Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: June 2018

‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน
Transformative learning
15 June 2018

‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เหมือนเราจะ ‘ฟัง’ อยู่ทุกวัน แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งฟังยิ่งขัดแย้ง ยิ่งฟังยิ่งตัดสิน

ทฤษฎีตัวยู (Theory U) หรือการฟัง 4 ระดับโดยอ็อตโต ชาเมอร์ (Otto Scharmer) อาจารย์บรรยายอาวุโสที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology: MIT), และผู้ก่อตั้งสถาบัน Presencing อธิบายทฤษฎีการฟัง ซึ่งเหมือนจะง่ายแต่เราอาจไม่เคยนึกถึง ทั้งซับซ้อนและทำให้เข้าใจว่า ปัญหาของการสื่อสาร อาจเพราะเราฟังแค่ ‘เสียง’ แต่ไม่เคยฟัง ‘น้ำเสียง’ เลย

การฟัง เกี่ยวอะไรกับการศึกษา?

เพราะถ้าตั้งต้นว่า ความรู้ที่เกิดในห้องเรียนไม่เคยแยกขาดจากเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ ของครูกับศิษย์ พ่อแม่กับลูก พ่อกับแม่ คนในกับคนนอกบ้าน คีย์เวิร์ดหนึ่งที่จะเปลี่ยนได้ คือการรับฟังอย่างมีคุณภาพ เพื่อเข้าใจโดยไม่ตัดสิน

และอินดิเคเตอร์ หรือเครื่องมือวัดประเมินผล (ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่) นี้อาจช่วยได้ อย่างน้อยลองสะกิดเตือนดูว่า เราฟังใครอย่างลึกซึ้งได้ และมักทนไม่ได้กับใครแม้เค้า(เหมือนจะ)เอ่ยคำเพียงแค่คำเพียง

อธิบายความหมายของการฟังทั้ง 4 ระดับโดย ณัฐฬส วังวิญญู กระบวนกรนักจัดการเรียนรู้เพื่อสำรวจโลกภายในตัวเอง

ทฤษฎีตัวยู (Theory U) หรือการฟัง 4 ระดับ

  • ระดับแรก Downloading ฟังแบบดาวน์โหลด คือรู้แล้ว เอาความรู้ในอดีตเข้ามาอธิบาย อันนี้อาจจะฟังได้ตื้นที่สุด
  • ระดับที่สอง Factual ฟังมากขึ้นหน่อยแต่ก็ยังเช็คกับเหตุผลของตัวเองอยู่ ถูกหรือไม่ถูก ฟังเพื่อโต้แย้ง ฟังเพื่อตอบ ไม่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ เป็นการ debate คือฟังมากขึ้นแต่เต็มไปด้วยเงื่อนไข ถ้าไม่ถูกก็จะโต้กลับและตั้งคำถาม
  • ระดับที่สาม Empathetic ฟังลึกลงไปหน่อยแต่จะไม่อยู่กับเหตุผลแล้ว แต่ฟังเพื่อหาความรู้สึก เพราะความรู้สึกสะท้อนสิ่งที่เค้าให้คุณค่า ทำไมเค้าพูดเรื่องนี้ อะไรมันมีคุณค่าสำหรับเค้า
  • ระดับที่สี่ Generative ระดับลึกที่สุด การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เหมือนเป็นคนเดียวกัน เข้าไปนั่งอยู่ในใจ สัมผัสได้ เข้าใจถึงสิ่งที่เขาให้คุณค่า ได้รับผลจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เช่น รู้สึกสั่นสะเทือน พองโต ทราบซึ้ง ไม่ได้หมายความว่าเราจมอยู่กับอารมณ์ของใครอีกคน แต่ว่าเข้าใจมากกว่าแค่ความคิด เป็นการฟังเพื่อค้นหาตัวความเป็นไปได้ใหม่ๆ ตัวตนใหม่ๆ หรือภาพในอนาคตที่ต้องการให้ปรากฏ

บทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม คลิก: ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

Tags:

โคชเทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การฟังและตั้งคำถามtransformative learningณัฐฬส วังวิญญู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย
Social IssuesBook
14 June 2018

IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย

เรื่อง

  • เมื่อวัยหัวเลี้ยวหัวต่อต้องรับมือกับสภาพสังคมอันเปราะบางในโลกโซเชียล ชีวิตของพวกเขาจึงวุ่นวายและซับซ้อนกว่าวัยรุ่นในอดีต
  • หนังสือเล่มนี้ตีแผ่ ‘ชีวิตโซเชียล’ ของวัยรุ่นได้อย่างถึงแก่น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการค้นหาตัวตน ความเป็นส่วนตัว ภัยอันตราย รวมถึงทักษะและการรู้เท่าทันสื่อ
  • โซเชียลมีเดียคือโลกจำลองชีวิตของวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัย วัยรุ่นไม่ได้เสพติดเทคโนโลยี พวกเขาเพียงแต่ต้องการ ‘พื้นที่’ เพื่อพบปะสังสรรค์ สานสัมพันธ์ เรียนรู้โลก และค้นหาที่ทางของตน
  • นี่คือคู่มือชั้นดีสำหรับพ่อแม่ ครู ผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงตัววัยรุ่นเอง ที่ต้องการทำความเข้าใจและรับมือกับความซับซ้อนในโลกเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่อง: ณัฏฐพรรณ เรืองศิรินุสรณ์

ใครหลายคนที่เคยเป็นวัยรุ่นหรือยังเป็นวัยรุ่นคงเห็นพ้องกับประโยคที่ว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” ไหนจะสารพัดการสอบที่เปลี่ยนระบบจนชวนปวดหัว ไหนจะพ่อแม่ที่ชอบเข้ามาวุ่นวาย ไหนจะแอบชอบคนเดียวกันกับเพื่อน และอีกสารพัดปัญหาที่พาให้ชีวิตวัยรุ่นนั้นไม่ง่ายเลย แต่เรื่องว้าวุ่นที่คนรุ่นก่อนจินตนาการคงเทียบไม่ได้กับชีวิตวัยรุ่นปัจจุบัน เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกวุ่นๆ เพียงใบเดียว แต่ยังมีโลกอีกใบที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ นั่นคือโลกที่มีชื่อว่า ‘โลกโซเชียล’

It’s Complicated: the social lives of networked teens หรือชื่อไทยว่า เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต คือหนังสือที่พาเราไปสำรวจชีวิตวัยรุ่นในโลกเครือข่ายอย่างละเอียดและครอบคลุม ดานาห์ บอยด์ ผู้เขียนใช้เวลากว่าแปดปีตระเวนสัมภาษณ์วัยรุ่นและค้นคว้าวิจัยกรณีศึกษามากมาย เพื่อกลั่นกรองออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้

ผู้เขียนตั้งคำถามและพยายามเสาะหาคำตอบของแง่มุมต่างๆ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียของวัยรุ่น เช่น

  • ทำไมวัยรุ่นจึงนิยมแชร์ทุกสิ่ง หรือแม้กระทั่งเลือกแชร์ภาพน่าอายของตนเอง พวกเขาไม่สนใจรักษาความเป็นส่วนตัวของตนแล้วใช่ไหม หรือแท้จริงแล้วการ ‘แชร์’ คือกลวิธีรักษาความเป็นส่วนตัวในแบบของวัยรุ่นเอง?
  • วัยรุ่น ‘เสพติดโซเชียล’ อย่างที่สังคมมักกล่าวหาจริงหรือไม่ หรือพวกเขาเพียงต้องการพื้นที่ที่จะ ‘เติบโต’ ภายใต้ชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อบังคับกฎเกณฑ์ในปัจจุบัน?
  • โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอันตรายจริงหรือ มีความเชื่อผิดๆ อย่างไรบ้างเกี่ยวกับอาชญากรทางเพศบนโลกออนไลน์ และพ่อแม่ผู้ปกครองควรมีวิธีสอดส่องดูแลอย่างไร จึงจะช่วยให้เยาวชนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยบนถนนสายดิจิทัลแห่งนี้

จุดเด่นสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ

ผู้เขียนไม่ได้ใช้แว่นตาแบบ ‘ผู้ใหญ่’ มาตัดสินเรื่องราวของวัยรุ่นทั้งหลาย แต่เธอเปิดใจรับฟังเสียงของพวกเขา ทั้งยังพยายามเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมในโลกโซเชียลอันแสน ‘ซับซ้อน’ ของวัยรุ่นเหล่านั้น

Cyberbullying ใครเป็นคนผิด?

ประเด็นหนึ่งที่สะท้อนความ ‘ซับซ้อน’ บนโลกโซเชียลได้ชัดเจนที่สุดคือ การรังแกกันบนโลกออนไลน์ หรือ cyberbullying ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนยกตัวอย่างกรณีศึกษาและบทสัมภาษณ์วัยรุ่นที่เคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์ รวมถึงฝ่ายที่รังแกผู้อื่น โดยสะท้อนให้เห็นหลากหลายแง่มุมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่ชอบดูเรื่องราวดราม่าของตัวละครในทีวี และในชีวิตจริงก็มีพฤติกรรมระรานที่จุดชนวนปัญหาในสังคม เรื่องราวของวัยรุ่นที่ใช้พฤติกรรมรังแกเป็นหนทางสร้างสถานภาพและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น ‘คนดัง’ ในโรงเรียน โดยหันมานินทาว่าร้ายเพื่อนสนิทที่เคยคบหากัน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า หลายครั้งเหตุการณ์รังแกบนโลกไซเบอร์ก็เข้าข่าย ‘การทำร้ายตัวเอง’ เพื่อเรียกร้องความสนใจ กำลังใจ และการยอมรับ

เพราะการรังแกบนโลกออนไลน์นั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายจนไม่สามารถสรุปได้ง่ายๆ เพียงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ทำให้บางคนเชื่อว่าการรังแกในโลกไซเบอร์เป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างสิ้นเชิง ขณะที่คนอื่นๆ แย้งว่าเทคโนโลยีแค่ทำให้มีสถานที่ใหม่ไว้รังแกก็เท่านั้น

กรณีศึกษาในเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่า การรังแกเป็นหนึ่งในกระบวนการที่วัยรุ่นหาทางเรียนรู้และรับมือกับความสัมพันธ์ในสังคม รูปแบบของการรังแกบนโลกออนไลน์นั้นซับซ้อนกว่าภาพจำของผู้ใหญ่ หลายครั้งเมื่อเกิดปัญหาการรังแกออนไลน์ของวัยรุ่น สื่อต่างๆ และผู้ใหญ่ที่ ‘หวังดี’ มักมุ่งแต่จะโทษผู้ก่อเหตุและปกป้องเหยื่อ โดยไม่สนใจว่าบางครั้งมาตรการลงโทษกลับยิ่งทำให้วงจรความรุนแรงดำเนินต่อไปมากกว่าเดิม

สิ่งที่ควรทำคือพยายามทำความเข้าใจที่มาที่ไปของพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อเลือกใช้กลยุทธ์การแทรกแซงและช่วยเหลืออย่างเหมาะสม รวมถึงการสอนให้วัยรุ่นตระหนักว่าการกระทำของตนส่งผลกระทบต่อผู้อื่นมากเพียงใด และเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ รวมถึงช่วยรับรู้ยามพวกเขาเจ็บปวด เมื่อวัยรุ่นเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับสถานการณ์อันตึงเครียด ก็มีแนวโน้มน้อยลงที่พวกเขาจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นหรือสะเทือนใจเมื่อประสบเหตุการณ์เชิงลบ

โลกโซเชียลคือโลกจำลองของสังคมที่วัยรุ่นใช้ชีวิตอยู่ การรังแก ความขัดแย้ง เรื่องดราม่า และการไขว่คว้าสถานภาพทางสังคม ล้วนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาตลอดทุกยุคสมัย เพียงแต่โซเชียลมีเดียทำให้สิ่งเหล่านี้ปรากฏชัดขึ้นและทิ้งร่องรอยไว้บนโลกดิจิทัลเท่านั้น ผู้ใหญ่ไม่ควรใช้มันเป็นหลักฐานเพื่อมุ่งลงโทษผู้กระทำผิดเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้เพื่อช่วยเหลือเยาวชนที่เจ็บปวด และร่ำร้องให้ใครสักคนสนใจฟังเสียงของพวกเขา

หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นว่า การกล่าวโทษเทคโนโลยีและมุ่งตีกรอบจำกัดให้เด็กอยู่ห่างไกลเทคโนโลยีนั้นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ดังเช่นข้อความหนึ่งในเล่มที่กล่าวว่า

“อินเทอร์เน็ตคือภาพสะท้อนสังคมของเรา และกระจกเงาบานนี้จะสะท้อนสิ่งที่เราเห็น ถ้าเราไม่ชอบสิ่งที่เห็นในกระจก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การซ่อมแซมกระจก แต่เราต้องซ่อมแซมสังคมต่างหาก” วินต์ เซิร์ฟ

และสังคมจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับช่างซ่อมอย่างพ่อแม่ ครู เหล่าผู้ออกแบบนโยบาย และตัววัยรุ่นเอง ที่จะร่วมมือกันสร้างพื้นที่ใหม่ให้วัยรุ่นได้เรียนรู้ เติบโต และก้าวเดินไปบนหนทางของตนเองอย่างมั่นคง

Tags:

กลั่นแกล้ง(bully)โซเชียลมีเดียBookscapeวัยรุ่นหนังสือ

Author:

Related Posts

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง
Transformative learning
13 June 2018

TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ศิลปะการสอนให้เด็กๆ รู้จักเข้าอกเข้าใจ กำลังขยับเข้าใกล้หัวใจของการศึกษามากขึ้น เพราะความรู้สึกนี้เป็นทั้งเหตุและผลของการเข้าใจสิ่งต่างๆ
  • ความเข้าอกเข้าใจ ‘เชื่อมโยง’ สายสัมพันธ์ผ่านความรู้สึกระหว่างคนสองคน ขณะที่ความสงสารเห็นใจคือการ ‘ตัด’ สายสัมพันธ์ทางด้านความรู้สึก
  • หัวใจสำคัญของการเข้าถึงความเข้าอกเข้าใจ คือ การฟัง

คุณคิดว่าต้องใช้อะไรสร้างความเปลี่ยนแปลงบ้าง

ความรู้ ความเป็นผู้นำ ทักษะการบริหารจัดการ … ก็ถูก แต่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ทำได้ง่ายๆ แค่ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’

เพราะการเอาใจเขาใส่ใจเรา (empathy) ช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับมนุษย์คนอื่น และความสัมพันธ์ที่แข็งแรงยืนยาวเกิดขึ้นจากความเข้าอกเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยนิตยสาร Greater Good Science Center ได้อธิบายไว้ว่า ความเข้าอกเข้าใจถูกใช้อธิบายประสบการณ์ในขอบเขตที่หลากหลาย กลุ่มนักวิจัยด้านอารมณ์ (Emotion Researchers) ได้ให้ความหมายโดยทั่วไปว่า เป็นความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นๆ รวมกับความสามารถในการจินตนาการถึงสิ่งที่บางคนอาจกำลังคิดหรือรู้สึกอยู่ในขณะนั้น

ศิลปะการสอนให้เด็กๆ รู้จักเข้าอกเข้าใจ (Teaching Empathy) กำลังขยับเข้าใกล้หัวใจของการศึกษามากขึ้น เพราะความรู้สึกนี้เป็นทั้งเหตุและผลของการเข้าใจสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์และความคิดที่จะสร้างสะพานเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้และชีวิตจริงได้

นอกจากนี้ ยังเป็นภาพรวมที่จะช่วยให้เด็กๆ พิจารณาในระดับตัวตนได้ว่า:

  • ฉันเป็นใคร
  • ใครคือ ‘คนอื่น’ เขาเป็นคนอื่นในหน้าที่ใดและอยู่ระดับไหน
  • เราเชื่อมโยงกันได้อย่างไร และจะแบ่งปันอะไรให้กันได้บ้าง
  • พวกเขาต้องการอะไรจากฉัน และฉันต้องการอะไรจากพวกเขา

บ่อยครั้งที่คำถามเหล่านี้จะนำไปสู่คำตอบของคำถามที่ว่า “ฉันควรเอาสิ่งที่รู้ไปทำอะไรดี”

อะไรคือ ‘เข้าอกเข้าใจ’

มีคำอธิบายจากหลายแห่งที่พยายามแยกความ ‘เข้าอกเข้าใจ (empathy)’ ไม่ให้ถูกใช้สับสนกับความ ‘เห็นใจ (sympathy)’ ที่อาจไปไกลจนกลายเป็นความสงสาร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่สะสมมาจนกลายเป็นมุมมองส่วนตัวของแต่ละคน และขึ้นอยู่กับว่าจะยึดความหมายจากใคร

ดร.เบรเน บราวน์ (Dr.Brené Brown) ศาสตราจารย์วิจัยจากมหาวิทยาลัยฮิวสตัน ผู้พูด TED Talk ในหัวข้อ ‘พลังของความเปราะบางทางใจ’ (The Power of Vulnerability) ได้พูดถึงความแตกต่างของคำทั้งคู่ไว้ว่า

“ความเข้าอกเข้าใจเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ผ่านความรู้สึกระหว่างคนสองคน ในขณะที่ความสงสารเห็นใจคือการตัดสายสัมพันธ์ทางด้านความรู้สึก”

ตรงกันข้ามกับความหมายที่เว็บไซต์ Dictionary.com ได้อธิบายไว้ว่า ‘ทั้งความเข้าอกเข้าใจและความเห็นใจต่างก็เป็นความรู้สึกที่สัมพันธ์กับคนอื่นๆ ความเห็นใจคือ ‘ความรู้สึกกับ’ เป็นความรู้สึกเศร้าเสียใจต่ออีกคนหนึ่ง ในทางตรงข้าม ความเข้าอกเข้าใจคือ ‘ความรู้สึกถึง’ เป็นความสามารถในการแสดงบุคลิกลักษณะของคนหนึ่งให้คนอื่นได้เห็นและเข้าใจคนคนนั้นมากขึ้น’

สำหรับ Dictionary.com สองคำนี้แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น – ความเห็นใจใช้เพียงอารมณ์แต่ไม่ต้องการการกระทำ ขณะที่ความเข้าอกเข้าใจต้องการทั้งการกระทำและความรู้สึกไปด้วยกัน

ขณะที่นิตยสาร Greater Good อธิบายว่า กลุ่มนักวิจัยร่วมสมัยมักแบ่งคำนี้ออกเป็นสองประเภท

  • ความเข้าใจด้วยอารมณ์ (Affective Empathy) เป็นความรู้สึกที่เราได้รับและตอบสนองต่ออารมณ์ของคนอื่น เราอาจเป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกหรืออาจเครียดเมื่อพยายามค้นหาความกลัวหรือความกังวลของอีกฝ่าย
  • ความเข้าใจด้วยกระบวนการคิด (Cognitive Empathy) บางครั้งอาจเรียกว่า การเอาทัศนคติของคนอื่นมาใส่ในใจเรา (Perspective Taking) เป็นความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของคนอื่นได้

แต่ต่อให้เนื้อหาดีมีประโยชน์แค่ไหน หากเริ่มต้นสอนโดยทำเหมือนความเข้าอกเข้าใจเป็นเพียงอาการทั่วไป สิ่งที่จะได้กลับมาคือท่าทีเมินเฉย ไม่แยแสเพราะไม่เห็นความเชื่อมโยง สาระสำคัญในการสอนเรื่องนี้จึงอยู่ที่การใช้นัยยะทางภาษา เริ่มต้นจาก ‘ภายใน’ ของคนอื่น เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะรับรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้

สอนอย่างไรให้เด็กๆ ‘เข้าอกเข้าใจ’ เป็น

ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการที่โรงเรียนเอาแต่จำกัดความสิ่งที่เด็กๆ จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยคำว่า “เพราะครูบอกให้ทำ และเธอไม่อยากได้ศูนย์ใช่ไหม” – ใช่ เราไม่อยากได้ศูนย์ แต่สิ่งที่ครูสอนก็จะไหลออกไปทันทีที่เกรดออกมา การพัฒนาภายในจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการตัดเกรด

การสอนที่ยอดเยี่ยมคือการสร้างความเชื่อมโยงและน่าสนใจให้เนื้อหา ให้เด็กๆ รับรู้ได้ว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้และสามารถนำไปใช้ได้จริง

แล้วจะเริ่มสอนอย่างไร? สกอตตี แม็คเลนแนน (Scotty McLennan) เจ้าคณะบาทหลวงจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แนะนำว่า สิ่งแวดล้อมทางการศึกษาที่เหมาะสมจะช่วยทำให้เด็กๆ รู้จักการเอาใจเขาใส่ใจเราได้ ขณะที่กลุ่มผู้ได้รับการสนับสนุนจากอโชกา (Ashoga) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนความเปลี่ยนแปลงในสังคมผ่านการสร้างนวัตกรรม ได้สรุปแนวทางการสอนเรื่องนี้มาให้ง่ายๆ 7 ข้อ

  1. รู้สึก จินตนาการ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาของคนอื่นให้ทะลุปรุโปร่ง เชื่อมโยงกับตนเอง โดยให้คนอื่นเป็นศูนย์กลางเพื่อหาทางออกร่วมกัน และเมื่อสำเร็จก็ส่งต่อความรู้สึกให้คนอื่นต่อไป
  2. เริ่มจากตัวเอง ความเข้าอกเข้าใจเป็นเรื่องของการฟังอย่างตั้งใจ ไม่ตัดสิน และต่อบทสนทนาด้วยพลังบวก ทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าเราเข้าใจและอยู่ตรงนั้นกับเขาจริงๆ
  3. สร้างความสัมพันธ์ กระตุ้นให้เด็กๆ พยายามเป็นเพื่อนกับคนที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือความคิด ความสัมพันธ์จะทำให้พวกเขาเข้าไปรับรู้ เข้าใจ และรู้สึกแบบอีกฝ่ายให้ได้
  4. ให้เวลา ครั้งหน้าที่คุณเอ่ยปากถามว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง’ อย่าลืมที่จะให้เวลาฟังคำตอบจนจบ โดยไม่รีบหนีไปทำอย่างอื่นก่อนด้วยล่ะ
  5. ให้ค่ากับทุกความเห็น ฟังทุกเสียงและให้คุณค่ากับทุกความคิดของเด็กๆ แม้จะแตกต่างหรือไม่ตรงกับความคิดครูก็ตาม เมื่อเด็กๆ รู้สึกว่ามีคนฟัง เขาก็จะเริ่มฟังและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
  6. เริ่มต้นที่บ้านด้วยการแบ่งปัน เด็กๆ ต่างยึดพ่อแม่เป็นต้นแบบ เมื่อพ่อแม่เริ่มถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ที่มีความหมายด้านจิตใจให้ลูกฟัง ก็ไม่ยากนักที่พวกเขาจะซึมซับอารมณ์และความรู้สึกที่ทำให้พวกเขาคิดตาม รู้สึกตาม และเข้าใจในที่สุด
  7. จากผู้รับขยับเป็นผู้ให้ ความเข้าอกเข้าใจไม่ได้จบแค่การให้และรับของคนสองคน หากส่งเสริมให้ผู้รับไปช่วยเหลือคนอื่นต่อ ความสุขก็จะต่อเนื่องไม่รู้จบ
ที่มา:
Teaching Empathy: Are We Teaching Content or Students?
Empathy 101
How Putting Yourself in Someone Else’s Shoes May Backfire

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

WHERE ARE YOU ครูแนะแนว?
Unique Teacher
13 June 2018

WHERE ARE YOU ครูแนะแนว?

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

 “ที่โรงเรียน ‘เรียน’ เป็น part วิชาการ  ครูแนะแนวเป็น part ชีวิต” – KHAE

Tags:

ครููแนะแนวครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Transformative learning
    สำรวจแนวคิดว่าด้วย ‘Teacher Agency’ ในกระแส ‘School Improvement Movement’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    ‘ให้เด็กเก่งในสิ่งที่อยากจะเก่งและเห็นคุณค่าของตัวเอง’: ครูเล็ก – โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Learning Theory
    Visible Learning: การเรียนรู้แบบชัดแจ้ง ครูศิษย์มีเป้าหมายเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

DEAR TEACHER, อย่าลืมดูแลใจตัวเอง
Unique Teacher
13 June 2018

DEAR TEACHER, อย่าลืมดูแลใจตัวเอง

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

การดูแลตัวเองเหมือนจะเป็นสิ่งที่พอทำได้ตอนนี้ เราอาจจะไปยุ่งๆ กันที่อื่นอยู่ค่ะ เอาใจช่วยคุณครูทุกท่านค่ะ – KHAE

Tags:

ครูจิตวิทยา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Unique Teacher
    ‘ครูหยกฟ้า’ ไพลิน ลิ้มวัฒนชัย: ครูแนะแนวมีอยู่จริง จริงๆ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    ไม่ได้อยากได้แค่ความรู้ แต่อยากให้ครู ‘มองเห็น’

    เรื่อง The Potential

ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’
Voice of New Gen
13 June 2018

ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เต๋า บีบอยวัย 23 กับเวลา 9 ปี ในสนามการแข่งขันและสนามซ้อมป้อมพระสุเมรุ
  • ทางลัดความสำเร็จของเต๋า คือการแพ้อย่างต่อเนื่องในช่วงแรก แต่ต้องเปิดใจ ห้ามหมดไฟและดับวินัยในตัวเองเด็ดขาด
  • “ล่าสุดผมได้รับเชิญให้เข้าสมาชิกกลุ่ม B-Boy นานาชาติในแถบเอเชีย มีทั้งเกาหลี จีน ไทย เวียดนาม และลาว หน้าที่ของผมคือฝึกฝนตัวเองให้เต็มที่ เพราะต่อให้เก่งระดับโลกแค่ไหน ถ้าทำตัวไม่ดีก็ไม่มีใครรัก สุดท้ายโลกที่เราสร้างขึ้นจะกลับมาทำร้ายตัวเราเอง”

“หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องพยายามเท่าไร อดทนแค่ไหนถึงจะพอ?”

ถ้าความสำเร็จมีฟอร์มูลาร์หรือสูตรคิดคำนวณตายตัว เราคงไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามและปวดหัวกับการค้นหาคำตอบให้กับชีวิต

นั่นสิ…ในเมื่อไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เราจะวัดความสำเร็จในชีวิตได้จากอะไรกันแน่?

จากใบปริญญา จากรายได้ที่ได้รับ จากคำชื่นชมของเจ้านาย จากการยอมรับของเพื่อนร่วมงาน จากโปรโมชั่นหรือการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง จากโบนัส จากความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือจากเวลาที่มีเหลือเฟือเพียงพอให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ฯลฯ

The Potential พูดคุยกับ กันตภณ รอดสอาด หรือ เต๋า  B-Boy หนุ่มวัย 23 ถึงสนามซ้อม ณ ป้อมพระสุเมรุ กับเส้นทางการเรียนรู้วิถี B-Boy ตลอดระยะเวลา 9 ปี กระทั่งได้แชมป์ทุกสนามการแข่งขันในประเทศไทย ความสำเร็จที่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ แต่เขากลับบอกว่า ความสำเร็จคือการไม่ติดกับดักความสำเร็จ เพราะการแพ้หรือชนะไม่สำคัญเท่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงทั้งในสนามฝึกซ้อมและในสนามแข่งขัน

เปลี่ยนปมชีวิตลบให้เป็นสมการบวก

ย้อนกลับไป 9 ปีก่อน สมัยยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 2 ทุ่มเป็นเวลาเคอร์ฟิวที่เต๋าต้องกลับบ้านให้ทันเวลา โชคยังดีที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากป้อมพระสุเมรุมากนัก เมื่อตกหลุมรักการเต้น B-Boy เต๋าจึงไม่สร้างข้ออ้างขึ้นมาเป็นอุปสรรค เขารับผิดชอบด้วยการพาตัวเองกลับบ้านได้ทันเวลาแม้ว่าต้องมาซ้อมเต้นทุกวัน

ความตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ถึงที่สุดมีที่มาจากความสนใจในสิ่งนั้นก่อน แล้วจึงอยากเรียนรู้อยากลงมือทำ เต๋าเล่าว่า B-Boy ไม่ได้เป็นการเต้นประเภทแรกที่เขาได้ลองฝึกฝน เห็นคาแรคเตอร์ปัจจุบันกวนๆ แบบนี้ ก่อนหน้านี้เต๋าเคยเต้นลีลาศ และ K-Pop มาก่อน

“ผมเห็นน้องคนหนึ่งแถวบ้านเต้น B-Boy อยู่ ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า B-Boy คืออะไร เต้นกันแบบไหน รู้แค่ผมชอบเต้นเลยบอกน้องว่าอยากลองฝึกดูบ้าง บ้านผมอยู่แถวพระราม 8 ไม่ไกลจากตรงนี้ ตอนแรกผมชวนเพื่อนอีกคนมาด้วยเพราะผมเป็นคนขี้อายมากไม่กล้ามาคนเดียว ครั้งแรกได้เต้นก็ชอบเลย ผมชอบบรรยากาศที่ได้มาพบเจอพี่ๆ น้องๆ ที่นี่ ทุกคนเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ผมอยากมาซ้อมทุกวัน” เต๋า เล่าถึงความรู้สึกรักแรกพบ จุดเริ่มต้นในการเต้น B-Boy ของเขา

นอกจากการไม่กล่อมตัวเองให้หยุดซ้อม ด้วยข้อจำกัดที่หากสรรหาคงมีข้ออ้างได้มากมายแล้ว การยอมรับตัวเอง เป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่จะทำให้คนคนหนึ่งก้าวเดินไปในเส้นทางความฝันได้อย่างมีเป้าหมายและไม่โซซัดโซเซ

“ผมเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อและแม่ จุดนี้ทำให้ผมผลักดันตัวเองมากขึ้น ผมไม่ได้เป็นคนเรียนดี แต่ในห้องเรียนผมขยันตลอด หลังเลิกเรียนถึงมาเต้น พอเราเริ่มมีรายได้จากการเต้น B-Boy ผมเก็บเงินสะสมไว้เป็นค่าเทอมให้ตัวเองเพราะไม่อยากรบกวนพ่อแม่ที่เลี้ยงดูผมมา ผมเคยคิดกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมมีไม่เหมือนคนอื่น งานวันเด็ก งานวันพ่อ งานวันแม่ พ่อแม่คนอื่นมากันแต่ผมไม่มีเลย

“โตขึ้นหน่อยผมก็คิดได้ว่าคิดไปก็เท่านั้น เพราะถึงจุดหนึ่งคนเราต้องแยกจากกันอยู่ดี ถึงเราไม่มีเหมือนคนอื่นก็ไม่เป็นไร เราสามารถเป็นคนดีได้ เอาบทเรียนในชีวิตมาสร้างอนาคตของตัวเองได้ ผมคิดเสมอว่าถ้าผมมีครอบครัวมีลูก ผมจะไม่ทิ้งเด็กคนหนึ่งให้ต้องใช้ชีวิตแบบที่ผมเคยเจอ” เต๋า กล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น

เกรดเฉลี่ยจากห้องเรียนนอกตำรา

จังหวะ เสียงดนตรี และความท้าทายในการคิดออกแบบ และจดจำท่วงท่า เป็นเสน่ห์ของศิลปะการเต้น B-Boy ที่ทำให้เต๋าหลงใหล แต่เต๋ายืนยันว่า การทำสิ่งที่หลงใหลให้ได้อย่างต่อเนื่องต้องใช้ ‘ใจ’ ล้วนๆ

“มันดีนะ มันรู้สึกอย่างนี้นี่เอง” เต๋าเล่าถึงความรู้สึกหลังแข่ง B-Boy ครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่ครั้งนั้นผลลัพธ์ออกมา คือ ‘เแพ้’ ตั้งแต่รอบแรก

อ้าว แพ้แล้วดีตรงไหน?

เต๋าบอกว่า การแข่งขันคือการเรียนรู้ ไม่ว่าผลออกมาแพ้หรือชนะ ทั้งสองอย่างเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาตัวเองได้มากขึ้นไปอีก

“ทุกอย่างมันเริ่มจากการแพ้ก่อน ผมว่ายากที่จะมีใครมาถึงแล้วชนะเลย การแข่งขันถึงแม้ว่าเราแพ้ แต่มันทำให้เราได้เจอกับผู้คนมากมายที่ชอบในสิ่งเดียวกัน รักในสิ่งเดียวกัน เรารักการเต้น B-Boy รักในเสียงเพลง การแข่งขันครั้งแรกถึงแพ้ก็ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจมากขึ้น ทำให้อยากเต้นจริงจังมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกว่าอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

ผมแพ้มานับไม่ถ้วน ครั้งแรกที่เข้ารอบผมดีใจจนบอกไม่ถูก ยังจำความรู้สึกที่ผ่านเข้ารอบครั้งแรกได้ว่ารู้สึกดีมากขนาดไหน ไม่ชนะไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร ถ้ารักในสิ่งที่ทำจริงๆ ต่อให้แพ้กี่ครั้งเราก็จะทำมันต่อ เพราะทำแล้วมีความสุข ยิ้มได้กับสิ่งที่ทำและเป็นตัวเรามากที่สุด ทุกครั้งที่ได้ลงแข่ง นั่นเป็นประสบการณ์ของเราแล้ว

เต๋าอธิบาย

ทำอย่างไรถึงจะเก่ง?

เต๋าเล่าจากประสบการณ์ว่า คนเราจะเข้าใจความรู้ สร้างทักษะและทำทุกอย่างได้ดีก็ต่อเมื่อผ่านการปฏิบัติและการฝึกฝนซ้ำๆ ไม่ต่างจากการเต้น B-Boy ที่ต้องอาศัยการซ้อม เพื่อฝึกความชำนาญและเข้าใจการเคลื่อนไหวของสรีระร่างกาย

“สูตรคำนวณ ถ้าเราไม่เคยนำมาใช้คิดเราก็ลืม ภาษาอังกฤษในห้องเรียนถ้าไม่พูดในชีวิตประจำวันก็พูดไม่ได้ ในกลุ่ม B-Boy พวกเราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ในระดับหนึ่ง เพราะเราต้องสื่อสารกับเพื่อนๆ B-Boy ชาวต่างชาติ พอได้ฝึกได้ใช้ อาจจะมีผิดบ้างถูกบ้างแต่เราก็สื่อสารได้โดยไม่เขินอาย”

สำหรับเต๋า ‘รุ่นพี่ ยูทูบ และตัวเอง’ เป็น ‘ครู’ และ ‘ห้องเรียน’ ของเขา เต๋าเรียนรู้การเต้นจากคนรอบตัว ศึกษาวิดีโอการเต้น B-Boy ระดับโลกจากยูทูบ และนำคลิปวิดีโอการเต้นของตัวเองในการแข่งขันแต่ละครั้งมาศึกษาข้อบกพร่อง เมื่อเวลาผ่านไปความพยายามและอดทนหมั่นฝึกซ้อม การยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองและไม่เคยคิดหยุดพัฒนาตัวเอง ทำให้การแข่งขันของเต๋าเข้ารอบลึกไปเรื่อยๆ จากตกรอบเป็นผ่านเข้ารอบ จากผ่านเข้ารอบเป็นได้รับรางวัลที่ 3 ที่ 2 กระทั่งได้แชมป์ในที่สุด

เต๋าบอกว่า การเรียนรู้ขั้นแรกเริ่มจาก เปิดใจรับฟังแล้วนำมาปฏิบัติ ส่วนสเต็ปต่อไป คือ การมีวินัยกับตัวเอง ด้วยการฝึกซ้อมๆๆ แล้วก็ซ้อม

“รุ่นพี่สอนท่าให้เรา บอกให้เราฟังเพลง ให้ข้อคิดว่าเราควรเพิ่มท่าใหม่ลงไปในการเต้นของเรา ปรับท่าให้มีความนุ่มนวลไม่แข็งกระด้าง ผมรับฟังแล้วปรับมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ผมสอนคนอื่นได้และสอนตัวเองได้ด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมสอนตัวเองไม่ได้หรอก ทุกวันนี้เวลาดูคลิปตัวเอง ต่อให้คนอื่นว่าดีแล้วเก่งแล้ว ผมจะยังมองหาว่าทำให้ดีขึ้นยังไงได้อีก แล้วก็มาฝึกทำให้ได้

“ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมาถึงจุดๆ นี้ได้ ตอนนี้ผมกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเวทีต่างประเทศ พาตัวเองออกไปแข่งขัน หรือบางเวทีชวนผมไปร่วมแข่งขัน รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้หมด

ล่าสุดผมได้รับเชิญให้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม B-Boy นานาชาติในแถบเอเชีย มีทั้งเกาหลี จีน ไทย เวียดนาม และลาว หน้าที่ของผมคือฝึกฝนตัวเองให้เต็มที่ เพราะต่อให้เก่งระดับโลกแค่ไหน ถ้าทำตัวไม่ดีก็ไม่มีใครรัก สุดท้ายโลกที่เราสร้างขึ้นมาจะกลับมาทำร้ายตัวเราเอง

เต๋ากล่าวย้ำ

พื้นที่กับแรงหนุน = สมการยกกำลังสอง

แรงสนับสนุนและความเข้าใจจากผู้ใหญ่และผู้คนในสังคมเป็นกุญแจสำคัญในการไขศักยภาพด้านต่างๆ ของเด็กและเยาวชนออกมาได้ เช่นเดียวกับเส้นทางการเรียนรู้วิถี B-Boy ของเต๋าที่แม้จะมีอุปสรรคหลายด่านมาให้ฟันฝ่าแต่ก็เป็นเส้นทางที่ไม่โดดเดี่ยว

ป้อมพระสุเมรุและรุ่นพี่ในวงการ B-Boy (บุญประเสริฐ ศาลางาม หรือ โอมาน) เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการจนทำให้เต๋ามีวันนี้ ป้อมพระสุเมรุ เป็นพื้นที่สาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครที่เปิดให้กลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึงกลุ่ม B-Boy เข้ามาใช้พื้นที่ในการทำกิจกรรมจนถึงเวลาประมาณ 3 ทุ่มของทุกวัน ใครเคยผ่านไปผ่านมาละแวกนี้ คงเคยเห็นผู้คนหลากหลายกลุ่มมารวมตัวกันทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ ส่วนโอมาน เป็นรุ่นพี่ที่เป็นทั้งครูและพี่ชายคอยฝึกซ้อมและผลักดันให้เต๋าได้เข้าแข่งขันในเวทีต่างๆ

“B-Boy ต้องการพื้นที่เล็กๆ กับเวลาการซ้อมแค่วันละ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน แต่หลายๆ ครั้งขนาดพวกเราทำเอกสารขอใช้พื้นที่แล้ว ก็ยังได้รับการปฏิเสธ เมื่อก่อนนอกจากป้อมพระสุเมรุ ยังมีพื้นที่ตรงทางเดินเชื่อมระหว่างมาบุญครองกับสยาม จุดนั้นเป็นพื้นที่รวมกลุ่มของ B-Boy ทั้งในและต่างประเทศ แต่ตอนนี้เราใช้พื้นที่ตรงนั้นไม่ได้แล้ว ป้อมพระสุเมรุเลยเป็นพื้นที่ถาวรที่สุดที่เรามาฝึกซ้อมร่วมกันได้

“เป้าหมายต่อไปของผม ผมอยากสร้างชื่อเสียงให้ B-Boy ไทยในระดับโลก จนมีคนสนใจเข้ามาสนับสนุน B-Boy ไทยมากขึ้น ผมอยากให้คนอื่นๆ ที่สนใจและชื่นชอบการเต้น B-Boy เหมือนผม ได้มีพื้นที่เข้ามาเรียนรู้และฝึกฝนเหมือนอย่างที่ผมเคยได้รับโอกาสนั้น”

“หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องพยายามเท่าไร อดทนแค่ไหนถึงจะพอ?”

บทสนทนากับเต๋า ทำให้ต้องใคร่ครวญในคำตอบของคำถามนี้กับตัวเอง ก่อนจะตอบตัวเองว่า…  “ความพยายามและความอดทนเท่าไรก็คงไม่พอ”

เอ๊ะ…ฟังดูเป็นคำตอบที่ไม่ช่วยเสริมกำลังใจเอาเสียเลย แต่ไม่ใช่!!

เส้นทางความสำเร็จของเต๋า สะท้อนให้เห็น คุณค่าของความพยายามและความอดทนอย่างไม่มีขีดจำกัด ความสำเร็จหรือแม้แต่ความล้มเหลวไม่ได้มีไว้ให้ยึดถือ เพราะเป็นแค่สิ่งที่ผ่านเข้ามาทักทายชั่วครั้งชั่วคราวแล้วผ่านไป แต่ความเปลี่ยนแปลงในตัวเองระหว่างทางต่างหากเป็นสิ่งที่ควรโฟกัสและภาคภูมิใจ

“ผมไม่รู้ว่าจู่ๆ ผมกลายเป็นคนที่มีความกล้าแสดงออกและมีความมั่นใจในตัวเองตั้งแต่ตอนไหน แต่การฝึกซ้อมทำให้ผมมีความมั่นใจในสิ่งที่ผมทำ จากที่ไม่กล้าสบตากับคนเดินผ่านระหว่างซ้อมเพราะเขินหรือกลัวคนจับผิด พอเราให้โอกาสตัวเองได้มาฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ ผมกล้ามองคนที่เขามองดูเราเวลาเต้น

“จากคนที่ไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น กลายเป็นคนที่มีความสามารถ การเต้น B-Boy ให้โอกาสผม ผมรู้สึกดีมากที่ผมได้เข้ามาเต้น มันเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นอีกคนได้เลย ถึงตรงนี้ผมตอบได้เลยว่า คนเราถ้ามีความพยายามและอดทน แล้วทำให้ดีที่สุด เราทำอะไรก็ได้”

จากคนขี้อายคนหนึ่ง เต๋ากลายเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองแต่ไม่โอ้อวด เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากพอที่จะดูแลความเป็นอยู่ของตัวเองและครอบครัว และสิ่งสำคัญที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ ความพยายามและความอดทนเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน

หากจะถามหาสูตรความสำเร็จ คงเป็น “ความพยายามและความอดทน” นี่แหละที่ทำให้เต๋าก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นได้อย่างมั่นคง…

Tags:

ดนตรีการเติบโตกันตภณ รอดสอาดศิลปิน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Voice of New Gen
    รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์

    เรื่อง

หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต
Social Issues
13 June 2018

หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต

เรื่อง

  • อย่างน้อยการรั่วของ TCAS3 ก็ทำให้ต้นทางอย่าง ทปอ. แอ่นอกยอมรับพร้อมประกาศแก้ ‘ทุก’ ปัญหา
  • เนื้อหาสำคัญของบทความชิ้นนี้คือการยอมรับความจริง แก้ปัญหาและมองไปข้างหน้าร่วมกันผ่าน TCAS จากทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งเด็กเองก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยการเผื่อใจในกรณีเลวร้ายที่สุด
  • เพราะทุกฝ่ายรู้ดีว่าเส้นทางการศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันคือ ‘เขาวงกต’ ดีๆ นี่เอง
เรื่อง: พชรกฤษณ์ โตอิ้ม
ภาพ: เวชะรดา มะเวชะ

‘Thai University Central Admission System’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘TCAS’ ระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่ออุดรูรั่วต่างๆ จากสนามสอบในรอบหลายปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นรูรั่วเสียเองจากปรากฏการณ์กันที่ใน TCAS3

จึงกลายมาเป็นวาระสำคัญของเวทีจุฬาฯ เสวนาครั้งที่ 13 เมื่อ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในหัวข้อ ‘ทีแคส – ทีใคร มองอนาคตการศึกษาไทย’

ความน่าสนใจของงานนี้คือ การออกมายอมรับความผิดพลาดของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) พร้อมวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า, ประสบการณ์และความรู้สึกของเด็กไทยที่หลงวนอยู่ในสนามสอบกว่า 10 ปีจากพี่ลาเต้ เว็บไซต์ DEK-D.com, ผลกระทบทางใจและวิธีการพยุงตัวเองขึ้นมาให้ได้จากนักจิตวิทยา

รวมถึงทางออกที่ว่า “เมื่อไหร่เรา (เด็กๆ) จะหลุดพ้นจากเขาวงกตนี้เสียที” 

พี่ลาเต้: TCAS ทฤษฎีสวย แต่ระบบการจัดการไม่ดี

“จำได้ไหมครับว่าตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นรุ่นอะไร ระบบไหนเป็นระบบไหน แล้วจำได้ไหมครับว่า วินาทีที่เราเข้ามหาวิทยาลัยตอนนั้นระบบดีหรือเปล่า เครียดหรือเปล่า อย่างผมทำงานที่ Dek-d มา 10 ปี ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 11 ก็เห็นการเปลี่ยนระบบมา 3 ครั้งแล้ว”

พี่ลาเต้ หรือ มนัส อ่อนสังข์ บรรณาธิการข่าวการศึกษา และแอดมิชชั่น เว็บไซต์ DEK-D.com กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย จุดประสงค์ของการเปลี่ยนระบบคัดเลือกเข้าทุกครั้งก็ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั้งสิ้น ซึ่งในเจตนารมณ์ของระบบ TCAS นี้มีความปรารถนาดีที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งมีเวลารับนักศึกษาที่เหมือนกัน มีการใช้ข้อสอบส่วนกลางแบบเดียวกัน รวมไปถึงให้ความสำคัญกับการสอบหลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กต้องทิ้งการเรียนและมัวแต่สนใจการสอบเพียงอย่างเดียว

“ถ้าเรามองในแง่ตัวเลข มันก็อาจจะไม่สวยเสียทีเดียว เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนระบบ 3 ครั้ง ซึ่งมันอาจจะไม่แฟร์สำหรับน้องๆ ที่จะต้องเตรียมตัว เพราะหลายๆ คนก็คิดว่า เด็ก ม.6 ค่อยเตรียมตัวตอนเปิดเทอม ม.6 เทอม 1 แต่น้องๆ หลายคนเตรียมตัวมาตั้งแต่ ม.4 แล้วว่าเขาจะต้องใช้วิชาอะไร

น้องสะท้อนหนักมากว่า มันกะทันหันมากเกินไป แม้แต่เด็ก หรือว่ามหาวิทยาลัยเองก็ยังเตรียมตัวรับระบบไม่ทัน

“อย่างเช่น มีอยู่มหาวิทยาลัยนึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโควตาพื้นที่จะต้องเข้าอยู่ในหมวดไหน จนตอนนี้โควตาพื้นที่ของมหาวิทยาลัยนั้นกลายเป็นรับเด็กทั่วประเทศไปแล้ว แล้วมันก็ไม่ได้รับเด็กเฉพาะแค่ในพื้นที่”

พี่ลาเต้-มนัส อ่อนสังข์ บรรณาธิการข่าวการศึกษา และแอดมิชชั่น เว็บไซต์ DEK-D.com

ปัญหาหลักของระบบ TCAS คือไม่เคยเอามาทดลองใช้กับเด็กจริงๆ เพราะระบบนี้เป็นแต่เพียงโมเดลทางความคิดที่ยังไม่เคยเอาไปใช้จริงทดลองกับระบบจริงๆ พี่ลาเต้เน้นย้ำว่า ตามหลักแล้ว TCAS ทางทฤษฎีมันสวย แต่ระบบการจัดการไม่ดี จึงก่อให้เกิดข้อบกพร่องอย่าง ‘การกันที่’ ให้เห็น

“ทปอ. บอกว่าเลือกหนึ่งที่ก็ได้ แต่ใครจะกล้าล่ะครับ มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”

พี่ลาเต้ เสริมประเด็นรูปแบบ ‘กันที่’ เพิ่มเติมว่า ระบบเดิมอาจมีเด็กสอบติดได้มากถึง 10 ที่ ในขณะที่ระบบ TCAS เปิดโอกาสให้เด็กสามารถสอบติดสูงสุดเพียงแค่ 4 ที่เท่านั้น แต่ข้อสังเกตที่ตามมาคือ แม้ว่าจำนวนคณะที่เด็กสอบติดจะลดน้อยลงจริง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาคือกลไกของระบบนี้เอื้อให้เด็กที่สอบติดได้ไม่เกิน 4 ที่นั้นกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย

จึงกลายเป็นว่าจำนวนเด็กที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็หวนกลับมา ‘กันที่’ เช่นเดิม

ทปอ.: เรารับแก้ปัญหาทุกกรณี

รายละเอียดการคัดเลือกตามระบบ TCAS มีอยู่ทั้งสิ้น 5 รอบ คือรอบที่ 1 เป็นการรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียน รอบที่ 2 เป็นการรับแบบโควตาที่มีการสอบปฏิบัติและข้อเขียน รอบที่ 3 เป็นการรับตรงร่วม รอบที่ 4 เป็นการรับแบบ Admission และรอบที่ 5 เป็นการรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก) โดยอิงตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง

จากเหตุการณ์ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ผศ.ดร.ประเสริฐ คันธมานนท์ เลขาธิการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ประเมินถึงสถานการณ์ปัญหาเรื่องของระบบ TCAS ว่า ปัญหาของระบบ TCAS ตอนนี้ คือเรื่อง ‘กันที่’ ในระบบ TCAS รอบที่ 3 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาที่ทางที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สปอ.) ยอมรับถึงข้อผิดพลาดและกำลังพยายามเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว

“ที่เป็นประเด็นคือ (TCAS) รอบสาม แต่ผมเรียนได้เลยครับ ว่าการ ‘กันที่’ ปีหน้าคงลดน้อยถอยไป เรารับฟังข้อเสนอที่จะทำจัดอันดับ แต่ก็ต้องบอกว่าในปีนี้เราไม่สามารถปรับได้ แต่เราพยายามที่จะทำให้ความรู้สึกดีขึ้นโดยการมี 3/2 มาช่วยครับ”

“เราพยายามแก้ปัญหาโดยเร็ว โดยที่ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ปัญหาที่ตามมาเราก็ยอมรับหมด เพราะการแก้ปัญหาในวิกฤติ มันย่อมมีประเด็นปัญหาที่พัวพันอยู่ เรารับแก้ปัญหาทุกกรณีนะครับ และถ้าใครมีปัญหาจากระบบเราจะจัดการให้ทุกกรณี”

“ข้อที่ 1 ทำไม กสพท. ถึงมา ‘กันที่’ แล้วข้อที่ 2 ทำไมถึงไม่มีการจัดอันดับ คือเรารับไว้หมดเลยครับ เราสามารถจัดการปัญหานี้ได้แน่นอน แต่วิธีการเป็นยังไง ตอนนี้เราเห็นวิธีแล้ว แต่คงต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัยค่อนข้างเยอะมาก เพราะว่ามันจะทำในรอบนี้ได้ มหาวิทยาลัยก็จำเป็นจะต้องช่วยด้วย เพราะเกณฑ์ในการตัดสิน มันเป็นของมหาวิทยาลัย ซึ่งเกณฑ์เรามีอยู่ประมาณ 3,000 หลักสูตร หรือ 3,000 เกณฑ์ครับ ลองคิดถึงต่างคนต่างมีเกณฑ์ดูสิครับ”

อีกหนึ่งประเด็นที่ทาง ทปอ. ให้ความสำคัญคือ TCAS ในแต่ละรอบมีระยะห่างกันมากเกินไป โดยที่ระหว่างรอบที่หนึ่งและรอบสุดท้ายมีระยะเวลาห่างกันมากเกือบ 6 เดือน ซึ่ง ผศ.ดร.ประเสริฐ คาดการณ์ไว้ว่า ปัญหาดังกล่าว ปีหน้าจะเร่งแก้ไขให้ระยะเวลาหดสั้นลงมากกว่าเดิม

“เราพยายามให้โอกาสเด็ก เราไม่นึกหรอกว่า องค์ประกอบโดยรวม (sentiment) ของน้องมันจะ swing ไปอีกด้านนึง เพราะฉะนั้นปีหน้า เราจะพยายามปรับเปลี่ยนเรื่องนี้ใหม่ และสิ่งที่หายไป คือการวิ่งรอบสอบก็จะตกอยู่ในรอบที่สาม และถ้าไม่พลาดอะไร ภายในเดือนพฤษภาคมก็ต้องจบหมด เราคิดว่าปีหน้าเราจะทำให้กระชับขึ้น แล้วมันก็จะทำให้จบกระบวนการทั้งหมดได้เร็วขึ้น”

จิตวิทยา: เด็กต้องนึกสภาพที่เลวร้ายที่สุดเผื่อไว้ด้วย

ด้าน รศ.ดร.วิชาญ ลิ่วกีรติยุตกุล อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในทางปฏิบัติจริง รอบ ‘TCAS3’ ก็ยังคงมีความหมายเดิมอยู่ คือเป็น ‘รอบรับตรง’ ส่วนรอบ ‘TCAS4’ หมายถึงระบบแอดมิชชั่นกลาง ที่มีหน้าที่รองรับเด็กส่วนใหญ่ต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้น TCAS รอบแรกๆ ก็ยังคงทำหน้าที่คัดกรองเด็กเก่งให้หลุดออกจากระบบไปตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่แตกต่างอะไรจากที่เคยเป็นในระบบเก่า

รศ.ดร.วิชาญ มีความเห็นว่า ในแง่นี้เด็กเก่งจะไม่มีปัญหากับระบบ TCAS แต่กลุ่มที่ประสบปัญหาจริงๆ คือกลุ่มเด็กตั้งแต่เด็กระดับปานกลางลงไป เนื่องจากระบบใหม่ถูกออกแบบมาให้เด็กทุกคนต้องผ่านระบบเดียวกัน

ระบบนี้จึงมีลักษณะเหมือนอยู่ในท่อที่ถูกต่อยาวไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อเด็กอยู่ในท่อนี้นานเกินไป ความเครียดจึงตกอยู่กับพวกเขา

“จริงๆ แล้วสมัยก่อนเด็กไม่จำเป็นจะต้องผ่านทุกรอบ บางคนอาจจะไม่สนใจระบบ Portfolio หรือ ระบบโควตา เขาอาจจะยื่นระบบแอดมิชชั่นทีเดียวเลย จริงๆ แล้วเขาอาจจะอยู่ในระบบแค่ หนึ่งหรือสองแบบเท่านั้น

ในมุมมองด้านจิตวิทยานั้น ทาง ผศ.ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ อธิบายว่า เมื่ออุปสงค์ (demand) กับ อุปทาน (supply) ไม่เท่ากัน ย่อมก่อให้เกิดความเครียดเสมอ ในกรณีนี้คือความเครียดเรื่องจำนวนที่นั่งสอบไม่สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก จึงไม่แปลกที่เด็กจำนวนมากรู้สึกเครียดและกดดัน

“ครั้งนี้มันเครียดหนักกว่าเดิม เพราะอะไร บังเอิญว่า ระบบ TCAS มันใหม่ มันก็เลยมีความไม่แน่นอน มีความไม่มั่นใจ แล้วการสื่อสารมันก็ยังไม่สอดคล้องเต็มที่ ความสับสนมันก็ยิ่งเกิด หลายสิ่งมันก็มารวมๆ กันก็ทำให้เด็กยิ่งเครียดและกังวลหนัก”

“มากกว่าเครียดก็คือ กลัว” ผศ.ดร.พรรณระพี เอ่ย

“ตรงนี้แหละที่มันเกิดวงจร คือคุณค่าของฉันตอนนี้ถูกสังคมกำหนดว่า ‘ฉันจะต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้’ ทุกครั้งที่มันมีคำว่า ‘ไม่ได้’ ใจเด็กก็จะกิ่ว (ใจเสีย) ไปนิดนึง”

ในแง่ของจิตวิทยาอะไรที่จะคาดเดาไม่ได้ ล้วนแต่นำไปสู่ความเครียดทั้งนั้น ผศ.ดร.พรรณระพี แนะนำว่าเด็กต้องสมมุติสภาพที่เลวร้ายที่สุด (worst case) เผื่อไว้ด้วย เด็กต้องพยายามวางแผนล่วงหน้าว่าจะรับมือกับปัญหาอย่างไร หากตัวเองสอบไม่ติด และอย่าปล่อยให้ชีวิตของเด็กนั้นมีทางเลือกแค่ทางเดียว แต่ให้พยายามลองคิดช่องทางอื่นไว้ด้วย

หากวางแผนล่วงหน้าได้แล้ว ความเครียดที่มีอยู่ก็จะลดลงเป็นอย่างมาก

ทางออกการศึกษาที่กลายเป็นเขาวงกต

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล นักวิชาการด้านการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ชวนถกเถียงไปไกลกว่าปัญหาระบบ TCAS ว่า อนาคตของการศึกษาไทยตอนนี้เหมือนอยู่ในเขาวงกต นอกจากปรากฏการณ์ TCAS แล้ว ปัญหาอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ มหาวิทยาลัยกำลังมีเป้าหมายที่คลุมเครือ เพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มุ่งแต่ผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานเท่านั้น

“มีการคาดหวังว่าจะต้องหา input ที่ใช่ที่สุดเข้ามาเรียน เพราะฉะนั้นมันจึงกลายเป็น ทำให้ระบบรับเข้าที่เป็นคอขวดก็ต้องออกแบบมาเพื่อการนั้น เราต้องคุยเรื่องเป้าหมายว่า จริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยผลิตแรงงานอย่างเดียวเหรอ หรือมหาวิทยาลัยคือช่วงเวลาที่คนหนุ่มสาวของเราจะมาพัฒนาตัวเองเพื่อออกไปพัฒนาสังคม

“ถ้าเราไม่คุยกันประเด็นแบบนี้ ก็คงพูดกันลำบาก เพราะปัญหาระบบก็แก้เชิงเทคนิคไปเรื่อยๆ ปัญหาเดิมก็ไม่ถูกแก้ไข”

สังคมไทยต้องตั้งคำถามไปไกลกว่าเดิมว่า กำลังต้องการสังคมแบบไหน ผศ.อรรถพล คิดว่าประเด็นตรงนี้เป็นเรื่องที่สังคมควรถกเถียงกันเป็นวงกว้าง เพราะนับวันการศึกษายิ่งมีอัตราการแข่งขันการศึกษาที่สูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทุกคนต่างยอมรับกันว่า นี่คือเวทีการแข่งขันของเด็กโดยที่มีพ่อแม่เป็นพี่เลี้ยง

“เมื่อเราเห็นภาพของโลกที่เป็น ideal แล้วเราจะขยับไปสู่จุดนั้นได้ยังไง” ผู้ร่วมเสวนาคนหนึ่งถามขึ้นมา ในช่วงท้ายของงาน

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล นักวิชาการด้านการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ

ผศ.อรรถพล ตอบคำถามข้างต้นว่า เวลาการพูดคุยถึงเรื่องการออกแบบระบบ สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือการสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมาทดแทน ทั้งนี้การออกแบบนั้นต้องอาศัยแรงส่งเชิงนโยบายร่วมด้วย ซึ่งทางกระทรวงต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน

“มองว่าโจทย์หลักคือ ‘ทำเช่นไรที่ไม่ให้มหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทหน้าที่การออกแบบระบบแต่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าเราไม่พูดถึงกลไกเชิงระบบที่สนับสนุนค่านิยมใหม่ มันก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ค่านิยมไม่ได้เกิดแค่วันสองวัน และไม่ใช่พอผมพูดเสร็จแล้วมันจะสำเร็จภายในปีนี้”

“โลกงานเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และถ้าเราไม่คิดระบบ หรือหลักสูตรที่จะมองไปข้างหน้า เราปล่อยให้มหาวิทยาลัยต่างคนต่างอยู่ แล้วก็ใช้วิธีการเรียกเด็กเก่งๆ มาเรียนด้วยกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะผลิตซ้ำ แล้วพอถึงวันหนึ่งเราก็จะพบว่า เราไม่ได้ให้เด็กเตรียมตัวกับอนาคตเลย” ผศ.อรรถพล กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

ระบบการศึกษางานเสวนาการสอบTCASมนัส อ่อนสังข์(ลาเต้ Dek-D)อรรถพล อนันตวรสกุล

Author:

Related Posts

  • Life classroom
    อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Dear Parents
    มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก

    เรื่อง

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง
Character building
12 June 2018

ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ออกจากห้องเรียนไปศึกษาระบบนิเวศหอยแครง ตั้งแต่วงจรชีวิตของหอยแครงถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชน ผู้คนที่หาอยู่หากินกับมัน
  • สิ่งที่เจอไม่ใช่แค่ข้อมูลวัฏจักรชีวิตหอยแครง แต่คือปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างแพลงก์ตอนบลูม (Plankton Bloom) ซึ่งเกิดจากปัญหาของมนุษย์ที่ร้อยโยงกับสิ่งแวดล้อมอย่างแยกไม่ออก
  • การเรียนนอกห้องไม่ได้ทำให้การเรียนในห้องมีปัญหา กลับสร้างสมดุลการเรียนรู้ การบริหารเวลาและบริหารความอดทน
ภาพ: วีรวรรณ ดวงแข และ พัชรี ชาติเผือก

“ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนถาวรานุกูล ผมยังไม่รู้ตัวเองว่าอยากเรียนต่อคณะอะไร เลยอยากลองหากิจกรรมหลายๆ อย่างทำเพื่อดูว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบอะไรกันแน่ ผมไม่ได้เป็นคนปฏิเสธกิจกรรม แต่ไม่ได้กระตือรือร้นสรรหา พอเพื่อนมาชวนไปทำโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก ผมเลยตอบตกลงเพราะเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยทำมาก่อน” เด็กผู้ชายคนหนึ่งเล่าถึงความอยากรู้อยากลองของเขา

และโครงการที่ว่าก็คือการไปหา ‘หอยแครง’

จากเด็กต่างจังหวัดขี้อายไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชีวิตแต่ละวันมีแค่บ้านกับโรงเรียน ใช้เวลาส่วนใหญ่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องนอน แต่ละวันนอนดึกหรือบางวันไม่นอนเลย เช้ามาก็ไปโรงเรียนตามปกติ นัท-เอกนรินทร์ เลิศนันทวัฒน์ บอกว่า ชีวิตเขาเปลี่ยนไปหลังจากที่ได้รู้จักหอยแครงนั่นแหละ

ก่อนไปถึงเรื่องหอยแครงจริงๆ นัทอธิบายว่า โครงการที่เขาทำมีแนวคิดอยากเสริมสร้างพลังพลเมืองให้เด็กและเยาวชน เลยสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านชุมชนท้องถิ่น เพราะมีความเชื่อว่าประสบการณ์นอกห้องเรียนจะช่วยพัฒนาทักษะหลากหลายด้านให้คนคนหนึ่งได้ เช่น ทักษะการทำงานที่ต้องวางแผน คิด และวิเคราะห์ ทักษะชีวิตที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ และทักษะความรู้ที่ได้ระหว่างการทำงาน หรือแม้แต่การนำความรู้ในห้องเรียนมาร่วมแก้ปัญหาชุมชน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมา โครงการที่ว่านี้อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม สนับสนุนโดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

“เคยสงสัยไหมว่าทำไมหอยแครงถึงมีราคาแพง?” นัทถามกลับเข้ามาถึงเรื่องหอยแครง

“หอยแครงแพง…เพราะการเลี้ยงหอยแครงมีความเสี่ยงสูง” นัทตอบแบบนี้ซึ่งก็ฟังดูน่าคิด

แพลงก์ตอนบลูม ศัตรูของหอยแครง

โครงการที่นัทและเพื่อนทำคือ โครงการศึกษาระบบนิเวศของหอยแครง ศึกษาวงจรชีวิตของหอยแครงและระบบนิเวศที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงหอยแครง ตลอดจนวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของคนในพื้นที่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พื้นที่ทำโครงการอยู่ที่ ตำบลคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม นัทเล่าอย่างคล่องแคล่วว่า ตำบลคลองโคน ประกอบด้วย 7 หมู่บ้าน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบชายฝั่งทะเล มีป่าชายเลนที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วยป่าแสมและโกงกางเป็นพืชหลัก ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงเพราะอยู่ติดแหล่งน้ำ การเลี้ยงสัตว์น้ำในแต่ละแหล่งต้องดูตามความเหมาะสมของสภาพน้ำ เพราะบางพื้นที่เป็นน้ำเค็ม บางพื้นที่เป็นน้ำกร่อย

แต่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย คือ หอยแครงเป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่งที่สร้างรายได้โดยรวมจำนวนมหาศาลให้ชุมชน ชุมชนที่อยู่ติดคลองแถบนี้นิยมเลี้ยงหอยแครงเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด

จากประสบการณ์ทำโครงการกับชุมชน สิ่งที่ทำให้นัทอึ้งมากที่สุด คือ

ความรู้รอบของชาวบ้านที่ประกอบอาชีพประมง โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงเลี้ยงหอยแครง ที่อาจไม่ได้เรียนสูงจบปริญญา แต่รู้และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อเจอปัญหาก็ไม่ได้ตีโพยตีพาย แต่พยายามสืบค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก่อนเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาที่พูดถึงนี้คือปัญหาแพลงก์ตอนบลูม (Plankton Bloom) และปัญหาน้ำเสียที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในการเลี้ยงหอยแครงของชาวประมง

“ชาวบ้านไม่ได้รู้จักสภาพแวดล้อมแค่ในขอบเขตที่ตัวเองเลี้ยงหอยอยู่ แต่รู้จักสภาพภูมิประเทศตลอดลำน้ำเพราะเมื่อเกิดปัญหาเรื่องน้ำ พวกเขาลงมือสำรวจลำน้ำด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่าต้นน้ำมาจากไหน ระหว่างทางมีบริษัท ฟาร์มหรือโรงงานอะไรบ้างที่ปล่อยน้ำเสียและเป็นสาเหตุทำให้สภาพน้ำในคลองโคนไม่เอื้อต่อการเลี้ยงหอยแครงเหมือนแต่ก่อน”

กว่า 5 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคเรื่องนี้มาตลอด แพลงก์ตอนบลูม เป็นปรากฏการณ์ที่น้ำในแหล่งน้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว มีสาเหตุจากการสะสมของปุ๋ยเคมีและของเสียที่มีธาตุอาหารสูงในน้ำ ทำให้แพลงก์ตอนซึ่งเป็นพืชน้ำเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ยิ่งในช่วงหน้าฝนที่น้ำจืดจากการชะล้างตั้งแต่ต้นน้ำไหลลงสู่ทะเลในปริมาณมาก ยิ่งทำให้เกิดแพลงตอนก์บลูมได้ง่าย เรียกได้ว่าคลองโคนเป็นพื้นที่ปลายน้ำ เป็นทางผ่านรองรับน้ำซึ่งไหลมาจากทางตอนเหนือก่อนออกปากน้ำแม่กลอง

ความเลวร้ายที่สะสมมาในลำน้ำทั้งหมดจึงส่งผลกระทบต่อชาวประมงเลี้ยงหอยแครงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เว้นเสียแต่ว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขมาตลอดเส้นทางน้ำ ความหนาแน่นของแพลงก์ตอนทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง หอยแครงเป็นสัตว์น้ำที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เอง หากอาศัยอยู่ในน้ำที่เกิดแพลงก์ตอนบลูมหรือน้ำเสียมีโอกาสตายได้ทั้งหมด

“หอยแครงที่เลี้ยง 100 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสรอดเพียง 30-40 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น บางครั้งเพิ่งปล่อยหอยลงไปเลี้ยง แต่ต้องเจอกับสภาพน้ำที่ไม่เหมาะสมซึ่งไหลมาจากต้นน้ำ ชาวประมงก็ต้องรีบเก็บหอยขึ้นขายทั้งที่ยังไม่โตเต็มที่ พวกเขาต้องยอมรับผลกระทบจากรายได้ที่หดหายไป เพราะขายหอยได้ในราคาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย” นัทอธิบาย

ปรับตัว…เปิดใจ

“เมื่อก่อนเจอหน้าคนไม่รู้จัก ผมไม่รู้จะทำยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลยเลือกเงียบไม่พูดกับใคร แต่พอทำโครงการการพูดคุยกับชาวบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ผมใช้วิธีสังเกตและเรียนรู้จากเพื่อนเพราะเขาเคยทำโครงการมาตั้งแต่ปีก่อน ดูว่าเขาทำยังไง ถามหรือพูดคุยยังไงแล้วฝึกพูดฝึกทำตามเขา เวลาลงพื้นที่จริงก็ทดลองทำตามที่ฝึกมา ทำไปหลายๆ ครั้งเราก็ทำได้ดีขึ้น จากเมื่อก่อนผมคิดอยู่ในหัว แต่ไม่สามารถเรียบเรียงเพื่อแสดงความคิดเห็นออกไปได้ ตอนนี้ความประหม่า ความกระอักกระอ่วนหายไปหมดแล้ว ผมมีความกล้าแสดงออกและสื่อสารสิ่งที่คิดออกไปได้”

ดูเหมือนว่า การปรับตัวและเปิดใจ เป็นทักษะสำคัญที่ต้องนำมาใช้ในชั่วโมงนี้ ซึ่งนอกจากปรับเพื่อพัฒนาทักษะในตัวเองแล้ว ยังต้องปรับเพื่อให้ทำงานเข้ากับคนอื่นในทีมได้ด้วย จึงต้องเลยเถิดไปถึงการปรับเวลานอน

“จากที่นอนดึกหรือไม่นอนเลย ผมทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว หากยังใช้ชีวิตแบบเดิม แล้วต้องลงชุมชนไปเจอลมฝนแดด จะยิ่งเพลียหนักหรืออาจไม่สบาย ผมเลยต้องนอนให้เป็นเวลา ตื่นให้เป็นเวลา ถ้าวันรุ่งขึ้นมีงานผมก็จะนอนเร็วขึ้น” นัทเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาหลังได้ร่วมโครงการภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 ปี

ต้องอินเบอร์ไหน ทำไมถึงยอมปรับตัวขนาดนี้?

นัทบอกว่า ความอินนั้นก็ใช่ แต่ความรับผิดชอบต้องมาก่อน เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงในทีม

“เราเลือกเองว่าจะเข้ามาร่วมโครงการ มันจึงเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เลยพยายามทำให้ได้ ก็ต้องยอมปรับตัวเอง ก่อนลงชุมชนเราไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไรบ้าง การเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้าน ได้ฟังเรื่องเล่าได้รู้เรื่องราวผ่านประสบการณ์ของคนในชุมชน ทำให้ได้รู้จักชุมชนมากขึ้น ไปหลายๆ ครั้งความรู้จักก็เปลี่ยนเป็นความคุ้นเคยและสนิทสนม ความอินก็ตามมาทีหลัง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับชุมชน จะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แล้วอยากมีส่วนร่วมช่วยแก้ไขปัญหา ผมคิดว่าถ้าเราไม่รู้จริงเราก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่นี่เราได้ลงไปทำงานกับชุมชนจริง เราได้เห็นได้รู้ข้อมูลด้วยตัวเอง เลยพูดออกมาได้อย่างมั่นใจ กล้าพูดกล้าสื่อสารข้อเท็จจริงและสิ่งที่คิดออกมาอย่างเต็มที่ ผมได้ความรู้ใหม่ทุกครั้งที่มีโอกาสลงพื้นที่ชุมชน” นัทเล่า

ยิ่งเมื่อลงมือทำจึงรู้ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการทำงาน นัทเล่าว่า พวกเขาได้บทเรียนจากการไม่เตรียมความพร้อม ไม่ได้ประชุมวางแผนการทำงานก่อนลงพื้นที่ครั้งแรก ด้วยข้อจำกัดของเวลาทำให้การทำงานครั้งนั้นต้องสะดุด บทเรียนนั้นทำให้พวกเขาเรียนรู้ว่า วิธีการทำงานเพื่อให้ประหยัดเวลาต้องมีการวางแผนว่า การลงพื้นที่แต่ละครั้งมีจุดมุ่งหมายอะไร ต้องเข้าไปพูดคุยกับใคร แล้วต้องทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้ไม่หลงประเด็น ไม่เสียเวลา และได้ข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วน

นอกจากนี้ ประสบการณ์นอกห้องเรียนยังสร้างคุณลักษณะที่ดีให้กับการเรียนในห้องเรียนได้ด้วย นัทสังเกตเห็นว่าตัวเองมีความขยันและมุมานะกับการเรียนมากกว่าแต่ก่อน

“กระบวนการเรียนรู้จากการทำงานกับชุมชนทำให้มีความรับผิดชอบมากกว่าเดิม เราเลยรับผิดชอบได้ทั้งงานในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยไม่รู้สึกว่ามันหนักหนาเกินไป เหมือนเราได้รู้จากประสบการณ์ตรงแล้วว่า การออกไปทำงานข้างนอกหนักกว่าการเรียนในห้องเรียน

พอออกไปทำงานข้างนอกกับชุมชนได้ ตอนกลับมาเรียนในโรงเรียนผมกลับรู้สึกสบายขึ้น ไม่คิดว่ายาก ไม่กดดัน ไม่ท้อแท้ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานที่อาจารย์มอบหมายด้วยความเต็มใจ

จากเมื่อก่อนรู้สึกตลอดว่างานเยอะ ยาก ไม่อยากทำ บ่นว่าอาจารย์ว่าจะให้ทำไปทำไม ตอนนี้เปลี่ยนความคิดไปเลย กลับรู้สึกว่างานในโรงเรียนไม่ได้ยาก และไม่ได้เยอะขนาดที่เราทำไม่ได้ กลายเป็นว่าผลการเรียนในห้องเรียนเพิ่มขึ้นทั้งที่มีภาระมีกิจกรรมให้ต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม ผมว่าถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบ บริหารจัดการชีวิตไม่เป็น ชีวิตมันก็จะพังไปหมด”

คว้าฝันสำเร็จจากการเรียนรู้นอกห้อง

ปัจจุบัน นัทเป็นนักศึกษาน้องใหม่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นราว 1 ปีก่อน จากที่ยังไม่มีความมั่นใจว่าตนเองถนัดอะไรและอยากเรียนอะไร ประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียนจากการสืบค้นเรื่องราวของหอยแครง ที่ไม่น่าจะเชื่อมโยงกับความชื่นชอบด้านคอมพิวเตอร์ได้เลย ยังทำให้นัทค้นพบและรู้จักตัวเองชัดขึ้นว่าเขาถนัดและชื่นชอบงานด้านคอมพิวเตอร์มากกว่างานด้านอื่น ในโครงการเขามีโอกาสได้ทำสื่อที่ต้องนำความรู้ เทคนิคและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ นั่นทำให้นัทมีความมั่นใจและมุ่งมั่นจนสามารถสอบเข้าคณะที่ต้องการได้สำเร็จ

“อยากให้น้องๆ ในชุมชนมีโอกาสเรียนรู้แบบที่ผมได้รับ ไม่ต้องถึงขนาดทำงานเพื่อชุมชนก็ได้ แต่อยากให้เด็กและเยาวชนในจังหวัดได้เรียนรู้วิถีชีวิตของกันและกัน ผมเชื่อว่าเด็กหลายๆ คนเป็นอย่างที่ผมเคยเป็น ไม่รู้ว่าชุมชนตัวเองและชุมชนข้างเคียงมีอะไรบ้าง หากมีการบอกเล่าแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมชน จะสร้างให้เกิดความภาคภูมิใจ เด็กจะเกิดความรักและหวงแหนชุมชนของตัวเองมากขึ้น ในอนาคตไม่ว่าพวกเขาออกไปทำอะไร เขาจะไม่ทำสิ่งที่ทำลายชุมชนของตัวเอง ไม่ทำให้สิ่งที่มีคุณค่าซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วหายไป กลับกันเขาจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ ใส่เข้าไปในชุมชน” นัททิ้งท้าย

Tags:

อาชีพวัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Character building
    ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน

    เรื่อง The Potential

‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
RelationshipTransformative learning
12 June 2018

‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • self-reflection: การสะท้อนคิดใคร่ครวญ หัวใจของการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เครื่องมือคือ การฟังอย่างลึกซึ้ง และการตั้งคำถามที่ปราศจากการตัดสิน ถามอย่างอยากเข้าใจ
  • ฟัง: ฟังอย่างคนโง่ (เป็น) และไม่มีอีโก้ ทิ้งความถูกผิดเชิงความเห็นไปก่อน อย่าฟังแค่เสียง แต่ฟังสีหน้า เรื่องราว ความรู้สึก เพราะ “สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งที่พูดได้ สิ่งสำคัญอยู่ในใจที่อธิบายออกมายาก”
  • ถาม: คำถามที่ง่ายคือคำถามที่ตอบได้ แต่ไม่รู้ว่าต้องคิดกับมันยังไง และ “ครูไม่จำเป็นต้องรู้หรือมีคำตอบให้กับทุกเรื่อง แต่ควรมีคำถามที่ดีที่กระตุ้นให้คิดและค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง”
ภาพ: ศิริโชค เลิศยะโส / ครูกล้าสอน

อ้างอิงคำพูดนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ที่ว่า “เพราะการศึกษาสร้างเด็กป่วยมากพอแล้ว” คำถามต่อมาคือ “ห้องเรียนแบบไหนที่ซ้ำเติมให้เด็กยิ่งป่วยเพิ่มขึ้น”

สิ่งที่เห็นชินตาจากหน้าหนังสือพิมพ์และฟีดข่าว คือภาพ (เดี๋ยวนี้มาเป็นคลิป) ครูใช้ความรุนแรง ละเมิดสิทธิ กล้อนผมนักเรียน ตบตีด้วยความโกรธ ใช้อำนาจข่มขู่ให้หวาดกลัว ไม่รวมวิธีการเรียนการสอนที่เป็นลักษณะ ‘สั่งสอน’ เมื่อต้องทำตามคำสั่งที่ไม่ได้มาจากความ ‘เข้าใจ’ ไม่แปลกที่ห้องเรียนไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย การแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้จึงไม่เกิด

กี่ปี (กี่ชาติ) ก็ยังคงเดิม หลายคนเหน็บแนมเสียด้วยซ้ำ “การศึกษาไทยแก้ไม่ได้ในชาตินี้”

แต่คำเหน็บแนมกับความไม่เชื่อมั่นในระบบ เป็นคนละเรื่องกับความอยากเปลี่ยนแปลงและการขยับของคนทำงาน ขณะนี้มีกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ เกิดคำศัพท์วิชาการ มีกระบวนการทำงานแบบใหม่ ซึ่งพยายามทำงานกับวิธีคิด ‘กระบวนภายใน’ ของทั้งผู้เรียนและผู้สอน หนึ่งในนั้นคือแนวคิด ‘Transformative Learning’ หรือ ‘การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง’

ความหมายตรงตัว Transformative Learning (TL) คือการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ผู้เรียนรู้ถูกพาไปอยู่บนเส้นขีดขอบความสามารถของตัวเองเพื่อท้าทายให้เขยิบเส้นนั้นไกลขึ้นอีกนิด เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่มาจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง-นี่คือความหมายอย่างคร่าว

ส่วนเครื่องมือที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้นั้นมีหลายอย่าง แต่สิ่งที่ ณัฐฬส วังวิญญู ผู้ก่อตั้งสถาบันขวัญแผ่นดิน, กระบวนกรนักจัดการเรียนรู้เพื่อสำรวจโลกภายในตัวเอง และผู้แปลหนังสือ กล้าที่จะสอน: การสำรวจโลกภายในของชีวิตครู คิดว่าทรงพลัง คือ…

self-reflection หรือ การสะท้อนคิดใคร่ครวญ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการฟังอย่างลึกซึ้ง และการตั้งคำถามที่ปราศจากการตัดสิน ถามด้วยความอยากที่จะเข้าใจ

การฟังและตั้งคำถาม การสื่อสารที่เราต่างใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งตั้งคำถามยิ่งถูกหาว่าตั้งแง่, การฟังใช้พลังเหลือล้น แบบนี้จะถูกปรับไปใช้ในห้องเรียนจริงได้อย่างไร, มีวิธีการตั้งคำถามสำเร็จรูปหรือไม่ คำถามที่ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วทำไมเราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้กัน

ทำไมต้องคิดอย่างใคร่ครวญ ทำไมต้องถามและฟัง?

กระบวนกร
ผู้สร้างเส้นทางให้เกิดการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่การบรรยาย

เอาเข้าจริงแล้วกระบวนกร นักจัดกระบวนการคืออะไร?

ผู้ที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่การบรรยายอย่างเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ สัมผัสจริง ลงมือทำ ไม่ใช่ความรู้ในเชิงชุดข้อมูล

เช่น ผมอธิบายว่าเชียงรายคืออะไร นี่คือความรู้ชุดหนึ่ง แต่ถ้าคุณได้ไปจริง อันนี้ก็ไม่ต้องอธิบายแล้วเพราะคุณจะรู้เอง คล้ายเป็นการเรียนผ่านประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ซึ่งมันจะไปเปลี่ยนคอนเซ็ปท์ว่าความรู้ไม่ใช่แค่ข้อมูล data แต่เป็นประสบการณ์ที่ถอดออกเป็นความรู้เชิงข้อมูลได้ด้วย

ในแง่นี้ ผู้ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นครูที่ยืนสอนอยู่หน้าห้อง แต่เป็นคนพาทำนั่นทำนี่และมานั่งคุยกันว่า เมื่อทำแล้วนักเรียนได้เรียนรู้ รู้สึก หรือได้ประโยชน์อย่างไร

ทำไมกระบวนกรจึงเป็นที่พูดถึงในวงการศึกษามากขึ้น

ผมคิดว่ามันมาพร้อมความสนใจในแวดวงการศึกษาบ้านเราในเรื่องการทำความเข้าใจตัวเอง เป็นความรู้ภายในของชีวิต อาจจะเป็นความสนใจที่ไม่ได้โฟกัสไปที่ความรู้ทางศาสนา เพราะศาสนาเป็นเรื่องการทำความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับชีวิต สังคมอาจจะอยากจะเข้าใจตัวเองโดยไม่ผ่านสถาบัน แต่เข้าใจผ่านภาษาใหม่ที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ อีกกระบวนการหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกว่าจิตวิทยาสมัยใหม่ คือการศึกษาที่โฟกัสไปที่ความเข้าใจของผู้เรียน ความเข้าใจในตัวเอง เลยเป็นที่มาของความคิดเรื่อง Transformative Learning ด้วย คือเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ดีขึ้น

Transformative Learning เปลี่ยนแปลงอะไร

การศึกษาในรูปแบบของกระบวนทัศน์แนวคิดใหม่ๆ หรือเรื่อง TL อาจจะไม่ใช่แค่กิจกรรมหรือเครื่องมืออะไรบางอย่าง แต่หมายถึงการเปลี่ยนความสัมพันธ์ ทัศนคติระหว่างครูและนักเรียน

จากที่ครูมีอำนาจสูงสุด เป็นคนเลือกว่าควรสอนหรือเรียนอะไร ไปเป็นเปิดพื้นที่ให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น เขาสนใจอะไร รู้สึกอย่างไร เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

เพราะวินัยเกิดขึ้นหลังจากมีความรัก ครูแค่หล่อเลี้ยงแรงบันดาลใจหรือความรักเหล่านี้ และเอื้ออำนวยปัจจัยการเรียนต่างๆ

ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์หมายถึงผู้ที่เดินทางไปด้วยกัน หน้าที่หลักของครูคือสังเกต อะไรที่ดึงดูดความสนใจ อะไรทำให้เขาเกิดชีวิตชีวา มีความสุข มีแรงบันดาลใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าปล่อยให้เรียนรู้ตามอำเภอใจ เด็กบางคนอยู่กับความคิดความรู้สึกมาก ไม่ค่อยพัฒนาร่างกายตัวเอง ครูก็หาวิธีการ ทำยังไงให้เขามาสนใจด้านที่เขาละเลยบ้างเพื่อให้เกิดความสมดุล

ผลลัพธ์ของ Transformative Learning คืออะไร

ประเด็นแรก คือเข้าใจและเป็นอิสระจากอิทธิพลที่เป็นข้อจำกัดของตัวเอง เช่น ถ้าเราเป็นคนที่มีความกลัว เราก็เรียนรู้ว่าจะเป็นอิสระจากความกลัวอย่างไร

สอง เข้าใจเป้าหมายของชีวิต รู้คุณค่าของเราซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น เราอาจจะถูกสังคมบอกว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยเหตุผลเยอะแยะไปหมด มันมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เป็นกรอบอยู่ แต่ TL ไม่ได้บอกว่าเราต้องเป็นกบฏกับกฎเกณฑ์เหล่านี้ แต่จะเข้าใจตัวเองและเป็นอิสระจากมันได้อย่างไร

ซึ่งโดยธรรมชาติมันจะนำไปสู่เป้าหมายที่สาม คือความสามารถที่จะถ่ายทอดส่งต่อ (contribute) เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ไม่ว่าจะระดับเล็กๆ อย่างครอบครัวหรือในวงกว้าง คือถ้าเราเป็นมิตรกับตัวเองได้ เรามีประโยชน์กับตัวเอง เราก็จะเริ่มมีประโยชน์กับคนอื่น

ซึ่งนี่ไม่ได้มาจากความคิดเชิงคุณธรรมจริยธรรมโดยใช้เหตุผลว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้คนในสังคม อันนั้นเป็นเหตุผล ผมว่าลึกๆ ชีวิตทุกชีวิตมีประโยชน์ต่อสังคมทั้งนั้นแหละ ถ้าค้นพบตัวเอง ค้นพบว่าเราคือใคร เราทำอะไรได้อีก

การศึกษาปัจจุบัน ไม่ตรงหรือขัดกับนิยามของ Transformative Learning อย่างไร

อาจจะไม่ได้ขัด แต่มีข้อจำกัด เพราะการศึกษาแบบเดิมเน้นการเข้าใจสิ่งที่อยู่ข้างนอกตัวเรา ถ้าเรียนวิศวะต้องเข้าใจเครื่องจักร กลไก ซอฟท์แวร์ เพื่อคุณจะได้จัดการมันได้ เรียนเพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่คุณเรียน แต่ไม่ได้โฟกัสว่า แล้วคนที่กำลังทำงานอยู่คืออะไร ความรู้ในตัวเองคืออะไร อาจเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดความสนใจว่าการศึกษาที่จะไปเติมเต็มความเข้าใจของตัวเองนั้นเป็นย่างไร

เครื่องมือ หรือ วิธีการ Transformative Learning คืออะไร

มีวิธีเยอะมากเพราะเรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ กระบวนการทำความเข้าใจตัวเองมีอยู่แล้วในทุกวัฒนธรรม เช่นคำถาม คนเราเกิดมาทำไม อยู่ไปเพื่ออะไร? แต่เครื่องมือที่ทุกวันนี้ใช้กันเยอะ คือกระบวนการ self-reflection ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การเขียนบันทึก การอ่านหนังสือ การเดิน การทำงานศิลปะ วิธีการที่เข้าไปอยู่กับการกระทำบางอย่างเพื่อให้เรานิ่ง หลุดออกจากโหมดความคิดแบบเดิมคือความเร่งรีบ บีบคั้น ความเครียด

หัวใจสำคัญของ Transformative Learning คือการสะท้อนคิดใคร่ครวญ (self-reflection) ถามว่าในแต่ละคนมีมั้ย? มีอยู่แล้ว บางทีเข้าห้องน้ำ ได้อยู่นิ่งๆ สัก 2-3 นาทีก็เริ่มเกิดการสะท้อนคิดในตัวเอง แต่ใน Transformative Learning กระบวนการเรียนรู้พวกนี้ถูกนำมาออกแบบให้คนได้ผ่านกระบวนการ self-reflection อย่างตรงไปตรงมาและอย่างง่าย ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องของตัวเองโดยมีคนรับฟังอย่างลึกซึ้งและไม่ตัดสิน

การเล่าเรื่องช่วยให้เราได้เห็นตัวเองมากขึ้น เพราะทันทีที่เราได้เล่าเรื่องในวัยเด็กบางอย่าง มันคือการย้อนทวน หลายครั้งทำให้เกิดไอเดีย เกิดความเห็นใหม่ เราอาจเจออะไรบางอย่างที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบผ่านการสนทนา การเล่า การถาม

Self-reflection: การฟัง

ทั้งๆ ที่เราคุย ฟัง ตั้งคำถามกันอยู่ทุกวัน แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งถามยิ่งถูกหาว่าตั้งแง่

คุณภาพของการฟัง ขึ้นกับคุณภาพความใส่ใจของคนฟัง เราใส่ใจกับอะไรล่ะ? ถ้าใส่ใจว่าจะเขาถูกหรือผิด อันนั้นค่อนข้างจะตื้น เพราะมัวแต่ไปสร้างกรอบบางอย่างในการฟังว่ามันถูกมั้ย มันมีเหตุผลมั้ย แต่ถ้าทิ้งความคิดผิดถูกเชิงความเห็นไปก่อน ฟังลงไปให้ลึกว่าเรื่องราวที่เขาเล่า เขามีความรู้สึกอะไรอยู่ในนั้น มีความต้องการอะไร ปรารถนาอะไร ซึ่งบางทีเจ้าตัวไม่รู้ว่าต้องการอะไร แต่คนฟังจะเข้าไปช่วยฟัง ฟังแบบสงสัย แบบใคร่รู้ว่าที่เขาพูดเรื่องนี้ เขาให้คุณค่าอะไร อะไรที่สำคัญเหมือนเพชรนิลจินดาสำหรับเขา เจ้าตัวอาจไม่รู้ก็ได้ แต่เขาเล่าเรื่องนี้เพราะมีบางอย่างที่สำคัญ

การฟังที่ลึกพอ คือการฟังให้พ้นคำพูด แต่สังเกตที่สีหน้าท่าทาง เขามีสีหน้า มีน้ำเสียง มาพร้อมความรู้สึกอะไร อยากสื่ออะไร สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งที่พูดได้ สิ่งสำคัญอยู่ในใจที่อธิบายออกมายาก

มันเป็นนามธรรมเนอะ แต่คนที่ฟังและใส่ใจเต็มร้อย ไม่พยายามไปตัดสิน ปรับเปลี่ยนหรือวิเคราะห์ แง่หนึ่งมันช่วยดึงพลัง ดึงเรื่องราว ดึงคุณค่าความหมายทั้งหมดของคนที่กำลังเล่าให้ได้แสดงออกมา ให้ได้รับการมองเห็น เพราะฉะนั้นการรับฟังในที่นี้ อาจหมายถึงการดำรงอยู่เพื่ออีกฝ่าย ดำรงอยู่เพื่อคุณค่ากับชีวิตของเขา กับสิ่งที่เขาพยายามสื่อสาร

เวลาที่ทำกิจกรรมพวกนี้ คนจะรู้สึกถึงพลัง เกิดความสัมพันธ์ (connection) มันสำคัญกว่าเนื้อหา (content) นะ เนื้อหาออกมาทีหลัง ถ้าให้อธิบายจริงๆ มันมีทฤษฎีที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ อย่างทฤษฎีตัวยู (Theory U) หรือการฟัง 4 ระดับ

  • ระดับแรก Downloading ฟังแบบดาวน์โหลด คือรู้แล้ว เอาความรู้ในอดีตเข้ามาอธิบาย อันนี้อาจจะฟังได้ตื้นที่สุด
  • ระดับที่สอง Factual ฟังมากขึ้นหน่อยแต่ก็ยังเช็คกับเหตุผลของตัวเองอยู่ ถูกหรือไม่ถูก ฟังเพื่อโต้แย้ง ฟังเพื่อตอบ ไม่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ เป็นการ debate คือฟังมากขึ้นแต่เต็มไปด้วยเงื่อนไข ถ้าไม่ถูกก็จะโต้กลับและตั้งคำถาม
  • ระดับที่สาม Empathetic ฟังลึกลงไปหน่อยแต่จะไม่อยู่กับเหตุผลแล้ว แต่ฟังเพื่อหาความรู้สึก เพราะความรู้สึกสะท้อนสิ่งที่เขาให้คุณค่า ทำไมเขาพูดเรื่องนี้ อะไรมันมีคุณค่าสำหรับเขา
  • ระดับที่สี่ Generative ระดับลึกที่สุด การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เหมือนเป็นคนเดียวกัน เข้าไปนั่งอยู่ในใจ สัมผัสได้ เข้าใจถึงสิ่งที่เขาให้คุณค่า ได้รับผลจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เช่น รู้สึกสั่นสะเทือน พองโต ทราบซึ้ง ไม่ได้หมายความว่าเราจมอยู่กับอารมณ์ของใครอีกคน แต่ว่าเข้าใจมากกว่าแค่ความคิด

เวลาที่เราบอกว่า “เข้าใจๆ” บางทีไม่ได้เข้าใจ เข้าแต่หัว แต่ถ้าเข้าใจ มันไม่ต้องพูด เข้าใจสิ่งที่เธอเผชิญ สิ่งที่เจอ ร่างกายจะรู้สึกหมด ความเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต อยู่กับปัจจุบันเต็มร้อย

แต่ในชีวิตจริง เราไม่อาจฟังระดับ 3 และ 4 ได้กับทุกคน

แล้วแต่เราเลือก เวลานั่งแท็กซี่แล้วเขาเริ่มบ่นชีวิตให้ฟัง เราจะฟังระดับไหนก็ได้ ไม่มีผิด ไม่มีข้อกำหนดว่าเราต้องฟังทุกคนให้ลึกซึ้งเพราะมันใช้เวลา ใช้พลังในการฟังใครสักคน ไม่ใช่ว่าทำได้โดยที่ไม่เหนื่อยนะ มันเหนื่อย แต่ขึ้นกับว่าเราต้องการให้การฟัง มันสร้างความสัมพันธ์แบบไหนกับคนที่อยู่ตรงนั้น

กับคนใกล้ตัว เขาอาจอยากให้เราฟังเพื่อเข้าใจ แต่กลายเป็นว่าเราฟังเพื่อโต้ตอบ แต่กับคนที่เจอกันครั้งแรก คนที่นานๆ เจอกัน แขกรับเชิญในรายการ โอ้ย เราฟังเขาดีมากเลย ถ้าเราฟังแบบนี้กับคนที่เราแคร์ คนที่บ้าน มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์

แต่มันท้าทาย เพราะคนที่เรารู้จักดี เราจะตัดสินล่วงหน้าว่าที่เขาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร เราไม่ค่อยเปิดให้กับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ เราไม่คิดว่าคนตรงหน้าเหมือนคนเพิ่งรู้จักกัน ทำได้แต่ต้องยอมเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราว อินโนเซนส์ เหมือนเด็กฟังผู้ใหญ่ ต้องยอมทิ้งความฉลาดของเรา ทิ้งความรู้เดิมๆ ความถูกต้องดีงาม ต้องยอมทิ้งไปชั่วคราว ต้องยอมโง่ จริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ฉันจะลองฟังเธอ ฉันอยากจะเข้าใจเธอใหม่ บางทีอาจมีบางอย่างที่เราไม่รู้จักเกี่ยวกับตัวเธอก็ได้

เป็นประสบการณ์ร่วมที่เกือบกลายเป็นข้อเท็จจริง เรามีความอดทนฟังคนในบ้านน้อยกว่าคนนอกบ้าน

สำหรับทุกคนเป็นเช่นนั้น สำหรับผมก็ใช่ ผู้ชำนาญทั้งหลายจะตายน้ำตื้นกันทั้งนั้น มันยากที่จะฟังคนใกล้ตัว คนในครอบครัว แต่ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ และถ้าทำได้ นั่นคือการเปลี่ยนแปลง เมื่อการฟังของเราเปลี่ยน การรับรู้เราเปลี่ยน ความสัมพันธ์เราเปลี่ยน

มันจะมีแกรมม่าการฟัง มีโครงสร้าง คือมีการค้นหาและเข้าใจสิ่งที่เขากำลังเป็น เช่น เขาอาจเป็นคนพูดแล้วไม่ฟังใครเลย ชอบตำหนิตลอดเวลา แล้วเราก็ไม่ชอบ แต่ถ้าเราศึกษา เราจะเข้าใจว่าทำไม มันมีที่มาและความต้องการบางอย่างในทางจิตวิทยา แล้วถ้าเราเข้าใจตรงนั้นได้ สื่อสารให้เขารู้ว่าเราเข้าใจเขาอย่างไร มันอาจจะเป็นครั้งแรกของเขาเลยก็ได้ว่า “โอ้… คนเข้าใจฉัน ฉันยังไม่เข้าใจตัวเองเลย” แล้วการได้รับความเข้าใจขนาดนั้น มันทำให้เขาอยากจะเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์กับเขาหรือเรา มันทำให้เกิดตระหนักรู้ ตื่นขึ้นมา

ทำไมเราต้องเข้าใจ ปล่อยผ่านไปก็ได้

เราจะได้ไม่ต้องทุกข์ เราไม่ต้องไปเปลี่ยนเขา แค่เข้าใจสิ่งที่เป็นและดูแลจัดการตัวเราเองได้ เอาแค่นี้ก่อน เอาแค่เรารอด เราไม่ทุกข์ร้อน คือจะทุกข์ร้อนก็ได้ แต่เราดูแลมันได้ดีขึ้น การเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทุกข์ แต่เราจัดการความทุกข์ได้ดีและเร็วขึ้น

บางทีฟังมากๆ ทำให้เราทุกข์จากปัญหาของเขา

อันนี้ก็ต้องฝึกฟัง คนส่วนใหญ่ที่ฟังแล้วทุกข์มากๆ เพราะเรามีหัวใจที่เมตตากรุณาเป็นธรรมชาติ เราทุกข์เพราะอยากช่วยเหลือเขา ไม่ใช่เพราะฟังความทุกข์ของเขา เรารู้สึกว่า “ทำยังไงดีนะ” แต่บางทีเราก็ตัดสินเขา มีคำแนะนำในใจที่อาจจะพูดหรือไม่พูดออกไป ความที่อยากช่วยเหลือ ทำให้เราฟังไม่เป็น ทำให้ฟังเพื่อแก้ไข ไม่ได้ฟังเพื่อเข้าใจและยอมรับสิ่งที่มันเป็น

อันนี้เป็นคนส่วนใหญ่ ผมเองก็มีแนวโน้มที่จะเป็นแบบนั้น ฟังไม่เท่าไร แต่บอกว่าทำไมเธอไม่ฟังฉัน มันเหมือนกับ ตกลงเรากำลังช่วยใคร กำลังช่วยตัวเองโดยการให้คำตอบและทางออก ‘เร็วๆ’ (เน้นเสียง) เราจะได้รู้สึกดีว่าเราได้ทำอะไรแล้ว สรุปแล้วเราช่วยตัวเองและบางทีก็ไม่ได้ช่วยเขาเลย บางทีเรายังบอกเขา ทำไมดื้ออย่างนี้ เอาอีก… เราก็จะยืนยันให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกตลอด อันนี้เรียกว่าคนมีการศึกษา

Self-reflection: ตั้งคำถาม และถูกถาม

ตั้งคำถามอย่างไรดี

คำถามสำคัญมาก เป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้เกิดกระบวนการคิด การคิดกับการจำไม่เหมือนกัน เช่น จำได้มั้ยว่าเราเคยมาร้านกาแฟร้านนี้มั้ย? ตอบเร็วได้เลยว่าเราไม่เคยมา แต่ถ้าถามว่า ร้านนี้เหมาะกับการถ่ายหนังเรื่องอะไร หรืออะไรที่ทำให้คุณเลือกร้านนี้ เราจะคิดละ การเลือกร้านมันสะท้อนนิสัยหรือบุคลิกพิเศษอะไรบางอย่างในตัวคุณรึเปล่า ซึ่งคุณอาจไม่เคยคิด ไม่เคยคิดเลยนะ (ย้ำ) เห็นมั้ย คือแทนที่จะถามว่าเขาทำกาแฟอย่างไร ง่ายไปหน่อยรึเปล่า

เพราะฉะนั้นการตั้งคำถามจึงเป็นหัวใจของการศึกษา ถ้าเราจะชวนให้เด็กเรียนอะไรสักอย่าง เช่น เพศศึกษา ครูตั้งเป้าหมายว่าเด็กต้องรู้ว่าการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรมีผลอย่างไร แทนที่ครูจะบอกว่ามันเสียหายยังไงซึ่งกลายเป็นว่าทำให้เด็กบางคนอยากลอง

แต่ถ้าลองตั้งคำถามว่า เราเคยรู้จักใครในครอบครัวที่มีลูกโดยไม่อยากมีมั้ย เล่าให้ฟังได้มั้ยว่ามีผลต่อเขาอย่างไร มีผลต่อเราอย่างไร หรือ พวกเราเคยคิดมั้ยว่าการที่เราจะมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายและผู้หญิงต้องการอะไร ต้องการสิ่งเดียวกันรึเปล่า คำถามเหล่านี้ทำให้เกิดกระบวนการคิด คนเราถ้าคิดได้เองมันจะเป็นความรู้ของเขา

การบอกเป็นแค่ข้อมูล แต่ยังไม่เกิดการคิด ผลิตขึ้นจากตัวเอง ฉะนั้นความรู้ในความหมายใหม่ ไม่ใช่แค่เกิดสิ่งนั้น แต่หมายความว่าเกิดอะไร มีผลกับเรายังไง เราคิดยังไงกับมัน คำถามเหล่านี้จะไม่โฟกัสว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งนอกตัวคืออะไร คือก็ยังสนใจอยู่ แต่เราจะถามมากกว่านั้นว่า สิ่งนั้นมันมีผลอะไรกับเรา มีความหมายอะไรกับเรา เราคิดกับมันยังไง เรารู้สึกรู้สากับมันอย่างไร (เน้นเสียง) โดยเฉพาะสิ่งที่คิดว่าสอนยากที่สุดคือเรื่องจริยธรรม คุณธรรม เพราะเราไม่ได้สอน เรายัดคำตอบ

แต่ถ้าสอน คุณต้องชวนคิด ชวนคุย กล้าให้เขาบอกว่าที่เราคิดว่าถูก มันผิดในสายตาเขา ให้เขากล้าบอกว่าไม่เห็นด้วย เราต้องกล้าท้าทายกรอบที่เรายึดไว้ว่ามันถูกหรือผิด

ครูไม่จำเป็นต้องรู้หรือมีคำตอบให้กับทุกเรื่อง แต่ควรมีคำถามที่ดีที่กระตุ้นให้คิดและค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง

เข้าไปค้นหาคุณค่าซึ่งมากับคำถาม นอกจากช่วยทำให้เขาคิดเป็น เป็นตัวของตัวเอง เข้าใจความคิดตัวเอง ไม่แปลกเลยที่สังคมเต็มไปด้วยผู้ใหญ่ที่สับสน ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร เพราะเราไม่เคยถามเขาว่าคุณคิดยังไง

นักเรียนทุกคนที่อยู่ในระบบการศึกษา ถูกฝึกให้ดาวน์โหลดข้อมูล และนี่คือคำตอบ เลยกลายเป็นคนที่ตอบคำถามได้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไง เพราะการคิดเป็น คือจุดเริ่มต้นการเป็นผู้นำ การเป็นเจ้าของความคิดตัวเอง และรับผิดชอบสิ่งที่เราคิด เราทำ

คือการสอน ไม่ใช่ การสั่งสอน?

การสั่งเป็นวัฒนธรรมเดิม ซึ่งผมคิดว่าบางทีเราก็ยังต้องสั่ง เพราะมันเร็วและง่าย แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาโดยเฉพาะเรื่องของการเรียนรู้ เพราะทุกคนเรียนรู้อยู่แล้ว แต่ทำยังไงที่เราจะอาศัยคำถาม การพูดคุย การคุย ตั้งคำถาม ทำให้สมองมันยังแกว่งมากกว่าการเป็นกล่องว่างๆ

เช่น สมมุติลูกสาวคนเล็กของผมหยิบของของลูกสาวคนโตไป ถ้าเราบอกลูกว่า “ก็ต้องยอมน้องบ้าง” อันนี้คือสั่งสอน แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นคำถาม มันอาจจะใช้เวลามากขึ้นแต่ทำให้เขามีส่วนร่วมในการบอกตัวเอง

เราอาจถามว่า รู้สึกยังไงเวลาน้องหยิบอะไรไปโดยไม่บอกเรา เขาอาจจะตอบว่า “ไม่ชอบ” เราก็ถามต่อ “แล้วอยากให้น้องทำยังไง อยากให้ขอก่อนเหรอ? เคยมีบ้างมั้ยที่เราอยากได้อะไรบางอย่าง ซึ่งเจ้าของก็อยู่ตรงนั้นแต่เราไม่ทันได้ขอ เราจะอยากให้เจ้าของรู้สึกยังไงกับเรา” เขาตอบว่า “ก็อยากให้เจ้าของเข้าใจว่าไม่มีเจตนาละเมิด อยากให้ยืดหยุ่น”

อ้ะ! เห็นมั้ย เขาได้คำตอบเดียวกับที่เราอยากจะบอกเขาตั้งแต่แรกเลย

จากฟังเป็น ตั้งคำถามเป็น สุดท้ายนำไปสู่อะไร

สู่การออกแบบ คิดสร้างสรรค์ ลงมือทำ ทำงานเป็นทีม แล้วแต่เลย เพราะการเรียนรู้อย่างครบด้านก็ต้องมีกระบวนการคิด สนทนา เข้าใจตัวเอง เข้าใจวิชาที่เรียนอยู่แล้วนำไปสู่การกระทำอะไรบางอย่าง แล้วแต่ว่าเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังจะเรียนรู้อย่างไร ใช้ความรู้นั้นกระทำอะไรบางอย่างกับตัวเราเองและสิ่งแวดล้อม

จากนี้ไป ห้องเรียนควรเป็นแบบไหนดี

อาจารย์ท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า นักศึกษาถามว่า “สิ่งที่อาจารย์สอนทั้งหมดเขาหาได้ในกูเกิล แล้วจะมาเจอกันทำไม” เขาถามดีมากนะ คือครูสมัยนี้ถ้าจะเอาข้อมูลมาสอนก็ไม่ทันนักเรียนละ เพราะเขามี “กู” กับ “ยู” กูเกิลกับยูทูบ

ห้องเรียนจึงน่าจะเป็นพื้นที่ของการถกเถียง แสดงความเห็น เมื่อเรียนรู้ข้อมูลมาแล้วเขาคิดกับมันยังไง ไม่ใช่การทดสอบว่าเราเรียนรู้อะไร คือห้องเรียนไม่ควรเป็นที่ทดสอบความรู้ แต่เป็นที่ให้ท้าทายความรู้ ตั้งคำถามยากๆ คำถามที่ไม่เคยถาม เป็นที่แห่งการสนทนา เขามาเจอครูทำไม? ก็เพราะครูฟังเป็น ครูตั้งคำถามเป็น ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ทุกคนไม่ต้องอยู่ในโต๊ะของตัวเอง ทุกคนจับกลุ่มคุยกันสักสองสามคน สนุกกว่าเยอะ

Tags:

โคชเทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การฟังและตั้งคำถามtransformative learningณัฐฬส วังวิญญู

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

วิชาฝึกฟัง: อยากให้เด็ก ‘คิด’ เป็น แต่ไม่เคยสอนให้ ‘ฟัง’ เป็น
Transformative learning
11 June 2018

วิชาฝึกฟัง: อยากให้เด็ก ‘คิด’ เป็น แต่ไม่เคยสอนให้ ‘ฟัง’ เป็น

เรื่อง The Potential

  • การ ‘ฟัง‘ ใครๆ ก็คิดว่าเด็กๆ ฟังกันเป็นอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องฝึกฟัง มุ่งหน้าสู่การฝึก ‘คิด วิเคราะห์ แยกแยะ’ จะดีกว่า
  • แต่ถ้าไม่ฟังอย่างเข้าใจ แล้วจะเอาอะไรไป คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
  • ถ้าบอกว่าการฟังเป็นทักษะที่ทุกคนมีเหมือนกัน แต่ทำไมแม้กับผู้ใหญ่ หลายครั้งก็ฟังไม่เป็น

เวลาพูดถึงทักษะการเรียนรู้ของเด็กๆ คนส่วนใหญ่พูดถึง ‘ทักษะการคิด’ เพื่อวิเคราะห์และประมวลผล หลักฐานคือข้อสอบส่วนใหญ่มุ่งออกแบบให้เด็กๆ ได้ตอบคำถามซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นสอบพูด หรือเขียนบรรยาย การจัดทัพพัฒนาการสอนของครูก็มุ่งเป้าไปที่วิธีการนี้ด้วยเช่นกัน

ส่วนหนึ่งคิดคล้ายกันว่า “ก็เด็กๆ ‘ฟัง’ เป็นอยู่แล้ว”

แต่ดอนนา วิลสัน (Donna Wilson) นักพูด นักเขียน นักจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสมองที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษากลับไม่เห็นด้วย เธอเขียนบทความเรื่อง Training the Brain to Listen: A Practical Strategy for Student Learning and Classroom Management (ฝึกสมองเพื่อการฟัง: กลยุทธ์ที่ใช้ได้จริงสำหรับพัฒนาการเรียนรู้และการจัดการห้องเรียน) เธออธิบายว่า…

การ ‘ฟัง’ ที่มีคุณภาพไม่ใช่แค่ฟังเพื่อได้ยินและโต้ตอบ แต่คือ ‘ทักษะ’ ที่ต้องฝึกฝน เด็กๆ จะคิดได้อย่างไรถ้าพวกเขาฟังไม่เป็น ไม่ใช่แค่ฟังคนอื่น แต่ฟังเสียงในหัวของตัวเอง เพื่อรับรู้และใคร่ครวญ หรือที่เรียกว่า self-talk ด้วย

และใช่หรือไม่ว่า ไม่ใช่แค่เด็กที่ไม่เคยถูกสอนให้ฟัง แม้แต่กับผู้ใหญ่ หลายครั้งก็ฟังไม่เป็น

วิทยาศาสตร์แห่ง ‘การฟัง’

กระบวนการรับสารและตีความจากเสียง เช่น ความหมายของคำ ความรู้สึกต่อเสียงใดเสียงหนึ่ง จะเกิดขึ้นในศูนย์การได้ยิน (auditory cortex) เป็นส่วนหนึ่งของเปลือกสมองหรือซีรีบรัล คอร์เท็กซ์ (Cerebral cortex) ตั้งอยู่เหนือกลีบขมับสมอง (Temporal lobes) ทั้งสองข้าง

หน้าที่ของศูนย์การได้ยินคือ เป็นหน่วยรับสัญญาณจากหูและส่งสัญญาณนั้นไปที่ซีรีบรัล คอร์เท็กซ์เพื่อแปลงสัญญาณนั้นเป็นความหมายอีกที กระบวนการนี้ถูกพัฒนาทุกวันนับแต่ทารก เพื่อแปลงความหมายคำศัพท์ ไปจนถึงตีความ เราจะให้ความหมายกับเสียงเหล่านี้อย่างไร

แม้เราจะเคยชินกับการตีความเสียง ขณะเดียวกัน เสียงทำให้เราเสียสมาธิ (รำคาญ) ได้เช่นกัน

โดยเฉพาะห้องเรียน ที่เต็มไปด้วยกองทัพเพื่อนนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น เสียงจากครูทั้งในห้องและนอกห้อง เสียงประตูเปิด เพื่อนข้างหลังจีบกัน เสียงครูใหญ่บ่นออกลำโพง เสียงออดบอกเวลา เสียงรถราจากนอกหน้าต่าง เสียงเครื่องบินบนน่านฟ้า เสียงทำถนนที่ไกลออกไป และอื่นๆ อีกมาก ทั้งหมดเกิดขึ้นผสมปนเปกันในช่วงเวลาเดียว

แม้ศูนย์การได้ยินจะบล็อกเสียงเหล่านั้นออกไปได้ (ในเวลาที่เรามีสมาธิมากๆ) แต่เสียงเหล่านั้นก่อกวน เจาะลูกโป่งสมาธิเราได้ทุกเมื่อ

ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่เสียงจากภายนอก แต่เสียงจากภายใน (หัว) ทั้งความคิดแบบ ‘ฝันกลางวัน’ หรือ เสียงทบทวน ขัดแย้ง งัดข้อ กับสิ่งที่กำลังเรียนบนกระดาน นั่นก็เป็นเสียงที่ก่อกวนเส้นสมาธิได้อยู่ดี

HEAR strategy กลยุทธ์ฝึกฟัง by โค้ช วิลสัน

แม้วิลสันจะเขียนบทความนี้ในปี 2014 แต่วิธีของเธอยังถูกอ้างถึงโดยทั่วไปในบทความวิชาการด้านการศึกษาอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็คือ ‘HEAR strategy’ วิเคราะห์ ‘ทำไม’ และ ‘อย่างไร’ กลยุทธ์ HEAR นี้จึงสำคัญ ฮาวทูง่ายๆ ให้ครูนำไปฝึกให้นักเรียน ‘ฟัง’ ให้เป็น

และย้ำว่า นี่ไม่ใช่เทคนิคการฟังที่ถูกต้องกว่าการฟังแบบอื่น วิธีนี้เป็นหนึ่งในเทคนิคการฟังเพื่อเรียนรู้ในห้อง แค่ย้ำให้นักเรียนรู้ว่า พวกเขาสามารถเลือกหยิบวิธีฟังนี้ไปปรับใช้กับช่วงเวลาที่เหมาะควร

  • Halt: หยุดทุกการกระทำของคุณชั่วคราว รวมทั้งหยุดความคิดวุ่นวายในหัว เปิดใจกว้าง มุ่งสมาธิไปที่คนพูดตรงหน้า
  • Engage: โฟกัสที่คนพูด ไม่ใช่แค่สายตา แต่ปรับร่างกายของเราหันเข้าหาคนพูด อาจเอียงหน้าเล็กน้อย ให้หูด้านขวาของเราเอียงไปทางคนพูด นอกจากจะทำให้ได้ยินชัดขึ้น ยังทำให้คนฟังผ่อนคลายและรู้สึกถูกรับฟัง
  • Anticipate: อาจลองทำนายว่าคนพูดรู้สึกอะไร กำลังจะเล่าอะไรต่อไป จะช่วยทำให้เราเกาะติดกับเรื่องตรงหน้า
  • Replay: คิดตามสิ่งที่คนพูด พูดออกมา วิเคราะห์และถอดความ เพื่อนำไปหารือถกเถียงกับคนพูดหรือเพื่อนร่วมห้อง วิธีนี้จะเป็นการทบทวนสิ่งที่ได้ฟังมาไปโดยปริยาย
ที่มา: 
Training the Brain to Listen: A Practical Strategy for Student Learning and Classroom Management

Tags:

เทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    เมื่อพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียนไม่ใช่แค่นักเรียนที่ต้องการ ครูก็เช่นกัน :  เปลี่ยน ‘พื้นที่ไม่ปลอดภัย’ ไปสู่ ‘พื้นที่แห่งการเรียนรู้’

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel