Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: November 2017

ไม่มีพรสวรรค์ สำหรับ(นักปั้น) ‘โปรเม’
อ่านความรู้จากบ้านอื่นGrit
14 November 2017

ไม่มีพรสวรรค์ สำหรับ(นักปั้น) ‘โปรเม’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • เบื้องหลังความดุ คือ กุญแจสำคัญ : การไม่เชื่อในพรสวรรค์ แต่เชื่อสุดใจในพรแสวง
  • เขาเป็นผู้ตั้งกฎ ตื่นตอน 6.45 วิ่งทุกเช้า รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ฝึกซ้อมกอล์ฟช่วงบ่ายในสนามจริงกลางแดดเปรี้ยง บ่ายเรียนว่ายน้ำทุกวันห้ามงอแง เรื่องเรียนเป็นรอง การบ้านไม่ต้อง-พ่อทำให้
  • เวลาลูกแพ้ พ่อคนนี้ไม่เคยถามเลยว่า ‘ทำไม’ เพราะถ้าทำอย่างเต็มที่แล้ว ไม่เป็นไรเลยลูก เรารับผิดชอบร่วมกัน
ภาพ: Mind Da Hed

12 มิถุนายน 2560 คือวันประกาศคะแนนอย่างเป็นทางการในรายการแมนูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิก (Manulife LPGA Classic) นครออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ที่โปรเม-เอรียา จุฑานุกาล ลงแข่งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ทำให้เธอผงาดขึ้นเป็นนักกอล์ฟหญิงมือหนึ่งของโลกเป็นผลสำเร็จ

หากค้นชื่อของเธอในเสิร์ชเอนจิ้น บทสัมภาษณ์หลายๆ ชิ้นระบุตรงกันว่า ชีวิตของโปรเม…ไม่มีกลีบกุหลาบโปรยรายทาง

เธอเริ่มต้นจับไม้กอล์ฟครั้งแรกเมื่ออายุ 5 ขวบ กับพี่สาว โปรโม-โมรียา จุฑานุกาล อายุ 7 ขวบ เพราะขณะนั้น สมบูรณ์ จุฑานุกาล ผู้เป็นพ่อ เปิดร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟที่สนามไดรฟ์กอล์ฟแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นลูกสาววิ่งเล่นซุกซนอยู่ในร้าน ทำให้สมบูรณ์ยื่นไม้กอล์ฟสำหรับเด็กให้เล่น หวังให้ทั้งสองขยับย้ายไปเล่นบริเวณอื่น เพื่อพ่อและนฤมล จุฑานุกาล ผู้เป็นแม่จะได้ทำงานอย่างคล่องตัว

เริ่มจากการจับไม้เล่นๆ จนกระทั่งมองเห็นโอกาสพัฒนาด้านกีฬาของเด็กทั้งสอง นำไปสู่ความมุ่งมั่นฝึกฝน ปั้นให้สองพี่น้องเป็น ‘นักกีฬาอาชีพ’ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ตื่นนอน 6.45 น. ไปถึงโรงเรียนเกือบ 7 โมงครึ่ง วิ่งรอบสนาม 45 นาที กินอาหารเช้าที่ถูกจัดสรรให้ครบทั้ง 5 หมู่ เปลี่ยนเสื้อผ้าในรถตู้ส่วนตัว แล้วเข้าเรียนจนถึงเที่ยงครึ่งเพื่อมาซ้อมกอล์ฟอย่างจริงจังในช่วงบ่าย ตกเย็นไปเรียนว่ายน้ำ ว่ายไปกลับคนละไม่ต่ำกว่า 2,000 เมตร และกลับถึงบ้านเกือบ 3 ทุ่ม ดูโทรทัศน์ผ่อนคลายเล็กน้อยแล้วเด็กๆ จึงเข้านอน

ทั้งหมดนี้คือกิจวัตรประจำวันที่เด็กๆ ทั้งสองต้องทำทุกวันตั้งแต่ยังเล็ก อย่างที่สมบูรณ์เล่าว่า “ทั้งหมดนี้ นอกจากจะเป็นการฝึกร่างกายให้แข็งแรง มันคือการสร้างวินัย ซึ่งทั้งสองอย่างสำคัญมากสำหรับการสร้างนักกีฬา”

ในช่วงแถลงข่าว หลังโปรเมยิงเบอร์ดี้ระยะ 25 ฟุต ลงไปอย่างสวยงาม คว้าแชมป์รายการนี้ไปครองในวัย 22 ปี เธอกล่าวว่า “จงทำตามความฝัน” และ “อย่ายอมแพ้” ซึ่งเป็นคำตอบจริงใจจากการไล่ตามฝันและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็กของเธอ

The Potential ชวนคุณพ่อสมบูรณ์ จุฑานุกาล พูดคุยในบ่ายแก่ๆ วันหนึ่งที่สนามไดร์ฟกอล์ฟย่านบางแค สถานที่แห่งความหลังที่สมบูรณ์กล่าวว่า เขาเคยเปิดร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟสาขาหนึ่งที่สนามแห่งนี้ จุดประสงค์เพื่อชวนคุยย้อนกลับไปว่า เขา-ในฐานะผู้สนับสนุน เป็นทั้งพ่อแม่และโค้ช มีวิธีส่งเสริมและหลักคิดในการเลี้ยงลูกอย่างไร โดยเฉพาะการที่ต้องยืนอยู่ระหว่าง ‘การสร้างนักกีฬาอาชีพ’ กับ ‘การสนับสนุนให้เด็กๆ ได้เล่นกีฬา’

เพราะตลอดการสัมภาษณ์ เขาย้ำชัดเจนว่า นี่คือการถ่ายทอดประสบการณ์ของพ่อแม่ที่หวังสร้างกรอบวินัยเพื่อปั้นนักกีฬาอาชีพที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง

เชื่อในพรแสวง

ในบทสัมภาษณ์หลายๆ ชิ้น สื่อหลายสำนักพร้อมใจให้สมญานามสมบูรณ์ไว้ว่า ‘คุณพ่ออินดี้’ เพราะในจังหวะชีวิตช่วงหนึ่ง สมบูรณ์ถึงกับขายรถ ขายบ้าน มูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 20 ล้าน เพื่อเป็นทุนพาครอบครัวไปตระเวนแข่งกอล์ฟที่สหรัฐอเมริกา

“ผมไม่ได้บ้าหรอก ถ้าเป็นคุณก็คงทำแบบผม เพราะตอนนั้นน้องเมไปไกลแล้ว เราเห็นทางของเขาแล้ว คือเริ่มมีชื่อเสียงในวงการ แข่งชนะหลายๆ รายการ แล้วเราจะไม่ไปต่อเหรอ? ผมตัดสินใจขายทุกอย่างเลย” สมบูรณ์ตอบอย่างมั่นใจตามสไตล์ชายผู้เด็ดขาดและมั่นใจในตัวเอง

นี่ไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ที่เขาเคยสูญเสีย เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้นเคยทำธุรกิจตกแต่งภายใน แต่ธุรกิจล้มช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เงินเก็บทั้งชีวิตที่มีอยู่กว่า 30 ล้านบาทหายวับไปกับตา และเพราะวิกฤติครั้งนั้นทำให้เขาหันมาเล่นกอล์ฟอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมาก และเริ่มจับธุรกิจเปิดร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟตั้งแต่นั้นมา

ผมเริ่มจากศูนย์ พ่อแม่ผมเสียตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ผมไม่ได้มีความรู้อะไร เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อในเรื่องการทำงานหนัก ผมเป็นคนดุ ทำอะไรต้องทำให้ได้ ผมจึงเชื่อในเรื่องพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์ อยากได้อะไรต้องหาเอง

และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กสาวทั้งสองคนได้เริ่มจับไม้กอล์ฟตั้งแต่โมรียาอายุ 7 ขวบ เอรียาอายุ 5 ขวบ

“พอดีว่าหุ้นส่วนที่เปิดร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟด้วยกัน เขาถอนตัวไป ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกก็เลยต้องไปเรียนคอร์ส fitting club หรือเรียนทำอุปกรณ์ไม้กอล์ฟอย่างจริงจังที่อเมริกา ผมเลยทำไม้เล็กๆ ให้โมรียาและเอรียาเอาไว้เล่นตอนเด็กๆ ให้เขาไปเล่นที่อื่นในช่วงที่ผมขายของ สุดท้ายเล่นไปเล่นมา ผมเลยคิดว่า สอนเขาเลยดีกว่า”

จากวันที่สองพี่น้องเริ่มจับไม้กอล์ฟตามประสาเด็ก กระทั่งกลายเป็นการจับไม้อย่างจริงจัง และเป็นที่รู้จักในนาม Thai Sisters ของแฟนกอล์ฟทั่วโลกในที่สุด

สร้างกติกาสู่เส้นทางนักกีฬาอาชีพ

“ผมเป็นคนดุนะ” เขายืนยันเช่นนั้นหลังเล่าให้ฟังว่า กรอบกติกาและกิจวัตรประจำวันของ Thai Sisters ตั้งแต่ 7-8 ขวบ เป็นเช่นไร

อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นคือ ตื่นนอนตอน 6.45 วิ่งทุกเช้า รับประทานอาหารที่จัดเตรียมไว้ครบทั้ง 5 หมู่ ฝึกซ้อมกอล์ฟช่วงบ่ายในสนามจริงท่ามกลางแดดเปรี้ยง เรียนว่ายน้ำทุกวันอย่างไม่งอแง นอกจากนี้ ผู้เป็นพ่อต้องไปทำความเข้าใจกับโรงเรียนของคู่พี่น้อง Thai Sisters ว่า ครอบครัวจุฑานุกาลกำลังสร้างนักกีฬาอาชีพ เรื่องเรียนเป็นรอง

“ตอนนั้นใครเห็นผมฝึกลูกแบบนี้ก็ต่อว่ากันทั้งนั้น หาว่าผมบังคับลูกเกินไป แต่ผมก็บังคับจริงๆ นะ คือผมเลือกแล้วว่าจะต้องฝึกฝนจนเป็นอาชีพ เพราะฉะนั้นวินัยและร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก ถึงเวลาลงน้ำต้องลง วิ่งก็ต้องวิ่ง และถ้าฐานความคิดช่วงเด็กๆ แน่น จนกลายเป็นความแข็งแกร่ง เป็นวินัย ต่อไปเขาก็จะทำมันอย่างเป็นกิจวัตรประจำวัน”

ไม่ใช่แค่นั้น ‘คุณพ่ออินดี้’ ยังอินดี้ขนาดเอาการบ้านของลูกมาทำแทน เมื่อครูมาทราบภายหลังจึงต้องเชิญผู้ปกครองไปพูดคุย ซึ่งสมบูรณ์ก็ยืนยันชัดเจนอีกครั้งว่า เขาได้เลือกเส้นทางนี้แล้ว

“ทางโรงเรียนค่อนข้างเข้าใจ หรือเขายอมผมก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เขาอนุญาตให้เด็กๆ เรียนถึงเที่ยง ตอนที่เอรียาอายุ 8 ขวบ แล้วเริ่มไปต่างประเทศ (ตัวแทนประเทศเข้าแข่งขัน จูเนียร์ เวิลด์ กอล์ฟ แชมเปียนชิป ที่สหรัฐ) ต้องขาดเรียน ครูก็จะให้มาเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจับกลุ่มเรียนเพิ่มเติมกับครู”

ถามว่าทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไร นี่คือการกดดันและทำให้เด็กคนหนึ่งไม่ได้เล่นเหมือนเด็กคนอื่นในวัยเดียวกันหรือเปล่า? สมบูรณ์ตอบอย่างชัดเจนว่า เด็กทั้งคู่ก็มีชีวิตอย่างเด็กคนอื่นทั่วไป แต่อาจต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เขากำลังสร้างพิมพ์เขียวสำหรับการสร้างนักกีฬาอาชีพ

และเพราะเขาไม่เชื่อในพรสวรรค์ แต่เชื่อเกินร้อยในพรแสวง ซึ่งมาควบคู่กันกับการตั้งเป้าหมายให้ชัดว่า ‘ครอบครัวเรา’ โดยเฉพาะพ่อแม่ต้องการสนับสนุนลูกให้เป็นนักกีฬาอาชีพ ไม่ใช่แค่สนับสนุนให้เล่นกีฬา ที่สำคัญต้องมั่นคงและสร้างกติกาในการฝึกซ้อมและฝึกวินัยให้เพียงพอ

ที่บอกว่าเด็กต้องมีพรสวรรค์ ไม่จำเป็นเลย ถ้าพ่อแม่ดำเนินนโยบายที่ถูกต้อง สำหรับผม พ่อแม่สำคัญที่สุดในการสร้างนักกีฬา แต่ถ้าเราใช้วิธีเก่าๆ ก็ไม่ได้จริงๆ เช่น เราเชื่อมั่นในโค้ชเกินไป อะไรก็โยนให้โค้ชหมด แต่คนที่อยู่กับเด็กๆ คือพ่อแม่

“ตอนนี้แค่เห็นเด็กๆ จับไม้ตีกอล์ฟ ผมดูรู้เลยว่าจะลงหรือไม่ลง เพราะเราอยู่กับเขา เราเห็นทุกอย่าง เห็นกำลังแขนของเขา ความเร็วของเหล็ก แรงลมที่ปะทะมา คือทุกอย่างมากกว่าโค้ชไปแล้ว แถมยังเป็นนายทุน เป็นขี้ข้าด้วย (ยิ้ม) ต้องนวดเท้า นวดตัว ทำทั้งหมดให้เขา”

ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

จากการฝึกอย่างหนักตั้งแต่เล็กๆ ผ่านความกดดันทั้งในโลกของการทำงานและการฝึกซ้อมอย่างโชกโชน ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอทั้งคู่ก้าวขึ้นสู่อันดับโลก เป็นนักกีฬาอาชีพ ทำงานเร็วกว่าคนรุ่นเดียวกันที่อยู่ในหลักสูตรการศึกษาทั่วไป

“เขา (เมและโม) เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า เขามีช่วงชีวิตวัยเด็กที่น้อย แต่ถ้าถามผม ผมก็มีช่วงผู้ใหญ่ที่น้อยเหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เวลาที่เขาซ้อม ผมก็อยู่ข้างๆ ไม่กล้าไปไหน เพราะคิดว่าถ้าอยากให้เขาขยัน เราก็ต้องทำให้ดู ถ้าลูกซ้อมแล้วเรากลับมานั่งดูคลิป อ่านหนังสือเล่น แบบนี้ก็ไม่น่าใช่

“แต่พอช่วงที่เขาอายุ 12-13 ปี เป็นวัยรุ่นและเก่งในอาชีพแล้ว เราก็เริ่มปล่อย พอเขาเป็นวัยรุ่น ผมก็ไปยุ่งกับชีวิตเขาไม่ได้แล้ว ผมปล่อยเลย เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมสร้างมา กรอบที่วางไว้มันแน่นแล้ว เขามีวินัยและแข็งแรง วันที่เขาขึ้นที่หนึ่งของโลกผมก็ไม่ได้อยู่ในสนามนะ รู้พร้อมข่าวเลย มันเป็นปกติของกอล์ฟ แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติ แต่ใครจะรู้ว่าวันนั้นเขาจะชนะ

“ถึงผมจะกลับมาเมืองไทยเพื่อรักษาสุขภาพ (โรคหัวใจ) ส่วนเด็กๆ อยู่กับแม่ที่นู่น แต่พวกเขาก็เดินตามแผนต่อ เพราะเขารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร แล้วก็เดินตามแผนที่ตั้งไว้”

มีแรงต้านทานมากมายที่ส่งมาถึงสมบูรณ์ ทั้งวิจารณ์โปรแกรมการฝึกซ้อมและการตั้งกติกาที่เขามีต่อลูก รวมถึงความอินดี้และเจ้าอารมณ์ แต่ทั้งหมดสมบูรณ์ยืนยันว่า

“เราแค่มองต่างกัน”

เขาเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่เด็กๆ เริ่มแข่งขันอาชีพ หรือช่วงที่เอรียาอายุ 11-12 ปี มีองค์กรหนึ่งเข้ามาช่วยสนับสนุนความรู้และออกแบบโปรแกรมสำหรับนักกีฬาให้ หนึ่งในนั้นคือ ทีมพูดคุยจากจิตแพทย์ สมบูรณ์เล่าว่า ช่วงนั้นทำให้โปรแกรมการฝึกซ้อมของลูกค่อยผ่อนคลายขึ้น มีกติกาการฝึกซ้อมใหม่ คือมีวันหยุดเบาสบายมากขึ้นสำหรับเด็กๆ แต่เขายืนยันชัดว่า วิธีการที่เขาออกแบบ คือการสร้างนักกีฬาอาชีพ ต้องมีวินัยและความเชื่อใจจากครอบครัว ซึ่งอาจเป็นวิธีที่คนอื่นเข้าใจได้ยาก และครอบครัวอื่นอาจไม่ต้องทำตาม

“คือไม่ต้องขายบ้านขายรถอย่างผม” เขาย้ำและหัวเราะ แต่ยืนยันเช่นเดิมคือ พิมพ์เขียวและกติกาเป็นสิ่งสำคัญ

แม้หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยเข้าใจคุณพ่ออินดี้คนนี้มากนัก แต่ในบทสัมภาษณ์ของ Thai Sisters หลายๆ ชิ้นกล่าวคล้ายกันว่า สิ่งที่ผลักดันพวกเธอมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะการสนับสนุน ความรัก และความเข้าใจจากครอบครัว

“เวลาที่แพ้ ผมไม่เคยถามเลยว่า ‘ทำไม’ เพราะถ้าทำอย่างเต็มที่ ทำอย่างที่วางแผนแล้วแพ้ ไม่เป็นไรเลย มีแข่งทุกอาทิตย์ อาทิตย์หน้าเอาใหม่ ไม่มีใครไม่เคยแพ้ เดี๋ยวพ่อดูให้ แต่ถ้าขี้เกียจซ้อม อันนี้อีกเรื่อง”

อาจเป็นคำตอบที่บอกตัวตนอีกมุมหนึ่งของคุณพ่อและโค้ชสมบูรณ์คนนี้ได้ ว่านอกจากจะอินดี้แล้ว ยังมีมุมอบอุ่นและเข้าใจอย่างที่โปรเมให้สัมภาษณ์ด้วย

ปัจจุบันสมบูรณ์กล่าวว่า เขาอยากใช้ชีวิตหลังจากนี้เพื่อส่งต่อแนวความคิด วิธีการ และอยากสร้างนักกีฬาอาชีพรุ่นใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นต่อไป รุ่นสู่รุ่น ด้วยความคิดที่ย้ำตลอดการสนทนาในบ่ายวันนั้นว่า

“ผมไม่เชื่อในพรสวรรค์ เชื่อในพรแสวง และเราสร้างมันได้ถ้าเดินไปถูกทาง”


หมายเหตุ: คุณพ่อสมบูรณ์แจ้งว่า หากผู้ปกครองท่านใดต้องการคำปรึกษาเรื่องโปรแกรมการฝึกซ้อม เขายินดีให้คำปรึกษาอย่างไม่เสียค่าใช้จ่าย และย้ำว่า อย่ารอให้เด็กๆ ‘ฉายแวว’ เพราะการฝึกนักกีฬาไม่มีคำว่า ‘แวว’ หรือ ‘พรสวรรค์’

Tags:

อาชีพพ่อแม่กีฬาGrit

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • Adolescent BrainBook
    ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    WHAT IS GRIT?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    นิสัย 5 อย่างของพ่อแม่ สอนลูกให้มีความเพียร

    เรื่องและภาพ KHAE

ไข่เจียวมื้ออร่อยที่สุดจาก ‘เด็กแว้น’
Character building
14 November 2017

ไข่เจียวมื้ออร่อยที่สุดจาก ‘เด็กแว้น’

เรื่อง

  • ลิด-เดช-แบงค์ 3 เด็กหนุ่มที่เคยบอกว่าตัวเองเป็น ‘เด็กแว้น’ สร้างแต่ปัญหา วันนี้หันมาเป็นเด็กเลี้ยงไก่ เลี้ยงเพื่อนำไข่ไปขาย หารายได้ให้ตัวเอง
  • 3 เด็กหนุ่ม เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ในเล้า ตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบ เรื่องการให้อาหาร ลักษณะอาการต่างๆ ของไก่
  • จักรยานยนต์ที่เป็นพาหนะคู่ใจในการซิ่ง ตอนนี้ใช้ขี่เพื่อส่งไข่ไปทั่วพื้นที่บ้านหมู่
เรื่อง : นิธิ นิธิวีรกุล
ภาพ : โกวิท โพธิสาร

“โว้ยยยย จะขี่รถซิ่งไปไหนกัน ไม่เกรงใจพ่อแม่มึงเรอะไง!”

ถ้อยคำประมาณนี้ จากภาษาถิ่นอีสาน ผรุสวาทจากปากคำของชาวบ้านในละแวกหมู่ 2 ตำบลคูซอด อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ หลังรถจักรยานยนต์สามคันที่ควบขับโดยเด็กหนุ่มสามคนแผดเสียงเร่งเครื่องขนาดความจุ 110 cc. พุ่งผ่านถนนสายเล็กๆ ตัดผ่านใจกลางพื้นที่หมู่ 2 ทิ้งไว้แต่กลุ่มควันจางๆ ที่ระเหิดหายไปเหลือแต่เสียงก่นด่าที่ นางโพนทอง คันศร ได้แต่เก็บก้อนสะอื้นของความเสียใจและผิดหวังไว้ในใจ

ด้วยถ้อยคำตะโกนด่าของชาวบ้านที่ลอยมาให้ได้ยินนั้น หากไม่ใช่เพราะสองในสามนั้นเป็นลูกๆ ของโพนทอง เธอก็คงปล่อยถ้อยคำให้เพียงลอยผ่านไป

ครอบครัวของโพนทอง เป็นครอบครัวธรรมดา สามีทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนในตัวเมือง ซึ่งทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงไก่เพื่อฟักไข่ ด้วยความรู้ในด้านปศุสัตว์มาตั้งแต่สมัยเรียน สามีของโพนทองนำความรู้ในด้านเลี้ยงไก่มาเพาะฟาร์มเล็กๆ ให้เป็นรายได้หนุนเสริมให้กับคนในครอบครัว เป็นเสาหลักของครอบครัว และเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ทำงานหนัก และไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกทั้งสอง กังวาฬ คันศร เด็กหนุ่มวัย 19 ลูกคนโต และ อัครเดช คันศร หรือ เดช วัย 15 น้องชาย จึงมักใช้เวลาสลับระหว่างเรียนหนังสือ และขับขี่รถจักรยานยนต์ไปทั่วพื้นที่ตำบลคูซอด และเคยไปไกลถึงผามออีแดง ริมชายแดน

“กังวาฬชอบทำปศุสัตว์เหมือนพ่อของเขา วันๆ อยู่แต่กับควาย แต่กับอัครเดชจะน่าเป็นห่วงหน่อย” คนเป็นแม่ว่าอย่างนั้น

โพนทองเล่าว่าลูกๆ จะเกรงใจพ่อ ไม่ค่อยที่จะกล้าพูดหรือเล่นด้วย ผิดกับเธอ ซึ่งเป็นผู้ที่มักใช้เวลาขลุกอยู่กับลูกๆ มากกว่า นับตั้งแต่อุ้มท้องทั้งสองมาจนกระทั่งคลอด เมื่อสามีออกไปทำงาน โพนทองจึงเป็นคนที่รับก้อนอิฐและดอกไม้จากคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ในแง่ของผลิตภัณฑ์เรื่องไข่ที่สดใหม่ และมีราคาถูกกว่าในตลาดประจำตำบลคูซอด หรือก้อนอิฐที่มาจากพฤติกรรมของสองลูกชาย และเพื่อนพ้องนักซิ่งของพวกเขา

คิดยังไงในตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์? ฉันถามพาซื่อ เพราะอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ขึ้นอยู่กับปัจเจกทางความรู้สึก และฉันคงไม่ถามว่าคนซื้อไอโฟนแปดคิดยังไง?

ฉันใดฉันนั้น

แววตาของเด็กๆ ที่มองมาแล้วมองกันเอง จึงทำให้เรารู้สึกว่า ความเป็นผู้ใหญ่นี่นะ ขอให้ได้ตัดสินไปล่วงหน้าก่อนแล้วว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนั้นไม่ดี

ลิด หรือ อดิศักดิ์ สาลี หนึ่งในแก๊งซิ่งเป็นคนตอบ น้ำเสียงเขาเบา ค่อนข้างห้วนแต่ไม่ใช่ไม่สุภาพ และยิ้มด้วยสีหน้าขวยเขินของความเป็นเด็กที่ยังหลงเหลือก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นนายตามคำนำหน้าในบัตรประชาชน

“สนุกครับ”

คำตอบของลิดแทนความรู้สึกของทั้งเดช และ แบงค์ หรือ ภานุพงษ์ วงษาเนาว์ เด็กหนุ่มในวัย 15 ปี อีกหนึ่งเพื่อนร่วมก๊วนแก๊งซิ่ง เด็กหนุ่มทั้งสามนั่งอยู่บนเบาะจักรยานยนต์คันเก่งของพวกเขาที่ตบแต่งมาอย่างสวยงาม แม้ไม่สวยที่สุดในสายตาลิด และอันที่จริงเป็นจักรยานยนต์ของพ่อที่ซื้อมาเพื่อใช้งานกันในครอบครัว แต่จักรยานยนต์ความจุเครื่อง 110 cc. ก็ถูกตบแต่งให้กลายเป็นรถของลิดไปโดยปริยาย

ตอนที่รู้ว่าคนแถวนี้เขาพูดถึงพวกเราว่าเป็นเด็กแว้นรู้สึกยังไง?

“เสียใจครับ” เดช เป็นคนตอบฉัน

ขณะที่แม่ของพวกเขาจับตามองด้วยแววตาชื่นชม และมีรื้นของน้ำตาเอ่อท้นอยู่ภายใน โพนทองเตือนฉันมาก่อนแล้วว่าลูกๆ ของเธอไม่ค่อยพูด ตอนไปประชุมร่วมกับเยาวชนในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดศรีสะเกษภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจลใน ‘โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ’ ลิดและเดช รวมถึงแบงค์จะเป็นกลุ่มเด็กที่พูดน้อยที่สุดในจำนวนเด็กและเยาวชนจากหลากหลายพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษที่มาร่วมทำงานกัน

หากแต่เดชกลับกล่าวต่อว่า ตอนที่แม่มาบอกเขาและน้องนั้น เขารู้สึกเสียใจ เพราะแม่ร้องไห้ ร้องไห้ทั้งที่โกรธ มากกว่านั้นคือความเป็นห่วง แม้จะโกรธและเสียใจ และทั้งเดชและลิดต่างรับรู้ความรู้สึกนั้นของผู้ให้กำเนิดไม่แตกต่างกัน

ด้วยความรู้สึกนั้น เดชและลิดจึงเริ่มพูดคุยกันถึงสิ่งที่อยากจะทำเพื่อแม่ และเพื่อชุมชนที่เคยก่นด่าพวกเขาในฐานะเด็กแว้นที่สร้างความเดือดร้อน

แต่จะทำอะไร และจะเริ่มต้นยังไง?

คำตอบมาลงตัวยังเสียงกุ๊กๆ ของไก่ที่พ่อของพวกเขาเพาะเลี้ยงไว้ ลิดและเดชผลัดกันเล่าว่าที่เลือกไก่ เพราะต่างก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก และรู้ว่าไม่เพียงไม่ต้องไปเริ่มต้นจากศูนย์ หากติดข้องปัญหาตรงไหน พวกเขาสามารถหันไปหาแม่และพ่อได้ โดยเฉพาะกับพ่อที่มีความรู้ในเรื่องนี้โดยตรง ผ่านการผลักดันในฐานะพี่เลี้ยงของแม่ที่วาดหวังให้ลูกๆ ห่างไกลจากคำว่าเด็กแว้นมากที่สุด

เดช ลิด และแบงค์ที่มาตามคำชวน เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ในเล้า ตั้งแต่ยังเป็นเพียงลูกเจี๊ยบ ทั้งเรื่องการให้อาหาร ต้องวันละกี่รอบ ให้ในปริมาณเท่าไหร่ รวมถึงเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการต่างๆ ของไก่ที่ผิดปกติ ไก่ทุกตัวจะมีรอบการให้ไข่แตกต่างกันไป แต่เมื่อครบรอบแล้ว ไก่จะถูกนำออกขาย หรือไม่ก็ถูกนำไปเป็นอาหาร

ไข่ แต่ละใบจากกิจการภายในครอบครัวคันศรมีขนาดแตกต่างกันออกไป นางโพนทองบอกฉันว่าไม่ได้ขายไข่แยกตามขนาดเป็นเบอร์ 0 เบอร์ 1 เบอร์ 2 เหมือนที่ฉันมักคุ้นเวลาไปซื้อตามตลาดสด แต่ขายเป็นถาดๆ ไป ในหนึ่งวัน เธอจะสามารถเก็บไข่ได้ในช่วงบ่าย ซึ่งคนทำหน้าที่นี้คือ ลิด เดช และแบงค์ สลับกัน ฉันหันไปถามพวกเขาว่ารู้สึกยังไงตอนที่ไก่แต่ละตัวที่เลี้ยงออกไข่

“รู้สึกดีใจครับ” แบงค์เป็นคนตอบ และไม่ทิ้งลายพูดน้อย ยิ้มเล็กๆ ประจำกลุ่ม แม้จะเป็นเพื่อนของลิด แต่การได้มีส่วนในกิจการเล็กๆ ของครอบครัวคันศรกลับทำให้แบงค์หวนมามองรอยจางของกลุ่มควันจากท่อไอเสียที่พวกตนได้ขับขี่ผ่านมา

รวมถึงลิดและเดช

เด็กหนุ่มทั้งสามได้ข้อสรุปว่าการได้แว้น (ตามคำจำกัดความของชาวบ้าน) ที่เคยเป็นมาแต่เดิม ไม่ให้ประโยชน์อะไร นอกจากก่อความรำคาญ และสร้างความเสียใจให้กับพ่อแม่ของตนเอง แต่การจะให้เลิกไปเสียเลย พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าการได้ขี่รถจักรยานยนต์มันให้อะไรมากกว่าแค่ความสนุก

‘มิตรภาพ’ ฉันคิดของฉันในใจเมื่อมองดูพวกเขาพูดกัน ก่อนจะตอบฉันว่า ทั้งหมดคือคำตอบที่นำพวกเขามาสู่กิจกรรมที่มีโพนทอง คันศร เป็นตัวตั้งตัวตีในฐานะของแม่เพื่อผลักดันโครงการในชื่อ ‘โครงการไก่ไข่เพื่อการเรียนรู้’

จักรยานยนต์ของพวกเขา จากที่เคยเป็นพาหนะพาพวกเขาไปที่ไหนๆ ตามแต่ใจปรารถนา จะบิด จะเร่งเครื่องแซง จะก่อเสียงดัง จะทิ้งควันเป็นทางไว้แค่ไหน ก่อนหน้านี้ พวกเขาแทบไม่เคยสนใจ แต่จนเมื่อไก่ออกไข่ จนเมื่อไข่จากการฟูมฟักแตกตัวเป็นลูกเจี๊ยบ และอีกหลายๆ ใบกลายเป็นอาหารเลิศรสในฐานะของไข่ไก่ที่แดงสด ในราคาถูกกว่าตลาดทั่วไป ผู้คนในคูซอดจึงได้เห็นภาพคุ้นตาของจักรยานยนต์ผ่านการตบแต่งของพวกเขาบิดส่งไข่ไปทั่วพื้นที่บ้านหมู่ 2 แทนการก่อความรำคาญ

พวกเขาจึงได้เห็นจักรยานยนต์ที่พวกเขาเรียกขานกันเองว่า นั่นไง รถส่งไข่มาแล้วๆ ที่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงก่นด่า หรือขำขันเป็นเรื่องตลกเยาะเย้ย หากแต่ด้วยน้ำเสียงชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มทั้งสามที่รู้จักเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนตัวเองได้จากไข่หนึ่งฟอง

“แล้วแม่จะทอดไข่เจียวให้กินนะ” โพนทอง คันศรบอกฉัน แล้วหายไปในครัว ลมพัดผ่านกิ่งใบในลมแรกของฤดูหนาวอ่อนๆ ฉันหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสามที่คุยกันเบาๆ กลิ่นทอดไข่ลอยโชยมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ท้องร้องเบาๆ และเมื่อโพนทองเดินออกมาพร้อมกับบอกให้ลูกๆ เตรียมจาน ช้อน และยกหม้อหุงข้าวมาวางบนแคร่เพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน

ไม่รู้สิ เด็กแว้นที่ชาวบ้านเคยตะโกนด่าตามหลัง ยามนั้นกลับดูไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบสามหน่อที่เดินตามแม่ไก่ต้อยๆ เลย

ไข่เจียวมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่ง

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เกษตรกรอาชีพวัยรุ่นactive citizenproject based learning

Author:

Related Posts

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

ทำไมการหวังให้ลูกมีความสุข จึงทำให้สุขภาพจิตของพ่อแม่เสีย?
Family Psychology
14 November 2017

ทำไมการหวังให้ลูกมีความสุข จึงทำให้สุขภาพจิตของพ่อแม่เสีย?

เรื่อง The Potential

  • ‘ถ้าเรามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยหวังให้เขาประสบแต่ความสุข (ความเจริญ)’ นั่นคือพรอันประเสริฐที่คนเป็นพ่อแม่และครูอาจารย์อยากจะมอบให้แก่ลูกๆ ของพวกเขาได้?
  • แต่นักจิตวิทยาคลินิกแห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ชี้ว่า อีกด้านของความปรารถนาดี อาจสร้างความกดดันแก่เด็กๆ โดยไม่รู้ตัว
  • ‘ยอมให้เขาโกรธเรา ดีกว่าเห็นว่าเขาผิดหวังในตัวเรา’ คือหนึ่งในความในใจของพวกเขา

‘ทำไมการคาดหวังให้ลูกมีความสุข จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเรา?’

อดัม พรินซ์ (Adam Prince) นักจิตวิทยาคลินิก และอดีตผู้อำนวยการแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลนวร์กเบธ อิสราเอล (Newark Beth Israel Hospital) ที่เมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เริ่มต้นบทความ ‘The Burden of Happiness’ (ภาระของความสุข) เอาไว้เช่นนั้น

สวนทางกับความคิดทั่วๆ ไปแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะผู้ปกครองส่วนใหญ่มักเห็นว่า ‘ถ้าเรามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยหวังให้เขาประสบแต่ความสุข (ความเจริญ)’ นั่นคือพรอันประเสริฐที่คนเป็นพ่อแม่และครูอาจารย์อยากจะมอบให้แก่ลูกๆ ของพวกเขาได้

แต่ประเด็นที่นักจิตวิทยาคลินิก ผู้ทำงานกับเด็กมากว่า 20 ปีต้องการจะชี้ก็คือ เขาพบว่า นั่นคือภาระที่ถูกวางไว้บนบ่าของเด็กๆ ในชื่อว่า ‘ความรัก’

“เด็กที่ผมทำงานด้วยส่วนใหญ่มักเล่าว่า พวกเขามีภาวะซึมเศร้า เพราะไม่สามารถไปถึงหรือบรรลุความคาดหวังของพ่อแม่ได้ เขาว่า ‘ถ้าเราทำอะไรที่ไม่สมบูรณ์พร้อม ก็จะรู้สึกต่ำต้อยทันที”

” ‘เรายอมให้คนโกรธเรา ดีกว่าเห็นเขาผิดหวังในตัวเรา’ เห็นได้ชัดว่ารูปแบบของความสุขและความคาดหวังให้พวกเขามีความสุข มันไม่อาจเป็นจริงได้”

ทำให้นึกถึงบทความของ โรเบิร์ต พัฟฟ์ (Robert Puff) นักจิตวิทยาคลินิกผู้ที่มีชื่ออยู่ในคำค้นลำดับต้นๆ ในเสิร์ชเอนจินของเว็บไซต์ Google บทความอธิบายแนวคิดทางจิตวิทยา Growth Mindset เอาไว้อย่างเห็นภาพ โดยยกตัวอย่างเด็กๆ เอาไว้ 3 กรณี

เด็กชาย ก ผู้ไม่ได้ถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเขานัก พ่อแม่ของ ก มักบอกเขาว่าเขาไม่ใช่เด็กฉลาด แต่ ก เป็นคนชอบเรียนมาก และเขาก็ทำได้ดีในช่วงแรกๆ แต่เขาก็ยังถูกครูและผู้ปกครองบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กฉลาดอยู่นั่นเอง ซึ่งพอ ก ถูกบอกเช่นนั้นมากๆ เข้า เขาก็เริ่มจะเชื่อมัน และคิดว่า “อืม… อย่างไรเราก็ไม่ใช่เด็กที่ฉลาด แม้ว่าเราจะพยายามแค่ไหนก็คงไม่สำเร็จ” ในทางจิตวิทยาอธิบายแนวคิดนี้ว่า ‘Fixed Mindset’ หรือ ความคิดถูกแช่แข็ง

เด็กหญิง ข อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีทีเดียว พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และให้กำลังใจ ข ด้วยการบอกว่าเธอเป็นเด็กฉลาด เธอจะเป็นอะไรก็ได้ตราบที่เธอต้องการ เธอจะไปได้ไกล เด็กหญิง ข เชื่อเช่นนั้นและประสบความสำเร็จในชีวิต สุดท้ายเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ แต่สุดท้าย เธอลงเอยด้วยการอยู่ในภาวะซึมเศร้าเพราะการเรียนที่ยากและเข้มงวดขึ้น เธอเริ่มคิดว่า ‘คุณค่าของชีวิตคืออะไร’

ตัวอย่างเรื่องภาวะซึมเศร้าในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะมีสถิติจากนิตยสาร Harvard Crimson อยู่จริงว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาฮาร์วาร์ดเคยผ่านภาวะซึมเศร้า ในจำนวนนั้น กว่า 25 เปอร์เซ็นต์มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงขนาดทำร้ายร่างกายตัวเองพัฟฟ์อธิบายกรณีเด็กหญิง ข ว่าเข้าข่าย Fixed Mindset เช่นกัน ด้วยเหตุว่าพ่อแม่ของเธอชี้ชัด (label) ไปแล้วว่าเธอฉลาด และเป็นคนเก่งที่จะทำอะไรก็ได้อย่างที่หวัง แล้วถ้าชีวิตไม่เป็นเช่นนั้น แล้วถ้าปัจจัยรอบตัวเปลี่ยนทำให้สิ่งที่หวังไม่อาจเป็นไปได้ อย่างนี้เธอจะเหลืออะไรให้จับยึด

เด็กชาย ค ถูกเลี้ยงดูด้วยคติประจำใจของพ่อแม่ว่า “คนเราจะทำอะไรก็ได้ ถ้าได้พยายาม ถ้าทำงานหนัก” และพ่อแม่ของเด็กชาย ค จะระมัดระวังเสมอที่จะไม่ก้าวก่ายและตัดสินลูกของพวกเขา ซึ่งเมื่อเด็กชาย ค ประสบกับอุปสรรค พ่อแม่ของเขาเพียงบอกว่า “ไม่เป็นไร ลองแก้ไขดูนะ เราอาจต้องทำงานหนักและพยายามกับมันมากขึ้นกว่าเดิม” ซึ่งนั่นทำให้ เด็กชาย ค เข้าข่ายนิยามของ Growth Mindset คือเป็นคนยืดหยุ่นและเข้มแข็ง พร้อมชนทุกปัญหา

ที่ยกตัวอย่างคำอธิบายของพัฟฟ์ เพื่อจะชี้ว่า จุดร่วมอย่างหนึ่งของนักจิตวิทยาทั้งคู่นี้ อยู่ที่ตัวอย่างที่ 2 เด็กหญิง ข เพราะแม้ว่าพ่อแม่ของเด็กหญิง ข จะปรารถนาดีและคาดหวังเพราะเห็นว่านั่นน่าจะเป็นเส้นทางของความสุข แต่หลายๆ ครั้งสิ่งที่พ่อแม่กระทำคือการโยนความรักไปไว้บนบ่าของเด็กๆ ซึ่งตรงกับคำของพรินซ์ที่ว่า ‘ภาระของความสุข’

เคล็ดลับสำหรับพ่อแม่ ไม่ให้เผลอแสดงความคาดหวังต่อลูก

เคล็ดลับทางจิตวิทยาของพรินซ์ ที่จะส่งต่อถึงพ่อแม่และครู เพื่อไม่ให้เผลอแสดงความคาดหวังต่อตัวลูกมากไป มีเคล็ดลับเล็กๆ ต่อไปนี้

  • ต่อไปนี้เวลาเพื่อนของคุณทักว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม?” ให้ท่องไว้ว่า ห้ามตอบตำถามนี้โดยเอาเรื่องลูกๆ ของคุณมาเล่าโดยเด็ดขาด ให้ตอบว่า ‘ตัวคุณ’ สบายดีหรือเปล่า และหากไม่มีอะไรมาเล่านอกเหนือไปจากเรื่องของลูกคุณ ถึงเวลาสร้างเรื่องราวของคุณเอง ด้วยการออกไปใช้ชีวิต เริ่มมีงานอดิเรก หรือควงคู่รักไปเดทกันอีก (หลายๆ) รอบ ก็ดูจะเข้าท่าดี
  • ประโยคที่ว่า “ไม่รู้สิ สมัยเรียนฉันไม่เคยป็อปปูลาร์ขนาดนี้นะ” “เรื่องของลูก ทำให้แม่/พ่อ นึกถึงพี่ชายของแม่/พ่อ เลย” ประโยคเหล่านี้แม้ฟังผิวเผินแล้วเหมือนเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมันให้ความรู้สึกของการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตคุณและลูกของคุณอยู่เล็กๆ พวกเขาจับสัญญาณได้นะ…

แน่นอนว่าพวกคุณย่อมเคยทำเรื่องผิดพลาด และมักจะบอกลูกๆ เสมอว่าอย่าได้ผิดพลาดแบบพ่อ/แม่นะ แต่… ให้พวกเขาเรียนรู้สิ่งผิดพลาดจากสิ่งที่คุณเคยเผชิญ เพราะต่างเวลา ต่างสิ่งแวดล้อมรอบตัว สถานการณ์เช่นนั้นย่อมไม่เท่ากัน การปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้จากความเจ็บปวด ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อตัวพวกเขาอย่างหนึ่ง

จงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดด้วยตัวคุณเอง ไม่ใช่โยนให้เป็นความผิดพลาดของพวกเขา

อ้างอิง: phycology today

Tags:

พ่อแม่ซึมเศร้าปม(trauma)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaBook
    CHILDHOOD DISRUPTED : บาดแผลในวัยเด็ก สาเหตุของความป่วยไข้เมื่อเติบโต

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Healing the trauma
    คน BULLY ไม่ใช่ใคร พ่อแม่นั่นเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ข้อดีในการเรียนสองภาษา คือพัฒนาการ ‘ยับยั้งชั่งใจ’
Learning Theory
14 November 2017

ข้อดีในการเรียนสองภาษา คือพัฒนาการ ‘ยับยั้งชั่งใจ’

เรื่อง The Potential

ทุกวันนี้ หากไปตามห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง เราจะเห็นพ่อๆ แม่ๆ จูงลูกน้อยมา เมื่อพ่อแม่เอ่ยคำถามภาษาไทย เด็กชายหญิงจะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ หรือพ่อแม่พูดอังกฤษปนไทย ลูกตอบกลับเป็นไทยชัดถ้อยชัดคำ

โลกเปลี่ยนไปจนการสนทนาแบบสองภาษาของเด็กรุ่นหลังกลายเป็นเรื่องปกติ – ที่หลายๆ ครั้งพูดปนกันก็ยังเข้าใจ แถมเปลี่ยนระบบการสื่อสารไปมาได้คล่องแคล่วไม่มีสะดุด

นอกจากฝึกไหวพริบ ยังมีงานศึกษาแสดงว่าเด็กสองภาษามีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าเด็กที่พูดได้เพียง โอนลีวันแลงเกวจ และมากกว่าที่คิด

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน (University of Oregon) เผยแพร่ผลงานในวารสาร Developmental Science ว่า นอกจากการบริหารความคิดสองภาษา เด็กที่เรียนรู้สองภาษาในช่วงวัย 4 ขวบหรือน้อยกว่านั้น จะมีพัฒนาการด้านการยับยั้งชั่งใจดีกว่าเด็กที่พูดได้เพียงภาษาเดียว ซึ่งการควบคุมความยับยั้งชั่งใจนี้คือความสามารถไตร่ตรอง หยุดพฤติกรรมปัจจุบันทันด่วน หุนหันพลันแล่น ให้มีเวลาคิดตัดสินใจ หาทางแก้ปัญหาที่ยืดหยุ่นได้มากขึ้น

ทีมวิจัยเก็บตัวอย่างจากเด็ก 1,146 คนที่เริ่มฝึกพัฒนาการด้านการยับยั้งชั่งใจตอนอายุ 4 ขวบ และติดตามต่อเป็นเวลาอีก 18 เดือน โดยเด็กจะถูกแบ่งเป็นสามกลุ่ม หนึ่ง – อังกฤษล้วนๆ สอง – สเปนและอังกฤษ สาม – ภาษาสเปนเท่านั้น

“เมื่อเริ่มทำงาน กลุ่มที่ผ่านการเรียนสองภาษาจะทำคะแนนได้ดีกว่าในการทดสอบการควบคุมยับยั้งชั่งใจเมื่อเทียบกับอีกสองกลุ่ม” ฮิเมนา ซาสติญาน (Jimena Santillán) หัวหน้าทีมจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนและอดีตนักศึกษาด้านจิตวิทยาอธิบาย

กระทั่ง 18 เดือนผ่านไป เด็กทั้งหมดจะถูกทดสอบการตัดสินใจและพฤติกรรมด้วยการเคาะดินสอ โดยเมื่อครูผู้ควบคุมเคาะสองครั้ง เด็กจะเคาะตามสองครั้ง ในทางกลับกัน เมื่อครูเคาะหนึ่งครั้ง ให้เด็กเคาะตามครั้งเดียว เป็นการฝึกการตอบสนอง ยับยั้งแรงกระตุ้น และการเลียนแบบพฤติกรรม

ผลออกมาว่า กลุ่มที่เรียนสองภาษาและกลุ่มที่เริ่มเปลี่ยนจากหนึ่งภาษาเป็นสองภาษามีพัฒนาการทักษะด้านนี้รวดเร็วกว่ากลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียว

“การควบคุมตนเองและการตัดสินใจเป็นทักษะสำคัญในการประสบความสำเร็จด้านการเรียน เป็นผลบวกต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคต”

อติกา คูรานา (Atika Khurana) ผู้ร่วมเขียนผลงาน ศาสตราจารย์จากหน่วยงานปรึกษาด้านจิตวิทยาและการบริการประชาชน และเป็นนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน กล่าว

“พัฒนาการด้านการควบคุมตนเองจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวัยก่อนอนุบาล”

และเธอย้ำถึงผลงานว่า “งานศึกษานี้แสดงผลทางหนึ่งว่า อิทธิพลด้านสิ่งแวดล้อมสามารถส่งผลต่อพัฒนาการด้านการควบคุมความยับยั้งในเด็กอายุน้อยกว่า”

อ้างอิง:
independent.co.uk

Tags:

พัฒนาการภาษา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘อาหารกลางวัน’ คือสื่อการเรียนรู้ที่ทำให้ท้องและสมองของเด็กอิ่ม : โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Unique Teacher
    พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เมื่อครูเฟี้ยวสอนเด็กเฮี้ยวที่ชุมชน ‘คลองเตย’
Unique Teacher
14 November 2017

เมื่อครูเฟี้ยวสอนเด็กเฮี้ยวที่ชุมชน ‘คลองเตย’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • ไม่ใช่อัตชีวประวัติโดยย่อ แต่เป็นชีวิตการทำงานของครูจบใหม่จากรั้วจามจุรีในพื้นที่การศึกษาเขต ‘เรดโซน’ ที่น้อยครูนักจะกล้าเข้ามาสอน แค่เดินผ่านยังยากเลย
  • สิ่งที่ครูพิงค์สอน ไม่ได้มุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่คือ การทำให้เด็กๆ เห็นคุณค่าว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่มีค่าและประสบความสำเร็จได้ ไม่ให้คะแนนตัวเองเท่ากับ 0 เหมือนที่ผ่านมา
  • ครูสาวคนนี้ไม่ได้เข้มแข็งโลกสวยทุกวัน มีหลายวันที่พังไม่เป็นท่า แต่การคิดการเชื่อว่า เด็กๆ มีศักยภาพมากกว่านี้ คือประโยคดีๆ ที่คอยเป่าหูครูพิงค์ให้ปิ๊งตลอดๆ ว่างานนี้ “พี่ไม่ได้มาเล่นๆ นะ”
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

บ่ายสามโมงครึ่งไม่ขาดไม่เกิน ครูพิ้งค์-นีติรัฐ พึ่งเดช ครูอาสาโครงการ ‘Teach for Thailand’ รุ่น 2 เดินลงมาต้อนรับเราที่หน้าตึกเรียนโรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ในชุดเดรสสีดำ กรีดอายไลเนอร์เส้นหนาสีดำขลับ ผมรวบตึงมัดไว้ที่ท้ายทอย ภายนอกเธอดูเรียบร้อย แต่หลังจากเห็นเธอทักทายกับบรรดาลูกศิษย์สุดเซี้ยวก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมโครงการ Teach for Thailand (TFT) จึงส่งเธอมาประจำโรงเรียนชุมชนที่พ่วงท้ายด้วยคำว่า ‘คลองเตย’ แห่งนี้

อย่างไม่อ้อมค้อม ชุมชนคลองเตยคือหนึ่งในชุมชนแออัดที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหายาเสพติดและแหล่งซ่องสุมของอบายมุขทั้งปวงแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เป็น ‘เรดโซน’ ที่ภาครัฐอยากจะปิดตาทำเป็นมองไม่เห็น หากก็เป็นพื้นที่ในฝันที่ทุกหน่วยงานอยากจะเข้าไปแก้ไขคลี่คลายให้สำเร็จมาเนิ่นนาน

วันที่มาโรงเรียนวันแรก ความรู้สึกของเราต่อเด็กที่นี่คือ มันเหมือนซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Gokusen ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู ที่แบบ… นักเรียนพกมีด เอาเท้าพาดโต๊ะ พูดจากับครูแบบ ‘เฮ้ย ครูเว้ยเฮ้ย’ อารมณ์นี้เลย

แม้เธอจะปิดท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะ แต่น้ำเสียงของเธอเด็ดขาด อย่างเดาทางตอนจบของเส้นเรื่องได้ว่า ประสบการณ์เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา… ‘เธอผ่านอะไรมามาก’ อย่างแน่นอน

ที่เกริ่นไว้ว่า พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอจึงถูกเลือกให้เข้าสอนที่โรงเรียนชุมชนคลองเตย ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่เด็ดขาด แต่เพราะลักษณะการพูดคุย บรรยากาศการต่อรองระหว่างศิษย์และครู กับท่าทีแข็งกร้าวห้าวห้วนของเด็กวัยรุ่น แต่ก็ยอมให้กับครูตัวเล็กคนนี้ ก็ยิ่งเพิ่มอณูความน่าเกรงขามของ ‘ความเป็นครู’ ให้กับครูพิ้งค์อย่างไม่ใช่ครูทุกคนที่ทำได้

The Potential จับเข่าคุยกับครูพิ้งค์ที่โรงเรียนแห่งนี้ ถามเหตุผลว่าทำไมจึงมาเป็นครูอาสา ปัญหาที่พบเจอมีอะไรบ้าง การทำงานกับเด็กในพื้นที่ซึ่งมีปัญหาอื่นๆ ให้ต้องเร่งแก้ไขไม่แพ้การทำงานด้านวิชาการ กลัวมั้ยที่ต้องทำงานในพื้นที่เรดโซน ปัญหาเรื่องการศึกษาของชุมชนแออัดคืออะไร และอื่นๆ

คำตอบระหว่างบรรทัดของครูพิ้งค์ ชัดเจนว่าไม่ได้ทำหน้าที่โดยอาศัยความอุตสาหะและอุดมการณ์สวยหรูของครูอาสาเพียงเท่านั้น แต่เธอพาเราย้อนกลับไปยังระบบและรากของปัญหาการศึกษา ซึ่งพัวพันกับแก่นของปัญหาสังคมของประเทศไทยเลยทีเดียว

เชิญรับฟัง…

ครูพิ้งค์ ผู้ถูกเลือกในพื้นที่ red zone

ครูพิ้งค์-นีติรัฐ เป็นสาวใต้จากจังหวัดพังงา เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และเข้าเรียนต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในคณะจิตวิทยาได้สำเร็จ แต่เธอไม่ใช่เด็กหน้าห้องที่มุ่งแต่ทำคะแนนในห้องเรียนเท่านั้น เธอบอกชัดเจนว่าเธอชอบงานจิตอาสา และทำงานด้านนี้อย่างจริงจังนับแต่เข้ามหาวิทยาลัย

“ตอนที่เข้าโครงการ Teach for Thailand รุ่นที่ 2 เราไม่ได้คิดอยากเป็นครูจริงจัง เพียงแต่สนใจงานด้านเด็กและเยาวชน และเราฝันอยากต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาเด็ก เลยหวังว่าโครงการนี้จะช่วยให้เราได้รับความรู้เกี่ยวกับเด็กในเชิงลึก เพราะถ้าไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอไปเรียนรู้กับเด็กในระยะเวลาหลายปีขนาดนี้ได้จากไหน

“ยิ่งเด็กที่ขาดโอกาส เป็นอีกชนชั้นหนึ่งที่เราไม่คุ้นเคย เราจะไม่มีทางรับรู้ถึงปัญหาของเขาเลยถ้าเราไม่ได้เข้าไปทำงานกับเขา แต่พออยู่ไปสักพัก เรื่องการศึกษาก็เข้ามาเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเราเอง”

ถามว่าทำไมต้องเจาะจงเลือกพื้นที่ในมุมที่มืดที่สุดของสังคม เธอตอบชัดว่า “เราไม่ได้เป็นคนเลือกค่ะ” แน่นอนว่าเธอจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะและตอบอย่างจริงจังว่า นั่นคือเงื่อนไขของโครงการ Teach for Thailand ที่มุ่งให้ครูได้เข้าไปทำงานอย่างจริงจังกับเด็กที่ด้อยโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาจริงๆ เพื่อให้เห็นปัญหาในทุกมิติ โดยมีเงื่อนไขว่า ครูจะเลือกพื้นที่เข้าสอนไม่ได้ และต้องสอนที่โรงเรียนเดิมเป็นระยะเวลา 2 ปี จึงจะจบโครงการ

หากอธิบายอย่างภาษาวัยรุ่น อาจกล่าวในประโยคติดแฮชแท็กได้ว่า #พี่ไม่ได้มาเล่นๆ นะ เพราะเงื่อนไขการทำงานต่อเนื่อง 2 ปี แปลว่าต่อให้คุณจะอยากล้มเลิกกลางคันเพราะสถานการณ์หน้างานไม่ได้สวยอย่างที่ฝัน…แบบนั้นทำไม่ได้

“TFT บอกเอาไว้แต่แรกว่าให้เตรียมใจนะ เพราะเขาจะส่งเราไปลงในพื้นที่ที่มีปัญหาจริงๆ ประมาณว่าอาจเจอคนเดินดมกาวระหว่างทาง หรือโดนกระชากกระเป๋า ซึ่งพอลงมาในพื้นที่มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ภาพคนถือถุงกาว เดินดมกาว ตัวผอมๆ แห้งๆ เป็นภาพปกติของที่นี่

“คนข้างนอกหรือเด็กในโรงเรียน กทม. ด้วยกันเองก็จะเรียกที่นี่ว่าชุมโจร ซึ่งเด็กในโรงเรียนนี้ก็เฮี้ยวกันจริงๆ ตอนเข้ามาวันแรก เด็กเอาขาพาดบนโต๊ะ เรียกเราแบบ ‘เฮ้ย ว่าไงครู’ หรือไม่ก็เอามีดพกมาโชว์ให้เราดู แล้วถามว่า ‘เท่มั้ย ผมพกมาป้องกันตัว’ บางคนก็เอายามาขาย เอาจริงๆ ตอนนี้เรารู้ยาจักชนิดของยาเสพติดพอๆ กับตำรวจเลย (หัวเราะ) อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีตำรวจเข้ามาจับนักเรียน เพราะผู้ใหญ่ฝากให้เด็กเอายามาขายในโรงเรียน เพื่อนก็เมากัน หลังจากโดนจับก็ต้องพาหมอมาบำบัด”

นี่คือสภาพปัญหาที่เธออธิบายไว้เพื่อให้เห็นภาพสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่รูปประโยคเช่นนี้ย่อมมีคำว่า ‘แต่’ ตามมา ครูพิ้งค์บอกว่า แม้จะมีปัญหาแบบนั้น อย่างที่ทำให้วิญญาณความเป็นครูของเธอพร้อมจะ ‘พัง’ อยู่เสมอ และอยากจะบอกเลิกกับสัญญาของตัวเองได้ทุกเมื่อ หากเธอยืนยันว่า…

“ที่นี่ก็มีมุมดีๆ คือเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา เขาทำอาชีพที่ไม่สุจริตก็จริง แต่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ แบบว่า…เขาจะรู้ว่าเราเป็นครูของลูกเขา เวลาเราเดินเข้าไปในชุมชนก็ทักเรา ‘ครูหวัดดี’ ‘ครูกินข้าวยัง’ หรืออย่างคนดมกาวเดินเข้ามาหาเรา คนในชุมชนก็จะห้ามปรามกันว่า ‘มึงอย่าไปยุ่งกับครูเขานะ’ คือเขาก็มีมุมน่ารักของความเป็นชาวบ้าน มีศักดิ์ศรีที่เขายึดถือกันอยู่”

แต่แน่นอนว่า บรรยากาศความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือการทำให้คนในวัฒนธรรม ‘นักเลง’ รักนั้น ต้องแลกมาด้วยความจริงใจและ ‘เอาจริง’

ครูเรียนรู้ศิษย์ เรียนรู้ชุมชน

“ตอนเข้าไปใหม่ๆ เราไปเยี่ยมบ้านนักเรียน แต่ก็ไปกับมูลนิธิและตำรวจ ประเด็นคือตลอด 20 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครทำแบบนี้เลย พ่อแม่หรือคนในชุมชนตกใจกันมาก มองเราด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่หลังจากนั้นเขาจำเราได้ว่า อ๋อ…นี่คือครูนะ แต่นอกเหนือจากนั้นมันทำให้เราเข้าใจปัญหา และรู้ว่าเลยว่าชุมชนแออัด มันแออัดแค่ไหน”

ไม่ใช่แค่ทำงานร่วมกับผู้ปกครองหรือคนในชุมชน ด่านแรกที่เธอต้อง ‘ชนะใจ’ ให้ได้ก็คือ ลูกศิษย์ตรงหน้า เราถามว่า ด้วยระยะเวลาที่สั้นเพียง 2 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่สั้นมากสำหรับการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง และยิ่งสั้นมากขึ้นไปอีกหากเทียบกับปัญหาเฉพาะของชุมชน เธอตั้งเป้าหมายตลอด 2 ปีต่อตัวเองและต่อนักเรียนเอาไว้อย่างไร?

ก่อนจะตอบคำถามนั้น ครูพิ้งค์ขออธิบายสภาพปัญหาเฉพาะพื้นที่ก่อนว่า

“ต้องเท้าความก่อนว่าที่นี่เป็นสลัม ส่วนใหญ่พ่อกับแม่จะไม่มีเวลาดูแลลูก หรือเหมือนคลอดลูกทิ้งไว้ อายุหนึ่งขวบก็ปล่อยทิ้งไว้อยู่บ้านคนเดียวแล้ว ความอนาถมันถึงขั้นที่ว่าเด็กบ้างคนกินขี้ตัวเอง

“พวกเขาโตมาด้วยสารอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นพวกจังค์ฟู้ด อย่างเฟรนส์ฟรายส์หรือไส้กรอกทอดเป็นหลัก ฉะนั้น เขาจะไม่ได้รับสารอาหารที่ส่งเสริมพัฒนาการการเติบโต โดยรวมๆ พวกเขาจึงมีไอคิวต่ำ แน่นอนว่าคนที่ฉลาดๆ ก็มี แต่มีสักประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ที่สามารถผลักดันได้ แต่ส่วนมากเป็นเด็กพัฒนาการช้า มีความบกพร่องในการเรียนรู้ Learning Disabilities (LD) การอ่านการเขียนช้า มีปัญหาเรื่องการคิดวิเคราะห์

ด้วยสภาพปัญหาสังคมที่ส่งผลต่อพัฒนาการ แน่นอนว่านั่นเป็นปัจจัยหนึ่ง ฉะนั้น จากตอนแรกที่เราวางแผนว่าเข้ามาแล้วเราจะทำงานกับเด็กทุกด้าน เราต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่หมด เริ่มแรกคือต้องให้เขาเห็นความสำคัญในตัวเอง ให้รู้ก่อนว่าเรียนไปเพื่ออะไร

เธอเล่าว่า กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่นี่อ่านหนังสือไม่คล่อง อีก 10 เปอร์เซ็นต์อ่านหนังสือไม่ออก ทำให้เธอได้ข้อสรุปว่า การจะมุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ (Academic Achievement: AA) ต่อนักเรียนกลุ่มนี้อาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญ แต่บันไดขั้นแรกคือ การสร้างคุณลักษณะชีวิตของเด็ก (Characteristic: CS) และทักษะที่เด็กควรจะมีเพื่อให้อยู่ในสังคมได้ (Essential Skill)

สิ่งที่เด็กเราไม่มีเลย คือการเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่มีค่าและประสบความสำเร็จได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีความพยายาม และพอเห็นชีวิตตัวเองไม่มีค่า เขาก็จะมองว่าคนอื่นไม่มีคุณค่าด้วย เขาจึงใช้ความรุนแรงใส่ใครก็ได้โดยที่ไม่รู้สึกผิด ขั้นแรกเราจึงต้องลดงานด้านวิชาการที่เราเคยตั้งไว้แต่แรก 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วเป็นเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ คือทำอย่างไรให้เด็กเห็นคุณค่าของตัวเองและคนรอบข้างก่อน

“ปัญหาส่วนใหญ่คือ เรื่องความรุนแรง เราก็ต้องสร้าง CS ให้แข็ง และที่สำคัญคือ สร้างการศึกษาให้เป็นคุณค่าหลักในชีวิตของเขาให้ได้”

โพสต์อิทที่ติดอยู่ตามฝาห้อง เป็นข้อความของคำถามที่ว่า ‘ทำไมจึงต้องเรียนภาษาอังกฤษ?’ ส่วนข้อความบนกระดานแสดงกติกาการอยู่ร่วมกันในห้อง และเด็กๆ ที่ถูกขอให้นั่งรออยู่ในห้องก่อน ขณะที่เพื่อนๆ ทยอยกลับบ้านไปแล้ว เพราะก่อนหน้าพวกเขา ‘เจี๊ยวจ๊าว’ มากไปนิดในชั่วโมงที่ครูพิ้งค์เชิญ เชฟแพม-พิชญา อุทารธรรม เชฟชื่อดังเข้ามาพูดคุยกับนักเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งครูพิ้งค์อธิบายว่า

“อย่างการเชิญเชฟแพมเข้ามา ก็เพราะอยากให้เขาเห็นโลกข้างนอก ซึ่งอาจจะสร้างแรงบันดาลใจอะไรให้เขาได้”

ทั้งหมดนั้น คือภาพบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในการเรียนที่เธอพยายามออกแบบให้เกิดขึ้น

“ทุกต้นเทอม เราจะทำ ‘Why English?’ กับเด็กทุกห้องที่เราสอน เป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ให้ค้นหาว่าเราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม เพราะเมื่อเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เขาก็จะไม่เห็นความสำคัญ แต่เราจะชวนให้เขาคิด เปิดคลิปคนดังๆ ที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เช่น แจ็คหม่า จา พนม หรือจีจ้า ให้พวกเขาเห็นว่าคนเหล่านี้ไปได้ไกลขนาดนี้เพราะภาษานะ แล้วเราเคยมองตัวเองไหมว่าจะใช้ภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร

“โพสต์อิทตรงนั้นก็คือ สิ่งที่เด็กๆ เขียน บางคนเขียนแค่ว่า อยากเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเป็นนักแคชเกมในยูทูบ บางคนบอกว่าเรียนภาษาอังกฤษเพื่อไปเป็นนักบอล ตอนแรกผมก็อยากเป็นแค่นักบอลในไทย แต่พอครูบอก ผมก็อยากไปเตะต่างประเทศ หรือบางคนอยากได้ภาษาอังกฤษเพื่อคุยกับพี่เขยที่เป็นฝรั่ง

เราก็สอนแค่นี้ล่ะ ให้เขาหาเหตุผลด้วยตัวเองว่า พวกเขามานั่งเรียนในห้องเพราะอะไร ทำให้เขารู้สึกอยากเรียน

หมดยุคไม้เรียว

“ครูใน กทม. ส่วนใหญ่ยังสอนในลักษณะเลคเชอร์ คือเขียนขึ้นกระดาษ ‘นักเรียนทุกคนเปิดสมุดลอกตาม อ่ะ…อ่านตามครู จำนะคะจำ จำไม่ได้ ฟาด อธิบายไปสามรอบแล้วยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ตี เด็กยกมือถาม ตี’ ยังเป็นแบบนั้นเยอะ

“ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวครูนะ สำคัญมากว่าครูจะสามารถดึงความสนใจของนักเรียนได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจุบันไม่ใช่ยุคเลคเชอร์แล้ว เด็กทุกวันนี้สมาธิก็สั้นลงด้วยเทคโนโลยี แล้วเราจะมาสอนแบบ ‘นักเรียนเปิดหนังสือค่ะ อ่านตามค่ะ ท่องตามค่ะลูก’ ไม่ได้แล้ว สอนแบบแห้งๆ ไม่มีภาพ ไม่มีคลิปก็ไม่ได้ ซึ่งครูส่วนใหญ่เป็นแบบนี้”

ครูพิ้งค์ย้ำว่า ไม่ใช่ว่าเธอจะเข้มแข็งโลกสวยอยู่ทุกวัน ยังมีวันที่เธอ ‘พัง’ ไม่เป็นท่า แต่ถ้าตัดเรื่องอารมณ์และการดีลกับนักเรียนออกไปก่อน มองเฉพาะปัญหาของครู เธอเชื่อว่าวิธีการสอนของครูไทย ยังเป็นปัญหาอยู่มาก โดยเฉพาะครูที่เจอปัญหาเชิงระบบ เช่น ระบบการอบรมครูที่ไม่ได้ติดอาวุธให้ครูสอนแบบใหม่ ต้องจมอยู่กับปัญหาเดิมอย่างไม่รู้วิธีแก้ไข พอเจอมากเข้าๆ ก็เชื่อว่าปัญหาตรงหน้าแก้ไขไม่ได้ จนเกิดอคติ หรือเชื่อว่าปัญหานั้นยากเกินเยียวยา

เมื่อก่อนครูจะชอบพูดว่าเด็กเป็นปัญหา คือเขาสอนเต็มที่ แต่เด็กไม่เอา แล้วถามจริงๆ ว่าครูเต็มที่ขนาดไหน คือตะโกนโหวกเหวกกลางห้องแบบนั้นใช่ไหม แล้วถามว่าครูเคยมีความสามารถดึงความสนใจเขาไหม แต่บางทีก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า

เด็กที่นี่เฮี้ยวจริงๆ ด่าครู พกมีด เสพยา การที่ครูเจออะไรอย่างนี้ทุกวันแล้วไม่ได้รับการเยียวยาเลย หันไปหาเพื่อน เพื่อนก็พังเหมือนกัน มันก็บั่นทอน หมดไฟได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“พอครูเจอเด็กแบบนี้บ่อยๆ ก็มีความคิดแบบ ‘fixed mindset’ คือคิดว่าเด็กก็เป็นแบบนี้ สอนอะไรไปก็ได้ อีกปัญหาหนึ่งคือการอบรมครูของ กทม. ก็ไม่โอเคด้วย คือการอบรมเรื่องการสอนยังล้าหลังและไม่ได้มีอะไรใหม่เลย ซึ่งมันเป็นปัญหา”

สิ่งที่เธอทำคือ การทำสถิติ เขียนรายงานทุกอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งวิธีการแก้ปัญหาให้กับเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งหมดนี้ครูพิ้งค์สรุปว่า ‘ปัญหาทุกอย่างแก้ได้’ มีคนทำงานจำนวนหนึ่งที่มีศักยภาพจะเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ขั้นตอนการปรับตัวย่อมมีแรงปะทะบางอย่างซึ่งคนที่นำการเปลี่ยนแปลงต้องทนให้ได้ ครูพิ้งค์บอกว่า เคล็ดลับอยู่ที่ ‘กระบวนการเยียวยา’

“ครูจาก Teach for Thailand จะมีประชุมกันบ่อยๆ แต่ละคนก็มากันแบบพังๆ เราจะมานั่งเล่าปัญหากัน เยียวยากัน คิดหาวิธีการสอนใหม่ๆ ซึ่งสำคัญมากๆ ในการทำงานแบบนี้ ไม่อย่างนั้นครูจะหมดไฟได้ง่ายๆ แต่สำหรับครูในระบบ อาจไม่มีกระบวนการเลย อาจทำได้แค่เล่าให้เพื่อนครูด้วยกันฟัง แล้วเขาก็พังเหมือนกันอีก”

หยุดคิดแบบ fixed mindset อคติฝังหัว

เอาจริงๆ เด็กได้อิทธิพลจากครูเยอะ คือเขาไม่ได้มี mindset อะไรเลยในตอนเริ่มนะ แต่ fixed mindset ที่เด็กๆ มีก็ได้มาจากครูที่หมดไฟแล้ว เจอครูแบบนี้ทุกวัน วันละห้าชั่วโมง วิชานี้ก็ด่า วิชานั้นก็ด่า คนนี่ก็บอกว่าโง่ ก็เลยกลายเป็น fixed mindset ฝังหัวไปว่าพวกเขาโง่ ไม่มีดี

“แต่ถ้าเจอครูที่เขามี ‘growth mindset’ เชื่อว่าเขามีศักยภาพนะ ทุกอย่างก็ไปได้ ไม่มีปัญหา ซึ่งโดยทั่วไปครูที่เพิ่งจบใหม่ก็ย่อมจะมี growth mindset แต่พอโดนอะไรแบบนี้มากเข้าๆ ก็กลายเป็น fixed mindset ตามไปด้วย”

ภาษาวิชาการเรื่อง Growth Mindset และ Fixed Mindset ที่ครูพิ้งค์พูดถึงนั้น อาจอธิบายให้เห็นภาพได้ด้วยฉากในห้องเรียนเช่นนั้นทั้งหมด เพราะความคิดของครูที่เปลี่ยนแปลงไป จากการทำงานที่หมดไฟ จากการถูกบั่นทอน จากการไม่มีระบบตัวช่วยหรือเยียวยา ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยทำให้ครูที่เคยมีความตั้งใจดี มีพลังบวก มีความเชื่อในการพัฒนาศักยภาพของคน ก็พาลหมดไฟ หรืออย่างศัพท์วัยรุ่นฮิตๆ ที่เรียกกันว่า Burn Out ได้

ก่อนจะจากกัน เราถามครูพิ้งค์ต่อว่า สำหรับตัวเธอเองจะจัดการกับภาวะ (ที่เธอชอบใช้คำว่า) ‘พัง’ ไม่ปล่อยให้ตัวเองหมดไฟ หรือเชื่อว่าปัญหาตรงหน้า ‘มันไม่มีทางแก้ได้หรอก’ อย่างไร?

เราเชื่อว่าเด็กทุกคนต้องการแค่โมเมนต์หนึ่ง หรืออะไรสักอย่างที่มัน ปัง…กระแทกใจ แล้วกลายเป็นแรงบันดาลใจเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น ก้าวไปข้างหน้า และครูสามารถเป็นโมเมนท์นั้นได้

“TFT เขาหยิบยกภาพหนึ่งมาดูก่อนที่เราจะเข้ามาสอนที่นี่ เป็นภาพคนเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ เขาอธิบายว่า คุณจะมีความสุขมากๆ และดิ่งลงมากๆ ภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือแค่ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งก็จริง ถ้าครูควบคุมอารมณ์ไม่ได้ นั่งร้องไห้ เพราะถูกเด็กก่อกวน แบบนี้ก็คงไปต่อไม่ได้

“ครูต้องรู้จักให้อภัย ไม่ใช่แค่เห็นอกเห็นใจ แต่ต้องเข้าอกเข้าใจ ต้องรู้ว่าเด็กแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน เราต้องรู้จักเด็กแต่ละคน รู้ว่าพฤติกรรมของเขามาจากอะไร เป็นการเข้าหาพวกเขาอีกแบบ ซึ่งจะทำให้เราสอนต่อไปได้ ไม่เป็นไบโพลาร์ ไม่เป็น depression”

อย่าปล่อยให้ตัวเอง ‘พัง’ ไปเสียก่อน เธอสรุปง่ายๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มารอครูพิ้งค์สอนพิเศษภาษาอังกฤษนอกเวลาหลังเลิกเรียน

“อย่างเด็กกลุ่มนี้คือตั้งใจมาก เขาไม่เก่งนักหรอกถ้าเทียบกับเด็กโรงเรียนสาธิตทั่วไป แต่เขาเชื่อว่าตัวเองจะพัฒนาและออกไปจากชีวิตเดิมๆ แบบนี้ได้ ถ้าเขาพร้อมจะเรียน เราก็สอนเขาได้เหมือนกัน”

ครูพิ้งค์ว่าไว้เช่นนั้น ก่อนจะทำงานของเธอต่อไป

Tags:

Growth mindsetนีติรัฐ พึ่งเดชTeach for Thailandชุมชนคลองเตยครูระบบการศึกษาโรงเรียน

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

ไม่ได้อยากได้แค่ความรู้ แต่อยากให้ครู ‘มองเห็น’
Education trend
14 November 2017

ไม่ได้อยากได้แค่ความรู้ แต่อยากให้ครู ‘มองเห็น’

เรื่อง The Potential

  • หลายๆ คนไม่ชอบเด็กที่เรียกร้องความสนใจ แต่ถ้ามองอย่างทำความเข้าใจ เราอาจเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
  • เหตุผลที่ทำให้เด็กหลายล้านคนลาออกจากการเป็นนักเรียน ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกเป็นคนนอก ไม่อยากรู้จักครูในห้อง เพื่อนร่วมชั้น ไม่อยากไปโรงเรียน ผลระยะยาวจากความบอบช้ำทางใจ ทำให้พวกเขามีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อต้านโลก หลายๆ กรณีพัฒนาไปสู่ภาวะความผิดปกติด้านอารมณ์

คำถามถึงคุณครู ‘คุณคิดว่าคุณรู้จักเด็กๆ ของคุณดีแค่ไหน?’ นี่ไม่ใช่คำถามท้าทายถึงคุณครูทั่วโลก แต่เป็นคำถามที่ถูกถามขึ้นเกือบทุกเย็นในห้องสมุดเล็กๆ โรงเรียนโคลด์ สปริงส์ (Cold Springs) โรงเรียนประถมปลาย (Middle School) โรงเรียนชนบทเล็กๆ นอกเมืองเนโร (Nero) รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งบางวันยังเห็นฝูงม้าเดินตัดถนน และคลินิกทันตกรรมแห่งแรกของเมืองเพิ่งสร้างขึ้นปีที่แล้ว

จุดมุ่งหมายคือ ‘Every Child, by Name and Face, to Graduation’ หรือแปลเป็นไทยว่า เด็กทุกคนที่จบการศึกษา ชื่อของพวกเขาจะลงประวัติในทำเนียบรุ่น และหน้าตาของเด็กๆ จะต้องถูกบันทึกในความทรงจำของครู

ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น และแนวคิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร?

งานวิชาการประเด็นเด็กและเยาวชน และการศึกษาชี้ตรงกันว่า เหตุผลที่ทำให้เด็กหลายล้านคนลาออกจากการเป็นนักเรียน ไม่ยอมเรียนต่อ เป็นเพราะพวกเขารู้สึกเป็นคนนอก ไม่ต้องพูดถึงการรู้สึกอยากรู้หนังสือ แต่ไม่อยากรู้จักครูในห้อง เพื่อนร่วมชั้น หรือไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซ้ำไป

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การทำให้เด็กหลุดออกจากการศึกษาก่อนเกณฑ์ แต่ผลระยะยาวนำไปสู่ความบอบช้ำทางใจ พฤติกรรมก้าวร้าวต่อต้านโลก หลายๆ กรณีพัฒนาไปสู่ภาวะความผิดปกติด้านอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด

โรงเรียนชนบทโคลด์ สปริงส์ ซึ่งบันทึกด้านเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าที่นี่เป็นพื้นที่ยากจนพื้นที่หนึ่งของประเทศ จึงบรรจุทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม หรือที่เรียกว่า Social and Emotional Learning (SEL) ไม่ใช่ไว้ในหนังสือของนักเรียนแต่บรรจุลงในคู่มือครู

“เด็กทุกคน อย่างน้อยที่สุดต้องรู้สึกเชื่อมโยงกับครูสักคนหนึ่งในโรงเรียน”

คือคำของโรเบอร์ตา ดูวอลล์ (Roberta Duvall) ครูใหญ่โรงเรียนโคลด์ สปริงส์ กล่าวเช่นนั้น ซึ่งในบทความสารคดีเรื่อง ‘The Power of Being Seen’ (พลังแห่งการถูกมองเห็น) โดย ฮอลลี คอร์บีย์ (Holly Korbey) คอลัมนิสต์ผู้สนใจประเด็นการศึกษา เขียนไว้ใน Edutopia ว่า ครูใหญ่ดูวอลล์คือแกนนำสำคัญผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงการเรียนในโรงเรียน และว่าดูวอลล์เห็นว่าความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครู ซึ่งก็คือคนในสังคมเล็กๆ ที่เด็กๆ อาศัยอยู่เกือบ 8 ชั่วโมงต่อวันนั้น สำคัญต่อการสร้างตัวตน สร้างรากฐานของเด็กๆ เพียงไร

“สองสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เด็กๆ หลุดออกจากห้องเรียน ไม่เรียนต่อตามที่กฎหมายบังคับไว้ ก็คือการไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับห้องเรียน แทบไม่มีใครรู้จักเขาหรือสะกดชื่อของเขาได้ถูก SEL ไม่ใช่แค่ทำให้พวกเขารู้สึกดี แต่มันคือสายใยที่ทำให้เด็กคนหนึ่งยังอยู่ในห้องเรียน และสนุกที่จะเล่าเรียนต่อได้” (Trish Shaffer) เจ้าหน้าที่การศึกษา SEL กล่าว

จุดมุ่งหมายของโรงเรียนวาโช เคาน์ตี (Washoe County)

โรงเรียนของรัฐในเครือวาโช เคาน์ตี (Washoe County) เมืองเนโร รัฐเนวาดา เป็นกลุ่มโรงเรียนที่ให้ครูเริ่มภารกิจ SEL ตั้งแต่ปี 2012 ตั้งเป้าว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเด็กๆ ในโรงเรียนจะต้องจบการศึกษาในปี 2020 (เป็นปีที่เด็กๆ ซึ่งเข้าเรียนปีการศึกษา 2012 จะเรียนจบเกรด 9) ซึ่งโรงเรียนในเครือวาโชทำงานร่วมกับองค์การไม่แสวงกำไรเกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning: CASEL)

ผลลัพธ์จากการทำงานในบันทึกของรัฐ (An Annual Student Climate Survey) ระบุว่า เด็กๆ ในโรงเรียนเครือวาโชมีอัตราการเข้าเรียนที่เพิ่มสูงขึ้น คะแนนด้านวิชาการ และผลประเมินด้านอารมณ์ก็มีคะแนนที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการศึกษาปีที่ผ่านๆ มา

เดินเข้าไปสำรวจในห้องเรียน

สเตฟานี ฮอร์น (Stephanie Horne) คุณครูประจำเกรด 5 ที่โรงเรียนโคลด์ สปริงส์ กล่าวว่า แม้แต่เด็กบางคนที่เราไม่คิดว่าเขามีปัญหา ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือ ก็ใช่ว่าจะตรงตามที่เราคิด

วิธีของฮอร์นหลังการระดมความคิดของครูที่ห้องสมุดอย่างต่อเนื่อง เธอใช้วิธีการชวนเด็กๆ คุยเรื่องสติกเกอร์ที่พวกเขาเอามาที่ห้องเรียน นำเกมมาเล่นในห้อง พัฒนาไปสู่การเปิดพื้นที่ทุกเช้าวันศุกร์ให้กับการอ่านจดหมายเด็กๆ ที่เขียนมาเล่าเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการให้เขียนจดหมายเรื่องความประทับใจต่อเพื่อนๆ ซึ่งเป็นอีกวิธีที่จะทำให้เด็กๆ รู้จักเพื่อนร่วมห้องไปด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้เธอค่อยๆ กระชับเข้าใกล้พื้นที่ส่วนตัวของเด็กๆ และต่างก็กลายเป็นคนคุ้นเคยและ ‘รู้จัก’ ตามความหมายนั้นจริงๆ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนโคลด์ สปริงส์ คือสถิติการเข้าห้องเรียนที่มากขึ้นและมีผลการเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ก่อนหน้านี้แสดงการต่อต้านและแบกความทุกข์จากปัญหาครอบครัวมา

ไม่ใช่เท่านั้น แต่พบว่าทั้งเจ้าหน้าที่และเด็กๆ ก็ดูจะเข้ากันได้ดีมากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้โรงเรียนเริ่มจะมีบรรยากาศที่คลี่คลายไปสู่สถานที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ อย่างแท้จริง

  • Social and Emotional Learning (SEL) ทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม
  • Self-awareness การตระหนักรู้ในตัวเอง: เข้าใจและระบุได้ว่า ความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร รวมทั้งรู้ข้อจำกัดในการควบคุมอารมณ์ของตัวเองและเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ด้วย
  • Self-management การรู้จักบริหารจัดการอารมณ์: ทั้งเรื่องความเครียด ความต้องการเป็นที่ยอมรับหรือพึงใจ แรงบันดาลใจในการทำตามเป้าหมาย
  • Social awareness ความเข้าใจหรือตระหนักรู้ด้านสังคม: เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เข้าใจและตระหนักถึงความหลากหลายของสังคม และไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาหากจะเข้าไปช่วยเหลือใคร
  • Relationship skills มีทักษะด้านความสัมพันธ์: มีทักษะด้านการสื่อสาร รับฟัง เชื่อมประสาน เป็นมิตร ประนีประนอม รู้ว่าเมื่อไรและอย่างไรจึงจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมหรือกลุ่ม และเป็นผู้นำได้
  • Responsible decision making รับผิดชอบในสิ่งที่ตัดสินใจได้: ตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการใดได้ และรู้ด้วยว่าวิธีนั้นเป็นการแก้ปัญหาด้วยอารมณ์และเหตุผลในสัดส่วนเท่าไร ประเมินสิ่งที่จะเกิดตามมาจากแผนการที่วางไว้ รวมถึงคาดการณ์อุปสรรคที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินแผนการนั้นๆ
อ้างอิง:
edutopia.org
casel.org

Tags:

ครูการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)จิตวิทยาสหรัฐอเมริกา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhoodEducation trend
    ห้องเรียนอนุบาลคือพื้นที่ปลอดภัย: ชวนดูห้องเรียนของ 3 คุณครู จาก 3 ประเทศที่ครูไม่ได้เป็นเเค่คนสอน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตรกิตติรัตน์ ปลื้มจิตรณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Unique Teacher
    DEAR TEACHER, อย่าลืมดูแลใจตัวเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เมื่อนักเรียนมีบาดแผลทางจิตใจ คุณครูก็ด้วยเหมือนกัน
Healing the traumaEducation trend
14 November 2017

เมื่อนักเรียนมีบาดแผลทางจิตใจ คุณครูก็ด้วยเหมือนกัน

เรื่อง The Potential

  • สำหรับพ่อแม่ ‘กรุ๊ปไลน์ผู้ปกครอง’ บั่นทอนและทำร้ายครูมากกว่าที่คิด
  • นอกจากภาระการสอนแล้ว ครูจำนวนมากถูก ‘สาดอารมณ์ใส่’ ทั้งจากเด็กและครอบครัว ส่งผลให้ไหล่บ่าครูหนักอึ้งไปด้วยความเครียด
  • ครูก็คือมนุษย์คนหนึ่ง พวกเขาหรือเธอจึงต้องการการบำบัด ปลดปล่อย และ มีสิทธิ์ปิดโทรศัพท์

ถ้าคุณมีโอกาสเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียนยุคไซเบอร์ (หรืออาจไม่ได้เป็น แต่อ่านดูเพื่อรับรู้วิถีชีวิตของครูยุคใหม่ก็ไม่ผิดนะคะ ^^) คุณอาจเข้าใจสถานการณ์หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘กรุ๊ปไลน์ห้องเรียน’ หน้าที่ของกรุ๊ปไลน์ประเภทนี้ คือการแจ้งข่าวสารทั้งเรื่องกิจกรรม เรื่องเด็กคนนั้นคนนี้ยังไม่ส่งการบ้าน ไม่เข้าเรียน รายงานคะแนนสอบ กระทั่งปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนรายวัน ให้กับผู้ปกครอง ‘ทั้งห้อง’ ได้รับทราบ

หลายๆ ครั้ง Notification ยังคงดัง แม้เวลาจะล่วงเลยเป็นเวลา 3-4 ทุ่มไปแล้ว เข้าใจว่าเหตุผลส่วนหนึ่ง เป็นเพราะผู้ปกครองส่วนใหญ่ทำงานในเวลากลางวัน ช่วงเวลา ‘หลังเลิกงานของผู้ปกครอง’ จึงเป็นเวลาพูดคุยกับคุณครูไปโดยปริยาย

ทันทีกับที่ได้เห็นบทความ ‘When Students Are Traumatized, Teachers Are Too’ (เมื่อนักเรียนมีบาดแผลทางจิตใจ, คุณครูก็ด้วยเหมือนกัน) โดยเอมิลีนา มิเนโร (Emelina Minero) ผู้ช่วยบรรณาธิการ (Assistant Editor) ชุมชนผู้เผยแพร่บทความทางการศึกษาออนไลน์ Edutopia โดยองค์กรไม่แสวงกำไรด้านการศึกษาที่ชื่อ The George Lucas Educational Foundation ก็พลันคิดถึงเรื่อง ‘กรุ๊ปไลน์ห้องเรียน’ ที่เด้งเตือนตลอดเวลาเข้า

บทความชิ้นนี้พูดถึงความป่วยไข้และความทุกข์ยากด้านอารมณ์ของคนเป็นครู ผู้ต้องรับมือ ให้คำปรึกษา รองรับอารมณ์ และการต้องเป็นหนึ่งในผู้รับรู้ความรุนแรงจากทางบ้านที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้ครูกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่ายๆ

ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ครูพิ้งค์-นีติรัฐ พึ่งเดช เมื่อครูวัยรุ่น ขอไปสอนที่โรงเรียนชุมชนคลองเตย ครูพิงค์กล่าวถึงปัญหาหนึ่งของครูที่ต้องรับมือกับเด็กๆ ที่เผชิญหน้ากับความรุนแรงในครอบครัว และอยู่ในชุมชนที่มีปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด และปัญหาความรุนแรงด้านอื่นๆ ไว้ว่า

“บางทีก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า เด็กที่นี่เฮี้ยวจริงๆ ด่าครู พกมีด เสพยา การที่ครูเจออะไรอย่างนี้ทุกวันแล้วไม่ได้รับการเยียวยาเลย หันไปหาเพื่อน เพื่อนก็พังเหมือนกัน มันก็บั่นทอน หมดไฟได้ง่ายๆ เหมือนกัน”

ตรงกับที่ อเล็กซ์ เชฟริน (Alex Shevrin) อดีตผู้นำครู โรงเรียนเซ็นเตอร์พอยท์ (Centerpoint School) โรงเรียนที่ออกแบบโครงสร้างการทำงานด้านการเยียวยาสภาพจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นมุมผ่อนคลาย มุมเดินเล่น ดนตรี และชั่วโมงให้ครูได้มาปรึกษาปัญหาและทำกลุ่มบำบัดซึ่งกันและกัน

เชฟรินกล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะแสร้งทำว่าเราเป็นหุ่นยนต์ เป็นครูที่ไม่มีความรู้สึก ซึ่งผมเชื่อว่าครูหลายๆ คนพยายามบอกตัวเองให้เป็นเช่นนั้น (เพื่อบำบัดตัวเองจากความเครียด)”

อลิเซีย เฟอร์กูสัน การ์เซีย (Alysia Ferguson Garcia) ครูคนหนึ่งอธิบายประสบการณ์ของเธอผ่านบทความชิ้นดังกล่าวว่า “ตอนที่คุณเรียนเป็นครู หรือมีความฝันอยากจะเป็นครู คุณอาจคิดว่าหน้าที่ของคุณคือการเตรียมสอน หาวิธีมาช่วยให้เด็กๆ เข้าใจบทเรียน แต่เราไม่เคยถึงเรื่อง ‘อารมณ์’ เราไม่เคยคิดว่านั่นคือหนึ่งในเนื้องานของเหล่าคุณครู ฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกเด็กๆ ทำให้เจ็บปวด ถูกพวกเขาสาดอารมณ์ใส่ และมันยากสำหรับฉันที่จะทิ้งเรื่องราวของเด็กๆ หรือความเจ็บปวดที่พวกเขาแบกรับเอาไว้แล้วกลับบ้านไปพักหลังการสอน”

การ์เซียกำลังพูดถึง ‘การถูกสาดอารมณ์ใส่’ จากเรื่องเล่าของเด็กๆ ที่ถูกทำร้ายทำลายโดยครอบครัว บ้างถูกคุกคามทางเพศจากคนใกล้ชิด บ้างถูกทำร้ายทางจิตใจหรือวาจา และหลายๆ กรณีที่เราเรียกรวมๆ ว่า ‘ปัญหาสังคม’

ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘Trauma’

ข้อมูล Centers for Disease Control and Prevention (CDC) รายงานว่า เด็กชาวอเมริกันเกินครึ่ง เคยผ่านประสบการณ์ถูกทำร้าย คุกคาม เพิกเฉยไม่สนใจ ความรุนแรงทางร่างกาย หรือปัญหาครอบครัวด้านอื่นๆ ซึ่งผลกระทบจากความรุนแรงที่ว่านี้ มีผลอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมเสี่ยงในอนาคต เช่น เป็นโรคติดสุราเรื้อรัง ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย หรือปัญหาด้านสุขภาพจิตอื่นๆ แต่ผลระยะใกล้ คือบุคลิกในด้านความสัมพันธ์ เช่น มีปัญหาเรื่องการเข้าหาคนอื่น การมองโลกในแง่ร้าย ตั้งแง่

แต่สำหรับครู ผู้ต้องทำงานกับเด็กๆ ที่มีปัญหาโดยตรง พวกเขาต้องรับฟังและแก้ปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์ที่เรียกว่า ‘เป็นพยานบุคคลสำคัญในเหตุการณ์ดังกล่าวจากการฟัง’

“การที่ต้องรับฟังประสบการณ์เลวร้าย ในที่สุดผู้รับฟังก็จะกลายเป็นพยานบุคคลต่อความเจ็บปวด ต่อเหตุการณ์รุนแรงนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

คือคำอธิบายจากสมาคมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาอเมริกัน (American Counseling Association)

สิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองของคุณครู

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ‘ความเครียด’ คือตัวการสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อสมอง ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมและกลไกของร่างกายในการตั้งรับกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น ความดันเลือด ระบบหายใจ การหลั่งสารอะดรีนาลีน และรวมทั้งพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าต่างๆ เช่น เมื่อทำนายว่าเด็กคนไหนมีปัญหา ก็อาจหลีกเลี่ยง หลบหนีสังคม ไม่ไปกินข้าวหรือพบปะกับเพื่อนฝูง เริ่มมาทำงานสาย เหล่านี้เป็นต้น

วิธีแก้ไขปัญหา

เช่นเดียวกับที่ครูพิ้งค์อธิบายไว้ วิธีแก้ปัญหาของเธอและกลุ่ม Teacher For Thailand ก็คือการ ‘บำบัดกลุ่ม’ แม้จะไม่ได้ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นวิธีที่เธอบอกว่าจำเป็น การ์เซียก็เช่นเดียวกัน เธออธิบายว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคนดูดซับอารมณ์หม่นหมองของเธอออกไปบ้าง และไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนวิธีคิดเท่านั้น แต่มีโรงเรียนที่ออกแบบตั้งแต่สถาปัตยกรรมของตัวตึกเรียน ออกแบบกระบวนการพักผ่อน และกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนให้ครูได้มีเวลาบำบัดกันเอง ทั้งหมดนี้แฝงฝังลงไปในแผนการทำงาน ไม่ใช่แค่ให้ทำในเวลาว่าง

โรงเรียน Centerpoint School รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐ คือโรงเรียนที่ว่านั้น เพราะสิ่งที่โรงเรียนนี้ให้ความสำคัญ คือเวลาผ่อนคลายของคุณครู นอกจากกระบวนการที่ว่าไปข้างต้น Centerpoint School ยังมีออกแบบให้โรงเรียนมีพื้นที่ออกกำลังกาย เช่นโรงยิม พื้นที่ขี่จักรยาน หรือกระทั่งคอร์สสอนเย็บผ้า

แต่หากโรงเรียนในบ้านเรา หรือสิ่งแวดล้อมของคนทำงานด้านการศึกษาในบ้านเรายังไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ การ์เซีย ผู้ไดรับเทคนิคการสอนและการหาวิธีผ่อนคลายจากสมาคมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาอเมริกัน เธออธิบายว่า

“ต้องคอยเช็คตารางงานของตัวเอง ถ้ารู้สึกว่ามันเครียดเกินไป ก็ต้องหยุดและหาวิธีเอาออก อย่ารอให้ความรู้สึกท่วมท้น หรือรู้สึกเครียดจนตัวจะระเบิด”

หาพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก เพื่อนครูที่สนิท หรือใครก็ตามที่จะคอยระบายออกได้ ไม่เช่นนั้นต้องกำหนดเวลาปิดโทรศัพท์ หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่เราจะไม่ทำงานเลยจริงๆ และอีกหนึ่งวิธีที่การ์เซียแนะนำก็คือ ก่อนกลับบ้าน ให้คุณครูหยุดนิ่งเพื่อเขียนไดอารียาวๆ อธิบายความรู้สึกของตัวเองและสิ่งที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน แล้วทิ้งมันเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน ไม่เอากลับบ้านไปด้วย

“มันง่ายมากจริงๆ ที่จะปล่อยให้งาน หรือการสอนเข้ามาครอบงำและกัดกินคุณ แต่งานสอน คือการสร้างความสมดุลให้กับชีวิตด้วย สิ่งที่ฉันทำ คือทุกครั้งที่กลับบ้าน จะปิดโทรศัพท์และยกให้เรื่องของตัวเอง ลูกสาว และครอบครัวขึ้นมาเป็นความสำคัญอันดับแรกๆ” การ์เซียกล่าว

หมายความว่า คุณครูชาวไทยทุกคน อาจต้องทบทวนและจัดตารางเวลาในการตอบไลน์ผู้ปกครองกันใหม่แล้วนะคะ

อ้างอิง:
edutopia.org
centerpointschool.org

Tags:

โรงเรียนจิตวิทยาปม(trauma)ครูซึมเศร้า

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Relationship
    TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: ฉันอยากเป็นนักการเมือง
How to get along with teenager
14 November 2017

ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: ฉันอยากเป็นนักการเมือง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • คนทำงานกับวัยรุ่นขอเปิดเวทีแชร์ประสบการณ์ว่า วัยรุ่นที่พวกเขาทำงานด้วยต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
  • วัยรุ่นเด็กแว้น: เพราะพวกเขาอยู่และพบเจอกับปัญหา จึงรู้ว่าจะแก้อย่างไรและบอกว่า ‘เขาอยากเป็นนักการเมือง’
  • วัยรุ่นในกระบวนการค้ามนุษย์: จะเป็นไปได้มั้ย ถ้าจะตัดเรื่องความมั่นคงออกไป แล้วทำให้การศึกษาไร้พรมแดน
  • วัยรุ่นในกล่องดำ: พยายามลดบทบาทการสั่งสอนของคนทำงาน เพราะไม่มีเด็กคนไหนอยากได้ครู พวกเขาต้องการเพื่อนมากกว่า
  • วัยรุ่นที่ถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์: นี่ไม่ใช่ยุคของการกลั่นแกล้งซึ่งหน้า แต่คือการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์
ภาพ: นิธิ นิธิวรกุล

อาจเป็นเพราะ ‘ฮอร์โมน’ ที่กำลังแปรเปลี่ยน ทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นมักถูกมองว่ามีปัญหา ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้ว เด็กทุกเจนเนอเรชันล้วนมีปัญหา ไม่ว่าจะเกิดในยุคสมัยใด ปัญหาของเด็กจึงเป็นเหมือนปัญหาโลกแตก ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้อย่างสำเร็จรูปตายตัว วิธีแก้ปัญหาของคนยุคหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับอีกยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขไปตามเหตุปัจจัย ตามเงื่อนไขของสถานการณ์

ลองไปฟังเสียงของ ‘ผู้ใหญ่’ กลุ่มหนึ่งที่เฝ้ามองปัญหาของเด็กวัยรุ่นยุคนี้ ในเวทีเสวนา ‘ไลฟ์สไตล์ ความท้าทาย และการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่’ วันที่ 19 กันยายน 2560 ณ หอประชุมโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บางทีอาจได้คำตอบในอีกมุมมองหนึ่ง

วิทยากรที่มาร่วมเสวนาในเวทีนี้ เป็นผู้มีประสบการณ์ตรง จากการทำงานคลุกคลีกับวัยรุ่นกลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะวัยรุ่น ‘ชายขอบ’ ที่มักถูกมองว่า เด็กๆ กลุ่มนี้คือหนึ่งในปัญหาสังคม ไม่ว่าวัยรุ่นในพื้นที่ภาคใต้ วัยรุ่นที่ถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyber Bullying) วัยรุ่นประเทศเพื่อนบ้าน วัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ วัยรุ่นในอาชีพขายบริการทางเพศ (Sex Worker) วัยรุ่นเด็กแว้น ฯลฯ และแทนที่จะมองว่าเด็กกลุ่มนี้มีปัญหา เป็นไปได้ไหมว่า สังคมนี้มีปัญหาเสียเอง

วัยรุ่นเด็กแว้น

“ขณะที่วัยรุ่นกลุ่มเจนเนอเรชันใหม่ที่วิทยากรเมื่อช่วงเช้าพูดถึง จะประมาณว่า ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ยังหาทางไม่เจอ แต่วัยรุ่นวัยแว้นของดิฉัน บอกชัดเจนเลยว่าอยากเป็นนักการเมือง หรือให้ดิฉันสมัครเป็นนักการเมืองก็ได้ แล้วพวกเขาจะเป็นบอดีการ์ด หรือผู้ให้คำปรึกษาเอง (หัวเราะ)”

แม้จะจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งหอประชุม แต่เรารู้ดีว่าข้อความระหว่างบรรทัดของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข นักวิจัยประจำมูลนิธิป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและอาชญากรรม เจ้าของหนังสือ ‘เร่ง รัก รุนแรง: โลกชายขอบของนักบิด’ ข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจากการทำวิจัยใช้ชีวิตกินอยู่กับพวกเขายาวนานกว่า 3 ปีนั้น มีนัยชัดเจนแฝงอยู่

เธอกล่าวว่า เพราะโลกของเด็กๆ กลุ่มนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายด้วยตรรกะเพียงชั้นเดียว หากเชื่อตามคำจำกัดความและข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ พวกเขาย่อมถูกตราหน้าว่าเป็นปัญหาสังคม แต่ลึกลงไปกว่านั้น พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงของปัญหาด้วยตัวเองมาตลอด

ในฐานะที่เป็นเจ้าของปัญหา มันทำให้พวกเขามีความชัดเจน และบอกได้ว่าความต้องการสูงสุดของตัวเองคืออะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เด็กๆ กลุ่มนี้จะพูดอย่างติดตลกว่า “พวกเขาจะเป็นนักการเมือง”

“เพราะพวกเขามองเห็นปัญหาไง เด็กแว้นของดิฉันจึงรู้ว่าจะต้องแก้ไขยังไง” ใช่เลย… ปนัดดาจบท้ายคำว่าเด็กแว้น ด้วยคำว่า ‘ของดิฉัน’ แทบทุกคำ

นอกจากเริ่มต้นช่วงของเธอด้วยเสียงหัวเราะ ปนัดดายังเล่าบรรยากาศช่วงที่ลงทำวิจัยตอนหนึ่งว่า การทำงานกับเด็กกลุ่มนี้ เรื่องเวลาและความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ เธอใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าเด็กจะยอมรับ ยอมเล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้ฟัง เหตุผลที่เธออธิบายไว้เช่นนี้ เพื่อจะย้ำในตอนท้ายว่า ปัญหาทุกอย่างมีคนเข้าไปทำงาน พยายามจะคลี่คลายและนำเสนออีกมุมมองหนึ่งออกมาเสมอ เพียงเปิดพื้นที่ให้นักวิชาการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปทำงานก็พอ

“ทุกคนมักจะถามว่า แล้วรัฐจะช่วยอะไรได้บ้าง อาจจะไม่ต้องช่วยอะไรเลย แค่เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้อธิบายปัญหา ให้นักวิชาการเปิดเผยความจริง ให้นักวิชาการทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจก็พอ”

วัยรุ่นในกระบวนการค้ามนุษย์

วัยรุ่นค้าบริการทางเพศ (Sex Worker) วัยรุ่นแรงงาน วัยรุ่นในกระบวนการค้ามนุษย์ คือกลุ่มวัยรุ่นที่นุชนารถ บุญคง ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านครูน้ำ จังหวัดเชียงราย เข้าไปทำงานด้วย

“เด็กกลุ่มนี้แทบไม่มีที่ยืน แต่คนคิดว่าเด็กกลุ่มนี้รอได้ ไม่ลงทุนกับเขา โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเชิงนโยบาย ส่วนใหญ่เข้าไปทำงานเพื่อหาตัวเลข ดูว่าเด็กชายขอบกลุ่มนี้มีจำนวนเท่าไหร่ แล้วก็จากไป ไม่ได้แก้ไขปัญหาจริงๆ” นุชนารถกล่าว

แต่ก่อนจะพูดถึงปัญหาปลายน้ำของวัยรุ่นกลุ่มนี้ เธอเล่าย้อนกลับไปที่ปัญหาต้นน้ำ คือ เด็กชายขอบที่เดินทางข้ามเส้นชายแดนมาเพื่อหาชีวิตใหม่ ส่วนหนึ่งต้องการพื้นที่ปลอดภัยและที่ทำมาหากิน แต่หลายๆ กรณีที่เธอทำงานด้วย คือมักไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ และระหว่างทางมักจะเจอกับ ‘นายหน้า’ ที่กวาดต้อนเด็กกลุ่มนี้เข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์

“หลายเคสที่เด็กกลุ่มนี้ถูกทารุณมาตั้งแต่เกิด อาจไม่ได้หมายถึงการทารุณด้วยความรุนแรงทางร่างกาย แต่ถูกทารุณด้วยการละเมิดสิทธิ หรือตั้งใจจะอพยพข้ามดินแดนแล้วถูกเจ้าหน้าที่ยิงผ่านน่านน้ำเข้ามาเลย โจทย์ของเราจึงน่าจะอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรให้การศึกษาไร้พรมแดน ไม่จำเป็นว่าคุณต้องมีสัญชาติอะไรจึงจะมีสิทธิเรียน มีสิทธิได้รับความปลอดภัย

“จะเป็นไปได้ไหมว่า เราจะตัดแนวคิดเรื่องความมั่นคงของประเทศชาติออกไปก่อน แล้วตั้งธงกันใหม่ว่า เราจะทำอย่างไรให้การศึกษาไร้พรมแดน”

วัยรุ่นในกล่องสีดำ

‘Black Box’ หรือ กล่องสีดำ คือชื่อที่เขา-ศุภวิชช์ สงวนคัมธรณ์ ผู้ก่อตั้งสถาบันส่งเสริมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ Black Box และเพื่อนๆ ใช้เปรียบเปรยสิ่งที่พวกเขาออกแบบกิจกรรมเพื่อทำกับเด็กๆ ไว้ว่า มันคือกล่องสีที่แทบจะมองไม่เห็น แต่สร้างความแตกต่างเปลี่ยนแปลงได้

Black Box คือกลุ่มอาสานักฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาตัวเอง จัดให้กับเด็กๆ ในกลุ่มเด็กทั่วไปที่ต้องการค้นหาศักยภาพของตัวเอง กลุ่มเด็กที่ศุภวิชช์และเพื่อนทำงานด้วย คือเด็กที่แยกตัวเองออกมา เรียนรู้กับเพื่อนไม่ได้ด้วยสาเหตุใดก็ตาม อีกกลุ่มคือ เด็กกลุ่มแกนนำที่อยากสื่อสาร เชื่อมโยงเพื่อนให้ทำกิจกรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง กลุ่ม Black Box ก็จะช่วยหาวิธีและผลักดันสร้างภาวะความเป็นผู้นำให้กับเด็กๆ กลุ่มนี้

ถ้าต้องให้คำนิยาม กลุ่ม Black Box ก็อาจไม่ต่างกับการเป็นครู แต่ศุภวิชช์บอกว่า เขาไม่ใช่ ‘นักเทศนาสั่งสอน’ เพราะสิ่งที่คนรุ่นเขามองว่าคือปัญหา แต่สำหรับเด็กเจนเนอเรชันใหม่ อาจไม่ใช่ก็ได้

“สิ่งที่ผมต้องย้ำกับตัวเองเสมอคือ อย่าเอาปัญหาของคนรุ่นเราไปบอกว่าเป็นปัญหาของเด็กสมัยนี้ เพราะเราโตมากับโลกที่แตกต่างกัน”

เช่นว่า เทคโนโลยีของเด็กสมัยนี้แทบจะอยู่ใน DNA ของพวกเขาไปแล้ว มันไม่ใช่แค่เครื่องพักผ่อนหย่อนใจ แต่มันคือทักษะ และโลกแห่งความรู้ของเด็กรุ่นนี้

“เราควรต้องดูแลความเป็นห่วงของตัวเองบ่อยๆ อย่า action มากนัก (หัวเราะ) ไม่มีเด็กคนไหนอยากได้ครู พวกเขาต้องการเพื่อนมากกว่า”

วัยรุ่นที่ถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฤทัยชนนี สิทธิชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการสารสนเทศ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ศึกษาเรื่องการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ หรือ Cyberbullying ในพื้นที่ภาคใต้ ก่อนอื่น เธอสรุปความหมายของการกลั่นแกล้งออนไลน์ ซึ่งต่างจากการแกล้งกันในความเข้าใจเดิมของเราไว้ว่า…

  • การนินทาหรือด่าทอผู้อื่น
  • การหมิ่นประมาทผู้อื่น
  • การแอบอ้างชื่อผู้อื่นในด้านลบ
  • การนำความลับที่เป็นข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลของผู้อื่นไปเปิดเผย
  • การลบหรือบล็อกผู้อื่นบนโลกไซเบอร์

หลักๆ คือ การกลั่นแกล้งด้วยวิธีการซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไตร่ตรองไว้แล้ว โดยที่ผู้ถูกแกล้งไม่อาจตอบโต้ได้ ทั้งด้วยความกลัว รู้สึกหมดหนทางสู้ หรืออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งนั้นเรียกว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เพราะหลายๆ ครั้งไม่ใช่การทำร้ายทางร่างกายหรือด้วยวาจาซึ่งหน้า

อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นปัญหาของเจนเนอเรชันใหม่ ที่รูปแบบของการกลั่นแกล้งเคลื่อนไปจากความหมายเดิม คือกลั่นแกล้งแบบหวังผลทางจิตใจจากการกระทำซึ่งหน้า เปลี่ยนไปสู่การกลั่นแกล้งผ่านทางเทคโนโลยีแทน แต่สิ่งที่น่ากังวลและควรจับตามอง ดูคล้ายกับว่าความรุนแรงจะทะลุทะลวงไปสู่ตัวเขาได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่มีสมาร์ทโฟนไว้กับตัว ไม่จำเป็นว่าคู่กรณีต้องอยู่ตรงหน้า เขาอาจอยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร กระทั่งข้ามโลกข้ามพรมแดนประเทศก็สามารถฝากคำรังแกทางจิตใจมาได้

สิ่งสำคัญที่จะช่วยรับมือต่อสภาวการณ์เช่นนี้ได้คือ การสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เข้มแข็ง รู้เท่าทันอารมณ์ทั้งตนเองและคนรอบข้าง รวมทั้งการสร้างความเข้าใจร่วมกันของคนในครอบครัวเพื่อจะช่วยเป็นเกราะกำบังความรุนแรง

Tags:

วัยรุ่นงานเสวนาAdolescent Brainโซเชียลมีเดียคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: GEN-Z ทุกคนเป็นปัจเจก

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: GEN-Z ทุกคนเป็นปัจเจก
How to get along with teenager
14 November 2017

ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: GEN-Z ทุกคนเป็นปัจเจก

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • เมื่ออดีตวัยรุ่นต้องการสร้างนิเวศของคนรุ่นใหม่ให้ดีขึ้น จึงมาร่วมวงจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนทัศนะบนเวทีนี้
  • เทคโนโลยียุคนี้คือทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องรอ ข้อดีคือบริหารจัดการเวลาได้ แต่สิ่งที่หายไปจากสำนึกวัยรุ่นคือเรื่อง Time and Space
  • เสียงหนึ่งบนเวทีเห็นว่า ปัญหาไม่ได้มาจากเด็กเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังมาจากทัศนคติของผู้ใหญ่ที่ตีกรอบพวกเขาไว้
ภาพ: นิธิ นิธิวรกุล

“เด็กสมัยนี้…”

คือ quote แรกก่อนที่ผู้ใหญ่บางคนจะบ่นถึงวัยรุ่นยุคนี้ จนบางครั้งอาจลืมไปว่าตัวเองต่างก็เคยเป็นเด็กและวัยรุ่นกันมาก่อนเหมือนกัน

ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่เคยผ่านชีวิตวัยรุ่น หากแต่วัยรุ่นแต่ละยุคมีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกัน

  • Generation X: ต้องการโอกาสเพื่อไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ
  • Generation Y: บอกฉันสิ อะไรเร็วที่สุด ฉันพร้อมจะทำ ถ้ามันทำให้ฉันประสบความสำเร็จ
  • Generation Z: ทุกคนเป็นปัจเจก ต่างฝ่ายต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปพร้อมกันเพื่อไปถึงความสำเร็จ

ข้อสังเกตข้างต้น คือภาพสะท้อนความต่างของวัยรุ่นแต่ละยุคสมัย โดย พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิอโชก้า (ประเทศไทย) หนึ่งในสี่ผู้ร่วมวงเสวนา ‘ไลฟ์สไตล์ ความท้าทาย และการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่’ จัดโดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข้อมูลข่าวสารที่ไหลท่วมท้น กับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่บรรดาผู้ใหญ่อาจไม่คุ้นเคย นำมาสู่ความกังวลว่าสถานการณ์ข้างหน้าของเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร

เหล่าอดีตวัยรุ่นทั้งสี่ แม้จะต่างที่มา ต่างกระบวนการคิด แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการสร้างนิเวศของคนรุ่นใหม่ให้ดีขึ้น จึงมาร่วมวงจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนทัศนะบนเวทีนี้

ความกังวลของอดีตวัยรุ่นถึงวัยรุ่นปัจจุบัน

ความซับซ้อนและการเข้าถึงข้อมูลสารพัดรูปแบบอย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นสะพานเชื่อมโลก กลายเป็นสิ่งแรกที่ผู้ใหญ่หลายคนเป็นห่วง

“ทุกอย่างมันถาโถมเข้ามามาก โดยเฉพาะเรื่องสื่อ อย่างหนังสือโป๊ เมื่อก่อนกระบวนการเข้าถึงสื่อเหล่านั้นยากกว่านี้ ต้องมีการแอบซ่อน แต่เด็กสมัยนี้เข้าอินเทอร์เน็ตปุ๊บก็เจอแล้ว แทบไม่ต้องมีกระบวนการคัดกรองของพวกเขา เลยทำให้ทุกอย่างถาโถมได้ง่ายมากกว่าสมัยเรา”

ปิยะชาติ ทองอ่วม ผู้กำกับและนักเขียนบทละครโทรทัศน์ ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะซีรีส์ อธิบายถึงระบบคัดกรองที่ลดขั้นตอนลงและเกรงว่าอาจส่งผลให้พวกเขาเดินผิดลู่ผิดทางได้ แต่อีกมุมหนึ่ง ปิยะชาติก็กล่าวอย่างชื่นชมว่า วัยรุ่นสมัยนี้ต้องมีความแข็งแกร่งทางจิตใจในระดับหนึ่งถึงจะสามารถเติบโตบนโลกใบนี้และใช้ชีวิตให้ดีได้ท่ามกลางสิ่งเร้ายั่วตายั่วใจ

การที่เด็กรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงโลกอันกว้างใหญ่ได้ง่ายและรวดเร็วกว่า อาจไม่ใช่เรื่องไม่ถูกต้องหรือไม่ดีเสียทีเดียว ปิยะชาติอธิบายถึงข้อดีที่เด็กรุ่นนี้จะได้รับจากสิ่งเหล่านั้นว่า

“พวกเขามีพื้นที่ที่หลากหลายในการเรียนรู้และฝึกฝนมากขึ้น สมัยก่อนคนอยากเป็นนักดนตรีต้องส่งเทปไปให้แกรมมี่ท่ามกลางกองเทปเป็นหมื่นๆ ม้วน แต่สมัยนี้ใครๆ ก็สามารถอัพโหลดผ่านยูทูปได้ ถ้าเจ๋งจริงเดี๋ยวก็ดัง”

ด้วยเหตุที่สื่ออินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีหลักของวัยรุ่นยุคนี้ จึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดลักษณะพฤติกรรมของพวกเขา อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแตกต่างกับคนรุ่นก่อนอย่างยิ่ง

นิติ ชัยชิตาทร นักเขียน นักแสดง และพิธีกรรายการ ‘เทยเที่ยวไทย’ อธิบายว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของ Technology Determinism กล่าวคือ เทคโนโลยีหลักที่มีอยู่ในช่วงนั้นย่อมสามารถกำหนดลักษณะนิสัยของคนที่เติบโตมากับเทคโนโลยียุคนั้นๆ เช่นเดียวกับเด็กรุ่นนี้ที่เติบโตมากับโลกอินเทอร์เน็ต ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าถึงได้โดยง่ายดาย พวกเขาจึงมีความสามารถในการกำหนดและจัดการเวลาในการทำกิจกรรมได้ด้วยตนเอง

ตรงกันข้ามกับวัยรุ่นยุคก่อนที่เติบโตมากับสื่อโทรทัศน์ หากในช่วงเวลาเดียวกันมีรายการทีวีที่น่าดูพร้อมกันทั้งสองช่อง พวกเขาต้องแบ่งและจัดสรรเวลาให้เหมาะสมที่สุด เพื่อจะได้ไม่พลาดละครฉากสำคัญ แต่ยุคปัจจุบันไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะสามารถตามเก็บย้อนหลังเมื่อไรก็ได้ ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรได้ในแต่ละช่วงเวลา หรือสามารถบริหารเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ ส่งผลให้พวกเขามีความหลากหลายทางทักษะที่มากกว่า แต่นั่นก็ยังมีข้อที่น่ากังวลอยู่ดี

“เราว่าเรื่อง space and time ของพวกเขาที่หายไปเป็นสิ่งที่น่าเอามาคิด เด็กรุ่นนี้ไม่มีตารางเวลาในรหัสดีเอ็นเอ พวกเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจาะจงเวลานั้นเวลานี้ เมื่อก่อนเวลานัดเพื่อนฝูง เจอกันแมคโดนัลด์ มาบุญครอง ตอนบ่ายสอง ถ้าบ่ายสองสิบห้าไม่มานี่เคืองแล้วนะ แต่เด็กสมัยนี้ ถึงแล้วเดี๋ยวโทรไป หรือไม่ก็อยู่ใกล้ๆ ละ เดี๋ยวโทรไป” นิติบอก

ทักษะที่เด็กรุ่นใหม่จำเป็นต้องมี

เมื่อโลกยุคใหม่หมุนเร็วและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทักษะที่วัยรุ่นแห่งศตวรรษที่ 21 พึงต้องมีคือ ทักษะในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ มองว่า เด็กในวันนี้ต้องตั้งโจทย์ให้เป็นและต้องรู้จักวิธีในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาเติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

“พวกเขารู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นคืออะไร อีกทั้งยังสามารถบอกได้ว่าโลกนี้มีปัญหาอะไร รู้ว่าตอนนี้พวกเขา ‘อิน’ กับเรื่องอะไร เด็กรุ่นนี้เจอกับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เขามีทักษะตรงนี้ การมีทักษะในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง อย่างแรกคือ ต้องตั้งโจทย์ให้เป็น ว่าเขาอยากเปลี่ยนแปลงอะไร และการจะสอนให้เขาตั้งโจทย์กับตัวเองได้ ผู้ใหญ่ก็ต้องทำด้วยเช่นกัน”

ทุกวันนี้เธอมองว่า ปัญหาไม่ได้มาจากเด็กเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังมาจากทัศนคติของผู้ใหญ่ที่ตีกรอบพวกเขาเอาไว้

“ปัญหาทุกวันนี้คือ เรายอมแพ้กันง่ายๆ และมีทัศนคติว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่อดทน แต่ในเมื่อผู้ใหญ่รู้ว่าทักษะที่เด็กต้องมีคือความอดทน เพราะฉะนั้นก็ต้องบอกเขาให้รู้จักทน อะไรสำคัญต้องทน ผู้ใหญ่ต้องยืนยันให้มั่นคงและไม่ยอมแพ้”

เมื่อเด็กรุ่นนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับโลกอินเทอร์เน็ต เรียกได้ว่าแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมากกว่าครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ พรจรรย์เสนอว่า นอกจากผู้ใหญ่จะต้องส่งเสริมให้เด็กเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีแล้ว พวกเขาจะต้องเป็น netizen (ประชากรบนโลกอินเทอร์เน็ต) ที่ดีด้วย

“ชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต เขาเป็นประชากรบนโลกอินเทอร์เน็ต และการอยู่ตรงนั้นเต็มไปด้วยบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ และกฎกติกา เหมือนกับที่เขาเป็นประชากรในประเทศนี้เหมือนกัน” คือสิ่งที่พรจรรย์เน้นย้ำ

สอดคล้องกับ จิตติมา ภานุเตชะ ผู้อำนวยการมูลนิธิสร้างความเข้าใจสุขภาพผู้หญิง ที่มองว่าทัศนคติของผู้ใหญ่และกรอบคิดเหล่านั้นเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเด็ก โดยเฉพาะปัญหาและความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ ที่กลายเป็นเรื่องต้องห้าม สุดท้ายนำมาสู่ปัญหาที่ยากเกินแก้

“ถ้าเราหาคำว่า ‘ทำแท้ง’ ใน google ห้าเว็บไซต์แรกที่ขึ้นมาคือ เว็บไซต์ปลอมที่หลอกให้เด็กเสียเงินเป็นหมื่นเพื่อซื้อยาทำแท้ง คำถามคือ เราอยู่ในสังคมแบบไหนที่ปล่อยให้เด็กแก้ไขปัญหาเอง โดดเดี่ยว และแสวงหาทางออกด้วยตัวเอง ซึ่งสุดท้ายก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ”

ฉะนั้น คำตอบของจิตติมาสำหรับทักษะที่เด็กรุ่นใหม่ต้องมีคือ เริ่มจากตัวผู้ใหญ่เองต้องเปลี่ยนทัศนคติและพร้อมที่จะรับฟังพวกเขาก่อน

“ผู้ใหญ่ต้องบอกเด็กๆ ว่า เขามีใครสักคนที่พร้อมจะฟังเขา นี่คือทักษะเรื่องของความช่วยเหลือ ถ้าเขามีปัญหา ผู้ใหญ่ต้องรับฟัง ไม่งั้นเราก็จะเจอปัญหาเด็กฆ่าตัวตายอีกเยอะ ส่วนเรื่องเพศ สิ่งที่ถูกปิดกั้นที่สุดคือ ทัศนคติที่ผู้ใหญ่มักพูดว่า ‘อย่าทำนะ ไม่ดีนะ’ ‘อย่าให้รู้นะว่าท้อง’ นี่คือสิ่งที่เป็นอุปสรรคระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่”

ตั้งการ์ดรับมือเด็กรุ่นใหม่

ในฐานะผู้ผลิตสื่อและคลุกคลีกับเด็กในระดับวงกว้าง ปิยะชาติเสนอว่า แนวทางที่จะรับมือกับเด็กรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ผู้ใหญ่ต้องกล้าที่จะพูดความจริงกับเขาด้วยความปรารถนาดี แม้กระทั่งในการผลิตเนื้อหารายการโทรทัศน์ ผู้ผลิตก็ต้องอาศัยความกล้าและความเข้าใจด้วยเช่นกัน

“ต้องพูดเรื่องจริงกับเขา ไม่ต้องพยายามสร้างโลกสวย เขาไม่ต้องการโลกในอุดมคติ โลกนี้ไม่เหมือนการวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เขาต้องการคนที่พูดกับเขาจริงๆ สื่อสารกับเขาตรงๆ เด็กสมัยนี้เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าเนื้อหาแบบไหนคืออะไร อะไรคือพยายามยัดเยียดขายของ เราแค่บอกตรงๆ ว่าเราจะขายของ แต่ทำให้สนุก เขาก็จะสนใจเอง”

การทำงานกับคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก พรจรรย์ก็คิดเช่นเดียวกัน เธอบอกเล่าผ่านประสบการณ์ตัวเองอย่างรวบรัดว่า การจะทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ ผู้ใหญ่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้เสียก่อน ต้องให้โอกาสตัวเอง ประเมินความพร้อมของตัวเอง และเรียนรู้ไปด้วยกัน

“สุดท้ายไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร พวกเขาก็จะเห็นคุณเป็นแบบอย่าง ถ้าผู้ใหญ่ไม่ให้โอกาสตัวเอง เราก็จะไม่มีทางให้โอกาสเด็กด้วย”

คือข้อคิดที่เธอชวนฉุดคิด

Tags:

วัยรุ่นงานเสวนาAdolescent Brainโซเชียลมีเดียคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: ฉันอยากเป็นนักการเมือง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สอบตก VS ยังไม่ผ่าน คำไหนทำร้ายความรู้สึกมากกว่ากัน?
Growth & Fixed Mindset
14 November 2017

สอบตก VS ยังไม่ผ่าน คำไหนทำร้ายความรู้สึกมากกว่ากัน?

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ระหว่างคำว่า ‘สอบตก’ กับคำว่า ‘ยังไม่ผ่าน’ คำไหนทำร้ายความรู้สึกเด็กๆ มากกว่ากัน
  • ดูเผินๆ อาจจะมีความหมายเหมือนกัน แต่สำหรับคนฟัง มันช่างต่างกันราวขาว-ดำ เพราะสำหรับเด็กๆ คำว่าสอบตก หมายถึง ตกแล้วตกเลย ส่วนคำว่า ยังไม่ผ่าน นั่นหมายความว่า โอกาสสอบผ่านยังรอพวกเขาอยู่ ถ้ามีความพยายามและสู้พอ
  • ความคิดเช่นนี้คือส่วนหนึ่งของ กรอบความคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset

Growth Mindset คืออะไร

“Growth Mindset หรือ กรอบความคิดแบบเติบโต หมายถึงความเชื่อว่าทุกคนพัฒนาความสามารถของสมองในการเรียนรู้และแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะเมื่อ Growth Mindset ถูกปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็ก”

เป็นคำอธิบายของ แครอล ดเว็ค (Carol Dweck)  ศาตราจารย์ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้าน Growth Mindset และเจ้าของงานวิจัย หัวข้อ ‘การพัฒนาของกรอบความคิด’

แครอลชี้ว่า กุญแจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่คำว่า ‘ยัง’ หรือ Power of Yet ทำหน้าที่เสมือนแรงส่งให้เกิดความพยายามที่จะพัฒนาและเรียนรู้ให้ดีขึ้น

อานุภาพของคำว่า ‘ยัง’

แครอล ยกกรณีศึกษาจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในชิคาโก สหรัฐอเมริกา มาช่วยอธิบาย อานุภาพของคำว่า ’ยัง’…ให้ชัดเจนขึ้น

โรงเรียนทั่วไป ต้องผ่านการสอบบางวิชาถึงจะจบการศึกษาได้  แตกต่างจากโรงเรียนแห่งนี้ที่คนสอบไม่ผ่าน จะไม่ถูกเรียกว่า ‘สอบตก’ แต่จะถูกเรียกว่า ‘ยังไม่ผ่าน’ ซึ่งคำว่ายังไม่ผ่าน คนที่ได้รับจะเข้าใจว่า เขากำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้ (learning curve) และยังสามารถพัฒนามันให้ดีกว่านี้ต่อไปได้ ส่งผลให้คำว่า ‘ยัง’ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในจุดเปลี่ยนของชีวิต

ในทางปฏิบัติ แครอลลงมือทดสอบกับเด็กๆ วัย 10 ขวบ ว่าพวกเขาจะสามารถใช้คำว่า ‘ยัง’ รับมือกับความยากลำบากและความท้าทายในชีวิตได้อย่างไร

การลองให้ทำโจทย์ที่ยากเกินตัวคือวิธีนั้น ผลปรากฏว่า…

“บางคนช็อกไปเลย แต่บางคนก็มีปฏิกิริยาด้านบวกกลับมา เช่น บอกว่าหนูชอบความท้าทาย และบอกว่าโจทย์ยากๆ แบบนี้จะทำให้หนูมีความรู้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้เพราะพวกเขาเชื่อว่าตัวเองจะพัฒนาต่อได้ เพราะพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า Growth Mindset หรือความคิดที่เปิดกว้าง”

ส่วนเด็กบางคนที่ล้มเหลว แครอลชี้ว่า สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากกรอบความคิดที่ตายตัว หรือ Fixed Mindset แทนที่สติปัญญาจะถูกกระตุ้นด้วยคำว่า ‘ยัง’ แต่พวกเขากลับโดนคำว่า ‘ล้มเหลว’ ยัดเยียดมาให้ จึงไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควร

แล้วเด็กๆ ที่ล้มเหลวจะทำยังไงต่อไป

จากงานวิจัยบางชิ้น ชี้ว่า เด็กที่ล้มเหลวบางคนบอกว่า คราวหน้าพวกเขาจะลองโกงข้อสอบดูแทนการเตรียมตัวให้หนักมากขึ้น หรืองานวิจัยอีกชิ้น เผยว่า หลังจากที่พวกเขาสอบตก สิ่งที่ทำหลังจากนั้นคือ มองหาคนที่ได้คะแนนต่ำกว่าเขา เพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเอง

“แล้วหลังจากนั้น พวกเขาพยายามหนีจากความยากลำบาก ความผิดพลาด”

นักวิทยาศาสตร์ เคยทดลองวัดคลื่นไฟฟ้าในสมองของเด็กที่มีกรอบคิดแบบ Fixed Mindset หลังเผชิญความผิดพลาด พบว่า เด็กกลุ่มนี้แทบจะไม่มีกิจกรรมใดๆ เกิดขึ้นเลย

นั่นเพราะพวกเขาวิ่งหนีจากความผิดพลาด และไม่ยอมมีส่วนร่วมกับมัน ต่างจากสมองของเด็กกลุ่ม Growth Mindset ที่เชื่อว่าพวกเขามีส่วนร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งในความผิดพลาด จะช่วยพัฒนาความสามารถได้ เพราะพวกเขาได้วิเคราะห์ความผิดพลาด นำไปเรียนรู้และแก้ไขให้ถูกต้อง แครอล อธิบาย

แล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไรดี

หลังจากยกตัวอย่างในโรงเรียน พร้อมถ่ายทอดงานวิจัย ก็มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า “แล้วเราจะนำมาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกอย่างไรดี”

“ต้องถามกลับว่า แล้วเราจะเลี้ยงลูกเพื่อคำว่า ‘ตอนนี้’ หรือ คำว่า ‘ตอนนี้ยัง’ เราเลี้ยงเพื่อให้ลูกผิดหวังเมื่อไม่ได้ A หรือเรากำลังเลี้ยงลูกให้ไม่รู้วิธีการตามหาความฝันอันยิ่งใหญ่ อยู่หรือเปล่า”

แล้วเราทำอะไรได้บ้างในการสร้างคำว่ายัง

ด้วยวิธีง่ายๆ อันดับแรก แครอลแนะนำว่า เรา (พ่อแม่) สามารถชมลูกอย่างสร้างสรรค์ได้

ชมอย่างสร้างสรรค์ ชมอย่างไร

“ต้องไม่ใช่การชมในความฉลาดหรือพรสวรรค์ของเด็กๆ ชมอย่างนั้นมันคือความล้มเหลว”

“แต่จงชมเชยกระบวนการการมีส่วนร่วมของเขา ทั้งความพยายาม การวางแผน การมีสมาธิ ความมุ่งมั่น และการปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้น การชมแบบนี้จะสร้างเด็กที่อดทนและยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง”

อันดับต่อมา คือ ให้เขาเล่นเกม โดยเน้นเกมที่ให้คะแนนระหว่างทาง คือ ความพยายาม การวางแผน และความก้าวหน้า ไม่ใช่ให้จากผลลัพธ์ที่ได้ท้ายเกม

“เราได้สร้างสรรค์ทำงานร่วมกับนักวิทยาศสาตร์ด้านเกม จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในการสร้างเกมคณิตศาสตร์ออนไลน์ โดยทั่วไปเกมคณิตศาสตร์จะให้คะแนนกับคำตอบที่ถูก ณ ตอนนั้น เท่านั้น แต่เกมนี้จะให้คะแนนที่กระบวนการ และเราต้องการความพยายามที่มากขึ้น การวางแผนที่มากขึ้น และการมีส่วนร่วมในเกมที่กินเวลานาน รวมถึงความมานะมุ่งมั่นที่มากกว่าเมื่อเจอโจทย์ยากๆ”

จากการให้เล่นเกม แครอลพบว่า เด็กๆ จะมีความมั่นใจมากขึ้นจากคำว่า ยัง และ ยังไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญนำไปสู่อนาคตที่จะเป็นคนอดทนและพากเพียรได้มากกว่านี้

“เราสมารถสอนพวกเขาให้ก้าวออกจาก comfort zone เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ยากกว่า เซลล์ประสาทในสมองของเขาจะสร้างการเชื่อมต่อใหม่ที่แข็งแรง และพวกเขาจะเก่งและฉลาดขึ้นเรื่อยๆ”

คำว่ายัง นำมาซึ่งความเท่าเทียม

นอกจากผลต่อการพัฒนาสมองแล้ว คำว่า ‘ยัง’ ยังนำมาซึ่งความเท่าเทียม

วิชา Growth Mindset ถูกนำไปบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนในนิวยอร์ค หนึ่งในนั้นคือโรงเรียนเมืองฮาร์เล็ม และ เขตเซาธ์บรองซ์ ที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ชนพื้นเมืองอเมริกัน ที่เด็กๆ มีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์อย่างต่อเนื่อง

“ภายใน 1 ปี ชั้นเรียนอนุบาลในเมืองฮาร์เล็ม นิวยอร์ค ทำคะแนนสอบของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แห่งชาติ (National Achieve Test )ได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเด็กหลายคนในโรงเรียนนี้ ไม่สามารถจับดินสอได้ เช่นเดียวกัน เด็กเกรด 4 ในเซาธ์บรองซ์ กลายเป็นห้องเรียนเกรด 4 อันดับ 1 ของนิวยอร์ค ในการแข่งขันคณิตศาสตร์ของรัฐ ขยับจากอันดับล่างสุดไปสู่สูงสุดของเขตได้”

แครอลสรุปว่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก การที่เด็กเข้าใจคำว่าพยายามและยากลำบากในความหมายที่เปลี่ยนไป

“ก่อนหน้านั้น สองคำนี้ทำให้เด็กๆ รู้สึกโง่และยอมแพ้ แต่ตอนนี้ มันหมายถึง สิ่งที่ทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมโยงได้แข็งแรงขึ้น ทำให้พวกเขาเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น

“ฉะนั้นเราอย่าเสียเวลากันอีกเลย ถ้าเรารู้ว่า ความสามารถ มันพัฒนาขึ้นได้ นี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคน ที่จะมีสิทธิอยู่ในสถานที่ที่มีบรรยากาศในการพัฒนา และ สถานที่ที่เต็มไปด้วยคำว่า ยัง” แครอลทิ้งท้าย

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)Growth mindsetคารอล ดเว็ค

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ความฉลาดสร้างได้

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel