Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด
Family Psychology
11 May 2018

ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ในนามความรักและความหวังดี พ่อแม่มักจะส่งให้ลูกเรียนนั่นโน่นนี่ เพื่อมีวิชาติดตัวให้มากที่สุด
  • หลายครั้งลูกไม่ชอบ ไม่มีความสุข จะขอเลิกเรียนก็ไม่ได้ กลัวพ่อแม่เสียใจ หรือขออย่างไรคำตอบก็คือไม่ได้อยู่ดี
  • จะดีกว่ามากๆ ถ้าพ่อแม่ลงมาดูแล เอาใจใส่ และเปิดใจกว้าง มองว่าสิ่งที่ให้ลูกเรียนอยู่นี้ ทุกข์มากกว่าสุข
  • แล้วเป็นฝ่ายบอกลูกเองว่า “ถ้ามันไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก” แต่จะบอกตอนไหน บทความนี้มีคำตอบ

พ่อๆ แม่ๆ ทุกคนน่าจะเคยผ่านจุดนี้ จุดที่ลูกๆ เว้าวอน ร้องขอ เลิก ไม่เรียนนั่นโน่นนี่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูเลอค่าหรือมีประโยชน์แค่ไหนก็ตาม เช่น ว่ายน้ำ ฟุตบอล เปียโน บัลเล่ต์ จินตคณิต ญี่ปุ่น ไปจนถึงอานาปานสติแบบง่ายๆ (ฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก – แหม ก็หนูไม่ชอบนี่นา)

เมื่อคำขอถูกปฏิเสธ เราจึงเห็นเด็กๆ หนีเรียน มุ่งเล่นเกม หรือเรียนไปงั้นๆ จบวันก็ส่งคืนครู บางรายขยับขั้นเป็นความไม่ชอบ เกลียดฝังใจไปเลย

เรื่องของเรื่องก็คือ เหตุผลของเด็ก = ข้ออ้างของผู้ใหญ่

เมื่อเหตุผลของเด็กโดนตีตกแทบจะทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเมื่อมันไม่เวิร์ค เขามีสิทธิ์ที่จะลาออก (เหมือนผู้ใหญ่ลาออกจากงานนั่นแหละ) แต่สำหรับเด็ก เขาต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเลิกได้ เพื่อจะได้ไปเริ่มและลองสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจกว่า

ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่ใจกว้างพอหรือไม่ที่จะยอมรับและเอ่ยออกมาเองว่า “ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก”

แต่จะบอกอย่างไร และบอกเมื่อไหร่  เรามีคำแนะนำอย่างเป็นระบบจากผู้เชี่ยวชาญ

เด็กๆ ควรเลิกก็ต่อเมื่อ…

ดร.แคเธอรีน เพิร์ลแมน (Catherine Pearlman) นักเขียน โค้ช และผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัว กล่าวว่า สำหรับเด็กบางคน การได้เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นำมาซึ่งความกลัวและความกังวลระดับพายุถล่ม

“ความกลัวมีเสมอ มันไม่สำคัญว่าพวกเขาต้องการทำหรือเรียนสิ่งนั้นมากแค่ไหน หรือ มันมาจากความคิดริเริ่มของเด็กเองหรือเปล่า”

ความกังวลที่มีต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ทางสังคม หรือ ข้อเรียกร้องให้เด็กๆ ทำโน่นทำนี่ในกิจกรรม ยิ่งกลายเป็นหินก้อนใหญ่ยักษ์ที่หล่นทับลงมา

ถ้าเป็นเช่นนั้น “การเลิกหรือหนี” ของเด็กอมทุกข์คนหนึ่งจากหินก้อนใหญ่ อาจกลายมาเป็นวิธีหลักในการแก้ปัญหาของชีวิตเมื่อเติบโตต่อไป ถ้าเด็กคนนั้นไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความเสียใจ

เพื่อไม่ให้ปรากฏการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น สิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ควรทำคือ คอยดุนหลัง รับฟัง สนับสนุน ระหว่างการเรียนหรือทำกิจกรรม ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเต็มไปด้วยความสุข ความกดดัน การชนะ ความแข็งแกร่ง ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะหลอมรวมกันกลายเป็นการรู้จักยืดหยุ่น – เกราะสำคัญของอนาคต

พวกเขาคือนักสู้

ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากพ่ายแพ้ แต่สำหรับเด็กบางคน เป้าหมายที่ไม่ได้อยากจะเป็นเลิศหรือเป็นที่หนึ่งนั้น เป็นเหตุผลเพียงพอที่พวกเขาจะโบกธงขาว

“โดยทั่วไปแล้ว เด็กๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะถอยหรือเลิก ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ได้รับความใส่ใจและคำแนะนำจากผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ว่าควรไปต่อหรือเลิกดี”

เพิร์ลแมนยังบอกอีกว่า “เด็กจำนวนไม่น้อยติดกับอยู่ความพ่ายแพ้, ทำดีที่สุดไม่ได้ หรือหาคุณค่าในตัวเองไมได้สักที

“ไม่ว่าจะลำเอียง โดนดูถูก หรือเหยียดหยามเด็กๆ เหล่านี้ควรถูกผลักให้มีความสู้ มุ่งมั่น ฝ่าฟัน สถานการณ์จริงไปได้ – แล้วพวกเขาจึงจะเติบโตขึ้น” เพิร์ลแมนย้ำ

เมื่อทุกข์มากกว่า ก็หยุดเถอะ

“เด็กๆ ในชั้นเรียนดนตรี พวกเขาไม่ได้ born to be แต่พวกเขาถูกฝึกฝน” เป็นคำพูดของศาสตราจารย์โรเบิร์ต คูเตียตตา (Robert Cutietta) นักวิจัย นักเขียน และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการดนตรีและการศึกษา

“จากจุดเริ่มต้น พ่อแม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ในเวลาที่เด็กๆ ไม่ได้ชอบที่จะเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ อีกแล้ว” ด้วยการตั้งเป้าหมายที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าและออกแบบชั่วโมงการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับกีฬา ข้อพึงปฏิบัติง่ายๆ มีอยู่ว่า อยู่ไปให้จบฤดูกาล หลังจากเด็กๆ ถูกดุนหลังให้อดทนขยันซ้อมจนรู้ทางเพื่อนร่วมทีม จากนั้นพวกเขาจะประเมินได้เองว่าจะไปต่อหรือหยุด

“ถ้าเด็กๆ ขอร้องที่จะเลิกเล่นหรือเลิกเรียนกิจกรรมนั้นๆ ที่พวกเขาใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่าและมุ่งมั่น แต่สุดท้ายแล้วความสนอกสนใจกลับไม่ไปต่อ ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” เป็นคำแนะนำจากเพิร์ลแมน เพราะหลังจากนั้น สิ่งที่พวกเขาจะมีติดตัวคือประสบการณ์จากกิจกรรมที่ผ่านไป และระบบประสาทตั้งต้น (ในทุกครั้งที่เริ่มลองสิ่งใหม่ๆ) จะไม่ใช่แค่ “ทำเล่นๆ ” อีกต่อไป

“บางครั้งการเป็นส่วนหนึ่งของทีมหรือห้องเรียน ก่อให้เกิดความเครียดแก่เด็กหรือครอบครัวโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อความทุกข์ล้ำหน้าความสนุกไป ก็หยุดเถอะ”

ก็แค่มันไม่เหมาะ

เด็กบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักว่ายน้ำท่าผีเสื้อ แต่ชอบที่จะนั่งเล่นหมากรุกมากกว่า และเมื่อเด็กและกิจกรรมไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งที่ได้กลับมาคือ ‘การรู้จักตัวเอง’ ซึ่งได้จากการหันหลังให้บางสิ่ง

“ข้อสังเกตคือ การยืนยันหรือยืนกราน คือเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขอย่างแท้จริง” ประโยคนี้ปรากฏในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Psychological Science

“อย่างไรก็ตาม เมื่อใครก็ตาม เผชิญกับสถานการณ์ที่รู้ตัวเองว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของชีวิตแน่ๆ” ปฏิกิริยาตอบรับทางกายและใจ อาจเป็นการไม่เอาตัวผูกพันกับเป้าหมายนั้นๆ และหลายครั้งการยืนกรานหรือยืนยัน อาจจำให้สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว

เพียงแค่พ่อแม่ตอบคำถามง่ายๆ ให้ได้ว่า

“กิจกรรมนั้น ทำให้เด็กๆ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น หรือ หายไปเลย” โดยไม่โกหกหรือเข้าข้างตัวเอง

ที่มา:
When It Is And Isn’t OK To Let Your Kids Quit

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)พ่อแม่ปฐมวัยวัยรุ่นจิตวิทยา

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ฝังชิปการเรียนรู้ ต้องอนุญาตให้เด็กถามว่า ‘ทำไม?’
Early childhoodLearning Theory
9 May 2018

ฝังชิปการเรียนรู้ ต้องอนุญาตให้เด็กถามว่า ‘ทำไม?’

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • คุณเคยพูดคนเดียวไหม? คุณพูด ถาม ทบทวน เล่าให้คนในอากาศฟัง สุดท้ายแล้วมันนำไปสู่อะไร ความอับอายบ้าบอเพราะพูดคนเดียว หรือความรู้สึกปลอดโปร่งและบางทีอาจทบทวนจนพบความรู้สึกใหม่?
  • ใกล้เคียงกับ ‘การสะท้อนคิด‘ กระตุ้นให้เด็กๆ สำรวจความคิด สังเกตสิ่งที่เรียนรู้ และเชื่อมโยงตัวเองกับเนื้อหาได้ลึกซึ้ง
  • “เมื่อเด็กๆ ตอบคำถาม พวกเขาก็จะได้เรียนรู้จากคนอื่น รับรู้ว่ามีเพื่อนอีกหลายคนที่เจอปัญหาแบบเดียวกัน”
  • เด็กๆ อาจเบื่อหน่ายและคิดว่าเป็นอีก ‘งาน’ น่าเบื่อที่ต้องทำ แต่เมื่อกระตุ้นให้พวกเขาคอยสังเกตความคิดอยู่เสมอ งานที่ว่านั้นจะกลายเป็นการตระหนักรู้ภายใน สร้างความมั่นใจ รู้จักควบคุม และสะท้อนตัวตนออกมาได้ชัดเจนขึ้น

“ไม่รู้จะเรียนไปทำไม” – ประโยคนี้คุ้นหูกันบ้างไหม

เมื่อไม่เห็นความเชื่อมโยงของตัวเองกับสิ่งที่เรียน เด็กๆ ก็จะไม่รู้เหตุผลที่ต้องตั้งใจเรียนไปมากกว่าสร้างความพอใจให้พ่อแม่หรือเพื่อคะแนนสอบ

แต่ แอนนา เดอร์ฟี (Anna Durfee) ครูสอนภาษาอังกฤษในรัฐไอดาโฮ สหรัฐอเมริกา บอกว่า เมื่อเด็กๆ เชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนได้ พวกเขาจะมั่นใจ รู้จักตัวเอง และไปได้ไกลกว่าแค่ ‘เรียนหนัก’ อย่างเดียว

เธอยกตัวอย่างลูกสาววัย 11 ปีของตัวเอง “หลังเข้าเรียนยิมนาสติกไม่กี่สัปดาห์ เธอกลับบ้านมาพร้อมความว้าวุ่นเพราะโค้ชให้เธอทำท่าใหม่ สองสามครั้งแรกเกือบดี แต่ยังไม่ใช่ จนกระทั่งครั้งที่ห้าถึงทำได้สมบูรณ์แบบ แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่เกิดขึ้นอีกแม้จะพยายามอีกเป็นสิบครั้งก็ตาม เธอบอกว่า ‘หนูแค่ทำไม่ได้อะแม่ มันเหมือนว่ายิ่งฝึกก็ยิ่งแย่ลงทุกที’”

เดอร์ฟีถามลูกว่า ครั้งที่ห้าเธอทำอย่างไร เด็กหญิงได้แต่คิดแล้วตอบว่า “หนูก็ไม่รู้”

อีกด้านหนึ่ง เบธ ฮอลแลนด์ (Beth Holland) นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) เข้าสังเกตการณ์การเรียนการสอนในห้องเรียนแห่งหนึ่งร่วมกับอาจารย์หลายคน พวกเขาพบว่า

นักเรียนบอกได้เพียงสิ่งที่กำลังทำ แต่ไม่รู้ว่ากำลังเรียนรู้อะไรอยู่

ฮอลแลนด์ได้แนะนำให้ชั้นเรียนนั้นได้รู้จักแนวคิดของการสะท้อนคิด (reflection) เพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ สำรวจ สังเกตสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ และเชื่อมโยงตัวเองกับเนื้อหาได้ลึกซึ้งมากขึ้น เช่นเดียวกับเดอร์ฟีที่ใช้วิธีเดียวกันมาปรับใช้กับลูกและนักเรียนของเธอ

เพราะ ‘ยิ่งฝึกยิ่งเก่ง’ อาจไม่จริงอีกต่อไป หากการฝึกซ้ำๆ นั้นไร้ทิศทาง

เริ่ม ‘สะท้อน’ ด้วยคำถาม

การสะท้อนคิด คือการหยุดคิดว่าตอนนี้เราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง เรากำลังจะทำอะไร สิ่งใดดีสิ่งใดเหมาะสมแก่การทำต่อไป สิ่งใดควรหยุดหรือแก้ไข และมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร

“เป็นการวิเคราะห์ตัวเอง เพราะการมองเห็นความสามารถของตัวเองจริงๆ ช่วยให้เรียนรู้ได้ลึกและมีประสิทธิภาพดีขึ้น” ฮอลแลนด์กล่าว

ถึงจะเคยสำเร็จก็ไม่ได้แปลว่าจะได้รับความสำเร็จต่อไปโดยอัตโนมัติ และถึงจะเคยล้มเหลว ก็ไม่ได้แปลว่าต้องล้มเหลวตลอดกาล สิ่งที่จะวัดได้ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่การควบคุมความสามารถตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ และการสะท้อนคิดจะทำให้อำนาจการควบคุมนั้นอยู่ในมือเด็กๆ ได้

คำถามคือจะเริ่มต้นอย่างไร – “ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยคำถาม” ฮอลแลนด์กล่าว

เพราะการสะท้อนคิดทำงานควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติและทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) ที่เชื่อว่า การเรียนการสอนจะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพเมื่อ ผู้สอนกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน ดังนั้น

คำถามจึงควรเริ่มจากการรื้อฟื้นความทรงจำ แล้วต่อด้วยคำถามถึงความเข้าใจ และปิดท้ายด้วยคำถามถึงความเชื่อมโยง

อาจเป็นคำถามง่ายๆ อย่าง “วันนี้ฉันทำอะไร” ต่อด้วย “สิ่งที่ฉันทำมีความสำคัญอะไร” และ “ฉันทำได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร” เหล่านี้จะเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทบทวนหลากหลายมิติของตัวเอง

แต่ถ้ายังไปไม่เป็นว่าจะถามอะไร โปรเจ็คต์ซีโร (Project Zero) กลุ่มวิจัยด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้จัดชุดคำถามสามข้อมาให้เห็นภาพกว้างที่จะไปสู่การสะท้อนคิดได้ง่ายขึ้น

  • เชื่อมโยง: ลองวาดสี่เหลี่ยมแล้วถามว่า “แนวคิดที่ฉันเพิ่งเรียนมา เชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้อยู่แล้วอย่างไร” หรือ “บทเรียนนี้ตรงกับความคิดของฉันอย่างไรบ้าง”
  • ขยาย: ลองวาดสามเหลี่ยมแล้วถามว่า “การเรียนรู้ครั้งนี้ขยายความคิดของฉันอย่างไร” หรือ “สิ่งที่ฉันได้รับจากบทเรียนครั้งนี้คืออะไร”
  • ความท้าทาย: ลองวาดวงกลมแล้วถามว่า “อะไรที่ฉันยังคิดว่าเป็นอุปสรรค” หรือ “คำถามอะไรที่ยังกวนใจฉันอยู่”

ทั้งสามหัวข้อนี้จะช่วยให้เด็กๆ ได้กลั่นเอาความคิดของตัวเองออกมา และสร้างความเชื่อมโยงกับเนื้อหาที่เพิ่งเรียนไป กระตุ้นต่อมสงสัยเพื่อให้พวกเขาได้ลองถามตัวเองด้วยคำถามใหม่ๆ ที่จะเปิดประตูให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ด้วย

FAMILY DINNER

เพราะทุกคำถามมีไว้หาคำตอบ เดอร์ฟีจึงนำแนวทางการตั้งคำถามนี้ไปเป็นกิจกรรมเพื่อใช้กับลูกๆ ของเธอที่บ้าน เธอตั้งชื่อกิจกรรมนี้ว่า ‘มื้อเย็นของครอบครัว’ (Family Dinner)

“วันนี้หนูได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง” หัวข้อยอดฮิตในเวลามื้อเย็นของครอบครัว และเธอได้นำไปปรับใช้กับนักเรียนที่โรงเรียนด้วย

ในระหว่างทางและตอนท้ายของการทำแต่ละโปรเจ็คต์ของห้องเรียน เธอจะจัดโต๊ะเสมือนมื้อเย็นของครอบครัวที่สมาชิกทุกคนต่างร่วมโต๊ะอาหาร พูดคุยถึงเรื่องราวในหนึ่งวันที่ผ่านมา เธอแจกขนมให้นักเรียนทุกคนระหว่างการพูดคุยสะท้อนตัวตน ระหว่างนั้นก็หยิบการ์ดที่มีชื่อนักเรียนแต่ละคนแล้วถามคำถามกระตุ้นให้นักเรียนสะท้อนความคิดของตัวเอง เช่น “แต่ละวัน เธอทำอะไรที่ช่วยให้โปรเจ็คต์สำเร็จ” หรือ “เธอรู้สึกแพ้หรือล้มเหลวกับโปรเจ็คต์นี้ตอนไหน และเพราะอะไร”

แต่ละครั้งจะมีเด็กสี่คนที่ได้รับบทบาท ตั้งแต่คนเลือกคำถาม คนกระตุ้นให้คนอื่นอธิบายคำตอบของตัวเอง คนควบคุมดูแลหัวข้อเพื่อให้การพูดคุยไม่หลุดจากหัวข้อที่ตั้งไว้ และคนให้กำลังใจที่คอยดูให้แน่ใจว่าทุกคนมีโอกาสพูดถึงความคิดของตัวเอง

“การพูดคุยสะท้อนตัวตนมักจะเริ่มต้นอย่างช้าๆ แต่นักเรียนก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับมัน และไม่นานเราก็ได้ยินประโยคว่า “ถึงหนูจะภูมิใจกับผลงาน หนูก็คิดว่าอาจทำได้ดีกว่านี้ถ้า…” หรือ “ผมรู้สึกขาดแรงบันดาลใจระหว่างทำโปรเจ็คต์นี้ ผมว่าผมควรขอความช่วยเหลือ”

เมื่อเด็กๆ ตอบคำถาม พวกเขาก็จะได้เรียนรู้จากคนอื่นๆ รับรู้ว่ามีเพื่อนอีกหลายคนที่เจอปัญหาแบบเดียวกัน

บันทึกแล้วก้าวไปข้างหน้า

ถัดจากคำถามคือการบันทึก ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการอภิปรายและเผยแพร่ความคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียน

แต่หัวใจสำคัญของการบันทึกยังคงอยู่ที่การเรียนรู้ ไม่ใช่แค่การโชว์ผลงาน เมื่อเด็กๆ สามารถสะท้อนให้คนอื่นเห็นประสบการณ์ของตัวเอง พวกเขาจะตระหนักถึงกระบวนการและวิธีการต่างๆ ที่จะพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ ให้พวกเขาได้เรียนรู้จากความสำเร็จของตัวเองเช่นเดียวกับเรียนรู้จากความล้มเหลวที่ได้รับ

ในหนังสือ Digital Student Portfolios โดย แมทท์ เรนวิค (Matt Renwick) เขียนถึงความจำเป็นของบันทึกการสะท้อนคิดไว้ว่า “เราสามารถทำให้การเรียนรู้มีชีวิตได้ …และผลงานของเด็กๆ สามารถเป็นตัวแทนความก้าวหน้า สะท้อนความคิดของพวกเขาผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ของตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม เด็กๆ อาจเบื่อหน่ายและคิดว่าเป็นอีก ‘งาน’ น่าเบื่อที่ต้องทำ แต่เมื่อกระตุ้นให้พวกเขาคอยสังเกตความคิดอยู่เสมอ งานที่ว่านั้นจะกลายเป็นการตระหนักรู้ภายใน สร้างความมั่นใจ รู้จักควบคุม และสะท้อนตัวตนออกมาได้ชัดเจนขึ้น

รอนดา มิทเชลล์ (Rhonda Mitchell) ครูจากโรงเรียนทรินิตี (Trinity School) รัฐแอตแลนตา เคยเขียนไว้ว่า “พลังที่แท้จริงของการบันทึกคือการหวนกลับไปดู ในฐานะผู้ให้ความรู้ ความท้าทายของเราคือการทำให้แน่ใจว่า นักเรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นว่าพวกเขาสร้างผลงานที่มีความหมายและสามารถหวนกลับไปดู กลับไปเรียนรู้ได้อีกครั้ง และอีกครั้ง”

แต่ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา

ในระหว่างนั้น หน้าที่สำคัญของครูและผู้ปกครองคือช่วยให้เขารับรู้ความสามารถของตัวเองและพัฒนาต่อไปได้ถึงที่สุด

อ้างอิง:
Frameworks for Reflection
The Art of Reflection

Tags:

เทคนิคการสอนการฟังและตั้งคำถามพ่อแม่

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Learning Theory
    7 วิธี ตั้งคำถามแบบโสเครติส

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Transformative learning
    ‘ก่อการครู’ เปลี่ยนห้องเรียนด้วยการ ‘ฟังอย่างลึกซึ้ง’ และ ‘ตั้งคำถามไม่รู้จบ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

VICARIOUS TRAUMA: โรคซึมเศร้าของคนเป็นครู
Relationship
7 May 2018

VICARIOUS TRAUMA: โรคซึมเศร้าของคนเป็นครู

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • หน้าที่ครูไม่ใช่แค่การสอน แต่มักเป็น ‘พยาน’ รับรู้ความเศร้าหมองและบาดแผลของนักเรียนที่พกติดตัวมาจากบ้านและชุมชน
  • เมื่อต้องฟังแต่เข้าไปช่วยแก้ทุกสิ่งอย่างไม่ได้ นานวันเข้าจึงพัฒนาไปสู่ความเศร้าหมองทางจิตใจที่เรียกว่า ‘vicarious trauma‘ บาดแผลที่ได้รับจากการฟังเรื่องราวทุกข์ใจอย่างต่อเนื่องยาวนาน
  • บทความนี้จะอธิบายว่าอาการของมันเป็นอย่างไร และวิธีแก้ไขเบื้องต้น คืออะไรได้บ้าง
  • สิ่งสำคัญก็คือ การขีดเส้นแบ่งให้ชัดระหว่างความคาดหวังที่จะเกิดได้จริง เส้นแบ่งความเป็นส่วนตัวระหว่างใจตัวเองกับนักเรียน และมันโอเคนะ กับการบอกว่าครูเข้าไปแก้ปัญหาทุกอย่างของนักเรียนไม่ได้ทุกเรื่องจริงๆ

‘With Student Trauma, It’s OK to Set Boundaries’

คือชื่อบทความที่แปลเป็นไทยคู่กับบริบทภายในเรื่องได้ว่า “กับบาดแผลของนักเรียน มันโอเคที่ (ครู) จะกำหนดขอบเขตว่าจะซึมซับ รับฟัง และเข้าไปแก้ปัญหาของนักเรียนได้แค่ไหน” พร้อมกำชับในพาดหัวรองว่า วิธีนี้ไม่ใช่แค่ความคิดหรือคำคมแสนสวยงามชุบชูใจ แต่เป็นเรื่อง ‘จำเป็น’

ที่มาของเรื่องก็คือ หน้าที่ครูไม่เคยใช่แค่การสอน แต่ครูมักเป็น ‘พยาน’ รับรู้ความเศร้าหมอง บาดแผลของนักเรียนที่พกติดตัวมาจากบ้าน จากชุมชน จากความสัมพันธ์แสนเปราะบาง จากประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาเอง ทั้งหมดนั้นระบายออกผ่านสีหน้า วิธีพูด คิด การตอบสนอง พฤติกรรมในห้องเรียน และความสามารถในการเรียนรู้

ทั้งหมดนี้ทำให้ครู แม้ไม่ได้มีบาดแผลทางตรง แต่เมื่อรับฟังหรือร่วมรับรู้ -ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง – แบบวันต่อวัน จึงอาจเรียกว่าเป็นหนึ่งในพยาน หัวใจของครูถูกกระทบ และนั่นนำมาซึ่งอาการ – ใช่แล้ว นักวิชาการสุขภาพจิตและนักจิตวิทยา ระบุว่ามันคืออาการ ‘vicarious trauma’ หรือ บาดแผลที่ได้รับจากการฟังเรื่องราวทุกข์ใจอย่างต่อเนื่องยาวนาน

บทความชิ้นนี้สัมภาษณ์ ไมเซียร์ คีลส์ (Micere Keels) ผู้ช่วยศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชิคาโก และผู้ก่อตั้ง TREP Project หน่วยงานที่ให้คำแนะนำแก่ครูเรื่องการจัดการกับบาดแผลของทั้งนักเรียนและตัวครู ประเด็นเรื่อง จะรู้ได้อย่างไรว่าครูถูก vicarious trauma เล่นงาน อาการเป็นอย่างไรบ้าง และจะรับมือกับมันได้อย่างไร

vicarious trauma คืออะไร?

อันที่จริงแล้วความทุกข์ยากอันถูกหล่อหลอมจากความกดดัน และถูกเล่นงานในเชิงอารมณ์ (emotional) เกิดขึ้นกับทุกวิชาชีพ แต่เฉพาะบาดแผลชั้นสองจากการรับฟังชีวิตที่มีปัญหาของคนอื่น หรือ vicarious trauma ทำให้ครู – ซึ่งไม่ใช่นักจิตวิทยา อาจทำให้เป็นปัญหาเฉพาะของวงการครูผู้สอน

คีลส์อธิบายว่า มาตรวัดของ vicarious trauma คือเมื่อคุณและคนรอบข้างเริ่มสังเกตได้ว่าคุณตกอยู่ในความเศร้าล้ำลึก ยากจะถอนความรู้สึกออกมา เป็นความอ่อนล้าโรยแรงอย่างที่คุณคิดว่าอาจเป็นอาการ ‘หมดไฟ’ (burnout) จากการทำงานปกติ

แต่ถ้าลองเปรียบเทียบตัวเองในช่วงเวลาปกติ แล้วคุณพบว่าตัวเองเศร้าบ่อย โกรธบ่อย กระวนกระวายบ่อย นำไปสู่ความเครียดอื่นๆ ที่เแสดงออกผ่านร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ท้องผูก เครียดลงกระเพาะ ไร้เรี่ยวแรงไม่อยากลุกขึ้นทำสิ่งใด

จากนั้นคุณอาจเริ่มรำคาญสมาชิกในบ้าน โดดเดี่ยวตัวเองจากเพื่อนฝูง สำคัญก็คือ คุณเริ่มถอยตัวเองจากเรื่องราวของนักเรียน ไม่รู้สึกอะไรต่อความทุกข์ยากที่อยู่ตรงหน้า และเริ่มแสดงท่าทีเชิงลบต่อนักเรียนและเพื่อนร่วมงานของตัวเอง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะดูเบาแล้วปล่อยให้มันผ่านไป เพราะนอกจากมันจะค่อยๆ กลืนกินตัวคุณจนมีผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างและที่ทำงาน ยังเป็นการเพาะเชื้อความเศร้า ลุกลามจนพัฒนาเป็นความป่วยไข้ทางจิตใจในขั้นต่อไปด้วย

แต่คีลส์ย้ำว่า มันเป็นเรื่องปกติที่ครูจะรู้สึกไร้ซึ่งความหวัง ไร้ความกระตือรือร้นเท่าที่เคยเป็น เพราะหลายครั้งสิ่งที่ครูรับฟังเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อาจแก้ไขหรือช่วยอะไรได้ (นอกจากรับฟัง) แต่ในเมื่อต้องเป็นผู้ฟัง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ต้องเข้าไปรับผิดชอบ รู้สึกท่วมท้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ครูอาจรู้สึกว่า ถ้าครูไม่เข้าไปช่วย ครูกำลังทำลายความไว้ใจของนักเรียน ครูจะทำความหวังของนักเรียนร่วงหล่น

แต่… ด้วยข้อจำกัดการเป็นมนุษย์และหน้าที่ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่คุณ (และ) ครูจะเข้าไปแก้ไขได้

วิธีดูแล (ความรู้สึก) ตัวเอง

ก่อนทุกอย่างจะระเบิด คีลส์แนะนำวิธีดูแลตัวเองที่ปรับใช้เพื่อบรรเทาอาการ พยานและบาดแผลชั้นที่สองของนักเรียน สำคัญแค่ว่า ต้องยอมรับก่อนว่าปัญหาแบบนี้มีอยู่จริง จึงจะนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหา ซึ่งมีตัวอย่างหรือไอเดียง่ายๆ ดังต่อไปนี้

ผ่อนปรนนโยบายการเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านการโดดเดี่ยว’

หาเพื่อนร่วมงานที่คุณไว้ใจพอจะเล่าปัญหา ความอ่อนไหวอ่อนแอของคุณให้ฟังได้ (ในที่นี้ เพื่อนร่วมงานสำคัญมากเพราะต่อให้เป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่เข้าใจเพราะไม่เห็นบริบท เห็นข้อจำกัดในงานทั้งหมด – ผู้เขียน) วิธีนี้จะทำให้คุณเห็นว่าคุณไม่ได้ไร้ประสิทธิภาพ สถานการณ์ที่เผชิญอยู่เป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งในการทำงานเท่านั้น และยังได้เห็นวิธีการแก้ปัญหาของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วย

พัฒนาตัวเองสู่การเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ปัญหา’

คีลส์กล่าวว่า หนึ่งในสิ่งท้าทายที่สุดในการทำงานกับนักเรียนซึ่งล้วนแต่มีปัญหาชีวิตหนักเบาไม่เท่ากัน (แต่มาพร้อมกันทีเดียวก็เล่นเอาหนัก) คือการที่ครูคนนั้นพัฒนากระบวนการดูแลจิตใจของตัวเองและนักเรียนได้

คีลส์เล่าว่า สิ่งที่เธอได้ยินจากครูมากที่สุดก็คือ “สิ่งที่ยากที่สุดจนอยากจะลาออกไปเลย คือรู้ว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่เวิร์ค แต่ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร” หมายความว่า คงจะดีไม่น้อยถ้ามีการรวมตัวครู การจัดเวิร์คช็อปเพื่อให้ครูได้คิดหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน หรือถ้ามีเวิร์คช็อปเหล่านั้นแล้ว อย่ารีรอที่จะเข้าไปทดลองดูว่า กระบวนการเหล่านั้นมันเหมาะกับเราไหม ได้หรือไม่ได้ผลอย่างไร

เธอยกตัวอย่างโรงเรียนประถมศึกษาฟอล-แฮมิลตัน (Fall-Hamilton Elementary) เมืองแนชวิลล์ (Nashville) ใช้วิธี ‘แปะมือ’ หรือ tap-in/tap-out คือ ในกรณีที่ครูเจ้าของวิชานั้นรู้สึกว่ามีความเครียดในห้องเรียนมากเกินไป ก็ให้เมสเสจหาเพื่อนครูด้วยกันเข้ามารับช่วงอีกต่อหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าความเข้มข้นด้านความรู้สึกของตัวเองบรรเทาลงแล้ว ค่อยเข้าไปในห้องเรียนนั้นใหม่

วิธีการอะไรก็ได้ที่ถูกคิดร่วมกันเพื่อบรรเทาความเครียดที่ท่วมท้นของคุณครู

ขีดเส้นแบ่งให้ชัดระหว่างความคาดหวังที่จะเกิดได้จริง และเส้นแบ่งความเป็นส่วนตัวระหว่างใจตัวเองกับนักเรียน

ความช่วยเหลือและขุมกำลังใจที่ไม่มีวันหมด, อาหาร, ความสัมพันธ์แบบผู้พิทักษ์, การดูแลในชีวิตประจำวัน ความต้องการเหล่านี้เกินกว่าสิ่งที่ ‘ครู’ คนหนึ่งจะจัดสรรให้ได้

แม้จะโหดร้าย แต่คีลส์ย้ำกับครูที่เผชิญปัญหาทุกคนว่า จงสรรเสริญตัวเองทุกครั้งที่ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ท่ามกลางข้อจำกัดของตัวเองต่อนักเรียนคนนั้น และบอกกับเขาว่า ครูมีข้อจำกัดที่ไม่อาจทำสิ่งที่เกินขอบเขตการเป็นครูได้

มากไปกว่านั้น อีกครั้ง… จงโอบรับทุกความสำเร็จที่คุณได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการ์ดขอบคุณจากเด็กๆ หลังจากพวกเขาเข้ามหาวิทยาลัยหรือประสบความสำเร็จตามที่พวกเขามาดหมาย อ้อมกอดแสนอบอุ่นหลังพบคุณโดยบังเอิญระหว่างเดินสวนกันบนถนน และบอกว่าคุณคือแรงบันดาลใจต่อชีวิตของเขาในวันนี้มากแค่ไหน

“จงจดจำทุกข้อความของนักเรียนแต่ละคน แม้สิ่งที่คุณทำอย่างเต็มที่ คือการซัพพอร์ตจิตใจของเขาเท่านั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณได้ทำ คุณไม่ได้ล้มเหลว เป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งของอาชีพครูเท่านั้น” คีลส์ฝากประโยคสำคัญเอาไว้

ที่มา: With Student Trauma, It’s OK to Set Boundaries

Tags:

ครูซึมเศร้าปม(trauma)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

สอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำยังไงให้เด็กไว้ใจเล่าให้ฟัง
Family Psychology
7 May 2018

สอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำยังไงให้เด็กไว้ใจเล่าให้ฟัง

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

จะคาดหวังให้ใครซักคนเปิดอกคุยกับเรา ต้องลองคิดว่าเรามันน่านั่งคุยด้วยรึปล่าว – KHAE

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาการสอบการเติบโต

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Relationship
    TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    เป็นห่วง VS ไม่เชื่อใจ ทำยังไงให้ลูกอยากเล่าให้ฟังเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย
Learning TheoryEarly childhood
4 May 2018

เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • งานวิจัยและนักการศึกษาจำนวนหนึ่งเห็นตรงกันว่า หน้าที่ของเด็กปฐมวัย คือการเล่น ‘ยัง’ ไม่ใช่การเรียน แต่ในโครงสร้างการศึกษาใหญ่ การจะทำเช่นนั้นดูไกลเกินเอื้อม
  • แต่ Play-based Learning หรือ กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น คือการผสานกันระหว่าง การสอน (teaching) และการเรียนรู้ (learning)
  • ‘เล่น’ ในที่นี้คือการเล่นอย่างอิสระ (free play)เด็กๆ เป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมด้วยตนเอง และมีครูเป็นผู้ร่วมเล่น แทรกความรู้วิชาการผ่านการสนับสนุนจากครู กระตุ้นการเรียน ตั้งคำถามผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน

ในแวดวงการศึกษา ‘การเล่น’ กำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างหนัก แม้จะมีงานวิจัยและนักวิชาการทางการศึกษาจำนวนมากชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า เด็กปฐมวัยจำเป็นที่จะต้อง ‘เล่น’ แต่ด้วยระบบการศึกษาในโลกแห่งความจริงแล้ว การเล่นให้สอดคล้องกับการเรียนการสอนแบบดังกล่าว ดูจะเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมไปนิด

แต่เมื่อลักษณะหนึ่งของความเป็นเด็กคือการเล่น (playfulness) โดยเฉพาะช่วงปฐมวัยแล้ว การจับเด็กเล็กให้นั่งเฉยๆ เป็นชั่วโมงเพื่อท่องตัวหนังสือหรือบวกลบเลขจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับวัยพวกเขาสักเท่าไร เนื่องจากช่วงวัยดังกล่าว ‘การเล่น’ ส่งผลดีต่อพัฒนาการของพวกเขาแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญาหรืออารมณ์ ทั้งส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ และเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาเปิดโลกจินตนาการให้กว้างไกลไปในตัว

ล่าสุด งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยดีคิน (Deakin University) ประเทศออสเตรเลีย เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ The Conversation กล่าวว่า กระบวนการเรียนการสอนที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย คือ Play-based Learning หรือ กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น (บทความหลังจากนี้จะขอใช้เป็นทับศัพท์แทน) ซึ่งทีมวิจัยพบว่าการเรียนแบบดังกล่าวนั้นช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้ทางวิชาการของเด็กปฐมวัยให้ดีขึ้น ต่อเนื่องและต่อยอดให้กับอนาคตทางการศึกษาของพวกเขา ทั้งยังเป็นทักษะการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 อีกด้วย

กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-based Learning) คืออะไร

Play-based Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่มุ่งเป้าไปที่การสอน (teaching) และการเรียนรู้ (learning) ซึ่งความหมายของคำว่า ‘เล่น’ ในที่นี้หมายถึง การเล่นอย่างอิสระ (free play) โดยเด็กๆ เป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง (child-initiated) ตามธรรมชาติของพวกเขา หรือการเล่นที่ได้รับการชี้นำ (guide play) และมีครูเป็นผู้ร่วมเล่น (co-player) ในแต่ละกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งการเล่นทั้งสองรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ Play-based Learning จะสอดแทรกความรู้วิชาการผ่านการสนับสนุนจากครู กล่าวคือ ครูกระตุ้นการเรียนของเด็กๆ ตั้งคำถามผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อขยายขอบเขตความคิดของพวกเขาให้กว้างไกลมากขึ้น

นาตาลี โรเบิร์ตสัน (Natalie Robertson) อาจารย์ด้านการศึกษาปฐมวัยและหนึ่งในทีมวิจัย อธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมเด็กปฐมวัยควรเรียนรู้ผ่านกระบวนการ Play-based Learning พร้อมยกตัวอย่างว่า

“โดยธรรมชาติแล้ว เด็กๆ มักได้รับแรงกระตุ้นจากการเล่น กระบวนการเรียนรู้อย่าง Play-based Learning จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กๆ มีแรงกระตุ้นดังกล่าว กล่าวคือการเล่นเป็นบริบทอย่างหนึ่งสำหรับการเรียน เด็กได้สำรวจ ทดลอง ค้นหาและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองผ่านจินตนาการของเขาอย่างสนุกสนาน เช่น ระหว่างที่เด็กกำลังเล่นต่อบล็อก ครูสามารถตั้งคำถามที่ส่งเสริมให้พวกเขาแก้ไขปัญหา คาดการณ์และสร้างสมมุติฐานขึ้น ทั้งครูยังสามารถนำความรู้จากคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือแนวคิดทางวรรณกรรม มาใช้ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง (hands-on learning)”

อย่างไรก็ตาม Play-based Learning ไม่จำเป็นต้องเป็นการเล่นในลักษณะกิจกรรม เกม หรือต้องมีของเล่นมาร่วมด้วยอย่างเดียวเท่านั้น นิโคลา วิทตัน (Nicola Whitton) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนครแมนเชสเตอร์ (Manchester Metropolitan University) อธิบายไว้ในบทความของเขา หัวข้อ ‘A playful Approach to Learning Means More Imagination and Exploration’ ซึ่งเผยแพร่ลงเว็บไซต์ The Conversation เช่นเดียวกันไว้ว่า

“ข้อแตกต่างระหว่างการเล่น (play) ที่เป็นกิจกรรมและการเล่น (playfulness) ที่เป็นทัศนคติคือ การเล่นแบบที่สองเป็นการเล่นที่เปิดประสบการณ์ใหม่ เป็นเรื่องของจินตนาการ ความเชื่อและการค้นหาความเป็นไปได้ กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่นเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆ ของเด็กนั้นไม่จำเป็นต้องผ่านเกมหรือของเล่น หรือการเรียนรู้แบบบูรณาการต่างๆ ในรูปแบบกิจกรรมที่เป็นการเล่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึง คุณค่าของการเล่น (playful value) กล่าวคือ การเล่น (playfulness) ในฐานะที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ความคิดเชิงบวกต่อความล้มเหลวบางอย่างที่ระบบการศึกษาทุกวันนี้เพิกเฉย รวมถึงระบบการทดสอบ/การสอบที่มีการเดิมพันสูงตั้งแต่อายุยังน้อย”

ได้อะไรจากการเล่น

การเล่นสำหรับเด็กปฐมวัยสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นการเปิดทางให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกระบวนการคิดขั้นสูง เป็นความรู้ที่ไม่ติดกรอบ ยืดหยุ่น มีทั้งการแก้ไขปัญหา การคิดวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์และนำความรู้ต่างๆ ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งทุกขั้นตอนต้องลงมือด้วยตัวเอง ถือเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21

นอกจากด้านการเรียนรู้แล้ว การเล่นยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ กล่าวคือ เด็กได้รับการส่งเสริมพัฒนาทักษะสังคมไปในตัวผ่านการเล่น เช่น การมีส่วนร่วม การแบ่งปัน การระดมสมอง การไกล่เกลี่ยปัญหาต่างๆ

“ครูสามารถใช้แรงบันดาลใจและความสนใจของพวกเขาในการสำรวจแนวคิดหรือไอเดียต่างๆ โดยวิธีการดังกล่าว จะทำให้เด็กได้รับทักษะทางวิชาการ การฝึกปฏิบัติจริงและการเรียนรู้ผ่านบริบทการเล่นไปในตัว ทั้ง Play-based Learning ยังช่วยสามารถสนับสนุนพัฒนาทักษะทางสังคมสำหรับผู้เรียน ช่วยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับความท้าทายและหาทางแก้ไขได้อย่างสร้างสรรค์” เอลิซาเบธ เราซ์ (Elizabeth Rouse) อาจารย์อาวุโสด้านการศึกษาปฐมวัยและสมาชิกทีมวิจัย อธิบาย

ต่างจากวิถีการเรียนรู้แบบดั้งเดิมอย่างไร

การเรียนรู้แบบดั้งเดิมหรือรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง (direct-instruction approach) เป็นการเรียนการสอนลักษณะที่ครูเป็นศูนย์กลาง (teacher-centered) ของนักเรียน ครูมีหน้าที่ให้ความรู้ อบรมและสั่งสอนทักษะทางวิชาการให้กับนักเรียน – แทบทุกคนทั่วโลกล้วนมีประสบการณ์ร่วมกับการเรียนการสอนลักษณะดังกล่าวไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดของการเป็นนักเรียน

แต่สำหรับการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ทีมวิจัยมองว่ากระบวนการเรียนรู้อย่าง Play-based Learning มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับช่วงวัยพวกเขามากกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบที่ครูเป็นศูนย์กลางของห้องเรียน

“เพราะพวกเขาได้เรียนและแก้ไขปัญหาผ่านการทำด้วยตนเองโดยมีครูเป็นเพียงผู้นำทาง” แอน-แมรี มอร์ริสซีย์ (Anne-Marie Morrissey) อาจารย์อาวุโสด้านการศึกษาปฐมวัยและหนึ่งในทีมวิจัย อธิบายเหตุผลว่าทำไม Play-based Learning ถึงมีประสิทธิภาพกับเด็กปฐมวัย

นอกจากนั้น งานวิจัยดังกล่าวยังพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับกระบวนการเรียนรู้ผ่าน Play-based Learning จะมีผลลัพธ์ทางการศึกษาสูงกว่า มีความสนใจใคร่รู้มากกว่าเด็กกลุ่มที่เรียนรู้ผ่าน direct-instruction approach ซึ่งมีประสบการณ์เชิงลบมากกว่า ทั้งความเครียด ไร้แรงบันดาลใจในการเรียนและตามมาด้วยปัญหาพฤติกรรมต่างๆ

“งานวิจัยของเราสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า เด็กช่วงวัยนี้ยังไม่พร้อมที่จะได้รับการเรียนการสอนทางวิชาการอย่างเป็นแบบแผน” มอร์ริสซีย์ย้ำ

ที่มา:
Play-based learning can set your child up for success at school and beyond
A playful approach to learning means more imagination and exploration

Tags:

การเล่นพัฒนาการพ่อแม่ปฐมวัย

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

5 วิธีสอนลูกให้มีทักษะ STEM
Learning Theory
2 May 2018

5 วิธีสอนลูกให้มีทักษะ STEM

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

STEM Education ย่อมาจาก Science Technology Engineering and Mathematics Education คือ แนวทางการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์มาประยุกต์และแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง โดย STEM ถูกพูดถึงครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (the National Science Foundation: NSF)

หากอธิบายให้ง่ายที่สุดว่าทักษะ STEM คืออะไรกันแน่ STEMคือการนำทั้ง 4 องค์ความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการเพื่อพัฒนาทักษะการคิด ตั้งคำถาม แก้ไขปัญหา ค้นหาคำตอบ วิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลออกมาอย่างเป็นระบบที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่ง STEM สามารถสอนได้เลย แม้ว่าเด็กๆ จะยังอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม

เพราะยิ่งมีประสบการณ์ทักษะ STEM เร็วเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อระบบความคิดของพวกเขาเมื่อโตขึ้น

5 วิธีง่ายแสนง่ายที่ผู้ปกครองสามารถสอนทักษะ STEM ให้กับเด็กๆ ได้ในทุกโอกาสและทุกเวลาอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กเกิดพัฒนาการรอบด้านอย่างครบถ้วนพร้อมรับมือกับอนาคตข้างหน้า

1. หัดสังเกต

ความจริงแล้ว เด็กๆ มีสายตาช่างสังเกตมากกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เหนื่อยล้าจากความคิดที่ว้าวุ่นจากการทำงานหรืออะไรก็ตาม จนเผลอละเลยบางอย่างไป การฝึกทักษะช่างสังเกตสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ และทันที โดยให้เด็กรู้จักสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น วันนี้อากาศเป็นอย่างไร แตกต่างกับเมื่อวานไหม หรืออะไรก็ตามที่ใกล้ตัวคุณและลูก

เมื่อหัดให้เด็กสังเกตอยู่เป็นประจำ พวกเขาจะเปลี่ยนจากแค่สังเกต (noticing) มาเป็นการสังเกตการณ์ (observing) อย่างละเอียด เพราะการสังเกตการณ์เป็นหนึ่งวิธีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จากการมีสมมุติฐานไว้ในใจแล้วเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการสังเกตอย่างเป็นระบบ

2. สนใจรายละเอียดรอบตัวและบรรยายออกมา

ระหว่างที่พวกเขากำลังจดจ่อกับการเล่นหรือดูอะไรบ้างอย่างอยู่ ลองให้พวกเขาอธิบายคุณลักษณะสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าหรือบรรยายกิจกรรมที่พวกเขาทำอยู่ เช่น แก้วน้ำบนโต๊ะรูปร่างเป็นอย่างไร สีอะไร เล็กหรือใหญ่ จากนั้นอาจกล่าวซ้ำในประโยคเดิมที่เด็กๆ พูดโดยการเพิ่มคำศัพท์หรือคุณศัพท์เข้าไปโดยใช้ภาษา STEM กล่าวคือศัพท์จำพวกการคาดการณ์ (predict) ทดลอง (experiment) และประเมินผล (measure) เป็นต้น

เพราะเด็กที่มีการใช้/การรู้ภาษาหรือการได้มาซึ่งภาษา (language socialisation) อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เขามีทักษะการใช้ภาษาที่ดีขึ้นทั้งเรื่องเสียงและโครงสร้างไวยากรณ์ รวมถึงมีแนวโน้มว่าเมื่อพวกเขาโตขึ้นเขาอาจเลือกเรียนหรือศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ STEM ในอนาคต

3. ถามว่า ‘อะไร’ มากกว่า ‘ทำไม’

เพราะการถามว่า ‘ทำไม’ นั้นเป็นการกดทับความมั่นใจในตัวเองของเด็กให้หายไป แต่การถามว่า ‘อะไร’ จะช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นใจที่จะตอบมากกว่า ทั้งยังเป็นการส่งเสริมสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำคือ การสร้างบทสนทนาที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ได้ใช้ความคิด ไม่ใช่การตัดบทสนทนา ชัตดาวน์คำถามที่ผู้ใหญ่ตอบไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าถามว่า ‘ทำไม’ ไม่ได้ แต่ก่อนอื่น ควรเริ่มต้นจากการถามว่า ‘อะไร’ กล่าวคือ ถามคำถามที่เด็กสามารถตอบได้ก่อน จากนั้นค่อยไต่ระดับให้ยากขึ้น

4. รู้จักกับการจับคู่ตัวเลขให้สัมพันธ์กับจำนวน (One-to-One Correspondence)

One-to-One Correspondence คือพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย กล่าวคือ การจับคู่ตัวเลขให้สัมพันธ์กับจำนวน เช่น เลขหนึ่งเท่ากับจำนวนสิ่งของหนึ่งอย่าง เลขสองเท่ากับจำนวนสิ่งของสองอย่าง ไล่ไปเรื่อยๆ โดยผู้ปกครองสามารถสอนทักษะคณิตศาสตร์นี้ได้ง่ายๆ เช่น ให้เด็กจัดแก้วบนโต๊ะอาหารให้ตรงจำนวนกับคนจะรับประทานมื้อเย็น นับว่าจดหมายในตู้ไปรษณีย์มีกี่ซอง หรือให้หยิบไข่สองฟองสำหรับทำอาหาร เป็นต้น

ให้ง่ายกว่านั้นและสนุกกว่านั้นคือ การเล่นบอร์ดเกม การทอยลูกเต๋าและเดินให้ตรงจำนวนกับที่ทอยก็ช่วยเสริมสร้างทักษะดังกล่าวเช่นกัน ว่าแล้วก็ปัดฝุ่นเกมเศรษฐีมาลองเล่นกับพวกเขาดูไหม

5. ชวนคิดอย่างมีมิติสัมพันธ์

มีการยืนยันชัดเจนว่า การที่เด็กมีความสามารถคิดอย่างมีมิติสัมพันธ์ (spatial skill) นั้นเชื่อมโยงกับ STEM เนื่องจากความสามารถคิดอย่างมีมิติสัมพันธ์นั้นนำไปสู่การสร้างสรรค์และการเชื่อมโยงไปสู่ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบ หรือ การสังเกต เป็นต้น

เริ่มอย่างง่ายๆ เลย ให้เด็กเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทุกสิ่งที่เขารับรู้ ดังนั้นรอบตัวเด็กก็จะเป็นตำแหน่งหน้า หลัง ซ้าย ขวา โดยลองให้เขาอธิบายว่าสิ่งรอบตัวเขามีอะไรบ้าง ไม่ว่าตรงนั้นจะว่างเปล่า เป็นสถานที่ เวลาหรือสิ่งของต่างๆ และสิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร เช่น สมมุติว่าดูแผนที่สวนสัตว์ อาจให้เขาลองหาว่าตัวเขาตอนนี้อยู่ที่ไหน สิงโตอยู่ตรงไหน หรือ สมุมติว่ากำลังเดินทางไปสถานที่ใดที่หนึ่ง เช่น โรงเรียน ให้เขาลองอธิบายว่าจากบ้านไปโรงเรียนต้องผ่านอะไรบ้าง เขาเห็นอะไรบ้าง

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยSTEM

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood21st Century skills
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’
Education trend
2 May 2018

วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เมื่อเหตุผลการโกงไม่ได้ตรงไปตรงมา แค่ให้ได้เกรดดี แต่การโกงเป็นทั้งบททดสอบวัยรุ่น ถ้าไม่โกงไม่มีเพื่อน ไม่ ‘ใจ’ ก็ออกไป
  • ในการโกงก็มีศีลธรรมและชอบธรรม วัยรุ่นส่วนหนึ่งยอมรับจะโกงอย่างมีลิมิต อย่างมองตาตัวเองในกระจกได้โดยที่ยังบอกว่าตัวเองนั้นซื่อสัตย์อยู่
  • กดแชร์ รีทวีต ลอกคำคมคนอื่น ทั้งหมดนี้เรียกการโกงรึเปล่า เส้นแบ่งการโกงในโลกโซเชียลอยู่ตรงไหนกัน?

‘Why Students Cheat and What to Do About It’

แปลตรงตัวว่า “ทำไมนักเรียนจึงโกง (ทั้งข้อสอบและการบ้าน) และเราจะทำอะไรได้บ้าง” คือชื่อบทความ ที่ใช้เทคนิคการพาดหัวเพื่อดึงดูดใจชั้นสูง โดย แอนดรูว์ ซิมมอนส์ (Andrew Simmons) ครูโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในอังกฤษ และคอลัมนิสต์ประเด็นการศึกษาให้กับสำนักข่าวชั้นนำในประเทศชั้นนำหลายหัว

ซิมมอนส์ไม่ได้เล่าว่าเขาเป็นครูมากี่ปี ต้อง ‘ดีล’ กับการลอกข้อสอบ หรือการขโมยความคิดหรือคัดลอกบทความของคนอื่น (plagiarize) มากี่ครั้ง แต่เล่าว่า เพราะอยากสำรวจเหตุผลทางจิตวิทยา และแรงจูงใจที่ทำให้เด็กๆ โกง ทั้งข้อสอบและการลอกการบ้าน ซิมมอนส์จึงลงมือสำรวจแบ่งวิธีทำงานเป็นสองวิธีใหญ่ คือ

  1. ส่งคำถามปลายเปิดถึงอดีตเด็กนักเรียนของเขาว่า “ทำไมเขาจึงโกง (ทั้งข้อสอบและการบ้าน) ในระดับมัธยมปลาย”
  2. ค้นหาและพูดคุยกับทั้งนักวิชาการและนักจิตวิทยาในประเด็นดังกล่าว

ในข้อแรก เขาให้ตัวอย่างคำตอบตรงไปตรงมาจากแบบสำรวจของเขาชิ้นหนึ่งว่า “ฉันต้องการเกรดที่ดี แต่ไม่ได้ต้องการทำงานหนักขนาดนั้น”

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นคำตอบสุดโต่งจากอดีตเด็กนักเรียนที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่ง แต่แน่นอนว่าเหตุผลทางจิตวิทยาในการโกงไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น เมื่อซิมมอนส์นำคำตอบอันหลากหลายที่ได้จากอดีตนักเรียนจำนวนมากของเขา ประกบกับข้อมูลทางจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมองวัยรุ่น คำตอบแบบรวบรัดแบ่งออกเป็น 4 ข้อใหญ่ๆ ก็คือ

  • พวกเขารู้เต็มอกว่าการโกงมันผิด แต่ก็มีข้ออ้างหรือข้อแก้ต่างต่อตัวเองได้ว่า จะโกงอย่างมีศีลธรรม มีขอบเขต เพื่อให้มองตาตัวเองในกระจกต่อไปในทุกวัน
  • เพราะสิ่งที่อาจารย์ออกข้อสอบนั้นไม่เคยถูกสอนในห้องเรียน ครูออกข้อสอบอย่างต้องการการวัดผล หรือพวกเขาจำเป็นต้องสอบให้ผ่านจริงๆ
  • ยิ่งได้รับคำชมจากเกรดที่ดีมากเท่าไร ก็มีแนวโน้มว่าจะโกงมากขึ้นเท่านั้น
  • การโกงคือบททดสอบการเป็นวัยรุ่น ถ้าไม่โกง ก็ไม่มีเพื่อน

ก่อนจะว่าด้วยเรื่อง ‘ทำไมพวกเขาจึงโกง’ ซิมมอนส์ยกตัวเลขเพื่อชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการโกงเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นประสบการณ์ร่วมของวัยรุ่นขนาดไหน

งานวิจัยปี 2012 จากสถาบันด้านจริยศาสตร์โจเซฟสัน (Josephson Institute) ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของเด็กๆ มัธยมปลายยอมรับว่าพวกเขาเคยโกงข้อสอบ ขณะที่อีก 74 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าพวกเขาเคยลอกการบ้านเพื่อน

นอกจากนี้ยังเป็นแบบสำรวจในปี 2002 และปี 2015 โดย โดนัลด์ แมคเคบ (Donald McCabe) ศาสตราจารย์หลักสูตรธุรกิจ ประจำมหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส (Rutgers University) วิจัยร่วมกับสถาบันนานาชาติเรื่องความซื่อสัตย์ (The International Center for Academic Integrity) ได้ผลลัพธ์ตามตารางข้างล่าง

เรียนจบแล้ว
17,000 คน
นักศึกษาปริญญาตรี
71,300 คน
ยอมรับว่าเคยโกงข้อสอบ17%39%
ยอมรับว่าเคยโกงตอนทำการบ้าน40%62%
คนที่ยอบรับว่าเคยโกงข้อสอบและการบ้าน43%68%
ที่มา: โดนัลด์ แมคเคบ และสถาบันนานาชาติเรื่องความซื่อสัตย์ The International Center for Academic Integrity สำรวจในปีการศึกษา 2002 และปี 2015

ทำความเข้าใจ ทำไมต้องโกง

ซิมมอนส์อ้างถึงบทวิเคราะห์ของ เดวิด เรททิงเจอร์ (David Rettinger) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแมรี วอชิงตัน (University of Mary Washington) และกรรมการบริหารศูนย์ให้บริการนักศึกษา Center for Honor, Leadership and Service ที่มหาวิทยาลัยดังกล่าว

เรททิงเจอร์อธิบายว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า

เด็กๆ รู้ว่าการโกงนั้นผิด แต่พวกเขามีเหตุผลและขอบเขตในการโกง ลิมิตของการโกงจะจำกัด เท่าที่ยังทำให้พวกเขาเคารพตัวเองได้ ยังบอกตัวเองได้ว่าเขาก็ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่

ซิมมอนส์สรุปงานวิจัยของทั้งเรททิงเจอร์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น และจากแบบสอบถามจากอดีตนักเรียนของเขา พบข้อสังเกตอีกประการว่า เด็กๆ จะโกง ก็ต่อเมื่อเขามีเหตุผลให้เชื่อได้ว่ามันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล หรือเป็นไปอย่างชอบธรรม เช่น เมื่ออาจารย์คนนั้นสอนแบบเลคเชอร์อย่างเดียว เมื่อส่งงานไปแล้วนักเรียนไม่ได้ฟีดแบ็คหรือคอมเมนต์จากอาจารย์ท่านนั้น แปลว่านักเรียนไม่ได้รับอนุญาตหรือมีช่องทางให้คัดค้านหรือสอบถามอะไรเลย

“มันไม่ใช่ (การบ้าน) แบบคิดวิเคราะห์ และครูก็เหมือนจะสั่งการบ้านไปตามหลักสูตร”

“(ข้อสอบ) ตั้งคำถามกับคุณทั้งที่บทเรียนนั้นไม่เคยถูกพูดถึงในห้องเรียน และถ้าคุณสอบตก นั่นแปลว่ามันจะยากยิ่งกว่าที่จะแก้ให้ผ่านในรอบถัดไป” คือความเห็นของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์คนหนึ่งในแบบสอบถามของซิมมอนส์

การเลี้ยงเด็กให้เป็นคนเก่ง กับแนวโน้มที่จะคดโกง

งานวิจัยปี 2017 เรื่อง Praising Young Children for Being Smart Promotes Cheating ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ SAGE Journals และแม้ชื่อเรื่องจะแปลเป็นไทยว่า ‘ยกย่องชื่นชมเด็กๆ เมื่อโกงอย่างฉลาด’ แต่เนื้อในของงานวิจัยพูดถึง การเลี้ยงลูกให้มีค่านิยมความฉลาด พูดชมความฉลาด ไม่ได้พูดชมหรือให้ความสำคัญเรื่องความพยายาม การเลี้ยงแบบนี้ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะโกงมากขึ้น เพราะบนไหล่บ่าของพวกเขามีแต่ความคาดหวังที่สูงส่งจากผู้ปกครอง

(อ่านต่อ ‘คำพูดแบบไหนที่ทำร้ายทำลายความฉลาดของลูก’)

เหตุผลของสมองวัยรุ่น ที่โกงเพราะชอบความเสี่ยง

ซิมมอนส์อ้างถึงงานวิจัยเรื่อง Adolescents’ Risk-taking Behavior is Driven by Tolerance to Ambiguity (พฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น ขับเคลื่อนจากความดื้อดึงถึงความกำกวม (จากสถานการณ์เฉพาะหน้า-ผู้เขียน) ในวารสารวิชาการ PNAS ในปี 2012 ว่าด้วยเรื่อง…

พอพูดถึง ‘การบริหารจัดการความเสี่ยงในวัยรุ่น’ พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจมากๆ ที่จะลงทุนกับความเสี่ยงนั้นๆ พูดให้ง่าย (ทำไมไม่พูดให้ง่ายตั้งแต่ทีแรก) พัฒนาการทางสมองและฮอร์โมนเพศของวัยรุ่นโดยเฉพาะช่วง 12-18 โดยเฉพาะช่วง 15 (แล้วแต่ตำราและเรื่องเพศ) พวกเขาจะชอบความเสี่ยง และอ่อนไหวต่อความกดดันจากเพื่อน

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการโกงหรือลอกการบ้าน/ข้อสอบ พวกเขาก็ต่อต้านโลก ไม่จริงจังกับกฎระเบียบ และโอเคกับความยุ่งเหยิงเล็กๆ ของชีวิต และพวกเขาเชื่อว่าทุกความเสี่ยง พวกเขา ‘เอาอยู่’

มองความโกงให้ลึกลงไปกว่านั้น มันไม่ใช่แค่การทำคะแนนเพื่อให้ได้เกรดสวยๆ แต่มันคือบททดสอบของมิตรภาพ หรือบททดสอบการเป็นวัยรุ่นที่กล้าหาญ – ในนิยามว่า ความกล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสักอย่างหนึ่ง – ซึ่งในสังคมวัยรุ่น ยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้

งานวิจัยปี 1959-2002 ในกลุ่มนักเรียนเตรียมทหาร (military academy students) ระบุว่า การปฏิเสธการโกงในกลุ่มนักเรียนทหารเป็นเรื่องยากมาก

เป็นความกดดันจากเพื่อน (peer pressure) และกลัวว่า ถ้าไม่ทำ ไม่ปิดตาข้างหนึ่ง หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือให้การโกงสำเร็จ ก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้

แบบสำรวจความเห็นของซิมมอนส์ใบหนึ่งระบุว่า เขาไม่ได้อยากช่วยเพื่อนในห้องโกงข้อสอบ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ และเมื่อมันเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ครั้งต่อไปก็ไม่อาจควบคุมได้

(อ่านต่อ: รู้ทันอาการโกรธโลก ผ่านการทำงานสมองวัยรุ่น)

เทคโนโลยี และความเคยชินในการ Copy and Paste

งานวิจัยปี 2015 เรื่อง How Students Use Technology to Cheat and What Faculty Can Do About It (การใช้เทคโนโยลีเพื่อการโกง และคณะ (ในมหาวิทยาลัย) จะทำอะไรได้บ้าง) ตีพิมพ์ใน ISEDJ วารสารวิชาการด้านการศึกษา ระบุว่า การโกงในศตวรรษนี้ซึ่งมีอาวุธคือโซเชียลมีเดีย และเสิร์ชเอนจิ้นในมือ ทำให้การโกงในห้องเรียนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และยากที่จะถูกจับได้มากกว่าแต่ก่อน

ลิซ รัฟ (Liz Ruff) ครูประจำวิชาภาษาอังกฤษโรงเรียนมัธยมปลายการ์ฟีลด์ (Garfield High School) ในลอสแองเจลิส ให้ความเห็นว่า วัฒนธรรมในโลกโซเชียล เช่น การรีโพสต์รูป การทำมีม (memes) การดูคลิปวิดีโอล้อเลียนคนอื่น ทั้งหมดนี้ให้มุมมองต่อความเป็นเจ้าของ ดูคลุมเครือ จึงเป็นเหตุผลว่า เวลาที่เขาคัดลอกบทความจากอินเทอร์เน็ต พวกเขาไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องผิด

แนวคิดนี้คล้ายกับงานวิจัยของ โดนัลด์ แมคเคบ จากมหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส ในปี 2012 พบว่า กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่แมคเคบทำสำรวจ เด็กๆ คิดว่าการคัดลอกข้อความในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่รู้สึกว่านี่คือการโกงแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าการโกงเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่เพื่อไม่ให้จับนักเรียนไปขึงประจานแล้วก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร การโกงยังเกิดซ้ำเพราะคนแก้ปัญหาไม่เข้าใจเหตุผลทางจิตวิทยาแห่งการโกง

Tags:

จิตวิทยาการสอบAdolescent Brainวัยรุ่น

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Transformative learning
    5 วิธีดึงวัยรุ่นให้กลับมารู้สึกดีและรักตัวเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent Brain
    รักที่จะแว้น: เด็กหลังห้องที่ถูกผู้ใหญ่ปิดประตู

    เรื่อง

ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ
Adolescent BrainBook
27 April 2018

ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามว่า ทำไมเด็กแต่ละวัยจึงมีพฤติกรรมแตกต่าง ภายใต้เงื่อนไขของการพัฒนาสมองที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ทารก วัยรุ่น ไปจนถึงเด็กที่มีความผิดปกติทางพฤติกรรม
  • จากประโยคที่ว่า “หากอยากประสบความสำเร็จ ต้องตามหา passion ให้เจอ” แต่กลับไม่มีใครบอกเลยว่า ความหลงใหลที่ว่า ต้องมาพร้อม ‘ความอดทน มานะ พยายาม ไม่ท้อถอย’ ด้วยจึงจะสำเร็จ
  • การเลี้ยงลูกให้ยิ่งใหญ่จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาสมองให้มีความรู้ แต่ต้องเป็นสมองที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ได้รับการฝึกฝนจนมีความอดทนและเชื่อในความพยายาม

ถ้าจะมีลูกสักคน จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีได้อย่างไร ในสภาพสังคมเช่นทุกวันนี้?

เป็นคำถามที่ไม่จำกัดวงการอยู่แค่คู่ที่ผ่านการแต่งงาน เตรียมจะแต่งงาน หรือวางแผน/อยากจะมีลูก แม้แต่ ‘คี่‘ ที่ครองความโสดอย่างเหนียวแน่นก็ยังอาจย้อนถามตัวเองอยู่บ่อยๆ

เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ เป็นหนังสือที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ถอดความและตีความมาจากหนังสือ Raise Great Kids: How to Help Them Thrive in School And Life ซึ่งเป็นหนังสือชุดรวบรวมบทความน่าสนใจจากนิตยสาร Scientific American Mind

เนื้อหาในเล่มนำผลงานวิจัยสมัยใหม่ด้านการทำงานของสมอง และจิตวิทยาการเรียนรู้ มาอธิบายหักล้างความเชื่อเดิมบางอย่าง พร้อมยืนยันแนวทางใหม่ที่จะช่วยพัฒนาสมองของเด็กอย่างรอบด้าน ไม่เฉพาะเพียงความรู้ แต่รวมถึงทักษะชีวิต ทักษะวิชาชีพ และทักษะการควบคุมตนเอง ให้มีความรู้สึกนึกคิดที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญต่อการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ อยู่ที่ ความหลากหลาย เป็นหนังสือที่เหมาะกับคนทุกเพศวัยไม่เฉพาะแค่พ่อแม่ เนื่องจากแก่นสาระของเนื้อหาทำให้ผู้อ่านเข้าใจธรรมชาติของสมองที่พัฒนาขึ้นในแต่ละช่วงวัยภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน ตั้งแต่วัยทารก ในบทที่ 1 ซึ่งนำเสนอมุมมองใหม่ว่าเด็กทารกเป็นเหมือนนักคิดนักวิทยาศาสตร์ที่รับรู้ได้มากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด

เนื่องจากมีความยืดหยุ่นของสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) เอื้อต่อการเรียนรู้ วิธีเลี้ยงเด็กที่มีความผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น เรื่องของเด็กออทิสติก, เด็กใบ้เฉพาะกิจที่ช่างคุยกับพ่อแม่แต่ไม่ยอมพูดเมื่อไปโรงเรียน ไปจนถึงเรื่องของวัยรุ่น เช่น การฝึกทักษะสมองและการปรับตัวท่ามกลางภาวะที่ต้องการการยอมรับจากตัวเอง เพื่อน และพ่อแม่ แล้วทิ้งท้ายด้วยแนวทางพัฒนาสมองซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคมยุคปัจจุบันที่มีทั้งเทคโนโลยีและชุดความรู้ใหม่ๆ เช่น เรื่อง Growth Mindset เป็นต้น ด้านหนึ่งทำให้พ่อแม่และครูเข้าใจเด็กจากมุมมองที่เขาเป็น เข้าใจบทบาทตนเองในการปูพื้นฐานให้เด็กเป็นคนสมองดี โดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการโดนบีบคั้น หรือโดนบังคับจนเกินไป

อีกทั้งยังทำให้ตระหนักได้ว่า พฤติกรรมของคนรอบตัว รวมทั้งสภาพแวดล้อมรอบตัวส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเด็กโดยตรง ยกตัวอย่างบทหนึ่งเรื่องการหย่าร้างจะมีผลร้ายต่อเด็กหรือไม่? งานวิจัยสะท้อนข้อมูลในมุมกลับ สรุปได้ว่าการหย่าร้างอาจมีผลร้ายต่อเด็กในช่วงแรก แต่ส่วนใหญ่แล้วในระยะยาวเด็กจากครอบครัวหย่าร้างจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ปรับตัวได้ดี หากหลังการหย่าร้างพ่อแม่สามารถยุติความขัดแย้งลงได้ ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากังวลและส่งผลกระทบโดยตรงมากกว่ากลับเป็นบทบาทของพ่อ ที่นำเสนอในบทต่อมาว่า นักวิจัยมีข้อมูลที่ผ่านการทดสอบแล้วว่า เด็กผู้หญิงที่ขาดพ่อจะมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เนื่องจากปมจิตใต้สำนึกที่คิดว่าผู้ชายอยู่ไม่นานจึงต้องการมีความสัมพันธ์อย่างรีบเร่ง ความเข้าใจต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองประกอบอย่างชัดเจน เป็นงานวิจัยที่ผ่านการสำรวจและทดลองมาแล้วด้วยวิธีการและวิทยาการสมัยใหม่ อีกด้านหนึ่งหากเด็กได้อ่าน เขาจะเข้าใจตัวเอง คนรอบข้างและคนที่อบรมเลี้ยงดูเขามากขึ้นด้วย

หนังสือเล่มนี้จึงเป็น ‘ตัวเชื่อมความสัมพันธ์’ ที่ช่วยเชื่อมต่อเด็กและผู้ใหญ่เข้าหากัน มากกว่าแค่ตำราเลี้ยงลูกทั่วๆ ไป

อีกมุมหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทำให้ผู้ปกครองใจชื้นและมั่นใจขึ้นมาได้เปลาะหนึ่งว่า “สมองที่ดีของลูกสร้างได้” เพราะสมองดีไม่ได้มาจากพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเลี้ยงดูปูพื้นฐานสมองอย่างถูกต้อง รวมทั้งการฝึกพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง แน่นอนว่าเด็กแต่ละคนเติบโตขึ้นมาบนต้นทุนหรือพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกันออกไป แต่ผลลัพธ์จากงานวิจัยทางสมองสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเยาว์ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทำให้เด็ก “สมองดี” ในด้านที่เขาถนัดได้

สิ่งนี้เชื่อมโยงมาสู่เรื่อง ความหลงใหล หรือที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางว่า passion ในหนังสือใช้คำว่า “พลังความชอบระดับหลงใหล” ปรากฏการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมข้อมูลที่ขาดวิ่น และไม่เคยมองชีวิตอย่างรอบด้าน

ท่ามกลางกระแสสังคมที่ประโคมบอกว่า “หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็วต้องตามหา passion ให้เจอ”

แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า ความหลงใหลที่ว่า ต้องมาพร้อม “ความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอย” (perseverance) ด้วยจึงจะสำเร็จ

ความมุมานะ (grit) ที่ประกอบด้วย พลังความชอบระดับหลงใหล (passion) และ ความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอย (perseverance) ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จระยะยาวในชีวิต แล้วความหลงใหลที่ว่าก็ไม่ใช่แค่เรื่องพรสวรรค์ที่ฟ้าลิขิต แต่เราค้นพบและสร้างมันขึ้นมาได้จากการลงมือทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองซ้ำๆ อย่างมีคุณภาพและมากพอ ประสบการณ์จะเป็นตัวช่วยคัดกรองสิ่งที่เราให้คุณค่า ซึ่งตรงกับความเชื่อและพลังภายในของตัวเอง (intrinsic motivation)

ทั้งหมดเชื่อมโยงวงจรกลับมาสู่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่จะช่วยสนับสนุนให้เด็กพัฒนาสมองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นอย่างครบมิติ การเลี้ยงลูกให้ยิ่งใหญ่จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาสมองให้มีความรู้ แต่ต้องเป็นสมองที่มีความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นสมองที่ได้รับการฝึกฝนจนมีความอดทนและเชื่อในความพยายาม หรือที่เรียกว่ามี กระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) เป็นสมองที่ไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเอง แต่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้โดยปราศจากอุปสรรค

Tags:

พ่อแม่หนังสือGritAdolescent Brainศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    วัยรุ่น: โอกาสสุดท้ายของการพัฒนา EF

    เรื่องและภาพ ชลิตา สุนันทาภรณ์

เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!
Adolescent Brain
24 April 2018

เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

  • การอดนอนหรือนอนไม่พอในเด็กและวัยรุ่น ส่งผลต่อการเรียนรู้ ระบบภูมิคุ้มกัน สุขภาพของหัวใจ ระบบย่อยอาหาร ผิวพรรณ อารมณ์  และความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง
  • การนอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมีผลให้อารมณ์ดีกว่า เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าน้อยกว่า
  • เด็กควรนอน 8-10 ชั่วโมง/คืน ถ้าไม่รวมเวลางีบในรถหรือยามว่าง เด็กๆ ได้นอนครบรอบ กี่ชั่วโมงกัน?!

จริงไหมที่คนส่วนใหญ่ต้องตื่นเช้า ไม่ใช่เพราะไม่อยากนอนต่อ แต่เพราะต้องตื่นไปทำงานหรือไปเรียน!

โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนที่ต้องตื่นเช้ากว่าคนวัยทำงานด้วยซ้ำ ยิ่งนักเรียนในเมืองใหญ่ที่ใช้รถเป็นโต๊ะกินข้าว แล้วยังต้องฝ่ารถติดไปเรียน

การต้องตื่นก่อนเวลาอันควร และการนอนไม่หลับ เป็นการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอเรื้อรังดีๆ นี่เอง งานวิจัยทางสมองยืนยันว่า การนอนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการทางสมอง โดยเฉพาะถ้าอยู่ในช่วงวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น เพราะปัญหาเรื่องการนอนสร้างความกังวลและอาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า แถมยังกระทบต่อกลไกทางอารมณ์ในสมองที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเภทในระยะยาว

เอ๊ะ ชักน่ากลัว เพราะเป็นผลกระทบที่ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ค่อยๆ สะสมไปพร้อมกับการเติบโตของอายุ และสมอง

การบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘การนอนหลับและความเสี่ยงทางอารมณ์ในเด็ก’ (Sleep and Emotional Risk in Children) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์คารา เอ พาลเมอร์ (Cara A. Palmer) จากคณะจิตวิทยา (Department of Psychology) มหาวิทยาลัยฮุสตัน (University of Houston) จัดโดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการเพิ่มพูนและจุดประกายความรู้ทางจิตวิทยาพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ได้แชร์ประสบการณ์ไว้อย่างน่าสนใจว่า…

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในช่วงไม่เกิน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ช่วยให้นักวิจัยสามารถค้นหาความลับในสมองมนุษย์ได้แม่นยำขึ้น และมีหลักฐานเชิงสถิติการันตีความถูกต้องนั้น

พาลเมอร์บอกว่า ชั่วโมงการนอนของลูกเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องคำนึงถึง งานวิจัยจากศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Center for Disease Control) ปี 2016 ระบุว่า การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นสาเหตุของการเกิดโรค ยังไม่พอ ยังมีงานวิจัยที่พบว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูให้มีพฤติกรรมการนอนที่ดี จะมีสภาวะอารมณ์ในเชิงบวกมากกว่า และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าในวัยผู้ใหญ่ต่ำกว่าเด็กที่ถูกจำกัดการนอน

แต่ถึงอย่างนั้น สภาพความเป็นอยู่ในสังคมปัจจุบันที่คล้ายกันทั่วโลก ทำให้เรื่องการนอนเป็นปัญหา เพราะเด็กและเยาวชนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะ “ชั่วโมงนอนไม่เพียงพอ”

ถ้าอย่างนั้น เด็กและเยาวชนควรใช้เวลาเท่าไรใน 24 ชั่วโมงเพื่อการนอน? คำตอบคือ 8-10 ชั่วโมงต่อคืน

หลับไม่พอ ตื่นขึ้นมาแล้วอารมณ์ไม่ดีจริงหรือ?

พาลเมอร์ ใช้เวลาเก็บข้อมูลและทดลองกว่า 2 ปี เพื่อหาคำตอบว่า จำนวนชั่วโมงของการนอนหลับส่งผลต่อสภาพอารมณ์ของเด็กเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจริงหรือไม่?

ทดลองสุ่มตัวอย่างนักเรียน 55 คน ช่วงอายุ 5-11 ปี การเก็บข้อมูลแต่ละครั้งใช้เวลาราว 2 อาทิตย์ เริ่มจากบันทึกพื้นฐานทางสรีรวิทยาบนใบหน้าของเด็กก่อน แล้วกำหนดไทม์ไลน์การนอนให้เด็กได้นอนเต็มอิ่มทุกคืน คืนละ 10 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ แล้วประเมินผลทางอารมณ์ครั้งที่ 1 หลังจากนั้นอาทิตย์ต่อไปปรับชั่วโมงการนอนให้เหลือ 8-10 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง ตามลำดับ แล้วจึงประเมินผลทางอารมณ์อีกครั้ง

การประเมินมีทั้งส่วนที่ให้เด็กประเมินอารมณ์ตัวเอง (self-reported reactivity) พร้อมๆ กับใช้โปรแกรมวิเคราะห์เข้ามาจับการเคลื่อนไหวบนใบหน้าของแต่ละคน การวิเคราะห์ตัวเองใช้วิธีให้เด็กกากบาทเลือกสีหน้าของตัวการ์ตูนบนกระดาษที่ตรงกับอารมณ์ของตัวเองมากที่สุดในขณะนั้น ส่วนการทำงานของโปรแกรมจะวัดตำแหน่งการยกของกล้ามเนื้อบนใบหน้า

เช่น การเคลื่อนไหวของใบหน้าขณะกำลังยิ้ม แสดงถึงภาวะอารมณ์เชิงบวก หรือ การเคลื่อนไหวของใบหน้าเวลาตกใจกลัว โกรธ เศร้า หรือทำหน้าขยะแขยง แสดงถึงภาวะอารมณ์ในเชิงลบ การวิเคราะห์จะรายงานออกมาเป็น ผลกระทบเชิงบวก (Positive Affect: PA) ผลกระทบเชิงลบ (Negative Affect: NA) และระดับความกังวล (State Anxiety: STAI-C) โดยทั้งสองวิธีจะประเมินขณะให้เด็กดูภาพหรือวิดีโอที่สื่ออารมณ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบหลังจากตื่นนอน

ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า การนอนไม่เพียงพอส่งผลต่อสภาพอารมณ์ของเด็กเมื่อตื่นขึ้น ทำให้อารมณ์เชิงบวก เช่น ความสดใส ร่าเริงของเด็กลดลง และมีความกังวลมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ เห็นได้จากท่าทีฉุนเฉียว การนิ่งเฉยหรือการแสดงสีหน้าไม่พอใจหากไม่สบอารมณ์กับอะไรบางอย่าง (จากการทดลองคือเมื่อเห็นภาพหรือวิดีโอเชิงลบ) สิ่งที่เด็กแสดงออกนี้ คือพฤติกรรมเสี่ยง เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขันในชีวิตจริง เด็กอาจตกอยู่ในภาวะที่มีความหุนหันพลันแล่นจนคิดทำอะไรได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ยิ่งกว่านั้น พาลเมอร์ บอกว่า การอดนอนหรือนอนไม่พอในวัยเด็กและวัยรุ่น ส่งผลต่อการสร้างระบบการทำงานของร่างกายและสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น

  • ลดความสามารถในการเรียนรู้ (cognitive function) ลองนึกถึงสภาพเวลานอนไม่พอแล้วตื่นขึ้นมารู้สึกงัวเงีย มึนเบลอ ไม่มีสมาธิเพราะสมองไม่เปิดรับ
  • ลดประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (immune system)
  • สุขภาพของหัวใจ (heart health) ระบบย่อยอาหาร (appetite and metabolism)
  • ความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง (cancer risk) ทำให้ป่วยเป็นโรคได้ง่าย
  • ผิวพรรณ (skin)

เรียกว่า กระทบระบบการทำงานของร่างกายตั้งแต่ภายในยันภายนอก รู้แบบนี้แล้วใครว่าเรื่องนอนเป็นเรื่องเล่นๆ เป็นแค่การพักผ่อนชิลๆ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ให้เรื่องนอนเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจริงจังให้มากขึ้น

เมื่อถามถึงวิธีการแก้ปัญหา พาลเมอร์ ให้คำตอบที่ง่ายที่สุดแต่เหมือนกำปั้นทุบดินมากที่สุดเช่นกัน ก็คือ “นอนให้มากขึ้น”

ส่วนจะทำได้แค่ไหน ท่ามกลางวิถีชีวิตและค่านิยมเรื่องการเรียนในปัจจุบัน ถือว่าเป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่ผู้ปกครองและระบบสังคมต้องช่วยกันแก้ ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ของไทยทุกวันนี้ ไม่เพียงแค่ต้องตื่นเช้า แต่ใช้เวลากว่า 2 ใน 3 อยู่ในห้องเรียนทั้งในโรงเรียนและสถาบันกวดวิชาตั้งแต่วัยอนุบาล

แล้วจะดีไหมนะ ถ้าแบ่งเวลามานอนให้มากขึ้น!

Tags:

ซึมเศร้าโรงเรียนปฐมวัยAdolescent Brainพัฒนาการทางอารมณ์

Author & Photographer:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรเรียนหนังสืออย่างจริงจังก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง
Adolescent Brain
19 April 2018

รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ขณะที่สมองของวัยรุ่นกำลังเติบโตและสร้างระบบเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ ตามหน้าที่ พวกเขาต้องการพื้นที่และโอกาสในการแสดงออก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและแสดงให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้หากผู้ใหญ่ปิดกั้นไม่ให้วัยรุ่นได้แสดงออกในทางสร้างสรรค์ สมองจะหยุดการพัฒนาลงอย่างช้าๆ

“Fire together they wire together.” หลักการนี้เชื่อว่า หากมีการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน สมองจะสร้างเครือข่ายประสาทเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างพัฒนาการทางสมองอีกทางหนึ่ง แน่นอนว่าการฝึกฝนสมองด้วยการปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ดีตั้งแต่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนการคิดเชิงบวก (positive thinking) แนวคิดเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือแม้แต่การออกกำลังกาย

ทั้งนี้ จากการทดลองยังพบว่าระหว่างที่สมองของวัยรุ่นกำลังพัฒนาอยู่นั้น

  • เขามักชื่นชอบกิจกรรมที่มีความเสี่ยงและโลดโผน
  • เขาแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจนและรุนแรง
  • เขามักตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองสามารถเข้ามาช่วยกระตุ้นพฤติกรรมและเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองเชิงบวกของวัยรุ่นในช่วงเวลานี้ได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ปล่อยให้เล่น: ปล่อยให้เด็กทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงตามความเหมาะสม: ประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตช่วยให้เด็กพัฒนาตัวเองได้อย่างมีอิสระ เติบโตได้อย่างเข้าใจตนเอง จนสามารถค้นพบสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง
  • เป็นพี่เลี้ยงชวนเด็กค้นหาพื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และระบายความรู้สึกของตนเอง: จากการสำรวจพบว่า ดนตรี กีฬา การเขียน และการทำงานศิลปะ เป็นช่องทางระบายความรู้สึกที่ดี
  • เป็นเพื่อนคู่คิดในการตัดสินใจ: ชวนพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยศักยภาพของเด็กเอง ชั่งน้ำหนักระหว่างผลลัพธ์ในเชิงบวกและเชิงลบที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญต้องให้เด็กมีส่วนร่วมคิด แล้วตัดสินใจด้วยตนเอง โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียงพี่เลี้ยงคอยตั้งคำถามให้เด็กคิด
  • สอนทักษะการใช้ชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวัน ทั้งในครอบครัวและในโรงเรียน
  • ข้อตกลงที่ชัดเจน: หลายคนคิดว่า วัยรุ่นไม่ต้องการให้ใครมากำหนดกรอบในการใช้ชีวิต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าการให้คำแนะนำและการสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างเด็กและผู้ปกครองว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ เพราะอะไร แล้วเคารพพื้นที่ของกันและกัน
  • อย่าลืมให้คำชื่นชมและให้รางวัลตามความเหมาะสมเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี เพื่อกระตุ้นให้สมองรับรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ
  • เป็นตัวอย่าง: ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างในการแสดงพฤติกรรมเชิงบวกให้กับเด็ก
  • เข้าถึงง่าย: ผู้ใหญ่ต้องทำตัวให้เด็กรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทำให้เด็กเปิดใจยอมรับและไม่ปิดบังตัวเองจากผู้ใหญ่
  • ให้ความรู้เรื่องพัฒนาการสมอง: พูดคุยให้ความรู้บุตรหลานเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมอง เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญในการดูแลตัวเอง และสนใจเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

จากการวิจัยพบว่า พันธุกรรม ความเป็นปัจเจกจากการเลี้ยงดู รวมถึงสภาพแวดล้อม ล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมอง ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่กับวัยรุ่นถือเป็นสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดมากที่สุด บุคคลเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากต่อการสร้างพัฒนาการทางสมองที่ดีของวัยรุ่น

ข้อควรจดจำ

  • สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความรักและความเอาใจใส่เป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้สมองมีพัฒนาการที่ดี
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่ทอดทิ้ง: ผู้ใหญ่ที่พูดคุยและมีความใกล้ชิดกับเด็กในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กขณะก้าวขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้
  • สายตา: การคาดการณ์เรื่องอารมณ์เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดคุยกับวัยรุ่น ด้านแรก สายตาที่วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องมองให้ออกว่าวัยรุ่นกำลังประเมินว่าผู้ใหญ่อยู่ในภาวะอารมณ์ใดขณะสื่อสารกับตน ด้านที่สอง สายตาของผู้ใหญ่ที่มองวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องคาดเดาภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในแต่ละช่วงขณะให้ได้ นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยแนะนำให้วัยรุ่นพิจารณาสภาพอารมณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง
  • ความเชื่อมั่น: วัยรุ่นต้องการความเชื่อมั่นและกำลังใจจากผู้ใหญ่
  • รางวัล: วัยรุ่นตอบสนองต่อการได้รับรางวัลมากกว่าการลงโทษ
  • ความชัดเจน: วัยรุ่นต้องการความชัดเจนในการกำหนดขอบเขตว่าสิ่งใดที่ตนทำได้หรือทำไม่ได้ โดยผู้ใหญ่จะต้องเคารพในข้อตกลงที่วางร่วมกัน
  • ความเคารพ: วัยรุ่นต้องการให้ผู้ใหญ่เคารพความสามารถและศักยภาพของพวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาเติบโตได้อย่างอิสระ

ส่วนหนึ่งจากบทความ: สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

ที่มา:
Adolescent Brain Development
Brain development: teenagers

Tags:

Adolescent Brainพ่อแม่วัยรุ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel