Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2018

ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21
Creative learning
21 September 2018

ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • เวทีแข่งขันทั่วไปมุ่งตัดสินความดีเลิศของเด็กในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะแจกรางวัลแล้วจบไป แต่เวทีนี้ไม่ทิ้งเด็กไว้กลางทางแต่จะโค้ชเด็กจนสุด  ให้ผลงานดีๆ หลายชิ้นพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงให้ได้
  • นอกจากความภูมิใจ สิ่งที่เด็กจะได้ตลอดทาง คือ อาวุุธต่างๆ ที่ติดตัวไป ทำให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งในอนาคต
  • นี่อาจจะเป็นโครงการสำหรับเด็กที่สนใจด้านไอที แต่เอาเข้าจริง ‘Intensive Course’ จากโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นี้ นำไปใช้ได้กับเด็กทุกสายได้จริงๆ

เราเคยเชื่อกันว่า เด็กไอคิวดีย่อมเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ นั่นคือความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายยุค แต่ถ้าเราลองถอยห่างออกมามองเด็กในฐานะของมนุษย์ องค์ประกอบของชีวิตนั้นมีอะไรมากมายกว่าแค่เรื่องของเนื้องาน แต่แวดล้อมไปด้วยเรื่องของพื้นที่ เวลา ความสัมพันธ์ของมนุษย์ แม้กระทั่งเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ล้วนต้องการความสามารถในการบริหารจัดการให้ลงตัว

ไอคิวจึงอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะช่วยให้เด็กอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้ ในศตวรรษปัจจุบันที่ทุกอย่างเชื่อมร้อยกันเป็นสหวิทยาการ เด็กเรียนเก่งแต่ไม่สามารถบริหารความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ ก็ยากที่จะอยู่รอด เด็กที่จัดเจนในสาขาวิชาที่ตนถนัด แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงผลงานกับโลกภายนอกได้ การจะอยู่ให้รอดก็ยาก

คำถามคือ แล้วคาแรคเตอร์แบบไหนที่จะทำให้เด็กอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้ในปัจจุบัน?

เพื่อหาคำตอบ…วันนี้ The Potential จึงขอชวนมาบุกค่าย โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ โครงการความร่วมมือระหว่างศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติหรือเนคเทค ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ที่แหวกกรอบโครงการประกวดไอทีเทคโนโลยีทั่วๆ ไปด้วยการไม่มุ่งตัดสินความผิด-ถูก ดี-ด้อย จากผลงานของเด็ก แต่ใช้ผลงานของเด็กเป็นทางผ่านเพื่อพัฒนาตัวเด็กให้เติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงและมีคาแรคเตอร์ที่จะอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 21

สร้างคาแรคเตอร์ให้เด็ก ผ่านการพัฒนาผลงาน

ท่ามกลางโครงการประกวดแข่งขันชิงรางวัลที่มีอยู่มากมายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งตัดสินความดีเลิศของเด็กในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะแจกรางวัลแล้วปิดโครงการ โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่เกิดขึ้นมาด้วยแนวคิดที่ต้องการสนับสนุนเยาวชนให้สานต่อผลงานประกวดไปสู่การนำไปใช้จริง ทั้งในระดับของการขยายผลเพื่อการกุศลและจำหน่ายเชิงพาณิชย์

กัลยา อุดมวิทิต

“กว่า 20 ปีที่ผ่านมาเนคเทคมีกิจกรรมการประกวดหลายรูปแบบ ซึ่งพวกเรามีคำถามมาตลอดว่า ประกวดเสร็จแล้วยังไงต่อ? แค่เด็กได้รางวัลแล้วจบหรือ? หลังจบการประกวดมันจะมีผลงานทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับรางวัล แต่เด็กยังมี passion หรือสิ่งที่อยากจะไปต่อ เนคเทค ธนาคารฯ และมูลนิธิฯ จึงคิดกันว่าเราไม่อยากให้เด็กจบแค่การประกวด ดังนั้นเราน่าจะทำโครงการต่อยอดหรือขยายผลจากการประกวดที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผลงานดีๆ หลายชิ้นพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงให้ได้” ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ เนคเทค เล่าถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบโครงการ

ทีมงานจึงออกแบบกระบวนการโครงการในรูปของการอบรมเชิงปฏิบัติการ เป็นค่ายที่ให้เด็กๆ เข้ามาร่วม มีวิทยากรมาให้ความรู้ เด็กๆ ได้นำผลงานตนเองมาฝึกปฏิบัติและพัฒนา มีทีมโค้ชคอยแนะนำเทคนิคและแนวทางการพัฒนาผลงาน และมีกรรมการคอยชี้แนะ ภายใต้เป้าหมายหลักคือ ให้เด็กๆ มีความรู้และทักษะในการพัฒนาผลงานไปสู่การใช้งานจริง ตลอดจนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในชีวิตจริง

“เรามุ่งพัฒนาเด็ก โดยยึดโปรเจ็คต์ของเด็กเป็นแก่นในกระบวนการทำงาน ขณะที่โปรเจ็คต์ขับเคลื่อนไป เด็กๆ ก็จะได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการทำงานนั้นๆ ไปโดยอัตโนมัติ” ดร.กัลยา กล่าว

สิรินทร อินทร์สวาท

“เรากำลังพัฒนาคนโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โครงการอื่นอย่าง start up เขามองที่ปลายทางของผลงานว่าจะต้องเวิร์คในเชิงธุรกิจ คือขายได้ แต่โครงการนี้เน้นกระบวนการพัฒนาตัวเด็ก เพราะเรามองว่าเด็กยังมีอนาคตอีกหลากหลาย ดังนั้นการสร้างเด็กต้องทำให้เขาสามารถต่อยอดชีวิตได้ดีขึ้น เป็น multiplier เป็นตัวคูณในอนาคตมากกว่าการมองว่าผลงานในวันนี้ต้องเสร็จ” สิรินทร อินทร์สวาท นักวิจัยนโยบาย ฝ่ายบริหารและสนับสนุนเทคโนโลยีฐาน เนคเทค เล่าถึงจุดประสงค์ของโครงการ

สิทธิชัย ชาติ

“นอกจากความรู้และทักษะในการพัฒนาผลงานแล้ว โครงการยังปลูกฝังทัศนคติและคุณลักษณะให้เด็กๆ ทำงานได้สำเร็จ และนึกถึงสังคมด้วย เช่น การรู้จักตนเอง การเข้าใจความแตกต่างภายในทีม การเห็นใจและอยากทำอะไรเพื่อผู้อื่น ผ่านกระบวนการเรียนรู้ในค่าย” สิทธิชัย ชาติ นักวิชาการ งานพัฒนาเยาวชนและเขตพื้นที่ด้านไอที ฝ่ายสนับสนุนการวิจัย เนคเทค และหัวหน้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ เสริม

และถึงวันนี้ที่โครงการดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 นอกจากผลงานมากมายหลายชิ้นที่ถูกพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงและจำหน่ายได้ สิ่งที่ทีมงานทุกคนได้ประจักษ์ก็คือ เด็กๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น มีคาแรคเตอร์ของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพียงเรื่องงาน แต่หมายรวมถึงชีวิต

และนี่คือ 10 คาแรคเตอร์ของเด็กโครงการต่อกล้าฯ ที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นคาแรคเตอร์ที่จะทำให้เด็กอยู่รอด และประสบความสำเร็จได้ในศตวรรษที่ 21

1. รู้ลึกและรู้รอบ

การจะพัฒนาผลงานไปสู่การใช้งานจริงได้นั้น อันดับแรก ตัวผลงานนั้นต้องมีคุณภาพและดีที่สุด ซึ่งการที่เด็กๆ จะสามารถพัฒนาผลงานไปถึงขั้นนั้นได้ จำเป็นต้องรู้ลึกในผลงานของตนเอง

“เด็กในโครงการมีคาแรคเตอร์แบบรู้ลึกค่ะ เพราะต้องปรับแก้ผลงานกันตลอด (หัวเราะ) ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ แม้จะคิดว่าทำมาสมบูรณ์แล้ว แต่ทีมโคชและกรรมการก็มองเห็นจุดที่พัฒนาต่อได้ และพยายามช่วยตั้งคำถามหรือกระตุ้นให้เขาเห็นมุมมองใหม่ในการปรับให้ดียิ่งขึ้นไปอีก จึงกลายเป็นว่าเด็กต้องรู้ลึกรู้จริง ไม่ได้รู้แค่ฉาบฉวย เด็กประกวดส่วนใหญ่จะรู้แค่เรื่องที่ทำประกวดและรู้เพราะว่าครูบอก แต่พอเด็กมาอยู่ค่ายกับเรา ครูช่วยอะไรมากไม่ได้ (ยิ้ม) ต้องช่วยเหลือตัวเอง มันเลยกลายเป็นทักษะที่เด็กต้องรู้ลึก ต้องค้น ต้องหา ต้องพยายามปรับปรุงงานของเขาทุกด้านให้ดีในทุกมุม” ดร.กัลยา เล่า

นอกจากการรู้ให้ลึกแล้ว การพัฒนาผลงานไปสู่การใช้งานจริงในสังคมได้นั้น ไอเดียเจ๋งหรือผลงานดีอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องประกอบรวมด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ อีกมาก ทั้งการออกแบบ การโฆษณา รวมไปถึงการตลาด

เพื่อส่งให้เด็กนำพาผลงานไปถึงจุดนั้นได้ ทีมงานจึงออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เด็กในรูปแบบค่าย 3 ระยะ และ 1 กิจกรรม ซึ่งรวมแล้วกินระยะเวลาร่วมปี ได้แก่

ค่ายแรก: เปิดรับเด็กจำนวน 30 ทีม ให้ความรู้เรื่องการพัฒนาผลงานบนฐานผู้ใช้จริง การบริหารจัดการโครงการ การทำการตลาด และการสร้างแบรนด์ให้ผลงานของตัวเอง โดยวันสุดท้ายจะให้เด็กนำเสนอแผนงานแก่คณะกรรมการ และทำการคัดเลือกเหลือ 15 ทีม

ค่ายที่ 2: ให้ความรู้เรื่อง User Interface (UI) และ User Experience (UX) ที่ว่าด้วยการออกแบบหน้าจอหรือรูปลักษณ์ของผลงานให้ตรงกับประสบการณ์ของผู้ใช้ พ่วงด้วยเรื่องการตลาด

ค่ายที่ 3: เปิดคลินิกให้คำแนะนำเด็กในการพัฒนาผลงาน พร้อมให้ความรู้เรื่องการประชาสัมพันธ์การตลาด และเรื่องสิทธิบัตร

หลังจากนี้ทีมโค้ชจะลงไปเยี่ยมเด็กๆ เพื่อโคชเป็นรายทีม แล้วต่อด้วย กิจกรรมนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ: เป็นการจัดงานออกบูธเผยแพร่ผลงานของเด็กๆ โดยเปิดให้ผู้สนใจและผู้ประกอบการจริงเข้ามาชมงาน เปิดโอกาสให้ผลงานของเด็กได้ต่อยอดสู่โลกธุรกิจต่อไป

เนื้อหาที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้จากค่ายทั้งหมด จะเป็นตัวช่วยพัฒนาให้มีคาแรคเตอร์แบบรู้รอบในขอบเขตของผลงานตนเองอีกทางหนึ่ง

ศิริพร ปานสวัสดิ์

“มันเหมือนกับการติดอาวุธให้เด็กค่ะ นอกจากเรื่องผลงานแล้ว ถ้าถามเรื่องตลาด เรื่อง PR หรือเรื่องผู้ใช้ เราเชื่อว่าเขาตอบได้ เพราะสิ่งที่เราให้ค่อนข้างรอบด้าน” ศิริพร ปานสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อาวุโส งานประชาสัมพันธ์ ฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศและประชาสัมพันธ์ เนคเทค สรุปความ

2. ใฝ่รู้

สืบเนื่องจากกระบวนการค่ายข้างต้น บวกด้วยกระบวนการให้คำแนะนำในการปรับปรุงผลงานจากทีมโคช ซึ่งหลายครั้งที่ขั้นตอนหรืออุปกรณ์ที่โคชแนะนำนั้น อยู่ในขั้นสูงเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ จึงจำเป็นต้องกลับไปค้นคว้าหาความรู้ จนหลายๆ คนเกิดคาแรคเตอร์ใฝ่รู้ไปโดยปริยาย

ศรินทร์ วัชรบุศราคำ

“น้องมัธยมที่มาทางสายอิเล็กทรอนิกส์ พอทีมโค้ชแนะนำว่าให้กลับไปปรับใช้อุปกรณ์ตัวนั้นตัวนี้ น้องก็จะมึนๆ (หัวเราะ) มันคืออะไรหรือพี่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างอุปกรณ์วัดค่าทางอุตสาหกรรมซึ่งพี่แนะนำของที่ดีที่สุดไป น้องก็กลับไปเสิร์ชว่าสิ่งที่พี่พูดมันคืออะไร มันทำอะไรได้ และผมต้องการถึงระดับนั้นไหม ถ้าไม่น้องก็จะกลับมาบอกว่า ผมแค่อยากวัดอุณหภูมิ ตัวนี้มันวัดได้ตั้งหลายตัว แพงไป เยอะไป เกินจากสิ่งที่ทำไป มันคือการใฝ่รู้และวิเคราะห์เอง รวมไปถึงการใฝ่รู้ในปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อย่างเช่นกลุ่มที่ทำเรื่องเกี่ยวกับอาหารหรือยา ก็จำเป็นต้องไปศึกษาการขอ อย. ค่ะ” ศรินทร์ วัชรบุศราคำ นักวิจัย ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีภาพ หน่วยวิจัยวิทยาการสื่อสารของมนุษย์และคอมพิวเตอร์ เนคเทค เล่าอย่างอารมณ์ดี

3. บริหารจัดการชีวิตได้

ด้วยระยะเวลาของกระบวนการค่ายที่ยาวเหยียด รวมทั้งยังมีการบ้านจากทีมโค้ชที่ต้องส่งตามกำหนดเวลา เด็กๆ ส่วนใหญ่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา การต้องพัฒนาผลงานในโครงการจึงไม่ต่างอะไรกับงานหนักที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ด้วยกระบวนการเช่นนี้สร้างทักษะการบริหารจัดการเวลาและชีวิตไปโดยอัตโนมัติ

“เนื่องจากค่ายเรามีถึง 3 ค่าย มีการนำเสนอไฟนอล และยังมีทีมโค้ชลงไปติดตามงานในพื้นที่อีก สำหรับเด็กที่ยังต้องอยู่ในโรงเรียนก็ถือว่าหนักนะคะ แต่สิ่งที่เขาได้ก็คือการฝึกจัดการตัวเอง เด็กๆ จะได้ทักษะการจัดการเวลา เวลามีจำกัด จะทำยังไงให้ทัน และอีกมุมหนึ่งคือ เงื่อนไขแบบนี้ก็ช่วยให้เด็กดึงศักยภาพที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ออกมาใช้ได้” ดร.กัลยา กล่าว

“เราจะให้เครื่องมือที่เป็นปฏิทินวางแผนงานไป ให้น้องไปแบ่งว่าใน 1 วัน 1 สัปดาห์จะทำอะไรบ้าง เพราะเราจะให้น้องกำหนดเป้าตลอด หนึ่งเดือนผ่านไปอะไรจะสำเร็จ พี่ๆ ลงไปติดตามจะได้เห็นอะไร คือถ้าไม่มีเป้าน้องจะเรื่อยเปื่อย แล้วมันจะไม่ได้อะไร น้องจะจัดการยังไงก็ขึ้นอยู่กับเขา มันคือการจัดการของเขา” ศรินทร์ อธิบาย

4. ช่ำชองกระบวนการวิทยาศาสตร์

เพราะโครงการต่อกล้าฯ คือค่ายของนักพัฒนาด้านนวัตกรรมและไอที ดังนั้นการที่น้องๆ ถูกฝึกฝนเรื่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องปกติ

“เราอัดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้น้องแน่นมากค่ะ น้องจะถูกย้ำเสมอให้ตั้งคำถาม วางแผน หาข้อมูล ลองทำ และปรับปรุง ขั้นตอนการทดลองจะดีไซน์ยังไง ทำซ้ำแล้วต้องได้ผลเหมือนเดิม เพราะมันคือความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเวลาน้องไปนำเสนองาน จะได้ไม่มีใครสงสัยเรื่องกระบวนการได้มาของผลงาน นี่คือกระบวนการที่น้องทุกคนจะได้ไปจากโครงการ” ศรินทร์ แจงเหตุผล

ถึงตรงนี้หลายคนอาจแย้งว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์คือปัจจัยสำคัญสำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่มันอาจไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป หรือเด็กๆ ในค่ายก็อาจไม่ได้คิดว่าโตไปจะเป็นนักวิทยาศาสตร์กันทั้งหมด

“น้องสามารถนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปทำโครงการอะไรในชีวิตได้มากมาย แม้แค่เรื่องจะปลูกต้นไม้หลังบ้านก็ตาม เขาก็ต้องวางแผนก่อน ศึกษาข้อมูลก่อน ทดลองทำกระถางเล็กแล้วค่อยปลูกจริง ทำจริงเสร็จก็ปรับปรุง มันจะช่วยวางระบบความคิดให้เป็นระเบียบและเห็นขั้นตอนไม่ว่าจะทำสิ่งใดๆ ในชีวิต ชีวิตเขาจะง่ายขึ้น ยกตัวอย่างน้องที่จบจากค่ายไป กลับมาบอกว่าเขาไปเสนอธีสิสแล้วผ่านง่ายมาก มันก็คือกระบวนการคิดแบบเดียวกัน” ศรินทร์ ยกตัวอย่าง

5. กล้านำเสนอ

ปัญหาหนึ่งของเด็กไอที รวมไปถึงเด็กในสายวิชาชีพอื่นๆ ก็คือหลายคนเก่ง แต่ไม่สามารถนำเสนอหรืออธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่สำหรับโครงการต่อกล้าฯ ด้วยกระบวนการที่เด็กต้องนำเสนอผลงานทั้งต่อกรรมการและทีมโค้ชตลอดระยะเวลาร่วมปี นั่นคือการฝึกให้เด็กกล้าแสดงออก และมีทักษะการนำเสนอที่ดี ถือเป็นคาแรคเตอร์สำคัญในการประกอบอาชีพหรือแม้กระทั่งประกอบธุรกิจในอนาคต

“น้องหลายคนที่เราเคยเจอตอนประกวดงานอื่นๆ ที่เขาไม่กล้าพูดเลย ถามอะไรก็ไม่ตอบ จนกระทั่งมาเข้าโครงการและอยู่กันไปจนสุดทาง เราพบว่าเขาเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งเลย จากเด็กที่ไม่กล้าคุยกับคนอื่น กลายเป็นคนพูดเก่ง ชวนคนอื่นคุยได้ นำเสนอผลงานได้ ขึ้นเวทีโต้ตอบกับกรรมการได้ ให้สัมภาษณ์ได้ ซึ่งเด็กที่เปลี่ยนได้แบบนี้มีเยอะมากในค่าย” ศิริพร เล่าอย่างมีความสุข

6. อดทน มีภูมิคุ้มกัน

ด้วยเนื้อหาความรู้จากค่ายที่มากมาย ภาระงานที่ต้องทำให้สำเร็จ บวกกับคำชี้แนะแฝงแรงกระตุ้นจากทั้งกรรมการและทีมโค้ช ทำให้แต่ละปีมีบ้างที่น้องๆ ต้องเสียน้ำตา

“ถ้าน้องจะเป็นผู้ประกอบการ น้องต้องเรียนทุกวิชาที่ค่ายสอนไปอีกอย่างน้อย 10 ปีถึงจะจบ แต่เราช่วยบีบอัดระยะเวลา 10 ปีนั้นให้เหลือแค่ไม่ถึงปี รวมถึงการนำเสนอต่อหน้ากรรมการร่วม 20 คน ถ้าใครไม่ได้มาเจอกับตัวเองจะไม่รู้เลยค่ะว่ามันกดดันมาก จึงไม่แปลกที่จะเห็นเด็กนำเสนอเสร็จแล้วออกไปร้องไห้นอกห้อง” ศิริพร เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดเป็นประจำทุกปี

แต่นั่นเองคือการจำลองโลกแห่งความจริงมาให้เด็กๆ ได้สัมผัส ให้เกิดภูมิคุ้มกัน อดทนต่อคำถาม คำวิจารณ์ หรือการปฏิเสธผลงานได้ และมากกว่านั้นคือการนำคำวิจารณ์กลับไปปรับปรุงและพัฒนาตัวเองและผลงานให้ดีขึ้น

“ในค่ายเด็กจะโดนทั้งหมัดฮุคหมัดแย็บนะคะ สิ่งที่เด็กได้คือความอดทน เด็กหลายคนอดทนกว่าก่อนมาค่ายเยอะมาก แรกๆ เด็กก็ของขึ้นเหมือนกันนะเวลาโดนกรรมการซัดไปหลายหมัด มีโมโห มีชักสีหน้าเล็กๆ ถอนหายใจ ส่ายหน้า แต่พอผ่านค่ายไปเรื่อยๆ เขาจะเริ่มเก็บอารมณ์เป็น ไม่โวยวายหรือร้องไห้ นั่นคืออีคิว” ศรินทร์ เล่าต่อ

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะอัดเด็กอย่างเดียวนะคะ พอภูมิคุ้มกันเด็กอ่อนแอเราก็จะมีหน่วยพยาบาลเข้าไปช่วยดูแล (ยิ้ม) ทั้งโคชทั้งพี่ TA จะเกาะไปกับเด็ก คอยคุยคอยให้กำลังใจคอยให้แนวทาง” ดร.กัลยา เสริม

“กว่าภูมิคุ้มกันจะเกิดได้ มันต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นและเราไม่ได้ฉีดเข็มเดียวแล้วจบ ใน 1 ปีที่เด็กอยู่กับเรา เราไม่ได้ปล่อยให้เขาต้องไปเผชิญปัญหาตามลำพัง เราให้โจทย์ไปแล้วเรียกกลับมา จากค่ายแรกสู่ค่ายสองสู่ค่ายสาม อยู่ด้วยกันไปจนจบโครงการ” ศิริพร เสริม

“รวมถึงช่วงลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาผลงานด้วย ทีมโค้ชที่ไป นอกจากจะไปช่วยตรวจเช็ค ตรวจสอบ ทดลองใช้ ปรับแก้ เราก็ไม่ทิ้งเรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันนะครับ เพราะเราจะไปเจอกับสภาพแวดล้อมการทำผลงานจริงที่น้องๆ อยู่ กับปัญหาที่มี มากบ้าง น้อยบ้าง ดังนั้น กำลังใจ และแรงใจจะเป็นตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันอีกทางครับ เราทำกันหลากหลายหน้าที่มากครับ” (หัวเราะ) สิทธิชัย เล่าอีกมุม

7. ใจสู้

การเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ทิ้งไม่ได้ ไหนจะวิชาความรู้ต่างๆ ในค่ายที่ต้องเรียนรู้ และไหนจะต้องพัฒนาปรับปรุงผลงานตามการบ้านที่ทีมโค้ชให้ น้องๆ จึงถูกปลูกฝังเรื่องความใจสู้ไปโดยปริยาย

“คาแรคเตอร์หนึ่งที่เห็นชัดมากคือ เด็กสู้สิ่งยาก ด้วยเงื่อนไขของโครงการที่เด็กต้องมีความรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลาด ผู้ใช้ และไหนจะเงื่อนไขของตัวเด็กเอง ทั้งเรื่องเรียนเรื่องส่วนตัว แต่เด็กต้องผ่านมันไปให้ได้ เงื่อนไขเหล่านี้มันทำให้เด็กพยายาม สู้สิ่งยาก ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่หาได้ยากในเด็กสมัยใหม่” สิรินทร อธิบาย

“พวกเราจะท้าทายน้องตลอดเวลา ให้ปรับปรุงพัฒนาผลงานต่อไปอีก ทำมาแบบนี้หรือ…ต้องทำได้อีกๆๆๆ อย่างมาค่าย ให้โจทย์ไปตอนกลางคืน รุ่งเช้าน้องก็ทำงานมาส่งได้ เห็นได้ชัดว่าน้องพยายามที่จะ fighting สู้! และ finding ค้นหาแล้วมาตอบเราได้” ศิริพร กล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวเด็กๆ

8. ยอมรับความต่าง & รู้จักทำงานเป็นทีม

เพราะไม่มีใครที่รู้ไปหมดทุกเรื่อง การพัฒนานวัตกรรมจึงต้องอาศัยทีมเวิร์คที่มีความหลากหลาย ซึ่งการทำงานเป็นทีมนี่เองที่เด็กๆ ได้สัมผัสจากโครงการอย่างเต็มที่ ด้วยขอบเขตของงานที่มุ่งเป้าไปสู่การใช้งานจริง เทคนิคทางเขียนโปรแกรมหรือการสร้างกลไกทางช่างจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องผสมผสานศาสตร์ของการออกแบบ การเก็บบันทึกข้อมูล การประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ ที่จำเป็นอีกมากมาย

ประสบการณ์นี้สอนให้เด็กๆ รู้จักการฟอร์มทีมที่มีความหลากหลายขึ้นมา หลายทีมต้องปรับทีมกันกลางโครงการ ด้วยการดึงเพื่อนที่มีความสามารถในด้านที่ทีมขาดอยู่เข้ามาร่วมแรงร่วมใจกัน นี่เองคือการฝึกการทำงานแบบทีมเวิร์คไปในตัว

“คาแรคเตอร์ปกติของเด็กเก่งคือฉันอยากทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ คือคนเก่งส่วนใหญ่จะชอบทำงานคนเดียว แต่พอมาอยู่ในค่ายเขาเริ่มรู้ว่ามันทำไม่ได้หรอก การเอาคนอื่นเข้ามาช่วยด้วยมันทำให้พลังเขาเยอะขึ้น ซึ่งโครงการปีหลังๆ มานี้เราเริ่มเห็นปรากฏการณ์ของน้องหลายๆ ทีม คือ แต่ละทีมมีขนาดใหญ่ขึ้น และสมาชิกในทีมมีความถนัดที่แตกต่างกัน มีการทำงานร่วมกัน รู้จักแบ่งงาน แสดงว่าน้องเข้าใจแล้วว่าในทีมต้องมีการผสมผสาน มีความถนัดที่หลากหลาย หลายทีมยอมไปหาเด็กที่วาดรูปเก่งมาเข้าทีม จากที่แต่เดิมเด็กคำนวณจะไม่คุยกับสายศิลปะ แต่เขายอมเพราะเห็นได้ว่าพอรวมกันแล้วการทำงานมันดีขึ้น” สิรินทร แบ่งปันประสบการณ์

9. รู้จักสร้างเครือข่าย

สืบเนื่องจากการทำงานเป็นทีมข้างต้น สำหรับเด็กๆ บางกลุ่มที่ยังขาดทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาผลงาน แต่ไม่มีการปรับทีมหรือดึงเพื่อนมาช่วย ทีมโคช รวมถึงพี่ TA (Teacher Assistant) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในโครงการรุ่นก่อนๆ จะช่วยเชื่อมเครือข่ายให้ ด้วยการดึงเด็กจากทีมอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทีมดังกล่าวขาด มาช่วยแนะนำและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองระหว่างเด็ก

“ช่วงต้นโครงการเด็กจะอยู่เป็นกลุ่มก้อนของตัวเอง ทีมโค้ชซึ่งจะรู้ความเป็นมาของทุกทีมจะเห็นแล้วว่า ถ้าทีมนี้ได้สมาชิกหนึ่งจากทีมนั้นมาช่วยแนะนำมันจะทำให้ผลงานเขาเร็วขึ้น เราจึงพยายามทำให้เด็กๆ ต่างทีมมีโอกาสได้คุยหรือแชร์กัน ตรงนี้ไม่รู้หรือ…ไปเรียกน้องทีมนั้นมาถามสิ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กไม่หวงความรู้ ระหว่างที่คุณไปสอนเขาคุณแบ่งปัน และคุณก็ได้ความรู้หรือมุมมองใหม่ๆ กลับมาด้วย ต่างคนต่างก็ได้ประโยชน์เพราะได้คุยกัน” ศรินทร์ เล่าบรรยากาศ

“มันจึงเกิดเป็นเครือข่ายของเด็กๆ นอกจากเครือข่ายในโรงเรียน เขาก็ได้ทำงานร่วมกับทีมจากโรงเรียนอื่น เราเห็นเด็กกล้าที่จะขยับขยายตัวเองออกไปเป็นเครือข่ายมากขึ้น” สิรินทร เสริม

และไม่เพียงเครือข่ายระหว่างเพื่อนรุ่นเดียวกันเท่านั้น แต่ทีมงานยังพยายามสร้างเครือข่ายในแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ที่จะคอยช่วยเหลือกันนับแต่ในค่าย ไปจนกระทั่งจบค่าย ออกสู่โลกภายนอก

“ความเป็นเครือข่ายคือสิ่งที่เราอยากเห็นมื่อเด็กจบจากเราไปแล้ว เพื่อนๆ หรือรุ่นพี่ หรือแม้กระทั่งโค้ชเอง ก็ยังเป็นเครือข่ายที่สามารถเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ ให้เด็กตระหนักว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ เขามีเพื่อนมีโคชมีทีมงานที่จะสนับสนุนกันและกันอยู่ และเครือข่ายนี้ก็อาจจะช่วยกันสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้แก่สังคมได้” ดร.กัลยา ยิ้มท้ายประโยค

10. เป็นคนเก่งและเป็นตัวคูณให้สังคม

ด้วยการอัดแน่นวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ และด้วยกระบวนการค่ายที่ฝึกเด็กให้มีประสบการณ์ในการทำงานจริงอย่างเข้มข้น ทำให้เด็กโครงการต่อกล้าฯ ‘พร้อม’ กว่าเด็กคนอื่นๆ ในโลกของการแข่งขัน

“กระบวนการทั้งหมดในโครงการคือประสบการณ์ที่จะติดตัวไป เราไม่ได้โฟกัสแค่ผลงานในวันนี้ของน้อง แต่เราคาดหวังกับผลงานชิ้นที่ 2 ชิ้นที่ 3 หรือชิ้นต่อๆ ไปหลังออกจากโครงการไปแล้ว เชื่อมั่นได้เลยว่ามาตรฐานของเขาอยู่ในระดับสูงแน่นอน” ศรินทร์ กล่าวอย่างมั่นใจ

“คุณสมบัติหรือคาแรคเตอร์ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเด็กเอง เราไม่ได้สอนหรือสั่งว่าคุณต้องมีคุณสมบัติแบบนี้ แต่มันเกิดจากการที่เด็กได้ไปดำเนินการเอง ไปลงมือทำเอง ไปเจอความบีบคั้นเอง เขากำลังสร้างตัวเขาด้วยตัวเขาเอง” ดร.กัลยา เสริม

ซึ่งจะดีมากหากเราสามารถพัฒนาน้องๆ เหล่านี้ให้เป็นวิทยากรตัวคูณให้แก่สังคมภายนอกได้อีกต่อหนึ่ง

“เราหวังว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นเด็กคุณภาพ และเป็นตัวคูณในการสร้าง ขยาย หรือส่งต่อสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ให้เพื่อน ให้รุ่นน้อง หรือเขาโตไป ก็ส่งต่อให้ลูกเขา หรือคนในสังคมได้ และถ้ามีตัวคูณแบบนี้เยอะๆ ประเทศไทยน่าจะดีขึ้น” ความคาดหวังของ ดร.กัลยา

สร้างเด็กแบบต่อกล้า (เคล็ดไม่ลับฉบับทีมโค้ช)

การสร้างเด็กผ่านกระบวนการค่ายนั้น ฟันเฟืองที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ ก็คือ ทีมโค้ช ซึ่งวันนี้โค้ชทั้ง 4 พร้อมจะเผยเคล็ดไม่ลับในการสร้างค่าย เพื่อสร้างคนให้มีคาแรคเตอร์ของการที่จะประสบความสำเร็จแบบต่อกล้าฯ มีเคล็ดลับอะไรกันบ้าง ไปลองดูกัน…

1. ไม่ฆ่าเด็ก

ธรรมชาติอย่างหนึ่งของการประกวดที่เราพบเห็นได้บ่อยก็คือ กรรมการหรือทีมผู้ตัดสินมักวิจารณ์ผลงานแบบฆ่าเด็ก

“การประกวดอื่นที่เราไม่ชอบคือ กรรมการมาเห็นเด็กทีเดียวแล้วฟัน ใช้เวลาแค่ 10-15 นาทีในการตัดสินเด็ก ทั้งๆ ที่เบื้องหลังเด็กทำงานมานานมาก แต่โครงการต่อกล้าฯ มีกระบวนการในการพัฒนาผลงาน ซึ่งช่วยเด็กได้เยอะ ถูกผิดเราได้ชี้ได้บอก มีเวลาเป็นชั่วโมงๆ ให้คุยกัน” ศรินทร์ แจกแจง

“เพราะฉะนั้นกรรมการและโคชทุกคนจะได้รับการคุยทุกครั้งก่อนจะเริ่มกระบวนการ เราจะย้ำกันเองตลอดเวลาว่า เราไม่ได้มาฆ่าเด็กนะ (หัวเราะ) เรามาพัฒนาเด็ก กรรมการที่อื่นเขาจะแค่มาฟัน มาตบ แต่เรามาสอนเด็ก ตรงไหนที่พัฒนาเขาได้เราจะคุยกับเขาตรงส่วนนั้น และไม่ใช่ทุกอย่างต้องไปจากเรา บางทีมุมมองของเด็กก็ดีกว่าของเรา ทำให้เราเรียนรู้ว่าเวลาเราจะวิจารณ์ผลงาน เราต้องเปิดช่องว่างให้เด็กศึกษาเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะมันอาจจะมีทางออกอื่นด้วย มันจึงกลายเป็นการที่เราเรียนรู้ไปด้วยกัน เด็กพัฒนาและเราก็ได้พัฒนาตัวเองในฐานะโคชไปด้วย” สิรินทร เล่า

“และทีมโค้ชเองจะพยายามบอกกันเสมอ ย้ำกันตลอด ว่า นี่คือผลงานของเยาวชน ไม่ใช่ผลงานของนักวิจัย หรือนักธุรกิจ มันจะนำหลักเกณฑ์ที่เท่ากันมาใช้พิจารณาหรือตัดสินไม่ได้ เราต้องพยายามหาวิธีและแนวทางที่พอเหมาะพอควรกับผลงานของเด็กในโครงการของเรา มันจึงจะเหมาะสมกว่า” สิทธิชัย กล่าวเสริม

2. เป็นเพื่อนกับเด็ก

โครงการประกวดอื่นๆ นั้นกรรมการก็คือกรรมการ โคชก็คือโคช เด็กก็คือเด็ก สถานะของแต่ละฝ่ายชัดเจนและมักไม่ยืดหยุ่น แต่สำหรับโครงการต่อกล้าฯ กรรมการและทีมโคชพยายามที่จะลดช่องว่างความห่างของวัยและสถานะ ให้เหลือเป็นเพียงเครือข่ายพี่น้องระหว่างกัน

ซึ่งนอกจากการทำตนเป็นที่พึ่ง อีกกลไกหนึ่งที่ทีมงานสร้างขึ้นมาในช่วง 2 ปีหลังก็คือ การให้รุ่นพี่ TA เข้ามาเป็นตัวเชื่อมระหว่างเด็กกับโคช หรือเด็กกับกรรมการ

“สองปีมานี้เราเริ่มมีตัวเชื่อมค่ะ เพราะการสื่อสารระหว่างโคชกับเด็ก อย่างไรก็ยังมีช่องว่างอยู่ เราจึงเอารุ่นพี่ที่ผ่านค่ายมาแล้วมาเป็นตัวเชื่อมประสานอีกต่อหนึ่ง เขาวัยไล่เลี่ยกัน พอวัยใกล้กันน้องก็ไว้ใจ กล้าถามกล้าปรึกษาพี่ บางอย่างที่พี่เองตอบไม่ได้ก็มาถามโคช เวลามีกิจกรรมพี่ก็ลงไปเล่นกับน้องด้วย มันจึงมีความสนิทกัน และน่าจะเติบโตไปเป็นเครือข่ายรุ่นพี่รุ่นน้องที่ช่วยเกื้อกูลกันต่อไปได้” ดร.กัลยา อธิบายกลยุทธ์ของค่าย

3. เป็นเชฟความรู้ให้เด็ก

เพราะเด็กยังไม่มีประสบการณ์มากมาย และความรู้ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็มาจากในโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ยังเชื่อมต่อไม่ติดกับความรู้ในวิชาชีพจริง

การถ่ายทอดความรู้ให้เด็กจึงไม่สามารถยกความรู้เฉพาะเชิงวิชาชีพมาแบบดิบๆ ได้ หรือแม้แต่การยกตัวอย่างเนื้อหาข้ามสายวิชาชีพ เด็กจากสายหนึ่งก็ย่อมเข้าไม่ถึงอีกสายหนึ่ง

ดังนั้น นอกจากทีมโค้ชจะต้องพัฒนาตัวเองในการ ขวนขวายความรู้ เพื่อมาถ่ายทอดให้เด็ก แล้วก็ยังต้อง เลือก เนื้อหาที่เหมาะสมกับตัวเด็ก และ ย่อย เนื้อหาจากที่ยากให้ง่ายขึ้นด้วย

“ส่วนตัวไม่ได้มีความรู้ด้านการตลาด แต่ต้องมาสอนการตลาด (หัวเราะ) เคยถามทีมงานแล้วว่า หาวิทยากรด้านนี้มาสอนได้ไหม ซึ่งโครงการเคยลองแล้ว แต่เนื้อหาจากวิทยากรนั้นสูงเกินไป น้องเอื้อมไม่ถึง ฟังแล้วไม่เข้าใจ มันจึงกลายเป็นหน้าที่ของเราในการต้องไปลงเรียนการตลาดเพิ่มเอง เลือกเรื่องที่จะสอน ถ้าไกลตัวเด็กไปเด็กก็งง ไปไม่ถูก แล้วที่สอนต้องไม่ซับซ้อน คือต้องย่อยให้มันง่าย” ศรินทร์ ยกตัวอย่างจากกรณีของตนเอง

“การสรรหาวิทยากรในแต่ละหัวข้อก็สำคัญไม่น้อย เพราะในแต่ละเรื่องที่สอนในค่าย น้องๆ ไม่เคยได้เรียนในห้องเรียน บางเรื่องยาก รายละเอียดเยอะ แต่ต้องสอนภายในไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้นการทำให้เรื่องที่ไม่เคยเรียนและยากนั้นน่าสนใจ ดึงความสนใจเด็กไว้ได้ วิทยากรจึงต้องสอดแทรกกิจกรรมและแบบทดสอบ แบบทดลอง ให้ได้ลองทำจริงตลอดการสอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากของวิทยากรแต่ละคน” สิทธิชัย เล่าถึงโจทย์หลักที่วิทยากรแต่ละคนต้องเจอ

4. สร้างบรรยากาศเชิงบวก

บรรยากาศนั้นสำคัญมากในการเรียนรู้ไม่ว่าสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ ยิ่งโดยเฉพาะค่ายของเด็กโครงการประกวด การสร้างบรรยากาศเชิงบวกหรือพื้นที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทีมงานโครงการต่อกล้าฯ พยายามทำให้เกิดขึ้นตลอดมา ทั้งในแง่ของการไม่ตัดสินเด็ก สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หรือการวางสถานะตัวเองเป็นเพื่อนกับเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด

“เราพยายามสร้าง Positive Environment หรือบรรยากาศเชิงบวกในค่ายค่ะ ทั้งสภาพของค่าย การฝึกวิธีการคิดเชิงบวกให้น้อง รวมถึงกระบวนการที่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมของการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ในค่ายเด็กทุกคนมีสิทธิที่จะคิด จะถาม จะคุย หรือนำเสนออะไรใหม่ๆ แปลกๆ ได้ โดยไม่ถูกมองว่าเป็นเด็กดื้อหรือแปลกแยก หรือแม้การวิจารณ์ผลงานน้อง คอมเมนต์จากกรรมการหรือทีมโคชจะบอกน้องตลอดว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่เรื่องแย่หรือเลวร้าย ซึ่งมันจะสร้างพลังบวกให้เด็กได้ดีมากๆ” สิรินทร เล่า

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพื่อสร้างเด็กให้มีคาแรคเตอร์ของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ อยู่รอดอย่างมีความสุข และต่อยอดไปสู่การสร้างสังคมที่ดีต่อไปในอนาคต

“เรารู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำค่ะ เด็กหลายคนประสบความสำเร็จ หลายคนเป็นเด็กที่มีความพิเศษ ไม่เหมือนคนอื่น การมาเข้าค่ายเราเห็นเลยว่าเขาเปลี่ยนมุมมองชีวิต จากที่เคยเป็นปมด้อยของเพื่อนที่โรงเรียน พอมาเข้าค่ายนี้เขาหาตัวเองเจอ และเอาจุดที่เป็นจุดเด่น ทั้งๆ ที่คนอื่นมองว่าจุดเด่นของเขาคือจุดด้อยด้วยซ้ำ มาสร้างเป็นแรงหมุนทำให้เขาค้นพบตัวเอง ไปทำผลงานจนเป็นที่ยอมรับ ชิ้นงานเขาถูกเอาไปใช้จริงในชุมชน นี่เป็นสิ่งที่เราภูมิใจมากๆ

“นั่นคือเป้าหมายปลายทางที่เราพูดกัน คือเด็กสามารถประยุกต์ใช้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากกระบวนการตลอดโครงการเรา ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิดเชิงตรรกะ การมองในมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน ใฝ่เรียนรู้ รู้จักบริหารจัดการ อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ นี่คือคุณสมบัติของคนศตวรรษที่ 21 กระบวนการเหล่านี้มันฝังอยู่ในตัวเขา สิ่งเหล่านี้เขาควรจะต้องติดตัวไปใช้ไม่ว่าเรียน ทำงาน สร้างอาชีพ แม้กระทั่งนำไปใช้ในครอบครัวเขาเอง อยู่บ้านก็เป็นสุข ทำงานก็ได้ผล นั่นคือปลายทางที่เราอยากเห็นค่ะ” ดร.กัลยา ทิ้งท้าย

หมายเหตุ :  ชมผลงานของเยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ที่พัฒนาสู่ผู้ใช้งานได้จริง ที่งานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2561 วันที่ 25 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.nectec.or.th

Tags:

21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมNECTECโคชคาแรกเตอร์(character building)Disruption

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Character buildingCreative learning
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    ธิปภร ธนกุลวรภาส: เป็นโค้ชนวัตกรต้องให้คำปรึกษาไม่ใช่สั่งสอน PASSION ต้องมาก่อน PRODUCT

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น
How to get along with teenager
21 September 2018

อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • วัยรุ่นใช้อินสตาแกรม – Instagram เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือที่ประทับใจ แบ่งปันช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว สร้างชุมชนสนับสนุน และพบกับคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในความสนใจของพวกเขา
  • วิธีใช้ Instagram คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็ก แต่พ่อแม่ต้องมั่นใจว่า เมื่อลูกเจอปัญหา หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาจะจัดการกับมันได้
  • Instagram ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต บางคนใช้เวลาอยู่กับ Instagram เพื่อทำให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าสนใจ แต่ความเป็นจริงทุกคนต่างมีเรื่องน่าเบื่อ น่าเศร้า เพียงแต่ว่าเขาไม่โพสต์ลง Instagram เท่านั้นเอง

จากงานสำรวจของ Common Sense Media องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกาที่ทำงานด้านการศึกษาและครอบครัวระบุว่า Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นมากที่สุดเป็นอันดับสอง ร้อยละ 61 ของวัยรุ่นสหรัฐบอกว่าใช้แอพพลิเคชั่นนี้ และร้อยละ 22 บอกว่าใช้เป็นแอพพลิเคชั่นหลักในการสื่อสาร

Instagram เป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้กว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก มีไว้สำหรับแชร์รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ รวมถึง Instagram Stories, Live, IGTV (สำหรับแชร์วิดีโอที่ยาวขึ้น) วัยรุ่นใช้ Instagram เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือที่ประทับใจ แบ่งปันช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว สร้างชุมชนสนับสนุน และพบกับคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในความสนใจของพวกเขา

สำหรับวิธีใช้ Instagram คงไม่ต้องสอนเด็ก เพราะเด็กอาจจะใช้ได้เร็วและคล่องกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องมั่นใจว่า เมื่อลูกเจอปัญหา หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาจะจัดการกับมันได้

โพสต์ Instagram ง่ายนิดเดียว

วิธีโพสต์ Instagram มีไม่กี่ขั้นตอน เพียงถ่ายภาพหรือวิดีโอที่มีความยาวไม่เกิน 60 วินาที ปรับแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่ทำให้ภาพหรือวิดีโอสวยงามตามความต้องการ จากนั้นให้คลิกถัดไปเพื่อเพิ่มคำอธิบายภาพ เช็คอิน แท็กคนในรูปภาพ และเลือกวิธีการที่ต้องการแชร์เพิ่มเติม เช่น แชร์ไปยัง E-mail Facebook Twitter หรือ Tumblr นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Instagram เพื่อเผยแพร่ภาพสด (Live) ได้อีกด้วย

การแชร์ภาพหรือวิดีโอบน Instagram มี 4 แบบ

แบบส่วนตัว คือโพสต์โดยจำกัดผู้เข้าชม ต้องเป็นบัญชีที่กดติดตามเรา (โดยผู้ใช้อนุญาตให้ติดตาม) เท่านั้น

แบบสาธารณะ คือการโพสต์ที่สามารถให้ใครก็ได้รับชมภาพหรือวิดีโอที่โพสต์ไป จะเป็นคนที่มากดติดตามหรือไม่ติดตามก็เห็นโพสต์นั้นเช่นกัน

Instagram Direct คือการส่งข้อความ ผู้ใช้มีตัวเลือกในการแชร์รูปภาพเฉพาะกับคนกลุ่มหนึ่ง (ไม่เกิน 15 คน) ไม่ว่าต่างฝ่ายจะติดตามกันหรือไม่

Instagram Stories คือการแชร์เรื่องราว ซึ่งผู้ติดตามของคุณสามารถดูโพสต์หรือวิดีโอนั้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่แชร์ไปแล้ว

หากบุตรหลานกำลังใช้ Instagram การถามพวกเขาเกี่ยวกับวิธีการทำงานของไอจีจะเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้พ่อแม่ได้รู้จักเขามากขึ้น เด็กๆ จะรู้สึกภูมิใจและเต็มใจที่จะสอนการใช้แอพพลิเคชั่นโปรดของเขา ยิ่งกว่านั้นยังช่วยให้รู้ว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับเพื่อนๆ บนสื่อสังคมออนไลน์

รับผิดชอบกับสิ่งที่โพสต์

การติดตามใน Instagram ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกันทั้งสองฝ่ายเหมือน Facebook ผู้ใช้สามารถติดตามใครก็ได้ โดยไม่จำเป็นว่าอีกฝ่ายจะต้องติดตามกลับ ในทางกลับกับเมื่อมีคนมาติดตามเรา เราก็ไม่จะเป็นต้องติดตามกลับก็ได้ ผู้ใช้ที่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสามารถเลือกได้ว่าใครสามารถมาติดตามได้ แต่ถ้าไม่ได้ตั้งค่า ทุกคนก็สามารถเข้ามาดูสิ่งที่โพสต์ได้

ควบคุมความเป็นส่วนบุคคล การตั้งค่าเริ่มต้นของ Instagram รูปภาพและวิดีโอที่แชร์ จะสามารถรับชมได้ทุกคน (ยกเว้นกรณีที่คุณแชร์รูปภาพผ่านข้อความ) แต่คุณสามารถทำให้บัญชีเป็นแบบส่วนตัวได้ ฉะนั้นเวลาที่ใครจะมากดขอติดตาม คุณสามารถอนุญาตหรือยกเลยคำขอติดตามนั้นได้ ในกรณีส่วนใหญ่เราขอแนะนำให้เยาวชนสร้างบัญชีของตนเป็นแบบส่วนตัว

หากต้องการทำให้บัญชีเป็นแบบส่วนตัว ให้แตะปุ่มโปรไฟล์ (ไอคอนของบุคคลด้านล่างขวาและปุ่มตัวเลือกใน iOS หรือ 3 จุดในแนวตั้งใน Android) เลื่อนลงไปที่ความเป็นส่วนตัวของบัญชีผู้ใช้ จากนั้นเลื่อนแถบไปทางขวา แถบเลื่อนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และบัญชีของคุณจะกลายเป็นแบบส่วนตัว

ถ้าวัยรุ่นมีบัญชีสาธารณะอยู่แล้ว พวกเขาสามารถเปลี่ยนเป็นส่วนตัวได้ตลอดเวลา ในทางกลับกันก็สามารถเปลี่ยนจากส่วนตัวเป็นสาธารณะได้ สามารถลบผู้ติดตาม เลือกผู้ที่สามารถแสดงความคิดเห็น และยังสามารถปิดสถานะการแสดงกิจกรรมเพื่อให้เพื่อนๆ ไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อออนไลน์

ไม่มีความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ แม้โพสต์ของคุณจะเป็นแบบส่วนตัว แต่โปรไฟล์ของคุณจะเป็นแบบสาธารณะ (ทุกคนสามารถดูรูปโปรไฟล์ ชื่อผู้ใช้ และประวัติส่วนตัวของคุณได้) คุณสามารถเพิ่มข้อความได้ 10 บรรทัดเกี่ยวกับเจ้าของบัญชี พ่อแม่และเด็กๆ อาจพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะใส่ลงไปในนั้นว่าเหมาะสมหรือไม่

เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ถ้ามีคนอื่นอยู่ในรูปที่คุณโพสต์ให้ตรวจสอบว่าบุคคลนั้นยินยอมให้แชร์หรือติดแท็กไว้ในภาพนั้น

โพสต์ของคุณมีผลกระทบ ลองนึกถึงว่าสื่อที่คุณโพสต์ส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร บางครั้งเพื่อนที่ไม่อยู่ในภาพหรือวิดีโออาจได้รับความไม่สบายใจ เพราะรู้สึกแปลกแยก

คิดดีๆ ก่อนเช็คอิน ผู้ปกครองควรแนะนำให้เด็กหลีกเลี่ยงการเช็คอินเมื่ออัพโหลดรูปภาพหรือวิดีโอ ไม่ให้เพิ่มตำแหน่งในโพสต์หรือใช้แฮชแท็กที่เปิดเผยตำแหน่งของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ Instagram จับตำแหน่งของผู้โพสต์ได้

สำเนียงส่อภาษา รูปที่อัพส่อตัวเอง

สิ่งที่โพสต์แสดงถึงตัวคุณ สิ่งที่คุณแชร์หรือโพสต์ในปัจจุบัน จะยังคงเป็นตัวบ่งบอกคุณในอนาคตได้ เพราะบางครั้งเนื้อหาที่โพสต์สงในโลกออนไลน์อาจไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก ทางที่ดีคือคิดให้ดีว่าสิ่งที่คุณโพสต์จะส่งผลกระทบหลังจากนั้นอีกหรือไม่ หากมันจะทำให้คุณไม่ได้งาน ทำลายความสัมพันธ์ หรือทำให้คุณยายของคุณไม่พอใจ พิจารณาได้เลยว่าไม่ควรโพสต์ หากภายหลังคุณตัดสินใจว่าไม่เหมาะสมให้ลบทิ้ง วัยรุ่นจำนวนมากใช้เวลาอ่าน (และลบ) ข้อความที่เคยโพสต์เมื่อถึงเวลาที่จะสมัครเรียนวิทยาลัยหรือทำงาน

พิจารณารูปทั้งหมด สิ่งที่อยู่เบื้องหลังภาพหรือวิดีโออาจบ่งชี้ว่าสถานที่ถ่าย หรือสิ่งที่คนในภาพกำลังทำอยู่ในขณะนั้นเป็นข้อมูลที่คุณต้องการถ่ายทอดหรือไม่

สื่อของคุณสามารถแสดงได้ทุกที่ วิดีโอ Instagram สามารถฝังลงในเว็บไซต์อื่นๆ สามารถคัดลอกและส่งให้คนอื่นได้ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะจำกัดผู้ชมไว้ก็ควรระวังอย่าแชร์สิ่งที่อาจเป็นปัญหาหากมีคนนำไปเผยแพร่ต่อ

ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและอย่าแชร์รหัสผ่าน การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณสามารถควบคุมวิธีที่คุณแสดงในโซเชียลมีเดียได้ เนื่องจากคนอื่นจะไม่สามารถใช้รหัสผ่านของคุณเพื่อแอบอ้างเป็นตัวคุณ ใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันกับแอพพลิเคชั่นอื่นๆ

Instagram ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต โปรดจำไว้ว่า Instagram มักเป็นไฮไลท์ของชีวิตของใครบางคน ผู้ใช้ Instagram บางคนใช้เวลาอยู่กับ Instagram เพื่อทำให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าสนใจ เราไม่ได้แนะนำว่าคุณไม่ควร ‘ดูดี’ ในโลกออนไลน์หรือโพสต์สิ่งที่น่าสนใจในชีวิตของคุณ แต่อย่าพยายามเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น และจำไว้เสมอว่า ไม่มีใครที่มีชีวิตดีตลอด ทุกคนต่างมีเรื่องน่าเบื่อ น่าเศร้า เพียงแต่ว่าเขาไม่โพสต์ลง Instagram เท่านั้นเอง

จะทำอย่างไรถ้าถูกก่อกวนใน Instagram

บล็อกคนถ้าจำเป็น หากมีใครข่มขู่คุณเช่นติดแท็กคุณในรูปภาพที่คุณไม่ชอบหรือส่งข้อความโดยตรงจำนวนมาก คุณสามารถบล็อกพวกเขาเพื่อไม่ให้ติดแท็ก ติดต่อคุณโดยตรง หรือพูดถึงคุณในความคิดเห็น นอกจากนี้ยังจะไม่สามารถดูโปรไฟล์ของคุณหรือค้นหาบัญชีของคุณได้ หากต้องการบล็อกผู้ใช้ให้ไปที่โปรไฟล์ของบุคคลนั้นแตะที่จุดสามจุดที่ด้านบนขวาและเลือกปิดกั้น เมื่อคุณบล็อกบัญชีบุคคลนั้นจะไม่ได้รับแจ้งและคุณสามารถเลิกบล็อกบัญชีได้ตลอดเวลา

รายงานความไม่เหมาะสม คุณสามารถรายงานภาพถ่าย วิดีโอ เรื่องราว หรือความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสมของผู้ใช้รายอื่นได้ เพียงคลิกที่จุดสามจุดถัดจากชื่อผู้ใช้จากนั้นคลิกรายงาน

สามารถยกเลิกการแท็กได้ ถ้ามีคนแท็กคุณในรูปที่เขาโพสต์ คุณสามารถเอาแท็กนั้นออกได้ โดยการกดค้างแท็กของเราบนรูป จากนั้นก็เลือก ลบแท็ก

ทำไมวัยรุ่นบางคนจึงมีมากกว่าหนึ่งบัญชี

มีคำสองคำที่เด็กวัยรุ่นยุคนี้รู้จักกันดีคือ ‘Rinsta’ และ ‘Finsta’ ซึ่ง Rinsta ย่อมาจาก ‘real Instagram account’ ที่แปลว่า Instagram จริง ส่วน F ใน ‘Finsta’ ย่อมาจาก ‘fake’ ที่แปลว่าของปลอม

สำหรับวัยรุ่นที่มีทั้งสองประเภทบัญชี Rinsta อาจถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีผู้ติดตามมากกว่า ส่วน Finsta ใช้สำหรับกลุ่มเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรน่ากังวลเกี่ยวกับวัยรุ่นที่มีบัญชี Instagram มากกว่าหนึ่งบัญชี เพราะการมีสองบัญชีทำให้พวกเขาสามารถแสดงออกในรูปแบบต่างกัน

ภาพที่โพสต์ใน Rinsta มักจะเป็นภาพในอุดมคติ สวยงาม ส่วน Finsta พวกเขาจะสบายๆ เป็นด้านที่พวกเขาสามารถปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้ อาจจะเป็นภาพตลกๆ หรือไม่ก็เป็นภาพที่ผ่านการแต่งฟิลเตอร์

5 คำถามยอดฮิตจากพ่อแม่

1. ทำไมวัยรุ่นถึงชอบ Instagram

เพราะพวกเขาชอบเสพและสร้างสื่อ เพื่อแชร์และติดต่อกับสังคม Instagram เป็นช่องทางที่ง่ายและน่าสนใจ และที่สำคัญวัยรุ่นยังชอบความสามารถในการสร้าง ‘เรื่องราว หรือ Instagram story’ ที่หายไปหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง

2. Instagram มีกำหนดอายุขั้นต่ำหรือไม่

อายุขั้นต่ำของผู้สมัครคือไม่ต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ของเด็ก แต่เวลาสมัคร Instagram ไม่ได้ขอให้ผู้ใช้ระบุอายุ ทำให้เด็กหลายคนมีบัญชีเป็นของตัวเอง แต่ถ้าได้รับการแจ้งให้ระบุตัวตน หากไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีอายุเกิน 13 ปี Instagram จะลบบัญชีทันที

3. มีเครื่องมือที่จะช่วย ‘จำกัดเวลา’ ในการใช้ Instagram หรือไม่

Instagram มีโปรแกรมที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูได้ว่าในแต่ละวัน เราใช้เวลากับ Instagram ไปเท่าไหร่ และสามารถตั้งเวลาในการใช้งานแต่ละครั้ง เมื่อครบเวลาที่กำหนด จะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้

วิธีการตั้งค่าคือ เข้าไปใน ‘กิจกรรมของคุณ หรือ Your Activities’ บน Instagram จากนั้นให้เลือก ‘DAILY REMINDER’ แล้วตั้งค่าเวลาที่คุณจะใช้ Instagram ในทุกวัน หลังจากนั้น ถ้าคุณใช้ Instagram ครบจำนวนเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน จะมีการแจ้งเตือน

4. ความเสี่ยงในการใช้ Instagram คืออะไร

แม้ว่าจะไม่มีอะไรเป็นอันตรายเกี่ยวกับ Instagram แต่สิ่งสำคัญที่พ่อแม่กังวลคือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระหว่างเพื่อนๆ ภาพถ่ายหรือวิดีโอที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของวัยรุ่น หรือเสพติดการใช้ Instagram มากเกินไป ซึ่งพ่อแม่สามารถใช้วิธีการจำกัดเวลาตามข้อที่ 3 หรือสอนให้วัยรุ่นใช้ Instagram อย่างเหมาะสมตามที่กล่าวมาทั้งหมด

5. โปรไฟล์ส่วนตัวควรเป็นส่วนตัวหรือไม่

เยาวชนควรตั้งค่าบัญชีส่วนตัว ให้เฉพาะผู้ติดตามที่ดูโพสต์เท่านั้น การตั้งค่าเป็นสาธารณะอาจเหมาะกับวัยรุ่นที่โตมากกว่า เพราะอาจเป็นประโยชน์ อย่างเช่น การระดมทุนเพื่อการกุศล การหากลุ่มเพื่อนที่มีความชอบหรืองานอดิเรกเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่ก็ควรให้คำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการโพสต์ที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัวและชื่อเสียงของพวกเขาได้

อ้างอิง:
Instagram
The Parent’s Guide to Instagram
Instagram and Teens: What Do You Need to Know?

Tags:

โซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์พ่อแม่วัยรุ่น

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ
Family Psychology
20 September 2018

‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ความจริงคือ ความล้มเหลวสามารถให้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จ
  • การแพ้หรือความผิดพลาดจะเป็นโอกาสให้เด็กๆ วางแผนว่าจะทำอย่างไรในครั้งต่อไป เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยเขาได้ตลอดชีวิต
  • พ่อแม่ทำได้แค่ชวนลูกนั่งลงด้วยกัน ปล่อยให้พวกเขาทบทวนและรับรู้อารมณ์ในขณะนั้น โดยไม่ต้องพยายามสอนเพื่อหวังให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น

เพราะแรงกระแทกจากความล้มเหลวของแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้ไม่มีใครชอบความล้มเหลว แต่สำหรับวัยรุ่น ล้มครั้งเดียวก็เป็นเหมือนการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

สิ่งที่อาจเป็นความล้มเหลวเล็กๆ สำหรับคนอื่นสามารถส่งผลให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดและการต่อว่าด่าทอตัวเองของวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นการถูกปฏิเสธจากคนที่พวกเขาแอบปิ๊ง คะแนนสอบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือเล่นกีฬาแพ้ – วัยรุ่นจัดหนักกับความล้มเหลวเสมอ

อย่างไรก็ตาม ความจริงคือ ความล้มเหลวสามารถให้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จ แต่อันดับแรก เหล่าวัยรุ่นต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเสียก่อน

ของขวัญจากความล้มเหลว

พ่อแม่หลายคนกลัวว่าลูกๆ จะ ‘ทำไม่ถูกตลอดเวลา’ และต้องการกระตุ้นความมั่นใจให้เด็กๆ เสมอ แต่ เจสสิกา เลฮีย์ (Jessica Lahey) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Gift of Failure: How the Best Parents Learn to Let Go So Their Children Can Succeed บอกว่า บางครั้งอะไรที่มากไปก็ส่งผลเสียมากกว่าดี เช่นเดียวกับการกระตุ้นให้เด็กๆ เอาชนะไปเสียทุกอย่าง

ก่อนหน้านี้ เลฮีย์ ผู้ใช้เวลากว่าสิบปีในการเป็นครูมัธยมทั้งต้นและปลาย คอลัมนิสต์ของเดอะนิวยอร์คไทม์ส ได้เขียนบทความเรื่อง Why Parents Need to Let Their Children Fail ในปี 2013 และกลายเป็นบทความที่ถูกพูดถึงอย่างมาก

“ทุกครั้งที่เราหันหลังกลับไปบอกว่า ‘เดี๋ยวพ่อ/แม่ทำให้’ หรือ ‘ให้พ่อ/แม่ช่วยนะ’ มันเหมือนเรากำลังบอกพวกเขาว่า ‘พ่อ/แม่ไม่คิดว่าลูกจะทำเองได้หรอก’ และนั่นเป็นการทำลายพวกเขาล่วงหน้า เราทำให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อโตขึ้นเขาก็จะกลายเป็นคนหนุ่มสาวที่ไม่สามารถรับมือหรือจัดการอะไรเองได้เลย”

ผลการศึกษาในปี 2013 จากวารสารการศึกษาเด็กและครอบครัว (Journal of Child and Family Studies) พบว่า พ่อแม่แบบเฮลิคอปเตอร์สามารถทำให้วัยรุ่นรู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้าได้ รวมถึงลดความสามารถ ความเชื่อมั่น และความรู้สึกอิสระในตัวเอง

นอกจากนี้ ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยแอริโซนายังพบว่า ผู้ใหญ่ที่ได้รับการประคบประหงมเกินไปเมื่อตอนเป็นเด็กจะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะแก้ปัญหาใดๆ ในชีวิตได้

5 เหตุผลที่ควรปล่อยให้ลูกแพ้

  1. พัฒนาทักษะการเผชิญความเครียด (coping skills) ทักษะการรับมือความพ่ายแพ้ในโลกความจริงควรเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน เช่น เล่นเกมกระดานด้วยกันและปล่อยให้เขาแพ้คุณบ้าง
  2. สอนให้รู้จักความสุขง่ายๆ ที่ไม่เกี่ยวกับแพ้ชนะ เด็กที่รับมือกับการแพ้เป็นก็สามารถสนุกกับการแข่งขันได้ไม่ว่าเขาจะได้ที่หนึ่ง สอง หรือที่สุดท้าย
  3. สอนความเห็นอกเห็นใจ หากจะให้เด็กๆ เข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้ ก็ควรให้พวกเขาได้ลองสัมผัสประสบการณ์ที่คล้ายกันก่อน
  4. พัฒนาการควบคุมตนเองและสร้างความมั่นใจ เรียนรู้ที่จะยอมรับความล้มเหลวให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เขาจะได้เรียนรู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาดีไม่ใช่เพราะใครหยิบยื่น แต่มาจากความพยายามของตัวเอง
  5. ปล่อยให้เขาเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ว่าจะเกมหรือการสอบก็ต้องใช้ทักษะและการวางแผนเฉพาะตัว ความผิดพลาดจะเป็นโอกาสให้เด็กๆ วางแผนว่าจะทำอย่างไรในครั้งต่อไป เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยเขาได้ตลอดชีวิต

วิธีรับมือเมื่อลูกล้ม

เอาล่ะ…ถ้าลูกวัยรุ่นของคุณเพิ่งเจอความล้มเหลว ทำผิดพลาด หรือเผชิญกับอะไรบางที่น่าอึดอัดใจ นี่เป็นวิธีบางส่วนที่คนเป็นพ่อแม่อาจช่วยพวกเขาให้เรียนรู้และก้าวต่อไปได้

ชวนเขานั่งลงด้วยกัน และทบทวนความรู้สึกตัวเอง ปล่อยให้พวกเขารับรู้อารมณ์ในขณะนั้น โดยไม่ต้องพยายามสอนเพื่อหวังให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น

ชวนเขาคิดถึงจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในครั้งต่อไป เพราะแค่แพ้ไม่ได้แปลว่าจบเกม

ใช้เวลาพูดถึงเรื่องการทบทวนความรู้สึก ลองถามเขาว่ารู้สึกดีอย่างไรระหว่างลองทำสิ่งใหม่ๆ แม้ว่าจะไม่สำเร็จก็ตาม เขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง แล้วเป้าหมายต่อไปของเขาคืออะไร

อ้างอิง:
Brutally Honest: Is it OK to let your child fail?
The importance of letting your children lose
Why Failure is Healthy for Teens

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)overprotective parentการเติบโตEF

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล
Family Psychology
19 September 2018

5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เวลาที่เราอ่อนแอ ‘อสูรร้าย’ มักปรากฏตัวเสมอๆ และทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปอีก
  • อสูรร้ายคือ คำพูดเชิงลบที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า และจะค่อยๆ ทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ
  • ข่าวดี! พ่อแม่มีอาวุธทรงพลังอยู่ในมือ ช่วยลูกกำจัดอสูรร้ายเหล่านี้ให้หายไปได้…ตลอดกาล

พ่อแม่จะทำอย่างไร เมื่อในตัวเด็กมีอสูรร้ายออกมาสร้างความปั่นป่วน จนทำเด็กหมดความมั่นใจและไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง?

“เธอไม่เก่ง”

“มันเป็นความผิดของเธอนั่นแหละ”

“ฉันไม่น่าทำมันเลย!”

เรากำลังพูดถึง คำพูดเชิงลบ หรือ inner critic ที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเด็กซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เสมอโดยไม่เคยส่งสัญญาณว่าจะมาตอนไหน สิ่งนี้เป็นอันตราย เพราะจะค่อยๆ ทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ

เฮเซล แฮริซัน (Hazel Harrison) นักจิตวิทยาคลินิกชาวอังกฤษ เรียกเสียงวิจารณ์จากภายในว่า ‘The Critical Critter’ ซึ่งจะถูกเรียกในบทความชิ้นนี้ว่า ‘อสูรร้าย’

เฮเซลบอกว่า พ่อแม่ช่วยป้องกันเด็กจากอสูรร้ายได้ด้วยการทำให้พวกเขารู้จักเจ้าอสูรก่อนที่มันจะเข้ามาทำร้ายพวกเขา เริ่มจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกว่า เจ้าอสูรจอมป่วนมักเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองด้วยคำพูดที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์

แน่นอนว่าการอธิบายให้เด็กแต่ละช่วงวัยเข้าใจเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเด็กเล็กไม่เกิน 7 ขวบ พวกเขาอาจจินตนาการถึงอสูรร้ายได้ดี แต่สำหรับเด็กประถมวัยซึ่งมีเหตุผลมากขึ้น พ่อแม่สามารถพูดคุยถึงเจ้าอสูรด้วยการเปรียบเทียบอสูรกับสิ่งที่ไม่ดีแทนการสร้างสัตว์ในจินตนาการ

เฮเซลบอกว่า การพูดคุยกับลูกต้องมีตัวอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงวัยเด็กราว 7 ปี อสูรร้ายอาจเข้ามาทำให้รู้สึกกลัว เช่น การกลัวเพื่อนหัวเราะเยาะเมื่อต้องทำกิจกรรมต่างๆ เมื่ออายุ 16 ปี มักมีคำพูดทำนองว่า “เธอต้องสอบตกแน่ๆ” ผุดขึ้นมาระหว่างทำข้อสอบในห้องสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือแม้กระทั่งเมื่อเรียนจบแล้วกำลังมองหางานทำ อาจมีเสียงหนึ่งผุดขึ้นมาบอกว่า “เธอไม่มีทางทำได้หรอก เธอทำไม่ได้แน่ๆ เธอไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง” เป็นต้น

นอกจากนี้ เฮเซลยังเสนอ 5 วิธี สยบอสูรร้ายในตัวเด็ก ที่พ่อแม่และคนใกล้ตัวเด็กช่วยได้

หนึ่ง ตั้งชื่อให้เจ้าอสูรร้าย

วิธีการนี้ฟังดูแปลก แต่ช่วยสยบอสูรร้ายให้กลายเป็นอสูรน้อยได้ การได้ยินคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ดังก้องอยู่ในใจเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมมาก การตั้งชื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้เสียงวิจารณ์ภายในกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น เมื่อได้ยินจากเสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยคำพูดตัดทอนกำลังใจเมื่อไหร่ เด็กจะสามารถดึงและแยกตัวเองออกมาหรือวางเฉยต่อเสียงนั้นได้ พูดง่ายๆ เหมือนทำเป็นไม่ได้ยินไปซะ!

สอง ความเป็นเพื่อนกันตลอดไป (Best Friends Forever Test)

“มันเป็นความผิดของฉันที่ทำให้ทีมแพ้” อสูรร้ายมักเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดเสมอในวันที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวร้ายๆกรณีนี้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถตั้งคำถามชวนคิดกับเด็กว่า “ลูกจะพูดแบบนี้กับเพื่อนสนิทของลูกหรือเปล่าว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทีมแพ้”

ถ้าเด็กตอบว่า “ไม่”

“แล้วลูกจะพูดกับเขายังไง?” เป็นจังหวะที่ผู้ปกครองสามารถถามต่อ

วิธีนี้ช่วยสร้างให้เด็กกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง คิดและแสดงออกด้วยความเห็นอกเห็นใจตัวเองมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้อสูรร้ายเข้ามาพ่นคำพูดทำร้ายตัวเอง

สาม ตอบกลับ

ต่อเนื่องจากข้อที่หนึ่ง เมื่อเด็กสร้างภาพลักษณ์ให้กับอสูรร้ายด้วยการตั้งชื่อแล้ว ตอนนี้หากเด็กได้ยินคำพูดร้ายๆ ผุดขึ้นมาในหัว ผู้ปกครองสามารถแนะนำให้พวกเขาตอบโต้เสียงนั้นได้ ด้วยคำพูดต่อไปนี้

“ไม่สำเร็จหรอก คำพูดของเธอไร้ประโยชน์มาก”

“เธอเลิกพูดเถอะ ฉันทำดีที่สุดแล้ว”

“ฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดหรอก ฉันกำลังยุ่งกับการเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอยู่ตรงนี้”

“มันไม่ได้ผลหรอก ฉันจะต้องได้ไปต่อ”

สี่ กองหนุนจากพ่อแม่

นอกจากวันร้ายๆ เจ้าอสูรยังชอบโผล่มาในวันที่เด็กกำลังจะต้องทำสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆ แน่นอนว่าในจุดนั้นพวกเขาจะมีความกลัว ความตื่นเต้นและความไม่มั่นใจ

“เธอทำไม่ได้หรอก”

“หยุดเถอะ…อย่าทำเลย” เสียงอสูรร้ายในตัวเอ่ยขึ้น

จุดนี้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้ามากระตุ้นให้เด็กลงมือทำอย่างกล้าหาญ เพื่อแสดงให้เจ้าอสูรเห็นว่าสิ่งที่พูดมานั้นผิดทั้งหมด ถ้าเด็กถูกห้อมล้อมด้วยการให้กำลังใจและการเติมความมั่นใจจากคนใกล้ตัว เด็กจะผ่านจุดนี้ไปได้ด้วยความมั่นคงทางใจ

“ทำเลย…ลูกทำได้” บอกลูกดังๆ

ห้า สร้างช่วงเวลาฝึกฝนในเชิงบวก

แน่นอนว่าหน้าที่ของเจ้าอสูรคือการบั่นทอนจิตใจ ทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองและศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ การทำให้เด็กรู้ว่า เขาชอบหรือสนใจทำอะไร ช่วยได้ โดยผู้ปกครองทำหน้าที่ส่งเสริมให้เขาลงมือทำสิ่งนั้น จนสำเร็จ หรือแม้กระทั่งการถามคำถามว่า “วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง?” ก็ช่วยกระตุ้นให้เด็กเปิดใจ เปลี่ยนวิธีคิดให้เด็กมองหาสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่ละวันแทนการครุ่นคิดถึงความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาด

เราไม่มีทางรู้ว่าอสูรร้ายจะโผล่ขึ้นมาตอนไหน สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ การปลูกฝังความคิดในเชิงบวกให้เด็กมีความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) และเห็นอกเห็นใจตัวเอง (self-compassion) เพื่อทำให้เจ้าอสูรกลายร่างเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้เขา

เกี่ยวกับผู้เขียน

เฮเซล แฮริซัน (Hazel Harrison) นักจิตวิทยาคลินิกชาวอังกฤษ ที่มีความสนใจในการค้นหาวิธีการที่สนุกสนานและสร้างสรรค์ในการแบ่งปันสาระความรู้ด้านจิตวิทยาเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เฮเซลทำงานร่วมกับโรงเรียนและองค์กรธุรกิจมากมาย และเป็นผู้ให้ความรู้ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดี (well-being)
อ้างอิง: https://www.mindful.org

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์
Life classroom
18 September 2018

ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • ทรอย ซีวาน นักร้อง นักแต่งเพลง นักกิจกรรมผู้เป็นกระบอกเสียงสำคัญ ประเด็น LGBTQ
  • ปี 2013 ทรอยโพสต์คลิปที่ชื่อว่า ‘Coming Out’ ผ่านยูทูบแชนเนลตัวเองประกาศกับโลกว่าเขาคือใคร เพียงวันเดียวยอดวิวคลิปดังกล่าวพุ่งเกือบถึงแปดล้านวิว
  • ซีวานเป็นชาวยิว ครอบครัวนับถือคริสต์นิกายโมเดิร์นออโธด็อกซ์และเคร่งศาสนา ตลอดช่วงวัยรุ่นเขาจึงต้องปกปิดตัวเองจากการเป็นเกย์ เขาบอกครอบครัวตอนอายุ 14 แต่ผลลัพธ์กลับไม่โหดร้ายเท่าที่จินตนาการเอาไว้ เมื่อครอบครัวยอมรับและพร้อมสนับสนุนในตัวเขา
  • การเป็นนักร้องไม่ง่าย การเป็นนักร้องเกย์ที่ได้รับการยอมรับจากผลงานและไม่ถูกเลือกปฏิบัตินั้นยากยิ่งกว่า อาวุธในการต่อสู้เรื่องเพศนอกไปจาก ‘ความซื่อสัตย์’ ซีวานยกความดีให้กับ ‘ยุคสมัย’ และ Queer Icon ที่เคยต่อสู้และกำลังต่อสู้กันทั่วโลก

ผมแพลตินั่มบลอนด์ถูกจัดทรงปาดเรียบอย่างที่เรียกกันว่า wet look ริมฝีปากบางถูกเคลือบด้วยสีแดงเชอร์รีให้ดูฉ่ำและเจ่อกว่าที่ควรเป็น ดวงตาสีฟ้าจดจ้องมองมาข้างหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งยังเห็นชัดว่าเปลือกตาคู่นั้นถูกปาดด้วยกลิตเตอร์

คือภาพของ ทรอย ซีวาน (Troye Sivan) ในมิวสิควิดีโอเพลง ‘Bloom’ เพลงไตเติลเปิดอัลบั้มใหม่ของเขา

‘Pop Queer Icon’ ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สื่อทั่วโลกต่างพากันจับตามองอยู่ในขณะนี้ ในฐานะผู้ที่กำลังจะพลิกบทบาทวงการเพลงป๊อปไปสู่ยุคถัดไป

31 สิงหาคมที่ผ่านมา ทรอยกลับมาอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงถึง 3 ปี ‘Bloom’ คือชื่ออัลบั้มใหม่ของเขา บรรจุและอัดแน่นไปด้วยเพลงที่เล่าถึงความสัมพันธ์และความรักทั้งหมด 10 เพลง ชวนให้ฮือฮาและตกเป็นประเด็นมากถึงมากที่สุดเพราะทรอยตั้งใจ ทั้งยังชัดเจนกับทุกคนว่าอัลบั้มนี้เกี่ยวข้องกับ ‘เซ็กส์’ (FYI: Bloom เป็นคำอุปมาอุปไมยของ anal sex) – แน่นอนว่าทั้งหมดในเนื้อหาบทเพลงคือตัวละครเกย์

“(เซ็กส์) คือ ประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์ (human experience) ซึ่งผมคิดว่ามันงดงามมาก แน่นอนว่ามันอาจฟังดูจั๊กกะจี้ (หรือสกปรก) แต่เนื้อหาของมันจริงๆ ก็คือเพลงรัก และอย่างแรกเลย ผมต้องการบอกทุกคนว่า ‘การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย’ เป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งอัลบั้มถึงพูดเรื่องความรักและเซ็กส์ (ของเกย์) ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงและนักร้องทำกันอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรแตกต่าง นอกจากนั้นการเขียนเพลง (ในอัลบั้มนี้) ยังทำให้ผมโตขึ้นและมองเห็นตัวเองในมุมมองใหม่อีกด้วย”

ใช่ นอกจากเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง (และนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง ‘Boy Erased’ ที่กำลังจะเข้าฉายในเดือนพฤศจิกายนนี้) ทรอยยังเป็นนักกิจกรรม ผู้เป็นกระบอกเสียงสำคัญให้กับ LGBTQ ทั่วโลกผ่านบทเพลงของเขาอีกด้วย

Lucky Gay Boy Who was Born in Internet World

ทรอย ซีวานเป็นชาวยิว ครอบครัวนับถือคริสต์นิกายโมเดิร์นออโธด็อกซ์ เกิดที่โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียตอนอายุสองขวบ

ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ครอบครัวเคร่งศาสนามาก ความกังวลใจช่วงวัยรุ่นตอนต้นในตอนนั้นคือการปกปิด ซ่อนเร้นความจริงที่ว่าเขาเป็นเกย์ จนกระทั่งเขาอายุ 14 ทรอยตัดสินใจบอกพ่อว่าเขารู้สึกเช่นไรกับตัวเอง แต่ผลลัพธ์กลับไม่โหดร้ายเท่าที่จินตนาการเอาไว้ เมื่อครอบครัวยอมรับและพร้อมสนับสนุนในตัวเขา

“ตอนนั้นทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบเรียบ อาจเป็นเพราะผมเองก็รู้ว่าครอบครัวต้องโอเคกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะมีมุมที่เราคิดว่า ‘ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมรับล่ะ? เราจะทำอย่างไร? เราจะไปไหน?’ มันคือความลำบากใจของเด็กอายุ 14 ในตอนนั้น คือความตึงเครียดของทุกคน ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า มันไปถึงจุดที่ว่าผมโกหกและปิดเป็นความลับ ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกกลัวผลที่จะตามมากับความกลัวที่เป็นอยู่มันก็เท่ากัน ใช่ มันเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดและผมเองยอมรับว่าค่อนข้างโชคดี”

ด่านต่อไปคือ การเปิดเผยกับสังคม ตอนนั้นเขาคือยูทูบเบอร์คนดัง จะกล่าวว่าทรอยเป็นเด็กยุคมิลเลนเนียล (เกิดปี 1995) ที่แท้จริงก็ว่าได้ เมื่อเขาเติบโตมากับโลกอินเทอร์เน็ตและโด่งดังจากการเป็นยูทูบเบอร์ หัดโพสต์คลิป โคฟเวอร์เพลงตั้งแต่ปี 2012 และมีผู้ติดตามมากถึงสี่ล้านคน

หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ ปี 2013 ทรอยโพสต์คลิปที่ชื่อว่า ‘Coming Out’ ผ่านยูทูบแชนเนลตัวเอง บอกทุกความในใจของตัวเอง ประกาศกับโลกว่าเขาคือใคร เพียงวันเดียวยอดวิวคลิปดังกล่าวพุ่งถึงเกือบแปดล้านวิว

ใช่ว่าเขาไม่เคยโดนคำครหาด่าทอจากการบอกทุกคนว่าเป็นเกย์ ถึงอย่างนั้น ทรอยกลับบอกว่า อาจเพราะเขาเติบโตมากับโลกอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รับมือกับเรื่องดังกล่าวค่อนข้างง่าย

สำคัญเกินกว่าจะเก็บเสียงทั้งหมดมาใส่ใจ เพราะความฝันของทรอยคือการเป็นนักร้อง ดังนั้น เขาจึงไม่ยอมให้ใครทำให้เขาหลุดจากเส้นทางนี้เด็ดขาด

“ก่อนรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ ผมอยากเป็นนักร้องมาโดยตลอด ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรผมจะไม่ยอมให้ (ความเห็นเรื่องเพศของสังคม) มาเปลี่ยนเส้นทางนี้” ทรอยยืนยันหนักแน่น

สองเดือนหลังจากเขาปล่อยคลิปดังกล่าว ทรอยก็เซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ทันที

ปี 2015 ทรอย ซีวาน เปิดตัวให้ทั่วโลกรับรู้ด้วยผลงานอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรก ‘Blue Neighbourhood’ เพลงป๊อปติดกลิ่นอิเล็กทรอนิกส์ สร้างปรากฏการณ์ฮือฮาจัดเต็มด้วยการปล่อยเอ็มวี 3 เพลง (Wild, Fools, Talk Me Down) ราวกับหนังสั้น พูดถึงเรื่องราวความรักคู่รักชาย-ชายที่เป็นไปไม่ได้และถูกครอบครัวกีดกัน แม้จะไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้างระดับกระโดดพุ่งทะยานขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ตอเมริกาในทันที แต่อยู่ในอันดับท็อปเท็นและได้อันดับที่ 53 ของ US Billboard 200 ประจำปี 2016 – วินาทีดังกล่าวคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มี LGBTQ คนไหนไม่รู้จักนาง

I’m a GAY but I don’t want to be GAY Icon

“ผมก็แค่อยากทำทุกอย่างแบบที่นักร้องป๊อปสตาร์ทำกัน เขียนเพลงรัก ร้องเพลงรัก ทุ่มเทความรักให้กับมิวสิควิดีโอของตัวเอง ผมคิดว่ามันคือพลังของการมีชีวิตที่เปิดกว้างและสมจริงขณะที่เรายังสามารถเป็นตัวของตัวเอง (เกย์)”

คือปรารถนาอันแรงกล้า ทำให้ผู้ติดตามผลงานของเขามาอย่างต่อเนื่องแทบจะเห็นพ้องว่าทุกผลงานเขาตั้งใจปลุกปั้นอย่างประณีต กลั่นออกมาจากแรงปรารถนาล้วนๆ แต่มันกลับไม่ได้ให้ผลเพียงแค่นั้น

จากบทเพลงรักแปรเปลี่ยนเป็นสารส่งต่อกำลังใจให้กับชาว LGBTQ ที่ต่างเคยพบผ่านประสบการณ์รักทั้งร้ายและหวานละมุน ตราตรึงสู่หัวใจแฟนเพลงทั่วโลก ทุกวันนี้ นอกจากการสร้างสรรค์ผลงานเพลงแล้ว ทรอยยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญของ LGBTQ พูดตั้งแต่เรื่องเพศไปจนถึง HIV

จริงอยู่ การเป็นเกย์สำหรับบางคนยังถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกแต่เขายอมรับว่า ปัจจุบันสังคมโลกค่อนข้างเปิดกว้างให้กับชาว LGBTQ มากขึ้น ถึงอย่างนั้น ทุกคนยังคงทำงานหนักเหมือนเคยเพื่อผลักดันประเด็นของตนให้ได้รับความเท่าเทียมกัน

แต่ประเด็นหลักที่ทรอยต้องการสื่อสารออกไปให้โลกกว้างรู้ รวมถึงต้องการเป็นกำลังใจให้เหล่าเพศเดียวกันกับเขาคือ ความภาคภูมิใจในตัวเอง ส่งผลให้ในปี 2017 เขาได้รับรางวัลเกียรติยศ Stephen F. Kolzak บนเวที GLAAD Awards (และอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย!)

ทรอย ซีวาน ถูกจับตามองทั้งยังได้รับการยกย่องจากสื่อเจ้าใหญ่หลายหัวทั้งในบ้านเกิดตัวเองและทั่วโลกว่าเป็นนักร้องรุ่นใหม่ที่กำลังจะพลิกประวัติศาสตร์วงการเพลงป๊อปอีกครั้ง (นับจากยุคมาดอนนาหรือเลดี้กาก้าผู้เปิดศักราชความเป็น LGBTQ ให้กลายเป็นประเด็นในสังคม) เปิดพื้นที่ที่ถูกยึดครองด้วยบทเพลงรักซึ่งมักกล่าวถึงแต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงให้มีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชาว LGBTQ เพิ่มขึ้น

หากย้อนไปดูสักนิดอาจกล่าวได้ว่า ทรอยทำเช่นนั้นจริงๆ เมื่อวงการเพลงป๊อปคลื่นลูกใหม่ ยุคชาวมิลเลนเนียลเข้าครอบครองพื้นที่ นับจากทรอยแล้วก็เริ่มมีอีกมากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น MNEK, Hayley Kiyoko และ Kehlani

ถึงอย่างนั้น เมื่อถูกไมค์จ่อถามมากๆ ถึงเรื่องการถูกยกให้เป็น GAY ICON ทรอยซีวานกลับปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “เขาไม่อยากเป็น”

เมื่อเขาเป็นเพียงเสียงเดียวจากความหลากหลายในสังคม LGBTQ ที่แวดล้อมอาศัยอยู่

“ผมเป็นตัวแทนเพียงเสี้ยวเดียวจากทั้งหมดในสังคมนั้น ทั้งยังโชคดีมากๆ ที่เป็นชาวเกย์ชนชั้นกลางผิวขาวที่ครอบครัวให้การยอมรับและสนับสนุน ผมไม่เคยอยากเป็น และ

ผมไม่คิดว่าในสังคม LGBTQ ควรมีตัวแทนเพียงคนเดียว ในเมื่อเรามีความแตกต่างและหลากหลายทางมิติอย่างมาก ผมไม่ควรเป็นตัวแทนในเมื่อยังมีคนอีกมากมายที่สมควรจะได้รับมันมากกว่าผม

“เพราะสำหรับผมแล้ว ผมแค่อยากเป็นตัวผม มีความสุขกับตัวเอง ชีวิตของตัวเอง และการได้แสดงมันออกมาคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผม”

So, stay strong and keep being proud, LGBTQ

อ้างอิง:
theguardian
pride
starobserver
rollingstone
gq
nme

Tags:

เพศLGBTQ+พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)ศิลปินการเติบโต

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป
Character building
17 September 2018

PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • กระบวนการเรียนรู้ของเด็กสำคัญมากกว่าคะแนน หรือ คะแนนสำคัญกว่า ยังคงเป็นข้อถกเถียง
  • Project Based Learning หรือ PBL หรือหลักสูตรการเรียนรู้ผ่านโครงงาน สามารถกระตุ้นให้ครูผู้สอน ผู้ปกครองกับตัวเด็กเองทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศึกษา เพราะให้ความสำคัญกับ ‘การพัฒนาทักษะ’ มากกว่าการเรียนเพื่อสอบ
  • ผลลัพธ์ของเด็กนักเรียนที่ผ่านหลักสูตร PBL คือ มีอาชีพ มีชีวิตฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น และเป็นบุคลากรที่มีประโยชน์ต่อสังคมและขับเคลื่อนให้สังคมดีขึ้น

ปฏิเสธได้ยากว่ากระจกสะท้อน ‘ความเก่ง’ ของนักเรียน และ ‘คุณภาพ’ ของโรงเรียนคือคะแนนของพวกเขาในใบรายงานผลและเกรดเฉลี่ย ในเมื่อตัวชี้วัดที่สามารถประเมินประสิทธิภาพการสอนตามตำราได้อย่างชัดเจนคือผลคะแนน

แล้วโรงเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบให้ความสำคัญกับ ‘การพัฒนาทักษะ’ ของนักเรียนมากกว่าการเรียนเพื่อสอบ โรงเรียนเหล่านั้นใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดว่านักเรียนมีคุณภาพกัน?

ในบทความว่าด้วยเรื่องการจัดการเรียนรู้ให้เด็กพัฒนาทักษะต่างๆ ผ่านการทำโครงงานหรือที่เรียกว่า Project-Based Learning (PBL) เขียนโดย อามะดูว์ ดิเอลโล (Amadou Diallo) ซึ่งเผยแพร่ใน เดอะเฮคคินเจอร์ รีพอร์ต วารสารออนไลน์ที่นำเสนอแง่มุมต่างๆ ในแวดวงการศึกษาทั่วโลก ดิเอลโลเข้าไปเก็บข้อมูลที่โรงเรียนมัธยมซึ่งมีหลักสูตร PBL ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา หลายแห่งและพบว่า เมืองนี้กำลังขับเคลื่อนให้การจัดการเรียนรู้แบบนี้ถูกบรรจุในหลักสูตรสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา ด้วยเชื่อมั่นว่าเป็นแนวทางที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเยาวชนในเมืองฟิลาเดลเฟียไปสู่ ‘ความสำเร็จ’ เพราะเด็กจะได้รับการเสริมสร้างทักษะจำเป็นซึ่งจะต่อยอดไปใช้ในระดับอุดมศึกษาและประกอบอาชีพเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ดิเอลโลตั้งคำถามสวนทางกับกระแสบวกของแนวทางนี้ ไว้อย่างน่าสนใจว่า ด้วยหลักสูตรนี้โรงเรียนจะสามารถกระตุ้นให้ครูผู้สอน ผู้ปกครองกับตัวเด็กเองทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศึกษาชั้นมัธยมได้หรือไม่? เป้าหมายของ PBL คือให้เด็กทำคะแนนได้สูงขึ้นหรือเตรียมความพร้อมให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่?

การเรียนรู้แบบ PBL ที่น่าจะเป็นแนวทางพัฒนาแห่งความหวังให้นักเรียนเติบโตไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นนี้ กำลังได้รับความนิยมจากผู้สนับสนุนด้านการศึกษาและองค์กรให้ทุนต่างๆ อย่างแพร่หลายมากขึ้นในฟิลาเดลเฟีย

การเรียนรู้แบบนี้ นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหัวข้อโครงงานที่เกี่ยวข้องกับชุมชนความเป็นอยู่ของตนเอง โดยมีครูเป็นเพียงผู้สนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะความสามัคคี การร่วมมือกัน การใช้ความคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา และเรียนรู้ตนเองผ่านกระบวนการวิจัยและนำเสนองาน

PBL ให้ความสำคัญกับพัฒนาการทักษะมากกว่าคะแนนใช่ไหม?

ถ้าโรงเรียนที่มีหลักสูตร PBL มองว่าพัฒนาการทักษะของนักเรียนสำคัญกว่าคะแนน แล้วอะไรเป็นตัวชี้วัด ความสำเร็จของโรงเรียนที่ใช้แนวทางนี้? ดิเอลโลตั้งหัวข้อบทความของเขาด้วยคำถามที่ว่า “โรงเรียนสามารถใช้ผลงานของเด็กเป็นตัววัดความสำเร็จแทนคะแนนสอบได้ไหม?” และหาคำตอบจากบุคลากรของโรงเรียนที่เขาไปเก็บข้อมูลเหล่านั้น

ข้อมูลที่เขาได้จาก มายา บลูมฟิลด์ คุกเชียรา (Maia Bloomfield Cucchiara) รองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเทมเพิลและผู้บริหารโรงเรียนมัธยมหลักสูตร PBL เหมือนจะตอบดิเอลโลอยู่กลายๆ ว่าสิ่งที่เขาคาดหวังอาจไม่สามารถทำได้ในความเป็นจริง

“ปัญหาใหญ่คือเรายังไม่ทราบว่าจะประเมินประสิทธิภาพของการเรียนรู้แบบนี้ได้อย่างไร” แม้จะเห็นได้ชัดว่าการสอบวัดระดับคะแนนไม่สามารถวัดทักษะของนักเรียนที่ได้รับจากโรงเรียนได้ทั้งหมด เช่นการมีส่วนร่วมในห้องเรียนหรือความคิดเชิงวิเคราะห์แง่ความสำคัญและการเชื่อมโยงขององค์ความรู้ แต่อย่างไรก็ตามคุกเชียราเห็นว่า “ข้อสอบวัดระดับก็ยังต้องมีอยู่”

โรงเรียนที่มีหลักสูตร PBL นักเรียนจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากโรงเรียนที่สอนรูปแบบเดิมอย่างมาก ดิเอลโลเล่าในบทความว่านักเรียนเกรด 9 ทุกคนที่โรงเรียนมัธยม Vaux Big Picture ในฟิลาเดลเฟียที่เขาไปหาข้อมูล มีคอร์สบังคับช่วงบ่ายให้ไปดูงานในธุรกิจต่างๆ หรือองค์กรที่อยู่ในชุมชนสัปดาห์ละครั้ง เพื่อหาลู่ทางฝึกงานที่ตนชอบในปีสุดท้าย

ตัวอย่างเช่นนักเรียนต้องไปโรงเบียร์เพื่อเรียนรู้เรื่องความสามัคคี ความรับผิดชอบ งานบริการที่จับต้องได้ ไปจนถึงพูดคุยกับเจ้าของร้านเรื่องปัญหาจุกจิกรายวัน หรือนักเรียนมัธยมในโรงเรียน Workshop ที่ใช้เวลา 50 เปอร์เซ็นต์ต่อวันทำโครงงานออกแบบที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือพลังแสงอาทิตย์ไปจนถึงการซ่อมอะไหล่ให้ลูกค้าในชุมชน

เดวิด บรอมลีย์ (David Bromley) ผู้ก่อตั้งโรงเรียน Vaux Big Picture อธิบายให้ดิเอลโลฟังว่า

“การฝึกงานคือการที่โรงเรียนเชื่อม ‘การเรียนรู้โลกจริง’ เข้ากับวิชาการ สำหรับเรา PBL เด็กจะได้พัฒนาโครงงานที่พวกเขาชอบกับองค์กรสักแห่งในชุมชน โครงงานที่มีพลังจะเปลี่ยนแปลงได้ เป้าหมายคือทุกอย่างที่เด็กๆ เรียนในห้องเรียนต้องได้เอาไปใช้ตอนฝึกงาน”

ไซมอน ฮาวเกอร์ (Simon Hauger) อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Workshop ย้ำในเรื่องนี้ว่า กระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ มีความสำคัญเท่ากับผลงานที่ทำออกมาจนสำเร็จ เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเด็กเอง สิ่งที่เด็กเรียนรู้ที่โรงเรียนควรสอดคล้องกับงานที่จะรองรับเขาเมื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ แก่นหลักคือการที่โรงเรียนต้องสร้างจิตสำนึกแห่งชุมชนอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้น ให้เด็กรู้สึกอุ่นใจพอที่จะกล้าเผชิญกับความลำบาก ได้ค้นหาความชอบของตนเองและประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองอย่างซื่อตรง โรงเรียนมัธยมควรเป็นที่ที่เด็ก

“สร้างสำนึกว่าตัวเองเป็นใครและมองเห็นอนาคตว่าตัวเองจะโตขึ้นไปเป็นอะไร”

ฟีดแบคคือ ครูไม่อยู่เกินเอื้อม เหมือนเป็นเพื่อนที่คุยกันได้

ดูเหมือนว่าโรงเรียนมัธยมที่สนับสนุน PBL กำลังคาดหวังไปถึงความสำเร็จในเชิงคุณภาพของประชากรที่เป็นผลิตผลของตนและการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอันมาจากกระบวนการเสริมสร้างทักษะจำเป็นเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงไม่อาจฟันธงได้ว่าคะแนนของเด็กในใบรายงานผลการเรียนไม่สำคัญเลย

เกเบรียล คูริลอฟ (Gabriel Kuriloff) อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Vaux อธิบายว่าแม้โรงเรียนมีตัววัดและประเมินผลการฝึกงานในแง่พัฒนาการอย่างเคร่งครัด แต่ผลประเมินเหล่านั้นไม่ได้ใส่ลงไปในใบรายงานผลการสอบวัดผลประจำปีของนักเรียนที่เป็นตัวบ่งชี้ศักยภาพของโรงเรียน

“มันไม่มีตัวชี้วัดได้หรอกว่าเด็กมีหรือไม่มีทักษะในการสื่อสาร สบตาผู้ฟังและพูดจาฉะฉานแค่ไหน”

สิ่งที่มิราเคิล ทาวน์ส (Miracle Townes) นักเรียนเกรด 12 โรงเรียน Workshop เล่าให้ดิเอลโลฟัง สนับสนุนคำกล่าวของคุกเชียราเรื่องที่ข้อสอบวัดระดับไม่สามารถชี้วัดทักษะทั้งหมดที่เด็กได้รับจากโรงเรียนเป็นอย่างมาก

ทาวน์สเล่าว่าสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ระหว่างทำโครงงานกับเพื่อนๆ คือทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นและวิธีกระตุ้นให้เพื่อนในกลุ่มแสดงพลังออกมาโดยหัดเป็นผู้ฟังที่ดี

นอกเหนือจากอุปสรรคของโรงเรียนที่มีหลักสูตร PBL ยังไม่สามารถหาวิธีวัดผลการเรียนรู้ที่แท้จริงของเด็กได้ ดิเอลโลยังพบว่าอุปสรรคใหญ่อีกประการ คือ PBL ไม่มีข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสากลว่า ในหลักสูตรนี้นักเรียนต้องพัฒนาทักษะด้านใดบ้าง แต่ละโรงเรียนที่มีหลักสูตรนี้ต่างก็มีรายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกัน

เช่นโรงเรียน Vaux ออกแบบหลักสูตรให้อิงกับการฝึกงานของเด็ก ในขณะที่บางโรงเรียนมีวิชาที่รองรับหลากหลายอาชีพและเฉพาะทางมากกว่า หรือบางแห่งออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมแวดล้อมนั้นๆ ผู้สนับสนุนด้านการศึกษาบอกดิเอลโลว่าถ้าจะมองให้ไกลกว่าผลคะแนนที่เด็กทำข้อสอบได้ ตัววัดความสำเร็จที่แม่นยำกว่าคือ เราต้องตามไปดูเด็กๆ หลังจากเรียนจบไปแล้วว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่ ทำงานที่เลี้ยงดูตนเองและสามารถยกฐานะตนเองได้ ไปเรียนต่อชั้นวิทยาลัยหรือโรงเรียนเฉพาะทาง

จากข้อมูลที่ได้พูดคุยกับบุคลากรของโรงเรียนมัธยมหลักสูตร PBL ดิเอลโลเห็นว่า ความสำนึกในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นและระหว่างนักเรียนกับครูนับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้การจัดการเรียนรู้นี้ประสบความสำเร็จด้วย ถ้านักเรียนกับครูมีความสัมพันธ์ที่ดี โรงเรียนก็สามารถดูแลเอาใจใส่เด็กในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากด้านวิชาการได้ทั่วถึงมากขึ้น

เช่นในโรงเรียนมัธยม LINC ในเขตที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงสุดในฟิลาเดลเฟียซึ่งนักเรียนมีโครงงานออกแบบบ้านพักอาศัยและวิเคราะห์รูปแบบของคดีอาชญากรรมในชุมชนที่กำลังดำเนินอยู่

บริดเจ็ต บูแจ็ค (Bridget Bujak) อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนบอกว่า

“ถ้าจะให้ดีต้องสร้างวัฒนธรรมการเอาใจใส่ใจซึ่งกันและกัน ถ้านักเรียนหรือครูมีเรื่องอะไรกันก็ต้องมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ปล่อยผ่าน”

โรสบีริส โกเมซ (Rosbeiris Gomez) นักเรียนเกรด 11 ยืนยันในเรื่องนี้ว่าเมื่อตระหนักว่ามีคนห่วงใย เธอกล้าเล่าปัญหาส่วนตัวให้ครูที่โรงเรียนฟังเพื่อขอความช่วยเหลือ “ทุกคนในโรงเรียนรู้จักกันหมด” เธอบอก “คุณบูแจ็คมักจะคอยถามสารทุกข์สุกดิบหนู เธอรู้ปัญหาของหนูตั้งแต่ตอนเข้ามาปีแรก เธอคือคนที่หนูจะไปหาถ้าหนูจิตตกหรือไม่สบายใจ”

ทามิร์ ฮาร์เปอร์ (Tamir Harper) นักเรียนเกรด 12 ของสถาบัน Science Leadership Academy เล่าว่าเขาเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่หมกมุ่นกับการทำเกรดเอ มาให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนในโรงเรียนและมองว่าโรงเรียนคือพลังที่ขับเคลื่อนชุมชนไม่ใช่เรียนทำโครงงานไปวันๆ

ขณะที่เพื่อนร่วมชั้น เมดิสัน มิลิเทลโล (Madison Militello) เล่าว่าเธอมาจากโรงเรียนมัธยมต้นที่เข้มงวดมากจนไม่มีพื้นที่ให้เด็กๆ สานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

“ที่นี่ หนูไม่รู้สึกว่าครูอยู่เกินเอื้อม เหมือนเป็นเพื่อนที่คุยกันได้” เธอเล่าว่าสนิทกับครูบางคนทั้งที่ไม่ได้เรียนในชั้นเรียนของเขาเลยด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุด ทักษะจาก PBL จะช่วยเพิ่มคะแนนและความเข้าใจ

สำหรับประเด็นความแตกต่างของโรงเรียนที่รับนักเรียนเข้าศึกษาโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก (Non-Selective School) กับโรงเรียนที่ต้องสอบคัดเลือกเข้าไปเรียน (Selective School) ดิเอลโลพบว่ามีข้อได้เปรียบในโรงเรียนที่ใช้ระบบสอบคัดเลือกเด็ก ในแง่ที่เด็กที่สอบผ่านเข้ามาจะมีทักษะการอ่านเขียนได้ดีกว่าเป็นต้นทุน ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนแม่เหล็กที่มีแผนการสอนมุ่งเน้นด้านใดด้านหนึ่งเพื่อเน้นให้นักเรียนมีความเป็นเลิศเฉพาะทางอย่าง Science Leadership Academy ด้วยแล้ว เด็กเกรด 12 มีแนวโน้มจบถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และ 84 เปอร์เซ็นต์เข้าเรียนต่อระดับวิทยาลัย คะแนนวิชาพีชคณิต ชีววิทยาและวรรณคดีอังกฤษของเด็กในโรงเรียนมากกว่าค่าเฉลี่ยของโรงเรียนระดับเขตถึง 2 เท่า

คริส เลห์แมน (Chris Lehmann) อาจารย์ใหญ่โรงเรียน Science Leadership Academy ตระหนักถึงข้อได้เปรียบนี้ แม้เขาจะบอกว่าโรงเรียนไม่ได้สอนเพื่อสอบ แต่เขาบอกว่าโรงเรียนต้องสามารถพิสูจน์ว่าการเรียนการสอนสะท้อนออกมาเป็นผลคะแนนที่ดีด้วย โรงเรียนต้องแสดงให้เห็นว่ากระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนกับผลคะแนนสมดุลกัน

ส่วนความแตกต่างระหว่างโรงเรียนหลักสูตร PBL กับโรงเรียนที่มีการสอนแบบอื่นๆ นั้น คริสตินา แกรนท์ (Christina Grant) ผู้ช่วยผู้อำนวยการศึกษาธิการซึ่งดูแลกลุ่มโรงเรียนที่มีการสอนแบบ PBL ในเมืองฟิลาเดลเฟีย บอกว่า แม้โรงเรียนที่สอนแบบ PBL จะให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดที่ทำการประเมินได้ยาก แต่อย่างไรโรงเรียนเหล่านั้นก็ยังต้องรับผิดชอบต่อผลคะแนนของเด็กเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่นๆ อยู่ดี

ในท้ายที่สุดแล้ว คำตอบที่ดิเอลโลได้รับจากการพูดคุยกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับ PBL เหล่านี้ก็ล้วนชี้ไปยังปลายทางที่ว่า ตัวชี้ประเมินความสามารถของนักเรียนและโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรนี้ก็ยังคงเป็นคะแนนสอบอยู่ดี เพราะครูผู้สอนเหล่านี้ เชื่อมั่นว่าทักษะที่เด็กได้รับไม่ว่าจะเป็นความสามัคคีในการทำงาน การคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาจะช่วยให้ผลคะแนนที่เป็นตัวชี้วัดแบบเก่าเช่นคะแนนวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านของนักเรียนเพิ่มขึ้นในท้ายที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นเด็กจะพร้อมสำหรับการก้าวไปสู่โลกการใช้ชีวิตที่แท้จริงหลังเรียนจบออกไปนั่นเอง

คงต้องยอมรับว่า โรงเรียนหลักสูตร PBL ไม่สามารถหยิบยกทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรนี้มาวัดประสิทธิภาพได้เต็มปากเท่าผลคะแนนด้วยเพราะทักษะเหล่านั้นไม่สามารถใช้การวัดประเมินเชิงตัวเลขได้ แต่หากมองตามจริงแล้ว โรงเรียนที่มีหลักสูตรนี้มีประโยชน์โดยตรงต่อตัวเด็กซึ่งเป็นกองทัพบุคลากรที่เหมือนได้ผ่านการฝึกซ้อมเคี่ยวกรำจากโลกแห่งการทำงานเสมือนจริงก่อนลงสมรภูมิ เมื่อเด็กจากโรงเรียนเหล่านี้ได้รับภูมิคุ้มกันเตรียมความพร้อมแต่เนิ่นๆ พวกเขาอาจตระหนักอย่างถ่องแท้ได้เองว่าคะแนนสอบเป็นแค่ตัวเลขที่ไร้ความหมายในโลกแห่งความเป็นจริงข้างนอกนั้นก็เป็นได้

อ้างอิง:
Can Schools Change Measures of Success by Focusing on Meaningful Work Instead of Test Scores?

Tags:

การสอบครูระบบการศึกษาproject based learningคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก
EF (executive function)
17 September 2018

ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • วิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์เดิม และการพัฒนาของสมองส่วน EF ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประสบการณ์เดิมนั้น
  • วินัยเชิงบวกทำหน้าที่เชื่อมโยง ระหว่าง ‘การแสดงออกทางพฤติกรรม’ และ ‘การใช้ทักษะสมองส่วนเหตุผล หรือ EF’
  • คำว่า ห้าม-ไม่-อย่า-หยุด เป็นคำที่ควรละเว้นในการสร้างวินัยเชิงบวก
ภาพ: มูลนิธิสยามกัมมาจล

ประโยคที่ว่า ‘พ่อแม่ย่อมรู้จักลูกดีที่สุด’ เป็นความจริงหรือไม่…?

พ่อแม่ทุกคนรู้หรือไม่ว่า เริ่มตั้งแต่ลูกน้อยยังอยู่ในท้อง คุณก็ได้กลายเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างและปลูกฝังตัวตนของเขาแล้ว เพราะวิธีการที่พ่อแม่เลือกใช้เลี้ยงลูกสามารถเปลี่ยนโครงสร้างและการทำงานของสมองของพวกเขาได้ตั้งแต่แรกเกิดจนโต ดังนั้นเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมามีนิสัยอย่างไร ขึ้นอยู่กับสองมือของพ่อแม่ที่จะช่วยถักและสานพฤติกรรมที่ดีของลูกขึ้นมา

ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

จากงานเสวนาเรื่อง ‘เลี้ยงลูกถึงหัวใจด้วยวินัยเชิงบวก’ ที่จัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล อาจารย์หม่อม หรือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของงานวิจัย ‘101S เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก&พัฒนาการสมอง จิตใจ และพฤติกรรม’  เสนอว่า ถ้าพ่อแม่เข้าใจการทำงานเบื้องหลังของสมองที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่างๆ ของลูกได้ จะเป็นเครื่องมือชั้นดี ที่จะทำให้รู้ว่าจะต้องสอนลูกอย่างไร ซึ่งมีโครงสร้างทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่

  • สมองส่วนสัญชาตญาณ ที่แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างอัตโนมัติ
  • สมองส่วนอารมณ์ ที่แสดงพฤติกรรมว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วถ้าไม่ชอบจะแสดงเป็นพฤติกรรมทันที โดยที่ไม่ส่งข้อมูลไปให้สมองส่วนหน้าวิเคราะห์หรือหาเหตุผล
  • สมองส่วนเหตุผล (Executive Function-EF) ที่แสดงพฤติกรรมผ่านการทำงานของสมองชั้นสูง คิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ควบคุมอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และการตัดสินใจ ก่อนจะแสดงพฤติกรรมใดออกมา

ถ้าสมองไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม เด็กจะกลับไปใช้สมองส่วนสัญชาตญาณและส่วนอารมณ์มากกว่า ดังนั้นอาการลงไปชักดิ้นชักงอ ร้องกรื๊ด เรียกร้องความสนใจเวลาอยากได้ของเล่น หรือ อาการอ้างเหตุผลร้อยแปดเมื่อถูกจับได้ว่าโกหก ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ออกมาจากสมองส่วนสัญชาตญาณและอารมณ์ที่ถูกพัฒนาเต็มที่ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง เป็นพฤติกรรมธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องมีใครสอนเด็กก็ทำได้อย่างอัตโนมัติ

“ถ้าอยากให้ลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมา ประสบการณ์เดิมต้องมีคุณภาพ” 

แล้วประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพสร้างได้อย่างไร

การที่เด็กจะได้พัฒนาฝึกสมองส่วนเหตุผล หรือ EF ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและคุณภาพของประสบการณ์นั้น ซึ่งสร้างได้ง่ายๆ จากการให้ความรัก ความอบอุ่น ความผูกพันและให้พื้นที่ปลอดภัย พ่อแม่จะกลายเป็นวัคซีนที่ยอดเยี่ยมในการทำให้ลูกค่อยๆ สร้างตัวตนที่เป็นตัวเขาขึ้นมา

แล้วเมื่อโตขึ้นเขาจะมีนิสัยอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมเหล่านี้ หากเด็กพลาดการฝึกฝนสมองช่วงนี้ไป สมองส่วนอารมณ์จะเข้าควบคุมพฤติกรรมของลูกทั้งหมด 

“สมมุติลูกเราเป็นเด็กชายอายุ 15 ปี เดินออกจากบ้านไปเจอเพื่อนมายืนรอหน้าบ้าน แล้วชักชวนไปเสพยา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปหรือไม่ไป เขาจะดึงประสบการณ์เดิมที่เคยเจอมาทั้งหมดประมวลผลก่อน หากลูกเรามีประสบการณ์ที่ไม่ดี เคยถูกพ่อต่อว่า แม่ก็ไม่เคยแสดงความรัก ไปโรงเรียนก็ไม่มีเพื่อนคบ อาจทำให้เขาตัดสินใจไปเสพยากับเพื่อนก็ได้” อาจารย์หม่อมยกตัวอย่าง

นอกจากการให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์เดิมแล้ว ‘วินัยเชิงบวก’ ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เด็กในวันนี้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าได้อย่างมีคุณภาพ

วินัยเชิงบวก คืออะไร

วินัยเชิงบวก คือการสอนและฝึกฝนลูก โดยปราศจากความรุนแรงทางกายวาจา เน้นการส่งเสริมวิธีการสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่บังคับหรือควบคุมลูก รวมถึงลงโทษหรือทำร้ายร่างกายและจิตใจ สอนให้ลูกประสบความสำเร็จโดยให้ความรู้และความรักควบคู่กัน

วินัยเชิงบวกจึงทำหน้าที่คล้ายสะพานเชื่อมโยง ระหว่าง ‘การแสดงออกทางพฤติกรรม’ และ ‘การใช้ทักษะสมองส่วนเหตุผล หรือ EF’ ฉะนั้น อาจารย์หม่อมจึงชวนพ่อแม่สำรวจเทคนิคสร้างวินัยเชิงบวก ดังนี้

สมองคือกระปุก

พ่อแม่เคยถามตัวเองไหมว่า วันๆ หนึ่ง เราพูดอะไรกับลูกบ่อยที่สุด ‘ตั้งใจหน่อย’ ‘เร็วๆ’ ‘อย่าชักช้า’ ‘กินข้าวให้หมด’ ถ้าเปรียบสมองลูกเป็นกระปุกออมสิน ถ้อยคำเหล่านี้ก็คือเหรียญที่ลูกจะหยิบขึ้นมาใช้ พ่อแม่ควรจะไตร่ตรองก่อนว่าจะหยอดอะไรลงไปในกระปุกบ้าง อย่าแบกเหรียญทั้งหมดที่เคยเจอมาใส่ให้เขา

พ่อแม่มักหยอดคำพูดเชิงบังคับในทุกๆ วัน ให้กับลูก เช่น กินผักเดี๋ยวนี้ ดื่มนมให้หมด ตื่นได้แล้ว ดึกแล้วไปนอน ล้างมือด้วย อย่าเอามือแคะขี้มูก ทำการบ้านหรือยัง ฯลฯ ซึ่งคำพูดเหล่านี้ล้วนไม่ได้ส่งเสริมให้ลูกฝึกใช้ประสบการณ์ตัวเองและสมองส่วน EF ในตัดสินใจเอง ควรจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นๆ บ้าง แทนที่จะบังคับและพูดแต่เรื่องเดิมๆ กับลูก

“พ่อแม่ทุกคนจงจำไว้ว่าการหยอดน้ำเสียง หยอดท่าทาง หยอดภาษากาย ของพ่อแม่แต่ละคน ย่อมส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์ของลูกได้”

อย่ามา NO!

‘อย่าวิ่ง!’ ‘หยุดพูด!’ ‘ห้ามเถียง!’ พ่อแม่หลายคนมักจะใช้คำพูดเหล่านี้ในการหยุดพฤติกรรมของลูกอยู่บ่อยๆ แต่คำว่า ห้าม-ไม่-อย่า-หยุด เป็นคำที่ควรละเว้นในการสร้างวินัยเชิงบวก เนื่องจากชุดคำมักจะได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะต้องใช้การประมวลระดับสูง สมองเด็กต้องประมวลผลถึง 2 รอบ

เมื่อพูดกับลูกว่า ‘อย่าวิ่ง’ สิ่งที่สมองของเด็กจะประมวลได้เป็นอันดับแรกคือ ‘วิ่ง’ ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกทำอะไร ควรจะบอกตรงๆ ให้เขาเข้าใจง่ายๆ เด็กยังประสบการณ์น้อย จึงจำเป็นต้องใช้คำพูดที่ชัดเจนและไม่ทำให้สับสน ถ้าจะบอกลูกว่า ‘อย่าวิ่ง’ ให้เปลี่ยนเป็นพูดว่า ‘ค่อยๆ เดิน’

ปลอบหรือสอน

เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมต่างๆ ให้พ่อแม่สังเกตว่าเขากำลังใช้สมองส่วนไหนในการทำงาน เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรมลูกมาจากสมองส่วนอารมณ์ เช่น ร้องไห้ โวยวาย กรื๊ด กระทืบเท้า ดิ้น ทุบตีพ่อแม่ ฯลฯ แสดงว่าสมองส่วนอารมณ์ไม่ส่งข้อมูลไปสมองส่วน EF เป็นช่วงเวลาที่ยังสอนไม่ได้ ให้พ่อแม่มีสติและควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้เสียก่อน อย่าเพิ่งสอน เพราะเด็กจะรู้สึกต่อต้าน

วินัยเชิงบวกจะช่วยให้พ่อแม่รู้จักลูก เข้าใจลูก และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกมากขึ้น รวมถึงเป็นอาวุธในมือของพ่อแม่ที่ใช้สร้างถนนที่แข็งแรงให้ลูกเดินในอนาคต จากการป้องกันและการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งช่วยพัฒนาสมองทั้งด้านอารมณ์และสังคม 

แม้ไม่มีเวลาตายตัวสำหรับการฝึกวินัยเชิงบวก ไม่สามารถตั้งเป้าหมายกับลูกได้ว่าต้องฝึกกี่เดือน กี่ปี ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพราะการรับรู้ของเด็กแต่ละคน แต่ละช่วงวัยย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งถ้าลูกอายุน้อยไม่ถึง 1 ขวบ พ่อแม่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแต่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโครงสร้างการทำงานของสมองของลูกทั้งหมด

“ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนอย่างไร เราก็ควรจะเป็นคนแบบนั้น” เป็นสมการที่พ่อแม่ยุค 2018 ควรนึกถึงไว้เสมอ เพราะจะทำให้เราตัดสินใจได้ว่า จะเลือกหยิบเหรียญใดหยอดลงในกระปุกที่มีชีวิตใบนี้ เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพมากที่สุด

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยวินัยเชิงบวกEFปนัดดา ธนเศรษฐกร

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

INTERNAL FAMILY SYSTEMS (IFS): ภายในตัวของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน
Relationship
14 September 2018

INTERNAL FAMILY SYSTEMS (IFS): ภายในตัวของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ‘ครอบครัว’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ แต่คือ ‘ตัวตนย่อย’ ซึ่งต่างอิงแอบมีความสัมพันธ์กันภายใน (internal) อย่างเป็นครอบครัว (family)
  • ปกติตัวตนย่อยของเราจะทำงานอย่างสมดุลและสอดคล้องอย่างเป็นครอบครัว เมื่อตัวตนหวาดกลัวเริ่มสั่นคลอนอ่อนไหว ตัวตนนักสู้ก็อาจเผยตัวออกมาปกป้อง หรือบางทีอาจเป็นตัวตนย่อยอื่นๆ ขึ้นมากลบความหวาดกลัวหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรากำลังเสียศูนย์
  • IFS ไม่ใช่เครื่องมือ ‘ปราบปราม’ แต่เพื่อเข้าใจและรู้ทันว่าเรามักใช้ ‘ตัวตนย่อย’ ไหน และมันส่งผลอย่างไรต่อชีวิต

หลายๆ คนอาจเคยเป็นเช่นนี้

“บางสิ่งในตัวฉันอยากได้คำยืนยันว่า ‘ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี’ แต่เสียงอีกด้านกลับค้านว่าความคิดนั้นเป็นแค่คำลวง ขณะที่อีกมุมหนึ่งก็รำคาญมากๆ ถ้าใคร หรือแม้กระทั่งตัวเราเองจะมาบอกว่า ‘ทุกอย่างจะต้องผ่านไป’ ”

คือตัวอย่างที่ เอลานา พรีแมค แซนด์เลอร์ (Elana Premack Sandler) นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ (Licensed Professional Social Workers: LCSW) ให้กับศูนย์ข้อมูลการป้องกันการฆ่าตัวตาย (Suicide Prevention Resource Center: SPRC) อธิบายไว้ในบทความเรื่อง ‘Hope and Hopelessness From a Different Viewpoint’ (ความหวังและความสิ้นหวังจากต่างมุมมอง) ในเว็บไซต์ Psychology Today เพื่ออธิบายว่า

‘ภายในตัวตนของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน’ ไม่มีตัวตนไหนเป็นใหญ่ เพียงแต่ในบางช่วงเวลา ตัวตนใดตัวตนหนึ่งอาจลุกขึ้นมาทำงานอย่างแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องความหวาดกลัวอื่นในใจของเราเอง

และนั่นคือหนึ่งในแก่นแกนของแนวคิดจิตบำบัดที่ชื่อ Internal Family Systems (IFS) หรือ จิตบำบัดระบบครอบครัวภายใน แต่ ‘ครอบครัว’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงความสัมพันธ์ภายนอกในเชิงเครือญาติ พ่อ-แม่-ลูก หากหมายถึง ‘ตัวตนย่อย’ (part หรือ subpersonality) ซึ่งต่างอิงแอบมีความสัมพันธ์กันภายใน (internal) อย่างเป็นครอบครัว (family) ตัวตนย่อยเหล่านี้จะลุกขึ้นมา ‘ควบคุม’ หรือ ‘ปกป้อง’ ตัวเองจากความเจ็บปวดหรือบาดแผลที่กำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น ตัวตนขี้กลัว, ตัวตนจัดการ, ตัวตนนักสู้, ตัวตนขี้เล่น, ตัวตนหวาดระแวง และอีกมาก

ตัวตนย่อยมีได้มากมายหลากหลายถ้าเราลองสำรวจเสียงในหัวหรือปฏิกิริยาโต้กลับที่แต่ละคนใช้ในแต่ละสถานการณ์ดีๆ

ปกติแล้วตัวตนย่อยต่างๆ ของเราจะทำงานเพื่อขจัดพฤติกรรมหรือปฏิกิริยาตอบสนองแย่ๆ เพื่อกันไม่ให้เรา ‘หลุด’ หรือ ‘พัง’ เช่น เมื่อตัวตนหวาดกลัวเริ่มสั่นคลอนอ่อนไหว ตัวตนนักสู้ก็อาจเผยตัวออกมาปกป้อง หรือบางทีเราอาจใช้ตัวตนย่อยอื่นๆ ขึ้นมากลบความหวาดกลัวหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังเสียศูนย์

แต่ถึงจะมีตัวตนย่อย เราก็ยังมีผู้บัญชาการสูงสุดที่เรียกว่า ‘self’ เป็นตัวตนแก่นแท้ ซึ่งคำอธิบายถึง ‘ตัวตนย่อย’ และ ‘self’ จะกล่าวต่อในหัวข้อถัดไป

การใช้งาน IFS มีได้ทั้งการใช้ในชีวิตประจำวัน และการรักษาผู้ที่มีอาการทางจิต เช่น ซึมเศร้า, ไบโพลาร์, ถูกคุกคามทางเพศ และอื่นๆ ซึ่งจะต้องทำงานกับนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดมืออาชีพ

แต่เฉพาะการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะใช้เป็นเครื่องมือใคร่ครวญและค้นลึกเข้าไปในโลกภายในเพื่อดูว่าตัวตนย่อยใดที่เราใช้งานประจำ สำคัญคือ ‘ไม่ใช่การรู้เพื่อรักษา’ แต่ยอมรับว่ามันมีอยู่ รับฟังเสียงและพินิจพิเคราะห์เพ่งมองความต้องการ และลองดูว่าหากเราใช้งานตัวตนนี้บ่อยเกินไป จะเป็นไปได้ไหมหากเราจะยอมให้ self ตัวตนที่เป็นแก่นแท้ปรากฏขึ้นมาดูแลปกป้องตัวเองบ้าง

นอกจากนี้ยังมีการนำ IFS ลงไปใช้กับการเลี้ยงเด็กในแง่ ให้เขาเรียนรู้ แยกแยะ และเข้าใจตัวตนของอารมณ์นั้นตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 6-11 ปี วัยที่เด็กกำลังพัฒนาด้านภาษาและอารมณ์ กล่าวคือ ในขณะที่พวกเขากำลังหัดพูด และเหมือนจะอธิบายออกมาเป็นภาษาได้ไม่ดีนัก แต่พวกเขากำลังเรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ต่างๆ ผ่านสภาพแวดล้อมที่เผชิญ

ตัวตนย่อยคืออะไร มีอะไรบ้าง?

ก่อนจะว่าด้วยตัวตนย่อย ต้องกล่าวก่อนว่า IFS ถูกพัฒนาขึ้นโดย ริชาร์ด ชวอร์ตซ์ (Richard Schwartz) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1990 หลังทำงานกับคนไข้ตลอดหลายปีและพบความเชื่อมโยงในการรักษาคนไข้หลายคนว่าการรักษาจะดีและเจาะจงขึ้นมากหากรับฟังโดย ‘มุ่งเป้า’ ไปที่ตัวตนย่อยที่อยู่ภายในแต่ละคน

ชวอร์ตซ์เชื่อว่าไม่มีตัวตนย่อย หรือ part ไหนที่เลว หน้าที่ของนักจิตวิทยาหรือจิตบำบัดเพียงแต่ทำให้ตัวตนย่อยนั้นไม่แสดงผลลัพธ์อย่างสุดขั้วเท่านั้น ชวอร์ตซ์แบ่งตัวตนย่อยหลักไว้ 3 อย่าง (แต่ย้ำว่าตัวตนย่อยมีได้มากมายหลากหลาย) ดังนี้

  • Managers (นักจัดการ): รับผิดชอบด้านความตระหนักรู้โดยทั่วไปของคน วิธีการคือ จะออกไปขจัดความรู้สึกไม่ดีอย่าง ความรู้สึกไม่ชอบ ความรู้สึกไม่สร้างสรรค์ ประสบการณ์ทั้งหลายที่ถูกกระตุ้นจากภายนอก
  • Exiles (ผู้ลี้ภัย): เป็นตัวตนที่มักเกิดขึ้นหรือเป็นผลลัพธ์จากเรื่องราวในอดีต เป็นผู้ลี้ภัย เด็กน้อยที่มีประสบการณ์เจ็บปวด เปราะบาง แต่นักจัดการ (Manager) และนักต่อสู้ (Firefighters) มักจะออกมาปกป้องความรู้สึกเหล่านี้ หมายความว่าในระดับปกติ ความรู้สึกจากตัวตนผู้ลี้ภัยนี้จะถูกปกป้องเอาไว้
  • Firefighters (นักต่อสู้): นักต่อสู้จะมีบทบาทเมื่อความรู้สึกหวาดกลัว หรือตัวเนรเทศถูกรุกให้เผยตัว นักต่อสู้จะเข้าไปปกป้องความรู้สึกนี้ การเผยตัวของนักต่อสู้ทำให้คนนั้นๆ แสดงพฤติกรรมปกป้องตัวเองทางใดทางหนึ่ง อาจเป็นการยอมทำตามใจ, เสพติดบางอย่างหรือไปทำร้ายบางสิ่ง หรือบางครั้งอาจเป็นทางนำไปสู่พฤติกรรมทางเพศ, ทำงานหนัก, เสพติดอาหาร หรือไม่ก็ลงกับแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด

อาจกล่าวได้ว่า Managers (นักจัดการ) และ Firefighters (นักต่อสู้) อยู่ในบทบาทของ ‘นักปกป้อง’ ขณะที่ Exiles (ผู้ลี้ภัย) จะถูกปกป้อง

Self: ตัวตนแก่นแท้

self หรือ ‘ตัวตนแก่นแท้’ นั่งอยู่ในตำแหน่งของความตระหนักรู้ (consciousness) หรือแก่นแกนของตัวบุคคล self จะให้ภาพของความคิดที่มีคุณภาพเชิงบวก ทั้งการยอมรับ, ความมั่นใจ, ความสุขุมสงบนิ่ง, ความปราดเปรื่อง, ความสร้างสรรค์, ความเมตตา, ความเชื่อมโยง, ความเป็นผู้นำ, มุมมองการใช้ชีวิต และอื่นๆ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเชิงนามธรรม ส่งออกมาเป็นคุณภาพจากภายใน ไม่ใช่คุณลักษณะที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ตัวตนย่อยแสดงออกให้เห็นเป็นพฤติกรรมออกมา ในแง่นี้จึงอาจกล่าวได้ว่า self เป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เป็น ‘I’ หรือ ‘ฉัน’ ที่ทุกคนมีเหมือนกัน เป็นหนึ่งเดียวและไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า

จาก ‘ตัวตนย่อย’ สู่ ‘ตัวตนข้างในอย่าง self’ จึงเป็นการคลี่ขยายให้เห็นว่า การมองเห็นตัวตนย่อยและเท่าทัน เวลาที่ความรู้สึกปะทะขึ้นมา เราจะพิจารณาและชี้ชัดได้ว่าตัวตนไหนกำลังปะทุและจะต่อรองกับมันได้อย่างไร และทำอย่างไรให้เราสามารถแยกตัวตนที่หลากหลาย (unblend) เฝ้าดูอย่างสงบ และกลับมาเชื่อมโยงกับ self ตัวตนแก่นแท้ ที่สร้างความตระหนักรู้ให้กับเราได้อย่างสมดุล

กรณีศึกษา

ในกรณีของผู้ป่วยจิตเภท ผู้ที่ทำงานด้วยคือนักจิตบำบัดหรือนักจิตวิทยา แต่ในชีวิตประจำวัน เทคนิคง่ายๆ คือถอยตัวเองออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองไปที่ ‘ตัวตนย่อย’ นั้น และค่อยๆ ไล่ถามตัวเองไปว่า ‘เรา’ หรือ ‘ฉัน’ มองเห็นตัวตนที่ว่านี้ไหม รู้หรือไม่ว่าทำไมตัวตนนี้จึงเกิดขึ้นมา และเรารู้สึกกับตัวตนย่อยนี้อย่างไร

แต่ที่จะขอยกตัวอย่างมาอธิบายในที่นี้ คือการทำงานของนักจิตบำบัดกับผู้ป่วยจิตเภทที่ต้องการฆ่าตัวตายรายหนึ่ง บันทึกไว้ในบทความเรื่อง ‘The Teenager’s Confession: Regulating Shame in Internal Family Systems Therapy’ (คำสารภาพของวัยรุ่น: การรู้เท่าทันความอับอายผ่านจิตบำบัดระบบครอบครัวภายใน) โดย ดร.มาร์ธา สวีซี (Martha Sweezy Ph.D) วารสาร American Journal of Psychotherapy

The Teenager’s Confession เป็นเรื่องราวการบำบัดหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งใช้นามสมมุติว่าแองจี้ (Angie) เธอรักษาอาการทางจิตมาหลายปีและมีความตั้งใจจะฆ่าตัวตาย สวีซีซึ่งรับผิดชอบการบำบัดเธอโดยยึดทฤษฎี IFS วิเคราะห์ว่า ตัวตนย่อยที่เด่นชัดของแองจี้คือ ‘ความอ่อนแอ’ และ ‘อันตราย’

ในการบำบัด สวีซีพุ่งเป้าไปที่ตัวตนความอ่อนแอ ซึ่งทำให้ตัวตนอันตรายต้องออกมาปกป้อง ในรายงานของสวีซีบันทึกว่า ช่วงแรกนักบำบัดยังไม่แน่ใจว่าตัวตนอ่อนแอและอันตรายของเธอ ถูกกระตุ้นมาจากตัวตนหรือประสบการณ์เบื้องหลังอื่นหรือไม่ แต่เมื่อบำบัดโดยพุ่งเป้าตั้งคำถามกับแองจี้ว่า เธอคิดอย่างไรกับตัวตนอ่อนแอ แองจี้จึงค่อยถอยกลับและเล่าเรื่อง -อย่างที่ในบทความใช้คำว่าสารภาพ (confession)- ว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องราวในชีวิตตอนเด็กที่แองจี้มีส่วนทำให้น้องชายซึ่งขณะนั้นป่วยด้วยโรคมะเร็งถูกข่มขืนและเสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน

แต่เฉพาะการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพการบำบัดในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างการบำบัดแองจี้โดยเริ่มต้นจากตัวตน ‘อ่อนแอ’ โดยใช้มือจำลอง (iron hand) จับไปที่ศีรษะของเธอ

สวีซี: หนูรู้สึกยังไงกับมือจำลองนี้?

แองจี้: หนูเกลียดมัน

สวีซี: ตัวตนของหนูที่รู้สึกว่า ‘เกลียดมัน’ จะยอมถอยกลับไป แล้วยอมให้ ‘หนู’ ได้ช่วยเหลือมือจำลองนี้มั้ยจ๊ะ?

แองจี้: โอเค ก็ได้ค่ะ

สวีซี: ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้หนูรู้สึกอย่างไรกับมัน?

แองจี้: กลัวค่ะ

สวีซี: ‘ตัวตนหวาดกลัว’ ของหนู จะยอมถอยกลับแล้วปล่อยให้ ‘หนู’ ได้จัดการกับความกลัวนี้ได้มั้ย?

แองจี้: โอเค

สวีซี: ตอนนี้รู้สึกอย่างไรคะ

แองจี้: โกรธ

ในทางทฤษฎี ชวอร์ตซ์เรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การค้นหา’ จุดประสงค์เพื่อให้คนไข้ได้ระบายอารมณ์ที่มักเกิดอย่างต่อเนื่อง เช่น จากความสงสัยใคร่รู้ต่อสถานการณ์นั้น แล้วจึงพัฒนาเป็นความสงสารเห็นใจ ก่อนจะไปสู่ความรู้สึกด้านลบอื่นๆ คนไข้จะถูกขอให้สำรวจความรู้สึกรุนแรงที่เกิดขึ้นและค่อยๆ แยกแยะคลี่คลาย (unblend) ในกรณีของแองจี้คือ ตอนแรกเธอเกลียดมือจำลองนั้น ต่อมาคือความหวาดกลัว และจึงโกรธมัน เมื่อความรู้สึกถูกชี้เฉพาะ สวีซีดำเนินการบำบัดของเธอต่อโดยให้แองจี้ถามว่า ‘มือจำลอง’ นั้นกำลังปกป้องใครอยู่ คนที่มือจำลองปกป้องนั้นอายุเท่าไร และมือจำลองเอง อายุเท่าไร การถามแบบนี้ไปเรื่อยๆ นักจิตบำบัดจะค่อยๆ ได้ข้อมูลมาปะติดปะต่อเพื่อไปยังตัวตนย่อยที่ครอบงำเธออยู่

ซึ่งการบำบัดขั้นสุดท้ายจะทำให้เห็นว่าตัวตนย่อยที่แองจี้ยึดอยู่ แท้จริงแล้วคือความ ‘รู้สึกผิด’ ที่เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้องชายถูกข่มขืนและฆ่าตัวตาย

Hope หรือ Hopelessness ในมุมมอง IFS

กรณีศึกษาด้านบนคือการใช้ IFS ในขั้นตอนการบำบัดผู้ป่วยจิตเภทโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่ในชีวิตประจำวัน เราอาจใช้มันเพื่อสำรวจและแยกแยะความรู้สึก และใช้เพื่อย้ำว่า ความรู้สึกใดๆ ที่เราถูกครอบงำในขณะนี้ อาจเป็นแค่ตัวตนย่อยเสี้ยวเดียวจากทั้งหมดก็ได้

“ถ้ารู้สึก ‘หมดหวัง’ เป็นไปได้ที่คนนั้นจะรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย มองให้ลึกลงไป ใต้ความรู้สึกหมดหวังมีตัวตนย่อย (part) และอาจจะหลายตัวตนย่อยด้วยซ้ำซ่อนอยู่ใต้ความรู้สึกนี้ ตัวตนสิ้นหวังก็อาจเป็นแรงจูงใจสำคัญให้ลุกขึ้นไปปกป้องตัวตนย่อยอื่นๆ เพื่อกันไม่ให้เราเจ็บปวดเพิ่ม ซ้ำร้าย ความกลัวของเราอาจถูกกระตุ้นจากประสบการณ์ในอดีตเพิ่มขึ้นไปอีก ตัวตนสิ้นหวังก็อาจแข็งแรงขึ้นจนคนผู้นั้นแยกไม่ออกว่า ‘ฉัน’ ไม่ใช่ตัวตนสิ้นหวัง, ไม่รู้ว่า ‘ฉัน’ ยังมีตัวตนอื่นซึ่งอาจหลบมุมอยู่, และมี ‘ฉัน’ จริงๆ ซึ่งเป็นคนละตัวตนกับตัวตน ‘สิ้นหวัง’

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ IFS เน้นย้ำคืออย่าเพิกเฉยกับตัวตนสิ้นหวัง (และตัวตนอื่น), กับความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนย่อยต่างๆ (ที่เปรียบเหมือนครอบครัว), และ กับ self แต่ให้ใช้เวลาทบทวนความสัมพันธ์เหล่านี้ ไม่ว่ามันจะเป็นความคิดที่หนักหนาและอันตรายขนาดไหน เพราะถ้าตัวตนย่อยเหล่านี้ถูกเพิกเฉย ไม่ถูกพิจารณา มันจะเติบโตและขยายกว้างจนควบคุมไม่ได้

“IFS คือการทำงานกับตัวตนย่อยต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาทำความรู้จักมัน ซึ่งมันจะยากมากๆ ในตอนเริ่ม และทำความเข้าใจว่าแต่ละตัวตนทำงานร่วมกันอย่างไร ในกรณีนี้ ถ้าเข้าใจการทำงานของมันจริง ความสิ้นหวังจะสร้างศรัทธาให้กับ self และจะเจอหนทางที่สมดุลในการจัดการมันต่อไป”

คือข้อความจากหนึ่งในผู้เข้ารับการบำบัดกับ IFS ซึ่งแซนด์เลอร์ นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ ยกขึ้นมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานภายในของตัวตนต่างๆ ซึ่งทำให้แซนด์เลอร์ได้ข้อสรุปว่า

  • ความสิ้นหวังอาจเป็นความรู้สึกต้องการการปกป้อง หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัยจนต้องหาอะไรมาทดแทนความรู้สึกนั้น
  • ความรู้สึกที่เรามี หรือตัวตนย่อยที่เรามี ต้องไม่ถูกเพิกเฉยหรือพยายามขจัดมันออกไป เพราะมันเท่ากับการทำให้ความรู้สึกไม่ดีเหล่านี้ขยายกว้างขึ้น
  • ‘ใจดีกับตัวเอง’ ขณะที่ทำงานกับความรู้สึกสิ้นหวัง คือสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ

แซนด์เลอร์ปิดท้ายว่า “ความหวังไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกับความสิ้นหวัง เราต่างมีเหตุผลให้กับทุกความรู้สึกและความคิดของตัวเอง ทั้งยังจัดการกับความรู้สึกดังกล่าวแตกต่างกันด้วย แต่การทำความเข้าใจกับความคิดมันมีกระบวนการ (process) ที่ต้องอาศัยความใส่ใจและเข้าอกเข้าใจ”

หรืออาจกล่าวได้ว่า

ถ้าเชื่อใน IFS ทุกเสียงที่ดังขึ้นในหัว จงท่องไว้เสมอว่านั่นไม่ใช่เสียงเดียว ไม่ใช่ตัวตนหลักที่ครอบงำเป็นใหญ่ หรือเป็นตัวเราจริงๆ ไม่ว่าเสียงนั้นจะดีหรือร้าย มันเป็นแค่ตัวตน ‘ย่อย’ หนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะตัวตนย่อยอื่นกำลังถูกทำร้ายหรือทำให้หวาดกลัว มันเป็นเพียง “กลไกป้องกันตัวเอง” อย่างหนึ่งเท่านั้น

สำคัญคือลองถอยตัวเองออกมาแล้วสอบถามตัวตนย่อยนั้นอีกครั้งว่า เขาอยากอธิบายอะไรกับเรา

แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวตนย่อยไหนที่ขึ้นมาก่อกวนใจเรา เราควรแยกตัวตนย่อยออกด้วยความเมตตา เพื่อให้เข้าถึง self หรือตัวตนแก่นแท้ ให้ตัวตนแก่นแท้ได้ทำงานเพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นอิสระ ทำตามหัวใจของเราที่สร้างสรรค์ได้อย่างแท้จริง

อ้างอิง:
Journal of Marital and Family Therapy April 2001, Vol. 27, No. 2, 189-200
Internal Family Systems Therapy
Hope and Hopelessness From a Different Viewpoint
Internal Family Systems (IFS)

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาInternal Family Systems(IFS)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’
Character building
13 September 2018

สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • สุขภาวะที่ดี หรือ การรู้สึกดีและมีความสุขกับชีวิต จะเกิดเมื่อเราอยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์เชิงบวก รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต และสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้
  • การสร้างสุขภาวะที่ดีเกิดขึ้นจาก ‘การพัฒนาจุดแข็งในตัวบุคคล’ และ ‘การพัฒนาชุมชนและสังคม’
  • พูดง่ายๆ ก็คือ ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศ ต้องร่วมมือกันสร้างความอยู่ดีและมีสุขให้เด็กๆ

ชีวิตที่ออกแบบได้ เป็นความฝันของใครหลายคน ผู้คนแต่ละเจเนอเรชั่นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางอุดมคติที่หล่อหลอมให้เกิดค่านิยมในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน คนรุ่นก่อนอาจให้ความสำคัญกับ ‘ความมั่นคง’ และ ‘ระเบียบแบบแผน’ ขณะที่คนอีกรุ่นหนึ่งให้ความสำคัญกับ ‘ความอิสระ’ และ ‘การออกนอกกรอบ’ หรือแม้กระทั่งการมอง ‘ความเสี่ยง’ เป็นเรื่องของ ‘ความท้าทาย’ และเป็นเรื่อง ‘เร้าใจ’

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เชื่อว่าทุกเจเนอเรชั่นต่างต้องการมีชีวิตที่มี ‘สุขภาวะที่ดี’ (wellness)

‘สุขภาวะที่ดี’ เป็นคำกว้างๆ ที่ให้ความรู้สึกเชิงบวก แต่จริงๆ แล้วหมายถึงอะไร?

สตีเฟน เอ็ม. ชูลเลอร์ (Stephen M. Schueller) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาคลินิก เขียนไว้ในบทความวิชาการเรื่อง ‘Promoting Wellness: Integrating Community and Positive Psychology’ หรือ การส่งเสริมสุขภาวะ: การบูรณาการจิตวิทยาชุมชนและจิตวิทยาเชิงบวก ว่า

คนเราจะรู้สึกดีและมีความสุข เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์เชิงบวก (positive emotions) รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต (satisfying) และสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้ (to function and adapt to the environment)

สอดคล้องกับที่ โครีย์ คีเยส (Corey Keyes) นักสังคมวิทยาและนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้พัฒนาแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวก ใช้คำว่า flourishing อธิบายถึงความงอกงามในชีวิต การใช้ชีวิตที่มีสุขภาวะที่ดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัจจัย 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ อารมณ์เชิงบวก (positive emotions) สุขภาพจิตเชิงบวก (positive psychological health) และกลไกทางสังคมเชิงบวก (positive social functioning)

นอกจากนี้ จิตวิทยาเชิงบวกยังให้ความสำคัญกับ การสร้างจุดแข็งและคุณธรรม ที่ช่วยให้บุคคล ชุมชนและองค์กรต่างๆ เติบโตไปในทางที่ดีขึ้นได้

The Potential เคยพูดถึงการสร้างคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง ด้วยคุณลักษณะที่ดี 24 ข้อ เพื่อทำให้เด็กและเยาวชนรู้จักตัวเอง และสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างตรงจุด โดยอ้างอิงผลการสำรวจและการประเมินจาก The Values in Action (VIA) Project

ในกรณีนี้คุณลักษณะที่เป็นจุดเด่น 5 ข้อ (signature strengths) ของแต่ละบุคคลที่ได้จากการประเมินผลผ่านการสำรวจในโครงการ VIA มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้างสุขภาวะที่ดีได้ เพราะนอกจากทำให้เด็กและเยาวชนรู้จักจุดแข็งของตัวเองแล้ว ยังเป็นโอกาสให้พวกเขานำจุดแข็งนี้ไปสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นและชุมชนที่อาศัยอยู่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเมื่อชุมชนพัฒนาไปในทางที่ดี คนในชุมชนก็จะมีความพึงพอใจและมีความสุข

ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมที่มีสุขภาวะที่ดี?

สาเหตุที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับลูกตั้งแต่เริ่มต้น นั่นเป็นเพราะเด็กสามารถรับรู้และสัมผัสถึงสภาพอารมณ์ทั้งบวกและลบได้ตั้งแต่อายุราว 6 เดือน การเชื่อมต่อของระบบประสาทจะถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมภายนอก สภาพอารมณ์ของพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเด็กในช่วงแรกเกิด จึงมีผลต่อการสร้าง ‘การเรียนรู้ทางอารมณ์’ ของเด็กในระยะยาว

ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีปัญหา มีการทะเลาะเบาะแว้งและใช้กำลัง เด็กจะซึมซับสภาวะทางอารมณ์ผ่านโทนเสียงและความรู้สึกที่ถ่ายทอดจากบุคคลรอบข้าง ทำให้เกิดความหวาดกลัวและหวาดระแวง หรือส่งผลต่อสภาพจิตใจ จนกลายเป็นปมที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเชิงลบเมื่อโตขึ้น

หรือ

หากทารกได้รับสัมผัสที่ดีจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ความรู้สึกที่ส่งผ่านสัมผัสจะมีผลต่อการพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจในวัยผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น หากได้รับสัมผัสที่สื่อสารถึงความรู้สึกที่ดี เด็กก็จะเติบโตขึ้นมีมุมมองและความรู้สึกในแง่ดีต่อตัวเองและต่อผู้อื่น (optimism)

แล้วจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร?

การสร้างสุขภาวะที่ดีเกิดขึ้นได้จาก ‘การพัฒนาจุดแข็งในตัวบุคคล’ รวมทั้ง ‘การพัฒนาชุมชนและสังคม’ ไปพร้อมๆ กัน

ระดับบุคคลเริ่มต้นได้ด้วยการส่งเสริมและโน้มน้าวให้คนแต่ละคนหันมาสนใจดูแลตัวเอง และสนับสนุนให้มีการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อเสริมสร้างความอยู่ดีมีสุข

ส่วนในระดับชุมชนอาจต้องอาศัยภาคการเมืองและภาคสังคมเข้ามาช่วยจัดสรร เช่น การส่งเสริมประชาธิปไตย เพื่อให้คนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง รวมถึงการที่กลไกทางสังคมได้เปิดพื้นที่ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม การสนับสนุนเชิงนโยบายเพื่อให้สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น การเข้าถึงการศึกษา และการรักษาพยาบาล การส่งเสริมให้มีการสร้างกลุ่มหรือเครือข่ายคนรักสุขภาพในชุมชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ทั้งหมดจึงมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคล ครอบครัว รวมทั้งสถานที่ทำงาน โรงเรียน หรือพื้นที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต ทั้งด้านการศึกษา การสร้างความสัมพันธ์ สุขภาพ และนโยบายสาธารณะซึ่งเป็นสิ่งที่จิตวิทยาชุมชน (community psychology) ให้ความสนใจ

บทความหัวข้อ ‘Promoting Child and Family Wellness: Priorities for Psychological and Social Interventions’ หรือ ‘การสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีในเด็กและครอบครัว: สิ่งสำคัญของการสนับสนุนทางจิตวิทยาและทางสังคม’ ตีพิมพ์ใน Journal of Community & Applied Social Psychology กล่าวถึงการส่งเสริมให้มีการสนับสนุนสุขภาวะที่ดีของเด็กและครอบครัวอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงจิตวิทยาและทางสังคม

ข้อสรุปจากการวิเคราะห์ ให้ความสำคัญกับ ‘การสนับสนุนทางสังคม’ (social interventions) เพราะสุขภาวะที่ดีของเด็กและเยาวชน ไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงสภาพสังคมที่อยู่อาศัย

เด็กและเยาวชนที่เติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่เสียสละเวลาให้ความสนใจเลี้ยงดูลูกตั้งแต่แรกเกิด เด็กจะค่อยๆ พัฒนาความสามารถขึ้นมาตอบสนองและส่งเสริมให้ครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ แต่จะดียิ่งขึ้นหากสภาพสังคมและสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเอื้ออำนวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาล

ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลสามารถออกนโยบายด้านสวัสดิการของเด็กและครอบครัว สนับสนุนงบประมาณให้ผู้ปกครองใช้ในการเลี้ยงดูลูก ซึ่งอาจให้ในรูปแบบของเงินสดหรือการลดหย่อนภาษี การช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กและเยาวชนจากครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน หรือ การให้วันหยุดลายาวสำหรับแม่ที่เพิ่งคลอดลูก และอาจหมายถึงการสนับสนุนที่ไม่ใช้เงินงบประมาณ แต่เป็นการสนับสนุนทรัพยากร หรือการรวมกลุ่มทำประโยชน์ โดยจัดให้มีพื้นที่ทางสังคม การมีศูนย์เยาวชนที่เยาวชนสามารถเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมและฝึกฝนพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

เห็นได้ว่าการสร้างสุขภาวะที่ดีให้เกิดขึ้นกับชีวิต มีความเกี่ยวข้องกับเราตั้งแต่แรกเกิด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาด้วยปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ สภาพสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม แต่ในเมื่อชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ หากใครสักคนต้องเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีแต่ทางตัน แต่ถ้ามีพื้นที่ และโอกาสที่สังคมคอยสนับสนุน ก็คงเป็นหน้าที่ของเราในการหาทางออกให้กับตัวเอง โดยการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมเพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีให้ชีวิต และสามารถใช้ชีวิตได้อย่าง ‘อยู่ดีและมีสุข’

หมายเหตุ: โดยทั่วไปแล้วสุขภาวะที่ดี มักหมายรวมถึง การมีสุขภาพร่างกายและจิตใจในเชิงบวก แต่สำหรับงานวิจัย ‘Promoting Wellness: Integrating Community and Positive Psychology’ โดย สตีเฟน เอ็ม. ชูลเลอร์ (Stephen M. Schueller) ที่ใช้อ้างอิงในบทความนี้ ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาวะทางใจ (psychological wellness) เชิงบวกเป็นพิเศษ เพราะการมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลนั้นจะมีสุขภาพจิตที่ดีเสมอไป แต่แน่นอนว่าทั้งสองส่วนสามารถส่งเสริมกันและกันได้ ในภาพรวมหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาวะอีกด้านหนึ่ง
อ้างอิง:
http://www.viacharacter.org
Promoting Child and Family Wellness: Priorities for Psychological and Social Interventions

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเติบโตพัฒนาการทางอารมณ์พ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION
Voice of New Gen
12 September 2018

OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

เรื่อง

  • ในมุมมองผู้ใหญ่หลายคน คำว่า ‘เกม’ มักเป็นศัตรูที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกับการเรียนรู้มาโดยตลอด แต่ถ้าครอบครัวเลือกที่จะทำความเข้าใจและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน ก็จะช่วยสร้างการเรียนรู้ให้ลูกได้
  • Our Darkest Night เกมที่ปันและเพื่อนสร้างขึ้น ไม่ใช่การให้คุณค่าจากผลลัพธ์ แต่กระบวนการที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาต่างหาก ที่สร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับพวกเขา และพัฒนามันไปสู่ความสำเร็จ
  • ความเครียดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ความเครียดที่พอเหมาะจะทำให้สมองเด็กวัยรุ่นเกิดการพัฒนามากขึ้น
เรื่อง วรุตม์ นิมิตยนต์

มีเด็กคนไหนไม่เคยเล่นเกมบ้าง? อาจจะมี แต่น้อยถึงน้อยมาก

แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่าใครเคยสร้างเกมออกมาจนเล่นได้จริงบ้าง ก็อาจจะเข้าขั้นวังเวง

และถ้าถามเจาะลงไปอีกว่าใครเป็นเด็กมัธยมปลายที่เคยสร้างเกม และได้วางจำหน่ายใน platform ที่มีผู้คนใช้งานกันทั่วโลกอย่าง Steam บ้าง? คำตอบอาจจะเท่ากับศูนย์

ปัญญ์ ปีติเจริญธรรม

แต่ยังมี ปัน หรือ ปัญญ์ ปีติเจริญธรรม หนึ่งในทีมผู้พัฒนาเกม ‘Our Darkest Night’ ภายใต้โครงการ ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 4’ โดยเนคเทค (NECTEC) ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่เข้ามาเป็นเด็กมัธยมปลาย ผู้สร้างเกมและได้วางจำหน่ายใน Steam คนนั้น

“ตอนแรกอยากทำเพราะมันมีแรงบันดาลใจ แต่พอทำขึ้นมาจริงๆ พบว่าต้องใช้มากกว่าแรงบันดาลใจ”

ปันเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาที่พัฒนาเกมร่วมกับเพื่อนในทีมอีก 2 คน ทั้งหมดไม่ได้มีพื้นฐานแข็งแรงมากมายนัก แต่ชวนกันมาทำด้วยความสนใจ (passion) ตอนแรกตั้งใจให้ออกมาเป็นเพียงเกมที่เล่นกันเอาสนุก รางวัลชนะการประกวดอาจเป็นเพียงของแถม แต่ด้วยกระบวนการภายในโครงการฯ ที่ดึงพวกเขาไปจนพ้น comfort zone ของตัวเองจนทำให้ Our Darkest Night กลายเป็นเกมที่วางจำหน่ายจริง และมีคนซื้อไปเล่นกว่า 200 คน

สร้างเกมไปด้วย เรียนไปด้วย

เรื่องเวลาแต่ละคนต้องจัดสรรกันมาทำ เพราะนอกจากต้องรับผิดชอบทำโครงการแล้ว ยังต้องรับชิดชอบเรื่องเรียนไม่ให้เสียอีกด้วย ทำให้พวกเขาต้องจัดสรรเวลาในการทำงานกันให้ดี วางกระบวนการทำงานที่เป็นขั้นตอน รู้ว่าอันไหนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำก่อนหลัง

“ส่วนใหญ่จะใช้เวลาหลังเลิกเรียนทำ ดึกสุดที่เคยทำก็ตีสาม เป็นวันก่อนงานประกวดที่ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดที่เหลืออยู่” ปันตอบเมื่อถามถึงช่วงเวลาที่หนักที่สุดในการทำโครงการที่ผ่านมาเพราะต้องแข่งกับเวลาที่มีอยู่ไม่มากนัก แต่ทุกคนต้องช่วยกันให้งานเสร็จสมบูรณ์ให้ได้ เพราะนี่ถือเป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกคนในทีม

เมื่อเกมของเด็กมัธยมออกสู่ตลาด

“พอวางขายก็อ่วมอยู่เหมือนกัน เพราะจริงๆ พวกเราเป็นแค่เด็กสามคนมารวมตัวกันทำ คงจะสู้กับบริษัทเกมที่ทำอยู่แล้วไม่ได้ ยังขาดประสบการณ์อีกมาก”

ปันสารภาพว่ามีหลายครั้งที่รู้สึกแย่ เจอคนเข้ามาดุด่าแบบไม่มีเหตุผล แต่เข้าใจว่าความคิดเราอาจไม่ถูกใจคนทุกคน

“เขาว่าไม่ดีจริง เราเห็นว่าไม่ดีก็ควรปรับ ไม่ควรใช้อารมณ์ เพราะประเด็นคือเราต้องเอาไอเดียที่ได้รับมาไปสร้างงานต่อ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นไอเดียของเราเท่านั้น”

เกม Our Darkest Night

ครอบครัว – ครู ทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปด้วยกัน

ปันบอกว่า แรกๆ ที่บ้านไม่รู้จักเกมเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีใครเล่นเกม ช่วงแรกที่เริ่มทำโปรเจ็คท์เกมเพื่อแข่งขัน ปันเชื่อว่าที่บ้านก็มีความกังวลปนสงสัยไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ว่าลูกกำลังทำอะไร จะก่อให้เกิดผลเสียตามมามั้ย

“แต่ผมคิดว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำคือ ท่านถามเสมอว่าเราทำอะไรบ้าง เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ คือคุณพ่อคุณแม่รับรู้ว่าเรากำลังทดลองก้าวไปในเส้นทางใหม่ๆ ท่านไม่ได้ห้าม แต่ก็ไม่ปล่อยปละละเลยนะครับ คอยให้กำลังใจ และพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ

ที่บ้านไม่เคยบังคับว่าให้เรียนอะไร เขาสนับสนุนตลอดเวลาเราอยากไปทำอะไร อย่างผมก็ไปลองเป็นกราฟิกดีไซน์ ไปทดลองวิศวะคอม ลองไปออกค่าย ไปดูว่าเขามีอะไร ทำอะไรได้บ้าง ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กครับ เขาไม่เคยห้าม บอกแค่ว่าให้เราทำให้เต็มที่

ในมุมมองของผู้ใหญ่หลายคน คำว่า ‘เกม’ มักเป็นศัตรูที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกับการเรียนรู้มาโดยตลอด แต่สำหรับครอบครัวผมเลือกที่จะทำความเข้าใจและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน จนเริ่มมีมุมมองใหม่ว่า หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่กระบวนการระหว่างนั้นต่างหากที่จะช่วยสร้างการเรียนรู้ให้ลูกได้

ส่วนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ปันเล่าว่าปฏิกิริยาแรกคือ งง – งงว่าทำไมไม่ทำโปรแกรมที่มีประโยชน์ เพราะตอนไปแสดงผลงาน รอบตัวส่วนใหญ่จะเป็นเกมที่มีประโยชน์ เช่น คิดเลข ภาษาอังกฤษ แต่ทำไม Our Darkest Night มีแต่ความดาร์คและทึม รวมถึงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันสนุกยังไง

เกม Our Darkest Night

ความคิดอาจารย์เปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัยมาลองเล่น การเห็นด้วยตาทำให้เห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น และเมื่ออาจารย์ได้ลองเล่นเอง ผลลัพธ์คือความเข้าใจกลไกเกม เข้าใจสิ่งที่ปันและทีมทำ แม้ว่าอาจารย์จะไม่ได้ชอบเล่นเกมก็ตาม

“รู้สึกว่าอาจารย์ได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้ทดลองทำสิ่งที่สนใจ ไม่ปิดกั้นหรือกำหนดแนวทางที่ครูคิดว่าเหมาะสมกว่าให้ อีกทั้งยังลงมาทดลอง และพยายามทำความเข้าใจในผลงานเรา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นความสนใจของครูก็ตาม

จะฝันเฟื่องหรือฝันให้เป็นจริง

“ผมเชื่อว่า ถ้าเรามีความคิดสร้างผลงาน หรือมีอะไรสักอย่างที่มีคุณค่า แล้วเราปล่อยมันเป็นความคิดไว้ในหัว ถ้าไม่ลงมือทำมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ความฝันมีทั้งฝันเฟื่องและฝันที่ลงมือทำจริง อย่างผมอยากทำเกมแล้วนั่งทำอยู่บ้านคนเดียว หรือคิดเล่นๆ ไม่ได้ลงมือทำ ไม่ได้ไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ก็คงไม่มีทางที่เกมจะสำเร็จได้ แต่ผมเอามันไปลองแข่ง เอาไปให้คนทดลองเล่น ให้กรรมการช่วยกันให้ความเห็น แม้ว่าเกมจะไม่ได้ขายได้ทันที แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ความเห็นว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าทำไปคนเดียวเราอาจจะไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีเดดไลน์ ทำไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมายก็ได้”

พอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ปันพบว่าประสบการณ์ในวัยมัธยมทำให้มีแต้มต่อในการทำงาน ซึ่งเรียนรู้มาจากค่ายต่อกล้าให้เติบใหญ่

ปัญญ์ ปีติเจริญธรรม

“เราเข้าใจเลยว่าการทำแต่ละขั้นตอนใช้เวลาเท่าไร วางแผนงานอย่างไร เวลาเรียน บางวิชาก็ไม่ได้ตรงกับที่อยากเรียน เพราะรู้สึกว่าตอนเนื้อหายังไม่ลงลึกมาก แต่เราก็จะใช้วิธีว่าถ้าสนใจอะไรก็ศึกษาด้วยตัวเอง มีปัญหาอะไรก็ไปหาจากอินเทอร์เน็ต ลองหาข้อมูลจากบทความของต่างชาติบ้าง”

นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่สอนปันคือ วิธีการทำงานร่วมกับผู้อื่น รวมถึงภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเมื่องานมีปัญหา

“เวลาทำงานกับเพื่อนบางทีก็แปลกใจว่าทำไมถึงโกรธกัน หรือไม่เข้าใจแล้วทิ้งงานไม่ทำงาน เราก็อาจจะต้องรับมาทำเองบ้าง หรือเข้าไปเป็นตัวกลางประสานเพื่อให้งานเสร็จลุล่วง”

ปันเข้าใจดีว่า ในการทำงาน แต่ละคนจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต่างกัน และต่างก็มีสไตล์ในการทำงานไม่เหมือนกัน ความขัดแย้ง ไม่ลงรอยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“แต่เราจะพยายามเข้าไปประสานแต่ละฝ่าย บางครั้งเราเองก็เป็นฝ่ายผิดพลาดบ้างเหมือนกัน พยายามบอกให้ตัวเองรู้ตัวว่าเราพลาด เหมือนพยายาม feedback ตัวเอง ผมคิดว่าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่สอนตรงนี้เยอะ ไม่ได้ปลูกฝังตรงๆ แต่ฝึกให้เรารับ feedback จากผลงาน มันเลยช่วยปรับให้เรามี feedback การทำงานของตัวเองเกิดขึ้นด้วย” ปันทิ้งท้าย

Grit + Stress ช่วยสร้างเกม

เส้นทางของปันมีจุดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาของวัยรุ่นอยู่ 2 ส่วนก็คือ Grit (ความมุมานะ) และ Stress (ความเครียด)
Grit หรือ ความมุมานะที่ต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่าง passion (ความหลงใหล) กับ perseverance (ความไม่ย่อท้อ) ทั้งสองส่วนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยการทำอะไรซ้ำเยอะๆ แต่เกิดขึ้นได้จากการได้รับการฝึกฝนหรือการทำงานที่ดี ซึ่งต้องมีเป้าหมายที่ยากพอที่จะท้าทายและชัดเจน มีพื้นที่ทำงานอย่างเต็มที่ ได้รับ feedback จากสิ่งที่ทำ และมีการคิดปรับปรุงอยู่เสมอ

ดังนั้นการรับผิดชอบโครงการและผลักดันเกม Our Darkest Night ของปันและเพื่อนจึงไม่ใช่การให้คุณค่าจากผลลัพธ์ แต่กระบวนการที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาต่างหาก ที่สร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับพวกเขา และพัฒนาจนไปสู่ความสำเร็จ

Stress เรามักถูกสอนเสมอว่าความเครียดเป็นศัตรูเลวร้าย แท้จริงแล้วความเครียดในระดับอ่อนๆ เป็นการสนับสนุนและช่วยให้การเรียนรู้ของเด็กดีขึ้น เพราะสมองส่วนหน้าของวัยรุ่นที่ทำหน้าที่ควบคุมความคิด ความจำ ควบคุมตัวเองนั้นยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่ฮอร์โมนที่เกิดขึ้นจากความเครียดที่มีชื่อว่า ‘คอร์ติซอล’ และ ‘นอร์อะดรีนาลิน’ นั้นไปกระตุ้นให้สมองส่วนหน้าเกิดการพัฒนา เนื่องจากถูกกระตุ้นให้ต้องใช้งาน ดังนั้นการให้พวกเขาทำงานและรับผิดชอบบางอย่าง หรือทำในสิ่งที่ต้องท้าทายเกินความสามารถของพวกเขาไปบ้าง จะช่วยให้สมองเกิดการเติบโตมากขึ้น

แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากสมองได้รับความเครียดมากเกินไป เช่น ครอบครัวที่ตั้งความหวังกับลูกหลานมาก หรือเข้มงวดให้ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดมากเกินไป จะสร้างความเครียดระยะยาวให้กับเด็กได้ แทนที่จะไปช่วยกระตุ้นสมองส่วนหน้า กลับทำให้วงจรดังกล่าวสูญเสียศักยภาพ ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ระยะยาวของพวกเขา ทำให้ Executive Function (EF) อ่อนแอ จนทำให้การเรียนรู้ของพวกเขาเป็นพิษ

สองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่แค่เพียงความตั้งใจของพวกเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว ครอบครัว หรือครูที่อยู่ใกล้ชิด ต้องร่วมมือกันสร้างพื้นที่ซึ่งเหมาะสมกับการพัฒนา มิใช่การกล่าวโทษถึงพรสวรรค์หรือสิ่งที่ติดตัวพวกเขามา เพราะพรแสวงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นได้ถ้าทุกคนเข้าใจ

อ้างอิง
https://www.nature.com

หมายเหตุ
ชมผลงานของปันและเพื่อนๆ เยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ที่พัฒนาสู่ผู้ใช้งานได้จริง ที่งานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2561 วันที่ 25 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

Tags:

นวัตกรรมนวัตกรเกมวัยรุ่นโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel