Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    How to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationship
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Month: October 2025

แฟรงเกนสไตน์: บางครั้ง การถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ก็สามารถสร้างปีศาจร้ายขึ้นมาได้
Playground
31 October 2025

แฟรงเกนสไตน์: บางครั้ง การถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ก็สามารถสร้างปีศาจร้ายขึ้นมาได้

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘แฟรงเกนสไตน์’ เป็นวรรณกรรมคลาสสิกแนวสยองขวัญ เขียนโดย แมรี เชลลี (Mary Shelley) นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ เล่าเรื่อง วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ชายหนุ่มผู้หมกมุ่นในวิทยาศาสตร์จนสร้างสิ่งมีชีวิตจากซากศพขึ้นมา และจุดไฟแห่งโศกนาฏกรรมที่สะท้อนบาปจากความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่คิดจะเล่นบทพระเจ้า
  • เบื้องหลังความสยองคือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ผู้สร้างที่ทอดทิ้งสิ่งมีชีวิตของตนให้โดดเดี่ยว ไม่ได้รับความรักหรือการยอมรับ จนความว่างเปล่าและความเกลียดชังในใจของอสุรกายค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความแค้นและความชั่วร้าย
  • ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่าง ‘พ่อ’ และ ‘ลูก’ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเป็น ‘ปีศาจร้าย’ ในสายตาของอีกฝ่าย และความไม่เข้าใจกันนั้น ไม่ได้นำไปสู่สิ่งใดเลย นอกเสียจากโศกนาฏกรรม

เทศกาลฮาโลวีน (Halloween) เป็นหนึ่งในเทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองกันในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าประเทศนั้น จะนับถือศาสนาหรือความเชื่อใดๆ ซึ่งในประเทศไทยก็เช่นกัน เราจะพบเห็นบรรยากาศของเทศกาลฮาโลวีนได้ทั่วไป โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าต่างๆ

แรกเริ่มเดิมที เทศกาลฮาโลวีน มีต้นกำเนิดมาจากเทศกาลซัมเฮน (Samhein) ของชาวเคลต์โบราณ เมื่อราว 2,000 ปีก่อน เพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยเชื่อกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโลกของวิญญาณจะเริ่มพร่าเลือน ทำให้ภูติผีวิญญาณต่างๆ เข้ามาปรากฎตัวในโลกมนุษย์

ต่อมา ชาวคริสต์ได้นำเอาเทศกาลของชาวเคลต์ เข้ามาหลอมรวมกับความเชื่อในศาสนาคริสต์ จนกลายเป็นเทศกาลฮาโลวีน ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้จากไป รวมถึงมีการทำทานแจกจ่ายอาหารแก่ผู้ยากไร้ ซึ่งต่อมา เทศกาลฮาโลวีน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกลายเป็นเทศกาลรื่นเริง ที่เด็กๆ จะแต่งตัวเป็นภูติผีปีศาจ หรือสัตว์ประหลาด แล้วเดินไปเคาะประตูขอขนมตามบ้านเรือนผู้คน

และหนึ่งในชุดแต่งกายที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆ ก็คือ ชุดอสุรกายจากวรรณกรรมคลาสสิกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรามักจะติดตาภาพจำจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่เป็นรูปลักษณ์ของปีศาจผู้ชายร่างใหญ่ มีรอยเย็บชิ้นส่วนต่างๆ บนร่างกาย รวมถึงมีน็อตตัวใหญ่ฝังอยู่ที่ขมับทั้งสองข้าง

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงปีศาจ อสุรกาย หรืออมนุษย์ จากวรรณกรรมเรื่อง ‘แฟรงเกนสไตน์’ (Frankenstein) ของ แมรี เชลลี (Mary Shelley) นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งแต่งเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อน และยังคงเป็นวรรณกรรมแนวสยองขวัญที่ได้รับการยกย่องมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หากปอกเปลือกความเป็นนิยายสยองขวัญออกไป เราจะพบว่า แฟรงเกนสไตน์ คือโศกนาฎกรรมที่แสนรันทดของความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยว ระหว่างผู้สร้าง ซึ่งเปรียบได้ดัง ‘พ่อ’ และอสุรกาย ซึ่งไม่ต่างอะไรจาก ‘ลูก’

เรื่องราวของ ‘ลูก’ ที่ไม่ได้รับความรักและการยอมรับจาก ‘พ่อ’ ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว กลายเป็นที่เกลียดชังของทุกคนในสังคม และสุดท้าย ความโดดเดี่ยวและไม่เคยได้รับการยอมรับ ก็ผลักให้เด็กคนหนึ่ง กลายเป็นอสุรกายที่ชั่วร้ายที่สุด

สิ่งหนึ่งที่หลายคนมักเข้าใจว่า แฟรงเกนสไตน์ คือชื่อของอสุรกาย แต่จริงๆแล้ว แฟรงเกนสไตน์ คือชื่อสกุลของชายหนุ่มผู้สร้างปีศาจร้ายตัวนั้น และชายหนุ่มคนนั้น ก็คือ วิกเตอร์ จากตระกูลแฟรงเกนสไตน์ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่แห่งสาธารณรัฐเจนีวา แห่งสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์

วิกเตอร์ เกิดมาท่ามกลางความรักและความอบอุ่นจากพ่อและแม่ เติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลด้วยมิตรภาพและความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิตรภาพที่ได้รับจากเฮนรี แคลร์วอล บุตรชาวพ่อค้าชาวเจนีวา เพื่อนใกล้ชิดของพ่อ ความรักที่แสนอ่อนโยนที่จาก เอลิซาเบธ ลาเวนซา เด็กหญิงที่ถูกครอบครัวแฟรงเกนสไตน์รับอุปถัมภ์ตั้งแต่เด็ก และความรักจากน้องชายอีกสองคน คือ เออร์เนสต์และวิลเลียม

เมื่อเติบใหญ่ วิกเตอร์ ได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุดเท่าที่ครอบครัวจะจัดหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ในศาสตร์ปรัชญาธรรมชาติ หรือ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือ วิชาวิทยาศาสตร์นั่นเอง

ชาวหนุ่มผู้ชาญฉลาด ศรัทธามุ่งมั่นจนถึงขั้นหลงใหลในโลกแห่งวิทยาการ เขาเชื่อว่า ศาสตร์สมัยใหม่ จะทำให้มนุษย์สามารถสร้างสิ่งมีชีวิต จากเศษซากอันไร้ชีวิต ซึ่งหากทำได้จริง ก็ไม่ต่างอะไรจากพระผู้เป็นเจ้าที่สรรค์สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นจากธุลีดิน ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์

“ชีวิตสายพันธุ์ใหม่จะต้องสรรเสริญข้าพเจ้า และในฐานะผู้สร้างและผู้ให้กำเนิด… ไม่มีบิดาคนใดจะสามารถทวงถามความซาบซึ้งขอบคุณได้มากไปกว่าที่ข้าพเจ้าคู่ควรจะได้รับ” 

ด้วยความรู้ทางด้านกายวิภาค วิกเตอร์รวบรวมชิ้นส่วนอวัยวะ รวมถึงกระดูกของมนุษย์ จากศพในห้องเก็บศพและสุสาน แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งในจิตใจของเขา รู้สึกขยะแขยงและรังเกียจสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่รุกล้ำข้ามเส้นศีลธรรมและจริยธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกส่วนหนึ่งในจิตใจของวิกเตอร์ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่กำลังจะทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้

โครงการคืนชีพมนุษย์ของวิกเตอร์ ถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีใครล่วงรู้ระแคะระคาย ไม่ว่าจะพ่อของเขา เพื่อนสนิทอย่างเฮนรี หรือหญิงสาวคนรักอย่างเอลิซาเบธ ทุกคนรับรู้แค่เพียงว่า ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของพวกเขา กำลังคร่ำเคร่งกับการศึกษาที่มหาวิทยาลัย ในเมืองอิลก็อลชตัท

หลังจากคร่ำเคร่งอยู่นานเกือบสองปี ค่ำคืนหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานไฟฟ้า กระตุ้นให้ชีวิตถือกำเนิดขึ้นในร่างอันมหึมาที่ประกอบจากชิ้นส่วนของซากศพ

“ในตอนนั้นที่แสงจันทร์เหลืองซีดส่องผ่านเข้ามาทางระแนงหน้าต่าง ข้าพเจ้าก็เห็นเจ้าตัวอัปรีย์นั่น… อสุรกายอาเพศที่ข้าพเจ้าสร้างขึ้น มันเลิกม่านคลุมเตียง… จ้องเขม็งมองข้าพเจ้า มันอ้าปากเปล่งเสียงที่มิอาจจับใจความ รอยยิ้มทำให้ผิวหนังตรงแก้มยับย่น”

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า แมรี เชลลีย์ ผู้แต่งเรื่องนี้ ตั้งใจจะบอกอะไรกับผู้อ่าน นอกเหนือจากความสยองขวัญสั่นประสาท แต่ก็มีหลายคนที่มองว่า สาส์นที่เธอซุกซ่อนอยู่ คือ บาปจากความทะเยอทะยานของมนุษย์ ที่คิดจะเล่นบทพระเจ้า โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งในตอนแรก ผมก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากได้อ่านเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้ง ผมกลับพบเจอแง่มุมอันแสนเศร้าของสิ่งที่ถูกเรียกว่า อสุรกาย

ใครคนหนึ่ง กล่าวไว้ว่า ไม่มีใครที่เกิดมาชั่วช้าโดยกำเนิด ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วเป็นปีศาจร้าย 

แน่นอน แนวคิดนี้ไม่ได้หมายความว่า เด็กทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับความดีงามในจิตใจ น่าจะถูกต้องกว่าหากจะบอกว่า เด็กทุกคนล้วนเกิดมาโดยที่ยังไม่รู้จักทั้งความดีและความเลว และนั่นก็หมายความว่า เด็กคนนั้น สามารถจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีหรือปีศาจ ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของผู้ให้กำเนิด และการอบรมสั่งสอนของคนรอบข้าง

ย้อนกลับไปที่คำพูดของวิกเตอร์ เมื่อตอนที่เห็นซากศพไร้ชีวิตขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและมีชีวิตขึ้นมาได้ ผมสะดุดตากับถ้อยคำว่า “รอยยิ้มทำให้ผิวหนังตรงแก้มยับย่น”

ใช่แล้วครับ อสุรกาย หรือตัวอัปรีย์ที่เขาเรียก สิ่งยิ้มให้กับวิกเตอร์ ผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมา ไม่ต่างอะไรจากทารกที่รู้จักยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของพ่อแม่

แต่น่าเศร้า ที่อมนุษย์ของวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ คือเด็กน้อยที่ไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อ รอยยิ้มและมือที่ยื่นออกมาไขว่คว้า ทำให้วิกเตอร์ตกใจกลัวจนวิ่งหนีไป ครั้งกลับมาอีกครั้ง ก็ไม่พบเจออสุรกายตัวนั้นแล้ว

อย่างไรก็ดี ฝันร้ายยังคงหลอกหลอนจิตใจของวิกเตอร์ เขากลายเป็นคนอิดโรย หม่นเศร้า อมทุกข์อยู่ตลอดเวลา แม้จะกลับไปอยู่กับครอบครัวแล้วก็ตาม วิกเตอร์ต้องพบกับข่าวร้ายจากการจากไปของ วิลเลียม น้องชายของเขา ซึ่งวิกเตอร์เชื่อว่า เป็นฝีมือของอสุรกายที่เขาสร้างขึ้น

กระทั่งวันหนึ่ง วิกเตอร์ได้พบกับอสุรกายตัวนั้นโดยไม่คาดคิด และยิ่งทำให้เขาแปลกใจมากขึ้น เพื่อพบว่า ปีศาจร่างยักษ์นั้น สามารถพูดและสื่อสารกับเขาได้

ปีศาจที่วิกเตอร์สร้างขึ้น เล่าว่า หลังจากที่มีชีวิตขึ้นมา มันก็เริ่มต้นเรียนรู้โลก ไม่ต่างจากเด็กทารกคนหนึ่ง เรียนรู้เรื่องความมืดและความสว่าง ความหนาวและความอบอุ่น ความหิวโหยและความอิ่ม และที่สำคัญ มันได้เรียนรู้ถึงจิตใจที่ดีงามของมนุษย์

อมนุษย์ร่างยักษ์ ใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตามชายป่า ได้พบกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยพ่อผู้ตาบอด ลูกชายและลูกสาว ซึ่งทุกคนในครอบครัวล้วนแต่มีจิตใจที่ดีงาม พูดจากันด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยน ปฏิบัติต่อกันด้วยท่าทีที่โอบอ้อมอารี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบให้ปีศาจลอกเลียนแบบ และวาดฝันว่า สักวันหนึ่ง มันจะได้รับการยอมรับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่งดงามนี้

อนิจจา เจ้าสิ่งประดิษฐ์พิกลพิการ ยังไม่ได้เรียนรู้ว่า รูปลักษณ์ภายนอก คืออคติที่อยู่ในใจทุกคน แม้กระทั่งคนที่มีจิตใจที่ดีงาม ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวและถอยห่างจากสิ่งที่มีรูปลักษณ์ดูชั่วร้าย ครอบครัวชายชราก็ไม่ต่างกัน พวกเขาตกใจและหวาดกลัวต่อรูปลักษณ์ของอมนุษย์ร่างยักษ์ รวมทั้งเกรงว่า มันจะเข้ามาทำร้ายพ่อของพวกเขา จึงช่วยกันขับไล่จนมันหนีไป

ปีศาจของแฟรงเกนสไตน์ ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ และได้ประสบพบเจออีกหลายเหตุการณ์ที่ยืนยันว่า รูปลักษณ์คือสิ่งแรกที่มนุษย์ใช้ตัดสินผู้อื่น การกระทำหลายอย่างของมัน ที่ทำไปด้วยจิตใจงดงาม กลับถูกตีความว่า เป็นการกระทำอันชั่วร้าย เพียงเพราะรูปลักษณ์ของมันเป็นเช่นนั้น

ความโดดเดี่ยว มักนำไปสู่ความโศกเศร้า และบางครั้ง ก็นำไปสู่ความโกรธแค้นได้เช่นกัน คนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม หลายคนกลายเป็นคนต่อต้านสังคมด้วยโทสะเกรี้ยวกราด หรืออาจพูดอีกอย่างหนึ่งว่า บางครั้ง การถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ก็สามารถสร้างปีศาจร้ายขึ้นมาได้

ในที่สุด อมนุษย์ที่ก่อกำเนิดจากซากศพ ได้พบกับวิลเลียม น้องชายของวิกเตอร์ และเกิดบันดาลโทสะเมื่อรู้ว่า เด็กน้อยคนนี้คือน้องชายของผู้ที่สร้างมันขึ้นมาโดยไร้ความรับผิดชอบ ทำให้วิลเลียมกลายเป็นเหยื่อรายแรกที่ถูกปีศาจร่างยักษ์สังหาร เพื่อสังเวยแค้นที่มีต่อวิกเตอร์

“ผู้สร้างอันชั่วช้าแสนชั่วช้า! เหตุใดข้าถึงต้องมีชีวิตขึ้นมาด้วย! ในหมู่มนุษย์มากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีใครเลยที่จะเวทนาหรือให้ความช่วยเหลือแก่ข้า แล้วข้าจะมีน้ำใจอันใดไปมอบให้แก่ศัตรูกันเล่า”

การจองล้างจองผลาญ ระหว่างปีศาจร่างยักษ์กับวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ปิดฉากลงด้วยโศกนาฏกรรมที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะ ทุกคนล้วนพ่ายแพ้ สูญเสียและสิ้นหวัง

วิกเตอร์ สูญเสียทุกอย่าง ทั้งครอบครัว เพื่อน คนรัก และกระทั่งชีวิตตัวเอง จากการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบในฐานะ ‘ผู้สร้าง’ หรือ ในฐานะ ‘พ่อ’ ที่ไม่ยอมรับ ‘ลูก’ ที่ตัวเองก่อกำเนิดขึ้นมา

สัตว์ประหลาดร่างยักษ์ ก็สูญเสียทุกอย่าง ทั้งความหวังที่จะได้มีชีวิตที่สงบสุข ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และความรักที่ไม่เคยได้รับจาก ‘พ่อ’

และท้ายที่สุด ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่าง ‘พ่อ’ และ ‘ลูก’ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเป็น ‘ปีศาจร้าย’ ในสายตาของอีกฝ่าย และความไม่เข้าใจกันนั้น ไม่ได้นำไปสู่สิ่งใดเลย นอกเสียจากโศกนาฏกรรม

Tags:

ลูกการเลี้ยงดูแฟรงเกนสไตน์Halloweenความสัมพันธ์วรรณกรรมครอบครัว

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ขอเป็นกระบอกเสียงสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านบัตรประชาชนใบเดียว ‘Learning Passport’: เอเปค – นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล
Voice of New Gen
30 October 2025

ขอเป็นกระบอกเสียงสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านบัตรประชาชนใบเดียว ‘Learning Passport’: เอเปค – นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ แคนคำ ตาคำ

  • ‘Learning Passport’ คือแนวคิดในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ต้องการให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านบัตรประชาชนใบเดียว โดยภาครัฐสามารถสนับสนุนงบประมาณไปถึงตัวเด็กโดยตรงผ่านเลข 13 หลัก
  • ‘เอเปค’ นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล ตัวแทนเยาวชนที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวบอกว่า การศึกษาเป็นการลงทุนในกลุ่มคน หากอยากให้ประเทศเป็นแบบไหน มีพลเมืองที่มีคุณภาพอย่างไร ต้องเริ่มจากการลงทุนกับเด็กๆ ที่ยังรอโอกาสอยู่
  • เอเปคเชื่อมั่นว่าโอกาสทางการศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้ เพราะตนเองได้พบจุดเปลี่ยนนี้เมื่อได้รับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง และทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ โดยปัจจุบันเขากำลังศึกษาอยู่ที่คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่าปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษากว่า 3 ล้านคน และอีกกว่า 8.8 แสนคนที่อยู่นอกระบบการศึกษา …ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือชีวิตจริงของเด็กไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ถูกจำกัดโอกาสจากวงจรความยากจน

เพื่อสร้างโอกาสการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนทุกคนอย่างเท่าเทียม เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มตัวแทนเครือข่ายเด็กและเยาวชนได้เดินทางไปยังตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายซึ่งหนึ่งในนั้นคือ แนวคิด ‘Learning Passport’ หรือระบบหลักประกันทางการศึกษาที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา สามารถเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ 

ในวันนั้นผู้ทำหน้าที่ตัวแทนเยาวชนในการนำเสนอ ‘Learning Passport’ คืออดีตนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ‘เอเปค’ นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล ซึ่งปัจจุบันได้รับทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ โดยกำลังศึกษาอยู่ที่คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 

“จริงๆ แล้ว  Learning Passport เป็นนโยบายที่ กสศ. ขับเคลื่อนมาอยู่ก่อนแล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็มีส่วนร่วมในเรื่องของการให้ข้อมูลหลังบ้านมาตลอด แต่พอเราได้มาทำความรู้จักกับตัวนโยบายนี้มากขึ้น ก็ยิ่งเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็เลยบอกกับทางกสศ.ว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายนี้ในทุกด้านที่ทำได้ ซึ่งวันที่เรานำเสนอที่ทำเนียบ มันสะท้อนชัดเลยว่ายังมีเด็กอีกหลายล้านชีวิตที่หลุดออกจากระบบ แล้วถ้าเรามีนโยบายนี้เกิดขึ้นจริงๆ มันก็อาจเป็นคำตอบในการอุดรอยรั่วเหล่านั้นได้”

เอเปคกล่าวด้วยแววตาแห่งความหวัง เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้…ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเกือบหลุดออกจากเส้นทางการศึกษาเช่นกัน  

“ตอนมัธยมต้น เรียนที่โรงเรียนรัชชประภาวิทยาคม จังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ ตอนนั้นยังไม่มีแผนในอนาคตเลยครับ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองมีศักยภาพด้านไหนหรือโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร รู้แค่ว่าเราต้องใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันให้ได้ก่อน คิดแค่ว่าวันนี้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ประกอบกับพ่อแม่ก็ใกล้จะอายุ 60 แล้ว พี่สาวก็กำลังเรียนอยู่ ช่วงนั้นคือช่วงที่รายได้ครอบครัวมาถึงจุดต่ำสุด จึงคิดว่าพอจบม. 3 คงต้องออกมาหางานทำก่อนครับ”

แต่แล้วในวันที่มืดมิดไร้หนทาง เอเปคกลับพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนในโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงของ กสศ. ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต และเปลี่ยนทัศนคติของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

“ตอนจบม. 3 เห็นโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพของ กสศ. เปิดรับสมัครพอดี ซึ่งเป็นปีแรกครับ ตอนนั้นเห็นว่าเงื่อนไขเราเข้าแก๊ปที่เขาเปิดรับ คือต้องเป็นเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ก็เลยลองสมัครดู แล้วพอเราเข้าเงื่อนไข ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่มีคณะกรรมการมาตรวจเยี่ยมบ้านตามขั้นตอน

ตอนได้ทุน กสศ. ดีใจมากครับ เพราะหลังจากนั้นเราก็เริ่มกล้าฝัน กล้าวางแผนในอนาคตว่าอยากจะพาตัวเองไปไว้จุดไหน ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้ว เลยได้กลับมาโฟกัสกับการเรียน และพัฒนาตัวเองให้มากที่สุด จนเริ่มเห็นว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด”

หลังได้รับทุน เอเปคได้ย้ายมาศึกษาที่โครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของวิทยาลัยเทคนิคพังงา เขาได้ใช้เวลาตลอด 5 ปีเต็มอย่างคุ้มค่า ค่อยๆ สะสมประสบการณ์ สร้างผลงาน และค้นพบศักยภาพซ่อนเร้นของตนเอง 

“มีหลายเหตุการณ์ที่ประทับใจครับ อย่างครั้งแรกที่ได้ก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน คือการไปออดิชั่นเป็นพิธีกรบนเวทีในงานประชุมนานาชาติของโครงการฐานวิทย์ครับ ซึ่งทุกปีเขาจะเชิญนักเรียนจากหลายประเทศมาร่วมงานกับนักเรียนจากฐานวิทย์ทั้ง 5 แห่งในประเทศไทย เพื่อนำเสนอโปรเจกต์ครับ ถือเป็นเวทีแรกที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบจริงจัง พอปีถัดมาอาจารย์ก็ให้โอกาสอีกครั้ง ซึ่งโชคดีที่มีคนเห็นถึงศักยภาพของเราเพิ่มขึ้น และเริ่มติดต่อให้เราไปเป็นพิธีกรข้างนอกบ้าง ทำให้มีรายได้เสริมเข้ามาครับ”

นอกจากการเป็นพิธีกรที่เป็นเหมือนงานอดิเรก เอเปคยังพิสูจน์ให้เห็นว่าการได้รับโอกาสของเขาไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ยังสามารถต่อยอดสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม 

“ตอนปวช. 3 มีโอกาสสมัครเข้าร่วมโครงการของ สสส. ที่มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาส่งเสริมสุขภาพในด้านต่างๆ จึงเลือกทำโปรเจกต์เกี่ยวกับสุขภาพจิตไปแข่งขัน เพราะส่วนตัวมองว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ ไม่ใช่เฉพาะเด็ก แต่รวมถึงทุกคนในสังคม ถ้าใจเราไม่ไหวก็ไม่มีแรงเดินต่อแน่นอน ดังนั้นอย่าให้มายด์เซ็ตที่ถูกปลูกฝังมาว่าการไปพบจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เท่ากับว่าคนๆ นั้นต้องเป็นบ้า อยากให้ทุกคนเข้าใจใหม่ว่าจริงๆ แล้วมันก็เป็นเหมือนอาการเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย เพียงแต่สิ่งนี้มันอยู่ในใจซึ่งหากปล่อยไว้มันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกันคือปัญหาสุขภาพจิตอาจจะดูเป็นเรื่อง Luxury หรือคนมีเงินเท่านั้นที่จะเข้าถึงการรักษาบำบัดได้ เราเลยพัฒนาแอปพลิเคชันชื่อ Safe Zone เอาไว้ช่วยให้เด็กๆ ผ่อนคลายความเครียด และเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ แต่หากเจอปัญหาที่แก้ไม่ไหว ก็จะส่งต่อให้คุยกับนักจิตวิทยา ซึ่งตอนนั้นมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาของจุฬาที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้วยครับ แล้วพอทีมของเราพัฒนาแอปนี้ไปเรื่อยๆ ก็สามารถคว้ารางวัลระดับชาติ ต่อด้วยรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 บนเวทีประชุมนานาชาติของฐานวิทย์ครับ”

ด้วยคุณสมบัติของคนที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เอเปคจึงเหมือนนักกีฬาที่พร้อมลงแข่งอยู่เสมอ และเมื่อทราบข่าวเรื่อง ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ที่สนับสนุนทุนการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ทั้งยังครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือน เขาจึงไม่ลังเลที่จะส่งใบสมัครเพื่อคว้าโอกาสนี้ เพราะเขาต้องการต่อยอดความรู้เพื่อนำกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง

“ทุนนี้มีเงื่อนไขว่าผู้สมัครต้องมีรางวัลระดับประเทศหรือนานาชาติ ซึ่งตลอด 5 ปีที่พังงา เราเก็บผลงานต่างๆ ไว้หมด ทำให้มีคุณสมบัติเทียบเท่า พอได้ทุนก็เริ่มมองหามหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์ความฝันของเรา คือการกลับไปทำรีสอร์ตหรือโฮมสเตย์เล็กๆ ที่บ้านในสุราษฎร์ธานี เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับวิถีชุมชน รวมไปถึงการสร้างแหล่งเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนคณะพัฒนาการท่องเที่ยว ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ครับ เพราะหลักสูตรนี้ไม่ได้สอนแค่การท่องเที่ยวทั่วไป แต่จะเป็นเน้นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการวางแผนกลยุทธ์ท่องเที่ยวด้วย

พอได้มาเรียน ต้องบอกว่ามันตอบโจทย์ความฝันของเรามากครับ ยิ่งได้ไปลงพื้นที่เพื่อทำงานกับชุมชนต่างๆ อย่างล่าสุดได้ไปร่วมกับชุมชนที่สันผีเสื้อ เป็นกลุ่มสตรีเขาจะมีตัวบาล์มสมุนไพร โดยก่อนหน้านี้ผลิตภัณฑ์ของเขาจะดูเหมือนกับสินค้าโอทอปทั่วไป เราเลยเข้าไปช่วยวางกลยุทธ์ โดยใช้พวก Design Thinking และ Service Design เข้ามารีแบรนด์ใหม่ จนตอนนี้บาล์มสมุนไพรก็ยกระดับขึ้นไปเป็นแบรนด์ที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์ได้สำเร็จ”

แม้ชีวิตนักศึกษาของเอเปคดูจะประสบความสำเร็จ จนได้รับการทาบทามและสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยให้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท แต่เขาก็ไม่เคยลืมที่มาของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเป็นกระบอกเสียงเพื่อสร้าง ‘โอกาส’ ให้กับเยาวชนอีกหลายล้านคนที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษา 

“โอกาสทางการศึกษาจำเป็นมากๆ ครับ เพราะถ้าเกิดไม่ได้รับทุน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะจะเอาตัวเองไปไว้ตรงจุดไหนของสังคม อย่างมากก็คงแค่ทำงานรับจ้างไปวันๆ เพื่อให้มันผ่านพ้นไป มีเงินใช้ มีข้าวกิน อะไรอย่างนี้ครับ 

แต่ว่าพอเราได้รับโอกาส มันเลยทำให้เห็นว่า เราสามารถใช้ศักยภาพของเราไปขับเคลื่อนสังคมตรงไหนได้บ้าง มันอาจจะไม่ได้เป็นการช่วยเหลือที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตอะไร แต่อย่างน้อยเราก็จะเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เพราะอย่าลืมว่าคนที่ได้รับทุนเป็นแค่ส่วนเล็กๆ มันยังมีเด็กอีกหลายล้านคนที่ไม่ได้โอกาสอย่างนี้ครับ แล้วถ้าทุกคนได้โอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากตรงนี้ และเห็นคุณค่าของโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กยากจน”

และหนึ่งในโปรเจกต์ที่เอเปคพยายามผลักดันจนได้ไปนำเสนอที่ทำเนียบรัฐบาลคือเรื่อง Learning Passport ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ภายใต้แนวคิดที่ว่าบัตรประชาชนเพียงใบเดียว สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่หลากหลายและยกระดับหลักประกันการศึกษาที่ไร้รอยต่อ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงวัยทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ นอกระบบ หรือตามอัธยาศัย เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

“สำหรับ Learning Passport ที่นำไปเสนอที่ทำเนียบ ชูประเด็นว่ายังมีเด็กอีกหลายล้านชีวิตที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และนโยบายนี้อาจเป็นคำตอบสำคัญว่าเราจะอุดรอยรั่วเหล่านั้นได้อย่างไร ซึ่ง Learning passport จะเป็นเหมือนกับการโอนเงินพร้อมเพย์ทางการศึกษา โดยผูกกับเลขบัตรประชาชน 13 หลักของเด็กแต่ละคน เพื่อให้รัฐสามารถโอนเงินสนับสนุนด้านการศึกษาหรือสวัสดิการต่างๆ (เช่น สุขภาพ สังคม  และแรงงาน) ไปถึงตัวเด็กโดยตรง และลดการรั่วไหลของงบประมาณ 

นอกจากนี้ ก็ยังมีระบบที่สามารถบันทึกข้อมูลการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่นอกระบบหรือเสี่ยงออกนอกระบบให้สามารถเทียบโอนหน่วยกิตหรือกลับมาเรียนต่อได้สะดวกและยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งข้อมูลเครดิตการเรียนเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้ในการสมัครงานในอนาคต อย่างวันนี้บางคนเขาอาจยังไม่พร้อมเรียนต่อ แต่สิ่งที่เขาเคยเรียนมาแล้วจะถูกบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลตัวเลข 13 หลักนี้ แล้วถ้าวันหนึ่งเขาอยากกลับเข้ามาเรียน มันก็จะยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเขาครับ

หลังจากที่ได้เข้าไปคุยวันนั้น เราไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปทำต่อไหม แต่เขาก็บอกว่า มันเป็นนโยบายที่ทาง กสศ. เคยเข้ามานำเสนอแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่าครั้งนั้นเขายังมองไม่เห็นภาพชัดเจนเท่าไหร่ แต่พอวันนี้ได้มาฟังเสียง จากเด็กที่เป็นตัวแทนจากครอบครัวที่ยากจนจริงๆ เขาก็มองเห็นว่ามันควรจะถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น ส่วนตัวก็ดีใจที่มีเวทีให้เยาวชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่อีกใจก็หวังว่าสิ่งที่นำเสนอจะถูกขับเคลื่อนจริงๆ และไม่อยากให้จบลงด้วยการเป็นแค่ผักชีโรยหน้าครับ”  

นอกจากการนำเสนอนโยบายกับรัฐบาล เอเปคยังฝากข้อความถึงผู้ใหญ่ใจดีที่ช่วยสนับสนุนเขาและเด็กๆ ในด้านการศึกษา เพราะการลงทุนด้านศึกษานั้นเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า และจะสะท้อนกลับมาเป็นสังคมที่มีคุณภาพในอนาคต

“การศึกษาก็เป็นเหมือนกับการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นการลงทุนในกลุ่มคน เหมือนกับที่พวกเราเคยได้ยินกันครับว่า ‘เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า’ ดังนั้นเราอยากให้ประเทศนี้เป็นแบบไหน มีพลเมืองที่มีคุณภาพอย่างไร เราเลือกได้ครับ เริ่มจากการหันมาลงทุนกับเด็กๆ กลุ่มนี้ที่ยังรอโอกาสอยู่ เพื่อให้ประเทศของเรามีบุคลากร มีพลเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้น เพราะการศึกษานอกจากจะช่วยเพิ่มความรู้แล้ว ยังช่วยให้เขามีมุมมองที่กว้างมากขึ้น และสามารถเอาศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ในการขับเคลื่อนสังคม 

ก็อยากให้ทุกคนมองว่า การศึกษามันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ มันเป็นเหมือนกับประตูบานแรกในการสร้างชีวิตคนๆ หนึ่ง ก่อนต่อยอดไปสู่การสร้างประเทศ รวมถึงสร้างโลกใบนี้ครับ

สำหรับ กสศ. ที่ให้โอกาสมาโดยตลอด ก็อยากฝากขอบคุณที่เห็นคุณค่าในตัวเด็กคนนี้ และคอยส่งเสริมหยิบยื่นโอกาสต่างๆ ให้ นอกเหนือไปจากเงินที่ได้รับมา ยังสนับสนุนเพื่อให้เรามีศักยภาพที่มากขึ้น อยากให้สัญญาครับว่าโอกาสที่ได้รับมานี้ จะไม่ทำให้มันสูญเปล่า และจะนำต้นทุนนี้มาใช้เพื่อเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ และตอบแทนโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้”

Tags:

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเยาวชนนโยบายLearning Passport

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

แคนคำ ตาคำ

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    Tambon Zero Dropout เราจะไม่ทิ้ง ‘เด็กนอกระบบ’ ไว้ข้างหลัง: หมอตุ้ย-สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    วิเคราะห์มุมมืดระบบการศึกษาไทย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการเรียนรู้

    เรื่อง The Potential

  • Movie
    Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

ห้องเรียน AI EP3: การบ้านในยุค AI ต้องให้คุณค่ากับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ ไม่ใช่การจับผิดว่าเด็กใช้ AI หรือไม่
Education trend
29 October 2025

ห้องเรียน AI EP3: การบ้านในยุค AI ต้องให้คุณค่ากับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ ไม่ใช่การจับผิดว่าเด็กใช้ AI หรือไม่

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บางครั้งเป้าหมายของการบ้านก็คือการให้เด็กฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนทักษะนั้นๆ เช่น การทำโจทย์คณิตศาสตร์ แต่สิ่งที่สำคัญคือการเปิดช่องให้นักเรียนแสดงวิธีคิดวิธีทำ โดยไม่ควรเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
  • เมื่อครูให้คุณค่ากับกระบวนการ เด็กก็จะใส่ใจกับวิธีการทำงาน ไม่ได้ใช้เอไอแบบขอไปทีเพื่อให้งานเสร็จ เด็กจะเกิดการคิดวิเคราะห์ว่าคำตอบจากเอไอเหมาะสมแล้วหรือยัง และทำการปรับแก้ต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้และออกมาเป็นงานที่ดีได้
  • แม้ว่าเด็กจะใช้เอไอ แต่หากมันช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็ก ครูก็ไม่ควรที่จะปิดกั้น หากครูมีความกังวลว่าเด็กจะใช้เอไอทำงานให้แบบส่งๆ ก็ขอให้ครูมุ่งตรวจสอบกระบวนการทำงานของเด็ก ซึ่งจะนำไปสู่การใช้เอไอในเชิงสร้างสรรค์ได้ในที่สุด

ลีห์ เบอร์เรลล์ (Leigh Burrell) นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จาก University of Houston-Downtown รายงานกับ The New York Times ว่า เธอได้รับศูนย์คะแนนจากงานในคลาสเรียน เนื่องจากเครื่องมือตรวจจับเอไอ (AI Detection Tool) ชี้ว่างานของเธอนั้นสร้างขึ้นโดยเอไอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ใช้เอไอเลยแม้แต่นิดเดียว

จากการตรวจสอบประวัติการแก้ไขไฟล์งานใน Google Docs ที่มีความยาวถึง 15 หน้ากระดาษพบว่า เธอร่างและแก้ไขงานด้วยตัวเอง ซึ่งมีการประทับเวลาการแก้ไขในงานแต่ละส่วนไว้ชัดเจน ดังนั้นเธอจึงใช้หลักฐานนี้ในการพิสูจน์ข้อกล่าวหาและได้รับคะแนนกลับคืนมา 

กรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่การมาถึงของเอไอ หากมีข้อสงสัยที่ทำให้ครูเชื่อได้ว่างานของนักเรียนใช้เอไอทำ ครูก็พร้อมที่จะปัดตกงานชิ้นนั้นทันที ทำให้ภาระการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตกอยู่ที่นักเรียน โดยภาระในที่นี้ทำให้การทำงานยุ่งยากมากขึ้น เช่น ต้องใช้โปรแกรมที่มีการบันทึกประวัติการทำงานอย่างชัดเจน หรือบางคนถึงขั้นอัดวิดีโอหน้าจอเป็นชั่วโมงๆ เพื่อใช้ปกป้องข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเอไอ

ศาสตราจารย์แดนนี่ หลิว (Danny Liu) จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวว่า ครูคือผู้สอนไม่ใช่ตำรวจ ครูควรจะต้องตรวจสอบว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ ไม่ใช่ตรวจสอบว่านักเรียนกำลังโกงอยู่หรือไม่ ดังนั้นงานที่มอบหมายให้เด็กควรที่จะใส่ใจกับวิธีการเรียนรู้ มากกว่าผลลัพธ์สุดท้ายเพียงอย่างเดียว

เมื่องานแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้ในยุคเอไอ

งานหรือวิธีการที่ครูใช้ประเมินผลเด็กแบบดั้งเดิมมักมุ่งเน้นไปที่การวัดผลจาก ‘ผลลัพธ์’ เช่น การเขียนเรียงความ ครูก็ไม่ได้สนใจมากนักว่านักเรียนจะเขียนอย่างไร เขียนร่างก่อนไหม แล้วหาข้อมูลอย่างไร แต่จะสนใจว่าผลลัพธ์สุดท้ายออกมาเป็นอย่างไร 

หรือการสอบแบบปรนัย ครูก็ไม่ได้สนใจว่านักเรียนจะคิดเห็นกับคำถามอย่างไร จะเลือกใช้วิธีไหนในการคิดคำตอบ แต่สนใจว่านักเรียนตอบตรงกับคำตอบที่วางไว้หรือไม่

การประเมินผลในลักษณะนี้จะให้คุณค่ากับ ‘ผลลัพธ์’ เป็นหลัก กล่าวคือ วิธีการไม่ใช่สิ่งที่สำคัญมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญคือผลลัพธ์นั้นออกมาดีเยี่ยมหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้บางคนอาจคิดว่า เมื่อวิธีการไม่สำคัญ เราจะใช้วิธีไหนก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะทำด้วยตัวเอง จ้างคนอื่น คัดลอกจากอินเทอร์เน็ต หรือใช้เอไอ

หนังสือ Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning กล่าวว่า เด็กโกงเพราะระบบเปิดโอกาสให้ทำได้ การประเมินผลแบบดั้งเดิมเปิดโอกาสให้เด็กใช้วิธีการที่สุจริตหรือไม่สุจริตก็ได้ เพราะขาดการตรวจสอบวิธีการทำงานของเด็ก โดยเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว

อาจารย์คณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในไทย รายงานกับบีบีซีไทยว่า อาจารย์รุ่นเก่าๆ ที่รู้ไม่เท่าทันเทคโนโลยี จะมอบหมายงานให้นักศึกษาไปเลยแล้วให้มานำเสนอ ซึ่งแน่นอนว่านักศึกษาไม่ได้อะไรจากงานนั้นเลย เพราะเขาไม่ได้ใช้ความคิดของตัวเอง แต่ใช้เอไอทำให้

เห็นได้ว่า เมื่อครูขาดการตรวจสอบวิธีการทำงานของเด็กและมุ่งเน้นแต่การดูผลลัพธ์สุดท้าย จะเปิดช่องให้เด็กใช้วิธีการใดก็ได้ที่ทั้งสุจริตและไม่สุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นการประเมินผลเด็กในยุคเอไอจะต้องไม่เน้นที่ ‘ผลลัพธ์’ เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องใส่ใจ ‘กระบวนการ’ ด้วย

นอกจากนี้ อาจารย์คนดังกล่าวยังรายงานว่า นักศึกษาบางคนมีพฤติกรรมเสิร์ชหาข้อมูลตลอดเวลาเมื่ออาจารย์ถามคำถาม ไม่ว่าจะค้นหาจากอินเทอร์เน็ตหรือใช้เอไอ โดยอาจารย์ชี้ว่าคำถามเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นการหาคำตอบที่ถูกต้อง แต่ต้องการทราบกระบวนการคิดของนักศึกษา

พฤติกรรมเช่นนี้อาจเป็นผลมาจากการประเมินผลแบบดั้งเดิม กล่าวคือ เด็กได้รับการปลูกฝังให้มุ่งผลิตผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการได้มาซึ่งผลลัพธ์นั้น เมื่อเด็กไม่ได้ใส่ใจกระบวนการและมุ่งทำงานให้เสร็จๆ ไป เด็กจะขาดการเรียนรู้และไม่ได้สนใจว่าตัวเองคิดอย่างไร ขอแค่ทำงานให้เสร็จก็พอ

อย่างไรก็ดี นักศึกษากลุ่มดังกล่าวเมื่อขึ้นปี 2 ก็เริ่มเข้าใจแนวทางของอาจารย์ว่าต้องการประเมินวิธีคิด ไม่ได้ต้องการคำตอบที่ถูกต้องสมบูรณ์ 100% ดังนั้นนักศึกษากลุ่มนี้จึงพึ่งพาการค้นหาในโทรศัพท์น้อยลง และกล้าตอบคำถามอาจารย์ในชั้นเรียนมากขึ้น 

ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าวิธีการประเมินมีส่วนสำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก หนังสือ Teaching with AI สรุปว่า ถ้าครูอยากให้เด็กเห็นถึงคุณค่าในการเรียนรู้ ครูต้องให้คุณค่ากับกระบวนการ เมื่อครูให้คุณค่ากับผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว เด็กก็จะไม่เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการ และจะใช้วิธีการไหนก็ได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มา

ออกแบบการบ้านยุคใหม่ท่ามกลางเอไอ

ซัลมาน คาน (Salman Khan) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาไม่แสวงหากำไร ชวนตั้งคำถามว่า อยากให้ครูกลับมาทบทวนว่าการสั่งงานสักอย่างให้เด็กทำ เป้าหมายของงานนั้นคืออะไร

เช่น การเขียนเรียงความ การเขียนคือการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง ครูคาดหวังให้นักเรียนทำความเข้าใจเรื่องนั้นๆ มาก่อนแล้วจึงเรียบเรียงออกมาเป็นการเขียนที่มีโครงสร้าง เป้าหมายคือครูต้องการประเมินว่านักเรียนเข้าใจเรื่องนั้นๆ หรือไม่

เมื่อเป้าหมายคือการประเมินความเข้าใจของเด็ก การดูแค่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจไม่เพียงพอ เพราะในปัจจุบันเรามีเอไอที่สร้างสรรค์ข้อความออกมาได้อย่างง่ายดาย เราต้องดูกระบวนการทำงานของเด็กด้วย เมื่อครูใส่ใจวิธีการทำงานของเด็ก ครูจะมีโอกาสได้ตรวจสอบว่าเด็กมีวิธีคิดและเรียนรู้อย่างไร

การตรวจสอบกระบวนการทำงานของเด็กก็มีหลายวิธี เช่น ให้อธิบายขั้นตอนการทำงาน ขอดูร่างงาน หรือแม้กระทั่งขอดูคำสั่ง (Prompt) ที่ใช้กับเอไอและคำตอบจากเอไอ โดยครูอาจให้นักเรียนวิเคราะห์ว่าผลลัพธ์จากเอไอเป็นอย่างไร ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์

ในหนังสือ Teaching with AI ได้ให้ตัวอย่างแนวทางในการออกแบบงานที่เน้น ‘กระบวนการ’ โดยนำเอไอเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของเด็กด้วย ซึ่งจะทำให้เด็กได้ฝึกฝนการใช้เอไออย่างสร้างสรรค์และเกิดการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์

เมื่อครูให้คุณค่ากับกระบวนการ เด็กก็จะใส่ใจกับวิธีการทำงาน ไม่ได้ใช้เอไอแบบขอไปทีเพื่อให้งานเสร็จ เด็กจะเกิดการคิดวิเคราะห์ว่าคำตอบจากเอไอเหมาะสมแล้วหรือยัง และทำการปรับแก้ต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้และออกมาเป็นงานที่ดีได้ 

นอกจากนี้ คานยังเสนอว่า บางทีครูอาจไม่จำเป็นต้องมอบหมายงานให้ไปทำที่บ้านด้วยซ้ำไป ถ้าเป้าหมายของงานคือการประเมินความเข้าใจเด็ก การเขียนเรียงความสั้นๆ ในชั้นเรียนก็อาจเพียงพอแล้ว วิธีนี้จะช่วยป้องกันเด็กใช้เอไออย่างไม่สร้างสรรค์ได้ อีกทั้งครูก็จะรู้ได้ทันทีว่าเด็กเกิดการเรียนรู้อย่างไรและให้คำแนะนำได้อย่างตรงจุด

อย่างไรก็ตาม บางครั้งเป้าหมายของการบ้านก็คือการให้เด็กฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนทักษะนั้นๆ เช่น การทำโจทย์คณิตศาสตร์ แต่สิ่งที่สำคัญคือการเปิดช่องให้นักเรียนแสดงวิธีคิดวิธีทำ โดยไม่ควรเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว

นิโลบล สุภัทราธรรม หรือครูแอม ครูคณิตศาสตร์จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กล่าวว่า การบ้านส่วนใหญ่ของเธอจะให้นักเรียนแสดงวิธีทำด้วย ไม่ใช่เขียนเฉพาะผลลัพธ์การคำนวณ โดยวิธีทำนี้เองจะสามารถจับสังเกตได้ว่าเด็กเขียนตามความเข้าใจของตัวเองหรือคัดลอกคำตอบจากเอไอ

เมื่อตรวจพบการบ้านที่มีลักษณะต้องสงสัย เช่น วิธีทำละเอียดแปลกๆ หรือใช้สูตรที่ครูไม่เคยสอน วิธีการต่อมาที่ครูใช้คือการถามต่อยอดจากคำตอบที่เด็กให้มา เช่น ให้อธิบายว่าได้คำตอบนี้มาได้อย่างไร

เด็กที่คัดลอกคำตอบมาจากเอไอและไม่ได้ผ่านการคิดด้วยตัวเอง จะไม่สามารถตอบคำถามได้ และครูจะให้กลับไปหาคำอธิบายวิธีทำมา ทั้งนี้ ถึงแม้เด็กจะใช้เอไอจริง แต่หากสามารถอธิบายคำตอบได้อย่างถูกต้อง ก็แสดงให้เห็นถึงการใช้เอไออย่างสร้างสรรค์ นั่นคือ ใช้เพื่อช่วยทำความเข้าใจวิธีทำ ในกรณีนี้ครูจะไม่ได้ว่าอะไร

จากกรณีของครูแอม เราอาจสอนนักเรียนเพิ่มเติมว่า แม้นักเรียนจะเข้าใจคำอธิบายของเอไอ แต่ก็ไม่ควรคัดลอกข้อความมาโดยตรง เพราะเอไออาจให้ข้อมูลที่ผิดหรือใช้ภาษาที่ไม่เป็นธรรมชาติ ควรตรวจสอบเพิ่มเติมและปรับแก้ให้เป็นภาษาของตัวเอง

หากครูสามารถมอบหมายแบบฝึกหัดเพิ่มเติมที่ให้นักเรียนนำเอไอมาใช้ร่วมในการทำงานด้วยก็จะยิ่งดี เพราะเด็กจะได้ทำความคุ้นเคยกับเอไอมากขึ้นและพัฒนาการพิมพ์คำสั่งอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งได้เรียนรู้ถึงข้อดี-ข้อเสียของเอไอไปด้วยในตัว ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งานอย่างสร้างสรรค์ได้ (ดูกรณีศึกษาได้จาก EP2)

จากตัวอย่างทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการให้คุณค่า ‘กระบวนการ’ มากกว่า ‘ผลลัพธ์’ สุดท้าย เมื่อครูมุ่งตรวจสอบว่าเด็กเกิดการเรียนรู้หรือไม่ มากกว่าที่จะหาวิธีจับผิดว่าเด็กใช้เอไอหรือไม่ จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง

และแม้ว่าเด็กจะใช้เอไอ แต่หากมันช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็ก ครูก็ไม่ควรที่จะปิดกั้น ทั้งนี้ หากครูมีความกังวลว่าเด็กจะใช้เอไอทำงานให้แบบส่งๆ ก็ขอให้ครูมุ่งตรวจสอบกระบวนการทำงานของเด็ก ซึ่งจะนำไปสู่การใช้เอไอในเชิงสร้างสรรค์ได้ในที่สุด

เอไอจะทำให้เด็กเก่งขึ้นหรือแย่ลง ขึ้นอยู่ที่ว่าครูจะขับเคลื่อนแนวทางการใช้เอไอไปในทิศทางไหน

อ้างอิง

นงนภัส พัฒน์แช่ม. (2025). “ถ้าเป็นอะไรที่ไว เด็กจะคิดสั้น ๆ เลยว่าถาม ChatGPT” ครูไทยรับมืออย่างไรในยุคที่เอไอทำการบ้านแทนนักเรียน.

สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2568). คู่มือการใช้ AI สำหรับครู นักเรียน โรงเรียนและผู้ปกครองในประเทศไทย พ.ศ. 2568.

Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.

Callie Holtermann. (2025). A New Headache for Honest Students: Proving They Didn’t Use A.I.

Julia Bergin. (2025). University wrongly accuses students of using artificial intelligence to cheat.Khan, S. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). Viking.

Tags:

ครูการเรียนรู้การคิดวิเคราะห์การประเมินสมรรถนะนักเรียนห้องเรียน AIหนังสือ Teaching with AI

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • teaching-nologo
    Learning Theory
    การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • ชั่วโมงห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร: Makerspace ที่เน้นการเรียนรู้ระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

เมื่อต้องคุยกับเด็กเรื่อง ‘สงคราม’ ขอให้หล่อหลอมสันติภาพในหัวใจเขา
Social Issues
24 October 2025

เมื่อต้องคุยกับเด็กเรื่อง ‘สงคราม’ ขอให้หล่อหลอมสันติภาพในหัวใจเขา

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • การพูดคุยเรื่อง ‘สงคราม’ กับเด็กควรคำนึงถึงพัฒนาการทางความคิดของแต่ละวัย โดยอธิบายให้อยู่ในระดับที่เข้าใจได้ เช่น เด็กเล็กใช้คำเปรียบเทียบง่าย ๆ อย่าง ‘การทะเลาะกัน’ ส่วนเด็กโตจึงค่อยอธิบายถึงความขัดแย้ง ความสูญเสีย และสาเหตุที่ซับซ้อนมากขึ้น
  • หากเราต้องการการปลูกฝังค่านิยมส่งเสริมความสันติสุข เราทำได้ด้วยการเล่าถึงโศกนาฏกรรมที่เป็นข้อเท็จจริงที่แม้สงครามหลายครั้งจบที่ใครชนะโดยใช้ความรุนแรง แต่ก็มีการสูญเสียมหาศาลไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายที่ชนะ
  • สิ่งที่สำคัญในการพูดคุยกับลูกเรื่องสงครามคือ การคุยเพื่อมองสงครามให้รอบด้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งเสริมการเข่นฆ่า ความเกลียดชังแบบเหมารวม หรือการสร้างภัยคุกคามต่อกันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เราคงสังเกตว่าในช่วงปีที่ผ่านๆ มาจนถึงตอนนี้มีแต่ข่าวสงครามที่เกิดทั่วโลกทั้งใกล้และไกล เด็กเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น และในเมื่อคนและสื่อรอบตัวพูดถึงเรื่องนี้ เราคงจะป้องกันให้เด็กไม่ได้ยิน และคงห้ามไม่ให้เด็กสงสัยคำว่า ‘สงคราม’ ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอยู่ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีที่เด็กสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย 

แต่ถ้าเด็กเล็กๆ มาถามว่า “สงครามคืออะไรหรือคะ” นี่คงเป็นคำถามที่น่าหนักใจในการตอบแน่นอน เพราะสงครามเกี่ยวข้องกับการฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ เป็นเรื่องความรุนแรงซึ่งไม่เหมาะกับวัย การอธิบายว่าสงครามคืออะไรให้เด็กเข้าใจว่ายากแล้ว การตอบคำถามที่เป็นคำถามพื้นๆ ว่า สงคราม ‘ดีหรือไม่ดี’ ‘ถูกหรือไม่ถูก’ ยิ่งยากกว่า แม้แต่ในผู้ใหญ่เองนี่ยังถือว่าเป็นคำถามที่ตอบยาก บทความนี้ผมเลยขออนุญาตชวนมาคุยกันว่า หากลูกหรือเด็กๆ สงสัยเรื่องสงครามเราควรจะตอบหรือพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างไร 

สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกของการตอบคำถามเกี่ยวกับสงครามคือวัยของเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเป็นหัวข้อที่มีความรุนแรง แต่สงครามเกี่ยวพันกับหลายอย่างที่ทำให้เด็กเข้าใจทั้งหมดได้ยาก ในทฤษฎีจิตวิทยาด้านพัฒนาการทางปัญญา เด็กมีรูปแบบในความคิด ‘แตกต่าง’ จากผู้ใหญ่ ที่ผมเน้นคำว่าแตกต่าง เพราะต้องการเน้นว่ารูปแบบความคิดของเด็กไม่ได้ด้อยกว่า แต่เป็นคนละแบบ 

หากคุณนึกไม่ออกว่าเด็กมีความสามารถทางความคิดอะไรที่เก่งกว่าผู้ใหญ่ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เด็กจะเข้าใจภาษาได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยกลไกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดในการเรียนรู้ภาษา เด็กจะเข้าใจภาษาแม่หรือภาษาที่คนรอบตัวพูดได้อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้การเรียนภาษาในแบบผู้ใหญ่อย่าง เช่น ต้องมาท่องศัพท์จับคู่ความหมายทีละคำ หรือการเรียนไวยากรณ์เพื่อแต่งประโยคให้เข้าใจ เด็กเรียงประโยคได้เองแบบไม่ต้องท่องจำไวยากรณ์ พูดประโยคซับซ้อนได้โดยไม่ต้องรู้โครงสร้าง ส่วนในเรื่องความหมายของคำ เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้ความหมายของคำทุกคำที่ตนได้ยินคนพูดโดยไม่ต้องมีใครสอน แต่ไม่ได้แปลว่าเด็กจะเรียนรู้ความหมายได้ถูกต้องชัดเจนทุกคำ เด็กจะเข้าใจคำที่เห็นรูปธรรมได้สบายๆ แต่สิ่งนามธรรมต่างๆ นั้น ด้วยข้อจำกัดของรูปแบบความคิดทำให้เด็กเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ยาก ถึงเด็กจะมีภาพในใจว่าคำนั้นคืออะไร แต่ก็อาจจะไม่ตรงกับความจริงทั้งหมดหรือไม่ตรงเลยก็ได้ โดยเด็กจะค่อยๆ ปรับความเข้าใจของคำที่ตนเองรู้จักไปเรื่อยๆ จากการเรียนรู้สิ่งรอบๆ ตัวจนตรงกับความเป็นจริง หรือตรงกับที่คนรอบตัวเข้าใจ เด็กอาจจะถามผู้ใหญ่ เช่น ถามว่า ‘การเมืองคืออะไร’ แต่ไม่ว่าผู้ใหญ่จะตอบอย่างไร เด็กอาจจะรับรู้ในแบบที่ตนเองพอเห็นภาพ เช่น

เป็นอาชีพอย่างหนึ่งเหมือนทหาร ตำรวจ แต่ยังไม่นึกถึงเรื่อง ‘ระบบ’ ที่เป็นนามธรรม

ที่ผมเกริ่นเรื่องการเข้าใจภาษามาก่อน เพราะมีคำหลายคำที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘สงคราม’ ที่หากเด็กไม่เข้าใจแล้ว ก็จะไม่เข้าใจสงครามอย่างชัดเจน โดยสงครามคู่กับ ‘การฆ่า’ และการฆ่าคือการ ‘ทำให้ตาย’ การที่เด็กจะเข้าใจสงครามอย่างเต็มที่ เด็กต้องเข้าใจเรื่องความตายเสียก่อน แต่เด็กเข้าใจความหมายของ ‘ตาย’ หรือไม่ คำนี้เป็นคำสั้นๆ พื้นฐาน ไม่ซับซ้อนในสายตาผู้ใหญ่ และเช่นเดียวกับคำอื่นๆ เด็กอาจจะได้ยินผู้ใหญ่พูดและพยายามเข้าใจด้วยการถาม หรือการสังเกต แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับความตายของเด็กจะจำกัดด้วยรูปแบบความคิดที่แตกต่างไปตามวัย

เด็กอายุต่ำกว่า 5-6 ปียังยากที่จะทำความเข้าใจแนวคิดนามธรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องความตายด้วย หากมีคนใกล้ตัวเสียชีวิต เด็กอาจจะแค่สังเกตและเข้าใจว่าจะไม่ได้เห็นคนดังกล่าวอีกนาน แต่ด้วยพัฒนาการทางความคิดในวัยนี้ เด็กอาจจะไม่เข้าใจถึงการจากไปอย่างถาวร คำอธิบายที่พ่อแม่นิยมใช้ทั่วไปอย่าง ‘เขาไปกลายเป็นดาวแล้ว’ หรือ ‘เขาเดินทางไปที่อันแสนไกล’ แม้จะไม่ถูกต้องแต่ก็เพียงพอกับการตอบคำถามตามข้อจำกัดในความเข้าใจของเด็กในวัยนี้ 

ในช่วงอายุ 6 – 10 ปี เด็กเริ่มเข้าใจว่าคนตายแล้วจะกลับมาไม่ได้  และสิ่งนั้นเองทำให้เด็กเริ่มแสดงความเสียใจเมื่อคนใกล้ตัวเสียชีวิตเพราะจะไม่เจอกับคนคนนั้นอีกแล้ว อย่างไรก็ตามเด็กในวัยนี้ยังอาจยังเข้าใจความตายในแง่มุมที่จำกัดมาก และไม่ตระหนักว่าความตายเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับผู้สูงอายุ (เด็กจะคุ้นเคยกับคำว่าแก่ตาย) ตัวร้ายในนิทานหรือการ์ตูนที่พวกเขาอ่านหรือดู (ที่ถูกปราบตอนจบเรื่อง) ความตายเกิดได้แม้แต่คนที่พวกเขารักและเกิดได้แม้แต่กับตัวเขาเอง อย่างไรก็ตามประสบการณ์ตรงอย่างการสูญเสียคนใกล้ตัวที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เด็กใกล้ชิดสนิทสนมด้วย จะส่งผลต่อความเข้าใจเรื่องความตายอย่างมาก เด็กที่มีประสบการณ์ตรงอาจจะเข้าใจเรื่องนี้มากกว่า เริ่มมีความกลัวการสูญเสียคนรอบตัวและสะเทือนใจกับคำว่า ‘ความตาย’ มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน

พออายุประมาณ 10 ปีเด็กจะเข้าใจความตายได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ เด็กเริ่มเข้าใจแนวคิดนามธรรมสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้เข้าใจความตายอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และจะเข้าใจคำนี้โดยสมบูรณ์เหมือนกับที่ผู้ใหญ่เข้าใจในราวๆ อายุ 12 ปี อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมของเด็ก เด็กจะรู้ว่าใครๆ ก็ตายได้ และเด็กรู้ว่าตนเองอาจตายได้ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เด็กใส่ใจโดยธรรมชาติ สิ่งนี้ยังคงอยู่แม้จนโตเป็นวัยรุ่น (นี่คือหนึ่งในเหตุผลทีเด็กวัยรุ่นทำอะไรเสี่ยงๆ) และกว่าความตายจะเป็นหัวข้อหลักในชีวิตก็มักจะล่วงเลยไปในวัยผู้ใหญ่ตอนปลายแล้ว แต่หากเด็กคนนั้นเป็นโรคร้าย มีคนรอบตัวเป็นโรคร้าย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีพบเห็นความตายบ่อยๆ จากการก่อการร้ายและสงคราม เด็กอาจจะเริ่มกลัวว่าความตายจะเกิดขึ้นกับตนเองและคนรอบตัวไวขึ้น

เด็กที่เข้าใจความตายจะเข้าใจความหมายที่น่ากลัวของการฆ่าได้ชัดเจนขึ้น และในเมื่อเข้าใจความหมายของการฆ่า เด็กจะเข้าใจกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกันคือสงคราม 

อย่างไรก็ตาม เรากะเกณฑ์ไม่ได้ว่าเด็กจะได้ยินคำไหนก่อน ถึงจะไม่มีใครตอบ หากเด็กไม่ได้อยู่ในพื้นที่สงคราม เด็กอาจจะเห็นภาพจากสื่อต่างๆ จะมีภาพในใจง่ายๆ เช่น มีคนหลายคนมาต่อสู้กัน จากนั้นเด็กจะค่อยๆ ปะติดปะต่อจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว และเมื่อพัฒนาการทางความคิดพร้อมจะเรียนรู้สิ่งนามธรรมได้ เด็กจะเข้าใจคำว่าสงครามได้เอง แต่ย้อนกลับมาที่คำถามของเราคือ แล้วถ้าเด็กอยู่ในวัยที่น่าจะยังไม่เข้าใจความหมายของความตาย การฆ่า หรือสงคราม เราจะตอบคำถามอย่างไร หากเด็กได้ยินคำนี้แล้วถามคุณว่า ‘สงครามคืออะไร’

ผมเข้าใจดีว่าพ่อแม่ทุกท่านมีทัศนคติต่อสงครามที่แตกต่างกันไป ทั้งทางบวกและทางลบต่อสงคราม และก็มีทัศนคติต่อสงครามแต่ละแห่งแต่ละเหตุการณ์แตกต่างกันไปเช่นกัน แต่ผมเชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่น่าจะคาดหวังให้ลูกๆ ไม่ซึมซับว่าสงคราม (ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไหนก็ตาม) เป็นสิ่งที่ควรเกิด หรือเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีหรือได้ผล และคงอยากให้ลูกๆ ของท่านใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจอกับสงครามในอนาคต ซึ่งคำตอบและการพูดคุยของเรากับเด็กคือหนึ่งในสิ่งสำคัญในการหล่อหลอมทัศนคติของเด็กเกี่ยวกับสงคราม 

ผมขอใช้แนวทางสากลของ UNICEF (กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ) ที่สอดคล้องกับหลักการของหน่วยงานที่ทำงานกับเด็กอื่นๆ เพื่อเป็นหลักยึดของทิศทางการพูดคุย และผสมผสานกับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เราคุยกันไว้เพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยในการพูดคุยกับเด็กในเรื่องสงคราม

หากเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ ถามว่าสงครามคืออะไร ผู้ปกครองอาจจะจำกัดขอบเขตของสงครามแค่ในความหมายที่เด็กจะเข้าใจโดยยังไม่เกี่ยวข้องกับความตาย เช่น “เหมือนการทะเลาะกัน” และเช่นเดียวกับการทะเลาะทั่วไป เหมือนที่หนูทะเลาะกับพี่ หรือทะเลาะกับเพื่อน แต่สงครามคือการทะเลาะกันของผู้ใหญ่หลายๆ คน เด็กมักจะถูกสอนเป็นพื้นฐานอยู่แล้วว่าไม่ควรทะเลาะกัน การเปรียบเทียบนี้ก็คือเหมือนกับการปลูกฝังว่าจะดีกว่าหากไม่เกิดสงคราม หากเด็กถามว่าแล้วทำไมเขาถึงทะเลาะกัน เราอาจจะตอบเพียงง่ายๆ แค่ เขาแย่งของกัน เขาโกรธกัน เด็กอาจจะถามต่อไม่หยุด แต่หากใครเคยเลี้ยงเด็กวัยที่เริ่มพูด น่าจะชินกับการตอบคำถามที่เด็กถามว่าไอนั่นคืออะไร ไอนี่คืออะไรไปเรื่อยๆ เด็กวัยนี้มักไม่ได้ต้องการคำอธิบายข้อเท็จจริงเหมือนผู้ใหญ่ เพียงแค่คำตอบที่เด็กเข้าใจตามวัยหรือบางครั้งเพียงแค่คุณตอบอะไรสักอย่างเด็กก็พอใจแล้ว เราไม่จำเป็นต้องอธิบายไกลกว่านั้นเพราะเด็กยังไม่เข้าใจเรื่องนามธรรมซับซ้อน

ช่วงอายุราวๆ  6 -10 ปีที่เด็กเริ่มเข้าใจความตายแล้ว ด้วยทักษะทางภาษาตามธรรมชาติ หากเด็กผ่านตาสื่อต่างๆ ที่มีเรื่องราวของสงครามมาบ้าง เด็กจะเข้าใจว่าคำว่า ‘สงคราม’ มีการฆ่าฟันและการสูญเสียเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมีใครสอน และช่วงเดียวกันนี้เองเด็กส่วนใหญ่จะเรียนรู้เรื่องจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรมเชิงศาสนา อย่างเด็กไทยชาวพุทธอาจจะเริ่มเรียนศีล 5 และรู้ว่าการฆ่าคนจะไม่เหมาะสม และเด็กจะยังรู้จริยธรรมทั่วไปหรือสามัญสำนึกที่เด็กปกติจะเข้าใจว่าคนเราไม่ควรฆ่ากันเด็ดขาด วัยนี้จะเป็นวัยที่คุณอาจจะตอบคำถามได้ยาก และอาจมีคำถามที่น่าหนักใจคือ ‘ทำไมคนถึงฆ่ากัน’ ‘ทำไมถึงเกิดสงคราม’ เพราะเด็กเริ่มจะรู้ความมากขึ้นจนไม่พอใจกับคำตอบแบบง่ายๆ แต่ด้วยระดับพัฒนาการ พวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนอย่างสังคมและประวัติศาสตร์ และถึงจะเข้าใจก็ยังอ่อนไหวเกินไปเกี่ยวกับการเรียนรู้ถึงความรุนแรงในระดับนี้ คำตอบของคุณอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการตอบความจริงเพียงบางส่วน คุณอาจมุ่งเน้นที่ว่าสงครามคือ ‘ความขัดแย้ง’ เพราะประเทศนี้ต้องการสิ่งนี้ แต่ประเทศนี้ไม่ให้ ประเทศนั้นทำแบบนี้ ประเทศนี้เลยไม่พอใจ คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงการฆ่าฟันในสนามรบ เด็กวัยนี้รู้จักอาชีพทหาร และมักจะได้รับการสอนเพียง ‘ปกป้องประเทศ’ ซึ่งเราปล่อยไว้แค่นั้นได้ แต่ขอให้เลือกคำที่เหมาะสมกับความรุนแรง ‘ต่อสู้’ ไม่ใช่ ‘ฆ่า’ ถึงแม้ว่าเด็กจะรับรู้จากสื่ออยู่แล้วก็ตามว่ามีการเข่นฆ่า แต่ไม่ควรเป็นจุดที่เน้นย้ำให้สนใจ 

ส่วนเรื่องอนาคตเช่น เด็กที่อยากเป็นทหาร หรือจะทำอย่างไรหากเกิดสงคราม คุณควรมุ่งเน้นว่าสงครามเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ และทหารเป็นอาชีพของผู้ใหญ่ ไว้เป็นผู้ใหญ่เราค่อยคิดถึงเรื่องนี้กัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ พี่ๆ ทหารทำหน้าที่ของเขา หากเด็กรู้สึกกลัวในกรณีที่สงครามเป็นเรื่องใกล้ตัวในพื้นที่ สิ่งสำคัญที่สุดคือบอกว่าพวกเขาจะปลอดภัย และผู้ใหญ่จะปกป้องพวกเขาเอง 

ด้วยการเรียนรู้จากสื่อ เด็กวัยนี้อาจจะต้องการคำตอบที่ชัดเจน เหมือนมีการต่อสู้ก็ต้องมีฝ่ายแพ้ชนะ ใครเป็นคนผิดหรือคนถูก ตัวผู้ใหญ่เองก็อาจมีคำตอบในใจว่าใครถูกหรือผิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราจะเข้าข้างเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ว่าคุณจะมีทัศนคติในทางใดก็ตาม  ยังไม่ควรส่งเสริมให้เด็กตีตราว่าฝ่ายไหนเป็นคนผิด หรือใครเป็นคนชั่ว ลองเปลี่ยนเป้าหมายของคำถามจาก ‘ศัตรู’ เป็นต้นเหตุอื่น ๆ ของความขัดแย้ง เช่น เพราะความคิดไม่เหมือนกัน เพราะมีคนไม่พอใจรุนแรงในประเทศนั้น 

ที่เราไม่ควรให้เด็กหัดตีตราว่าใครผิด เพราะสงครามผูกอยู่กับการฆ่าฟันอย่างเลี่ยงได้ยาก คุณไม่ควรมอบความคิด ‘การฆ่าศัตรูโดยชอบธรรม’ ให้กับเด็กวัยนี้ ถึงแม้ตัวคุณและเด็กจะได้รับผลกระทบจากสงครามดังกล่าว และทำให้คุณเกลียดฝ่ายนั้นมาก หรือมีเหตุผลในใจชัดเจนว่าฝ่ายนั้นผิด เพราะการประเมินเหล่านี้จะเข้าใจได้ต้องอาศัยความรู้ทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ซึ่งเราควรจะให้เด็กคิดถึงประเด็นเหล่านี้ในวัยที่เขาพร้อมมากกว่านี้ คุณไม่ควรบอกว่าใครเป็นฝ่ายผิด ใครเป็นคนชั่ว ซึ่งจะไปหล่อหลอมให้เด็กเกลียดคนหรือประเทศนั้น 

ความเกลียดชังเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ควรเป็นสิ่งที่คุณเป็นฝ่ายเสี้ยมสอนเด็กที่ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์เต็มที่ 

หากเด็กเริ่มเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นี่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็อาจจะไม่ต้องบอกว่าเขาคิดถูกหรือผิดและไม่ควรจะสานต่อบทสนทนาใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเมื่อพูดคุยกับเด็กวัยนี้ ควรมุ่งเน้นผลกระทบความสูญเสียอย่างมีคนตาย หรือบ้านเมืองถูกทำลายมาจาก ‘ตัวสงครามเอง’ ไม่ใช่จากใครหรือจากประเทศใด 

เมื่อถึงอายุ 10-13 ปี เด็กจะเข้าใจเรื่องนามธรรมต่างๆ ได้ดี แต่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องซับซ้อนต่างๆ หากเด็กพูดถึงเรื่องสงครามกับคุณ คุณอาจเริ่มอธิบายปัญหาอย่างละเอียดได้มากขึ้น เริ่มเล่าข้อเท็จจริงว่าสงครามดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์ใด ประเทศนี้กับอีกประเทศมีปัญหากันอย่างไร คุณนำข่าวสารบ้านเมืองมาเล่าให้เด็กฟังได้ แต่ควรคัดกรองก่อน เพราะถึงแม้เด็กวัยนี้จะเข้าใจอะไรได้เหมือนผู้ใหญ่พอสมควร แต่ความรู้และวุฒิภาวะของเด็กยังคงจำกัดที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อนรอบด้าน ยังเร็วเกินไปที่จะเข้าถึงเรื่องทางลบหลากหลายอย่าง เช่น เกมการเมืองจากความโลภ ความเห็นแก่ตัวและการแก่งแย่งทรัพยากร การต้องการเป็นมหาอำนาจ คุณควรป้องกันหรืออย่างน้อยก็ไม่แนะนำให้เด็กดูสื่อที่วิเคราะห์เหตุการณ์ที่มุ่งเน้นว่า ‘ใครผิด’ ‘ใครชั่วร้าย’ หากเด็กสงสัย คุณอาจจะคัดเลือกเนื้อหาและเล่าเอง หรือเลือกสื่อสำหรับให้เด็กรับชมซึ่งบอกข้อเท็จจริงที่เน้นเหตุการณ์ว่า ใครไม่พอใจเรื่องอะไร หรือใครต้องการอะไร โดยนั่งดูและอธิบายไปพร้อมๆ กัน 

เช่นเคย เด็กมักจะเลือกฝั่งเป็นปกติ ว่าตนชอบหรือเชียร์ฝ่ายไหน ซึ่งคุณอาจจะถามเขาว่าเพราะอะไรเพื่อรับฟังไม่ใช่เพื่อถกเถียง บอกให้เด็กรับรู้ว่านี่คือเรื่องใหญ่ ซับซ้อน และยังต้องรู้อะไรอีกมากในการตัดสินเรื่องถูกผิด หรือเราอาจเบี่ยงประเด็นไปที่มุ่งเน้นไปที่ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ และมุ่งเน้นสิ่งที่ประชาชนทำได้เพื่อช่วยเหลือหากทำได้ในขณะนั้น เช่น การบริจาคช่วยเหลือผู้สูญเสียตามกำลัง หรือชี้ให้เห็นถึงหน่วยงานช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยสงคราม เช่น กาชาด และมุ่งเน้นว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เกิดสงคราม ไม่มีอยากให้มีการฆ่าฟัน แม้จะมีเหตุผลก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องพูดยากในสงครามคือ อาชีพทหาร เด็กมีทัศนคติเกี่ยวกับทหารแตกต่างกันไป บางคนยอมรับในเรื่องการปกป้องประเทศ การทำเพื่อประเทศชาติ บางคนมองว่าเป็นเรื่องน่าหลีกเลี่ยง ลำบาก เสี่ยงอันตราย หากเด็กคุยเรื่องทหารในแนวของการเข่นฆ่า หรือเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง เราอาจจะพูดอ้อมๆ ว่าการเข่นฆ่าและความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง และจะใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น คุณอาจสอนเรื่องกฎหมายพื้นฐานในช่วงนี้ได้ว่าหน้าที่ของใครบ้างต้องเป็นทหาร และใครได้รับข้อยกเว้น ตัวบทบาทหน้าที่ของทหารที่ควรสื่อออกไปควรเน้นที่ที่การปกป้องประเทศ ปกป้องประชาชน มากกว่าเชิงรุกราน เด็กวัยนี้น่าจะไม่ได้สอบถามถึงข้อย้อนแย้งทางจริยธรรมเรื่องการฆ่าฟันว่า ‘ทหารฆ่าคนแล้วผิดไหม’ ซึ่งเป็นเรื่องยากและรุนแรงที่ไม่เหมาะและไม่ควรคุยกับเด็กนี้อยู่แล้ว เด็กในวัยนี้ยังยึด ‘กฎที่ผู้ใหญ่สอน’ เป็นหลัก หากผู้ใหญ่ว่าอะไรถูก เด็กก็มักจะเห็นด้วย และโดยปกติจะไม่ได้พูดคุยกันลงลึกถึงขนาดนั้น แต่หากเด็กมีความคิดความอ่านเกินวัยและสอบถาม (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก) เราอาจจะลองพูดคุยในแบบเด็กโตได้ และหากเกินความเข้าใจ เราอาจจะบอกว่าเมื่อเขาโตกว่านี้ แล้วมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ 

เมื่อเด็กเข้าสู่วัยมัธยมเด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสงครามจากโรงเรียน เช่น จากวิชาสังคมและประวัติศาสตร์ และจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ การ์ตูน เกม หรือข่าวสาร เด็กมักจะเข้าใจแล้วว่าสงครามคือการที่แต่ละประเทศส่งทหารมาใช้ความรุนแรงเพื่อเอาชนะและยึดครองหรือปกครองดินแดนที่ต้องการ เมื่อถึงมัธยมปลายอีกเด็กอาจจะเรียนเกี่ยวกับสงครามที่ซับซ้อนกว่าอย่างสงครามที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา และอุดมการณ์ เด็กมัธยมมีรูปแบบความคิดเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว จึงเริ่มมีทัศนคติต่อสงครามเป็นของตนเองและแตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละคน เช่น เด็กบางคนอาจจะยอมรับได้ถึงการฆ่าฟันในสงคราม และโอบรับแง่มุมสงครามแบบมีผู้ถูกผิดชัดเจน และรวมถึงการฆ่ามนุษย์ในสงครามว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้อีกด้วย หรือเด็กบางคนเริ่มต่อต้านตัวสงคราม มองว่าเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ควรเกิดขึ้น ยอมรับไม่ได้กับความรุนแรงในรูปแบบใดๆ 

ตอนนี้ถึงวัยที่เราเริ่มชวนเด็กคุยเรื่องของความถูกผิดได้ แต่เราอาจพบว่าความคิดของเด็กเอนเอียง ส่วนหนึ่งก็เพราะความรู้ที่จำกัด เนื่องจากประวัติศาสตร์ที่ได้เรียนในห้องเรียนบางแห่ง หรือสื่อบันเทิงเกี่ยวกับสงครามก็มักจะมีแค่เหตุการณ์คร่าวๆ และไม่ได้ลงไปถึงเบื้องหลังมากและความจำเป็นทางสถานการณ์มากนัก ทำให้เด็กมักขาดแง่มุมที่รอบด้าน ซึ่งทำให้เด็กการมองสงครามแบบขาวดำ คือต้องมีฝ่ายผิดและฝ่ายถูก ในส่วนนี้ผู้ใหญ่อาจจะต้องทำการบ้านมากหน่อย เพราะการตีตราหรืออคติในสงครามเองก็เป็นเรื่องที่แก้ได้ยากแม้แต่กับในผู้ใหญ่ เราอาจจะเริ่มต้นเป็นฝ่ายพูดคุยเรื่องสงครามเองก็ได้ หากเราพร้อม และลูกสนใจ โดยอาจจะเน้นไปที่การชวนดูข่าวสาร การพูดคุยว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ ซึ่งยังคงยึดในข้อเท็จจริง รวมไปถึงการชวนพูดคุยหรือชวนดูสื่อ อย่างเช่น คลิปหรือพ็อดคาสต์ประวัติศาสตร์ที่พูดของสงครามต่างๆ ในอดีต ควรแนะนำเลือกสื่อที่เล่าในมุมมองของทั้งสองฝั่ง 

นอกจากนี้ วัยนี้เป็นวัยที่เราพูดคุยถึงส่วนที่ไม่สวยงามนักที่ของมนุษย์ให้เด็กฟังได้ อย่างเช่น ความเห็นแก่ตัว การแก่งแย่ง การต้องการอำนาจ แต่ก็ด้วยเหตุผลรองรับอย่างความจำกัดของทรัพยากร วิวัฒนาการของมนุษย์ เพื่อให้เห็นว่าสงครามเป็นปัญหาซับซ้อน และไม่ใช่ ‘แค่คนต้องการจะฆ่ากันเพื่อแย่งชิง’ และบางครั้งสถานการณ์เองก็ไม่ใช่ขาว หรือดำ ไม่ได้เกิดจากแค่ฝ่ายหนึ่งผิด หรือฝ่ายหนึ่งชั่ว และบางครั้งชนวนของสงครามเป็นผลจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นหลากหลายเรื่อง และเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และมักจะไม่ได้เกิดเพียงแค่ ‘ตัวร้าย’ เพียงตัวเดียว การจะลงรายละเอียดแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเด็กจะสนใจ รับไหว และเข้าใจหรือไม่ 

หากเราต้องการการปลูกฝังค่านิยมส่งเสริมความสันติสุข เราทำได้ด้วยการเล่าถึงโศกนาฏกรรมที่เป็นข้อเท็จจริงที่แม้สงครามหลายครั้งจบที่ใครชนะโดยใช้ความรุนแรง แต่ก็มีการสูญเสียมหาศาลไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายที่ชนะ เพื่อให้เห็นว่าสุดท้ายแล้ว สงครามไม่ใช่เครื่องมือที่ดี แม้อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราอาจจะใช้สื่อที่แสดงความโหดร้ายของสงครามซึ่งมีจำนวนมากในรูปแบบของนิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ และสารคดี อย่างไรก็ตามเด็กแต่ละคนมีความอ่อนไหวกับเรื่องนี้แตกต่างกัน สื่อบางประเภทสร้างความสะเทือนใจจนเกินไปแม้ว่าจะไม่กำหนดระดับอายุก็ตาม คุณอาจถามถึงความชอบหรือความรับได้ของเด็กด้วยว่าเคยดูหรือชอบสื่อเหล่านี้หรือไม่ หากเด็กไม่ชอบ อาจจะยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่คุณจะเลือกให้เขาในตอนนี้ รอให้เขาพร้อมและสงสัย เขาจะเลือกอ่านหรือดูด้วยตนเอง คุณอาจจะแค่แนะนำว่าหนังสือ หรือภาพยนตร์เรื่องไหนที่น่าดู น่าเรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนของสงคราม นอกจากนี้ เราอาจพูดคุยถึงเรื่องที่ซับซ้อนของการเมืองในรูปแบบของการลดความรุนแรง ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งสงครามเสมอไป ชวนลูกพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาของแนวทางการแก้ไขปัญหาสมัยใหม่ อย่างเช่นการทูต และในสังคม ‘ความรุนแรง’ อาจไม่ได้มาจากแค่รูปแบบของการเข่นฆ่าจากสงคราม แต่มาจากการกดขี่และกีดกันทางเศรษฐกิจ 

สิ่งหนึ่งที่ควรปลูกฝังเสมอ คือการอย่าตีตราใครว่าเป็นคนชั่ว เป็นคนผิด เพียงเพราะเขาเป็นประชาชนของประเทศใดหรือเป็นคนกลุ่มไหน 

จริงอยู่ที่บางสถานการณ์ทำให้คนตีความได้ง่ายว่าชาติไหนเป็นฝ่ายทำให้เกิดสงคราม แต่ไม่ได้แปลว่าประชาชนทุกคนในประเทศนั้นจะคิดเหมือนกัน ดังนั้นอย่าโกรธแค้นคนแบบเหมารวมเชื้อชาติ และอย่าส่งเสริมการพูดดูถูกเชื้อชาติ เรื่องนี้อาจจะทำได้ยากแม้แต่กับตัวเราเอง โดยเฉพาะหากใครได้รับผลกระทบจากสงครามนั้น ถึงแม้ว่าการเลือกฝั่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เราที่ฝังอยู่ถึงระดับพันธุกรรม แต่อย่างน้อยที่สุดผมเองอยากให้พ่อแม่ตระหนักถึงอคติข้อนี้ เพื่อให้ลูกตระหนักตาม เราอาจจะชวนลูกมาลองจินตนาการก็ได้ว่า หากเรามีเพื่อนหรือญาติที่ย้ายไปอยู่ในประเทศที่เราเกลียดชัง หรือให้เราสมมติคนคนหนึ่งขึ้นมา ที่เราไม่เคยรู้จักอะไรเขาเลย แล้วเราเกลียดชังเพราะเขาอยู่ที่ประเทศนั้น แค่นั้นหรือ 

หากเด็กโตพอที่จะชวนเราคุย หรือเราชวนคุยในเรื่องยาก ๆ การเรียนรู้ระบบของการเมืองนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กมองสังคมได้กว้างขวางขึ้น การพูดคุยเรื่องนี้อาจจะดูเป็นวิชาการ แต่แท้จริงแล้วหากต้องการเข้าใจสงครามจริงๆ ต้องเข้าใจระบบการเมืองในประเทศของเราหรือประเทศอื่นๆ ว่าการปกครองเป็นแบบใด และใครมีอำนาจในการตัดสินใจและเกี่ยวข้องอย่างไรกับสงคราม และปัจจัยทางการเมืองใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสงคราม หากเราคิดว่าไม่มีความรู้พอที่จะพูดคุย เราอาจส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าความรู้จากสื่อต่างๆ เพิ่มเติมได้ และแนะนำให้เขาเลือกอ่านสื่ออย่างรอบด้าน หลากหลาย

และหากเด็กโตพอจะพูดคุยเชิงปรัชญา เราจะเริ่มพูดคุยเรื่องของ ‘ความถูกผิด’ ที่เกี่ยวข้องกับสงครามได้ ในเด็กประถมหรือมัธยมต้นเราอาจจะเชื่อมโยงที่สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาในทางสันติสุข หากตรงกับสิ่งที่ครอบครัวศรัทธา ส่วนเด็กที่โตกว่านั้นและผู้ปกครองพร้อมและไม่ได้ขัดกับความเชื่อในครอบครัว อาจลองจะพูดคุยด้านจริยธรรมโดยไม่ได้อิงศาสนา แต่ว่ากันด้วยการให้เหตุผล และการมองแบบเป็นกลางถึงสถานการณ์แวดล้อม (หากสนใจเรื่องแนวทางจริยธรรมที่มีความซับซ้อน ขัดแย้งกันเอง และเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย ขอแนะนำให้อ่านในบทความ ‘จริยธรรม ‘หลังสมัยใหม่’ ของเด็กยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก’ https://thepotential.org/knowledge/postmodernism) เพื่อให้เด็กรู้จักมองสถานการณ์อย่างเป็นกลางและลดอคติต่างๆ หรืออาจจะลองชวนเด็กพูดคุยในเรื่องเชิงบวก ในรูปแบบที่มีความหวัง อย่างเช่น แนวทางหลีกเลี่ยง หรือป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม 

อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเรื่องสงครามกับเด็กโตอาจจะไม่ราบรื่นนักในบางครั้ง ทัศนคติทางสงครามเป็นส่วนหนึ่งทางทัศนคติทางการเมือง และผู้ใหญ่อย่างเราๆ รู้กันดีว่า เรื่องศาสนาและการเมืองเป็นเรื่องต้องห้ามในการสนทนา ถ้าไม่อยากทะเลาะกัน ยิ่งเด็กโตขึ้น การเลือกฝั่ง การยึดแนวทางของตนเองจะยิ่งชัดเจนและแข็งแกร่งขึ้น เด็กจะถึงวัยที่มีความคิดของตนเองและไม่โอนอ่อนผ่อนตามผู้ใหญ่หากไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นในมุมมองของเขา หรือเด็กวัยรุ่นอาจยืนกรานต่อต้านเพียงเพราะถูกยัดเยียดแนวคิด อย่างไรก็ตาม ปัญหานั้นก็ไม่ใช่ปัญหาแค่ในเด็ก คุณคงทราบดีว่าแม้แต่ผู้ใหญ่เองหลายๆ คนก็มีทัศนคิตเลือกฝั่ง เกลียดชัง และเข้าใจผิดในเรื่องสงคราม 

หากคุณและลูกมีความเชื่อไม่ตรงกัน พยายามคุยด้วยข้อเท็จจริง ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ หรือการมุ่งเน้นว่าฝ่ายใดจะ ‘โต้เถียงชนะ’ และหากฝ่ายไหนมีอารมณ์ร่วมเกินไป ควรหยุดการสนทนาในตอนนั้นไว้ก่อน

ตามแนวทางสากลของหน่วยงานเกี่ยวกับเด็กมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังการยึดมั่นในสันติภาพ และความเป็นกลางอย่างชัดเจน ซึ่งในความเป็นจริง อย่างที่เราคุยกันแล้วว่ามนุษย์เรามักจะเลือกฝั่งเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณหรือประเทศของคุณมีส่วนร่วมกับสงคราม การที่ลูกหรือคุณเองจะเลือกฝั่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก แต่สิ่งที่สำคัญที่ผมต้องการเน้นอีกครั้งถึงในการพูดคุยกับลูกเรื่องสงครามคือ การคุยเพื่อมองสงครามให้รอบด้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งเสริมการเข่นฆ่า ความเกลียดชังแบบเหมารวม หรือการสร้างภัยคุกคามต่อกันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

ผมเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะมีความคิดอย่างไรกับสงคราม แต่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้ลูกหลาน และคนรุ่นหลังต้องเจอกับสงครามแบบไม่จบสิ้น และคงไม่มีใครอยากให้ลูกหลานของตนต้องลำบากเพราะสงคราม หรือเสียชีวิตในสงคราม หรืออยู่ในโลกที่คนเกลียดกันเพียงเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ การเมือง หรือศาสนา ผมเชื่อแบบนั้นครับ

รายการอ้างอิงและหนังสือที่เกี่ยวข้องที่แนะนำ

Larsen, R. J., & Buss, D. M. (2008). Personality psychology: Domains of knowledge about human nature. New York: McGraw-Hill.

Robinson, D. (2008). Introducing Ethics: A Graphic Guide. London, Icon Books.

Stambrook, M., & Parker, K. C. (1987). The development of the concept of death in childhood: A review of the literature. Merrill-Palmer Quarterly (1982-), 133-152.

https://www.earlyyears.tv/piagets-theory-of-cognitive-development

https://www.nctsn.org/sites/default/files/resources/fact-sheet/talking-to-children-about-war.pdf

https://www.redcross.org.uk/get-involved/teaching-resources/how-to-talk-about-conflict-impartially

https://www.unicef.org/parenting/child-care/how-talk-your-children-about-conflict-and-war

ดิแลน อีวานส์. (2559). จิตวิทยาวิวัฒนาการ (พงศ์มนัส บุศยประทีป, แปล). กรุงเทพฯ , มูลนิธิเด็ก.

Tags:

เด็กสงคราม

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • IMG_0670 2
    Book
    เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Character building
    ‘เด็กโกหก’ อาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เข้าใจธรรมชาติการโกหกจากงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

หินของซิซีฟัส: โลกที่ไร้เหตุผลที่กับความหมายที่ไม่ต้องรอให้ใครกำหนด
Book
23 October 2025

หินของซิซีฟัส: โลกที่ไร้เหตุผลที่กับความหมายที่ไม่ต้องรอให้ใครกำหนด

เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • หนังสือ ‘ปรัชญาแห่งความไร้เหตุผล’ เขียนโดย อาจารย์พินิจ รัตนกุลหยิบแนวคิดจากผลงาน ‘The Myth of Sisyphus’ ของอัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) มาตีความ เพื่อชวนผู้อ่านทำความเข้าใจกับความไร้เหตุผลของชีวิตและการดำรงอยู่ในโลกที่ไม่อาจอธิบายได้
  • ถ่ายทอดสารสำคัญที่มองว่าความทุกข์และการดิ้นรนของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งสูญเปล่า หากเป็นโอกาสให้เราได้ตระหนักรู้ถึงอิสรภาพ และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
  • แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้มีความหมายในตัวของมันเอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า มนุษย์จะไม่สามารถสร้างความหมาย และทำให้เป็นชีวิตของตนเอง เป็นชีวิตที่คู่ควรแก่การมีอยู่ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไป

ซิซีฟัส (Sisyphus) คือชื่อของอดีตกษัตริย์แห่งเมืองโครินธ์ ในตำนานปกรณัมกรีกโบราณ ผู้ที่ใช้สติปัญญาของตนเอง ท้าทายอำนาจของเทพและเทพีซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งสุดท้าย ถูกบรรดาเทพเจ้าตัดสินลงทัณฑ์ โดยการสาปให้เขาต้องเข็นก้อนหินขึ้นสู่ยอดเขา และเมื่อถึงแล้วก็ต้องตกลงมาใหม่ เวียนวนอย่างนี้ซ้ำไปตลอดกาล เพราะเหล่าเทพมองว่าไม่มีการลงโทษใดที่จะร้ายกาจเท่ากับการลงแรงที่สิ้นหวัง ไร้ผลตอบแทน และไร้ที่สิ้นสุดเช่นนี้อีกแล้ว

เรื่องเล่านั้นจบลงเพียงเท่านั้น คงเหลือไว้แต่เพียงพื้นที่ให้จินตนาการของผู้อ่านได้เติมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเข้าไปแทน ว่าซิซีฟัสจะรู้สึกอย่างไร ที่ต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี มาทำสิ่งที่ถูกนิยามว่า ‘ไร้เหตุผล’ ไปตลอดกาล แรงทั้งหมดถูกใช้เพื่อเข็นก้อนหินขึ้นสู่ยอดเขา และเมื่อมันไปถึงแล้ว หินก็จะกลิ้งย้อนกลับมาสู่เบื้องล่างเสมอ ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวของซิซีฟัส มีแนวโน้มที่จะคิดว่าเขาคงรู้สึกท้อแท้ หดหู่ และพลันคิดไปว่าชีวิตของซิซีฟัส ฟังดูเป็นชีวิตที่ไม่ควรค่าแก่การมีอยู่เอาเสียเลย

อย่างไรก็ตาม อัลแบร์ กามูส์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส – แอลจีเรีย เป็นคนที่ตั้งคำถามชวนคิด ผ่านงานเขียน ‘The Myth of Sisyphus’ ว่าซิซีฟัสนับว่าเป็นคนที่น่าสนใจ เพราะในเวลาที่เขาพาเจ้าก้อนหินขึ้นไปสู่ยอดเขาได้สำเร็จ ได้หยุดพัก และในจังหวะที่เดินกลับลงมาที่ปลายเขาเพื่อเข็นก้อนหินขึ้นไปใหม่นี้เอง ที่เขารู้สภาพของตนเองอย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งการรู้สภาพของตนเองนี้ ทั้งที่มันควรจะเป็นเครื่องทรมานเขา แต่มันกลับเป็นชัยชนะของเขาในขณะเดียวกัน เพราะเขาไม่ได้เปรียบเทียบก้อนหินกับความทุกข์ทรมาน หรือเทียบกับความสุขที่เคยมีสมัยเป็นมนุษย์ เขากลับมองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบของชีวิตของเขา และล้วนเป็นสิ่งที่ดีแล้ว และยังคงผลักก้อนหินนั้นอยู่เรื่อยไป ชะตากรรมของเขา จึงเปลี่ยนจากชะตากรรมที่ถูกกำหนดโดยเทพเจ้า เป็นโลกที่ชะตากรรมถูกกำหนดขึ้นด้วยตัวเขาเอง กามูส์ทิ้งท้ายว่า ที่สุดแล้ว ทุกอณูของก้อนหิน ภูเขา ได้รวมเข้ามาเป็นโลกของเขา และการดิ้นรนให้บรรลุเป้าหมายนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจเต็มเปี่ยม และเราควรจินตนาการให้เห็นภาพว่าซิซีฟัสกำลังมีความสุข

สิ่งนี้เชื่อมโยงกับ ‘ปรัชญาแห่งความไร้เหตุผล’ (Absurdism) ของกามูส์เอง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรัชญาของสามัญชนคนธรรมดา ที่ต้องพยายามต่อสู้และใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไร้เหตุผล และไร้ความหมายในตัวของมันเอง เมื่อมนุษย์ต้องการเหตุผลที่มาอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถอธิบายได้ หรือขัดแย้งกับความเป็นจริง จึงเกิดเป็นความทุกข์ เช่น เมื่อเราทำบุญคุณแก่ใคร เรามักคาดหวังว่าผู้นั้นจะตอบแทนบุญคุณหรือทำดีต่อเรา แต่ในหลาย ๆ ครั้งกลับไม่เป็นเช่นนั้น หรือคิดว่าคนทำดีควรได้ดี และคนทำชั่วควรได้ชั่ว แต่ก็ไม่ตรงกับความจริงที่เราเห็นในสังคมเช่นกัน 

เพราะโลกเองไม่เคยสนใจว่ามนุษย์ต้องการอะไร มันเพียงแต่เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างไม่มีเป้าหมายอะไรเท่านั้น

ภายใต้แนวคิดนี้ ไม่ใช่แค่โลกที่ไร้เหตุผล แต่ชีวิตเองก็เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลเช่นเดียวกัน มนุษย์ไม่รู้เหตุผลอย่างแท้จริงว่าชีวิตมีอยู่เพื่ออะไร มีอยู่เพื่อทำตามเป้าหมายหรือ Passion? มีอยู่เพื่อไล่ตามความสำเร็จด้านการเงินหรือชื่อเสียง? มีอยู่เพื่อทำงานเสมือนฟันเฟืองในเครื่องจักรที่เรียกว่าระบบเศรษฐกิจ? และการต่อสู้ดิ้นรนเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่จะมีความหมายอะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ความตายก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาหมดความหมายลงทันที

ถ้าหากเราเชื่อว่าชีวิตและโลกไร้เหตุผล และไร้ความหมายตามแนวคิดนี้แล้ว การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความหมายอยู่ในโลกที่ไร้เหตุผล ฟังดูห่างไกลจากการมีความสุขเหลือเกิน เราควรจะต้องทำอย่างไร ซึ่งหนังสือของ อ.พินิจ รัตนกุล ก็ได้เสนอทางออก 3 รูปแบบ คือ

  1. ยอมรับความจริงและใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างหดหู่ ไม่สนใจใครหรือสิ่งใด
  2. การเลือกจากโลกนี้ไปด้วยตนเอง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา หรือทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นมาแต่อย่างใด เพราคนที่ยอมรับความจริงว่าชีวิตคือความทุกข์ ย่อมไม่จากไปเพื่อหนีความทุกข์
  3. ทางออกสุดท้ายคือการอยู่กับความจริงที่ไม่สวยงามนี้ให้ได้ เพราะแม้ชีวิตจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีความหมายอยู่ในตัว เปรียบเสมือนก้อนดินเหนียว ที่อาจไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง แต่การเติบโต งาน ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ต่างๆ ก็เป็นเหมือนมือของศิลปิน ช่างปั้น ที่เปลี่ยนดินเหนียวแต่ละก้อน ให้มีความสวยงาม และมีคุณค่าที่พิเศษในตัวของมันเอง

ดังนั้นแล้ว แม้ว่าโลกนี้อาจไร้เหตุผล และชีวิตอาจไม่ได้มีความหมายอะไรในตัวของมันเอง แต่มนุษย์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเบื่อชีวิตและจมอยู่กับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา โดยอาจลองท้าทายตนเองผ่าน 2 วิธีการ คือ

  1. ยอมรับความจริงว่าโลกในทุกวันนี้ไร้เหตุผล และไม่คาดหวังให้สังคม เหตุการณ์ หรือคนรอบๆ ตัวเป็นไปอย่างที่เราคาดหวังตลอดเวลา และไม่ต้องพยายามคิดหาคำตอบ คำอธิบายในทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว หรืออยู่ตรงหน้า เช่น ทำไมเราถึงไม่เป็นอย่างคนนั้น ทำไมเราถึงไม่เกิดมาในครอบครัวอย่างเขา หรือทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเกิดแต่กับเรา เพียงแต่พยายามแก้ไข และทำออกมาให้ดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ จะทำให้มนุษย์อยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น
  2. สร้างความหมายให้ชีวิตด้วยตัวของเราเอง แม้ว่าชีวิตจะไม่มีความหมายในตัวของมัน แต่เราไม่จำเป็นต้องรอให้ชีวิตมีความหมายมาก่อนแล้วจึงค่อยมีความสุข แต่ความสุขเกิดขึ้นได้ในทุกเวลาที่เราทำให้ชีวิตมีความหมาย และความหมายนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามมาตรฐานหรือความคาดหวังของคนอื่นเลย

เราอาจเคยหรือกำลังเผชิญกับสิ่งที่ทำให้เราตั้งคำถามกับวัฏจักรในชีวิตและการทำงาน ที่ในบางครั้งอาจดูเหมือนไร้ความหมาย ไม่มีที่สิ้นสุด และเรื่องราวของซิซีฟัส ได้เป็นตัวอย่างของผู้ที่เป็นเจ้าของชะตากรรมของตนเองอย่างแท้จริง ผู้เปลี่ยนสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นชะตากรรม ที่ถูกกำหนดโดยทวยเทพ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและโอบรับมันไว้ ผู้เปลี่ยนก้อนหิน จากบทลงโทษ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และในโลกที่ไร้เหตุผล ที่ถึงแม้ว่าชีวิตจะไม่ได้มีความหมายในตัวของมันเอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า มนุษย์จะไม่สามารถสร้างความหมาย และทำให้เป็นชีวิตของตนเอง เป็นชีวิตที่คู่ควรแก่การมีอยู่ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไป

Tags:

หนังสือความหมายของชีวิตปรัชญาแห่งความไร้เหตุผลThe Myth of Sisyphusอาจารย์พินิจ รัตนกุล

Author:

illustrator

เจษฎา อิงคภัทรางกูร

ชอบมองหาความพิเศษในตัวคนทุกคน ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินหรือนิยามใครด้วยมุมมองเพียงมิติเดียว เชื่อในพลังที่เกิดจากการร่วมมือกันของมนุษย์ และพยายามปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน

Related Posts

  • BookPlayground
    ไม่ว่าจะมีนิสัยที่เป็นภัยหรือไม่ เราทุกคนต่างก็เป็นที่รักได้ : Things No One Taught Us About Love

    เรื่อง อัฒภาค

  • How to enjoy life
    อ่านอะไร อ่านเท่าไร อ่านอย่างไร: วิธีสะสมต้นทุนชีวิตด้วยหนังสือ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    Human Walker : เป็นมนุษย์ อย่าหยุดเดิน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

‘ภูมิ – ธนโชติ ตาลี้’ ก้าวข้ามความยากจน สู่อนาคตจิตแพทย์ ด้วยโอกาสทางการศึกษา
Social Issues
23 October 2025

‘ภูมิ – ธนโชติ ตาลี้’ ก้าวข้ามความยากจน สู่อนาคตจิตแพทย์ ด้วยโอกาสทางการศึกษา

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • จากเด็กที่แทบจะไม่เคยฝันถึงอนาคต สู่นักเรียนทุนในโครงการก้าวเพื่อน้อง ปัจจุบัน ภูมิ’ ธนโชติ ตาลี้ กำลังศึกษาอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • เขาเชื่อว่าโอกาสทางการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเยาวชน เป็นรากฐานในการพัฒนาคนให้เติบโตทางความรู้และความคิด สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งและครอบครัวให้ดีขึ้นได้
  • “ผมอยากเรียนต่อด้านจิตเวช …ในอนาคตผมอยากมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้บ้านเรามีสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมและเยียวยาสุขภาพจิตมากขึ้น”

“ผมอยากเป็นจิตแพทย์ อยากเห็นสังคมที่ผู้คนมีสุขภาพจิตดีขึ้น ผมตั้งใจว่าจะเรียนให้เต็มที่ และพยายามไปยังจุดมุ่งหมายของตัวเองให้ได้ แล้วถ้าวันหนึ่งผมสามารถเดินทางไปถึงจุดนั้นแล้ว ผมก็อยากใช้ความรู้ความสามารถกลับมาช่วยน้องๆ ให้เริ่มออกเดินทางและมีโอกาสเหมือนผม”

น้ำเสียงเปี่ยมความหวังของ ‘ภูมิ’ ธนโชติ ตาลี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในนักเรียนทุนก้าวเพื่อน้องรุ่นที่ 1 ประจำปีพ.ศ. 2564 ตอกย้ำความจริงที่ว่า โอกาสทางการศึกษาคือ ‘บันได’ ที่ช่วยยกระดับศักยภาพและเปลี่ยนชีวิตของเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีความหวังในการนำพาครอบครัวหลุดออกจากกับดักความยากจน และเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพคนหนึ่งของสังคม

เดิมที ภูมิเป็นเด็กชายที่อาศัยอยู่กับย่าในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยฐานะที่ไม่ดีนัก ทำให้ชีวิตของเขาค่อนข้างลำบาก และต้องช่วยย่าทำงานหาเลี้ยงชีพในเวลาว่าง

“จริงๆ ครอบครัวของผมมีความพยายามอยากให้ผมได้เรียนต่อ แต่เวลาที่ย่าหรือพ่อกับแม่บอกผมว่าไม่เหนื่อย ผมจะรู้ว่าลึกๆ มันไม่เป็นแบบนั้น เพราะพวกท่านมีภาระที่แบกรับอยู่มาก เพียงแต่ว่าไม่ยอมบอกเรา โดยเฉพาะย่าที่ผมอาศัยอยู่ด้วย คือไม่มีรายได้ประจำเลยครับ ย่าต้องทำงานรับจ้างทั่วไป อย่างเวลาชาวบ้านในพื้นที่ ทำสวน เขาก็จะจ้างย่ากับผมให้ไปช่วย แล้วพอได้เงินมาย่าก็จะแบ่งเงินให้ผมครั้งละ 20 บาทไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน”

ภูมิยอมรับว่าตอนนั้นเขาไม่ได้มีภาพของตัวเองในอนาคต หรือกล้าฝันถึงสิ่งที่อยากเป็น สิ่งเดียวที่เขาคิดคือการพยายามใช้ชีวิตแต่ละวันให้ดีที่สุด ทั้งการช่วยย่าแบ่งเบาภาระ และพยายามตั้งใจเรียน กระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อทราบข่าวเรื่องทุนการศึกษาในโครงการ ‘ก้าวเพื่อน้อง’ ซึ่งริเริ่มโดย มูลนิธิก้าวคนละก้าว ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรืออยู่ในภาวะด้อยโอกาส ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องชดใช้ทุน

“ผมเรียนอยู่โรงเรียนบ้านหนองปิด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนชนบทครับ ตอนนั้น (ปีพ.ศ.2564) ผมต้องขอบคุณครูประจำชั้นมากๆ ที่มาแนะนำว่ามีทุนก้าวเพื่อน้อง ให้ลองสมัครดู ผมเลยลองเขียนใบสมัคร เพราะมองว่านี่คือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้ผมสามารถแบ่งเบาภาระของครอบครัว ซึ่งตอนนั้นย่าของผมเหนื่อยมากครับ ต้องคอยทำงานรับจ้างทั่วไปเพื่อเลี้ยงดูผม พอเห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งอยากคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้”

ระหว่างเขียนใบสมัครเพื่อขอรับทุนเพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภูมิบอกว่าเขาได้เล่าเรื่องตัวเอง  ความฝันด้านการศึกษา และความฝันหลังเรียนจบ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้เวลาพูดคุยกับตัวเองเกี่ยวกับเส้นทางในอนาคต

“ตอนสมัครทุน ผมใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเขียนเรียงความ มีคำถามหนึ่งถามว่าถ้าเรียนจบไปแล้วเราจะทำอะไรต่อ ช่วงนั้นผมเลยใช้เวลาคิดกับตัวเองนานพอสมควรว่า จริงๆ แล้วเราอยากเป็นอะไร ก็ได้คำตอบว่าอยากเป็นแพทย์ เพราะอยากช่วยเหลือคน อีกคำถามหนึ่งที่จำได้ถามว่าถ้ามีโอกาสอยากช่วยสังคมด้านไหน ผมเลือกเขียนเรื่องฝุ่น PM2.5 เพราะถึงมันจะมีขนาดเล็กมากๆ แต่ก็ส่งผลกระทบกับชีวิตเรารอบด้าน และยังสามารถเข้ากระแสเลือดไปได้ทุกที่ของร่างกาย”

เมื่อได้รับทุนก้าวเพื่อน้องในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภูมิบอกว่าเขาได้รับเงินสนับสนุนเดือนละ 6,500 บาท ต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นม.4 – ม.6  ซึ่งนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว ยังเปิดทางให้กับความฝัน เพราะเขาสามารถโฟกัสกับการเรียนอย่างเต็มที่ ก่อนตอบแทนทุนที่ได้รับด้วยการสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

“ตอนที่ผมเตรียมสอบเข้าแพทย์ ผมใช้ทุนที่ได้มาซื้อหนังสือและเรียนพิเศษเสริมในวิชาที่จำเป็น พอได้มาเรียนแพทย์ แม้จะยากบ้าง แต่ผมก็พยายามเต็มที่ครับ ตอนนี้ผมสนใจเรียนต่อด้านจิตเวช เพราะอยากเป็นจิตแพทย์ครับ อาจเพราะผมมีเพื่อนที่วันหนึ่งก็ซึมลงไปเฉยๆ มันเลยทำให้ผมมาย้อนคิดว่าอารมณ์และความรู้สึกทุกอย่างมันเริ่มจากความคิดข้างในใจเรา ถ้าใจเราดี สิ่งรอบข้างก็จะดีตาม เหมือนต้นไม้ต้องมีรากที่แข็งแกร่งถึงจะเติบโตได้ 

ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีมุมมองที่ดี มีสุขภาพจิตที่ดี และมีความสุข สังคมก็จะค่อยๆ ดีขึ้นครับ ผมอยากเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยคืนสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดี ให้ผู้คนได้พักใจจากความเหนื่อย รวมถึงในอนาคตก็อยากมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้บ้านของเรามีสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมและเยียวยาสุขภาพจิตมากขึ้น”

ภูมิเชื่อว่าโอกาสทางการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเยาวชน โดยมองว่าการศึกษาเป็นเหมือนรากฐานของตึก ถ้าไม่มีดิน ปูน หิน หรือวัสดุที่ดี ก็ยากจะสร้างตึกที่ดีได้ ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นรากฐานในการพัฒนาคนให้เติบโตทางความรู้และความคิด นอกจากนี้ การได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยยังเปิดโอกาสให้เขาได้พบโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ความหวัง และผู้คนเก่งๆ มากมายที่มีความฝันเดียวกัน 

สำหรับเขาการศึกษาจึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต ซึ่งในฐานะของผู้ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา เขายืนยันว่าในอนาคตจะนำศักยภาพและทรัพยากรที่มีกลับมาช่วยเหลือเด็กๆ และเยาวชนที่ขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา เหมือนกับที่เขาเคยได้รับจากทุนก้าวเพื่อน้อง

“ถ้าผมไม่ได้รับทุนนี้ก็คงลำบากมาก และไม่น่าจะมาถึงจุดนี้ได้ครับ ผมตั้งใจว่าจะเรียนให้เต็มที่ และพยายามไปยังจุดมุ่งหมายของตัวเองให้ได้ แล้วถ้าวันหนึ่งผมสามารถเดินทางไปถึงจุดนั้นแล้ว ผมก็อยากใช้ความรู้ความสามารถกลับมาช่วยน้องๆ ให้เริ่มออกเดินทางและมีโอกาสเหมือนผม”

และในระหว่างการเดินทางไปสู่ความฝัน ภูมิฝากข้อความให้กำลังใจไปยังน้องๆ เยาวชนที่กังวลเรื่องอนาคต โดยขอให้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และหากติดขัดเรื่องทุนทรัพย์ ให้ลองมองหาทุนการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน“อยากให้กำลังใจน้องๆ ทุกคนครับ ผมเชื่อว่าในประเทศไทยมีคนอยากสนับสนุนเรื่องการศึกษาอยู่มาก สิ่งสำคัญคือเราต้องตั้งใจทำพาร์ทของเราคือการตั้งใจเรียนในโรงเรียนให้ดีที่สุดก่อน ถ้าตั้งใจจนสอบติดแล้วก็อย่าเพิ่งกังวล เพราะผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้มีทุนจากมูลนิธิหรือมหาวิทยาลัยที่พร้อมช่วยเราเสมอ ผมเชื่อว่ามันจะมีทางของมัน ดังนั้นอย่าหยุดมองหาโอกาส เหมือนที่คนบอกว่า “ถ้าเราพยายามมองหา…เดี๋ยวก็จะมองเห็นเอง” ผมเชื่อว่าน้องๆ ทุกคนจะมีหนทาง และไปต่อได้แน่นอนครับ”

Tags:

การศึกษาจิตเวชจิตแพทย์ทุนก้าวเพื่อน้องแพทยศาสตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Everyone can be an Educator
    ‘เรียนวิทยาศาสตร์ไปทำไม’ บทสนทนาว่าด้วย ควอนตัม ความเชื่อ และการศึกษา กับ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ 

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Beyond Schooling : 3 รูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่หยุดแค่รั้วโรงเรียน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม
Transformative learning
21 October 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 10 เสนอข้อตีความจากบทที่ 8 Mining for Gold : Unearthing Collective Intelligence in Teams

สรุปอย่างสั้นที่สุดได้ว่า พลังซ่อนเร้นกลุ่มช่วยให้ร่วมกันทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ โดยสมาชิกทีมต้องรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น สมาชิกมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ต่อเป้าหมายร่วมกัน ภายใต้ทักษะเชิงลักษณะนิสัยเห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial Skills)

ตอนที่ 10 นี้เดินเรื่องด้วยคนงานเหมือง Copiapo ที่ชิลี 33 คน เหมืองถล่มถูกขังอยู่ใต้ดินลึกเท่ากับตึก 45 ชั้น เป็นเวลา 69 วัน รอดชีวิตมาได้ครบจากพลังกลุ่ม ในทำนองเดียวกันกับทีมฟุตบอลหมู่ป่าติดถ้ำขุนน้ำนางนอนที่เชียงราย

ความฉลาดรวมหมู่

เหตุเกิดในเดือนสิงหาคม 2553 เมื่อเหมืองที่อยู่ใต้ทะเลทรายในประเทศชิลีถล่ม กลุ่มหินที่มีน้ำหนักรวม 7 แสนตัน ขังคนงาน 33 คนไว้เบื้องล่าง เท่ากับความสูงของตึก 45 ชั้น 69 วันให้หลัง ทั้ง 33 คนรอดชีวิตจากความฉลาดรวมหมู่ของพวกเขา ช่วยให้มีชีวิตรอดรอความช่วยเหลือจากข้างบน เราจะมาเรียนรู้เรื่องความฉลาดรวมหมู่ (Collective Intelligence) จากพฤติกรรมของพวกเขา

ทีมช่วยชีวิตไม่แน่ใจเลยว่าคนงานที่ถูกขังอยู่ใต้หินจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังคงหาทางช่วย ในวันที่ 17 หลังเหมืองถล่ม ก็ได้รับสัญญาณตอบกลับจากเบื้องล่างบ่งชี้ว่าคนงานเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้นพวกเขามีอาหารกินเพียง 1 คำ ต่อสามวัน หลังจากนั้น ทีมช่วยชีวิตจึงเจาะท่อเพื่อส่งอาหารและน้ำ และท่อส่งอ็อกซิเจนและไฟฟ้า ผ่านชั้นหินยาวครึ่งไมล์ โดยต้องระมัดระวังไม่ทำให้ชั้นหินถล่มซ้ำอีก

ความเห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial Skills)

ความฉลาดรวมหมู่ไม่ใช่ผลรวมของความฉลาดของสมาชิก ที่ในสภาวะปกติจะต่ำกว่าผลรวมทางคณิตศาสตร์ แต่ในสภาวะที่จำเพาะ เราต้องการให้ความฉลาดรวมหมู่สูงลิ่ว สูงกว่าผลรวมของความฉลาดของสมาชิกแต่ละคนทางคณิตศาสตร์มาก หลักการที่ได้จากผลงานวิจัยคือ ความฉลาดรวมหมู่ไม่ได้ขึ้นกับระดับความฉลาดของสมาชิก แต่ขึ้นกับการร่วมกันกำหนดว่ากลุ่มหรือทีมต้องการอะไรร่วมกัน และระบุว่าแต่ละคนจะทำอะไรเพื่อการบรรลุเป้าหมายนั้น หากมีคนไม่ร่วมมือเพียงคนเดียว เป้าหมายนั้นอาจล่ม

คุณลักษณะเห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial Skills) ของสมาชิกกลุ่มจึงสำคัญในระดับความเป็นความตายในบางสถานการณ์

ทักษะเห็นแก่ส่วนรวม หมายถึงการมีจริตหรือกระบวนทัศน์ว่า ผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์ของทีมงาน สำคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ผลสำเร็จของงาน อยู่เหนือชื่อเสียงหรือผลงานส่วนตัว

ไม่ใช่พลังของอัศวินขี่ม้าขาว

ทักษะเห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial Skills) เป็นพลังที่เปลี่ยนกลุ่มเป็นทีม คือเป็นกลุ่มที่มีความเหนียวแน่นในเป้าหมายร่วมกัน และมีความคิดในระดับความเชื่อ ว่าต้องการทุกคนในกลุ่มทำงานร่วมกัน จึงจะบรรลุเป้าหมายได้ ความความสัมพันธ์สูงกว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ยกระดับเป็นความสัมพันธ์ของทีม หากมีสมาชิกทีมเพียงคนเดียวแตกแถว โอกาสประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของกลุ่มก็อาจสลายได้ และการแตกสลายนั้นส่งผลเสียต่อสมาชิกทีมทุกคน ในระดับความเป็นความตาย

ความเหนียวแน่น (Cohesion) ดังกล่าว ช่วยให้ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ บรรลุเป้าหมายการเป็นนายทหารเรือได้ สถานการณ์ที่ขาดความเหนียวแน่นระหว่างหน่วยงานด้านรักษาความปลอดภัยของประเทศสหรัฐอเมริกา นำสู่ เหตุการณ์ 9-11 และสภาพที่หน่วยราชการไทยขาดความเหนียวแน่นระหว่างกันในการบรรลุเป้าหมายใหญ่ของประเทศ ก่อความล้าหลังของประเทศอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งการขาดความเหนียวแน่นระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษาของประเทศ ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำอย่างที่เห็นอยู่

หัวใจคือ เป้าหมายร่วมกัน (Common Goal)

ในกรณีดังกล่าว ผู้นำมีความสำคัญยิ่ง เราต้องการผู้นำที่มุ่งรวมใจคน ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแสดงความเด่นความสามารถของตน ซึ่งหมายความว่าผู้นั้นต้องมีทักษะเห็นแก่ส่วนรวมสูง

ผู้นำที่มีปมนาร์ซิสซัส (หลงตัว) คือมุ่งสร้างความเด่นให้แก่ตัวเอง (เพื่อกู) มักจะตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ที่นำสู่พฤติกรรมต่อสู้แย่งชิง ทำลายความเหนียวแน่นและความร่วมมือในกลุ่ม ทำลายโอกาสที่พลังซ่อนเร้นกลุ่มจะออกมาแสดงพลังเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของกลุ่ม

หัวหน้าทีมที่ดี ไม่ใช่คนฉลาดที่สุดในกลุ่ม แต่เป็นคนที่สามารถปลดปล่อยความฉลาดของกลุ่มออกมากระทำการ

ผนึกกันไว้ให้เหนียวแน่น

สองสามวันหลังเหมืองถล่ม สถานการณ์กู้ชีพคนงานเหมืองอยู่ในสภาพโกลาหล มีสารพัดทีมผู้มีความสามารถหรือผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายด้านเข้ามาดำเนินการช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ใต้ดิน ในลักษณะต่ามทีมต่างทำ

วันที่สี่หลังเหมืองถล่ม ประธานาธิดีชิลีเข้าจัดการให้มีผู้นำ โดยแต่งตั้งวิศวกรเหมืองแร่ประสบการณ์ 20 ปี ผู้จัดการเหมืองใต้ดินใหญ่ที่สุดในชิลีในขณะนั้น ชื่อ Andre Sougarret ทำหน้าที่ผู้นำทีม ท่านผู้นี้เป็นวิศวกรที่มีความสามารถและมีชื่อเสียง แต่คุณสมบัติที่ทำให้ท่านได้รับเลือกจากทีมที่ปรึกษาประธานาธิบดี คือความมีทักษะเพื่อสังคม (Prosocial Skills) สูง

เป็นที่รู้กันว่าท่านเป็นนักฟังความเห็นของผู้อื่นอย่างอดทน และเมื่อฟังความเห็นจากทุกฝ่ายแล้วจะตัดสินใจ เป็นความสามารถดึงส่วนที่ดีที่สุดในทุกฝ่ายออกมากระทำการ

เมื่อฟังความจากหลายฝ่ายถ้วนทั่วแล้ว Andre ก็ได้ข้อสรุปว่าแผนที่ท่านคิดไว้ก่อน คือเข้าทางอุโมงค์ ใช้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีเจาะช่อง (Drilling) เข้าไป ท่านจึงหาหัวหน้าทีมเจาะ โดยไม่เลือกคนที่มีประสบการณ์สูงสุด หรือมีภาวะผู้นำสูงสุด แต่เลือกคนที่มีทักษะเห็นแก่ส่วนรวมสูงสุด ซึ่งก็คือคนที่รวมพลังทีมได้ดีนั่นเอง

Andre และหัวหน้าทีมเจาะเห็นพ้องกันว่า ต้องใช้ยุทธศาสตร์หลายแผน คือเจาะหลายๆ ที่ เข้าหลายๆ ทาง แล้วหัวหน้าของแต่ละทีมเจาะมาประชุมกันทุกวัน เท่ากับเป็นกลไกปลดปล่อยพลังซ่อนเร้นในกลุ่มออกมากระทำการ   

ทำให้ผมระลึกได้ว่า ท่าน ‘ผู้ว่าหมูป่า’ ของเรา ก็ใช้ยุทธศาสตร์เดียวกัน ส่งผลให้ช่วยชีวิตทีมฟุตบอลหมูป่าที่ติดถ้ำ 13 ชีวิต ได้ทั้งหมด เช่นเดียวกัน

หลายหัวดีกว่าหัวเดียว

เมื่อเผชิญเรื่องยากและซับซ้อน เรามักใช้วิธีประชุมระดมความคิด (Brainstorming) หนังสือ Hidden Potential บอกว่าวิธีนี้มีจุดอ่อนคือ มักได้ความคิดดีๆ ไม่ครบถ้วน เพราะสมาชิกด้อยอาวุโส ด้อยฐานะมักไม่กล้าออกความเห็น เขาจึงเสนอวิธีที่เรียกว่า Brainwriting คือให้สมาชิกทุกคนเขียนเสนอความคิดของตน รวบรวมเอามาจัดกลุ่มและเรียงลำดับความคิดหรือวิธีการที่เหมาะสม

ผลงานวิจัยบอกว่า พลังสร้างสรรค์กลุ่มนอกจากใช้พลังของหลายหัวแล้ว ยังต้องการสภาพที่สมาชิกกลุ่มมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอ ที่เรียกว่า Balanced Participation ซึ่งในกระบวนการระดมสมองหรือระดมความคิดโดยทั่วไป การมีส่วนร่วมของสมาชิกมักเอียงข้างไปที่คนพูดมาก หรือมีอำนาจ วิธีการ Brainwriting ช่วยขจัดข้อด้อยดังกล่าว

พลังสร้างสรรค์กลุ่มต้องเริ่มด้วยความสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล ที่มีส่วนร่วมเสนอความเห็นหรือวิธีการทั่วหน้า ตามด้วยการร่วมกันตัดสินใจ (Collective Decision)

Andre Sougarret ไปไกลกว่า คือใช้วิธี Global Brainwriting ผ่านการทำ Crowdsourcing ทางอินเทอร์เน็ตหลากหลายช่องทาง ช่วยให้ได้ไอเดียมากมาย ทั้งที่แปลกๆ ตลกขบขัน และเอาจริงเอาจัง มีการขอข้อมูลเพิ่มเติมผ่านการโทรศัพท์ไปซักถามผู้ให้แนวทางที่น่าสนใจ เอามาประชุมร่วมกับทีมเพื่อตัดสินใจเลือกวิธีการที่ดีที่สุด

โดยวิธีนี้ ทีมช่วยเหลือจึงได้แนวคิดใช้ท่อส่งอาหารและน้ำ รวมทั้งกล้องถ่ายรูป ให้แก่กลุ่มผู้ถูกขังอยู่ใต้ดิน รวมทั้งส่งโทรศัพท์ลงไปให้ มีรายละเอียดมากมายที่ผมละไว้

เลี่ยงขั้นตอนการอนุมัติ 

เมื่อติดต่อสื่อสารกับกลุ่มผู้ถูกขังใต้เหมืองถล่มได้ แผนช่วยให้ทุกคนได้ขึ้นมาก็เริ่มขึ้น โดย แผน ก คือใช้เครื่องเจาะขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลา 4 เดือน และเสี่ยงต่อการที่หินจะถล่มปิดทาง แผน ข โผล่ขึ้นมาแบบไม่คาดฝัน จากวิศวกรอายุ 24 ปี จากบริษัทเครื่องเจาะที่ไปให้คำแนะนำคนงานใช้เครื่อง วิศวกรหนุ่มพูดเปรยๆ กับกลุ่มนักธรณีวิทยาที่ควบคุมการเจาะท่านหนึ่งถึงวิธีที่ตนคิดขึ้นมา ว่าแทนที่จะเจาะรูใหม่ น่าจะเจาะผ่านรูที่มีอยู่แล้วด้วยเครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า Cluster Hammer น่าจะใช้เวลาลดลงมาก แต่เครื่องมือนี้ใหม่มาก ไม่เคยมีการใช้ในงานแบบนี้และขนาดนี้มาก่อน

ตามปกติ ไอเดียจากคนหนุ่มไม่มีประสบการณ์เช่นนี้มักไม่ไปไหน แต่กลุ่มนักธรณีวิทยาขอให้เขาใช้เวลา 2 ชั่วโมง เตรียมเสนอวิธีการต่อ Andre Sougarret โดยวิศวกรหนุ่มต้องโทรศัพท์หาข้อมูลเพิ่มจากบริษัทอเมริกันที่ผลิต Cluster Hammer

Andre Sougarret ฟังวิศวกรหนุ่ม และซักถามอย่างสนใจ และในที่สุดนำเรื่องเสนอประธานาธิบดี เป็น แผน ข

เป็นตัวอย่างการทำงานโดยไม่ต้องผ่านด่านการอนุมัติตามขั้นตอน ที่เป็นขั้นตอนส่งผลลดทอนพลังสร้างสรรค์ของคนระดับล่างลงไปอย่างน่าเสียดาย

เป็นตัวอย่างของการใช้ความฉลาดของกลุ่ม (Collective Intelligence) ที่เปิดกว้างอย่างยิ่ง 

ระบบปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์

องค์กรที่จัดโครงสร้างและขั้นตอนการเสนอเรื่องแนวดิ่ง เรื่องเชิงสร้างสรรค์ที่เสนอขึ้นไปมีโอกาสได้รับการพิจารณาเพื่อดำเนินการน้อยมาก เพราะมักจะโดนด่านกักที่จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียวก็เพียงพอที่จะหยุดเรื่อง เหตุผลที่ด่านกักนั้นอาจเป็นเพียงว่าเรื่องนั้นสั่นคลอนความรู้สึกตัวตน (อีโก้) ของเขา หรือต่อภาพลักษณ์ของเขา ทั้งๆ ที่ไอเดียนั้นเป็นสิ่งที่ดี

เขายกตัวอย่างบริษัท Xerox ที่โปรแกรมเมอร์ออกแบบคอมพิวเตอร์ PC แต่ผู้บริหารปฏิเสธการนำออกตลาด และวิศวกรของบริษัท Kodak คิดกล้องถ่ายรูปดิจิตัล แต่ฝ่ายบริหารปฏิเสธการพัฒนาเป็นธุรกิจ เป็นตัวอย่างระบบโครงสร้างที่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์

วิธีแก้จุดอ่อนของโครงสร้างแบบขั้นบันได (Ladder System) คือใช้โครงสร้างแบบตาข่าย (Lattice Structure) ช่วยให้คนมีไอเดียเสนอความสร้างสรรค์ได้หลายช่องทาง โดยไม่เป็นการข้ามหน้าหัวหน้าโดยตรง ช่วยให้สามารถเสนอแนวคิดดีๆ สู่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ผู้นำที่อ่อนแอไม่รับไอเดียดีๆ และปฏิเสธผู้เสนอ ผู้นำที่เข้มแข็งยินดีรับข้อเสนอแนะ และขอบคุณผู้เสนอ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สร้างระบบให้มีการเสนอไอเดียสร้างสรรค์ และยกย่องส่งเสริมผู้เสนอ

สู่แสงสว่าง

แผน ข ให้ผลดีนำหน้าแผน ก ไปหลายขุม แต่สะดุดเมื่อเครื่องไปเจอก้อนเหล็กขนาดใหญ่ขวางอยู่ วิศวกรหนุ่มคนเดิมเสนอให้ใช้เครื่องจับก้อนเหล็กออกจากทางเจาะ แต่ทีมหน้างานไม่มีใครฟัง แต่ 2 วันต่อมาเขามีโอกาสเสนอต่อรัฐมนตรีเหมืองแร่ และได้รับคำสั่งให้ลอง ซึ่งในที่สุดได้ผล นำสู่ผลสำเร็จในการช่วยคนงานทั้ง 33 คนออกมาได้ในเดือนที่ 2

ผลสำเร็จมาจากระบบการตัดสินใจแบบตาข่าย ที่ช่วยให้ไอเดียดีๆ ได้รับการเอาใจใส่

เป็นตัวอย่างของการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์รวมหมู่ (Collective Creativity)

ผมเขียนสะท้อนคิดเรื่อง อัจฉริยะกลุ่ม (Group Genius) ไว้ที่ gotoknow.org/posts/717845  

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP9 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

Tags:

ความฉลาดรวมหมู่ (Collective Intelligence)ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)ทักษะเชิงลักษณะนิสัยProsocial Skills

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP13: สรุป 40 หลักการ สำหรับนำไปปฏิบัติ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP12: เดินทางไกล

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP11: คัดเลือกเข้างานหรือเข้าเรียนโดยเน้นผลงานในอนาคต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง
Education trend
20 October 2025

ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เอไอจะมาเป็นครูหรือติวเตอร์ส่วนตัวให้กับเด็ก เด็กทุกคนจะเข้าถึง ‘การเรียนรู้เฉพาะบุคคล’ (Personalized Learning) ได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ครูหนึ่งคนสอนนักเรียนหลายๆ คนพร้อมกัน
  • การให้เด็กใช้เอไอทำงาน ไม่ใช่แค่การพิมพ์คำสั่ง (Prompt) แล้วจบ แต่คือการทดสอบอย่างหนึ่งว่าเด็กเข้าใจเนื้อหาที่ต้องการให้เอไอสร้างออกมาหรือไม่ และเป็นการฝึกฝนทักษะ ‘การคิดเชิงวิพากษ์’ หรือ ‘การคิดอย่างมีวิจารณญาณ’ ไปด้วยในตัว
  • เด็กที่ใช้เอไออย่างเหมาะสมและมีจริยธรรมจะเพิ่มโอกาสการประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด พวกเขาจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งผ่านการเรียนรู้ที่ปรับแต่งมาให้เหมาะกับตน

เอไอจะทำลายการศึกษาของเด็ก?

ตั้งแต่ปลายปี 2022 เป็นต้นมา เทคโนโลยี ‘เอไอ’ หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถเข้าถึงเอไอได้ทุกที่ทุกเวลา การเปิดตัวเอไอนำมาสู่ข่าวที่สั่นคลอนวงการการศึกษา นั่นคือ ‘เด็กใช้เอไอทำงานให้’ ก่อให้เกิดความกังวลว่าเอไอคือสิ่งที่ทำลายการเรียนรู้ของเด็ก

ซัลมาน คาน (Salman Khan) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาไม่แสวงหากำไร กล่าวว่า เทคโนโลยีจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับ ‘วิธีการใช้’ เทคโนโลยีอย่างโซเชียลมีเดียทำให้เราเสียสุขภาพได้ผ่านการใช้หน้าจอมากเกินไปและละเลยคนรอบข้าง แต่เทคโนโลยีเดียวกันนี้ก็ทำให้เราติดต่อเพื่อนและครอบครัวได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งใช้สืบค้นข้อมูลเพื่อพัฒนาตัวเองได้ 

ดังนั้นเด็กที่ใช้เอไออย่างเหมาะสมและมีจริยธรรมจะเพิ่มโอกาสการประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด พวกเขาจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งผ่านการเรียนรู้ที่ปรับแต่งมาให้เหมาะกับตน

เอไอจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของเด็กผ่านการเรียนรู้เฉพาะบุคคล

ลองคิดดูว่าถ้าหมอจ่ายยาให้กับคนไข้เหมือนกันทุกคนจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนไม่รอดแน่ เพราะคนไข้แต่ละคนมีสภาพร่างกายที่แตกต่างกันและมีอาการป่วยที่ต่างกันไป การศึกษาในปัจจุบันกำลังทำสิ่งเดียวกัน การเรียนการสอนในปัจจุบันดำเนินอยู่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า ‘One Size Fits All’ กล่าวคือ เด็กทุกคนเรียนด้วยวิธีเดียวกันเหมือนกันหมดทุกคน

เบนจามิน บลูม (Benjamin Bloom) นักจิตวิทยาการศึกษาและผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงการศึกษา ได้เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม (ครู 1 คนต่อนักเรียน 30 คน) กับแบบกลุ่มย่อย (ครู 1 คนต่อนักเรียน 1 คน) พบว่า ในภาพรวมการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อยมีนักเรียนมากถึง 90% ทำคะแนนได้สูง ในขณะที่แบบดั้งเดิมมีนักเรียนแค่ 20% เท่านั้นที่ได้คะแนนสูง

เห็นได้ว่าการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อยที่มีครู 1 คนต่อนักเรียน 1 คน คือรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่เราจะโทษระบบการศึกษาที่เลือกการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมอย่างเต็มปากก็คงจะไม่ได้ เพราะการจัดหาครูส่วนตัวให้กับนักเรียนทุกคนต้องใช้งบประมาณมหาศาล ไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีเสมือนครูส่วนตัวในลักษณะนี้แล้ว นั่นคือ ‘เอไอ’ เอไอจะมาเป็นครูหรือติวเตอร์ส่วนตัวให้กับเด็กได้ หรืออาจเรียกกว่าเป็น ‘ซูเปอร์ติวเตอร์’ ก็ว่าได้ เพราะเอไอสามารถประมวลผลและวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงตามความต้องการของผู้ใช้

เอไอจะช่วยทำให้เด็กทุกคนเข้าถึง ‘การเรียนรู้เฉพาะบุคคล’ (Personalized Learning) ได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ครูหนึ่งคนสอนนักเรียนหลายๆ คนพร้อมกัน

เด็กแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกัน บางคนเรียนรู้ช้า บางคนเรียนรู้เร็ว บางคนอธิบายนิดเดียวก็เข้าใจ บางคนต้องการตัวอย่างที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เอไอสามารถปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการเหล่านี้ได้ ช่วยทำให้เด็กเข้าใจบทเรียนได้เท่ากับเพื่อนคนอื่นๆ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

นิโลบล สุภัทราธรรม หรือ ‘ครูแอม’ ครูคณิตศาสตร์จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้ใช้เอไอช่วยปรับแต่งเนื้อหาการสอนให้เข้ากับกลุ่มนักเรียนที่เป็นนักกีฬาฟุตบอล เช่น การออกแบบโจทย์ที่เกี่ยวข้องกับการเล่นฟุตบอล 

จากวิธีนี้พบว่า ก่อนหน้านี้นักเรียนกลุ่มนี้ดูเบื่อๆ แต่พอใช้เนื้อหาการสอนที่ปรับแต่งดังกล่าวก็ทำให้เกิดความกะตือรือร้นและเข้าใจบทเรียนมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่เด็กรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี จึงสามารถนำมาเชื่อมโยงได้ง่าย

เห็นได้ว่าการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับบุคคลช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้ไม่ยาก โดยการปรับแต่งในลักษณะนี้ไม่ได้จำกัดที่โรงเรียนเท่านั้น เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือครู ก็สามารถเข้าถึงเอไอได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นหากเด็กไม่เข้าใจเนื้อหาในห้องเรียนก็สามารถให้เอไอช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้เองที่บ้าน ทำให้เด็กสามารถเรียนทันเพื่อนในห้องได้

เมื่อใช้อย่างเหมาะสม เอไอจะช่วยฝึกเด็กคิดวิเคราะห์ได้

เมื่อมีเอไอเข้ามาในระบบการศึกษา ครูหลายคนเกิดความกังวลว่าเด็กจะใช้เอไอทำงานให้ ทำให้เด็กไม่ได้คิดงานด้วยตัวเองและไม่เกิดการเรียนรู้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่ควรดำเนินการไม่ใช่การห้ามเด็กใช้เอไอ แต่ควรพิจารณาเสียก่อนว่า ครูได้สอนให้เด็กใช้เอไออย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง

โรงเรียน Evangelisch Stiftische Gymnasium ในเยอรมัน อนุญาตให้เด็กใช้เอไอในการทำงานและรวมไปถึงการทำข้อสอบด้วย โดยในการทำข้อสอบปรากฏว่า ไม่มีนักเรียนคนไหนเลยคัดลอกข้อความที่เอไอสร้างขึ้นมาใส่เป็นคำตอบโดยตรง ทุกคนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและปรับแก้ข้อความเป็นในรูปแบบของตัวเอง

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเรียนได้เรียนรู้การใช้เอไอในคาบก่อนๆ แล้วและพบว่า การคัดลอกข้อความมาจากเอไอโดยตรงเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด เนื่องจากในบางครั้งเอไอแสดงมุมมองแบบเหมารวมมากเกินไป ใช้ข้อมูลที่ล้าสมัยหรือไม่ถูกต้อง ใช้ภาษาไม่เป็นธรรมชาติ และให้หลักฐานสนับสนุนที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ตรงประเด็น

ดังนั้นการทำข้อสอบที่อนุญาตให้ใช้เอไอ นักเรียนจึงไม่ได้แค่ลอกข้อความจากเอไอ แต่ต้องวิเคราะห์ข้อความจากเอไอด้วยว่าถูกต้องและให้เหตุผลที่เหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งยังต้องสืบค้นข้อมูลและหาหลักฐานเพิ่มเติมมาสนับสนุนเหตุผลของตัวเองด้วย ทั้งหมดนี้จึงเหมือนเป็นการฝึกฝนทักษะ ‘การคิดเชิงวิพากษ์’ หรือ ‘การคิดอย่างมีวิจารณญาณ’ ไปด้วยในตัว

จากหนังสือ Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning กล่าวว่า ครูมักคิดว่านักเรียนรู้จักเทคโนโลยีดีอยู่แล้ว ซึ่งรวมไปถึงเอไอด้วย นักเรียนส่วนใหญ่จึงได้รับข้อความซ้ำๆ แค่ว่า ‘ห้ามใช้เอไอ’ แต่ไม่ได้เรียนรู้ถึงข้อดี-ข้อเสียอย่างจริงจัง ดังนั้นครูควรมอบหมายงานที่ส่งเสริมทักษะในด้านเอไอด้วย เพื่อให้เด็กได้รู้จักและเข้าใจเอไออย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งานอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ การให้เด็กใช้เอไอทำงาน ไม่ใช่แค่การพิมพ์คำสั่ง (Prompt) แล้วจบ แต่คือการทดสอบอย่างหนึ่งว่าเด็กเข้าใจเนื้อหาที่ต้องการให้เอไอสร้างออกมาหรือไม่ การพิมพ์คำสั่งให้เอไออย่างเหมาะสมคือศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เรียกว่า ‘Prompt Engineering’ ถ้าคำสั่งของเราชัดเจน เราก็จะได้ผลลัพธ์ตรงตามที่เราต้องการ

โชคอำนวย เอี่ยมนเรพร หรือ ‘ครูแจ็ค’ ครูภาษาไทยจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สั่งให้นักเรียนสรุปเนื้อหาวรรณคดีเรื่องกาพย์พระไชยสุริยา โดยใช้เครื่องมือเอไอสร้างเป็นวิดีโอสั้นความยาวไม่เกิน 1.30 นาที

การทำงานลักษณะนี้เด็กจะต้องเข้าใจเนื้อหาที่เกิดขึ้นในเรื่องพระไชยสุริยาเสียก่อน ถึงจะสามารถสั่งเอไอได้อย่างถูกต้อง กล่าวคือ ในการสั่งให้เอไอสร้างภาพออกมา เด็กจะต้องบรรยายเรื่องราวอย่างละเอียดจากความเข้าใจของตน โดยผลลัพธ์จากเอไอดังกล่าวครูก็สามารถนำมาประเมินได้ว่าเด็กเข้าใจเนื้อหามากน้อยแค่ไหน

จากตัวอย่างทั้งหมดนี้ทำให้เห็นได้ว่า การใช้เอไอในการศึกษา ครูมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าเอไอจะพัฒนาเด็กให้ดีขึ้นหรือแย่ลง หากครูห้ามเด็กใช้เอไอลูกเดียว เด็กก็จะไม่เข้าใจถึงความสามารถของเอไอและแอบใช้อยู่ดี แต่หากครูช่วยเด็กฝึกฝนการใช้เอไอ เด็กก็จะเข้าใจและใช้เอไออย่างเหมาะสม อีกทั้งยังสะท้อนได้ด้วยว่าเด็กเข้าใจเนื้อหาที่เรียนหรือไม่

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับ ‘คู่มือการใช้ AI สำหรับครู นักเรียน โรงเรียนและผู้ปกครองในประเทศไทย พ.ศ. 2568’ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่นำเสนอแนวทางการใช้เอไออย่างเหมาะสมไว้ 6 ประการดังนี้

  1. ครูและโรงเรียนควรอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า เอไอเป็นเครื่องมือเสริมไม่ใช่ตัวแทนของการเรียนรู้
  2. ครูและโรงเรียนควรส่งเสริมการใช้งานเอไอในการเรียนรู้ เช่น การให้คำแนะนำ การอธิบายเนื้อหา และการสร้างแบบฝึกหัดที่เหมาะสม
  3. ผู้ปกครองและครูควรติดตามการใช้งานเอไอของนักเรียน เพื่อป้องกันกันการพึ่งพาเอไอมากเกินไป
  4. นักเรียน ครู โรงเรียน และผู้ปกครองควรเลือกใช้แพลตฟอร์มเอไอที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
  5. ครูและโรงเรียนควรแจ้งให้นักเรียนและผู้ปกครองทราบว่า เอไอถูกใช้ในกระบวนการใด และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
  6. ครูและโรงเรียนควรตรวจสอบผลลัพธ์จากเอไออย่างสม่ำเสมอ เพื่อมั่นใจว่าข้อมูลถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงสร้างกระบวนการทบทวนและปรับปรุงการใช้งานเอไอ เช่น การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการใช้เอไอและประเมินประสิทธิภาพของเอไอเป็นระยะ

สุดท้ายเทคโนโลยีจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับ ‘วิธีการใช้’ เมื่อเอไอถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสมจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลในวงการการศึกษา แต่สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘ครูที่เป็นมนุษย์’ ซึ่งคอยดูแลให้เด็กใช้เอไออย่างมีวิจารณญาณและทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกผ่านการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่าเอไอ

อ้างอิง

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2568). การศึกษาแบบสั่งตัดเฉพาะบุคคล “Personalized Learning” : เทรนด์ใหม่การเรียนรู้ของ Gen Alpha ในบริบทสังคมและโลกการทำงานที่พลิกโฉม.

นงนภัส พัฒน์แช่ม. (2025). “ถ้าเป็นอะไรที่ไว เด็กจะคิดสั้น ๆ เลยว่าถาม ChatGPT” ครูไทยรับมืออย่างไรในยุคที่เอไอทำการบ้านแทนนักเรียน.

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2024). AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที.

สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2568). คู่มือการใช้ AI สำหรับครู นักเรียน โรงเรียนและผู้ปกครองในประเทศไทย พ.ศ. 2568.

Bloom, B. S. (1984). The 2 Sigma Problem: The Search for Methods of Group Instruction as Effective as One-to-One Tutoring. Educational Researcher, 13(6), 4-16.

Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.

Khan, S. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). Viking.

Hendrik Haverkamp. (2022). A teacher allows AI tools in exams – here’s what he learned.

Tags:

ห้องเรียน AIการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Personalized Learning)ครูการศึกษาการสอนการคิดวิเคราะห์Prompt Engineering

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP3: การบ้านในยุค AI ต้องให้คุณค่ากับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ ไม่ใช่การจับผิดว่าเด็กใช้ AI หรือไม่

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP1: ครูจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI หากใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Movie
    Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

หยุดบูลลี่! ที่การไม่เพิกเฉย เติม Empathy ในหัวใจและในระบบดูแลเด็ก: หมอจอย-ลลิต ลีลาทิพย์กุล
Social Issues
20 October 2025

หยุดบูลลี่! ที่การไม่เพิกเฉย เติม Empathy ในหัวใจและในระบบดูแลเด็ก: หมอจอย-ลลิต ลีลาทิพย์กุล

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ในสถานการณ์การบูลลี่ (Bully) ไม่ได้มีแค่ ‘ผู้กระทำ’ กับ ‘เหยื่อ’ แต่ยังมีเพื่อนที่ยืนดูเฉยๆ (Bystander) กองเชียร์ที่คอยสนับสนุน ครูในห้องเรียน พ่อแม่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป หรือจะช่วยหยุดมันไว้
  • คุยกับ หมอจอย – ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ด้านเวชศาสตร์และวัยรุ่น เรื่อง ‘การบูลลี่’ (Bully) ไม่ว่าจะในโรงเรียน หรือบนโลกออนไลน์ ใครบ้างที่เกี่ยวข้อง อะไรคือสาเหตุสำคัญ แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร พร้อมทั้งการรับมือเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์การบูลลี่ 
  • ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการบูลลี่ ก็มาจากการที่เราไม่เข้าใจในความแตกต่างของกันและกัน เพราะฉะนั้น  คีย์เวิร์ดคือ ‘เข้าใจในความแตกต่าง และเข้าอกเข้าใจกันในฐานะเพื่อนมนุษย์’ ถ้าตรงนี้เกิดขึ้น บูลลี่ก็จะน้อยลงมากๆ

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เรื่องราวของการกลั่นแกล้งรังแก หรือ ‘การบูลลี่’ (Bully) ไม่ว่าจะในโรงเรียน หรือบนโลกออนไลน์ เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนออยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะมีความพยายามรณรงค์สร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้สังคมช่วยกันถอดสลักความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าปัญหาการบูลลี่ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง 

หมอจอย – ลลิต ลีลาทิพย์กุล เจ้าของช่อง MomJoy Channel คู่มือเลี้ยงลูกอย่างมีความสุข และกุมารแพทย์ด้านเวชศาสตร์และวัยรุ่น อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวนทุกคนขยายมุมมองต่อการบูลลี่ที่เคยโฟกัสแค่ ‘ผู้กระทำ’ กับ ‘เหยื่อ’ เป็นการมองให้เห็นภาพของผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนที่ยืนดูเฉยๆ (Bystander) กองเชียร์ที่คอยสนับสนุน ครูในห้องเรียน พ่อแม่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ว่าทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป หรือจะช่วยหยุดมันไว้

เมื่อเกิดการบูลลี่มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง และอะไรคือสาเหตุสำคัญ

จริงๆ บูลลี่มันเกิดขึ้นได้ทั้งในโรงเรียนแล้วก็ในทุกบริบทเลยค่ะ มันเริ่มจากมีผู้กระทำ มีเหยื่อที่ถูกกระทำ แล้วก็ยังมีเพื่อนๆ รอบๆ ที่ยืนดู หรือที่เราเรียกว่า ไทยมุง หรือ Bystander ซึ่งก็ถือว่าเกี่ยวข้องเหมือนกัน แล้วที่สำคัญมากๆ คือครูอาจารย์ค่ะ 

หลายครั้งบูลลี่ไม่ถูกจัดการ เพราะครูมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องธรรมดา พอปล่อยไว้แบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ปัญหายืดเยื้อออกไป หมอจึงมองว่าทุกคนมีส่วนหมดเลยจริงๆ ค่ะ

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการบูลลี่ ก็มาจากการที่เราไม่เข้าใจในความแตกต่างของกันและกันนี่แหละค่ะ ถ้าคอนเซ็ปต์ที่ทุกคนเติบโตมาคือ การยอมรับว่าคนเรามีความแตกต่างกัน และแต่ละคนก็มีทั้งข้อดีข้อด้อย บูลลี่มันแทบจะไม่เกิดเลยนะ แต่ปัจจุบันสิ่งที่เห็นบ่อยก็คือ มันจะมีคนหนึ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าอีกคน แล้วก็ใช้ตรงนั้นไปล้อ ไปกลั่นแกล้งรังแก เพราะมองว่าคนนี้ด้อยกว่า ก็ยิ่งทำให้เหยื่อรู้สึกแย่ลงเรื่อยๆ เพราะงั้นจริงๆ คีย์เวิร์ดคือ ‘เข้าใจในความแตกต่าง และเข้าอกเข้าใจกันในฐานะเพื่อนมนุษย์’ ถ้าตรงนี้เกิดขึ้น บูลลี่ก็จะน้อยลงมากๆ ค่ะ

ปกติแล้วเด็กไทยมักเจอสถานการณ์บูลลี่แบบไหน

หลักๆ ต้องบอกว่า เด็กไทยโดน Cyber Bully (การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์) มากกว่าแบบ Traditional ค่ะ คือบูลลี่มันแบ่งเป็น 2 แบบ แบบ Traditional คือเจอกับตัวตรงๆ ทั้งร่างกาย จิตใจ วาจา ส่วน Cyber ก็คือผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งงานวิจัยบอกว่าเด็กไทยเจอ Cyber Bully มากกว่า 60% และติด Top 5 ของโลกเลยค่ะ ปัญหานี้ก็น่ากลัวกว่ามาก เพราะมันสัมพันธ์กับทั้งความกังวล ซึมเศร้า และแม้กระทั่งการฆ่าตัวตาย

สาเหตุเพราะ Cyber มันเกิดง่าย อยู่ที่ไหนก็เกิดได้ อีกทั้งยัง Anonymous คือไม่รู้ว่าใครทำ แล้วพอมันเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง มันก็ Permanent (คงอยู่ถาวร) และ Viral กดแชร์ กดเซฟ กระจายต่อไปได้เรื่อยๆ”

แต่ห้ามเด็กใช้อินเตอร์เน็ตก็คงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องใช้ให้ปลอดภัย เริ่มตั้งแต่พ่อแม่เลี้ยงลูก ปลูกฝังการรู้จักระวังตัว และคุยกันอย่างใกล้ชิด เช่น การเป็นเหยื่อหรือเป็นผู้กระทำ มักสัมพันธ์กับเวลาที่ใช้ ถ้าใช้เกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน เด็กจะขาด Empathy และมีโอกาสเจอปัญหา Cyber Bully ได้มากขึ้น

ดังนั้น พ่อแม่ควร Active Participation คือคุย อัปเดต และกำหนดกติกาการใช้มือถือที่เหมาะสม ไม่ใช่ปล่อยทั้งวัน กุมารแพทย์ราชวิทยาลัยยังแนะนำไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันในวัยรุ่นด้วยซ้ำ แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องยืดหยุ่นให้เหมาะกับแต่ละครอบครัว อีกอย่างคือต้องสอนเรื่องความปลอดภัยและความรับผิดชอบบนโลกออนไลน์ เช่น ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่แชร์ข้อความที่อาจเป็น Scam หรือทำให้คนอื่นเสียใจ และไม่กดรีโพสต์สิ่งที่เป็นเท็จหรือบูลลี่คนอื่น เพราะจะยิ่งซ้ำเติมปัญหา

ส่วนพ่อแม่ต้องหมั่นสังเกต Red Flag ด้วย เช่น เวลาการใช้อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ จากเคยเล่น 2–3 ชั่วโมง กลับหยุดเล่นไปเลย หรือเล่นมากผิดปกติ หรือลูกไม่ยอมเล่าอะไร ปฏิเสธตลอดเวลา หรือบางคนหมกมุ่นเช็ก IG Story กลัวคนอื่นพูดถึง ไม่ก็อาจจะมีพฤติกรรมเก็บตัว ไม่อยากไปโรงเรียน ถ้าเจอแบบนี้ ต้องฟังลูกโดยไม่ตัดสิน และคุยกับเขาอย่างเป็นพื้นที่ปลอดภัย

สุดท้าย เวลาลูกโดน Cyber Bully เรามีหลักง่ายๆ 4 ข้อ คือ  Stop – หยุด อย่าโต้ตอบ เพราะยิ่งโต้ยิ่งยาว  Block – บล็อก ไม่ต้องไปยุ่ง เพราะเขาไม่ใช่เพื่อนที่มีค่า Capture – เก็บหลักฐาน เผื่อใช้ดำเนินคดี  Tell – บอกผู้ใหญ่ ครู หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องค่ะ

ในส่วนของผู้กระทำ เราควรมีวิธีจัดการหรือรับมืออย่างไร

เวลาพูดถึงคนที่เป็นผู้กระทำ เราต้องหาสาเหตุเสมอค่ะ ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วมักจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลังเสมอ บางครั้งเขาได้รับอำนาจบางอย่าง ได้ผลประโยชน์ ได้เงิน หรือแม้กระทั่งการตอบแทนบางรูปแบบ อีกมุมหนึ่งก็คือ เขาอาจเคยถูกกระทำจากที่บ้านมาก่อน พอโดนแบบนั้นก็ไปทำต่อคนอื่นเหมือนกัน 

ที่เจอบ่อยมากในปัจจุบันก็คือ คนที่เป็นผู้กระทำ เคยเป็นเหยื่อมาก่อน แล้วพอไม่ได้รับการดูแลเยียวยา เขาก็พยายามสร้างเกราะหรือพัฒนาตัวเองเพื่อให้เอาตัวรอดในสังคมนี้ กลายมาเป็นการกระทำกับคนอื่นต่อ

เพราะฉะนั้น เวลาจะดูแลเด็กที่เป็นผู้กระทำ เราต้องเริ่มจากการหาสาเหตุก่อนเสมอ ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร อย่างที่บอกไป บางคนทำเพราะรู้สึกว่าได้พลัง ได้รับการยกย่องเชิดชู ถ้าเจอตรงนี้ เราต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า การบูลลี่คนอื่นไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจจริงๆ หรอก ที่สำคัญคือ เด็กกลุ่มนี้มักมีปัญหา Self-Esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ เขาเลยต้องไปกดคนอื่นเพื่อเรียกพลังหรือความมั่นใจกลับมา

อีกส่วนที่ต้องดูคือ เขามีปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคประจำตัวที่รักษาได้ไหม เช่น บางคนเป็นเด็กสมาธิสั้น ควบคุมอารมณ์ได้ยาก เวลาอารมณ์มาก็แสดงออกด้วยการกระทำรุนแรง หรือบางคนเคยเจอความรุนแรงที่บ้าน โดนตี โดนใช้คำหยาบ มีพ่อแม่ใช้สารเสพติด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาเติบโตมาในแบบนี้ การเข้าไปช่วยเหลือถึงครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน

สุดท้ายก็ต้องพูดถึงกรณีเหยื่อที่กลายเป็นผู้กระทำ อย่างที่บอกไว้ เด็กที่เคยถูกกระทำซ้ำๆ แล้วไม่ได้รับการเยียวยา พอโตขึ้นก็มักจะพัฒนาไปเป็นผู้กระทำต่อ เราจึงควรซักประวัติและรักษาตั้งแต่ต้นเหตุ เพื่อไม่ให้ปัญหามันวนซ้ำค่ะ

สำหรับผู้ถูกกระทำหรือ ‘เหยื่อ’ เราจะมีวิธีให้ความช่วยเหลือหรือช่วยให้เขาปกป้องตัวเองได้อย่างไร

ถ้าเป็นเหยื่อ หลักๆ เลยเราต้องให้เขารู้ก่อนว่า จริงๆ แล้วคนเราทุกคนมีสิทธิเท่ากัน การที่เขาโดนแกล้งไม่ได้แปลว่าเป็นเพราะตัวเขาเองนะคะ ส่วนใหญ่เด็กที่เป็นเหยื่อมักจะมีบางอย่างที่ทำให้ถูกมองว่าน่าแกล้ง เช่น เป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ขี้กังวล ชอบอยู่คนเดียว ดูกล้าๆ กลัวๆ ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง คนกลุ่มนี้เวลาถูกแกล้งก็มักไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ และสุดท้ายก็โทษตัวเอง

อันดับแรกที่สำคัญคือ ต้องบอกเขาให้ชัดว่า บูลลี่เป็นสิ่งที่เราไม่ยอมรับ ไม่ว่าจะในสังคมไทยหรือที่ไหนบนโลก เพราะคนทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนกัน 

เวลาหมอคุยกับน้องๆ ที่เป็นคนไข้ ก็จะยกตัวอย่างตรงๆ เลย เช่น ถ้าฟ้าโดนเพื่อนแกล้งมา แต่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เราจะบอกว่า จริงๆ บูลลี่มันซีเรียสนะ แล้วการที่ฟ้าขอความช่วยเหลือ มันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อไม่ให้เขาไปทำร้ายคนอื่นอีกด้วย แบบนี้เด็กจะเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมา

เราก็จะบอกเขาด้วยว่า ฟ้าไม่เคยไปทำร้ายใครถูกไหม เพราะฉะนั้น ฟ้าก็ไม่ควรยอมให้ใครมาทำร้ายเหมือนกัน ฟ้ามีสิทธิในร่างกายของตัวเอง ตรงนี้แหละค่ะที่เรียกว่า การ Empower เหยื่อ ทำให้เขาฮึบขึ้นมา มี Self-Esteem ที่มากขึ้น

อีกเรื่องสำคัญคือการจัดการสถานการณ์ หลายคนไม่รู้ว่าควรเลี่ยงยังไง เพราะบูลลี่มักจะมาในแพทเทิร์นซ้ำๆ เช่น เหยื่อที่มักอยู่คนเดียวก็จะโดนกลุ่มเดิมๆ แกล้ง หรือบางทีพฤติกรรมของเหยื่อไปตอบสนองจนทำให้ผู้กระทำ ‘ได้ใจ’ เช่น เศร้ามาก ร้องไห้เสียงดัง หรือโวยวาย พอเห็นแบบนั้นผู้กระทำก็ยิ่งสนุก

สิ่งที่ทำได้คือคุยกับเขาว่า เวลามีคนแกล้ง ให้ลองสังเกตว่าผู้กระทำได้อะไรจากเราไหม ถ้าใช่ ก็หลีกเลี่ยง เช่น ถ้าเพื่อนดึงเก้าอี้แต่เรายังไม่หล่น เราก็หยุดนิ่ง ไม่ตอบสนอง เขาก็จะรู้สึกว่ามันไม่สนุก หรือถ้าสถานการณ์จริงจังมากๆ ก็ต้องพูดออกไปด้วยความมั่นใจ เช่น “หยุดนะ” หรือ “ไม่เอา” เพื่อบอกชัดๆ ว่าเราไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับร่างกายเรา

สุดท้าย ถ้าเป็นคนที่โดนบ่อยๆ ซ้ำๆ เราต้องช่วยเหลือมากขึ้น ต้องประเมินว่าเขามีปัญหาทางอารมณ์ตามมาหรือเปล่า เช่น ความกังวล ซึมเศร้า ความคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือไม่อยากไปโรงเรียน ถ้ามีตรงนี้ เราก็ต้องรีบดูแลอย่างจริงจังค่ะ

กองเชียร์หรือผู้สนับสนุนการบูลลี่มีผลต่อเหตุการณ์มากน้อยแค่ไหน

มีผลแน่นอนค่ะ เพราะจริงๆ กองเชียร์ไม่ได้ต่างอะไรเลยจากคนบูลลี่ แค่เขาไม่ได้เป็นคนทำด้วยมือตัวเองเท่านั้น ถ้ากองเชียร์ยังสนับสนุน เหตุการณ์ก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คนที่เป็นเหยื่อก็จะถูกกระทำซ้ำๆ สุดท้ายอาจจบที่โรงพยาบาล หรือแย่ที่สุดก็คือไปงานศพของเหยื่อเลยก็ได้ ตอนหมอเคยทำเวิร์กช็อปเรื่องบูลลี่ เราให้เด็กๆ คิดต่อว่าถ้าไม่มีใครหยุด สุดท้ายมันจะลงเอยยังไง หลายกลุ่มทำภาพออกมาเป็นงานศพเลย เพราะจริงๆ เหยื่ออาจทำร้ายตัวเองจนถึงแก่ชีวิต กลายเป็นปัญหาตามมา

ส่วนสาเหตุที่กองเชียร์สนับสนุน ก็น่าจะเป็นเพราะความสะใจด้วยส่วนหนึ่ง บางครั้งก็เป็นทีมเดียวกับผู้กระทำ อาจเป็นกลุ่มใหญ่ในโรงเรียน พอทำแล้วมันสนุก มันสะใจ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นพวกที่ขาดความเห็นอกเห็นใจ ไม่ค่อยมี Empathy ต่อคนอื่น ผู้สนับสนุนจึงแทบไม่ต่างจากผู้กระทำ เพียงแต่ไม่ได้ลงมือเอง แต่ใช้พลังของคนอื่นแทน เพราะงั้นเวลาจะแก้ปัญหากับกองเชียร์ ก็ต้องหาสาเหตุเหมือนกัน และทำให้เขาเรียนรู้จากบทลงโทษ ให้เขาเห็นว่าเมื่อทำหรือสนับสนุนไปแล้ว เขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง เราก็สามารถใช้วิธีรับมือเดียวกันกับผู้ที่บูลลี่ได้ค่ะ

เราจะทำอย่างไรให้ Bystander กลุ่มที่เพิกเฉย (Ignore) ต่อการบูลลี่ ลุกขึ้นมาเป็นพลังช่วยหยุดเหตุการณ์แทนที่จะนิ่งดูดาย?

คนที่ Ignore ก็มักจะคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของเรา เลยไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถ้าอยากสื่อสารให้เขาเห็น เราต้องทำให้เขาเห็นภาพว่า ถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ไว้ มันจะลงเอยยังไง หรือถ้าวันหนึ่งตัวเขาเองกลายเป็นเหยื่อ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลักๆ คือการสอนให้มี Empathy ค่ะ ให้เขาลองคิดว่า ถ้าเราเป็นเหยื่อเอง แล้วไม่มีใครเข้ามาช่วยเลย มันจะรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวใจขนาดไหน 

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนจากคนที่เมินเฉย ให้กลายเป็นคนที่ลุกขึ้นมาช่วย หรือเป็น Defender ได้ ซึ่งหัวใจของเรื่องนี้ก็คือการปลูกฝัง Empathy ค่ะ

แล้วถ้าเราอยากการแก้ปัญหาบูลลี่ ควรเริ่มต้นจากใคร 

จริงๆ ถ้าทำได้ ถ้าจะให้ผลเห็นมากจริงๆ ก็คงต้องแก้ระดับใหญ่เป็นนโยบาย แต่หมอคิดว่าถ้าเราจะทำจริงๆ เราควรเริ่มจากเรื่องเล็กๆ รอบๆ ตัวก่อน เช่น การเลี้ยงลูก สอนให้เขารู้จักเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย การเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ ไม่ล้อ ไม่แกล้ง ไม่รังแกคนอื่นจนทำให้เกิดความรู้สึกแย่ เสียใจ หรือปัญหาทางอารมณ์และร่างกาย อันนี้เริ่มได้ตั้งแต่การเลี้ยงดูเลยค่ะ

สำหรับพ่อแม่ก็สำคัญมาก สนับสนุนให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกเยอะๆ มีเวลาคุณภาพในการเลี้ยงดูลูกตั้งแต่เล็ก ให้เข้าใจเรื่องความแตกต่างหลากหลายของคนในสังคม เริ่มตั้งแต่เลี้ยงลูกให้เข้าใจว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมชาติ คนเรามีทั้งผิวขาว ผิวดำ สูง เตี้ย บางคนอาจเจ็บป่วยเรื้อรัง มีความพิการ หรือแตกต่างทางเพศ แต่ทุกคนก็เป็นมนุษย์ที่มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตเหมือนกัน เราไม่ควรทำให้ใครเสียใจหรือเกิดปมด้อยได้เลย และพอลูกโตขึ้น ก็สอนเรื่องกฎกติกาสังคม ไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ไม่ใช้คำพูดหรือการกระทำที่ทำร้ายคนอื่น 

เวลาลูกมาเล่าว่าเพื่อนโดนแกล้ง เราก็สอนเขาได้เลยว่าจะช่วยเพื่อนยังไงดี และถ้าลูกเป็นเหยื่อเองก็ให้เขารู้ว่าเราจะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ

อย่างในโรงเรียนก็เช่นกัน ต้องสอนให้รู้จักกฎกติกาของการอยู่ร่วมกัน และเหมือนเดิมคือให้เข้าใจในความแตกต่าง โรงเรียนสามารถใส่บทเรียนเรื่องบูลลี่เข้าไปตั้งแต่ชั้นเล็กๆ เหมือนที่ต่างประเทศทำกัน ปรับเนื้อหาให้เหมาะกับวัย เช่น ถ้าใครมีแนวโน้มจะเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้กระทำ หรือถ้าเราเป็น Bystander จะช่วยยังไง เขาเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ระดับอนุบาล แล้วค่อยๆ เป็นขั้นตอนขึ้นมา

โรงเรียนแต่ละที่ควรมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพราะปัจจุบันโรงเรียนไทยต่างกันมาก โรงเรียนรัฐกับเอกชนต่างกันสุดขั้วเลย ครูในโรงเรียนรัฐ เงินเดือนน้อย งานหนัก ต้องทำตัวชี้วัดเยอะ ครูก็ไม่ค่อยมีเวลามาใส่ใจเรื่องการบูลลี่ เวลามีเด็กถูกแกล้ง หลายครั้งก็ถูกปล่อยปละละเลย ครูบอกช่างมันเถอะแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วครูอาจารย์เองก็มีบทบาทมาก บรรยากาศในโรงเรียนต้องเริ่มจากการที่ครูไม่ทำร้ายเด็ก เพราะเด็กเรียนรู้จากสิ่งที่เห็น ถ้าครูลงโทษด้วยการตี ใช้คำพูดทำร้ายเด็ก มันก็กลายเป็นต้นแบบว่าแบบนี้ทำได้ กลายเป็นปมในใจเด็ก แต่ถ้าครูเป็นตัวอย่างที่ดี เด็กก็จะซึมซับสิ่งดีๆ แทน

และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ครูก็ต้องจัดการอย่างจริงจัง ต้องแยกให้ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ใครเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วเข้าไปดูแล เช่น เหยื่อถูกกระทำซ้ำๆ เพราะไม่มีเพื่อนหรือเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ครูก็ต้องช่วย ส่วนผู้กระทำก็ต้องเข้าไปหาสาเหตุและแก้ไขตรงนั้น ไม่ใช่ปล่อยผ่าน เพราะบูลลี่ไม่ใช่เรื่องเล็กค่ะ

ถ้าเราจะวางระบบให้ยั่งยืน ต้องสนับสนุนนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ควบคู่ไปกับสถาบันครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจ มีเวลาอยู่กับเขา และปลูกฝังให้เขาเห็นคุณค่าของความหลากหลายตั้งแต่เล็กๆ ค่ะ

ในมุมมองของคุณหมอ ควรแก้ที่พฤติกรรมบุคคล หรือนโยบายก่อน หากอยากลดปัญหานี้อย่างยั่งยืน?

ถ้าพูดถึงความยั่งยืนจริงๆ หมอคิดว่า ต้องเริ่มจากตัวบุคคลก่อนค่ะ เริ่มตั้งแต่การเลี้ยงลูก แล้วก็เริ่มจากตัวเราเองด้วย ถ้าผู้ใหญ่มีมายด์เซ็ตชัดๆ ว่า บูลลี่คือสิ่งที่เราไม่ยอมรับให้เกิดขึ้นในโลกใบนี้เลยนะคะ เมื่อไรก็ตามที่เราเจอเหตุการณ์ เราต้องหยุดทันที ไม่คิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น

พอมีลูกเราก็สอนลูกได้เหมือนกัน เช่น เวลาพูดกับลูก หมอจะเล่าให้ฟังเสมอว่า โลกใบนี้เต็มไปด้วยความแตกต่าง คนคนนั้นเป็นแบบนี้ คนคนนี้เป็นแบบนั้น อย่างเวลาเห็นคนที่เดินมาขอเงิน เราก็ไม่ได้สอนว่าเขาน่าสงสาร แต่บอกลูกว่า พี่เขาผ่านอะไรมาบ้าง ให้ลูกได้เรียนรู้ เข้าใจ และเคารพความแตกต่าง รวมทั้งเคารพกติกาการอยู่ร่วมกันในสังคม

ครูอาจารย์เองก็สำคัญมาก เพราะโรงเรียนคือบ้านหลังที่สองของเด็ก บางทียิ่งใหญ่มากกว่าบ้านจริงด้วยซ้ำ ถ้าครูมีมายด์เซ็ตว่า ‘บูลลี่ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้ในโรงเรียน’ มันจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย เป็นมิตร เด็กก็จะรู้สึกอยากมาโรงเรียน มีเพื่อน และคนที่มีปัญหาก็ยังได้รับการช่วยเหลือ อันนี้แหละค่ะที่หมอคิดว่าจะยั่งยืนที่สุด

ส่วนเรื่องนโยบาย แน่นอนว่าถ้าเราสร้างมายด์เซ็ตในระดับบุคคลและโรงเรียนได้ มันก็จะผลักดันไปสู่นโยบายในภาพใหญ่ได้เอง แต่ในความเป็นจริง นโยบายเมืองไทยหลายครั้งก็เป็นลักษณะชั่วคราว ทำเสร็จ ส่ง KPI แล้วก็หายไป เพราะฉะนั้น ถ้าจะยั่งยืนจริงๆ ต้องเริ่มจากการปรับมายด์เซ็ตคนก่อนค่ะ

แล้วถ้าเป็นผู้ใหญ่ทั่วไปที่บังเอิญเจอเหตุการณ์บูลลี่ ควรทำอย่างไร?

หลักๆ เลย ถ้าเจอเหตุการณ์บูลลี่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดสถานการณ์ค่ะ แต่ก่อนอื่นเราต้องแยกให้ออกก่อนว่า สิ่งที่เห็นมันใช่บูลลี่จริงๆ หรือไม่ เพราะบูลลี่จะมีคีย์เวิร์ดสำคัญ 3 อย่าง คือ Imbalance of power – ต้องมีคนที่อำนาจเหนือกว่า กับอีกคนที่อำนาจด้อยกว่า Intentional – ตั้งใจทำให้คนอีกฝ่ายรู้สึกแย่ และ Repeated – เกิดซ้ำๆ บ่อยๆ

ถ้ามีครบทั้ง 3 อย่าง นั่นแหละคือบูลลี่ แต่ถ้าเป็นเพื่อนล้อกันเล่น สนุกๆ เท่าเทียมกัน แบบนี้ไม่ใช่บูลลี่ ส่วนถ้าเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงเลย (Aggressive behavior) เช่น ท้าต่อย ยิงปืน แบบนี้ไม่ใช่แค่บูลลี่แล้ว ต้องแจ้งตำรวจเพราะเกินกำลังที่คนทั่วไปจะเข้าไปช่วย

ดังนั้น เวลาที่เราเจอสถานการณ์ ถ้าเป็นเพียงการเล่นกันเฉยๆ เดี๋ยววันรุ่งขึ้นเขาก็ดีกัน เราก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง แต่ถ้าเป็นบูลลี่จริงๆ สิ่งสำคัญคือเราต้อง Intervene Immediately หยุดไม่ให้มันดำเนินต่อไป จับแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แล้วค่อยพูดคุยทีละฝั่ง ฝั่งเหยื่อก็ต้องดูว่ามีบาดเจ็บทางร่างกายไหม ต้องส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า หรือว่าเจ็บปวดทางคำพูดและจิตใจมากกว่า แล้วจึงค่อยคุยต่อ

อันนี้ยอมรับว่า สำหรับบุคคลทั่วไปอาจจะยากนิดนึง แต่ถ้าเป็นหมอ เวลาเจอก็จะบอกเหยื่อเลยว่า เรื่องนี้ซีเรียสนะ เรา Take It Serious นะ เราจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น และจะสอนวิธีรับมือ เช่น หลีกเลี่ยงไม่ไปอยู่ในที่เสี่ยง ไม่ไปเล่นกับคนที่ทำร้ายเรา เพราะเขาไม่ใช่เพื่อนที่มีค่าอะไรสำหรับเรา ซึ่งผู้ใหญ่ทั่วไปก็สามารถทำในแนวทางเดียวกันได้ค่ะ

เมื่อบูลลี่ทิ้งร่องรอยลึกในใจลูก พ่อแม่ควรทำอย่างไรเพื่อช่วยเยียวยา?

จริงๆ หลักการอันแรกสำหรับพ่อแม่ที่อยู่กับลูก หนึ่งคือเป็นผู้ฟังที่ดีเลยค่ะ การตั้งใจฟัง ให้ลูกได้เล่าเหตุการณ์อะไรบางอย่างออกมา เราฟังแล้วไม่ตัดสินนะ เพราะว่าปัจจุบันคือต้องบอกว่าพ่อแม่ก็รักลูก มันจะมีทั้งความคาดหวัง คำแนะนำ “เออ ช่างมันเถอะ เรื่องเล่นๆ อย่าไปคิดมาก เดี๋ยวก็หายไป” อันนี้แหละ พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกก็ไม่เล่าอะไรแบบนี้ เพราะเล่าไปก็คิดว่าพ่อแม่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องเล่นๆ

เพราะฉะนั้นการเป็นผู้ฟังที่ดี “เกิดอะไรขึ้นลูก เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม ลูกโดนแล้วลูกรู้สึกยังไง” มันจะทำให้ลูกกล้าที่จะเล่าเพราะมันเป็นพื้นที่ปลอดภัย ถ้าเราเป็นผู้ฟังที่ดีนะ รับรองได้เลยว่าลูกมีปัญหาอะไร เราจะรู้ เราจะ Detect ได้ก่อนค่ะ

และต่อมาก็คือ คงต้องคุยเรื่องการจัดการอย่างจริงจัง วันหนึ่งถ้าลูกมาเล่าแล้วเรารู้สึกว่า เรื่องนี้ลูกเราน่าจะช่วยตัวเองได้ เราคุยกับเขา ให้ลูกเสนอวิธีการจัดการปัญหาได้นะคะ เขาบอกว่าพ่อแม่นั้นไม่จำเป็นต้องลงไปลุยก่อน ถ้ารู้สึกว่าลูกไหว มันเป็นการเสริมทักษะให้ลูกเราจัดการชีวิต แก้ปัญหาได้ แล้วก็คุยว่าลูกรู้สึกยังไง แล้วลูกแพลนว่าจะทำยังไงดีไม่ให้เกิดขึ้นอีก

อันที่สาม ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ เจอบ่อยๆ เจอซ้ำๆ เด็กแก้ปัญหาเองไม่ได้ ผู้ใหญ่ก็ต้องมีส่วนค่ะ พ่อแม่ก็ต้องคุยกับอาจารย์ ก็ต้องคุยกับครู คุยกับผู้บริหารโรงเรียน ถ้าไม่ไหวจริง เกิดปัญหาอีกก็พบผู้เชี่ยวชาญได้ เดี๋ยวนี้ก็มีกุมารแพทย์ จิตแพทย์ ที่คอยให้ความช่วยเหลือแนะนำได้

สุดท้าย คุณหมออยากฝากอะไรถึงสังคมเเกี่ยวกับเรื่องการบูลลี่

จริงๆ ต้องบอกว่าบูลลี่เป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าถ้าไม่ได้รับการเพ่งเล็งเห็นความสำคัญ มันคงจะบานปลายไปจนถึงการสูญเสียชีวิตด้วยซ้ำค่ะ เพราะฉะนั้นจึงอยากเชิญชวนทุกๆ คนเห็นความสำคัญ เริ่มได้ง่ายๆ ตั้งแต่การสร้างลูกของเรานี่แหละค่ะ เลี้ยงลูกด้วยความรักความผูกพัน ให้เขามีภูมิคุ้มกันทางใจ ให้เขาเข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย แล้วก็ออกไปเติบโตขึ้นในสังคมอย่างเคารพกฎกติกา และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีน้ำใจซึ่งกันและกัน ให้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขค่ะ

รับรองว่าพอเราดูแลลูกของเราอย่างดีแล้วนั้น ปัญหานี้มันก็จะลดลง แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่เราเจอ เราก็ไม่เพิกเฉยค่ะ เพราะว่าหน้าที่การดูแลเด็กๆ และวัยรุ่นก็เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคมนี้

Tags:

Cyber Bullyหมอจอย – ลลิต ลีลาทิพย์กุลการเพิกเฉยสิทธิBullyความหลากหลายempathySelf-Esteem

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.3’ในวันที่โลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับเห็นอกเห็นใจกันน้อยลง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Education trend
    Border pedagogy การศึกษาที่ชายขอบเป็นศูนย์กลาง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘ทักษะชีวิตพิชิตการรังแก’  วิชาที่ชวนเด็กๆ ตั้งการ์ดสูง ยืนยันสิทธิที่จะไม่ถูกบูลลี่:  ผศ.นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์   

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Social Issues
    อังคณา นีละไพจิตร: สิ่งที่น่าเศร้า ณ เวลานี้ คือความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์: การเรียนรู้ผ่านอุปสรรคและโพยภัย
Book
17 October 2025

การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์: การเรียนรู้ผ่านอุปสรรคและโพยภัย

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ (Adventures of Tom Sawyer) เป็นผลงานเขียนของ มาร์ก ทเวน (Mark Twain) นักเขียนชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชน ที่กลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของโลก
  • หนังสือเล่าเรื่องราวของ ‘ทอม ซอว์เยอร์’ เด็กชายแสนซนผู้รักการผจญภัย จนได้เรียนรู้คุณค่าของมิตรภาพ ครอบครัว ความกล้าหาญ และความรับผิดชอบ ซึ่งหล่อหลอมให้เขาเติบโตจากเด็กธรรมดาไปสู่การเป็นวีรบุรุษในที่สุด
  • การเลียนแบบวีรบุรุษในตำนานของทอม ซอว์เยอร์ และผองเพื่อน ไม่ได้เป็นแค่การเล่นสนุกไร้สาระ หากแต่เป็นการค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ให้กับตัวเอง ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องการใช้จินตนาการ และที่สำคัญ ยังทำให้เด็กๆ รู้จักเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา หรือผ่านพ้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการผจญภัย

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เคยได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่า หลายๆ อารยธรรมทั่วโลก มีทัศนคติร่วมกันว่า ‘การผจญภัย คือการสร้างวีรบุรุษ’

ดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมเก่าแก่แต่โบราณกาล รวมไปถึงมหากาพย์ดึกดำบรรพ์ของหลายเชื้อชาติ ที่เล่าขานเรื่องการผจญภัยของตัวละคร (ซึ่งอาจจะมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์) ที่ต้องผ่านพ้นอุปสรรค ภยันอันตราย เพื่อทำภารกิจอันยิ่งใหญ่บางอย่าง และเมื่อการผจญภัยนั้นจบลง ตัวละครนั้นจะก้าวผ่านจากการเป็นคนธรรมดา กลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันไปชั่วกาลนาน

ไม่ว่าจะเป็น การผจญภัยของโอดิสซี ในมหากาพย์ ‘โอดิสซุส’ วรรณกรรมเก่าแก่ของกรีกโบราณ หรือ การผจญภัยของโฟรโด ฮอบบิตตัวน้อย ผู้กลายเป็นวีรบรุษผู้ยิ่งใหญ่ ในวรรณกรรม The Lord of the Rings ของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน (J.R.R. Tolkien) หรือแม้กระทั่งหนังไซไฟสงครามอวกาศอย่าง Star Wars ของจอร์จ ลูคัส ก็ดำเนินรอยตามขนบของการผจญภัย ที่เปลี่ยนชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ให้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น

และนั่นอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เด็กๆ ในซีกโลกตะวันตก ชื่นชอบและคุ้นเคยกับคำว่า ‘การผจญภัย’ (adventure) อีกทั้งยังดูจะได้รับการสนับสนุน หรืออย่างน้อยก็ไม่ถึงกับถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้ใหญ่ เพราะเชื่อว่า การผจญภัย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นวีรบุรุษ ก็อาจทำให้เด็กคนหนึ่งได้แง่คิดที่จะช่วยให้เขาเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างบน เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผม และเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ‘การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์’

การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ (Adventures of Tom Sawyer) เป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชน ที่กลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของโลกไปแล้ว หนังสือเล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ มาร์ก ทเวน (Mark Twain) นักเขียนชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง

หนังสือเล่มเล็กๆ และอ่านง่ายเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อ ทอม ซอว์เยอร์ (ซึ่งจริงๆ ก็คือ ตัวตนในวัยเด็กของ มาร์ก ทเวน ผสมปนเปกับเพื่อนจอมซนอีกหลายคนของเขา) เด็กชายผู้ชาญฉลาดแต่แสนซน พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ได้ร่วมกันออกผจญภัยหลายครั้งหลายคราว ตั้งแต่การหนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นโจรสลัด ไปจนถึงการตามล่าขุมทรัพย์ปริศนาของฆาตกรจอมโหด

แน่นอนครับ วรรณกรรมเด็กเล่มนี้ จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ทอมและเพื่อนรัก คือ ฮักเกิลเบอร์รี ฟินน์ กลายเป็นวีรบุรุษ แถมยังร่ำรวยอู้ฟู่จากขุมทรัพย์ปริศนา ส่วนตัวร้ายก็ถูกกรรมตามสนองตามระเบียบ

หากเล่ามาแบบนี้ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า เรื่องราวที่แสนธรรมดาแบบนี้ กลายเป็นวรรณกรรมขึ้นหิ้งของโลกไปได้อย่างไร 

ใช่ครับ ตัวผมเองก็เคยคิดแบบนั้น ในตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่พอได้มีโอกาสกลับมาอ่านซ้ำในตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงค้นพบว่า ภายใต้ความสนุกสนาน เรียบง่าย และดูธรรมดาของหนังสือเล่มนี้ เต็มไปด้วยสาระที่ชวนให้ขบคิดมากมาย ตั้งแต่ประเด็นทางจิตวิทยา ว่าด้วยพัฒนาการของเด็ก และความเข้มงวดในการเลี้ยงดูเด็ก ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในยุคสมัยนั้น (เรื่องราวของทอม ซอว์เยอร์ เกิดในช่วงยุคตื่นทองของอเมริกา ก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง) โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำระหว่างคนผิวขาวและผิวดำ

อย่างไรก็ดี บทความชิ้นนี้ ไม่ได้กล่าวถึงทุกๆ ประเด็นที่ค้นพบในหนังสือเล่มนี้ แต่จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ผ่านทางกิจกรรมที่เรียกกันว่า ‘การผจญภัย’

อย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้นว่า การผจญภัย คือการทำภารกิจที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตรายมากมาย ซึ่งผู้ที่สามารถทำภารกิจที่แสนยากนี้ให้สำเร็จลงได้ จึงได้รับการยอมรับและยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ หรือผู้ที่มีความเก่งกล้ากว่าคนทั่วไป

ขณะเดียวกัน เด็กๆ มักจะมีการละเล่นที่เลียนแบบกิจกรรมของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นขายของ เล่นทำครัว หรืออื่นๆ การผจญภัย จึงกลายเป็นหนึ่งในการละเล่นที่เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กๆ ชาวตะวันตก ที่ดูจะให้คุณค่ากับการผจญภัยอย่างชัดเจน

ทอม ซอว์เยอร์ เป็นหนึ่งในเด็กที่ชื่นชอบการผจญภัย เขามักจะชวนเพื่อนสนิท โดยเฉพาะฮักเกิลเบอร์รี ฟินน์ และโจ ฮาร์เปอร์ เล่นเลียนแบบการผจญภัยของวีรบุรุษในตำนานอยู่เสมอ อาทิ การผจญภัยของโรบิน ฮู้ด วีรบุรุษจอมโจร ผู้ปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าปรำปราของอังกฤษ

การเลียนแบบวีรบุรุษในตำนานของทอม ซอว์เยอร์ และผองเพื่อน ไม่ได้เป็นแค่การเล่นสนุกไร้สาระ หากแต่เป็นการค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ให้กับตัวเอง รวมถึงช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องการใช้จินตนาการ และที่สำคัญ ยังทำให้เด็กๆ รู้จักเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา หรือผ่านพ้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการผจญภัยอีกด้วย

ครั้งหนึ่ง ทอม ซึ่งถูกป้าพอลลีผู้เข้มงวด ดุจนน้อยใจ บวกกับการที่ เบกกี เด็กหญิงร่วมชั้นเรียน แสดงอาการเมินเฉยต่อเขา ทำให้เขาทึกทักเอาว่า ตัวเองไม่ได้เป็นที่ต้องการของใครในโลกนี้อีกแล้ว จึงชวนเพื่อนๆ ที่รักการผจญภัย ให้หนีออกจากบ้าน เพื่อไปใช้ชีวิตเป็นโจรสลัด

ทอม โจ และฮัก อออกเดินทางมุ่งตรงไปยังเกาะแจ็กสัน ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งกลางแม่น้ำมิสซิสซิปปี พลพรรคโจรสลัด ภายใต้การนำของทอม หมายมั่นจะใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ก่ออาชญากรรมอันยิ่งใหญ่สะเทือนขวัญ (ซึ่งจริงๆ ก็แค่ลักขโมยอาหารตามบ้านคน) โดยเชื่อว่า ภายในระยะเวลาอันสั้น ชาวเมืองจะต้องแตกตื่นกับข่าวโจรสลัดกลุ่มใหม่ และที่สำคัญ บรรดาแม่ๆ และป้าๆ ที่ชอบเข้มงวดกับพวกเขา จะต้องสำนึกเสียใจอย่างแน่นอน

ทว่า ผ่านไปแค่วันเดียว เหล่าโจรสลัด ยกเว้นฮัก ซึ่งเป็นเด็กจรจัด ผู้ใช้ชีวิตเสรีไร้บ้านช่องอยู่แต่แรกแล้ว ก็เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงป้า ที่เคยดุว่าพวกเขามาตลอด

“ทอม” โจอึกอัก “บางครั้งบางคราว มันก็กลับบ้านเหมือนกันไม่ใช่เรอะ”

ทอม ในฐานะหัวโจก ตำหนิความอ่อนแอของโจ จนเจ้าตัวเสียงอ่อยว่าไม่ได้คิดถึงบ้านก็ได้ แต่พอทุกคนหลับ ทอม กลับแอบพายเรือกลับไปที่บ้าน เพื่อดูว่า ป้าพอลลี จะคิดถึงเขาบ้างไหม ครั้นพอได้เห็นว่า ป้าผู้แสนเข้มงวด ร้องห่มร้องไห้เจียนจะขาดใจ เจ้าตัวก็แอบร้องไห้ตามไปด้วย

ผ่านไปไม่กี่วัน การผจญภัยในฐานะโจรสลัดของทอมและผองเพื่อน ก็ปิดฉากลงด้วยดี ทุกคนกลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ (ในความคิดของพวกเด็กๆ) อีกทั้งยังกลับมาเป็นที่รักของครอบครัวและผองเพื่อนอีกครั้ง

การผจญภัยครั้งนี้ ให้อะไรกับทอม ซอว์เยอร์ และคนอ่านอย่างเราๆ บ้าง

อย่างแรกสุดเลย การได้จำลอง หรือเลียนแบบวิถีชีวิตโจรสลัด ที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ทำให้เด็กๆ ได้รู้ว่า ถึงแม้จะไม่มีพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง คอยตั้งกฎระเบียบให้ทำตาม แต่พวกเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่า ถึงอย่างไร การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ก็จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อให้การรวมกลุ่มดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ว่า บางครั้งสิ่งที่คิดไว้ในจินตนาการ กับสิ่งที่พบเจอในชีวิตจริง อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชีวิตของโจรสลัด ไม่ได้ดูเท่อย่างที่พวกเขาคิด ตรงกันข้าม ชีวิตของเสรีชน ผู้อยู่นอกกรอบกฎเกณฑ์ของสังคม จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก

และที่สำคัญ ทอมและผองเพื่อนได้เรียนรู้ว่า ถึงแม้พ่อแม่ ป้า หรือผู้ปกครอง อาจจะมีความเข้มงวดเกินไปบ้าง จนนำไปสู่ความไม่เข้าใจกัน แต่ถึงอย่างไร โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนทำไปเพราะความรักและความหวังดี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ความเป็นครอบครัวดำรงอยู่ได้

นอกเหนือจากการผจญภัยในบทบาทของโจรสลัดแล้ว ในช่วงท้ายของเรื่อง ทอม ซอว์เยอร์ ได้พบกับการผจญภัยที่จริงจังและน่ากลัวที่สุดในชีวิต เมื่อเขาและเบกกี ชวนกันเล่นเป็นนักสำรวจถ้ำ ทว่า การผจญภัยครั้งนี้ กลับพาทั้งคู่พลัดหลงลึกเข้าไปในถ้ำอันคดเคี้ยว จนหาทางออกไม่ได้

การผจญภัยครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแค่การละเล่นเหมือนที่ผ่านมา แต่มันคือภารกิจที่จริงจังและอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทอม ได้เรียนรู้ว่า ในฐานะที่เป็นเด็กผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งกว่า เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและความปลอดภัยของเบกกี ทอม เสียสละขนมเพื่อให้เด็กหญิงได้คลายหิว และมีเรี่ยวแรงเดินค้นหาทางออก

ทอม ยังได้เรียนรู้อีกว่า การจะเอาชนะอุปสรรคและภยันตรายที่ไม่คาดคิด นอกจากจะใช้ความกล้าหาญแล้ว เขาจำเป็นจะต้องมีสติ เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกจนยิ่งเสียขวัญไปกันใหญ่ ความมีสตินี้เอง ทำให้ทอมเรียนรู้ที่จะใช้เชือกว่าวที่พกติดตัว ผูกปลายข้างหนึ่งมัดติดกับก้อนหินในถ้ำ ขณะที่ปลายอีกข้างถืออยู่ในมือ จากนั้นจึงค่อยเดินสำรวจไปตามเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งหากเส้นทางนั้นนำไปสู่ทางตัน เขาก็ยังสามารถสาวเชือกย้อนรอยกลับมาที่จุดเริ่มต้นได้ใหม่อีกครั้ง

ท้ายที่สุด ความกล้าหาญและมีสติของทอม ทำให้เขาและเบกกี ค้นพบทางออกจากถ้ำมาได้อย่างปลอดภัย

การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ จึงไม่ได้เป็นแค่การผจญภัยของเด็กผู้ชายแสนซนคนหนึ่ง หากแต่เป็นการทำภารกิจที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนานับประการ ที่ช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะเติบโตอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญ และรู้จักความรับผิดชอบ

Tags:

Adventures of Tom Sawyerการผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์การผจญภัยการเล่นหนังสือการเรียนรู้เด็กอุปสรรควรรณกรรมเยาวชน

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Education trendLearning Theory
    Overjustification Effect: เมื่อการศึกษาสนใจที่รางวัลภายนอกมากเกินไป จนทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็ก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.8 ‘ความเบื่อและการเล่นอิสระ’ ส่วนประกอบสำคัญของวัยเยาว์

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Book
    แบดบอยผู้น่ารัก ‘ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ไม้บรรทัดของยมทูต: เมื่อความตายคือจุดหมายของชีวิต
  • The Good Bad Mother: ที่ทำได้คือ ‘ให้อภัยและปลดปล่อยตัวเองจากอดีต’ …เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้
  • ห้องเรียน AI EP5: หลักการ 5 ข้อเพื่อการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
  • เข้าใจการเติบโตของเด็ก ผ่านใจและจิต ผ่านพลังของ ‘ศิลปะ’: ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP13: สรุป 40 หลักการ สำหรับนำไปปฏิบัติ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel