Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    How to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationship
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Month: October 2025

ห้องเรียน AI EP1: ครูจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI หากใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล
Education trend
15 October 2025

ห้องเรียน AI EP1: ครูจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI หากใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เอไอจะเข้ามาช่วยลดภาระงานของครูได้ด้วยการประมวลผลและวิเคราะห์อย่างรวดเร็วในราคาที่ถูกหรือฟรีไปเลย ทำให้ครูมีเวลาใส่ใจเด็กมากขึ้น เห็นว่าเด็กแต่ละคนมีความต้องการอย่างไร มีเรื่องไหนที่เด็กยังขาดตกบกพร่อง ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างตรงจุด
  • ความคาดหวังต่อบทบาทของครูในโลกยุคดิจิทัลจึงไม่ใช่แค่ผู้บรรยาย แต่ต้องเป็น ‘โค้ช’ หรือ ‘ผู้เอื้ออำนวย’ ให้กับการเรียนรู้ของเด็ก ออกแบบกิจกรรมหรือวิธีการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง
  • สิ่งสำคัญที่เอไอไม่อาจแทนที่ครูได้คือ ‘การสร้างสัมพันธภาพ’ (Relationship) แม้ว่าเด็กจะสามารถพูดคุยกับเอไอได้ แต่คนที่จะแสดงออกถึง ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ เด็กก็คือครูที่เป็นคนจริงๆ

เอไอจะแทนที่ครูไหม?

ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวสู่สาธารณชนในปลายปี 2022 โลกของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ‘เอไอ’ หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (Artificial Intelligence) เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น อีกทั้งยังสร้างความกังวลให้กับหลายภาคส่วนด้วยว่าเอไอจะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์ได้หรือไม่

หนังสือ Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning กล่าวไว้ว่า อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับความรู้ ส่วนเอไอจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับการคิด กล่าวคือ อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ปฏิวัติการเข้าถึงความรู้ ส่วนเอไอจะปฏิวัติวิธีคิดของมนุษย์ เอไอจะเข้ามาช่วยคิดและเป็นผู้ช่วยที่พร้อมทำงานได้ 24 ชั่วโมง ทำให้มนุษย์เรามีเวลาในการพัฒนาด้านอื่นๆ มากยิ่งขึ้น

ดังนั้น เอไอจะไม่เข้ามาแทนที่ครู แต่จะช่วยให้ครูได้แสดงขีดความสามารถของตัวเองอย่างเต็มพิกัด ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ

เอไอคือผู้ช่วยครู ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่ครู

ปัจจุบันครูไม่ได้ทำหน้าที่สอนหนังสือเพียงอย่างเดียว จากการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ในปี 2019 พบว่า ร้อยละ 58 ของครูไทยใช้เวลาไปกับงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็นเวลาทำงานเกือบ 1 วันต่อสัปดาห์ การมีภาระ ‘งานอื่น’ ที่มากย่อมเบียดบังการสอนและการพัฒนาเด็ก

ภาระงานอื่นประกอบไปด้วยงานซ้ำซากเป็นจำนวนมาก เช่น การทำเอกสาร การวางแผนการสอน งานประเมิน งานธุรการ ฯลฯ ถึงขนาดมีการเรียกร้องให้ ‘คืนครูสู่ห้องเรียน’ อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมามีโครงการในลักษณะนี้ผุดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครูก็ยังมีภาระงานอื่นที่เบียดบังการสอนอยู่

รศ.ดร.จุไรรัตน์ สุดรุ่ง ผู้ทรงวุฒิ สาขาวิชานิเทศการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การที่ครูต้องทำงานหลายอย่างที่มากกว่าการสอน ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ของเด็กทางอ้อม อาชีพครูควรจะแบ่งเป็น 2 สายงานอย่างชัดเจน คือ ‘ครูการสอน’ และ ‘ครูสนับสนุน’

จากโครงการประเมินสมรรถนะนักเรียนในระดับสากล (PISA) เผยว่า ประเทศที่มีคะแนน PISA สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีการจัดโครงสร้างงานที่แยก ‘การสอน’ ออกจาก ‘งานฝ่ายสนับสนุน’ อย่างชัดเจน ทำให้ครูสามารถทุ่มเทให้กับการสอนได้อย่างเต็มที่

ซัลมาน คาน (Salman Khan) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาไม่แสวงหากำไร กล่าวว่า เราคงไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการจัดหาครูผู้ช่วยให้กับครูทุกคนได้ แต่เรามีสิ่งเทียบเท่าในราคาไม่แพงที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าผู้ช่วยที่เป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำไป นั่นคือ ‘เอไอ’

ด้วยการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมง เอไอจะเข้ามาช่วยลดภาระงานของครูได้ด้วยการประมวลผลและวิเคราะห์อย่างรวดเร็วในราคาที่ถูกหรือฟรีไปเลย เช่น การร่างฟีดแบ็กให้กับงานของนักเรียน การทำเอกสาร ช่วยวางแผนการสอน หรือแม้กระทั่งช่วยออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับนักเรียนเป็นคนๆ ไป

เมื่อครูมีเวลามากขึ้นก็จะทำให้ทุ่มเทกับการสอนและการดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ เมื่อครูมีเวลาใส่ใจเด็กมากขึ้นก็จะทำให้เห็นว่าเด็กแต่ละคนมีความต้องการอย่างไร มีเรื่องไหนที่เด็กยังขาดตกบกพร่อง ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างตรงจุด

ครูต้องไม่ใช่แค่ผู้บรรยายหน้าชั้น

ตั้งแต่อินเทอร์เน็ตไปจนถึงเอไอ ความรู้กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ การที่ครูมีบทบาทเแค่การบรรยายหน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว นอกจากจะซ้ำซ้อนกับสิ่งที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ในปัจจุบัน ยังไม่ได้กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นในปัจจุบัน 

ความคาดหวังต่อบทบาทของครูในโลกยุคดิจิทัลจึงไม่ใช่แค่ผู้บรรยาย แต่ต้องเป็น ‘โค้ช’ หรือ ‘ผู้เอื้ออำนวย’ (Facilitator) ให้กับการเรียนรู้ของเด็ก พูดง่ายๆ ก็คือ แทนที่ครูจะบรรยายหน้าชั้นอย่างเดียว ครูต้องออกแบบกิจกรรมหรือวิธีการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง

อีธาน มอลลิก (Ethan Mollick) นักวิจัยเอไอและรองศาสตราจารย์ที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวว่า สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในยุคของเอไอมี 3 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่

  1. ครูจะต้องปรับเปลี่ยนการสอน – ครูแต่ละคนจะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนในรูปแบบต่างที่กันแล้วแต่บริบทของตัวเอง เช่น ครูอาจให้นักเรียนทำงานในห้องเพื่อป้องกันการใช้เอไอ หรืออนุญาตให้เด็กใช้เอไอในการทำโครงงาน
  2. สนับสนุนให้เด็กใช้เอไอ – ข้อนี้อาจฟังดูขัดแย้งกับสิ่งที่หลายคนคิด แต่เอไอจะกลายเป็นเพื่อนคู่คิดที่เยี่ยมยอดให้กับเด็กได้ เด็กจะมีโอกาสเข้าถึงฟีดแบ็กงานของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ ได้ตรวจทานงานก่อนที่จะส่งครู อีกทั้งโครงการต่างๆ ของเด็กจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น เพราะเด็กได้ให้เอไอช่วยวิเคราะห์ถึงจุดแข็งจุดอ่อนแล้ว ทำให้เด็กได้แก้ปัญหาเหล่านั้นก่อนที่จะส่งงาน
  3. ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) – อธิบายง่ายๆ คือการปรับเปลี่ยนแนวคิดของห้องเรียน โดยให้เด็กใช้เวลานอกห้องเรียนเพื่อศึกษาความรู้ แล้วใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมความรู้นั้น ห้องเรียนในลักษณะนี้จะตอบโจทย์กับบทบาทของครูในยุคปัจจุบันที่ต้องเป็นโค้ชส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของเด็ก

การสนับสนุนให้เด็กใช้เอไอเป็นและใช้อย่างเหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเราไม่สามารถยับยั้งความรุดหน้าทางเทคโนโลยีได้ ไม่ว่าเราจะห้ามเด็กใช้เครื่องคิดเลขในห้องเรียนอย่างไร แต่เมื่อเขาไปอยู่ในโลกภายนอกก็จำเป็นต้องใช้อยู่ดี เอไอก็เช่นกัน

แม้เราจะห้ามเด็กใช้เอไอ แต่โลกข้างนอกนั้นต้องการคนที่ใช้เอไอเป็น จากผลวิจัย Work Trend Index 2024 ที่ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ทำร่วมกับ LinkedIn เผยว่า ผู้บริหารไทย 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะเอไอ และ 90% เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีทักษะเอไอ โดยไม่ได้สนใจประสบการณ์การทำงาน

ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกในการใช้เอไอเพื่อช่วยสอนและติดตามผลการเรียนรู้ของเด็กมากมาย เช่น ‘Khan Academy’ ที่มีผู้ใช้ลงทะเบียนไปมากกว่า 170 ล้านคนจากทั่วโลก และยังมี Khanmigo เป็นเอไอประจำแพลตฟอร์มดังกล่าว หรือในประเทศไทยก็มีแพลตฟอร์มลักษณะนี้เช่นกัน

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘LEAD Education’ บริการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล

แพลตฟอร์มนี้จะเป็นแหล่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้กับเด็ก โดยผ่านการปรับแต่งให้มีความจำเพาะกับผู้เรียนรายบุคคล เปิดโอกาสให้เด็กทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเรียนช้าหรือเรียนเร็ว ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม อีกทั้งครูยังสามารถติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนของเด็กได้ผ่านเอไอที่ทำหน้าที่เสมือน ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’

แอนดรูว์ เมย์นาร์ด (Andrew Maynard) ศาสตราจารย์ที่ Arizona State University ได้ทดลองใช้ ChatGPT ช่วยออกแบบคอร์สเรียนพบว่า ด้วยเวลาเพียงน้อยนิดเอไอก็สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาได้ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับตนหากต้องใช้เวลาเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการปรับแก้เพิ่มเติมผ่านการพูดคุยกับ ChatGPT อีกหลายครั้ง จนได้ออกมาเป็นการออกแบบคอร์สเรียนที่สมบูรณ์ 

ศาสตราจารย์เมย์นาร์ดเน้นย้ำว่า การใช้เทคโนโลยีเอไอในลักษณะนี้คือการค้นพบครั้งใหม่ ซึ่งไม่ใช่การเอามาทำงานแทนตน แต่คือการเอามาทำงานร่วมกับตน การคิดงานร่วมกับเอไอช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมด้วยเวลาที่สั้นลงเป็นอย่างมาก เอไอช่วยทำให้ตนเป็นอาจารย์ที่เก่งขึ้น ไม่ได้เป็นคู่แข่งที่จะเข้ามาแทนที่

ครูต้องมุ่งพัฒนาสิ่งที่เอไอไม่มีวันทำแทนได้

สิ่งสำคัญที่เอไอไม่อาจแทนที่ครูได้คือ ‘การสร้างสัมพันธภาพ’ (Relationship) แม้ว่าเด็กจะสามารถพูดคุยกับเอไอได้ แต่การคุยกับเอไอก็ไม่เหมือนกับคนจริงๆ ครูอาจใช้เอไอติดตาม วิเคราะห์ และประเมินความต้องการของเด็กได้ แต่คนที่จะแสดงออกถึง ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ เด็กก็คือครูที่เป็นคนจริงๆ

เอไอแชตบอตในปัจจุบันมีลักษณะเป็นแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) กล่าวคือ เอไอเลือกสรรคำที่ใช้โต้ตอบกับมนุษย์ได้เหมือนคนมากจริงๆ โดยที่ตัวมันเองก็ไม่ได้เข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เพียงแต่ใช้หลักความน่าจะเป็นในการเลือกคำที่เหมาะสมเท่านั้น

ดังนั้น การมีปฏิสัมพันธ์หรือการสร้างสัมพันธภาพกับมนุษย์จึงไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเอไอ เพราะมนุษย์เราสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และความสนิทสนมเฉพาะตัว ทำให้เราไว้วางใจและตอบสนองในด้านบวกต่อคนคนนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบันที่มีเอไอเข้ามา ยิ่งเปิดโอกาสให้ครูได้สร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับเด็กมากยิ่งขึ้น เพราะเอไอจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานของครู ทำให้ครูมีโอกาสได้ใช้เวลารู้จักเด็กมากขึ้น อีกทั้งเอไอก็ยังช่วยวิเคราะห์ได้ว่าเด็กมีจุดไหนที่ขาดตกบกพร่องไป ทำให้ครูเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้นและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

เอไอในปัจจุบันไม่ได้มุ่งพัฒนาเพื่อเข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยมีมา ในตอนแรกครูอาจยังกังวลเรื่องการใช้เอไอ แต่หากได้ลองใช้งานดูแล้วก็จะค้นพบว่า งานของตัวเองนั้นพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีโอกาสได้สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กได้มากยิ่งขึ้นต่อไป

อ้างอิง

กองบรรณาธิการ The Potential. (2025). ห้องเรียน AI ก้าวใหม่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ‘ครูกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช’ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว.

วิภาภรณ์ สุภาพันธ์. (2025). หยุดความเชื่อ ‘ครูไทยต้องเสียสละ’ เพราะครูก็เป็นคน เหนื่อยเป็น เครียดเป็น.

วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจาแลง. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์, 39(3), 96-98.

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ [สวทช.]. (2568). สวทช. และพันธมิตร พาชม “แพลตฟอร์ม LEAD Education” ช่วย ‘ติดตาม-วิเคราะห์-ประเมินผล’ ผู้เรียน เทคโนโลยีใหม่ด้านการศึกษา ลดความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้.

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2023). AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู.

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2024). AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที.

อธิเจต มงคลโสฬศ. (2568). ครูแบก “งาน” รากของปัญหามาจากไหน ?

Andrew Maynard. (2023). I Asked ChatGPT to Develop a College Class About Itself.

Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.

Eric Rosenbaum. (2024). Microsoft, Khan Academy provide free AI assistant for all educators in US.

Khan, S. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). Viking.

Tags:

ห้องเรียน AIการพัฒนาศักยภาพเด็กการสร้างสัมพันธภาพครูการสอนภาระงานครูความเห็นอกเห็นใจ

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP3: การบ้านในยุค AI ต้องให้คุณค่ากับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ ไม่ใช่การจับผิดว่าเด็กใช้ AI หรือไม่

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • teaching-nologo
    Learning Theory
    การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rethinking ‘คิดใหม่’ ในความ ‘เดิมๆ’ ของงานครู

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน
Transformative learning
13 October 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 9 เสนอข้อตีความจากบทที่ 7 Every Child Gets Ahead : Designing Schools to Bring Out the Best in Students

สรุปอย่างสั้นที่สุดได้ว่า ในตัวนักเรียนทุกคนมีเด็กอัจฉริยะซ่อนตัวอยู่ รอให้การศึกษาช่วยปลดปล่อยออกมากระทำการ บทนี้เสนอหลากหลายเคล็ดลับที่ครูช่วยหนุนให้นักเรียนทุกคนปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นของตนออกมากระทำการ และยกระดับสมรรถนะของตนเองได้

สาระของบทนี้ เดินเรื่องด้วยการศึกษาของฟินแลนด์ ที่การทดสอบ PISA ที่จัดโดย OECD ทุกๆ 3 ปี เริ่มปี ค.ศ. 2000 ฟินแลนด์มาที่ 1 ของโลก 3 ครั้งซ้อน แล้วแผ่วลง แต่ Adam Grant จะชี้ให้เห็นว่า คุณภาพการศึกษาของฟินแลนด์ไม่ได้ด้อยลงในระยะหลัง

มหัศจรรย์การศึกษาฟินแลนด์

PISA ทดสอบสมรรถนะของเด็กอายุ 15 ปี ด้านคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ เริ่มในปี ค.ศ. 2000 ตามด้วยปี 2003, 2006 ที่คะแนนของเด็กฟินแลนด์เป็นที่ 1 ของโลก สะท้อนคุณภาพการศึกษาที่เป็นเยี่ยม นอกจากนั้นคะแนนของเด็กฟินแลนด์ยังมีการกระจายตัวน้อย สะท้อนความเสมอภาคทางการศึกษา ที่เป็นนโยบายของประเทศมาก่อนหน้านั้น 20 ปี เขามีกราฟเปรียบเทียบคุณภาพการศึกษาระหว่างประเทศ ที่เห็นได้ชัดว่าในระหว่างปี 1980 – 2000 คุณภาพการศึกษาของฟินแลนด์ผงาดขึ้นกว่าประเทศใดในโลก เป็นที่พิศวงกันว่า ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลเช่นนั้น

คำตอบคือ ปัจจัยหลักมาจากวัฒนธรรมที่วงการศึกษาฟินแลนด์สร้างขึ้น บนฐานความเชื่อต่อศักยภาพของเด็กทุกคน ไม่ใช่เน้นหนุนเด็กเรียนเก่ง ระบบการศึกษาของฟินแลนด์ไม่มุ่งเฟ้นหาเด็กสมองดี เอามาสนับสนุนเป็นพิเศษ แต่มุ่งหนุนให้เด็กทุกคนมีโอกาสพัฒนา

ส่งผลให้ช่องว่างของคะแนน PISA ของเด็กฟินแลนด์ ระหว่างโรงเรียนและระหว่างตัวเด็ก ต่ำที่สุดในโลก สัดส่วนของเด็กที่คะแนน PISA สูงลิ่ว สูงที่สุดในโลก และสัดส่วนของเด็กที่คะแนนต่ำเตี้ย ก็ต่ำที่สุดในโลก เด็กที่มีปัญหาการเรียน ได้รับการช่วยเหลืออย่างดี อย่างเป็นระบบ ในช่วงเวลา 9 ปีของการศึกษาภาคบังคับ ร้อยละ 30 ของนักเรียนได้รับการช่วยเหลือจากระบบช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา เป็นการช่วยให้หลุดพ้นจากสภาพปัญหา และเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ได้ตามปกติ

ระบบส่งเสริมการปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียนฟินแลนด์ ไม่เลือกสนับสนุนเด็กที่ฉายแวว แต่มุ่งสนับสนุนเด็กทุกคน โดยไม่แยกแยะความสามารถในการเรียน      

โรงเรียนฟินแลนด์เป็นดินแดนมหัศจรรย์

หลักจิตวิทยาองค์กร (Organization Psychology) ระบุว่า วัฒนธรรม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ การปฏิบัติ หรือพฤติกรรม (Practice), ค่านิยม (Values) และสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลัง (Underlying Assumptions) พฤติกรรม เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกวัน สะท้อน และส่งเสริมค่านิยม ค่านิยม เป็นหลักการที่ยึดถือร่วมกันว่าอะไรสำคัญและต้องการให้เกิดขึ้น อะไรควรได้รับรางวัล อะไรควรได้รับโทษ สมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเป็นความเชื่อที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและดำเนินการไปอย่างไร และมักไม่ได้รับการเอาใจใส่

สมมติฐานที่อยู่เบื้องหลัง มีอิทธิพลต่อค่านิยมของเรา และค่านิยมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม

ระบบการศึกษาไทย รับวัฒนธรรมมาจากสหรัฐ ในลักษณะที่ผู้ชนะรับผลประโยชน์ทั้งหมด (Winners take all.) ภายใต้ความเชื่อและพฤติกรรมหาเด็กที่ฉายแววฉลาด หรือฉายแววความสามารถพิเศษบางด้าน เอามาส่งเสริมเป็นพิเศษ ส่วนเด็กที่เรียนช้า จะถูกตีตรา ส่งผลร้ายต่อการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง (Self-Esteem) ของเด็กผู้นั้น

โรงเรียนคุณภาพสูง จะคัดเด็กเรียนเก่งเข้าเรียน ปล่อยให้เด็กเรียนช้าหรือไม่เอาใจใส่การเรียน ให้ไปเข้าโรงเรียนคุณภาพต่ำ เกิดช่องว่างสูงในผลการเรียนระหว่างโรงเรียน และระหว่างเด็กจากครอบครัวฐานะดี กับเด็กจากครอบครัวยากจน นั่นคือสภาพของระบบการศึกษาไทย ซึ่งฟินแลนด์แตกต่างโดยสิ้นเชิง

วัฒนธรรมการศึกษาของฟินแลนด์คือ ‘โอกาสของทุกคน’ (Opportunity for all) ภายใต้ความเชื่อว่าความฉลาดมีหลายแบบ และเด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนา นำสู่ค่านิยมด้านความเสมอภาคทางการศึกษา และนำสู่วิถีปฏิบัติที่ช่วยหนุนให้เด็กทุกคนเรียนรู้และก้าวหน้า เป็นวิถีปฏิบัติที่จัดครูที่มีความสามารถให้แก่นักเรียนทุกคน โดยนักเรียนมีแผนการเรียนและพัฒนาเป็นรายบุคคล (Personalized) โดยเน้นส่งเสริมตามความสนใจของเด็ก

นักเรียนที่เรียนล้าหลังเพื่อนจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการช่วยเหลือพิเศษเป็นรายคน เพื่อให้เรียนทันเพื่อน ไม่มีการปล่อยให้ตกซ้ำชั้น

ค่านิยมด้านการศึกษาของฟินแลนด์ดังกล่าว ไม่เพียงส่งผลให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพสูงเท่านั้น ยังส่งผลต่อสังคมฟินแลนด์ในวงกว้าง สังคมไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทั้งปัจจัยด้านการฝึกหัดครูที่เข้มข้น และปัจจัยด้านการปฏิบัติงานที่เอาใจใส่นักเรียน วิชาชีพครูในฟินแลนด์จึงเป็นวิชาชีพที่ได้รับการยกย่องสูง

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ฟินแลนด์เริ่มพัฒนาค่านิยมหลักว่า ‘การศึกษาในฐานะเครื่องมือสร้างชาติ’ และเริ่มพัฒนาระบบฝึกหัดครูคุณภาพสูง โดยหาทางดึงเยาวชนที่มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายในชีวิต เข้ามาเรียนเป็นครู โดยวิถีปฏิบัติหน้าที่ครูมีลักษณะ อิงข้อมูลหลักฐาน (Evidence-Based Practice) รวมทั้งให้เงินเดือนครูในระดับสูง

เส้นทางพัฒนาวัฒนธรรมการศึกษาของฟินแลนด์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในช่วงทศวรรษ 1990 เกิดการเคลื่อนไหวสู่สมมติฐานใหม่ว่า ‘ครูเป็นวิชาชีพที่ได้รับความไว้วางใจ’ (Trusted Professionals) โดยให้อิสระและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานของครู ภายใต้ข้อตกลงว่า ครูต้องรับผิดชอบ ส่งผลให้ในปัจจุบัน ครูของฟินแลนด์ มีอิสระในการทำงานสูงมาก เพื่อให้ดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูง ภายใต้ความรู้ที่พัฒนาขึ้นจากการวิจัยชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง และจากการเรียนรู้ร่วมกันของครู ในลักษณะ ‘ครูเป็นพี่เลี้ยงให้แก่กันและกัน’ (Peer Mentoring) ในการปฏิบัติหน้าที่ครู โดยมีเป้าหมายคือ นักเรียนทุกคนเรียนรู้และพัฒนาได้สูงกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยมีการออกแบบการเรียนสำหรับนักเรียนเป็นรายคน สำหรับชั้นเรียนที่มีนักเรียนประมาณ 20 คน   

เป็นการทำงานภายใต้ ‘วัฒนธรรมแห่งโอกาส’ (Culture of Opportunity) โดยส่งเสริมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะบุคคล (Individualized Relationship) ได้รับการสนับสนุนเป็นการเฉพาะบุคคล (Individualized Support) และพัฒนาความสนใจที่จำเพาะของตนเอง (Individualized Interest) ที่ผมตีความว่า ช่วยหนุนให้นักเรียนพัฒนาตัวตน หรือพัฒนาอัตลักษณ์ ตามแนวทางของ Chickering’s Seven Vectors of Identity Development

ตามนักเรียนไปหลายชั้น

ผลงานวิจัยการศึกษาบอกว่า หากครูตามไปสอนนักเรียนกลุ่มเดิมสองหรือหลายๆ ปี ที่เรียกว่า Looping จะช่วยให้ผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้น จากการที่ครูกับนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันแบบเฉพาะบุคคล (Individualized Relationship) คือรู้จักกันดี รู้นิสัยกัน ช่วยด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์

ฟินแลนด์ใช้หลักการนี้มาก ในบางกรณีครูตามนักเรียนไปถึง 6 ปี ซึ่งหมายความว่า แทนที่ครูจะเป็นครูเชี่ยวชาญเฉพาะวิชา กลับเชี่ยวชาญต่อตัวนักเรียน ช่วยหนุนการเรียนของนักเรียนได้ดีขึ้น เปลี่ยนจากการเป็นครูสอนวิชา ไปเป็นครูโค้ช หรือเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ให้แก่นักเรียน แทนที่ครูจะเน้นที่วิชา กลับเน้นที่ตัวนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยหนุนให้นักเรียนฟันฝ่าความท้าทายเชิงอารมณ์และสังคมได้สำเร็จ

ครูที่ตามนักเรียนไปหลายชั้นจะช่วยเหลือนักเรียนได้มากกว่า เพราะรู้จักนักเรียนดี แต่เมื่อนักเรียนมีปัญหาการเรียนที่เกินกำลังครูประจำชั้น โรงเรียนฟินแลนด์ทุกแห่งมีระบบช่วยเหลือนักเรียน

ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัว ที่ได้รับประโยชน์จากการที่ครูของผมสมัยเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดชุมพร คือครูพิเชษฐ์ บัวลอย (ผู้ล่วงลับ) เป็นครูประจำชั้นของพวกผมชั้น ม. 4 แล้วตามไปชั้น ม. 5 ทำให้ครูรู้จักนักเรียนแต่ละคนดี เมื่อจะจบ ม. 5 เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ในตัวเมืองก็คุยกันโขมงว่าเมื่อจบ ม. 6 แล้วจะไปเรียนต่ออะไรที่กรุงเทพ แล้วหันมาถามผมว่า “ไอ้จารณ์ มึงจะไปเรียนอะไร” ผมตกใจมาก เพราะไม่เคยคิดเรื่องเรียนต่อที่กรุงเทพเลย ก็ตอบเพื่อนไปว่า ไม่เห็นพ่อแม่ว่าอะไร คงอยู่บ้านช่วยงานที่บ้านมั้ง เพื่อนๆ ไปฟ้องครูพิเชษฐ์ ว่าไอ้จารณ์จะไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ครูพิเชษฐ์ตามหาตัวพ่อผมจนพบ แล้วบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ส่งเรียนต่อน่าเสียดาย เพราะเรียนเป็นหมอได้ แต่ต้องไม่เข้ากรุงเทพตอนจบ ม. 6 เพราะจะไม่คล่องแคล่วในการช่วยตัวเอง ควรส่งไปเรียน ม. 6 ที่กรุงเทพ แล้วสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ ต่อด้วยจุฬาฯ และเรียนแพทย์ต่อ ซึ่งผมทำได้ตามที่ครูพิเชษฐ์ทำนาย

ผมได้รับประโยชน์จากการที่ครูพิเชษฐ์ทำ Looping ที่สมัยนั้นเป็นเรื่องแปลก และครูต้องทำงานเหนื่อยกว่าเดิม

ครูจะอยู่เคียงข้างเธอ

เป็นเรื่องราวของครูใหญ่ฟินแลนด์ ที่ทำหน้าที่แตกต่างจากครูใหญ่อเมริกันและไทยอย่างสิ้นเชิง โดยครูใหญ่ฟินแลนด์มีหน้าที่รับผิดชอบผลการเรียน และสุขภาวะ (Well-Being) ของนักเรียนเป็นรายคน รวมทั้งต้องเข้าสอนในชั้นเรียนด้วย การที่เขาเรียกครูใหญ่ แต่เราเรียนผู้อำนวยการ บอกนัยยะลึกๆ ของวัฒนธรรมการศึกษาไทย

โรงเรียนของครูใหญ่ฟินแลนด์ที่เขายกมาเป็นตัวอย่าง รับนักเรียนที่เป็นลูกผู้ลี้ภัยชาวอัลบาเนีย หนีสงครามโคโซโว ไปอยู่ในฟินแลนด์ ลูกเรียน ป. 6 โดยไม่รู้ภาษาฟินนิชเลย ครูใหญ่จัดประชุมปรึกษาครูที่เกี่ยวข้องแล้วตัดสินใจให้เรียนลดชั้นลงไป 1 ชั้น ให้อยู่ในความดูแลของ Special Need Teacher และรับนักเรียนไว้ในความดูแลของครูใหญ่เอง นี่คือมาตรการช่วยเหลือแบบ Early Intervention ครูใหญ่บอกว่าเป็นการทำหน้าที่ตามปกติ … เตรียมนักเรียนเข้าสู่ชีวิตที่ดี

โปรดสังเกตอุดมการณ์ของครูฟินแลนด์ … เตรียมนักเรียนเข้าสู่ชีวิตที่ดี ไม่ใช่แค่เรียนแล้วสอบผ่านทีละชั้น

ในแต่ละสัปดาห์ ครูใหญ่มีชั่วโมงสอนชั้น ป. 3 ครูใหญ่พานักเรียนอัลบาเนียเข้าเรียนในห้องด้วย โดยให้ฝึกอ่าน ระหว่างที่นักเรียน ป. 3 ทำกิจกรรมอื่นๆ และให้นักเรียนอัลบาเนียช่วยเหลือน้อง ป. 3 เพื่อให้เขาได้รับการเรียนรู้จาก Tutor Effect ก่อนจบปีนักเรียนคนนี้ก็เรียนภาษาฟินนิชได้ เรียนวิชาทันเพื่อน ป. 6 และฉายแววของตน

ปีต่อไปนักเรียนคนนี้ย้ายโรงเรียน ครูใหญ่ยังคงติดต่อถามข่าวคราวนักเรียนจากครูโรงเรียนใหม่เป็นระยะๆ หลังจากนั้นหลายปี นักเรียนคนนี้ไปหาครูใหญ่ เอาบรั่นดีไปให้ในงานคริสต์มาสที่บ้าน เขาอายุ 20 ปี เป็นเจ้าของกิจการสองบริษัท คืออู่ซ่อมรถยนต์ กับบริษัททำความสะอาด

ทุกโรงเรียนในฟินแลนด์มีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน (Student Welfare Team) ประกอบด้วย นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล ครูการศึกษาพิเศษ และครูใหญ่ เป็นระบบจัดการปัญหาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ (Early Intervention) ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลาม ได้กล่าวแล้วว่า นักเรียนฟินแลนด์ประมาณ 1 ใน 3 ได้ใช้บริการนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี

เล่นเพื่อเรียน

นักเรียนอนุบาลฟินแลนด์เรียนน้อยมาก ส่วนใหญ่เล่น เป็นการเล่นเพื่อเรียน เพื่อให้เรียนสนุก สร้างนิสัยรักเรียน เมื่อเด็กมีนิสัยรักเรียนแล้ว การเรียนวิชาและฝึกพัฒนาสมรรถนะใส่ตัวก็เป็นเรื่องสนุกและทำได้ไม่ยาก

นักเรียนอนุบาลเรียนวิชา (อ่าน เขียน คณิตศาสตร์) เพียงสัปดาห์ละวันเดียว และเรียนคาบละ 45 นาที แล้วพัก 15 นาที เขามีผลงานวิจัยบอกว่าการให้นักเรียนพักเป็นระยะๆ ให้ผลการเรียนรู้ดีกว่า ซึ่งเป็นจริงสำหรับผู้ใหญ่ด้วย

วันอื่นๆ ครูพาเด็กไปเรียนรู้ที่ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หรือศูนย์ชุมชน หรือชวนเด็กเล่นเกม เล่นสร้างเขื่อน ร้องเพลง เต้นรำ เล่นละคร สร้างชิ้นงานศิลปะ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเพื่อให้เด็กเรียนรู้จากการเล่น โรงเรียนอนุบาลและประถมในฟินแลนด์เน้นเรียนรู้จากการเล่น (Play-Based Learning) เพื่อให้เด็กรู้สึกสนุกและรักเรียน

มีผลงานวิจัยจากอังกฤษ พบว่าเด็กที่รักเรียน ชอบไปโรงเรียนเมื่ออายุ 6 ขวบ เมื่อโตขึ้นอายุ 16 ปี จะมีผลการเรียนสูงกว่าเด็กที่ไม่ชอบไปโรงเรียนตอนอายุ 6 ขวบอย่างชัดเจน

มีผลงานวิจัยมากมายที่ให้ผลว่า การเรียนผ่านการเล่นอย่างจริงจัง (Deliberate Play) ให้ผลพัฒนาทักษะการคิด และทักษะเชิงบุคลิก (เช่น ความมีวินัย ความมุ่งมั่น) สูงกว่าการเรียนแบบบอกสอน อย่างเทียบกันไม่ติด และที่เด็กฟินแลนด์สอบ PISA ได้คะแนนสูงมาจากคุณลักษณะอดทนมุ่งมั่น (Persistence) ของเด็กฟินแลนด์สูงกว่าเด็กชาติใดๆ

ไม่ตั้งใจสอบ หรือไม่ตั้งใจเรียน

 ต่อมา ในการสอบ PISA 2009 คะแนนของเด็กฟินแลนด์ตกต่ำลงทั้ง 3 วิชา และตกลงเรื่อยๆ ใน PISA 2012, 2015, 2018 โดยมีประเทศในเอเซียขึ้นมาแซง และในปี 2018 เอสโทเนีย มีคะแนนเป็นที่ 1 ของยุโรป สร้างความกังวลให้ทั้งพ่อแม่ คนในวงการศึกษา และนักการเมืองของฟินแลนด์ แต่จริงๆ แล้ว ฟินแลนด์ยังคงมีผลสอบ PISA ติด Top Ten ของโลกตลอดมา

ในที่สุด ฟินแลนด์ก็ค้นพบสาเหตุที่คะแนน PISA ตก เด็กฟินแลนด์ที่เข้าสอบ PISA ร้อยละ 70 บอกว่า ตนไม่ได้ตั้งใจทำข้อสอบอย่างจริงจัง

นอกจากนั้น ยังพบว่าแรงจูงใจต่อการเรียนของเด็กฟินแลนด์ตกต่ำลง

หนุนให้รักการเรียน

นักการศึกษาฟินแลนด์ไม่ได้พยายามเพิ่มคะแนนสอบ PISA แต่ทำลึกกว่านั้น โดยหาทางแก้ที่ Root Cause คือหาวิธีเพิ่มแรงจูงใจต่อการเรียน

วิธีการหนึ่งสำหรับเพิ่มแรงจูงใจต่อการเรียน คือหนุนให้นักเรียนเป็นผู้กระทำการ (Agency) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning Experience) ให้แก่ตนเอง โดยให้นักเรียน ป. 6 ทำโครงการ Me & MyCity ที่ผมตีความว่าเป็นการออกแบบการเรียนรู้เลียนประสบการณ์จริง นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) ด้านการเป็นผู้ประกอบการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม

เมืองใหญ่ๆ ของฟินแลนด์มีการสร้างเมืองจำลอง สำหรับให้นักเรียนเดินทางไปใช้เวลา 1 วันทำกิจกรรมทางธุรกิจและทางสังคมที่นั่น ในลักษณะที่คล้ายจริงมาก นักเรียนทำกิจกรรมอย่างเอาจริงเอาจัง และเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ จากกิจกรรม Me & MyCity ได้เกิดโครงการ JA Finland (JA = Junior Achievement) ทำหน้าที่สนับสนุนการเรียนรู้จากประสบการณ์แก่เยาวชน และให้คำปรึกษาแก่ครู

วิธีสร้างแรงจูงใจต่อการเรียนอีกวิธีหนึ่งคือ ส่งเสริมการอ่าน

สวรรค์น้อยๆ สำหรับอ่าน สู่นิสัยรักการเรียน 

หากอ่านไม่คล่อง ไม่รู้ความหมาย ก็เรียนวิชาอื่นๆ ได้ยาก การอ่านจึงเป็นประตูสู่การเรียนรู้

นิสัยรักการอ่าน มักเริ่มที่บ้าน โดยพ่อแม่ชวนลูกอ่านอย่างสนุกสนาน และเอาเรื่องที่อ่านมาคุยกัน หรือเอามาสะท้อนคิดกัน ที่โรงเรียน มีวิธีส่งเสริมการอ่านมากมาย เช่นพาไปห้องสมุด หาสถานที่ที่เด็กชอบสำหรับอ่านหนังสือ อ่านแล้วให้นำมาเล่าหรือวิจารณ์หนังสือให้เพื่อนๆ ฟัง ช่วยให้การอ่านเป็นเรื่องสนุก และที่สำคัญอย่างยิ่ง ต้องให้เด็กเลือกหนังสือเอง

จุดแข็งของการศึกษาฟินแลนด์คือ เขาไม่แลกระหว่างผลการสอบที่ดี กับการพัฒนาทักษะเชิงบุคลิก (Character Skills) และสุขภาวะทางสังคมอารมณ์ของเด็ก เด็กทุกคนต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม

ขอย้ำว่า ในระบบการศึกษาของฟินแลนด์ เด็กทุกคนได้รับการปลุกพลังซ่อนเร้นออกมาพัฒนาตนเอง การศึกษาไทยเป็นอย่างไร?

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP8 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

Tags:

หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)ทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills)การศึกษาฟินแลนด์Play-Based Learningศ.นพ.วิจารณ์ พานิชPISAปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP13: สรุป 40 หลักการ สำหรับนำไปปฏิบัติ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP12: เดินทางไกล

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP11: คัดเลือกเข้างานหรือเข้าเรียนโดยเน้นผลงานในอนาคต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เลี้ยงลูกอย่างมีเป้าหมาย สอนให้เขาแพ้เป็น เปลี่ยนเด็กไฮเปอร์เป็นนักกอล์ฟรุ่นจิ๋ว: คุยกับ ‘พ่อขงจื้อ-แม่น้อง’
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
13 October 2025

เลี้ยงลูกอย่างมีเป้าหมาย สอนให้เขาแพ้เป็น เปลี่ยนเด็กไฮเปอร์เป็นนักกอล์ฟรุ่นจิ๋ว: คุยกับ ‘พ่อขงจื้อ-แม่น้อง’

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • The Potential ชวนคุยกับครอบครัว ‘น้องเนตั้น’ ที่มองเห็นพลังซนและความไฮเปอร์ของลูกเป็นโอกาสมากกว่าปัญหา พ่อขงจื้อกับแม่น้องเลือกใช้ ‘กอล์ฟ’ เป็นสื่อในการช่วยให้ลูกได้ปลดปล่อยพลัง ฝึกสมาธิ และสร้างวินัย จนกลายเป็นสิ่งที่น้องรักและทำได้ดี พร้อมพัฒนาสู่เส้นทางนักกอล์ฟรุ่นจิ๋ว
  • ‘พ่อขงจื้อ’ และ ‘แม่น้อง’ ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้องต่อการแข่งขัน ไม่เน้นแค่การชนะ แต่สอนให้รู้จักแพ้เป็น เข้าใจว่าความผิดพลาดคือบทเรียน และใช้ประสบการณ์แต่ละครั้งเป็นแรงผลักดันให้พยายามมากขึ้น
  • ‘รักและเข้าใจลูกในแบบที่เขาเป็น เปลี่ยนพลังส่วนเกินให้เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ’ คือหัวใจการเลี้ยงดูที่ทำให้น้องเนตั้นก้าวข้ามข้อจำกัด และใช้กอล์ฟเป็นเครื่องมือพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และทักษะชีวิต

จากเด็กที่ซนเป็นพิเศษ เรียกได้ว่า ‘นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นวิ่ง’ พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดได้เป็นชั่วโมงๆ จนอาจเรียกได้ว่ามีภาวะไฮเปอร์ในระยะเริ่มต้น  วันนี้ ‘น้องเนตั้น’ ฉัตรนวัฒน์ กลางเสนา ในวัย 7 ปี สามารถคว้าแชมป์ TGA – SINGHA Junior Golf Ranking ภาคตะวันออก สนามที่ 6 โดยสมาคมกอล์ฟแห่งประเทศไทย และล่าสุดในการแข่งขัน Thailand STEP-UP Kids Golf Tournament สนาม 9 น้องเนตั้นคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รุ่น E-Boy Championship มายืนยันว่า ความแตกต่างไม่ใช่ปัญหา หากได้รับการดูแลด้วยความรักและความเข้าใจ

“ผมปลูกฝังกอล์ฟให้เขาตั้งแต่เล็กๆ เลย เสาร์อาทิตย์ ทีวีก็เปิดกอล์ฟทิ้งไว้ทั้งวัน ของเล่นมีเป็นไม้กับลูกกอล์ฟด้วย เขาก็จะหยิบมาตีเล่น มาเขี่ยๆ ตั้งแต่ช่วง 1-2 ขวบเลย แล้วก็ไม่มีหลุมนะ แต่เขาจะพยายามตีเข้าช่องเก้าอี้ แล้วพอเข้าก็…เย่ ดีใจ รู้สึกว่าเขาชนะ เขาเลียนแบบจากทีวีที่เราเปิดให้ดู เราก็อยากสร้างสิ่งแวดล้อมแบบนี้ให้เขาค่อยๆ ซึมซับไป ไม่ได้บังคับให้เขาต้องชอบ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาชอบและถนัดไปแล้ว” ‘พ่อขงจื้อ’ ปฏิวัติ กลางเสนา เล่าถึงเนตั้นในวัย 1 ขวบ

‘แม่น้อง’ ยุคลฉัตร อนาวงศ์ เสริมว่า “เขาเริ่มมาจริงจังช่วง 4-5 ขวบ เริ่มแข่งตอนอยู่อนุบาล 3 เป็นพ่อกับแม่เองนี่แหละค่ะที่สรรหาอยากให้ลูกได้ลอง เอาจริงๆ เด็กไม่รู้หรอกว่าอะไรยังไง ตอนนั้นเขาก็เล่นไปแบบสนุกสนานของเขา สำหรับเนตั้นเวลาไปแข่ง เขาก็เหมือนไปเล่นสนุกมากกว่า”

ด้วยความเป็นครอบครัวสายกิจกรรมและกีฬา แถมคุณพ่อยังเป็นครูสอนกอล์ฟ ทำให้ทั้งครอบครัวซึ่งรวมถึงน้องณดา ลูกสาวคนเล็ก มีโอกาสไปสนามกอล์ฟเป็นประจำอยู่แล้ว การเลือกใช้กีฬากอล์ฟมาสร้างสมาธิจดจ่อให้กับน้องเนตั้น จึงเป็นสิ่งที่ลงตัวที่สุด 

ถึงอย่างนั้นการฝึกเด็กที่มีภาวะไฮเปอร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในสภาพการแข่งขันที่มีความกดดันสำหรับเด็กทั่วไปก็ถือว่ายากมากแล้ว แต่น้องเนตั้นสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของตนเองได้ ซึ่งคนที่ภูมิใจที่สุดย่อมเป็นพ่อขงจื้อและแม่น้อง 

The Potential ชวนทั้งสองคนมาแชร์แนวคิดในการเลี้ยงดูลูก วิธีรับมือกับพลังเหลือล้นและเปลี่ยนมันเป็นแรงผลักดันสู่เส้นทางนักกอล์ฟรุ่นจิ๋วการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจสำหรับการแข่งขัน การเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นการในดำเนินชีวิต ที่สำคัญคือการสอนให้เขารับมือกับความพ่ายแพ้เมื่อต้องลงสนามจริง

แมตซ์แรกเฟลเป็นเรื่องธรรมดา สอนลูกให้ยอมรับและรับมือกับความผิดหวัง

หลังสังเกตว่าลูกชายตัวจิ๋วเริ่มหลงเสน่ห์ของกอล์ฟ พ่อขงจื้อก็เริ่มพาเขาไปที่สนามกอล์ฟด้วยกัน เพื่อให้สัมผัสกับบรรยากาศจริง จนในที่สุดน้องเนตั้นก็ได้บอกลาการเขี่ยลูกกอล์ฟด้วยไม้พลาสติกมาเป็นการหวดวงสวิงด้วยไม้กอล์ฟจริง โดยมีพ่อขงจื้อเฝ้าประกบอยู่ข้างๆ เป็นเวลาหลายเดือน ก่อนตัดสินใจลงแข่งขันและได้ลิ้มรสของความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก

“หลังจากแมตซ์แรกเขาก็กลับมาซ้อมจริงจังเลย ครั้งแรกแข่ง 11 คน เขาได้ที่ 8 เขาก็ไปยืนดูเพื่อนที่ได้รางวัล แล้วก็กลับมาถามพ่อว่า ทำไมเนตั้นไม่ได้ เราก็บอกเขาว่า เนตั้นซ้อมมาน้อย วันนี้เรามาแข่งขันเก็บประสบการณ์ แล้วก็มาออกกำลังกายด้วย แล้วเขาก็ถามอีกว่า ทำยังไงเนตั้นถึงจะได้ถ้วยแบบเพื่อน เนตั้นก็ต้องซ้อมมากกว่าเดิม แล้วถ้าป่าป๊าสอน เนตั้นต้องตั้งใจฟัง ตั้งใจดู ตั้งใจทำ อันนี้เป็น 3 อย่างที่จะบอกเขาเสมอ แล้วพอรอบสองเขาก็ขยับอันดับขึ้นมาได้ที่สองที่สามอยู่ราวๆ นี้ ติด 1 ใน 5 ตลอด”

พ่อขงจื้อเสริมอีกว่า “คนที่เขาเล่นแล้วก็เล่นเก่งเลย เล่นครั้งแรกได้ที่ 1 ที่ 2 แล้วหลังจากนั้นพอเขาไม่ได้เหรียญไม่ได้ถ้วยจะรู้สึกเฟล แล้วก็อาจจะไม่ชอบละ หรือบางทีก็กลายเป็นปมในใจ แล้วแสดงออกรุนแรงเลยก็มี แบบยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองไม่ได้ถ้วยเหมือนเดิม 

แล้วก็เล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟังว่า เมื่อก่อนป่าป๊าก็ไม่ค่อยได้แชมป์นะ ก็มีแพ้บ้างชนะบ้าง เมื่อก่อนผมเป็นนักกีฬาเทควันโด ก่อนจะผันมาเล่นกอล์ฟ ถ้าเราชนะบ้างแพ้บ้าง ชัยชนะมันก็สำคัญ แต่มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หรือแพ้ไม่ได้ ถ้าแพ้แล้วเรากลับมาทบทวน เราจะได้รู้ว่าเราแพ้เพราะอะไร เพื่อที่ว่าเราจะได้กลับมามีความหวัง กลับมาซ้อมเพื่อที่จะกลับไปแข่งชนะได้ แต่ถ้าเราคิดแต่ว่าเราต้องชนะๆ พอเราแพ้เราจะรู้สึกเฟล ใจมันจะหดหู่มากกว่า เราแพ้เราเสียใจได้ เสียดายได้ แต่มันทำให้เรามีความหวังที่จะซ้อมๆๆ ให้ดีขึ้น”

“แล้วในการฝึกซ้อมให้ลูกเราจะไม่ได้ฟิกซ์เวลาแบบจัดเป็นตารางการซ้อมในแต่ละวันขนาดนั้น แต่เราดูความสะดวกของพ่อแม่เป็นหลักด้วยนะ เพราะแม่ก็ทำงานพยาบาล เข้างานเป็นกะ เวรเช้าเวรบ่าย บางอาทิตย์ก็ไม่ได้ซ้อม หรือบางทีจะพาลูกไปซ้อมที่สนามฝนก็ตก แต่เฉลี่ยอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 วัน ขั้นต่ำ 1 ชม. ถึง 1.30 อันนี้ก็แล้วแต่บ้าน แล้วแต่การฝึกของแต่ละคน” แม่น้องเสริม

บทเรียนจาก TGA  ไม่มีใครชนะตลอดไป แต่ทุกการแข่งขันต้องจริงจัง

แม่น้องเล่าว่า “แมตซ์ TGA จะแข่งกัน 2 วัน ที่ปราจีนบุรี ซึ่งมีกฎว่าต้องใช้แคดดี้สนามเท่านั้น ซึ่งบางสนามจะให้พ่อแม่เป็นแคดดี้เองได้ เราก็เตรียมตัวกันมาดี ซ้อมกันมาดีเหมือนที่ไปแข่งทุกรอบ แต่ว่าวันแรกไปเจอแคดดี้พาร์ทไทม์อายุน้อยด้วย 15 ปี เอง เป็นพี่สาวเลย เด็กเจอเด็กก็เล่นกันสนุกเลย แต่เนตั้นก็แฮปปี้ทุกรอบที่ได้ไปแข่งนะ ยิ่งไม่มีพ่อยิ่งแฮปปี้ เพราะรู้สึกว่าไม่กดดัน วันแรกก็เลยสนุกเกินคะแนนไปไกลเลย 90 กว่า หลังจากที่ไม่ได้เจอแบบนี้ตั้งแต่แมตซ์แรกที่แข่ง”

พ่อขงจื้อถึงขั้นกุมขมับ ที่ลูกชายหลุดโฟกัสไปไกลมาก พอจบการแข่งขันวันแรกไป จึงมีการเรียกสติกันหน่อย 

“พ่อก็คุยกับเขาว่า ป่าป๊าก็ไม่ได้อยากจะดุหนูนะ แต่หนูดูเล่นเกินไป หนูมาทำอะไร วันนี้เรามาแข่งนะ เรามาไกลนะ แล้วเรามาเราไม่ได้มาฟรีนะลูก เรามีค่าใช้จ่าย ค่าน้ำมันรถ ค่าเดินทาง ค่าโรงแรม ค่ากิน ถ้าหนูเล่นๆ แบบนี้เราไม่ต้องมาแข่งก็ได้ ตีแถวบ้านก็ได้ ถ้าตีสนุกๆ แต่นี่เรามาแข่งขัน เราต้องจริงจัง ถ้าหนูไม่ชอบ อยากจะเลิกแข่งแล้วหนูก็ไม่ต้องแข่ง เราเลิกได้เลย แต่ตอนนี้หนูมีโอกาสแล้วนะ เราก็ต้องทำให้ดี

พอวันที่ 2 ก็ดีขึ้น เขาตั้งใจขึ้น ผลคะแนนรวมทั้ง 2 วัน ก็เลยทำให้ได้แชมป์ แต่จริงๆ วันนั้นพ่อกับแม่ไม่ได้คิดว่าจะชนะเลย เพราะหลังจากเห็นผลวันแรกแล้วก็ปล่อยละ เพราะตามที่ 1 ที่ 2 เป็น 10 เลย แต่วันที่ 2 เราได้แคดดี้ดีที่มีประสบการณ์ ที่เขาช่วยไกด์ให้ด้วย ผลก็เลยออกมาดี”

“กอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องอยู่กับตัวเอง มีสมาธิมากๆ ในการตีแต่ละหลุมๆ แล้วถ้าตีไม่ดี รู้สึกเฟลก็ต้องรับมือให้ได้ ใจเย็น มีสติ มั่นใจ แล้วกลับมาให้ได้  เพราะถ้าใจร้อนหรือลังเลก็จะพลาดได้ง่ายๆ สำคัญเลยคือมายด์เซ็ต ความคิดที่ดีต่อการเล่น การวางแผน และแก้ไขสถานการณ์”

แม่น้องเสริมว่า “อย่างเนตั้นไม่ใช่เด็กที่เก็บมาคิดขนาดนั้น ไม่ได้เครียด แต่เด็กบางคนที่เราเห็นคือพอไม่ได้แชมป์ร้องไห้หนักเลย จนพ่อเค้าไปถามกรรมการว่ามีถ้วยรางวัลสองถ้วยไหมครับ เขาอยากให้ลูกเขาได้ ลูกเขาเฟลมาก เพราะลูกเขาได้แชมป์ตลอด แชมป์ของสนามนั้นตลอด ที่หนึ่งตลอด พอครั้งนั้นไม่ได้ก็เลยเฟลหนัก เนตั้นก็งงว่าเพื่อนร้องไห้ทำไม 

เราไม่เคยสอนลูกว่าการแข่งขันต้องได้แชมป์ตลอดไป ห้ามแพ้นะ แค่บอกว่าทำให้ดีเหมือนตอนซ้อมนะ แล้วถ้าทำเหมือนซ้อมมาแล้วแต่ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับไปดูกันว่าผิดพลาดตรงไหน ต้องแก้ไขจุดไหน”

พ่อขงจื้อเองก็มองว่า ในบริบทการแข่งขันต้องสอนให้ลูกจริงจัง แต่ไม่ถึงขั้นเอาจริงเอาจังจนแพ้ไม่ได้

“เราใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบเดินทางสายกลาง แบบยืดหยุ่น จริงจังในเวลาที่ควรจะจริงจัง และผ่อนคลายในเวลาที่ควรผ่อนคลาย 

อย่างจะแข่งแล้วถ้าไม่ซ้อมเลย หรือซ้อมนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ หรือจะอวยลูกเกินไป ลูกตีไม่ลงหลุมเลยแล้วอวยลูกว่า ‘ไม่เป็นไรลูก ดีแล้วลูก’ อันนี้ก็สปอยเกินไปหน่อย แต่ถ้าเขาทำได้ดี แล้วพลาดนิดหน่อย ก็อย่าเพิ่งโมโห หรืออารมณ์เสียใส่เขา อันนี้ก็เคร่งเครียดไปหน่อย เราก็ต้องบอกเขาว่า ‘ดีนะ อย่างน้อยก็ลง หนูลองใหม่อีกทีไหม เดี๋ยวเรามาดูสิผิดพลาดตรงไหน จะได้แก้ให้ดีขึ้น’

อย่างเนตั้นจุดแข็งเลยคือตีหลุมไกลๆ เนตั้นทำได้ดี พัตต์กอล์ฟ (Putting) น้อย มีการกะระยะการตีได้ดี เพราะเขาซ้อมพัตต์ทุกวัน แล้วเขาสามารถมีสมาธิกับการซ้อม”

รักและเข้าใจลูกในแบบที่เขาเป็น เปลี่ยนพลังส่วนเกินให้เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ

นอกจากได้เล่นสนุก ใช้พลังงานอันล้นเหลือหมดไปกับการฝึกซ้อมและออกรอบ กีฬากอล์ฟยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย รวมถึงพัฒนาการทางด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องจดจ่อกับเป้าหมาย ทำให้ได้ฝึกสมาธิ รวมถึงฝึกกระบวนการคิดและวางแผน ซึ่งทักษะนี้สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนและการทำกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันได้ ที่สำคัญคือการแข่งขันจะสอนให้เขารู้จักแพ้เป็น และมีน้ำใจนักกีฬา

พ่อขงจื้อกับแม่น้องแนะนำพ่อแม่ที่อยากจะหากิจกรรมให้ลูกทำเพื่อฝึกสมาธิ ได้เคลื่อนไหวร่างกาย เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ว่ากีฬากอล์ฟเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่มีภาวะไฮเปอร์ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการจะพัฒนาศักยภาพเด็กในด้านใด สิ่งสำคัญคือการสังเกตพฤติกรรมของเขา เข้าใจและยอมรับในตัวเขา เชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนสามารถเติบโตอย่างมีคุณภาพได้ หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

“แม่ว่าเราจะต้องสังเกตพฤติกรรมลูกเราก่อน เราถึงจะได้รู้ว่าลูกเรามีอาการใช่ไหม ก็คืออาจจะยังไม่ถึงขั้นไปหาหมอก็ได้ อันนี้มันก็วิเคราะห์ได้โดยพฤติกรรมของลูกเรา ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ได้ ดูอันที่น่าเชื่อถือหน่อย อ้างอิงจากกรมการแพทย์หรือโรงพยาบาลต่างๆ ลองเอามาอ่านแล้วเอามาวิเคราะห์ดูว่าพฤติกรรมของลูกเรามันเข้าข่ายหรือเปล่า แต่ระดับความรุนแรงเราจะไม่วินิจฉัยเอง เพราะเราไม่ใช่หมอ 

ถ้าเข้าข่ายแล้วดูท่าว่าจะรุนแรงก็ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเรารู้ว่าลูกเรามีพฤติกรรมแบบนี้อาจจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ดูแลตัวเองไม่ได้ อันนี้ควรจะไปปรึกษาแพทย์ เพราะว่ามันจะเป็นเรื่องของการรักษา แต่ถ้าเกิดคิดว่าดื้อซน ดื้อบ้าง เล่นบ้าง แต่บอกยังฟัง ใช้ชีวิตประจำวันเองได้ ไม่มีผลกระทบอะไร เราก็พยายามจัดสรรกิจกรรมที่มันเข้ากับลูกเรา เพื่อช่วยให้เขามีสมาธิมากขึ้น

อย่างกอล์ฟก็จะช่วยให้เขามีสมาธิ เป็นกีฬาที่ดี แนะนำสำหรับเด็กที่อยู่ไม่ค่อยนิ่ง เพราะว่ามันจะมีมุมที่ช่วยให้เขามีสมาธิ โฟกัส กับการซ้อม ซึ่งก็ต้องใช้เวลา”

ท้ายที่สุดแล้ว แม่น้องมองว่า “แม้ในอนาคตจะอยากให้ลูกทำอาชีพเกี่ยวกับกีฬากอล์ฟ แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคต เราแค่คาดหวัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วลูกจะเป็นอย่างนั้นไหม แต่ถามว่าเนตั้นอยากทำอาชีพอะไร ณ ตอนนี้ลูกก็ตอบว่า อยากเป็นโปรกอล์ฟ ถ้าโตขึ้นเขาจะอยากเป็นยูทูบเบอร์ อยากเป็นนักร้อง หรืออะไรก็แล้วแต่เขา สุดท้ายพ่อแม่ก็พร้อมสนับสนุน”

Tags:

การเลี้ยงดูเยาวชนกอล์ฟน้องเนตั้นภาวะไฮเปอร์อ่านความรู้จากบ้านอื่น

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ขอเป็นกระบอกเสียงสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านบัตรประชาชนใบเดียว ‘Learning Passport’: เอเปค – นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ แคนคำ ตาคำ

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.4 ‘ความวิตกกังวลสูงในเด็ก’ อาจเริ่มต้นจากความกังวลของพ่อแม่

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ทำไมบางคนจึง ‘หิวแสง’ เพราะป่วย หรือปมในใจ?
How to enjoy life
9 October 2025

ทำไมบางคนจึง ‘หิวแสง’ เพราะป่วย หรือปมในใจ?

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘หิวแสง’ คือคำนิยามของคนที่เรียกร้องหรือเรียกหาความสนใจจากคนอื่น ทำตัวอยากให้คนอื่นสนใจด้วยวิธีการต่างๆ บ่อยครั้งก็เป็นแบบมากจนเกินงาม แต่ตามวิวัฒนาการแล้ว มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงมีธรรมชาติที่จะต้องเรียกร้องความสนใจ เพื่อประโยชน์บางอย่างและเพื่อความอยู่รอด
  • หากพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น ทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือรำคาญใจทั้งกับตัวคนทำเองและผู้คนรอบข้าง ทำบ่อยอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทำอย่างผิดกาลเทศะ หรือมีระดับการแสดงออกที่มากจนเกินควร ก็น่าจะถือได้ว่าเป็น ‘คนหิวแสง’
  • หากเจอคนหิวแสง คุณอาจจะเปลี่ยนจากความรู้สึกรำคาญใจเป็นความเห็นอกเห็นใจ เพราะคนเหล่านี้อาจป่วยหรือปมในจิตใจที่ต้องการการเยียวยาแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง หากช่วยเหลืออะไรได้ก็ควรทำ

คำว่า ‘หิวแสง’ น่าจะถือว่าเป็นศัพท์ค่อนข้างสมัยใหม่ เมื่อค้นดูบทความออนไลน์ก็พบว่า หากเป็นบทความภาษาไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่ราวปลายปี พ.ศ. 2563 นี่เอง คำนี้มีความหมายอย่างง่ายๆ คือ เป็นคนที่เรียกร้องหรือเรียกหาความสนใจจากคนอื่น ทำตัวอยากให้คนอื่นสนใจด้วยวิธีการต่างๆ บ่อยครั้งก็เป็นแบบมากจนเกินงาม เกินความพอเหมาะพอดีในสายตาคนทั่วไป 

ทำไมคนบางคนจึง ‘หิวแสง’?

ในทางวิวัฒนาการ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมโดยพื้นฐาน จึงมีธรรมชาติที่จะต้องเรียกร้องความสนใจ เพื่อประโยชน์บางอย่างและเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะในตอนที่อายุยังน้อย ไม่สามารถดูแลตนเองได้อย่างดีนัก กระนั้นเมื่อโตขึ้นแล้วก็มีแรงขับดันให้ต้องเรียกร้องความสนใจในด้านเพศเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมของตนต่อไปได้ 

นี่เป็นแรงขับทางสรีรวิทยาที่ยากปฏิเสธและต่อต้าน และเป็นกลไกสำคัญของการอยู่รอดของทั้งตนเองและเผ่าพันธุ์ [1] 

ในสมัยโบราณหรือแม้แต่ปัจจุบันก็ตาม ‘การถือพรหมจรรย์’ ของนักบวชในหลายลัทธิและศาสนาจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก (ซึ่งสวนทางกับแรงขับตามธรรมชาติ) และการละเมิดข้อห้ามนี้ถือเป็นการทำผิดร้ายแรงจนต้องโดนขับออกจากบทบาทและหน้าที่สำคัญในลัทธิและศาสนานั้น ไม่ได้รับยอมรับนับถือและเชื่อใจว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและทรงคุณธรรมวิเศษของศาสนานั้นอีกต่อไป 

แต่คนเราเกิดมาโดยมีพันธุกรรมแตกต่างกัน และเติบโตมาภายใต้วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกลักษณะ และความสามารถต่างๆ จึงแตกต่างกันไปด้วย และโอกาสที่จะได้รับการยอมรับและเอาใจใส่จากบุคคลรอบข้างจึงมีไม่เท่ากัน  

ในเด็กเล็กที่ยังสื่อสารได้ไม่ดี อาจมีปัญหาเรื่องนี้มาก การร้องไห้หรือแม้แต่การแผดเสียงดังก็เป็นการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่และบุคคลใกล้ชิดแบบหนึ่ง เมื่ออายุมากขึ้น เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ก็พัฒนาวิธีการเรียกร้องความสนใจที่แตกต่างออกไป คือมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากขึ้น รวมทั้งไม่ได้เป็นการเรียกร้องสิ่งที่ตรงไปตรงมาและเฉพาะหน้าหรือเร่งด่วนแบบในเด็กเล็กๆ อีกต่อไป 

การทำความเข้าใจการเรียกร้องความสนใจหรืออาการ ‘หิวแสง’ จึงไม่ง่ายนัก  [1]

ถือเป็นเรื่องยากที่จะระบุให้แน่ชัดว่า ใครเป็นคนหิวแสงหรือไม่ เพราะพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นมี ‘สเปกตรัม’ กว้างขวางมาก จากนิสัยตามธรรมชาติที่ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดกับคนไปจนถึงอาการเจ็บป่วยแบบสุดขั้ว 

แต่อาจกล่าวได้คร่าวๆ ว่า หากพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น ทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือรำคาญใจทั้งกับตัวคนทำเองและผู้คนรอบข้าง ทำบ่อยอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทำอย่างผิดกาลเทศะ หรือมีระดับการแสดงออกที่มากจนเกินควร ก็น่าจะถือได้ว่าเป็น ‘คนหิวแสง’ 

การจัดแบบนี้อิงกับพฤติกรรมหรือนิสัยที่แสดงออกมา [1]

บางคนจัดโดยใช้ตัวชี้วัดว่า พฤติกรรมนั้นๆ เกิดจากอารมณ์ใด หากเป็น ‘อารมณ์ลบ’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การขาดความภูมิใจในตัวเอง ความโดดเดี่ยว ความอิจฉาริษยา หรืออาการป่วยทางจิตบางอย่าง เช่นนี้แล้วก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่หิวแสงทั้งสิ้น [2, 3]  

มีบ้างที่มองว่าอาการหิวแสงอาจเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ร้ายๆ ในอดีตบางอย่าง เช่น การโดนทอดทิ้ง การโดนทำร้าย การเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ และอารมณ์ไม่มั่นคงหรือรู้สึก ‘ต่อไม่ติด’ กับคนรอบข้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงถึงเป็นสัญญาณทางลบทั้งสิ้น [3]   

ในผู้ใหญ่ ตัวอย่างของอาการหรือพฤติกรรมที่อาจจัดว่าหิวแสงได้แก่ การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเรียกร้องความสนใจ เมื่อมีคนไลก์ คอมเมนต์ หรือแชร์ก็จะรู้สึกว่าได้รับการเติมเต็ม เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองก็จะไม่ชอบใจ บางคนเป็นดราม่าควีนหรือดราม่าคิงชอบก่อดราม่าหรือไม่ก็ชอบสร้างเรื่องกระตุ้นอารมณ์ในที่สาธารณะหรือบนออนไลน์ การแสดงความไม่พอใจหากไม่ได้เป็นศูนย์กลางความสนใจ 

บางคนก็เรียกร้องอยากให้คนชมและจะไม่พอใจหากไม่ได้ พูดวนๆ แต่เรื่องตัวเอง บ้างก็แกล้งทำอะไรหรือเป็นอะไรสักอย่าง (เช่น ป่วย) เพื่อให้คนหันมาสนใจ และมีอีกหลายคนที่ชอบถกเถียงหรือโต้แย้งเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ โดยไม่ได้สนใจในประเด็นที่อภิปรายกันอยู่นั้นเลย [3] 

บางคนก็ออกไปในแนวชอบอวดร่ำอวดรวย ไม่ว่าจะรวยจริงหรือรวยเฟกก็ตาม บ้างถึงกับต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เช่ารถหรูราคาแพงมาถ่ายรูปด้วยเพื่ออวด บ้างก็อวดเรือนร่าง ซิกแพ็ก เอวเอส หรืออวดความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่จบ งานที่ทำ รางวัลที่ได้ คนดังที่รู้จัก [2]

ในรายที่สุดขั้วมากๆ ที่หากยากหน่อย อาจถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้และมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปกลายเป็นพฤติกรรมชอบวิวาท ตบตีชกต่อย ทำร้ายผู้อื่น โกหกซ้ำซาก ขโมย หรือชอบแหกกฎหรือทำผิดกฎหมายเพื่อเรียกร้องความสนใจก็มีเช่นกัน [3]  

แน่นอนว่าคนทั่วไปก็อาจทำพฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้บ้าง เพียงแต่ทำด้วยเจตนาและความถี่ที่ไม่เกินเลยไปอย่างพวกคนหิวแสง 

สำหรับคนที่พอรู้ตัวเองว่ามีอาการหิวแสงและต้องการเปลี่ยนแปลง อาจปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขพฤติกรรมต่างๆ ได้หลายแบบดังนี้ [1] 

เริ่มจากตั้งสติและสังเกตสังกาว่า ตัวเองกำลัง ‘ตกร่อง’ เริ่มทำนิสัยเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า หากสังเกตเห็นว่ามีสถานการณ์ซ้ำๆ บางอย่างที่เป็นตัวกระตุ้น ก็อาจหาทางหลีกเลี่ยงการตกไปอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น 

พยายามหาวิธีสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง หากทำได้ก็จะลดความต้องการความสนใจจากคนอี่นไปเอง นึกถึงความสำเร็จ คุณค่า และความน่าภาคภูมิใจต่างๆ ที่คุณมีและทำได้บ่อยๆ ให้บ่อยๆ เพื่อเติมเต็มความรู้สึกตัวเอง (แต่ไม่ต้องแสดงออกให้คนอื่นมาชื่นชมด้วย) 

เปิดใจ สร้างความสัมพันธ์แบบใหม่กับคนอื่น ความสัมพันธ์แบบที่ไม่ต้องมีคุณเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจก็ช่วยได้เช่นกัน  

หากทำเรื่องเหล่านี้ได้สำเร็จคุณก็อาจช่วยเหลือคนอื่นที่คุณเห็นว่าน่าจะเป็นอย่างที่คุณเคยเป็น อย่างไรก็ตาม หากลองทำแบบต่างๆ ที่ว่ามาแล้ว แต่ยังรู้สึกว่า ‘เกินมือ’ ก็คงต้องไปปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อบำบัดอาการเหล่านี้ต่อไป 

ในกรณีที่มีคนใกล้ตัวที่คุณรู้สึกว่าเป็นคนหิวแสงอยู่ คุณอาจสะท้อนข้อเท็จจริงที่คุณเห็น และเสนอความช่วยเหลือในแง่มุมที่ทำได้ (แน่นอนว่าต้องทำด้วยความนุ่มนวลและเห็นอกเห็นใจ) ย้ำกับพวกเขาว่าคุณรักและพร้อมสนับสนุนให้หายจากอาการนี้ ในบางกรณีความรู้สึกว่ามีคนใส่ใจก็เพียงพอจะทำให้คนหิวแสงรู้สึกมั่นคงมากขึ้น จนลดการแสดงออกทางลบได้ แต่ในกรณีที่คนผู้นั้นมีอาการป่วยเกินกว่าจะช่วยเหลือได้ ก็อาจแนะนำให้เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป [2]

คราวหน้า หากเจอคนหิวแสง คุณอาจจะเปลี่ยนจากความรู้สึกรำคาญใจเป็นความเห็นอกเห็นใจ เพราะคนเหล่านี้อาจป่วยหรือปมในจิตใจที่ต้องการการเยียวยาแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง หากช่วยเหลืออะไรได้ก็ควรทำ 

ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็แค่หลีกเลี่ยงให้ห่างไว้ก็น่าจะพอ

เอกสารอ้างอิง

[1] Alisa Harvey. The Need to be noticed: what drives a person to be an attention-seeker. Psychology Now, 2024, Vol. 9, 30-33  

[2] https://www.verywellmind.com/attention-seeking-behavior-causes-traits-treatment-5213790 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 16 ก.ย. 2025

[3] https://www.medicalnewstoday.com/articles/attention-seeking-behavior เข้าถึงข้อมูลวันที่ 16 ก.ย. 2025

Tags:

จิตวิทยาความสัมพันธ์มนุษย์สังคมหิวแสง

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Foely Friend-nologo
    Relationship
    เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    แบดบอยผู้น่ารัก ‘ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ได้ยินทีไรหูผึ่งทุกที: จิตวิทยาของการซุบซิบ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘มายด์เซ็ตที่ดี วินัยบนหลักเหตุผล’ หัวใจการพัฒนาฟุตบอลเยาวชน ของ ธัชธีรพนธ์ ลี่สันธิติกุล
Life classroomEveryone can be an Educator
8 October 2025

‘มายด์เซ็ตที่ดี วินัยบนหลักเหตุผล’ หัวใจการพัฒนาฟุตบอลเยาวชน ของ ธัชธีรพนธ์ ลี่สันธิติกุล

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • จากเด็กนิเทศศาสตร์ หันเหเข้าสู่วงการฟุตบอลเยาวชน ธัชธีรพนธ์คือตัวอย่างของนักเรียนรู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขาประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะและประสบการณ์พัฒนาตัวเองและพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนผ่านการทำงานที่ STB Football Academy 
  • เขานำหลักคิดของฟุตบอลสมัยใหม่มาสร้างวัฒนธรรมในอะคาเดมีเปิดให้เด็กๆ มีอิสระทางความคิด เน้นการตั้ง ‘คำถาม’ เพื่อสร้างความเข้าใจ และสร้างวินัยบนหลักเหตุผล ที่สำคัญคือทุกคนจะต้องมีความรับผิดชอบทั้งในฐานะนักฟุตบอลและนักเรียน
  • เขาเชื่อว่ามนุษย์ที่มีวินัยและมีมายด์เซ็ตที่ดีจะต่อสู้ดิ้นรนในทางของตนเองได้เรื่อยๆ ถึงจะแพ้จะพังก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งชัยชนะที่แท้จริงคือการที่เด็กๆ สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าความสำเร็จหรือการไปถึงเป้าหมายในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา แต่เกิดจากการมี Growth Mindset ที่เชื่อว่าความสามารถและศักยภาพของเราพัฒนาได้จากความใฝ่รู้ การฝึกฝน และการมองอุปสรรคเป็น ‘บันได’ ไม่ใช่กำแพง

เช่นเดียวกับเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้เรียนสายศิลป์-คำนวณ ทั้งที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ ก่อนเบนเข็มมาศึกษาด้านภาพยนตร์ และก้าวสู่เส้นทางที่ไม่คาดคิดอย่างวงการฟุตบอลเยาวชน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าชีวิตของเขาจะล้มเหลว กลับกันเขาได้ใช้มายด์เซ็ตที่รักในการเรียนรู้มาเป็นใบเบิกทางเพื่อสร้างเส้นทางความสำเร็จให้กับตัวเอง ผ่านการนำทักษะเชิงบริหารจัดการและมองภาพรวมแบบโปรดิวเซอร์ มาผสมผสานกับความรู้ฟุตบอลสมัยใหม่ที่เรียนรู้จากพันธมิตรระดับโลกอย่าง ‘บาเยิร์น มิวนิก’    

The Potential ชวน ‘ลิ้ม’ ธัชธีรพนธ์ ลี่สันธิติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทสปอร์ตไทย-บาวาเรีย มาพูดคุยถึงเส้นทางของเด็กนิเทศที่แม้จะไม่มีพื้นฐานด้านฟุตบอลมาก่อน แต่ด้วยแรงหลงใหลในเกมลูกหนัง ผสานกับทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และปรับตัว ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญต่อการปั้นอนาคตฟุตบอลเยาวชน ผ่านแนวคิดการทำงาน มุมมองการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อในพลังของการตั้งคำถาม การให้อิสระทางความคิด และการสร้าง ‘วินัยเชิงบวก’ ที่ไม่ใช่การบังคับข่มขู่ หากแต่เป็นสะพานที่จะพาเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัด และเชื่อมไปสู่การปลดล็อกศักยภาพภายในตัวเอง

วิชาการไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่ไม่ได้แปลว่าไร้ประโยชน์

“ตอนเป็นนักเรียน ผมเป็นเด็กทั่วไปเลยครับ ไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ได้เป็นนักบอล แต่ชอบเตะบอลเพราะมันเป็นวัฒนธรรมของโรงเรียน (กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย) ผมเลยซึมซับความชอบตั้งแต่ตอนนั้น”

ลิ้มเริ่มต้นบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม ชีวิตวัยเด็กของเขาน่าจะคล้ายกับชีวิตของใครหลายคน มีความสุขเรียบง่ายจากการไปโรงเรียน ได้เจอเพื่อนๆ ได้เตะฟุตบอล และนั่งเล่นเกมสนุกๆ ตามประสาเด็กหลังห้อง แต่ขณะเดียวกันก็มีความทุกข์จากการถูกบังคับให้เรียนในสายที่ไม่ถนัด โดยเฉพาะสูตรคณิตศาสตร์มากมายที่แม้เวลาจะผ่านไป ก็ยังไม่เคยได้ใช้

“ตอนม.ปลาย ผมถูกแม่บังคับให้เรียนสายศิลป์-คำนวณ เพราะถ้าเรียนสายภาษา ที่บ้านจะส่งผมไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมเลยเลือกอดทนยอมเรียนห้องบ๊วยเพื่อจะอยู่เมืองไทยต่อ จากนั้นผมก็เลือกเรียนนิเทศ ม.รังสิต ตอนนั้นเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ ได้ไปออกกอง ได้เรียนรู้งานสายโปรดิวเซอร์ หน้าที่ของผมคือการจัดสรรกระบวนการความคิดต่างๆ ให้เป็นระเบียบ วางแผนติดต่อประสานงาน แยกแยะกระบวนการแก้ปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน ผมจะมีภาพทุกอย่างในหัวและอธิบายทุกอย่างออกมาให้ทุกคนเข้าใจได้ ซึ่งทุกวันนี้ ผมก็เอาทักษะตรงนั้นมาประยุกต์ใช้ เพราะการบริหารบริษัทจะให้ทำคนเดียวทั้งหมด ผมทำไม่เป็นหรอก แต่ถ้าจัดเรียงแล้วแบ่งหน้าที่ให้ต่างคนต่างรับผิดชอบในหน้าที่ตัวเองตามความถนัด มันก็ออกมาดี”

หลังเรียนจบปริญญาตรี เขาได้รับโอกาสให้มาทำงานในวงการฟุตบอลเยาวชน โดยเริ่มจากการเป็นพนักงานตัวเล็กๆ ที่ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ปั๊มลูกบอล ยกของ ไปจนถึงดูแลระบบออนไลน์ของบริษัท กระทั่งได้รับมอบหมายให้สร้างความร่วมมือกับ ‘บาเยิร์น มิวนิก’ ยอดทีมอันดับหนึ่งจากเยอรมัน เพื่อเปิดหลักสูตรฟุตบอลสำหรับพัฒนาโค้ชและเยาวชนไทย 

“ผมเริ่มมาทำงานช่วงปี 2015 ไม่ได้ทำงานที่ไหนมาก่อนเลยครับ ช่วงสามปีแรกผมทำทุกอย่าง จะออนไลน์ ให้ช่วยยกน้ำ ซื้อของใช้ให้นักกีฬา เลือกบ้านเช่าที่เป็นเหมือนหอพักนักกีฬาให้เด็กๆ ในอะคาเดมี หรือใครให้ทำอะไรผมก็ทำได้หมดไม่เกี่ยง ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นผมคนเดิม 

จุดเปลี่ยนคือผู้ใหญ่ของ STB คุณวินิจ เลิศรัตนชัย คุณศุภฤกษ์ โรจน์วงศ์สุริยะ คุณศวัสกร วิบุญวิริยะวงศ์ มีเป้าหมายอยากยกระดับฟุตบอลเยาวชนไทยเพื่อให้บอลไทยไปไกลกว่านี้ วันนั้นเลยเริ่มจากไปติดต่อกับเบอร์ 1 ของโลกในตอนนั้นคือเยอรมัน เพราะเขาเพิ่งได้แชมป์โลกที่บราซิล ซึ่งถ้าพูดถึงเยอรมันก็ต้อง ‘บาเยิร์น มิวนิก’ ก็คุยดีลกับเขาร่วม 2-3 ปี ก่อนเซ็นสัญญาเป็น Strategic Partner (พันธมิตรเชิงกลยุทธ์) พอได้หลักสูตรก็เอามาแปลเป็นภาษาไทยและสร้างหลักสูตรให้เข้ากับวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับไทยที่สุด จากนั้นก็เริ่มเปิดอบรมโค้ชไทยประมาณสี่พันกว่าคน แต่จบอบรมไป ปรากฏว่าส่วนใหญ่มาสมัครไม่อยากได้ความรู้…อยากได้ใบเซอร์เพื่อเอาไปเติมในโปรไฟล์ ไปอัพเงินเดือน ซึ่งผิดกับวัตถุประสงค์ที่เราอยากให้ครูพละและโค้ชเยาวชนได้ศึกษาหลักคิดแบบโมเดิร์นฟุตบอลเพื่อพัฒนารูปแบบฟุตบอลของไทยแลนด์เวย์”

แม้จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นในหลักสูตรฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นความยั่งยืน  ลิ้มจึงหยิบหลักสูตรดังกล่าวมาต่อยอดเพื่อเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง ผ่านการลงมือทำอย่างจริงจัง โดยเชิญโค้ชยุโรปดีกรี ‘ยูฟ่า เอ ไลเซนส์’  เข้ามาช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ และเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการพัฒนาฟุตบอลเยาวชน    

“ผมบังคับโค้ชคนอื่นไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นและเคารพองค์ความรู้ของเขา (บาเยิร์น มิวนิก) เราก็เลยสร้างของเราขึ้นมาเองคือ STB Football Academy โดยใช้หลักสูตรนั้น ซึ่งโค้ชฝรั่งที่มาอยู่ตรงนี้จะเป็นสเปเชียลลิสต์ที่มียูฟ่าไลเซนส์ด้านนี้ อย่างเทรนด์นิ่งแพลน ผมกับทีมงานก็ได้เรียนรู้ว่า นอกจากจะวางว่าวันนี้ซ้อมอะไรบ้างเป็นเวลากี่นาที ฝรั่งจะชอบอัดเสียงทุกเซกชั่นว่าวันนี้ทำอะไร คือคุยอัดเสียงกันทั้งวัน เพราะเดินๆ อยู่เขาอาจปิ๊งไอเดียว่าจะทำอะไร ทั้งเรื่องสนาม เด็กๆ และการจัดการต่างๆ  แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจจะคิดแล้วค่อยทำ พอจะทำก็ลืมไปแล้ว แต่ฝรั่งเขาอัดเสียงและนำมาฟังทุกคืนก่อนนอน เพื่อวางแผนสิ่งที่จะทำรุ่งขึ้นอย่างละเอียด ผมว่าพอทำงานคลุกคลีกับเขาเรื่อยๆ เราก็ได้ความละเอียดนี้ติดตัวมาด้วย

แน่นอนว่าตอนเริ่มต้นจะให้เขาคุมทีมโค้ช แล้วค่อยๆ ถอยห่างออกมา เพราะเป้าหมายของผมคือการพัฒนาบุคลากรไทย อย่างทุกวันนี้เขาก็นั่งไกด์ไลน์ให้โค้ชคนไทย ถามว่าเขาสั่งหรือทำเองเลยได้ไหม…ใช่ เขาทำเองได้ แต่มันไม่ใช่แนวทางเรา โค้ชทุกคนต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนโค้ชฝรั่งเขาเองก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเราเพื่อปรับประยุกต์ประสบการณ์ของเขาให้เข้ากับคนไทย ซึ่งผมเองก็ต้องคอยขับเคลื่อนเรื่องพวกนี้ให้ทีมงานกว่า 40 ชีวิต เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เป็นมืออาชีพ 

ผมเชื่อว่าถ้าเราพัฒนาผู้ใหญ่ได้ แล้วผู้ใหญ่เอาสิ่งที่ได้รับไปสอนเด็กๆ ต่อ ฟุตบอลมันก็จะพัฒนาทั้งระบบ”

เปิดอิสระทางความคิด เรียนรู้จากการตั้งคำถาม สู่การได้ยินเสียงของใจตัวเอง

หลายคนคงเคยได้ยินวลีฮิตในวงการกีฬาที่ว่า ‘Mentality Always Beats Quality’ (จิตใจที่แข็งแกร่งเอาชนะคุณภาพหรือพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวเสมอ) ดังนั้นแม้ฟุตบอลจะเป็นกีฬาที่ใช้เท้าเป็นหลัก แต่ต้องไม่ลืมว่าเท้าถูกสั่งการมาจากสมอง ดังนั้นสมองจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินเกม

นี่คือแก่นที่ลิ้มนำมาสร้างวัฒนธรรมในอะคาเดมีฟุตบอล ให้เด็กๆ มีอิสระทางความคิด และออกแบบการเรียนรู้ผ่านการตั้ง ‘คำถาม’ ไม่ใช่ด้วย ‘คำสั่ง’ เหมือนระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมของไทย เพราะเขาเชื่อว่าการถามเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน ทำให้กล้าคิด กล้าลอง กล้าแสดงออก และสำคัญที่สุดคือการได้ยินเสียงของใจตัวเอง  

“ที่บอกว่าฟุตบอลที่นี่สอนเด็กๆ ด้วยการตั้งคำถาม ไม่ใช่ด้วยคำสั่ง เพราะผมเติบโตมากับรูปแบบ “ฉันสั่ง…เธอทำ…สิ่งที่ฉันสั่งคือคำตอบ” แต่ผมรู้สึกว่า หนึ่ง มันทำให้เด็กไม่เกิดกระบวนการคิด สองคือ ไม่กล้าคิด สามคือ ไม่กล้าตอบ 

ถามว่าเด็กเจนวาย เจนแซด เผลอๆ อาจถึงเจนอัลฟ่า เด็กที่กล้ายกมือถามตอบ หรือแลกเปลี่ยนความคิด ถือว่ามีน้อยมากเลยนะ ถามต่อว่าเขาเข้าใจเหรอถึงไม่ถาม ผมว่าส่วนใหญ่แล้วเขาไม่เข้าใจแต่ไม่กล้าถาม เพราะถูกสั่งให้ฟังแล้วทำตามซ้ำๆ กระบวนการความคิดมันไม่ได้ทำงาน แล้วยิ่งเด็กถูกปิดกั้นการแสดงออก การให้ความเห็น หรือถามปุ๊บ…ผู้ใหญ่ตวาดสวนกลับทันที “แค่นี้ก็ไม่รู้เหรอ” ถามว่าเด็กคิดจะกล้าถามอีกเหรอ ซึ่งตัวผมเองสมัยเด็กๆ ก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาและรู้สึกว่าวันนั้นเราไม่ได้พัฒนานะ 

แต่พอผมทำงานกับฝรั่ง ปรากฏว่าเขาถามยับเลย แล้วพอเราไม่ถาม เขาก็จะตั้งคำถามกลับมาให้ เพราะเขาอยากรู้ว่าเรารู้จริงหรือเปล่า แล้วพอผมตอบไม่ได้ ก็มานั่งทบทวนกับตัวเองจนสรุปได้ว่า เออว่ะ เป็นเราที่ไม่กล้าถาม จากนั้นเลยเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาทีม ดังนั้นผมจะให้เด็กๆ ได้ถาม ต้องให้เขากล้าพูด ฟุตบอลไม่ใช่แค่เรื่องความคิด มันมากกว่านั้น คือคิดแล้วต้องทำด้วย 

สิ่งที่โค้ชที่นี่ทำคือ ‘การตั้งคำถาม’ จะไม่มีว่าคำตอบนี้ถูกหรือผิด เพราะมันอยู่ที่ทำออกมาแล้วผลลัพธ์เป็นยังไง นักบอลบางคนถูกแฟนบอลคอมเมนต์ว่า ‘ขี้เลี้ยง’ หรือ ‘หวงบอล’ แต่สำหรับผมกับทีมงานคิดว่าดีแล้วที่เขากล้า เพราะกล้าแล้ววันนึงห้าม ง่ายกว่าการที่ห้ามแล้ววันนึงไปสั่งให้เขากล้า ฉะนั้นผมจะให้เขากล้าเลี้ยงกล้าทำไปก่อน แล้วพอเข้าภาคทฤษฎี โค้ชก็ค่อยมาคุยว่าอันไหนควรทำตอนไหน หรือบางทีทีมเราทำถูกหมด แต่อีกฝั่งอ่านเกมแล้วรู้ทันก็ดักเราได้ มันไม่ใช่ว่าเราผิด แต่เขาเองก็ใช้ความคิดอ่านเราเหมือนกัน 

ดังนั้นนอกจากการให้อิสระและการตั้งคำถาม ผมจะให้เด็กๆ ได้ Learning by doing จากประสบการณ์จริงด้วย”

นอกจากการสอนทักษะฟุตบอลที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเล่นอย่างอิสระแล้ว อีกด้านหนึ่งลิ้มก็มีกฎเหล็กที่ยึดมั่นเสมอ นั่นคือเด็กๆ ต้องไปโรงเรียนและส่งการบ้านให้ครบถ้วน เพราะสำหรับเขาการศึกษาคือรากฐานของชีวิต แต่ถ้าเด็กๆ ฝ่าฝืน เขาก็จะมีบทลงโทษในแบบฉบับของตัวเอง

“สำหรับเด็กๆ เราจะมีทุนนักบอล 100% ให้เขาได้รับการศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ผมให้ความสำคัญกับการเรียนมาก เขาต้องเรียนหนังสือไว้เพื่อพัฒนาความรับผิดชอบกับมีความรู้ไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันในฟุตบอล เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะนักบอลที่มักมีอาการบาดเจ็บเข้ามาเป็นตัวแปร ดังนั้นจะทำยังไงให้เขามีทางออกหรือแพลนบี เพราะสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การที่เขาจะเป็นนักบอลที่เก่งระดับไหน แต่คืออนาคตว่าถ้าเลิกเล่นบอล เขามีอนาคตต่อไปแบบไหนยังไงมากกว่า

ผมจะมีศัพท์ว่า ‘อุบัติเหตุทางการศึกษาที่ทำให้ไม่ได้ลงแข่งบอล’ ไม่ส่งการบ้าน ตื่นสาย ไปโรงเรียนไม่ทัน ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อให้แข่งรายการอะไรอยู่ผมตัดชื่อเลยนะ 

อย่างไม่นานนี้ที่ทีมของเรากำลังจะตกชั้นรายการกรมพละ 14 ปี ผมก็ปล่อยให้เกิดเลยนะ นักบอลตัวหลักตื่นสาย ไม่รับผิดชอบเรื่องเรียน กินข้าวไม่เก็บ ผมบอกให้โค้ชตัดชื่อเลย ผลคือทีมเราตกชั้น อันนี้แหละที่เราให้ Learning by doing ให้เขาสะเทือนใจแล้วไม่กลับมาผิดซ้ำอีก เพราะประสบการณ์จะทำให้เขาเรียนรู้และจดจำได้ดีที่สุด จนตอนนี้ทีม 14 ปีเปลี่ยนไป ไม่มีวันไหนที่เอื่อยเฉื่อย แต่มันก็เทรดมากับบทเรียนราคาแพง ดังนั้นถ้าไม่แก้เด็กตั้งแต่วันนี้ปล่อยให้เขาสบายๆ อะไรก็ได้ พอโตขึ้น 15 16 17 เขาก็จะไม่จำ ไม่แคร์ ไม่สนใจอะไรแล้ว ดังนั้นผมขอเทรดเพื่อแลกกับการสร้าง Turning Point สำคัญให้กับเด็ก ผมว่ามันคุ้มนะ”

วินัยไม่ใช่กฎศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือปลดล็อกศักภาพอันยิ่งใหญ่

ถ้าถามว่าใครคือนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีมานี้ เชื่อว่าอย่างน้อยแฟนบอลย่อมคุ้นเคยกับชื่อของ ‘ไมคอน คาร์โดโซ’ วันเดอร์คิดชาวบราซิลที่เติบโตในเมืองไทยและเพิ่งจรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของสโมสรบาเยิร์น มิวนิก, ‘ชัยวัฒน์ เงินมา’ กองกลางทีมชาติไทยชุด U17 รวมถึงเจ้าหนุ่มหัวฟูขวัญใจแฟนบอลอย่าง ‘ปรเมศ ละอองดี’ 

สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่พรสวรรค์ แต่ดาวเตะทั้งสามผ่านการหล่อหลอมจาก ‘วินัย’ ซึ่งลิ้มบอกว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ที่ทำให้เด็กๆ ของเขาเปล่งประกาย และเป็น ‘สะพาน’ ให้พวกเขาข้ามพ้นสิ่งยั่วยุหรือการใช้ชีวิตแบบไร้เป้าหมาย 

“สิ่งที่ผมสอนจริงๆ เรียกได้ว่าให้ความสำคัญที่สุดคือเรื่องวินัย ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ จัดการกับตัวเองได้ รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร ผมอยากให้เด็กๆ ผลักดันตัวเองไปข้างหน้าโดยอาศัยความพยายามไม่ย่อท้อ เพราะต่อให้เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอล อนาคตยังไงก็ไม่มีวันอดตายแน่นอน

อย่าง ‘ไมคอน’ เยาวชนของเราที่ตอนนี้ไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิกแล้ว ผมก็จะพูดทุกครั้งที่มีโอกาสให้สัมภาษณ์ว่า ตอนที่ไป ไมคอนไม่ใช่เบอร์ 1 ที่เก่งที่สุดของที่นี่ แต่เขาเป็นเบอร์ 1 เรื่องวินัย มีความเป็นมืออาชีพมาก ในสนามคือตายเป็นตาย เขาโดนเตะนอกเกมมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยออกลูกนักเลง และเลือกเอาคืนคู่ต่อสู้ด้วยการเลี้ยงบอลผ่านเพื่อเอาชนะ ส่วนเรื่องนอกสนาม ถ้าสิ่งไหนไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เขาจะไม่สนใจเลย 

ถามว่าเขาอยากเล่นเกมเหมือนเด็กคนอื่นไหม ผมว่าเขาก็อยาก เขาก็เด็กคนนึง แต่เขาเทคแคร์ตัวเองได้ว่าวันนี้เล่นแค่นี้พอ ส่วนเวลาว่างอื่นๆ เขาก็จะพาตัวเองไปโบสถ์เพื่อรับพลังบวก ดังนั้นทีมสเปเชียลลิสต์ของผมจะกำหนดว่าเด็กอายุ 10-13 เรียนพื้นฐานสนามเล็ก, 14-16 เรียนแท็กติกและทบทวนพื้นฐานที่เรียนมา, 17-19 เอาแค่มายด์เซ็ตคือทำยังไงให้เป็นนักกีฬาอาชีพ เช่น ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆ เราจะไม่มานั่งดูว่าเขายิงสวยแค่ไหน แต่จะโฟกัสกิจวัตรว่าวันๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้างกว่าจะประสบความสำเร็จ แล้วเราหยิบอะไรมาทำได้บ้าง เอาสัก 10% ของเขาก็พอ ซึ่งถ้าทำได้ เด็กๆ ของเราจะเก่งขึ้นแน่นอน”

แม้จะมุ่งเน้นเรื่องวินัยมากที่สุด แต่ในทางกลับกัน วินัยในความหมายนี้ไม่ใช่การบังคับให้ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุผล ลิ้มเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนมีอิสระอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบที่กำหนด และสามารถเข้ามาพูดคุย ต่อรอง หรือตั้งคำถามได้เสมอหากคิดว่ากรอบนั้นไม่สมเหตุสมผล 

“ผมจะมีระเบียบว่า 24 ชั่วโมงจะต้องทำอะไร แต่ระหว่างทางเด็กๆ จะคิดจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่เขา ถ้าอันไหนไม่โอเค เขาสามารถมาคุยได้ อย่างไปโรงเรียนให้ทัน ผมไม่สนใจว่าเขาจะตื่นสายแค่ไหน แต่ไปให้ทันนะ มีครั้งหนึ่งเด็กมาบอกว่าผมนั่งมอเตอร์ไซค์ไปครับ ผมก็จะถามแค่ว่าถ้ารีบมากๆ แล้ววันหนึ่งมีอุบัติเหตุจะทำยังไง ผมจะเน้นให้เด็กๆ รักชีวิต เพราะฟุตบอลส่วนหนึ่งวัดกันที่ร่างกาย จนวันหนึ่งเขาก็มาบอกว่าจะแก้นิสัยตื่นสายด้วยการไม่นอนดึกและนอนให้พอ 

หรือการเก็บมือถือตอน 3 ทุ่มครึ่ง เคยมีเด็กมาบอก “พี่ครับ ผมขอไม่เก็บมือถือได้ไหม” ก็ถามเขาว่าแล้วจะนอนกี่โมง เขาบอกสี่ทุ่มครึ่ง โอเค แต่พอลองแล้วเป็นยังไง ตี1 ตี2 ครับ ผมให้เขา Learning by doing กันตอนนั้นเลยว่าประเด็นมันไม่ใช่มือถือหรือเวลา แต่คือการที่เขาหยุดตัวเองไม่ได้ แล้วเขาเป็นนักกีฬา สิ่งสำคัญคือการ Recovery ร่างกายด้วยการนอน ยิ่งเยาวชน 12-15 ปี จะมีเรื่อง Growth Hormone จังหวะที่ผู้ชายจะเติบโตได้เยอะที่สุด จังหวะนั้นเขาต้องกินเยอะๆ นอนเยอะๆ แต่เด็กไทยมักคิดว่ามีสาวคุยยิ่งดึกยิ่งเท่ ยิ่งถ้าออกไปเที่ยวดึกๆ ได้ยิ่งโคตรเท่ มันก็เลยทำให้ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ซึ่งบางครั้งผมก็ให้เด็กที่เป็นรุ่นพี่ในอะคาเดมีมาแชร์ประสบการณ์จริงกับรุ่นน้อง เพราะเขาอยู่หอด้วยกัน เห็นกันมาตลอดว่าตอนเด็กๆ เขาเป็นโกลที่ตัวสูงเกือบที่สุดในทีม แต่นอนน้อย ติดมือถือ แอบทิ้งนม เลยสูงได้แค่นี้ เคยเข้าแคมป์ทีมชาติแต่ตอนนี้เขาไม่เลือกเราแล้ว ไม่ใช่เพราะฝีมือแต่เพราะไม่สูง เพื่อให้รุ่นน้องไม่มาซ้ำรอยเดิม”

กฎเด็ก vs กฎผู้ปกครอง ในสนามคือนักกีฬากับกองเชียร์ นอกสนามคือลูกกับพ่อแม่

สิ่งที่ผมสนใจไม่แพ้เรื่องวินัยก็คือ ‘การแยกบทบาทให้ชัดเจน’ ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง ลิ้มกล่าวว่าเขามีกฎของเด็กและกฎของผู้ปกครองแยกกันอย่างชัดเจน เริ่มจากเด็กๆ ที่ยามลงสนามต้องทุ่มเทเต็มร้อยในฐานะนักกีฬา แต่เมื่อก้าวออกนอกสนาม…พวกเขาต้องแยกบทบาทกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ พร้อมกับเป็นนักเรียนที่ดีของครูและเพื่อนๆ 

“เวลาซ้อมหรือแข่งบอล เด็กๆ ทุกคนจะรู้ว่าเวลาก้าวเข้าสนาม คุณต้องทุ่มเต็มที่ใส่ให้สุดใน 90 นาทีนั้น ปัจจัยที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง คือการแยกให้ได้ว่าตอนไหนเขาเป็นนักฟุตบอล ตอนไหนเขาต้องเป็นลูกหรือนักเรียน ผมว่าสองสิ่งนี้มันอยู่ในตัวคนๆ เดียวกันแต่เด็กมักแยกไม่ออก บางคนต้องเล่นหนักในสนามด้วยตำแหน่งหน้าที่ บางทีต้องตัดเกม หรือมีบุคลิกแบดบอยแต่ต้องไม่ก้าวร้าว ซึ่งผมใช้คำว่าถ้าในสนามคุณกลัวหรือมัวแต่ก้มหัว คุณแพ้เรียบร้อยนะ โดนคู่ต่อสู้กดยับแน่นอน แต่บางทีเด็กไทยเอาเรื่องพวกนี้มาใช้นอกสนามด้วย ซึ่งผมถามว่าเอานิสัยนี้ไปใช้กับพ่อแม่ กับครู หรือกับเพื่อนๆ ได้เหรอ 

นักฟุตบอลดังๆ หลายคนโดนเตะนอกเกม เขาก็ลุกขึ้นมาชี้หน้าไม่พอใจได้ แต่จบเกมเขาแยกสองบริบทนี้และตีบทแตก ก็กลับมาเป็นคนไนซ์ ยิ้มแย้ม และพูดจาให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ อะไรแบบนี้คือสิ่งที่เด็กไทยขาด เพราะนักเลงคือเท่ ทรามคือเจ๋ง ผมคิดว่าเราต้องพัฒนาหรือทำให้เขาสามารถแยกสองก้อนนี้ออกมาได้ 

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนะ เพราะมนุษย์ที่มีวินัยมีมายด์เซ็ตที่ดีจะไม่มีทางล้มเหลว เขาจะสู้และดิ้นรนในทางของเขาไปได้เรื่อยๆ และคนแบบนี้ยังไงก็รอด ถึงจะแพ้จะพังก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ แต่กลับกัน เก่งแค่ไหนแต่ถ้าลำดับความคิดของตัวเองผิด วันหนึ่งก็ดับครับ”  

สำหรับกฎของผู้ปกครอง ลิ้มเข้าใจดีว่าพ่อแม่ทุกคนต่างอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ แต่ต้องไม่ลืมว่า พ่อแม่ไม่ใช่โค้ช บทบาทในการฝึกซ้อมและพัฒนาด้านฟุตบอลเป็นความรับผิดชอบของโค้ชและทีมงาน ส่วนพ่อแม่มีหน้าที่สำคัญที่สุดคือการเป็นแรงสนับสนุนทางใจ…ไม่ใช่แรงกดดันที่ทำให้ลูกสูญเสียความสุขในเกมฟุตบอลที่เขารัก

“ที่นี่มีกฎให้ผู้ปกครองตั้งแต่วันแรกที่เรารับเด็กเข้ามา ผู้ปกครองเป็นพลังที่ดีที่สุดของเด็ก ไม่ว่าเขาจะอายุกี่ขวบ เขาก็คือลูกของคุณ ผมเข้าใจว่าพ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกเก่งดังเหมือนนักกีฬาในทีวี แต่ต้องแยกแยะว่าความคาดหวังของคุณอาจเป็นความกดดันมากที่สุดในชีวิตเขา ผมเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากเห็นลูกไม่มีความสุข ดังนั้นสนับสนุนเขาดีกว่า ถ้าเขาทำดีก็ชื่นชม อย่าเพิ่งไปหลงใหลในแสงสี ส่วนวันที่เขาล้มก็ยื่นมือดึงเขาขึ้นมา ผมเห็นมาเยอะว่าล้มแล้วทับ ล้มแล้วเหยียบซ้ำ สุดท้ายมันเป็นยังไง ดังนั้นไม่เป็นไรให้กำลังใจกัน ส่วนทางเราจะมีภาคทฤษฎีมาตั้งคำถามคุยกับเด็กๆ หลังเกม เพื่อให้เขาเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล้วผมจะนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาพูดคุย มา Workshop กับผู้ปกครองทุกปี”

แพ้ชนะไม่สำคัญเท่าการได้เรียนรู้และยกระดับศักยภาพ

ในการแข่งขันกีฬา ทุกคนต่างอยากเป็นผู้ชนะ แต่เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ซึ่งเสน่ห์ของกีฬาคือไม่มีใครเป็นผู้ชนะหรือแพ้ไปตลอด ลิ้มเองก็เช่นกัน เขายอมรับว่าตัวเองชอบชัยชนะเหมือนทุกคน แต่เมื่อได้คลุกคลีอยู่กับโลกของฟุตบอลเยาวชน สิ่งที่เขาเรียนรู้ชัดเจนที่สุดคือชัยชนะในสนามอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าชัยชนะที่แท้จริงคือการที่เด็กๆ ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง เพราะนั่นคือบทเรียนที่จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต

“ฟุตบอลมีแบดเดย์กับกู๊ดเดย์ แล้วบางครั้งต่อให้เราทำดีแต่มันดันเป็นเพอร์เฟกต์เดย์ของคู่ต่อสู้ก็มี ดังนั้นสิ่งที่ผมโฟกัสคือมาตรฐานในการเล่น แม้ชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าเกิดแพ้แล้วผมเห็นว่าเบสิกบอล สปีดบอล และความเข้าใจเกมของเราดีกว่า ผมแฮปปี้นะ เพราะคุณสมบัติทั้งสามข้อจะช่วยให้เด็กๆ มีอนาคตที่ดีกว่า

ผมเข้าใจว่าประเทศเราจะมีความคิดว่า คนไทยแพ้ไม่ได้ ซึ่งผมเข้าใจนะ แต่มีใครไม่อยากชนะบ้าง ผมก็อยากชนะ แต่ชัยชนะในสนามด้วยรางวัล กับชัยชนะที่เห็นเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองแล้วพัฒนา อันไหนสำคัญกว่า ดังนั้นถ้าทุกคนเต็มที่แล้ว ถึงแพ้ผมก็เสียดายแต่ไม่เสียใจ”

อย่างไรก็ตาม ไม่มีทีมฟุตบอลใดบนโลกที่จะทำให้แฟนบอลทุกคนพอใจได้ทั้งหมด การเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคำต่อว่าหยาบคายที่มักลุกลามบานปลายบนโลกโซเชียล ซึ่งแม้แต่ทีมเยาวชนเองก็ไม่อาจรอดพ้นจากแรงกดดันนี้ ลิ้มยอมรับว่าแม้แต่ตัวเขาในฐานะผู้ใหญ่ยังรู้สึกเครียดกับคอมเมนต์รุนแรงเหล่านั้น แล้วเด็กๆ ที่ยังอยู่ในวัยเรียนรู้และกำลังสร้างความมั่นใจในตัวเองจะรับมือกับแรงกดดันเหล่านี้ได้ยากเพียงใด

“เรื่องสื่อก็มีทั้งที่ให้กำลังใจและพยายามลงข่าวลบๆ เพื่อเรียกยอด Engagement (การมีส่วนร่วม) แล้วทุกวันนี้ทุกคนมีเครื่องมือสื่อสาร มันก็ไม่มีใครที่ไม่อ่านคอมเมนต์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะลามปามกันไปเรื่องอื่นๆ ขนาดผมยังอยากถอยออกไปห่างๆ เลย กลับกันเด็กที่เป็นนักกีฬาจะรู้สึกยังไง เขาไม่ได้คิดได้เหมือนผู้ใหญ่ แพ้ก็ถูกด่า บางครั้งชนะก็ยังโดนเพราะชนะแค่ลูกเดียว ต่างกับบอลเด็กต่างประเทศที่ผมไปดู เอะอะเขาตบมือให้กำลังใจ ขนาดทีมคู่ต่อสู้ยิงได้เขายังชมว่าไนซ์โกล แบบโยนพลังบวกใส่กันมากๆ แล้วพอจบเกมผมได้ยินโค้ชเรียกเด็กๆ ที่เพิ่งแพ้มารวมกันแล้วพูดว่า “ยินดีกับผู้ชนะแล้วยอมรับความพ่ายแพ้ให้เป็น กลับไปทำงานของเราให้หนักกว่าเดิม วันนี้กลับไปพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้มา Recovery กัน” 

ที่นี่ผมจะให้เด็กๆ เรียนจิตวิทยาตั้งแต่อายุ 13 เราได้ ‘อาจารย์ปลา’ ผศ.วิมลมาศ ประชากุล นักจิตวิทยาการกีฬาที่ดูแลน้องเทนนิส พาณิภัค (เจ้าของเหรียญทองเทควันโดโอลิมปิกสองสมัย) กับวิว กุลวุฒิ (เจ้าของเหรียญเงินแบดมินตินโอลิมปิก) มาดูแลให้ความรู้เด็กๆ เพราะมันจำเป็นและดีสำหรับเขา ซึ่งผมทำไม่ได้ แต่แค่ Put the right man on the right job โดยมีมายด์เซ็ตเหมือนกันว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาเด็ก 

พอทำงานร่วมกันพบว่าเด็กๆ มีปัญหามาปรึกษาหลายอย่างครับ มีตั้งแต่กลัว เครียด นอนไม่หลับ บางคนถูกแฟนๆ กดดันว่าติดทีมชาติแล้วต้องเลี้ยงให้ผ่านทุกคนและยิงให้ได้ทุกนัด บางคนมีปัญหาติดทีมชาติมาหนนึงแต่รอบสองไม่อยากติดทีมชาติแล้ว เพราะยิ่งไทยเป็นเจ้าบ้านยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม ทุกเสียงที่ดังรอบสนามเขาฟังรู้เรื่องหมด บางคนตอนเล่นทีมชาติเครียดถึงขั้นอ้วกตอนพักครึ่งก็มี ถามว่าอะไรพวกนี้ฝึกได้ไหม…ฝึกได้ครับ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพลังบวก…ไม่ใช่พลังบวกเชิงลบนะครับ หรือจะตำหนิก็ตำหนิแบบคนญี่ปุ่นที่ตำหนิทีมของเขาแบบคนที่มีการศึกษา เพราะที่ผ่านมาปัญหาคือ เรามักคิดกันไม่รอบคอบว่าสิ่งที่คอมเมนต์ไปนักกีฬาอ่านแล้วจะรู้สึกยังไง” 

เรียนรู้ตลอดชีวิตและนำประสบการณ์ทุกอย่างกลับมาสะท้อนคิดเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงที่ผมได้พูดคุยกับลิ้ม สิ่งที่เห็นเด่นชัดในตัวเขาคือการไม่เป็น ‘น้ำเต็มแก้ว’ แต่เลือกเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งจากโค้ช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงเด็กๆ ที่เขาได้คลุกคลีและอยู่เคียงข้างเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งประสบการณ์ทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้เก็บไว้อย่างเดียว แต่ยังนำมาสะท้อนคิดเพื่อต่อยอดและพัฒนาตัวเอง ซึ่งผมมองว่านี่แหละคือภาพของ Growth Mindset ที่มุ่งยกระดับศักยภาพของตนอย่างต่อเนื่อง มากกว่าการไล่พิสูจน์ชัยชนะหรือคุณค่าในกรอบที่คนอื่นกำหนด

“ทุกวันนี้ผมยังต้องเรียนรู้พัฒนาอีกเยอะ เหมือนที่ผมบอกว่าทุกคนต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจอะไรก็ถาม และพยายามทำทีมด้วยการเปิดกว้างมากที่สุด  นอกจากนี้ ผมยังชอบศึกษาแนวคิดการทำฟุตบอลในต่างประเทศ เพื่อดูสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการทำทีมฟุตบอลว่าเขามีกระบวนการคิดยังไงถึงได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น  

กับเด็กๆ ผมยอมรับว่าโลกทุกวันนี้ไปเร็วมาก ผมรู้ว่าเราไม่อาจเข้าถึงโลกในแชทกลุ่มของพวกเขา ว่ากำลังคิดหรือวางแผนชวนกันไปทำอะไร แต่ถ้ามีเวลาว่างผมก็ชอบมาคุยกับเด็ก หรือวันไหนอยากกรอกข้อมูลหลักคิดแบบไหนให้เขาก็กรอก แล้วเด็ก 160 คน ก็ 160 แบบ วิธีการของผมต้องหลากหลาย บางคนต้องคอยเติมฟืน บางคนต้องใช้น้ำมัน หรือบางคนเร็วไปแล้วก็ต้องชะลอให้ใจเย็นๆ ผมพยายามสร้างบุคลากรให้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เขาก็ทำกันได้ดี เพราะเป้าหมายของผมคือ การเห็นเด็กๆ เติบโตขึ้นด้วยการพัฒนาตัวเอง ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเด็กคือคอมพิวเตอร์ที่พอป้อนมูลหรือเสียบ USB ไปแล้วต้องเก่งขึ้นทันที ขอแค่วันนี้เขาทำได้ดีกว่าเมื่อวาน อาจจะแค่ 1% สำหรับผมก็ถือว่าเขาพัฒนาขึ้น แล้วพอเห็นเขามีอนาคตที่ดีขึ้นเจริญขึ้น ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันคุ้มค่าและย้อนกลับมาเป็นพลังในการทำงานให้ผมเช่นกัน”

Tags:

Growth mindsetทักษะวินัยLearning by Doingฟุตบอลธัชธีรพนธ์ ลี่สันธิติกุลSTB Football Academy

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Character building
    Resilience : เลี้ยงลูกให้มี ‘ความยืดหยุ่นทางจิตใจ’ กลับมาตั้งต้นใหม่ได้ทุกเมื่อ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life Long Learning
    การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”

    เรื่องและภาพ PHAR

  • Growth & Fixed Mindset
    ความเหมือนต่างระหว่าง GROWTH MINDSET และ FIXED MINDSET

    เรื่องและภาพ KHAE

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง
Transformative learning
6 October 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 8 เสนอข้อตีความจากบทที่ 6 Defying Gravity : The Art of Flying by Our Bootstraps

สรุปอย่างสั้นที่สุดได้ว่า คนเราต้องรู้จักต้านแรงโน้มถ่วงทางสังคมและจิตวิทยา ที่ดึงเราลงต่ำ โดยมีวิธีดึง ‘พลังภายใน’ หรือ ‘พลังซ่อนเร้น’ ออกมากระทำการ โดยการช่วยเหลือผู้อื่น หรือช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นทีม ดังกรณีของ ‘มนุษย์ทองคำทั้ง 13’

เขาเดินเรื่องด้วย ‘มนุษย์ทองคำทั้ง 13’ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สามารถร่วมกันเอาชนะ ‘แรงโน้มถ่วง’ ที่มีร่วมกัน คือความเป็นคนดำ ที่ไม่เคยได้รับโอกาสให้เข้าฝึกในโรงเรียนนายทหารเรือมาก่อน ร่วมกันฝึกฝนสอนกันเองอย่างเอาจริงเอาจัง จนเรียนจบเป็นนายทหารเรือที่ได้คะแนนดีกว่าเพื่อนคนขาวในรุ่น เป็นการ ‘ถอดบทเรียน’ จากคนทั้ง 13 ว่าดึงพลังซ่อนเร้นภายในตนออกมาใช้อย่างไร

สอนซึ่งกันและกัน

ในการเผชิญสิ่งยาก อาวุธแรกที่ต้องการคือ กระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) หรือใจสู้นั่นเอง โดยเชื่อว่าตนเองหรือพวกตน หรือคนเราทั้งมวล พัฒนาได้ โดยต้องใช้ร่วมกับตัวช่วย ที่เป็น ‘บันได’ หรือ ‘นั่งร้าน’ (Scaffold) ช่วยการ ปีนที่สูง หรือสู้สิ่งยาก โดยตัวช่วยอาจมาจากผู้อื่น หรือสร้างตัวช่วยให้แก่ตนเอง

ในกรณีของ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ เขาร่วมกันสร้างนั่งร้านให้แก่ตนเอง

ระบบการศึกษาต้องสร้าง ‘วัฒนธรรมสู้สิ่งยาก’ (Cultures of Embracing Challenges) ขึ้นในระบบ เพื่อสร้างจริตสู้สิ่งยาก ไม่ยอมแพ้อุปสรรค ขึ้นในนักเรียน เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีจริตสู้สิ่งยาก ออกไปทำหน้าที่พัฒนาบ้านเมือง

‘13 มนุษย์ทองคำ’ ร่วมกันสร้างนั่งร้านให้แก่ตนเองโดยผลัดกันสอน เอาเรื่องที่อยู่ในหลักสูตร และที่ครูสอน มาสอนกันเองให้ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้งและปฏิบัติได้ เวลานี้เป็นที่รู้กันว่า วิธีเรียนที่ดีที่สุดคือสอนผู้อื่น ที่เรียกว่า Tutor effect ‘นั่งร้าน’ ที่เขาร่วมกันสร้าง คือการนัดหมายมาเรียนเสริมด้วยกันโดยมอบหมายให้แต่ละคนทำหน้าที่ ‘ครูสอน’ คนละส่วน มีการไปค้นคว้าหาหลักการและวิธีการมาทำความเข้าใจและฝึกปฏิบัติ

ผลคือ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ สอบผ่านเป็นนายทหารเรือด้วยคะแนนสูงลิ่ว ลบคำสบประมาทว่าคนดำไม่มีความสามารถ

ศักยภาพที่ไม่คาดฝัน

เพราะเป็นการฝึกนายทหารระหว่างสงคราม จึงต้องใช้หลักสูตรเร่งรัด ลดเวลาเหลือครึ่งเดียวของหลักสูตรปกติ ทีมหลายคนไม่เชื่อว่าจะสามารถเรียนและฝึกสมรรถนะตามที่กำหนดได้ในเวลาสั้นขนาดนั้น

เป็นวิถีปฏิบัติมานาน ว่าการเรียนในโรงเรียนนายเรือ ไม่ทุกคนที่สอบผ่าน นักศึกษาจึงเรียนแบบแข่งขันกัน เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นที่โหล่และสอบตก แต่ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ ปฏิบัติตรงกันข้าม คือเรียนแบบร่วมมือและช่วยเหลือกัน ด้วยอุดมการณ์ “ผ่านด้วยกัน หรือสอบตกด้วยกัน” ที่ช่วยเพิ่มพลังสู้สิ่งยากของกลุ่ม

ใครเก่งหรือถนัดด้านไหน ก็ทำหน้าที่ ‘ครู’ ด้านนั้นให้แก่กลุ่ม ช่วยให้ ‘ครู’ ได้ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองออกมา ตาม Tutor Effect

ใช้คำแนะนำของตนเอง

ที่จริง ‘13 มนุษย์ทองคำ’ ไม่เพียง ‘สอน’ (Teach) กันเองเท่านั้น แต่ยัง ‘โค้ช’ (Coach) กันเองด้วย โดยหลักการคือ การสอนช่วยยกระดับสมรรถนะ (Competence) การโค้ชช่วยยกระดับความมั่นใจ (Confidence) ที่ผมตีความต่อว่า การโค้ชชักนำให้เราเรียนรู้เชิงรุก คือปฏิบัติการเพื่อการเรียนรู้ของตนเอง แล้วนำประสบการณ์จากการปฏิบัติสู่การใคร่ครวญสะท้อนคิด ตอบคำถามที่หลากหลาย ที่ตนเองหรือกลุ่มผู้เรียนช่วยกันตั้ง และโค้ชช่วยเป็นนั่งร้าน สู่การยกระดับค่านิยม เจตคติ ทักษะ และความรู้ ที่เรียกว่าเกิดการเรียนรู้ครบด้านหรือเป็นองค์รวม โดยมองอีกมุมหนึ่ง เป็น การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์

ที่น่าสนใจมากคือ ทั้งการสอนและโค้ชผู้อื่น ส่งผลกลับมาที่ตนเองด้วย คือช่วยยกระดับสมรรถนะ และความมั่นใจของตนเองที่เป็นผู้สอนและโค้ชให้แก่เพื่อนๆ โดยไม่รู้ตัว เรียกว่า Coaching Effect ที่ผู้ทำหน้าที่โค้ชเองเกิดความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น คำแนะนำหรือคำถามที่ให้แก่เพื่อน สะท้อนกลับมาที่ตนเอง โดยไม่รู้ตัว ช่วยยกระดับความคาดหมายต่อตนเอง และช่วยกระตุ้นความมานะพยายามของตนเอง เป็นผลดีของการเรียนแบบร่วมมือกัน (Collaborative Learning)

เขาบอกว่า การสอนและโค้ชผู้อื่น ในหลายกรณีมีผลดียิ่งกว่ารับการสอนและการโค้ชจากครู

จึงขอแนะนำครูไทย ว่าควรพิจารณาทดลองฝึกให้นักเรียนชั้นโตช่วยสอนและโค้ชน้องชั้นเล็กกว่า เพื่อใช้ Tutor Effect และ Coaching Effect ช่วยหนุนการพัฒนาตนเองของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาทักษะเชิงบุคลิก (Character Skills) ของตนเอง

‘13 มนุษย์ทองคำ’ เริ่มต้นการเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือด้วยความไม่มั่นใจตนเอง แต่เมื่อร่วมกันสร้างทีมเรียนด้วยกัน ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้น เป็นความมั่นใจต่อตนเอง แต่พวกเขาก็ยังต้องฟันฝ่าความไม่มั่นใจของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของครู

ปีนภูเขาแห่งความไม่มั่นใจ

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ของตนเอง และของผู้อื่น อย่างซับซ้อน ทั้งอิทธิพลของความคาดหวัง และอิทธิพลของความเชื่อมั่น

เขาเดินเรื่องด้วยผู้หญิงอเมริกันตัวเล็กๆ ที่มุ่งมั่นพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ที่ต้องใช้เงินมาก แต่ตัวเองไม่มีเงินมากพอ ต้องหาวิธีจัดทีมหรือคณะปีนเขา และขอสปอนเซอร์จากบริษัทใหญ่ๆ ที่ในที่สุดก็ได้ปีน และเหลืออีกเพียง 100 เมตรก็จะถึงยอด อากาศไม่อำนวย ต้องตัดสินใจเดินกลับ ที่ข่าวสาธารณะเยาะเย้ยถากถางมากมาย ที่ทำลายความมั่นใจของเธอ

จุดประกายความท้าทาย 

นำสู่การทำความเข้าใจปัจจัยสู่ความสำเร็จสองประการที่เชื่อมโยงกัน คือความคาดหวัง (Expectation) ของผู้อื่น กับความน่าเชื่อถือ (Credibility) ของผู้แสดงความคาดหวังนั้นต่อตัวเรา หากปัจจัยทั้งสองประการนี้สูง โอกาสพิชิตสิ่งยากก็สูง สภาพเช่นนี้เป็นเรื่องตรงไปตรงมา

แต่มีสภาพทางจิตวิทยา ที่ตัวเรานำมาใช้ประโยชน์ได้ คือในสภาพที่ ผู้อื่นให้ความคาดหวังต่ำ แต่เรามีความเชื่อว่าผู้อื่นนั้นไม่น่าเชื่อถือ (สภาพ Low Expectation + Low Credibility) ความคาดหวังต่ำนั้นจะกลายเป็นคุณหรือเป็นพลังให้แก่เรา โดยช่วยให้ความท้าทายให้เรามุมานะเอาชนะเสียงดูหมิ่นดูแคลนนั้นให้ได้

ในการเอาชนะสิ่งยาก ‘เสียงนกเสียงกา’ หรือเสียงกองเชียร์ มีสองกลุ่ม คือกลุ่ม ‘ผู้รู้’ กับกลุ่ม ‘ผู้เริ่มต้น’ เสียงความคาดหวังต่ำจากกลุ่มผู้รู้ย่อมทำให้เราถูกทำลายความมั่นใจลงไปมาก สภาพเช่นนี้ในทางจิตวิทยาเรียกว่า Golem Effect แต่เสียงความคาดหวังต่ำจากกลุ่มผู้เริ่มต้น หรือกลุ่มที่ตัวเราไม่เชื่อถือ จะกลายเป็นตัวกระตุ้น ‘แรงฮึด’ ในตัวเราขึ้นมาสู้

แต่สภาพที่เอาชนะยากที่สุด เรียกว่าสภาพ ‘ไก่รองบ่อน’ (Underdog) ที่ไม่มีความสนใจจากกลุ่มผู้รู้เลย ไม่มีเสียงแสดงความคาดหวังใดๆ ไม่ว่าด้านหวังสูงว่าจะสำเร็จ หรือหวังต่ำคือว่าจะไม่สำเร็จ มีแต่เสียงดูถูกจากฟากกลุ่มผู้เริ่มต้นหรือผู้ไม่รู้จริง สะท้อนว่า เรื่องที่เรากำลังพยายามทำนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีความหมาย ไม่น่าสนใจจากวงการนั้นๆ

ชูคบไฟแห่งชัยชนะ

การสู้สิ่งยาก ต้องการแรงดันจากเสียงดูหมิ่นดูแคลนจากเสียงนกเสียงกาที่ไม่น่าเชื่อถือ และแรงดึงจากความหมาย หรือคุณค่า ของสิ่งที่ต้องการเอาชนะหรือต้องการบรรลุนั้น

ในกรณีของสตรีร่างเล็กนักไต่เขาอเมริกันท่านนี้ มีความใฝ่ฝันส่วนตัวเป็นพื้นฐานพลัง มีแรงดันจากเสียงดูหมิ่นโดยสื่อมวลชน เธอสร้าง ‘แรงดึง’ ขึ้นเอง จากสหายที่เตรียมร่วมปีนเขาเอเวอร์เรสต์ด้วยกันที่ด่วนตายไปเสียก่อน เธอจึงตั้งเป้าพิชิตเอเวอร์เรสต์เพื่อเป็นเกียรติแก่สหายผู้นี้ เป็นการตั้งเป้าชูคบไฟแห่งชัยชนะเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเอง

การสู้สิ่งยาก นอกจากต้องการสมรรถนะ หรือทักษะทางเทคนิก ในการดำเนินการแล้ว ยังต้องการพลังทางใจ หรือทางจิตวิทยา ที่ช่วยให้มุ่งมั่นฟันฝ่าต่อสู้ ไม่ท้อถอยหรือล้มเลิก ที่เรียกว่าทักษะเชิงบุคลิก ที่เป็นพลังซ่อนเร้นในมนุษย์

คนที่ได้รับแต่เสียงเชียร์ ไม่เคยต้องฟันฝ่าเสียงไม่พอใจ ไม่เห็นคุณค่า หรือเสียงคัดค้าน ยังไม่มีโอกาสได้ฝึกปลุกพลังซ่อนเร้นของตนเอง

ฟันฝ่าสู่ชัยชนะ

เส้นทางฟันฝ่าสู่ความสำเร็จของคนเรามี 2 แบบ คือเส้นทางปีนสู่ที่สูงคล้ายปีนเขา กับเส้นทางเดินทางข้ามหุบเหว หรือฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม สู่ความสำเร็จที่อีกฝั่งหนึ่งของหุบเหว ชีวิตคนเราต้องฟันฝ่าทั้งสองแบบ และการฟันฝ่าทั้งสองแบบเป็นโอกาสฝึกปลุกพลังซ่อนเร้นของตนเองออกมาใช้งาน ผ่านการฝึกยกระดับทักษะเชิงบุคลิก (Character Skills) ของตนเอง

‘13 มนุษย์ทองคำ’ ต้องฟันฝ่าผ่านพฤติกรรมดูถูกคนดำ มากมายหลากหลายรูปแบบ ในระหว่างการฝึก ส่วนหนึ่งกลายเป็นแรงดัน หรือแรงฮึด ผ่านมุมมองของสมาชิกว่าเสียงดูถูกเหล่านั้น ไม่น่าเชื่อถือ แรงฮึดนี้ยิ่งมีพลังสูง เมื่อเป็น ‘แรงฮึดหมู่’ หรือ ‘แรงฮึดของกลุ่ม’ สู้คำดูแคลนว่าคนดำเป็นนายทหารเรือคุณภาพสูงไม่ได้ เท่ากับคำดูแคลนช่วยเป็นพลังให้ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ ร่วมกันปีน ‘หุบเหวมรณะ’ ทางสังคมของพวกตน ให้จงได้

ในทางจิตวิทยา การที่ปัจเจกแต่ละคนมี ‘ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง’ (Sense of Belonging) ของกลุ่ม หรือพวกพ้อง ผู้นั้นจะรู้สึกสบายใจ หรือปลอดภัย ที่จะลงมือทำสิ่งยาก นี่คืออีกคุณค่าของการเรียนเป็นทีม

พลังของเป้าหมายที่สูงส่ง

ผมขอเพิ่มเติม พลังของ ‘เป้าหมายที่สูงส่ง’ (Purpose) เป็นอีกพลังสำหรับเอาไว้ต่อสู้แรงโน้มถ่วง ต่อการสู้สิ่งยาก เป้าหมายที่สูงส่ง เป็นเป้าหมายเพื่อประโยชน์อันไพศาล เหนือผลประโยชน์ของตนเอง หากเป้าหมายนี้มีความคมชัด ประจักษ์ชัดในคุณค่าที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวม จะเกิด ‘พลังศรัทธา’ หรือพลังของความเชื่อ เชื่อในคุณค่ายิ่งใหญ่ของสิ่งที่กำลังมานะพยายามบรรลุให้ได้ บุคคลหรือกลุ่มคนที่ร่วมกันดำเนินกิจกรรมนั้น จะได้รับ ‘พลังจักรวาล’ มาช่วยยามคับขัน โดยไม่รู้ตัว

เป้าหมายที่สูงส่ง สามารถทำหน้าที่รวมพลัง หรือดูดพลัง จากแหล่งต่างๆ มาร่วมกระทำการเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่สูงส่งนั้น เป็นพลังที่ลี้ลับในทำนองเดียวกันกับพลังซ่อนเร้นในมนุษย์

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP7 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

Tags:

Growth mindsetศ.นพ.วิจารณ์ พานิชปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP13: สรุป 40 หลักการ สำหรับนำไปปฏิบัติ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP12: เดินทางไกล

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘โรงเรียนไทย X โรงเรียนนานาชาติ’ Equity Partnership’s School Network เติมเต็มทักษะ เสริมสร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
Voice of New Gen
6 October 2025

‘โรงเรียนไทย X โรงเรียนนานาชาติ’ Equity Partnership’s School Network เติมเต็มทักษะ เสริมสร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • โชว์เคสรวมผลิตภัณฑ์งานคราฟท์ ผลงานนักเรียนจากเครือข่ายโรงเรียนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนนานาชาติ จากโครงการนวัตกรรมเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity Partnership’s School Network)
  • รูปแบบของโครงการเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนจากโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ ระดมความคิดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรในท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าและคุณภาพตอบโจทย์ลูกค้า โดยมีพี่ๆ จาก Sea (ประเทศไทย) และ Shopee ช่วยสอนทักษะการตลาดออนไลน์และ E-Commerce และจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม Shopee 
  • มากกว่าความสำเร็จของผลิตภัณฑ์งานคราฟท์ของนักเรียนทั้งไทยและนานาชาติ คือการได้เรียนรู้และเติมเต็มทักษะจากการทำงานร่วมกัน ทั้งการสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี เพื่อนำสิ่งที่มีมาต่อยอดเพิ่มมูลค่า รวมไปถึงได้มิตรภาพดีๆ กลับมาด้วย

‘ให้โอกาส เป็นของขวัญ’ Equity Partnership’s School Network

นี่คือแคมเปญของร้านเล็กๆ ใน Shopee ที่รวมผลิตภัณฑ์งานคราฟท์ ผลงานนักเรียนจากเครือข่ายโรงเรียนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนนานาชาติ โดยการสนับสนุนของ Sea (ประเทศไทย) และ Shopee ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยั่งยืนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยโครงการนวัตกรรมเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity Partnership’s School Network) ได้ดำเนินการมาถึงซีซั่นที่ 6 แล้ว มีโรงเรียนไทยเข้าร่วม 69 แห่ง สร้างสรรค์สินค้ากว่า 3,700 ผลงาน  ยอดขายรวม 1.9 ล้านบาท 

ล่าสุด Equity Partnership’s School Network Season 6 ได้จัดงานโชว์เคสความสำเร็จไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีทีมนักเรียนไทยและนักเรียนนานาชาติเข้าร่วมทั้งหมด 10 ทีม 10 ผลิตภัณฑ์  ได้แก่

1.ถุงหอมผ้าบาติก แบรนด์  ‘BATIKET’ โรงเรียนหงษ์หยกบำรุง จ.ภูเก็ต x Rugby School Thailand 

2.กระเป๋าสานจากเตยป่า แบรนด์ ‘Between Us & Trees’ โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร จ.พัทลุง x Satit Prasarnmit International 

3.กาแฟดริปสำเร็จรูป แบรนด์ ‘Bonnery’ โรงเรียนหนองบอนวิทยาคม จ.ตราด x Denla British School 

4.กระถางต้นไม้เปลือกหอยนางรม แบรนด์ ‘Saming Craft’ โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม ‘จงจินต์รุจิรวงศ์อุปถัมภ์’ จ.ตราด x Denla British School

5.แก้วเรซิ่นจากไม้มะขาม  แบรนด์ ‘รัก(ษ์)จันท์’ โรงเรียนบ้านคลองครก x Ascot International School  

6.น้ำยาขัดเครื่องหนังจากเปลือกกล้วยและมะม่วง แบรนด์ ‘REVAX’ โรงเรียนบ้านหลวงวิทยา จ.นครปฐม x  Ascot International School 

7.เซ็ตเครื่องประดับ แบรนด์ ‘KTBURY’ โรงเรียนแก่นทองอุปถัมภ์ กทม. x  Shrewsbury International School 

8.สบู่สมุนไพรออแกนิก กลิ่นดอกไม้ แบรนด์ ‘พราว’ โรงเรียนแก่นทองอุปถัมภ์ กทม. x  Rugby International School 

9.เครื่องประดับ โบว์ผูกผมย้อมครั่ง+เรซิ่น แบรนด์ ‘ฮักษ์-มั่น-ก๋ง’ โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา จ.ลำปาง x มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง

10.ถุงหอมมะหมากมาศ ราชาแห่งสมุนไพรล้านนา แบรนด์ ‘เมาะ มาศ เมี่ยน’ โรงเรียนแม่เมาะวิทยา จ.ลำปาง x  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง

รูปแบบของโครงการเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนจากโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ ในระยะเวลากว่า 8 เดือน ระดมความคิดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรในท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าและคุณภาพตอบโจทย์ลูกค้า โดยมีพี่ๆ จาก Sea (ประเทศไทย) และ Shopee ช่วยสอนทักษะการตลาดออนไลน์และ E-Commerce จากนั้นจึงจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม Shopee 

สำหรับปีนี้ ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กระเป๋าสานใบเตยป่า ‘Between Us and Trees’ จากโรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร จังหวัดพัทลุง ที่จับคู่กับ Satit Prasarnmit International School (SPIP)

“ไอเดียเกิดจากการที่เราไปเจอผลงานของพี่ๆ ชาวมันนิ ที่มีความชำนาญในการสานของจากในป่า เลยได้นำผลงานและฝีมือการสานของพี่ๆ ชาวมันนิมาออกแบบรูปแบบและรูปทรงต่างๆ ครับ” อานัส แก้วหนูนวล โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร เล่าถึงที่มาของการนำวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์

แต่กว่าจะมาลงตัวในรูปแบบกระเป๋า แก้วกัญญา บุศราวงศ์ จากโรงเรียนนานาชาติ SPIP บอกว่ามีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของใบเตยป่า

“โปรดักส์เริ่มแรกเราอยากทำเป็นซองใส่ไอแพดเล็กๆ ที่สามารถใส่ปากกาและของเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วย แต่พอไปทำไปจริงๆ ก็ค้นพบว่าวัสดุมันไม่เหมาะสมค่ะ เราเลยปรับเปลี่ยนโดยกลับไปดูว่าโปรดักส์แรกของชาวมันนิคืออะไร เราเห็นว่าเขาทำเป็นกระเป๋า เลยหยิบจากตรงนั้นมาทำให้ดูมีความโมเดิร์นขึ้น ปรับให้เป็นลักษณะของ Tote Bag แทน ซึ่งคนทั่วไปน่าจะใช้เยอะกว่าค่ะ”

หลังจากได้ใช้เวลาทำงานร่วมกันมากว่า 8 เดือน นอกจากผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจะได้รับการตอบรับดีเกินคาด อานัสบอกว่า ตัวเองได้เรียนรู้มากมายจากพี่ๆ “อย่างการออกแบบโลโก้ พี่ๆ เขาเก่งเรื่องของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี ผมก็ได้เรียนรู้จากเขา แล้วจากงานนี้ผมได้ทักษะอะไรหลายอย่างครับ อย่างเช่นกล้าแสดงออกมากขึ้น พูดเก่งขึ้นบ้าง และการทำงานครั้งนี้ก็สนุกมากครับ”

ที่สำคัญคือมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างสองโรงเรียน มาร์โก ถนัดสร้าง SPIP พูดถึงความประทับใจว่า “ถึงแม้ว่าเราจะมีความแตกต่างกัน แต่เราก็สามารถสร้างมิตรภาพ รวมทั้งได้เรียนรู้ที่จะมองโลกจากมุมมองของพวกเขา ในขณะที่ก็ยังคงหาจุดที่เราสามารถสนุกและมีเวลาที่ดีร่วมกับน้องๆ ได้ครับ”

ถัดมากับทีมที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ผลิตภัณฑ์กระถางต้นไม้เปลือกหอยนางรม ‘Densamingthara’ ของ โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม ‘จงจินต์รุจิรวงศ์อุปถัมภ์’ จับคู่กับ Denla British School (DBS)

“ผลงานชิ้นนี้ทำจากเปลือกหอยนางรมที่มาจากจังหวัดตราด เพราะคนเราจะกินแต่เนื้อ เปลือกหอยนางรมจึงถูกทิ้งไป เราเลยมองว่าน่าจะดีถ้านำเปลือกหอยนางรมมาเพิ่มมูลค่า เลยเลือกที่จะนำไปโม่ ซึ่งพอโม่เสร็จก็จะออกมาลักษณะเหมือนเม็ดทราย เราเลยเอาไปผสมกับปูนซีเมนต์และน้ำ จากนั้นก็น้ำมาเทใส่แม่พิมพ์ ก็จะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์กระถางต้นไม้” อุสสิตา สมหวัง จากโรงเรียนนานาชาติเด่นหล้า เล่าถึงที่มา ขณะที่ มณีวรรณ ห่างภัย โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม เสริมว่า

“หลังจากมีการเสนอไอเดียกันว่าจะทำเป็นกระถาง ก็มีการคุยกันว่าเราจะทำเป็นรูปทรงอะไร ก็ได้มาเป็นหมาหลังอาน เพราะเป็นสัตว์ประจำจังหวัดตราด เราก็เลยเอามาใช้เพื่อเป็นตัวแทนของจังหวัดด้วย”

แน่นอนว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจแล้ว ยังมาจากการแบ่งงานกันทำตามความถนัดและมีการสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ 

“น้องๆ ก็จะชำนาญเกี่ยวกับพื้นที่ ว่าคนท้องถิ่นเขาทำมาหากินอะไร มีของดีอะไร ส่วนฝั่งพวกหนูจะถนัดเรื่องเทคโนโลยี ก็เลยจะดูแลเรื่องออกแบบแพกเกจจิ้งและทำมาร์เก็ตติ้ง ส่วนน้องๆ เขาจะโฟกัสเรื่องผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งพอเราแบ่งงานกันชัดเจน ก็ทำให้ทีมเวิร์กดีขึ้นมากๆ เวลาเราคุยแลกเปลี่ยนกันว่าจะทำยังไงให้ดีขึ้น พอเราเปิดใจรับฟังมันเลยออกมาได้ดีค่ะ” มุก กล่าว

มากไปกว่านั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยังทำให้แต่ละคนได้ ทักษะที่เพิ่มขึ้น นภัสสร อยู่ยืน โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม บอกว่าเธอได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หลายอย่าง เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การเขียน story และยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารด้วย

สุดท้ายกับทีมที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ผลิตภัณฑ์กาแฟดริปสำเร็จรูป ‘Den Bon Cofee’ จากโรงเรียนบ้านหนองบอน จังหวัดตราด จับคู่กับ Denla British School (DBS)

“ทางโรงเรียนหนองบอนวิทยาคม เรามีไร่กาแฟของตัวเอง จากเดิมโรงเรียนมีผลิตภัณฑ์ชื่อเก่า หนองบอน อีซี่คอฟฟี่ ก็เลยพัฒนาต่อยอดมาเป็น Bonnery กาแฟดริปในปัจจุบัน” กมลพร สินสมุทร โรงเรียนบ้านหนองบอน กล่าวถึงจุดเริ่มต้น ก่อนที่ อรินย์ เลียวกิจสิริ เล่าถึงการมีส่วนร่วมของโรงเรียนนานาชาติเด่นหล้าว่า ได้เข้ามาช่วยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการรีแบรนด์ให้ตัวผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

ในการทำงานร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ทั้งสองโรงเรียนก็ได้เก็บเกี่ยวข้อดีของอีกฝ่ายนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง

“ได้ทักษะการทำงานเป็นทีมค่ะ โดยทางเราและนานาชาติจะมีการประชุมออนไลน์ทุกสัปดาห์ เพื่อจะมารายงานผลและสรุปผลการทำงานของแต่ละคนในแต่ละหน้าที่ของทุกคนค่ะ

นอกจากนี้ก็ได้เรียนรู้หลากหลายมุมมอง ทางอินเตอร์จะเป็นแนวเปิดกว้าง ส่วนทางโรงเรียนไทยก็อาจจะแบบยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์ นานาชาติก็จะเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้  เราก็อ๋อ…มีแบบนี้ด้วยเหรอ” กมลพร กล่าว

ขณะที่ อรินย์บอกว่า “ได้เห็นถึงความสม่ำเสมอของการสื่อสารของโรงเรียนไทย สะท้อนว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะพัฒนาและประยุกต์ใช้กับตัวเองในอนาคต”

สำหรับรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กมลพรบอกว่าจะนำไปใช้เพื่อขยายโอกาสนักเรียนโรงเรียนหนองบอนให้มากขึ้น 

“โรงเรียนหนองบอนวิทยาคมเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในจังหวัดตาก ทุกคนยังไม่ค่อยรู้จัก ก็เลยอยากให้ทุกคนได้มองเห็นว่า โรงเรียนเล็กๆ โรงเรียนนึงก็มีความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำรายได้เข้าโรงเรียน ซึ่งอนาคตโรงเรียนก็จะมีการเปิดคาเฟ่เล็กๆ แล้วในอนาคตจะมีการทำผลิตภัณฑ์ เช่น สครับ และสบู่จากกากกาแฟด้วยค่ะ”

สำหรับใครที่สนใจอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของน้องๆ เข้าไปชมและเลือกซื้อได้ที่ https://shopee.co.th/m/EquityPartnerships รายได้ทั้งหมดของโครงการจะนำไปใช้สนับสนุนเด็กและเยาวชนของโรงเรียนเครือข่ายในพื้นที่ห่างไกล 

Tags:


Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อต้องคุยกับเด็กเรื่อง ‘สงคราม’ ขอให้หล่อหลอมสันติภาพในหัวใจเขา

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Social Issues
    ‘ภูมิ – ธนโชติ ตาลี้’ ก้าวข้ามความยากจน สู่อนาคตจิตแพทย์ ด้วยโอกาสทางการศึกษา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Social Issues
    หยุดบูลลี่! ที่การไม่เพิกเฉย เติม Empathy ในหัวใจและในระบบดูแลเด็ก: หมอจอย-ลลิต ลีลาทิพย์กุล

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘Lampang One Team’ พลังเครือข่ายตำบลลำปางหลวง ที่โอบรับเด็กทุกคนสู่เส้นทางการศึกษาคุณภาพ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

ที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้: เมื่อหยุดค้นหาจึงได้ค้นพบ
Book
2 October 2025

ที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้: เมื่อหยุดค้นหาจึงได้ค้นพบ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • หนังสือ ‘ที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้’ หรือชื่อภาษาสเปนว่า El major lugar del mundo es aqui mismo เขียนโดย ฟรานเซส มิราเยส ร่วมกับ กาเร ซันโตส แปลเป็นภาษาไทยโดย รัศมี กฤษณมิษ เป็นหนังสือแนวอบอุ่นฮีลใจ อ่านง่ายย่อยง่าย แต่อาจช่วยให้คุณค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่คุณยังหาไม่พบ
  • หนังสือเล่าเรื่องของ อิรีส หญิงสาวที่สิ้นหวังหลังสูญเสียครอบครัว แต่การได้พบ ร้านกาแฟลึกลับ และชายชื่อ ลูกา ทำให้เธอเรียนรู้การปล่อยวางอดีต อยู่กับปัจจุบัน และค้นพบว่าความสุขแท้จริงอยู่ใกล้ตัวเสมอ
  • เมื่อเราตระหนักว่า ช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นช่วงเวลาเดียวที่เรามีอยู่จริง ช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่เราสามารถลงมือทำสิ่งที่อยากทำ เราจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างที่เคยใฝ่ฝัน เคยตั้งความหวัง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้

หลายคนอาจจะเคยอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า ‘ปัจจุบันเป็นเวลาประเสริฐสุด’ หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานเขียนของพระอาจารย์ ติช นัท ฮันห์ พระนิกายเซนชาวเวียดนาม ซึ่งเนื้อหาโดยสรุปของหนังสือ พูดถึงความสำคัญของการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่จมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และไม่เพ้อฝันไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

เปล่าหรอกครับ บทความชิ้นนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้หรอก เพียงแต่ว่า หนังสือเล่มที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟัง มีบางแง่มุมที่ชวนให้นึกถึงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

หนังสือเล่มที่ผมกำลังจะเขียนถึง มีชื่อว่า ‘ที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้’ หรือชื่อภาษาสเปนว่า El major lugar del mundo es aqui mismo เขียนโดย ฟรานเซส มิราเยส ร่วมกับ กาเร ซันโตส แปลเป็นภาษาไทยโดย รัศมี กฤษณมิษ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ความยาวไม่ถึง 200 หน้า ซึ่งสามารถอ่านจบได้ในเวลาไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมง

เมื่อดูจากหน้าปก ที่เป็นภาพวาดคาเฟ่สีพาสเทลน่ารักๆ บวกกับคำโปรยหลังปก ก็พอเดาได้ว่า นี่คือหนังสือแนวอบอุ่นฮีลใจ อ่านง่ายย่อยง่าย ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่ผมอยากจะบอกว่า สิ่งที่ดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์  มิหนำซ้ำ ความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา อาจเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ในวันที่เหนื่อยล้า หรือผิดหวังกับเรื่องราวแย่ๆ ในชีวิต

ไม่ต่างจากคนที่กำลังป่วย หรือเพิ่งหายจากป่วย ข้าวต้มหรือโจ๊กร้อนๆ สักชาม พร้อมกับข้าวที่ย่อยง่าย อาจเหมาะกับคนนั้นมากกว่าอาหารมื้อใหญ่ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย 

เช่นเดียวกัน หนังสือเล่มเล็กที่อ่านง่ายย่อยง่ายเล่มนี้ อาจช่วยให้คุณค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่คุณยังหาไม่พบ หรืออาจจะดีกว่านั้นอีก ถ้าหนังสือเล่มนี้ ช่วยให้คุณระลึกได้ว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่เพียรพยายามแสวงหามาตลอด คือสิ่งที่คุณมีอยู่กับตัวอยู่แล้ว หากเพียงแต่หลงลืมว่าเก็บมันไว้ที่ไหนเท่านั้นเอง

อิรีส หญิงสาววัยสามสิบหก เพิ่งสูญเสียพ่อกับแม่ไปด้วยอุบัติเหตุ เธออยู่ลำพังตัวคนเดียว ทำงานรับโทรศัพท์ที่บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง อิรีสไม่ชอบงานที่ทำหรอก แต่เธอก็ทนทำไป เหมือนกับที่เธอทนใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายไปวันๆ

เธอไม่รู้เลยว่า ความหมายของชีวิตคืออะไร หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า เธอไม่รู้เลยว่า จะค้นหาความสุขให้กับชีวิตได้อย่างไร

แน่นอนว่า อิรีส เคยพบเจอสิ่งดีๆ ในชีวิต แต่มันก็ล้วนกลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนวัยรุ่น เธอเคยพบชายหนุ่มที่ทำให้หัวใจเธอพองโต แต่เรื่องนั้นก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เธอเคยเลี้ยงหมาน่ารักตัวหนึ่ง แต่มันก็จากไปแล้ว เธอเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่นั่นก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อิรีส กลายเป็นคนยึดติดอยู่กับอดีต ช่วงเวลาปัจจุบันของเธอ จึงเป็นแค่การใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ความหมายและไร้ความสุข

อ่านมาถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปรากฎการณ์ทางจิตใจที่เรียกว่า การโหยหาอดีต (Nostalgia) ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนหลายๆ คนในโลกปัจจุบัน คนที่อาการโหยหาอดีต มักจะรู้สึกว่า ช่วงเวลาในอดีตเป็นช่วงเวลาที่ดีงามกว่าปัจจุบัน

ทั้งที่โลกปัจจุบัน มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายกว่าอดีต ทั้งการเดินทาง การติดต่อสื่อสาร การมีเครื่องมือเครื่องใช้ช่วยผ่อนแรง หรือกระทั่งการมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) ที่ช่วยย่นเวลาในการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลจำนวนมาก แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังรู้สึกว่า วันวานยังหอมหวานกว่าวันนี้

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสมองของคนเรา มักเลือกจดจำแต่สิ่งดีๆ โดยลบเลือนหรือมองข้ามเหตุการณ์แย่ๆ ที่ไม่สำคัญไป ทำให้ภาพความทรงจำของเรา มักจะเป็นภาพที่สวยงาม อบอุ่น อ่อนโยนและอ่อนเยาว์

นอกจากนี้ ช่วงวัยเยาว์ของคนส่วนใหญ่ มักเป็นช่วงชีวิตที่ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบ เหมือนช่วงชีวิตที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้น จึงไม่แปลกที่อดีต จะเป็นอะไรที่งดงามและชวนให้โหยหา

แต่เอาเข้าจริงๆ ผมคิดว่า อิรีส ไม่ได้เป็นแค่คนที่โหยหาอดีตหรอก เธอน่าจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงจากการสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกะทันหัน (PTSD – Post Traumatic Stress Disorder)และมีความเป็นไปได้ว่า เธอจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย

ในบทแรกของหนังสือเล่มนี้ อิรีส รู้สึกว่า ชีวิตของเธอช่างไร้ความหมาย ความฝัน และความสุข ในวูบหนึ่งของห้วงคำนึง เธอคิดจะฆ่าตัวตาย แต่การเล่นซุกซนของเด็กน้อยคนหนึ่งช่วยให้เธอได้สติขึ้นมา และตอนนั้นเอง อิรีส มองเห็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่เธอไม่เคยสังเกตมาก่อน

ร้านกาแฟเล็กๆ มีชื่อที่แสนยาวว่า ‘ที่ที่ดีที่สุดอยู่ตรงนี้’

หลังจากเดินเข้าไปในร้านแล้ว อิรีสจึงพบว่า นอกจากจะชื่อแปลกๆ แล้ว บรรยากาศและผู้คนในร้าน ก็ดูจะไม่ปกติธรรมดา โดยเฉพาะผู้ชายแปลกๆ แต่ดูมีเสน่ห์ ซึ่งจู่ๆ ก็มานั่งโต๊ะเดียวกับอิรีส แถมพูดคุยกับเธออย่างสนิทสนมราวกับเคยรู้จักกันมานาน

ไม่สิ ไม่ใช่แค่รู้จักหรอก ผู้ชายคนนั้น ซึ่งอิรีสมารู้ในภายหลังว่าชื่อ ลูกา ยังถึงขั้นรู้ใจอิรีสด้วย เขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เขารู้กระทั่งว่าแหวนที่เธอสวม ได้มาจากคนที่เธอรัก ซึ่งจากไปแล้วตลอดกาล

คำพูดของลูกา ทำให้อิรีสนึกถึงพ่อและแม่ และความคิดนั้นทำให้เธอเศร้า แต่ลูกาก็พูดขึ้นว่า

“แต่ละวันเรามีความคิดอยู่ราวหกหมื่นกว่าเรื่อง ทั้งในแง่ดีและในแง่ร้าย มีทั้งเรื่องไร้สาระและลึกซึ้ง… หากมีความคิดใดที่ทำให้เธอปวดร้าว ก็เพียงแต่แปะป้ายลงไปว่า นี่คือ ความคิด แล้วปล่อยให้มันผ่านไปก็พอ”

สิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือ ขณะที่ลูการู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับอิรีส แต่เขากลับจำเรื่องของตัวเองไม่ได้เลย นอกจากชื่อแล้ว เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน

“อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น… แต่ฉันไม่แคร์นักหรอก ฉันรู้แต่เพียงว่า ขณะนี้เธอกับฉันอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้เท่านั้น”

ตอนนั้นเอง อิรีส เอ่ยปากตอบรับเขาว่า “ที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้”

‘ตรงนี้’ ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้หมายความถึงสถานที่ หากแต่หมายความถึงช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน มากกว่า ที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นที่ที่ดีที่สุด จึงหมายถึงช่วงเวลาที่อิรีสกำลังนั่งในร้านกาแฟชื่อแปลกๆ และกำลังใช้เวลาอย่างมีความสุขกับชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก

ไม่เพียงแต่พระอาจารย์ ติช นัท ฮันห์ เท่านั้น ยังมีนักปราชญ์ นักคิด นักเขียนอีกหลายคน รวมถึงเซเนกา นักปราชญ์ชาวกรีก ที่กล่าวย้ำความสำคัญของช่วงเวลาปัจจุบัน เพราะนี่คือช่วงเวลาเดียวที่เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ ด้วยการลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง ขณะที่ช่วงเวลาอดีต แม้จะหอมหวาน แต่ก็เป็นสิ่งที่ผ่านเลยไปแล้ว และไม่มีวันย้อนคืน ส่วนช่วงเวลาอนาคต แม้จะดูสดใส แต่ก็เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นได้จริงด้วย

เมื่อเราตระหนักว่า ช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นช่วงเวลาเดียวที่เรามีอยู่จริง ช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่เราสามารถลงมือทำสิ่งที่อยากทำ เราจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างที่เคยใฝ่ฝัน เคยตั้งความหวัง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้

เรื่องราวของอิรีส กับลูกา และร้านกาแฟชื่อแสนยาว อาจจะดำเนินไปภายใต้รูปลักษณ์ของนิยายแฟนตาซี ที่ผสมผสานความโรแมนติก แต่ภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยหวาน มีเรื่องราวที่ให้แง่คิดที่ลึกซึ้งจริงจัง ไม่แพ้หนังสือแนวปรัชญาสอนใจ หรือหนังสือว่าด้วยการพัฒนาตนเองเลย

ลูกา ได้สอนให้อิรีสค้นพบความงดงามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ความทรงจำเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญ แต่ก็ทำให้เรายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึง หรือ ความสุข ก็ไม่ต่างจากบทกวีไฮกุ ที่เรียบง่าย กระชับ และลดทอนส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป

ที่สำคัญ ลูกา สอนให้อิรีสตระหนักว่า การให้อภัยตัวเอง เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ ไม่แพ้การให้อภัยคนอื่น หลายครั้งหลายหน เรามักเข้มงวดกับตัวเองจนเกินไป จนไม่ยอมให้อภัยความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเคยทำ หรือหลงลืมที่จะทำ

นอกจากลูกาแล้ว ร้านกาแฟ ‘ที่ที่ดีที่สุดอยู่ตรงนี้’ ยังมีคนแปลกๆ อีกคนหนึ่ง คือ เจ้าของร้าน ซึ่งทุกคนเรียกเขาว่า ‘นักมายากล’ และนักมายากลผู้นี้ ได้มอบนาฬิกาเรือนหนึ่งให้กับอิรีส นาฬิกาที่กลไกยังทำงานอยู่ แต่เข็มนาฬิกากลับหยุดอยู่กับที่

ก็คงไม่ต่างจากชีวิตของอิรีส หรือใครอีกหลายๆ คน ที่ชีวิตยึดติดอยู่กับช่วงเวลาแสนหวานในอดีต จนทำให้เวลาของเธอ ไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้

ในเวลาต่อมา อิรีส จึงค้นพบว่า ที่ด้านหลังหน้าปัดนาฬิกา มีข้อความเล็กๆ จารึกไว้ว่า ‘จงทิ้งอดีต แล้วปล่อยให้ปัจจุบันเดินหน้าไป’

ปมปริศนาของร้านกาแฟ รวมถึงตัวลูกาและนักมายากล ได้รับการเฉลยในช่วงท้ายของเรื่อง ร้านกาแฟแห่งนี้ ไม่ได้มีอยู่จริง ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นโดยเวทย์มนต์มหัศจรรย์ หรืออาจเป็นเพียงแค่จินตนาการในสมองของอิรีส แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญหรอก เพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆ อยู่ที่ว่า อิรีสได้เรียนรู้อะไรจาก ‘ที่ที่ดีที่สุดอยู่ตรงนี้’

อิรีส ได้เรียนรู้ว่า หากต้องการให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้ เธอจำเป็นต้องปล่อยวางอดีต แน่นอน นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอจะต้องลบเลือน หรือหลงลืมความทรงจำแสนอบอุ่นที่เคยมี เพียงแค่เธอจะต้องไม่ยึดติดกับมัน จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง

เหมือนเช่นที่คำจารึกหลังหน้าปัดนาฬิกา ที่เขียนไว้ว่า “จงทิ้งอดีต แล้วปล่อยให้ปัจจุบันเดินหน้าไป”

มีเพียงการปล่อยมือจากอดีตเท่านั้น ที่ทำให้เราสามารถสร้างความหวังและความฝันขึ้นมาใหม่ และมีเพียงการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ที่ทำให้เราค้นพบว่า จริงๆ แล้ว ความสุข อยู่รอบๆ ตัวเราเสมอ ขอเพียงแค่ไม่หลงลืมที่จะมอง

เหมือนเช่นบทกวีไฮกุ ซึ่งอิรีส แต่งขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกา คนรักในจินตนาการของเธอ (รวมทั้งมอบให้โอลิวิเยร์ ชายหนุ่มคนรักตัวจริงของเธอ) 

“ปากกาอยู่ทางขวา

หัวใจอยู่ทางซ้าย

และเธออยู่ในทุกหนแห่ง”

Tags:

ชีวิตPTSDที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Book
    เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    The Last Lecture: ปาฐกถาในวาระสุดท้ายที่บอกว่า ‘อะไรมีความหมายที่สุดในชีวิต’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ไม้บรรทัดของยมทูต: เมื่อความตายคือจุดหมายของชีวิต
  • The Good Bad Mother: ที่ทำได้คือ ‘ให้อภัยและปลดปล่อยตัวเองจากอดีต’ …เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้
  • ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
  • เข้าใจการเติบโตของเด็ก ผ่านใจและจิต ผ่านพลังของ ‘ศิลปะ’: ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP13: สรุป 40 หลักการ สำหรับนำไปปฏิบัติ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel