Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: November 2018

เรียน ‘วิชาเงียบ’ เพื่อให้เด็กๆ ฟังเสียงตัวเองชัดขึ้น
21st Century skills
23 November 2018

เรียน ‘วิชาเงียบ’ เพื่อให้เด็กๆ ฟังเสียงตัวเองชัดขึ้น

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาธ์แบงค์ อังกฤษ พบว่า ผลการสอบของนักเรียนจะลดลงมากถึง 1 ใน 3 หากพวกเขาเรียนในห้องเรียนที่มีเสียงดัง
  • เรียนรู้ได้ลึกและกว้างขวาง-ไม่ต้องเร่งตัวเองเกินไป-สร้างวินัยพร้อมดึงสมาธิ คือ 3 อย่างที่เด็กๆ จะได้จากช่วงเวลาของความเงียบ
  • ครูเอง ถ้าปล่อยให้นักเรียนโต้เถียง และทำหน้าที่แค่คอยสังเกตการณ์ วิธีนี้จะทำให้ครูสามารถฟังนักเรียนได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้ใหญ่มักเรียกร้องให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง กล้าคิดกล้าแสดงออก แต่คำถามคือพวกเขาจะทำได้อย่างไรหากไม่มีเวลาหยุดนิ่งและทบทวนเสียงที่ดังอยู่ในหัวของตัวเอง ท่ามกลางสิ่งรบกวนแวดล้อมที่พร้อมจะทำให้เขาเสียสมาธิได้ทุกวินาที

ความเงียบคือคำตอบ และหลายๆ โรงเรียนในต่างประเทศได้เริ่มบรรจุวิชาเงียบลงในหลักสูตรแล้ว

ดร.เฮเลน ลีส์ (Helen Lees) จากวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยสเตอร์ลิง บอกว่า การสอนให้เด็กๆ รู้จักประโยชน์ของความเงียบในบรรยากาศปลอดความตึงเครียด จะสร้างโอกาสให้พวกเขาใช้สมาธิและสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งจะส่งผลต่อความสนใจและพฤติกรรมของนักเรียนอย่างมาก

เพิ่มความเงียบในห้องเรียน

ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาธ์แบงค์และสถาบันการศึกษาแห่งกรุงลอนดอนพบว่า ผลการสอบของนักเรียนจะลดลงมากถึงหนึ่งในสามหากพวกเขาเรียนในห้องเรียนที่มีเสียงดัง

ดร.ลีส์ ยังบอกว่า ความเงียบมีโครงสร้างที่กระตุ้นให้เกิดวินัยภายในและส่งผลให้สามารถคิดอย่างอิสระได้มากขึ้น เพราะบ่อยครั้ง ความเงียบถูกอ้างถึงในฐานะ การสะท้อนความคิดอย่างลึกซึ้ง (contemplative reflection) เป็นเวลาที่ใช้คิดถึงความหมายของบทเรียนในชั้นเรียน หรือประสบการณ์นอกกำแพงโรงเรียน ช่วยให้นักเรียนเปิดกว้างกับการเรียนได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

“เมื่อเราใช้แนวทางการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งโรงเรียนและนำมารวมกัน สิ่งที่เราเห็นคือการศึกษาที่ปราศจากความเงียบไม่ค่อยให้ผลดีนัก ทั้งในแง่การเรียนรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความเชื่อมั่นในตนเอง รวมถึงสุขภาพของนักเรียนด้วย”

แต่ความเงียบ ไม่ใช่แค่การออกคำสั่งให้ “อยู่เงียบๆ” เพราะการใช้ความเงียบลงโทษจะกลายเป็นการหยุดยั้งความสามารถตามธรรมชาติของเด็กๆ ไปทันที – ลีส์ เพิ่มเติม

วิชาเงียบของนักเรียน

นักเรียนได้อะไรจากช่วงเวลาของความเงียบบ้าง

• เรียนรู้ได้ลึกและกว้างขวาง ให้นักเรียนนั่งโดยไม่มีสิ่งรบกวนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซึมซับและจดจำเนื้อหา ประมวลผลความรู้สึกและความคิดจากเพื่อนๆ และพิจารณาความสำคัญของมุมมองอื่นได้ เมื่อมีเวลาให้คิดมากขึ้น นักเรียนจะสามารถพิจารณาเนื้อหาในวิชาประวัติศาสตร์ โดยคิดถึงผลจากเหตุการณ์ในอดีตที่กระทบต่อชีวิตและชุมชนของพวกเขาในปัจจุบัน

• ไม่ต้องเร่งตัวเองเกินไป ปกติแล้วนักเรียนต้องตามให้ทันครู เพื่อนร่วมชั้น และหลักสูตรที่ทั้งเร็วหรือช้ากว่าระดับความเร็วของพวกเขา การบ้าน กีฬา การสอบ กระทั่งเวลาพักเที่ยงยังมีเส้นตายและกำหนดเวลา ช่วงเวลาหยุดพักใคร่ครวญจะทำให้เด็กๆ มีโอกาสตามทันและประมวลผลสิ่งที่ทำไปตามจังหวะของตัวเอง

• สร้างวินัยและดึงสมาธิ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง กระตุ้นให้นักเรียนฝึกมีสมาธิและควบคุมตัวเองไม่ให้พูดเรื่อยเปื่อยในห้อง รวมถึงพัฒนาการสื่อสารให้รอบคอบตั้งใจ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานเป็นทีม กระตุ้นให้เกิดการอภิปรายถกเถียงกันในสังคมด้วย

วิชาเงียบสร้างความเป็นหนึ่งเดียว

“ความเงียบเป็นหนึ่งในของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามี” เฟรด โรเจอร์ส (Fred Rogers) เคยว่าไว้ เขาเป็นพิธีกรรายการทีวีสำหรับเด็ก Mr.Rogers’ Neighborhood ซึ่งออกอากาศมาตั้งแต่ปี 1967-2001

ไม่ใช่แค่เด็กๆ ที่จะได้ประโยชน์จากวิชาเงียบ ครูเองสามารถรื่นรมย์กับความเงียบในแต่ละวันได้เช่นกัน โดยปล่อยให้นักเรียนโต้เถียงและคอยนำบทสนทนาขณะที่ครูคอยสังเกตการณ์ วิธีนี้จะทำให้ครูสามารถฟังนักเรียนได้อย่างลึกซึ้งและใส่ใจต่อความสนุก ความกลัว และความกังวลของนักเรียน

ดังนั้น ไม่ใช่แค่การพูด ออกคำสั่ง จะช่วยให้ครูสื่อสารกับนักเรียนได้ แต่ความเงียบยังเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนด้วย

นอกจากนี้ ความเงียบถือเป็นโอกาสในทุกความสัมพันธ์ ทั้งที่โรงเรียน ห้องเรียน บ้าน หรือชุมชน การสะท้อนความเงียบร่วมกันสามารถสร้างความเข้าใจและความเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านการรับฟังความคิดเห็นและความเชื่อของคนอื่นอย่างตั้งใจ โดยไม่คาดหวังหรือโต้แย้งทันที

ช่องว่างระหว่างการฟังอย่างเงียบสงบนั้นทำให้เข้าใจแนวคิด มุมมอง และประสบการณ์ที่อาจแตกต่างไปจากของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ความกลัวที่หายไป ความเข้าใจที่ตามมา และสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างชุมชนและวัฒนธรรมที่เหมาะสมจะสะท้อนความเงียบได้ต้องใช้การฝึกฝน ความอดทน และเวลา

อ้างอิง:
The Value of Silence in Schools
Silence is golden: how keeping quiet in the classroom can boost results

Tags:

ครูเทคนิคการสอน4Csการตั้งแกน(Centering)

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา
Voice of New Gen
22 November 2018

TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • พี-ปาล์ม-พีช สามหนุ่มสาวเจ้าของผลงาน Time for Tales ที่ช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ของน้องๆ ผู้พิการทางสายตาผ่านนิทานที่บอกเล่าผ่านเสียงและสัมผัส
  • Time for Tales ถือเป็นภาพความสำเร็จของทั้งสามในการเปิดโลกการเรียนรู้ให้แก่น้องๆ ผู้พิการทางสายตา แต่ขณะเดียวกัน จากกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้ทั้งสามคนได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน
  • พี-ปาล์ม-พีช คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะใช้พลังด้านบวกของตัวเอง สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้แก่ผู้อื่นเพื่อสังคมที่ดีขึ้น
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

ขึ้นชื่อว่าการทำเพื่อผู้อื่น ย่อมสวยงามเสมอ ยิ่งผู้อื่นคือผู้ด้อยโอกาสหรือผู้พิการ คุณค่าของความสวยงามนั้นย่อมทวีคูณ

เรากำลังพูดถึง ‘พี’ ภาดา โพธิ์สอาด, ‘ปาล์ม’ วสุพล แหวกวารี และ ‘พีช’ พัชฌาพร วิมลสาระวงศ์ นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 หนุ่มสาวที่ร่วมกันเปิดโลกการเรียนรู้ของน้องๆ ผู้พิการทางสายตาผ่านนิทานที่บอกเล่าผ่านเสียงและสัมผัส ที่ชื่อว่า Time for Tales

พี-ภาดา โพธิ์สอาด, ปาล์ม-วสุพล แหวกวารี และ พีช-พัชฌาพร วิมลสาระวงศ์

ที่จุดเริ่มต้น…ความฝันไม่ใช่ความจริง

หากสิ่งที่นักพัฒนาที่ดีจำเป็นต้องมี คือ การทำเพื่อผู้อื่น ‘พี’ นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็ถือได้ว่ามีคุณสมบัติของการเป็นนักพัฒนาตั้งแต่ต้นทาง จากการที่เธอได้ทดลองเป็นคนตาบอดในนิทรรศการ Dialogue in The Dark จนเกิดความอยากที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา บวกกับความชอบของเล่นเป็นทุนเดิม จนออกมาเป็น Time for Tales ในรูปของ Senior Project ขึ้น

“เราสนใจด้านของเล่นอยู่แล้ว คิดว่ามันน่าจะสนุก เลยอยากทำของเล่นเพื่อคนพิการ ด้วยความที่เรียนด้านคอมพิวเตอร์ เลยอยากทำของเล่นที่เป็น High Technology สำหรับเด็กพิการ ตอนแรกที่คิดไว้มันอลังการมากเลย (หัวเราะ) อยากทำตุ๊กตาที่พูดได้ โต้ตอบได้ ใช้ speed recognition เป็นบอร์ดเกมใหญ่ๆ ที่เด็กจับต้องได้และมีเสียงตอบกลับมา” พีเล่าถึงต้นทางความฝัน ที่ไม่ต้องรอเวลาเนิ่นนาน เพราะเธอลงมือทำความฝันนั้นให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในเวลา 6 เดือน โดย Time for Tales เวอร์ชั่นแรกเป็นบอร์ดเกมบล็อคกระดาษรูปทรงสี่เหลี่ยมที่สามารถโต้ตอบกับผู้เล่นได้ โดยมีทั้งส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ (แอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์)

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฐานคิดของความเป็นนักพัฒนา แต่ผลงานร่างแรกก็ได้สอนให้พีรู้ว่า ความฝันมันไม่ใช่ความจริงเสมอไป โดยเฉพาะการพัฒนาผลงานขึ้นโดยปราศจากการศึกษาหรือเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริง

“ตอนทำเป็น Senior Project แทบไม่ได้ไปศึกษา user เลยค่ะ ทำตามใจที่อยากได้ เริ่มทำตอนเดือนสิงหาคม 2559 เสร็จเดือนมกราคม 2560 อาจารย์ก็พาไปทดลองใช้จริงกับน้องๆ ที่โรงเรียนธรรมิกวิทยา ซึ่งน้องๆ ส่วนใหญ่ไม่มีสมาร์ทโฟน จึงต้องลดสโคปผลงานลงเหลือเพียงฮาร์ดแวร์” พีเล่า โดยที่ในตอนนั้นเธอยังไม่รู้หรอกว่า นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมหกรรมการแก้งานเท่านั้น

ขับตามผู้เชี่ยว เลี้ยวตามผู้ใช้

ด้วยความต้องการให้ผลงานของตัวเองพัฒนาไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง พีจึงผลักดัน Time for Tales เข้าประกวดในการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 19 (NSC 2017) โดยผลงานสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้าย ก่อนต่อยอดด้วยการเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 5 ซึ่งทำให้พีต้องชวนเพื่อนร่วมคณะอย่างปาล์ม และพีชจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เข้ามาร่วมทีม

“ตอนเข้าต่อกล้าฯ มีแค่พีกับปาล์ม 2 คน ปาล์มดูเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนพีดูภาพรวม story การอัดเสียง จากนั้นก็ชวนพีชมาช่วยเรื่องออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก ที่ต้องชวนมาเพราะตอน NSC มีปัญหาเยอะมาก (หัวเราะ) หลายคนบอกว่างานมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ แต่มีหลายเรื่องที่ต้องทำ ทั้งการออกแบบ เสียง story วงจร มันเยอะจนคิดว่าเราทำคนเดียวไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นมันจะไม่ดีสักอย่าง” พีเล่าอย่างอารมณ์ดี

แต่เชื่อได้เลยว่า ณ ตอนที่ต้องปรับแก้ผลงานนั้น อารมณ์ของทั้งสามไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้แน่

“เวอร์ชั่นแรกถูกคอมเมนท์เยอะมากค่ะ เพราะไม่ตอบโจทย์คนพิการ ต้องปรับปรุงหลายอย่าง ทั้งเซนเซอร์ที่ยังไม่ดี ทีมโค้ชแนะนำให้เปลี่ยนเป็น RFID (เทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการระบุสิ่งต่างๆ โดยอาศัยคลื่นวิทยุ) แทน ทั้งรูปร่างที่เป็นบล็อคสี่เหลี่ยมลูกบาศก์มันเล่นยากสำหรับน้อง จึงเปลี่ยนเป็นทรงกระบอก คือคิดใหม่ re-designed ใหม่หมดเลย” พีเล่า

ภาดา โพธิ์สอาด

และเพื่อให้สเต็ปการพัฒนาผลงานของทีมเป็นไปอย่างเข้ารูปเข้ารอยที่สุด ทีมโค้ชจึงแนะนำให้ทั้งสามรู้จักกับ พี่กี้ BLIX POP (ณัชชา โรจน์วิโรจน์ ประธานกรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท บลิกซ์ พ็อพ จำกัด) ผู้ประกอบการธุรกิจของเล่นสำหรับเด็กพิการทางสายตา ซึ่งคำแนะนำของพี่กี้ก็ได้ช่วยสร้างแนวทางการพัฒนาผลงานของทีมให้ชัดเจนขึ้น

“พี่กี้เป็นเหมือน mentor ที่คอยดูแล งานก็เลยพัฒนามาเป็นอีกรูปแบบหนึ่งเลย ที่สำคัญคือพี่เขาสอนเรื่องการนำผลงานไปทดสอบกับน้องๆ คนตาบอดว่าควรทำอย่างไร ควรทำ mock up แบบไหน สัมภาษณ์เด็กและคุณครูอย่างไร วิธีการสังเกตพฤติกรรมการเล่นของน้องทั้งหมด เวลาน้องเล่นให้ดูกระทั่งองศาของมือว่าเขาเล่นไม่สะดวกหรือเปล่า” พีชเล่า

ปรับแก้จนแล้วเสร็จ ก็ได้ฤกษ์นำผลงานเวอร์ชั่น 2 ไปทดลองใช้จริงกับน้องๆ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ เพื่อจะพบกับโจทย์ใหม่ให้ปรับปรุงผลงานอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการปรับขนาดและรูปทรงของผลงานให้ไม่เป็นอันตรายต่อน้องๆ ซึ่งก็ทำให้ทีมต้องรื้อสร้างผลงานใหม่ (อีกครั้ง) โดยพัฒนาเวอร์ชั่น 3 ให้เป็นแบบเลโก้ ด้วยเหตุผลด้านความแข็งแรง แต่เพราะติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ทำให้ทีมตัดสินใจพัฒนาเวอร์ชั่น 4 ขึ้น โดยใช้ไม้เป็นวัสดุ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน

“เราไปเดินดูของเล่นที่มีอยู่ในตลาดว่าเขามีอะไรบ้าง นอกจากพลาสติกก็มีไม้ ซึ่งเข้ากับแนวคิดที่อยากให้ผลงานของเรามีความเป็นมิตรมากที่สุด ดูจริงมากที่สุด คิดว่าถ้าน้องได้สัมผัสของเล่นที่เป็นไม้น่าจะให้ความรู้สึกที่ดีขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นไม้หมดเลย และสัดส่วนก็จะสอดคล้องกับความจริงมากขึ้น” พีเล่า

อุปสรรคยิ่งหลายขั้น ความสำเร็จยิ่งสูงค่า

ธรรมชาติของคนเรา ลำพังแค่อุปสรรคด่านเดียวก็อาจเพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครหลายคนพับความฝันเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้าน แต่สำหรับ พี-ปาล์ม-พีช ที่ต้องการแก้งานถึง 3 รอบ ซึ่งแต่ละรอบไม่ใช่แก้นิดๆ หน่อยๆ แต่ถึงขั้นรื้อทำใหม่ คำว่าหนักหนายังน้อยไป

“ช่วงพัฒนาเวอร์ชั่น 2 กับ 3 ถือว่ายากที่สุดแล้วค่ะ ช่วงนั้นคุยกับพี่กี้แล้วรู้สึกท้อเพราะต้องรื้อทำใหม่ ตอนนั้นน้องพีชเพิ่งเข้ามาร่วมทีมก็เชียร์ให้ทำใหม่ แต่พีไม่อยากทิ้ง ถ้าทำใหม่มันต้องไปเริ่มใหม่หมด ต้องคิดใหม่หมด ช่วงนั้นเครียดมาก แล้วกว่าจะได้แบบใหม่มาก็ต้องปรับกันเยอะมาก เหนื่อยทั้งเดือน เป็นช่วงปิดเทอมที่ทุกคนเหนื่อยมาก” พีเล่าถึงการเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการพัฒนาผลงาน ที่นอกจากจะต้องเครียดกับเนื้องานแล้ว การทำงานเป็นทีมก็เป็นปัญหามาก

“แรกๆ มีอุปสรรคเยอะมากค่ะ เพราะวิธีคิดของเด็กวิศวะกับเด็กสถาปัตย์มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว พีกับปาล์มเป็นวิศวะคอมพิวเตอร์จะมองเรื่องการใช้งาน ไม่ต้องสวยมากหรอก (หัวเราะ) ส่วนพีชเป็นเด็กสถาปัตย์ก็จะมองเรื่องความสวยงามเป็นหลัก แรกๆ เถียงกันเยอะมาก เพราะพีชอยากทำให้มันสวย ส่วนที่เหลือหนูแค่ขอให้ใช้งานได้ ก็เหนื่อยมากกว่าจะจูนกันได้ (หัวเราะ)” พีเล่าอย่างอารมณ์ดี

แต่สุดท้าย ทีมก็ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา บนฐานของการประนีประนอม และเดินหน้าต่อไปด้วยการวางใจในความรับผิดชอบของแต่ละคน กระนั้น แม้จะรวมทีมกันลงตัวขึ้น แต่ภาระงานที่หนักหนา บวกกับความคาดหวังจากครอบครัว ก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่คอยบั่นทอนพลังกายพลังใจของทุกคน

“มีช่วงหนึ่งที่อยากจะเลิกทำเหมือนกัน เพราะพีรู้สึกเหนื่อย และตอนนั้นก็เรียนจบแล้ว ที่บ้านก็อยากให้ทำงานประจำสักที ทำไมไม่เริ่มทำงาน ทำแต่อันนี้อยู่ได้ แล้วตอนนั้นผลงานเรายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จะไปบอกเขาได้ เลยนั่งคิดว่าควรจะไปต่อไหม สุดท้ายคิดว่าต่อให้เราไปทำงานประจำ ชีวิตมันก็แค่ผ่านไปวันๆ การทำตรงนี้มันเป็นโอกาส เรามีโอกาสที่จะได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่น (i-CREATe) มันได้ประสบการณ์ ได้เจอคนหลากหลาย พีมาทำงานนี้ได้เจอทั้งนักธุรกิจ ดีไซเนอร์ ซึ่งมันไม่ได้มีโอกาสที่จะได้เจอคนแบบนี้ในชีวิตปกติ เลยคิดว่าทำให้มันสุดๆ เหนื่อยก็ทำไป สุดท้ายน่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง เรื่องเงินช่างมันก่อน” พียิ้ม

และมากกว่านั้นคือ สัญญาใจของทีมที่ให้ไว้กับผู้ใช้ กลายเป็นแรงดลใจที่ทำให้พวกเขาเลือกสู้ไม่ถอย!

“เราปรับแก้งานตั้งแต่เวอร์ชั่น 1-4 ภายในเวลาแค่ 6-7 เดือน ซึ่งมันน้อยมาก แต่ที่ทำได้เป็นเพราะเราไปสัญญากับน้องๆ ไว้ว่าเราจะทำให้เสร็จ เพราะเราเห็นน้องๆ เล่นแล้วเขามีความสุข เราจึงอยากจะทำให้มันได้ เราอยากจะส่งมอบให้พวกเขาได้เล่นของเล่นชิ้นนี้จริงๆ” พีเผยถึงแรงบันดาลใจ

การเติบโตไปสู่โลกใหม่

ถึงวันนี้ที่ผลงาน Time for Tales ของพี-ปาล์ม-พีช ได้เดินทางออกจากความเป็น Senior Project ไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานจริงของน้องๆ 5 โรงเรียนในกรุงเทพฯ ในรูปแบบของการบริจาค ให้น้องๆ ได้ยิ้มและสนุกไปกับเสียงและสัมผัสของโลกนิทาน และปัจจุบัน ทีมก็กำลังทำโครงการระดมทุนในรูปแบบ cloud funding ผ่านเทใจดอทคอม เพื่อขยายผลรอยยิ้มไปสู่น้องๆ คนตาบอดทั่วประเทศต่อไป

“มันเหมือนเป็นความสำเร็จหนึ่งที่เราได้มาถึงจุดที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ทำให้คิดว่าตอนนี้เราทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว ในอนาคตถ้าจะทำอะไรที่มากกว่านี้ เราก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้นว่าเราน่าจะทำได้” ปาล์มกล่าว

ถือเป็นภาพความสำเร็จของทั้งสามในการเปิดโลกการเรียนรู้ให้แก่น้องๆ ผู้พิการทางสายตา แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยกระบวนการทำงานตลอดระยะเวลาของค่าย ก็เปรียบได้กับกลไกที่ช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้ทั้งสามได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน

“เราไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ (หัวเราะ) ได้เรียนรู้เยอะมาก ทั้ง process การทำของชิ้นหนึ่งว่า design thinking process เป็นอย่างไร ได้เรียนรู้ business model ว่าต้องทำอย่างไร ได้เจอพี่ๆ นักวิจัย นักธุรกิจ ได้ตระหนักว่าการมีคอนเนคชั่นสำคัญมาก มันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น อย่างล่าสุด มูลนิธิสยามกัมมาจลให้ไปคุยกับบริษัท รักลูก เรื่องการระดมทุน หรือการเข้าไปคุยกับ Plan Toys เรื่องการประกวด มันทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรได้เร็วขึ้นมากๆ และการได้ไปเจอคนหลากหลาย ก็ทำให้เราได้แนวคิด ได้วิธีการคิดใหม่ๆ เยอะมาก” พีกล่าว ก่อนยกตัวอย่างวิธีการคิดที่ได้รับมา ซึ่งช่วยยกระดับตัวตนของทั้งสามให้เติบโตขึ้นเป็นนักพัฒนาเต็มตัว

“รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะมากค่ะ ก่อนหน้านี้พีค่อนข้างใจร้อน อยากทำอะไรให้มันเสร็จๆ ไป แต่พอมาทำงานนี้เราต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ทำงาน อีกอย่างจากเมื่อก่อนคิดว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องเก่งมากๆ ก่อน ต้องมีประสบการณ์หลายปี แต่พอทำงานนี้จึงได้รู้ว่า มีหลายครั้งที่ธุรกิจเกิดขึ้นจากความไม่พร้อม แต่เจ้าของเขาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่เริ่มก็ไม่มีทางที่จะได้ทำ เพราะฉะนั้นถ้าอยากทำอะไรต้องเริ่มเลย ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีทางสำเร็จ” พีกล่าว

เพราะถึงที่สุดแล้ว การรอคอยที่จะเรียนรู้จากผู้อื่น แม้จะช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นได้จริง แต่ก็คงไม่เร็วและตรงประเด็นเท่าการที่เราริเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง

“อย่างที่บอกว่าพวกเราไม่ใช่หัวธุรกิจอยู่แล้ว มีหลายครั้งที่เราทำอะไรพลาดไปเราก็ไม่รู้ ก็ต้องไปอ่านหนังสือ เรียนคอร์สออนไลน์เกี่ยวกับธุรกิจมากขึ้น ปรึกษาเพื่อนที่เรียนด้านการตลาด การทำ cloud funding หรืออย่างการนำเสนอก็จะศึกษาจาก TED TALK แล้วฝึกเอง การเรียนรู้พวกนี้มันช่วยเราได้เยอะมากค่ะ” พีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ก้าวสู่การเป็นนักพัฒนา

กล่าวได้ว่า ด้วยการบ่มเพาะของโครงการต่อกล้าฯ บวกกับประสบการณ์จากการพัฒนาผลงาน และการศึกษาเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง ทำให้พี-ปาล์ม-พีช เติบโตขึ้นในมิติของการเป็นนักพัฒนาที่พร้อมจะสร้างสรรค์ผลงานที่จะช่วยเหลือ แก้ปัญหา หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อื่นให้ดีขึ้นกว่าเดิม

“การได้เข้าโครงการต่อกล้าฯ ถือว่าเราได้เกินกว่าที่หวังไว้มากเลยค่ะ ตอนแรกเราแค่อยากจะพัฒนาตัวเอง ผลงานก็อาจจะพัฒนาขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ได้มองว่าจะไปถึงจุดไหน (หัวเราะ) แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า เราอยากทำผลงานนี้เพื่อช่วยคนอื่น ถ้าเราได้ช่วยคนอื่นด้วยก็ดีสิ ซึ่งมันก็เป็นหนทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้เรื่อยๆ ต่อไปในอนาคตได้ด้วย” พีกล่าวอย่างอารมณ์ดี

“ประเทศไทยมีปัญหาเยอะมาก (ลากเสียง) แต่เราไม่อยากเหมือนคนทั่วไปที่บอกว่านี่เป็นปัญหา แต่ไม่ทำอะไร ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำแล้วคนอื่นมาเห็น อย่างคนอื่นมาเห็นของเล่นของเราแล้วเขามีแรงบันดาลใจที่อยากทำอะไรเพื่อคนอื่นด้วย มันจะเป็นพลังบวกที่ส่งต่อไป คนอื่นก็จะได้ทำสิ่งดีๆ ให้ประเทศเรามากขึ้นไปอีก ประเทศเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ” พีกล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจ

นี่คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะใช้พลังด้านบวกของตน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้แก่ผู้อื่นในสังคม เพื่อสังคมที่ดีขึ้น เพื่อโลกที่สวยงามขึ้นเหมือนดังผลงานโลกนิทานของทั้งสาม

เป็นโลกใบสวยที่เราจะได้มองเห็นและชื่นชมไปด้วยกัน

Tags:

วัยรุ่นโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมคนพิการนิทาน

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

‘สก็อตแลนด์’ ประเทศแรกที่สอนเรื่อง LGBTI ในโรงเรียน
Education trend
21 November 2018

‘สก็อตแลนด์’ ประเทศแรกที่สอนเรื่อง LGBTI ในโรงเรียน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • ‘สก็อตแลนด์’ ประเทศแรกในโลกที่รวมประเด็น LGBTI เข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนหลังจากที่รัฐบาลยอมรับข้อเสนอจากกลุ่มเคลื่อนไหวที่เรียกร้องความหลากหลายทางเพศ
  • เด็กจำเป็นต้องรู้ว่าเขามีสิทธิ์ปฏิเสธความรุนแรง แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่า สิ่งนี้โรงเรียนควรให้ความสำคัญเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องที่มากกว่าเซ็กส์หรือเรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนควรได้รับตั้งแต่กำเนิด
  • การที่สก็อตแลนด์รวมประเด็นเรื่อง LGBTI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาจะเป็นข้อความที่ส่งถึงเยาวชน LGBTI ทั้งหลายว่าพวกเขามีคุณค่าในประเทศตัวเอง

‘สก็อตแลนด์’ ถือเป็นประเทศแรกในโลกที่รวมประเด็น LGBTI (lesbian, gay, bisexual, transgender, intersex) เข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนหลังจากที่รัฐบาลยอมรับข้อเสนอจากกลุ่มเคลื่อนไหวที่เรียกร้องความหลากหลายทางเพศ

จอห์น สวินนีย์ (John Swinney) รองนายกรัฐมนตรีสก็อตแลนด์กล่าวว่า โรงเรียนของรัฐในสก็อตแลนด์ต้องให้ความรู้นักเรียนเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศของ เลสเบี้ยน เกย์ กะเทย รักร่วมสองเพศ และภาวะเพศไม่ระบุชัด ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ความหมาย อัตลักษณ์ และแนวทางแก้ปัญหาความหวาดกลัวและความอคติทางเพศ

นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น จัดเตรียมโปรแกรมฝึกอบรมฟรีสำหรับครู และนำเสนอสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับ LGBTI

สวินนีย์ กล่าวว่า “ระบบการศึกษาของเราต้องสนับสนุนทุกคนให้เข้าถึงศักยภาพของพวกเขาอย่างเต็มที่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหลักสูตรจึงมีความสำคัญกับเยาวชนที่เรียนในโรงเรียนของเรา”

“ข้อเสนอแนะที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเสนอมา ทางรัฐบาลไม่ได้เพียงแค่นำมาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ของเยาวชน LGBTI แต่ยังสนับสนุนให้ผู้เรียนยอมรับความแตกต่าง เข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่หลากหลาย”

รัฐบาลสก็อตแลนด์ดำเนินนโยบายดังกล่าว หลังจากที่กลุ่มการศึกษา LGBTI Inclusive Education ทำแคมเปญ Time for Inclusive Education (TIE) โดยเผยแพร่รายงานสรุปข้อเสนอแนะ 33 ข้อเพื่อแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้ง LGBTI ในโรงเรียน

เพราะเด็กจำเป็นต้องรู้ว่าเขามีสิทธิ์ปฏิเสธต่อความรุนแรง แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าก็ตาม สิ่งนี้โรงเรียนควรให้ความสำคัญเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องที่มากกว่าเซ็กส์ หรือเรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนควรได้รับตั้งแต่กำเนิด โรงเรียนจึงมีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังเรื่องนี้ให้กับเด็กๆ

จอร์แดน เดลี (Jordan Daly) ผู้ร่วมก่อตั้ง TIE ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลสก็อตแลนด์ที่รับรองคำแนะนำเหล่านี้อย่างเต็มรูปแบบว่าเป็น “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่”

“ช่วงเวลาที่โลกมีแต่ความไม่แน่นอน การที่รวมประเด็นเรื่อง LGBTI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในทุกโรงเรียนของรัฐเป็นครั้งแรก จะเป็นข้อความที่ชัดเจนให้กับเยาวชน LGBTI ทั้งหลายว่าพวกเขามีคุณค่าในสก็อตแลนด์” เดลีกล่าว

การศึกษาที่ดำเนินการโดย TIE พบว่า 9 ใน 10 ของนักเรียน LGBTI ในสก็อตแลนด์มีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน

ผลการวิจัยจากรายงานของโรงเรียนสโตนวอลล์สก็อตแลนด์ (Stonewall Scotland School) ในปี 2017 พบว่า 63 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นสก็อตแลนด์ได้รับความเกลียดชัง ‘อย่างสม่ำเสมอ’ หรือ ‘บ่อยๆ’ เมื่อเทียบกับสหราชอาณาจักรที่เกิดขึ้นในสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์

สก็อตแลนด์ยังคงได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำในยุโรปที่ให้สิทธิทางกฎหมายแก่ LGBTI มากกว่าอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ จากการเปิดเผยของสมาคมสิทธิมนุษยชน ILGA-Europe

สุดท้ายนี้ นิโคลา สเตอร์เจียน (Nicola Sturgeon) นายกรัฐมนตรีสก็อตแลนต์ แสดงความหวังว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะนำไปสู่ระบบการศึกษาที่ครอบคลุมมากขึ้น

อ้างอิง:
The Role of Education in Preventing Sexual Misconduct
Scotland becomes first country to back teaching LGBTI issues in schools

Tags:

ระบบการศึกษากลั่นแกล้ง(bully)เพศครู

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Life classroom
    ครูหวังดี แต่นักเรียนเสียใจ: BULLY ที่ไม่รู้ตัวของครู

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย
21st Century skills
21 November 2018

ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • การวัดประเมินความคิดสร้างสรรค์ Creativity Assessment คือการประเมินความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในเชิงพัฒนาปรับปรุง ระหว่างการเรียนรู้ของครู
  • ก่อนเริ่มคลาสสร้างสรรค์ ครูกับนักเรียนต้องเข้าใจกันก่อนว่า การประเมินจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์บ่งชี้ระดับและลักษณะความคิดสร้างสรรค์บ้าง เช่น ไอเดียต้องแตกต่างไม่ซ้ำใคร แปลกใหม่ นี่คือจุดสตาร์ทที่ครูต้องยื่นเข็มทิศให้นักเรียน เพื่อค้นหาเป้าหมายและเดินไปให้ถึง
  • การ feedback ผลงานหรือไอเดียที่นักเรียนนำเสนอ ถือเป็นเรื่องที่ครูต้องทำ เพราะนักเรียนต้องรู้และเข้าใจด้วยว่าตนเองมีจุดแข็งตรงไหน และควรปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม

เมื่อทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนกลายเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งที่ครูผู้สอนต้องสร้างขึ้นในห้องเรียนแห่งศตวรรษที่ 21 ประเด็นคำถามที่ตามมาคือ การวัดประเมิน (assessment) ทักษะที่เป็น soft skill นี้ควรทำอย่างไร

เมื่อเราอยู่ในระบบการศึกษาที่ต้องมีตัวชี้วัดค่าศักยภาพของนักเรียนออกมาเป็นรูปคะแนนและเกรดเฉลี่ย แน่นอนว่าระดับความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันคุณภาพของตัวนักเรียน ไปจนถึงคุณภาพของระบบการศึกษาที่ครอบพวกเขาอยู่ ซึ่งล้วนส่งผลไปยังข้อได้เปรียบในการแข่งขันเชิงพัฒนาระดับชาติต่อไปได้ในอนาคต แต่คำถามที่อาจผุดในใจใครหลายคน คือ

“ความคิดสร้างสรรค์มันวัดกันได้ด้วยหรือ”

“วัดความคิดสร้างสรรค์ไปเพื่ออะไร? (ในเมื่อยังไงก็ต้องสอบเหมือนเดิมอยู่ดี)”

“จะใช้เกณฑ์อะไรมาวัดความคิดสร้างสรรค์?”

ความคิดสร้างสรรค์วัดได้?

ในบริบทการศึกษา เราจะเห็นคำว่า assessment และ evaluation บ่อยมาก ซึ่งทั้ง 2 คำมีความหมายใกล้เคียงกันเชิงการประเมินคุณภาพ ก่อนอื่นต้องเข้าใจความแตกต่างของ 2 คำนี้ก่อนว่า

assessment คือ การวัดประเมินเพื่อหาจุดเด่น-จุดด้อย เพื่อปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นระหว่างการเรียนรู้ (มักเป็นไปในรูปแบบของความหมายว่า formative assessment คือการประเมินพัฒนาการ)

evaluation คือ การตัดสินคุณภาพว่าดี-ไม่ดี ผ่านเกณฑ์-ไม่ผ่านเกณฑ์ (หรือใช้คำว่า summative assessment ก็ได้)

การวัดประเมินความคิดสร้างสรรค์ creativity assessment หมายความว่า เราประเมินความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในเชิงพัฒนาปรับปรุง ‘ระหว่าง’ การเรียนรู้

สิ่งที่จะใช้วัดประเมินทักษะนี้ไม่ควรออกมาในรูปของการให้เกรด เพราะการคิดสร้างสรรค์คือกระบวนการคิดนอกกรอบ หลากหลายและไร้ขอบเขต ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับการเลือกคำตอบถูกผิดเพียงข้อใดข้อหนึ่งโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น เป้าหมายของการวัดประเมินทักษะด้านนี้ จึงควรเป็นไปเพื่อให้ครูและนักเรียนทราบจุดอ่อนจุดแข็งของกระบวนคิดหรือผลงาน เพื่อครูจะได้ feedback ให้คำแนะนำ ว่านักเรียนควรทำอย่างไรจึงจะพัฒนาทักษะได้ดีขึ้น โดยจัดวางการประเมินทักษะด้านนี้ไว้คนละส่วนจากการสอบวัดประเมินความเข้าใจตัวบทเรียนแบบให้คะแนน

เข็มทิศความคิดสร้างสรรค์ในห้องเรียน

การสร้างห้องเรียนสร้างสรรค์ ครูผู้สอนต้องชี้ให้นักเรียนเห็นคุณค่าของความคิดสร้างสรรค์เสมอ และเพื่อวัดประเมินพัฒนาการทักษะได้ ต้องเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจความหมายของความคิดสร้างสรรค์ให้ชัดเจนตรงกันเสียก่อน

แอนดริว มิลเลอร์ (Andrew Miller) ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเรียนรู้แห่ง The Buck Institute for Education และ ASCD กล่าวไว้ในบทความ Assessing Creativity in the Classroom: It Needs to Happen! ว่า “ประเด็นที่ว่าโรงเรียนจะวัดความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนให้ออกมาเป็นเกรดหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่สำคัญอยู่ที่พวกเขาต้องเข้าใจความหมายของ creativity เสียก่อนว่าคืออะไร จะได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตนเองได้”

ครูกับนักเรียนต้องตกลงกันให้เข้าใจเสียก่อนว่า การประเมินจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์บ่งชี้ระดับและลักษณะความคิดสร้างสรรค์บ้าง เช่น ไอเดียต้องแตกต่างไม่ซ้ำใคร แปลกใหม่ หรือพิเศษในบริบทนั้นอย่างไร นักเรียนจะสร้างทักษะนี้ได้อย่างไร นี่คือจุดสตาร์ทที่ครูต้องยื่นเข็มทิศให้นักเรียนรู้ว่าตนเองต้องตั้งเป้าหมายตรงไหนและเดินไปตามทิศทางที่วางไว้ถูก

เช่นเดียวกับแอนดริว ในบทความ Assessing Creativity ของ ซูซาน เอ็ม. บรูคาร์ท (Susan M. Brookhart) นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาความคิดสร้างสรรค์ชื่อดังแห่ง The Center for Advancing the Study of Teaching and Learning at Duquesne University เผยแพร่ใน ASCD เว็บไซต์แหล่งข้อมูลทางการศึกษาว่า การที่ครูต้องอธิบายคุณสมบัติของ creativity ให้นักเรียนเข้าใจก่อนวัดประเมินเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะ creativity เป็นคอนเซ็ปต์ที่กว้างเกินไป สำหรับเธอ creativity ที่นักเรียนต้องมีคือ ความเป็นตัวเองที่แตกต่างไม่เหมือนใคร (originality) คุณภาพดี (high quality) ความหลากหลาย (variety) และ ความแปลกใหม่ (novelty) ด้วย

เพื่อให้นักเรียนเข้าใจได้โดยง่าย ซูซานลิสต์ลักษณะของนักเรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์ไว้ดังนี้

  1. สนใจศึกษาเนื้อหาเชิงลึกและค้นคว้าเพิ่มเติม
  2. เปิดรับความคิดใหม่และขวนขวายหาเพิ่มเติม
  3. หาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเช่น สื่อต่างๆ สอบถามจากบุคคลหรือไปร่วมกิจกรรม
  4. คิดได้หลากหลายแนวหรือเอาแนวทางมาผสมกันได้ และสรุปได้ว่าสิ่งนั้นน่าสนใจ แปลกใหม่ มีประโยชน์
  5. กล้าลองผิดลองถูก และมองความผิดพลาดล้มเหลวเป็นโอกาสเรียนรู้

จากลักษณะข้างต้นนี้ นำไปสู่เกณฑ์การวัดประเมิน (rubric) ที่เธอสร้างขึ้นเองเพื่อวัดประเมินความคิดสร้างสรรค์ผ่านการบ้านของนักเรียนเกรด 5 คุณครูอาจลองดูแนวทางนี้เป็นตัวอย่าง เพื่อนำไปปรับใช้ให้เข้ากับบริบทเนื้อหาและช่วงวัยของนักเรียนต่อไปได้

มีความคิดสร้างสรรค์ดีมากมีความคิดสร้างสรรค์ธรรมดาไม่มีความคิดสร้างสรรค์
ความคิดหลากหลายความคิดสะท้อนประเด็นสำคัญของหลายเนื้อหาวิชา จากบริบทหลากหลาย และให้ข้อสรุปที่น่าตื่นตะลึงความคิดสะท้อนประเด็นสำคัญของหลายเนื้อหาวิชา จากบริบทหลากหลายไอเดียได้จากประเด็นสำคัญของเนื้อหาวิชาเดียวกันหรือคล้ายกันความคิดไม่ได้สะท้อนใจความสำคัญ
แหล่งข้อมูลหลากหลายผลงานความรู้ได้จากแหล่งข้อมูลหลากหลายและครอบคลุมหลายหัวข้อจากตำรา สื่อ บุคคลหรือประสบการณ์ผลงานความรู้ได้จากแหล่งข้อมูลหลากหลายจากตำรา สื่อ บุคคลหรือประสบการณ์ผลงานความรู้ได้จากแหล่งข้อมูลจากทางตำรา สื่อผลงานความรู้ได้จากแหล่งข้อมูลชิ้นเดียวและไม่น่าเชื่อถือ
เชื่อมไอเดียได้แปลกใหม่ความคิดในการแก้ปัญหา การมองปัญหาผสมทั้งสิ่งที่มีอยู่เดิมกับเรื่องแปลกใหม่ หรือสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เคยมีมาก่อนความคิดในการแก้ปัญหา การมองปัญหาโดยพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่เดิมขึ้นมา หรือสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เคยมีมาก่อนความคิดได้มาจากการนำความคิดของผู้อื่น (เช่น ตัวอย่างที่ยกมาให้ในชั้นเรียน) มาผสมกันนำความคิดของผู้อื่นมากล่าวซ้ำ
วิธีสื่อสารหรือนำเสนอแปลกใหม่ผลงานแปลกใหม่น่าสนใจ หรือมีประโยชน์ เปิดมุมมองหรือมองปัญหาหรือประเด็นที่ยังไม่เคยมีใครพูดถึงผลงานแปลกใหม่น่าสนใจ หรือมีประโยชน์ เสนอมุมมองหรือแก้ไขปัญหาได้ตามที่วางไว้ผลงานที่ได้ตรงตามเป้าหมาย (เช่น แก้ปัญหาหรือเสนอมุมมองที่ตั้งใจสำเร็จ)ผลงานที่ได้ไม่ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เลย (เช่น แก้ปัญหา หรือเสนอมุมมอง)
ที่มา: จาก How to Create and Use Rubrics for Formative Assessment and Grading (p. 54), โดย Susan M. Brookhart, 2013, Alexandria, VA: ASCD. Copyright 2013 by ASCD. Adapted with permission.

จุดประกายผลงานสร้างสรรค์

ในเมื่อปลายทาง นักเรียนต้องสอบวัดผลคะแนนเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว คำตอบของคำถามที่ว่าครูควรออกแบบห้องเรียนสร้างสรรค์อย่างไรจึงจะคู่ขนานไปกับความเป็นจริงนั้น เป็นเรื่องไม่ตายตัว อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญที่จะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างแท้จริงคือ การให้นักเรียนได้ลงมือทำ!

นิโคลัส โปรเวนซาโน (Nicholas Provenzano) เจ้าของเว็บไซต์ The Nerdy Teacher และผู้อำนวยการฝ่ายพื้นที่สร้างสรรค์แห่งโรงเรียนมัธยม University Liggett School ซึ่งอยู่ในบริบทการสอนแบบ PBL (Project Based Learning) แชร์แนวทางที่เขาใช้ในการสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ในโรงเรียน PBL แห่งนี้

นิโคลัสเป็นผู้รับผิดชอบกิจกรรมใน ‘พื้นที่สร้างสรรค์’ หรือ MakerSpace ซึ่งเป็นห้องแยกส่วนออกมาจากห้องเรียนที่มีอุปกรณ์ทั้งไฮเทคอย่าง เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เครื่องปรินท์เลเซอร์ หรือโลว์เทคอย่าง เลโก้ ลูกโป่ง ดินน้ำมัน ไม้อัด เชือก กาว กระดาษแข็ง ดินสอสี ไวท์บอร์ด เอาไว้ให้นักเรียนใช้เป็นพื้นที่สร้างผลงานที่ ‘เชื่อมโยง’ ความคิดหรือมุมมองของพวกเขากับเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียน (เขาเสริมว่า MakerSpace ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องก็ได้ อาจใช้เป็นตู้ใส่อุปกรณ์ที่มีล้อเลื่อนให้สามารถเข็นไประหว่างห้องเรียนได้ก็พอ)

ในการสอนวิชาวรรณกรรมนักเรียนเกรด 7 นิโคลัสให้นักเรียนอ่านเรื่องสั้นแนวโกธิคชื่อดังเรื่อง The Yellow Wallpaper ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 1900 ภรรยาที่มีภาวะวิตกจริตรุนแรงด้วยการถูกสามีกดขี่และบังคับตามค่านิยมชายเป็นใหญ่ เธอต้องทำตามคำสั่งของสามีที่ให้นอนอยู่แค่บนเตียงในห้องที่ติดวอลเปเปอร์สีเหลือง ห้ามออกไปไหนและทำอะไรทั้งสิ้น ผ่านวันคืนซึมเศร้าในห้องวอลเปเปอร์สีเหลือง เธอเริ่มมองเห็นว่าภายใต้วอลเปเปอร์สีเหลืองนั้น มีผู้หญิงหลายคนที่ถูกขังอยู่เช่นเดียวกับเธอ และเธอควรลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยให้พวกเขาเป็นอิสระ

เมื่ออ่านเรื่องสั้นจบ นิโคลัสเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น หารือ และสังเกตสัญลักษณ์ที่แฝงอยู่ในเรื่องตามกรอบดั้งเดิมของวิชาวรรณกรรมนั้นก่อน จากนั้น แทนที่จะประเมินความรู้ความเข้าใจของนักเรียนด้วยการสอบ นิโคลัสให้พวกเขาใช้อุปกรณ์จากพื้นที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นหนึ่ง เพื่อสะท้อนความคิดที่พวกเขาได้จากเรื่องนี้มานำเสนอในชั้นเรียน

การสร้างสรรค์ชิ้นงานจากเนื้อหาวิชาในห้องเรียน ไม่เพียงนักเรียนได้คิดเชื่อมโยงไอเดีย นักเรียนยังรู้สึกสนุกกับการใช้จินตนาการและทักษะที่เป็นประโยชน์อีกหลายด้าน เช่น บางคนทำเตียงจำลองจากไม้อัดและเย็บฟูกที่นอน เพื่อสื่อถึงเตียงในห้องที่ภรรยาต้องนอนตลอดเวลา บ้างสร้างบ้านไม้อัดที่มีหน้าต่างสีดำไร้ชีวิตชีวา หรือภาพวาดตัดปะจากกระดาษแข็งทรงสี่เหลี่ยมสื่อถึงหน้าต่างติดลูกกรงและสีเหลืองที่กักขังภรรยาไว้

ปลุก (แล้วค่อย) ปั้นด้วย Feedback

นอกจากสาระสำคัญที่ ครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือถ่ายทอดไอเดียจากความเข้าใจให้ออกมาเป็นผลงาน การ feedback ผลงานหรือไอเดียที่นักเรียนนำเสนอ เป็นเรื่องที่ครูจำเป็นต้องทำเช่นกัน นักเรียนต้องรู้และเข้าใจด้วยว่าตนเองมีจุดแข็งตรงไหน และควรปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม

การ feedback ควรทำทันที และต้องอยู่บนเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ร่วมกันตั้งแต่ต้น โดยครูต้องชี้หรืออธิบายให้นักเรียนเห็นว่าผลงานชิ้นนั้นสร้างสรรค์ด้านใด และพัฒนาด้านไหนเพิ่มได้อีก

ซูซานยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เธอให้นักเรียนเกรด 5 แต่ง acrostic poem (โคลงที่อักษรตัวแรกของแต่ละบรรทัด เรียงออกมาเป็นคำสมบูรณ์) บนกระดาษโปสเตอร์ ผลงานของนักเรียนหญิงในชั้นคนหนึ่ง ใช้พยัญชนะต้นของบรรทัดเรียงเป็นชื่อโรงเรียน และแทนพยัญชนะเหล่านั้นด้วยคำที่มีความหมายบวกเช่น s คือ super, n คือ nice นอกจากนั้นเธอยังวาดสัญลักษณ์ของโรงเรียนไว้บนผลงานด้วย ส่วนเด็กชายอีกคนในชั้น ใช้พยัญชนะต้นของแต่ละบรรทัดเรียงออกมาเป็นชื่อของเขาเอง และบรรยายตามหลังพยัญชนะเหล่านั้นด้วยลักษณะนิสัยของเขาเอง a คือ aggressive (เด็กสะกดผิด), n คือ nutty

ด้วยเกณฑ์การประเมินที่ทำความเข้าใจร่วมกันตั้งแต่ต้นแล้ว ครูควรประเมินผลงานนี้ด้วยแง่มุมนั้น เช่น ก่อนอื่นดูความถูกต้องของไวยากรณ์ ตัวสะกด (quality) ที่เป็นพื้นฐานเริ่มต้นของการเขียน จากนั้นค่อยพิจารณามิติด้านความคิดสร้างสรรค์ว่า งานชิ้นนั้นมีความเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนใคร (originality) แปลกใหม่ (novelty) และหลากหลาย (arviety) หรือไม่

จากข้างต้น ซูซานเห็นว่า งานของนักเรียนหญิงในแง่ของความถูกต้องไวยากรณ์นั้น (quality) ดี กลอนของเธอเป็นงานที่ดีในแง่การเชื่อมโยงระหว่างชื่อโรงเรียนและคำเชิงบวกอยู่ การวาดรูปก็เป็นการแสดงทักษะทางศิลปะด้วย แต่ในแง่ความคิดสร้างสรรค์งานนี้ยังมีส่วนที่เป็น originality หรือมีเอกลักษณ์แตกต่างน้อยเกินไป กลอนของเธอมีคุณภาพ แต่ก็พบเห็นได้ทั่วไป เมื่ออ่านแล้วไม่กระตุ้นความรู้สึกใดๆ ตรงนี้สามารถ feedback ให้นักเรียนคนนี้ลองแต่งกลอนให้แตกต่างแปลกใหม่กว่านี้ได้ อาจเลือกคำที่ให้ความรู้สึกอื่นหรือลองเลือกหัวเรื่องที่น่าตื่นเต้นดูบ้าง

ส่วนผลงานของนักเรียนชาย ในแง่ของไวยากรณ์คือจุดที่ต้องปรับปรุง ส่วนเรื่องความคิดสร้างสรรค์ นับว่างานของเขามี originality สูง คนที่อ่านกลอนของเด็กชายคนนี้จะรู้ถึงนิสัยที่เป็นตัวของเขาได้ เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว เมื่อครูและโรงเรียนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่จะปลุกปั้นเด็กให้คิดเป็นสร้างสรรค์ได้ออกไปพัฒนาสังคม พัฒนาโลก สิ่งที่จำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับการสร้างห้องเรียนสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น คือการวัดประเมินทักษะด้านนี้ด้วย

นอกจากกิจกรรมเปิดสวิตช์ด้านการคิดในห้องเรียน เช่น การถาม หรืออภิปราย การให้พวกเขาผลิตชิ้นงานออกมา ก็เป็นภาคปฏิบัติ ที่จะช่วยเชื่อมไอเดียความรู้จากห้องเรียนนั้นเข้ากับกระบวนการค้นคว้า สอบถาม หรือทดลอง และระหว่างกระบวนการนี้เองก็ได้พัฒนาทักษะจำเป็นด้านอื่นๆ ไปด้วย

ท้ายที่สุด feedback ที่ครูมีต่อผลงานเหล่านั้นร่วมกับเกณฑ์วัดประเมินที่ออกแบบให้เหมาะสมกับเป้าหมายรายวิชาและระดับชั้นของนักเรียน ก็จะเป็นเครื่องสะท้อนระดับทักษะและมิติความรู้ให้นักเรียนมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาการเรียนรู้ที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์แข็งแรง ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นพร้อมจะเติบโตไปในศตวรรษที่ 21 อย่างแข็งแกร่งและสดใส

อ้างอิง:
Assessing Creativity in the Classroom: It Needs to Happen!
The Nerdy Teacher
Assessing Creativity

Tags:

เทคนิคการสอน21st Century skills4Csความคิดสร้างสรรค์(Creativity)ครูคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

TALK LIKE TED: พูดแบบนี้ถึงจะมีคนฟัง
Voice of New Gen
20 November 2018

TALK LIKE TED: พูดแบบนี้ถึงจะมีคนฟัง

เรื่องและภาพ The Potential

อ่านเรื่องราวที่ ‘เด็กสมัยนี้’ อยากให้คุณฟัง ได้ที่: 9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

และบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ อิม-พชร สูงเด่น หนึ่งในทีม Story Curator ผู้อยู่เบื้องหลังการสื่อสาร ได้ที่: TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง

Tags:

จิตวิทยา4CsTED Talksพชร สูงเด่น

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Everyone can be an Educator
    TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    5 ขั้นตอนปลุกสมองให้คิดสร้างสรรค์ และถ้าเจอปัญหา ‘อย่าหนี’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

จง เถียง กับ ลูก
Family Psychology
20 November 2018

จง เถียง กับ ลูก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

การเถียงอย่างสร้างสรรค์ หรือ การโต้แย้งด้วยเหตุผล คือ ผลงานอันเยี่ยมยอดซึ่งเกิดจากทักษะในการคิดวิเคราะห์ เรียนรู้ที่จะแยกข้อมูลออกเป็นส่วนๆ คัดกรองและทดสอบซ้ำไปซ้ำมาว่ามันมีน้ำหนักเพียงพอต่อการโต้แย้งหรือไม่

เคล็ดลับง่ายๆ มีดังนี้

  • ทำบ้านให้เป็นที่ปลอดภัย เด็กๆ ได้รู้จักอารมณ์ตัวเอง ทุกอารมณ์สามารถยอมรับได้ แต่พฤติกรรมจากอารมณ์นั้นต้องมีขอบเขตเสมอ
  • เริ่มจากเรื่องที่เด็กชอบ เช่น หนัง,หนังสือ การโต้แย้งถึงจะสนุกและเชื่อมโยงง่าย
  • สอนให้รู้จักความแตกต่างระหว่าง ‘แสดงความคิดเห็น’ และ ‘เถียง’ โดยค่อยๆ ฝึกให้เด็กๆ อธิบายเหตุผลว่า “หนูคิดอย่างนี้เพราะอะไร” แทนที่จะพูดสั้นๆ ว่า “ก็หนูคิดอย่างนี้”
  • ทำให้ผิดหวังบ้าง เพราะเด็กๆ ไม่มีทางได้อย่างใจไปหมดทุกอย่าง เด็กๆ จะเรียนรู้และยอมรับการโต้แย้งที่ไม่เป็นไปตามที่คิด
  • พ่อแม่ ญาติ และครู ต้องฟังให้มากกว่าพูด ความคิดและเหตุผลต่างๆ ของเด็ก และควรถูกรับฟังเพื่อหาความรู้สึก จะได้รับรู้ถึงสิ่งที่เด็กให้คุณค่า ใครอยากรู้ว่าตัวเองนักฟังระดับไหนคลิก ที่นี่
  • ฝึกให้เด็กอ่านความหมายระหว่างบรรทัด เหตุผลที่ยกมาหนุนเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่ไม่ถูกนำขึ้นมาโต้เถียงก็สำคัญเช่นกัน เขาจะค่อยๆ สังเกต และอาจหยิบมันมาใช้ในคราวต่อไป
  • ให้เด็กได้ตัดสินใจเองในตอนท้าย เขาจะได้มีประสบการณ์เรื่องความสำเร็จและล้มเหลวเป็นของตัวเอง

ข้อควรจำ

“ถ้าอยากสอนให้ลูกไม่เชื่อคนง่าย พ่อแม่ก็ต้องให้มีเหตุผลที่ดีพอให้พวกเขาเชื่อใจได้ด้วย”

อ่านบทความเพิ่มเติมและเจาะลึกการเถียงอย่างสร้างสรรค์มากกว่านี่ได้ที่นี่ เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

อ้างอิง:
อลิสัน โจนส์ (Alyson Jones) นักบำบัดและผู้เขียนหนังสือ M.O.R.E. A New Philosophy for Exceptional Living

Tags:

4Csพ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง
Voice of New Gen
20 November 2018

9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ครั้งแรกที่เวที TEDxBangkok กลายเป็นพื้นที่ ‘สนามเด็กเล่า’ กับรูปแบบงาน TEDxYouth@Bangkok ที่เหล่าสปีกเกอร์ทั้ง 9 คน ยังเป็นเด็ก อายุไม่ถึง 20 ปี
  • พาไปฟัง 9 เรื่องเล่า จาก 9 ตัวตนที่หลากหลายของเด็กสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็น นักแร็พ นักมวย นักออกแบบเกมเพื่อการเรียนรู้ ฯลฯ
  • เด็กและเยาวชนทั้ง 9 คนต่างก็อยากเล่าเรื่องที่อยากให้ผู้ใหญ่ ‘ฟัง’
ภาพ: TEDxYouth@Bangkok

TEDx คือชื่อของเวทีที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก มักจะเชิญตัวจริงในเรื่องนั้น มาพูดในหัวข้อตามที่ตัวเองถนัด แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะเปิดพื้นที่ให้ ‘เด็ก’ ได้ขึ้นมาพูดในเรื่องที่อยากให้ผู้ใหญ่ฟัง ผ่านพื้นที่ ‘สนามเด็กเล่า’ ในงาน TEDxYouth@Bangkok ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์

ท่าทางและการพูดของ 9 คนนี้อาจจะเคอะๆ เขินๆ บางรายตะกุกตะกัก ไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบอย่าง TED Talk รุ่นพี่ๆ แต่สิ่งที่เด็กๆ กลุ่มนี้มีคือ ความต่าง, ความเป็นธรรมชาติ และความจริงที่อยากเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง

คาบเรียนที่ 1 วิชาการเป็นนางเอกที่คนเห็นเป็นตัวประกอบ

ถ่ายทอดวิชาโดย: กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ – อ๊ะอาย อายุ 13 ปี

“เพราะทุกคนสามารถเป็นพระเอกนางเอกในชีวิตได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร และความฝันนั้นจะคืออะไร”

อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้างสำหรับสปีกเกอร์คนนี้ เพราะเธอฝากผลงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมไว้หลายชิ้นผ่านหน้าจอโทรทัศน์ อาทิ ละครเวทีเรื่องสี่แผ่นดิน, บางรักซอย 9/1 ฯลฯ

อ๊ะอาย เปิดเวทีด้วยน้ำเสียงหวานใสในบทเพลง ‘นางนวลเจ้าเอย’ เล่าถึงความฝันของนกนางนวลที่อยากโบยบินไปยังขอบฟ้า แต่ทำไม่ได้เพราะต้องรอโอกาสจากใครสักคน เธอตั้งใจใช้บทเพลงนี้พิสูจน์ความสามารถและความเชื่อของตัวเองที่ว่า แม้จะเป็นเด็กแต่ก็ทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในแบบที่ผู้ใหญ่ทำ

สาวน้อยผู้มากความสามารถ ตั้งคำถามบนเวทีได้อย่างน่าสนใจอีกว่า ทำไมละครและภาพยนตร์ไทยให้พื้นที่กับเด็กน้อย บท ‘ตัวหลัก’ ที่ใช้เด็กแสดงมีน้อยเหลือเกิน ยิ่งเทียบกับภาพยนตร์ต่างประเทศจะเห็นสัดส่วนที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ตั้งแต่จำความได้อ๊ะอายมีความฝันเพียงอย่างเดียวคือการเป็นนางเอก แต่ก็เป็นได้แค่นางเอกตอนเด็กเท่านั้น ชีวิตจึงไม่ต่างจากเจ้านกนางนวล ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรง รอวันได้โบยบินตามที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส

“ผู้ใหญ่มักจะถามคำถามเดิมๆ กับเด็กเสมอว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร? แต่ไม่เคยถามเลยว่าตอนนี้เด็กอยากเป็นอะไร นอกจากเป็นนักเรียน”

คาบเรียนที่ 2 วิชา (ไม่) พร้อมสู่การเป็นมืออาชีพ

ถ่ายทอดวิชาโดย: ณัฐภัทร ตุลาประพฤทธิ์ – ก้อง และ โภคินทร์ ตุลาประพฤทธิ์ – ไก๊ 14 และ 16 ปี

“ไม่สำคัญว่าผลลัพธ์จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สำคัญที่เริ่มต้นลงมือทำจริง ถ้าเริ่มทำแล้วให้ทำอย่างเต็มที่”

สองเด็กชายพี่น้องที่สร้างความชอบจนเกิดเป็นอาชีพ ก้องและไก๊ผู้หลงใหลในภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิค CG ขณะที่ยังเป็นเด็กประถม เริ่มจากใช้มือถือรุ่นล้าหลังตัดต่อรูปแบบงูๆ ปลาๆ ขยันฝึกฝนและพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นมืออาชีพ สร้างผลงานที่มีคุณภาพ และใช้โลกออนไลน์สร้างพื้นที่โชว์ความเจ๋งของตัวเอง โดยเปิดช่องยูทูบชื่อว่า KoGu Studio ที่มียอดชมสูงถึงหลักแสน

แต่สิ่งที่ยังทำให้ก้องและไก๊กังวล นั่นคือแรงสนับสนุนของพ่อแม่ แรกเริ่มที่ทั้งคู่ใช้เวลาทุ่มเทและศึกษาเกี่ยวกับการทำ CG พ่อแม่ไม่เห็นด้วย พวกเขาจึงใช้ความสามารถเป็นเครื่องพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นและยอมรับว่า “การอยู่หน้าคอมไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างเดียวอีกต่อไป”

จนวันนี้ก้องและไก๊ประสบความสำเร็จ สื่อหลักต่างๆ นำเสนอผลงานสุดเจ๋งของพวกเขา และทำให้โลกรู้ว่าความสามารถสำคัญกว่าอุปกรณ์ แม้เป็นเด็กก็ทำให้วงการ CG สะเทือนได้!

“พวกผมเริ่มต้นจากอุปกรณ์ธรรมดา ใช้ความอยากผสมผสานกับการลงมือทำ ถ้าวันนั้นพวกผมมัวแต่กลัว ไม่กล้าลองผิดลองถูกก็คงไม่ได้พัฒนามาถึงวันนี้”

คาบเรียนที่ 3 วิชาขึ้นชกเพื่อเอาชนะโชคชะตา

ถ่ายทอดวิชาโดย: ภูริภัทร พูลสุข – ภู อายุ 12 ปี

ภู สปีกเกอร์ที่อายุน้อยที่สุดบนเวทีนี้ เขาไม่ได้ขึ้นมาทอล์คเชิญชวนให้เด็กอายุน้อยให้หันมาต่อยมวย แต่ให้เข้าใจถึงเหตุผลและแนวคิดของนักมวยเด็กอย่างเขา

นักมวยตัวจิ๋ว เจ้าของฉายา ‘ฉมวกขาว’ ภูเปรียบหมัดชกของเขาว่าแม่นยำและอันตรายเหมือนกับฉมวก แต่ที่เติมคำว่าขาวเข้าไปเพราะมีไอดอลเป็นบัวขาว บัญชาเมฆ สมญานามฉมวกขาวนี้ เขาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ภูใช้ความมุ่งมั่นและวินัยจนชนะโชคชะตา ได้เป็นนักมวยอย่างที่ตัวเองฝันไว้ แม้ช่วงแรกพ่อจะไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้ลูกเจ็บ แต่ก็ต้องยอมแพ้เลือดนักสู้ที่ไหลอยู่ทั่วร่างกายของเขา

เมื่อจริงจังกับการเป็นนักมวย มันไม่สนุกอย่างที่คิด ซ้อมหนัก วิ่งเหนื่อย แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ ฮึดสู้จนได้ขึ้นชก สังเวียนแรกเขาแพ้…แต่ไม่ถอดใจ ฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ทำให้ขึ้นชกครั้งที่สอง-เขากลายเป็นผู้ชนะ

ภู ทำให้เรารู้สึกชื่นชมกับความซื่อสัตย์ต่อความฝันตัวเอง เด็กชายธรรมดาคนหนึ่งกล้าหาญที่จะออกแบบและวางแผนชีวิตของตัวเอง ตั้งแต่อายุ 12 ปี ภูบอกว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกเป็นนักมวย ก็จะสอบเป็นตำรวจให้ได้ จะได้มีรายได้เข้ามาเลี้ยงครอบครัว
ก่อนจะลงจากเวที ภูทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้

“ชีวิตนักมวยของผม มันไม่เคยมีแต้มต่อ แต่ผมจะขอทำตามความฝันของผมให้ดีที่สุด แล้วพวกคุณล่ะ จะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน”

…แด่ชีวิตที่ไม่มีแต้มต่อของเด็กชาย หวังเพียงจะมีใครสักคนมาสนับสนุนความฝันของเขาบ้าง

คาบเรียนที่ 4 วิชาเล่าสู่กันฟัง

ถ่ายทอดวิชาโดย: สุรีรัตน์ พรศิริรัตน์ – นิว อายุ 16 ปี

“เราอยากเล่าเรื่องให้ทุกคนในประเทศรู้ว่าประเทศนี้มีปัญหาอยู่ เรื่องเล็กๆ เหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเล่าสู่กันฟัง”

นิว เด็กหญิงมัธยมกระโปรงน้ำเงินธรรมดาคนหนึ่ง ขึ้นมาทอล์คในหัวข้อใกล้ตัว โดยยกวลีเด็ดอย่าง ‘ใครๆ เขาก็ทำกัน’ ที่คนส่วนมากมักใช้อ้างในการทำความผิดบางอย่าง จนติดเป็นนิสัย วลีนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือป้องกันและหลอกตัวเองว่า ‘ฉันไม่ผิด!’ เพราะถ้าคนหมู่มากทำได้ เราก็ทำได้ เรื่องผิดจึงกลายเป็นความปกติ สุดท้ายแล้วมันจึงนำไปสู่ความมั่นใจ (แบบผิดๆ)

“บ่อยครั้งที่ต้องเถียงกับแม่ เพราะแม่ชอบขับรถย้อนศรและอ้างว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย…ใครๆ ก็ทำกัน”

นิวชวนตั้งคำถามต่อว่า ถ้ามีคนหนึ่งคิดแบบนี้ ส่งต่อความมั่นใจแบบผิดๆ ให้คนที่สอง…คนที่สาม…คนที่สี่

ในท้ายที่สุดสังคมก็จะเมินเฉยกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วเราจะแก้ไขมันอย่างไร?

นิวจึงเสนอวิธีการที่ง่ายแสนง่าย อย่างการ ‘เล่าสู่กันฟัง’ มาแก้ปัญหา

“เราสามารถหยิบยกปัญหาสังคมขึ้นมาเม้ามอยกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ของเราได้ เริ่มจากการคุยกันง่ายๆ ตั้งคำถามในวงเล็กๆ แม้ผลลัพธ์ของมันอาจจะไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ แต่ดีกว่าปล่อยให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่โตจนบานปลาย”

คาบเรียนที่ 5 วิชาลดความเป็นโรงเรียนให้น้อยลง

ถ่ายทอดวิชาโดย: แดนไท สุขกำเนิด – แดนไท อายุ 14 ปี

“ในเกมไม่มีคุณครูที่เดินมาบอกว่าควรเลือกอะไร เราสามารถตัดสินใจได้เอง”

แดนไท เด็กหนุ่มที่ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน เดินออกจากห้องเรียนเข้าสู่ระบบโฮมสคูล ซึ่งเป็นระบบ Deschooling เพราะคิดว่า นี่คือสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งเพจที่ชื่อว่า ‘เถื่อนเกม’ รวมกลุ่มคนรักการเล่นบอร์ดเกม ทั้งเพื่อความสนุกและใช้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้สู่ประเด็นทางสังคม

จากเด็กติดเกมสู่การทำเกม แดนไทนิยามตัวเองว่าเป็น ‘นักออกแบบเกมเพื่อการเรียนรู้’ ใช้เกมสร้างการเรียนรู้ให้คนอื่น เพราะเชื่อว่าเกมให้ประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากในหนังสือ

“เกมเพื่อการเรียนรู้เปิดโอกาสให้ทุกคนอย่างอิสระ ทุกคนมีสถานะเท่ากัน เราได้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกอะไร ต่างจากชีวิตห้องเรียนที่มีอำนาจสั่งให้เชื่อว่าข้อนี้ถูกหรือผิด”

คาบเรียนที่ 6 วิชาพื้นฐานการใช้ใจมองคน

ถ่ายทอดวิชาโดย: ธนายุทธ ณ อยุธยา – บุ๊ค อายุ 17 ปี

“เพราะแร็พ คือ โลกอีกใบของผม”

บุ๊ค สปีกเกอร์สายแร็พจากชุมชนคลองเตย เขาเติบโตมาในครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อความฝัน แต่ไม่ยอมแพ้ ฝึกฝนและตั้งใจใช้เพลงแร็พเปลี่ยนมุมมองความคิดของสังคมที่มีต่อบ้านเกิดของเขา เด็กหนุ่มมักใช้ไรม์บวกกับจังหวะดนตรีที่หนักหน่วง เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร เขาเล่าเรื่องชีวิตตัวเอง ความสุข ความเศร้า ความผิดหวัง อย่างที่สั่งสมจนเป็น ‘บุ๊ค’ แบบในทุกวันนี้

ไรม์ของบุ๊คบนเวทีนี้ เต็มไปด้วยถ้อยคำที่ทำให้เราเห็นโลกของเขา รวมถึงโลกของเด็กไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามกับระบบการศึกษาหรือทัศนคติเกี่ยวกับชุมชนคลองเตย

‘เด็กเก่งไม่ต่างจากใคร แต่ที่ต่างคือทุนทรัพย์ และทำให้มีตลับเมตรยี่ห้อสิทธิแล้วจะเอาอะไรมาวัด อยากให้เห็นค่าในอนาคตของชาติ ผลักดันสุดทางแห่งฝัน ให้พวกเขามีคุณค่า’

‘เลิกมองคนที่บ้านเกิดและสถานะ บางคนเป็นดอกเตอร์ได้ทั้งๆ ที่บ้านเขาอยู่วัด เริ่มพัฒนาตามสังคมให้ดีขึ้น เหมือนเสือต้องการป่า เหมือนหมีต้องการผึ้ง จะไปแบ่งแยกกันเพื่ออะไร ทุกคนล้วนเท่าเทียมไม่ว่าต่างชาติหรือคนไทย’

ไรม์ของบุ๊คไม่ได้มีพลังมากถึงขั้นช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แต่บุ๊คเลือกใช้มันเปลี่ยนตัวเอง เพื่อจะได้พัฒนาสังคมนี้ให้ดีขึ้น

“แม้เพลงแร็พของผมอาจไม่ได้ตอบแทนใคร แต่มันทำให้ผมมีความฝันและใช้มันหาเลี้ยงครอบครัวได้”

คาบเรียนที่ 7 วิชาฝึกฝนตนไม่ให้เป็นตรรกะวิบัติ

ถ่ายทอดวิชาโดย: ปณิธิ วนสิริกุล – ทีม อายุ 16 ปี

“ขอให้ทุกคนใช้หลักการคิดวิเคราะห์ให้ดีก่อนจะตัดสินใครเพื่อไม่ให้เกิดตรรกะที่วิบัติ”

ทีม คือหนึ่งในสปีกเกอร์ที่น่าสนใจ ขึ้นมาทอล์คด้วยชุดนักเรียนธรรมดาๆ แต่ชวนเราตั้งคำถามแปลกๆ ที่ว่า “จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเชื่อว่ามันถูกมาโดยตลอด มันถูกต้องจริงๆ?”

เขาพาเราสำรวจตรวจสอบความคิดต่อสังคม และย้อนกลับมาถามตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราทุกคนอาจจะตกอยู่ในภาวะตรรกะวิบัติโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ มองสิ่งที่ถูกเป็นผิด มองสิ่งที่ผิดเป็นถูก ทิ้งท้ายไปด้วยวิธีการแก้ไขและป้องกันความวิบัติ ไม่ให้เป็นภัยลุกลามในสังคม ซึ่งอันที่จริงก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า มันถูกต้องแล้วหรือไม่ แต่ทีมได้ทำหน้าที่เป็นสปีกเกอร์ที่ยอดเยี่ยม เป็นเด็กรุ่นใหม่สุดเจ๋ง กล้าคิด กล้าวิเคราะห์ กล้าชวนสังคมฉุกคิด โดยหวังเพียงแค่ให้ทุกคนมีตรรกะที่เข้มแข็งพอเท่านั้นเอง

คาบเรียนที่ 8 วิชาสมการเสียงหัวเราะ

ถ่ายทอดวิชาโดย: อัคพงษ์ ป้อมชัยภูมิ – กัส อายุ 16 ปี

กัส นักเรียนสายอาชีพอารมณ์ดี ที่มีสโลแกนประจำตัวแบบคูลๆ ว่า ‘ไม่ฮาก็หาว’ เขาชอบใช้เวลาว่างไปกับการดูคลิปตลกคาเฟ่เก่าๆ จนทำให้เขาขึ้นเวทีมาทอล์คในวิชาการสร้างเสียงหัวเราะ โดยคิดสมการความสุขขึ้นมาเอง ง่ายๆ อย่าง ‘ความจริง + สิ่งไม่คาดคิด = เสียงหัวเราะ’

“เพียงคุณใช้สมการเสียงหัวเราะ ความจริง + สิ่งไม่คาดคิด นอกจากคุณจะมีความสุขเองแล้ว สิ่งไม่คาดคิดที่ตามมาคือความสุขของคนรอบข้างด้วย”

กัสทำให้เรารู้ว่าประโยชน์ของเสียงหัวเราะ ไม่ใช่ทำให้เราลืมความเศร้า แต่ทำให้เรามองเห็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป เมื่อเราพลิกมุมมองของความจริงที่เจ็บปวดบางอย่าง เราจะเห็นอีกแง่มุมหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ปรับมุมมองให้เป็นเรื่องตลกบ้าง มีความสุขกับสิ่งที่เกิดบ้าง และใช้สมการฉบับเดียวกับกัสในการใช้ชีวิต เผลอๆ คุณอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้

คาบเรียนที่ 9 วิชาโอบกอดความรู้สึกตัวเอง

ถ่ายทอดวิชาโดย: สุขุมาลย์ ศรีราพัฒน์ – ผักบุ้ง อายุ 13 ปี

ผักบุ้ง เด็กหญิงตัวเล็ก ที่ใช้ประสบการณ์อันเจ็บปวดของตัวเองมาทอล์คบนเวทีนี้ โดยการเล่านิทานประกอบภาพเรื่องครอบครัวหมูที่แสนจะอบอุ่น มีปู่หมู พ่อหมู แม่หมู ลูกหมู ครอบครัวหมูใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดลูกหมูแบกรับไม่ไหว ทุกอย่างแตกสลายกลายเป็นการนำพาความเศร้าเข้ามา ลูกหมูตัวนั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ทุกข์ทรมาน จนไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป กว่าที่ลูกหมูตัวนั้นจะเยียวยาหัวใจ จนเห็นคุณค่าของตัวเองก็ใช้พลังและเวลานานพอสมควร

นิทานในตอนสุดท้ายยังไม่สิ้นสุด ผักบุ้งเฉลยว่าชีวิตของเธอคือลูกหมูตัวนั้น ผักบุ้งป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แม้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ครอบครัวของเธอก็ไม่ได้กลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม วันนี้ผักบุ้งกล้าลุกขึ้นมาถ่ายทอดประสบการณ์ที่พบเจอ เพียงเพราะอยากจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆ คน ที่อาจจะกำลังเจอกับความทุกข์ใจอยู่ อยากให้นึกถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ และจงมีชีวิตอยู่เพื่อทำมัน

ผักบุ้งก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากของชีวิต ด้วยการลงมือทำสิ่งที่เธอรักอย่าง ‘การวาดรูป’ แม้ความเศร้าจะไม่ได้เลือนหายไป แต่การได้ทำในสิ่งที่รักเป็นเหมือนการค้นเจอหีบสมบัติที่สร้างความสุขและเห็นแสงสว่างในตัวเองอีกครั้ง

“เมื่อเรารู้สึกเศร้าและไม่มีใคร ขอให้ทุกคนมีสติ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข เราจะได้ไม่ปล่อยตัวเองจมไปสู่ความมืด”

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นจิตวิทยาTED Talks

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’
21st Century skillsEducation trend
19 November 2018

MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • คำถามสำคัญในยุคที่เด็กๆ เปิดโลกทัศน์ด้วยเทคโนโลยี ‘ทักษะอะไรที่พวกเขาต้องมีเพื่อใช้สื่ออย่างรู้ทัน’
  • Media Literacy ทักษะในการตรวจสอบ คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ ต่อข้อมูลท่วมท้นบนโลกอินเทอร์เน็ต เข้าใจวัฒนธรรมใหม่ที่มาพร้อมกับการสื่อสารไร้พรมแดน และไม่ใช่แค่ฐานะผู้รับข่าวสาร แต่ในฐานะผู้ผลิตและส่งต่อด้วย
  • หลายโรงเรียนทั่วโลกเปิดวิชา ‘เท่าทันสื่อ’ แต่ในประเทศที่วิชานี้ยังไม่ถูกพูดถึง เรารวบรวมเคล็ดวิชาสร้างห้องเรียน ‘รู้เท่าทันสื่อ’ ได้ง่ายๆ ด้วยคำถาม 5 ข้อ พร้อมชี้เป้าสื่อการสอนสำเร็จรูปให้ครูนำไปใช้ได้ง่าย

เป็นปริศนาที่หาข้อสรุปไม่ได้ โต้เถียงกันไม่เลิก แต่ละฝ่ายต่างก็งัดทัศนคติประกอบเหตุผลมาชวนคิดว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ ให้คุณหรือโทษต่อผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน

ฝั่งให้โทษ โซเชียลมีเดียทำให้มนุษย์เศร้าลง (เพราะมักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อน), โลกเสมือน, การหลอกลวงตัวตน, โจรกรรมข้อมูลไซเบอร์ ยังมีอีกมาก แต่ที่อยากไฮไลต์คือ fake news หรือ ข่าวลวง

ฝั่งให้คุณ โซเชียลมีเดียเปิดโลกทัศน์, เป็นแหล่งสืบค้นข้อมูล, เครื่องมือพัฒนาภาษา (อย่าดูถูกวัฒนธรรม K-pop และ J-pop ทำให้คนพัฒนาภาษามานักต่อนัก) ยังมีอีกมาก แต่ที่อยากไฮไลต์ มันคือ DNA และ อาชีพใหม่ของคนในศตวรรษที่ 21

ไม่ได้ชวนเถียงว่าควรให้น้ำหนักกับฝั่งไหน เพราะข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ โซเชียลมีเดียคือแขนขาของคนยุคนี้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติตักเตือนเสมอว่าการห้ามหรือกีดกันรังแต่ทำให้เรื่องยิ่งยุ่งขิง การให้ข้อมูลและสร้างภูมิคุ้มกันใหม่แก่ชาวโซเชียล คือสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า

Media Literacy หรือ การรู้เท่าทันสื่อ ว่าด้วยทักษะของบุคคลทั่วไปในการตรวจสอบ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ต่อข้อมูลที่ท่วมท้นบนโลกอินเทอร์เน็ต ทั้งเข้าใจวัฒนธรรมใหม่ที่มาพร้อมกับการสื่อสารไร้พรมแดน และไม่ใช่แค่เฉพาะการเท่าทันในฐานะผู้รับข่าวสาร แต่ในฐานะผู้ผลิตและส่งต่อด้วย

การรู้เท่าทันสื่อยังถูกให้ความสำคัญในแง่ ‘ทักษะใหม่’ ของคนในศตวรรษที่ 21 หลายประเทศบรรจุวิชานี้เพื่อต่อกรกับ fake news หรือ ข่าวปลอม สอนกันตั้งแต่อนุบาลยันระดับมหาวิทยาลัย ขีดเส้นใต้ด้วยว่า ไม่ใช่วาระเร่งด่วนเฉพาะวัยรุ่น แต่เป็นภูมิคุ้มกันที่ต้องฉีดให้กับพลเมืองเน็ตทุกคน (netizen)

Media Literacy: เท่าทันสื่อเรื่องอะไรบ้าง

เริ่มทำความเข้าใจตั้งแต่ข้อมูลหลอกลวงตรงไปตรงมา เช่น ข่าวลวง, โฆษณาแฝงในบทความเชิงข่าว, โจรกรรมในโลกไซเบอร์, โฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง ไปจนถึงการคิดวิเคราะห์แยกแยะ ‘ทัศนคติ’ ปน ‘ข้อเท็จจริง’ ที่มากับบทความนั้น เช่น แยกออกไหมว่าส่วนไหนเป็นทัศนคติของผู้เขียนและข้อเท็จจริงตั้งต้นในข่าว, บอกได้ไหมว่าที่มาของบทความนั้นน่าเชื่อถือหรือเปล่า, รีเช็คข้อมูลก่อนตัดสินใจเชื่อหรือนำข้อมูลนั้นไปใช้ต่อได้หรือไม่ กระทั่ง แยกออกไหมว่าบทความนั้นเป็นบทความเชิงการค้า (advertorial) หรือเป็นข้อมูลจากผู้ใช้จริง

งานวิจัยจาก Stanford History Education Group (SHEG) ทีมส่งเสริมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รายงานว่า วัยรุ่นมักถูกหลอกโดยโฆษณาแฝง, เวลาอ่านข่าวหรือบทความมักแยกไม่ออกว่าอะไรคือทัศนคติส่วนตัวของผู้เขียนและข้อเท็จจริง, และ ไม่อาจรีเช็คหรือตรวจทานได้ว่าข้อมูลที่กำลังหาเพื่อนำไปใช้งานต่อนั้น มีที่มาจากไหนกัน

ในระดับที่ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่กว่านั้น Media Literacy พูดถึงการบิดแปลงข้อมูลในระหว่างการหาเสียงซึ่งมีผลต่อฐานคะแนนของพรรคการเมือง (โดยเฉพาะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2016 มีการปล่อยข่าวปลอมออกมาอุตลุดจนมีผลต่อชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์) หรือความก้าวหน้าของนวัตกรรมจะทำให้การแปลงข้อมูลที่เคยยากให้ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้ว

เช่น ข่าวเมื่อปี 2016 เมื่ออะโดบีซิสเต็มส์ (Adobe Systems) บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่จัดเวที Adobe MAX 2016 (Sneak Peeks) เผยนวัตกรรมตัวใหม่ ‘Photoshop of Speech’ แอพพลิเคชั่นปรับแต่งเสียงด้วยคอนเซ็ปต์เดียวกับการทำโฟโต้ช็อปรูป บนเวทียกตัวอย่างการแก้ไฟล์เสียงจาก ‘and I kissed my dogs and my wife’ เปลี่ยนเป็น ‘and I kissed my wife and dogs’ และ ‘and I kissed Jordan three times’

ข่าวนี้จุดคำถามต่อกับชาวโลกว่า หากการปรับเสียงมันง่ายดายและเสมือนจริงเพียงนี้ เราจะยังไว้ใจสื่อมวลชน หรือข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตได้อยู่มั้ย? อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดปี 2018 ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ของโปรแกรม Photoshop of Speech ผู้เขียนค้นไม่พบบทวิจารณ์หรือรายงานต่อเนื่องของบทความนี้

Media Literacy: วิชาใหม่กับครูคนเดิม

News Literacy Project องค์กรไม่แสวงกำไรผู้พัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับ ‘แยกข้อเท็จจริงออกจากเรื่องแต่ง’ ทั้งหมด 12 บทเรียนที่ออกแบบให้ครูแต่ละพื้นที่นำไปปรับใช้กับห้องเรียนของตัวเองได้ง่ายๆ (คุณครูเข้าไปดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ) ปัจจุบันมีนักการศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 3,300 คน จำนวนหนึ่งเป็นครูประเทศสหรัฐอเมริกา 50 รัฐ อีกจำนวนหนึ่งเป็นครูจาก 69 ประเทศทั่วโลก

‘ตัวอย่าง’ โรงเรียนที่เริ่มสอนวิชาเท่าทันสื่อ หรือ บรรจุเป็นหลักสูตรในโรงเรียนเลยอย่างจริงจัง ดังนี้

  • บราซิล บรรจุวิชา ‘วิเคราะห์สื่อเบื้องต้น’ อยู่ในหลักสูตรภาคบังคับของโรงเรียนทั่วประเทศ หลังจากที่เคยให้วิชานี้เป็นวิชาเลือกเท่านั้น
  • โรงเรียน 150 แห่งจากทั้งหมด 600 แห่ง ใน Kannur ประเทศอินเดีย เริ่มบรรจุวิชา ‘เท่าทันสื่อ’ ในห้องเรียนแล้ว หลังพบข่าวปลอมที่แชร์กันมากในแอพพลิเคชั่น WhatsApp
  • บางโรงเรียนในสิงคโปร์ เริ่มสอนวิชาเท่าทันสื่อให้กับนักเรียน ขณะเดียวกันก็จัดตั้งคณะกรรมการศึกษาเรื่องการเกิดขึ้นของข่าวลวงบนโลกออนไลน์

อันที่จริงการออกแบบการสอนนักเรียนให้เท่าทันสื่อไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ มีเครือข่ายในโลกอินเทอร์เน็ตรวบรวมข้อมูลพร้อมสื่อการสอนสำเร็จรูปให้ครูเข้าไปดาวน์โหลดพร้อมใช้ แต่เพื่อให้เห็นว่าการทำความเข้าใจกับนักเรียนไม่ใช่เรื่องยาก หลักคิดง่ายๆ มีเพียง “ออกแบบการเรียนให้เด็กๆ ได้คิดวิเคราะห์”

เอริน วิลคีย์ โอห์ (Erin Wilkey Oh) ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ Common Sense Education เครือข่ายที่พูดเรื่องการเท่าทันสื่อโดยเฉพาะ ให้เคล็ดลับการสอนเรื่องนี้ในห้องเรียน ด้วย ‘คำถาม’ 5 ข้อ ดังนี้

  1. ใครเป็นคนเขียนบทความนี้? คำถามนี้จะช่วยให้นักเรียนหยุดคิดว่า บทความนี้ถูกเขียนขึ้นด้วย ‘บุคคล’ หนึ่ง ซึ่งหมายความว่ามันอาจเป็นทัศนคติส่วนตัว อันมาจากเหตุผล บริบท และภูมิหลังที่แตกต่างกัน
  2. ทำไมข้อความหรือบทความนี้จึงถูกส่งมา ทำไมเขาถึงเขียนมันขึ้น? คำถามนี้เปิดโอกาสให้เด็กๆ พิจารณาจุดประสงค์ของผู้เขียน ว่าเขียนขึ้นเพื่อ ให้ข้อมูล, สร้างความบันเทิง, โน้มน้าวให้เชื่อ หรือทั้งหมด? จากนั้นอาจถามต่อว่า บทความนี้ทำให้เด็กๆ หรือผู้อ่านรู้สึกอย่างไร เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาตีความความตั้งใจของผู้เขียน
  3. บทความนี้เผยแพร่ที่ไหน? พื้นที่ที่ปล่อยย่อมสร้างบอกความน่าเชื่อถือในตัวเอง เช่น เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวที่น่าเชื่อถือ, ถูกส่งกันต่อๆ มาในอีเมล, แชร์ต่อกันผ่านเฟซบุ๊ค ซึ่งทั้งหมดนี้สืบสาวกลับไปยังพื้นที่เผยแพร่ตั้งต้นได้หรือไม่
  4. ผู้เขียนใช้เทคนิคอะไรมาดึงความสนใจของผู้อ่าน? ในรูปแบบคลิปวิดีโอ, แอพพลิเคชั่น หรือแพลตฟอร์มอื่นในรูปแบบออนไลน์
  5. บทความนั้นสอดแทรกมุมมองอะไรเอาไว้บ้าง? เพราะทุกบทความย่อมมี ‘ข้อความระหว่างบรรทัด’ หรือทัศนคติบางอย่างที่ผู้เขียนต้องการจะโน้มน้าวให้ผู้อ่านเชื่อ แม้ว่าในบทความนั้นจะไม่ได้แสดงน้ำเสียงของผู้เขียน แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้อ่านต้องพึงรู้ว่ามันมีอยู่

คุณครูท่านไหนสนใจแบบการสอนสำเร็จรูป เข้าไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือถือโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนวิธีการสอนวิชารู้เท่าทันสื่อให้เด็กๆ ได้ที่นี่เช่นกัน

  • เทคนิคการสอนให้เด็กๆ แย่งข่าวจริงออกจากข่าวปลอม (Common Sense Education)
  • ความจริง VS ความเห็น VS การให้ข้อมูลจากทัศนคติของเหล่านักข่าว (PBS NewsHour Student Reporting Labs)
  • สอนเด็กๆ ชั้นมัธยมให้เข้าใจข่าวจริงกับปลอม (PBS NewsHour Extra)
  • วิธีเช็คที่มาของ ‘รูป’ จาก Google Reverse Image Search
อ้างอิง:
Stanford researchers find students have trouble judging the credibility of information online
News and Media Literacy Resource Center
Lesson plan: How to teach your students about fake news

Tags:

ครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน4Csความปลอดภัยไซเบอร์Media literacy

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

SPIRITUAL SPACESHIP การออกไปตามหาความหมายบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน ของ ‘เหิร’ ต่อลาภ ลาภเจริญสุข
Everyone can be an Educator
16 November 2018

SPIRITUAL SPACESHIP การออกไปตามหาความหมายบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน ของ ‘เหิร’ ต่อลาภ ลาภเจริญสุข

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • “ศิลปะคือการดึงคนให้มารู้สึกแล้วปล่อยให้คนใช้จินตนาการคิดต่อไปเองได้” คำนิยามศิลปะของ ต่อลาภ ลาภเจริญสุข เจ้าของผลงาน ‘สปิริชวล สเปซชิพ’ (Spiritual Spaceship) ที่จัดแสดงในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ‘บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018’
  • สำหรับต่อลาภ การที่ได้สร้างแนวคิดหรือทำอะไรสักอย่างขึ้นมาตอบคำถามที่ตัวเองสงสัย หรือคิดท้าทายตัวเองเพื่อหาคำตอบแล้วลงมือทำ ก็ถือว่าความคิดสร้างสรรค์ได้ทำงานแล้ว
  • ทุกอย่างไม่มีทางได้อย่างใจเสมอ การทำงานศิลปะก็เช่นกัน ฉะนั้นกระบวนการสร้างชิ้นงานต้องอาศัยความยืดหยุ่น การยึดติดกับความคิดเดิมเกินไป จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไปต่อไม่ได้
ภาพ: ฉัตรชัย วงค์เกตุใจ และ Gallery Seescape
Spiritual Spaceship

“จากอดีต บ้านไม้ริมคลองเจ้าเจ็ด จังหวัดอยุธยา ย้อนภาพอาม่าในวันไหว้พระจันทร์
ฉุกให้สงสัยถึงการสื่อสารระหว่างโลกมนุษย์กับทวยเทพบนท้องฟ้า
สารพันคำอธิบายต่อสิ่งเร้นลับอันเวิ้งว้างของจักรวาล
ความเชื่อถูกพกพาข้ามน้ำข้ามทะเล
เทียบท่าตั้งรกรากไปทั่วดินแดนอันเชื่อว่าความหวังยังมีอยู่

อีกฟากฝั่งพื้นดิน วิวัฒนาการสมัยใหม่ได้พัฒนากลไกขับเคลื่อนพาหนะ
พิชิตเทหะวัตถุจนถึงประทับเท้าลงบนดวงจันทร์
ก็ไม่ได้ลดทอนประเพณีให้เสื่อมค่าลงแต่อย่างใด
แรงบันดาลใจ ความหวังจากพร ด้วยอ้อนวอนถึงความสุขต่อฟากฟ้า
คู่ขนานไปกับหลักฐานเชิงประจักษ์จากความก้าวหน้าของเครื่องจักรวิทยาการ…”

ข้อความที่ศิลปินเขียนขึ้นเพื่อบรรยายชิ้นงานที่อยู่เบื้องหน้านี้ ชวนให้ตั้งคำถามถึงพลังและอำนาจของความเชื่อทั้งทางจิตวิญญาณและความเชื่อ (มั่น) ในความสามารถตัวเองของมนุษย์ เรากำลังพูดถึงชิ้นงาน ‘สปิริชวล สเปซชิพ’ (Spiritual Spaceship) ของ เหิร – ต่อลาภ ลาภเจริญสุข หนึ่งในศิลปินไทย ที่ได้จัดแสดงอยู่ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 5 ในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ‘บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018’ (Bangkok Art Biennale 2018 ) ร่วมกับศิลปินไทยและต่างชาติอีกกว่า 75 คนจากทั่วโลก

ต่อลาภ เป็นทั้งศิลปินและเป็นเจ้าของ ‘แกลเลอรี ซีสเคป’ (Gallery Seescape) ย่านนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่ ย้อนกลับไปราว 10 ปีก่อน แกลเลอรี ซีสเคปก่อตั้งขึ้นด้วยความคิดอยากเปิดพื้นที่ทางเลือกให้ศิลปินได้แสดงออก (Alternative Art Space) ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ศิลปะจัดวาง ภาพถ่าย วิดีโอ หรือแม้กระทั่งการแสดง เพราะเขาเชื่อว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ดี

ต่อลาภ ลาภเจริญสุข

“สังคมจะพัฒนาได้ เกิดขึ้นจากองค์ประกอบหลายส่วน และศิลปะเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ผมสร้างแกลเลอรี ซีสเคป ขึ้นมาเพื่อยืนยันความคิดนี้ ปีนี้มีอายุครบ 10 ปีพอดี ศิลปะในประเทศไทยยังคล้ายเป็นส่วนเกินในการดำรงชีวิต ศิลปินไม่ได้รับการสนับสนุน หลายแกลเลอรีเปิดขึ้นมาก็อยู่ไม่ได้

ผมเปิดพื้นที่โดยไม่ได้นึกถึงรายได้เป็นหลัก แต่เราโชคดีอยู่ได้เพราะได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ศิลปินด้วยกัน มาช่วยลงมือลงแรงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมาต้องฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคกันมาพอสมควร แต่ในช่วง 5 ปีหลังมานี้ผมเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นในวงการศิลปะไทย มีคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจและพยายามทำความเข้าใจศิลปะมากขึ้น ยกตัวอย่างเวลาดูรูปภาพในงานจัดแสดง แทนที่จะดูว่าภาพ ถ่ายด้วยกล้องอะไร จัดแสงแบบไหน เขาหันมาตั้งคำถามว่าศิลปินคิดอะไรขณะถ่ายภาพนี้ แล้วคิดยังไงกับภาพนี้ ภาพถ่ายเป็นแค่ผลลัพธ์ของกระบวนการคิดในขั้นตอนสุดท้าย แต่กว่าจะได้มาเป็นภาพ มันมีความคิดและเรื่องราวเบื้องหลังของศิลปินอยู่ด้วย”

การเดินทางของความทรงจำและความเชื่อ

สำหรับงานสปิริชวล สเปซชิพ ต่อลาภต้องการสื่อสารถึงการออกไปตามหาความหมายบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน การเดินทางไปยังพระจันทร์ด้วยความเชื่อทางจิตใจและจิตวิญญาณของคนซีกโลกตะวันออก มีการกราบไหว้บูชา มีแจกัน และของไหว้เป็นเชื้อเพลิง เปรียบเทียบกับโลกฝั่งตะวันตกที่ใช้การประดิษฐ์เทคโนโลยีนวัตกรรมออกไปนอกโลก มนุษย์สองฟากฝั่งโลกออกเดินทางไปหาสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเหมือนกันแต่ไปคนละวิธี

“สมัยวัยเด็กผมอาศัยอยู่กับอาม่าที่บ้านไม้ริมน้ำจังหวัดอยุธยา ผมเติบโตมาในครอบครัวที่อยู่กับความเชื่อเป็นหลัก อาม่าเป็นเหมือนคนจีนแผ่นดินใหญ่อีกหลายคนที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้มาแต่ตัว แต่พกพาความเชื่อต่างๆ มาด้วย ผมจำได้ว่าทุกปีผมเฝ้ารอช่วงเวลาเทศกาลตรุษจีน สารทจีน โดยเฉพาะวันไหว้พระจันทร์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกสนุก ผู้ใหญ่อนุญาตให้เราเล่นถึงตอนกลางคืนได้ พอหวนคิดถึงความทรงจำในตอนนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่มนุษย์ส่งวัตถุไปสู่อวกาศจากอีกฝากหนึ่งของโลก ผมเลยตั้งคำถามกับความเชื่อที่แตกต่างกันนี้”

ในทางกายภาพ สปิริชวล สเปซชิพ เป็น ‘ประติมากรรมคอลลาจ’ (Collage Sculpture) ประกอบขึ้นจาก ตู้ไม้สักเก่า แจกัน เชิงเทียน ไฟกะพริบที่ปกติมักเห็นอยู่บนหิ้งพระ เหล็ก ทองแดง แผงวงจรไฟฟ้า จอมอนิเตอร์ และหลอดไฟอิเล็กทรอนิกส์

แต่ในทางความคิดและจิตวิญญาณพาหนะซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ เป็นร่องรอยที่พาเราย้อนไปเชื่อมโยงกับความทรงจำในอดีต เป็นวัตถุที่ย้ำเตือนให้หวนคำนึงถึงที่ๆ เราจากมา บางอย่างที่เราอาจหลงลืม บางสิ่งที่เราเคยจดจำ หรือแม้กระทั่งความทรงจำที่หลายครั้งยากจะลบเลือน

“วัตถุที่ผมเลือกใช้เป็นวัตถุที่เชื่อมผมสู่ความทรงจำตอนเด็กและความเชื่อของอาม่า แทนที่จะตามหาสิ่งที่อยู่ไกลออกไปนอกโลก งานชิ้นนี้นำเราเดินทางกลับไปหาสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดในระดับความทรงจำ ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีความผูกพันกับวัตถุที่เราเคยเห็นเคยใช้ วัตถุแต่ละชิ้นมีความหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว

ผมชอบนำวัตถุที่พบเจอมาประกอบกันเพื่อสร้างความหมายใหม่ เหมือนงานคอลลาจที่ใช้กระดาษ ก็เป็นการปะติดเรื่องราวแต่ละหน้าบนกระดาษจากที่มาต่างกันให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน อาจดูขาดๆ เกินๆ แต่ก็เป็นเสน่ห์ของงานคอลลาจ ความหมายที่ติดมากับวัตถุแต่ละชิ้นยังอยู่ในตัวเอง

ตู้ไม้สักที่ผมใช้ ความหมายของมันคือเป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งของซึ่งเป็นความทรงจำของแต่ละคน แต่ละบ้าน หรือแต่ละครอบครัว เราได้ของ ได้รางวัล มีรูปภาพ เราเอาไปเก็บไว้ในตู้ นึกดูดีๆ ถ้าเราไม่เอาของมาโชว์ไว้ให้เห็น ก็มักพบเจออดีตของเราใต้ลิ้นชักเก่าๆ เสมอ”

ความคิดสร้างสรรค์ = ตั้งคำถาม + อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ

งานศิลปะของต่อลาภส่วนใหญ่เกิดจากการนำสิ่งใกล้ตัว ของเหลือใช้อย่างวัตถุหรือเศษวัสดุ (found object) มาดัดแปลงฟังก์ชันการใช้งาน เพราะเขาอยากให้ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเชื่อมโยงกับชีวิต ตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปีตั้งแต่เรียนจบ เขาทำงานศิลปะมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 10 ปีหลังที่มีงานจัดแสดงทั้งเดี่ยวและกลุ่มไม่ว่างเว้นเลยสักปี ต่อลาภ บอกว่าสมการความคิดสร้างสรรค์ของเขา เป็นผลลัพธ์จากการตั้งคำถามและไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

“การที่เราได้สร้างแนวคิดหรือทำอะไรสักอย่างขึ้นมาตอบคำถามที่ตัวเองสงสัย การที่เราคิดท้าทายตัวเองเพื่อหาคำตอบแล้วลงมือทำ ผมว่าขั้นตอนตรงนั้น ความคิดสร้างสรรค์ได้ทำงานแล้วนะ เราทำเพื่อสื่อสารสิ่งที่ตัวเองคิด มีเหมือนกันตอนที่คิดไม่ออก พยายามคิดยิ่งคิดไม่ออก แต่พอหยุดคิดกลับได้ไอเดียออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเลย แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราหมกหมุ่นหรือให้เวลาอยู่กับความคิดนั้นนานพอในระดับหนึ่งแล้ว

ส่วนตัวผมอยู่กับงานศิลปะมาทั้งชีวิต แล้วคิดจะอยู่กับมันไปจนตาย ต่อให้เกือบจะตายผมก็มีความคิดเกี่ยวกับความตายได้ เพราะงานศิลปะเป็นตัวสะท้อนความคิดที่เรามีต่อโลก ผมตั้งคำถามต่อชีวิตตัวเองแล้วสะท้อนมาเป็นงานศิลปะ ความคิดไม่มีทางตันเพราะเราต้องใช้ชีวิต แล้วเราต้องเดินต่อไปข้างหน้าถูกต้องมั้ย”

แน่นอนว่าการทำประติมากรรมคอลลาจขึ้นมาสักชิ้น นอกจากความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังต้องใช้ความบ้าพลังพอสมควร ต่อลาภ บอกว่า ในเชิงเทคนิคการติดตั้ง สปิริชวล สเปซชิพ ขนาด 485 x 815 x 349 เซนติเมตร ที่สูง ยาวและใหญ่กว่าตัวคนนั้นยากไม่ใช่เล่น

“ประติมากรรมคอลลาจชิ้นนี้ หนักเป็นตันๆ แต่ถูกตั้งบนขาแค่ 3 ขา ผมอยากให้คนดูรู้สึกว่างานชิ้นนี้ลอยขึ้นมา งานเลยต้องมีจุดยึดน้อยที่สุด แล้วจุดยึดที่น้อยที่สุดที่จะตั้งวัตถุบนโลกนี้ให้สมดุลไปกับแรงโน้มถ่วงได้อยู่ที่ 3 ขา ถ้า 1 ขา หรือ 2 ขาต้องยึดด้วยการฝังลงไปในดิน ส่วนถ้าเป็น 4 ขา ลักษณะการตั้งอยู่ของวัตถุจะดูแข็งแรงมั่นคงเกินไป ผมต้องคำนวณและออกแบบให้สมดุลที่สุด”

ต่อลาภ ลาภเจริญสุข

เปิดพื้นที่ให้ความไม่สมบูรณ์แบบบ้าง

ทุกอย่างไม่มีทางได้อย่างใจเสมอไป การทำงานศิลปะของต่อลาภก็เช่นกัน เขาบอกว่า กระบวนการสร้างชิ้นงานต้องอาศัยความยืดหยุ่น การยึดติดกับความคิดเดิมเกินไป จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไปต่อไม่ได้

“กระบวนการคิดของผมส่วนใหญ่มาจากการเห็นสิ่งของก่อน แล้วของจะนำพาไปสู่ไอเดียเพื่อสร้างผลงานอีกทีหนึ่ง พอทำงานไปเรื่อยๆ ของที่ผมคิดว่าหาได้ส่วนใหญ่ผมจะไม่เจอ เวลาทำงานเลยสนุกกับความเปลี่ยนแปลงในความคิดเมื่อเจอของใหม่ๆ เสมอ แต่แก่นหรือคอนเซ็ปต์ที่มุ่งไปยังคงอยู่

ปกติการสร้างประติมากรรมขึ้นมาหนึ่งชิ้น ต้องออกแบบขนาด ความกว้าง ความยาว ความแหลม หรือแม้แต่การกินพื้นที่ในอากาศไว้แล้ว แต่การสร้างประติมากรรมคอลลาจเป็นการออกแบบอย่างหลวมๆ ฟอร์มที่ปรากฏขึ้นมาตอนงานเสร็จสมบูรณ์จะพลิกแพลงไปตามของที่เจอและไม่คิดว่าจะเจอ

ผมว่ามันเป็นการท้าทายและตั้งคำถามกับแนวคิดที่พูดถึงความสมบูรณ์ของประติมากรรมด้วยว่า จริงๆ แล้วความสมบูรณ์ที่สุดของประติมากรรมคืออะไร

คือการมีเส้นสายที่ลงตัวและมองได้ทุกมุมแค่นั้นหรือ ถ้าเส้นสายของประติมากรรมเกิดขึ้นจากการประกอบกันของวัตถุที่เจออยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวันและมีความผูกพันกับเราล่ะ ผมมีความผูกพันกับแจกันไหว้พระ กับอาม่าที่เป็นคนอยุธยาเชื้อสายจีน ผมเอาวัตถุเหล่านี้ประกอบกันขึ้นมา เป็นความงามในแบบของผม ผมต้องการสื่อสารให้เห็นด้วยว่าคุณค่าของความงามลื่นไหลได้ แต่เรารับมายาความงามมาจากเทรนด์หรือแฟชั่นภายนอก ทั้งที่มนุษย์มีเอกลักษณ์ต่างกัน คนแต่ละที่เชื่อในความงามต่างกัน ความงามจึงไม่ควรมีแค่กระแสเดียว และความสมบูรณ์ก็ไม่ควรมีแค่แบบเดียว”

ก่อนสปิริชวล สเปซชิพ ถูกนำมาจัดแสดงที่หอศิลปฯ ต่อลาภใช้เวลามองหาวัสดุและปะติดปะต่อสร้างประติมากรรมชิ้นนี้อยู่ถึง 3 เดือน ดังนั้น การสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้จริงนั้น นอกจาก ‘ความคิด’ แล้วยังต้องอาศัย ‘ความอดทน’

“เมื่อคิดได้แล้ว ตอนลงมือทำงานเป็นเรื่องของการคิดแก้ปัญหาว่าถ้าเอาวัตถุมาวางตรงนี้จะอยู่ได้มั๊ย จะเชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้ากันตรงไหน ตัดต่อชนยังไงได้บ้าง บางชิ้นประกอบขึ้นมาแล้วไม่ชอบก็มี แต่กระบวนการคิดตรงนี้ทำให้ผมยืดหยุ่นกับตัวเองมากขึ้น บางอย่างคิดว่าไม่สวยแต่ทำออกมาแล้วก็ลงตัวดี บางอย่างผมเชื่อว่าสวย ก็ได้ถามตัวเองว่าจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่คิดจะเปลี่ยนบ้างหรือไง ระหว่างทำงานผมได้ตั้งคำถามและเรียนรู้ตัวเองจากงานของตัวเองไปด้วย

งานแต่ละชิ้นที่ผมทำใช้เวลาค่อนข้างนาน ผมรู้สึกสนุกและมีส่วนร่วมไปกับทุกโมเมนต์ ตั้งแต่ตอนเจอของที่ดึงผมสู่ความทรงจำเก่าๆ แล้วเกิดไอเดีย พอลงมือทำก็สนุกเพราะได้ทดลองประดิษฐ์สิ่งที่คิดอยู่ในหัว จนทำสำเร็จออกมาให้คนได้ชมและรู้สึกไปกับชิ้นงานได้”

สปิริชวล สเปซชิพ ดึงให้ฉันหลงอยู่ในภวังค์ จนลืมไปว่ากำลังอยู่ในหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครที่เต็มไปด้วยผู้คน อดีตไม่มีอยู่แล้ว แต่อดีตหล่อหลอมความเป็นตัวเราในปัจจุบัน ความคิดเชื่อมโยงความทรงจำในอดีตกับปัจจุบันที่ต่อลาภสื่อสารผ่านงานชิ้นนี้ ทำให้ฉันหันกลับมามองสิ่งใกล้ตัว ด้วยความรู้สึกพอใจและเห็นคุณค่าในสิ่งที่มี เป็นการเตรียมความพร้อมที่จะเดินทางไปยังอนาคต โดยไม่หลงลืมรากเหง้าของตัวเอง

“ศิลปะคือความรู้และความรู้สึกประกอบกัน อยู่ที่ว่าเราจะให้สัดส่วนสิ่งไหนมากกว่ากัน แล้วประกอบทั้งสองส่วนขึ้นมาให้มีความแฟนตาซี ผมทำงานศิลปะผมต้องเปิดพื้นที่ให้คนได้จินตนาการด้วย ผมอยากให้คนคิดต่อยอดจากงานที่ผมทำ เพราะผมมองว่าศิลปะคือการดึงคนให้มารู้สึกแล้วปล่อยให้คนใช้จินตนาการคิดต่อไปเองได้” ต่อลาภ กล่าวถึงนิยามศิลปะของเขา

หมายเหตุ
– ต่อลาภ ลาภเจริญสุข ศิลปินไทยที่มีนิทรรศการแสดงเดี่ยวและกลุ่มทั้งในและต่างประเทศ
– ผลงานของต่อลาภมักนำเสนอในรูปแบบประติมากรรม ศิลปะจัดวางและศิลปะในรูปแบบสถาปัตยกรรมเคลื่อนที่ ปี 2011 ชิ้นงาน Bookself ของเขาถูกสะสมไว้ในหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ระดับนานาชาติ Singapore Art Museum ด้วย
– งานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ‘บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018’ (Bangkok Art Biennale 2018) จัดขึ้นตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ 20 จุด ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2561 ถึง 3 กุมภาพันธ์ 2562

Tags:

ศิลปินศิลปะต่อลาภ ลาภเจริญสุข

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Everyone can be an EducatorLife classroom
    ‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Voice of New Gen
    เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    บัว วรรณประภา ตุงคะสมิต: Papercutting Art จากมุมมองของโลกจิ๋วๆ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์

    เรื่อง ศิริกร โพธิจักร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Growth & Fixed Mindset
    เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”

    เรื่องและภาพ PHAR

COLLABORATIVE SKILL: เพราะปัญหายุคใหม่แก้ไม่ได้เพียงลำพัง สร้างห้องเรียนเป็นทีมเวิร์คเสียตั้งแต่ตอนนี้
21st Century skills
15 November 2018

COLLABORATIVE SKILL: เพราะปัญหายุคใหม่แก้ไม่ได้เพียงลำพัง สร้างห้องเรียนเป็นทีมเวิร์คเสียตั้งแต่ตอนนี้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • collaboration คือกระบวนการที่คนในกลุ่มแชร์ไอเดียความคิดของตนเอง พร้อมกับรับฟังและนำไอเดียจากมุมมองหลากหลายด้านของผู้อื่น มาต่อยอดหารือ คิด-วิเคราะห์-ลงมือทำตามความถนัดหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตนจนนำไปสู่วิถีทางแก้ปัญหาใหม่ๆ
  • collaborative skill คือทักษะที่หมายรวมทั้งทักษะทางการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรอง ทักษะการเข้าสังคม เช่น มารยาทในการสนทนา เคารพความคิดเห็นผู้อื่น และ ทักษะทางอารมณ์ (emotional skill) เป็นต้น
  • กระบวนการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันเป็นเรื่องที่ครูและนักเรียนต้องพยายามไปด้วยกันอย่างต่อเนื่อง เพราะทักษะเหล่านี้ก็จะค่อยๆ เพิ่มพูนมากขึ้นและอยู่ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

เมื่อห้องเรียนของศตวรรษที่ 21 เห็นความจำเป็นของทักษะ 4Cs ที่นักเรียนต้องนำไปใช้ในโลกของการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Collaborative Skill หรือ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น จึงกลายเป็นทักษะบังคับอันดับต้นๆ ที่โรงเรียนต้องเตรียมพร้อมให้เยาวชนยุคนี้ เติบโตไปเป็นจิ๊กซอว์คุณภาพชิ้นหนึ่งในการที่จะไปประกอบเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จภาพใหญ่ในสังคมได้

Collaboration หมายถึงกระบวนการที่คนในกลุ่มแชร์ไอเดียความคิดของตนเอง พร้อมกับรับฟังและนำไอเดียจากมุมมองหลากหลายด้านของผู้อื่น มาต่อยอดหารือ คิด-วิเคราะห์-ลงมือทำตามความถนัดหรือหน้าที่ได้รับมอบหมายจนนำไปสู่วิถีทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ร่วมกัน ส่วน collaborative skill คือทักษะที่ใช้ระหว่างกระบวนการนี้ โดยหมายรวมทั้งทักษะทางการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรอง (cognitive skills) ทักษะการเข้าสังคม (social skills) เช่น มารยาทในการสนทนา เคารพความคิดเห็นผู้อื่น และ ทักษะทางอารมณ์ (emotional skill) เป็นต้น

P21 หรือ ภาคีความร่วมมือเพื่อการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (The Partnership for 21st Century Learning) ซึ่งบรรจุ collaborative skill เป็นทักษะการเรียนรู้หนึ่งที่โรงเรียนต้องติดตั้งให้เยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การทำงานจริง โดยระบุคุณลักษณะปลีกย่อยที่ต้องมีใน collaborative skill ว่า

  • สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเคารพซึ่งกันและกันได้กับหลากหลายทีม
  • สามารถคิดหรือปฏิบัติงานอย่างยืดหยุ่น ไม่ยึดติดตายตัวรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
  • รู้จักประนีประนอมเพื่อบรรลุเป้าหมายของทีม
  • รู้บทบาทหน้าที่ที่มีร่วมกันเพื่อทำงานจนสำเร็จ
  • สามารถรับฟังและให้คุณค่ากับไอเดียความคิดและการปฏิบัติงานของทุกคนในทีม

ปัญหามีไว้ช่วยกันแก้

เนื่องจากเราไม่อาจใช้องค์ความรู้กับความสามารถเพียงด้านใดด้านหนึ่งแก้ปัญหาที่ซับซ้อน หลากหลายและอาจยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั้งหมดได้ ความรู้เชิงลึกอาจสามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้จริง แต่กับปัญหาในสังคมที่เรากำลังเผชิญ มีหลายมิติซับซ้อนเกี่ยวพัน เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สืบเนื่องทั้งจากเทคโนโลยี การเพิ่มขึ้นของประชากร และตัวบทกฎหมาย การแก้ไขปัญหาจึงต้องมาจากความร่วมมือจากหลายองค์กรหรือภาคส่วนที่อาจไม่เกี่ยวข้องกันเลย

ในทำนองเดียวกัน ทุกตำแหน่งหน้าที่ในองค์กรใหญ่น้อยล้วนจำเป็นต้องใช้กำลังความรู้ทั้งของตนเองและผู้อื่นทำงานแก้ปัญหาร่วมกัน นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก ที่รายงานเรื่อง The Future of Jobs จัด 10 อันดับแนวโน้มทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการของโลกธุรกิจโดย World Economic Forum พบว่า จากปี 2015 เป็นต้นมาจนถึงปี 2020 collaborative skill ก็ยังคงเป็นทักษะที่ตลาดต้องการอันดับต้นๆ อยู่เช่นเดิม

แก้ปัญหาอย่างเป็นทีม ผิดและเรียนรู้ไปด้วยกัน

สืบเนื่องจากภารกิจในการปฏิรูปการศึกษาให้มุ่งเน้นศักยภาพการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการอยู่ร่วมกันในสังคม วาระรายงานเรื่อง New Vision for Education: Fostering Social and Emotional Learning Through Technology ที่ World Economic Forum จัดทำขึ้นใน ปี 2016 แสดงความมุ่งหวังให้โรงเรียนทั่วสหรัฐ ผนวกรวมกระบวนการสร้างเสริมการเรียนรู้ด้านสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Learning: SEL) ผ่านการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่น project-based learning, game-based learning หรือ inquiry-based leaning เข้าเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรบังคับ โดยใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือให้การเรียนรู้ทำได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม การจับนักเรียนมาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อสร้างทักษะดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย

‘หายนะ’ จะเกิดขึ้นเสมอจากการการรวมตัวกันของวัยซนมากกว่า 2 คนขึ้นไป แม้จะวางแผนไว้ดีแค่ไหน ปราการด่านแรกที่ครูต้องเตรียมใจให้พร้อมคือ ความยุ่งเหยิงของการทำงานเป็นทีม

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคน ทุกความคิดเห็นจะลงรอยกันเรื่องวิธีแก้ปัญหาไปเสียหมด ทีมต้องผ่านการลองถูกผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเผชิญภาวะชะงักงันจากปัญหาการสื่อสารไม่ชัดเจน ความขัดแย้ง หรือตัดสินใจผิดพลาดได้ตลอดเวลา

ซัคเคอรี เฮอร์แมน (Zachary Herrman) อาจารย์ประจำภาคบัณฑิตวิทยาลัยคณะศึกษาศาสตร์แห่ง University of Pennsylvania กล่าวไว้ในบทความ A Strategy for Effective Student Collaboration ว่า

ปัญหายุ่งยากที่มักเกิดขึ้นระหว่างการเรียนรู้แบบกลุ่มทำให้ครูบางคนเลี่ยงการจัดการสอนแบบนี้ หรือที่แย่ไม่ต่างกันคือ แทนที่จะให้พวกเขาผิดเอง-รู้เอง กลับชี้ข้อผิดพลาดให้นักเรียนรู้หรือให้สูตรสำเร็จราบรื่นในการหาคำตอบตั้งแต่ต้น ในทางกลับกันแล้ว ปัญหาเหล่านี้ต่างหากที่เป็นโอกาสทองของการเรียนรู้อย่างแท้จริง! พวกเขาจะได้เรียนรู้จริงๆ ก็ต่อเมื่อ เผชิญปัญหา ได้ลองผิดถูก หาหนทางแก้ไขอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน

เมื่อหัวใจของการทำงานกลุ่มคือ แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยกัน ซัคเคอรีไกด์ว่าทีมต้องตั้งตอบคำถาม 4 ข้อนี้ให้ได้เสมอ

  1. จุดประสงค์ของงานที่ทำอยู่คืออะไร
  2. ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร
  3. ที่มาที่ไปของผลลัพธ์เป็นอย่างไร
  4. เมื่องานเสร็จสิ้นลง คิดว่าอะไรที่ดี และอะไรควรแก้ไข

นอกจากยอมรับธรรมชาติของความยุ่งเหยิงที่มากับงานกลุ่ม และไม่เข้าไปแทรกแซงการค้นหาคำตอบร่วมกันของทีมแล้ว เจฟฟ์ นัทสัน (Jeff Knutson) Senior Producer and Content Strategist แห่ง Common Sense Education องค์กรรวบรวมข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ สำหรับขับเคลื่อนการศึกษาให้คู่ขนานไปกับสังคมเทคโนโลยียังแนะนำหลัก 3 ข้อที่ครูควรพิจารณาในการวางแผนการสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะนี้ไว้ดังนี้

1. ครูต้องพิจารณาถึงจุดประสงค์ของงานว่า ต้องการให้นักเรียนเรียนรู้อะไรจากงานที่จะมอบหมายให้ทำ สำคัญที่สุดคือ งานดังกล่าวเหมาะสมที่จะทำเป็นกลุ่มหรือไม่ แยกหน้าที่กันได้ชัดเจน ยุติธรรมหรือไม่ ส่วนใหญ่การแบ่งกลุ่มเพื่อสังเกตปัญหาและหาทางแก้โดยใช้การหาหลักฐานอ้างอิงสนับสนุนนั้นทำได้ แต่หากเป็นเรื่องนามธรรมและสุนทรียภาพเฉพาะตัว เช่น การตีความเชิงนามธรรมอย่างศิลปะ ดนตรี อาจต้องพิจารณาวิธีอื่น

2. ออกแบบการทำงานในกลุ่มไว้ล่วงหน้า ขั้นตอนแก้โจทย์หรือสร้างงานชิ้นนี้ให้สำเร็จนักเรียนต้องทำอะไรบ้าง แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันได้อย่างไร แต่ละขั้นตอนควรใช้เวลาเท่าไหร่ และกฎเกณฑ์ มารยาท การปฏิบัติต่อกันในกลุ่ม

3. กำหนดขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบของนักเรียนแต่ละคนให้ชัดเจน การกำหนดหน้าที่เป็นการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละคนและตระเตรียมพวกเขาให้เห็นภาพของโลกการทำงานจริง

ขอยกเอาการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้นักเรียนในกลุ่มชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์โรงเรียน University Camp Park ใน Massachusetts ที่ออกแบบการเรียนการสอนให้เกรด 7 -12 เป็น Collaborative Group Work ทั้งหมดมาเป็นตัวอย่าง (โรงเรียนนี้ได้รางวัลดีเด่นประจำปี 2015 และการันตีคุณภาพจากนักเรียนที่ได้การตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอีกด้วย)

คุณครูเคธี เมอร์ฟี (Kathy Murphy) แบ่งนักเรียนเกรด 7 ในชั้น เป็นกลุ่มละ 3 คน ให้ช่วยกันแก้โจทย์เลข โดยแจกการ์ดหน้าที่ให้แต่ละคนในกลุ่ม ซึ่งประกอบไปด้วย คนตั้งคำถาม-คนอธิบาย-คนสรุปความ บนการ์ดมีรายละเอียดความรับผิดชอบและมีประโยคไกด์ไลน์ของหน้าที่นั้นๆ เช่น

คนตั้งคำถาม: มีหน้าที่อ่านโจทย์ให้เพื่อนในกลุ่มฟัง และคอยซักถามหลังคนสรุปความ

  • เมื่ออ่านโจทย์แล้ว ให้คิดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโจทย์
  • บอกไอเดียหรือประเด็นที่เรานึกถึงขณะอ่านโจทย์นั้นให้เพื่อนในกลุ่มฟัง
  • เสนอวิธีแก้โจทย์ที่เป็นไปได้แล้วถามความเห็นเพื่อนในกลุ่ม
  • ตัวอย่างประโยคสำหรับตั้งคำถาม เช่น ตรงนี้หมายความว่าอะไร? หมายความว่าอย่างนี้ได้ไหม? เราจะ…ได้อย่างไร? เราควรลองเอา… (สมการ, รูป, กราฟ) …มาประกอบการแก้โจทย์ดีไหม? เป็นต้น

เจฟฟ์อธิบายว่า การแบ่งบทบาทหน้าที่ทำให้นักเรียนเข้าใจว่า ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายล้วนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน หรือบางครั้งการแก้ปัญหาให้ลุล่วง อาจต้องพึ่งพาความคิดหรือมุมมองจากเพื่อนนอกกลุ่มด้วย ดังนั้นกฎกติกาที่ครูสร้างต้องไม่เน้นการแข่งขันระหว่างกลุ่มมากเกินไปจนปิดกั้นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมองข้ามคุณค่าของความร่วมมือซึ่งกันและกัน

ทรินิตี้ (Trinity) นักเรียนในชั้นเรียนของครูเคธี เล่าถึงประโยชน์ในการทำงานเป็นกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาโจทย์เลขด้วยกันว่า

“ตอนแรกที่อาจารย์ให้แบ่งกลุ่มทำงานแก้โจทย์ก็งงเหมือนกันค่ะ เพราะเนื้อหาวิชานี้ยากมากแต่พอได้ร่วมคิดกับเพื่อนๆ กลับช่วยได้มาก ถึงแม้เราจะมีกลุ่มของเราเอง แต่การเดินไปถามแลกเปลี่ยนไอเดียกันกับเพื่อนต่างกลุ่มก็ยิ่งช่วยกันได้มากขึ้น เข้าใจหลายด้านขึ้น แล้วเราก็จะจดจำคำตอบที่ได้นานกว่าคำตอบที่ครูบอกง่ายๆ ค่ะ”

อย่าลืมเหลือพื้นที่ให้เด็กรักสันโดษบ้าง

นอกจากด้านบวกของการทำงานร่วมกันที่นักเรียนจะได้พัฒนาทักษะหลากหลายด้าน ประเด็นที่น่าสนใจหนึ่งซึ่ง เบกาห์ แลนด์แฟร์ (Bekah Landfair) อาจารย์ฝึกสอนนักเรียนชั้นเกรด 8 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐอินเดียนาสังเกตเห็นคือ ห้องเรียนที่กระตุ้นการทำงานเป็นกลุ่มเยอะเกินไปอาจไม่เหมาะกับนักเรียนที่มีนิสัยสันโดษหรือเก็บตัว (introvert students) เท่าไรนัก สิ่งที่สังคมและครูกำลังพยายามปลุกปั้นอาจกลายเป็นยัดเยียดให้พวกเขาตกไปอยู่ชายขอบได้

เบกาห์แนะว่าวิธีที่ช่วยให้นักเรียนลักษณะนี้สบายใจได้บ้างคือ เปิดโอกาสให้เลือกกลุ่มในการทำงานเอง เพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อทำงานกับคนที่ไว้วางใจ

การแบ่งหน้าที่ในกลุ่มอย่างชัดเจนจำเป็นต้องมีอยู่และต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนหน้าที่เพื่อไม่ให้นักเรียนที่กล้าแสดงออกกำหนดทิศทางการทำงานของกลุ่มมากเกินไปและทำแต่หน้าที่ซ้ำเดิม ลองแบ่งเวลาท้ายคลาส ให้พวกเขาได้ใช้ประเมินและฟีดแบคกันและกันอย่างเอื้อเฟื้อสร้างสรรค์ และท้ายที่สุดคือครูเองต้องอธิบายเป้าหมายของการทำงานร่วมกันให้ชัดเจน หมั่นสังเกตพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในห้องเรียน รวมทั้งแนะนำให้กำลังใจนักเรียนสม่ำเสมอด้วย

กล่าวได้ว่า เพื่อให้ระบบการศึกษาบรรลุจุดประสงค์ในการผลิตบุคลากรคุณภาพที่มีทักษะการเรียนรู้ และการอยู่ร่วมกันในสังคมไปสู่การพัฒนาโลกอย่างสันติสุขและยั่งยืน การตระเตรียมให้เยาวชนเรียนรู้การทำงานร่วมกันถือเป็นกลไกสำคัญที่ควรเกิดขึ้นด้วยการออกแบบ วางแผนอย่างรอบคอบ รวมถึงพัฒนาแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

นอกจากพวกเขาจะได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนและผู้อื่น คุณค่าของกฎกติกา มารยาทการอยู่ร่วมกันในสังคม อีกหลายแง่มุมจากการทำงานร่วมกัน ยังมีส่วนสร้างเสริมรากฐานคุณความดีในจิตใจ เช่น ความไว้วางใจ เห็นอกเห็นใจ เคารพซึ่งกันและกัน ใจกว้าง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงสร้างที่ยั่งยืนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคมอีกด้วย

เช่นเดียวกับทักษะอื่นที่ต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต สำหรับมุมมองของครูเคธีแล้ว เธอสรุปว่า

“กระบวนการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันนี่ไม่มีวันจบสิ้น เป็นเรื่องที่ครูและนักเรียนต้องพยายามไปด้วยกันอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะอย่างไรก็ตาม ทักษะเหล่านี้ก็จะค่อยๆ เพิ่มพูนมากขึ้นและอยู่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิตนั่นเอง”

อ้างอิง:
Introvert-Friendly Cooperative Learning
Setting Up Effective Group Work
Skills for Today. What We Know about Teaching and Assessing Collaboration
Teaching Group Work: Building Student Collaboration and Agency
The Future of Jobs
A Strategy for Effective Student Collaboration

Tags:

ครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน4Csทักษะการร่วมงานกับผู้อื่น(collaborative skill)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel