย่าง

ถ้าถามว่าทำไมถึงอยากเข้า SKY คำตอบคือภาษีของการเข้าเรียนที่ SKY ไม่ใช่เป็นเพียงการเอื้อมมือแตะแผ่นฟ้าเท่านั้น แต่เป็นการก้าวขึ้นไปอยู่บนฟ้าต่างหาก

เพราะเด็กๆ ที่สามารถเข้าเรียนใน SKY ได้ จะได้รับการพิจารณาเมื่อไปสมัครงานในบริษัทกลุ่มทุนแชโบล (Chaebol) ที่เป็นกลุ่มทุนหลักระดับประเทศ ถ้าหากเอ่ยชื่อด้วยสำเนียงไทยคงจะพอรู้จักบริษัทเหล่านี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ซัมซุง (SAMSUNG) ฮุนได (Hyundai) หรือแม้แต่ช่องโทรทัศน์หลักของเกาหลีใต้อย่าง KBS SBS MBC ก็เป็นพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่แย่งกันเข้าทำงาน

การได้ทำงานในบริษัทเหล่านี้สำคัญอย่างไร?

ยิ่งทุนใหญ่ งานเยอะ ค่าตอบแทนก็สูง และบริษัท แชโบล เป็นลักษณะพิเศษของการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ เปรียบเสมือนหัวรถจักรที่มีกำลังแรงม้ามหาศาล ทำหน้าที่ลากขบวนโบกี้ที่บรรทุกคนทั้งประเทศไปข้างหน้า มีคำพูดเปรียบเทียบว่า ถ้าซัมซุงล้ม เกาหลีใต้ก็ล้มด้วย นั่นหมายความว่าความสำคัญที่สูงมากของบริษัทเหล่านี้ ส่งผลให้การจ้างงาน ค่าตอบแทน สวัสดิการ การมีชีวิตที่ดีของพนักงานต้องดีตามไปด้วย และการเข้ามาเรียนใน SKY จะช่วยยกระดับสถานะของเด็ก เกียรติยศ ชื่อเสียง จากคนรอบข้างจะเริ่มสรรเสริญเซ็งแซ่ทันทีที่ได้ประกาศชื่อว่าติด SKY

엄마: เรื่องของ ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

ผู้หญิงเกาหลี มีความพิเศษไม่แพ้ผู้หญิงชาติไหนบนโลก วิธีสังเกตว่าผู้หญิงเกาหลีขาดอะไร และ ต้องการ อะไร ให้สังเกตผ่านละครโทรทัศน์ นักเขียนละครโทรทัศน์ส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิง มักจะมีวิธีการผลักดัน ‘อาเจนด้า’ (วาระ) ของพวกเธอ พวกเธอสร้างผู้ชายที่พวกเธอต้องการ ผ่านพระเอกละครของพวกเธอ เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนทีละเล็กทีละน้อย

ผู้ชายที่ไม่ใช้ความรุนแรง เป็นภาพลักษณ์ที่ถูกเผยแพร่ซ้ำบ่อยที่สุดบนละครสัญชาติเกาหลี ถ้าถามว่าทำไม คำตอบคือ เพราะเขาอยากให้ผู้ชายเป็นแบบนั้นเสียที

แต่วิธีคิดของผู้หญิงเกาหลีจะแปลกตรงที่ ข้อเรียกร้องในการมีผู้ชายที่ไม่ใช้ความรุนแรงกับพวกเธอนั้น เป็นคนละข้อเรียกร้องกับขอให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย กลไกทางสังคมยังคงสามารถทำงานกดทับหญิงชาวเกาหลีได้เป็นอย่างดี พวกเธอไม่ได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมีสถานภาพน้อยกว่าผู้ชาย แต่พวกเธอจะรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้ามีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น

สิ่งที่เห็นมีเพียงการขอให้พวกเขาอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น แสดงออกถึงความรักที่มากขึ้น เห็นได้จากวัฒนธรรมการคบหา ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายดูแลและจัดการเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าท่องเที่ยว หรือค่ากินอยู่ของผู้หญิง มันแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเกาหลียังคงต้องพึ่งพาผู้ชาย และยังไม่สามารถออกจากร่มเงาของชายเป็นใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น หากค่านิยมที่ให้ผู้ชายเป็นฝ่ายจัดการดูแลทั้งหมดไม่หายไป

ขณะเดียวกัน พวกเธอไม่ได้เรียกร้องสถานะที่เท่าเทียมทางเพศของชายและหญิง ขบวนการเฟมินิสต์ในเกาหลีใต้มักจะถูกสังคม ‘บุลลี่’ อย่างรุนแรง ครั้งหนึ่งไอดอลสาวชาวเกาหลีถือหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเฟมินิสต์ ทำให้แฟนคลับชายไม่พอใจแล้วเผารูปของเธอเพื่อเป็นการประท้วง นี่คือปัญหาใหญ่ของเกาหลี ระดับคุณค่าของความเป็นคนยังถูกเซ็ตด้วยการเอาเพศสภาพเป็นที่ตั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘การเป็นผู้หญิงเกาหลี’ จะไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกันกับ ‘การเป็นผู้ชายเกาหลี’

ใน SKY Castle เราอาจจะไม่เห็นเรื่องราวเหล่านี้ชัดเจน เพราะละครเขียนบท ‘เนียน’ ทีเดียว แต่ถอยออกมาหนึ่งก้าว ถ้ามองภาพรวมของละครเราจะเห็นการต่อสู้ของผู้หญิงเกาหลี เราจะเห็นการต่อสู้ของเหล่าออมม่า แม้ว่ารูปแบบการกระจายบทของละครเรื่องนี้ทำได้ดีมาก แต่ผู้เขียนหยิบเพียง 2 ตัวละครที่เป็นพลังคนละขั้วมาอธิบาย ซึ่งก็คือ เยซอออมม่า และ อูจูออมม่า เพื่อให้เห็นภาพ

ผู้หญิงเกาหลีที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ทันทีที่เธอมีลูก ชื่อของลูกคนโตของเธอ จะกลายมาเป็นชื่อที่สังคมรู้จักและรับรู้ สามีของเธอจะเริ่มไม่เรียกชื่อจริงของเธอ แต่เรียกชื่อลูกคนโตแล้วตามด้วยคำว่าออมม่า ที่แปลว่า แม่ แทน

มันเป็นภาพความผูกพันของอัตลักษณ์กับภาระหน้าที่อีกอย่าง เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ภารกิจ หลังจากนี้ คือการเลี้ยงลูก ดูแลลูก ทันทีที่เธอมีลูก เธอคือแม่ ไม่ใช่ตัวเธออีกต่อไป ชื่อจริงๆ ของตัวเองจะค่อยๆ เลือนหายไป เหมือนฉากที่ เยซอออมม่ากับอูจูออมม่าพบกัน แล้วอูจูออมม่าจำไม่ได้ ว่าเยซอคือเพื่อนสมัยมัธยม ไม่มีใครจดจำเธอได้ว่าเธอคือ ฮันซอจิน ทุกคนจำได้แต่ว่าเธอคือ แม่ของเยซอและเยบินเท่านั้น

สิ่งที่เยซอออมม่าทำ ไม่ว่าจะเป็น การล็อบบี้ การแย่งชิง การเข้าไปจุกจิกจู้จี้และชี้นำชีวิตของลูก เป็นสิ่งที่เธออาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด หากแต่เกิดจากการขัดเกลาทางสังคมที่รุนแรงของสังคมเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ยังเป็นสังคมที่มีพื้นฐานที่เป็นอนุรักษนิยมและมีกลิ่นอายของปรัชญาขงจื้อที่ฉุนกึกอบอวลอยู่ทั่วคาบสมุทรเกาหลี แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้นับถือศาสนา จะไม่ได้มีความเชื่อทางใดทางหนึ่ง แต่จารีตประเพณีที่เป็นขงจื้อ ก็ส่งผลให้สังคมมีลักษณะของ ชายเป็นใหญ่ เมียเดินตาม และทำหน้าที่ สงบเสงี่ยมเชื่อฟังสามี หน้าที่แม่จึงเป็นหน้าที่สูงสุดของการเป็นมนุษย์

แต่อูจูออมม่ากลับไม่ใช่ ในฐานะพลังเสรีนิยม พลังส่วนน้อยในสังคมเกาหลีใต้ เธอไม่ได้ผูกพันอัตลักษณ์ของความเป็นแม่เพื่อให้มันแทนที่ชีวิตของเธอ แต่เธอเลือกที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างเธอและลูกของเธอ ไม่ได้สร้างอัตลักษณ์ความเป็นแม่ขึ้นมาทับตัวเอง แต่เลือกที่จะเป็นตัวเองที่มีอัตลักษณ์ของความเป็นแม่

ถ้าพูดให้ถูก ความเป็นคนของเธอยิ่งใหญ่กว่าความเป็นแม่ เธอเอาใจใส่คนรอบตัว ลูก เพื่อนลูก ลูกๆ ของเพื่อนบ้านใน SKY Castle อูจูออมม่าเปรียบเสมือนพื้นที่ เปรียบเสมือนอากาศให้ผู้คนได้เข้ามาใช้ร่วมกันและหายใจ

เป็นปรัชญา วิธีคิด ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ เยซอออมม่า ที่ต้องการประหัตประหารผู้คนที่จะทำให้ลูกของเธอไปไม่ถึงแผ่นฟ้า อูจูออมม่ากลับเลือกที่จะโอบกอดผู้คนไว้ให้ได้มากที่สุด บุคลิกของอูจูออมม่า ก็มีความน่าสนใจให้ได้คิดต่อ ทำไมละครเลือกวางคาแรคเตอร์ของฝ่ายซ้ายหัวก้าวหน้าให้ดูสงบเสงี่ยม และออกจะขี้กลัวเกินจริง ถ้าอูจูออมม่า เป็นคนที่มีความคิด เป็นตัวของตัวเองขนาดนั้น ทำไมละครถึงไม่เลือกคาแรคเตอร์ที่ฉูดฉาดกว่านี้

คำตอบเราไม่อาจรู้ได้ แต่เราวิเคราะห์จากภาพรวมได้ เพราะความเป็นชายขอบ ของแนวคิดเสรีนิยมในเกาหลี ยังไม่ได้ทรงพลังมากเท่ากับความคิดหลักของสังคมทั้งหมด เธอมักจะหยุดคิดหรือบางครั้งก็ลังเลที่จะโต้เถียงหรือแสดงความไม่พอใจกับการเลี้ยงลูกของคนใน SKY Castle นั่นเพราะเธอคือตัวแทนของคนชายขอบในสังคมนั่นเอง

สำหรับ SKY Castle นอกจากจะโชว์พลังของผู้หญิง ยังดึงคนดูให้ชวนคิดถึงพลังของความเป็นแม่ในตัวออมม่าชาวเกาหลี ที่มีสังคมชายเป็นใหญ่กดทับอยู่ ความปลอดภัยในสังคมก็กดทับพวกเธอลงไปอีก

SKY Castle ยังทำให้เราเห็นการต่อสู้และสลัดแอกของผู้หญิงเกาหลีว่ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แม้ชัยชนะจะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเลือนลางเต็มที

แต่สิ่งที่กล้าพูดได้หลังจากนี้คือ พวกเธอจะไม่แพ้ และไม่มีวันแพ้แน่นอน แต่อาจจะต้องถามว่า วิธีไหนกันที่จะทำให้พวกเธอไม่แพ้?

Tags:

การสอบซีรีส์เกาหลีใต้พ่อแม่ระบบการศึกษาoverprotective parent

Author:

Related Posts

  • Movie
    Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก
EF (executive function)
9 April 2019

อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ก่อนจะลงลึกเรื่องสมองอ่านอย่างไรให้ปวดหัวต่อไป ขอถอยมาเรื่องง่ายๆ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความเสียดายนักหนาหากยังจะมีพ่อแม่ที่ไม่ทำ

เราแนะนำให้อ่านนิทานก่อนนอนเพราะนี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดในโลกสำหรับการเลี้ยงลูกและกำไรมาก

ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่สมัยนี้เกือบทุกคนอ่านหนังสือออก จะแก้ตัวว่าอ่านหนังสือไม่ออกนั้นฟังขึ้นยากแล้ว

เราขอเพียงวันละ 30 นาที เรามิได้ขอมากเลย ขอเพียง 30 นาทีเท่านั้นเอง คุณพ่อคุณแม่ยังเหลืออีก 23 ชั่วโมงครึ่งต่อวันที่จะไปทำอย่างอื่น เวลา 30 นาทีนั้นสั้นมาก เพียงเข็มยาวเดิน 6 ช่อง เวลายี่สิบสามชั่วโมงสามสิบนาทีนั้นยาวนานมาก แค่เขียนยังยาวเลย

เราขอให้อ่านอะไรก็ได้ ถ้ามีเงินซื้อนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กที่สำนักพิมพ์บางแห่งอิมพอร์ตมาแปลมาขาย เล่มละ 200 กว่าบาท จะว่าแพงก็ใช่ แต่คำว่าแพงนั้นควรแปลว่าเสียดายเงิน หากคุ้มค่าไม่เสียดายเงิน จะกี่บาทเราก็ไม่เรียกว่าแพง

เล่มละ 200 กว่าบาท กำไรที่ได้คืนนั้นน่าจะตกประมาณเล่มละ 200,000 บาท คือค่าใช้จ่ายที่เราประหยัดขึ้นมาได้ใน 20 ปีถัดไปเพียงเพราะว่าเขาจะเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ตัวเลขสองแสนคนเขียนมั่วเอาเอง

ถ้าเงินน้อยลงมา หาหนังสือของสำนักพิมพ์ระดับรองลงมาที่อิมพอร์ตหนังสือดีจากต่างประเทศมาเช่นกันแต่ทำราคาได้เหลือเล่มละร้อยกว่าบาท หากเป็นสำนักพิมพ์ที่มีมูลนิธิหรือนายทุนยักษ์ใหญ่หนุนหลังจะเหลือ 80-90 บาท และหากเป็นสำนักพิมพ์ไทยทำไทยเขียนไทยวาดไทยพิมพ์ก็ประมาณ 100 บาทบวกลบไม่มาก เทียบได้กับข้าวผัดกะเพราไข่ดาวสองจานเท่านั้นเอง พ่อแม่อดข้าวสองคน 1 มื้อได้หนังสือนิทานให้ลูก 1 เล่ม เราไม่ตายหรอกกินน้ำเปล่าได้ แต่ลูกได้คืนมากกว่ามาก

เทียบราคาหนังสือกับข้าวราดแกงน่าจะไม่ว่ากัน ปลอดภัยกว่าเทียบกับกาแฟ 1 ถ้วย หรือเบียร์ 2 กระป่อง อุ๊บ!

สมมุติไม่มีเงินจริง ซึ่งเชื่อว่าหลายบ้านที่ค่าแรงวันละ 300 บาทหรือเงินเดือน 15,000 บาท เรื่องหนังสือนิทานเริ่มจะไกลเกินฝันแล้ว อย่างน้อยที่สุดหาทางพรินท์นิทานจากเว็บนิทานฟรีออกมาอ่านให้ลูกฟังก็ได้ครับ และสุดท้ายของสุดท้าย เศษหนังสือพิมพ์ที่ห่ออะไรมาล้วนอ่านได้ทั้งสิ้น

เพราะที่ลูกต้องการจริงๆ มิใช่นิทาน แต่คือตัวเป็นๆ ของพ่อแม่ที่จับต้องได้ ถูกเนื้อต้องตัวได้ มีเสียงดังฟังชัดในห้องนอนทุกๆ คืน อย่างน้อยที่สุด 3 ปี ให้อู้ได้บางวัน เมาเหล้าได้บางวัน หรือสลบได้บางวัน รวมแล้วก็น่าจะได้ 1,000 วัน เวลาเท่านี้มากพอและนานพอที่ลูกจะสร้างพ่อและแม่ที่มีอยู่จริงขึ้นมาบนโลก

พ่อแม่ที่มีอยู่จริงจึงจะมีวาจาที่มีอยู่จริง พ่อแม่ที่มีอยู่ชัดจึงจะมีวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนคำนั้น สั่งสอนอะไรก็ฟัง เรียกทำอะไรก็ทำ เด็กเกิดมาเพื่อรักสนุกและทดสอบเราอยู่แล้ว การที่เราไม่มีจริง เป็นมนุษย์ล่องหน เราจะไม่มีอะไรเหลือเลย พูดไม่ฟัง สอนไม่ฟัง สั่งไม่ทำ ชีวิตจะยุ่งมาก บ้านจะเดือดร้อนอย่างหนัก และเด็กที่ไม่ฟังอะไรเลยจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในอนาคต ตอนนั้นเขาจะถอนทุนคืนจากพวกเราสูงมาก มากกว่า 200,000 บาท

สมมุติว่าพ่อแม่ไม่สามารถอ่านก่อนนอน เราให้อ่านตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าจัดสรรให้ตรงเวลาได้ก็จะดี ที่เราอยากให้อ่านก่อนนอนเพราะเหตุผลพิเศษ 2 ข้อ

ข้อแรก คือ เราอยากให้ลูกเรียนรู้จังหวะชีวิต (rythm) พ่อแม่มีเวลาน้อย แต่ตรงเวลาทุกคืน อาจจะสองทุ่ม อย่างช้าไม่เกินสามทุ่ม อาบน้ำตัวสะอาด วางมือถือ แล้วเข้าห้องนอน อ่านตรงเวลา 30 นาที อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและยาวนาน จนกระทั่งเด็กเรียนรู้จังหวะ จังหวะนั้นเหมือนเสียงกลองในคาราโอเกะ รู้จังหวะคือร้องเพลงได้ ตัวโน้ตระหว่างจังหวะไว้ค่อยๆแก้ไขปรับปรุงและพัฒนา แต่เราเอาจังหวะก่อน เพราะเมื่อเด็กรู้จังหวะการนอนเขาจะรู้จังหวะการกิน แล้วจังหวะการอาบน้ำแปรงฟันแต่งตัวทำการบ้านจะตามมาเอง

ข้อสองคือบรรยากาศสงบในห้องนอนที่มีแสงพอประมาณด้วยเสียงนิทานของพ่อหรือแม่จะช่วยเตรียมคลื่นสมองของเด็กเข้าสู่ระยะการนอน (stage of sleep) ที่ถูกต้องก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่โหมดการหลับ ซึ่งจะดีต่อความฝัน ระยะฝัน คุณภาพการนอน และการตื่นนอน

สมมุติว่าพ่อแม่ไม่มีพรสวรรค์ มีความซื่อบื้อ ก็ให้มีความอ่านนิทานไปตามธรรมดา ไม่ต้องมีความพยายามทำเสียงสูงต่ำหรือมีความอ่านพลิกแพลง เด็กไม่ต้องการ และที่จริงแล้วเราพบว่าเด็กหลายคนไม่ชอบให้พลิกแพลง “อ่านดีๆ!” เขากลับจะบอกพ่อและแม่เช่นนี้เสมอ

การเล่านิทานไม่ผิดกติกา ขอให้สนุกสนานคือใช้ได้ แต่สำหรับพ่อแม่ที่เล่านิทานไม่เป็นสับปะรดอะไรเลย การอ่านคือวิธีที่ง่ายที่สุด ดังที่บอกในตอนต้น ขอให้อ่านหนังสือออกก็พอ

น่าจะดีถ้าคนอ่านสนุก คำแนะนำประเภทหนังสือเรื่องไหนเหมาะกับเด็กอายุเท่าไรจึงไม่ควรจริงจังมากเกินไป เอาที่ทั้งพ่อแม่ลูกสนุกด้วยกันคือใช้ได้ หนังสือควันตัมฟิสิกส์สำหรับเด็กเล็กยังมีคนทำขายเลย อ่านให้อิเล็กตรอนชนกันระเบิดตู้มคือโอเค อย่าคิดมากไป

สมมุติลูกไม่ฟัง เดินหนี คลานหนี แย่งหนังสือไปกัด เอาหนังสือไปฉีก หรือสามนาทีหลับ เหล่านี้ไม่เป็นอุปสรรค เรายังคงอ่านไปเรื่อยๆ เสมอแม้ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม หรือแม้กระทั่งหลับไปใหม่ๆ ปล่อยให้คลื่นเสียงของเรากระแทกเยื่อแก้วหูของเขาไปพลางๆ เพื่อส่งแรงสะเทือนผ่านกระดูกค้อน ทั่ง และโกลนที่หูชั้นกลาง ทำให้ของเหลวในวงแหวนก้นหอยของหูชั้นในเกิดคลื่นสั่นสะเทือนเข้าไปจนถึงเซลล์สมอง

เขาเดินหนี เรากั้นระยะรัศมีทำการของเขาอย่าให้กว้าง เปิดไฟสลัวอย่าให้จ้า เอากองหนังสือ ตุ๊กตา แจกันดอกไม้ ของประดับทุกชนิดออกจากห้องนอนไปให้หมด อย่าให้เหลือสิ่งเร้ามากเกินไป คลานได้คลานไปอีกหลายคืนก็จะนอนฟัง

เขาเอาไปกิน เราหยิบเล่มสำรองขึ้นมาอ่าน เขาเอาไปฉีก เราหยิบเล่มที่สามขึ้นมาอ่าน เขากินและฉีกหมดทุกเล่ม เราเอาเล่มหนึ่งขึ้นมาใหม่ เขามิใช่มีสิบเศียรยี่สิบกรจะแย่งเราได้ยี่สิบเล่มไปกินเสียสิบเล่มเสียเมื่อไร เราอ่านวนไป พอตอนเช้าก็นั่งซ่อมไปทีละเล่มๆ คืนนี้เอาใหม่ เราแพ้ให้มันรู้ไป

กิจกรรมทุกชนิด เรากำหนดกติกาได้เสมอรวมทั้งการอ่านนิทาน จะเป็น 30 นาทีแล้วปิดไฟนอนพร้อมกัน หรือ 5 เล่มแล้วปิดไฟนอนพร้อมกัน เลือกทำได้ แล้วรักษากติกา เราควรนอนหรือแกล้งนอนไปก่อน เขาหลับเราจึงลงไปชงเครื่องดื่มกิน กรึ๊บๆ กันตามประสาสามีภรรยา

อ่านนิทานมิใช่เพื่อให้เด็กฉลาดหรือรักการอ่าน สองประการนี้เป็นผลพลอยได้ จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ที่เราอยากได้คือพ่อแม่ที่มีอยู่จริง เราขอเท่านี้เอง เวลาเด็กงอแงให้กระซิบนิทานใส่หูเขา หยุดทุกราย

ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

Tags:

พัฒนาการประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

QUIZ: เคยเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นแม่แบบนั้น
Family Psychology
8 April 2019

QUIZ: เคยเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นแม่แบบนั้น

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

กด 😮:

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘โอ๋บ้าง ดุให้เงียบบ้าง’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘โดนตีให้เงียบ’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘กอดปลอบให้หยุดร้องไห้ด้วยคำพูดอบอุ่น’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป เพราะเชื่อว่าโอ๋ลูกมากไปไม่ดี’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

กด 😮:

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘เดินมาอุ้มบ้าง แต่บางครั้งก็ไม่ถูกสนใจ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘โดนทำโทษและขู่ห้ามให้วิ่งอีก’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ดูแล กอดปลอบและทำแผลให้’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่มีใครสนใจ ต้องลุกขึ้นและหายเจ็บเอง’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

กด 😮:

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘บางครั้งก็ได้รับคำชื่นชม บางครั้งก็โดนกดดันให้ดีกว่านี้’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่เคยได้รับการชื่นชมและถูกสั่งให้อ่านหนังสือต่อไป ห้ามคะแนนลดลงเด็ดขาด’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ได้รับคำชมและรางวัลเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘เฉยๆ ไม่สนใจและไม่ชื่นชม’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

กด 😮:

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ได้ฟังนิทานบ้างบางครั้ง แต่บางครั้งก็ไม่ถูกสนใจ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่เคยได้ฟังนิทาน เพราะเสียเวลา แถมยังโดนสั่งให้รีบเข้านอนอีกด้วย’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ได้ฟังนิทานตามความต้องการอย่างสม่ำเสมอ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่เคยได้ฟังนิทาน เพราะเชื่อว่านิทานเป็นเรื่องไร้สาระ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    จิตวิทยาเสี้ยวส่วน: ‘เด็กน้อยอันเปราะบาง’ ผู้สร้างบาดแผล ที่เราหลงลืมไป

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
5 April 2019

เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • คุยกับคุณพ่อวัย 37 ที่เตรียมรีไทร์จากงานประจำเพื่อเริ่มต้นงานใหม่ในตำแหน่งคุณพ่อเต็มเวลา
  • ฟังดูฟุ้งฝัน แต่ยืนยันทำจริงเพราะวางแผนแน่วแน่มาหลายปี วิศวกรคอมพิวเตอร์อย่างเขาเขียนโปรแกรมชีวิตค่อนข้างชัดเจน วางแผนครอบครัวรัดกุม ถึงขั้นเรียนต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อตามหา ‘แม่ของลูก’
  • อาจทำไม่ได้ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่วิธีคิดบางอย่างก็ช่วยกวนตะกอนที่นอนก้นอยู่ในใจ ให้ลอยขึ้นมาใหม่ว่า ‘บ้าน’ คือโรงเรียนสำคัญของลูก
ภาพ: เฉลิมพล ปัญณาณวาสกุล

เกรียงไกร นิตรานนท์ คุณพ่อลูกหนึ่ง ภรรยาหนึ่ง วัย 37 ปี  สถานะวันนี้ของเขาคือ นับถอยหลังการทำงาน เพื่อเริ่มต้นเป็นคุณพ่อเต็มเวลาในอีกไม่ช้า

“เป้าหมายของผมคือ full time daddy” เกรียงไกรหรือพ่อหมูของ ‘บี๋’ ลูกชายวัย 6 ขวบ ยืนยันด้วยรอยยิ้ม

เกรียงไกร หรือ หมู หรือ ‘พ่อหมู’ กลุ่มบ้านเรียน (homeschool) วางแผนลาออกจากการทำงานมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงทยอยปิดโปรเจ็คท์ เมื่อภารกิจสำเร็จ เขาและครอบครัวจะย้ายไปอยู่ลำปางอย่างถาวร

ฟังดูฟุ้งฝัน แต่พ่อหมูยืนยันทำจริงเพราะวางแผนแน่วแน่มาหลายปี วิศวกรคอมพิวเตอร์อย่างเขาเขียนโปรแกรมชีวิตค่อนข้างชัดเจน วางแผนครอบครัวรัดกุม ถึงขั้นเรียนต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อตามหา ‘แม่ของลูก’ เพราะอยากเลี้ยงลูกอย่างมีประสิทธิภาพ

ฟังไม่ผิด ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองผู้ชายบ้างานตอนนั้นจริงๆ….

“ทำงานตอนนั้น รู้เลยว่าเราหาแฟนยากมาก หันไปไหนก็เจอแต่ผู้ชาย เราได้เงินเดือนมาเราก็กินของเราคนเดียว เลยคิดว่า เราน่าจะเก็บเงิน น่าจะมีครอบครัวได้แล้วนะ (หัวเราะ)”

นอกจากแม่ของลูกแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่หมูเรียนต่อด้านนี้เพราะอยากแก้ไขความสัมพันธ์กับน้องสาวคนเดียว

ในอดีต หมูคือเด็กหลังห้อง ที่พูดอะไรไม่คิด ยึดตัวเองเป็นใหญ่ และเป็นพี่ชายที่หวงน้องสาวอย่างสุดโต่ง มีหนุ่มๆ โทรมาจีบก็แอบเอาโทรศัพท์พีซีที (สมัยนั้น) ไปเขวี้ยงทิ้ง หรือเอาตัวขวางประตูบ้านไว้ไม่ให้น้องสาวออกไปเที่ยว

“ผมรักน้องสาวมาก แต่รักแบบใช้แต่แรง และเพราะผมเป็นผู้ชาย ผมรู้ดีว่าผู้ชายมันแย่แค่ไหน” พ่อหมูสารภาพเสียงอ่อย ถึงเรื่องราวตอนนั้น

เวลาหนึ่งปีครึ่งในคลาสปริญญาโท เกรียงไกรบรรลุภารกิจ ได้แม่ของลูกกลับมาพร้อมกับการค่อยๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ใหม่กับน้องสาวอย่างเข้าใจเขาเข้าใจเรา

ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาตัดสินใจเป็นคุณพ่อเต็มเวลา

ปริญญาโทจิตวิทยาพัฒนาการสอนอะไรคุณหมูบ้างคะ

คร่าวๆ คือ เรียนตั้งแต่พัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงคนแก่ แต่รายละเอียดของเด็กจะมีเยอะ

ตอนแรกเราเข้าใจว่านักจิตวิทยา อารมณ์ดี คุยกับใครก็ได้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา แต่จะมีความรู้และนำความรู้นั้นไปเชื่อมโยงกับงานวิจัย

สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการรับฟัง คือเราจะมีโจทย์ของเราตลอดว่า ต้องอย่างนู้น ต้องอย่างนี้ แต่ถ้านึกย้อนกลับไป เราไม่เคยฟังเขา (น้องสาว) เลย ทำไมเขาถึงทำ ทำเพราะอะไร

ถามว่าได้เอากลับไปใช้กับน้องสาวไหม ก็ไม่เชิง พอเรียนจบมา ต่างคนต่างโต เรื่องร้อนค่อยๆ คลี่คลาย น้องก็มีครอบครัว เวลาน้องมีประเด็นอะไรในครอบครัว น้องก็โทรมาปรึกษา เราก็ดีใจ ซึ่งเราแทบไม่ค่อยให้คำปรึกษานะแต่เป็นการรับฟังมากกว่า ซึ่งมัน effective ให้เขาได้ระบายออกมา

สำหรับผู้ชายที่เรียนวิศวะคอมฯ มา เข้าใจเรื่องนี้อย่างไร

ผมว่าเป็นอะไรที่รู้ก็ดี ยกตัวอย่างวิชาปรับพฤติกรรม ที่มองทุกอย่างคล้ายการเลี้ยงสุนัขเลยครับ เช่น ถ้ามีพฤติกรมนี้ขึ้นมาเกิดจากสิ่งแวดล้อมแบบนี้ ถ้าถอดสิ่งแวดล้อมแบบนี้ออกไป พฤติกรรมนี้ก็หาย

หรือการทำโทษ สามารถทำให้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์หยุดได้ แต่การันตีว่ากลับมาใหม่แน่นอน ถ้าไม่ต้องการให้กลับมาใหม่ต้องมี reward หรือมีแนวทางบางอย่าง มีตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากคือ ตอนเช้าๆ บางทีแม่รีบแต่งตัวให้ลูกไปโรงเรียน ก็จะชอบว่าลูก เนี่ย ทำไมไม่ติดกระดุม หรือติดกระดุมเบี้ยว ว่าๆๆๆ แต่ไม่เคยให้แนวทางเลยว่าต้องทำยังไงต่อ พอไม่เคยให้แนวทาง เด็กก็จะลอง way ที่ 1 แม่ก็จะดุว่าผิดอีก แล้วจัดการให้ พอเด็กจะลอง way ที่ 2 ก็ผิดอีก โดนดุอีก เพราะไม่เคยได้ way ที่ถูก สักพักก็จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘ทำอะไรก็ผิดไปหมด’ พอผิดไปหมดปุ๊บ รอบต่อไปก็ไม่ทำละ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเด็กบางคน สุดท้ายเขาไม่ยอมปรับอะไรอีกแล้ว นั่นเพราะเขาลองมาเยอะแล้วเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรอีกถึงจะถูก วิธีแก้อย่างหนึ่งคือ ต้องมีเวิร์คช็อปที่ช่วยทำให้เขารู้จักว่า success คืออะไร อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง

เรียนจบได้ราวๆ สองปี คุณหมูก็แต่งงาน เคยนึกหรือวางแผนก่อนไหมคะ ว่าอยากเป็นพ่อแบบไหน

แต่งงานได้สามปี ถึงมีลูกครับ สร้างเนื้อสร้างตัว เปิดบริษัทไอทีของตัวเอง

ตอนนั้นเรานึกไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่าเรารู้อะไรในโลกนี้มาเยอะมาก แล้วเราก็อยากเอาความรู้ทุกอย่างมาปั้นเขาเลย ระหว่างเรียนจิตวิทยาพัฒนาการ เราก็ได้ไปเรียนรู้พุทธศาสนาด้วย เราก็เริ่มเห็นความสำคัญว่า อะไรที่มันควรพัฒนาในมนุษย์ ในเด็ก จริงๆ ต้องพัฒนาในเด็กเลย เพราะทุกวันนี้ ยังไม่มีสนามที่จะพัฒนาเด็กด้วย ก็คิดว่า เฮ้ย เรานี่แหละ เราจะเป็นคนที่มาจัดการเขา (ลูก) ทั้งหมด

เรียกว่าจัดการเลยใช่ไหมคะ

(พยักหน้า) ตอนนั้นนะครับ

ยกตัวอย่างความรู้เรื่อง ‘หูเด็ก’ ที่เรียนมา ให้เขาได้ฟังเสียงหลากหลายโทนตั้งแต่เขาอยู่ในท้องเดือนที่ 7 ราวๆ นั้นนะครับ ผมก็จำไม่แม่น เสียงมันทะลุท้องได้สบายๆ แล้วพอมันกระทบหูปุ๊บ สมองส่วนต่างๆ ของเด็กจะทำงานตามคลื่นความถี่แต่ละช่วง ฉะนั้นต้องไปซื้อลำโพงที่ดีหน่อย (ยิ้ม) ให้มันวิ่งตามคลื่นความถี่กระจายกัน หรืออย่างตอนคลอดเขาออกมา เราจะพาเขาไปให้เห็นสีที่มัน complicated (ซับซ้อน) แต่เน้นจากธรรมชาติเป็นหลัก เช่น จากดอกไม้ จากท้องฟ้าต่างๆ เพราะพอแสงที่แตกต่างเข้าตา สมองส่วนต่างๆ เหมือนถูกกระตุ้นด้วย ไฟฟ้า มันก็คือการพัฒนาการ

พอเขาโตเริ่มคุยกันได้ก็จะสอนเขากับเรื่องความรู้สึก ผมจะเรียกว่า soft skill ครับ คุยกับเขาในเรื่องพวกนี้เป็นหลัก

ตอนยังไม่มีลูก ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา เราได้เอาสิ่งที่เราเรียนมามาปรับใช้บ้างไหม

(พยักหน้า) ของใหม่ไง เพิ่งเรียนมา ก็ใช้ได้ค่อนข้างดีในช่วงแรกๆ

เน้นว่ามีช่วงแรกๆ มันก็ต้องมีช่วงหลังๆ ด้วยใช่ไหมคะ

ใช่ๆ พอนานไป บางที มันก็เข้ากลับมาสู่ความเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ความรู้ไม่ได้หยิบมาใช้ แต่ถ้าเรามีสติบ้าง เราก็จะกลับไปได้ เรารู้ว่าที่ถูกที่ควร ควรทำแบบไหน แต่ก็ไม่ได้ perfect ถึงขั้นว่า ทำได้หมด

ทั้งคู่เรียนจิตวิทยาพัฒนาการมา เคยมีสถานการณ์เอาความรู้มาชนกันไหม แล้วผลเป็นอย่างไร

มีทั้งช็อตดีและช็อตไม่ดี ช็อตไม่ดีเนี่ยมันกลายเป็นสัญชาตญาณทั้งหมดแล้ว ไม่มีความรู้เข้ามาแทรก คือ มันไม่มีสติครับผม

แต่รวมๆ ช็อตปกติมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนช็อตไม่ดีก็มีเข้ามา interrupt ชีวิตบ้าง

ตอนที่อยู่กันสองคนมันสอนให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือว่าจริงๆ แล้ว ทฤษฎีกับสัญชาตญาณอันไหนสำคัญกว่า

ผมว่าทฤษฎีมันสำคัญ แต่การเอามาฝึกฝนมันเป็นเรื่องของแต่ละคน เพราะว่าทฤษฎีเราใช้ได้กับคนข้างนอกที่เราไม่รู้จักแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ คำว่า 100 เปอร์เซ็นต์เนี่ยไม่ใช่ว่าเราบริหารจัดการเขาได้นะ แต่หมายความว่า เราไม่ต้องไปโกรธ ไม่เกลียดอะไรด้วยกับเขา เรารู้ว่านี่มันคือความคิดเขา นี่คือความคิดเรา แต่เวลากับคนที่ใกล้ชิด เฮ้ย เราว่าแบบนี้มันดีนะ เขาต้องคิดแบบเราสิ แบบนั้นมันไม่โอเคเลย ซึ่งอันนี้คือเวลาที่ทฤษฎีไม่ได้ถูกนำมาใช้ มันก็คือความทุกข์ และมันเป็นทุกข์จากเรา ไม่พอนะ มันก็ขยายทุกข์ไปยังเขาอีก สุดท้าย ในทางพุทธศาสนามันคือความ ยึดมั่นถือมั่น ว่าต้องแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้

ผมยกตัวอย่างนะ ผมสนใจพุทธศาสนาสายท่าน ป.ปยุตโต ผมชอบไปฟังเทศน์ที่วัดญาณเวศกวัน ทุกเสาร์-อาทิตย์ เหมือนเป็นคอร์สประมาณปีครึ่ง ต้องตื่นเช้าไปฟัง แต่พอภรรยาตื่นสาย ก็ทะเลาะกัน ทำไมเธอช้าอย่างงนี้ ขับรถไฟก็ฟึดฟัด นี่คือจะไปฟังเทศน์นะครับ (ยิ้ม) ‘เห็นไหม ตื่นสาย’ อย่างนี้ตลอดทาง

คือ ผู้หญิงจะทำนู่นทำนี่เยอะกว่าผู้ชาย เราแป๊บเดียว เรากะเวลาแม่นมากในการออก แต่พอเขามาถ่วง เราก็หงุดหงิดจนสุดท้าย ไอ้ความรู้ที่เรารู้มาทั้งหมด มันเหมือนเอาไว้โม้ให้คนอื่นฟัง (หัวเราะ) เพราะชีวิตจริงมันคืออีกเรื่องหนึ่งเลย จุดนี้ทำให้เราหยุดและคิดว่า ความรู้ทุกอย่างสำคัญอยู่ที่การฝึก

พอเป็นคุณพ่อล่ะคะ ได้เอาความรู้มาใช้มากแค่ไหน

ช่วงเขาอยู่ในท้องเนี่ย เรียกว่าใช้ง่ายมากเพราะว่ามันเป็นเราฝั่งเดียว จนเขาโตมาซักสองขวบ จะสามขวบก็ยังง่าย เพราะเขายังทำอะไรมากไม่ได้ แต่พอเขาเริ่มมีความคิดของเขา ก็มาต่อล้อต่อเถียงกับเรา อันนี้ก็ (นิ่งคิด) บางทีถ้าเราอยู่ในจุดที่เราเครียด หรือ วุ่นวายใจ ความรู้ที่มีก็ไม่ได้ใช้อีก แต่ถ้าใจเรานิ่ง เราคลีน เรามีสติ อารมณ์ดี ก็ถือว่าบริหารจัดการกับเขาได้ง่าย

ยกตัวอย่างประกอบได้ไหมคะ

อย่างเวลาเขาทำไม่ถูก ผมพยายามจะบอกเขาว่า เขาทำไม่ถูกนะ แต่เขาก็จะบอก เปล่า เขาไม่ได้ทำแบบนั้น เช่น เขาเล่น เอาน้ำมาฉีดใส่คนอื่น พอเขาฉีดเรา แล้วเราอยู่ในจุดที่ไม่พร้อมที่จะเปียก เราก็บอก ทำไมต้องเล่นแบบนี้ เขาก็จะเฉไฉว่าเปล่า เขากดไปเฉยๆ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ซึ่งมันไม่เกี่ยวกัน เขาก็จะบอกว่าเขาไม่ได้ทำ เขาแค่กดแล้วมันก็เปียกเลย เราก็จะบอกเขาว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ เขาตั้งใจทำ

แล้วตอนนั้นคุณหมูมีวิธีการดึงสติหรือ recovery ตัวเองอย่างไรบ้าง

คือมันมีทั้งช่วงที่มีสติและช่วงที่ไม่มีสติ ถ้าช่วงที่มีสติเนี่ยก็จะเรียกมานั่งคุย เสียงเขาก็จะเบาลง แล้วเราก็จะบอกว่า รู้ไหม ถ้ากดอย่างนี้ รู้อยู่แล้วว่าน้ำมันจะกระเด็นนะ ถ้าอยากจะทดสอบเราอาจจะต้องหาจุดที่มันพร้อมเปียก ไม่ใช่ตรงนี้แต่อาจจะเดินไปในห้องน้ำ

เวลาไม่ถูก แล้วที่ถูกคืออะไร คือเราจะบอกเขาในสิ่งที่ถูก วิธีนี้ผมใช้เยอะ และค่อนข้างได้ผล

ความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกเอง มาตั้งแต่ตอนไหนคะ

มันอาจจะยังไม่ได้มาตั้งแต่แรกนะ แรกๆ เราอาจจะคิดว่า เปิดบริษัททำงาน เราจะส่งลูกเรียนดีๆ พาลูกไปเที่ยว แต่ด้วยความที่เราได้เรียนทั้งพุทธศาสนาและจิตวิทยา บวกกับการใช้ชีวิตต่างๆ แล้วพอเปิดบริษัทเอง การทำงาน รายได้ ทรัพย์สินที่เราซื้อเนี่ย มันถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึก เราพอแล้ว ไม่ใช่หมาล่าเนื้อที่ต้องไปเอามาอีกเยอะๆ อีกแล้ว

มันหลายๆ อย่าง แล้วก็ตกผลึกตอนที่เขา 2 ขวบ เราก็เลยคิดว่าเราจะหยุด จะปิดบริษัท ค่อยๆ เชิญคนออกไป ทุกคนก็บอก บ้าแล้วมึง จนตอนนี้ทั้งบริษัทเหลือผมคนเดียว ทำคนเดียวมาประมาณ 4 ปีแล้ว

ผมมองการที่เราอยู่กรุงเทพฯ มันไม่ตอบโจทย์แล้ว ค่าใช้จ่ายก็มาก สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้น้อยมาก อะไรที่จะต้องเรียนรู้เป็นโมเดลที่ต้องเติมเงินอย่างเดียว ถ้ารายได้เราเริ่มลดลงแล้วเนี่ย คงอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เลยมองต่างจังหวัด แล้วก็ไปสร้างพื้นที่ขึ้นมา

แล้วพื้นที่ที่เราจะไปอยู่เนี่ย ก็จะพัฒนาเป็นจุดที่หารายได้ได้ด้วย รายได้อาจจะน้อยลงหน่อยแต่ คิดว่าเป็นที่ที่เราน่าจะอยู่กับลูกได้ตลอด แล้วลูกก็จะได้เห็นสิ่งที่เราทำ คือทุกวันนี้ ลูกเห็นในสิ่งที่เราทำน้อย เพราะเช้ามาเราก็ออกไปข้างนอกแล้ว ไม่ได้เจอกัน

ความคิดนี้ คุณหมูคิดคนเดียว หรือคิดร่วมกับภรรยา

จริงๆ กับภรรยาเริ่มแรกก็คุย แต่ก็เหมือนทุกคนคือ ไม่มีใครโอเค

มีคนเดียวที่โอเคคือตัวเอง?

แต่เราก็ convince นะครับ ช่วงนั้นจะ search หาคนกรุงเทพฯ แล้วย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ดูว่าชีวิตเป็นอย่างไร เจอกันในอินเทอร์เน็ตก็นัดเขาไปสัมภาษณ์ (ยิ้ม) ก็พาภรรยาไปฟังด้วย เขาก็ค่อยๆ เห็นด้วยทีละนิด ทีละนิด แต่เราก็มองว่า นี่มันเป็นสิ่งที่มันควรจะเป็น บางอย่างเราก็เผด็จการเล็กน้อย (หัวเราะ)

ยอมรับว่าเราเผด็จการและมีความคิดตัวเองเป็นใหญ่?

อันนี้ใช่ครับบางทีมันก็ยังมีมุมมองตรงนี้เหลืออยู่ มันอาจจะผิดก็ได้นะแต่ถ้าในมุมนี้ผมมองว่า เขามองไม่เห็นในสิ่งที่ผมเห็นในการเลี้ยงลูก แล้วเขา (ภรรยา) ก็จะเห็นในมุมที่ผมไม่เห็นด้วย แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ฟังจากเขา

การเรียนรู้ (learning) แบบนี้ เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ยากมาก คือ แต่ละวันผมอยากจะใช้เวลาทำกิจกรรมกับลูกทั้งวัน ซึ่งในกรุงเทพฯ ผมว่ามันไม่เหลืออะไรให้ทำนอกจากไปเที่ยว เดินห้าง ไปเล่นสวนสนุก ฯลฯ อย่างทุกวันนี้ที่ง่ายที่สุดคือ ไปสวนสาธารณะกับเขา ไปออกกำลังกายเป็นหลัก

เป็นกิจกรรมที่พ่อพยายาม convince แม่เพราะพ่อคิดว่าดี อยากถามค่ะว่าคุณพ่อได้ถามลูกบ้างไหมว่าชอบแบบนี้หรือเปล่า

(พ่อหมูหันไปถามลูก) ต่อไปนี้คือบทสนทนาระหว่างพ่อลูก

พ่อ: พ่ออยากให้บี๋ไปทำกิจกรรมอะไรนะ ที่ลำปางอะ

ลูก: ทำไร่ เลี้ยงวัว

พ่อ: เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย แม่ก็จะบอกว่า เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไม่ได้อะไรใช่ไหม หม่ามี้บอกว่าอะไร

ลูก: ไม่ได้อะไรเลย ไม่ชอบ เหนื่อย

พ่อ: เราตั้งใจให้เป็นวิชาเลยนะ ตอนนี้ผมเหลือโปรเจ็คท์ด้านไอทีของลูกค้า ประมาณ 4 ที่ ครึ่งปีหลังน่าจะย้ายได้จริงๆ ผมก็ฝันว่า สำหรับลูก วิชาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเป็นสุดยอดวิชาเลยนะ พอเริ่มเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงม้า เลี้ยงวัวเลี้ยงควายจะเจอปัญหาว่า การขนฟางจากที่ที่หนึ่งมาให้มันกินในช่วงหน้าแล้งเนี่ย ใช้เงินเยอะมาก มันเหนื่อย และใช้เงินเยอะ เพราะมันตัวใหญ่และกินเยอะมาก ชาวบ้านจะลากวัวลากควายไปที่ที่มันมีหญ้า แล้วนั่งรอ

ซึ่งการนั่งรอวันละ 5-6 ชั่วโมงแบบนี้ติดต่อกันเป็นเดือน ต้องเตรียมอาหารไปกินเอง ระหว่างนั่งรอ แค่เห็นเมฆที่มันขยับ มุม แดดที่มันเปลี่ยนเงา มดที่เดินข้างๆ มันมีความเข้าใจต่อธรรมชาติสูงมาก แล้วมันไม่ต้องเป็นอะไรที่ต้องตั้งใจเรียนเลย มันรู้เองว่าแดดเวลานี้มันมามุมไหน ถ้าเจอมดเเบบนี้รังมันน่าจะอยู่แถวไหน หญ้าจะเป็นอย่างไร วิธีการหาร่มไม้ เเละถ้าพรุ่งนี้มารอวัวควายกินหญ้าเหมือนเดิม คนอย่างเราต้องวางแผนอย่างไรบ้าง มันไม่ง่าย ต้องวางแผน เรียนรู้รอบตัว

ลูก: ถ้าเกิดน้ำหมดล่ะ

พ่อ: เราก็ต้องถือให้มันเยอะขึ้น

ลูก: ถือเยอะขึ้น ถ้าเกิดแบ่งกันกิน ผมก็ต้องแบ่งให้พ่อ เดี๋ยวมันก็หมด

พ่อ: มันก็ต้องถือให้เยอะขึ้นมาอีก

ลูก: ก็หนักขึ้นจะถือได้ไง

พ่อ: ก็เข็นไปก็ได้ กินสองคนไม่เยอะหรอก

ผมมองว่าวิชาแบบนี้อาจจบได้ภายในเดือนนึงหรือเดือนครึ่ง คือจะแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวัน อย่างนี้โทรศัพท์ไม่ต้องรับเป็นวันก็ได้ ต่างจากทุกวันนี้ห้ามวางโทรศัพท์ไกลตัว ไม่งั้นมีปัญหาแน่ เพราะเรื่องงานกับชีวิต ชีวิตในกรุงเทพฯ สร้างเงื่อนไขไว้เยอะ เเต่ถ้าเราไปอยู่ที่โน่น เราค่อยๆ วางมันลงไป ให้ชีวิตประจำวันมันเป็นชีวิตจริงๆ ตรงนี้สำคัญ

ตอนลูกเกิดมาคุณหมูช่วยเลี้ยงลูกอย่างไรบ้าง

เราทำทุกขั้นตอน ทุกขั้นตอนทำแทนได้ แต่เเบ่งกันทำ ไม่ใช่ว่าต้องใครเป็นหลัก เช่น เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดตัว

มันจะมีช็อตคลาสสิกอย่างคุณแม่ให้นมตอนกลางคืน คุณพ่อตื่นมาด้วยไหม

ช็อตนี้ ครอบครัวผมจะเเตกต่างจากคนอื่นมาก ผมไม่เคยรู้เลยครับว่ามีช็อตนี้ตอนกลางคืน เพราะภรรยาเป็น full time mom ฉะนั้นจะไม่มีขวดนม เข้าเต้าเท่านั้น พอตอนกลางคืน ร้องตื่นก็เข้าเต้าไป ที่เราไปเรียนจิตวิทยามา เราจะรู้เลยว่า สมองมีความเชื่อมโยงกับสัมผัสถ้าเราให้เขาดูดจุกนม กับ ดูดจากเต้า การสันดาปออกซิเจนจะต่างกันโดยสิ้นเชิง

เเล้วพอลูกโตขึ้น คุณหมูเป็นคุณพ่อ full time แค่ไหน

เนื่องจากตอนนี้ผมยัง full time ไม่ได้ โดยเฉพาะวันทำงาน เเต่ช่วงหลังๆ มา พองานมันน้อยลงก็จะวางแผนว่า ปีหนึ่งเราจะไปเที่ยวทีหนึ่งแบบไปยาวมากๆ ประมาณ 1 เดือน เเละไปเที่ยวที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง ไม่ต้องกินอะไรข้างนอก ซื้ออาหารทำเอง พยายามจะไปเรียนรู้ที่ 1 เดือน เราได้เลี้ยงเขาเต็มที่

แล้วก็เลือกให้ลูกเรียนแบบโฮมสคูล

เป็นความตั้งใจตั้งแต่ตอนเรียนจิตวิทยา เขาสอนเรื่องโรงเรียนแบบต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ แบบวอลดอร์ฟ ไปจนถึงบ้านเรียน (homeschool) ก็ตั้งใจตั้งเเต่ตอนนั้นเลยว่าถ้าเรามีลูกเราจะเลี้ยงเเบบนี้นะ ตกลงกับภรรยาไว้ตั้งแต่แรก

วางหลักสูตรคร่าวๆ ให้ลูกเรียนอะไรบ้างคะ

ผมกับภรรยาจะวางไว้คนละเเบบ ภรรยาอยากจะเน้นให้ลูกพัฒนาด้านทักษะร่างกาย ให้เขาได้เข้าสนามเเข่งขันต่างๆ ส่วนผมมองว่าเน้นเรื่องชีวิต ยังไม่มองเรื่องความรู้ข้างนอก เช่น ชีวิตเเต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งตอนนี้วิชาของผมยังไม่ได้สอนเขานะ วิชาของผมจะถูกสอนก็ต่อเมื่อย้ายไปอยู่ที่ลำปางด้วยกัน มองไว้เป็นโปรเจ็คท์ ตั้งเเต่ life cycle เกี่ยวกับ food ทั้งหมด ตั้งเเต่การปลูกผักกินไข่ เลี้ยงไก่ จับปลามาทำอาหาร

เฟรมใหญ่ของผมคือ สังเกตฟ้าดินแล้วไปสังเกตคนเอง สังเกตผลลัพธ์ สังเกตผลการกระทำ ถ้าเราช่วยเด็กหงายเเง่มุมนี้ขึ้นมาเเละเขาสามารถกระจายไปทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐศาสตร์

ยกตัวอย่าง โตไปผมตั้งใจอยากไปถามเขาว่า ไปเดินตลาดนัดด้วยกันทำไมเงินในกระเป๋าหม่ามี้ถึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋าอีกคนได้ เพราะอะไร เพราะเขาอยากได้ของจากอีกคนหนึ่ง เเละทำไมอีกคนหนึ่งเข้าใจว่าต้องหยิบของชิ้นนี้มาวางขาย เพราะเข้าใจ need ของคนว่า คนเรามันก็อยากสุขสบาย อยากได้รสชาติหวานๆ อร่อยๆ  สุดท้ายมันเป็นการสังเกตความเชื่อมโยง พุทธศาสนาบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุเเละปัจจัย เมื่อเราเข้าใจเหตุปัจจัย จะทำให้คนนั้นไปอยู่ได้ในหลายๆ สถานการณ์

ทุกวัน บี๋(ลูก) ทำกิจกรรมอะไรบ้าง

เเต่ละวัน จริงๆ ตัวเฟรมใหญ่คือการซ้อมสเก็ตซ์ของเขา  เเม่ก็จะพาไปซ้อมกับครูและทีม ออกจากบ้านประมาณสี่โมงเย็น เเล้วกลับมานอน เเต่ถ้าตื่นมาตอนเช้า ที่บ้านค่อนข้างฟรีสไตล์ กินข้าวเช้าก่อน อาบน้ำ แปรงฟัน เเละเขาจะมานั่งเปิดคอมพิวเตอร์ ดูซีรีย์ youtube ของเขา ที่บ้านไม่เคยให้ดูทีวีเลย ผมจะเปิดใน youtube อย่างเดียว เเละเราจะเลือกวิดีโอที่เป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียว เขาจะได้ศัพท์ใหม่ๆ ในหนึ่งอาทิตย์มีอยู่หนึ่งวันที่จะเรียนวิทยาศาสตร์กับเลขขึ้นอยู่กับครูว่าจะสอนอะไร เเล้วก็อีกวันหนึ่งก็คือเรียนยิมนาสติก

แล้วมีวิธีการพาเขาเรียนรู้อย่างไรบ้าง ตอนที่ยังไม่ย้ายไปอยู่ที่ลำปาง

วันไหนมีกิจกรรมไปก็ด้วยกันตลอด เราก็จะสอนเขาตลอด เช่น เขายังอ่านไม่ได้เเข็งเเรง เเต่เขาจะรู้ว่าการอ่านคือสิ่งสำคัญ เราคุยกับเขาว่าเราจะไปที่นี่ เราต้องนั่งรถไฟฟ้าไปสถานีนี้ ถ้าเราอ่านไม่ได้จะเป็นอย่างไร เขาก็จะเริ่มรู้ว่าที่ที่เขาอยากไปถ้าอ่านไม่ออก จะไปที่นั่นก็ลำบาก เขาก็จะขาดโอกาสไปต่างประเทศ กระทั่งจะกลับบ้าน ก็ต้องอ่าน ผมจะหงายแง่มุมตรงนี้ให้เขาเห็นตลอด ให้เห็นความติดขัดในทักษะนี่ ทำให้เกิดอะไรบ้าง เขายังขาดอะไรที่ต้องพัฒนา

หรืออย่างไปอยู่กับเพื่อนๆ วัยเขา ตัวเองคือ self center อยากได้อะไร ไม่ชอบอะไร เขาจะเเสดงออกชัดเจน เช่น ถ้าอยากได้ของที่เพื่อนถืออยู่ ก็จะไปหยิบมาเลย ถ้าเป็นเราโดนแย่ง เราจะรู้สึกอย่างไร จะชวนเขาคุยเรื่องความรู้สึก พอเขาเรียนรู้ท่าทีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

มีพัฒนาการหรือสัญญาณอะไร ที่บอกว่า เรามาถูกทางแล้วบ้าง

ผมรู้สึกว่าเขามีการเรียนรู้ความรู้สึก เช่น เขาอยากจะได้ของชิ้นหนึ่ง เด็กก็จะยอมเป็นเด็กดีตามที่พ่อแม่วางไว้ เเละพอได้ของชิ้นนั้นเเล้ว หลังจากวันนั้นไปก็ดื้อ ผมก็จะชวนเขาคุยว่า พฤติกรรมแบบนี้มันทำให้อีกคนหนึ่งรู้สึกเสียใจไหม เเต่ผมจะใช้คำพูดที่ชัดเจนขึ้นมาหน่อย เช่น ถ้าคุณอยากได้ของเเล้วพอคุณได้ คุณก็ดื้ออีกเเล้ว

ความที่เราคุยกันบ่อยๆ ผมจะรู้ว่า จริงๆ เขาพยายามนะ เเต่พอวันหลังเขาทำไม่ได้ เขาก็รู้นะว่ามันไม่ดี อันนี้ก็จะเป็นมุมมองที่ผมว่าเขาได้

เขารับรู้ถึงความรู้สึกของคนอื่น?

ใช่ครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากให้เด็กได้เรียนรู้เร็วที่สุดเท่าที่เด็กจะเรียนได้ จริงๆ มันเป็นเเค่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เราเเค่หงายเเง่มุมนั้นขึ้นมาพูดคุย

อย่างช่วงที่พ่อผมเสียชีวิตอะไร ผมก็จะเเชร์ให้เขาฟังว่า พ่อของผมก็เหมือนผมกับเขา เเละคิดว่าพ่อรักไหม เเละถ้าตอนนี้พ่อจากไปเขาจะรู้สึกอย่างไร คือจะพยายามให้เขาเริ่มจินตนาการเเล้วเปรียบเทียบความรู้สึกต่างๆ

จะมีชุดความคิดว่าบางอย่างพ่อแม่ทำไม่ได้ในวัยเด็ก เเล้วพอมีลูกก็จะเอาความคาดหวังหรือความฝันของพ่อแม่มาอยู่กับลูก ชุดความคิดนี้มันส่งถึงความฝัน ความคาดหวังของคุณหมูต่อลูกมากน้อยแค่ไหน

ผมว่ามันมีนะ ยกตัวอย่างในวัยเด็ก เราอยากตีลังกา เราอยากอะไรต่างๆ เป็น เเล้วก็ลึกๆ อยากเเข็งเเรง ทุกวันนี้ก็จะพาลูกเรียนยิมนาสติก คือมันก็พูดยาก มันเป็นความอยากของพ่อที่อยากให้ลูกทำได้เเล้วเด็กก็สนุกด้วย

หรือเรื่องที่ผมพยายามสอนให้ลูกรับรู้ความรู้สึกของคนอื่น มันน่าจะมาจากตอนผมเด็ก ผมเป็นคนชอบแกล้งเพื่อน เป็นเด็กหลังห้องที่ไม่มีความเข้าใจกับเรื่องความรู้สึกเลย เอาตัวเองสนุกไว้ก่อน ขึ้นมาถึงห้องก็ไปหยิบสมุดของคนอื่นในกระเป๋ามาสลับกันๆ ผมสนุก อยู่คนเดียว เพื่อนนี่ขั้นเกลียดเลย ช่วง ม.ปลายเราเก่งคณิตมาก เป็นตัวเเทนโรงเรียนไปเเข่งขัน ก็จะชอบไปทับถมคนอื่น เเต่โชคดีพอเข้ามหาวิทยาลัย เราเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ มาเข้าทำงานเจอสิ่งเเวดล้อมที่ดี พวกนี้ค่อยๆ เปลี่ยนเรา

เคยหาคำตอบไหมคะว่าทำไมถึงเป็นคนแบบนี้

พ่อแม่สนใจใน daily operation ชีวิตมากจนไม่มีเวลามาพูดคุยกับเราเรื่องนี้เลย เช่น รู้ไหมลูกถ้าลูกทำอย่างนี้เพื่อนเขาจะไม่ชอบ บางครั้งครูเรียกผู้ปกครองไปพบ แม่ก็จะแค่บอกว่า อย่าทำแต่ไม่เคยมาคุยว่าทำอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทำให้เราไม่เคยเข้าใจคนอื่นเลย

การเรียนในโรงเรียนกระเเสหลัก เป็นปัญหาด้วยไหม จนทำให้คุณหมูตัดสินใจทำโฮมสคูล

สิ่งที่ผมจำได้ตอนมัธยม อย่างเอนทรานซ์ (สอบเข้ามหาวิทยาบลัย) วิชาฟิสิกส์ ครูในโรงเรียนสอนไม่เข้าใจ เเละผมต้องมาเรียนจากการเรียนพิเศษ เเละจริงๆ แทบทุกวิชา ผมมาเรียนจากการเรียนพิเศษเเละผมก็เอนทรานซ์ติดเพราะผมเรียนพิเศษ
ผมเลยรู้สึกว่าวิชาที่ต้องสอบเอนทรานซ์ทั้งหมดเราก็เเค่ไปส่งลูกเรียนพิเศษเอาตอนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เเละเราก็ provide ในสิ่งที่เขาจะต้องรู้ ให้เขาก่อน พอมองอย่างนี้ปุ๊บทำให้เห็นว่า ผมอาจจะต้องการโรงเรียนในระบบของผมเอง

ที่บอกว่าธงของคุณหมูคือเป็น คุณพ่อ full time มันมาตอนไหน เเล้วมีวิธีการอย่างไร

จริงๆ มาตอนที่เขาอายุประมาณ 2 ขวบ มองว่าสิ่งที่เรารู้ทั้งหมด เราอยากถ่ายทอดให้กับเขา ตรงนั้นมันเป็นจุดตัดสินใจ เลยเริ่มซื้อที่ดิน เริ่มหา location เริ่มพัฒนา เริ่มประกาศออกมาว่าเราจะปิดบริษัท

ฟังดูขวางโลกมาก มีคนขวางมากไหมคะ

ไม่มีใครเห็นด้วย เเต่นี่คือชีวิตเรา คือในมุมหนึ่งผมเป็นคนที่ถ้ารู้ว่าอะไรคือ fact อะไรคือของผม ผมก็จะแชร์ ไม่รู้สึกว่าต้องกั๊ก หรือ กันอะไร คิดอะไรได้ก็พูดออกมา ค่อนข้างตรงไปตรงมาเกือบทั้งหมด

แต่หลายครอบครัวก็มีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ อยากทำแบบนี้บ้างก็ทำไม่ได้ มีวิธีหรือคำแนะนำไหมคะ

เศรษฐกิจเป็นจุดยาก จริงๆ ผมว่าถ้าโรงเรียนไม่ดี เเล้วเรา (พ่อแม่) มีเวลาอยู่กับเขาได้มากขึ้น และชวนเขาคุยในมุมมองต่างๆ เพิ่มขึ้นมันก็โอเค

อย่ามองว่าโรงเรียนต้องเป็นคนปั้น หรือครอบครัวผลักหน้าที่การสอนและการเลี้ยงดูให้โรงเรียน จะทำให้พัฒนาเด็กได้น้อย เรา (พ่อแม่) อาจจะต้องเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งในเวลาที่ลูกไม่ได้ไปโรงเรียน เเละมองโรงเรียนเป็นเพียงสนามว่าทดสอบทักษะต่างๆ ที่เราสอนไป

พอเขาเอาไปใช้มันเวิร์คไหม ไม่เวิร์คก็ปรับแก้ จูนกันไป คิดว่าแบบนี้น่าจะเป็นมุมที่น่าจะไปด้วยกันได้กับกลุ่มที่ติดขัดทางเศรษฐกิจ

แล้วในบทบาทของพ่อแม่ อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรจะมอบให้ลูก

สิ่งที่สำคัญมากๆ เลยคือทักษะที่เขาจะหาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเองและมีกินได้ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวันช่วงจน 10 ขวบ แล้วจู่ๆ พ่อกับเเม่เสียชีวิตไป ชีวิตวันพรุ่งนี้ของเขาจะทำอย่างไร เเต่ถ้าช่วง 10 ขวบ เขาได้ออกไปจับปลา เก็บไข่ ปลูกผัก เก็บผักกิน ทำจนเป็น เเล้ววันรุ่งขึ้น พ่อแม่จากไป เขาก็เเค่ออกไปเก็บผักกิน เก็บไข่กินเหมือนเดิม เเล้วก็ค่อยไปงานศพพ่อแม่ก็ได้

Tags:

stay at home dadมายาคติการเป็นแม่พ่อเกรียงไกร นิตรานนท์

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นSocial Issues
    Stay at home dad: การปรากฏตัวของคุณพ่อเต็มเวลากับมายาคติเรื่องเพศ

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ณิชากร ศรีเพชรดี

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Family Psychology
    พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า
Creative learningCharacter building
4 April 2019

หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • การเรียนรู้นอกห้องเรียนของเยาวชน 6 คนจากชุมชนบ้านสันตับเต่า อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน กับโครงการอนุรักษ์งานจักสานที่เป็นภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน
  • ครูของเด็กๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือปราชญ์ชุมชนและธรรมชาติในท้องที่
  • อุปสรรคทำให้คนแกร่งขึ้น ทั้งความกล้าแสดงออก การฝึกสมาธิผ่านการจักสานการทำงานร่วมกันเป็นทีม การทำงานแข่งกับเวลา แต่เหนืออื่นใด โครงการกลายเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการใช้เวลาว่างของเยาวชนได้เป็นอย่างดี
ภาพ: พัชรี ชาติเผือก

ในยุคที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกหาง่ายและทนทาน ไม่แปลกที่งานจักสานจะค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีของชุมชน ขณะเดียวกัน เมื่อเราหาความเพลิดเพลินจากโลกออนไลน์ได้ง่ายกว่าการพบปะเห็นหน้า ปัญหาการใช้เวลาว่างของเด็กๆ จึงเกิดขึ้น

นี่คือ 2 สถานการณ์ ที่ชุมชนบ้านสันตับเต่า อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน กำลังเผชิญอยู่ และก็คงดิ่งลงเรื่อยๆ ถ้าไม่มีตัวดึงกราฟให้กลับขึ้นมาอย่าง โครงการอนุรักษ์การจักสาน การประดิษฐ์ และงานฝีมือของ 6 สาว เลือดใหม่กลุ่มแรกของหมู่บ้าน ที่รวมกลุ่มกันพัฒนาบ้านเกิดด้วยการชุบชีวิตงานจักสายของผู้เฒ่าผู้แก่ให้กลับมาสวยสดใส-ไม่ล้าสมัย อีกครั้ง 

ทำไมต้องจักสาน

โครงการอนุรักษ์การจักสาน การประดิษฐ์ และงานฝีมือ เกิดจาก แม่แดง-มาลัย วงค์อำนาจ ที่ปรึกษาโครงการชักชวน 4 สาวในหมู่บ้าน คือ แพร-ศิริพร บังคมเนตร, แพรว-บุษยา สิทธิตัน, อิ๋ม-กนกวรรณ มูลนำ, และ นิ้ง-บุชายา กองมา ซึ่งเป็นลูกมือช่วยทำผลิตภัณฑ์สมุนไพรชุมชนอย่างสบู่ ยากันยุง ลูกประคบ ฯลฯ อยู่ก่อนแล้ว มารวมกลุ่มทำโครงการพัฒนาบ้านเกิดร่วมกัน ซึ่ง 4 สาวที่มีไฟอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ชวนเพื่อนอีก 2 คน คือ บีม-อภิชญา มูลรัตน์ และ ทิพย์-ชรินทร์ทิพย์ หนานอิน มาร่วมทีมพร้อมทั้งแบ่งบทบาทหน้าที่กัน โดยให้นิ้งเป็นหัวหน้าโครงการ

เริ่มแรก สาวๆ สนใจเรื่องอาหาร เพราะเห็นเด็กหลายคนในหมู่บ้านมีภาวะอ้วนจากโภชนาการที่ไม่เหมาะสม จึงคิดรณรงค์เรื่องการกินผักและสมุนไพร แต่จากการประเมินแล้วพบว่ากระบวนการทำงานต้องใช้เวลานาน ทีมจึงพักประเด็นเรื่องอาหารไว้ก่อน แล้วหันมาจับเรื่องใกล้ตัวอย่างการจักสานแทน

“งานจักสานบ้านเรามีเยอะ ญาติหนูก็สานกล่องข้าว บ้านอื่นก็สานอย่างอื่น แต่มันไม่แพร่หลาย คนที่ทำเป็นคนแก่ คนในชุมชนก็ไม่ค่อยสนใจ เลยอยากอนุรักษ์และจะได้สอนน้องในชุมชนต่อด้วย” ทีมงานบอก

เมื่อได้หัวข้อ ทีมจึงลงพื้นที่เก็บข้อมูลปราชญ์ชุมชน ก่อนจะพบว่าในหมู่บ้านมีผู้รู้ด้านงานจักสานอยู่ถึง 11 คน มีภูมิปัญญางานจักสานที่หลากหลาย ทั้งก๋วยสลาก กล่องข้าว สานสุ่มไก่ ซุ้มทางมะพร้าว ดอกกุหลาบใบเตย เข่ง หิง (สวิง) กระด้ง เปาะเห็ด (ตระกร้าหาเห็ด) ข้อง และไซ ซึ่งส่วนใหญ่นี้ไม่มีผู้สืบทอดองค์ความรู้ต่อ

ทีมจึงรวบรวมกลุ่มเป้าหมายเป็นน้องๆ มัธยมต้นในหมู่บ้านจำนวน 10 คน (จากเยาวชนทั้งหมดของหมู่บ้าน 50 คน) โดยใช้วิธีการเชิงรุก บุกถามความสมัครใจถึงบ้าน

“จากนั้นเราก็ไปชี้แจงกับพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) บอกว่าพวกหนูทำโครงการเรื่องนี้ ขอใช้สถานที่ศาลากลางหมู่บ้านเป็นที่จัดอบรม ซึ่งพ่อหลวงยินดี และบอกด้วยว่าโครงการนี้ดี” แพรบอกวิธีทำงาน

หัวร้อนก็จะทำ

เมื่อกลุ่มเป้าหมายพร้อม สถานที่พร้อม ทีมก็เริ่มเคลื่อนงานด้วยการไปเรียนรู้งานจักสานจากปราชญ์ชุมชน ฝึกทำกุหลาบใบเตย ซุ้มทางมะพร้าว กล่องข้าว และก๋วยสลาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกวัสดุไปจนถึงการสานออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ โดยไปเรียนรู้ที่บ้านปราชญ์ 1 วัน พร้อมเก็บองค์ความรู้ด้วยการถ่ายวิดีโอ แล้วกลับมาฝึกเพิ่มความชำนาญด้วยตัวเองที่บ้านแม่แดงอีก 3 วัน

“เราไปเรียนด้วยกันทั้งหมดเลยค่ะ เพราะถ้าเราไม่รู้เราก็ไปสอนไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ก่อน ต้องทำได้ด้วย ไม่อย่างนั้นน้องเขาก็ไม่เชื่อ” ทีมงานเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้

นอกจากจะเป็นการศึกษาภูมิปัญญาของชุมชนแล้ว ทีมยังได้ฝึกความอดทนและพยายามด้วย

“สานใบเตยเป็นดอกไม้ยากค่ะ ต้องใจเย็นๆ ทำจนหัวร้อน ไม่อยากทำแล้วก็มี แต่เห็นเพื่อนๆ ทำกันได้ก็ต้องพยายาม เพราะเราอยากทำให้ได้บ้าง” แพรเล่าพร้อมหัวเราะ

หลังจากมั่นใจในฝีมือตัวเองระดับหนึ่ง ทีมก็เริ่มกระบวนการจัดอบรมการสานใบมะพร้าวและใบเตยให้น้องๆ โดยเชิญปราชญ์มาร่วมสอน แม้ว่าผลที่ออกมาจะมีน้องหัวร้อนหรือหงุดหงิดกันบ้าง แต่ทุกคนก็ได้เรียนรู้หลักการสาน แม้จะยังไม่ค่อยสวยมากก็ตาม

เมื่อครั้งแรกสำเร็จด้วยดี การอบรมครั้งที่ 2 จึงตามมา โดยรอบนี้เป็นการสานก๋วยสลากและกล่องข้าว ซึ่งน่าสนใจตรงที่นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นน้องๆ จากรอบแรกแล้ว ยังมีผู้ใหญ่เข้ามาร่วมเรียนรู้ด้วย

“น้องหายไปประมาณ 3-4 คนเพราะติดธุระ แต่มีผู้ใหญ่ประมาณ 10 คน มาดูแล้วก็มาทำด้วย เราก็เลยได้สอนให้เขาทำไปด้วย” ทีมงานเล่า

จากครั้งที่ 2 ต่อยอดสู่ครั้งที่ 3 ครั้งนี้พิเศษตรงที่เป็นการทำเพื่อใช้งานจริง ทีมร่วมกับน้องๆ ทำก๋วยสลากเพื่อใช้ในวันกินก๋วยสลาก งานนี้สร้างความแปลกประหลาดใจให้ผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะทุกคนล้วนพกตะกร้าพลาสติกไปร่วมงาน มีแต่ทีมเท่านั้นมาพร้อมตะกร้าสานงานประณีต 

สานไป เติบโตไป

การทำก๋วยสลากไปวัดในครั้งนั้นถือเป็นการเปิดตัวโครงการของทีมกับชุมชนอย่างเป็นทางการ ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ชี้วัดได้จากการจัดเวทีคืนข้อมูล ที่ตอนแรกทีมตั้งใจเพียงจะฉายวิดีโอสรุปงานให้ผู้ใหญ่บ้านดูเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีคนมาร่วมงานกว่า 40 คน

“เราเล่าที่มาของโครงการนี้ ให้ข้อมูลว่าบ้านเรามีปราชญ์ผู้รู้กี่คน ข้อดีข้อเสียของก๋วยสลากและกล่องข้าว เคล็ดลับการทำ เพื่อให้คนในชุมชนเห็นความสำคัญและอนุรักษ์ไว้ และก็ขอความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ด้วยว่าโครงการของเราเป็นยังไงบ้าง ผู้ใหญ่ก็ชมว่าโครงการดี ทำดี มีคนบอกว่าเราสามารถทำเป็นสินค้าโอท็อป ลงขายในเฟซบุ๊คได้ด้วย” แพรเล่าขั้นตอนการคืนข้อมูล

แพรวเสริมว่า “สิ่งประดิษฐ์บางชนิดหาวัตถุดิบยาก เช่น ใบตาล ไม้ไผ่ ลุงคนหนึ่งที่เขาขายใบเปล่าๆ ก็บอกว่าถ้าไม่มีให้ไปเอาที่บ้านลุงได้นะ คือผู้ใหญ่สนับสนุนให้ทำ สนับสนุนกันเยอะมาก” และเสริมว่า ไม่ใช่เพียงทำเพื่อใช้ในโครงการเท่านั้น แต่ทีมยังต่อยอดงานจักสานไปสู่การใช้งานจริงในชุมชน รวมถึงสร้างรายได้จากภายนอกอีกด้วย

“ถ้ามีกิจกรรมในชุมชนเราก็จะมีส่วนร่วมด้วย อย่างสานใบมะพร้าว หรืออย่างไปงานที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน เขาก็สั่งทำซุ้มทางมะพร้าว ก็ได้ค่าจ้างมา” ทีมงานเล่าด้วยความภูมิใจ

ถือเป็นความสำเร็จของทีมในแง่ผลลัพธ์ของโครงการ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความสำเร็จส่วนตัว ที่สมาชิกทีมแต่ละคนได้ฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ในการทำงานจริง

“ทำโครงการกันมา 7 เดือน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็คือ เป็นคนตรงต่อเวลามากขึ้นค่ะ (หัวเราะ) แม่แดงนัดไปอบรม แต่ตื่นสายกัน แม่แดงก็บ่นว่าไปกับผู้ใหญ่ไม่ควรให้ผู้ใหญ่มารอ หลังจากนั้นก็ไม่สายกันอีกเลย” แพรวย้ำถึงความเปลี่ยนแปลง

อิ๋มเสริมว่า “จากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยคุยกับใคร เรียนอย่างเดียว ออกไปเที่ยวไม่ได้เพราะป้าหวง ไม่สนิทกับคนในชุมชนเท่าไหร่ พอได้มาทำโครงการก็ทำให้หนูกล้าแสดงออกมากขึ้น”

ขณะที่นิ้งเล่าถึงปัญหาที่ทีมประสบว่า “ปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการหน้าที่ของสมาชิกในทีมได้ไม่ดีพอ โดยเฉพาะการมอบหมายหน้าที่ที่สมาชิกไม่ถนัด ส่วนปัญหาใหญ่ๆ ที่เจอก็นัดมาทำคลิปวิดีโอกัน แต่เพื่อนไม่ช่วยเลย เอาแต่เล่นเกมกัน ก็เลยเสียใจ ถอดใจจะไม่ทำแล้ว หรืออย่างให้ช่วยพิมพ์งาน เขาก็พิมพ์ได้ไม่ดี ก็ต้องมาไล่แก้ทุกอย่าง เหมือนทำเองหมดเลย”

แม้เด็กๆ จะท้อกับปัญหา แต่แม่แดงเล่าถึงความพยายามแก้ปัญหาของสมาชิกในทีมว่า “แม่แดงบอกเด็กๆ ว่า นิ้วมือคนเรายังไม่เท่ากันเลย ทุกคนจึงทำได้ไม่เหมือนกัน และเราจะเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ น้องต้องดึงเอาความสามารถของแต่ละคนออกมา เก่งเรื่องไหนให้เขาทำเรื่องนั้นเขาถึงจะสนใจ และไม่ควรไปพูดลดทอนกำลังใจ มันไม่ดี ซึ่งสุดท้ายเด็กๆ เขาก็ช่วยดึงกันมาได้ค่ะ”

เพราะอุปสรรคทำให้คนแกร่งขึ้น เช่น สมาชิกทีมทุกคนที่ต่างก็เติบโตขึ้น ด้วยทักษะหลายๆ ด้านที่แต่ละคนได้เรียนรู้ ทั้งความกล้าแสดงออก การฝึกสมาธิผ่านการจักสานทำให้หลายคนนิ่งและใจเย็นขึ้น ได้ฝึกการทำงานร่วมกันเป็นทีม การทำงานแข่งกับเวลา แต่เหนืออื่นใดก็คือ โครงการได้กลายเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการใช้เวลาว่างของเยาวชนได้เป็นอย่างดี

ชวนเพื่อนปลุกพลังด้านบวก

ที่ผ่านมาน้องๆ บ้านสันตับเต่าหลายคนจึงละลายเวลาที่มีอยู่ให้หมดไปด้วยการเล่นเกม ไม่มีกิจกรรมใดอื่นนอกบ้าน จนกระทั่งโครงการนี้เกิดขึ้น หลายคนจึงเหมือนถูกปลุกพลังด้านบวกที่มีอยู่ในตัว ให้ลุกขึ้นมาใช้เวลาในการพัฒนาชุมชน ด้วยการอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นรากเหง้าของตัวเอง

“เมื่อก่อนเป็นคนที่ทำตัวไร้สาระค่ะ (ยิ้ม) ทำตัวไม่มีประโยชน์ อยู่บ้านไปวันๆ เที่ยวเตร่กับเพื่อนตามประสาวัยรุ่น แต่หลังจากได้มาทำโครงการ ก็รู้สึกว่าทำตัวมีประโยชน์มากขึ้น ได้รู้ศักยภาพตัวเองว่าตัวเองทำได้ ไม่ดูถูกตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ได้รู้ว่าเราก็มีความสามารถค่ะ” แพรเล่าด้วยรอยยิ้ม

“ได้มาทำงานร่วมกับเพื่อนๆ จัดกิจกรรมกับคนในชุมชน ได้พบปะคนมากขึ้น ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากการเรียนในโรงเรียนค่ะ แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ๆ มากขึ้นด้วย เช่น การถ่ายภาพ การทำวิดีโอ ซึ่งนำมาใช้กับการทำโครงงานที่โรงเรียนได้ รู้อย่างนี้ออกจากบ้านมาตั้งนานแล้ว” บีมเสริมอย่างร่าเริง

ความเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ คือผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ผลสัมฤทธิ์หลักของโครงการเองก็ได้ตามเป้าหมาย นั่นคือทำให้ชุมชนหันมาตระหนักและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นมากขึ้น ผ่านทางกระบวนการเวที และเครื่องมือที่ช่วยให้ชุมชนเห็นถึงความเชื่อมโยงของภูมิปัญญากับวิถีแห่งธรรมชาติ 

“เราออกแบบและทำแผนที่หมู่บ้านด้วย บอกว่าบ้านเรามีอะไรบ้าง ใส่ตำแหน่งบ้านผู้รู้ สถานที่สำคัญ แล้วก็ทำปฏิทินซึ่งทำให้เห็นว่าเครื่องจักสานจะสอดคล้องกับฤดูกาลและกิจกรรมของหมู่บ้าน เวลาหน้าร้อนเขาจะสานเข่งไปใส่หอม หน้าฝนจะสานหิ้ง ไซ ตะกร้าเพาะเห็ด ตะกร้าใส่เห็ด หน้าหนาวก็จะเป็นก๋วยสลาก

และสิ่งที่ภูมิใจก็คือได้เห็นเอกลักษณ์ของชุมชนเราที่มีที่เดียว อย่างกล่องข้าวของที่อื่นเขาจะสานเป็นลายวน แต่บ้านเราสานแบบไขว้ขึ้น คือถ้าเห็นก็จะรู้เลยว่า นี่เป็นของที่สันตับเต่าค่ะ”  ทีมงานเล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ

Tags:

active citizenproject based learningศิลปหัตถกรรมเกม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    “เจอปัญหาแล้วสู้ ไม่ดูดาย” คืนสปิริตลำพูนสู่เยาวชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

การสื่อสารอย่างสันติไม่ใช่การต่อสู้ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับมาเข้าใจความต้องการของตัวเอง
How to enjoy life
3 April 2019

การสื่อสารอย่างสันติไม่ใช่การต่อสู้ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับมาเข้าใจความต้องการของตัวเอง

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • จะทำความเข้าใจคนที่เราโกรธ เกลียด ไม่ชอบ ไม่สนใจ ไม่แม้แต่อยากจะทำความเข้าใจ ได้อย่างไร?, บางครั้งเราอยากสื่อสารอย่างสันติกับคู่กรณีมาก แต่เค้าไม่ให้ความร่วมมือเลย แบบนี้จะทำอย่างไรดี, แม้เรา ‘เข้าใจ’ ความต้องการของเราและคู่กรณี แต่เป็นความเข้าใจของเราฝ่ายเดียว มันจะเปลี่ยนอะไรได้จริงหรือ?
  • คุยกับ ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ นักฝึกอบรมจาก Peace Academy และ จันทร์ทิพย์ ปิยะวรธรรม ผู้ก่อตั้ง ‘บ้านขวัญเอย’ ถึงกระบวนการภายใน ตั้งหลักทำความเข้าใจตัวเองก่อนเข้าใจคนอื่นผ่านกระบวนการสื่อสารอย่างสันติ

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ผู้เขียนมีโอกาสร่วมเวิร์คช็อปสั้นๆ เพียง 3 ชั่วโมง (แต่เวิร์คช็อปมี 2 วันเต็ม) ในหัวข้อ ‘การสื่อสารอย่างสันติ เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองและความแตกต่าง’ จัดโดยทีม โรงน้ำชา (Togetherness for Equility and Action – TEA)

จุดประสงค์เพียงว่า เพราะเคยแต่ศึกษาวิธีสื่อสารอย่างสันติเพียงหน้ากระดาษ (เพื่อเขียนงานชิ้น หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ) เข้าใจหลักการเบื้องต้นและรู้ว่าจะสื่อสารออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนและลดความขัดแย้งอย่างไร แต่ถ้าคำพูดหรือพฤติกรรมที่แสดงออก เปรียบเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง, การปรับใจ ปรับความคิด ทำความเข้าใจเจตนาและความต้องการของตัวเองอย่างจริงจัง เปรียบเป็นส่วนฐานของภูเขา เป็นการทำงานภายในตัวเอง ‘ก่อน’ จะสื่อสาร ซึ่งข้อนี้… อาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่ามาก

การได้พบกับ ดร. ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ นักฝึกอบรมจาก Peace Academy ด้านการสื่อสารอย่างสันติและการพัฒนาจิตวิญญาณ ผู้เริ่มต้นนำแนวคิดนี้เข้ามาฝึกสอนให้กับผู้สนใจ และ จันทร์ทิพย์ ปิยะวรธรรม ผู้ก่อตั้ง ‘บ้านขวัญเอย’ ห้องเรียนด้วยกระบวนการศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเข้าใจตัวเอง ในฐานะกระบวนกรนำเวิร์คช็อปในวันนั้น เราจึงถือโอกาสเปิดวงสนทนาคุยสั้นๆ เรื่องการ ‘ปรับใจ’ หรือการทำงานภายใน ก่อนการสื่อสาร ด้วยคำถามไม่กี่ข้อ เช่น

เราจะทำความเข้าใจคนที่เราโกรธ เกลียด ไม่ชอบ ไม่สนใจ ไม่แม้แต่อยากจะทำความเข้าใจ ได้อย่างไร?, บางครั้งเราอยากสื่อสารอย่างสันติกับคู่กรณีของเรามาก แต่เค้าไม่ให้ความร่วมมือเลย แบบนี้จะทำอย่างไรดี หรือ แม้เรา ‘เข้าใจ’ ความต้องการของเราและคู่กรณี แต่เป็นความเข้าใจของเราฝ่ายเดียว มันจะเปลี่ยนอะไรได้จริงหรือ?

แม้เบื้องต้นเราอยากโฟกัสถึงกรณีความขัดแย้งในบ้านและโรงเรียน แต่ในเมื่อการสื่อสารคือชีวิต ประเด็นในบทความนี้จึงนำไปใช้ได้หลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในบ้าน รั้วโรงเรียน และ โลกของการทำงาน

การสื่อสารอย่างสันติ

‘การสื่อสารอย่างสันติ’ (nonviolent-communication) เรียกสั้นๆ ว่า NVC  คือวิธีสื่อสารด้วยความตระหนักรู้ว่า ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความต้องการ’ ของตัวเองคืออะไร

ที่โกรธ ที่ไม่พอใจ หรือหลายครั้งเป็นความปั่นป่วนภายในที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะความต้องการใดอย่างหนึ่งไม่ได้รับการตอบสนอง เมื่อความต้องการไม่ถูกตอบสนอง เราจึงเกิดความรู้สึกบางอย่างโดยเฉพาะความรู้สึกเชิงลบ (เช่น เพราะต้องการความเคารพจากเพื่อนร่วมงาน เมื่อถูกเพื่อนร่วมงานตำหนิซึ่งหน้า จึงรู้สึกโกรธและแค้นใจ)

เบื้องต้น การใช้ NVC ไม่ว่าจะเป็นการบอกความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง หรือ เพื่อเป็นเครื่องมือรับฟังความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ประกอบไปด้วย 4 อย่างคือ

การสังเกต (Observations): สังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

ความรู้สึก (Feelings): เรารู้สึกอย่างไร

ความต้องการ (Needs): ที่รู้สึกอย่างนั้น เกิดจากความต้องการของเราในเรื่องอะไร

การร้องขอ (Requests): เราจะขอให้ผู้ฟัง ทำหรือตอบสนองในสิ่งที่เราต้องการอย่างไร

หากเปรียบคำพูดหรือการกระทำเป็นภูเขาน้ำแข็ง การ ‘พูดจา’ ด้วยภาษา NVC เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขา แต่การค้นว่าความรู้สึกหรือความต้องการ คือก้อนน้ำแข็งที่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำ อีกบทบาทหนึ่งของ NVC คือวิธีการเพื่อกลับไปตรวจทานความต้องการภายใน หรือเหตุผลลึกลงไปที่กำหนดพฤติกรรมของเรา

ข้างต้นคือหลักการ แต่วิธีค้นให้ลึกว่าความต้องการของเราต่อสถานการณ์นั้นๆ คืออะไร ทำได้หลากวิธี โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับตัวเองหลากมิติ แต่ในเวิร์คช็อปที่โรงน้ำชา กิจกรรมหนึ่งที่ผู้เขียนเข้าร่วมคือ การตั้งวงสนทนาโดยใช้การ์ดคำศัพท์ ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความต้องการ’ ซึ่งเรื่องเล่าในวง ถูกขอให้ระดับความแรงของปัญหาอยู่ในระดับ 3-4 (รุนแรงสูงสุดอยู่ที่ระดับ 10) วิธีการเล่นคือ ให้แต่ละคนเล่าเรื่องภายในที่ตัวเองรู้สึกติดค้าง หาคำตอบไม่ได้ สลัดไม่หลุด เมื่อเล่าจบ ให้ผู้เล่าหยิบการ์ด ‘ความรู้สึก’ ของตัวเองออกมา 3 ใบ หลังจากนั้นให้ผู้ฟังหยิบการ์ด ที่คิดว่าเป็น ‘ความต้องการ’ ของผู้เล่าออกมา เป็นการฝึกเพื่อรับฟังอย่างเข้าใจ

บทสรุปหนึ่งที่ผู้ร่วมเวิร์คช็อปช่วยกันสะท้อนคือ แม้ปัญหาของผู้เล่ายังไม่คลี่คลาย สถานการณ์ทุกอย่างยังอยู่คงเดิม แต่เมื่อป้ายความต้องการปรากฏ จังหวะที่ผู้ฟังแสดงความต้องการลึกๆ ของเจ้าของเรื่องออกมาได้ คล้ายว่าความหนักอกหนักใจคลี่คลาย ความทุกข์ร้อนใจกว่าครึ่งหายไปจริง

“พอค้นเจอว่าความต้องการของเรามีชื่อเรียกว่าอะไร ความเข้าใจก็เริ่มปรากฏ” หนึ่งในผู้ร่วมเวิร์คช็อปอธิบาย

และนี่คือหนึ่งใน ‘ฟังก์ชัน’ หรือ ‘ปรัชญา’ ของการสื่อสารสันติ ไม่ใช่แค่การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาอย่างกรุณา แต่คือความเข้าใจตัวเองและคนอื่นด้วยว่า ที่รู้สึกแบบนั้น เพราะความต้องการอะไร และเมื่อเข้าใจ หลายครั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและคนรอบข้างก็เปลี่ยนแปลง

กิจกรรมหนึ่งในเวิร์คช็อป คือการให้คนสองคนเอามือดันกันสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งให้ดันหรือผลักกันอย่างไม่คิดอะไร ครั้งที่สอง ให้หนึ่งในสองคนนั้นยืนหยัดโดยคิดว่าตัวเองคือต้นไม้กำลังหยั่งรากยาวลึกลงดิน หลายคนสะท้อนว่าการผลักครั้งที่สอง ผู้ที่เป็นฝ่ายตั้งหลักนิ่งขึ้น มี reaction ต่อแรงผลักอย่างมั่นคงมากกว่า ในกิจกรรมนี้ คุณอธิบายว่ามันคือการ ‘ตั้งแกน’ มันคืออะไร?

จันทร์ทิพย์ :เวลาเราคุยกัน เค้าใส่ไป เราใส่มา มันคือการสู้กันในระดับหัว บางครั้งคล้ายว่าเราถูกดูดกลืนพลังงาน ใจเราสั่นไหว การตั้งแกนก็คือการกลับมา center ที่ตัวเอง มีสติ รับรู้ทุกส่วนในร่างกายของเรา ในขณะเดียวกันมันก็กลับไป connect ที่เจตจำนงค์ หรือ intension ของเราด้วย ถ้ามองที่ระดับของภูเขาน้ำแข็ง คล้ายว่าเรากลับไปมอง ไปเชื่อมว่าความต้องการของเราคืออะไร

จริงๆ แล้วมันก็เหมือนการกลับมาหาพลังที่เป็นศูนย์กลางของเรา คือ awareness กับระบบในร่างกาย กับความคิด ความรู้สึก ให้เจตจำนงค์มันหยั่งลง ชัดเจน มั่นคง

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามสาดคำพูดและพลังงานลบใส่เรา ถ้ามัวแต่ตั้งแกน เราสู้เค้ากลับไปไม่ทัน?

ไพรินทร์ : NVC ไม่ใช่การการต่อสู้ ไม่ใช่การตอบโต้ เพราะแนวคิดการต่อสู้ คือ ‘ถ้าไม่สู้ ก็หนี’ ‘fight หรือ flight’ ถ้าเราด่า เท่ากับเรา fight เค้ากลับ ถ้าเราด่าไม่ไหว เซ็งมากแล้ว เราก็หนี ไม่ไปเผชิญหน้ากับเค้า NVC ไม่ใช่ทั้ง ‘fight หรือ flight’ แต่เป็นการกลับมาตระหนักรู้ถึงสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา เป็นการสื่อสารแบบสันติวิธี ซึ่งไม่ใช่ ‘fight หรือ flight’

เช่น อย่างที่แชร์ในวงเวิร์คช็อป พี่มีปัญหากับแม่ แม่มาตัดต้นไม้ที่เค้าเห็นว่ามันไม่ให้ผลที่กินได้ ถ้าพี่จะสู้กลับ พี่ก็ไปว่าแม่ หรือไม่ก็เลิกคุยกับแม่ไปเลยเพราะเบื่อ ปล่อยให้แม่จัดการไปตามสบาย แต่สิ่งที่พี่ทำคือ ตั้งหลักก่อน กลับมา connect กับตัวเองว่าอะไรสำคัญสำหรับพี่ หนึ่งคือ พี่อยากทำให้บ้านร่มเย็น อยากให้แม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่พี่ทำว่ากำลังทำเพื่อช่วยให้บ้านร่มเย็น นี่คือแกนของพี่ “โอเค ชั้นทำเพื่อสิ่งนี้อยู่นะ ชั้นกำลังทำอะไรสักอย่างเพื่อครอบครัว” เมื่อระลึกถึงจุดนี้ ถ้าพี่ต่อว่าแม่กลับ มันจะไม่ใช่สิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำจากการปลูกต้นไม้ และแม่จะไม่เข้าใจ ไม่เห็นคุณค่าการปลูกต้นไม้ของพี่

ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์หรือ

พี่กลับมาทำความเข้าใจ โทรฯ หาเพื่อนที่ให้ความเข้าใจกับพี่ได้ พอได้รับความเข้าใจ ตั้งหลักได้แล้ว มีแกนแล้วว่าเราทำเพื่อครอบครัว จากจุดนี้พี่กลับเข้าบ้านไปฟังแม่ได้แล้วว่า การดึงต้นไม้ทิ้งมันเป็นเพราะอะไร “อ๋อ… แม่อยากปลูกต้นไม้ที่กินได้” “อ๋อ แม่อยากทำให้ครอบครัวมีอาหารกิน ปลูกต้นไม้ที่ทุกคนกินได้” เฮ้ย… พอดูลงไป แม่มีความตั้งใจอยากทำอะไรเพื่อครอบครัวเหมือนเราเลย และเค้าอยากให้เราเห็นคุณค่าตรงนี้ด้วยเหมือนกัน พอเห็นแบบนี้ปุ๊บ ข้างในมันลดความเป็นศัตรูที่อยากเอาชนะแม่

แต่ความต้องการอยากจะได้ต้นไม้ต้นนั้นของเรา จะไม่ถูกตอบสนอง

ไพรินทร์ :และพี่ทำยังไงรู้มั้ย? พอเห็นความต้องการทั้งสองฝั่ง พี่อยากปลูกต้นไม้ให้ร่มเย็นเพื่อครอบครัว แม่อยากปลูกต้นไม้ที่มีผลเพื่อให้คนในครอบครัวกินได้ วันรุ่งขึ้นหลังจากเข้าใจตัวเอง มีหลักแล้ว พี่ไปพูดกับแม่ “เออแม่ ต้นตีนเป็ด ตัดแล้วก็แล้วไป เรามาปลูกมะม่วงกันดีมั้ย” พี่ได้ร่มเงาจากมะม่วง แม่ได้ผลจากมะม่วง วิน-วิน ทั้งสองฝั่ง

ไม่จำเป็นต้องตั้งแกนให้ได้ระหว่างที่คุยและสื่อสารกลับไปเดี๋ยวนั้น แต่กลับไปทำความเข้าใจตัวเอง ซึ่งอาจใช้เวลา?

จันทร์ทิพย์ :มีการตั้งแกนเพื่อสื่อสารกลับไปขณะนั้นด้วย เช่น ครั้งหนึ่งพี่ต้องดูแลหลานซึ่งเป็นลูกคุณอา เด็กๆ มีพี่น้อง 4 คน คนที่ต้องดูแลคือน้องสองคนสุดท้าย ป.4 กับ อนุบาล 3 วันนั้นพี่มาเวิร์คช็อปแบบนี้แหละ กลับถึงบ้านก็เหนื่อย อยากพัก ขณะที่กำลังนอนพัก เราได้ยินเสียงกรี๊ดจากเด็กๆ เค้ากำลังทะเลาะกัน ซึ่งในฐานะที่เราเคยเป็นครูมาก่อน มี mindset บางอย่างเกี่ยวกับการศึกษา การทะเลาะกันแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่เราไม่โอเค ขณะนั้นเราเริ่มหงุดหงิด พอเดินเข้าไปหา เห็นตัวเล็กกำลังดึงผมคนพี่ เมื่อเห็นความรุนแรงก็ยิ่งปรี๊ด

พอปรากฏการณ์ตรงหน้าลากพาเราไป เราก็เริ่มเคลื่อนไหว แกนหรือความมั่นคงภายในเริ่มสั่นคลอน พี่ก็ไปแย่งของเล่นกับเค้า กลายเป็นเจ้าคนเล็กเปลี่ยนคู่มาทะเลาะกับพี่ต่อ ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับแม่ลูกหลายบ้านมาก แม่ลูกทะเลาะกัน เราเข้าไปห้าม กลายเป็นการเปลี่ยนคู่ทะเลาะ ตอนพี่ต่อสู้กับเจ้าตัวเล็กนี่กลายเป็นสนามอารมณ์เลย
ขณะจับเค้าปิดประตูเพื่อ time out เค้าก็จะดึงประตูออก ขณะนั้นพี่รับรู้สภาวะบางอย่าง เกิด awareness เกิดสติ พี่คิดว่าแกนของพี่เริ่มปรากฏขึ้น พี่รับรู้ร่างกาย รับรู้อารมณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น รู้แล้วว่าเรากำลังโกรธนี่นา ซึ่งมันง่ายมากในการรู้ว่าเรากำลังโกรธนะ แต่เจ้าตัวไม่รู้เพราะกำลังถูกพลังงานพัดพาเพื่อจะเอาประเด็นว่า “ต้องหยุดเด็กคนนี้ให้ได้” ไม่กลับไปที่ความรู้สึก เห็นแต่การกระทำว่าชั้นต้องหยุดเด็กคนนี้ให้ได้

แต่พอกลับไปที่ความต้องการว่า “ชั้นมาดูแลเด็กเหล่านี้เพราะชั้นต้องมาให้ความเข้าใจ ให้ความรัก แทนแม่ของเค้าที่เสียชีวิตไป แต่นี่ชั้นกำลังทำอะไรอยู่?” แล้วก็กลับมาตระหนักถึงแกนที่หยั่งลงไปถึงเป็นความหมายบางอย่างในชีวิตเรา ขณะนั้น ฟึ่บ! ความรู้สึกโกรธทั้งหลายมันหาย แล้วพอเกิด awareness ในตัวเอง ก็เกิด awareness ในคนข้างๆ

การเข้าใจตัวเองจนเกิด awareness ทันเวลา ต้องฝึกใช่มั้ย? จะเกิดกับคนที่ไม่ฝึกได้หรือเปล่า?

ไพรินทร์ : มันก็แล้วแต่นะ บางคนเค้ากลับไปมีสติได้เร็ว เป็นความสามารถของเค้าเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ายิ่งฝึกมากก็ยิ่งเก่งขึ้น เหมือนทางเดินบนสนามหญ้า เดินทางเดิมบ่อยๆ หญ้าก็เตียน เช่น เวลาใครว่ามาบ่อยๆ เราว่ากลับ ทางเดินนี้ก็กลายเป็นทางเดินที่ชัดเจน แต่ถ้าเราเริ่มฝึกทางใหม่ หญ้ายังรกครึ้ม ก็ต้องฝึกบ่อยๆ หญ้าจึงจะเตียน

จันทร์ทิพย์ ปิยะวรธรรม

จันทร์ทิพย์ : เวลามีเรื่องเข้ามา แทนที่จะเข้าทางเดิมก็เดินไปเข้าทางใหม่ แล้วทางเดินเก่าที่เราชอบเดินเวลาทะเลาะหรือเถียงกับเค้า ถ้าเราไม่กลับไปเดินทางนั้นบ่อยๆ หญ้ามันก็จะขึ้นรกปิดทางเดิมนั้น

ไพรินทร์ : แต่มันเกิดขึ้นได้กับบางคนไม่เคยฝึกนะ

ที่เคยรับรู้ มีคุณลุงคุณป้าคู่หนึ่ง ใช้ชีวิตด้วยกันมาก็ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยว่ากันเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยเข้าเวิร์คช็อป เช่น ลุงทำแก้วแตก ป้าบอกว่าก็จะไม่ว่าลุง ให้เหตุผลว่า เพราะแก้วมันแตกแล้ว จะไปว่าคนอื่นทำไมให้ใจเค้าแตกด้วย

เราจะใช้ NVC กับคนที่ไม่รู้จัก NVC ได้มั้ย?

ไพรินทร์ :ใช้ได้นะ

แต่ขอให้ระลึกไว้ว่าเป้าหมายของ NVC ไม่ได้ทำเพื่อเปลี่ยนแปลงใครอีกคน แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สร้าง connection ระหว่างกัน แม้เราอาจไม่เปลี่ยนเลยนะ แต่เราจะเข้าใจลงไปลึกๆ ว่า ที่เค้าเป็นแบบนี้เพราะอะไร?

แค่เราเข้าใจ ก็โอเคแล้วหรือ?

ไพรินทร์ : เมื่อกี๊ที่เราเล่นไพ่ สถานการณ์ข้างนอกของเรายังเหมือนเดิมเลย ปัญหายังไม่ได้รับการแก้เลย แต่พอเรามีความเข้าใจ ข้างในมันเปลี่ยน มาร์แชล โรเซนเบิร์ก (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา NVC และนักไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระดับโลก) บอกว่า สิ่งแรกที่ต้องปล่อยวางในการฝึก NVC คือ ความคิดว่าเราจะทำให้คนอื่นเปลี่ยนได้

ตอนทำความเข้าใจเรื่องนี้ เราคิดว่าจะใช้การสื่อสารแบบ NVC เพื่อเปลี่ยนความคิด การกระทำคนอื่นได้?

ไพรินทร์ : แต่มันไม่มีทางที่เราจะเปลี่ยนคนอื่นได้ ถึงแม้เราพยายามแค่ไหน ดูตัวเราเอง แค่จะเปลี่ยนตัวเองยังยากเลย

จันทร์ทิพย์ : แต่ขณะที่เราฝึกไปเรื่อยๆ การใช้ชีวิตของเราจะเปลี่ยน การพูด การเผชิญกับปัญหาของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในเวิร์คช็อปพูดกันว่า

“เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรใคร แต่โลกจะเปลี่ยนเมื่อไป เมื่อข้างในใจเราเปลี่ยนแปลง”

พอทำไปสักพัก เราจะเห็นว่าแม่เราเปลี่ยน แต่แม่ไม่ได้เปลี่ยนในแง่พฤติกรรมนะ ความรู้สึกของเราที่มีต่อแม่ต่างหากที่จะเปลี่ยนไป ด้วยความที่เราเข้าใจเค้าลึกลงไป จากเดิมที่เอะอะก็โกรธ เอะอะก็เถียง เราจะเริ่มเข้าใจ หรือมีความกรุณากับแม่มากขึ้น แล้วพอความคิดเราเปลี่ยน พลังงานเราเปลี่ยนนะ ท่าทีเปลี่ยน คำพูดเปลี่ยน บรรยากาศระหว่างกันเปลี่ยน การกระทำเปลี่ยนหมดเลย

พอเราเปลี่ยน มันก็เป็น action และ reaction พอเราขยับองศา สักพักเค้าจะงงๆ เช่น “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทะเลาะกับลูกประจำเพราะมันชอบบ่นแม่ แต่พักหลังลูกแปลกๆ นะ พูดอะไรลูกก็ไม่บ่นไม่อะไร” สักพักแม่ก็จะเริ่มใจเย็นได้มากขึ้น เพราะสนามพลังของเรากับแม่เปลี่ยน แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนเพราะเราบอกให้เค้าเปลี่ยน และเราก็ไม่รู้เลยว่าเค้าจะเปลี่ยนตอนไหน แต่เราจะใส่สนามพลังงานนี้ไปเรื่อยๆ สะสมไป แล้ววันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เค้าอาจจะเปลี่ยน หรืออาจไม่เปลี่ยนเลยก็ได้ในชีวิตก็ได้นี้นะ เพราะเราเป็นแค่หนึ่งในปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดของเค้า

ในกรณีที่เรารู้วิธีทำความเข้าใจทั้งตัวเองและเค้า สร้างพื้นที่ เปลี่ยนอุณหภูมิหรือสนามพลังในบ้านได้ แต่เราโกรธมากจนไม่แม้แต่อยากจะเข้าใจ ทำได้มั้ย?

ไพรินทร์ : เวลาเราขึ้นไปเครื่องบิน หากเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วมีสายออกซิเจนตกลงมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือใส่สายออกซิเจนให้ตัวเองก่อนจะใส่ให้ใครอีกคน ‘ความเข้าใจ’ ก็คือออกซิเจน ถ้าข้างในเรามีออกซิเจนไม่พอ เราก็ไม่มีความสามารถจะไปช่วยคนอื่นได้ หลายคนมาทำงานเรื่องภายในกันมากก็เพื่อเติมออกซิเจนนะ เติมความเข้าใจให้ตัวเองก่อน มันไม่มีความสามารถนะถ้าเรายังเลือดอาบ แผลเปิดเหวะหวะ พอมีคนมาด่าเราแล้วเราจะแบบ โหย… ให้ความเข้าใจเค้าทันควันโดยที่เรายังไม่ได้ทำแผลให้ตัวเองเลย

อันนี้ก็เป็นตัวอย่างเว่อวังไปหน่อยนะ ตัวอย่างที่ใกล้ตัวมาหน่อย เช่น วันนี้ที่เราเล่นไพ่กัน มีคนมาเข้าใจเราว่าขณะนี้เราต้องการอะไร ข้างในเรามันก็เปลี่ยนจากการที่ได้รับความเข้าใจจากเพื่อน

ในระดับความบาดหมางทางใจ การทำความเข้าใจเค้าและเราเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่ในกรณีที่ต้องการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของคนตรงข้ามบางอย่าง จะทำหรือคิดอย่างไรดี

จันทร์ทิพย์ : เราอาจคิดว่ามันมีทางเดินแค่ทางเดียวเพื่อจะได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น เราอยากจะบอกให้แม่หยุดพฤติกรรมนี้ วิธีการของเราคือพูดกับแม่ว่า ‘หยุด หยุดทำเถอะ หยุดบ่น’ แล้วเราก็คุ้นเคยกับวิธีการนี้ แต่ถ้าทำอย่างเดิมแล้วไม่ได้ผล แสดงว่าวิธีการนี้ทำต่อไปไม่ได้

แต่พอเรากลับไปที่ความต้องการ จะเห็นว่ามีวิธีการหลากหลายที่จะไปถึงความต้องการนั้น เช่น ถ้าเราชัดเจนว่าต้องการความสุขในบ้าน แล้วแม่ขี้โกรธ เราอาจลองพาแม่ไปข้างนอกบ้านบ้าง ไปผ่อนคลาย หรืออาจเปลี่ยนจากการพูดว่า “แม่อย่าทำแบบนี้” เป็น “วันนี้หรือตลอดทั้งอาทิตย์ชั้นจะชมแม่ ชั้นจะหาทุกจุด ไม่ให้พลาดแม้แต่จุดเดียว” มันมีวิธีอื่นๆ ที่จะสร้างความสุขได้หลากหลายแบบ เพียงแต่ให้รู้ชัดว่า “ความสุขคือความต้องการของเรา”

ทั้งหมดที่เราคุยกันเป็นความสัมพันธ์ภายในบ้าน ซึ่งความรุนแรงจากเต็ม 10 อาจอยู่แค่ระดับ 3 แต่ในระดับที่ใหญ่กว่านั้น NVC ทำงานได้ถึงระดับไหน?

ไพรินทร์ :มีอยู่เคสหนึ่งที่บราซิลเป็นการทำงานเยียวยาในกระบวนการยุติธรรม ลูกชายของผู้หญิงคนหนึ่งถูกวัยรุ่นฆ่า ผู้กระทำถูกตัดสินจำคุก แต่กระบวนยุติธรรมของเค้าเอาผู้กระทำออกมาคุยกับแม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกระทำได้ ซึ่งเคสนี้ใช้ NVC ใช้การรับฟังและใช้ชุมชน มาร่วมรับฟังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย

กระบวนการไม่ได้หาว่าผู้กระทำผิดเพราะอะไร แต่มองลึกลงไปว่า “ที่ทำ ทำเพราะอะไร?” คนกลางช่วยให้ผู้กระทำเข้าใจตัวเองได้ จนมีออกซิเจนพอจะมาฟังแม่ของคนเค้าฆ่าได้ ในที่สุด ผู้กระทำสามารถฟังความรู้สึกของแม่ผู้ตายได้ด้วยว่า ในฐานะแม่ เค้ารู้สึกสูญเสียขนาดไหน เคสนี้จบที่สองคนนี้มีข้อตกลงกันว่า ทุกวันของสัปดาห์ซึ่งเป็นวันที่ลูกของผู้หญิงคนนี้ถูกฆ่า วัยรุ่นคนนี้จะออกจากคุกมานั่งกินน้ำชากับแม่ คือมันมีพลังเยียวยาได้ขนาดนั้น

แต่คนตรงกลางสำคัญ เพราะต้องทำให้บรรยากาศของชุมชน คนที่มาฟัง เข้าใจด้วย

ไพรินทร์ : มันไม่ใช่การตัดสินถูกผิด แต่เป็นบรรยากาศความเข้าใจลึกลงไปเรื่อยๆ จนเห็นความเป็นมนุษย์ในกันและกันได้ อันนี้แหละเป็นสิ่งที่มีศักยภาพในการเยียวยาลึกมาก

Tags:

การสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การฟังและตั้งคำถาม

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Learning Theory
    สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ
Creative learningCharacter building
3 April 2019

นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

เรื่อง

  • นาฏลีลาผสานกลองปูจา การแสดงแนวใหม่ที่สะท้อนถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผสานการตีกลองปูจา ฟ้อนรำ และบทกลอน บทกลอนซึ่งเด็กๆ บ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ได้มาจากการเคาะบ้านสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเขาเคยใช้ชีวิตอย่างไร แล้วค่อยแปลงออกมาเป็นบทกลอน
  • “อยากใช้ความถนัดทางด้านการฟ้อนรำของเราเล่าวิถีชีวิตของชาวบ้าน” คือแนวคิดของเด็กๆ กลุ่มนี้
เรื่อง/ภาพ: พัชรี ชาติเผือก

บางคนใช้เพลงแร็พบอกเล่าว่าบ้านเมืองของตัวเอง “มีอะไร” แต่ที่บ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เด็ก ๆ บอกว่าการเล่าเรื่องด้วยการแร็พ -การด้นกลอนสด มักมีเนื้อหาของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา มุทะลุ เสียดสี เนื้อหามักมาจากความคับข้องใจที่เผชิญ- นั้นไม่ถนัด เพราะทักษะที่มีคือการร่ายรำผ่านบทเพลงและท่วงทำนองที่อ่อนช้อยงดงาม

แม้วิธีการเล่าจะต่างกัน แต่วิธีที่เหมือนกันคือต้องมีเนื้อหา (content)

ที่บ้านบวก เด็กๆ อย่าง เดียร์-จิณห์นิภา ธิกันงา, สายฟ้า-สิรภัทร หล้าเป็ง, ภูมิ-ภูวฤทธิ์ จี๋ภิโร,น้ำมนต์-ธัญญาภรณ์ สมฝั้น และน้องใหม่อย่าง แบม-พิมพ์ชนก หล้าแป้น ใช้เวลาลงพื้นที่ พกพาคำถามที่เตรียมมาอย่างดีเพื่อไปพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ เก็บรวบรวมข้อมูลวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี นำเนื้อหามาสร้างสรรค์เป็นท่ารำสื่อสารให้คนอื่น ๆ ในชุมชนได้รับรู้ ชื่นชม และดำเนินรอยตามความงดงามของวิถีชุมชนภายใต้โครงการสืบสานนาฏลีลากลองปูจาของชุมชนบ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

จุดเริ่มต้นของกลองปูจา

คำถามที่นำมาสู่การผสมผสานระหว่างกลองปูจาและนาฏลีลาของเด็กๆ ทีมบ้านบวก คือคำถามที่ว่า ‘หากนำเสียงกลองปูจามาผสมกับการรำจะออกมาเป็นอย่างไร?’ คำถามนี้เป็นจุดตั้งต้นในการฝึกตีกลองปูจา, คิดท่าฟ้อนรำ และ การแต่งบทกลอนประกอบทำนอง เป็นการรวมหลายศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็น ‘นาฏลีลาผสานกลองปูจา’ การแสดงแนวใหม่ที่สะท้อนถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน

“เราอยากใช้ความถนัดทางด้านดนตรีและการฟ้อนรำของเราเล่าวิถีชีวิตของชาวบ้าน”

เดียร์บอกแนวคิดการสื่อสารเรื่องราวของชุมชน และอธิบายว่ากว่าจะได้แนวคิดแบบนี้ สมาชิกในทีมและพี่เลี้ยงผ่านการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปกันพอสมควร เพราะเมื่อเริ่มต้นจะทำโครงการ เด็กๆ เลือกที่จะดำเนินรอยตามกิจกรรมที่ผู้ใหญ่นำร่องไว้ให้แล้ว นั่นคือเรื่องการดูแลผืนป่าและแหล่งน้ำ แต่ด้วยเงื่อนไขด้านเวลาที่มีแค่ 6 เดือน ทำให้ครูพี่เลี้ยงอย่าง ครูโย-โยทกา พิงคะสันต์ เห็นว่าควรทำโครงการที่ใกล้ตัวกับเด็กๆ มากกว่านี้

ซึ่งเรื่องที่เด็กๆ ถนัดและเห็นว่าใกล้ตัวที่สุดคือ “ดนตรีและการร่ายรำ”  

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นคนตีกลองปูจากันแล้ว กลองตั้งอยู่ที่โรงเรียนก็ไม่มีใครเอาไปทำอะไร เดิมทีกลองปูจาจะตีเพื่อบูชาและเป็นสัญญาณเรียกรวมคนมาที่วัดเท่านั้น ไม่มีการรำฟ้อนประกอบ เลยคิดกันว่าถ้านำมาตีประกอบการฟ้อน มันต้องสวยงามแน่นอน” เดียร์เล่าให้ฟัง

เปลี่ยนเรื่องเล่าเป็นบทกลอน แปลงบทกลอนเป็นท่ารำ

“เราไปนั่งพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ ถามว่าสมัยก่อนแม่อุ้ยทำอะไรกันบ้าง? ส่วนใหญ่บอกว่ามักไปเก็บผักเก็บปลา เรานั่งฟังพร้อมกับจดบันทึก จากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาดู เรียบเรียง และทดลองเขียนเป็นบทกลอนสั้นๆ  ซึ่งยากเหมือนกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนข้อมูลเป็นบทกลอน เพราะต้องเขียนคำให้คล้องจองกัน พอแต่งเสร็จก็ต้องเอาให้ครูสมชาย (สมชาย ชัยอนันตยศ) ช่วยตรวจสอบอีกที

“การแปลงภาษาเป็นท่ารำก็ยากอีก เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ท่าไหนให้เหมาะกับคำของเพลง อย่างท่อน ‘หลกเป็ดหลกไก่’ (ดึงขนเป็ดขนไก่) เราก็ทำท่าเหมือนกำลังหยิบ (จีบคว่ำ) คือเลือกท่าที่สื่อความหมายได้คล้ายกับคำให้มากที่สุด ใช้เวลาค่อนข้างนานเหมือนกันกว่าจะได้แต่ละท่า” เดียร์เล่าพลางทำท่าประกอบ

แม้จะยากลำบาก แต่พวกเธอก็ผ่านมาได้จากความมุ่งมั่นพยายามของทีมและความช่วยเหลือของทีมโคช ท้ายที่สุด เด็กๆ ก็แต่งเพลงที่สะท้อนเรื่องเล่าของชุมชนได้ 3 บทเพลง ประกอบด้วย

  • เพลงหลกเป็ด เล่าถึง พิธีเลี้ยงผีของชาวบ้านสมัยก่อน ชาวบ้านจะช่วยกันหลกเป็ด (ดึงขนเป็ด) นำมาประกอบในพิธี
  • เพลงย่าจุ่ม เล่าถึง วิถีชีวิตของคนทำนาสมัยก่อน
  • และ เพลงสาวเก็บผัก เล่าถึง การเก็บผักริมรั้วและจับปลาในคลองมาทำอาหารโดยไม่ต้องซื้อ

  —

หลกเป็ด หลกไก่ หลกเป็ด หลกไก่ หลกบ่อได้ ก๊าบตื้น ก๊าบตื้น ฟ้าบ่อฮ้อนฝนตึงบ่อตก โต้งวันตกบ่อได้ไถซักโม่งโต้งวันตกบ่อได้ไถซักโม่ง

—

ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ยะนาตังวันตก ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ยะนาตังวันตก โบกบ่อแล้วเหลือตี้ฮั่นสองโม่ง โบกบ่อแล้วเหลือตี้ฮั่นสองโม่ง

 —

สาวเก็บผัก สาวเก็บผัก สาวเก็บผัก แม่ฮ้างซ้อนกุ้ง สาวหัวยุ่ง เก็บบ่อหุ่งบ้านห่าง สาวหัวยุ่งเก็บบ่อหุ่งบ้านห่าง …

ขณะที่สาวๆ กำลังสาละวนอยู่กับการคิดท่ารำเพื่อให้เข้ากับเนื้อเพลง สายฟ้า เด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่ตีกลองปูจาก็ต้องซ้อมตีกลองให้เขากับทำนองเช่นกัน

“ตอนที่ซ้อมตีใหม่ๆ ครูสมชายให้ฝึกตีกลองสะบัดชัยก่อน ตอนแรกตีได้แค่หลกเป็ดหลกไก่ แต่ตีได้ยังไม่สุดเพราะยังจำโน้ตไม่ค่อยได้ ส่วนกลองปูจาจะมีกลองเล็ก 3 ใบและกลองใหญ่ 1 ใบ วิธีสอนของครูคือ เขาจะเขียนโน้ตแปะไว้ให้ที่หน้ากลอง กลองเล็กจะเป็น 1 2 3  ส่วนกลองใหญ่แทนด้วย 0 ผมก็ฝึกตีตามนั้น เช่น หลกเป็ดหลกไก่ ก็ตี 1 2 3 0, 1 2 3 0” สายฟ้าอธิบาย

ด้านภูมิและเพื่อนสมาชิกที่ทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีคุมจังหวะ เช่น ฆ้อง และฉาบก็ต้องซ้อมเล่นเพื่อคอยคุมจังหวะให้กลองปูจาและการฟ้อนนาฎลีลาสามารถเข้ากันได้ เมื่อต่างคนต่างซ้อมจนชำนาญจึงจับมาเล่นรวมกันเพื่อให้ผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

หลังฝึกซ้อมจนชำนาญ ก็ได้เวลาที่กลองปูจา เครื่องดนตรีให้จังหวะ และเหล่านาฏลีลาจะได้มาซ้อมร่วมกันเพื่อให้ท่ารำและท่วงทำนองของดนตรีไปด้วยกันได้ ซึ่งในช่วงแรกๆ จังหวะของท่ารำและการตีกลองปูจายังจูนกันไม่ติด ยังตีฆ้องเพี้ยน ตีช้า ไม่ตรงกับจังหวะของกลองปูจา ต้องใช้เวลาจูนกันพักใหญ่ กว่าท่ารำ กลองปูจา ฆ้อง และฉาบจะผสมผสานกันจนลงตัว

สายฟ้าเล่าปัญหาในช่วงนั้นให้ฟังว่า “ตอนแรกๆ มีหงุดหงิดบ้าง เพราะฆ้องตีช้า ฉาบก็ตีเพี้ยน จนผมไม่มีสมาธิจะตีกลอง พอเขาตีช้าก็พาผมล่มไปด้วย พอเริ่มใหม่เขาก็ตีเร็วไปอีก ยิ่งตีก็ยิ่งเพี้ยน คนรำก็รำไม่ได้ มันส่งผลถึงกันเป็นลูกโซ่ ต้องซ้อมกันอยู่นานพอสมควรครับ กว่าจะจับจังหวะได้” สายฟ้าบอกว่าที่ผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะความตั้งใจที่อยากตีกลองปูจาให้ได้ เลยทำให้เขาอดทนหมั่นซ้อมอยู่เรื่อยๆ จนชำนาญ

เมื่อฝึกซ้อนจนชำนาญ ไม่มีเพี้ยนแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปเล่าเรื่องราวของชุมชนผ่านการร่ายรำ

นาฏลีลา+กลองปูจา ความงดงามที่ลงตัว

เดียร์และน้ำมนต์บอกว่า ถึงวันนี้พวกเธอรู้สึกภูมิใจที่สามารถดึงเอกลักษณ์ของชุมชนมาเป็นการแสดงได้ เวลามีงานสำคัญตามประเพณีต่างๆ ชาวบ้านจะมาเชิญชวนให้พวกเธอไปแสดง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เด็กและผู้ใหญ่ได้มีโอกาสพูดคุยกัน

“ถ้าไม่มาเข้าร่วมโครงการก็คงใช้เวลาแว้นรถไปมา สลับกับรับจ้างเก็บลำใย แต่ตอนนี้เปลี่ยนจากแว้นรถมาแบ่งเวลาซ้อมตีกลองปูจาแทน” สายฟ้ายังบอกอีกว่าเขายังชักชวนก๊วนเพื่อนสายแว้นให้มาร่วมตีกลองปูจาด้วย

ส่วนเดียร์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างขี้อาย เวลารำจะตัวสั่นเกร็ง การได้หมั่นฝึกซ้อมทำให้เธอเกิดความมั่นใจ อาการสั่นหายไป กลายเป็นฟ้อนไปยิ้มไปด้วยความภาคภูมิใจในบทเพลงที่พวกเธอแต่งขึ้น

น้ำมนต์เองก็ได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองจากการทำโครงการ คือ ทักษะการตัดต่อวิดีโอ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยลองทำ แต่เมื่อมีโอกาสได้เข้าอบรมทำให้เธอรู้สึกสนใจและกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติม ตัดต่อวิดีโอได้ดีขึ้น ส่วนความกล้าแสดงออกก็มีมากขึ้น  จากเดิมที่ไม่ค่อยพูดกับใคร แต่การได้ลงพื้นที่พูดคุยกับกับชาวบ้านที่ต้องถามข้อมูล ทำให้ต้องกล้า ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ข้อมูล

ส่วนภูมิน้องคนเล็ก ที่พี่ๆ ต่างฝากความหวังไว้ให้สานต่อโครงการก็บอกว่า เขารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องงานเอกสารที่ทำเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น

“และทำได้ดีด้วย” พี่ ๆ ช่วยกันยืนยัน  

Tags:

active citizenproject based learningเกมดนตรีศิลปะการแสดง

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

เคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น
Family Psychology
2 April 2019

เคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น

เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • ปม หรือ บาดแผลในใจ ทำให้เรามีบุคลิกนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือหลายๆ อย่าง) แต่เหตุการณ์เลวร้ายไม่ได้ทำลายแค่จิตใจ แต่กำหนดวิธีที่เราจะตอบสนองต่อโลกภายนอก ซึ่งหากคุณกำลังสวมบทเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคุณ คนหนึ่งก็คือ ‘ลูก’
  • เหตุผลในทางจิตวิทยา พฤติกรรมที่คุณแสดงต่อลูกวันนี้ ก็มาจากปมหรือการถูกเลี้ยงดูในอดีต และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณและลูก จึงมีวิธีป้องกันตัวเองจากโลกภายนอก ด้วยวิธีที่คล้ายกัน
  • บทความโดย ญาดา สันติสุขสกุล กระบวนกรอบรมด้านพัฒนาจิตใจ อธิบายแบบแผนพฤติกรรมของคนผ่านทฤษฎีและเคสที่เธอเคยทำงานส่วนตัวด้วย

ในโต๊ะอาหารมื้อกลางวัน ฉันร่วมนั่งรับประทานอาหารกับแม่ลูกคู่หนึ่ง คุณแม่วัยสามสิบต้นๆ กับลูกสาววัยสามขวบ คุณแม่ตั้งใจให้ลูกทานข้าวเอง แต่ก็อยากให้ลูกระมัดระวังไม่ทำเม็ดข้าวหกเลอะเทอะ แต่ทุกคำที่เจ้าหนูตักข้าวเข้าปากก็ต้องมีเม็ดข้าวตกลงนอกชามเสมอ ทุกครั้งที่ลูกทำข้าวตก คุณแม่ก็จะบอก (ร่ายกับ) ลูกว่า

“ลูกคะ ชาวนาปลูกข้าวเหนื่อยนะกว่าจะได้มาแต่ละเม็ด”

ฉันเลยแอบแทรกบทสนทนาคู่แม่ลูก ด้วยการเล่นสมมุติกับเด็ก ให้เขาจินตนาการว่า เม็ดข้าวแต่ละเม็ดคือขบวนรถไฟและกำลังจะไปเที่ยว ระวังนะอย่าทำผู้โดยสารตกขบวน!

เจ้าหนูเริ่มยิ้ม เขาระวังมากขึ้นในการป้อนข้าวเข้าปาก ส่วนตัวคุณแม่นั่งทึ่งกับสิ่งที่เห็น

เมื่อได้จังหวะคุยเพื่อลงรายละเอียดกับคุณแม่ท่านนี้ก็พบว่า คุณแม่ถูกเลี้ยงดูจากแม่ที่เจ้าระเบียบ ครอบครัวมีฐานะไม่ร่ำรวย ตั้งแต่เด็กต้องช่วยแม่ทำงานต่างๆ เพื่อความอยู่รอด ไม่เคยมีช่วงวัยที่เล่นสนุกเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เธอบอกว่า “ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นคนไม่ยิ้มแย้ม จริงจังกับชีวิตแทบทุกเรื่อง หลายครั้งคิด กังวลใจว่าจะเลี้ยงลูกได้ดีไหม ไม่อยากให้เขาเติบโตมาเป็นแบบตัวเองที่ขาดโอกาสในชีวิตมากมายเพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงอยากให้ลูกได้คิดในแบบผู้ใหญ่ แต่ก็หลงลืมไปว่าลูกยังเล็กอยู่”

แม้บ้านจะเป็นสถานที่แรกที่เราทุกคนได้เรียนรู้ความสัมพันธ์มากมายในบ้าน แต่บ้านก็เป็นโรงเรียนแห่งแรกที่เราจะได้พบกับ ‘ปม’ (trauma) บาดแผลทั้งทางกายและใจ แม้บทบาทของผู้ปกครองหรือพ่อแม่เองต้องการปกป้องเด็กให้รอดพ้นจากความเจ็บปวดต่างๆ ก็ตาม แต่มันยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่า คุณเองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างปมภายในให้แก่เด็กด้วย

ปม หรือ บาดแผลในใจ ที่ทำให้เรามีบุคลิกนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือหลายๆ อย่าง) – นี่คือเรื่องที่หนึ่ง

และเมื่อชีวิตถูกขับเคลื่อนด้วยปมหรือบาดแผลในวัยเด็ก อิทธิพลจากอดีตย่อมส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ของเรา กระทบต่อคนข้างๆ ไปสู่ลูก สู่คนที่เรารักมากมาย – นี่คือเรื่องที่สอง

เมื่อชีวิตถูกอิทธิพลของ ‘ปม’ (trauma) เล่นงาน คุณก็เหมือนกับหุ่นที่คอยถูกชักใยได้ง่าย ทำให้คุณมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคนรอบข้างอย่างชัดเจน เหตุการณ์ใหม่ก็พร้อมจะสร้างความตึงเครียด เชื้อเชิญให้คุณพบเจอกับความปั่นป่วนทั้งกายและจิตใจ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีใครเลยที่ชอบชุดประสบการณ์ที่ยากๆ ‘ดั่งวันฟ้าหม่น’ ตัวเราเองก็จะต่อต้านสิ่งที่เราไม่ชอบ เราจะสร้างป้อมปราการขวางกั้นเรากับความสัมพันธ์ต่างๆ เราเลือกจะทำสงครามกับตัวเอง

ป้อมปราการที่ว่า หลายคนเลือกใช้ความวิตกกังวลแทนการจัดการแก้ไขสถานการณ์ที่เหมาะสม (วิตกไปก่อน แก้ไขทีหลัง) หลายคนเลือกต่อสู้ดิ้นรนอย่างไม่ลดละ บางคนเลือกหลบหนีความท้าทายในวิกฤติชีวิตไปที่อื่น หรือไม่ก็พร้อม (ขอเวลา) จะสิ้นหวังท้อแท้และจมลงในความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อหนทาง ปล่อยให้ตัวเองถูกครอบงำไปด้วยความไม่ปลอดภัย สุดท้าย เราจ่ายค่าเสียหายด้วยโรคภัยที่รุมเร้าที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง

ประเด็นก็คือ เหตุการณ์เลวร้ายไม่ได้แค่ทำลายจิตใจ แต่มันกำหนดวิธีที่เราจะตอบสนองต่อโลกภายนอก และหากคุณกำลังสวมบทเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคุณ ส่วนหนึ่งก็คือลูก

เพื่อทำความเข้าใจว่า ‘ปม’ วัยเด็ก มีอิทธิพลต่อการกระทำและส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง และจะสร้างวงจรพฤติกรรมนั้นต่อลูกอย่างไร ขออธิบายผ่าน แบบแผนความสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย (Secure Attachment) และแบบแผนความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง (Insecure Attachment) 3 อย่าง

แบบแผนความสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย (Secure Attachment)

ในการเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย เรามักนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่’ และ ‘ลูก’ เป็นหลัก เป็นเช่นนั้นก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เด็กจะรู้สึกถูกหล่อเลี้ยงจากความสัมพันธ์ที่มั่นคง เป็นพื้นที่ทางใจ ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่กับพ่อแม่แท้ๆ แต่อาจเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ครู หรือผู้ใหญ่ใกล้ชิดสักคนที่พร้อมส่งความปรารถนาดีและแสดงออกให้เห็น รับรู้ ไม่ว่าจะผ่านสีหน้าแววตาที่มอบความวางใจ ทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกรักอย่างสิ้นสงสัย มันคือคุณภาพของการดำรงอยู่ที่ช่วยให้คนคนนั้นเติบโตอย่างสมวัยได้เลยทีเดียว

แต่เฉพาะแบบแผนของความสัมพันธ์ที่มั่นคง คือท่าทีที่สงบ ผ่อนคลาย ยืดหยุ่น และปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ เป็นสายสัมพันธ์ที่สร้างความสนิทสนมเป็นกันเองระหว่างผู้ปกครองกับลูก แต่สายสัมพันธ์ประเภทนี้ก็มาจากศักยภาพที่จะหยั่งถึงความรู้สึกของตัวเองและลูกได้ รวมถึงรับรู้ได้ถึงสภาวะความสัมพันธ์ที่ไม่อาจราบรื่นและเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นก็สามารถรื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น

เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมกับแม่หรือผู้ปกครองแบบนี้ก็จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์ที่มั่นคง ยอมรับอารมณ์ต่างๆ เป็น อบอุ่น ปลอดภัย มีความเรียบง่ายในการสัมพันธ์กับคนรอบๆ ข้าง เมื่อเกิดวิกฤติในชีวิต เด็กจะหาจุดสมดุลเพื่อฟื้นคืนกลับมาสู่ความเป็นปกติได้ หรือสายสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยสร้างการขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมั่นคง เขาหรือเธอจะเป็นต้นแบบของความมั่นคงทางจิตใจต่อไปในอนาคต

ทั้งหมดที่กล่าวไปคือรูปร่างหน้าตาของความสัมพันธ์ที่มั่นคง ส่วนแบบแผนความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง (Insecure Attachment) แบ่งย่อยออกเป็นอีก 3 แบบ คือ

วิตกกังวล (Anxiety)

เพิกเฉย (Avoidance)

เสียการควบคุม (Disorganization)

1. แม่ที่ ‘วิตกกังวล’ (Anxiety)

คนที่มักวิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลอย่างสม่ำเสมอ และไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน แต่เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ตอนเป็นเด็กเล็กจึงมักมีพฤติกรรมของการตรวจสอบและคอยเช็คความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแม่หรือผู้ใหญ่ที่ดูแล ตรวจสอบว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ คอยสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแลเสมอๆ จึงส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

เมื่อโตขึ้น จึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่ใจความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก เมื่อต้องสวมบทบาทเป็นแม่ จึงมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการของลูกได้ แต่หากวันใดอารมณ์เสียหรือหงุดหงิด ก็จะปิดกั้นตัวเองกับลูก และอาจร่วมถึงควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

เพราะในอดีตของแม่ก็ไร้ที่พึ่งอย่างมั่นคงมาก่อน แม่จึงมีแนวโน้มที่จะมีความวิตกกังวลเป็นพื้นฐานและมองหาสิ่งอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์มาช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ติดขัด ทำให้การตอบสนองต่อเด็กเป็นไปอย่างผิดที่ผิดทาง

เช่น หากเมื่อเด็กเกิดความปั่นป่วนแม่อาจจะตอบสนองลูกด้วยคำขู่หรือเงื่อนไขต่างๆ “ต่อไปแม่จะไม่รักนะ หากหนูทำตัวแบบนี้ แม่ชอบเด็กที่ว่านอนสอนง่าย” หรือสร้างให้เด็กเกิดความกลัวอย่างผิดๆ เพื่อยุติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน เช่น “ถ้าหนูไม่หยุดร้องไห้ แม่จะเอาหนูไปให้คนเก็บขยะเลี้ยงต่อนะ”

ทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้เด็กเกิดความหวาดระแวง เช่น เมื่อต้องการจะเดินหาคนเป็นแม่ เหมือนว่าขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้าแล้ว แต่อีกข้างกลับลังเลจะเข้าหาเพราะกลัวแม่ดุใส่ ตอนที่เด็กยังเล็ก (ยังไม่มีกระบวนการคิดและตระหนักรู้เช่นผู้ใหญ่) เมื่อเกิดความปั่นป่วนข้างใน เริ่มเรียกร้องความต้องการสักอย่าง และเมื่อแม่ไม่สงบมั่นคงพอ ก็รองรับอารมณ์ของเด็กได้ไม่ดีพอเช่นกัน

ในอารมณ์ขั้วบวก เด็กจะทำตัวน่ารักเพื่อเรียกร้องให้แม่เห็น หรือพยายามเอาอกเอาใจแม่เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องการ ในขั้วอารมณ์ลบ เด็กจะทำตัวร้ายกาจ แสดงอารมณ์พลุ่งพล่านยากต่อการควบคุม ต้องใช้เวลานานกว่าเด็กจะกลับสู่อารมณ์สงบได้

ในกรณีเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จากแม่เช่นนี้ เมื่อเกิดการกระทบกระเทือนจิตใจบ่อยๆ เด็กจะมีความไม่มั่นใจในตัวเอง ต้องคอยตรวจเช็คการยอมรับจากแม่หรือผู้ดูแลเสมอๆ ขาดความวางใจต่อสภาพแวดล้อม ไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีที่ยืนหรืออยู่ได้อย่างปลอดภัย

อีกกรณีหนึ่งของคนเป็นแม่ที่มักวิตกหวาดระแวง แม่มักจะยอมจำนนต่อการเรียกร้องลูกเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้จบๆ ไป เช่น ลูกอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ทั้งที่มีของเล่นมากมายแล้วที่บ้าน

เมื่อบอกลูกว่า “แม่ว่าของเล่นนี้หนูมีเยอะแล้วนะ” แต่เด็กกลับร้องไห้ดังขึ้น จนในที่สุดแม่ก็ยอม “อะๆๆ ครั้งนี้ชื้อให้ก็ได้” ตัวเด็กเองจะเรียนรู้วิธีการต่อรองกับแม่หรือผู้ใหญ่คนนั้นด้วยการใช้อารมณ์ต่างๆ

เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะยึดความรู้สึกของตนเป็นหลักเช่นกัน เอาแต่ใจ มีแนวโน้มว่าชอบสิ่งไหนก็อยากจะครอบครอง หรือเกาะติดแจกับคนคนนั้นไม่ยอมให้คลาดสายตา หากไม่ได้ดั่งใจ อารมณ์ต่างๆ ก็จะถาโถมเข้าใส่ ทำให้จัดการสถานการณ์ไปด้วยความยุ่งเหยิง และอาจกลายเป็นคนไม่วางใจในความสัมพันธ์ เมื่อสัมผัสได้ถึงระยะห่างจากอีกฝ่าย ก็จะกังวลคิดมากไปไกลเกินเหตุ ต้องคอยตรวจเช็คความสัมพันธ์อยู่เรื่อยๆ

เช่น ในอดีตตอนที่เจนเป็นเด็กตัวน้อยที่น่ารักของแม่และพ่อ ตอนเป็นเด็กเธอชอบเต้นรำกระโดดไปมา เมื่อเห็นแม่ยิ้มหัวเราะตอบกลับมา เธอจะรู้สึกว่าแม่รักและเอ็นดู เป็นวันที่แม่เบิกบานใจ วันนั้นจะเป็นวันที่แม่ใจดีกับเธอมากเป็นพิเศษ รอยยิ้มของแม่มีความหมายสำหรับเธอมากเพราะเป็นภาพที่ตรึงใจ แต่ในวันที่แม่ป่วยด้วยโรคประจำตัว ปวดไมเกรน แม้แต่หน้า แม่ก็ยังไม่มองเธอ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เจนมารู้ตอนโตว่า ทุกเช้าที่แม่ต้องไปทำงาน เจนจะคอยเกาะขาแม่ไว้อย่างแน่นเหนียวไม่ยอมให้ไปไหน เมื่อเจนโตเป็นผู้ใหญ่ เจนจึงจดจำแม่ในสองบุคลิก

แม้ปัจจุบันนี้ เวลาที่เจนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร ในใจของเจนจะรู้สึกไม่มั่นคง อยากอยู่ใกล้ๆ ด้วยตลอดเวลา แต่อีกใจก็กลัวว่าเขาจะไม่รักเธอไปนานๆ หรือแม้แต่ตอนที่แฟนของเจนนิ่งเฉย ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่แม่เพิกเฉยต่อเธอ

ตัวอย่างของแม่ลูกอีกคู่ที่ดูมีความสัมพันธ์อันซับซ้อน คือบทบาทของแม่เลี้ยงเดี่ยว เลิกรากับสามีเพราะพบว่าเขามีสัมพันธ์กับหญิงอื่น เธอเลี้ยงลูกโดยไม่พึ่งพาสามีแต่อย่างใด ลูกชายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากแม่ผู้เด็ดเดี่ยว มีอาชีพการงานที่มั่นคง เป็นผู้หญิงทำงานเก่งได้รับการยอมรับจากสังคม

แต่ในบทบาทของแม่ที่ใกล้ชิดลูกผู้เป็นดั่งดวงใจ เธอจะให้ลูกตามเธอไปทุกแห่ง ลูกชายมีนิสัยตามใจแม่ทุกอย่าง แต่จะมีพฤติกรรมที่แปลกๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ จะคอยซบไหล่แม่อยู่เสมอๆ ประหนึ่งว่าร่างกายของเด็กผู้ชายคนนี้ไม่มีกระดูกสันหลัง จนเมื่อลูกชายเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แม่ส่งเขาไปเรียนต่อต่างเมือง และเธอเริ่มรู้สึกเหงา เป็นกังวลถึงลูกชายเสมอ เธอยอมรับว่าการมีลูกชายอยู่ใกล้ๆ เป็นเสมือนตัวแทนของคนรัก ซึ่งในตัวลูกเอง การทำตัวอ่อนแอไม่ใช่เพราะสึกว่าต้องพึ่งพาคนเป็นแม่เสียทั้งหมด แต่ก็เพื่อให้แม่ได้แสดงบทบาทของความเข้มแข็ง แท้ที่จริงแล้วลูกกลับรับรู้ได้ว่าแม่ต้องการยึดใครสักคนเป็นที่พักใจ

2. แม่ผู้ ‘เพิกเฉย’ (Avoidance)

คือแบบแผนของคนที่เอาเหตุผลและหลักการนำอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเจอกับสถานการณ์ก็จะสนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง บ่อยครั้งก็อาจละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้างไป ไม่เห็นว่าอารมณ์มีสาระให้จับต้อง

แม่หรือผู้ดูแลเด็กแบบนี้มีแนวโน้มจะเชื่อตำราหรือองค์ความรู้มากกว่าจะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง มีคุณแม่หลายคนที่เลี้ยงลูกด้วยตำรา เช่น แม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง คุณแม่จะให้นมลูกทุก 4 ชั่วโมงตามตำราที่อ่านมา หากลูกร้องไห้เพราะหิวนมในช่วงนอกเวลาที่กำหนดไว้ ก็จะไม่ให้นมลูกจนกว่าจะครบ 4 ชั่วโมงก็เพราะต้องการยึดตามหลักการ

ชั่วขณะที่เด็กร้องไห้ก็ไม่รับรู้ว่าลูกต้องการอะไรกันแน่ หลักการบอกว่าหากอยากให้ลูกมีวินัย จึงปลูกฝังตั้งแต่เป็นทารกน้อย เมื่อคุณแม่รายนี้นำหลักการเดียวกันมาใช้กับเรื่องต่างๆ ของลูก แม่เองค่อยๆ ตัดการรับรู้ด้านจิตใจและสภาวะอารมณ์ความรู้สึกของเด็กไปทีละนิด จนขาดการเชื่อมโยงทางด้านจิตใจที่ละเอียดอ่อนต่อกัน จึงดูมีช่องว่างและระยะห่างในความสัมพันธ์ ไม่สนิทสนม ไม่ใกล้ชิด ไม่ค่อยมีท่าทีของการเล่นล้อ สิ่งที่น่ากลัวก็คือ การเล่นคือพื้นฐานของการกระตุ้นพัฒนาการในเด็กเล็กที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

เมื่อแม่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ด้านจิตใจแล้ว ในมุมของเด็กเองก็จะค่อยๆ หยุดความพยายามในการสื่อสารช่องทางต่างๆ เช่น การร้องขอ การบอกความต้องการของตัวเอง การบอกความรู้สึก และจะทำตัวเสมือนว่าไม่มีปัญหาอะไร เด็กจะค่อยๆ ตัดอารมณ์ความรู้สึกของตนไปทีละเล็กละน้อย เพราะถึงแม้เขาจะพยายามสื่อสาร แต่ก็ดูไร้ประโยชน์ที่จะเรียกร้องให้แม่มาใส่ใจ เพราะแม่สนใจแต่เหตุผลเป็นใหญ่ เด็กอาจจะมีบุคลิกภาพที่นิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึก

ในฐานะนักบำบัดอิสระ หลายครั้งเราจะเจอกับเด็กแบบนี้ ซึ่งมีอายุเพียงไม่เท่าไร แค่ 8-10 ขวบ ก็ดูสงบนิ่งแบบผู้ใหญ่ ไม่ร้องไห้วอแว แต่ก็ไม่มีอารมณ์สนุกหรือหัวเราะขันออกมาได้อย่างอิสระ ดูไร้ชีวิตชีวา ผิดธรรมชาติของเด็กน้อยที่จะวิ่งเล่น สงสัยใคร่รู้ต่อสิ่งรอบตัว

เด็กหลายคนที่เติบโตมาด้วยกระบวนตัดความรู้สึกเหล่านี้ อาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับบางสภาวการณ์ หรือบางทีก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด และมีแนวโน้มสร้างบุคลิกภาพที่ดูนิ่ง สุขุม ใช้เหตุและผลเป็นหลัก ไม่มีท่าทีของการแสดงออกทางสีหน้าหรือท่าทางที่บ่งบอกถึงความรู้สึกภายใน ดูมีระยะห่างกับผู้คน ดูเข้าถึงยาก ดูยากและสลับซับซ้อน

ภายนอกเขาหรือเธออาจดูว่าพึ่งพาตัวเองได้ ไม่เรียกร้องอะไรให้คนรอบข้างวุ่นวาย ไม่สุงสิงกับใครมาก แต่ภายในจิตใจกลับจะมีความรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ลึกๆ อาจจะโหยหาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจากอีกคนแต่แสดงออกไปไม่ได้เพราะสานความสัมพันธ์ไม่เป็น

ในมุมหนึ่ง บุคลิกภาพแบบนี้ถือว่าเป็นการปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดหากความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นไปตามต้องการ การนิ่งเฉยจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาหรือเธอจะทำได้

ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งต้องมารับบทเป็นพ่อและสามี ภรรยาของเขาเริ่มเรียกร้องให้เขามีเวลาเล่นกับลูกที่ยังเล็กบ้าง แต่เขากลับรู้สึกลำบากใจที่จะใกล้ชิดด้วย เพราะเวลาที่ลูกร้องไห้หรือมีความปั่นป่วนทางอารมณ์ เขาจะรู้สึกปั่นป่วนตามไปด้วยและอยากหลีกหนีไปให้ไกล ตัวเขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้

เมื่อฉันพูดคุยกับเขาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับแม่ของเขา ก็จะได้ยินเขาพูดถึงแม่ว่า

“แม่เป็นคนนิ่งๆ ซึ่งบรรยากาศภายในบ้านตอนที่เขายังเด็กก็จะเงียบสงัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ละคนจะมีมุมของตนเองที่ไม่ยุ่งกันมาก ผมไม่มีช่วงของความเป็นเด็กเท่าไหร่ รู้สึกได้เพียงว่า แม่กำลังมองผมในสายตาผู้ใหญ่คนหนึ่งมากกว่ามองมาที่เด็กน้อยนะ”

เขายอมรับว่า ในฐานะพ่อของลูกที่น่ารัก เขาเองรักลูก แต่ก็มีความไม่ชอบเด็กเล็กไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะไม่มีความถนัดที่จะใกล้ชิดกัน ซึ่งก็จะเป็นปัญหาให้ต้องทะเลาะกับภรรยาอยู่บ่อยๆ

3. แม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)

ลักษณะของผู้ปกครองที่แสดงออกถึงการเสียการควบคุมทางอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะในเวลาที่เกิดความปั่นป่วนขึ้น มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เนื่องจากไม่สามารถวางขอบเขตในการรับรู้อารมณ์ตัวเองได้ ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอะไร รู้แต่ว่าเกิดความปั่นป่วนจนระงับความรู้สึกลบไม่ได้

เพราะในส่วนลึกของผู้ปกครองเช่นนี้ เคยถูกกระทำจากผู้ปกครองของเขามาก่อน เคยเป็นเด็กที่ถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง ครั้นในช่วงเป็นเด็กซึ่งยังปกป้องตัวเองไม่ได้ จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร ความเจ็บปวดหรือปมในอดีตยังคงค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ มีแต่จะคอยปะทุออกเมื่อมีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงอย่างในอดีตเกิดขึ้นอีก

สภาพจิตใจที่ไม่พร้อมจะดูแลเด็กแบบนี้ ย่อมส่งผลให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ ซึ่งแม้จะมีสายใยผูกพันกับแม่ แต่ด้านที่หวาดกลัวก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันด้วย เมื่อแบบแผนที่ถูกกระทบกระเทือนทางกายและใจเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำๆ จะส่งผลต่อพัฒนาการในเด็กเล็ก เช่น การพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดต่างๆ การสอดประสานของร่างกายเรื่องสมดุล เช่น เด็กที่เคยถูกเลี้ยงด้วยความกลัว แม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา เลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง พูดติดอ่าง และอื่นๆ

หรือในแม่บางรายที่สอนลูกด้วยการลงโทษเสมอๆ ใช้คำขู่ ‘อย่านะ เดี่ยวจะตีเลย’ และเมื่อพูดจบแม่ก็ลงไม้ลงมือตีที่ร่างกาย เมื่อเด็กร้องไห้หนักขึ้นก็จะตีซ้ำ ตัวแม่เลยได้โอกาสในการระบายอารมณ์ความไม่พอใจของตัวเองลงไปที่เด็ก หรือในขณะที่เด็กร้องไห้เพราะอยากให้แม่อุ้มแต่แม่กำลังมีปากเสียงกับสามี แม่กลับไม่อุ้มไม่ปลอบประโลมเด็ก แต่เข้าหาด้วยการตีแรงๆ เพื่อห้ามให้หยุดร้อง ตะโกนใส่ลูกด้วยคำด่าทอ ในเวลาที่เด็กกำลังเล่นของบางอย่างและเกิดเสียงดัง แม่ตะโกนด่า ใช้อารมณ์ที่รุนแรง เหล่านี้คือแบบอย่างของการกระทำ ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกได้ถึงการเป็น ‘เหยื่อ’

เมื่อเราได้ทำความเข้าใจถึงแบบแผนความสัมพันธ์ที่เราเคยได้รับการเลี้ยงดูมาจากผู้ปกครองแต่ละแบบในแต่ละคนแล้ว เราจะเห็นว่า อาจมีแบบแผนหลายแบบที่ตกมาอยู่ในจิตใจของเราได้ และกลายเป็นต้นแบบต่อไปในการที่เราจะกลายเป็นแม่พ่อในแต่ละแบบ ซึ่งในงานบำบัดนั้น เราสามารถทำความเข้าใจตัวเองและบำบัดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่แบบแผนความสัมพันธ์ที่ดีในแบบมั่นคงปลอดภัยได้

รื้อสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ใหม่

อย่างที่เกริ่นในตอนต้นว่า ทุกแบบแผนความสัมพันธ์ที่บกพร่องนั้นสร้างใหม่ได้ เช่น ผู้ที่มีแบบแผนเพิกเฉย (Avoidance) ก็อาจเริ่มจากกลับมาเรียนรู้ที่จะตระหนักในความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะไปรับรู้คนอื่น เริ่มจากการฝึกรับรู้การมีอยู่กับร่างกายที่เชื่อมโยงกับหัวใจ รู้ร้อนรู้หนาวในตัวเอง จนเริ่มมีทักษะบอกความรู้สึกได้อย่างไม่เขินอาย จากนั้นจึงขยับไปที่การเดาว่าผู้คนแสดงออกในท่าทีต่างๆ นั้นเพราะมีความรู้สึกอย่างไร

ส่วนแบบ ลักปิดลักเปิด วิตกกังวล (Anxiety) ให้กลับมาให้ความสำคัญกับแกนของจิตใจภายใน วางขอบเขตให้กับพื้นที่ภายในให้ขยายออก และมีอาณาเขตที่จะดำรงอยู่กับใจตัวเองจนเจอสภาวะความนิ่งสงบ ในความเงียบสงบภายในจะช่วยให้คนที่วิตกกังวลสร้างความมั่นคงทางภาวะอารมณ์ และเรียนรู้จากผู้ใหญ่ที่เคยเข้ามามีบทบาทและคอยมอบความอบอุ่นอย่างเหมาะสมต่อคุณ ก็จงระลึกถึงภาพของคนผู้นั้นไว้เสมอๆ

และในคนแบบสุดท้าย เสียการควบคุม (Disorganization) จะต้องเน้นที่วิธีการดูแลด้วยความละเอียด อ่อนโยน อาจจะเริ่มต้นโดยการหาวิธีบำบัดในรูปแบบต่างๆ เช่น ศิลปะบำบัด การเดินในสวนสาธารณะที่มีพื้นที่โล่งกว้าง หรือหาคนที่จะคอยรับฟังเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เรียนรู้วิธีการผ่อนคลายจิตใจจากความตึงเครียด เมื่อมีคนคอยรองรับดั่งมีภาชนะมารองรับอารมณ์ต่างๆ คนแบบเสียการควบคุมจะค่อยๆ รู้สึกวางใจและปลอดภัย เรียนรู้ที่จะกลับมารักร่างกายและจิตใจตนเอง

สำหรับท่านที่พร้อมแล้ว เริ่มทำ ‘แบบฝึกหัด’ ได้เลย

ขั้นที่หนึ่ง ‘เฝ้าสังเกต’

เริ่มทบทวนและเฝ้าสังเกตว่า เราได้มีแบบแผนความสัมพันธ์แบบใดบ้างกับลูกของเรา เรียนรู้ที่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ให้ค่อยๆ สังเกตจนหาแบบแผนความสัมพันธ์หลักที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำๆ

ขั้นที่สอง ‘ช้าลงแล้วลองทำความรู้จักกับพื้นฐานจิตใจของเรา’

ทำความรู้จักกับพื้นฐานจิตใจว่าในขณะที่เรากำลังเข้าสู่แบบแผนแต่ละแบบ เกิดความรู้สึกใดขึ้นบ้าง โดยอาจจะจดสถานการณ์และความรู้สึกต่างๆ ลงในสมุดบันทึก เฝ้าสังเกตในครั้งต่อๆ ไปว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่กระตุ้นให้เราคืบคลานเข้าสู่แบบแผนนั้นๆ มันคือการศึกษาองค์ประกอบของจิตใจเราว่าเป็นเช่นใดบ้าง เหมือนกับการภาพวาดสีน้ำซึ่งจะมีสีรองพื้นและสิ่งต่างๆ ปนกันอยู่

เราเริ่มแยกแยะถึงสีต่างๆ ของจิตใจเราได้ ก็ถือว่ามันคือการเรียนรู้ที่จะสำรวจตรวจตราจิตใจเรา ซึ่งจะค่อยๆ ช่วยให้เกิดการชะลอแรงขับที่อาจจะดำเนินไปอย่างเป็นอัตโนมัติ มีแม่หลายคนรู้สึกถึงความผิดที่หนักหนาเสมอ เมื่อลงไม้ลงมือตีลูกก็จะมีเสียงวิจารณ์ที่โบยตีตนเองตบท้ายเสมอๆ แต่ในขณะตีลูกตนก็จะไม่สามารถหยุดได้ทันการ

ขั้นที่สาม ‘พบเจอต้นตอและขอบคุณ’

เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกลบภายใน ขอให้เรียนรู้ที่จะโอบกอดความรู้สึกที่โดดเดี่ยว โมโห น้อยใจ และอื่นๆ ไว้ภายในชั่วขณะ มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในใจคุณ ใช้เวลาเพียงอึดใจกับการสูดลมหายใจเข้าลึกยาว คุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะโอบกอดเด็กน้อยที่ครั้งหนึ่งในอดีตเป็นคนที่เคยถูกทอดทิ้งหรือถูกกระทำ ซึ่งในช่วงขณะที่เราไม่ทอดทิ้งใจตัวเอง เราอาจจะพบเจอภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เราเคยประสบมา ก็ขอให้เราตระหนักถึงการระบุช่วงเวลาของภาพเหตุการณ์เหล่านั้น และกล่าวในใจตัวว่า…

“เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นในตอนที่ฉันยังเด็ก ซึ่งมันนานมาแล้ว และในตอนนี้ฉันได้รับรู้ความรู้สึกด้านนี้ของฉัน ขอบใจเรื่องราวในอดีตนะที่มาย้ำเตือนเพื่อไม่ให้ฉันลืม”

เพราะในอดีตขณะเป็นเด็กเล็ก คุณยังไม่สามารถตระหนักรู้ได้ถึงภาวะต่างๆ ไม่อาจเข้าใจจิตใจคนรอบๆ ข้าง และรวมถึงการเข้าใจสถานการณ์รอบข้างได้เทียบเท่ากับสติปัญญาของผู้ใหญ่ ความรู้สึกต่างๆ จึงถูกบีบอัดเป็นความทรงจำกลายเป็นบาดแผลในอดีต พร้อมที่จะปะทุขึ้นได้เสมอในยามที่เราแล่นเรือเข้าสู่ใจกลางคลื่นลมพายุ

ขั้นที่สี่ ‘สร้างต้นแบบแม่ใหม่ๆ’

ไม่เคยมีใครมากำหนดคุณได้ว่า คุณจะเป็นใคร มีท่าทีแบบไหน เพราะแท้จริงแล้วคุณมีด้านหนึ่งเป็นดั่ง ‘ผู้กำกับบทละครและตัวละคร’ เพียงแต่คุณอาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มอีกสักหน่อยว่า บทบาทการเป็นแม่หรือพ่อในแบบไหนที่คุณพอจะเป็นได้ หาต้นแบบที่คุณรู้สึกได้

แม่คนหนึ่งที่ฉันช่วยตั้งคำถามถึงต้นแบบในการเป็นแม่ที่เธอสนใจ เธอตอบว่าคือแม่ชีเทเรซา

“ฉันนึกถึงรอยยิ้มที่คุณแม่เทราซาซึ่งจะยิ้มให้กับเด็กเสมอๆ มันอบอุ่นมาก ในอดีตแม่ของฉันเองก็ไม่เคยยิ้มให้กับฉันเลย ฉันเลยอยากเป็นแบบคุณแม่เทราซา” แค่คำตอบสั้นๆ กับแววตาที่คุณแม่คนนี้ส่งมาทางดวงตาฉัน เพียงแต่ยิ้มที่มุมปาก ไม่กี่เสี้ยววินาที เธอก็ร้องไห้ ฉันให้เธอสบที่อกและกอดไว้แน่นๆ เธอเหมือนกลายเป็นเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้บนอกแม่ ผ่านไปหลายเดือนจนเธอกลับมาหาฉันอีกครั้ง

เธอบอกกับฉันว่า “ฉันคิดว่า ฉันยิ้มให้ลูกบ่อยขึ้น และมันสุขใจมากที่ได้สบตาลูก ถึงแม้จะเป็น 3 วินาที แต่มันทำให้ใจฉันอิ่มและอุ่นมากค่ะ”

ขั้นที่ห้า ‘ทางเลือกที่คุณอยากเดิน’

เมื่อคุณฝึกฝนที่จะทำความเข้าใจจิตใจมาระยะหนึ่ง คุณจะมีทักษะที่จะดำรงตนอยู่กับปัจจุบันขณะ แม้เพียงในเวลาอันสั้นนัก แต่แค่เพียงเสี้ยววินาที คุณอาจจะสามารถคาดเดาทิศทางต่างๆ ได้ว่า คุณทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไร ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไร มันคือศักยภาพของการเพิ่มขีด ‘ความทานทน’ หรือการยับยั่งชั่งใจโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องกดทับอารมณ์ด้านลบทิ้งไปนะ เพียงแต่ชะลอ และเลือกเปลี่ยนทิศทางแค่นั้นเอง

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

ญาดา สันติสุขสกุล

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ
  • มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe
  • Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ
  • ‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel