Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง
Character building
6 September 2018

ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การสอนให้เด็กมีภาวะผู้นำที่มีคุณธรรมและเคารพในความแตกต่างตั้งแต่เล็ก จะช่วยให้พวกเขารับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะเมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่นได้
  • leadership ไม่ใช่ภาวะการเป็นผู้นำเดี่ยว ที่ใช้อำนาจได้เป็น มีความแข็งแกร่ง ควบคุม สั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่หมายถึงภาวะการนำตนเองได้ในความแตกต่างหลากหลายอย่างมีมนุษยธรรม
  • เด็กๆ อาจจะบอกว่า “ก็ไม่ได้อยากเป็นผู้นำ จำเป็นต้องมีภาวะผู้นำด้วยเหรอ?” บทความนี้มีคำตอบ

“I have a dream today… I have a dream that my four little children will one day live in a nation where they will not be judged by the color of their skin but by the content of their character…”. Martin Luther King Jr.

“วันนี้ข้าพเจ้ามีความฝัน…ข้าพเจ้าฝันว่าสักวันหนึ่งลูกเล็กๆ ทั้งสี่คนจะเติบโตขึ้นมาในประเทศที่พวกเขาจะไม่ถูกตัดสินคุณค่าด้วยสีผิว แต่ด้วยคุณลักษณะที่พวกเขาเป็น…” มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ศาสนาจารย์ และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนผิวสีชาวอเมริกัน กล่าวไว้เมื่อ 55 ปีก่อน

ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยใด มนุษย์อาศัยอยู่ท่ามกลางสังคมและสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่าง หลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จาก 55 ปีที่แล้วย้อนกลับมาถึงวันนี้ เรายังคงต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความต่าง ทั้งสีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ความต่าง กลายเป็นความพิเศษและมีคุณค่า จนสามารถฉายความโดดเด่นในเชิงบวกออกมา และสร้างการยอมรับได้ คือ ‘คุณลักษณะ’ หรือ ‘character’ ที่จะทำให้เรามีตัวตนและช่วยเปิดพื้นที่ให้แสดงออกและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะตัดสินเราด้วยรูปลักษณ์หรือลักษณะภายนอกของเราอย่างไร

ในความแตกต่างหลากหลายนี้เอง ภาวะผู้นำ หรือ leadership จึงเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ขาดไม่ได้

leadership ไม่ได้หมายถึงภาวะการเป็นผู้นำเดี่ยว ที่ใช้อำนาจได้เป็น มีความแข็งแกร่ง ควบคุม สั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่หมายถึงภาวะการนำตนเองได้ในความแตกต่างหลากหลายอย่างมีมนุษยธรรม

เพราะมนุษย์จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน สังคมปัจจุบันจึงต้องการคุณลักษณะของการนำร่วม ในการกำหนดทิศทางชีวิตของทุกคนในสังคมด้วยการพึ่งพาอาศัยกันอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในรูปแบบที่ต้องการได้ ภายใต้ความแตกต่างหลากหลาย และหากผู้คนในสังคมยิ่งมีภาวะการนำร่วม สังคมก็ยิ่งจะก้าวข้ามกับดักของความเป็นปัจเจกและเห็นแก่ตัว นำไปสู่สังคมที่พึ่งพาอาศัยกันได้ในที่สุด

บทความเรื่อง การสร้างคุณลักษณะ: แก่นแท้ภาวะผู้นำ หรือ Building Character: A leadership Essential โดย เจมส์ ซี. ซาร์รอส (James C. Sarros), ไบรอัน คูเปอร์ (Brian Cooper) ผู้เชี่ยวชาญด้านสาขาการจัดการ มหาวิทยาลัยโมนาช ออสเตรเลีย (Monash University) และ โจเซฟ ซี. ซานโทรา (Joseph C. Santora) กรรมการผู้จัดการจาก TST Inc ที่ปรึกษาด้านการจัดการให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา นำเสนอ ‘คุณลักษณะที่แสดงออกถึงภาวะผู้นำ’ จากการสำรวจผู้บริหารกว่า 200 คนจากภาครัฐ บริษัทเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในออสเตรเลีย 17 ข้อ อันสะท้อนถึงคุณลักษณะอันจำเป็นของผู้คนในสังคมปัจจุบัน ได้แก่

ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) : คุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมจริยธรรมและมาตรฐานในการทำงาน และการใช้ชีวิต ผลการสำรวจ พบว่า คนที่มีความซื่อสัตย์จะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ

ความร่วมมือ (Cooperativeness) : ความเต็มใจและตั้งใจทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้บรรลุภารกิจและวัตถุประสงค์ในการทำงานร่วมกัน

ความเป็นธรรม (Fairness) : การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

การมีวินัยในตนเอง (Self-discipline) : การตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย

มีความจริงใจ (Honesty) : เปิดเผย ไม่ปิดบังความจริงต่อผู้อื่น

ความเคารพนับถือ (Spiritual Respect) : การให้คุณค่าและเคารพความหลากหลายและความแตกต่างของผู้คน ทั้งในแง่ของภูมิหลัง วัฒนธรรมและความเชื่อ

การให้เกียรติซึ่งกันและกัน (Respectfulness) : แสดงออกถึงความมั่นใจ การตอบแทน และความชื่นชมต่อผู้อื่น

ความจงรักภักดีในฐานะคนทำงาน (Employee Loyalty) : มีความทุ่มเทให้กับงานและเพื่อนร่วมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง

การมีอารมณ์ขัน (Humor) : ความสามารถในการสร้างเสียงหัวเราะและเห็นแง่มุมที่ขบขันในสถานการณ์ที่เลวร้าย

พลังคลั่งไคล้ (Passion) : การมีพลังและความกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมายหรือความตั้งใจ

ความสามารถ (Competency) : การมีความสามารถในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความจงรักภักดีต่อองค์กร (Organisation Loyalty) : การมีความทุ่มเทให้กับองค์กรที่ทำงาน

ความกล้าหาญ (Courage) : การมองเห็นเป้าหมายในระยะยาว แล้วลงมือทำโดยไม่ให้ความกลัวเข้ามาขัดขวาง

ความเมตตา (Compassion) : ความห่วงใยในทุกข์สุขของคนอื่น และช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ

ความไม่เห็นแก่ตัว (Selflessness) : ความเสียสละที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อผู้อื่น

ปัญญา (Wisdom) : ความสามารถในการนำประสบการณ์และความรู้มาประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างเต็มศักยภาพและเกิดประโยชน์

ความอ่อนน้อมถ่อมตน (Humility) : ความรู้จักประมาณตัว ไม่โอ้อวด และไม่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ก็ไม่ได้อยากเป็นผู้นำ จำเป็นต้องมีภาวะผู้นำด้วยเหรอ?

แน่นอนว่าในภาคปฏิบัติของการทำงาน ‘ผู้นำ’ ที่มี ‘ภาวะผู้นำ’ เป็นกลไกสำคัญที่พาองค์กรไปสู่เป้าหมาย ผู้นำที่ดีทำให้การทำงานเป็นทีมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เกิดความร่วมมือไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ภาวะผู้นำ ไม่ได้หมายถึง ความเป็นผู้นำในองค์กรหรือสถานที่ทำงานอย่างเดียวเท่านั้น บทความเรื่อง ภาวะผู้นำและเด็ก (Leadership and Children) เผยแพร่ทางเว็บไซต์ PennState Extension โดยมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตท (Pennsylvania State University) กล่าวว่า ภาวะผู้นำ เกี่ยวข้องกับคำสำคัญเหล่านี้ – ความมั่นใจในตัวเอง (self-confidence) การทำเพื่อสังคม (pro-social) การแก้ปัญหา (problem solving) และ การตัดสินใจและเลือกอย่างอิสระ (makes independent decision and choices) เห็นได้ว่าคำสำคัญที่กล่าวมาทั้งหมด มีความเกี่ยวข้องทั้งกับตัวเอง บุคคลอื่น องค์กร และสังคม

หากพ่อแม่ช่วยสร้างภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก จะช่วยให้พวกเขาควบคุมตนเองได้ หนุนเสริมความสามารถให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เป็นส่วนผสมที่ค่อยๆ สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล และสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาตนเองด้านความรับผิดชอบ ต่อตัวเอง องค์กรและสังคมไปในเวลาเดียวกัน

พ่อแม่จะทำอย่างไรได้บ้างในการสร้างลักษณะนิสัยให้ลูกมีภาวะผู้นำ?

ทราวิส แบรดเบอร์รี (Travis Bradberry) เจ้าของหนังสือติดอันดับขายดี Emotional Intelligence 2.0 และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ TalentSmart บริการให้คำปรึกษาบริษัทกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 500 ลำดับแรกจากนิตยสารธุรกิจชื่อดัง Fortune ของสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการด้านการทดสอบและฝึกอบรมความฉลาดทางอารมณ์ เขียนถึง 8 วิธีอันทรงพลังที่จะช่วยพ่อแม่ปั้นลูกๆ ให้มีภาวะผู้นำ ไว้อย่างชัดเจน พร้อมย้ำว่า งานปั้นนี้เป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

1. มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence: EQ)

ความฉลาดทางอารมณ์เป็นแรงขับสำคัญของความสำเร็จในผู้นำ แม้เป็นอะไรที่ดูเหมือนสัมผัสและเข้าถึงได้ยาก แต่ส่งผลโดยตรงต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมและการตัดสินใจในเชิงบวก เด็กเรียนรู้และซึมซับ EQ จากพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ปกครองในชีวิตประจำวัน รวมทั้งอารมณ์และพฤติกรรมที่สื่อสารโดยตรงกับพวกเขาทุกวันตั้งแต่แรกเกิด

TalentSmart ได้ทำการทดสอบผู้คนกว่าล้านคน พบว่า EQ มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของหัวหน้างานถึง 58 เปอร์เซ็นต์ โดย 90 เปอร์เซ็นต์ ของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในการบริหารงานเป็นคนที่มี EQ อยู่ในระดับสูง

ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นต้นแบบให้ลูกได้ ด้วยการสื่อสารและแสดงอารมณ์ในเชิงบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่อาจทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ยิ่งพ่อแม่แสดงให้เห็นศักยภาพในการรับมือกับปัญหาและอารมณ์เชิงลบได้ดีเท่าไร ลูกจะยิ่งเรียนรู้วิธีในการควบคุมจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีเท่านั้น

2. ไม่ติดกับดักความสำเร็จ (Don’t obsess about achievement)

พ่อแม่ไม่ควรกดดันลูก ด้วยการเข้าไปกำหนดกะเกณฑ์เส้นทางชีวิต โดยเฉพาะการใส่ไอเดียความสำเร็จในชีวิตของลูกบนพื้นฐานความต้องการของพ่อแม่ การเลี้ยงลูกให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและผู้คนที่สร้างให้เกิดการเรียนรู้ต่างหากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

3. ชมได้แต่ต้องไม่มากเกินไป (Don’t praise too much)

คำชื่นชมจากผู้ใหญ่แสดงถึงการยอมรับ ทำให้เด็กและเยาวชนมีความนับถือในตัวเอง แต่ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งสำคัญ คือ ผู้ใหญ่ต้องแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในความมุ่งมั่นและความพยายามของเด็กไม่เกินเลยจากความเป็นจริง ให้คำแนะนำปรึกษาถึงสิ่งที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก

4. ให้พวกเขาได้เผชิญกับความล้มเหลวและความเสี่ยงบ้าง (Allow them to experience risk and failure)

ความสำเร็จในธุรกิจและในชีวิตขับเคลื่อนโดยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสี่ยง’ หากผู้ใหญ่เลี้ยงดูเด็กเหมือนไข่ในหิน ไม่ปล่อยให้เผชิญหน้ากับความล้มเหลว เด็กก็จะไม่เข้าใจว่าความเสี่ยงคืออะไร และไม่มีความอดทน เราจะสัมผัสรสชาติอันหอมหวานของความสำเร็จได้อย่างเต็มที่ ก็ต่อเมื่อเคยลิ้มรสชาติความขมจากความล้มเหลวมาก่อน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ แรงสนับสนุนจากพ่อแม่เมื่อเด็กทำผิดพลาดหรือล้มลง แรงส่งเสริมให้ลุกแล้วเดินหน้าต่อจากผู้ปกครองช่วยสร้างให้เด็กมีความมั่นใจ อย่างน้อยพวกเขาจะรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่อยู่เคียงข้างพวกเขาเพื่อฝ่าฟันปัญหาต่างๆ เสมอ

5. ไม่ตามใจ (Say No)

เด็กต้องเรียนรู้และฝึกตัวเองให้มีความอดทน และรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การที่ผู้ปกครองปฏิเสธไม่ทำตามที่พวกเขาต้องการ อาจทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ถูกตามใจจนเสียคน และขาดความอดทนต่อแรงรุมเร้าจากปัจจัยภายนอก รวมทั้งความกระวนกระวายใจภายใน

6. ให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง (Let children solve their own problems)

ผู้นำต้องพึ่งพาตนเองได้ การปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นการฝึกให้พวกเขายืนหยัดและมีความแข็งแกร่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่ได้อย่างใจ หากผู้ปกครองไม่ปล่อยให้เด็กได้คิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เด็กจะนิ่งเฉยและรอคอยให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอยู่เสมอ ในทางกลับกันผู้นำจะคิด แล้วลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง

7. พูดคุยกัน (Walk your talk)

ผู้นำที่แท้จริงต้องมีความโปร่งใสและมีความพร้อมอยู่เสมอ สิ่งนี้ช่วยสร้างการยอมรับนับถือจากคนรอบตัว ผู้ปกครองต้องแสดงออกให้เห็นเป็นตัวอย่าง เมื่อลูกโตขึ้นในวัยที่เข้าใจเหตุผล การสื่อสารและแสดงออกด้วยความซื่อตรงและตรงไปตรงมาของผู้ปกครองจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเดินรอยตามได้

8. แสดงให้เห็นว่า เราทุกคนก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไม่ต่างกัน (Show you’re human)

ไม่ว่าลูกจะก้าวร้าวและดื้อขนาดไหน พ่อแม่คือฮีโร่และเป็นตัวอย่างของพวกเขาเสมอ ได้ยินแบบนี้อาจทำให้พ่อแม่ขยาดเพราะคิดว่าตัวเองทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด แต่ความเป็นจริงนั้นกลับกัน

เมื่อเกิดข้อผิดพลาด การแสดงให้ลูกเห็นวิธีการรับมือกับความผิดพลาดอย่างมีสติและกล้าหาญต่างหากที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะพวกเขาเองจะได้เรียนรู้บทเรียนจากข้อผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน

หรือแม้แต่การชวนลูกออกไปทำกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อชุมชน แสดงให้เห็นถึงความเสียสละ นอกจากนี้การทำประโยชน์ให้ผู้อื่น จะทำให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเอง

ไม่จำเป็นเสมอไปว่า…ทุกคนต้องเติบโตไปเป็นผู้นำ การสอนให้เด็กและเยาวชนมีคุณลักษณะนี้ติดตัวไป เป็นการเตรียมความพร้อมคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ

ความหวังของเรา คือ การปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้มีภาวะผู้นำที่ไม่ได้มีแค่ความเก่งอย่างเดียว แต่มีคุณธรรมจริยธรรม และเคารพในความแตกต่าง การสอนให้เด็กมีภาวะผู้นำตั้งแต่เล็กจะช่วยให้พวกเขารับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะเมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่นได้

พ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียนจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะครอบครัวและสถาบันการศึกษาเป็นฐานที่จะช่วยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณลักษณะเชิงบวก พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตนเองและสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ความงามของการสร้างเด็กๆ ให้มีภาวะผู้นำ คือ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ปกครองสอนให้พวกเขาเข้าใจ แล้วปฏิบัติจนกลายเป็นคุณลักษณะร่วมที่มีอยู่ในทุกคนได้ในที่สุด

อ้างอิง:
15 Tips for Instilling Leadership Skills in Children
10 Simple Ways to Develop Leadership Skills in Your Children
Leaders are made, they are not born.

8 Powerful Ways To Mold Your Children Into Leaders
Leadership and children

Tags:

ภาวะผู้นำ(leadership)พัฒนาการพ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรคเตอร์ดีๆ ที่สร้างได้ ถ้าพ่อแม่ไม่รังแกฉัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย
Unique Teacher
5 September 2018

ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ครูสอญอ ครูอินดี้โรงเรียนเทศบาลชุมชนขยายโอกาส หนึ่งในครูรุ่นใหม่ที่นักการศึกษาหันกลับไปถอดบทเรียนวิธีการออกแบบการศึกษาของเขา
  • ครูรุ่นใหม่ที่ทำให้เห็นว่า การศึกษาที่มีมาตรฐานและตอบโจทย์ชุมชนเกิดได้จริงโดยไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ แต่ภายใต้เงื่อนไขที่คนทำงานเห็นร่วมกันว่า การศึกษาจะพัฒนาเกิดจากความสัมพันธ์ที่ดี
  • “อยากทำให้เขาไปอยู่ที่ไหนก็ได้แต่มั่นคง” คือ motto ของครูสอญอ

– ออกแบบวิธีเรียนร่วมกับนักเรียน
– วิชาการก็สอน แต่เน้นให้เด็กค้นหาตัวตนมากกว่า
– โฮมรูมตอนเช้าใช้ชื่อ ‘โฮมรูม โฮมใจ’ นั่งล้อมวงแบ่งปันสารทุกข์สุกดิบประจำวัน
– 25:1 คือสัดส่วนนักเรียนต่อครูประจำชั้น
– ใช้ ‘ระบบตาม’ เมื่อนักเรียนเลื่อนชั้น ครูประจำชั้นตามไปด้วย

และวิธีการสอนอื่นๆ ที่ฟังดูแล้วใกล้เคียงกับคำว่า ‘อิสระ’ ไม่ถูกแช่แข็งเหมือนภาพจำการศึกษาไทย และอาจให้ภาพโรงเรียนเอกชนหัวก้าวหน้าที่เปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนเพื่อขับเน้นศักยภาพและความเต็มพร้อมของผู้เรียน

แต่หากบอกว่าวิธีการเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนเทศบาล ซ้ำเป็นโรงเรียนขยายโอกาสที่ครั้งหนึ่งค่าเฉลี่ยการเรียนของเด็กเคยอยู่ระดับท้ายๆ ของโรงเรียนในเขตเทศบาลเดียวกัน พูดแบบนี้เราจะพอมีหวังต่อระบบการศึกษาไทยได้ไหม?

แน่นอนว่าการพูดแบบนั้นเป็นการเหมารวมและออกจะ ‘เกินไป’ สักนิด เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่าเรามีครูรุ่นใหม่ เลือดใหม่ ผลัดขึ้นมาเขย่าวงการศึกษาแทบทุกหัวระแหง และหนึ่งในนั้นคือ ครูสัญญา มัครินทร์ หรือที่รู้จักในนาม ครูสอญอ แห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย จังหวัดขอนแก่น แต่ก่อนจะว่ากันเรื่องครูพันธุ์ใหม่ (แต่จิตพิสัยไม่เดือด) ขอกลับไปถึงการปรับวิธีการสอนและดำเนินงานของโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยกันก่อน

หมุดหมายการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เทศบาลนครขอนแก่นได้ปรับนโยบายมาเน้นเรื่องการพัฒนาการศึกษา และโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการด้วย เป็นเวลาเดียวกับที่ครูสัญญา ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ สาขาศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้นปีสุดท้ายและเข้าไปฝึกงานที่โรงเรียนแห่งนี้พอดี เมื่อเห็นว่าคณะทำงานเอาจริงกับการปฏิรูประบบการศึกษา โดยการเริ่มดูงานกับสถานศึกษาหลายที่ บรรยากาศของคณะทำงานและครูก็เปิดโอกาสให้ทดลอง รื้อสร้าง และออกแบบการเรียนรู้แบบใหม่ได้

เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โรงเรียนบ้านโนนชัยพร้อมแล้วที่จะสร้างชั้นเรียนใหม่คือ ม.1-ม.3 ภายใต้นิยามทางการศึกษาว่า ‘โรงเรียนขยายโอกาส’ ครูสัญญาที่ขณะนั้นเริ่มทำงานสอนครั้งแรกที่โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก ในตัวเมืองจังหวัดขอนแก่น จึงกลับมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมออกแบบการเรียนการสอนร่วมกับครูรุ่นแรกอีก 5 คน

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา 11 ปี ไม่เพียงแต่โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยจะเป็นโรงเรียนที่ได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองในพื้นที่ และผลการศึกษาของนักเรียนขึ้นมาอยู่ที่ระดับกลางของเทศบาล ครูสัญญา หรือครูสอญอคนนี้ยังเป็นที่รู้จักและพูดถึงในวงกว้าง ว่าเป็นครูรุ่นใหม่ที่ช่างเข้าอกเข้าใจ มีวิธีการสอนที่สุดแสนจะวัยรุ่น เน้นดึงและคลี่ขยายตัวตนของเด็กให้เต็มพร้อม ที่สำคัญ เขายังเน้นสร้างสำนึกด้านการเท่าทันอารมณ์ จิตใจ และความต้องการของเด็กมากกว่าจะปฏิเสธและบอกว่าธงของการเรียนคือความสำเร็จทางวิชาการอย่างเดียว

อย่างที่เขาย้ำตลอดบทสนทนาว่า สิ่งเดียวที่หวังอยากเห็นจากเด็ก คือเมื่อเขาเห็นคุณค่าของตัวเอง และ

“อยากทำให้เขาไปอยู่ที่ไหนก็ได้แต่มั่นคง” ครูสอญอกล่าว

วิธีคิดตอนออกแบบหลักสูตรเพื่อโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย คืออะไร

เราอยากทดลองวิธีการสอนที่ไม่ใช่การ talk and chalk (สอนบนกระดานดำ ครูอธิบายปากเปล่า) แต่ออกแบบว่าจะให้เด็กมีส่วนร่วมยังไง เชื่อมโยงเนื้อหาระหว่างตัวเขากับเนื้อหายังไง ความตั้งใจคืออยากทำโรงเรียนที่ตอบโจทย์ชุมชนและก็ตอบโจทย์เด็กในยุคปัจจุบันได้ด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นเรามีเพื่อนครูก่อการหรือครูร่วมรุ่นที่ออกแบบหลักสูตรร่วมกันประมาณ 5 คน ก็ต้องเป็นความฝันร่วมกันด้วยว่าเราอยากเห็นเด็กเป็นแบบไหน อยากให้โรงเรียนเป็นแบบไหน วิธีที่จะไปถึงฝัน มันต้องมีวิธีการยังไงดี ระหว่างที่ออกแบบนี้เราก็ตระเวนไปเรียนรู้กับคนนั้นคนนี้ เช่น อาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู, อาจารย์ประภาภัทร นิยม, อาจารย์ประชา หุตานุวัตร กระทั่งครูบาอาจารย์สายวัด อย่างวัดป่าสุคะโตและวัดป่าโสมพนัส เราก็ไป

‘โจทย์ชุมชน’ และ ‘โจทย์ของเด็กปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร?

ในคำขวัญของโรงเรียนพูดเรื่อง ‘โรงเรียนวิถีชุมชน’ อยู่แล้ว หัวใจของมันก็คือทำการศึกษาให้มีมาตรฐาน และให้เขามีสำนึกรักชุมชนและท้องถิ่น แต่พอบอกว่า ‘รักท้องถิ่น’ มันก็เป็นวาทกรรม มันเหมือนที่เขาบอกให้เด็กมีวินัย 12 ประการ พูดง่ายมาก แต่… ทำยังไงนะ? (หัวเราะ) มันสอนกันไม่ได้ แต่เราต้องสร้างประสบการณ์บางอย่างให้เด็กไปถึงคุณค่าตรงนั้นโดยไม่บอกไม่สอน ให้เขาพบด้วยตัวเอง ทีนี้วิธีการหรือ ‘how to’ ที่จะทำให้ไปถึงตรงนั้น มันก็ต้องออกแบบให้เขาได้เกี่ยวข้อง หรือมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน

หรือในแง่การร่วมกันออกแบบโจทย์ร่วมกับผู้ปกครอง อธิบายก่อนว่าโรงเรียนเราใช้ ‘ระบบตาม’ คือครูประจำชั้นจะตามนักเรียนตั้งแต่ ม.1 ไปจนจบ ม.3 เพราะเราเชื่อว่าถ้าความสัมพันธ์ดีจะทำเรื่องการศึกษาได้ดี เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ ม.1 เราก็คุยกับผู้ปกครองให้ชัดเลยว่าเราจะทำอะไร เราบอกกับเขาเลยว่า “ลูกๆ ของคุณจะออกไปเรียนนอกห้องเรียนเหมือนไปเล่นมากเลยนะครับ” (หัวเราะ) คุยให้รู้ไปเลยแล้วมาคาดหวังร่วมกัน

สุดท้ายพอเห็นภาพร่วมกัน ผู้ปกครองก็เสนอว่า “เฮ้ย ถ้าจะติดตามการเรียนรู้ ต้องมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนนะ” ทีนี้เข้าทางเราเลย (ดีดนิ้ว) ตอน ม.1 เราประชุมกันทุกเดือน ถี่มาก แต่พอ ม.2 ม.3 เขาเริ่มไว้ใจเราละ

ส่วนโจทย์ของเด็กปัจจุบัน ก็มาคุยกันว่าเขาอยากเรียนอะไร ไหนลองออกแบบซิ แต่ด้วยความที่นักเรียนมันเยอะ ก็ต้องมาดูว่ามีจุดไหนที่เหมือนกันและเรียนร่วมกันได้ ขณะเดียวกันคุณก็ยังได้เรียนในสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ ได้อยู่ และคุณก็ต้องเรียนในสิ่งที่มันจำเป็นด้วยแม้ว่าตอนนี้คุณอาจยังไม่เห็นความจำเป็นก็ตาม

แต่ก็ยังไม่ใช่แค่นี้ เราต้องชวนผู้ปกครองคุยด้วยว่าคุณคาดหวังอะไรกับลูก คาดหวังอะไรกับครู และคาดหวังอะไรกับตัวผู้ปกครองด้วยกันเอง นักเรียนก็เหมือนกัน นักเรียนคาดหวังอะไรจากครู ผู้ปกครอง หรือจากเพื่อนด้วยกันเอง ให้แต่ละคนต่างไปคิดสามข้อนี้มาแล้วมาดูกันว่ามีจุดร่วมตรงไหนและจะขยับไปด้วยกันได้และอย่างไร

เรามักได้ยินว่าแม้ครูจะตั้งใจดี แต่ก็มักถูกดูดจากระบบหรือโครงสร้างแข็งทื่อตายตัว หลายครั้งที่เจตนาดีอยากเปลี่ยนการศึกษา แต่ก็ทำไม่ได้?

ด้วยโครงสร้างโรงเรียนมันเอื้อให้ครูออกแบบวิธีการเรียนได้พอสมควร เพราะเราเห็นร่วมกันว่าถ้าจะทำการศึกษาแบบนี้ ต้องให้พื้นที่ครูและให้อำนาจกับเด็กสร้างพื้นที่ โอเคว่ามันทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เนอะ แต่การเรียนรู้ในห้องเรียนจำนวน 30 ชั่วโมง/สัปดาห์เนี่ย อย่างน้อยมันจะมีประมาณ 11 ชั่วโมง/สัปดาห์เลยนะที่เราจะทำแบบนี้ได้ โดยเฉพาะคาบโฮมรูมช่วงเช้าที่เราเรียกว่า ‘โฮมรูม โฮมใจ’ ชวนเขาจัดกระบวนการเรียนรู้ให้มาฟังกัน มาแลกเปลี่ยน มาสร้างบทสนทนาต่อกัน (dialogue) และเรามีวิชาบูรณาการที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าตัวข้อมูลหรือเนื้อหาโดยมีครูสอนร่วมกันเป็นทีม 6 ชั่วโมง/สัปดาห์ ส่วนอีก 19 ชั่วโมง/สัปดาห์ เราก็ยังเรียนตามหลักสูตรได้

ในหน้าเพจของครูสัญญา จะเห็นวิธีการเรียนการสอนที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเน้นให้เด็กค้นหาตัวตนของตัวเอง ต้นกำเนิดของโครงการแบบนี้คืออะไร

ยกตัวอย่างโปรเจ็คท์ ‘ค้นพบตัวเองค้นพบอาชีพ’ ของนักเรียนชั้น ม.3 ปีนี้ดำเนินมาเป็นปีที่ 2 แล้ว แต่ว่ารายละเอียดแต่ละปีจะต่างกันแล้วแต่เด็กๆ แต่วิธีคิดคือ เรามองว่าก่อนที่เขาจะพบตัวเองหรือพบอาชีพที่อยากทำ เขาต้องรู้จักตัวเองก่อน ปกติแล้วเราก็จะมีเครื่องมือช่วยเขาหาด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การชวนคนในอาชีพนั้นๆ เข้ามาพูดคุยและสร้างแรงบันดาลใจกับนักเรียน แต่มันก็ได้ระดับหนึ่งและอาจไม่ตรงกับความสนใจเขาจริงๆ และเราเองก็สรรหาอาชีพเหล่านั้นมาได้ไม่ครบ

ทีนี้เด็กๆ เขาสะท้อนว่า “ขอพื้นที่ให้พวกเขาได้ออกไปฝึกประสบการณ์มากขึ้นกว่านี้ได้มั้ยครู?” เราก็มาคิดร่วมกันระหว่างเด็กและทีมครูว่ามันควรเป็นประมาณไหนดี เด็กๆ เขาก็เสนอรูปแบบการเข้าค่าย ให้เด็กได้ไปลองฝึกประสบการณ์ในอาชีพนั้นๆ

แต่โครงการนี้เราทำกับนักเรียน ม.3 จำนวน 2 ห้อง มีนักเรียน 45 คน จัดกลุ่มอาชีพที่เด็กๆ อยากเป็นได้ประมาณ 20 อาชีพ ด้วยความที่เด็กค่อนข้างเยอะ ก็มีการคุยกันว่าก่อนจะถึงวันเข้าค่ายจริงคือวันที่ 6-8 กันยายน เขาจะจัดการอย่างไรกันดี เด็กๆ เขาเลยเสนอว่า “มันต้องมีคนไปลองฝึกก่อนนะครู” ก็เลยมีอาสา 10 คนไปทดลองฝึกประสบการณ์ก่อนวันเข้าค่ายจริง เช่น มีเด็กคนหนึ่งอยากเป็นครูสอนสังคม เราก็ส่งเขาประกบครูสังคมคนอื่นก่อนเลย คือถึงแม้ว่าเราจะเป็นครูสังคมอยู่แล้ว แต่เขาอาจจะอยู่กับเราจนชินและมองว่าวิธีการสอนของเราเป็นเรื่องปกติก็ได้ เราก็ให้เขาเอาคาบบูรณาการไปอยู่กับครูคนนั้นเลย เราก็ไปคุยกับเพื่อนครูว่าขอสลับเวลากันได้มั้ย ประมาณนี้

หรือมีเด็กที่อยากเป็นเชฟ ก็นี่เลย… ขอให้ผู้ปกครองช่วย (หัวเราะ) และมีคนที่อยากเป็นหมอลำ อยากเป็นนักดนตรี เป็นนักร้อง เราก็พาไปเลย ไปฟังหมอลำ ไปฟังดนตรี

ทำไมถึงให้ความสำคัญกับ ‘ตัวตน’ หรือ ‘อาชีพ’ ของเด็กๆ ถึงขนาดทำค่ายอย่างจริงจัง

หลักๆ อยากให้เด็กมีประสบการณ์ตรง และให้เขาค้นพบตัวเองให้ชัดว่า เมื่อฝึกจบ เมื่อไปเจอหน้างานจริง เขาอาจจะชอบหรือไม่ก็ได้ แต่ก็ไม่เป็นอะไรนะเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วแหละ ที่สำคัญจริงๆ คือมันมีผลต่อการเลือกเรียนต่อ จะไปสายสามัญ สายอาชีพ หรือบางทีก็มุ่งไปที่อาชีพนั้นตรงๆ เลย

อย่างรุ่นที่แล้วมีคนหนึ่งสนใจนวดแผนไทย เขาก็ไปเรียนนวดโดยตรงแล้วเรียน กศน. เอา ตอนนี้มีประเทศในเครือข่าย (คนทำงานในวงการนวดแผนไทย) จีบไปแล้ว ถ้าเขาอายุครบ 18 ปี ก็เตรียมตัวไปเกาหลีเลยเพราะเขานวดดีมากและมีรายได้ด้วย ขณะที่กลับมาโรงเรียนก็เล่าให้เพื่อนฟังอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันโอเคมากและก็ศรัทธากับอาชีพนี้ เลี้ยงพ่อแม่ได้ด้วย” เราว่ามันเป็นทางเลือกที่ใกล้ตัวและตอบโจทย์เขา

เพราะครูสอนนักเรียนมาแล้วกว่า 11 ปี และเป็นครูที่เน้นให้นักเรียนรู้จักและค้นพบตัวเอง ถ้าให้ลองวิเคราะห์ ครูคิดว่าเด็กรุ่นใหม่มีคาแรคเตอร์แบบไหน

เอาจริงๆ แล้วคาแรคเตอร์ของคนรุ่นเรา เด็กรุ่นที่เราเพิ่งสอนใหม่ๆ กับเด็กรุ่นนี้ก็ไม่ต่างกันมากนะ ยังมีความเป็นเด็กอยู่ มีความก๋ากั่น แต่อาจจะซ่าคนละอย่าง (หัวเราะ) คาแรคเตอร์ที่เราเห็นว่าเป็นมุมดี คือเด็กรุ่นนี้จะรู้เรื่องสิทธิเยอะ เข้าถึงข้อมูลเก่ง บางเรื่องเขารู้กว่าเรามาก อีกมุมหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นมุมลบหน่อย คือไม่ค่อยอดทน แล้วก็ติดสมาร์ทโฟนมาก (ลากเสียง)

ในกลุ่มคาแรคเตอร์บวกๆ อาจเพราะเราเปิดพื้นที่ให้เขาได้ถกเถียง

เราว่ามันมีส่วนมากๆ เราเคยไปเวิร์คช็อปกับโรงเรียนอื่น ไปทำกระบวนการแบบนี้กับเด็กห้องเรียนในโรงเรียนท็อปๆ ด้วยนะ แต่เรากลับพบว่าวิธีแลกเปลี่ยนของเขามันยังกล้าๆ กลัวๆ และไม่สนุก คือมันจะมีเซนส์แบบ ‘เราผิดรึเปล่าวะ’

แล้วถ้าเป็นคาแรคเตอร์ที่ครูคิดว่าไม่ค่อยดีในสายตาผู้ใหญ่ จะดูแลอย่างไรดี

อย่างความไม่อดทน เรารู้สึกว่าส่วนหนึ่งเด็กๆ ถูกดึงจากเทคโนโลยีนะ สิ่งที่ครูต้องทำคือ ครูต้องอดทนมากขึ้น (หัวเราะ) คือถ้าเป็นยุคเรา แค่ครูกระแอม “เอ้ย… เงียบหน่อย” เราก็จะชะงักแล้วใช่ปะ แต่ยุคนี้เงียบได้แป๊บนึงนะ เขาก็อยู่กับเราแค่ท่าทีแต่ใจไม่ได้อยู่กับเรา ดังนั้นเราต้องเอาสิ่งที่เขาสนใจนี่แหละ ดึงขึ้นมาแล้วพลิกให้เขามองอีกมุมว่า มันมีบทเรียนหรือมันมีคุณค่าบางอย่างอยู่ในนั้นนะ

ด้วยวิธีไหน

อย่างกลุ่มติดเกม เราก็จัดเลย “เอางี้มั้ย มาทำ e-sport ให้จริงจังในโรงเรียนไปเลย แต่ครูไม่มีความรู้เลยนะว้อย เอ็งเอาป่าววะ” เด็กตอบผมว่า “แต่ก่อนที่ครูจะชวนพวกผมทำ ครูต้องเล่นเป็นก่อน” ซึ่งเราก็ลองเล่นนะ แต่ไม่อินเลยอะ (หัวเราะ) แต่ก็รู้ว่า “อ๋อ มันยังงี้ใช่มั้ย” แต่จริงๆ ไม่อิน (ย้ำ) แต่พอเล่นเสร็จก็ “มา… มาทำกลุ่ม ROV กัน”

พอทำกลุ่มมันก็ต้องมีการจัดการ “เอ็งจะแบ่งงานกันยังไง จะจัดระบบยังไง เดี๋ยวต้องมีคนมาจัดโต๊ะ เตรียมของนะ” คืออย่างน้อยเขาก็หลุดมาจากเกมแล้ว เพราะต้องมาเตรียมงาน ต้องเตรียมประกาศ ทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ ชวนคนนั้นคนนี้มาเล่น เราเห็นเขาคุยกัน เห็นเขาหาวิธี และจากที่เขาเคยแข่งกันเองก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะต้องมาสอนน้องเล่น สุดท้ายเด็กแซวผมว่า “สรุปครูไม่ได้สนอง need ผมนี่หว่า” (หัวเราะ)

พอจบงาน เราก็เสนอให้ e-sport เป็นกีฬาของโรงเรียนเลย มีถ้วยรางวัล คืออย่างน้อยเด็กได้ถือถ้วย มันเกิดความภูมิใจแล้วนะ เห็นตัวลีบๆ ไม่ได้เตะบอลหรือไปแข่งอะไรกับเขา แต่ในใจรู้สึกมีคุณค่าแล้ว เป็นคนจัดงานอีก เขาอาจเกิดความภาคภูมิใจและอยากทำอะไรให้คนอื่นต่อบ้างก็ได้

นี่คือการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส อยากถามถึงเรื่องที่เราคิดว่าเป็นปัญหามาพลิกให้เขาเห็นคุณค่า แต่เราจะตามแก้ปัญหาในเด็กทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกันได้อย่างไร

อูย (ลากเสียง) เราแก้ไม่หมด แก้ไม่ได้แน่ๆ แต่อย่างน้อยเรามีพื้นที่ปลอดภัยซึ่งก็คือวงคุย ‘โฮมรูม โฮมใจ’ ทุกเช้านี่แหละ วงคุยแบบนี้เราจะรู้ว่าคนไหนควรทำงานต่อแบบจริงใจแล้วค่อยชวนเขาคุยนอกรอบอีกที แต่ในตัววงเองมันจะเยียวยากันอยู่แล้ว หรือกระทั่งตัวครูเอง เวลาเครียดๆ ก็ใช้วงนี้เช็คอินและเล่าให้เขาฟัง เมื่อแลกเปลี่ยน ถูกรับฟัง และเห็นว่าปัญหามันคลี่คลายระดับหนึ่งแล้ว เราก็ค่อย “แล้วเราจะให้กำลังใจเพื่อนยังไงดี?”

ด้วยความที่มันมีกระบวนการแบบนี้ เราเลยรู้สึก ถึงเราจะแก้ปัญหาไม่หมด แต่มันปลอดภัยและถูกเยียวยา ปัญหาจะไม่เลวร้ายขนาดที่เราตามแก้ไม่ทัน

ซึ่งเอาจริงๆ เราตั้งธงชัดด้วยว่าครูไม่ใช่นักแก้ปัญหา “ปัญหาของเอ็ง เอ็งต้องดีลเอง” แต่ครูจะรับฟังและจะช่วยชี้ว่ามันมีหลายทางนะ หรือชวนดูว่ามันมีทางอื่นอีกมั้ย ส่วนจะเลือกอะไรก็แล้วแต่เอ็งเลย เราให้คุณค่ากับการตัดสินใจของเขา ‘เอ็งเป็นเอ็ง เราเป็นเรา’

แต่ความ ‘เราเป็นเรา’ นี่แหละที่ต้องทำให้เห็นว่าเราจะซัพพอร์ตตัวเองยังไงให้รอดได้ และความเป็นเรามันจะอยู่ร่วมกับคนอื่นยังไง จะสร้างสรรค์อย่างไรได้ต่อ

มีปัญหาไหนมั้ยที่คิดว่าหนักหน่วงในสายตาคนอื่น แต่จริงๆ แก้ได้ด้วยความรู้สึก ‘มั่นคง’

อย่างปัญหาเด็ก drop out หรือออกไปกลางคัน เราก็บอกเลยว่า “จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้นะ เพราะบางทีระบบมันรกรุงรังสำหรับเอ็งใช่มั้ย แต่มันมีวิธีการแบบนี้นะ เอ็งเลือกได้” ท้ายที่สุดเด็กออกกลางคันไปก็เยอะ เพราะปัญหาครอบครัว มันก็เป็นปัญหาที่เปราะบางเนอะ เด็กในโรงเรียนมีหลากหลาย ทั้งที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ สิ่งแวดล้อมโรงเรียนอยู่ใกล้ชุมชนแออัด มีทั้งปัญหายาเสพติด ค่านิยมของคนในโซนนั้น การไม่เรียนหนังสือมันไม่เป็นไร เพราะเขาให้คุณค่ากับการทำงานและการใช้ชีวิต

สำคัญคือ เด็กที่ drop out ไม่ได้รังเกียจโรงเรียน ก่อนจะออกเราทำให้ชัดว่าเราให้คุณค่ากับสิ่งที่เขาเลือก “เอ็งไปไหนก็ยังเป็นเอ็ง และครูยังเป็นครู เรายังเป็นเพื่อนกัน ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าหลบตา” ที่น่าสนใจคือวันไหว้ครู เด็กกลุ่มนี้ก็ยังมาหา ยังมารวมรุ่น ยังไปมาหาสู่กัน

ซึ่งอันที่จริงแล้วต้องบอกว่าโรงเรียนให้คุณค่ากับความเท่าเทียม ไม่ว่าเด็กจะมาจากไหน ไม่ว่าจะเลือกเรียนต่อ อาชีวะ เลือกที่จะไม่เรียน หรือกระทั่งเด็กที่อยู่ในสลัมก็เจ๋งและมีคุณค่า แต่การจะสร้างความคิดให้ “คนเคารพคน” ครูต้องเชื่อแบบนั้นนะ เราเชื่อว่าพลังงานแบบนี้จะถูกถ่ายเทไปสู่นักเรียน เด็กๆ จะถูกบ่มเพาะเรื่องนี้ เขาสะท้อนตัวครูก็ได้ แนะนำครูก็ได้

เรามีวัฒนธรรมตักเตือน ถ้าใครทำไม่ดีไม่ชอบเราเตือนกันได้ และถ้าอะไรที่ดีเราต้องชื่นชมและขอบคุณกันและกัน สร้างวัฒนธรรมแบบนี้

ทำทั้งหมดนี้ อยากให้เด็กเห็นอะไรในตัวเอง

อยากให้เขารู้จักตัวเอง เห็นว่าเขาเป็นใคร เท่าทันตัวเอง เท่าทันโลก โลกที่เปลี่ยนไปมันจะมีมุมมองอีกเยอะมาก แล้วเราจะดีลกับมันยังไง แต่มากกว่าอยู่รอดคือให้อยู่ร่วมกันได้ เพราะเขาไม่ใช่แค่ตัวคนเดียว แต่ชีวิตเขาเกี่ยวข้องกับครอบครัวและเพื่อน อยากให้เขาเข้าใจความแตกต่างของคนอื่นและเคารพซึ่งกัน และก็อยากให้เขาอยู่อย่างมีความหมายและสร้างสรรค์ด้วย

11 ปีที่ผ่านมา ตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ในตอนออกแบบโรงเรียนมั้ย?

ตอบโจทย์ไม่หมดเนอะเพราะชุมชนเองก็เปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ชุมชนเขาเห็นว่าลูกหลานของเขาไว้ใจโรงเรียน เห็นว่าลูกเขามีความสุข อยากมาโรงเรียน ด้วยความที่เด็กมันน้อยเราก็เห็นปัญหาและตามทัน ในภาพรวมเรารู้สึกว่าเราเอาอยู่ ชุมชนเองเขาก็เห็นการเติบโตและเห็นการเคลื่อนไหวของเด็กๆ อยู่เสมอ

ทุกสิ้นเทอมเราจะมีวงให้เขาเล่าว่าเขาได้เรียนรู้อะไร เขาเห็นอะไร ซึ่งเขาก็สะท้อนว่า ลูกเขาเติบโตแบบนี้นะ ลูกเขาคิดแบบนี้นะ มีวงให้ผู้ปกครองมาบ่น เรามีพื้นที่แบบนี้ให้ผู้ปกครองด้วยเหมือนกัน หมายความว่า โรงเรียนไม่ได้ผูกขาดตัวเองออกจากชุมชน แต่โรงเรียนเป็นพื้นที่สาธารณะให้ได้มาปฏิสัมพันธ์กัน ขับเคลื่อนอะไรบางอย่างร่วมกันให้มันดีขึ้น ไม่มีใครโดดเดี่ยวออกจากกัน

เราเห็นความเคลื่อนไหวในวงการศึกษา เห็นครูรุ่นใหม่ไม่ยอมแพ้และลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับการเรียนการสอนมากขึ้น กระทั่งเปลี่ยนแปลงมันด้วยตัวเอง ในแง่นี้ เรามีความหวังกับการศึกษา กับครูพันธุ์ใหม่ใช่มั้ย

การจะเป็นครูที่ดีต้องเป็นนักเรียนอยู่เสมอ เราจะเอาความสำเร็จในอดีตมาใช้ไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งกับบางเรื่องที่เราเคยคิดว่าเอาอยู่ แต่พอเจอเด็กกลุ่มใหม่ในปัญหาเดิม เราเอาไม่อยู่นะ ต้อง unlearn และ relearn ใหม่เหมือนกันเนอะ

แต่เรามีความหวังกับครูรุ่นใหม่นะ มีการจัดวงคุยและเวิร์คช็อปการสอนแบบใหม่เยอะมาก เราเองก็ไปลักจำจากคนอื่นเหมือนกัน ที่ยังเป็นปัญหาคือ ครูรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในระบบแล้วจะฟีบเพราะเขารับใช้ระบบไปหน่อย ตัวระบบเหมือนจะดูใหญ่ แต่เอาเข้าจริงมันก็คือคนนี่แหละ ถ้าเราดีลกับคนได้ มีวิธีการประนีประนอมกับระบบ มันทำได้นะ

อย่างงานประเมินที่หลายคนมีปัญหา สำหรับเรามันคือของเล่น เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่ควรจะจริงจังและให้น้ำหนักกับมันมากหน่อย คือหน้างานกับเด็ก นี่ของจริง พยายามกลับไปถามตัวเองว่าตอนที่เราอยากเป็นครู เป้าหมายของเราคืออะไร ทำตามใจนายเพื่อให้ได้ขั้น หรือความสนุกกับนักเรียนและทำให้จิตวิญญาณการเป็นครูเติบโตขึ้นรึเปล่า เราว่าฝั่งหลังมันน้อยมาก

11 ปีกับการเป็นครู ถ้าให้ประเมินตัวเอง ประเมินอย่างไรดี

เราทำกราฟการทำงานนะ สามสี่ปีแรก เราเป็นนักแสดง เราเล่นกับบทครู เขาสั่งให้เราทำอะไรเราก็ทำไป เล่นไป แต่พอสักพักเราเป็นผู้กำกับนี่หว่า (หัวเราะ) ได้กำกับนักเรียน ตัวเอง เพื่อน แต่ตอนนี้เราเป็นผู้อำนวยการสร้างแล้ว รู้สึกว่าบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่จะอำนวยยังไงให้เพื่อนทำงาน ให้นักเรียนทำงาน หรืออำนวยยังไงให้บางจังหวะเราเป็นนักแสดง หรือบางจังหวะเป็นเด็กเสิร์ฟน้ำ

สุดท้ายนี้ ทิ้งท้ายคำคมงามๆ นิดหนึ่งนะคะ ^^

เราว่าถ้าไม่ได้มองว่าครูเป็นอาชีพ ทุกคนเป็นครูอยู่แล้ว เป็นครูให้ตัวเอง อย่างในร้านกาแฟเราเห็นคนคุยกันเสียงดัง นี่ก็โคตรเป็นครูเลยนะ “กูจะไม่เป็นแบบนี้อะ” หรือเราอาจจะเอาไปคุยกับนักเรียน “เอ็งรู้แล้วนะว่ามันรบกวนคนอื่นยังไง” คือทุกแรงย่างก้าวหรือทุกแรงกระเพื่อมก็เป็นครูได้

อีกเรื่องคือ เราเชื่อว่าคนเป็นครู โคตรโชคดี เป็นคนที่เตรียมอนาคตของสังคมเลยนะ เรามองว่าคือโอกาส ซึ่งถ้าเราทำแบบ “พอๆ แล้วๆ” แสดงว่าเรากำลังสนับสนุนให้คนในอนาคตเป็นแบบ “พอๆ แล้วๆ” ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตยก็ต้องสร้างในห้องนี่แหละ แล้วเขาจะจำแพทเทิร์น วิธีการออกไปใช้จริงข้างนอก และถ้าครูเชื่อ เขาก็จะทำอะไรที่มันสนุกจริงๆ

Tags:

เทคนิคการสอนสัญญา มัครินทร์ก่อการครูครูระบบการศึกษาproject based learningคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

SEE THINGS IN ENGLISH: เปลี่ยนมุมมองภาษาอังกฤษกับครูนุ่น ENGLISH AFTERNOONZ
Everyone can be an Educator
4 September 2018

SEE THINGS IN ENGLISH: เปลี่ยนมุมมองภาษาอังกฤษกับครูนุ่น ENGLISH AFTERNOONZ

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • เด็กไทยไม่ได้ไม่เก่งภาษาอังกฤษแต่ด้วยบริบทหรือทัศนคติทางสังคมปิดกั้น ไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงออกหรือโชว์ศักยภาพด้านนั้นออกมา
  • วิธีสอนภาษาอังกฤษที่ไม่ดึงดูดให้เด็กสนใจเป็นส่วนหนึ่งทำให้เด็กปิดประตูใส่ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม แต่วิชาการไม่จำเป็นต้องทำให้ไกลตัว แต่ทำให้สนุกและเป็นเรื่องใกล้ตัวได้เพียงเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการสอน
  • อย่าทำลายความฝัน ความพยายามหรือความตั้งใจของเด็กๆ ที่อยากเก่งภาษาอังกฤษด้วยการตำหนิหรือชี้ว่า ‘ผิด’ แต่ส่งเสริมให้เขากล้าพูด มีความมั่นใจในตัวเอง จากนั้นจึงแนะนำให้เขาเห็นว่าควรปรับปรุงตรงจุดไหนแทน

‘ภาษาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง’ คือประโยคที่คนชอบพูดกัน (ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร) ปฏิเสธไม่ได้ ซ้ำยังได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นสิบทีว่าจริงแสนจริง เมื่อโลกทุกวันนี้หมุนเปลี่ยนรวดเร็ว เหวี่ยงแรงเสียจนหากเกาะไม่ดีอาจหลุดจากขบวนแน่

อย่าว่าแต่ภาษาที่สองหรือสาม แต่การเรียนภาษาของเด็กๆ ทุกวันนี้ไกลไปถึงภาษาที่สี่หรือห้า อย่างไรก็ดี หากมองรอบๆ ตัวแล้ว พื้นที่สำหรับการเรียนรู้ แสดงศักยภาพทางภาษา หรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมและเกื้อหนุนให้ได้ใช้ภาษาของเรามีมากแค่ไหน? น่าเศร้ากว่านั้น กำแพงหรืออุปสรรคขวางกั้นยังมีเต็มไปหมด โดยเฉพาะทัศนคติทางสังคมบางอย่างที่กดทับให้พวกเขา (ผู้ที่อยากพัฒนาภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่) ไม่กล้าแสดงออกมา

“เราควรเลือกเองว่าจะให้อะไรดังอยู่ในหัวเรามากกว่ากัน ระหว่างเป้าหมายของเรากับเสียงของคนอื่น ถ้าเราต้องเสียความมั่นใจเพราะคำพูดคนอื่น เราก็อาจไม่ต้องฟังเสียงนั้น เพราะถ้าเสียงความฝันเรามันดังกว่า เดี๋ยวเสียงคนรอบข้างก็หายไปเอง”

คือคำตอบของ นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์ พิธีกรและดีเจมากความสามารถ หรือที่หลายๆ คนรู้จักใน English AfterNoonz เจ้าของเพจเฟซบุ๊คและแอคเคาท์ทวิตเตอร์สอนภาษาอังกฤษที่มีจำนวนผู้ติดตามมากถึงหนึ่งล้านคน

The Potential ชวนคุณนุ่นพูดถึงปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้ ทำไมเด็กไทยหลายคนขี้เขิน ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ หรือเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนตั้งหลายปีแต่ก็ยังพูดอย่างฉะฉานไม่ได้ คำตอบของเธอสวนทางกับคำถามตั้งต้นนั้น เพราะเธอเห็นว่า ‘ไม่ใช่ว่าเด็กไทยไม่พูดภาษาอังกฤษ เพียงแต่พวกเขาแค่ไม่กล้า’ ทั้งเธอยังปลุกเร้าให้ทุกคนรู้สึกกล้าที่จะพูดด้วยสโลแกน

‘ผิดก่อน ความถูกต้องจะตามมาเอง’

“เราอยากให้เด็กทุกคนรู้ว่าก่อนจะเก่งได้ ก็ต้องผิดพลาดมาก่อนทั้งนั้น นุ่นอยากให้ทุกคนกล้าออกมาทำ ต่อให้ผิด เราก็จะได้สิ่งนั้นเป็นบทเรียนแทน จำก็จำจริงๆ อายก็อายจริงๆ แล้วจะไม่เป็นอีก”

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

แต่ก่อนจะไปว่ากันเรื่อง ‘เปลี่ยนมุมในการมองภาษาอังกฤษ’ กับครูนุ่น เธอสรุปเคล็ดลับง่ายๆ ในการเรียนให้ฟังก่อนดังนี้

เคล็ดลับภาษาอังกฤษง่ายๆ กับครูนุ่น

  1. ‘See things in English’ มองทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ ปรับวิธีคิดหรือมุมมองต่างๆ ให้เป็นภาษาอังกฤษ เช่น คิดแคปชั่นรูปในอินสตาแกรมเป็นภาษาอังกฤษหรือบ่นว่ารถติดเป็นภาษาอังกฤษในทวิตเตอร์ ไม่ต้องกลัวว่าไร้สาระหากสิ่งเหล่านั้นทำให้เราพัฒนาตัวเองได้
  2. ‘Repeat after me’ ฝึกออกเสียงซ้ำอย่างต่ำสองครั้ง เคล็บลับสำเนียงสวยๆ ของนุ่นคือ เวลาดูหนัง ฟังเพลงหรือได้ยินประโยคภาษาอังกฤษอะไรให้ขยับปากพูดตามเหมือน copy paste ขยับปากให้เหมือน ไม่ต้องกลัวเรื่องแกรมม่าเพราะเดี๋ยวมันจะค่อยๆ เข้ามาเอง
  3. ‘Don’t be hard on yourself’ ไม่สนุกอย่าฝืน รู้จักตัวเองก่อนเริ่มเรียนรู้ เพราะถ้ารู้สึกว่าไม่สนุกหรือไม่ชอบ ไม่ว่าจะเรียนหนักแค่ไหนร่างกายก็ไม่จำ

ตั้งต้นจากวัยเด็ก รู้สึกอย่างไรกับภาษาอังกฤษ

เท่าที่จำได้ ตอนอนุบาล จำได้แม่นเลยว่าอายมาก (ลากเสียงยาว) ครูให้เราท่องศัพท์คำว่า ‘orange’ ซึ่งเราท่องไม่ได้ ครูก็ทำโทษให้เรายืนบนเก้าอี้แล้วกางแขน ตอนนั้นคืออายแบบอายมาก เกลียดภาษาอังกฤษเลย ไม่ชอบ แต่เป็นการไม่ชอบแค่ช่วงเดียว พอขึ้นชั้นประถม โรงเรียนก็เริ่มมีครูฝรั่งมาสอนวิชาภาษาอังกฤษสัปดาห์ละครั้ง เราก็ได้เรียนกับเพื่อนที่เป็นฝรั่ง ผมทอง ตาฟ้า ซึ่งเป็นลูกอาจารย์ เราเกิดความสงสัยว่าทำไมเขาไม่เหมือนเรา พูดไทยไม่ชัด เรารู้สึกว่าแปลก แบบ… โลกนี้ไม่ได้มีแค่เรา แต่มีคนที่พูดไม่เหมือนกับเราด้วย

ความอายในครั้งนั้นหายไปตอนไหน?

ยังรู้สึกอายบ้างแต่ไม่ใช่ความรู้สึกเชิงลบ เป็นความรู้สึกแปลกแบบสงสัยมากกว่า จริงๆ ต้องยกเครดิตความสามารถทางภาษาอังกฤษของเราให้พ่อ (นาวาโทไชยนันต์ พีระณรงค์) นะ เพราะพ่อเราทำงานกับ UN จะมีเพื่อนฝรั่งเยอะ แล้วเพื่อนพ่อแต่ละคนก็มีลูกอายุไล่เลี่ยกัน

วิธีการสอนภาษาอังกฤษของพ่อเราคือไม่สอน คือไม่สอนจริงๆ ทิ้งให้เราไปอยู่กับลูกๆ ของเพื่อนพ่อทั้งวัน กลายเป็นว่าเราต้องเอาตัวรอดด้วยคลังคำศัพท์เท่าที่เด็ก ป.1 มี ‘I have a dog’ ‘Do you have a pencil?’ แค่นี้ แต่ได้พูดทั้งวันทำให้เราเป็นเด็กกล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ทำคือถูกต้องทั้งหมดนะคะ

ตอนนั้นด้วยความที่ยังเด็กยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ก็ใช้วิธีเอาตัวรอดคือ เอากระดาษมาวาดรูป หรือไม่ก็ชี้ๆ ตอนนั้นความรู้สึกของเราคือ ภาษาอังกฤษคือสกิลเอาตัวรอด อาจเป็นความโชคดีในก้าวแรกที่ไม่ได้ถูกสอนให้กลัวฝรั่ง ที่เหลือคือผิดเอง เรียนรู้เองหมดเลย

จุดที่ทำให้หันมาสนใจภาษาอังกฤษอีกครั้งคืออะไร

ประมาณ ป.1-2 ตอนนั้นหนังเรื่องไททานิคเข้า จำได้ว่าไปดู 7 รอบ เพราะชอบมาก ตอนนั้นเราสงสัยว่าทำไมฝรั่งถึงออกเสียงคำว่า ‘I love you’ ไม่เห็นเหมือนที่ครูสอนเราเลย กลายเป็นจุดเริ่มต้นว่าที่ผ่านมาเราพูดไม่เหมือนฝรั่งหรือเจ้าของภาษาเพราะเรายังคิดแบบไทย เรียนแบบไทย อ่านออกเสียงโดยเอาพยัญชนะไทยมาใส่ ไม่ได้คิดแบบฝรั่ง หลังจากนั้นคือเปลี่ยนเลย

จากประสบการณ์นั้นทำให้เราสนใจเรียนภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนแทน เรียนในห้องก็ยังเรียนอยู่ แต่เรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย อย่างเวลาดูหนังหรือฟังเพลง เราจะกดหยุด (pause) แล้วขยับปากพูดตามเขา แล้วเรื่องไวยากรณ์มันจะค่อยๆ เข้ามาเอง

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

วิธีเรียนภาษาอังกฤษของคุณนุ่นเป็นแบบไหน

สำหรับนุ่น เราไม่สามารถเรียนได้ทุกอย่างในวันเดียว จะเอา listening, speaking, reading หรือ writing วันเดียวไม่น่าได้ เราจะเรียนสกิลละวันแทน ตัวอย่างเช่น วันนี้อยากฝึกพูด ก็พูดเลย ไม่ต้องสนแกรมม่า ไม่ต้องใสใจ พูดไว้ก่อน อย่างวันนี้ขึ้นลิฟต์ได้ยินว่า ‘sorry to keep you waiting’ ก็พูดตาม (ออกเสียงพูดตาม) ออกเสียงจนกว่าจะเหมือนเขา

วันพรุ่งนี้เรียนแกรมม่า เมื่อวานได้ยินว่าอะไรนะ ‘sorry to keep’ อ๋อ keep ตามด้วย verb + ing จะมา sorry to keep you wait ไม่ได้ แล้วเอาที่ได้ยิน ได้รู้กลับมาใช้ให้ตรงกับบริบทที่เพิ่งเกิดขึ้นของตัวเอง สำหรับเรา ไม่มีประโยคภาษาอังกฤษไหนถูกใจเท่าเราได้พูดเองหรอก แล้วเราก็จะจำ

คุณไม่เคยไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศเลย แต่ทำอย่างไรให้สำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจนขนาดนี้

ตอนแรกก็สำเนียงไทยนี่ล่ะ ก็เราเรียนที่ไทย โตที่ไทยเนอะ หลังๆ ความอยากพูดได้ก็ทำให้เราเริ่มฝึกจนสำเนียงไปฝั่งอเมริกัน จนใกล้จะเรียนจบขึ้นปี 3 มาฝึกงานที่ช่องสาม สายข่าวต่างประเทศ ได้ยินช่อง BBC เราก็ชอบเลย อยากพูดได้ สำเนียงสวยจัง ตอนนั้นก็เริ่มเลย copy paste เขาพูดว่าอะไรเราพูดสองรอบ อย่าง ‘Can I have a bottle of water? (สำเนียงอเมริกัน)’ ไม่ๆ เอาใหม่ๆ ‘Can I have a bottle of water? (สำเนียงอังกฤษ)’ เหมือนคนบ้าเลยตอนนั้น (หัวเราะ) จนมารู้สึกตัวอีกทีคือมีฝรั่งพูดกับเราว่า ‘Your sound so British’

ความอยากได้มันแรงกว่าแพชชั่นนะคะ อยากพูดสำเนียงแบบนี้ได้ ฝึกทุกวันจนพัฒนามาเป็นตอนนี้ พูดตรงๆ ก็คิดว่าเรายังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก เพราะเราเองก็เป็นคนไทย มันจะมีบางอย่างหลุดๆ ออกมา ซึ่งไม่ได้กังวลนะเพราะสำเนียงภาษาอังกฤษแต่ละชาติก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแตกต่างกันออกไป

ไม่ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ เสียเปรียบคนที่ไปเรียนกับเจ้าของภาษาไหม?

มองว่าเป็นความท้าทายแทน สนุกดีนะ ทำอย่างไรให้เราได้เท่ากับคนที่มีโอกาสไป สำหรับนุ่นคือ ใจที่อยากพูดภาษาอังกฤษต่างหาก แล้วทุกอย่างจะมาเอง เพราะสิ่งรอบตัวไม่ใช่ข้อจำกัดในการพัฒนาตัวเอง ถ้ามีโอกาสไปเรียนเมืองนอก ไปแลกเปลี่ยนก็สนับสนุนไปเถอะแต่สมมุติใครที่ไม่มีโอกาสขนาดนั้นอย่าไปคิดว่าคือข้อจำกัด ถ้าคิดว่าเราจะเก่งภาษาอังกฤษแล้วต้องไปเรียนเมืองนอกอย่างเดียว เราว่าไม่จริง ทุกอย่างอยู่รอบตัว แค่ตื่นเช้ามากดปิดนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์คือคำว่า ‘snooze’ (งีบหลับ) ถามว่าแปลว่าอะไร? แปลว่าของีบแป๊บนึงใช่ไหม? หลายคนยังไม่รู้เลยว่าคำนี้จริงๆ แปลว่าอะไร แต่รู้ว่าคืออะไร

สโลแกนของนุ่นเลยคือ ‘See things in English’ อย่างเล่นเฟซบุ๊คจะลงรูปคิดแคปชั่นว่าไรดี เราก็เห็นละ ‘What’s on your mind?’ แล้วมันแปลว่าอะไร ไม่ต้องรู้เป๊ะๆ ก็ได้แต่เราเข้าใจใช่ไหมก็เอาไปใช้เลย ถามฝรั่งได้เลย ‘Hey, what’s on your mind?’

มองให้เห็น มองให้ละเอียด บางอย่างมันอยู่ใกล้จนตัวเราไม่สนใจ เริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัว ตั้งคำถามจากสิ่งไกลตัว เช่น รถติดอยากบ่นเป็นภาษาอังกฤษ ต้องใช้คำว่าอะไร ถึงคนอื่นจะมองว่าไร้สาระแต่ว่าถ้ามันทำให้เราพัฒนาได้ก็นับหมดนะ

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

เด็กๆ หลายคนไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษเพราะกลัวออกเสียงผิด หรือกลัวว่าพูดชัดแล้วจะหาว่าดัดจริต หรือกลัวว่าพูดไปจะผิดแกรมม่า ทั้งหมดนี้เป็นความกลัวของคนส่วนใหญ่ ทำให้เด็กๆ ไม่ได้พัฒนาภาษาอังกฤษเท่าที่ควร คิดอย่างไรกับประเด็นนี้?

เราคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษกับคนไทยยากสุด ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ภาษาเราแต่การพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งเรากลับกล้าจะใส่เต็ม หรือต่อให้พูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาเราก็กล้าใส่เต็ม แต่พอเป็นคนไทยกลายเป็นว่ากลัวกันเอง แต่ถ้าถามว่ามีคอมเมนท์อะไรไหม ก็ขอตอบว่าโนคอมเมนท์ เพราะเราเปลี่ยนความคิดเขาไม่ไม่ได้ แต่เปลี่ยนตัวเองได้ คือไม่ต้องสนใจใครจะว่าอะไรเลยมากกว่า แต่เอาจริงๆ แล้ว เราไม่ควรสนใจคนที่คิดแบบนั้นกับเราต่างหาก มันบ่อนทำลายมากเลยนะ

เราเคยเจอเด็กเล่าให้ฟังในทวิตเตอร์ว่าครูสอนภาษาอังกฤษว่าเขา ว่า ‘ต้องพูดเว่อร์ขนาดนี้เลยเหรอ’ กลายเป็นว่าทำลายความฝันของเขาไปเลย ดังนั้น ถ้าให้เลือกระหว่างความกล้ากับความถูกต้อง นุ่นจะเลือกให้เด็กกล้าทำก่อน

กล้าไว้ก่อน ถ้าผิดเดี๋ยวก็ถูกเอง แต่ถ้ามัวแต่กลัวว่าจะทำผิด คนที่เขากล้าทำ เขาทำไปสิบอย่างแล้ว เพราะงั้นลองก่อน ผิดถูกเดี๋ยวรู้กัน

เคยโดนแซวเรื่องสำเนียงไหม เช่น ‘เยอะ’ หรือ ‘ดัดจริต’?

ถ้าถามว่านุ่นเคยเจอไหม อาจเคยเจอนะ แต่เราไม่ได้ยิน เพราะเราคิดว่าฉันยังพูดไม่เหมือนเจ้าของภาษา ออกเสียงไม่เหมือนเขา ทุกวันนี้อาจมีคนไม่ชอบก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่เราควรเลือกเองว่าจะให้อะไรดังอยู่ในหัวเรามากกว่ากัน ระหว่างเป้าหมายของเรากับเสียงของคนอื่น ถ้าเสียความมั่นใจเพราะคนอื่นก็อาจไม่ต้องฟัง เพราะถ้าเสียงความฝันเรามันดังกว่า เดี๋ยวเสียงคนรอบข้างก็หายไปเอง เหมือนที่เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran ศิลปินชาวอังกฤษ) บอกว่า แก้แค้นกันด้วยความสำเร็จ ‘Success is the best revenge’ ไม่ว่าจะทักษะไหน

แสดงว่าบุคลิกภาพที่มั่นใจในตัวเอง ส่งผลต่อการเรียนและพัฒนาภาษาอังกฤษ?

เราคิดว่ามันเชื่อมกับทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษแต่ทุกสาขา ทุกทักษะ ทุกวิชา ถ้าความมั่นใจในที่นี้คือ มั่นใจว่าเราจะไปถึงเป้าหมายบางอย่างที่เราตั้งเอาไว้

ดังนั้นเวลานักเรียนเราพูดผิด เราจะไม่บอกว่าเขาพูดผิด เราจะบอกว่า ‘ให้พูดใหม่สิ’ หรือ ‘ดีมากแต่เพิ่มตรงนี้หน่อย’ เหมือนเป็นการให้กำลังใจ เราคิดว่าคนไทยต้องการพลังงานที่ดี เวลาเราไปสอนที่ไหนก็ตาม ส่วนใหญ่เราจะเอาความผิดพลาดของตัวเองมาสอน อย่างเคยเจอฝรั่งถามถึงพี่สาวเราว่า ‘What year?’ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาหมายถึงว่าอยู่มหาวิทยาลัยปีไหน แต่เราตอบไปว่า ’22 years old’ อะไรแบบนี้ จริงๆ ก็เจ็บมาเยอะ ปล่อยไก่เยอะ อดีตเคยพัง ปัจจุบันก็ยังมีพังบ้าง (ยิ้ม)

เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนรู้ว่า ก่อนจะเก่งได้ก็ต้องผิดพลาดมาก่อนทั้งนั้น นุ่นอยากให้ทุกคนกล้าออกมาทำ ต่อให้ผิด เราก็จะได้สิ่งนั้นเป็นบทเรียนแทน จำก็จำจริงๆ อายก็อายจริงๆ แล้วจะไม่เป็นอีก

หลังจากมาเป็นครูแล้ว มองระบบการศึกษาโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษอย่างไร

จริงๆ คำว่า ‘ครู’ เป็นคำที่เพิ่งได้มา เราไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นครู ตอนแรกสุดเราไม่ได้เป็นครูแต่ใครถามอะไรแล้วเราบอกเขา ตอบได้ อาจไม่ได้รู้ทุกเรื่องแต่ช่วยหาคำตอบให้ และอาจเพราะทำเพจเฟซบุ๊คมาประมาณสามจะสี่ปี จึงทำให้เขาเรียกว่าครู เหมือนเป็นคำที่เป็นคนอื่นเรียก เหมือนเขาให้เกียรติเรา เพราะเราไม่ได้จบตรงสายครุศาสตร์เลย

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

ส่วนเหตุผลที่คนไทยหรือเด็กไทยไม่ได้รู้สึกชื่นชอบภาษาอังกฤษมากขนาดนั้น เรามองว่าเพราะบริบทการเรียนบางอย่างมันไม่ได้ใกล้ตัวเขา ไม่ว่าจะวิชาอะไรก็ตาม กลายเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเรียนกันนานมากแต่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่นับวิธีการสอนหรืออื่นๆ ที่เราสามารถทำให้ใกล้ตัวเด็กได้ แต่กลับทำให้เด็กปิดประตูตั้งแต่เริ่ม อีกอย่างคือมันใช้ไม่ได้จริง เรามองว่าอย่าไปโทษวิชาการว่ายากเลย แต่เราทำให้วิชาการสนุกขึ้นได้ โดยการเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการสอนได้

พอมาเป็นครูจริงๆ เราเลยได้รู้ว่าวิธีการสอนสำคัญ เปลี่ยนนิดเดียว เปลี่ยนความสนใจเขาได้เลย

สุดท้าย ช่วยให้คำแนะนำกับใครก็ตามที่กำลังจะเรียน เรียนอยู่ หรือท้อกับภาษาอังกฤษในตอนนี้

สำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่หรือเริ่มเรียนเราจะบอกนักเรียนทุกคนเลยว่าให้เริ่มต้นจาก ‘ความอยากทำ’ ‘อยากได้’ ก่อน อย่างเราคืออยากพูดภาษาอังกฤษได้คล่องๆ เหมือนเจ้าของภาษา จนถึงตอนนี้เราก็ยังรู้ว่ายังไม่เท่าที่ตั้งเอาไว้ เพราะเราอยากดีมากกว่านี้ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดได้แบบนี้แล้วเดี๋ยวเส้นทางมันก็จะตามมาเอง ต่อมาคือเรียนรู้จากความสนใจและความผิดพลาดเพราะว่าถ้าเรียนรู้จากสิ่งที่สนใจแต่ไม่ได้ลองใช้เลยก็ไม่มีประโยชน์ เช่น เด็กผู้ชายชอบบอล ชอบเกม ROV ก็ดูจากในนั้น ท้าเลย ภาษาอังกฤษในเกมพวกนี้สวยมาก แกรมม่าก็มาเต็มมาก หรือชอบร้องเพลง โอ้ย สบายมาก ชอบดูหนัง โห ย่อยได้อีกเยอะว่าอยากได้ศัพท์แนวไหนหรือสไตล์ไหน

แต่ที่สำคัญคือ อย่าฝืนตัวเองถ้ามันไม่สนุกอย่าฝืน จริงๆ ก่อนจะเรียนทุกทักษะต้องรู้ทันตัวเองก่อน รู้ว่าตัวเองไม่จำ ไม่ชอบหรือไม่สนุกแน่ถ้าทำอย่างนี้ เพราะถ้าร่างกายไม่ไปแล้ว วินาทีต่อจากนั้นมันก็ไม่จำแล้ว เอาเท่าที่ใจอยาก แล้วพรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่ ไม่ต้องตะบี้ตะบัน ยัดเยียดตัวเอง เน้นทำน้อยๆ เท่าที่อยากจะทำ แต่ทำทุกวันแล้วกัน อยากฝึกเท่านี้ ฝึกแค่นี้พอ

Tags:

ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

‘เจ้าหนูจำไม’ ความสงสัยนำไปสู่การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด
Character building
3 September 2018

‘เจ้าหนูจำไม’ ความสงสัยนำไปสู่การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

“อันนั้นคืออะไรคะ” “ทำไมอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ครับ” คำถามซ้ำๆ หลายๆ รอบของลูก พ่อแม่อาจมองว่าน่ารำคาญแต่ถ้าเข้าใจลูกสักนิด ก็จะรู้ว่าเด็กๆ กำลังเรียนรู้

‘ความอยากรู้อยากเห็น’ หรือ CQ ย่อมาจาก Curiosity Quotient เป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกลัวจากการไม่รู้

ทำไม CQ จึงสำคัญพอๆ กับ IQ – ความฉลาดทางปัญญา และ EQ – ความฉลาดทางอารมณ์

โทมัส ชาโมร์โร-พรีมูซิค (Tomas Chamorro-Premuzic) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาธุรกิจ University College London และ Columbia University รวมทั้งเป็นคณะทำงาน Harvard’s Entrepreneurial Finance Lab เขียนบทความเรื่อง ‘Curiosity is as Important as Intelligence’ บอกว่า คนที่มีซีคิวสูงเป็นคนชอบถามคำถาม ชอบพูดคุยเพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้คน ชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ เห็นความแปลกใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เลยเบื่อง่ายหากต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจ ทำให้ชอบคิด มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถคิดแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนได้ แตกต่างจากไอคิวที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเรียนรู้ การทำความเข้าใจองค์ความรู้และหลักการต่างๆ แต่ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

และพ่อแม่สามารถสนับสนุนให้ลูกมี CQ ได้ ด้วยการตอบคำถามเขา แต่ไม่ได้ตอบอย่างเบ็ดเสร็จ ควรตอบเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ต่อ

ตอบอย่างไร คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • 21st Century skills
    INITIATIVE: ริเริ่มสร้างสรรค์โดยไม่มีใครร้องขอ แก้ปัญหาไม่ต้องรอคนจ้ำจี้จ้ำไช

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว
Creative learning
31 August 2018

‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ในแวดวงการศึกษานอกรั้วโรงเรียน ครูจืด-เข็มทอง และครูหน่อย-อาริยา โมราษฎร์ แห่งเด็กรักป่าถือเป็นป๋าแห่งวงการ
  • เพราะหัวใจของเด็กรักป่าคือ การศึกษาศิลปะ บทกวี และมีใบไม้เป็นครู จึงเรียนในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่ได้
  • ทั้งคู่ไม่วางบทว่าตัวเองต้องเป็นครู แต่เป็นคนยุและแหย่ให้เด็กๆ เห็นว่าตัวเองชอบอะไร และอะไรที่เหมาะ จนค้นหาตัวเองเจอ
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ในสายงานการศึกษานอกหลักสูตรหรือการเรียนรู้นอกห้องเรียน ‘เด็กรักป่า’ ถือเป็นป๋า เพราะมาก่อน และก่อนนานมาก (ลากเสียงยาว)

เกือบ 30 ปีที่แล้ว ‘ครูจืด’ เข็มทอง และ ‘ครูหน่อย’ อาริยา โมราษฎร์ สามีภรรยา ก่อตั้งกลุ่มเด็กรักป่า ขึ้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพราะต้องการสานต่อการเรียนให้ลูกหลานชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐที่ต้องการพื้นที่ป่ากว่า 250,000 ไร่ทั่วประเทศไปให้รัฐบาลญี่ปุ่นใช้ปลูกต้นยูคาลิปตัสเพื่อแลกกับงบประมาณเข้าประเทศ 80,000 ล้านบาท

“พ่อแม่ออกไปต่อสู้เคลื่อนไหว ลูกๆ ไม่ได้เรียนต่อเนื่อง เลยคิดทำค่ายขึ้นมา”

ทำไมต้องเด็กรักป่า?

“เด็กอยู่ในชุมชน เขาซึมซับเรื่องป่าไม้อยู่แล้ว ถ้าเราได้จัดกระบวนการค่าย หรือจัดกระบวนการเรียนรู้ แล้วให้เขาสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมของเขาเอง สังคมจะได้ฟังจากเรื่องราวต้นไม้ ป่าไม้จากเด็กๆ

“พอทำค่าย เราก็เห็นความสามารถของเด็กๆ เด็กต่างจังหวัดนี่เขียนบทกวีจากความรู้สึกที่แท้จริงของเขา หรือการละครเขาก็แสดงออกแบบธรรมชาติ เด็กต่างจังหวัดเขามีทักษะพื้นฐานโดยธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว เราก็อยากเก็บความสามารถของเขาเอาไว้ เลยตั้งเป็นโรงเรียนเด็กรักป่าขึ้นมา” ครูหน่อยรำลึกความหลัง

หัวใจของเด็กรักป่าคือ การศึกษาศิลปะบทกวี และมีใบไม้เป็นครู

เครื่องมือการเรียนรู้ทุกอย่าง อ้างอิงจากธรรมชาติ ทั้งศิลปะ ละคร บทกวี และเกม มีครูจืดรับหน้าที่เป็นฝ่ายบู๊ และครูหน่อยอยู่ฝ่ายบุ๋น

ทำไมต้องเป็นศิลปะ ทำไมต้องเป็นบทกวี และทำไมต้องเป็นบทละคร

ครูจืด: คุณหน่อย-ภรรยา จบศึกษาศาสตร์มา ดูเรื่องการศึกษา ผมจบศิลปะมาก็เอาศิลปะมารับใช้ ทำไปช่วงนึงมันถึงทางตัน เราก็ดูว่ามีเครื่องมืออะไรที่จะทำให้เด็กได้พัฒนาตนเอง จากการที่เราลงไปทำกิจกรรม เวลาเด็กสื่อสารกันได้ง่าย เขาจะสื่อสารกันด้วยศิลปะ เช่น วาดรูป ถึงเด็กจะไม่ใช่ศิลปิน แต่พอเขาได้บันทึกภาพชุมชนของตัวเอง มันจะเป็นอุโบสถที่มันโย้เย้หน่อย ต้นไม้อาจจะผิดไซส์ แต่ชาวบ้านดูแล้วก็เข้าใจว่าเด็กกำลังจะเล่าเรื่องอะไร

ครูหน่อย อาริยา โมราษฎร์

ครูหน่อย: จริงๆ แล้วเด็กทุกคนมีจริต มีความชอบที่ต่างกันออกไป บางคนเขาก็จะเขียนอย่างเดียว ดนตรีอย่างเดียว หรือบางคนก็ชอบวาดอย่างเดียว พอเขามาอยู่เด็กรักป่าเขาก็จะพัฒนาจริตของเขาในเรื่องที่ไม่เหมือนกัน ได้พัฒนาในสิ่งที่ตัวเองชอบ พอได้รับการยอมรับหรือมีเวทีในการนำเสนอ มีเวทีในการวิพากษ์วิจารณ์ มีประชุมกันบ่อย สรุปงานกันบ่อย เด็กได้แสดงความรู้สึก ออกความเห็น เด็กก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ รู้ว่าอะไรเหมาะสม และอะไรที่ฟุ่มเฟือย ควรตัดออก มันเป็นกระบวนการในการเรียนรู้ ก็ทำให้เขาได้บทสรุปของตัวเอง

ครูจืด: เหมือนเป็นบทสรุปในตัวเขา ว่าเออ ก็มาถูกทางแล้วนะ แล้วก็ตอบตัวเองว่า ใช่ ฉันชอบ

ซึ่งหาได้ยากในการศึกษาภาคปกติ?

ครูหน่อย: บางทีเขาก็อาจจะมีเวลาน้อยที่จะไปเรียนรู้หลายๆ อย่าง เขาเรียนรู้แต่วิชาการข้างนอกเยอะ บางทีแทบไม่ได้เรียนรู้ภายในตัวเอง หรือลืมตั้งคำถามตัวเองว่าเราชอบอะไร แล้วเราจะพุ่งไปทางไหน เราเรียนตามสิ่งเร้าที่อยู่ข้างนอก

ตัวเองจบศึกษาศาสตร์มา พยายามค้นหาวิธีการเรียนรู้และห้องเรียนแบบที่ชอบมาตลอดชีวิตว่าจะจัดกระบวนการเรียนรู้ยังไงให้เด็กๆ ค้นพบตัวเอง โปรเจ็คท์เล็กๆ อย่างเด็กรักป่า การมีนักเรียนน้อยๆ เราได้รู้จักเขามากขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นครูหรือเราเป็นอะไร รู้แต่ว่าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็สนุกไปด้วย บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเป็นนักเรียน เด็กๆ วาดรูป เราก็วาดรูปด้วย (ยิ้ม) แข่งกับเด็กเหมือนกัน บางทีก็ลอกเขา เขาวาดแล้วมันน่ารัก

ครูมีวิธีการสอนแต่ละวิชาอย่างไร

ครูจืด: ศิลปะที่ผมสอนจะเน้นความงามเล็กๆ ถ้าเราต้องการพูดถึงไลเคน เราก็แค่วางไว้ตรงนั้น แล้วบอกเด็กๆ ว่าไลเคนคือมอสกับเชื้อรามาแต่งงานกัน ไลเคนมีหน้าที่เก็บความชื้น ความชื้นเป็นสิ่งที่ละเอียดมากที่สุดเลย แล้วตัวไลเคน ก็เป็นดัชนีชี้วัดของอากาศบริสุทธิ์ ไลเคนบางตัวเราหาไม่ได้ในกรุงเทพฯ เพราะอากาศไม่บริสุทธิ์ แต่ไปเจออยู่ที่ดอยอินทนนท์ แต่ถ้าเราเจอไลเคนอีกตัวก็แสดงว่าอากาศเริ่มสกปรกแล้วเพราะมันทนและอึดมาก งานศิลปะเล็กๆ มันก็จะขยายองค์ความรู้ที่เชื่อมกับธรรมชาติ

ศิลปะเป็นเครื่องมือให้เขาได้เข้าไปเรียนรู้ธรรมชาติอย่างลึกซึ้งที่สุด ความรู้ที่เขาได้ก็เอามากล่อมเกลาจิตใจตัวเอง แล้วก็ได้ถ่ายทอดไปให้รุ่นน้อง ผ่านความงามของภาษาที่เขาเขียน เช่น บทกวี เขาจะเขียนผิดอักขระ ผิดวรรณยุกต์อะไรก็ช่าง แต่ความหมายที่ออกมามันไม่ผิด

ผมก็เริ่มต้นบทกวีง่ายๆ เช่น ถ้าฉันเป็น… ถ้าฉันเป็นหมา ถ้าฉันเป็นไส้เดือน ถ้าฉันเป็นลิง แล้วก็ลองสมมุติตัวเองว่า ถ้าฉันเป็นหมา แล้วก็จินตนาการว่า คุณจะเล่าเรื่องให้มันดราม่า หรือว่าสนุก ฮึกเหิมยังไง เสร็จแล้วก็เอามาอ่านให้เพื่อนฟัง เอางานศิลปะที่วาดวนให้กันดู จนไปสู่ความคิดเรื่องจัดนิทรรศการ รวมเล่มหนังสือ ฝึกให้เด็กๆ แต่ละจังหวัดผลัดกันเป็นบรรณาธิการ ช่วยกันคิดธีม ช่วยกันเขียน โรเนียวแล้วทำเป็นเล่ม

ส่วนละคร เริ่มจากผมพาเด็กไปแสดงนิทรรศการที่กรุงเทพฯ แล้วเจออาจารย์รัศมี เผ่าเหลืองทอง อาจารย์เห็นงานก็บอก เฮ้ย! ภาพวาดเด็กดีจัง บทกวีเด็กดีจัง อยากลงพื้นที่ไปดูว่าทำไมเขาถ่ายทอดแบบนี้ได้

ลงพื้นที่เสร็จ อาจารย์แนะนำว่าถ้าทำละครสักหน่อยก็น่าจะดีนะ อาจารย์ก็มาช่วยทำละครที่เล่าเรื่องชุมชนจริงๆ มันก็เลยออกมาเป็นภาพวาด บทกวี แล้วก็ละคร

เด็กๆ มีส่วนในการเข้าไปออกแบบอย่างไรบ้าง

ครูจืด: มันเริ่มจากเขาสนใจอะไรด้วย หลังจากที่เขาได้รับพื้นฐานไปแล้ว เขาอยากรู้ต่อแต่เราไม่มี เราก็ต้องไปหาคนอื่น เช่น ธรรมชาติก็ได้จากชมรมคนดูนก การเขียนก็พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง การทำรายการโทรทัศน์ก็พี่นก-นิรมล รายการทุ่งแสงตะวัน

อันดับหนึ่ง เราต้องกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก สอง หลังจากกระตุ้นเสร็จแล้ว เราต้องให้เด็กสนใจอยากรู้อยากเห็น สามคือ เด็กต้องเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และสี่คือ องค์ความรู้ที่เด็กได้เด็กต้องเอาไปใช้ประโยชน์ต่อสังคม ต้องคืนกลับสังคม

มีวิธีการกระตุ้นเด็กๆ อย่างไร

ครูจืด: ผมมีหมดเลยครับ โทษนะครับ ผมเป็นคนที่ไม่สุภาพเวลาอยู่กับเด็กนะ ไอ้เหี้ย ไอ้ห่า ผมพูดหมด แล้วเด็กไม่ได้เรียกผมครู เขาเรียกผม ‘เสี่ย’ คือไปไหน กินข้าวอะไรก็เสี่ยจ่าย

แต่เวลาเสี่ยทำผิด เด็กก็สั่งลงโทษผมได้นะ ครั้งหนึ่งผมอารมณ์เสีย ไปเตะหม้อหุงข้าว เด็กก็ด่าว่าเสี่ยอายุมากแล้วไม่ควรใช้อารมณ์

กับเด็กที่อยากกินเหล้าน่ะ คือให้กินจนรู้ เราบอกเขาแล้วว่ากินเหล้าแล้วมันไม่ดียังไง แต่เราไม่ห้าม แต่ถ้าคุณแอบกินเหล้าในค่าย คุณก็ต้องยอมรับการลงโทษ

ครูจืด เข็มทอง โมราษฎร์

เด็กบางคนประท้วง อยู่ค่ายนานอยากกลับบ้าน ผมไม่ให้กลับ ก็หนีไปอยู่ในป่า ผมก็ให้เพื่อนผู้หญิงไปส่งอาหารให้มัน ประท้วงได้ยาวจนผมใจอ่อน สุดท้ายผมก็บอกว่า กูให้มึงกลับบ้าน แต่กูไม่ให้เงินมึงนะ แต่กูจะบอกวิธีโบกรถกลับ แต่มึงต้องทำเอง

เพื่ออะไร?

ครูจืด: เขาต้องยอมรับความจริง เวลาที่ไปอยู่ในสังคม เขาจะต้องเจอสิ่งที่มันโหดมากกว่านั้น เขาต้องมองว่า สถานการณ์ที่โหดนั่นแหละคือการเรียนรู้ เพื่อจะพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ สร้างวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตที่ไม่กลัวปัญหา

ยกตัวอย่างนะ หลายปีก่อนมีข่าวช้างตกเหวที่เขาใหญ่ ตอนนั้นผมนั่งกินข้าวกับเด็ก 2 คน แล้วถามเด็กไปว่า ช้างตกเหวมึงต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้มีช้างตกอีก คืนนั้นผมขับรถไปปราจีนบุรีเลย ผมก็ขึ้นไปถือป้ายประท้วงรักช้าง สงสารช้าง ต้องหยุดการตายของช้าง เจอเจ้าหน้าที่บล็อก ไม่ให้ประท้วง ผมก็คุยกับเด็กว่าเอาไงต่อดี เด็กก็บอกว่า เอางี้สิ เราก็เอาป้ายออกแล้วก็แปะเสื้อ “รักช้าง สงสารช้าง ช่วยช้าง” เดินเรียงแถวขึ้นเขาใหญ่เลย

ผมจะใช้สถานการณ์จริงเพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ ศิลปะ ละคร บทกวี จากนั้นเอามาพัฒนาความคิดตนเอง แล้วนำเสนอกับสังคมให้ได้รับรู้

ผมเป็นคนที่ยุ ยุให้เห็นว่าเขาชอบอะไร เป็นเหมือนสะพานเชื่อม เชื่อมให้เขาได้เห็นห้องหัวใจของเขาแต่ละห้องว่าอะไรที่ชอบ อะไรที่เหมาะ เพราะผมไม่สามารถสอนให้ได้ทุกอย่าง ซึ่งการค้นพบตนเองเร็ว เท่ากับเขายืนสองขาอย่างมั่นคงตั้งแต่เด็ก และจะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เขาชอบ

ยุอย่างไร

ครูจืด: ไม่ต้องเรียนหรอก เรียนแล้วโง่ คนไหนไม่เรียนเนี่ย ผมบอกเลยว่ามึงนี่สุดยอด อย่างตัวผมเอง (โดนไล่ออกจากเพาะช่าง) เรียนศิลปะมา ตัวหลักสูตรศิลปะมันมีข้อจำกัด ทั้งที่เราไปไกลแล้ว แต่เราต้องมาทำอีกอย่างนึง ความคิดมันไปไกลกว่าบล็อกของหลักสูตร จริงอยู่ คนเรียนศิลปะต้องมีทักษะ แต่การถ่ายทอดศิลปะมันไม่จำเป็นจะต้องใช้ทักษะในกรอบก็ได้

ครูคนที่ไล่ผมออกจากเพาะช่างบอกว่า มึงไม่ต้องไปเรียนปริญญาตรี มึงเรียนแค่นี้พอ มึงทำมาหากินได้ ไอ้นั่นเป็นวิชาการ จะให้ศิลปะมันเป็นเรื่องวิชาการและเป็นเรื่องชีวิต คุณเลือกเอา

เราต้องมองทุกสิ่งที่กระทบให้เป็นเรื่องปกติ ถึงจะจบดอกเตอร์แต่ก็ต้องมาขึ้นๆ ลงๆ กับสภาวะอารมณ์ สภาวะสังคมแบบนี้ ก็ยากที่จะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าเราปกติอยู่กับทุกอย่าง ทั้ง คำชม คำด่า curve ชีวิตก็จะเป็นไปอย่างงี้ เราจะชม้อยชม้ายชายตา จะเยาะเย้ย หรืออิ่มสุขอิ่มใจกับวิถีชีวิตแบบไหนก็ได้

ทำอย่างไรให้ปกติ

ครูจืด: วิธีที่ดีที่สุดคือเราต้องยอมรับความจริง และประคองทุกอย่างให้อยู่ในความเป็นปกติเท่านั้น ความเป็นปกติเท่านั้นที่เป็นสากล ความเป็นปกติเท่านั้นที่มันเป็นหัวใจของคนที่จะบรรลุทุกอย่าง ยากนะ

ในฐานะคนช่างยุ ทำให้เด็กสนใจ อยากเรียนรู้ คนแบบนี้สำคัญขนาดไหน

ครูจืด: แล้วแต่บริบทนะ เพราะบางทีมันก็ใช้ได้ บางทีมันก็ใช้ไม่ได้นะครับ บางทีผมก็ไม่ใช้ตัวนี้ ก็มีลูกปลอบประโลมกันด้วย เช่น เด็กค่ายคนหนึ่ง ถูกยัดเยียดข้อหาว่าเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย เขารู้สึกผิดหวัง คิดว่าตัวเองทำดีมาตลอดเลย เราก็บอกว่ามันมีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือ ต้องพิสูจน์ว่ามึงบริสุทธิ์ กับอีกอันนึงคือ มึงจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็ได้ ปกติกูก็รักมึงอยู่แล้ว กูเห็นว่ามึงมีจิตใจแบบไหน มึงจะเฉยกับมันตั้งแต่ต้นก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

ครูจืด เข็มทอง โมราษฎร์

ครูจืดคิดว่าตัวเองเป็นครูมั้ย

ครูจืด: ไม่เคยเลย ชาวบ้านเรียกผมลุงจืด เด็กหน่อยก็อาจืด ไม่มีบุคลิกเป็นครูหรอกครับ โดยมารยาทก็ไม่น่าใช่ด้วย

พูดกูมึง กับเด็กทุกคน?

ครูจืด: คนไหนที่เป็นเนื้อแท้ของเด็กรักป่า ผมพูดกูมึงกับมันทุกคนเลย ถ้าเป็นคนที่ ผม ครับ แสดงว่าเหมือนยังห่างๆ ไม่ต้องเอาผมเป็นแบบอย่าง เพราะผมไม่มีคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของคนดี ผมก็เลวทุกข้อ ไม่มีศีล 5

30 ปีที่ผ่านมา เด็กที่ผ่านเด็กรักป่ามา มีนิสัยอะไรที่ติดตัวไปบ้าง

ครูจืด: เห็นว่าไอ้พวกนี้มันอยู่ในสิ่งมันชอบ และไม่เคยฟูมฟายเลยจนถึงปัจจุบัน แล้วสุดท้ายมันก็เจอทางของมัน เป็น expert ถึงแม้จะไม่จบอุดมศึกษา

ยกตัวอย่าง ‘เซียน’ ที่ทำหมอลำหุ่น คณะเด็กเทวดา เขาเอากระติ๊บข้าวมาทำเป็นหมอลำหุ่น แล้วปัจจุบันเปิดเป็นศูนย์ท่องเที่ยว ถือเป็นนวัตกรรมของชุมชน มันเอากิจกรรมชาวบ้านกับชุมชนมาสร้างปรากฏการณ์ให้กับจังหวัดมหาสารคาม เดิม มหาสารคามเป็นจังหวัดที่ไม่มีเทศกาลงานช้างเหมือนสุรินทร์ ไม่มีเทศกาลเข้าพรรษาเหมือนอุบล แต่ตอนนี้มหาสารคามมีเทศกาลหุ่นฟางยักษ์จากผลงานเด็กๆ มีอาจารย์จากมหา’ลัยทั่วประเทศมาขอดูงานมัน ซึ่งไม่จบปริญญาตรี

เวลาเจอปัญหา หรือเวลาเจอวิกฤติ เด็กที่ผ่านเด็กรักป่ามาจะมีวิธีแก้หรือจัดการอย่างไร

ครูจืด: อย่างผมไม่ได้มองอะไรเป็นปัญหานะ แต่ผมมองความจริงแล้วมึงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ มีแค่นั้น

แล้วเด็กจะอยู่กับความจริงได้อย่างไร

ครูจืด: เวลาไปไหน ผมไม่ใช้รถปิคอัพนะ ผมขับรถตู้ จะได้หันไปคุยกับเด็กๆ ได้ตลอด ขับไปๆ ระหว่างทางอาจจะสวย แต่ข้างหน้ามีเหว ชวนเด็กคุยว่า ถ้ามึงเดินไปเจอเหว หรือมึงเดินไปเจอทางโค้งเนี่ย ถ้ามึงเดินต่อนะ มึงก็จะเห็นว่าโค้งนี้มันมีทางไปของมัน อย่างโค้งข้างหน้าเนี่ยดูเหมือนมันสุดนะ แต่ถ้ามึงไปต่อ มึงจะเห็นอะไรบางอย่าง เวลาเจอปัญหาก็เหมือนกัน มึงอย่าถอย มึงเดินเข้าไปแล้วมึงก็จะเห็นทางออก

เด็กๆ ที่ผ่านเด็กรักป่าไป อะไรที่ทำให้เขาสอบผ่านในสายตาครู

ครูจืด: เฉพาะเด็กที่กินนอนกับเด็กรักป่า อยู่ตั้งแต่ ป.4 – 5 – 6 ผมโอเคกับเขาทุกคน

เขาชอบที่จะแบกรับ ชอบที่จะหาทางออก ชอบที่จะมองมุมแบบใหม่ บางคนไปเป็นครู เขาก็ไปเป็นครูที่มีวิธีคิดในรูปแบบที่เขาเคยเป็น บางคนทำงานเป็นเลขาฯ เขาก็ยังเชื่อมสัมพันธ์กับอดีตของเขาเข้ากับองค์กร พวกที่อยู่ในวงการสื่อ หรือเอ็นจีโอ ผมก็เห็นเขารับผิดชอบหัวใจของเขาในเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม เรื่องการศึกษา แล้วเขาไม่มองอะไรอย่างผ่านๆ แต่เขาสามารถที่จะมองเชื่อมโยงในจุดเล็กๆ หลายจุด

คิดว่าดอกผลของเด็กรักป่าคืออะไร

ครูจืด: ถ้าโดยภาพรวมเด็กรักป่าก็เป็นหนึ่งในขบวนการที่ปรับปรุงพระราชบัญญัติการศึกษา ปี 2542 เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบับเดิม ผู้ปกครองมีหน้าที่ส่งบุตรหลานให้มีการศึกษา ซึ่งคำว่าหน้าที่ = บังคับ แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้เปลี่ยนเป็นว่าประชาชนมีสิทธิที่จะจัดการศึกษาและมีกฎหมายรองรับ มันจึงเกิดการศึกษานอกระบบ ในระบบ การศึกษาทางเลือก การศึกษาตามอัธยาศัย เด็กรักป่าก็มีที่ยืน จากที่เป็นโรงเรียนเถื่อน รัฐไม่ยอมรับ สุดท้ายเด็กรักป่าก็อยู่ตรงนี้

อันที่สอง จากที่ที่เด็กรักป่าเป็นลักษณะแบบนี้ คือ เป็นป่า เป็นทุ่งนา ก็ถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบขับเคลื่อนเรื่องกิจกรรมเรื่องการศึกษาทางเลือก แล้วสังคมก็บอกว่านี่เป็นการศึกษาอีกประเภทหนึ่งที่ควรมีคนทำเยอะๆ แต่มันไม่ใช่ข้อดีของเรานะ เพียงแต่ว่าเราเกิดก่อน ให้คนที่ตามหลังได้คิดและอุ่นใจว่า อ้อ! มันมีคนทำมาแล้ว และมันก็เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานเขา

ครูหน่อย: ภูมิใจนะ ดอกผลก็คือเราได้เห็นคนที่ผ่านกระบวนการค่ายของเรา เขาเติบโตแล้วเขามีความสามารถเฉพาะทางอย่างหลากหลาย พอไปอยู่ในสังคมเขาก็เป็นผู้นำ ไปอยู่ในองค์กรไหนเขาก็เป็นผู้นำ แล้วก็ใช้ศิลปะในการทำงาน แค่นี้เราก็รู้สึกภูมิใจแล้ว

เด็กๆ จากเด็กรักป่า เขามีโอกาสทำงานหลากหลาย ได้เจอคนเยอะ แล้วเขาก็ได้คำชมเยอะในสิ่งที่ได้เขาแสดงออก ว่าแสดงออกในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง จึงเป็นโอกาสให้เขาเก็บสะสมความรัก ความภูมิใจในตัวเอง

คนที่เป็นผู้นำคือคนที่สามารถเก็บรักษาความรัก ความภูมิใจตัวเองได้มาก แล้วก็เลือกทางของตัวเองได้เหมาะสม มันจะเหมือนการเก็บไมล์มาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนที่ฉายภาพตัวเองได้ชัดเจนว่า เราทำอะไรได้บ้าง เราอยู่ตรงไหนเราถึงเหมาะสม

Tags:

สิ่งแวดล้อมเข็มทอง โมราษฎร์ศิลปะเด็กรักป่าอาริยา โมราษฎร์คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนเข้าป่า

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’
Creative learning
31 August 2018

CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • CoderDojo ชมรมสอนทักษะการเขียนโค้ดสำหรับเด็กอายุ 7-17 ปี ที่ต้องการสร้างพื้นที่ชุมชนเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์จาก ‘การเรียนรู้ด้วยตัวเอง’ เริ่มต้นครั้งแรกที่ประเทศไอร์แลนด์ในปี 2011 ปัจจุบันมีสาขากว่า 1,900 แห่ง จาก 93 ประเทศทั่วโลก
  • ไม่มีครู เรียนรู้ตามความสนใจและข้อผิดพลาดของผู้เรียน แนวทางคือให้หาคำตอบด้วยตัวเองก่อน หากยังไม่ได้ ค่อยเดินไปปรึกษา ‘เมนเทอร์’
  • มองโลกอย่างเป็นระบบ, ลองผิดลองถูกอย่างไม่มีอคติกับคำว่า ‘ผิดพลาด-error’ และ ความสนใจใคร่รู้ คือคาแรคเตอร์สำคัญของเหล่าโปรแกรมเมอร์ตัวน้อย สำคัญที่สุดต้องตั้งอยู่บนฐาน ‘ความสนุก’ ด้วย

เปิดประตูห้องอเนกประสงค์บนชั้น 11 ของตึก FYI center ภาพตรงหน้าคือประชากรเด็กทั้งตัวเล็กมาก กลาง และใหญ่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางกองทัพคอมพิวเตอร์หน้าจอขาวดำที่มีตัวอักษรฟอนต์ดิจิตอลเหมือนที่นักสืบใช้ในซีรีส์หรือหนังประเภทล่าจารชน

แต่หากนำภาพตรงหน้าประมวลเข้ากับข้อมูลที่ได้ทราบก่อนนัดพบกับ มิชารี มุคบิล ผู้ร่วมก่อตั้ง CoderDojo สำนักโค้ดในประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัทไอทีชั้นนำ ประชากรขนาดหลายไซส์ตรงหน้า -คาดเดาจากสายตา มีตั้งแต่ยังไม่ครบสิบขวบ ไปจนถึงเกือบสิบห้าปีราว 5 คน และมีผู้ใหญ่ในห้องอยู่ 2-3 คน นิยามได้ว่าพวกเขาเหล่านี้คือ ‘นักเรียน’ และการเคาะแป้นโน้ตบุ๊คหน้าจอแปลกตาที่ไม่มีภาพกราฟิกพื้นหลัง

พวกเขากำลังคร่ำเคร่งกับการ ‘โค้ด’ หรือ coding

“CoderDojo คือชมรม Programming สอนทักษะการเขียนโค้ดสำหรับเด็กอายุ 7-17 ปี เราไม่มีครูสอน แต่เน้นให้เด็กๆ เรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสนใจของเขา ชมรมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศไอร์แลนด์เมื่อปี 2011 ปัจจุบันมี CoderDojo ประมาณ 1,900 สาขาจากทั้งหมด 93 ประเทศทั่วโลก แต่ที่ประเทศไทย ผมและพ่อโจ้ ผู้ร่วมก่อตั้งเปิด CoderDojo ในไทยได้ประมาณปีครึ่งแล้ว”

มิชารี หรือคุณพ่อชารีตั้งต้นให้ฟังเช่นนั้น และ ‘พ่อโจ้’ ที่เขาแนะนำ คือ จุมพฏ ศรียะพันธ์ อดีตโปรแกรมเมอร์ที่ผันตัวเป็นเกษตรกรไร่กาแฟ ปัจจุบันเป็นโปรแกรมเมอร์สมัครเล่น

ซ้าย: มิชารี มุคบิล ขวา: จุมพฏ ศรียะพันธ์

ที่แทนตัวทั้งคู่ด้วยคำนำหน้า ‘คุณพ่อ’ หมายความว่าอีกหนึ่งบทบาทร่วม คือการเป็นคุณพ่อเต็มเวลาที่ทำบ้านเรียนให้กับลูกๆ แต่ด้วยความชอบและความสนุก ทั้งเคยอยู่ในสนามอาชีพเดียวกัน พวกเขาจึงเปิดสำนักโค้ดแห่งนี้ในประเทศไทยด้วยต้องการสืบทอดปรัชญาของโดโจที่ว่า…

การเป็นชมรม Programming สำหรับเยาวชนที่ต้องการสร้างพื้นที่ชุมชนเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์จาก ‘การเรียนรู้ด้วยตัวเอง’

แน่นอนว่าทักษะการเขียนโค้ดเป็นทักษะของคนในศตวรรษที่21 ที่อาจไม่มีใครถามแล้วว่าการพูดภาษาคอมพิวเตอร์สำคัญอย่างไร คำถามที่น่าสนใจและต้องถามยิ่งกว่า คือการเรียนเขียนโค้ด การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้าง community หรือชุมชนการเรียนรู้แบบนี้ คือ เรียนตั้งแต่เด็กน้อยและด้วยวิธีให้เรียนด้วยตัวเอง จะสร้างคน สร้างคาแรกเตอร์ สร้างประชากรแบบไหนในโลกอนาคตอันใกล้ แต่ไม่อาจมีใครทำนายได้ว่าโลกที่ว่าจะมีหน้าตาอย่างไร

แต่ที่ชัดในเวลานี้ก็คือ คนที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เด็กเนิร์ดติดคอมฯ’ วันนี้กลับเป็นที่ต้องการตัว และเป็นทักษะที่คนในศตวรรษที่ 21 จะบอกว่า ‘ไม่รู้’ ‘ไม่ (พยายาม) เข้าใจ’ ไม่ได้แล้ว

มิชารี มุคบิล: จาก geek คอมฯ ยุคอินเทอร์เน็ตความเร็ว 2,400 bps สู่อดีตซีอีโอบริษัทไอทีชั้นนำ

ในโลกที่อินเทอร์เน็ตถูกพัฒนาจนมีความเร็ว 20 ล้านบิต/วินาที เป็นที่เข้าใจได้ว่าเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มีความสำคัญและกลมกลืนในชีวิตประจำวันต่อคนทั่วไปแค่ไหน แต่แม้จะกลมกลืนอย่างไร เทคโนโลยียังให้ภาพ ‘ตัวร้าย’ ที่อาจทำลายพัฒนาการ หรือเป็นได้แค่ ‘โลกเสมือน’ ไม่ใช่ ‘โลกจริง’ แง่หนึ่ง เทคโนโลยียังเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองปัจจุบันยังคงระมัดระวังและจำกัดเวลาการเข้าถึงเทคโนโลยีของเด็กๆ ไม่ให้มีมากเกินไป

แต่หากถอยกลับไปยังเทคโนโลยีเมื่อ 20 ปีก่อน จุดเวลาที่อินเทอร์เน็ตมีความเร็วเพียง 2,400 บิต/วินาที เด็กชายมิชารีกลับถูกส่งเสริมให้พบกับ ‘สนามเด็กเล่น’ ใหม่ และเป็นสนามเด็กเล่นที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเล่นอย่างไร

“ผมเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ตอนอายุ 9 ขวบ จำได้ว่าพ่อเอาแล็ปท็อปมาให้เครื่องหนึ่งพร้อมคู่มือการใช้อินเทอร์เน็ตหนาเท่าสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นเรายังใช้อินเทอร์เน็ตโมเด็มความเร็ว 2,400 บิต/วินาทีอยู่ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คือ DOS แปลว่าไม่มีเมาส์คลิกหรือหน้าจอสวยงามที่มีกราฟิกเป็นพื้นหลัง ยังไม่มี WWW. มีแค่ text ขึ้นบนจอขาวดำเท่านั้น

“เป็นโลกใหม่ มิติใหม่ เหมือนทุ่งหรือป่าที่เราวิ่งเล่นได้เต็มที่ เพียงแต่ไม่ได้ใช้ร่างกาย ใช้แต่สมอง ยังไม่รู้อะไรมาก แค่เปิดแล้วเล่นตามคู่มือ เข้าระบบนู้นออกระบบนี้”

มาถึงตรงนี้ ฉัน ซึ่งเกิดมาก็ต่ออินเทอร์เน็ตกับสายโทรศัพท์เข้าไปเล่นแชตโปรแกรม MSN และรู้จักกับ Hi5 แล้ว ไม่เข้าใจว่า การ ‘เล่น’ กับหน้าจอที่มีพื้นหลังเป็นสีดำและตัวอักษรดิจิตอลเหมือนในหนังนักสืบโค้ดจารชนใช้กัน มันเล่นยังไง และสนุกตรงไหน

พอถามไปเช่นนั้น ครอบครัวโดโจพร้อมใจกันหยิบโน้ตบุ๊ค ซึ่งมิชารีอธิบายว่าเป็นโปรแกรมแบบ virtual machine ที่จำลองระบบปฏิบัติการยุคก่อนกราฟิกในคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง แล้วทดลอง ‘เล่น’ โดยการคีย์คำสั่งลงในคอมพิวเตอร์ จนปรากฏการ์ตูน Star Wars

“เราไม่ได้เขียนเองครับ เป็นการ์ตูนที่โปรแกรมเมอร์คนอื่นเขียนขึ้นแต่เรา telnet เข้าไปเจอ” สีหน้าของพวกเขาสนุกและตื่นเต้นกับการค้นพบเพื่อนข้างบ้านคนใหม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาช่วยกันอธิบายว่าการเขียนหรือเล่นกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เหมือนการสืบค้นข้อมูลด้วยชุดคำสั่ง ถ้าเขียนผิดก็จะเจอ error ถ้าถูกก็จะค้นเจออะไรบางอย่างซึ่งหลายครั้งโปรแกรมเมอร์ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร (แต่หมวดการค้นคำสั่งแล้วเจอ error จะขอยกไปพูดยาวๆ ในหัวข้อถัดไป)

กลับมาที่เรื่องราวของมิชารี เราตั้งคำถามว่า การเป็นคนที่สนใจด้านเทคโนโลยีหรือเรียกว่าเป็น geek เฉพาะด้าน ซึ่งอาจมีกิจกรรมแตกต่างกับเพื่อนร่วมรุ่นทั่วไป ความสนใจนี้ทำให้เขาเป็นคนอย่างไร เขาจะเหมือนหรือแตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นหรือไม่ ซึ่งต้องขีดเส้นใต้ห้าร้อยเส้นด้วยว่า เขาสนใจคอมพิวเตอร์ในยุคที่อินเทอร์เน็ตอืดเป็นเต่าแถมราคาอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 40 บาท/ชั่วโมง

“ตอนเด็กๆ ทุกคนพูดว่าผมเป็นเด็กแปลก มีโลกส่วนตัวสูง ค่อนข้าง introvert ไม่ค่อยเข้าหาคน เรียกว่าการเข้าหาคนเป็นทักษะที่ผมไม่มีเลย แต่กับคอมพิวเตอร์นั้นไม่ใช่ ผมอยู่กับมันได้ตลอด มาถึงช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละที่ผมฝึกทักษะการเข้าหาคนบ้าง (หัวเราะ)”

ไม่ใช่แค่ ‘แปลก’ ในแง่ของการมีโลกส่วนตัว แต่เขาทำงานและได้ค่าตอบแทนครั้งแรกตั้งแต่อายุ 13 ปี และไม่ใช่ค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่เป็น ‘อินเทอร์เน็ตฟรี’

“ด้วยความที่คุณพ่อเป็นสื่อมวลชน ขาหนึ่งท่านทำข่าวด้านสายเทคโนโลยี ทำให้รู้จักกับคนที่นำกิจการอินเทอร์เน็ตเข้ามาเปิดในไทยยุคแรกๆ และได้อินเทอร์เน็ตมาใช้ฟรี แต่ใช้ได้สักพักหนึ่งก็เริ่มคิดเงิน ทีนี้เป็นปัญหาแล้วเพราะค่าอินเทอร์เน็ตตอนนั้นอยู่ที่ 40 บาท/ชั่วโมง หากผมอยากต่ออินเทอร์เน็ตทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ขั้นต่ำคงตกเดือนละหมื่นกว่าบาท แล้วผมจะหาเงินจากไหนโดยเฉพาะในยุคนั้น?

“สิ่งที่ผมทำคือ ตอนนั้นผมอายุ 13 ปี แต่เล่นคอมพิวเตอร์ไปๆ มาๆ ก็ไปแฮคระบบของบริษัทหนึ่งได้ มันเหมือนเราไปเคาะประตูบ้านเขาแล้วมันเปิดออก (หัวเราะ) ผมเลยติดต่อเข้าไปที่บริษัทแห่งนี้ บอกเขาว่า ‘พี่ๆ ผมแฮคระบบคอมฯ พี่ได้นะ (หัวเราะ)’ หมายความว่าฝีมือผมโอเคนะ ผมของานหน่อย ผมไม่เอาเงินเดือน ขอแค่อินเทอร์เน็ตใช้ฟรีเท่านั้น แกก็มีอารมณ์ขันนะ ไม่ได้เรียกตำรวจ แต่จัดอินเทอร์เน็ตฟรีให้ผมใช้ แลกกับเวลามีปัญหาเทคนิคทั่วไปก็มาปรึกษา”

มิชารี มุคบิล

ขีดเส้นใต้ไว้ว่า เมื่อพูดถึงคำว่า ‘แฮค’ คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าหมายถึงคนที่นั่งในห้องมืดแล้วแฮคเข้าไปในระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มิชารีอธิบายว่า ‘แฮค’ หมายถึงการดัดแปลง

“เหมือนเอารถไปติดสปอยเลอร์ ยกสูง ใส่ล้อแมกซ์ หรือการที่ผมแฮคปลั๊กไฟให้เล่นดนตรีได้ นี่คือความหมายของการแฮค” ในแง่นี้หมายความว่า นิยามของการ ‘แฮค’ ไม่ใช่ในแง่มิจฉาชีพเพียงประการเดียว แต่หมายถึงการดัดแปลงเพื่อพัฒนาหรือสร้างสรรค์ก็ได้

หากไล่เรียงไทม์ไลน์ในชีวิตของโปรแกรมเมอร์มิชารี เขาเริ่มรู้จักกับคอมพิวเตอร์ครั้งแรกตอนอายุ 9 ขวบ เริ่มทำงานสายนี้เมื่ออายุ 13 ปี โดยได้ค่าตอบแทนเป็นอินเทอร์เน็ตฟรี เมื่อจบมัธยมปลาย เขาเว้นวรรคหนึ่งปีเพื่อเข้าทำงานในบริษัทไอทีแห่งหนึ่ง จากนั้นกลับเข้าสู่ชีวิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หลังจากเรียนจบจึงเริ่มทำงานในวงการไอที ผลงานที่โดดเด่นของเขาคือเคยเป็นหนึ่งในทีมงานพัฒนาและติดตั้ง ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำการ์ตูนแอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ ก้านกล้วย เคยเป็นผู้บริหารบริษัทไอทีชั้นนำของประเทศ จนถึงวันนี้ เขาเป็นโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์และเป็นคุณพ่อเต็มเวลาเพื่อทำบ้านเรียน

ไม่เคยมีใครรู้เลยว่า จากเด็กที่ถูกหาว่า ‘แปลก’ (ยกเว้นครอบครัวที่ไม่มองอย่างนั้น) วันหนึ่งที่โลกเดินหน้าสู่ศตวรรษที่ 21 เขากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในวิถีของตัวเองและกำลังจะส่งต่อพื้นที่การเรียนรู้เช่นนั้นต่อไป

จุดเริ่มต้น CoderDojo ในประเทศไทย คือ ‘สปิริตแห่งการแบ่งปัน’ และ ‘การเรียนรู้ต้องสนุก’

แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของการเปิดโดโจในประเทศไทยมาจากความสนใจของตัว Champion หรือ ผู้ที่อยากให้มีโดโจในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งก็คือตัวมิชารีเอง หลังจากนั้นจึงหันไปชักชวนจุมพฏซึ่งเป็นทั้งโปรแกรมเมอร์และอยู่ในเครือข่ายบ้านเรียนเข้ามาก่อตั้งร่วมกัน แต่สิ่งที่ทั้งคู่เห็นว่าเป็นแรงขับสำคัญในการสร้างเครือข่ายเช่นนี้ คือ มุมมองจากโปรแกรมเมอร์บนรากฐานวัฒนธรรมชุมชนในโลกออนไลน์ หรือที่ชารีนิยามว่าคือ ‘สปิริตการแบ่งปัน’

“อย่าลืมว่าที่ชุมชนอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลเยอะแยะมหาศาลขนาดนี้ได้ เกิดจากการแบ่งปันข้อมูล แบ่งปันเวลาของคนเข้าไปช่วยเขียนบทความ เช่น การเขียนบทความในวิกิพีเดียนี่ชัดเลย ทำให้ไม่มีใครใช้สารานุกรมบริตานิกา (Encyclopedia Britannica) แล้ว เพราะทุกคนเข้าไปร่วมแบ่งปันและสร้างระบบนิเวศข้อมูลในอินเทอร์เน็ตให้สมบูรณ์ขึ้น น่าใช้ขึ้น สร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดซึ่งกันมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นวัฒนธรรมนะครับ

มิชารี มุคบิล

“สำหรับผมเอง สิ่งที่อยากสร้างคือชุมชน ชุมชนที่จะช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็เป็นชุมชนที่ผมเองก็ต้องสนุกกับการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันได้ ประจวบเหมาะกับปีที่แล้ว ผมพบกับคนญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มาพูดเรื่องนี้ที่สิงคโปร์ พอเห็นปรัชญาของโดโจที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ผ่านการเล่น เป็นการแบ่งปันที่ฟรี และเกิดชุมชนขึ้นจริง มันใช่เลย (ดีดนิ้ว) ต้องแบบนี้ นี่คือรูปแบบการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบในยุคอินเทอร์เน็ต พอผมกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ติดต่อพ่อโจ้ อธิบายคอนเซ็ปท์กับเขา เขาก็บอกว่า โอเค ลองดู”

ซึ่งพ่อโจ้ หรือจุมพฏสวนกลับทันทีว่า “ผมงงมาก (หัวเราะ) แต่พอฟังคอนเซ็ปท์แล้วก็คิดว่า สนุกดี เอาเลยสิ”

ไม่ใช่แค่เป็นโปรแกรมเมอร์และทำบ้านเรียนเหมือนกัน จุดร่วมของคุณพ่อทั้งสอง ยังมาจากความเชื่อที่ว่า การเรียนรู้ในห้องเรียนมีปัญหาและข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งคู่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า วิชาความรู้ที่ต่างใช้ประกอบอาชีพส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของเขาเองและการเข้าไปหาข้อมูลจากชุมชนในโลกออนไลน์

พ่อโจ้ แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองว่า “อาจเป็นเพราะผมโตมาจากชมรม ไม่เชื่อเรื่องการศึกษาแบบเต็มรูปแบบ จริงอยู่ว่าผมเรียนวิศวะฯ คอมพิวเตอร์โดยตรง แต่ความรู้เอามาใช้ได้จริงกลับไม่ได้อยู่ในห้องเรียน แต่มาจากชมรมคอมพิวเตอร์ ถามว่าชมรมทำหน้าที่อะไร มันก็คือ ‘การเล่น’ อะ เราสนุกกับการเล่นและเห็นว่าวิธีนี้มันได้ผล เราอยากสร้างพื้นที่แบบนี้ เราเองก็มีลูกและคิดว่าถ้ามีพื้นที่แบบนี้ให้ลูกเล่นมันก็จะดีนะ เหมือนที่เราได้เล่นในชมรมมาก่อน”

ขณะที่มิชารีเสริมว่า “และถ้าการเรียนมันไม่สนุก แสดงว่าเราอาจทำอะไรผิดไปรึเปล่า”

มิชารี มุคบิล

คาแรคเตอร์ (ที่ถูกสร้าง) ของโปรแกรมเมอร์ตัวน้อย

เมื่อถามว่า จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในวัฒนธรรม geek มาตั้งแต่เด็ก คอมพิวเตอร์ทำให้เขาเป็นคนแบบไหน คอมพิวเตอร์สร้างคาแรคเตอร์ให้เขาเป็นคนอย่างไร และพื้นที่ CoderDojo จะสานต่อและทำให้เหล่าผู้เรียนมีคาแรคเตอร์เช่นเดียวกับตัวเขาหรือไม่ มิชารีใช้เวลาคิดสักพักก่อนให้คำตอบสรุปโดยรวมได้ 3 อย่างหลักคือ

  • การมองโลกอย่างเป็นระบบ
  • ลองผิดลองถูกอย่างไม่มีอคติกับคำว่า ‘ผิดพลาด’ หรือ ‘error’
  • ความสนใจใคร่รู้

เริ่มที่อย่างแรก ‘การมองโลกอย่างเป็นระบบ’ มิชารีกล่าวว่า “การเป็นโปรแกรมเมอร์ทำให้ผมมองทะลุสิ่งต่างๆ และเห็นมันเป็นระบบ”

เขายกตัวอย่างตอนเรียนหนังสือ ความตั้งใจของเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ในห้องคือทำคะแนนให้ได้ดี แต่เพราะความชอบทางด้านคอมพิวเตอร์ การเรียนในห้องจึงเป็นไปอย่าง ‘พอผ่าน’ และมีเกรดที่ ‘ไม่น่าเกลียด’ ย้ำว่าไม่ใช่เพราะเห็นว่าการเรียนไม่สำคัญ แต่เป็นการประเมินจากคนที่ชัดเจนแล้วว่าความรู้ที่ตัวเองอยากได้ มาจากความรู้นอกห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ และประเมินแล้วว่า ‘เกรดเฉลี่ย’ ในห้องเรียน เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ผ่านไป

“อย่างตอนเรียน ผมเห็นว่าการทำการบ้านหรือการทำข้อสอบเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ผมก็จะประเมินว่า ถ้าจะต้องเรียนให้จบ ผมก็จะทำงานหรือทำการบ้านเท่านี้พอ คือไม่ต้องดีที่สุดเพื่อให้ติดอันดับ แต่ให้ผ่านไปอย่างประคองตัวได้”

ประการที่สองคือการ ‘ลองผิดลองถูก’ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีคิดของโดโจเลยว่า เมื่อนินจา หรือผู้เรียนเขียนโค้ด เจอกับ error หรือข้อผิดพลาดจากการเขียนโปรแกรม นินจาจะต้องพูดคุยกันเองเพื่อปรับแก้กันเองก่อน เมื่อยังไม่ได้ จึงค่อยเข้าไปสอบถามเมนเทอร์ ผู้มีความรู้ด้านการเขียนโค้ดที่เข้ามาดูแลเด็กๆ

ซึ่งการลองผิดลองถูกนี้เองที่ทั้งมิชารีและจุมพฏเห็นว่าสำคัญและยังฉายภาพปัญหาการศึกษาไทยที่ทำให้มนุษย์ ‘กลัวการผิดพลาด’ ได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งการเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น หากไม่เจอกับ error ก็เสมือนว่าไม่ได้ทดลองอะไรเลย

พูดมาถึงจุดนี้ นินจา ที่นั่งอยู่ในห้องด้วยกันอย่าง นินจาลูกคิด-ณภัทร นุ่มศรี และ นินจาเข้ม-ศิศิร ศรียะพันธ์ ช่วยกันตอบอย่างแข็งขันราวกับว่า ‘การเจอ error จากการโค้ด เป็นอะไรที่สนุกมาก’ เพราะในชีวิตของโปรแกรมเมอร์ ต้องอยู่กับ error แทบจะตลอดเวลา

“ถ้าผิดก็เริ่มใหม่ ผมมองว่ามันคือการเรียนรู้ เป็นคำตอบอีกข้อที่บอกว่า ถ้าเราทำแบบนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น คือเรียกว่าเป็นแค่อีกหนึ่งคำตอบจากการทดลอง” นินจาลูกคิดตอบ

“คล้ายๆ กันกับลูกคิด ในระหว่างการเขียนโปรแกรม เราจะตีความว่า error คือเครื่องหมายผิดก็ได้ แต่ error ก็แค่ error ครับ เจอแล้วก็แก้ต่อ ลองเปลี่ยนวิธีแก้มันต่อไป” นินจาเข้มเสริมคำตอบ

ซ้ายไปขวา: ศิศิร ศรียะพันธ์ (นินจาเข้ม) มิชารี มุคบิล ณภัทร นุ่มศรี (นินจาลูกคิด) ศิขรา ศรียะพันธ์ (นินจาคราม) จุมพฏ ศรียะพันธ์

“ในการเล่น ‘ผิด’ คือได้เรียนรู้และไม่มีใครมาหาตัวแดงว่าผิด และยังรู้ด้วยว่า ถ้าทำแบบนี้จะได้คำตอบที่ผิด หรืออาจเกิดจากขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งที่ผิด แต่มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกผิด มันแค่ error แล้วเราก็หาขั้นตอนต่อไป

มาถึงตรงนี้ เมนเทอร์จุมพฏช่วยอธิบายให้เห็นภาพว่า “เช่น ถ้าผมถูกจ้างมาให้ขันน็อตตรงนี้จำนวน 16 ครั้ง ผมไม่มีสิทธิ์ขัน 15 ครั้ง หรือ 17 ครั้ง ผมต้องเชื่อฟังเสมอ ห้ามทำนอกเหนือจากคำสั่งนี้เพราะจะผิดมาตรฐาน และเราก็รู้ว่ามันเป็นงานหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติตาม แต่สำหรับคนออกแบบ กว่าจะรู้ว่าต้องขัน 16 ครั้ง แสดงว่าเขาต้องเคยขัน 15 ครั้ง และ 17 ครั้งมาก่อน คนนั้นทำผิดมาก่อนแน่ๆ และถ้าผมจะโต้แย้งว่าขอลองขันน็อต 15 ครั้ง หรือ 17 ครั้งบ้างได้มั้ย ผมก็ต้องไปทำใน sand box แต่ในงานโปรดักชั่น ผมไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง

“เปรียบเทียบกับการเรียนรู้ในห้องเรียน เราอาจถูกสอนให้ทำงานโปรดักชั่นเท่านั้น หรือบอกให้ขันน็อต 16 ครั้งแล้วจะดี มีแค่ส่วนน้อยที่จะมีโอกาสทำงานใน sand box ซึ่งให้เด็กๆ ได้ลองว่าถ้าขันน็อต 15 ครั้ง หรือ 17 ครั้ง จะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าขันไป 17 ครั้งแล้วระเบิดบึ้มเลย เออ… ก็มันดีนะ ซึ่งโดโจมีพื้นที่ตรงนี้” จุมพฏกล่าว

ประการสุดท้าย คุณลักษณะเด่นของเด็กๆ ใน CoderDojo คือ ‘ความสนใจใฝ่รู้’ ซึ่งมิชารีและจุมพฏย้ำว่า ต้องเป็นความสนใจใฝ่รู้ที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความสนุกด้วย

มิชารี มุคบิล

สุดท้ายเราขอให้เมนเทอร์ทั้งสอง ในฐานะ ‘คุณพ่อเต็มเวลา’ ที่ทำบ้านเรียนและสร้างเครือข่ายสนุกๆ แบบนี้ กล่าวชักชวนคุณพ่อคุณแม่หรือใครก็ตามที่อยากสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เช่นนี้ มาร่วมกันทำให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจากประสบการณ์ของ CoderDojo และเครือข่ายการเรียนรู้ของผู้ปกครองท่านอื่นในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งต้นจากวิชาการหรือตั้งเป้าว่าอยากให้ลูกๆ ได้เรียนรู้อะไร แต่คละเคล้ากันตั้งแต่ความชอบส่วนตัวของคนเป็นพ่อแล้วหาเครือข่ายมาร่วมกันทำ หรือจากความสนใจของลูกๆ และ ชวนเพื่อนๆ มาร่วม ‘เล่น’ ด้วยกัน

เมนเทอร์ทั้งสองยกตัวอย่างว่า เพิ่งมีทริปไปเรียนเรือใบที่สัตหีบ โดยครูผู้สอนไม่ใช่ใครอื่น คือนินจาลูกคิด และหนึ่งในผู้เรียนก็ไม่ใช่ใครอื่นอีกเช่นกัน แต่คือ เมนเทอร์มิชารีผู้นี้นี่เอง

“เหมือนการชวนเพื่อนมาเล่นอะไรบางอย่าง ซึ่งบางอย่างก็เฟล ชวนเพื่อนมาเล่นแล้วเขาไม่เล่นด้วยก็มี (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นอะไร สำคัญคือ ใครๆ ก็ทำได้นะครับ แค่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเท่านั้น ยิ่งถ้ากระบวนการสร้างความเชื่อใจกันได้ ไม่ยึดเอาว่าโครงการนี้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นกระบวนการหลวมๆ ที่ส่งต่อให้ใครก็ได้ เช่น ช่วงนี้ผมไม่ว่าง มีใครทำมั้ย ถ้าไม่มีก็พักไปก่อนช่วงหนึ่งก็ยังได้ แต่ถ้าใครอยากทำต่อก็ทำ ผลัดเปลี่ยนกันได้โดยไม่ต้องคิดว่าเป็นของเรา ซึ่งพอคิดแบบนี้ สิ่งที่โฟกัสก็แค่ความสนุก

“เหมือนที่พ่อชารีบอกว่า ถ้าการเรียนมันไม่สนุก แสดงว่าเราทำอะไรผิดไปรึเปล่า การสร้างเครือข่ายเช่นนี้ก็เหมือนกัน การเรียนรู้มันควรสนุก หรือถ้าไม่สนุก ก็หาวิธีให้มันสนุก” จุมพฏอธิบาย

ก่อนมิชารีจะปิดท้าย (ก่อนปิดคอมพิวเตอร์) ด้วยเสียงหัวเราะว่า

“นี่ไง เป็นความคิดของเหล่าแฮคเกอร์เลย ที่อยากทำอะไรง่ายๆ คิดแค่ว่าอยากตั้งชุมชนแบบนี้ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน หรืองบประมาณอะไรทั้งสิ้น และก็สร้างแบบแผนง่ายๆ ให้คนอื่นนำไปลอกเลียนหรือตั้งเครือข่ายแบบนี้ได้ง่ายๆ ด้วย”

Tags:

Disruption21st Century skillsนวัตกรรมโฮมสคูลcodingจุมพฏ ศรียะพันธ์มิชารี มุคบิลพ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • 21st Century skills
    10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่
Character building
30 August 2018

คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • การสร้าง ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง’ (character strengths) เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเด็กและเยาวชนในเชิงบวก มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จและความสุขของเด็กในอนาคต รวมถึงมีผลต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในระดับปัจเจกและสังคม การปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีในเด็กและเยาวชนจึงควรเป็นเป้าหมายสากลของการเลี้ยงลูกและการศึกษา
  • การศึกษาวิจัยยืนยันว่า พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมีส่วนช่วยปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้ลูกหลานได้ตั้งแต่แรกเกิด ตัวอย่างคุณลักษณะที่ดีได้แก่ ความหวัง ความใจดีมีเมตตา ความฉลาดทางสังคม การควบคุมตนเอง และ มุมมองในการใช้ชีวิต ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คุณลักษณะเหล่านี้เป็นกันชนป้องกันผลกระทบจากความเครียดและประสบการณ์ที่เลวร้าย รวมทั้งป้องกันและทุเลาความผิดปกติบางอย่างในเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นได้ด้วย

การศึกษาในระดับนานาชาติ พบว่า ‘ความดี’ หรือ ‘คุณธรรม’ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต นอกจากความรู้แล้ว ผู้ปกครองและโรงเรียนจำเป็นต้องสร้างคุณลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเด็กและเยาวชน ถึงแม้จะเป็นนามธรรมและหาตัวบ่งชี้มาวัดได้ยาก แต่มีความพยายามในการสร้างมาตรฐานขึ้นมาวัด จนได้ข้อสรุปออกมาเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลถึง ‘คุณลักษณะที่ดี’ ที่เด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่พึงมี

ทุกคนมีจุดแข็ง

เมื่อเอ่ยถึง ‘คุณลักษณะที่ดี’ (good character) แน่นอนว่าคุณลักษณะที่ดีไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบไปด้วยหลายอย่างซึ่งมีรากฐานมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว หล่อหลอมให้เกิดความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมที่แสดงออกให้คนอื่นรับรู้ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า คุณลักษณะที่ดีที่พัฒนามาเป็นจุดแข็ง หรือ การสร้าง ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง’ (character strengths) เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเด็กและเยาวชนในเชิงบวก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามหรืออาจยังไม่รู้

การสร้างลักษณะนิสัยเชิงบวกมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จและความสุขของเด็กในอนาคต เพราะคุณลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในระดับปัจเจกและสังคม เป็นปัจจัยที่เชื่อมโยงไปสู่การประสบความสำเร็จในการเรียนการศึกษา การสร้างความพึงพอใจในชีวิต รวมถึงการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ตัวเอง อีกทั้งยังมีผลต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเด็กและเยาวชนในระยะยาว ทั้งนี้ การศึกษาวิจัย ยืนยันว่า พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมีส่วนช่วยปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้ลูกหลานได้ตั้งแต่แรกเกิด

สิ่งที่พ่อแม่มักคำนึงถึงเมื่อมีลูก คือการสังเกตพัฒนาการของลูกตามช่วงวัย เช่น 7 เดือน ลูกควรนั่งทรงตัวได้เอง 12 เดือนเริ่มตั้งไข่ เลียนเสียง และเริ่มพูดคำที่มีความหมายคำแรกได้ เดินได้คล่องช่วงราว 18 เดือน เป็นต้น แต่นอกจากพัฒนาการทางร่างกายและสิ่งที่มองเห็นจากภายนอกตามที่ว่ามา นันซุก พาร์ค (Nansook Park) รองศาสตรจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) เขียนถึงการสร้างคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งไว้ในบทความชื่อ ‘Building Strengths of Character: Keys to Positive Youth Development’ ว่า การปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนเป็นเป้าหมายสากลของการเลี้ยงลูกและการศึกษา

สถานการณ์ปัญหาด้านการศึกษาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา อันที่จริงมีสภาพไม่ต่างจากประเทศไทย การเรียนการสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้เด็กฝึกฝนทักษะด้านการอ่าน การเขียน และการให้ความรู้ตามกลุ่มสาระวิชา ฝึกพัฒนาให้มีทักษะคิดวิเคราะห์ แต่ยังขาดการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ในระยะยาวหากเด็กยังไม่ได้รับการฝึกฝนให้มีคุณลักษณะที่ดีและมีคุณธรรม เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่ไม่มีความปรารถนาที่จะทำความดี ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น

ด้วยเหตุนี้ การสร้างคุณลักษณะที่ดีให้เป็นจุดแข็งจะเป็นภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างที่กล่าวมา ตัวอย่างคุณลักษณะที่ดีที่ว่า ได้แก่ ความหวัง (hope) ความใจดีมีเมตตา (kindness) ความฉลาดทางสังคม (social intelligence) การควบคุมตนเอง (self-control) และ มุมมองในการใช้ชีวิต (perspective) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คุณลักษณะเหล่านี้เป็นกันชนป้องกันผลกระทบจากความเครียดและประสบการณ์ที่เลวร้าย รวมทั้งป้องกันและทุเลาความผิดปกติบางอย่างในเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นได้ด้วย

ยิ่งกว่านั้นพาร์คเคยเขียนไว้ในผลงานชิ้นอื่นๆ ของเธออย่างชัดเจนว่า การมีคุณลักษณะที่ดีทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียน มีภาวะความเป็นผู้นำ อดทน เมตตา เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลาย และมีความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งช่วยลดปัญหาสังคมที่เป็นความเสี่ยง เช่น การติดยาเสพติด การติดแอลกอฮอล์และบุหรี่ ปัญหาความรุนแรง การท้องก่อนวันอันควร ภาวะซึมเศร้าและการคิดฆ่าตัวตายในเด็กและเยาวชนได้

ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่จุดแข็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดอ่อน

โครงการ VIA (The Values in Action) คือโครงการใช้จิตวิทยาเชิงบวกในการวางมาตรฐาน แล้วจำแนกหมวดหมู่จุดแข็งที่สำคัญและสร้างตัวบ่งชี้ขึ้นมาใช้ในการวัดผล การจำแนกคุณลักษณะให้ความสำคัญกับ ‘สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับมนุษย์’ (what is right about people?) และ ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด’

หากอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น โครงการ VIA มองคุณลักษณะที่ดีเหมือนเป็นครอบครัวหนึ่งที่สมาชิกแต่ละคนมีคุณลักษณะเชิงบวกอันโดดเด่นต่างกันไป แต่ละคุณลักษณะสะท้อนความรู้สึก ความคิด และการกระทำของแต่ละคนที่แสดงออกมา ซึ่งคุณลักษณะที่ดีและโดดเด่นนั้น ถูกเรียกว่า ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง’ หรือ ‘character strengths’ นั่นเอง การศึกษา พบว่า คนหนึ่งคนมีคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งได้มากกว่า 1 อย่าง คุณลักษณะไหนไม่ได้เป็นจุดแข็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดอ่อน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การให้ความสนใจกับการพัฒนาคุณลักษณะโดดเด่นที่เป็นจุดแข็งให้แสดงบทบาทในชีวิตจริงได้อย่างเต็มที่

ผลการศึกษาจากโครงการมีฐานข้อมูลจากการนำลักษณะนิสัยเชิงคุณค่าระดับสากลทั้งในอดีตและปัจจุบันมาทบทวน และให้คุณค่ากับคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งที่เป็นคุณลักษณะที่ดี 24 อย่าง แบ่งเป็น 6 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

ปัญญาและความรู้ (wisdom and knowledge) จุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ การรับความรู้และนำความรู้ไปใช้ ประกอบด้วยคุณลักษณะเด่น ได้แก่

  • ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) การคิดถึงวิธีการใหม่ ๆ และมีประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ
  • ความสงสัยใคร่รู้ (curiosity) การให้ความสนใจและตั้งคำถามกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
  • การเปิดใจ (open – mindedness) การมีมุมมองความคิดต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง และพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลรอบด้านก่อนตัดสินใจ
  • ใฝ่เรียน (love of learning) การตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ
  • มุมมองความคิด (perspective) ความสามารถในการแนะนำให้คำปรึกษาผู้อื่นได้

การมีกำลังใจ (courage) จุดแข็งทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นพยายามไปให้ถึงเป้าหมาย ด้วยแรงขับจากทั้งภายในและภายนอก ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ ได้แก่

  • ความซื่อสัตย์สุจริต (honesty and authenticity) การพูดความจริงและนำเสนอตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
  • ความกล้าหาญ (bravery) ความไม่กลัวการถูกคุกคาม ความท้าทาย ความยากลำบากและความเจ็บปวด
  • ความมานะพากเพียร (perseverance) การลงมือทำจนสำเร็จด้วยความตั้งใจ
  • ความสนุกสนานรื่นรมย์ (zest) การใช้ชีวิตที่ให้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและพลัง

ความเป็นมนุษย์ (humanity) จุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นำไปสู่การเอาใจใส่ดูแลผู้อื่นและความเป็นเพื่อน (tending and befriending)

  • ความเมตตา (kindness) การให้ความช่วยเหลือและทำสิ่งดี ๆ เพื่อผู้อื่น
  • ความรัก (love) การให้คุณค่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
  • ความฉลาดในการเข้าสังคม (social Intelligence) ความตระหนักรู้ในความต้องการ แรงจูงใจ และความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่น

ความยุติธรรม (justice) จุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและสังคม รากฐานของคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชน

  • ความเป็นธรรม (fairness) ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วยความเป็นธรรมและยุติธรรม
  • ภาวะผู้นำ (leadership) มีความสามารถในการจัดกิจกรรมกลุ่มและดำเนินงานจนเห็นผลลัพธ์
  • การทำงานเป็นทีม (teamwork) มีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และมีทิศทางการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

การควบคุมอารมณ์ (temperance) จุดแข็งที่ป้องกันสิ่งเร้าจากภายนอก

  • การให้อภัย (forgiveness) การให้อภัยไม่ถือสาคนที่ทำผิดต่อเรา
  • ความถ่อมตัว (modest) ไม่พูดเยอะ ปล่อยให้ความสำเร็จได้พิสูจน์ตัวเอง
  • ความรอบคอบ (prudence) เลือกอย่างระมัดระวัง ไม่พูดหรือทำอะไรที่ทำให้เสียใจภายหลัง
  • การรู้จักควบคุมตนเอง (self-regulation) จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้

การเข้าใจความจริงของชีวิต (transcendence) การเห็นคุณค่าของความงาม (appreciation of beauty) การสังเกตเห็นและชื่นชมความงามและทักษะรอบตัวในทุกด้านของชีวิต

  • ความกตัญญูรู้คุณ (gratitude) การตระหนักรู้และขอบคุณสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
  • ความหวัง (hope) การมีความคาดหวังที่จะทำให้ดีที่สุด แล้วลงมือทำ
  • การมีอารมณ์ขัน (humor) ความตลกและชอบหัวเราะ และทำให้คนอื่นยิ้มได้
  • จิตวิญญาณและศาสนา (spirituality and religiousness ) การมีความเชื่อที่สอดคล้องกับเป้าหมายและการใช้ชีวิต

การส่งเสริมให้ใช้คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งทั้ง 24 ข้ออย่างนี้ แรกเริ่มก็เพื่อวัดผลการพัฒนาจุดแข็งแต่ละด้านและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเด็กและเยาวชนตัวอย่าง โดยเชื่อว่าหากนำคุณลักษณะมาใช้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยและพฤติกรรมตัวเอง คุณลักษณะที่ดีจะช่วยเติมเต็มให้ชีวิตประสบความสำเร็จและมีความสุขมากขึ้น

งานวิจัยเรื่อง ‘Character Strengths Interventions: Building on What we know for improved outcomes.’ ตีพิมพ์ออนไลน์ใน Springer Science Business Media กล่าวว่า การให้เวลากับการพัฒนาคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งดีกว่าการให้เวลากับการปรับปรุงจุดด้อย เพราะการสร้างเสริมคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาน้อยกว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้มากกว่า

สำหรับการสำรวจของ VIA เป็นการสำรวจออนไลน์ แบ่งเป็น หนึ่ง VIA-Youth สำรวจจุดแข็งของเด็กและเยาวชนอายุ 10 – 17 ปี และ สอง VIA -IS สำหรับเยาวชนอายุ 18 ปีขึ้นไป การสำรวจแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 45 นาที หลังผู้เข้าร่วมสำรวจสมัครเข้าทำแบบสำรวจทางเว็บไซต์และตอบแบบสอบถามครบถ้วนแล้ว ระบบจะประมวลผล แสดงผลคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งที่เด่นที่สุดออกมา เรียกว่า “signature strengths” ผลลัพธ์ที่ออกมานี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสำรวจรู้จักคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง เพื่อฝึกฝนใช้คุณลักษณะเหล่านั้นในชีวิตประจำได้

ใช้จุดแข็งให้ถูกทาง

แม้จะมีการพูดถึงอย่างกว้างขวางถึงพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นอเมริกัน แต่จากการวิเคราะห์ผลการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่พวกเขามีการพัฒนาคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง โดยเฉพาะด้าน ความกตัญญูรู้คุณ การมีอารมณ์ขัน และความรัก ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำรวจพบได้ทั่วไปในวัยรุ่น ขณะที่ ความรอบคอบ การรู้จักให้อภัย จิตวิญญาณและการควบคุมตัวเอง ยังเป็นจุดแข็งที่พบในผู้ใหญ่มากกว่าวัยรุ่น

โดยสรุปกล่าวได้ว่า คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งทั่วไปมีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความพึงพอใจในชีวิต ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญูรู้คุณ ความหวัง ความสนุกรื่นรมย์ ความสงสัยใคร่รู้ รวมถึงสิ่งสำคัญอย่างความรัก

นอกจากนี้ยังพบว่า คุณลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับความรู้สึก (heart) เช่น ความรัก และความกตัญญูรู้คุณ กลับมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากกว่าคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานโดยใช้เหตุผลหรือสมอง (head) เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิเคราะห์ และสุนทรียศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ หากเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษา คือ การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งที่ควรได้รับการปลูกฝังนอกเหนือจากความรู้ควรเป็นเรื่องที่อยู่นอกตำราเรียน นั่นคือ คุณธรรม จริยธรรม และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น

การได้รับความนิยมหรือการได้รับการยอมรับจากเพื่อนในวัยรุ่น มีความเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะเหล่านี้เช่นกัน นักเรียนที่ได้รับการชื่นชอบในหมู่เพื่อนฝูง จะมีจุดแข็งโดดเด่นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในสังคมและชุมชน (civic strengths) เช่น ภาวะความเป็นผู้นำ และความเป็นธรรม รวมถึงจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ อย่างการรู้จักควบคุมตนเอง ความรอบคอบและการให้อภัย เป็นต้น

ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงการวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดโรคจิตเภทในเด็กและเยาวชนได้อีกด้วย เช่น หากเด็กมีอาการของภาวะโรคซึมเศร้าและมีความวิตกกังวล สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเด็กควรได้รับการส่งเสริมคุณลักษณะให้มีความหวัง มีอารมณ์ขัน และมีภาวะความเป็นผู้นำ โดยเปิดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออกในกิจกรรมที่ตัวเองถนัด หรือการได้รับคำชื่นชมจากผู้ปกครองและครูเมื่อเด็กทำดี เป็นต้น ส่วนปัญหาที่แสดงออกอย่างชัดเจนภายนอก เช่น ความก้าวร้าวในวัยรุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการขาดคุณลักษณะเรื่องความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์ ความรอบคอบ และขาดความรัก

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งเหล่านี้สามารถฝึกฝนได้ ผู้ปกครอง โรงเรียน และสังคม ต้องให้ความร่วมมือ เริ่มต้นจากการมีความมั่นใจในตัวเด็กและเยาวชน แล้วเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงออกตามแนวทางที่พวกเขาถนัด ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักตัวเอง ก่อน หลังจากนั้นจึงจัดกิจกรรมเฉพาะอย่างเพื่อพัฒนาคุณลักษณะแต่ละด้านอย่างเจาะจง

คำพูดที่บอกว่า “ลูกทำได้หรือทำให้ดีที่สุด” ฟังดูเป็นการให้กำลังใจที่ดี แต่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอในการปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นกับลูก พ่อแม่ควรมีเป้าหมายที่เจาะจงและชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ปกครองต้องการปลูกฝังคุณลักษณะด้านความรักความเมตตา หรือการเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดี การให้แนวทางลูกด้วยการบอกว่า อย่างน้อยต้องทักทายหรือพูดสวัสดีกับคนที่ยังไม่เคยพูดด้วยวันละหนึ่งคนที่โรงเรียน จะเป็นคำแนะนำที่มีประสิทธิภาพและมีเป้าหมายชัดเจนกว่า

“เด็กไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่หรอก” เรามักได้ยินผู้ใหญ่พูดอยู่เสมอ แต่อีกมุมหนึ่งพวกเขากลับมีพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เราจึงมักได้ยินอีกคำกล่าวที่บอกว่า “พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก” ด้วยเหตุนี้ วิธีการสอนลูกที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การพูดหรือดุด่า แต่เป็นการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

การทำสิ่งที่ดี และได้ใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข น่าจะเป็นความฝันของผู้คนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่กำลังเติบโตขึ้นมาในสังคมแห่งอนาคตที่น่าจะมีความซับซ้อนมากกว่าความเรียบง่าย มีความวุ่นวายมากกว่าความเบาสบายในจิตใจ ปัญหาคือเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าพวกเขาสามารถหาความสุขและความหมายของชีวิตจากกิจกรรมหรือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำในชีวิตประจำวันได้อย่างไร การมองหาคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งของตัวเองน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการทำความรู้จักตัวเอง เราทุกคนมีจุดแข็ง จุดแข็งที่ควรแสดงออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น จุดแข็งที่สามารถฝึกฝนให้เกิดการยอมรับ กระทั่งกลายเป็นคุณลักษณะที่เป็นตัวตนของตัวเองในที่สุด เป็นการสร้างความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเรา…

ที่มา:
Park, N. (2009). Building Strengths of Character: Keys to Positive Youth Development.
http://reclaimingjournal.com/.
Quinlan, D., Swain, N., & Vella-Brodrick, D.,A. (2011). Character Strengths Interventions: Building
on What We Know for Improved Outcomes. Springer Science Business Media.
file:///C:/Users/USER/Documents/Potential/Print/2.research.pdf.
Park, N. & Peterson, C. (2009). Character Strengths: Research and Practice. Journal of Collage
and Character. https://naspa.tandfonline.com/doi/pdf/10.2202/1940-1639.1042?needAccess=true&.

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)Adolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Adolescent Brain
    รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020
21st Century skills
29 August 2018

10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เมื่อโลกล่วงเข้าสู่ปี 2020 งานบางอย่างกลายเป็นตำนาน และคนหลายล้านรู้สึกไม่เข้าพวก ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ‘การศึกษา’ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือความท้าทายเหล่านี้ เพราะเศรษฐกิจในอนาคต(และตอนนี้)ถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้

ติดตรงปัญหาสำคัญที่ยังแก้ไม่ได้ คือ การศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังสอนให้เอาไปใช้ในศตวรรษที่ 20 อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาขั้นสูงแค่ไหนก็ตาม คือไม่สอนให้แตกต่าง และเป็นการสอนแบบบนลงล่าง ขณะที่นวัตกรรมต่างๆ เริ่มจากรากหญ้าและคนตัวเล็กๆ

เช่น นักการศึกษาควรได้รับอนุญาตให้สร้างหรือคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ถ้าพวกเขาจะล้ม ก็ล้มได้เร็วแต่ก็ลุกขึ้นได้เร็วเช่นกัน  ในทางกลับกันก็ต้องได้รางวัลเมื่อคิดไอเดียดีๆ ที่สร้างความแตกต่าง

ดังนั้นทุกๆ ห้องเรียน ทุกๆ เลคเชอร์ และ ทุกๆ มหาวิทยาลัย จำเป็นต้องหา ‘วิธีแก้’ ให้ตรงกับปัญหา และที่สำคัญที่สุด คือ ตรงตามความต้องการของผู้เรียน

เนื้อหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ text book อีกต่อไป มีการเรียนรู้หลายรูปแบบและหลายวิธีที่ให้ได้มาซึ่งความรู้

เครื่องมือการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องสอดรับและสนับสนุนการสอนและการเรียนรู้แบบ interactive ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน

เพื่อให้เกิด 10 ทักษะเหล่านี้  ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่มนุษย์ควรต้องมีภายในปี 2020  และ AI ทำไม่ได้

1.แก้ปัญหาซับซ้อนได้ (Complex Problem Solving)
เมื่อปัญหาเกิดขึ้นและกระทบยังหลายๆ ส่วนงาน ซึ่ง AI ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ เมื่อนั้นมนุษย์ต้องเข้ามาแก้ปัญหาโดยย้อนไปดูถึงต้นทาง ซึ่งเรียกร้องความสร้างสรรค์และความละเอียดอ่อน

2.คิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)

ผู้ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลดิบๆ และตีความออกมาใหม่ให้น่าสนใจ จะเป็นที่ต้องการในตลาดที่ซับซ้อนและทำงานแบบ co-working

3.มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative)

ความคิดสร้างสรรค์เรียกร้องสัญชาตญาณในการคิดนอกกรอบและการสุ่มเลือก ‘สูง’ ในระดับที่ AI ทำไม่ได้ ทำไมนักดนตรีถึงอิมโพรไวซ์ได้โดยการหลุดคีย์ – นี่เป็นตัวอย่างที่ดี

4.บริหารจัดการบุคคล (People Management)

หุ่นยนต์อาจวิเคราะห์และคำนวณได้อย่างยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่สามารถมาแทนสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาวะการเป็นผู้นำ’ และความสามารถในการจัดการอย่างมนุษย์ได้

5.ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี (Coordinating with others)

การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม เป็นคุณสมบัติแรกๆ ที่ผู้ประกอบการและนายจ้างต้องการ

6.มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)

ความฉลาดทางอารมณ์ต่างๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ,ความอยากรู้อยากเห็น จะกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจ้างบุคลากรระดับผู้บริหารขึ้นไปในอนาคต

7.ตัดสินใจและประเมินได้ดี (Judgment and Decision Making)

ความสามารถในการย่อยข้อมูลมหาศาล แล้วแปลงให้เป็นรูปแบบใหม่ น่าสนใจ รวมไปถึงการตัดสินใจที่เชื่อถือได้คือทักษะที่เป็นประโยชน์ในสังคมอุดมข้อมูลในอนาคต

8.มีการบริการที่ดี (Service Orientation)

คนที่รู้ถึงความสำคัญของการนำเสนอ ‘คุณค่า’ ให้ลูกค้า ผ่านรูปแบบการบริการและความช่วยเหลือต่างๆ จะเป็นที่ต้องการ

9.ต่อรองเป็น (Negotiation)

ความสามารถในการต่อรองกับกลุ่มธุรกิจหรือบุคคล จะทำให้การแก้ปัญหาลงท้ายแบบวินวิน ในฐานะทักษะที่จำเป็นเพื่อการอยู่รอดของอุตสาหกรรมที่ต้องตั้งรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ

10.มีความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility)

ความสามารถในการสลับ/เปลี่ยน/โยก บุคลากรที่แตกต่างกัน ให้ถูกหรือตรงกับความท้าทายในมือ จะเป็นสิ่งสำคัญในการควบรวมหลายธุรกิจหรืออุตสาหกรรม

ที่มา: https://www.weforum.org

Tags:

พัฒนาการพ่อแม่ครูคาแรกเตอร์(character building)AIDisruption21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    “ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด
EF (executive function)
28 August 2018

เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด

เรื่อง

เรื่อง: เดชรัต สุขกำเนิด

เราเคยได้ยินเพื่อนๆ คนไทย บ่นกันไหมครับ ว่าบ้านเรามีคนที่มีความรู้มากมาย ไปดูงานกันมาก็มากมาย แต่ทำไมปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาของส่วนรวม จึงยังไม่ถูกแก้สักที

แน่ละว่าในชีวิตของเรา เราเผชิญปัญหาหลากหลายด้าน หลายๆ ครั้ง หลายปัญหา ที่เรามองข้ามและทนๆ กันไป (พร้อมกับบ่น) แต่หลายๆ ปัญหา เรากลับเลือกที่จะเผชิญหน้า และพยายามแก้ไขมัน

อะไรเป็นตัวกำหนดให้เรานิ่งเฉย หรือลงมือกับปัญหานั้นๆ? ตัวกำหนดนั้นคือ ‘ความรู้’ ที่เรามี ใช่หรือไม่?

ผมว่า ก็ไม่น่าจะใช่นะครับ เพราะหลายเรื่องเราเองก็มีความรู้ แต่เราก็ยังอาจจะเพิกเฉยกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

แล้วถ้างั้นอะไรคือตัวกำหนดให้เราต้อง ‘รู้สึก’ ทนไม่ไหว จนต้องลงมือแก้ปัญหาดังกล่าว?

ก็อย่างที่เห็นในคำถามนั่นแหละครับ สิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้เราลุกขึ้นมาแก้ปัญหาก็คือ ‘ความรู้สึก’ ของเรานั่นเอง

หลายครั้ง ที่เรา ‘รู้สึก’ ว่าเราไม่อาจทนต่อปัญหานี้ได้แล้ว และเราต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แม้ว่า ในตอนแรก (ที่เรารู้สึก) เราอาจยังไม่มี ‘ความรู้’ ใดๆ เลย แต่ความรู้สึก นั่นแหละที่จะบอกหรือกระตุ้นให้เราไปหาความรู้มาให้ได้

ในทางตรงกันข้าม หลายๆ เรื่อง เรามีความรู้อยู่กับตัวเราแล้ว แต่เราไม่มี ‘ความรู้สึก’ ที่ชัดเจน หรือเข้มแข็ง เราก็ทิ้งปัญหานั้นไว้ ให้คงอยู่ควบคู่กับความรู้ของเรา

กล่าวในแง่นี้ ‘ความรู้สึก’ เป็นตัวบ่งบอกถึง ‘ความสำคัญ’ หรือ ‘ความหมาย’ ที่เรื่องๆ นั้นมีต่อตัวเรา หรือในทางกลับกัน ความหมายที่ตัวเรามีต่อเรื่องๆ นั้น

น่าเสียดาย ที่ในระบบการศึกษาไทยมักมอง ‘ความรู้สึก’ ว่าเป็นเรื่อง ‘ส่วนตัว’ บ้าง และไม่ใช่ ‘สิ่งที่จับต้องได้’ บ้าง ความรู้สึกจึงมีพื้นที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ ‘ความรู้’ แม้ว่า ความรู้สึกนั่นเองที่จะทำให้ ‘ตัวเรา’ ลุกขึ้นมา ‘จับต้อง’ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ แทนที่จะนิ่งเฉยเสีย ก็ตาม

ห้องเรียนของเราจึงมุ่งเน้นการดาวน์โหลด ‘ความรู้’ ลงไปให้ผู้เรียน โดยที่ผู้สอนอาจไม่มีเวลาหรือพื้นที่สำหรับการรับรู้และเรียนรู้ถึง ‘ความรู้สึก’ ของผู้เรียนแต่ละคนเลยก็ได้

แน่นอนว่า ‘ความรู้สึก’ ก็เหมือนกับ ‘ความรู้’ นั่นแหละ ความรู้สึกบางอย่างอาจช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้ แต่ความรู้สึกบางอย่าง นอกจากไม่ช่วยแล้วยังอาจทำให้ปัญหานั้นๆ รุนแรงมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แม้ว่าแต่ละคนจะเผชิญหรือประสบกับสถานการณ์ปัญหาเดียวกัน เราก็อาจจะมีความรู้สึกแตกต่างกันก็เป็นได้

เราจึงจำเป็นต้องหยั่งรู้ ‘ความรู้สึก’ ของผู้เรียนแต่ละคน และนำ ‘ความรู้สึก’ เหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

เพราะฉะนั้น ความรู้สึกจึงเป็นปฏิบัติการร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งการเรียนรู้ร่วมกันจะทำให้ผู้เรียนได้ทราบว่า เรื่อง/ประเด็นใดสำคัญหรือไม่สำคัญ? สำหรับใครบ้าง? เพราะอะไร? และความรู้สึกใดจะได้รับการยอมรับมากกว่าความรู้สึกอื่นๆ? ในสังคมแบบใด? เพราะอะไร?

แต่เราจะทำสิ่งนั้นไม่ได้เลย หากห้องเรียนของเราเต็มไปด้วยการดาวน์โหลด ‘ความรู้’ และการวัดผล ‘ความรู้’ โดยไม่เหลือพื้นที่ไว้สำหรับการรับรู้และการแลกเปลี่ยน ‘ความรู้สึก’

แล้วเราจะทำให้เกิด ‘ความรู้สึก’ และเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘ความรู้สึก’ ได้อย่างไรในห้องเรียนของเรา

ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า ‘ความรู้สึก’ ก็คือ สิ่งที่บ่งบอกว่า ปัญหานั้น หรือสิ่งนั้น มี ‘ความหมาย’ ต่อเราอย่างไร ความรู้สึกจึงเกิดจากการที่ตัวเราได้มีโอกาสที่จะมี ‘ปฏิสัมพันธ์’ กับปัญหานั้นหรือสิ่งนั้น แล้วเราจึงมาแปลหรือกำหนดขึ้นเป็น ‘ความหมาย’ ที่มีในใจของเราเอง

การสร้างปฏิสัมพันธ์หรือปฏิบัติการต่อสิ่งนั้นหรือสถานการณ์นั้นจึงเป็นตัวช่วยให้เรา และผู้เรียนของเราเกิด ‘ความรู้สึก’ ต่างๆ ขึ้นมาได้

การรับฟังเรื่องราวจากชีวิตจริง การชมภาพยนตร์ การเล่นเกมจำลองสถานการณ์ การใช้บทบาทสมมุติ การอภิปรายถกเถียงกัน การใช้ละคร ฯลฯ ล้วนเป็นสะพานเชื่อมที่ดีระหว่างตัวผู้เรียนกับเรื่องราวปัญหานั้นๆ

แต่สะพานเชื่อมแบบใด (หรือกลวิธีแบบใด) จะเหมาะสมสำหรับการทำให้เกิด ‘ความรู้สึก’ ในเรื่องนั้นๆ ย่อมขึ้นอยู่กับ (ก) ตัวผู้เรียน (เช่น เพศสภาพ วัย สาขาวิชา ความชอบ ความสนใจ เป็นต้น) (ข) เรื่องราวของสถานการณ์นั้นๆ (ค) ตัวสื่อการเรียนรู้ที่มี และ (ง) เงื่อนไขการเรียนรู้ที่มี (เช่น จำนวนผู้เรียน เวลา และสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เป็นต้น)

แม้ว่า สะพานเชื่อมหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับเรื่องราวๆ จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้าง ‘ความรู้สึก’ นั้น แต่ ‘สะพานเชื่อม’ ก็ยังคงเป็นเพียงแค่สะพานเชื่อม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเดินข้ามสะพานนั้น เพราะฉะนั้น ผู้สอนหรือผู้อำนวยการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องรับรู้ว่า ผู้เรียนแต่ละคนเดินข้ามสะพานดังกล่าวหรือไม่ เดินข้ามไปสู่อะไร? (หรือมีความรู้สึกอย่างไร) ทำไมจึงมีความรู้สึกนั้น? และเมื่อมีความรู้สึกนั้นแล้ว ผู้เรียนจะทำอย่างไรต่อไป?

การรับรู้และการแลกเปลี่ยน ‘ความรู้สึก’ ของกันและกันจึงสำคัญมาก ผู้สอนจึงควรแบ่งสรรเวลาสำหรับการเรียนรู้เรื่องความรู้สึกต่างๆ ที่ผู้เรียนมีต่อเรื่องๆ นั้น โดยไม่กำหนดไว้เป็นหลักสูตรตายตัวว่า ผู้เรียนจะต้องมีความรู้สึกอย่างไร? แต่ควรให้ผู้เรียนได้รับรู้และเรียนรู้ในความรู้สึกของคนอื่นที่อาจแตกต่างออกไปจากตนด้วย

แน่ละว่า ไม่ใช่ทุกสะพานเชื่อมสู่ความรู้สึกจะทำงานได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้เรียนแต่ละคน เช่นเดียวกับการถ่ายทอดความรู้ ที่อาจไม่ได้ผลบ้างเช่นกัน เพียงแต่ในแง่ความรู้เราอาจนำ ‘การสอบ’ มาใช้เป็นกลไกบังคับให้ผู้เรียนขวนขวายหา ‘ความรู้’ กันเอาเอง เพื่อให้ผ่านการสอบไปให้ได้

แม้ว่าในที่สุดแล้ว ความรู้แบบนั้นอาจเป็น ‘ความรู้’ ที่ปราศจาก ‘ความรู้สึก’ ควบคู่มาด้วย และหลายครั้ง ความรู้ที่ปราศจากความรู้สึกก็ไม่มีความหมายใดสำหรับผู้เรียน นอกเหนือจากการสอบ นั่นทำให้ภายหลังจากการสอบผ่านไป ผู้เรียนก็อาจจะทิ้งความรู้ที่เคยมีไปด้วยนั่นเอง

ในทางตรงข้าม หากเราทำให้ ‘ความรู้’ นั่นมาควบคู่กับ ‘ความรู้สึก’ ความรู้สึกจะเป็นตัวกำกับว่า เรื่องนั้นมีความหมาย/ความสำคัญต่อผู้เรียน และ ‘ความรู้’ ที่จะนำมาใช้ ก็ย่อมจะมีความหมายต่อผู้เรียนไปในระยะยาว

ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ห้องเรียนของเรา หรือการเรียนรู้ของเรา มีทั้งความรู้และความรู้สึกควบคู่กัน เราจึงต้องแบ่งเวลาสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์หรือสะพานเชื่อมระหว่างผู้เรียนกับสิ่งที่กำลังเรียน เราจึงต้องออกแบบกระบวนการสำหรับการรับรู้ และการเรียนรู้ถึง ความรู้สึกของผู้เรียน (และของตัวผู้สอนเองด้วย)

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)เดชรัต สุขกำเนิดการศึกษาความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Author:

Related Posts

  • Deep Listening-nologo
    Character building
    ‘การฟังเป็น’ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียง แต่ต้องให้ดังไปถึงใจ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Beyond Schooling : 3 รูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่หยุดแค่รั้วโรงเรียน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • How to enjoy life
    I am good enough : เห็นคุณค่าตัวเองในวันที่ถูกรายล้อมไปด้วยสังคมที่ขาด empathy

    เรื่อง ภณิชชา ไชยกวิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ
Character building
28 August 2018

ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ antizeptic

  • การบ้านจากกิจกรรมรักการอ่านส่วนใหญ่คือให้นักเรียนสรุปประเด็นของหนังสือที่อ่าน แต่คลาสนี้กลับเสนอให้นักเรียน ‘เป็นที่ปรึกษาของตัวละคร’ ที่พวกเขาเพิ่งอ่านจบ
  • จุดประสงค์ไม่ใช่ปริมาณหนังสือ แต่คือเครื่องมือช่วยให้นักเรียนชำระบาดแผลความทุกข์เศร้าในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้อง ‘เล่า’ แต่ขยับเป็น ‘ที่ปรึกษา’ แทน
  • เข้าใจโลกภายในของคนอื่น รู้จักความแตกต่าง มีความยืดหยุ่นและเห็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน คือคุณสมบัติที่อยากสร้างให้กับนักจิตบำบัดตัวน้อย

คุณูปการอันทรงพลังของนิยาย คือการพาผู้อ่านไปเข้าใจโลกภายในหลายใบของตัวละคร แม้ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้น ไม่เห็นด้วย ไม่รัก แต่อาจเข้าใจ จะเป็นอย่างไรถ้าไม่ใช่แค่การอ่าน แต่ให้เด็กๆ เป็น ‘ที่ปรึกษาของตัวละคร’ จำลองตัวเองเป็น ‘นักจิตบำบัด’ ของตัวละครที่เพิ่งค้นพบ แล้วอธิบายว่าทำไมพวกเขาจึงคิดหรือทำแบบนั้น

นี่คือวิธีคิดและนำไปใช้จริงในห้องเรียนของ โรเบิร์ต วาร์ด (Robert Ward) นักการศึกษาและนักเขียน ด้วยความคิดตั้งต้น 2 อย่าง

1. เพื่อช่วยให้เด็กสะท้อนเรื่องราวโหดร้ายหรือเจ็บปวดของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้อง ‘เล่า’ ให้ครูฟัง แต่ผ่านการให้คำปรึกษาต่อตัวละคร

2. กับเด็กที่ไม่ได้มีประสบการณ์เลวร้ายโดยตรง วิธีนี้จะช่วยถ่างใจให้กว้าง เข้าใจคอนเซ็ปต์ความแตกต่าง พร้อมจะเข้าอกเข้าใจ (empathy) ผู้อื่น หรือเตรียมความพร้อมกับตัวเองหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต

เขาอธิบายที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจการสอนรูปแบบนี้ไว้ในบทความเรื่อง ‘Life Lessons From Fictional Characters’ (วิชาชีวิตจากตัวละครในนิยาย) ไว้ว่า ประสบการณ์จากการสอนทำให้เห็นว่านักเรียนแต่ละคนมีบาดแผลของตัวเองและมันย่อมสร้างผลกระทบต่อการเติบโตของพวกเขา

วาร์ดต่อยอดห้องเรียนจากแนวคิดนี้รวมกับโมเดลเรื่องสิ่งที่ได้จากการอ่านนิยาย โดยเสนอให้เด็กๆ เป็น ‘ที่ปรึกษาของตัวละครในนิยาย’ ให้พวกเขาทดลองเป็นผู้ให้คำปรึกษาและนำพาตัวละครให้ผ่านความเจ็บปวดนั้น

“เมื่อเขาอยู่ในฐานะนักจิตบำบัดของตัวละครในนิยาย นักเรียนที่มีบาดแผลไม่ว่าจากเรื่องอะไร พวกเขาจะค้นหาความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเองกับตัวละครและให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงกับตัวละครได้ แม้ว่าความเจ็บปวดของตัวละครนั้นอาจไม่ใกล้เคียงกับชีวิตของพวกเขาเลย

“สำหรับเด็กๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรในชีวิตขนาดนั้น การให้คำแนะนำกับตัวละครยังสร้างทักษะการให้คำปรึกษาต่อคนอื่นด้วยความเข้าใจ ในเวลาที่คนอื่นต้องการความช่วยเหลือ” วาร์ดอธิบาย

วิธีสร้าง ‘ที่ปรึกษาของตัวละคร’

วิธีการคือ ให้เด็กๆ ‘เขียนบทสนทนา’ ระหว่างพวกเขากับตัวละคร ขั้นแรกให้นักเรียนเลือกเวลาหรือสถานการณ์ที่ตัวละครนั้นๆ กำลังอยู่ในช่วงเวลาเคร่งเครียด แต่วิธีการที่พวกเขาจะระบายความเครียดคืออะไร จุดนี้ให้นักเรียนเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องเป็นการกระทำบนฐานของตัวละครนั้นๆ และต้องสมจริง

อย่างไรก็ตาม เด็กๆ กำหนดเพิ่มเติมได้ว่าข้อจำกัดหรือบริบทในสถานการณ์นั้นคืออะไร เพียงแต่ต้องมีสัญลักษณ์หรือเปรย (hint) ไว้ในนิยายเรื่องนั้นจริงๆ ด้วย

ในการเขียนบทสนทนา วาร์ดให้เด็กๆ ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้

พูดความจริง: นักเรียนต้องอนุญาตให้ตัวละครได้ระบายความอึดอัดคับข้อง และทำให้ตัวละครรู้สึกสบายใจที่จะเข้าอกเข้าใจสถานการณ์นั้น โดยให้ตัวละครได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง ขั้นตอนนี้ทำให้เด็กๆ รับมือกับประเด็นที่ซับซ้อนโดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์และความเคร่งเครียด มากกว่าให้เด็กๆ ‘สรุป’ ว่านิยายเรื่องนี้มีใจความว่าอะไร

ทำความรู้จักอารมณ์: นักเรียนต้องขอให้ตัวละครนั้นๆ อธิบายว่า สิ่งที่ติดอยู่หัว หรืออะไรคืออารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจของตัวละครนั้นจนสลัดไม่หลุด และขอให้นักเรียนพูดคุยกับตัวละครนั้นให้เข้าใจว่าความรู้สึกดังกล่าวมีอิทธิพลต่อตัวละครอย่างไร วิธีการนี้จะช่วยให้นักเรียนขยับจากความเข้าใจไปเป็น ‘อนุมาน’ ถึงสิ่งที่อยู่ในใจและไม่อาจอธิบายออกมาได้

วิเคราะห์การกระทำ: นักเรียนต้องช่วยให้ตัวละครเห็นว่าการกระทำของพวกเขาเป็นผลจากความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การกระทำของตัวละครอาจทำให้สถานการณ์นั้นแย่ลงหรือกระทบต่อคนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ ขั้นตอนนี้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจความเชื่อมโยงของเหตุการณ์หนึ่งสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง

ก้าวต่อไป: นักเรียนต้องช่วยให้ตัวละครเข้าใจเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ ให้กำลังใจตัวละครเหล่านั้นสู่การให้อภัยและนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ได้สำเร็จ ขั้นตอนนี้ นักเรียนจะมีทักษะการแก้ปัญหาหรือคิดหาทางแก้ไขให้กับตัวละครนั้นๆ ได้นำไปพิจารณา

วาร์ดถอดบทเรียนของคลาสนี้ว่า นอกจากจะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกตัวละครที่เขาอยากพูดคุยทำความเข้าใจ และได้พัฒนาทักษะเรื่องความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ แล้ว ยังทำให้พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของการเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของผู้คน ส่วนประเด็นของการชำระเรื่องราวภายในของตัวนักเรียน แม้ว่าไม่ได้เปิดเผยโดยตรง แต่มันย่อมปรากฏอยู่ในบทสนทนาระหว่างตัวนักเรียนและตัวละครที่พวกเขาคุยด้วยโดยอัตโนมัติ

ส่วนเคล็ดลับของการเป็นนักบำบัด ซึ่งคุณครูอาจนำไปลองใช้กับนักเรียนเอง หรือแนะให้นักเรียนใส่ไว้ในบทสนทนาระหว่างพวกเขากับตัวละคร มีเทคนิคดังนี้

บทสนทนาเปิด: “ฉันอยากรับฟัง ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ?”

ดำเนินบทสนทนา: “ฉันอยากเข้าใจเรื่องตรงนี้จัง ช่วยอธิบายจุดนี้เพิ่มเติมหน่อยได้มั้ยคะ”

ยื่นความช่วยเหลือ: “ฉันตั้งใจอยากจะช่วยเหลือจริงๆ เรากลับมาพูดคุยประเด็นนี้กันอีกสักครั้งได้มั้ยคะ?” หรือ “ฉันอยากจะให้กำลังใจคุณในประเด็นนี้ค่ะ”

ช่วยสะท้อนกลับ: “สิ่งที่ฉันเข้าใจก็คือ…” หรือ “คุณกำลังรู้สึก… รึเปล่าคะ?”

ที่มา: https://www.edutopia.org
https://www.cbsnews.com

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนจิตวิทยาการฟังและตั้งคำถามครู

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel