Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: April 2019

เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน
Learning Theory
30 April 2019

เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • หลายครั้ง ‘ระเบียบวินัย’ ในห้องเรียน เกิดจากการดุด่าและสั่งห้ามของครู ท้ายที่สุดอาจทำให้เด็กนักเรียนรู้สึกอยากต่อต้าน ครูควรละทิ้งความเชื่อเก่าๆ เปลี่ยนมาสร้างความไว้ใจและวินัยเชิงบวกในห้องเรียน เพราะจะทำให้เด็กมีสมาธิและโฟกัสกับการเรียนได้ดีขึ้น
  • 3 วิธีง่ายๆ ที่ครูควรแสดงออกให้เด็กรู้ว่าครูก็แคร์ คือ เชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน-เติมเต็มความภาคภูมิใจ-สื่อสารความแคร์อย่างตรงไปตรงมา
  • “เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะลงโทษเพื่อหวังเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน ครูควรมองมุมใหม่ด้วยการหาคำตอบว่า อะไรเป็นเหตุผล ความเชื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมดังกล่าว แล้วหาทางแก้ไขจากจุดนั้น”

ระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการฝึกฝน เป็นเรื่องของการเคารพ เชื่อฟังและทำตามกฎระเบียบ 

ปัญหาก็คือหลายครั้งความมีระเบียบวินัยที่เกิดขึ้น มาจากความรู้สึกไม่เห็นด้วย เหมือนโดนบังคับให้ทำทั้งที่ไม่อยากทำ ความรู้สึกเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีเรื่องของ ‘การห้าม’ หรือ ‘คำสั่ง’ เข้ามาเกี่ยวข้อง 

ยิ่งห้าม ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน ทั้งที่แสดงออกและไม่แสดงออก

ข้อมูลจากการศึกษาโดย สมาคมสุขภาพ การวิจัยและสวัสดิการแห่งอินเดีย (Indian Association of Health, Research and Welfare) เผยแพร่ในวารสารจิตวิทยาเชิงบวกของอินเดีย (Indian Journal of Positive Psychology) บอกว่า การสร้างวินัยเชิงบวกควรเป็นเรื่องของการส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุนให้ทำ มากกว่าการห้าม

สถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษามีส่วนสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในส่วนนี้ได้ เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในสังคม ทักษะสำคัญที่เด็กควรมีในยุคนี้ คือ การรู้จักควบคุมตัวเอง (self-control) ในสถานการณ์ต่างๆ บนพื้นฐานของการมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ และเชื่อมั่นว่าตนเองมีศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญให้กับชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่

การส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุน (encouragement) จากบุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะจากโรงเรียน พื้นที่ที่เด็กๆ ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยอย่างเต็มที่ มีส่วนสำคัญอย่างมากในการปูพื้นฐานการใช้ชีวิตให้กับนักเรียน ทั้งด้านความรู้และทักษะชีวิต การส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุนจะช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนลงมือทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความกลัว เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ และสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ทำ หรือที่เรียกว่า ‘เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก’

ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือชุดความรู้ทฤษฎีใดได้จากการทดลองเพียงครั้งเดียว หากเด็กได้ลองผิดลองถูก กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึง คือ ความภาคภูมิใจในตัวเอง (self-esteem)

เด็กจะเกิดความรู้สึกมั่นใจว่า “ฉันมีความสามารถและจัดการชีวิตตัวเองได้” ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นนามธรรมแต่ก็เป็นกุญแจสำคัญทำให้พวกเขา ‘เห็นคุณค่าในตัวเอง’ 

เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีส่วนปลูกสร้างตัวตนของเด็ก เราจะส่งเสริมวินัยเชิงบวกในโรงเรียนด้วยวิธีไหนได้บ้าง? มั่นใจได้อย่างไรว่าวิธีการนี้มีประสิทธิภาพ? แล้ววิธีการดังกล่าวสามารถช่วยแก้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของนักเรียนได้หรือไม่? บทความนี้มีคำตอบ

หน้าที่ของครูไม่ได้มีแค่ ‘การสอน’ แต่ครูมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะต้องเป็นทั้งนักสังเกตการณ์ เป็นผู้ให้คำปรึกษา ดูแล และให้ความรู้แก่นักเรียน บทบาทของครูจึงเป็นเรื่องท้าทาย ยิ่งเมื่ออยากให้นักเรียนอยู่ในระเบียบ และอยากสร้างวินัยเชิงบวก ครูต้องเข้าใจนักเรียนทุกคน เพราะแต่ละคนมีความต่างและมีพื้นฐานครอบครัวไม่เหมือนกันเลย

การสร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline) คืออะไร?

ย้ำอีกครั้ง การสร้างวินัยเชิงบวกไม่ใช่การออกกฎ ระเบียบ หรือการบังคับ แต่เป็นการส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุน ให้นักเรียนรู้จักบทบาท หน้าที่ของตัวเอง คุณค่าของการสร้างวินัยเชิงบวกอยู่ที่การทำให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ และเชื่อมั่นว่าตนเองมีศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญให้กับชุมชน ประเทศชาติ และส่วนรวมได้

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะลงโทษเพื่อหวังเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน ครูควรมองมุมใหม่ด้วยการหาคำตอบว่า อะไรเป็นเหตุผล ความเชื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมดังกล่าว แล้วหาทางแก้ไขจากจุดนั้น

การสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนอย่างเปิดใจ ด้วยการพูดที่ไม่ใช่การตำหนิ ดุด่า หรือว่ากล่าว แต่เป็นการพูดด้วยท่าทีที่ทำให้เด็กวางใจ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร จะทำให้เด็กเปิดใจและไว้ใจครู เมื่อบทสนทนาเริ่มขึ้นโดยปราศจากความกลัว ครูจะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลเบื้องหลังให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นี่เป็นทักษะการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง (problem solving skills) ที่ครูจำเป็นต้องมี 

กระบวนการการสร้างวินัยเชิงบวก จึงเป็นเรื่องของการตั้งเป้าหมาย (setting goals) เพื่อการเรียนรู้ และค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ (constructive solutions) อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์

สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนในแต่ละวันจึงเป็นโจทย์ที่ครูต้องตั้งรับ ส่วนจะรับมือได้ดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ปฏิภาณไหวพริบ และความเข้าใจในตัวเด็กของครู อย่างที่บอก บทบาทของครูจึงไม่ใช่แค่การสอน แต่ครูต้องมีความสามารถในการจัดการความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในห้องเรียน เอาใจใส่นักเรียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน และเข้าใจพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนด้วย

งานวิจัยชิ้นนี้บอกว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียนเป็นแรงจูงใจและแรงกระตุ้นชั้นเยี่ยมให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในห้องเรียน แทนการนั่งเหม่อลอย หรือมองดูเวลาว่าเมื่อไหร่จะหมดคาบเรียน

“เมื่อเราเข้าใจพัฒนาการทางความคิดของเด็ก เราจะเข้าใจว่าทำไมเด็กถึงมีพฤติกรรมแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ เมื่อเราเข้าใจพัฒนาการทางสังคมของเด็ก เราจะเข้าใจเหตุผลได้ดีขึ้นว่าทำไมแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นในตัวเด็กถึงได้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจัยภายนอก”

ข้อแตกต่างระหว่างความเชื่อแบบเก่ากับการสร้างวินัยเชิงบวก

ความเชื่อแบบเก่า: การลงโทษเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าไม่ลงโทษก็คุมเด็กไม่ได้

การสร้างวินัยเชิงบวก: ยิ่งใช้ความรุนแรงหรือลงโทษ ยิ่งทำให้เกิดการต่อต้าน และหาทางออกด้วยการหลบเลี่ยง เช่น โกหก โดดเรียน ดร็อปเรียนไปเลย หรือขาดแรงจูงใจในการเรียน ขาดความมั่นใจ แล้วไม่อยากเรียนหนังสือ 

แทนที่เด็กจะเคารพครู การลงโทษทำให้เด็กกลัวเสียมากกว่า ครูไม่ควรทำให้เด็กขยาดแต่ต้องทำให้เขาไว้วางใจ เด็กถึงจะเปิดใจ ให้ความเคารพและเชื่อฟัง โดยไม่ต่อต้านและไม่พยายามฝ่าฝืนระเบียบ

ความเชื่อแบบเก่า: ครูมีหน้าที่ให้ความรู้ เด็กนั่งเรียน นั่งฟังอย่างสงบ ‘จดและจำ’ ความรู้

การสร้างวินัยเชิงบวก: เด็กต้องการการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ “เด็กมีพลังเยอะ อยากให้เด็กเรียนรู้ต้องให้เด็กได้ใช้ทั้งสมองและพลัง”  ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากการทดลอง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง วิธีการนี้จะทำให้เด็ก ‘จำ’ แล้วเกิดพัฒนาการได้โดยไม่ต้อง ‘จด’

ความเชื่อแบบเก่า: การที่เด็กนั่งเรียนในห้องเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แสดงว่าเด็กเคารพครู ถ้าเด็กถามคำถามหรือแสดงความคิดเห็นแสดงว่าเด็กกำลังท้าทายครู 

การสร้างวินัยเชิงบวก: จากการศึกษาพบว่า ความเงียบ เป็นสัญญาณของความกลัว กังวล อึดอัด เบื่อ เป็นการแสดงออกว่าสิ่งนั้นไม่น่าสนใจ และไม่เข้าใจ มากกว่าแสดงความเคารพ 

การถามและแสดงความคิดเห็นเป็นการแสดงออกถึงความสงสัยใคร่รู้โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นคุณลักษณะจำเป็นสำหรับการเรียนรู้อย่างยั่งยืน และมีประสิทธิภาพมากกว่าการยัดเยียดให้ท่องจำ 

ความเชื่อแบบเก่า: เด็กไม่สมบูรณ์แบบ ไม่รู้เรื่อง ครูต้องช่วยสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับเด็ก

การสร้างวินัยเชิงบวก: เด็กมีความสมบูรณ์แบบในตัวเองตามวัย พวกเขาอาจเข้าใจสิ่งรอบตัวต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด 

พวกเขาก็มีความฉลาดแหลมคม และมีความรู้สึกไม่ต่างจากผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เด็กเท่านั้นที่ต้องเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เองก็ต้องเคารพความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกตามแนวทางของเขาเช่นกัน 

ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ ‘ครู’

เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ และสร้างวินัยให้กับนักเรียน ครูต้องเปิดใจและพิจารณาตัวเองก่อน

เพราะอะไร…?

เพราะสิ่งที่ครูมองว่าเป็นปัญหา เช่น นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ไม่ทำการบ้าน และหนีเรียน สาเหตุอาจมีที่มาจากตัวครูเอง!

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ห้องเรียนของครูน่าเบื่อ เด็กไม่ได้มีส่วนร่วมคิดหรือแสดงความคิดเห็นหรือเปล่า?

การเรียนการสอนของครูควรกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก และกระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็น ลืมบรรยากาศห้องเรียนแบบนั่งอยู่กับโต๊ะ แล้วจดตามกระดานไปได้เลย ยิ่งครูฉายเดี่ยวให้นักเรียนแสดงออกน้อยเท่าไหร่ เด็กก็จะยิ่งออกนอกลู่นอกทางมากเท่านั้น

อย่างที่บอก ก่อนครูจะตำหนิ หรือลงโทษพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ครูควรมองให้ลึกเพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไปของพฤติกรรมเหล่านั้น

พวกเขาต้องการเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า? ครูบังคับนักเรียนเกินไปไหม? จนทำให้พวกเขาต่อต้านด้วยการพยายามแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีตัวตนในสายตาคนอื่น เช่น การแหกกฎ หรือตั้งกลุ่มแก๊งคอยแกล้งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน 

หนักกว่านั้น หากการเรียกร้องความสนใจใช้ไม่ได้ผล การพยายามสร้างตัวตนก็ยังไม่ได้ อาจนำมาสู่การใช้ความรุนแรงและแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น คราวนี้ไม่เฉพาะกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่กับครูด้วย 

แม้แต่ความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น แล้วหลบหลีกการมีส่วนร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน ก็นำมาสู่การตัดสินตัวเองว่า ‘ฉันทำไม่ได้หรอก!’ ‘ทำไมเราไม่ได้เรื่องเลย’ ความคิดแบบนี้จะทำให้เด็กไม่สนใจเรียน ไม่ทำการบ้าน จนทำให้เด็กคนหนึ่งล้มเหลวในการเรียนได้ 

ด้วยเหตุนี้ ครูจึงควรเปิดพื้นที่ทั้งในห้องเรียนและในโรงเรียนให้นักเรียนทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่ง และมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอน ทำให้พวกเขารู้สึกว่า

หนึ่ง พวกเขามีความสามารถ (capable) ทำงานสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย ตรงตามความต้องการของชั้นเรียนและโรงเรียน จุดนี้ครูต้องมอบหมายให้เด็กทำงานตามที่ตนเองถนัดและสนใจ

สอง พวกเขาต้องรู้สึกว่าสามารถสื่อสารกับครูได้เสมอ และมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นทีมเดียวกัน (connect)

และ สาม ทำให้พวกเขารับรู้และเข้าใจว่า ไม่ว่างานที่ได้รับมอบหมายให้ทำคืออะไร มากน้อยแค่ไหน แต่งานทุกงานมีความสำคัญต่อภาพรวม จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ (contribute)

สร้างความไว้วางใจในห้องเรียน

เมื่อนึกถึงโรงเรียนเรามักจินตนาการเห็นครูผู้น่าเกรงขาม คอยห้ามปรามนักเรียน มากกว่าครูใจดีที่เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยกับนักเรียนได้ แต่อย่างที่บอก ลืมการตำหนิ การคาดโทษ การตัดคะแนนความประพฤติหรือจิตพิสัยอย่างที่ทำกันอยู่ทั่วไปไปได้เลย เพราะการสร้างวินัยเชิงบวกต้องอาศัย การสื่อสารกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน (reciprocal respect) ระหว่างครูกับนักเรียน

‘เด็กจะแคร์ คนที่แคร์เขา’ ยิ่งเด็กรู้สึกว่าครูสนใจและเอาใจใส่พวกเขา เด็กจะยิ่งให้ความเคารพครู เหตุผลทางจิตวิทยา คือ เราต่างอยากเป็นคนสำคัญในสายตาของคนที่สำคัญกับเรา และครูคือคนสำคัญของนักเรียน

จากการศึกษา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนมีผลโดยตรงต่อสมาธิและการตั้งใจเรียนของนักเรียน นักเรียนที่ไม่ชอบ หรือรู้สึกไม่ไว้วางใจครูผู้สอนวิชาไหน มักไม่ตั้งใจเรียนในวิชานั้น พาลไปถึงไม่ยอมทำการบ้าน หรือโดดเรียนไปเลยก็มี

ถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังนึกถึงพฤติกรรมต่อต้านของนักเรียนวัยมัธยม พวกเขาจะแสดงสีหน้า หรือท่าทางให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อรู้สึกไม่พอใจ แต่จากการสำรวจกลับพบว่า พฤติกรรมขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือในชั้นเรียนเกิดขึ้นในวัยอนุบาลและประถมศึกษามากกว่า โดยมักแสดงออกด้วยการร้องไห้ หรือเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีอื่น

แสดงออกอย่างไรให้เด็กรู้ว่าครูแคร์

  • ความคาดหวังมีได้ แต่ต้องมาพร้อมกับการให้ความหวัง และสร้างกำลังใจ

ครูต้องเชื่อมั่นใจศักยภาพของเด็กทุกคน ไม่เฉพาะแค่คนที่โดดเด่นหรือคนที่เก่ง เพราะความเชื่อมั่นของครูจะสร้างแรงบันดาลใจ และส่งผลต่อความสำเร็จของเด็ก ให้โอกาสนักเรียนได้แสดงออกอย่างเท่าเทียมกัน เช่น การถามตอบในชั้นเรียน ให้เวลานักเรียนแต่ละคนได้คิดและแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ไม่เจาะจงเฉพาะเด็กเก่ง หากนักเรียนตอบไม่ได้ ครูให้คำใบ้เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้คิดแล้วตอบตามความเข้าใจของตัวเอง ไม่มีผิดไม่มีถูก เป็นต้น

  • เติมเต็มความภาคภูมิใจ 

พื้นที่นำเสนอผลงานที่นักเรียนลงมือทำด้วยตัวเอง เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนและมีคุณค่า สิ่งที่ต้องระวังคือ ครูไม่ควรเอาคะแนนมาเป็นตัวตัดสินหรือเลือกผลงานขึ้นนำเสนอจากคะแนน ลืมคะแนนไปเลย แล้วเปิดพื้นที่ให้ผลงานของนักเรียนได้อวดโฉม

  • สื่อสารความแคร์อย่างตรงไปตรงมา

การถามว่า วันนี้สบายดีไหม? เมื่อนักเรียนเดินผ่านหรือกำลังผ่านประตูห้องเรียนเข้ามา 

คำถามง่ายๆ สั้นๆ ก็สร้างความชื่นใจและประทับใจให้นักเรียนได้ พวกเขาจะรู้สึกว่าครูสนใจชีวิตของพวกเขา รวมถึงการรับฟังเมื่อนักเรียนถามหรือต้องการปรึกษา และให้กำลังใจเมื่อเด็กอยู่ในภาวะที่กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจ เช่น การสูญเสีย เป็นต้น

เด็กและเยาวชนต้องการความสนใจและเชื่อมั่นจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู หรือแม้กระทั่งเพื่อน ด้วยเหตุนี้การแสดงออกด้วยความรักและความห่วงใย จะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีอย่างแน่นแฟ้น หากครูสามารถสร้างสายใยที่ดีนี้ระหว่างครูกับนักเรียนได้ พวกเขาจะ ‘เชื่อและฟัง’ ครูโดยไม่ขัดขืน ไม่แสดงพฤติกรรมต่อต้าน และไม่ก้าวร้าว เป็นวิธีการสร้างวินัยเชิงบวกที่เป็นแรงจูงใจให้เด็กรักการเรียนรู้ นำมาสู่การพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ตามแบบฉบับของตัวเองไปได้ตลอดชีวิต 

สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี จะช่วยสร้างและเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง (confidence and competence) ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ เด็กจะกลายเป็นพลเมืองที่ดี มีความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเอง (self-discipline) ชุมชน และสังคม

ที่มา:

Thakur, Kalpna, (2017). Fostering a positive environment in schools using positive discipline.
Summer-Hill Shimla: Department of Psychology, Himachal Pradesh University

Tags:

ครูโรงเรียนเทคนิคการสอนวินัยเชิงบวกการลงโทษ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

THE 12 SENSES กับหมอปอง: ทำไมเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เห็นอกเห็นใจ และไม่มี COMMON SENSE
Early childhoodLearning Theory
29 April 2019

THE 12 SENSES กับหมอปอง: ทำไมเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เห็นอกเห็นใจ และไม่มี COMMON SENSE

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • The 12 Senses พัฒนาการการเติบโตในทางการแพทย์มนุษยปรัชญา กระบวนการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสของเด็กแต่ละช่วงวัยแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ Sense of Body ในช่วงวัย 0-7 ปี, Sense of Soul ในช่วงวัย 7-14 ปี และ Sense of Spirit ในช่วงวัย 14-21 ปี
  • บรรยายอย่างเข้าใจง่ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบโดย นายแพทย์ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล หรือ หมอปอง แพทย์ธรรมชาติบำบัด
  • คำถามที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า ทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงไม่รู้จักกาลเทศะ, ไม่เห็นอกเห็นใจ, ไม่มี common sense ทั้งหมดนี้มีที่มาตั้งแต่แรกเกิดและอธิบายได้ผ่าน The 12 Senses

พัฒนาการต้องสำคัญ, ถ้าเด็กอ่านไม่ออกเขียนได้ไม่ทันเพื่อนจะทำอย่างไร, พัฒนาการของร่างกายช้าไปรึเปล่า, กินอาหารเสริมอะไรดี เล่นของเล่นสร้างพัฒนาการอย่างไรจึงจะดีที่สุด?

ยังมีความกังวลอีกมากของผู้ปกครอง -ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่รวมถึงลุง ป้า น้า อา ปู่ย่าตายาย รวมถึงเพื่อนของพ่อๆ แม่ๆ มาช่วยกังวลด้วยว่า ต้องเลี้ยงลูกอย่างไรจึงจะพร้อม พัฒนาการสมวัย

แน่นอนว่าพัฒนาการทางกายเป็นสิ่งสำคัญ แต่พัฒนาการทาง ‘จิตใจ’ ในฐานะพื้นฐานภายในที่เต็มพร้อมเป็นพลังงานขับเคลื่อนชีวิตของเขา (และเรา) ไปตลอดชีวิตนั้นไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยังไม่มีใครชี้ชัดๆ ว่า หากไม่ทำ ไม่สร้าง หรือหากเข้าไปรบกวนพัฒนาการทางจิตวิญญาณจะส่งผลกระทบระยะยาวอย่างไร เป็นต้นว่า หลายคนเริ่มตั้งคำถามเช่น ทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงไม่รู้จักกาลเทศะ, ไม่เห็นอกเห็นใจ, ไม่มี common sense ทั้งหมดนี้อธิบายได้ผ่าน The 12 Senses พัฒนาการผ่านสัมผัสรู้ในมุมการเติบโตในทางการแพทย์มนุษยปรัชญา (Anthroposophic Medicine)

“ในการพัฒนาการมนุษย์ ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงการเติบโตในเชิง spirit หรือจิตวิญญาณ 3 สิ่งคือ body, soul และ spirit ยังไม่ค่อยมีใครอธิบายว่าทั้งหมดนี้จะเข้ามาอยู่ในร่างกายและเชื่อมโยงทำงานร่วมกันอย่างไร แต่สิ่งที่เราบอกได้คือ ประสบการณ์ในอดีต (การถูกเลี้ยงดู) จะเป็นตัวปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์หรือความคิดจิตใจของเราให้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่เคยชินหรือถูกเลี้ยงดูมา หมายความว่า ถ้าประสบการณ์เดิมไม่ดี ซอฟต์แวร์ที่ถูกเขียนขึ้นก็จะไม่ดี

“ในทางการแพทย์มนุษยปรัชญาจึงบอกว่า กระบวนการกล่อมเกลาหรือเลี้ยงดูเด็กให้มีพัฒนาการทั้งกายและจิตใจ ต้องทำผ่านการสร้างประสบการณ์ให้กับผัสสะ (สัมผัส) ต่างๆ เพราะผัสสะเป็นการรับรู้โลกภายนอก เด็กไม่ได้เรียนรู้ผ่านการสอน แต่ผ่านประสบการณ์ผัสสะของเขา เราใส่อะไรผ่านผัสสะให้เขารับรู้ มันจะฝังในหัว ในตัวตน และจะส่งผลต่อการเป็นเขาในระยะยาว

คือคำอธิบายของ นายแพทย์ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล หรือ หมอปอง แพทย์ธรรมชาติบำบัด ตามแนวมนุษยปรัชญา ในเวิร์คช็อปห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์* ณ อนุบาลบ้านรัก วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562

พูดในอีกความหมาย The 12 senses คือกระบวนการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสของเด็กแต่ละช่วงวัย แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ

  • Sense of Body: สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 0-7 ปี
  • Sense of Soul สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 7-14 ปี
  • Sense of Spirit สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 14-21 ปี

อย่างที่คุณหมออธิบายว่า

“พัฒนาการของผัสสะทั้ง 12 เซนส์ เหมือนประตูของดวงจิตที่เปิดออกสู่โลกสามโลก โลกที่หนึ่ง-ผัสสะที่รับรู้ร่างกายของตัวเอง (Sense of Body), โลกที่สอง-ผัสสะที่จะรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก (Sense of Soul) สุดท้าย-ผัสสะและดวงจิตที่เชื่อมโยงกลับไปยังสิ่งที่เรียกว่า ปัญญา ความคิด (Sense of Spirit)”

The Potential เข้าไปซิทอิน จดเลคเชอร์วิธีคิดของคุณหมอ และเรียบเรียงออกมาให้คุณพ่อคุณแม่ คุณป้าคุณน้า หรือใครก็ตามที่กำลังมีบทบาทใดบทบาทหนึ่งในชีวิตที่ต้องกอปรสร้างเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นเป็นมนุษย์ ที่ไม่ได้เติบโตแค่ ‘พัฒนาการ’ แต่คือการเติบโตภายใน

Sense of Body

สร้างประสบการณ์ผ่าน ‘ร่างกาย’ ในช่วงวัย 0-7 ปี

ใน 4 เซนส์ หรือ 4 ประสบการณ์ทางผัสสะแรกในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย Senses of Touch, of Life, of Movement และ of Balance

คุณหมออธิบายเพื่อทำความเข้าใจก่อนว่า ในช่วงขวบปีแรก คิดง่ายๆ ว่าเป็นทารกที่เพิ่งคลอด ทารกยังไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความทรงจำติดตัวมา เปรียบเทียบในแง่พัฒนาการ ช่วงทารกเป็นวัยที่มองไม่เห็น เดินไม่ได้ เท่ากับว่าความเข้าใจเรื่อง ‘ชีวิต’ ยังไม่เคยเกิดขึ้น ผัสสะที่จะถูกสร้าง คนรอบข้างมอบให้ คือประสบการณ์ใหม่ทั้งหมด

ผัสสะแรก – Senses of Touch จึงเป็นการรับประสบการณ์ผ่านการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการโอบกอด อุ้ม ให้นมจากเต้า และสัมผัสอื่นๆ จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้เขารับรู้ถึงการมีชีวิต มั่นคง และ ‘ไว้วางใจ’ (trust) ต่อโลก – ย้ำว่าไม่ใช่แค่ trust ที่เกิดแค่กับผู้มอบสัมผัส แต่เป็น trust ต่อโลก

ผัสสะที่สอง – Senses of Life อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เพราะทารกเกิดมาโดยที่ไม่มีไอเดียของชีวิตอยู่เลย สัมผัสต่างๆ ที่ได้รับย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจต่อชีวิต พลังงานของชีวิต คุณหมอยกตัวอย่างให้เห็นถึงภาพกิจวัตรของเด็กที่มักร้องไห้ ด้วยเหตุผลที่ตรงไปตรงมาคือ ร้องเพราะไม่สบายตัว ร้องเพราะหิว ซึ่งหากสังเกต จะพบว่าเด็กมักร้องไห้อย่างเป็นเวลา เป็นจังหวะ หรือ rhythm

“จังหวะชีวิตสำคัญมากที่ทำให้เด็ก กิน อยู่ หลับ นอน ง่ายดาย ในภาษาแพทย์เรียกว่า rhythm ถ้า rhythm ไม่ดี เด็กจะมีอาการงอแง โยเย เลี้ยงยาก สังเกตได้เลยว่าถ้าวันไหนเราไม่อยู่บ้าน ไปช็อปปิ้ง เปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง เช่น พาออกไปเที่ยว เราทำให้ Sense of Life ของเด็กผิดจังหวะ งอแงผิดปกติ แก้ยังไง? ถ้าอยากให้ลูกมีความมั่นคงต่อพลังชีวิต ก็ต้องสร้าง rhythm ที่สม่ำเสมอ

“สิ่งที่เราจะเห็นในการจัดการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ คือการจัดจังหวะ เช่น การจัดกิจกรรมในโรงเรียนต้องมีจังหวะที่ชัดเจน เช่น เข้ามาที่ห้องอาหารปุ๊บ จังหวะคือ เด็กต้องร้องเพลงขอบคุณอาหาร กินร่วมกัน จากนั้นจึงช่วยกันล้างจาน แล้วไปรวมกันอีกห้องซึ่งมีแต่นิทานและมีที่นอน ถ้าทำแบบนี้ทุกวันเป็นจังหวะเดิม เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ถึงเวลากินข้าว กิน ถึงเวลานอน นอน สำคัญคือเราต้องชัดเจน ถ้าเข้าไปห้องนอนแล้วมีเกมเต็มไปหมด เด็กก็จะสับสนว่าจะให้เล่นหรือนอนกันแน่? หรือ กำลังจะกินข้าว แต่บนโต๊ะอาหารมีหนังสือนิทาน นั่นเท่ากับเราสื่อสารไม่ชัดว่าจังหวะนี้ต้องการอะไร

“ถ้าเราอยากให้ลูกเราสุขภาพดีในระยะยาว การฝึกสิ่งเหล่านี้ให้เขารับรู้พลังชีวิตของตัวเอง และจังหวะเหล่านี้จะติดตัวเขาไปตลอด”

ผัสสะต่อชีวิต สำคัญต่อวิธีคิดในการจัดจังหวะชีวิต ส่งผลต่อวิธีคิดในการจัดการเวลาตอนโตขึ้น ทั้งยังเกี่ยวพันถึงเรื่องสุขภาพในระยะยาว อย่างที่คุณหมอยกตัวอย่างติดตลกว่า

‘เคยไหมที่เห็นเพื่อนบางคน ถึงเวลากินไม่กิน ถึงเวลานอนไม่นอน ถึงเวลาป่วย ดันโหมทำงาน?’ นี่นับเป็นผลพวงหนึ่งของการที่ถูกเลี้ยงอย่างไม่มีกิจกรรมที่มีจังหวะชัดเจน

ผัสสะที่สาม – Sense of Movement พัฒนาการที่สำคัญในช่วงผัสสะนี้คือช่วงที่เด็กเริ่มอยากจะเคลื่อนไหว การตั้งไข่ หัดคลาน หัดเดิน คุณหมอย้ำว่าพัฒนาการในช่วงนี้ไม่ใช่แค่ ‘การเดินได้เร็ว’ แต่คือการเห็นภาพ อยากจะยืดเหยียดแขนออกไปจับต้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกับความปรารถนาของตัวเองและการควบคุมจังหวะชีวิต

“การรู้ว่าร่างกายเราเคลื่อนไหวได้ มันสำคัญยังไง? เมื่อรู้ว่าเราเคลื่อนไหวได้ มันเกิดความเชื่อมโยงระหว่างความปรารถนาของตัวเองกับการเคลื่อนไหวไปหยิบจับ เช่น สมมุติเขาเห็นผลส้มอยู่ตรงหน้า การที่เขาสั่งจิตตัวเองให้เคลื่อนไปหยิบส้มลูกนั้นได้ มันเชื่อมโยงระหว่างความคิดกับเจตจำนงของตัวเขา

“มีคนบอกว่า ถ้าอยากให้เด็กเดินเร็วขึ้น ก็มีอุปกรณ์ให้เด็กเดินเร็ว เครื่องช่วยพยุง หรือพาไปลอยในน้ำดีไหมครับ? ถ้ามองในแง่พัฒนาการ เราอาจบอกว่า… ก็ดีนะ เขาอาจเดินเร็วขึ้นอีกหน่อย แต่ในมุมมองมนุษยปรัชญาบอกว่า สิ่งที่เขาไม่ได้ คือกระบวนการเรียนรู้บางอย่าง เช่น การใช้ความพยายามหาจังหวะจะคืบคลาน หรือเด็กที่ไม่เคยได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก ส่วนใหญ่ใช้เวลากับเทคโนโลยี อาจไม่รู้จังหวะที่จะเข้าหาคน ทำอะไรไม่เคยสอดคล้องกับจังหวะสังคม คือเข้ากับคนอื่นได้ยากไม่เท่ากับที่ศักยภาพเขาควรมี เพราะเขาไม่เรียนรู้จังหวะภายใน เราไปขัดขวางกระบวนการเรียนรู้จังหวะควบคุมการกระทำของตัวเขาเอง”

ผัสสะที่สี่ – Sense of Balance ต่อเนื่องจากการคลาน พัฒนาการต่อไปคือการตั้งไข่และเริ่มก้าวเดิน การเดินที่หมายถึง ทักษะการทรงตัว อันหมายถึง ชีวิตที่สมดุล แต่นอกจากความสมดุลในชีวิต ผลพวงที่ได้มาคือการได้มองโลก ในทางการแพทย์ยังพบด้วยว่า คนที่มีสมดุลทางกายไม่ดี มีผลต่อทักษะการพูดและการฟังด้วย (ความเชื่อมโยงทักษะการฟัง จะกล่าวถึงใน Sense of Hearing)

“Sense of Balance หรือทักษะการทรงตัว โดยส่วนใหญ่จะพัฒนาเสร็จสิ้นในช่วง 1 ปี เร็วหรือช้ากว่านั้นไม่มาก สิ่งที่ล้ำลึกคือ นอกจากการพัฒนากล้ามเนื้อที่ได้มาพร้อมการยืนหรือทรงตัว คือการพูด เพราะเมื่อไรที่เรายืนได้อย่างมั่นคง เด็กจะมองไปไกล โอ้… ตรงนั้นมีคนอยู่ คุณแม่กำลังทำอะไรนะ ผู้ชายที่แม่เรียกว่าพ่อเขาทำอะไร ความอยากรู้อยากเห็นจากการมองไปได้ไกลเป็นตัวกระตุ้นทำให้เขาอยากพูด”

คุณหมอยกตัวอย่างเคสที่เคยให้คำปรึกษาครอบครัวหนึ่ง มีเด็กผู้ชายอายุราว 8 ขวบเข้าปรึกษาคุณหมอด้วยอาการติดอ่าง รักษาหลายศาสตร์แล้วแต่ไม่ดีขึ้น จนมาถึงคุณหมอปอง เมื่อพูดคุยแล้วพบว่า แม้น้องคนนี้จะอายุ 8 ขวบแล้วแต่ยังขี่จักรยานไม่ได้ คุณหมอจึงแนะนำให้ครอบครัวรักษาด้วยการ ‘ไปฝึกขี่จักรยาน’ และเล่น ‘โรลเลอร์เบลด’ ฝึกราว 1 ปี น้องคนนี้เริ่มพูดคล่องขึ้น”

กล่าวโดยสรุป 4 ผัสสะแรก คือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ผ่านผัสสะของร่างกายในช่วงที่ทารกยังไม่รับรู้เซนส์ของการมีชีวิต ซึ่งแต่ละผัสสะไม่ใช่แค่พัฒนาตรงตัว แต่เกี่ยวกับทักษะชีวิตในอนาคต กล่าวคือ

  • Senses of Touch เชื่อมโยงกับความรู้สึกมั่นคง (trust) ปลอดภัยต่อโลก
  • Senses of Life เชื่อมโยงกับการจัดจังหวะ (rhythm) และการมีสุขภาพดีในระยะยาว
  • Sense of Movement เชื่อมโยงกับการมองเห็น ความปรารถนา เจตจำนง และการควบคุมจังหวะชีวิต
  • Sense of Balance เชื่อมโยงกับการมองเห็นโลก ทักษะการพูดและการฟัง

Sense of Soul
สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 7-14 ปี

4 เซนส์ต่อมา คือ Sense of Smell, of Taste, of Sight และ of Warmth ผัสสะเหล่านี้จะถูกพัฒนาอย่างยิ่งยวดในช่วงปฐมวัย จากที่เคยเล่นน้ำกลางแดดได้หลายชั่วโมง พอเข้าช่วงประถมก็เริ่มบ่นร้อนหนาวหนักเป็นพิเศษ จากที่เคยหยิบของตกพื้นมากิน ในวัยนี้แค่ปอกกล้วยแล้วขั้วดำ ก็เริ่มร้องยี้ไม่ขอจับอีกต่อไป

ผัสสะที่ห้า – Sense of Smell หรือการดมกลิ่น ในทางการแพทย์อธิบายว่าการดมกลิ่นมีความเชื่อมโยงสำคัญกับประสาทสมองทำให้แยกกลิ่นออกเป็นประเภทๆ ได้ ในอีกมุมหนึ่ง กลิ่นยังบอก เตือน หรือให้สัญญาณต่อชีวิตบางอย่าง จำแนกว่าสิ่งที่ดี หรือ อันตราย ร่างกายควรรับเข้าไปหรือไม่

“ปัญหาคืออะไร? ปัญหาคือถ้าเราเลี้ยงเขาด้วยกลิ่นสังเคราะห์ เลี้ยงด้วยเทคโนโลยีที่เห็นแต่ภาพ ไม่เคยพาออกไปเล่นข้างนอก ไม่เคยให้สัมผัสกับดอกไม้จริงหรือได้กลิ่นดินกลิ่นโคลน นอกจากสัมผัสจมูกเสียแล้ว คอมมอนเซนส์หรือการแยกแยะสิ่งดีสิ่งผิดปกติก็หายไปด้วย”

ผัสสะที่หก – Sense of Taste ต่อจากการดม คือการรับรสหรือการกิน ซึ่งเป็นการกินที่ ‘เลือก’ ว่าจะรับพลังงานอะไรเข้าไปในร่างกาย แน่นอนว่าการเลี้ยงลูกให้กินในสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่สวย ไม่น่ารับประทาน เป็นเรื่องชวนหัวในหมู่ผู้ปกครอง แต่คุณหมอย้ำว่า การฝึกให้กิน นอกจากฝึกให้สมองคุ้นชินกับรสชาติอาหาร ยังเป็นเรื่องของการฝึกให้ ‘อดในสิ่งที่อยาก ทนในสิ่งที่ไม่ชอบ’ การกินไม่ใช่แค่การรับพลังงานเข้าร่างกาย แต่ผัสสะในการกิน มีผลต่อ ‘เทสต์’ หรือรสนิยมของเขาด้วย

“มนุษยชาติเป็นนักชิมและรู้ด้วยว่าอะไรดีต่อร่างกายโดยไม่ต้องเสิร์ชหา แต่มีเซนส์จับได้ว่า กินสิ่งที่มีรสฝาดๆ เข้าไปนี้รู้เลยว่ามันจะทำให้ร่างกายกลับสู่สมดุลยังไง กินสิ่งนี้เข้าไปแล้วทำให้ร้อนในรึเปล่า รับรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีกับสุขภาพ หมายความว่า เมื่อไรที่เสียเซนส์นี้ไป ไม่ได้เสียเรื่องการกิน แต่เสียเรื่องความคิดด้วย เหมือนในรากศัพท์ภาษาอังกฤษ taste ยังแปลว่ารสนิยม

“จะทำลายเทสต์ได้ยังไง? แทนที่จะกินอาหารสด ก็กินอาหารกระป๋อง กินอาหารสังเคราะห์ กินไปเรื่อยๆ เทสต์เราก็ฝาดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้เขามีรสนิยมดี ก็ต้องให้เขากินดีหน่อย รวมทั้งต้องสอนให้เขา ‘ทนในสิ่งที่อยาก และอดในสิ่งที่ไม่อยาก’ เช่น รู้ว่าผักมันขม แต่กินนะลูก”

ผัสสะที่เจ็ด – Sense of Sight การสอนให้เด็กมีผัสสะทางสายตา หมายถึง การไม่ตัดสินจากภายนอก แต่ให้สร้างกระบวนการให้เด็กมองเห็นคุณค่าจากภายใน

“อันนี้วิกฤติเหมือนกัน ทำไมเดี๋ยวนี้เด็กอยากเป็นดารากันหมด เพราะเราเชื่อทุกอย่างที่ตาเห็นแต่ไม่รู้สึกถึงความเป็นจริงด้านอื่นที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนอยากสวย อยากหล่อ เกิดเทรนด์การทำศัลยกรรม สำหรับคนที่อยากทำ เป็นสิทธินะครับ แต่กำลังชี้ว่า หน้าที่ของพ่อแม่คือทำยังไงให้เขามองข้ามสิ่งเหล่านี้ มองเห็นคุณค่าสิ่งที่อยู่ข้างใน เป็นเรื่องที่เราต้องสอนให้เขาเรียนรู้”

ผัสสะที่แปด – Sense of Warmth นอกจากผัสสะที่รับรู้ว่าถึงความร้อน/เย็น ลึกไปกว่านั้นคือความอบอุ่นจากข้างใน

“ตัวอย่าง ถ้ามีอ่างน้ำสองใบ ใบหนึ่งใส่น้ำร้อน ใบหนึ่งใส่น้ำเย็น เราเอามือข้างหนึ่งจุ่มน้ำร้อน อีกข้างจุ่มน้ำเย็น สักพักหนึ่งแล้วลองสลับข้างกัน มือที่เคยอยู่ในน้ำเย็นจะรู้สึกร้อน ส่วนมือที่อยู่ในน้ำร้อนจะเย็น หมายความว่าการรับรู้ร้อนเย็นไม่เหมือนปรอทหรือการวัดค่าสัมบูรณ์ แต่รับรู้ว่ากำลังมีอะไรเคลื่อนเข้ามาในตัว หรือกำลังสูญเสียอะไรออกไป การเข้าหรือออกของสิ่งนั้นมันเปลี่ยนความรู้สึก

“ความรู้สึกนี้เช่นเดียวกับ smell และ taste นะครับ คือมันอยู่ในการรับรู้ของดวงจิต ในแก่นของเราด้วย ถ้าเด็กคนไหนร้องอยู่ในเปลแล้วไม่มีคนสนใจ เด็กเหล่านี้ต้องทำตัวดื้อๆ หน่อย โดนตีก็ยังดี เด็กคนหนึ่งล้มเจ็บแล้วมีคนมาทายาให้ มีคนเข้ามาปลอบประโลม ข้างในมันรับรู้ได้ว่า กำลังมีความอบอุ่นจากข้างนอกเข้ามาข้างใน”

“เราจะไปบอกเด็กว่าช่วยทำตัวน่ารักหน่อยได้ไหม ไม่ได้ เพราะเราไม่เคยใส่ผัสสะความอบอุ่นให้กับเขาเลย ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนกำลังมีลูกอยู่ในวัยประถม คือ 7-14 ปี ช่วยดูแลสิ่งเหล่านี้ให้หน่อยนะครับ โตไปจะได้มีอนาคตที่ดี ไม่ได้พูดถึงอนาคตไหนนะครับ (หัวเราะ) อนาคตไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่บ้าน”

กล่าวโดยสรุป 4 ผัสสะใน Sense of Soul นี้ ไม่ใช่การแค่การรับรู้ในเชิงกายภาพ แต่เชื่อมโยงกับการเติบโตในการเป็นมนุษย์อีกด้วย คือ

  • Sense of Smell เชื่อมโยงกับ การแยกแยะสิ่งที่ดีและผิดปกติ
  • Sense of Taste เชื่อมโยงกับ รสนิยมในการใช้ชีวิต
  • Sense of Sight เชื่อมโยงกับ การไม่ตัดสินจากภายนอก
  • Sense of Warmth เชื่อมโยงกับความรู้สึก ‘อบอุ่น’

Sense of Spirit
สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 14-21 ปี

4 ผัสสะสุดท้าย คือหมวดจิตใจภายใน คือ Sense of Hearing, of Speech, of Thought และ of Self ความน่าสนใจของเซนส์ในกลุ่มนี้คือ แต่ละเซนส์จะโยงกลับไปที่พัฒนาการทางผัสสะใน 4 เซนส์แรก เป็นการย้ำเตือนว่า หากพัฒนาการในช่วงแรกไม่ดี หรือประสบการณ์ในช่วงแรกไม่ถูกเติมเต็ม ยิ่งมีผลต่อพัฒนาการทางความคิดในตอนโต

ผัสสะที่เก้า – Sense of Hearing ไม่ใช่การได้ยินในเชิงสู่รู้อยากรู้เรื่องของคนอื่น แต่เป็นการเปิดให้อะไรบางอย่างเข้ามาในตัวเรา และวิวัฒนาการหูมนุษย์ยังถอยห่างจากอวัยวะภายในเชิงปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ ออกมาอยู่สูงขึ้นและแยกจากอวัยวะอื่น นั่นจึงทำให้เราได้ยินเสียงที่ละเมียดละไม ประณีต และสุนทรียะขึ้น มากกว่านั้นคือ ไม่ใช่การได้ยิน แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับการทรงตัว หรือ Sense of Balance ด้วย

“ที่ยกตัวอย่างในช่วงแรกว่า ถ้าเราไปเร่งหรือช่วยให้เด็กยืนเร็วเกินไป หรือไม่มี Sense of Balance สิ่งที่ตามมาคือ เขาจะเสียจังหวะในการอ่านด้วย เช่น ‘ไก่ จิก เด็ก ตาย เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง’ จังหวะการอ่านเขาอาจเสีย หรือความคิดในหัวไม่ flow อ่านไม่แตก เวลาอ่านต้องเริ่มจากการลดรูป กอ-ไอ-ไก-ไม้เอก-ไก่ เพราะอย่างนั้นจะกลับไปแก้อะไร? ไปหัดขี่จักรยาน (หัวเราะ) แต่มากกว่านั้น เวลาอ่านหรือพูด เราต้องเห็นภาพคำศัพท์ในหัว ต้องเชื่อมคำให้เป็นประโยค ต้องเกิด flow ในหัว ที่เกิดเป็นอีกทักษะที่เรียกว่า Sense of Language”

ผัสสะที่สิบ – Sense of Language ถ้าการได้ยิน เชื่อมกลับไปที่ทักษะการทรงตัว ทักษะด้านภาษา ก็เชื่อมกลับไปที่การเคลื่อนไหว หรือ Sense of Movement เช่นกัน

“ในเรื่องภาษา เด็กหลายคนสะกดคำได้ อ่านออก แต่ไม่มีทักษะทางภาษา ไม่สามารถแตกเป็นประโยคหรือทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางภาษาได้ ถ้าเราอยากพัฒนาสิ่งเหล่านี้ เราต้องให้เขามีการเคลื่อนไหวเยอะๆ เทคนิคหนึ่งคือการให้เด็กโยนรับของแล้วสับคำในหัว เช่น โยนหมอนแล้วเรียกชื่อคนมารับ โยนปุ๊บ ‘หนูไก่’ หนูไก่โยนต่อ ออกเสียง ‘คุณพ่อ’ กระบวนการนี้ช่วยให้พัฒนาการทางภาษาดีขึ้นเพราะเชื่อมคำให้เป็นประโยคจากมูฟเมนต์ของเขา”

ผัสสะที่สิบเอ็ด – Sense of Thought ไม่ใช่แค่ทักษะทางภาษาในเชิง พูดได้หรือไม่ได้ แต่เป็นเชิงการตีความระหว่างบรรทัด หรือ read between the line ซึ่งเชื่อมกลับไปยัง Sense of Life ในแง่การเข้าใจ ‘ชีวิต’ อีกด้วย

“งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า การสื่อสารของเราใช้วัจนภาษาแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 70 เปอร์เซ็นต์ผ่านอวัจนภาษาหรือน้ำเสียง เช่น ถ้าหมอบอกว่า ขอยืมรถคุณหน่อยได้ไหม สวยจังเลย แล้วคุณบอกว่า ‘ได้สิ’ (กดเสียงต่ำ) หรือ ‘ได้ซิ’ (ขึ้นเสียงสูง) แบบนี้ … ผมไม่ยืมนะ (หัวเราะ) ไม่น่าจะใช่คำอนุญาต

“ในทางการศึกษาจึงมักฝึกให้เด็กเล่นละคร เพราะคือการ integrate ระหว่างความคิดและการเคลื่อนไหว และความคิดกับภาษากายได้ดี”

ผัสสะที่สิบสอง – Sense of Self หรือ ‘I’ หมายถึงความเข้าใจในตัวตน เป็นได้ทั้งเข้าใจตัวตนของคนอื่นและตัวเอง เชื่อมโยงกลับไปสัมพันธ์กับ Sense of Touch ในแง่ที่ว่า หากตอนเด็กๆ ได้รับสัมผัสที่เต็มพร้อมจากคนรอบข้าง รู้ได้ว่านี่คือแม่ มีความชอบ มีตัวตนแบบนี้ นี่คือพ่อ มีความชอบ มีตัวตนแบบนี้ เด็กจะรับรู้ได้ว่า มีตัวตนอื่นอยู่ในสังคมนี้

“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งเดินไปเจอของสิ่งหนึ่งวางอยู่ อยากได้ จึงหยิบมา เพราะเขาไม่รู้ว่าของนี้มีตัวตนของเจ้าของอยู่นะ สไตเนอร์บอกว่านี่คือหลักของคุณธรรม หรือ moral เลย ไม่ว่าจะเป็น ความเห็นอกเห็นใจ ความเกรงใจ แล้วจะพัฒนา moral ยังไง ให้เด็กท่องศีล 5? (หัวเราะ) ไม่ต้องหรอก แค่กอดเยอะๆ ให้ความสัมพันธ์ดีๆ กับเขาก่อนมันจึงเกิดความรู้สึกว่า เออ… มันมีคนอื่นที่มันต้องปฏิสัมพันธ์นะ”

กล่าวโดยสรุปใน 4 ผัสสะสุดท้าย คือ

  • Sense of Hearing เชื่อมโยงกับความละเมียดละไม สุนทรียะ และ กลับไปเชื่อมโยงกับทักษะการทรงตัว หรือ Sense of Balance
  • Sense of Language เชื่อมโยงกับทักษะการเคลื่อนไหว หรือ Sense of Movement
  • Sense of Thought เชื่อมโยงกับ การตีความระหว่างบรรทัด และกลับไปเชื่อมโยงกับ Sense of Life ในแง่การเข้าใจ ‘ชีวิต’
  • Sense of Self เชื่อมโยงกับการรับรู้ตัวตนของตัวเองและคนอื่น กลับไปเชื่อมโยงกับ Sense of Touch

ก่อนปิดห้องเรียนและมีกิจกรรมสร้างพัฒนาการด้วยเสียงเพลงกันต่อ คุณหมอกล่าวปิดท้ายว่า

“ถ้าเรามี Sense of Thought แน่นอนเรามี IQ สูง แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่าคือความเป็นคน และทั้งหมดไม่ได้เกิดจากการนั่งเรียนในห้อง แต่เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ทุกคน

“ในช่วง 0-7 ปีของเขา ให้เขาได้เคลื่อนไหวเยอะๆ, 7-14 ปี สอนให้อดให้ทน อดในสิ่งที่ชอบ ทนในสิ่งที่ไม่ชอบ มองข้ามสิ่งที่ตาเห็นเข้าไปสู่คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ และ 14-21 ปีค่อยพัฒนาเรื่องปรัชญา ความจริง ศิลปะ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ถ้าทำแบบนั้นได้ เราจะได้นักปรัชญาที่เป็นมนุษย์”

Fun Fact

*ห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์: ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ทำโครงการห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์ ด้วยเข้าใจถึงความสำคัญในการจัดการศึกษาในชั้นอนุบาลที่ต้องเน้นสร้างพัฒนาการร่างกายมากกว่าเร่งเนื้อหาทางวิชาการ ขณะเดียวกัน ตระหนักดีว่ามีผู้ปกครองหลายท่านเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ดีแต่มีข้อจำกัดในชีวิตการทำงาน ทั้งโรงเรียนทางเลือกในลักษณะนี้มีจำกัดและมักมีค่าใช้จ่ายสูง

เพื่อให้พ่อแม่พนักงานไทยพาณิชย์มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลและส่งเสริมให้ลูกเกิดพัฒนาการตามวัย จึงจัดตั้งโครงการห้องเรียนไทยพาณิชย์เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับพนักงาน สร้างพื้นที่การเรียนรู้ตามพัฒนาการในพื้นที่ของตัวเองได้

**The 12 Senses คือกระบวนการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสของเด็กแต่ละช่วงวัย เสนอครั้งแรกโดย รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปรัชญาชาวเยอรมัน-ออสเตรีย ทั้งยังเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม สถาปนิก และสนใจปรัชญาแบบ คุยหลัทธิ (Esotericism) มีนักวิชาการและนักการศึกษา ศึกษาและตีความแนวคิดของสไตเนอร์อย่างกว้างขวาง หนึ่งในนั้นคือการตีความด้วยแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf)

Tags:

จิตวิทยาการเติบโตการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)The Twelve Sensesนพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    ดนตรีบำบัดสร้างจังหวะของลูกให้ตรงกับจังหวะของโลก

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง
SpaceCreative learning
29 April 2019

โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • ข้อกังวลหลักของผู้ปกครองในยุคนี้น่าจะเป็นความไม่คุ้นชินที่ต้องออกไปในพื้นที่ธรรมชาติ อาจเป็นเพราะผู้ปกครองผ่านวัยเด็กมาแบบไม่เคยย่างกรายออกนอกพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งก็ต้องนับถือน้ำใจอันหาญกล้าที่ตัดสินใจปล่อย ‘ไข่’ มาอยู่ในมือผม ที่ผมอาจจะทำให้บอบช้ำก็ได้
  • การเรียนเรื่องธรรมชาติมีความจำเป็นต้องออกไปในพื้นที่จริง ไปดู ไปเห็น ไปได้ยิน ไปดม ไปสัมผัส การเรียนผ่านการใช้โสตสัมผัสต่างๆ ของร่างกายเราเป็นการเรียนที่เห็นผลมากที่สุด ซึ่งเด็กๆ ควรจะได้รับการฝึกฝน โดยเฉพาะกับเด็กช่วงสี่ขวบขึ้นไปควรจะได้พัฒนาทักษะพวกนี้อย่างมาก
  • เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ครูสอนธรรมชาติศึกษา ที่สอนเรื่องเล็กๆในธรรมชาติ หวังให้เด็กๆ ได้เติบโตไปพร้อมๆ กับความเข้าใจเรื่องธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าห้องเรียนที่ดีที่สุดของเด็กปฐมวัยก็คือ “ห้องเรียนธรรมชาติ”

ผมหลงใหลธรรมชาติมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีอะไรดลใจให้ผมติดหนึบอยู่กับโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่ในช่วงวัยรุ่น ผมมีทางเลือกมากมายที่จะหลุดเข้าไปในอุโมงค์อันหลากหลาย แต่ผมก็ไม่ได้เลือก ผมกลับเลือกกล้องถ่ายภาพตัวหนึ่ง หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊กของนักเขียนบางคน แล้วก็เปิดประตูโลกธรรมชาติ ก้าวเท้าเดินหน้าเข้าไป นับตั้งแต่อายุ 20 เป็นต้นมา ผมไม่เคยถอยหลังออกมาจากโลกใบนี้

กล้องถ่ายภาพ

หนังสือ

และธรรมชาติ

ผมใช้ชีวิตกับ ‘สามสิ่ง’ นี้มาเกือบสี่สิบปี ผมไม่ได้รู้สึกว่านานหรือโลกหมุนช้าไปเลยแม้แต่นาทีเดียว แม้กระทั่งอาชีพที่หล่อเลี้ยงชีวิตมายาวนานก็มาจาก “สามสิ่ง” ที่ว่านี้ หมุนเวียนหน้าที่ไปตามภารกิจของแต่ละช่วงแต่ละยุคสมัย

จนล่าสุด เมื่อสิบปีที่แล้ว ผมเริ่มเปลี่ยนจากเขียนหนังสือมาเป็นการ ‘พูด’ เพื่อสื่อสารแทน แน่นอนว่าการสื่อสารของผมยังคงเป็นเรื่องเดิม ‘ธรรมชาติ’ เป็นการเอาประสบการณ์ด้านธรรมชาติในช่วงแสวงหาที่ผ่านมาของผมมาถ่ายทอดต่อผ่านคำพูด โดยมีสื่อการสอนเป็นทั้งภาพถ่ายและวิดีโอที่ผมเก็บเกี่ยวมาด้วยตัวเอง

มักมีคนถามผมอยู่บ่อยๆ ว่าผมสอนอะไรในวิชาธรรมชาติ ถ้าจะตอบสั้นๆ เข้าใจง่าย และไม่มีเวลาอธิบายยาวๆ ก็น่าจะเป็น ‘ชีววิทยา’ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก ความเป็นจริงเนื้อหาที่อยู่ในใจผมทั้งหมดก็คือ ‘ความสัมพันธ์กันในธรรมชาติ’ หรือพูดให้สวยหน่อยก็ประมาณ ‘นิเวศวิทยา’

ไม่ว่าเราจะเรียนรู้เรื่องอะไรในธรรมชาติ ท้ายที่สุดแล้วถ้า ‘ไม่ได้เชื่อมโยง’ ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่โยงใยกันอยู่ในธรรมชาติก็ยากที่จะเข้าใจและมองเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ในเรื่องนี้ ไม่ต่างจากการเรียนวิทยาศาสตร์จากภาพประกอบในหนังสือเพียงเพื่อทำข้อสอบให้ผ่านเท่านั้นเอง

ธรรมชาติ เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้ง ‘ธรรม + ชาติ’ มันคือความจริงของชีวิตที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ ทุกเรื่องในธรรมชาติสอนเราได้หมด ขึ้นอยู่กับเราจะเป็นนักเรียนแบบไหน ตั้งใจ เข้าใจ และมองเห็นเรื่องราวในธรรมชาติได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการมองของเราเอง

ธรรมชาติสอนเราทั้งเรื่องชีววิทยา เรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ เรื่องการพึ่งพาอาศัย เรื่องของสังคม เรื่องการเปลี่ยนแปลง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ล้วนเป็นสัจธรรม และทุกเรื่องที่เราเรียนจากธรรมชาติก็คือความเป็นชีวิตจริง ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติเราจะมองโลกมองสังคมเป็นอีกแบบหนึ่ง เราจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในธรรมชาติล้วนแต่มีเหตุ มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดผุดขึ้นมา เกิดขึ้นมา แบบโดดๆ หาความเป็นมาไม่ได้ ไม่มี

ธรรมชาติสัมพันธ์กับชีวิตเราทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติในอีกซีกโลกหนึ่งก็ตาม เมื่อเข้าใจธรรมชาติ เราก็เข้าใจความจริงของชีวิต ศาสตร์ทุกศาสตร์ที่เราเรียนรู้บนโลกนี้ก็เช่นกัน ต่างเชื่อมโยงถึงเสี้ยวส่วนของธรรมชาติทั้งสิ้น

นี่เป็นเรื่องที่ผมนำมาถ่ายทอด นำมาสื่อสารต่อไปยังเด็กๆ รุ่นใหม่ ผมไม่รู้หรอกว่าลึกๆ แล้วในความคิด ในมุมมองของผู้ปกครองที่ส่งลูกๆ มาเรียนกับผมคาดหวังอะไร แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่ง อย่างน้อยผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็คงมองเห็นว่า ‘เรื่องราวของธรรมชาติ’ ไม่ได้มีพิษภัยที่ต้องควรระมัดระวัง รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย อะไรทำนองนั้น

ข้อกังวลหลักของผู้ปกครองในยุคนี้ น่าจะเป็นความไม่คุ้นชินที่ต้องออกไปในพื้นที่ธรรมชาติ อาจเป็นเพราะผู้ปกครองผ่านวัยเด็กมาแบบไม่เคยย่างกรายออกนอกพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งก็ต้องนับถือน้ำใจอันหาญกล้าที่ตัดสินใจปล่อย ‘ไข่’ มาอยู่ในมือผม ที่ผมอาจจะทำให้บอบช้ำก็ได้

การเรียนเรื่องธรรมชาติมีความจำเป็นต้องออกไปในพื้นที่จริง ไปดู ไปเห็น ไปได้ยิน ไปดม ไปสัมผัส การเรียนผ่านการใช้โสตสัมผัสต่างๆ ของร่างกายเราเป็นการเรียนที่เห็นผลมากที่สุด ซึ่งเด็กๆ ควรจะได้รับการฝึกฝน โดยเฉพาะกับเด็กช่วงสี่ขวบขึ้นไปควรจะได้พัฒนาทักษะพวกนี้อย่างมาก ปัจจุบันเราส่งลูกไปโรงเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล บางโรงเรียนเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับทักษะอันนี้ ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกการเขียน ฝึกการอ่าน เพียงอย่างเดียว

การฝึกทักษะเรื่องสัมผัสต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ประสาทส่วนต่างๆ เหล่านี้ได้ทำงานบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการดมกลิ่น การฟัง การเห็น การสัมผัสร้อน อุ่น เย็น ของผิวหนังส่วนต่างๆ สามารถฝึกได้ที่บ้าน ไม่ต้องรอโรงเรียน

แต่ถ้าเราได้เข้าไปในพื้นที่ธรรมชาติ เข้าไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย เราจะตื่นตัวกับการใช้ประสาทสัมผัสเหล่านี้โดยอัตโนมัติ เป็นการกระตุ้นทางอ้อม เมื่อเด็กๆ ได้ใช้บ่อยๆ ระบบการทำงานประสาทพวกนี้ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เรื่องการทรงตัว ยืน เดิน วิ่ง ก็สำคัญ กล้ามเนื้อเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา เอว ก็จะถูกกระตุ้นให้พัฒนาขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้ไปเดินในสภาพพื้นที่ไม่เรียบ มีสูงต่ำ สภาพที่ไม่ปกติจากชีวิตประจำวัน จากเด็กที่เดินแล้วล้มบ่อย หรือวิ่งทีไรก็สะดุดเท้าตัวเองทุกที ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญของเด็กในช่วงปฐมวัยที่ควรถูกพัฒนาก่อนที่จะโตเกินไป

ถามว่า ไม่ไปในพื้นที่ธรรมชาติ เราฝึกเรื่องเหล่านี้ได้มั้ย? ฝึกได้ครับ แต่เรามักหลงลืมที่จะทำเท่านั้นเอง จนกว่าหมอจะแนะนำให้เราทำนั่นแหละจึงจะเริ่มต้น

ที่สำคัญเด็กบางครอบครัวอาจจะต้องอยู่ในภาวะ ‘ปลอดสายตา’ ของพ่อแม่บ้าง เปิดโอกาสให้ครูได้ใช้ขบวนการต่างๆ ฝึกทักษะให้กับเด็ก หรือพ่อแม่ต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กล่าว

“อย่านะลูก เดี๋ยว…”

อย่านะลูก เดี๋ยวล้ม…

อย่านะลูก เดี๋ยวโดนกัด…

อย่านะลูก เดี๋ยวเจ็บ…

อย่านะลูก เดี๋ยวไม่สบาย..

คำเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้พูดสำหรับพ่อแม่บางคน

การเรียนเรื่องธรรมชาติและการออกไปสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง เป็นการทำงานไปพร้อมๆ ทั้งทางร่างกายและทางสมอง การเรียนรู้ของเด็กๆ แต่ละคนมีความชอบแตกต่างกัน (ที่อาจจะมาจากยีน มาจากพัฒนาการของร่างกาย มาจากระดับอายุ และปัจจัยอื่นๆ) เมื่อมาเรียนเรื่องธรรมชาติด้วยวิธีการเรียนการสอนผ่านการเล่น การสัมผัสจริง เปิดโอกาสให้เด็กๆ ใช้ศักยภาพของตนเองในทางที่ถนัดมากขึ้น เช่น บางคนชอบดู ชอบสัมผัส ชอบทดสอบ บางคนชอบบันทึกโดยการเขียน ลากเส้น วาดภาพ บางคนบันทึกโดยการจำ ซึ่งถ้าเปิดโอกาสให้ทำตามที่ถนัด เด็กก็สามารถเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้กัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้สอนก็มีส่วนสำคัญในการขบวนการเรียนการสอน ถ้ายังใช้รูปแบบเดิมๆ ที่เป็นรูปแบบเดียวกันกับห้องเรียนตามปกติ ขบวนการเรียนรู้เรื่องธรรมชาติก็อาจจะไม่ได้ให้ผลดีต่อศักยภาพของเด็กตามที่ควรจะเป็น ผู้สอนก็ควรมีความยืดหยุ่นไปตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน ซึ่งอันนี้จะเป็นเรื่องยากของครูที่สอนอยู่ในชั้นเรียนแบบปกติทั่วไป

และไม่ว่าเด็กจะมีศักยภาพแบบไหน ในพื้นที่ธรรมชาติก็เป็นสนามเด็กเล่น เป็นพื้นที่ของการผจญภัย เป็นโลกมหัศจรรย์ที่น่าเล่นสนุกสำหรับเด็กเกือบจะร้อยทั้งร้อยอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะพาเด็กๆ เรียนรู้เรื่องอะไร เมื่อเด็กเบื่อจากเรื่องหนึ่ง เด็กก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้ไม่ยาก และการเรียนรู้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการเล่นสนุกของเด็กๆ นั่นเอง

ผมจึงคิดว่า ธรรมชาติ คือ ครู ที่สุดยอดของพวกเด็กๆ ทุกคน

Tags:

เข้าป่าสิ่งแวดล้อมeco literacyโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)โรงเรียนธรรมชาติเกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Author:

illustrator

เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน

    เรื่องและภาพ เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้น: นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
How to get along with teenager
29 April 2019

พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้น: นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

เรื่อง

  • ทำความเข้าใจ ‘ความติ่ง’ ให้ลึกลงไปด้วยฟังข้อมูลและคำแนะนำจากจิตแพทย์ ที่นิยามสั้นๆ ว่า ติ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึกและทำลายยาก
  • ค่อยๆ แนะนำและอธิบายอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดย นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทยย์เด็กและวัยรุ่น โฆษกกรมสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
  • “พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้นล่ะครับ”  คุณหมอเปรียบเทียบ
นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
โฆษกกรมสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวดี!! ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮ็อต จะมาจัดคอนเสิร์ตในไทยอีกครั้ง ถึง 2 รอบการแสดง #เก็บเงินกันรัวๆ เลย

ประโยคนี้คงเป็นข่าวดีมากสำหรับแฟนๆ ที่เป็นติ่ง แต่คงไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพ่อแม่แน่ๆ โดยเฉพาะแฮชแทคปิดท้าย

พ่อ-แม่-ลูก หลายๆ บ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกวัยรุ่น น่าจะคุ้นกับสถานการณ์เช่นนี้ บางบ้านก็ดีลได้ แต่หลายบ้านจบลงด้วยการทะเลาะกัน เพราะต่างฝ่ายต่างคาดหวังความเข้าอกเข้าใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียง “การไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ”

“ติ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึกและทำลายยาก”

ประโยคสำคัญจาก นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ที่อธิบายความรู้สึกของติ่งในฐานะจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับมาฟัง เข้าใจ และไม่ดูถูกหัวใจจนบาดหมางกัน

นับหนึ่งด้วยการสังเกตพฤติกรรม

สมัยนี้เป็นอะไรที่สังเกตเห็นง่ายมากๆ ครับ จากรายการทีวีที่ลูกชอบดู Youtube ที่ลูกชอบเปิด เพลงที่ลูกชอบฟัง ผมว่าเราก็เห็นได้แล้วว่าลูกชอบอะไร ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนกับลูกใน social media ยิ่งชัดเจนมากๆ เพราะเขาจะโพสต์อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาชอบบน Facebook แน่นอน ยิ่ง Twitter ที่เป็นวงสังคมหลักของกลุ่มแฟนด้อมต่างๆ นี่ง่ายเลย อันนี้อ่านไม่กี่ทวิตของลูกก็รู้แล้วว่าลูกเราชอบวงอะไร ชอบดารานักร้องคนไหน กำลังรอจะไปคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้งที่ไหนบ้าง

ความรัก (ของติ่ง) คือนามธรรมและไม่มีจุดตรงกลางสมบูรณ์

ถ้าถามผมว่าพฤติกรรมติ่งมีกี่ระดับนี่คงตอบยากมากๆ ครับ เพราะระดับความรักความชอบของคนมันเป็นนามธรรม มันเป็นความรู้สึกที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ จับต้องไม่ได้ แม้จะใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาก็ยังเอามาประเมินได้ยากเลย ถ้าจะไปวัดตรงระดับพฤติกรรมแทนก็อาจจะยากเช่นเดียวกัน เพราะว่าพฤติกรรมของมนุษย์มันไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าแบบไหนมาก แบบไหนน้อย ไม่มีจุดตรงกลางสมบูรณ์ มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าบรรทัดฐานทางสังคม ในขณะที่บางสังคมมองว่าพฤติกรรมแบบนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก แต่บางสังคมอาจมองว่านี่มันมากเกินไปจนรับไม่ได้แล้ว คนละสังคมค่านิยมก็ต่างกัน นอกจากนั้น การรับรู้บรรทัดฐานทางสังคมของแต่ละบุคคลเองก็สำคัญมากเช่นกัน

ถ้าเราไปยืนอยู่ตรงจุดขวาสุดตรงจุดที่เกลียดไอดอลเกาหลีเข้าไส้ เราอาจมองว่าใครก็ตามที่ยืนอยู่ซ้ายมือถัดเราไป พวกนี้เป็นติ่งเกาหลีน่ารำคาญทั้งหมด

เอาเป็นว่าถ้าจะให้แบ่งจริงๆ ผมคงแบ่งเป็น พฤติกรรมติ่งทั่วไป กับ พฤติกรรมติ่งแบบเสียสุขภาพ ครับ ถ้าพฤติกรรมติ่งของลูกนั้นอยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำให้เสียหน้าที่ในการทำงาน เสียการเรียน เสียเงินทองจนเกินตัว หรือสูญเสียความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และคนรอบข้าง ผมก็ยังมองว่าแบบนี้ก็เป็นปกติทั่วๆ ไป ใครก็เป็นได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ถ้าเป็นติ่งแล้วเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิต เป็นติ่งแล้วต้องเสียสละอนาคตตัวเองไปนี่ อันนี้ไม่โอเค พ่อแม่คงต้องเริ่มหาทางช่วยเหลืออะไรบางอย่าง

ติ่งอย่างไรถึงเสียสุขภาพ

พฤติกรรมติ่งแบบเสียสุขภาพมีการพูดถึงในบางกลุ่มอาการทางจิตเวชเหมือนกัน เช่น Celebrity Worship Syndrome ที่มีอาการย้ำคิดวกวนอยู่กับเรื่องของคนที่ตัวเองชอบ ควบคุมความคลั่งไคล้ของตัวเองไม่ได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ขั้น

ระดับ Entertainment-social อันนี้เป็นขั้นต้นที่มีความย้ำคิดวกวนเรื่องไอดอลซ้ำๆ เฉยๆ ชักชวนให้คนอื่นมาชอบเหมือนตนเองบ้าง ติดตาม social media ของไอดอลอย่างใกล้ชิด ระดับต้นนี้ถ้าในวัยรุ่นหญิงอาจมีปัญหา เช่น อยากหุ่นดีแบบไอดอลจนเริ่มลดน้ำหนักด้วยวิธีที่ผิดๆ

ระดับ Intense-personal เป็นระดับกลาง เริ่มเอาเรื่องไอดอลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ขาดไม่ได้เหมือนเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต เริ่มรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ กลัวไอดอลจะไม่ชอบตัวเอง ในบางคนอาจเริ่มทำศัลยกรรมเพื่อให้ไอดอลชอบหรือให้เหมือนไอดอลที่ตัวเองชอบ

ระดับ Borderline-pathological เป็นระดับรุนแรง เริ่มแยกเส้นแบ่งความเป็นจริงกับเรื่องในจินตนาการไม่ได้ มีการตัดสินใจในการใช้เงินแบบไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก มีอาการหวาดระแวงวิตกกังวลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไอดอล ต้องได้รับความช่วยเหลือโดยด่วน

หรือบางคนอาจมีอาการ Erotomanic คือ มีความเชื่ออย่างสนิทใจว่าไอดอลคนนั้นก็มีความรู้สึกรักเรากลับมาเหมือนกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เหตุผลอะไรมารองรับความเชื่อนี้เลย ถ้ามีอาการแบบนี้คงต้องมาบำบัดรักษากันอย่างจริงจัง เพราะเราจะได้ยินข่าวบ่อยๆ ว่า บางคนพัฒนาไปเป็น stalker หรือ บางคนถึงขั้นบุกบ้านทำร้ายร่างกายไอดอลเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งไป ก็มีให้เห็นตามข่าวต่างประเทศบ่อยๆ

‘ติ่ง’ ความสัมพันธ์ลุ่มลึกและทำลายยาก

การเป็นติ่ง โดยหลักๆ แล้วเป็นรูปแบบความสัมพันธ์แบบด้านเดียว (one-sided relationship) ที่มีต่อเหล่าไอดอลที่มีชื่อเสียง ความสัมพันธ์ด้านเดียวนี่หมายถึง การที่ฝ่ายหนึ่งเริ่มรู้จักอีกฝ่ายดีเป็นอย่างมาก โดยที่ฝ่ายหลังนั้นแทบไม่รู้จักหรือรับรู้การมีตัวตนอยู่ของฝ่ายแรกเลย การเข้าสู่การเป็นติ่งเกาหลี เริ่มจากตระหนักการมีตัวตนของไอดอลก่อน อาจจะตระหนักเพราะเขา/เธอหน้าตาดี ความสามารถดี หรือเพื่อนชักชวน พอเริ่มล็อคเป้าแล้วว่าบุคคลนี้น่าสนใจ น่าค้นหา จึงเริ่มติดตามผลงานและเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ความรู้สึกใกล้ชิดและผูกพัน (sense of attachment) จึงเริ่มเกิดขึ้น ยิ่งรับข้อมูลข่าวสารหรือดูรายการที่เกี่ยวกับไอดอลคนนั้นมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความผูกพันมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดความสุขในการผูกพัน จึงใช้กำลังกายและกำลังเงินในการหาความสุขในการเป็นติ่งมากขึ้นตามลำดับ

บริษัทที่ดูแลไอดอลทั้งเกาหลีและญี่ปุ่นก็ฉลาดด้านธุรกิจ พยายามวาง position ของไอดอลทั้งหลายให้สัมผัสผลงานได้ง่ายแต่กลับสัมผัสตัวจริงไม่ง่ายนัก กว่าจะได้สัมผัสตัวตนอย่างใกล้ชิดต้องมีหลายขั้นตอน ต้องรอคอย มาดักรอสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ บางครั้งกว่าจะได้ไฮทัชไอดอลเกาหลีต้องต่อคิวเบียดเสียดกับคนอื่นมหาศาล ฝั่งติ่งไอดอลญี่ปุ่นก็ต้องเสียเงินเพื่อจับมือสั้นๆ ซึ่งนี่เองเป็นการส่งเสริมให้ความสัมพันธ์แบบด้านเดียวเข้มแข็งขึ้น

ความสัมพันธ์แบบนี้ลุ่มลึกและทำลายยาก เพราะเป็นความชอบแบบไม่คาดหวัง แม้จะได้ใกล้ชิดกันเพียงสั้นๆ ก็ตาม แต่อีกฝ่ายที่เป็นไอดอลนั้นปฏิเสธเราไม่ได้ เราจึงรู้สึกมั่นคง เราจินตนาการอะไรเพิ่มเติมลงไปก็ได้ในเนื้อหาความสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ที่เราเองควบคุมได้ ความสัมพันธ์จะหายไปก็ต่อเมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าจะเท…เท่านั้นเอง

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมติ่งกระจายเป็นวงกว้างออกไป คงเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยารูปแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า Bandwagon effect อธิบายง่ายๆ ว่า พฤติกรรมใดเป็นที่นิยมมากๆ ในวงสังคม ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำตาม ยิ่งในวัยรุ่นต้องการเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ มีแรงกดดันจากเพื่อน (peer pressure) อยู่สม่ำเสมอ การเป็นคนเดียวที่คุยเรื่องไอดอลเกาหลีไม่รู้เรื่องอาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจและกลายเป็นคนนอกกลุ่ม คนที่สนใจเล็กน้อยก็จะได้รับแรงเสริมจากเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ สักพักก็จะสนใจและรู้สึกผูกพันมากขึ้นไปเอง

ก่อนจะดีลกับลูก พ่อแม่ต้องดีลกับตัวเองก่อน

ก่อนจะไปดีลอะไรกับลูก พ่อแม่ต้องดีลกับตัวเองก่อนเลยครับ สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรนึกถึงอย่างแรกคือ การที่ลูกบ้าดารานักร้องนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ และการบ้าดารานักร้องนั้นมีมานานตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้วด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ ย้อนไปประมาณ 50 ปีก่อน ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล้วงเดอะบีเทิลส์ (The Beatles) มากๆ สมัยนั้นพูดได้เลยว่าวัยรุ่นแทบจะทุกคนคลั่งวงนี้หมด คลั่งขนาดเปลี่ยนภาพลักษณ์วัยรุ่นอังกฤษที่มักถูกสอนให้เงียบขรึม กลายเป็นคลุ้มคลั่งวิ่งไล่ตามพ่อสี่หนุ่มเต่าทองกันเป็นหมื่นๆ คนเลยทีเดียว ต้องไปนอนเฝ้าซื้อบัตรกันเป็นวันๆ เพราะสมัยนั้นไม่มีจองออนไลน์ ถ้าเอาตัวอย่างในประเทศไทย สมัยคุณพ่อคุณแม่เองตอนวัยรุ่นก็น่าจะเคยเห็นภาพผู้คนเป็นพันๆ วิ่งไล่ตามรถของพี่เบิร์ด ธงไชย ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตเหมือนกันใช่ไหมครับ นั่นแหละครับแบบเดียวกัน

เมื่อพ่อแม่เข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้อยู่กับสังคมมนุษย์มานาน ก็ให้ทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่ารายละเอียดต่างๆ ของการคลั่งดารานักร้องก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีมากขึ้น การเข้าถึงง่ายมากขึ้น วิธีการแสดงออกของเด็กวัยรุ่นก็จะต่างไปจากยุคก่อน บรรทัดฐานการแสดงออกก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้แล้ว พ่อแม่ก็จะใจเย็นลง ไม่ได้มองเรื่องนี้ว่าแปลกประหลาด

หลังจากนั้นค่อยลองพูดคุยกับลูกดู เริ่มทำความรู้จักในสิ่งที่เขาชอบ เขาชอบวงไหน เขาเมนคนไหน เขาชอบเพลงอะไร ทำความรู้จักลงไปในรายละเอียดต่างๆ ไม่ใช่ไปเหมารวมๆ ว่า โถ่..ก็วงเกาหลีเหมือนๆ กันนั่นแหละ แบบนี้ไม่ถูกต้อง เท่ากับว่าเราไม่รับฟังลูก แล้วลูกจะหันกลับมารับฟังเราเหมือนกันได้อย่างไร

ถ้าได้พูดคุยแล้ว และเราไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านในสิ่งที่เขารักที่จะทำ ก็จะเกิดการเปิดใจคุยกันมากขึ้น แล้วจึงค่อยๆ พูดคุยถึงขอบเขตการติ่งที่เหมาะสม และเรื่องซีเรียสๆ เช่น การจัดระเบียบชีวิตตัวเองไม่ให้ความติ่งนั้นไปรบกวนหน้าที่หลักในชีวิตประจำวัน หรือสอนการใช้เงินอย่างสมฐานะและสมวัย อย่าเพิ่งเข้าไปจัดการอะไรทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจ พ่อแม่ต้องเข้าใจความติ่งก่อน ถึงจะไปดีลกับความติ่งของลูกได้สำเร็จ

ติ่งแบบหมกมุ่นและขาดวินัยก็มีอยู่จริงๆ แต่ก็มากพอๆ กับพ่อแม่ที่ไม่พยายามเข้าใจ

ส่วนมากความกังวลเกิดจากความไม่เข้าใจและความพยายามจะไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจว่าแฟนด้อมคืออะไร ซาแซงคืออะไร ไฮทัชคืออะไร มีแต่พฤติกรรมและเรื่องราวที่ไม่เข้าใจสำหรับพ่อแม่เต็มไปหมด ซึ่งความไม่รู้และไม่เข้าใจก่อให้เกิดความกลัวและกังวลของมนุษย์ตามหลักจิตวิทยาพื้นฐาน หลายครั้งที่แค่ถามลูกลูกก็พร้อมจะอธิบาย แต่พ่อแม่หลายคนก็ไม่ค่อยมีเวลาที่จะพยายามจะเข้าใจอยู่ดี ความกังวลก็เลยยังคงอยู่แบบนั้น

แต่ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากวัยรุ่นบางคนก็ไม่อยากจะอธิบาย และขาดวินัยในการติ่งจริงๆ หมกมุ่นมากเกินไปจนการเรียนตกลง หรือใช้เงินมากเกินตัว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีคนที่เป็นแบบนี้ปริมาณมากในกลุ่มวัยรุ่น และไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่พร้อมจะรับมือพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกที่พ่อแม่หลายคนจะรู้สึกกังวล

โชคเรื่องเล็ก ความพยายามคือเรื่องใหญ่ – ไอดอลไม่ได้กล่าว

ประเด็นติ่งหลายคนพยายามชดเชยด้วยการตั้งใจเรียน ทุ่มเทกับการสอบ เพื่อชดเชยที่ตัวเองเป็นติ่ง ผมคิดว่าไม่เกี่ยวกันครับ ความชอบก็ส่วนความชอบ วินัยก็ส่วนวินัย ความพยายามก็ส่วนความพยายาม ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแต่ละคน แต่หลายกรณีที่ผมเห็นคือ ไอดอลหลายคนได้สอนถึงความพยายามให้เด็กๆ ได้รู้จัก ในยุคก่อนๆ เด็กวัยรุ่นอาจจะเห็นเพียงภาพนักร้องที่เขาชอบแล้วก็รู้สึกดี รู้สึกอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ได้แต่เฝ้าขอพรต่อโชคชะตาว่าขอให้มีโอกาสแบบนั้นบ้างเถอะ แต่เรื่องราวของไอดอลเกาหลีในยุคปัจจุบันนั้นแตกต่างออกไป เรื่องโชคเป็นเรื่องเล็ก เรื่องความพยายามนั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก กว่าจะเดบิวท์ได้ตอนเป็นเด็กฝึกทำงานหนักมาหลายต่อหลายปี ซ้อมเต้น ซ้อมร้อง ซ้อมการแสดง ทั้งวันอย่างหนัก จึงจะประสบความสำเร็จได้ ผมเชื่อว่าวัยรุ่นที่ชอบนักร้องเกาหลีหลายคนรู้เรื่องนี้ และมีส่วนหนึ่งเก็บมาคิดได้ ปรับใช้กับชีวิตของตัวเอง จนมีความพยายามมุมานะต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้นจนได้ดี

บัตรคอนเสิร์ตแพงมาก vs ความชอบของแต่ละคนไม่เคยเป็นเรื่องไร้สาระ

พ่อแม่มีสิทธิที่จะตกใจหรือหงุดหงิด แต่ขอให้รับฟังความอยากของลูกก่อนครับ ให้เขาได้พูดความต้องการและความจำเป็นในการที่ต้องซื้อบัตรแพงขนาดนั้น

ถ้าลูกจะใช้เงินที่ตัวเองเก็บหอมรอมริบมา มันก็เป็นสิทธิของเขา เงินของเขา ไม่ใช่เงินของพ่อแม่ เจ้าของเงินมีสิทธิทุกประการที่จะเอาเงินก้อนนั้นไปซื้อความสุขให้ตัวเองอย่างไรก็ได้ แม้ว่ามันจะดูไม่สมเหตุสมผลในสายตาของคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม

สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ดีที่สุดคือ ชื่นชมในความพยายามเก็บเงินของลูก และบอกความรู้สึกในใจของพ่อแม่ออกไป เช่น พ่อคิดว่าตั๋วตรงนี้แพงไป ซื้อโซนหลังไปหน่อยดีไหม หรือ แม่รู้สึกว่าเงินก้อนนี้มีค่ามาก ลูกอาจจะอยากเก็บไว้ซื้อของที่จำเป็นต่อลูกในอนาคต แบบนี้ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องไม่คาดหวังมากนักว่าลูกวัยรุ่นจะทำตาม เพราะมันก็เป็นเงินของเขา

แต่ถ้าลูกมาขอเงินเพื่อไปซื้อ อันนี้จะเป็นอีกกรณีหนึ่ง พ่อแม่มีสิทธิที่จะให้หรือไม่ ก็แล้วแต่พ่อแม่ ถ้าเราเห็นว่าไม่สมควรก็ควรพูดคุยกับลูกตรงๆ โดยอธิบายว่าความไม่สมควรนั้นเกิดจากราคาที่แพงเกินไปสำหรับสถานะการเงินของครอบครัว ลูกควรจะตั้งใจอดออมหรือทำงานพิเศษเก็บเงินเอง การพูดแบบนี้จะดีกว่าการบอกไปว่า มันไม่สมควรเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ พูดไปแบบนี้ทะเลาะกันแน่ๆ เพราะความชอบของแต่ละคน ไม่เคยเป็นเรื่องไร้สาระ

ความปลอดภัยและวินัย สิ่งที่พ่อแม่เตือนได้เรื่องการใช้ Social Media

คนในยุคปัจจุบัน ใช้โซเชียลมีเดียเพราะตนเองอยากรู้ข้อมูลข่าวสารรอบๆ ตัวอยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลที่เราเสพก็มักเป็นข้อมูลที่เราชอบและสนใจ การใช้เพื่อติดตามดารานักร้องก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วๆ ไปในโลกโซเชียล สิ่งที่ควรตระหนักมากที่สุด 2 เรื่อง คือ ความปลอดภัยในการใช้งานและวินัยในการใช้งาน social media ซึ่งพ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับทั้งสองเรื่องนี้ ตระหนักและพูดคุยเรื่องนี้กับลูกด้วย

ความปลอดภัยในการใช้งาน social media นั้นสำคัญมาก เช่น ข่าวสารปลอมต่างๆ อาจทำให้เกิดการรับรู้ผิดๆ และลิงค์ข่าวบางอย่างอาจนำไปสู่ไวรัส หรือ การไตร่ตรองก่อนการพิมพ์ข้อความต่างๆ ก็สำคัญมาก เพราะการชอบหรือการเกลียดนักร้องเกาหลีสักคน ย่อมมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเรา ถ้าความเห็นของเราถูกเอาไปประจานไปล่าแม่มดคงไม่ดีต่อตัวเราแน่ๆ

วินัยในการใช้งาน social media ก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรพูดคุยกับลูกถึงระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้งาน จะทำอย่างไรให้การใช้งานนั้นไม่รบกวนการเรียน การทำงาน และการพักผ่อนจนเสียสุขภาพ ไม่ใช่แต่เรื่องดารานักร้องอย่างเดียว ไม่ว่าจะใช้งานกับเรื่องอะไรก็ต้องมีวินัยและความปลอดภัยควบคู่ด้วยเสมอ

ถ้าลูกขโมยเงินไปซื้อบัตรคอนเสิร์ต – ‘ตัด ลด งด’ ได้ผลชะงัดกว่าตี

ต้องมองว่าพฤติกรรมลักขโมยนั้นเป็นพฤติกรรมละเมิดสิทธิคนอื่นรูปแบบหนึ่ง การจะสอนลูกไม่ให้หยิบเงินของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นต้องสอนให้เขาเข้าใจถึงการรักษาสิทธิของตัวเองและไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น หากใครมาละเมิดสิทธิของลูก ลูกก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ตรงนี้ไม่ต่างกัน ใครมาหยิบเงินของพ่อแม่ไปโดยไม่ขอก่อน พ่อแม่ก็คงไม่พอใจเหมือนที่ลูกรู้สึก

ถ้าลูกเป็นคนมาสารภาพเอง สำคัญมากๆ คือพ่อแม่ต้องทำใจให้สงบก่อน เชื่อว่าโกรธมากแต่ขอให้นึกว่าอย่างน้อยลูกก็แมนพอที่จะเอ่ยปากยอมรับสารภาพ ไม่โกหกต่อให้เป็นเรื่องยาว พ่อแม่อาจจะต้องเอ่ยปากชมลูกสักเล็กน้อยที่เขารับสารภาพ แล้วจึงค่อยอธิบายว่าการหยิบของคนอื่นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ไม่ใช้คำด้านลบเช่น ขโมยเงิน หรือขี้ขโมย เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อการปรับพฤติกรรม หากลูกสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว ก็ให้คืนเงินส่วนที่ใช้ไป อาจจะคืนทั้งหมดหากมีเงินเก็บอยู่ หรือทยอยตัดจากค่าขนม อันนี้ก็แล้วแต่ครอบครัวจะตกลงกัน อาจใช้ร่วมกับการตักเตือนว่าหากมีครั้งหน้า เขาจะเสียสิทธิอะไรไปบ้าง

เด็กๆ มักกลัวการเสียสิทธิมากกว่าการถูกตี เพราะการถูกตี แป๊บเดียวก็หายเจ็บแล้ว แต่การถูกตัด งด ลด สิทธิที่ควรจะได้ อันนี้เจ็บยาวและจำ

ถ้าลูกไม่รับสารภาพ พ่อแม่ต้องมั่นใจก่อนว่ามีหลักฐานแน่นอนจริงๆ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะการที่เด็กคนหนึ่งถูกต่อว่าว่าเป็นหัวขโมยโดยที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น อาจเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อจิตใจ หรือร้ายกว่านั้น อาจทำให้เด็กรู้สึกว่าไหนๆ ก็ถูกด่าแล้ว ก็ขโมยจริงๆ เลยแล้วกัน จุดนี้ต้องระมัดระวังให้มากๆ แล้วก็จัดการตัด งด ลด สิทธิ ต่อไป โดยอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องทำแบบนี้และจะเป็นผลดีต่อตัวเขาเองอย่างไรในอนาคต

มุ่งมั่นให้หมดหน้าตัก รักทั้งไอดอลและตัวเอง

การมีความรู้สึกรักและชอบใครสักคนนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ถ้าคนนั้นสามารถบริหารความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เพราะความรู้สึกเชิงบวกจะทำให้สุขภาพจิตเราดีมากขึ้น ใช้ชีวิตได้แบบมีพลังมากขึ้น การได้ติดตามและการได้ทำอะไรบางอย่างให้คนที่เรารู้สึกดีด้วยก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน ได้แบ่งปันรอยยิ้ม ได้รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำย่อมดีเสมอ นอกจากนั้นความเป็นติ่งจะพาให้เราออกไปทำความรู้จักคนอื่นๆ มากขึ้นทั้งในแฟนด้อมเดียวกันหรือคนต่างบ้านต่างเมือง

เรียนรู้ที่จะอยู่กับความชอบที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนในสังคม ทุกคนมีสิทธิที่จะชอบสิ่งที่ต่างกัน มีเมนคนละคนกัน หรือแม้แต่บางคนก็ไม่ชอบคนที่เราชอบ สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือการเคารพสิทธิของคนในสังคม ทุกคนมีความเชื่อและความชอบที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

การเป็นติ่งจะยังช่วยสอนการบริหารการใช้เงิน เพราะแน่นอนว่ามีของราคาแพงล่อตาล่อใจอยู่เสมอ ถ้าจะเป็นติ่งก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเอง ไม่ใช่ทำตามสายเปย์ไปเสียหมดทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่ได้มีเงินทองขนาดนั้น หากอยากใช้เงินมากขึ้น ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอดออมหรือทำงานพิเศษมากขึ้นเพื่อให้ได้สิ่งที่อยากได้ในอนาคต

สุดท้ายคงเป็นเรื่องความพยายามของไอดอล ผมเชื่อว่าไอดอลเกาหลีเป็นหนึ่งในอาชีพที่ใช้ความมุ่งมั่น พยายาม และทะเยอทะยานอย่างมากอันดับต้นๆ ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อทำอนาคตของตัวเองให้ดีขึ้นและไปสู่จุดมุ่งหมายที่หวังไว้ ถ้าเราสามารถหยิบจุดนี้จากไอดอลขึ้นมาพัฒนาตัวเองให้เหนือไปกว่าการเป็นติ่งธรรมดาๆ ไปวันๆ และรับแรงบันดาลใจนี้เข้ามาใส่ตัวเอง การเป็นติ่งที่หลายคนดูแคลนนั้นอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตได้เลยทีเดียว

ถ้าไม่สามารถชอบในสิ่งที่ลูกชอบได้ แค่เคารพความรู้สึกลูกก็พอแล้ว

การจะชอบใครหรือคลั่งไคล้อะไรบางอย่างไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาด ถ้าเราสามารถชอบในสิ่งที่ลูกเองก็ชอบได้ เราก็จะเป็นทั้งพ่อแม่และเพื่อนไปพร้อมๆ กัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ย่อมดีขึ้น แต่หากพ่อแม่ไม่สามารถทำใจชอบไอดอลเกาหลีญี่ปุ่นได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็เคารพความรู้สึกของลูกก็เพียงพอแล้ว ส่วนขอบเขตของพฤติกรรมนั้นคงต้องค่อยๆ คุยรายละเอียดลึกลงไป แต่อย่าเพิ่งไปปิดประตูตั้งแต่แรกโดยไม่ยอมรับฟัง พฤติกรรมอันไหนที่ไม่รบกวนชีวิต หน้าที่ความรับผิดชอบ หรือก่อให้เกิดปัญหาการเงิน ก็ให้การสนับสนุนได้ พฤติกรรมอันไหนที่มีแนวโน้มจะเกินขอบเขตก็พยายามสอดส่องดูแลและตักเตือนกันเป็นช่วงๆ เป้าหมายเพื่อพัฒนาให้ลูกเป็นติ่งเกาหลีที่มีคุณภาพนั่นเอง

Tags:

ติ่งวัยรุ่นนพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์เกาหลีใต้

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    เพราะติ่งและเต้นอย่างจริงจัง VICTORY CREW คว้าแชมป์โลกคัฟเวอร์ BLACKPINK

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    จะทำอย่างไรเมื่อลูกวัยรุ่นของคุณ ‘กลอกตา’ ใส่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

หม้อห้อมของ กมล อินดิโก้ ย้อม-มัด-ทอ ให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกใส่
Voice of New Gen
26 April 2019

หม้อห้อมของ กมล อินดิโก้ ย้อม-มัด-ทอ ให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกใส่

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นจากการสอบสัมภาษณ์ เธอรู้ทุกแบรนด์ Dior, Vivienne Westwood ถามมาเถอะ ตอบได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องของศิลปินแห่งชาติบ้านตัวเองที่ทอผ้าตีนจก
  • คำถามฝังใจนั้นจึงพาเธอกลับบ้านที่แพร่หลังเรียนจบ มาทำเสื้อผ้าหม้อห้อม แต่เพราะความชอบไม่ได้หยุดอยู่แค่สีฟ้าคราม วัตถุดิบต่างๆ อย่างครั่ง ดาวเรือง มะเกลือ และใบหูกวาง จึงถูกหยิบมาใช้หมด
  • คนใส่ควรรู้จักเสื้อผ้า รู้เรื่องราวว่ามันผ่านกระบวนการอะไรบ้าง เพื่อที่จะรักและรักษา อยากใส่เสื้อตัวนี้ไปนานๆ ไม่ได้ใส่แล้วทิ้ง
ภาพ: จินตพงศ์ สีพาไชย

กมลชนก แสนโสภา หรือ กุ๊กกิ๊ก ในวัย 19 ปี คือนักศึกษาที่มุ่งมั่นจะเรียนแฟชั่นที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนสอบสัมภาษณ์เธอท่องเรื่องราวในตำนานของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Dior, Vivienne Westwood ไปอย่างดี แต่ความมั่นใจนั้นต้องพังครืนลงเมื่ออาจารย์ที่คณะเอ่ยถามว่า

“แล้วศิลปินแห่งชาติที่ทอผ้าตีนจกถวายพระราชินี ที่เป็นคนแพร่บ้านเธอน่ะเธอรู้จักไหม”

กุ๊กกิ๊กเล่าว่าตอนนั้นเธอหน้าเสีย เพราะรู้หมดว่า Dior มีประวัติศาสตร์อย่างไร แต่กลับไม่รู้ว่าที่บ้านตัวเองมีศิลปินแห่งชาติอยู่ กลับไปถามพ่อแม่ที่บ้านเขาก็รู้หมด คำถามของอาจารย์จึงตั้งรกรากอยู่ในใจ ไม่ไปไหน

“คำถามมันกระแทกใจจนจำมาถึงทุกวันนี้ เหมือนว่าเราลืมรากเหง้าที่เราเกิดอยู่ที่นี่ เรามัวแต่ไปท่องอะไรตามในหนังสือ ไม่ดูอะไรรอบตัว ตอนนั้นเรายังไม่มีอะไรที่เราโฟกัสที่เป็นตัวเอง เหมือนแค่คนอยากสอบติด ไม่ได้มีเป้าหมายที่ว่าฉันจะมาเรียนสิ่งนี้เพราะอะไร”

เมื่อได้เข้าเรียนสาขาวิชาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ เอกออกแบบสิ่งทอ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างจริงจัง กุ๊กกิ๊กจึงตั้งใจศึกษาเรื่องการทอผ้าด้วยการไปลงพื้นที่เองกับ อาจารย์ประนอม ทาแปง ศิลปินแห่งชาติ สาขาประณีตศิลป์-ศิลปะการทอผ้า (คนที่อาจารย์เอ่ยถึงนั่นแหละ) ที่ศูนย์การเรียนรู้ผ้าจกเมืองลอง บ้านเกิดของเธอ กินนอนกับชาวบ้านราวหนึ่งเดือน ได้วิทยายุทธ์การทอผ้าจกมานิดหน่อย บวกกับประกายที่ยังเปล่งแสงวับๆ แวมๆ เรื่องการย้อมผ้า เพราะเห็นว่าคนที่นั่นย้อมใบมะม่วงกัน

การย้อมผ้าและคำถามของอาจารย์จึงค้างอยู่ในฝันแค่ครู่เดียว

จบปีสี่ปุ๊บ จึงได้เกิดเป็นกมลชนกผู้มีพลังประดิษฐ์เสื้อหม้อห้อมอยู่ในตัว ลองผิดลองถูก เริ่มตั้งแต่เรียนแบบไม่รู้จนเรียนรู้และจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ มาจนถึงตอนนี้เธออายุ 26 ปี แบรนด์ กมล อินดิโก้ (Kamon Indigo) แบรนด์เสื้อผ้าและข้าวของสารพัดของกุ๊กกิ๊กดำเนินมาถึงปีที่สาม

วันที่เราเจอแคปชั่นน่ารักในอินสตาแกรมทำนองว่า “ใบห้อม หอมฟุ้ง กมลกลับถึงเมืองแป้แล้วเน้อเจ้า พร้อมรับงานละเน้อ”

วันที่เธอไม่อยากหยุดแค่ทำผ้าย้อมครามหรือลวดลายซ้ำเดิมอีกต่อไป

ค่อยๆ ย้อมตัวเองให้เป็นตัวเอง

ความคิดที่จะทำแบรนด์เริ่มมาตั้งแต่สมัยเรียนเลยไหม

กมลชนก: เราอยากทำตั้งแต่อยู่ปีสองแล้ว แต่ยังไม่ได้ชัดเจน เมื่อก่อนอยากทำงานทอเพราะว่าได้ไปเรียนรู้เรื่องราวการทอผ้าอย่างลึกซึ้งกับครูนอม แล้วเราก็เหมือนหลงมันเพราะมันมากกว่าที่เราเห็นข้างนอก ยิ่งเรียนก็ยิ่งชอบยิ่งอยากรู้ ตอนแรกก็อยากทอผ้านั่นแหละ แต่เพราะการทอผ้าก็ทำให้เรามาเจอการย้อมผ้าด้วย เพราะกว่าจะเป็นผ้าเป็นชิ้นเราก็ต้องย้อมก่อนเอามาทอ ได้ไปช่วยพี่เขาย้อมฝ้าย แล้วเขาเอาใบมะม่วงมาย้อมได้สีเหลืองๆ ออกเขียวๆ นิดๆ เลยรู้สึกว่าจริงๆ เราเอาสีมาจากธรรมชาติได้เนอะ

การไปลงพื้นที่เปลี่ยนความคิดเราไปเลยไหมว่าเราจะกลับมาทำสิ่งนี้

ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าจบมาอยากทอผ้า เพราะรู้สึกว่าตรงนั้นไม่มีวัยรุ่นอย่างเราทำเลย มีแต่เด็กน้อยที่พ่อแม่เขามาทอ ซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราอย่างหนึ่งว่าเด็กตัวแค่นี้ยังทอได้เลย แต่ช่วงเราเรียนจบเรากลับไปที่เดิมกลายเป็นว่าเด็กเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำแล้วและครอบครัวเขาก็ไม่ได้สนับสนุน ช่วงประมาณปีสอง เทอมสองเราได้โอกาสไปสาธิตเรื่องการทอผ้าที่เมืองทองธานี แล้วไปเจอการย้อมห้อมที่อยู่บูธตรงข้ามกัน เลยได้ไปเจอป้าที่ทำห้อมแล้วป้าบอกว่าเธอรู้ไหมว่าหม้อห้อมมันมาจากต้นนี้ เขาก็บอกว่าถ้าอยากรู้ปิดเทอมให้ไปบ้านป้า เดี๋ยวป้าสอนให้ เราก็เลยไปเรียนรู้ ถึงจะไม่ได้จริงจังขนาดที่ก่อหม้อได้ แต่เราก็มองเห็นช่องทาง ตอนเริ่มขึ้นปีสามก็เริ่มคิดว่าอยากลองทำงาน ลองขายของดู จึงเริ่มเอาหม้อห้อมมาขายที่กรุงเทพฯ

หลังจากเรียนจบจึงตัดสินใจลุยทำแบรนด์เสื้อผ้าหม้อห้อมเลยไหม

ทำเลยเพราะมีผ้ามัดย้อมเหลืออยู่ เลยลองเอามาเย็บขาย ลองให้เพื่อนใส่ก่อน แล้วเพื่อนก็บอกปากต่อปาก เราเลยเริ่มได้ลูกค้าข้างนอกมา เริ่มอยู่ได้แล้ว แต่ก็คิดว่ายังไงก็อยากจะทำเรื่องทอผ้าอยู่ ติดตรงที่ว่ามันใช้ทุนและกำลังเยอะ เราจึงกลับมามองที่หม้อห้อมเหมือนกันว่าสิ่งนี้มันก็อยู่ในคำขวัญบ้านเราด้วย เราอยากกลับมาอยู่บ้าน เพราะสิ่งที่เรานึกถึงมันอยู่ที่บ้าน หรือสิ่งที่อยากทำในอนาคตก็อยู่ที่บ้าน

ดังนั้นกลับมาบ้านแล้วสิ่งที่ทำก็คือ…

ก็ทำห้อมแบบไม่ศึกษา (หัวเราะ) คิดว่ารู้ดีแล้วไง ไม่หาความรู้เพิ่ม แล้วพอมีโอกาสได้ไปออกงานสไตล์ออร์แกนิคซึ่ง เขาขายงานคราฟต์ที่มาจากธรรมชาติจริงๆ เราก็เห็นราคาของเรากับเขามันแตกต่างกันมาก สมมุติของเรา 200-300 บาท ของเขา 500-600 บาท แบบเดียวกันเลย เลยมีสองความคิดว่าทำไมเขาขายแพงจัง เพราะมันเป็นงานธรรมชาติหรืองานมือเหรอ อีกความคิดหนึ่งคือเรากำลังทำอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่า ขายอยู่หลายวันเลยได้ลองถามร้านข้างๆ เขาเลยอธิบายให้ฟังว่าสีเทียนมันมีหลายประเภท รู้ไหมว่าทำสีอะไรอยู่ กลายเป็นว่าเราไม่รู้ เราซื้อเป็นแกลลอนมาแล้วเอามาย้อม เพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก มันยาก เราเข้าใจว่ามันก็หม้อห้อมเหมือนกัน เขาเลยให้กลับไปดูใหม่ตั้งแต่เริ่มว่ามันปลูกที่ไหน กว่าเขาจะย้อมได้เขาทำยังไงกับมันบ้าง

Kamon Indigo แปลว่า หัวใจสีคราม

จากวันที่เป็นแค่คนที่เอาสีมาย้อมอยู่หลังบ้าน เราเปลี่ยนตัวเองอย่างไรบ้าง

เราเปิดโลกให้กว้างขึ้น ถามทุกที่ที่อยู่ในชุมชนทุ่งโฮ้งนั่นแหละว่าเขาย้อมกันทำยังไง ใช้เวลาเกือบปีถึงได้รู้ว่าการย้อมมันมีหลายแบบ บางคนเขาก็ทำมะเกลืออยู่แล้ว ย้อมสีดอกไม้อย่างอื่นด้วย แต่เราก็ไม่ได้รู้สูตรมากนัก เราไปขอยืมหนังสือที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ มาอ่านบ้างว่ามีพืชอะไรที่ให้สีบ้างแล้วมาทดลองเอง ทำมั่ว (หัวเราะ) สมมุติเขามีน้ำสนิม เราก็ทำตาม มีน้ำด่าง มีเกลือ มีสารส้ม เราก็เอามาลองเทสต์หมดเลยว่าถ้าเอามาจุ่มอันนี้แล้วได้สีอะไร ใส่ตู้เก็บไว้ พอนานแล้วก็มาดูอีกทีว่าสีมันเปลี่ยนไหม ถ้าสีมันซีดเราก็ไม่ทำสีนั้น เช่น เราทำงานเขียนเทียน แล้วเทียนมันอยู่กับสีย้อมร้อนไม่ได้ เราก็ไปคิดสูตรให้มันซับซ้อนกว่าเดิมว่าทำยังไงให้สีที่เย็นแล้วมันติดเส้นใยผ้า เราก็ไปทดลองเอง ใส่อันนี้ แช่อันนี้แล้วเอามาย้อมได้ไหม ลองผิดลองถูกเอาจนกว่ามันจะติดสีแล้วก็ลายชัดเหมือนเดิม

ด้านวัตถุดิบในการย้อมผ้า นอกจากห้อม นานเท่าไหร่เราถึงขยายไปทำสีอื่นๆ

ที่แพร่ไม่ได้มีห้อมเยอะ คนปลูกมีอยู่แค่สองสามที่ ซึ่งมันน้อย อย่างช่วงเดือนเมษายนห้อมจะตายหมดเลย เวลาเราได้มาเราก็จะเอามาเก็บไว้ เมื่อก่อนเวลาไม่มีห้อมเราก็สั่งครามธรรมชาติอีสานมาทำ ซึ่งตอนแรกคิดว่าเราไม่อยากเล่าเรื่องวัตถุดิบอื่นเพราะจะกลายเป็นทำให้ห้อมไม่ชัดเจน แต่พอเราอยู่กับมันเยอะๆ เราก็เริ่มย้อนกลับไปหาตัวเองว่าเมื่อก่อนเราเป็นยังไงนะ เราสนุกกับอะไรบ้าง จริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้ชอบสีฟ้าคราม ชอบแต่งตัวสีสัน อยากให้มีทุกสีอยู่ด้วยกัน เพราะมันสดใส โลกมันน่าอยู่ ก็เลยคิดว่าจะทำยังไงดีให้กลับมาเป็นตัวเองแบบสมัยเรียนอีกครั้ง

วัสดุธรรมชาติที่ใช้ตอนนี้มีอะไรบ้าง ใช้เกณฑ์อะไรเลือก

ตอนนี้มีครั่ง ใบหูกวาง ดาวเรือง มะเกลือ แล้วก็มีห้อม เลือกสีมาจากวัตถุดิบที่มีในพื้นที่ของเรา อย่างใบหูกวางกับดาวเรืองมันให้สีเหลืองเหมือนกันแต่คนละเฉด อย่างคำแสดจะได้สีส้ม แต่เท่าที่เราสังเกตมาคือมันออกปีละครั้ง นั่นหมายความว่าเราจะทำสีส้มได้แค่ปีละรอบเท่านั้น เราเลยต้องใช้ทฤษฎีแม่สีที่เราเรียนมาก็คือเอาสีมาผสมกัน หลักๆ ก็คือเราใช้พืชรอบตัวที่มีในฤดูกาลไหนก็ได้ แต่ขอให้มันได้แม่สี แล้วเราค่อยไปแปลงให้มันได้สีเฉดอื่นๆ

ด้วยความที่วัตถุดิบมีจำกัด วิธีทำซับซ้อน จำนวนชิ้นงานก็ไม่ได้มีเยอะใช่ไหม

ใช่ อย่างเราเอาใบไม้มาทำสี เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องไปตัดต้นไม้มา เพราะนั่นก็เหมือนกับว่าเราเอาเรื่องมาเล่าแต่เรากลับไปทำลายเขา สิ่งที่เราทำคือเราอาจจะไปเด็ดเอาใบไม้จากต้นที่เขาตัดมาแล้วเอามาแช่น้ำถนอมมันไว้ ถ้าเรายังไม่ได้ย้อมเราก็สกัดเอาน้ำทิ้งไว้ แล้วก็เอาไปทิ้งเป็นปุ๋ยใต้ต้นไม้ดีกว่าปล่อยให้มันแห้งเหี่ยวไป มันก็ไม่มีคุณค่า คนก็ไม่รู้จักพืชตัวนี้ แล้วถ้าสมมุติในหน้านั้นใบหูกวางร่วงหมดเลย เราอาจจะต้องใช้ใบมะม่วงแทนซึ่งจะได้สีเหลืองคนละเฉด เราก็ต้องสื่อสารกับลูกค้าด้วยว่าตอนนี้มีสีแบบนี้นะ ถ้าเขาอยากได้สีอื่น เขาก็ต้องรอ เรามีเครือข่ายนะ ถ้าเขาสนใจเราก็แนะนำร้านอื่นให้เขา

ทิศทางการดีไซน์เสื้อผ้า วัตถุดิบ การทำแบรนด์ไปสู่การเป็นธรรมชาติเต็มตัว ใช้เวลานานเท่าไหร่

เกือบปีเลยนะ อย่างเราทำห้อมเศรษฐกิจ จู่ๆ เกิดจะมาเปลี่ยนเป็นธรรมชาติเลย ต้นทุนก็เปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนเลยจะขายของไม่ได้แน่ๆ เพราะว่าสินค้าจะแพงมาก เลยมานั่งคิดว่าคนเข้าใจเราจากการเล่าเรื่อง เลยคิดว่าคงมีคนที่เป็นกลุ่มที่เสพงานแบบนี้อยู่แล้ว มีกำลังซื้อ แล้วเราต้องดูด้วยว่าตลาดงานคราฟต์ธรรมชาติไม่ได้อยู่ง่ายๆ เราต้องรู้ว่าเขาทำอะไรกันมาแล้วบ้าง เราเรียนออกแบบมาเราต้องทำไม่เหมือนเขา แต่ทำยังไงให้มันขายได้ จะเป็นเราหมดก็ไม่ได้ เลยเหมือนแยกตัวเองออกมาว่าชอบอะไร อยากจะเล่าอะไร

เราก็ค่อยๆ ปรับเอาเคมีกับธรรมชาติมาผสมกัน มีการลดต้นทุน พยายามอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจ เพราะเราเองก็เคยเล่าในเรื่องที่เราไม่ได้เข้าใจจริงๆ เลยทำให้เราอยากเล่าใหม่ ทีนี้ไม่ได้ขายของอย่างเดียวแล้ว เราเริ่มลงรูปต้นห้อม แล้วเล่าให้เขาฟังไปด้วยว่าเราใช้วัตดุดิบนี้ทำนะ กว่ามันจะได้มันต้องทำยังไง เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลย

แต่แบรนด์ไหนๆ ก็เล่าเรื่องกันทั้งนั้น เรามีวิธีวางแผนที่จะเล่าเรื่องของเราไหมและเล่าอย่างไร

เราว่าเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำให้มันสนุก ตลกได้ เรายังอายุไม่มาก เราคิดว่าเราสามารถส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้มากกว่า อย่างเราทำเสื้อกุยเฮง (เสื้อแบบจีน คอกลม แขนสั้น ผ่าอก) ถ้าเป็นเสื้อกุยเฮงแบบปกติคนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใส่หรอกเพราะมันเหมือนชุดใส่ไปทุ่งนา เราก็พยายามจับมันมามิกซ์กับอย่างอื่น อย่างน้อยถ้าเขาไม่ซื้อแต่เขาได้เห็นเสื้อกุยเฮงก็พอแล้ว

หรือเราทำเสื้อสายธรรมชาติอยู่แล้ว เราเห็นแมลงที่มาเกาะเสื้อ เราเลยอยากให้ธรรมชาติมาอยู่ด้วยกัน ก็เลยคิดว่างั้นเอาแมลงมาไว้บนผ้าเลยแล้วกัน สิ่งนี้เลยทำให้แบรนด์ของเราไม่เหมือนคนอื่น นั่นก็คือลายผ้ากับการเล่าเรื่อง เวลาเราถ่ายรูปชุด บางทีเราไม่ได้ต้องการจะขายโดยตรง เราอยากเล่ามากกว่า อยากให้คนอ่านมาเป็นเพื่อนเรา

เสื้อผ้าแต่ละตัวกว่าจะเสร็จใช้เวลานานเท่าไหร่

ถ้ารวมย้อมและปั๊มก็ประมาณ 2-3 วัน แล้วแต่ ยิ่งถ้าเป็นห้อมแล้วหม้อย้อมไม่ดี จุลินทรีย์ไม่แข็งแรงก็จะย้อมไม่ติด เราก็ต้องเลื่อนวันออกไปอีก อย่างลายแมลงที่คิดขึ้นมา เราก็ประดิษฐ์บล็อก ไม่ต้องวาดทุกรอบ ขึ้นแบบก่อนเพื่อให้สามารถนำไปปั๊มได้ แต่เราก็ต้องวาดแมลงตัวอื่นออกมาเพื่อทำให้มันมามิกซ์กันได้ด้วย แต่การทำบล็อกนี่ไม่ได้แปลว่าปั๊มปุ๊บแล้วเสร็จเลยนะ เราต้องมาใส่ลายในตัวแมลงของเราอีก

เอาองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาเก่าๆ มาประยุกต์กับงานเราบ้างไหม

ส่วนใหญ่จะเป็นการย้อมที่เอามาประยุกต์ เช่น ดีไซน์ของชุด เราจะประยุกต์ไม่ให้มันดูโบราณ เมื่อก่อนเขาย้อมฝ้ายที่จะเอามาทอหรือย้อมบนผ้าที่เป็นผืน หรือเอาเทคนิคเขียนเทียนที่โบราณใช้ไม้เขียนเป็นลายเลย เราก็เอามาประยุกต์กับเทคนิคสมัยเรียน คือทำบล็อกขึ้นมาเอง วาดลายแล้วดัดเป็นลายตามที่เราวาด จากนั้นค่อยมาทำลวดลายบนผ้า ผสมผสานกันเพื่อที่จะเล่าเรื่องท้องถิ่นเรานี่แหละ ว่าธรรมชาติรอบตัวเรามีอะไรบ้าง เช่น เราจะทำลายเสือเพื่อเชื่อมโยงกับพระธาตช่อแฮซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีขาล แล้วเริ่มเอามาทำตุ๊กตา ทำลายปักบนผ้า ทำให้มันเป็นเสื้อหม้อห้อมที่ดูเท่ วัยรุ่นก็อยากใส่ ในขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องได้ด้วย

แม่สีแบบ ‘กุ๊กกิ๊ก’ ในอนาคต

ทำไมเราถึงอยากเล่าทั้งเรื่องผ้าทอหรือห้อมมากขนาดนี้

เพราะคิดว่าหลายๆ คนที่เป็นคนแพร่เหมือนกัน เขาอาจจะยังไม่รู้จักห้อมดีเหมือนที่เราเพิ่งรู้ว่ามันเป็นพืชตอนเราอยู่ปีสอง แล้วเราทำได้เลยอยากลองทำ ส่วนเรื่องผ้าทอ เรารู้สึกว่าคนทำเรื่องผ้าทอมีแต่คนอายุเยอะ อีกอย่างบนผ้าทอมีเรื่องให้เล่าเยอะมากแต่คนรุ่นใหม่ส่วนมากมองผ้าทอเชย มองว่าเป็นของคู่กับคนรุ่นแม่ รุ่นยายที่ใส่ไปวัด แต่พอเราได้รู้จักเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงใส่ซิ่นเข้าวัด เพราะบนซิ่นน่ะมันเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา เมื่อก่อนเขาทอเพื่อที่จะใส่ไปวัดเอง เลยยิ่งมีตัวเดียวในโลกที่เป็นของคนคนนั้น

อย่างสมัยนี้จะมีแบรนด์ใช่ไหม คนโบราณเขาก็มี เขาเรียกว่า ‘หมาย’ ที่เขาจะทำเป็นลายของเขาเองใส่ไว้ตรงขอบซิ่น ถ้าซิ่นนี้ไปอยู่กับใครก็ตามถ้าเขาเห็นลายนี้ เขาก็จะรู้ว่าซิ่นนี้มาจากเขา เราเลยคิดว่ามันเจ๋งมาก

จำเป็นไหมที่เราจะต้องรู้ที่มาของเสื้อผ้าที่เราใส่

เราคิดว่ามันจำเป็นนะ เพราะเราคิดว่ามันมีคุณค่า เวลาเราจะขายของ เราจะเล่าเรื่องราวของชิ้นงานก่อนว่ามันผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง มันมาจากไหน คนที่อยากได้เขาก็ต้องรักษามัน อย่างการซักผ้าของเรามันซักแบบปกติไม่ได้นะ ต้องรักมันตั้งแต่การใส่มันอย่างทะนุถนอมแล้วก็ทำความสะอาดมันอย่างดี เลยคิดว่าคนที่อยากได้จะต้องรักและดูแลมัน เหมือนรักธรรมชาติและรักเสื้อผ้าของเขาไปด้วย เลยอยากใส่เสื้อตัวนี้ไปนานๆ ไม่ได้ใส่แล้วทิ้ง

จนมาถึงตอนนี้รู้สึกว่าอาชีพมั่นคงไหม

เราคิดว่ามันมั่นคงเพราะมนุษย์ก็อยู่กับธรรมชาตินั่นแหละ แต่เราจะอยู่ได้เพราะเราทำงานแบบไม่หยุดอยู่กับที่ พยายามหาสิ่งใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ใช่เข้าใจแต่ตัวเองแต่ต้องเข้าใจผู้บริโภคหรือคนที่เราจะสื่อสารกับเขาด้วย อีกอย่างหนึ่งคือเสื้อผ้ามันอยู่ในปัจจัยสี่ แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะทำแค่เสื้อผ้า อนาคตถ้าเราเรียนรู้เรื่องอาหารมากกว่านี้ เราก็อาจจะไปทำอาหารหรือยา ถ้าเรายังอยู่แบบนี้เราก็คิดว่าเราน่าจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน การที่เราพยายามทำสิ่งใหม่ทำให้เราไม่ต้องแข่งกับใคร แค่แข่งกับตัวเอง

เทรนด์กลับเข้าหาธรรมชาติก็มี แต่โลกก็พัฒนาไปรวดเร็ว จัดสมดุลตรงนี้อย่างไร

เทรนด์เรื่องธรรมชาติก็เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งที่เราเป็นเหมือนๆ เขา เราเลยคิดว่าเราเข้าใจความก้าวหน้าของโลกเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องเอามันเข้ามาปรับกับแบรนด์ด้วยเพราะว่าเราอาจจะอยู่บ้านนอก อยู่กับธรรมชาติ แต่บางอย่างเราก็วัตถุนิยมเหมือนกัน สำหรับเราการพัฒนาบางอย่างถ้ามีก็ดีกว่าไม่มี ในอนาคต สิ่งที่เรากำลังจะทำเพิ่มคือเราอยากจะเชื่อมโยงแบรนด์ให้เข้ากับธรรมชาติ เราคิดว่าปัญหาตอนนี้คือบ้านเราขยะเยอะ มันไม่สามารถย่อยสลายในเวลารวดเร็วได้ เลยคิดว่าเราสามารถเอาขยะมาทำอะไรได้บ้าง เช่น อาจจะเอาพลาสติกมาทอเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่กับร่างกาย ก็อาจจะลดขยะได้

ความตั้งใจในการสืบสานวัฒนธรรมหรือการเล่าเรื่องผลงานในพื้นที่มีพลังมากขึ้นไหม

เราว่ามันมีตรงที่ว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาสนใจได้ เรามีเวิร์คช็อป คนที่สนใจก็ได้มาทำความรู้จัก มันกำลังมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีคนเข้ามาเรื่อยๆ เรากลับมาทำงานที่บ้านเพราะอยากมาอยู่กับครอบครัว แล้วก็มองว่านี่คือสิ่งเล็กๆ ที่เราทำให้ตัวเอง ครอบครัว และบ้านเกิดของเรา ตอนนี้ก็ชวนหลานเรามาช่วยทำงานด้วยเพราะมองว่าเราอยากให้คนที่อยู่รอบตัวเรามีชีวิตที่ดี มีชุมชนที่ดี และมีบ้านที่ดี ทำกับวงเล็กๆ ให้ดีก่อน แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งของเราเหมือนกัน

Tags:

กมลชนก แสนโสภาผู้ประกอบการ(entrepreneurship)แฟชั่นศิลปิน

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Everyone can be an EducatorLife classroom
    ‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Voice of New Gen
    เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • MovieDear Parents
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก
Family Psychology
26 April 2019

เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เคยกล่าวไว้ว่า จริงๆ แล้ว พฤติกรรมโกหกอาจไม่มีจริงในวัยเด็ก เพราะเด็กไม่ได้มีความเข้าใจว่าโกหกคืออะไร  เขาจึงต้องแสดงออกโดยการไม่พูดความจริง เพราะคิดว่าทำแบบนี้พ่อแม่จะชอบและพอใจ

ซึ่งแน่นอนว่าการพูดไม่จริง เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ แต่เมื่อเด็กทำไปแล้ว พ่อแม่ควรแสดงให้เขารู้ว่าเรารู้ ด้วยท่าทีที่สงบ นิ่ง เหมือนหลายๆ เรื่อง เพื่อทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย แม้ว่าเราจะจับได้

ฉะนั้นวิธีรับมือเมื่อลูกโกหกที่ดีที่สุดคือการไม่ถามว่าทำไม ไม่คาดคั้น ไม่ซ้ำเติม บอกเขาตรงๆ ว่า ‘ไม่อยากให้ทำแบบนี้’ แนะนำวิธีที่ลูกสามารถพูดความจริงกับเราได้ รวมถึงหมั่นทบทวนตัวเองอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มได้ ที่นี่

Tags:

วินัยเชิงบวกการลงโทษปฐมวัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
Creative learningCharacter building
25 April 2019

‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

เรื่องและภาพ The Potential

  • น้ำตกสายใจ แลนด์มาร์กสำคัญแหล่งท่องเที่ยวแห่งบ้านเขาไคร ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล หากแต่คนในอย่างเยาวชนและคนในหมู่บ้านบางคนยังไม่รู้จัก
  • ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว น้ำตกสายใจคือแหล่งต้นน้ำเลี้ยงคนทั้งชุมชน และคล้ายกับแหล่งท่องเที่ยวหลายพื้นที่ที่ทรัพยากรค่อยเสื่อมลงเพราะคนเข้าไปใช้งานอย่างไม่เคารพกติกา
  • เยาวชนในโครงการโครงการศึกษาน้ำตกสายใจเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนบ้านเขาไคร จึงรวมตัวกันเข้าทำงาน ทั้งเก็บข้อมูลวิจัย จัดค่ายอบอบรมส่งต่อข้อมูล สำคัญที่สุด คือการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพทุกด้านของเด็กๆ

ชมรมกีฬาและการอนุรักษ์บ้านเขาไคร ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล เกิดจากการรวมตัวของเยาวชนบ้านเขาไครที่ชอบเล่นกีฬาและทำงานอนุรักษ์ ภารกิจหลักคือการแข่งกีฬาของหมู่บ้านและการช่วยดูแลน้ำตกสายใจ จนเมื่อเจ้าหน้าที่จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาชักชวนให้ร่วม ‘โครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล’  น้องๆ เห็นว่า นี่คือโอกาสและความท้าทายใหม่ของชมรม

“เวลาเราเตะบอลเสร็จก็มักจะมาเล่นน้ำกันที่น้ำตกสายใจแห่งนี้ เวลาที่เห็นขยะเกลื่อนอยู่ที่น้ำตกก็จะช่วยกันเก็บ พอพวกบัง (บังหยาด-ประวิทย์ ลัดเลีย , บังเชษฐ์-พิเชษฐ์ เบญจมาศ พี่เลี้ยงศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสตูล) มาบอกว่ามีโครงการนี้เข้ามานะ สนใจมั้ย? พวกผมก็ใช้เวลาคิดอยู่สักพักนึงว่าจะเอามั้ย จะทำมั้ย สุดท้ายก็ตกลงว่าจะทำ จึงรวมกลุ่มกันเป็นชมรมอนุรักษ์และกีฬา กิจกรรมส่วนมากเป็นการแข่งขันฟุตบอล” ทีมงานเล่าถึงจุดเริ่มต้น

“เคยเป็นไหม เวลาไปไหนแล้วมีคนถามว่าที่บ้านมีอะไรน่าเที่ยว มีอะไรน่าสนใจ บ้านเราแท้ๆ แต่เรากลับไม่รู้อะไรเลย ตอนผมไปเรียนในเมืองหรือตอนนี้ที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เพื่อนมักจะถามว่าผมมาจากไหน? เขาไครอยู่ที่ไหน?  ต้องขี่ช้างเข้าไปในหมู่บ้านมั้ย? 

“การรู้ว่าบ้านเรามีอะไรดี  เราจะพูดได้อย่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เรามี ตอนนี้ผมกล้าพูดกับเพื่อนทุกคนได้อย่างภาคภูมิใจเลยว่า ‘ลองมาเที่ยวบ้านเราสิ รับรองจะติดใจ ไม่อยากกลับบ้านเลย’” ฮาริส-นัฐวุฒิ หนูปอง แกนนำรุ่นแรกเล่าที่มาของแรงบันดาลใจที่อยากทำโครงการ

ฟิส-ซุบฮี ด่านเท่ง

มีของดีต้องรักษา

ฮาริส-นัฐวุฒิ หนูปอง, ฟิส- ซุบฮี ด่านเท่ง, อาสอด-อาสอด ด่านเท่ง, ฟิต-กฤตพล รองสวัสดิ์ บ๊ะ-อิสรา ขุนจันทร์, มุ-มุซีรา อุรามา และ ฮัสฟา บิลหมาน เยาวชนในโครงการเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ตัดสินใจทำโครงการศึกษาน้ำตกสายใจเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนบ้านเขาไคร ว่า…

ก็เพราะอยากให้น้ำตกสายใจ  ซึ่งเป็นแหล่งรวมของคนในชุมชนกลับมามีความสวยงามรื่นรมย์อีกครั้ง

“น้ำตกสายใจเป็นเหมือนแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน  นักท่องเที่ยวหรือคนนอกชุมชนรู้จักชุมชนของเราก็เพราะน้ำตกสายใจนี่แหละ  ปัจจุบันป่าต้นน้ำและสภาพแวดล้อมของน้ำตกสายใจมีปัญหาน้ำน้อยในฤดูแล้ง และมีขยะ ส่งผลให้สัตว์น้ำลดน้อยลง น้ำเริ่มไม่สะอาด ส่วนหนึ่งอาจเพราะนักท่องเที่ยวและคนในชุมชนไม่ให้ความสนใจที่จะดูแลรักษาสภาพแวดล้อมของน้ำตกมากนัก  หากปล่อยทิ้งโดยไม่แก้ปัญหามันก็จะเกิดผลเสียกับคนที่ใช้ประโยชน์จากน้ำ แล้วเราจะนิ่งดูดายได้อย่างไร?” ฮาริส เล่าถึงสถานการณ์ของน้ำตก

“คนที่นี่ผูกพันกับน้ำตกมานาน  พอเสร็จจากงานก็จะมาเล่นน้ำ ยิ่งช่วงหน้าร้อน ไม่รู้จะไปไหนก็มาที่นี่ มานั่งคุยกัน มาพักผ่อน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่คนรุ่นแรกๆ ของหมู่บ้านเลย แต่ช่วงหลัง รอบๆ น้ำตกเริ่มมีขยะ ไม่สวยงาม  และไม่มีจุดให้คนที่มาเที่ยวได้เล่นน้ำ ” ฟิสอธิบายเพิ่มเติม

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาอยากร่วมกันทำคือ พัฒนาพื้นที่รอบ ๆ น้ำตกสายใจ ปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม ทำจุดเล่นน้ำ เพื่อที่ว่าเมื่อนักท่องเที่ยวมาสามารถเล่นน้ำตามจุดที่กำหนดใว้ได้ 

แต่ก่อนที่พวกเขาจะลงมือปรับภูมิทัศน์และทำจุดเล่นน้ำ จากการเรียนรู้กับโครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล พวกเขาพบว่าสิ่งที่ทีมงานควรจะรู้ก่อน คือข้อมูลของน้ำตกสายใจให้ดีก่อน

ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจสำรวจคุณภาพน้ำบริเวณน้ำตก ด้วยการวัดค่า PH เนื่องจากคนในชุมชนใช้น้ำจากน้ำตกในการอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบสภาพดิน ตั้งแต่ต้นทางน้ำไปจนถึงปลายน้ำ สำรวจพันธุ์ไม้ต้นไม้เพื่อดูว่ามีต้นไม้ชนิดไหนมากที่สุด มีสัตว์ชนิดไหนบ้างที่อาศัยในน้ำตก และสำรวจอาณาเขตของน้ำตกมีขนาดเท่าไหร่ 

“ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าต้องมีการเก็บข้อมูลด้วย คิดแค่ว่าได้งบประมาณมาเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์” กระนั้น แม้พวกเขาจะไม่มีความถนัดเรื่องการเก็บข้อมูลในพื้นที่ แต่ ‘ชมรมกีฬาและการอนุรักษ์บ้านเขาไคร’ ก็สามารถพาทีมเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน  อาสอดเล่าความเข้าใจครั้งแรกเมื่อรับรู้ว่าจะได้ทำโครงการ

“ตอนแรกเราหาข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ  เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะเข้าถึงข้อมูลนั้นให้เยอะกว่านี้ จนต้องไปถามด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลา 2-3 วัน ต้องไปนั่งรอจนกว่าเค้าจะอยู่ให้เราเก็บข้อมูล  คนที่ให้ข้อมูลเขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเด็กในชุมชนจะทำอะไรแบบนี้จริงจึงรึเปล่า ซึ่งยิ่งพอได้ข้อมูลก็ยิ่งทำให้ผมอยากทำความรู้จักชุมชนให้มากกว่านี้” ฮาริส เล่ากระบวนการเก็บข้อมูล

จากการเก็บข้อมูลทำให้รู้ว่า ‘น้ำตกสายใจ’ แห่งนี้ มีชื่อมาจากสายใยของคนในหมู่บ้านเขาไครที่ใช้น้ำตกแห่งนี้เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจ เป็นสายน้ำที่เสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนในหมู่บ้านทั้งหมด ส่วนความรู้เรื่องต้นไม้และสัตว์ป่านั้น บ๊ะเล่าว่า  

“คนในหมู่บ้านบอกว่าแต่ก่อนต้นไม้ในพื้นที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีคนบุกรุกตัดไม้บ้าง แต่คนเฒ่าคนแก่ก็ช่วยกันปกป้องรักษา เพราะรู้ว่าการตัดไม้จะทำลายระบบนิเวศและต้นน้ำได้ ต้นไม้บริเวณน้ำตกส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ ส่วนชื่อต้นไม้บางต้นนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น ต้นไม้แดง ต้นขานาง ต้นเต้า ด้านล่างลงไปก็จะมีต้นเขารัก ซึ่งเป็นชื่อที่คนแก่เรียกกัน บางต้นก็ชวนเขามาดูเลยว่าเป็นต้นอะไร ส่วนสัตว์เห็นแต่ลิง บางทีลงมาเป็น 100 ตัว แต่นานๆ ทีจะมีลงมา”  

นอกจากข้อมูล และความรู้เรื่องป่า น้ำตก และสัตว์ป่า การลงพื้นที่พูดคุยกับคนในชุมชนทำให้ทีมงานเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองและชุมชน ก่อให้เกิดสำนึกรักและผูกพันกับบ้านเกิดของตนเองมากขึ้น

“ทั้งที่นามสกุลของตัวเองมีคนใช้อยู่ทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เคยรู้ถึงประวัตินามสกุลตัวเองเลย รู้แต่ว่าเป็นพี่น้องกันกับบางบ้านเท่านั้น แต่พอได้รู้ความเป็นมา ก็ดีใจที่นามสกุลเราเป็นนามสกุลแรกที่คนเฒ่าคนแก่ให้มา ทำให้รักหมู่บ้านนี้ อยากปกป้อง เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเราได้มาบุกเบิก รู้สึกผูกพันเป็นครอบครัวกับคนในชุมชนมากขึ้น นั่งเรียนกับเพื่อนห้องเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน ก็รู้สึกว่าเป็นพี่น้องจากตระกูลเดียวกันนะ ยายเดียวกัน ทวดเดียวกัน แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ลดลงมาไม่ค่อยทะเลาะกันแล้ว”

ฟิสบอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสืบค้นข้อมูลชุมชน

รวมพลังพิสูจน์ความมุ่งมั่น

แม้การลงพื้นที่เก็บข้อมูลจะทำให้กลุ่มเยาวชนรู้ที่มาของน้ำตก เข้าใจระบบนิเวศของป่าที่อยู่เหนือน้ำตก ทั้งยังรู้วิธีการที่จะปรับปรุงทัศนียภาพของน้ำตกต้องทำอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลา “นำเสนอโครงการ” ต่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อรับฟังความเห็นก่อนดำเนินโครงการ ทำให้พวกเขาได้พบกับประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง

“ถูกคอมเมนต์เยอะเลยครับ เขาแนะนำให้พวกเราทำเรื่องเกี่ยวกับประปาภูเขา แต่เราไม่อยากทำ  เพราะว่ามันใหญ่เกินตัวที่พวกผมจะทำ อีกอย่างคืองานนั้นมีผู้รับผิดชอบหลักอยู่แล้ว” อาสอดกล่าว

ในขณะที่ฟิสบอกว่า “เฟลมาก ไม่กล้าพูด ยืนก้มหน้ารับอย่างเดียว ตอนนั้นเริ่มท้อ บางคนกลับมาร้องไห้เลย  แต่ก็ยังไม่อยากเลิก กลับมาเล่ากับคนที่ไม่ได้ไปนำเสนอว่าทีมไปเจออะไรมา ก็ได้แต่นั่งปลอบใจกัน แล้วก็ปล่อยให้เวลาเยียวยาความเสียใจที่เกิดขึ้น”

การ ‘รับฟัง’ ผู้อื่นที่มี ‘ความเห็นต่าง’ เพื่อมาสอบทานกับสิ่งที่ตนเองคิด ประกอบกับความกลัว ตื่นเต้น ที่ต้องนำเสนอโครงการต่อหน้าผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่ผ่านไปได้ไม่ง่าย  ชวนทำให้อยาก ‘ล้มเลิก’ เอาดื้อๆ

แต่ก็ตั้งหลักได้เพราะทีมโค้ชจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูลสังเกตเห็นถึงอาการซวนเซของน้องๆ จึงไปชวนคุยปลุกพลัง ให้ย้อนนึกถึงความตั้งใจเดิม และข้อมูลสถานการณ์และบริบทของน้ำตกที่ทีมงานมีข้อมูล และใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจไปต่อ

เมื่อตั้งหลักได้ ทุกคนก็เอาแผนการดำเนินงานออกมาดู พบว่าถึงช่วงเวลาการจัดกิจกรรมค่ายเพื่อสร้างฝายทำจุดสำหรับเล่นน้ำ 

“เราจัดกิจกรรมค่าย 2 วัน วันแรกเป็นกิจกรรมสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรม มีฐาน 5 ฐาน แต่ละฐานสอดแทรกความรู้ต่างกัน คือประวัติน้ำตกสายใจ, คุณค่าของฝาย, พันธุ์พืช, ขยะ และฐานสุดท้ายคือ ความสำคัญของน้ำ 

“เพราะเราอยากสอดแทรกสิ่งที่ได้รู้มาลงไปในกิจกรรมด้วย จึงวางผู้ดูแลฐานไว้ฐานละ 2 คน เพื่อคอยเล่าความเป็นมาของน้ำตก เช่น ฐานประวัติน้ำตกสายใจก็จะมีคนคอยเล่าว่าทำไมถึงเรียกด้วยชื่อนี้ เพราะคิดว่าน้องรุ่นหลังๆ อาจะจะไม่รู้  ส่วนฐานขยะ ก็สอนว่ามีวิธีการจัดการกับขยะว่าต้องทำยังไง ฐานน้ำจะเล่าถึงความสำคัญของน้ำ ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่เราเก็บตัวอย่างมา คุณภาพน้ำเป็นอย่างไร” บ๊ะอธิบายวิธีจัดการเรียนรู้ในค่าย

การ ‘รับฟัง’ ผู้อื่นที่มี ‘ความเห็นต่าง’ เพื่อมาสอบทานกับสิ่งที่ตนเองคิด ประกอบกับความกลัว ตื่นเต้น ที่ต้องนำเสนอโครงการต่อหน้าผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่ผ่านไปได้ไม่ง่าย  ชวนทำให้อยาก ‘ล้มเลิก’ เอาดื้อๆ

แต่ก็ตั้งหลักได้เพราะทีมโค้ชจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูลสังเกตเห็นถึงอาการซวนเซของน้องๆ จึงไปชวนคุยปลุกพลัง ให้ย้อนนึกถึงความตั้งใจเดิม และข้อมูลสถานการณ์และบริบทของน้ำตกที่ทีมงานมีข้อมูล และใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจไปต่อ

เมื่อตั้งหลักได้ ทุกคนก็เอาแผนการดำเนินงานออกมาดู พบว่าถึงช่วงเวลาการจัดกิจกรรมค่ายเพื่อสร้างฝายทำจุดสำหรับเล่นน้ำ 

“เราจัดกิจกรรมค่าย 2 วัน วันแรกเป็นกิจกรรมสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรม มีฐาน 5 ฐาน แต่ละฐานสอดแทรกความรู้ต่างกัน คือประวัติน้ำตกสายใจ, คุณค่าของฝาย, พันธุ์พืช, ขยะ และฐานสุดท้ายคือ ความสำคัญของน้ำ 

“เพราะเราอยากสอดแทรกสิ่งที่ได้รู้มาลงไปในกิจกรรมด้วย จึงวางผู้ดูแลฐานไว้ฐานละ 2 คน เพื่อคอยเล่าความเป็นมาของน้ำตก เช่น ฐานประวัติน้ำตกสายใจก็จะมีคนคอยเล่าว่าทำไมถึงเรียกด้วยชื่อนี้ เพราะคิดว่าน้องรุ่นหลังๆ อาจะจะไม่รู้  ส่วนฐานขยะ ก็สอนว่ามีวิธีการจัดการกับขยะว่าต้องทำยังไง ฐานน้ำจะเล่าถึงความสำคัญของน้ำ ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่เราเก็บตัวอย่างมา คุณภาพน้ำเป็นอย่างไร” บ๊ะอธิบายวิธีจัดการเรียนรู้ในค่าย

กิจกรรมค่ายมีเยาวชนในพื้นที่มาร่วมงานถึง 29 คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 30 คน ซึ่งการจัดกิจกรรมแม้จะมีปัญหาเรื่องการคุมเด็กเล็กและเรื่องเวลาบ้าง แต่หลายอย่างก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างสนุกสนานและเรียกร้องอยากให้มีกิจกรรมเช่นนี้อีก ผลตอบรับที่ดีเช่นนี้ยิ่งทำให้มีแรงขับเคลื่อนจาก ‘ความเป็นทีม การเปิดใจ และความกลัวผิดพลาด’

“สำหรับการทำงานและการจัดกิจกรรมครั้งแรกของทุกคน คิดว่าได้ผลดีเกินคาด ดีกว่าที่คิดไว้เลย ทุกคนแบ่งหน้าที่กันคนละอย่าง เช่น วางกฎกติกาคือ ห้ามนำรถมอเตอร์ไซค์มา แต่ให้ผู้ปกครองมาส่งแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการออกนอกพื้นที่ในช่วงค่ำ แบ่งทีมสำรวจพื้นที่เพื่อที่ใช้จัดกิจกรรมฐาน ฝ่ายประสาน ฝ่ายประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เยาวชนมาร่วมกิจกรรม เป็นต้น แม้จะวางแผนให้แต่ละคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ แต่พอวันทำค่ายจริงๆ ทุกคนคอยช่วยกันหมด พอตรงนี้ติดขัดอีกคนหนึ่งก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยทันทีโดยที่ไม่ต้องบอก เพราะคอยมองกัน คอยสังเกตกันอยู่ตลอดเวลา อีกส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะเรากลัวว่าจะงานออกมาไม่ดี เลยพยายามทำกับมันเต็มที่ สำคัญที่สุดคือการเปิดใจคุยกันทุกอย่าง คุยกันแบบพี่น้อง คุยกันแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวเพื่อให้สนิทกันมากที่สุด ซึ่งเรามองว่ามันสำคัญสำหรับการทำงานเป็นทีมมาก ทำให้ทีมรักกัน” บ๊ะเล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ

หลังจากกิจกรรมค่ายเยาวชน ความผูกพันระหว่างพี่น้อง ทำให้พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อมา เช่น ปลูกต้นไม้ ติดป้ายชื่อ รวมถึงการจัดการขยะ เป็นต้น

“วันจัดค่ายเวลาไม่พอ เลยนัดกับน้องๆ มาช่วยกันปลูกต้นไม้ที่ยังปลูกไม่หมด ติดป้ายชื่อต้นไม้ที่น้องเขาทำเอง แล้วก็มีเก็บขยะ หาจุดวางถังขยะ อีกเรื่องที่ตั้งใจคุยกันแล้วอยากทำคือ การแยกขยะ ถ้ามีกระป๋องก็รวมกระป๋องไปขาย จะได้เงินเข้ามาเป็นกองกลางด้วย ส่วนฝายให้คนมาเล่นน้ำ ตอนนี้ทำเสร็จแล้วจุดหนึ่ง เหลืออีกจุดหนึ่งจะรอนัดกันมาช่วยทำต่อ” ฟิสเล่าการทำงาน

ก้าวแรก และก้าวต่อ ๆ ไป

อาการ ‘เฟล’ จากการถูกคอมเมนต์ทำให้ทีมยอมรับว่า งานที่วางแผนไว้สะดุดเล็กน้อย แต่พวกเขามั่นใจว่าโครงการที่ทำเป็นการสร้างโอกาสให้พวกเขาและน้องคนอื่นๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานนอกห้องเรียน และยังมีส่วนในการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เยาวชน ได้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการบ่มเพาะให้เด็กๆ กล้าลุกขึ้นมาเรียนรู้ ลงมือทำ และมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชุมชนของตนเองให้ดีขึ้น

บ๊ะบอกว่า การเข้าร่วมโครงการทำให้เธอรู้สึกหวงแหนน้ำตกสายใจมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยสนใจแม้เธอจะใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคอยู่ตลอด และที่สำคัญคือได้พัฒนาตนเองทั้งในเรื่องของการทำงาน การใช้ความคิด ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยเรียนรู้การเขียนโครงการ ถึงจะอยู่ ม.6 แล้วก็ยังเขียนโครงการไม่เป็น แต่พอได้มาทำ ได้มาอยู่ในกลุ่ม เมื่อได้ฝึก ก็ทำได้

อาสอดเล่าว่า ทุกวันนี้กล้าแสดงออก กล้าพูดมากขึ้น จากเมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยกล้าพูด ตอนไปเสนอโครงการ กังวลว่าออกไปถือไมค์จะพูดได้มั้ย เพราะไม่มั่นใจ พอผ่านมาแล้วก็ถือว่าโอเคขึ้น เราคิดไปเองว่าเราทำไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมด้วย ปลูกฝังให้มีความกระตือรือร้นสูงขึ้น และมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย

การสำรวจ ศึกษา เพื่อฟื้นนิเวศ ‘น้ำตกสายใจ’ แห่งนี้ ถือเป็นเพียงก้าวแรกของเยาวชนบ้านเขาไคร ซึ่งก้าวต่อไปพวกเขาฝันว่า ‘น้ำตกสายใจ’ จะกลายเป็น ‘แหล่งท่องเที่ยวที่ถูกใจ’ ของใครหลายคน

สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น สะท้อนถึงความเข้มแข็งของชุมชนได้ และนั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึง ‘พลังของเยาวชน’ ในพื้นที่ด้วย

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningสิ่งแวดล้อมสตูล

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเลน เจอคุณปู่โกงกางและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ

    เรื่อง The Potential

ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?
Healing the trauma
25 April 2019

ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ‘ปม ความขัดแย้ง หรือบาดแผล (trauma)’ ที่ส่งผลรุนแรงและยาวนานมาจากหลายสาเหตุ ยิ่งเกิดเมื่ออายุน้อยเท่าไรก็ยิ่งเป็นบาดแผลที่เราไม่ค่อยรู้ตัว แต่อันที่จริงบาดแผลเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนโต เพียงแค่สิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเด็กอาจอยู่ลึกจนบางทีเราลืมไป เลยมีผลกับตัวเราเยอะเพราะไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน
  • ทำความเข้าใจ ทบทวนตัวเอง ปลดล็อกข้อสงสัย กับ หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เรื่องปมอดีตฝังลึกที่เราอาจหลงลืมไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่ปมนั้นไม่เคยสูญหาย ยังคอยกำกับแบบแผนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
  • “ไม่มีพ่อแม่ที่เพอร์เฟค 24 ชั่วโมง ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนมันก็ต้องมีจุดสร้างความขัดแย้ง เกิดปมบางอย่างได้อยู่ดี ถ้ารู้ตัวทันว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันเป็นปัญหาของเรา เราจัดการตัวเองก่อน แต่ถ้าเผลอไปทำอะไรที่รุนแรง ลูกเสียใจ สิ่งที่เราทำได้คือ ก็เสียใจไปกับเค้าด้วย พ่อแม่ก็ขอโทษลูกได้”

อาจเคยได้ยินหลายคนวิเคราะห์ หรืออันที่จริงเราต่างก็เคยทบทวนด้วยตัวเองและรู้อยู่เต็มใจว่า พฤติกรรมที่เราแสดงออก เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติต่อบางสิ่ง มาจากความต้องการลึกๆ ในจิตใจ เกิดขึ้นจากร่องรอยของเหตุการณ์วัยเด็ก ถ้าจำได้ก็ได้ตั้งต้นเข้าใจความต้องการของตัวเอง ถ้าจำไม่ได้ หลายครั้งทำให้เกิดความทุกข์ – เอ๊ะ… เรื่องแค่นี้ทำไมมีอิทธิพลกับเราจัง คนอื่นไม่เห็นรู้สึกแบบเดียวกันเราเลย?

“ส่วนใหญ่เราพบว่า ปม ความขัดแย้ง หรือบาดแผล (trauma) มักเกิดขึ้นจากครอบครัว ยิ่งเกิดตอนเราอายุน้อยเท่าไรก็มักเป็นบาดแผลที่เราไม่ค่อยรู้ตัวและอาจส่งผลกับเราตั้งแต่เด็ก แต่ปมไม่ได้เกิดขึ้นจากครอบครัวเสมอไป ปมอาจเกิดจากที่โรงเรียน กับเพื่อน กับครู หรือกับผู้ใหญ่ จริงๆ trauma ยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งเราโตแล้ว แต่สิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเด็กมันอาจอยู่ลึกเข้าไปจนบางทีเราลืมไปแล้ว เลยมีผลกับตัวเราเยอะเพราะเราไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน”

คือคำอธิบายของ พญ.วินิทรา แก้วพิลา (หมอโบว์) จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และอาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ต่อประเด็นเรื่อง trauma หรือ บาดแผลฝังใจ ที่มีผลทางจิตวิทยา และคอยกำกับแบบแผนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน

คุณหมอยังอธิบายต่อไปว่า นอกจาก trauma  ซึ่งเกิดจากบาดแผลหรือเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจที่รุนแรงแล้ว การกระทบกระเทือนทางใจจากเหตุที่อาจเล็กลงมาเช่น ปม หรือ ความขัดแย้ง (conflict) ในอดีตอื่นๆ ก็อาจส่งผลต่อการสร้างแบบแผน วิธีแก้ปัญหา บุคลิกภาพของเราได้เช่นกัน

ตลอดเดือน มีนาคม ถึง พฤษภาคม The Potential ตั้งใจทำงานประเด็น Family Psychology หรือ จิตวิทยาครอบครัว หนึ่งในเนื้อหาที่อยากพูดถึงคือ ปม และ บาดแผลในวัยเด็กนั้น  อาจมีเหตุมาจากพ่อแม่ หรือแม้กระทั่ง เป็นปมของพ่อแม่ ที่เกิดจากปู่ย่าตายาย และยังผลส่งต่อแบบแผนเหล่านั้นไปยังลูกอีกที

ปม (conflict) และ บาดแผลฝังใจ (trauma) คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร มีผลต่อวิธีคิด ความกลัว และบุคลิกภาพภายในของเราอย่างไร  ทำอย่างไรเราจึงจะรู้จัก เข้าใจ และอยู่กับมันได้อย่างไม่เป็นปัญหา ทั้งอธิบายวิธีตัดตอน และฟื้นคืนสภาวะความเจ็บปวดนั้น เสร็จสรรพในบทความเดียว

ถ้าไม่ใช่กลุ่มโรค เช่น ออทิสติก สมาธิสั้น เคสที่คุณพ่อคุณแม่พาน้องๆ มาพบคุณหมอ มักเป็นเคสแบบไหน

ที่เจอเยอะ จะเป็นปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ ความก้าวร้าว หรือเป็นปัญหาด้านการเรียน แต่หลังจากที่ประเมินแล้วอาจจะพบปัญหาอื่น เช่น ความขัดแย้งในครอบครัว ความคาดหวังของพ่อแม่กับลูกที่ตอบสนองได้ไม่ตรงกัน

พูดได้ไหมว่าเด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์และไม่ใช่กลุ่มโรค มีปัญหาจากความสัมพันธ์ทางบ้านเป็นหลัก ถ้าไม่ใช่ ปัญหาทางจิตเวชมีสาเหตุจากอะไรบ้าง

ปัญหาทางจิตเวชมักจะเจอร่วมกันหลายปัจจัย ต้องอธิบายก่อนว่าปัญหาทางจิตเวชส่วนใหญ่ จะเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยทางกายภาพ (Biological), ปัจจัยทางจิตใจ (Psychology) และ ปัจจัยทางสังคม (sociology)  

ปัจจัยทางกายภาพ (Biological) เป็นปัจจัยภายใน เช่น การทำงานของสมอง พันธุกรรม และอื่นๆ เช่น พื้นอารมณ์ (temperament) ของเด็กแต่ละคนต่างกัน เด็กบางคนอาจจะปรับตัวง่าย ไม่ค่อยเกิดอารมณ์ทางด้านลบง่ายๆ  แต่บางคนปรับตัวยากและเซนส์ซิทีฟต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ แม้ว่าจะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน พื้นอารมณ์อาจจะคนละเรื่องกันเลยก็ได้ คือเค้าเกิดมามีแบบแผนพื้นอารมณ์แบบนั้นเลยโดยที่ไม่ขึ้นกับว่าพ่อแม่เลี้ยงเค้ายังไง ต่อมาคือปัจจัยทางจิตใจ (Psychological) ซึ่งอาจเป็น สติปัญญา วิธีคิด วิธีการปรับตัว สุดท้าย ปัจจัยทางสังคม (Sociology) ตรงนี้แบบแผนการเลี้ยงดูของพ่อแม่ โรงเรียน เพื่อน สังคม มีส่วนทำให้เด็กโตขึ้นมาและสร้างแบบแผนการเอาตัวรอดในชีวิต หรือ อาจจะสร้างปมหรือทำให้เกิดปัญหาขึ้นก็ได้   

เราพบว่า ปม ความขัดแย้ง หรือบาดแผล (trauma) ที่ส่งผลรุนแรงและยาวนาน มักเกิดขึ้นจากครอบครัว ยิ่งเกิดตอนเราอายุน้อยเท่าไร ก็มักเป็นบาดแผลที่เราไม่ค่อยรู้ตัวและอาจส่งผลกับเราตั้งแต่เด็ก

แต่ปมไม่ได้เกิดขึ้นจากครอบครัวเสมอไป ปมอาจเกิดจากที่โรงเรียน กับเพื่อน กับครู หรือกับผู้ใหญ่ จริงๆ trauma ยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งเราโตแล้ว แต่สิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเด็กมันอาจอยู่ลึก เข้าไปจนบางทีเราลืมไปแล้ว มันเลยมีผลกับตัวเราเยอะเพราะเราไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน

พอถึงตรงนี้ก็อยากจะเสริมว่า ไม่อยากให้รู้สึกกังวลหรือกลัวจนเกินไป จนต้องคอยไปตรวจหาว่าเรามีปมไหม จะเป็นอะไรไหม เป็นพ่อแม่จะต้องเลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้มีปมเลย จริงๆ แล้วการมีปม หรือ ที่เราต่างคนต่างมีแบบแผนการเอาตัวรอดต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้ ไม่ได้แปลว่าถ้าเรามีปมแล้วพ่อแม่เราเลวร้ายหรือเป็นคนไม่ดี กลับกัน, ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ที่ดีต้องเลี้ยงลูกให้ไม่มีปมอะไรเลย พ่อแม่เรา หรือ ตัวเราเองยังไงก็ต้องมีความผิดพลาดได้บ้าง เพราะเราก็ยังเป็นคนธรรมดา และถึงแม้พ่อแม่จะทำเต็มที่แค่ไหน หลายครั้งในความเป็นเด็กก็อาจมีข้อจำกัดในความเข้าใจได้เสมอ  ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนกันครั้งสองครั้ง แต่ที่เหลืออีกร้อยหรืออีกพันครั้ง เราแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดี และมีความหมาย อันนั้นก็จะช่วยให้เด็กๆ เติบโตมาอย่างมีความสุขได้

พอจะยกตัวอย่างการทำงานร่วมกันของปัจจัยทางจิตเวชให้เห็นภาพได้ไหมคะ

ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่มาปรึกษาว่าลูกมีปัญหาการเรียน แต่ในปัญหาการเรียนบอกได้หลายอย่างเลย บางคนอาจเป็นเรื่องสมาธิสั้น บางคนมีปัญหาเรื่องการอ่านเขียน เช่น LD (Learning disorder) หรืออาจจะมาจากการเลี้ยงดูก็ได้ เช่น พ่อแม่อาจคาดหวังกับลูกเรื่องเรียน หรือบางทีอาจเป็นเรื่องค่านิยมสังคมไทยที่เน้นทักษะวิชาการมากเป็นพิเศษก็ได้ หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากผลรวมของหลายปัจจัยได้

ประเด็นเรื่อง ปม บาดแผลทางจิตใจ ทับซ้อนกับภาวะอารมณ์โดยธรรมชาติ เส้นแบ่งของภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติ ไปสู่การเกิดปมหรือบาดแผลทางจิตใจมีเส้นแบ่งมั้ย เริ่มพัฒนาจากตรงไหนกัน

เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการทางอารมณ์ต่างกันอยู่แล้ว สมมุติเด็ก 2-3 ขวบ ก้าวร้าว ลงไปดิ้นกับพื้น สิ่งนี้อาจเป็นพฤติกรรมตามพัฒนาการของเค้า เค้ายังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่พ่อแม่จะสอนเด็กเรื่องอารมณ์ว่านี่คืออารมณ์อะไร  เพราะอารมณ์เป็นเรื่องข้างใน เวลาที่อารมณ์เกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ เค้ายังไม่มีชื่อเรียกมัน พ่อแม่อาจสอนได้ว่า “นี่ลูกกำลังโกรธอยู่นะ ลูกโกรธที่แม่ไม่ซื้อของนี้ให้ใช่มั้ย” การเรียนรู้เรื่องอารมณ์คือการรู้ว่าภาวะนี้คืออะไร เกิดอะไรขึ้นกับเรา เกิดเพราะอะไร และเป็นไปตามพัฒนาการ แต่หลังจากเกิดขึ้นแล้วจะจัดการอารมณ์โกรธอย่างไร พ่อแม่ก็จะมีส่วนช่วย

ขณะที่บางครอบครัวมองว่า นี่ก้าวร้าวนะ อาจจะดุ  ควบคุม ตี หรือทำให้ลูกกลัวเพื่อหยุดอารมณ์ ในแง่นี้พ่อแม่อาจเรียนรู้มาจากประสบการณ์การเติบโตของตัวเอง มองว่าความโกรธนี่ไม่ดีนะ แล้วอาจไปจัดการกับลูก ลูกอาจจะหยุด กลัว แต่แอบต่อต้านอยู่ข้างใน ซึ่งแต่ละบ้านมีกระบวนการดูแลอารมณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน จากนั้นมันก็จะส่งผลต่อไป

เช่น ในอนาคตเด็กคนนี้จะมองความโกรธยังไง? อาจมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเค้า เกิดขึ้นได้ หรือบางคนมองว่า ไม่ และปฏิเสธอารมณ์โกรธตรงนี้ไปเลยและอาจแสดงออกมาในรูปแบบอื่น เช่น มีปัญหาทางพฤติกรรมเกิดขึ้น หรือแสดงอารมณ์ก้าวร้าวแบบอื่น

เวลาพูดถึงปม เราควรเริ่มอธิบายจากตรงไหน?

ปมมันกว้างมากเลยเนอะ ถามว่าทุกคนมีปมมั้ย? มีเหมือนกันหมด ปมอาจจะเป็นแค่ความขัดแย้ง (conflict) เล็กๆ ระหว่างทางที่เราโตขึ้นมาแต่ความขัดแย้งนั้นมีผลต่อชีวิตเราก็ได้ ถ้าเป็นปมเล็กๆ น้อยๆ มันอาจไม่ได้เป็นปัญหามาก แต่ปมบางคนอาจใหญ่มากจนเรียกว่า trauma และส่งผลกระทบที่รุนแรงพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เด็กทุกคนที่เกิดมา ยังไงก็มี conflict หรือความขัดแย้งที่เกิดเป็นปมอยู่แล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนตอบสนองลูกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์และได้ตลอด 24 ชั่วโมง และถึงแม้พ่อแม่จะตอบสนองได้เยอะ แต่ในมุมมองของเด็กคนหนึ่ง ซึ่ง ณ วันนั้นเค้าไม่เข้าใจเหตุผลมาก ได้ข้อมูลไม่ครบ เค้าก็ตีความเรื่องราวนั้นจากโลกของเค้าเอง ซึ่งเค้าอาจมองว่าสิ่งที่พ่อแม่ให้มา เค้าไม่ได้รับการตอบสนอง มัน ยังไม่พอ ยังขาดไปก็ได้ อันนี้ถือว่าเป็นปมมั้ย? ก็อาจจะเป็นปมก็ได้ บางทีมันก็มีหลากหลายมาก เราชี้แจงแบ่งประเภทปมได้ยาก แต่ทุกคนมีปมเหมือนกันหมด

เวลาอธิบายปมหรือความขัดแย้งในใจคนอาจอธิบายได้ยากเพราะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเรื่องราวของแต่ละบุคคล แต่เราพอจะอธิบายกระบวนการเกิดขึ้นของปม หรือ ความขัดแย้งของเราได้มั้ย?

ตามทฤษฎีจิตวิทยาที่เป็นกลุ่ม Humanistic หรือ positive psychology จะมองว่าทุกคนเกิดมาอย่างมีคุณสมบัติ (quality) และทรัพยากร (resource) ด้านบวก (positive) อย่างสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ระหว่างทางของการเติบโตอาจต้องเจอกับสิ่งหรือเรื่องราวที่ไม่ตอบสนองในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ สถานการณ์ทางสังคม โรงเรียน เพื่อนหรืออะไรก็ตามแต่ที่ส่งผลกระทบต่อมุมมอง โลกทัศน์ต่อตัวเราเอง ต่อผู้คน และต่อโลกใบนี้ บังเอิญมีบางอย่างมากระทบใจอย่างรุนแรง พอกระทบ เราก็ต้องปรับตัว การปรับตัวก็จะไปสร้างแพทเทิร์นที่เรียกว่า “แผนการเอาตัวรอด”

เช่น เด็กบางคนเกิดแบบแผนการเอาตัวรอดว่า ต้องเป็นเด็กดีนะ ถ้าเป็นเด็กดี คุณแม่จะรัก ต้องเอาใจคุณพ่อคุณแม่นะ ต้องทำตัวให้เป็นที่รักและเป็นที่ต้องการ จึงจะอยู่รอดได้ ในขณะที่เด็กบางคนอาจเกิดโลกทัศน์หรือแบบแผนว่า พ่อแม่พึ่งพาไม่ได้ การจะอยู่รอดได้เราจะต้องไม่พึ่งใคร ต้องดูแลตัวเอง ต้องเข้มแข็ง ต้องไม่เปิดความรู้สึกให้ใคร ต้องไม่ไปแตะอารมณ์พวกนี้  อันนี้เป็นตัวอย่างว่าสองคนนี้ก็จะเป็นบุคลิกภาพที่ต่างกัน มีการใส่ใจและมีปัญหาในชีวิตที่แตกต่างกัน

มันจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมในการเติบโตมาแล้วสรุปหรือการตัดสินใจ (make decision) ในชีวิตว่า ถ้าเราจะเอาตัวรอดในโลกใบนี้ เราควรจะทำตัวอย่างไร เราควรจะมองคนอื่นหรือมองตัวเองอย่างไร พอตัดสินใจแล้วเค้าก็สร้างแบบแผนขึ้นมา สร้างแล้วเค้าก็จะใช้มัน แบบแผนไหนที่ได้ผล เราก็จะใช้แบบแผนนั้น แล้วเราก็จะดูฟีดแบกไปเรื่อยๆ ว่า แบบแผนไหนใช้ได้ผล เมื่อได้ผลเราก็จะใช้ไปเรื่อยๆ แบบแผนนั้นก็ถูกส่งเสริมขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเราใช้แบบแผนไหนเก่ง เราก็จะใช้อันนั้น ทุกคนที่โตมาก็จะมีแพทเทิร์นที่ใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเอง พอเราใช้มันนานๆ มันก็ฟอร์มตัว ยึดติดว่านี่คือตัวตนของเรา แบบแผนของเรา พอเราใช้มันเยอะเกินไป ใช้มันเก่งเกินไป เราก็อาจเจอปัญหาอีกด้านหนึ่ง

เช่น ถ้าเราเชื่อว่าเราต้องเป็นเด็กดี ต้องทำตัวให้เป็นที่รักและเป็นที่ต้องการแล้วยึดกับมันมากเกินไป พอโตขึ้นมาเราก็อาจจะเกิดความกังวลบ่อยๆ กลัวว่าจะทำให้ใครไม่พอใจ หรือทำให้เค้าผิดหวัง จริงๆความรู้สึกแบบนี้ก็เกิดได้กับทุกคน แต่กับบางคนมันอาจจะมากซะจนทำให้เราป่วย หรือ ชีวิตเราย่ำแย่ได้ อาจจะไปได้ถึงขั้นว่า “ ถ้าเค้าไม่รักหรือ ไม่เห็นค่าเรา เราก็อยู่ไม่ได้” มันจะกระเทือนกับคนนั้นมาก ในขณะที่คนบางคน “คนนี้ไม่ชอบชั้นก็ไม่เป็นไร ชั้นไม่แคร์ ชั้นดูแลตัวเอง” แบบนี้ก็ได้ ซึ่งการที่บางคนจะเป็นจะตายกับบางเรื่อง ก็เพราะนั่นคือแบบแผนที่เค้าใช้มาตลอด การจะไปดึงแบบแผนนั้นออก มันก็ยากลำบาก เรายึดกับแบบแผนไหนเยอะ มันก็จะมีเรื่องผลเสียในแบบต่างๆ

แบบแผนที่ว่ามีอะไรบ้าง

การสร้างแบบแผนก็เหมือนการสร้างบุคลิกภาพ (personality) ขึ้นมา ถามว่ามีกี่แบบ? ตอบยาก เพราะมีเยอะและหลายทฤษฎีมาก ถ้าเป็นทฤษฎีจิตบำบัดซาเทียร์ จะพูดถึง coping หรือวิธีการที่เราใช้แก้ปัญหาว่ามี 4 แบบ เช่น วิธีการโทษคนอื่น (Blaming), ยอมตามคนอื่น(Placating), อาจเป็นสายใช้เหตุผล (Super­reasonable) และ สายหนีปัญหา (Irrelevant) คือทำเฉไฉไปเลย หรือ ทฤษฎีบุคลิกภาพอื่น ที่นี่ (ภาคจิตเวชศาสตร์ รพ.รามาธิบดี) จะสนใจนพลักษณ์ (Enneagram) หรือบุคลิกภาพ 9 แบบ* แต่ละคนถูกผลักดัน (drive) ด้วยกิเลสต่างๆ และมี coping หรือวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนกัน บางคนถูกผลักด้วยอารมณ์โกรธเป็นหลัก บางคนเป็นอารมณ์กังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์  บางคนเป็นอารมณ์กลัว แต่ละบุคลิกภาพมีอารมณ์ที่เป็นแรงขับและโลกทัศน์ที่แตกต่างกัน

การรู้เรื่องพวกนี้ช่วยเราอย่างไร

อืม (นิ่งคิด) ถ้าเทียบกับการดูดวง เวลาที่ดูดวงแล้วบอกว่า “อ๊ะ แม่นอะ” ที่เราบอกว่า “แม่น” แปลว่า เราเคยเห็นแพทเทิร์นแบบนี้ของตัวเอง ปกติแล้วอาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเราเป็นคนแบบไหน แต่การเรียนรู้เรื่องพวกนี้คล้ายเป็นแผนที่ให้รู้ว่ามันมีแบบแผนไหนบ้างและให้เราเทียบว่าเราคล้ายแบบไหนมากกว่ากัน แต่การอ่านแผนที่เล่นๆ ที่บ้านก็คงไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าการถือแผนที่ลงไปเดินในพื้นที่จริง การลงไปเดินจริง… สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งคือการสังเกตตัวเอง (self awareness) การสังเกตตัวเองในปัจจุบันขณะ หรือแม้แต่การสะท้อนตัวเองย้อนหลังจากเหตุการณ์ต่างๆ จะเป็นเครื่องมือให้เรากลับมามองตัวเองชัดขึ้น ช่วยสะท้อนการใช้ชีวิตเราได้ว่าเรามีชีวิตแบบไหน เราตัดสินใจแบบนี้เพราะอะไร อะไรผลักดันเรา

ถ้ารู้แล้วว่าที่เราใช้แบบแผนนี้ ตัดสินใจแบบนี้เพราะประสบการณ์ในอดีตผลักดันเรา เราจะแก้ความกลัว ปัญหาในจิตใจเราได้มั้ย?

ได้นะ บางทีเราไม่รู้นะว่าเราทุกข์เพราะอะไร พ่อแม่บางคนทุกข์มาก ทำไมลูกเราสอบตกหลายวิชามากเลย เค้าก็พยายามบอกให้ลูกอ่านหนังสือ ให้ทำนู่นทำนี่เพื่อให้ลูกได้คะแนนดีขึ้น แต่พ่อแม่ก็เครียดมากและยังกังวลไปถึงอนาคตของลูก แต่ถ้าพ่อแม่ได้ย้อนกลับมาดูว่า เอ๊ะ… ที่เผลอตวาดลูกเพราะความโกรธ จริงๆ แล้วเพราะกลัวใช่มั้ยว่าอนาคตลูกจะแย่ กลายเป็นว่าสิ่งนี้ทำให้เค้ารู้ที่มาที่ไปว่าทำไมถึงต้องโกรธขนาดนั้น “อ๋อ… เพราะว่ากลัวนี่นา”

จะเห็นว่าความกลัวเป็นของเรา(พ่อแม่) เป็นสัมภาระเก่าของพ่อแม่ หลายครั้งเราต้องการให้ลูกมาขจัดความกลัวของเรา เช่น ถ้าลูกเรียนดี ก็เป็นหลักประกันว่าในอนาคตลูกน่าจะสบาย ถ้าลูกมีอนาคตที่ดี เราก็จะสบายใจ ความกลัวก็จะหายไป

แทนที่พ่อแม่จะเอาพลังงานไปปรับลูกเยอะแยะมากมาย ก็ให้กลับมาสำรวจที่ตัวเองว่า จริงๆ แล้ว เรากลัวอะไร เรากังวลเกินไปรึเปล่า? บางครั้งเรากังวลอนาคตมากเกินไป แปลว่าเรากำลังใส่ใจลูกในอนาคตมากกว่าลูกคนปัจจุบัน? หลายครั้งลูกในปัจจุบันก็ทุกข์มากเลยนะ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมรับสิ่งที่เค้าเป็น ยังทำไม่ได้ ผลการเรียนไม่ดี ยังไม่รับผิดชอบ ยังดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ห่วงลูกในอนาคตเลยกดดันลูกคนปัจจุบันเพื่อที่ลูกในอนาคตจะได้มีความสุข ตรงนี้คงต้องทบทวนว่าแล้วลูกในปัจจุบันล่ะ? ทำยังไงที่จะอยู่กับลูกในปัจจุบันอย่างมีความสุข ถ้าลูกในปัจจุบันมีความสุขและเราก็เชื่อมั่นในศักยภาพเค้า ค่อยๆ ดูแลกัน ในอนาคตเค้าน่าจะเอาตัวรอดได้ในแบบหนึ่ง ในแบบหนึ่งนะ (ย้ำ) อาจจะไม่ใช่ในแบบที่พ่อแม่คาดหวัง

คุณหมอเคยกล่าวว่า การบำบัดของคุณหมอไม่ใช่การบำบัดแค่น้องๆ แต่บำบัดพ่อแม่ด้วย

ส่วนหนึ่งค่ะ พ่อแม่พาเด็กมารักษาเพราะปัญหาอย่างหนึ่ง แต่บางทีปัญหานั้นอาจไม่ได้อยู่ที่เด็กแต่เป็นความคาดหวังของพ่อแม่ บางครั้งก็ต้องบำบัดพ่อแม่เกี่ยวกับความกลัวและความคาดหวัง จริงๆ ความคาดหวังไม่ได้เป็นปัญหาหรอก เพราะปกติพ่อแม่ก็ต้องคาดหวังสิ่งดีๆให้ลูกเป็นธรรมดา แต่สิ่งสำคัญคือต้องระวังและใส่ใจเรื่องการแสดงออกของความคาดหวังรวมถึงการแสดงออกความผิดหวัง  

จริงๆ แล้วเด็กเซนส์ซิทีฟมากนะ บางทีเค้าอาจจะยังพูดหรือสื่อสารด้วยภาษาไม่ชัดเจน แต่เค้ารับอารมณ์ สีหน้า พลังงาน แววตา ของคนรอบข้างได้แม้ไม่มีการสื่อสารกัน เช่น เวลาพ่อแม่โกรธ ผิดหวัง หรือ พ่อแม่ทะเลาะกัน ไม่คุยกันเลย เกิดความตึงเครียดในครอบครัว แม้ไม่ได้ต่อว่ากัน แต่เด็กรับรู้ความเครียดเหล่านี้ได้  

ปัญหาบางอย่างอาจแก้ลำบาก เช่น ในเด็กบางคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทางกายภาพจริงๆ เช่น มีปัญหาทางสติปัญญา จุดนี้ก็ทำให้พ่อแม่ทั้งเป็นห่วง กลัว และคาดหวังด้วย ก็ต้องคุยกับพ่อแม่ให้เค้ายอมรับธรรมชาติ

พูดยากเหมือนกัน?

(พยักหน้า) บางเคสเด็กมีปัญหากับพ่อแม่ เด็กมีปัญหาด้านอารมณ์เนื่องมาจากปัญหาการเลี้ยงดู หลายครั้งพ่อแม่พาเด็กมาหาหมอ คาดหวังให้หมอแก้พฤติกรรมจากในห้องตรวจ ซึ่งเป็นไปได้ยาก หลายครั้งหมอไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเด็กในห้องตรวจได้ เพราะเด็กไม่แสดงปัญหากับหมอแต่เป็นเฉพาะกับพ่อแม่  งานส่วนใหญ่เราเลยต้องช่วยแนะนำพ่อแม่ เกี่ยวกับการสื่อสารและการดูแลอารมณ์ของลูก พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจเด็กและปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่กับลูกของเค้า

จากปม หรือความขัดแย้งระดับเล็ก ไปสู่บาดแผลทางจิตใจ หรือ trauma ได้อย่างไร

trauma เป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมากกว่า หมายถึง การมีเหตุการณ์เข้ามากระทบกระเทือนคนๆ หนึ่งทางกายภาพหรือทางจิตใจแล้วมีผลกระทบหลงเหลือต่อไปในอนาคต อาจทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตหรือทางร่างกายก็ได้ ตัวผลกระทบรุนแรงพอสมควรที่จะทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง ทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ trauma อาจทำให้บางคนรู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธไม่ใส่ใจ ถูกทำให้อับอายขายหน้ามากๆ หรืออะไรที่มันรุนแรงมาก เช่น การถูกทำร้ายทางร่างกายหรือ ทางเพศ

บางครั้งอาจเกิดจากเหตุการณ์เล็กๆ ที่ไต่ระดับเพิ่มความขัดแย้งไปเรื่อยๆ หรือเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่กังวลว่าลูกจะสอบตก “ทำไมผลสอบได้เท่านี้ ทำไมไม่พยายามกว่านี้” จุดนี้เริ่มเป็นความขัดแย้ง ลูกอาจตอบกลับด้วยอารมณ์ก็ได้ ซึ่งก็อาจจะกลายเป็นเริ่มทะเลาะกันรุนแรงจน พ่อแม่อาจจะเผลอพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ เช่น ตัดพ่อตัดลูก หรือไล่ออกจากบ้าน เป็นต้น นี่ก็อาจเกิด trauma ขึ้นได้ถ้าคำพูดนี้ไปกระทบกระเทือนจิตใจ

ความขัดแย้งเกิดกับพ่อแม่ก่อน (เป็นห่วงเรื่องอนาคตของลูก กลัวว่าลูกจะสอบตก) พอแสดงออกไปแบบนั้นก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก พอขัดแย้ง ลูกก็เกิด conflict ในใจและแสดงออกมา ถ้าต่างคนต่างไม่เข้ามาดูแลภายในใจตัวเองมันก็จะเกิดปัญหาที่ใหญ่ขึ้นๆ

จากความขัดแย้ง ไปสู่ trauma นำไปสู่การแสดงออกหรือพฤติกรรมอะไรได้บ้าง?

เป็นได้หลายแบบ เช่น บางคนเป็นกลุ่มเก็บประสบการณ์เข้ามาข้างในก็อาจทำให้ซึมเศร้า บางคนมีพฤติกรรมแสดงออกภายนอก อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ เช่น ขโมยของ หรือ วัยรุ่นบางคนอาจใช้สารเสพติด หรือพฤติกรรมอะไรก็ตามที่เป็นการแสดงออกเพื่อหนีปัญหา ซึ่งมีหลากหลายมาก

ซับซ้อนมากเลยนะคะ เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกเหมือนภูเขาน้ำแข็ง เราไม่รู้ว่ามันเกิดจากปมหรือความกลัวแบบไหนที่อยู่ลึกลงไปใต้ภูเขา

วิธีจัดการ trauma คงต้องย้อนกลับมาที่เรื่องภายใน ทฤษฎีซาเทียร์จะพูดว่า ตัวพฤติกรรมหรืออาการไม่ใช่ปัญหา

เช่น เด็กอยากฆ่าตัวตาย หลายครั้งเราก็ไปวุ่นกับการพยายามหยุดพฤติกรรมอย่างเดียว อันนั้นไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่แท้จริงอยู่ข้างใน อะไรทำให้เค้าอยากฆ่าตัวตายละ? การฆ่าตัวตายเป็นทางออกของการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นทางออกที่ยังไม่ดีนัก ถ้าเรามัวแต่ไปจัดการหรือวุ่นวายกับการจัดการพฤติกรรม สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ปมหรือ trauma ข้างใน

แง่หนึ่ง ปมสร้างปัญหา เป็นเหตุผลให้เรามีพฤติกรรมเชิงลบ ขณะที่อีกด้าน ปมเป็นเชื้อเพลิงในการพัฒนาตัวเอง

เบื้องต้น เวลาเราจะทำความเข้าใจคุณลักษณะในคน มันไม่มีคุณลักษณะไหนที่ดีหรือแย่ เช่น เรามีไฟ ไฟมีพลังในตัวเอง เราจะมองว่าไฟดีหรือแย่ก็บอกได้ยาก เราอาจใช้ไฟทำอาหาร ให้ความร้อน ให้ความอบอุ่น แง่นี้ไฟมีประโยชน์ แต่ถ้าร้อนไป ไฟก็อาจทำอันตรายผู้อื่นได้ มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้คุณสมบัตินั้นในทางไหน ไฟก็เหมือนกับแบบแผนที่เราหรือเด็กแต่ละคนใช้เพื่อเอาตัวรอด ถ้าเราใช้มันในทางที่ดีมันก็พาเรารอดมาได้ถึงทุกวันนี้ แต่ถ้าใช้มันมากเกินไป มันก็เกิดปัญหา

ทฤษฎีจิตวิทยาสายคาร์ล ยุง (Carl Gustav Jung) อธิบายว่าเวลาที่เราเติบโตขึ้นมา เราสร้างแบบแผนบางอย่างขึ้น มันจะมีแบบแผนที่เรายึดถือ เราชอบมัน เรายอมรับว่านี่คือตัวตนของเรา และเราก็ทิ้งแบบแผนบางอย่างที่เราบอกว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราวางมัน เราเอามันไปไว้ที่อื่น ที่เป็นแบบนี้ เช่น เพราะเราเติบโตในครอบครัวที่ไม่โอเคกับความโกรธ ฉะนั้น ทุกครั้งที่แม่เกิด conflict กับลูก ลูกก็ต้องทำตามแม่อย่างเดียวเลย บ้านนี้ไม่มีใครแสดงอารมณ์โกรธเพราะมองว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี แล้วเค้าก็สร้างแบบแผนเป็นคนเอาใจคนอื่น พอเค้าโตขึ้นมา แบบแผน “เอาใจคนอื่น” จะเป็นแบบแผนที่เค้ายึดถือ ส่วนสิ่งที่เค้าทิ้งไปคือตัวตนที่มีพลังความโกรธ ตัวตนแห่งการยืนยันสิทธิ์ ตัวตนมีความแรง ตัวตนนี้เค้าไม่เอา

แต่ธรรมชาติของคนเราต้องมีหลายๆ อย่าง เพราะเราต้องเจอคนดี/ไม่ดี เจอเหตุการณ์ที่เอาใจต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ต้องมีอารมณ์อีกด้านเกิดขึ้นเหมือนเป็นเงาเสมอ ทีนี้เวลาที่เค้าเกิดความโกรธหรือความก้าวร้าวขึ้น เค้าไม่ยอมรับ เค้าจะยอมรับตัวตนอีกด้านได้ยาก มันก็เลยทำให้เกิดเป็น conflict ในตัวเอง และไม่รู้ว่าเราจะจัดการยังไง เพราะ conflict ข้างนอกก็ทำให้เกิด conflict ข้างใน

คาร์ล ยุง อยากกระตุ้นการพัฒนาการรับรู้ตัวตนอื่นๆ ที่เราไม่เอา เพราะถ้าเราบอกว่าเรายึดกับความเป็นคนดี เป็นคน nice ชอบตามใจคนอื่น เราจะชอบไปมีปัญหากับคนที่เค้ายืนยันสิทธิ์ คนที่กล้าพูด กล้าขัดแย้ง เราอาจไม่ได้ทะเลาะกับเค้าตรงๆ แต่เราจะไม่ชอบคนเหล่านี้เลย ซึ่งชีวิตของเราอาจจะไปเจอกับพลังงานแบบนี้ที่เราไม่ชอบมากๆ แต่เราทิ้งพาร์ทนี้ไปแล้ว เลยทำให้เราไม่เข้าใจโลกอีกส่วนหนึ่ง และนั่นเป็นสิ่งที่เราขาด เพราะเราไม่ยืนยันพลังของตัวเอง ไม่ยืนยันสิทธิ์ที่มี ไม่ยอมใช้ความก้าวร้าว ซึ่งจริงๆ ความก้าวร้าวมันก็มีประโยชน์ของมันถ้าใช้ให้ถูก

ทฤษฎีคาร์ล ยุง อยากให้เรา integrate ทั้งสองพาร์ท รู้จักใช้พาร์ททั้งสองพาร์ทเข้าด้วยกัน เพราะถ้าสองพาร์ทมันแยกออกจากกันชัดเจนมาก มันจะเกิดอาการที่เป็นทางจิตเวชได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะทางจิตบางอย่างได้เหมือนกัน การทำให้เราสอดคล้องกลมกลืนกับตัวเองจะทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น เราจะไม่ตัดสินคนอื่นง่ายๆ เราจะเข้าใจว่ามันก็มีประโยชน์นะที่คนเราจะยืนยันสิทธิ์ตัวเอง มีประโยชน์กับสังคมนะที่มีคนแบบนี้อยู่ ถ้าไม่มีคนแบบนี้เลย ก็อยู่ยาก

ทั้งหมดนี้ เราเลือกแบบแผนให้ตัวเองไม่ได้ เพราะมาจากอดีตหรือประสบการณ์ที่เราเองก็เลือกไม่ได้

ภาพในอดีตที่ผ่านมาเราอาจเลือกไม่ได้ และเราทำดีที่สุดแล้ว สังคมหรืออะไรต่างๆ ทำให้เราโตมาเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเรากลับมาตระหนัก สำรวจตัวเอง ทำ inner work หรือสำรวจภายใน เราจะเลือกได้ คล้ายๆ ทำความเข้าใจว่า “เราไม่ต้อง nice ตลอดก็ได้หนิ” ทำไมเราต้อง nice ละ? เพราะเรากลัวไง กลัวคนจะมองเราไม่ดี ไม่ยอมรับเรา แต่จะเป็นอะไรมั้ยที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องรักเรา แค่คนบางคนรักเราพอมั้ย? ทบทวนว่าเรายอมทิ้งบางส่วนเพื่อเป็นตัวเราจริงๆ ได้รึเปล่า

ความขัดแย้ง ปม กระทั่ง trauma หายหรือถูกเยียวยาได้มั้ย?

เวลาที่เราเจอเรื่องราวโหดร้ายรุนแรง เราไม่เข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่น เรื่องราวประเภทนี้มีผลกระทบด้านลบเยอะกว่าจนอาจทำให้บางคนหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหรือไม่แตะเรื่องนี้อีกเลย พอหลีกเลี่ยง มันก็เลยยังส่งผลในสมองเรา แต่เพราะเรื่องราวนี้ถูกบันทึกในสมองและอารมณ์ เมื่อมีเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอีก เราจะรู้สึกแบบนี้ จะปฏิบัติแบบนี้อย่างเป็นอัตโนมัติ ถูกจูนกลับไปที่ล็อกเดิม แพทเทิร์นเดิม ถ้าเราไม่กลับไปดูตรงนั้นเลยมันก็เหมือนเทปที่เปิดเล่นวนซ้ำไปเรื่อยๆ แต่ถามว่าเปลี่ยนแปลงได้มั้ย? เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการย้อนกลับไปฟังเทปใหม่แล้วอัดเทปทับประสบการณ์เก่า แต่ก่อนจะทำแบบนั้น เราต้องกลับไปทำความเข้าใจเทปนั้นใหม่ก่อน

บางคนมองว่า พ่อแม่โหดร้ายทารุณกับเรามาก เราจะย้อนกลับไปเพื่อทำความเข้าใจพ่อแม่ใหม่ “เฮ้ย ตอนนั้น สถานการณ์ในชีวิตของแม่มันรุนแรงมากนะ ไม่มีเงิน ไม่มีอะไร และแม่ก็โตมาในชีวิตที่ยากลำบากมากเลยนะ เค้าก็โตมากับพ่อแม่ของเค้า (ตาและยาย) ที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดูแลเค้ามาดีหรือไม่ดียังไง” พอทำความเข้าใจแล้วจะเห็นว่าในสิ่งที่เค้าทำมันมีทั้งบวกทั้งลบ และทำให้เข้าใจมากขึ้น

เหมือนเรารีไรท์เรื่องราวหรืออัดทับประสบการณ์ที่เลวร้าย แทนที่เราจะเป็นเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ กลายเป็นว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นั้น และยังได้เห็นศักยภาพตัวเองด้วยว่า “เฮ้ย ในภาวะที่แม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วนหนึ่งที่เราโตมาได้ก็เพราะการดูแลตัวเองและยังดูแลน้องๆ ด้วยนะ

การเห็นเรื่องเล่าในมุมใหม่ที่เราไม่เคยเห็น มันเติมอารมณ์ด้านบวกหรือการยอมรับขึ้นมาได้ เหมือนการอัดทับสมองที่เคยบันทึกของเก่าไว้ วิธีนี้ทำให้เราเปลี่ยนได้ พอเราเจอเหตุการณ์คล้ายเดิม เราก็จะเปลี่ยนมุมมอง อารมณ์ที่เจอก็จะเปลี่ยนไป

การรีไรท์หรือทบทวนประวัติศาสตร์ตัวเอง จำเป็นมั้ยที่จะต้องมีใครมาช่วยรับฟัง ช่วยถาม ช่วยชำระ หรือเราทวนด้วยตัวเองได้?

จริงๆ เราทวนกับตัวเองได้ แต่การมีคนอยู่กับเราอาจช่วยทำให้ง่ายและเร็วกว่า เพราะเวลาเราเล่าอะไรให้ใครสักคนฟัง มันมีการตอบสนอง มีแววตา มีพลังงานดีส่งมา  บางทีเล่าเรื่องเศร้าเพื่อนเราน้ำตาคลอไปด้วย แค่นั้นเราก็ถูกเยียวยาไปในตัวเอง เหมือนได้รับพลังบางอย่างที่เค้าส่งให้เรา หรือ บางครั้งเราก็ต้องการมุมมองใหม่จากคนอื่น

เคยมีเคสหนึ่งที่เคยดูแลตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านใหม่ เป็นเคสผู้หญิงใจดีและเข้าอกเข้าใจคนอื่น  ต่อมาถูกสามีนอกใจ เธอทุกข์มาก ซึมเศร้า ไม่มีกำลังใจมีชีวิต มาคุยกับหมอสองครั้งเราก็ช่วยเค้าไม่ได้มาก แต่เราก็ชื่นชมเค้าที่เค้าให้อภัยและไม่มีความเคียดแค้นสามี ครั้งที่สามคนไข้มาหาด้วยสีหน้าและพลังงานที่เปลี่ยนไป ดีขึ้นมาก เค้าเล่าว่า จากเดิมที่ไม่เคยกล้าเล่าให้เพื่อนฟัง ก็ไปลองเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง เพื่อนฟังๆ ไปแล้วโกรธแทนเธอ จนเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ย แล้วทำไมเธอไม่โกรธ?” พอมาคิดๆ ดู ก็เพิ่งรู้ว่า เออ… มันโกรธได้นะ ตอนแรกผู้หญิงคนนี้คงรู้สึกอยากปล่อยวางและไม่ควรโกรธ  ปรากฎว่าเพื่อนทำหน้าที่สะท้อนด้านอื่นๆ ว่า “เราโกรธได้นะ” พอโกรธได้ พลังงานบางอย่างก็ได้ปลดปล่อยออกมา อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างเฉพาะของเคสนี้นะ ไม่ได้หมายความว่าเคสอื่นจะแก้ปัญหาด้วยแบบนี้ได้

อันนั้นอาจเป็นพาร์ทการเยียวยาตัวเองของผู้ใหญ่ แต่ trauma ในเด็ก ฟื้นคืนได้มั้ย ทำยังไงให้เด็กกลับมาไว้ใจ มีความมั่นใจอีกครั้ง

เด็กก็กลับมาได้ คนเรามีคุณสมบัติฟื้นฟูตัวเองที่เราเรียกว่ามี resilience สมมุติเราเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีข้อจำกัด มีต้นทุนจำกัด และเราก็มีปัญหา มี trauma หลายอย่าง แต่ถ้าเกิดเราไปเจอครูที่ดี เจอเพื่อนที่ดี ผู้ใหญ่ที่ดีสักคน แค่หนึ่งความสัมพันธ์ที่มีความหมายก็สามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งได้ กระทั่งโตขึ้นแล้วเจอกับแฟนหรือเจอเพื่อนคนหนึ่งที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ นี่ก็เปลี่ยน trauma ได้จากการได้เรียนรู้ว่าจริงๆ มันมีความสัมพันธ์ที่มั่นคง เชื่อถือได้ เรามีคนที่ดีและเราก็เป็นคนที่ดี มีคนยอมรับ มีความสัมพันธ์ที่ดีได้

คุยกันถึงตรงนี้ พ่อแม่หลายคนอาจหนักใจแล้วว่าเผลอสร้างปมให้กับลูกหรือเปล่า เพราะแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นปมยิ่งใหญ่ของลูกได้

ไม่มีพ่อแม่ที่เพอร์เฟค 24 ชั่วโมง ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนมันก็ต้องมีจุดสร้างความขัดแย้ง เกิดปมบางอย่างได้อยู่ดี ถ้ารู้ตัวทันว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันเป็นปัญหาของเราเอง เราจัดการตัวเองก่อน แต่ถ้าเผลอไปทำอะไรที่รุนแรง ลูกเสียใจ สิ่งที่เราทำได้คือ ก็เสียใจไปกับเค้าด้วย พ่อแม่ก็ขอโทษลูกได้

แสดงให้เค้าเห็นว่าเราเสียใจนะ ขอโทษเค้า ทำให้เห็นว่าเรารักเค้านะ เราเข้าใจเค้านะ ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ เราย้อนกลับไปสร้างโอกาสในการเรียนรู้อะไรดีๆ ได้เสมอ

เราจะดูได้ยังไงว่าเด็กคนหนึ่ง มีปม มีบาดแผล

จริงๆ แล้ว เราไม่ต้องไปคอยตรวจหาว่ามีปมมั้ยหรอก เราก็แค่ทำความรู้จักลูกให้มากขึ้น ใช้เวลากับเค้า สังเกตเค้า เรียนรู้เค้า ลูกเราสนใจอะไร ชอบอะไร อารมณ์หรือนิสัยใจคอเป็นยังไง ปกติเค้าพูดคุยกับเรามากน้อยแค่ไหน ลองสังเกตสีหน้า แววตา น้ำเสียง เหมือนเราคอยใส่ใจเค้า พูดคุยกับเค้า เด็กบางคนเริ่มเก็บตัว แยกตัวไปทำอย่างอื่น เด็กบางคนเริ่มมีอารมณ์รุนแรงขึ้นจากเดิม ลองสังเกตดู ถ้าเราใช้เวลากับเค้าเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าลูกเริ่มเปลี่ยนไปแปลกๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะ “เอ๊ะ” อยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่ค่อยได้ใส่ใจ เราเห็นเค้าเรียนได้ ทำอะไรได้ เราก็ไม่ได้ใส่ใจ พักผ่อนของเราไป เราก็จะไม่ค่อยเห็นเวลาที่มันเปลี่ยนแปลง ใช้เวลากับลูกให้เยอะ

ถ้าเริ่มรู้สึกแปลกๆ ก็ลองคุยกับลูกก่อน ถ้าคุยแล้วเกิดความยากลำบากใจก็อาจขอคำปรึกษาได้จากนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักจิตบำบัดสายต่างๆ ซึ่งการพามาพบคุณหมอก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะมีปัญหาจริงๆ บางเคสที่มาพบคุณหมอก็ไม่ได้มีปัญหา แต่หมออาจบอกว่า “โอเคค่ะ ปกติดีนะ” พ่อแม่จะได้สบายใจ

นพลักษณ์ (Enneagram) ศาสตร์ที่ช่วยให้รู้จักตัวเอง เข้าใจจุดอ่อน/จุดแข็งของคนแต่ละประเภท พร้อมเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น แบ่งคนออกเป็น 9 กลุ่มตามลักษณะนิสัย ดังนี้

1.ผู้สมบูรณ์แบบ – อยู่กับความจริง มีหลักการและมโนธรรมสำนึก ดำเนินชีวิตตามอุดมคติของตนเอง
2.ผู้ช่วยเหลือ – เป็นคนอบอุ่น ดูแลห่วงใย และรับรู้ความต้องการของผู้อื่นได้ไว
3.ผู้ใฝ่สำเร็จ – กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี มั่นใจตัวเองและมีเป้าหมาย
4.คนโรแมนติก – อ่อนไหว อบอุ่น เข้าอกเข้าใจผู้อื่น
5.ผู้สังเกตการณ์ – สนใจหาความรู้ เก็บตัว ช่างวิเคราะห์และเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็ว
6.นักปุจฉา – รับผิดชอบ ไว้ใจได้ เห็นคุณค่าครอบครัว เพื่อนฝูง หมู่คณะ
7.นักผจญภัย – กระตือรือร้น มีชีวิตชีวา มองโลกแง่ดี สรรสร้างสังคม
8.ผู้ปกป้อง – ตรงไปตรงมา พึ่งตนเอง มั่นใจ ปกป้องผู้อื่น
9.ผู้ประสานไมตรี – เปิดรับ ใจดี หนุนผู้อื่น สร้างสามัคคี

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adverse Childhood Experiences(ACE)พญ.วินิทรา แก้วพิลา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Family Psychology
    เคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ
Family Psychology
24 April 2019

เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

จากงานศึกษาพบว่า ‘วิธีการลงโทษโดยการตีของพ่อแม่’ จะใช้ได้ผลในระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวกลับส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและสภาพจิตใจของเด็ก ผลเสียคือเพิ่มความขัดแย้ง ขุ่นเคืองใจ และปิดกั้นการเรียนรู้

ซึ่งการลงโทษแบบนี้ ไม่ต่างจากผลที่เกิดกับเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ จะกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านและตอบโต้ เชื่อมโยงไปสู่กลไกการป้องกันตัว ยังไม่รวมความรู้สึกอับอาย ความโกรธ อาจนำไปสู่การหาวิธีการไม่ให้ถูกจับได้ ดังนั้นหากพ่อแม่ใช้ความรุนแรงลงโทษลูก จะส่งผลให้ลูกมีความก้าวร้าวและขาดความยับยั้งชั่งใจ

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่บางคนอาจหลีกเลี่ยงวิธีลงโทษโดยการตีมาเป็น ‘การนิ่งเงียบ เฉยชา ไม่พูดไม่จา ไม่แสดงอารมณ์’ เมื่อลูกกระทำความผิด ซึ่งจะยิ่งผลให้ลูกยิ่งไม่ร่าเริง เก็บกด และขาดความอบอุ่น เนื่องจากภาวะดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน

ท้ายที่สุดย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้ลูกไม่กล้าพูดคุยอย่างเปิดเผยกับพ่อแม่ นอกจากนี้ยังกระทบต่อพัฒนาการและการแสดงออกทางอารมณ์ของลูกด้วย

แล้วถ้าไม่ตี-ไม่เงียบ จะมีวิธีเข้าใจลูก ได้อย่างไร ?

พ่อแม่ทำได้ง่ายๆ โดย 4 วิธี ดังนี้

1. มองให้ลึกถึงสาเหตุที่แท้จริง

2. กระตุ้นแทนให้รางวัล เพราะแรงจูงใจเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องสร้างแรงจูงใจอย่างถูกต้อง

3. ‘ช่วย’ แทนที่จะ ‘ลงโทษ’ เพราะพ่อแม่สามารถวางข้อตกลงและแนะนำลูกได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงโทษ

4. เป็นทีมเดียวกันกับลูก  

Tags:

วินัยเชิงบวกการลงโทษ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง
How to get along with teenager
23 April 2019

รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ในยุคดิจิทัลที่ลูกพกพาความสัมพันธ์ส่วนตัวติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา ทักษะชีวิตทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องช่วยสร้างให้ลูก โดยเฉพาะประเด็น ‘มันคือความปลอดภัยของตัวลูก’ ไม่ใช่ตัวผู้ปกครอง 
  • Sexting การส่ง, ส่งต่อ หรือได้รับข้อความในเรื่องเพศอย่างโจ๋งครึ่ม อย่างไรก็ตาม มีการใช้ Sexting ในลักษณะบุลลี่ ล้อเลียน กระทั่งแบล็คเมลหรือหลอกใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์

ว่ากันตามตรง ความสนใจและการแสดงออกเรื่องเพศ กับ วัยรุ่น เป็นสิ่งคู่กันทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ต่างกันไปตามเทคโนโลยีที่อยู่ในมือ ว่ากันตามตรงอีกเช่นกัน ทุกวันนี้การส่งข้อความหรือรูปภาพที่แสดงความเซ็กซี่อย่างโจ๋งครึ่มระหว่างกัน เกิดขึ้นเป็นปกติในในหมู่วัยรุ่นกระทั่งมีศัพท์ที่ใช้กันแพร่หลายคือคำว่า Sexting

Sexting คือการ ส่ง, ส่งข้อความต่อ หรือได้รับข้อความ (text) บรรยายในเรื่องเซ็กส์อย่างโจ๋งครึ่ม (explicit) และรวมถึงรูปภาพเซ็กซี่ต่างๆ เป็นการส่งกันระหว่างมือถือและรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม มีการใช้ Sexting ในลักษณะบุลลี่ ล้อเลียน กระทั่งแบล็คเมลหรือหลอกใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์ อ่านเพิ่มเติมที่นี่

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าความเข้าใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตนั้นมองได้หลากหลายด้าน ลูกอาจไม่ได้มองโลกมุมมองเดียวกับพ่อแม่ โดยเฉพาะในวัยรุ่น การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศดูเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขา แม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างในเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับพ่อแม่

ลอรี ก็อทลิบ (Lori Gottlieb) บรรณาธิการเว็บไซต์ The Atlantic, นักจิตอายุรเวช และผู้เขียนหนังสือ  ‘Maybe You Should Talk to Someone’ ยกตัวอย่างกรณีศึกษา เมื่อพ่อแม่เริ่มระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของลูกกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งแล้วแอบเปิดดูโทรศัพท์ของลูกสาว แล้วพบข้อความที่ไม่เหมาะสมทางเพศส่งมาจากเพื่อนผู้ชายคนนั้น ก็อทลิบบอกว่า

ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ช่วยคลายความกังวลของพ่อแม่ แถมยังช่วยลูกได้ด้วย คือการพูดคุยกับลูกด้วยท่าทีที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่า ลูกจะรู้สึกเสียใจ ไม่พอใจ และโกรธที่พ่อแม่แอบดูโทรศัพท์ของพวกเขา (เพราะเอาเข้าจริงแล้วนี่นับเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว – กองบรรณาธิการ) แต่อีกด้านหนึ่ง พวกเขาจะรู้สึกโล่งใจเมื่อพ่อแม่มีท่าทีเปิดใจรับฟัง จากเดิมที่พวกเขาอาจกำลังชั่งใจและค่อนข้างสับสนว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่อย่างไร

เมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากัน การวางตัวของพ่อแม่มีความสำคัญมากต่อความรู้สึกของลูก หากพ่อแม่ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าว แต่ทำให้พวกเขาอุ่นใจ ไว้วางใจ และให้ความรู้สึกปลอดภัย พวกเขาจะพูดคุยสื่อสารเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อแม่อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยจนหมดเปลือก

“ลูกอาจรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่พ่อแม่กำลังจะพูด แต่พ่อแม่ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจหลังจากเห็นข้อความที่ (ชื่อของเพื่อนลูก) ส่งหาลูกในมือถือ เลยอยากคุยกับลูกก่อน เพราะพ่อแม่อาจเข้าใจผิด พ่อแม่อยากรู้ว่าลูกรู้สึกยังไงกับข้อความนั้น” ก็อทลิบ ยกตัวอย่างวิธีเปิดบทสนทนากับลูก 

อะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม?

พ่อแม่บอกให้ลูกรับรู้ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อได้อ่านข้อความหรือเห็นภาพที่ส่งมา เน้นย้ำกับลูกว่าสิ่งที่พ่อแม่รู้สึกเป็นเพียงตัวอย่างความคิดเห็นแค่มุมมองหนึ่ง เพราะการวางท่าทีไม่ขัดขวางแต่พร้อมรับฟังของพ่อแม่ ไม่พยายามตัดสินสิ่งที่ลูกทำว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ช่วยให้บทสนทนาเรื่องความสัมพันธ์เดินไปไกลเท่าที่ความสงสัยของพ่อแม่จะไปถึง 

เขาเป็นเพื่อนหรือกำลังอยู่ในขั้นดูๆ กันไปก่อน?

ลูกสนใจเขาหรือเปล่า? 

ลูกสนใจอะไรในตัวเขา? ลูกคิดว่าเขาน่ารักมั้ย หรือออกแนวเท่ๆ?

มีอะไรที่ทั้งสองคนชอบเหมือนๆ กันบ้าง? 

ลูกอึดอัดมั้ยที่เขาส่งเมสเสจมาแบบนี้? 

ถ้าลูกไม่ได้สนใจเขา ลูกคิดว่าอะไรทำให้เขาส่งข้อความแบบนี้มาหาลูก?

หากลูกมีแฟน ลูกอยากให้แฟนปฏิบัติกับลูกยังไงบ้าง? 

คำถามต่างๆ ที่ว่าจะนำบทสนทนาไปสู่เรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ การแสดงความสนิทสนมใกล้ชิดกับเพื่อนต่างเพศ แรงกดดันทางสังคม ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากการสื่อสารออนไลน์ และการตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อสื่อสารกับคนแปลกหน้า การตั้งคำถามทำให้ลูกได้ถอยมาตั้งหลักคิดถึงความรู้สึกของตัวเองกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ลูกรู้เท่าทันสถานการณ์ แล้ววางตัวเองได้อย่างเหมาะสม 

ดิไอริชไทมส์ (The Irish Times) เปิดเผยในบทความ ‘Sexting: do you know what your teenager is doing on their phone?’ ว่า ผลสำรวจในปี 2016 ไอร์แลนด์จัดเป็นประเทศลำดับ 4 ในยุโรปที่วัยรุ่นนิยมส่งข้อความ (ที่พ่อแม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม) ทางเพศ (sexting) หากัน 

อย่างไรก็ตาม ดร.มารินา เอเวอร์รี (Marina Everri) นักจิตวิทยาไซเบอร์ และผู้นำโครงการวิจัยยุโรป (European Research Project) เกี่ยวกับบทบาทของสื่อดิจิทัลต่อพัฒนาการของวัยรุ่นและการสื่อสารในครอบครัว (The role of digital media in adolescent development and family communication) ร่วมกับวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน หรือแอลเอสอี (The London School of Economics and Political Science: LSE) หนึ่งในสถาบันที่มีชื่อเสียงในลอนดอน กล่าวไว้ในบทความว่า 

พฤติกรรมการส่งข้อความทางเพศเป็นพัฒนาการตามวัยของวัยรุ่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการนิยามอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศของแต่ละคน

ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะจ้องจับผิดลูก หรือเสียเวลาไปกับการหาคนรับผิดชอบ เช่น โบ้ยว่าโรงเรียนควรเป็นผู้รับผิดชอบให้ความรู้เรื่องเพศศึกษากับนักเรียน ขณะที่อีกด้านหนึ่งโรงเรียนก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนควรเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่

ทั้งหมดนี้พ่อแม่กลับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ ด้วยการอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า การสื่อสารเรื่องเพศเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวลูกเอง

ผลการสำรวจในไอร์แลนด์ พบว่า นักเรียนมัธยมศึกษาร้อยละ 49 เคยพูดคุยกับคนแปลกหน้าออนไลน์ และร้อยละ 16 เคยนัดแนะเจอกับคนที่พวกเขาได้พูดคุยด้วยทางออนไลน์เท่านั้น ซึ่งอาจนำไปสู่การล่วงเกินทางเพศได้ 

จิลล์ วิทนีย์ (Jill Whitney) ผู้เชี่ยวชาญและนักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัว กล่าวว่า พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการด้านพฤติกรรมทางเพศของลูก ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปัจจัย 3 ระดับด้วยกัน

  1. ปัจจัยส่วนบุคคล: วัยรุ่นผู้หญิง พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจ มีตัวตนและตื่นเต้น เมื่อเพศตรงข้ามทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเซ็กซี่ หรือน่าสนใจ (ความรู้สึกเกิดขึ้นไม่เฉพาะแค่วัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน) ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องนำเสนอมุมเซ็กซี่ของตัวเอง เห็นได้จากการถ่ายรูปเซลฟี่เซ็กซี่ ดึงดูดความสนใจ
  2. ปัจจัยด้านความสัมพันธ์: การส่งภาพเซ็กซี่ให้กันและกัน เหมือนเป็นของขวัญแสดงถึงการให้ความสำคัญระหว่างกัน
  3. ปัจจัยเรื่องสถานะ: เป็นความพยายามเรียกร้องความสนใจจากเพศตรงข้าม โดยเฉพาะจากคนที่ตนสนใจและอยากพัฒนาความสัมพันธ์ 

ย้อนกลับไปยังกรณีศึกษาของก็อทลิบที่กล่าวไว้ในตอนต้น หากฝ่ายหญิงไม่สนใจฝ่ายชาย การได้รับข้อความที่ไม่เหมาะสมทางเพศ อาจกำลังทำให้เธอรู้สึกอึดอัดหรือวางตัวไม่ถูก แต่หากเธอสนใจ ก็อาจกำลังสับสนอยู่ว่าจะตอบกลับข้อความนั้นอย่างไร การพูดคุยอย่างเปิดใจของพ่อแม่จะช่วยให้ลูกตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ไม่พลาดพลั้ง และทำให้ลูกรู้เท่าทัน

บอกให้ลูกรับรู้ว่า เมื่อข้อความ ภาพหรือวิดีโอต่างๆ ถูกส่งออกไปจากโทรศัพท์ของพวกเขา พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีก ไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะมีใครเห็นบ้าง ใครจะไปรู้ว่ามันอาจถูกเผยแพร่ไปยังคนอื่น ไปทั้งโรงเรียน หรือผ่านสื่อออนไลน์ไปทั่วโลกก็ได้

อ้างอิง:

theatlantic.com

parentingteensandtweens.com

nytimes.com

irishtimes.com

foreverymom.com

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นโซเชียลมีเดียเพศวัยพรีทีน (Preadolescence)Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)คุกคามทางเพศ (sexual harassment)Sexting

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel