Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: January 2025

Flash Dance: เอาชนะความกลัวด้วยความเชื่อที่ว่า ถึงจะล้มเหลวก็ยังดีกว่าการไม่ได้เริ่มต้นในสิ่งที่ใจปรารถนา
Movie
31 January 2025

Flash Dance: เอาชนะความกลัวด้วยความเชื่อที่ว่า ถึงจะล้มเหลวก็ยังดีกว่าการไม่ได้เริ่มต้นในสิ่งที่ใจปรารถนา

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Flash Dance (1983) เป็นภาพยนตร์ดรามาโรแมนติกสัญชาติอเมริกันบอกเล่าเรื่องราวของอเล็กซ์ หญิงสาววัย 18 ปีที่มีอาชีพหลักเป็นช่างเชื่อมเหล็ก และเป็นนักเต้นไนท์คลับยามค่ำคืน
  • ด้วยความหลงใหลในศาสตร์การเต้น โดยเฉพาะบัลเล่ต์ เธอจึงศึกษามันด้วยตัวเอง โดยมีเป้าหมายว่าวันหนึ่งจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ชื่อดังในเมืองพิตต์สเบิร์ก
  • หากไม่นับเรื่องเพลงประกอบที่ได้รางวัลออสการ์ รวมถึงลีลาการเต้นที่ชวนขยับร่างกาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังช่วยสะท้อนให้เห็นคุณค่าของความพยายาม การฝึกซ้อม กำลังใจจากคนรอบข้าง และการเอาชนะความกลัวเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดในชีวิต

Flash Dance เป็นภาพยนตร์แนวดรามาโรแมนติกสัญชาติอเมริกันที่เล่าเรื่องราวของ อเล็กซ์ โอเวน หญิงสาววัย 18 ปีในเมืองพิตต์สเบิร์กที่ใช้ชีวิตเป็นช่างเชื่อมเหล็กตอนกลางวัน และเป็นนักเต้นไนท์คลับยามค่ำคืน 

แม้ตารางชีวิตจะแน่นและวุ่นวาย แต่เธอก็สามารถบริหารจัดการเวลาได้เป็นอย่างดีและมีเวลาเหลือพอสำหรับการฝึกเต้น โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าวันหนึ่งจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ชื่อดังที่ตั้งอยู่ในโรงละครของเมือง 

ในการฝึกเต้น ผมสังเกตว่าอเล็กซ์ไม่ได้เป็นคนที่ฝึกเต้นไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย ที่ชั้นหนังสือในห้องของเธอเต็มไปด้วยตำราสอนเต้น โดยเล่มที่สะดุดตาผมที่สุดคือคู่มือบัลเล่ต์คลาสสิกขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้เธอยังแบ่งเวลามาดูการแสดงบัลเล่ต์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ หรือแม้แต่การไปชมการแสดงบัลเล่ต์สดๆ ที่โรงละครเพื่อซึมซับและเรียนรู้ท่าทางการเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ

“ฉันไม่เคยเรียนเต้นมาก่อน ฉันอ่านจากหนังสือและคอยสังเกตจากคนอื่น แต่ฉันไม่เคยไปเรียนเต้นรำมาก่อนจริงๆ” อเล็กซ์กล่าว

วันหนึ่งอเล็กซ์ตัดสินใจไปสมัครเรียนที่โรงเรียนบัลเล่ต์ตามความฝัน แต่เมื่อไปถึงความรู้สึกประหม่าก็เริ่มครอบงำจิตใจ ไล่ตั้งแต่บรรยากาศที่เคร่งขรึม เพื่อนผู้สมัครคนอื่นที่ดูหน่วยก้านดีและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ หรือใบสมัครที่ต้องกรอกข้อมูลราวกับทำเรซูเม่เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกผู้มีสิทธิ์สอบ (ทดสอบการเต้นต่อหน้ากรรมการ) ในภายหลัง  

เมื่อเป็นเช่นนี้ อเล็กซ์ที่ประหม่าอยู่แล้วก็เริ่มวิตกกังวลและกลัวจนตัดสินใจวิ่งหนีออกจากห้องธุรการโดยพลการ (ทั้งที่ยังไม่ได้กรอกใบสมัครด้วยซ้ำ)  

หลังวิ่งหนีออกจากห้องสมัครด้วยความกลัว อเล็กซ์เลือกไปหาป้าฮันนาห์ อดีตนักบัลเล่ต์ผู้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของเธอ ซึ่งป้าฮันนาห์ได้เตือนอเล็กซ์อย่างตรงไปตรงมาว่าความฝันอย่างเดียวไม่อาจทำให้เธอไปถึงจุดหมายได้หากปราศจากการลงมือทำ

“ความฝันเป็นสิ่งที่วิเศษ แต่มันไม่ได้ช่วยให้เธอเข้าไปใกล้สิ่งที่ต้องการ นอกจากเธอจะสมัครทดสอบการแสดง อเล็กซานดราเธออายุ 18 แล้ว ต้องทำเดี๋ยวนี้ ทำมันซะเด็กดี” ป้าเฮนนาห์กล่าวหลังจากอเล็กซ์พยายามหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการไปสมัครเรียน

นอกจากป้าฮันนาห์ อเล็กซ์ยังแวะไปที่สารภาพบาปกับบาทหลวงในโบสถ์ถึงความกลัวที่กัดกินใจจนอยากจะล้มเลิกความฝัน

“ป้าฮันนาห์อยากให้ลูกไปสมัคร แต่ลูกไม่กล้าบอกว่าลูกขี้ขลาดเกินกว่าจะทำได้ ถ้าคุณพ่อได้เห็นนักเต้นพวกนั้น พระเจ้า! ลูกไม่มีทางเทียบพวกเขาได้เลย ลูกอยากเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น แต่บางทีหนูก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้” 

แม้ว่าจะยังไม่อาจก้าวข้ามเส้นแบ่งความกลัว แต่ผมรู้สึกชื่นชมที่อเล็กซ์ยังคงฝึกซ้อมอย่างหนัก พร้อมกับสนใจศาสตร์การเต้นใหม่ๆ รวมถึงสเกตน้ำแข็งที่เพื่อนสนิทของเธอกำลังฝึกซ้อมเพื่อเตรียมลงแข่งขัน แต่น่าเสียดายที่สิงห์สนามซ้อมกลับกลายเป็นหมูสนามจริง เมื่อเพื่อนของเธอล้มครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างการแข่งจนถูกเจ้าหน้าที่พยุงออกจากสนาม

สิ่งที่ทำให้ผมทั้งประทับใจและตั้งคำถาม คือคำพูดที่อเล็กซ์นำมาใช้ปลอบใจเพื่อนสนิท อเล็กซ์เลือกจะบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยเธอก็ได้พยายาม” ซึ่งคำพูดนี้ในมุมหนึ่งก็ปลอบประโลมความรู้สึกของเพื่อน แต่อีกมุมกลับสะท้อนถึงความย้อนแย้งในตัวอเล็กซ์เอง เพราะเธอสามารถให้กำลังใจผู้อื่น แต่กลับไม่สามารถปลดล็อกความกลัวในใจตัวเองได้ เสมือนว่าการทายาให้คนอื่นนั้นง่ายกว่าการทายาให้ตัวเอง

ในตอนท้ายเรื่อง อเล็กซ์ตัดสินใจกลับไปสมัครเรียนและก้าวสู่การทดสอบการเต้นครั้งสำคัญต่อหน้าคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ แม้ความวิตกกังวลและความกลัวยังคอยหลอกหลอนเธอ แต่ครั้งนี้ เธอโชคดีที่มีคนรอบข้างเชื่อมั่นและเป็นแรงสนับสนุน โดยเฉพาะแฟนหนุ่มที่พูดเตือนสติให้เธอกลับมาทบทวนตัวเอง

“เมื่อไหร่ที่คุณละทิ้งความฝัน เมื่อนั้นคุณก็เหมือนตายทั้งเป็น” 

ผมคิดว่าประโยคนี้ได้จุดประกายให้อเล็กซ์กลับมารวบรวมความกล้าเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายในการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

หลังชมภาพยนตร์จบ เรื่องราวของอเล็กซ์เหมือนจะเตือนผมดังๆ ว่า ความกลัวและความวิตกกังวลเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางเราไม่ให้ไปถึงเป้าหมายได้มากกว่าความล้มเหลว หลายครั้งเราอาจไม่ได้ล้มเหลวเพราะขาดความสามารถ แต่เป็นเพราะเราไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มต้น 

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากคนรอบข้าง รวมถึงความหลงใหลและความเพียรพยายามจนกว่าจะถึงเป้าหมาย (Grit) ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เรามีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น ซึ่งความกล้าหาญสำหรับผมนั้นไม่ใช่การไร้ซึ่งความกลัว แต่คือการที่เราสามารถทำให้ความฝันหรือเป้าหมายของเรามีอิทธิพลเหนือกว่าความกลัว เพราะเมื่อเราเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องการมากกว่าสิ่งที่กังวล เราก็จะเริ่มมองเห็นหนทางที่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

นอกจากนี้ ผมยังมองว่าความรู้สึกวิตกกังวลหรือความกลัวยามต้องเผชิญกับความท้าทายหรือสิ่งที่ไม่คุ้นเคยนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพราะนักจิตวิทยาบอกว่าสมองของมนุษย์ส่วนหนึ่งถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่ ‘ระวังภัย’ มันจึงพยายามส่งสัญญาณเพื่อป้องกันเราจากความเสี่ยง ความผิดพลาด หรือสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความไม่มั่นคงต่างๆ อย่างกรณีของอเล็กซ์…เธอไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใดๆ ในการสมัครเรียนบัลเล่ต์ แต่สมองของเธอกลับตีความว่าการเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้เป็นสิ่งที่ ‘น่ากลัว’ เพราะมันอาจนำมาสู่การถูกปฏิเสธหรือความล้มเหลวที่อาจทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้เท่าทันตัวเองพร้อมทั้งตระหนักว่าความกลัวไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงเสมอไป 

ความกล้าหาญแท้จริงคือการยอมรับและเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นอย่างมีสติ เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดในใจ และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่มีความฝัน

Tags:

ความกลัวFlash Danceเป้าหมายภาพยนตร์ความฝัน

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • MovieDear Parents
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน: เด็กชายผู้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความกล้าหาญด้วยตัวเอง
Book
30 January 2025

ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน: เด็กชายผู้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความกล้าหาญด้วยตัวเอง

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน’ เป็นวรรณกรรมเด็กที่เขียนโดย ‘นาโอกิ ฮยาคุตะ’ เล่าเรื่องราวของ ‘ฮิโรชิ’ เด็กชายวัยประถมที่พยายามเอาชนะความขี้ขลาดของตัวเองพร้อมกันกับเพื่อนๆ โดยการตั้ง ‘หน่วยอัศวิน’ ขึ้นมา
  • ความกล้าหาญไม่ได้หมายถึงการต่อสู้กับอันตรายเสมอไป แต่อาจเป็นการลุกขึ้นทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะไม่สำเร็จหรือถูกหัวเราะเยาะก็ตาม
  • การยืนหยัดเพื่อปกป้องบางสิ่งบางอย่าง ทั้งที่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับความอับอาย พึงนับเป็นความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้การที่อัศวินคนหนึ่ง จะหยิบดาบลุกขึ้นสู้กับนักรบทั้งกองทัพ

อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ เคยกล่าวไว้ว่า ‘ความกล้าหาญ’ คือหนึ่งในคุณธรรมสำคัญของมนุษย์ โดยอธิบายว่า ความกล้าหาญ คือคุณสมบัติที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างความบ้าบิ่น และความขลาดกลัว

นอกจากนี้ เรามักจะพบว่าความกล้าหาญคือหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้คนธรรมดาคนหนึ่ง  กลายเป็นมนุษย์ที่ได้รับการเชิดชูว่า ‘วีรบุรุษ’ หรือ ‘วีรสตรี’

แล้วความกล้าหาญคืออะไร 

หากดูตามนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว ความกล้าหาญ คือความสามารถในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่ทำให้เจ็บปวด ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ และยังรวมไปถึงความอดทนในการทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะต้องพบกับการข่มขู่ คัดค้าน หรือบั่นทอนกำลังใจกำลังกายก็ตาม

ไม่อาจบอกได้ว่า ความกล้าหาญจะยังคงเป็นคุณธรรมสำคัญในโลกยุคปัจจุบันหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า ความกล้าหาญ คือหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตและมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้

ความกล้าหาญที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปสู้รบปรบมือกับใคร ไม่จำเป็นจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับภยันตรายอันน่ากลัว หรือไปชกต่อยกับพวกอันธพาล แต่อาจเป็นแค่ความกล้าหาญในการปกป้องสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ ‘ควร’ ทำ แม้ว่าทำแล้วอาจไม่สำเร็จ หรือถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็ยังยืนหยัดที่จะทำ แค่นั้นก็นับเป็นความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่แล้ว

ในบางแง่มุม ความกล้าหาญ มีความคล้ายคลึงกับความเชื่อมั่นในตัวเอง ในบางแง่มุม กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้น ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเอง ก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด และช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างยิ่งยวด

ผมเพิ่งได้อ่านวรรณกรรมเด็กเล่มหนึ่ง ที่หยิบเอาเรื่องราวของความกล้าหาญมาเล่าได้อย่างตรงใจที่สุด หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน’ ซึ่งเขียนโดย นาโอกิ ฮยาคุตะ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธนัญ พลแสน

ในคำโปรยด้านหลังปกหนังสือ เขียนไว้ว่า ความกล้าหาญ คือดาบแผ้วถางหนทางชีวิต และตบท้ายว่า ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าหาญอยู่ และคนที่จะดูแลเมล็ดพันธุ์นั้นให้เติบโตขึ้นได้ก็คือตัวเราเอง

ครับ เพียงแต่คำโปรยไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ผมเกิดความกล้าหาญที่จะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นจากชั้น และตรงไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน แม้ว่าจะไม่เคยคุ้นชื่อทั้งคนเขียนและคนแปล

หนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กประถมอายุสิบสองปี ชื่อ ‘เอ็นโด ฮิโรชิ’ ซึ่งเจ้าตัวบรรยายลักษณะตัวเองว่า เป็นเด็กไม่ได้เรื่อง ทั้งการเรียนและกีฬา นิสัยออกจะขี้ขลาด ฮิโรชิ หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า ฮิโระ มีเพื่อนสนิทสองคน คือ คิจิมะ โยสุเกะ เด็กอ้วน ตัวใหญ่ แต่ใจเสาะ ขี้แย แถมยังสมองทึบ เรียนไม่เก่ง และ ทาคาโต้ เคนตะ เด็กชายผู้อ่อนไหว พูดจาติดอ่าง ซึ่งอาจเป็นเพราะปมด้อยที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ด้วยความที่ไม่ได้เป็นเด็กอัจฉริยะเหมือนพี่ชาย

เด็กชายสามคนคือตัวแทนของเด็กปลายแถวของห้อง และเป็นเด็กที่มักจะถูกเด็กคนอื่นในห้องกลั่นแกล้งอยู่เสมอ

ลึกๆ แล้ว ฮิโระ เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ เป็นเพราะความขี้ขลาดของพวกเขา โดยเฉพาะตัวเขาเองซึ่งคิดว่า นิสัยขี้ขลาดนั้นเป็นพันธุกรรมที่ได้มาจากพ่อ

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะในช่วงวัยเด็กก่อนหน้านั้น ฮิโระอยู่ในเหตุการณ์ที่พ่อของเขาทะเลาะวิวาทกับเด็กชั้นมัธยมต้นคนหนึ่ง ถึงขั้นชกต่อยกัน สุดท้ายพ่อของเขาถูกเด็กเกเรคนนั้นทำร้ายจนบอบช้ำ ทั้งเลือดและน้ำตาไหลกลบหน้า

ความทรงจำอันเลวร้ายและน่าอับอายครั้งนั้น ทำให้ฮิโระหวาดกลัวการทะเลาะเบาะแว้งกับเด็กคนอื่น จนฝังใจว่าตัวเองเป็นเด็กขี้ขลาดคนหนึ่ง ถึงอย่างนั้น ฮิโระเชื่อว่านิสัยนี้สามารถแก้ไขได้ หากเขาปลุกความกล้าหาญในตัวให้ตื่นขึ้นมาได้

ฮิโระ ชักชวนโยสุเกะและเคนตะตั้งหน่วยอัศวินขึ้น โดยเหตุผลแท้จริงซึ่งเขาไม่กล้าบอกเพื่อนก็คือ การเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยอัศวินน่าจะช่วยให้ตัวเองมีความกล้าหาญขึ้นมาได้ 

หน่วยอัศวินของฮิโระและผองเพื่อน มีบทบัญญัติ 5 ข้อ คือ 1 อัศวินต้องเข้มแข็ง 2 อัศวินต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง 3 อัศวินต้องช่วยเหลือพวกพ้องไม่ว่าเวลาไหน 4 อัศวินต้องมีความกล้าหาญอยู่เสมอ และ 5 อัศวินต้องรักและปกป้องเลดี้

เลดี้ที่พวกเขาจะต้องปกป้อง คือ อาริมุระ ยูโกะ เด็กนักเรียนหญิงเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งมีภาพลักษณ์เหมือนเลดี้ผู้สูงศักดิ์ เป็นเด็กสาวหน้าตาดี เรียนดี พูดจาไพเราะ

ตรงกันข้ามกับ มิบุ โนริโกะ เด็กหญิงเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกเหมือนทอมบอย ไม่มีใครคบ เพราะความที่เธอปากร้าย ชอบพูดคำหยาบด่าเพื่อน และนิสัยกร้าวแกร่งไม่กลัวใคร ราวกับเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

ไม่มีใครรู้หรอกว่า แท้ที่จริงแล้ว มิบุทำตัวก้าวร้าว เพราะเธอถูกคนอื่นกลั่นแกล้งก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่ชอบมาว่าแม่ของเธอว่าเป็นคนบ้า มิบุจะตอบโต้กลับด้วยคำด่าที่แสนเจ็บปวดจนเด็กคนนั้นต้องร้องไห้กลับไปทุกที

ฮิโระรวบรวมความกล้าเดินไปบอกกับอาริมุระว่า พวกเขาเลือกให้เธอเป็นเลดี้ ที่หน่วยอัศวินสาบานจะจงรักภักดี ขณะที่เพื่อนคนอื่นในห้องพากันหัวเราะเยาะ แต่อาริมุระกลับยิ้มขอบคุณและยื่นมือให้อัศวินฮิโระจับ

วันหนึ่ง อาริมุระเอ่ยปากอยากให้หน่วยอัศวินทำอะไรบางอย่างเพื่อเธอ สิ่งนั้นก็คือการลงสมัครสอบวัดความรู้ ซึ่งเป็นข้อสอบที่ยากพอๆ กับการสอบเข้าโรงเรียนมัธยม แม้ว่าฮิโระและเพื่อนจะเรียนไม่เอาไหน แต่พวกเขาก็ยินดีรับปาก พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำคะแนนสอบให้อยู่ในระดับที่ไม่ทำให้เลดี้ต้องอับอายอย่างแน่นอน

“คิดว่าฉันอยากให้พวกเธอสอบเพราะหวังแค่นั้นงั้นเหรอ” อาริมุระ พูดสวนกลับมาด้วยเสียงเรียบๆ ก่อนจะเสริมว่า “ฉันอยากให้หน่วยอัศวิน สอบติดหนึ่งร้อยอันดับแรกของจังหวัด”

ฮิโระ เชื่อ (หรือหวังอย่างลมๆแล้งๆ) ว่าหากตั้งใจจริงพวกเขาจะต้องดึงพลังแฝงที่อยู่ในตัวออก และสามารถทำได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะเหลือเวลาเตรียมตัวแค่ไม่ถึงสองเดือน ทว่า มิบุเด็กหญิงทอมบอย คู่กัดของฮิโระกลับพูดว่า อาริมุระตั้งใจหลอกให้หน่วยอัศวินลงสมัครสอบ เพราะหวังจะทำให้พวกเขาขายหน้าต่างหาก

“ถ้าทำก็ทำได้น่ะ เป็นคำพูดที่ใช้กับเด็กที่ทำได้แล้วต่างหาก ที่ผ่านมาพวกนายทำอะไรไม่ได้สักอย่างไม่ใช่เหรอ แล้วพลังแฝงอะไร เคยดึงพลังที่ว่าออกมาสักครั้งหรือยัง” มิบุ พูดพร้อมหัวเราะเยาะ

แต่ที่เจ็บแสบกว่านั้น มิบุแสดงความปากร้ายออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยคำพูดว่า “ลูกหมูสามตัวรวมกัน ยังมีปัญญาประหนึ่งพระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ แต่อย่างพวกนายสามคนรวมกัน คะแนนก็ยังไม่ถึงค่าเฉลี่ยเลยมั้ง”

แม้ว่ามิบุจะเป็นเด็กปากร้าย แต่เธอไม่ใช่คนใจร้าย ตรงกันข้ามมิบุมีหัวใจที่ดีงาม อ่อนโยน และกล้าหาญ มีอยู่วันหนึ่ง ฮิโระถูกรังแกโดยเด็กอันธพาลที่เคยทำร้ายพ่อของเขา เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในสวนสาธารณะที่ปราศจากคนให้พึ่งพา แต่สุดท้าย ฮิโระก็รอดพ้นจากการเจ็บตัว เพราะมิบุซึ่งแอบตามมาตะโกนเรียกตำรวจจนเด็กอันธพาลวิ่งหนีไป

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ฮิโระมองมิบุด้วยสายตาและความคิดที่เปลี่ยนไป เขาไม่รู้ว่าทำไมมิบุถึงยอมเสี่ยงอันตรายด้วยการส่งเสียงดังเพื่อช่วยเขา และไม่รู้ด้วยว่าเหตุการณ์ในวันนั้นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของทั้งคู่

ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่โรงเรียนเริ่มเตรียมจัดงานเทศกาลประจำปี และมีการคัดเลือกตัวนักแสดงละครเวทีเรื่อง ‘เจ้าหญิงออโรรา’ โดยการยกมือโหวตของเด็กนักเรียนในห้อง สิ่งที่น่าประหลาดใจได้เกิดขึ้น เมื่อเสียงส่วนใหญ่ในห้อง โหวตให้มิบุ เด็กหญิงทอมบอยที่นุ่งกางเกงไปเรียนทุกวัน ได้แสดงเป็นเจ้าหญิง เฉือนชนะอาริมุระไปอย่างเหลือเชื่อ

ฮิโระครุ่นคิดและได้ข้อสรุปว่า เด็กในห้องโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ตั้งใจโหวตให้มิบุแสดงเป็นเจ้าหญิง เพื่อต้องการทำให้เธออับอายในการแสดงละครเวที ดังนั้น สิ่งที่เขาควรจะทำ ไม่ว่าจะในฐานะอัศวิน หรือในฐานะคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากมิบุ ก็คือ แสดงความกล้าหาญอะไรสักอย่าง เพื่อทำให้มิบุรอดพ้นจากความอับอายครั้งนี้

สิ่งที่ฮิโระทำ ก็คือการยกมือเสนอชื่อตัวเองเพื่อแสดงละครในบท ‘เจ้าชายฟิลลิป’ พระเอกคู่กับเจ้าหญิงออโรรา เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงตัดสินใจทำเช่นนั้น อาจจะเพราะไม่อยากให้มิบุรู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป อย่างน้อยเธอก็มีเขาที่ร่วมอับอายเป็นเพื่อน

นี่อาจไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ อาจไม่ใช่วีรกรรมที่โลกต้องเชิดชู แต่มันก็คือความกล้าหาญอย่างที่สุด ที่เด็กชายวัยสิบสองปีคนหนึ่งจะสามารถทำได้ และมันจะเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของเขาและเธอไปตลอด

หลังจากนั้น มิบุเสนอตัวช่วยติวข้อสอบให้กับฮิโระ โยสุเกะ และเคนตะ จนทำให้ทั้งสามคนได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มิบุ นอกจากจะเป็นคนดีแล้ว ยังเป็นเด็กหัวดีเอามากๆ อีกด้วย และกว่าที่ทุกคนจะรู้ตัว ทั้งฮิโระ โยสุเกะ เคนตะ และมิบุ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว 

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่วรรณกรรมที่ซับซ้อนหรือหักมุม เรื่องราวจึงจบลงอย่างสวยงามและแฮปปี้เอนดิ้ง ผลการสอบวัดความรู้ออกมาอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคนในโรงเรียน เคนตะ เด็กชายติดอ่าง ผู้มีปมด้วยเรื่องพี่ชายอัจฉริยะ ได้คะแนนติดอันดับ 62 ของจังหวัด ส่วนฮิโระเอง ก็ได้คะแนนสูงเหลือเชื่อ แม้จะไม่ติดหนึ่งในร้อยคนแรก แต่ก็ได้ที่ 548 และคนได้ที่หนึ่งของจังหวัดก็คือ มิบุ

ส่วนการแสดงละครเวทีในงานประจำปีก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยเฉพาะฉากเต้นรำคู่ระหว่างเจ้าหญิงและเจ้าชาย ทำให้ทุกคนได้พบความจริงว่า มิบุคือเด็กหญิงที่สวยงามน่ารักไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะในสายตาของฮิโระ

อันที่จริง ยังมีเรื่องราวต่อหลังจากนั้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเมือง และทำให้ฮิโระได้แสดงความกล้าหาญออกมาอีกครั้ง แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องราวตรงนั้นแทบไม่มีส่วนสำคัญกับเรื่องเลย เพราะฮิโระได้ค้นพบและปลุกความกล้าหาญในตัวให้ตื่นขึ้นแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจตั้งหน่วยอัศวิน การเดินไปบอกอาริมุระว่า เธอคือเลดี้ของพวกเขา (แม้ว่าในภายหลังเขาจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มิบุต่างหากที่เป็นเลดี้ของพวกเขา) หรือแม้แต่การประกาศยุบหน่วยอัศวิน หลังจากที่พวกเขาทำภารกิจสอบวัดความรู้ ได้ตามที่เลดี้ต้องการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดสินใจลงสมัครสอบวัดความรู้ของหน่วยอัศวิน และการที่ฮิโระเสนอชื่อตัวเองรับบทเจ้าชายฟิลลิป คือ ความกล้าหาญที่น่าประทับใจที่สุด

การตัดสินใจทำสิ่งที่ควรทำ แม้รู้ว่าโอกาสสำเร็จมีน้อยยิ่งกว่าน้อย แสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ‘ความกล้าหาญ’ อาจไม่ได้มาพร้อมกับความเชื่อมั่นเลย เราอาจไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะทำได้ แต่เราก็ยังตัดสินใจทำด้วยความกล้าหาญ

หรือการยืนหยัดเพื่อปกป้องบางสิ่งบางอย่าง ทั้งที่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับความอับอาย พึงนับเป็นความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้การที่อัศวินคนหนึ่ง จะหยิบดาบลุกขึ้นสู้กับนักรบทั้งกองทัพ

Tags:

โรงเรียนหนังสือเด็กฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวินคงามกล้าหาญ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Catcher in the Rye : ไม่ต้องมีใครโอบรับใคร ถ้าไม่มีผู้ใดร่วงหล่นจากท้องทุ่ง

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

Online Disinhibition Effect: เมื่อโลกออนไลน์ทำให้คนเกรี้ยวกราด ไม่ยั้งคิด
Social Issues
20 January 2025

Online Disinhibition Effect: เมื่อโลกออนไลน์ทำให้คนเกรี้ยวกราด ไม่ยั้งคิด

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘โลกออนไลน์’ อาจทำให้คนหุนหันพลันแล่นมากขึ้น นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Online Disinhibition Effect’ หรือ ‘ปรากฏการณ์การขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์’ 
  • เหตุปัจจัยที่ทำให้คนขาดความยับยั้งชั่งใจในโลกออนไลน์ มีทั้งหมด 6 ปัจจัยด้วยกัน คือ ภาวะนิรนามที่แยกจากความเป็นจริง การมองไม่เห็นตัวบุคคล การสื่อสารที่เกิดขึ้นแบบไม่พร้อมกันทันที การรับเอาลักษณะของผู้อื่นมาเป็นของตน จินตนาการที่แยกจากความเป็นจริง และการลดอำนาจให้ต่ำที่สุด
  • ภาวะนิรนามทำให้คนกล้าทำสิ่งที่ไม่เคยทำในโลกจริง เนื่องจากคิดว่าคงไม่มีใครจับได้ว่าตัวเองเป็นคนทำ จึงทำอะไรไม่ยั้งคิดมากขึ้น บางคนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวระรานคนอื่น ทั้งๆ ที่ในโลกจริงไม่เคยทำพฤติกรรมเช่นนั้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันคนเราใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์เกือบตลอดทั้งวัน ทั้งเพื่อการทำงานหรือความบันเทิง โลกออนไลน์ทำให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนได้เป็นจำนวนมากผ่านหน้าจอเพียงเครื่องเดียว คนที่เราพบเจอบนโลกออนไลน์ก็มีหลายรูปแบบ แต่บ่อยครั้งเรามักพบเจอกับคนเกรี้ยวกราด พูดจาโผงผาง ด่าทอผู้อื่นอยู่เป็นประจำ

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หลายครั้งคนที่ชอบเกรี้ยวกราดบนโลกออนไลน์ กลับไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นในโลกจริง ทำให้นักจิตวิทยาตั้งข้อสงสัยว่า ‘โลกออนไลน์’ อาจทำให้คนหุนหันพลันแล่นมากขึ้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Online Disinhibition Effect’

Online Disinhibition Effect คืออะไร?

‘Online Disinhibition Effect’ หรือแปลเป็นไทยคือ ‘ปรากฏการณ์การขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์’ เป็นคำที่ John Suler ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Rider University คิดขึ้นในปี 2004 โดยหมายถึง การขาดความยับยั้งชั่งใจของบุคคลเมื่อสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ ในขณะที่การสื่อสารกันต่อหน้าไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมเช่นนั้น

ศาสตราจารย์ Suler แบ่งพฤติกรรม ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจ’ บนโลกออนไลน์ออกเป็น 2 ประเภท คือ ‘แบบอ่อนโยน’ และ ‘แบบเป็นพิษ’

  • การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบอ่อนโยน (Benign Disinhibition) หมายถึง การเปิดเผยเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยในโลกจริงมาก่อน รวมไปถึงการแสดงออกถึงความใจดีมีน้ำใจเกินกว่าที่ทำปกติในชีวิตจริง
  • การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบเป็นพิษ (Toxic Disinhibition) หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก้าวร้าว รุนแรง ที่ไม่เคยทำในชีวิตจริง

โดยปกติแล้ว ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบอ่อนโยน’ มักไม่ค่อยมีพิษมีภัยกับผู้อื่น บางครั้งก็เป็นเหมือนการพัฒนาตัวเองผ่านการสำรวจอารมณ์และเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือ แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้อื่นคือ ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบเป็นพิษ’ ที่ดูเหมือนไม่ใช่การพัฒนาตัวเอง แต่เป็นการระรานคนอื่นเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม บางครั้งพฤติกรรมหนึ่งก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นการขาดความยับยั้งชั่งใจประเภทไหน เนื่องจากอาจเข้าข่ายทั้ง 2 ประเภท เช่น การเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเองพร้อมกับสร้างความอับอายให้กับผู้อื่นในเวลาเดียวกัน

ดังนั้น ศาสตราจารย์ Suler จึงสนใจวิเคราะห์ว่ามีเหตุปัจจัยใดในโลกออนไลน์ที่ทำให้คนขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยสรุปออกมาได้ทั้งหมด 6 ปัจจัย

  1. ภาวะนิรนามที่แยกจากความเป็นจริง (Dissociative Anonymity)

‘นิรนาม’ (Anonymous) หมายถึง ไม่มีชื่อ หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริง แม้ว่าตอนสมัครโซเชียลมีเดียจะมีช่องให้กรอกชื่อจริงและนามสกุล แต่หลายคนก็เลือกที่ใช้นามแฝงหรือชื่อปลอมเพื่อปกปิดตัวตน ด้วยพฤติกรรมของผู้ใช้ในลักษณะนี้ทำให้โลกออนไลน์ตกอยู่ใน ‘ภาวะนิรนาม’ (Anonymity) เป็นส่วนใหญ่

ภาวะนิรนามทำให้คนกล้าทำสิ่งที่ไม่เคยทำในโลกจริง เนื่องจากคิดว่าคงไม่มีใครจับได้ว่าตัวเองเป็นคนทำ พูดง่ายๆ ก็คือ ภาวะนิรนามทำให้คนทำอะไรไม่ยั้งคิดมากขึ้น บางคนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวระรานคนอื่น ทั้งๆ ที่ในโลกจริงไม่เคยทำพฤติกรรมเช่นนั้น    

นอกจากนี้ คนที่มีพฤติกรรมในโลกออนไลน์ที่แตกต่างไปจากในโลกจริง เมื่อผ่านไปนานวันเข้าอาจประสบกับปัญหา ‘การแยกตัวจากความเป็นจริง’ (Dissociation) 

กล่าวคือ ตัวตนในโลกจริงกับโลกออนไลน์แตกต่างกันมากจนเหมือนกลายเป็นคนละคน อีกทั้งยังเชื่อว่าพฤติกรรมในโลกออนไลน์ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับตัวตนในโลกจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจและพฤติกรรมอื่นๆ ตามมาได้

  1. การมองไม่เห็นตัวบุคคล (Invisibility)

การสื่อสารบนโลกออนไลน์ใช้การพิมพ์เป็นหลัก ทำให้ไม่เห็นอวัจนภาษาของคู่สนทนา เช่น ไม่เห็นสีหน้า ท่าทาง การใช้น้ำเสียงของอีกฝ่าย ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เราเข้าใจสารผิดไปได้ อีกทั้งการมองไม่เห็นหน้าค่าตาของคู่สนทนาทำให้เราขาดการรับรู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนเหมือนกับเรา ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือที่ไม่มีความรู้สึก

ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ นักเขียน นักแปล และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ เรียกพฤติกรรมนี้ว่า ‘การมองไม่เห็นคนเป็นคน’ เรามองไม่เห็นหรือรับรู้ว่ามีคนที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจอยู่หลังตัวหนังสือเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่กังวลเรื่องการรักษาหน้าของตัวเองและผู้อื่น นำไปสู่การทำอะไรก็ได้ ไม่เห็นต้องแคร์

  1. การสื่อสารที่เกิดขึ้นแบบไม่พร้อมกันทันที (Asynchronicity)

การสื่อสารบนโลกออนไลน์ไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องทันทีเหมือนกับการพูดคุยกันต่อหน้า คู่สนทนาไม่ได้ตอบกลับทันที หรือบางครั้งอาจไร้ซึ่งการตอบกลับก็ได้ โดย อ.จรุงกุล บูรพวงศ์ อดีตอาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกลักษณะนี้ว่า ‘ความไม่ปะติดปะต่อของการสื่อสารออนไลน์’

ในการสื่อสารกันต่อหน้า เราและคู่สนทนาสร้างบทสนทนาที่ต่อเนื่องลื่นไหลไปตามประเด็นต่างๆ อีกทั้งเรายังเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายได้ในทันที ทำให้เราปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้เหมาะสมไปตามสถานการณ์ได้ นำไปสู่การพูดคุยที่รักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน

ความไม่ปะติดปะต่อของการสื่อสารออนไลน์ทำให้เราขาดการรับรู้ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในทันที นำไปสู่การไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นมีผลกระทบอย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้น บางคนยังหาประโยชน์จากการสื่อสารในการลักษณะนี้ด้วยการพูดคำแรงๆ ใส่อีกฝ่าย โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ด้วยการหนีหายไปไม่ตอบกลับอีกเลย โดยนักจิตบำบัด Kali Munro เรียกว่าเป็น ‘การชนแล้วหนีทางอารมณ์’ (Emotional Hit and Run)

  1. การรับเอาลักษณะของผู้อื่นมาเป็นของตน (Introjection)

การสื่อสารออนไลน์ที่ไม่เห็นหน้าของคู่สนทนาทำให้ขอบเขตระหว่างตัวตนของเรากับผู้อื่นไม่ชัดเจน บางครั้งเราอาจนำลักษณะของผู้อื่นมาผสมผสานกับจิตใจของเรา (Introjection) เช่น เราอ่านข้อความของคู่สนทนาด้วยการจินตนาการถึงเสียงและหน้าตาของเขาอยู่ในใจ ราวกับว่าบุคคลนั้นเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นในจิตใจ

เมื่อเกิดการสร้างตัวละครขึ้นมาในจิตใจ เราอาจพยายามทำให้ตัวละครนั้นสมบูรณ์มากขึ้นด้วย ‘การถ่ายโยงความรู้สึก’ (Transference) จากคนที่เราคุ้นเคย หรือตัวละครในหนังหรือนิยาย

‘การถ่ายโยงความรู้สึก’ คือ การถ่ายโอนความรู้สึกในจิตใต้สำนึกที่เรามีต่อบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง เช่น นักบำบัดอาจทำให้ผู้รับการบำบัดนึกถึงพ่อและถ่ายโอนความรู้สึกที่มีต่อพ่อมาไว้ที่ตน ผู้รับการบำบัดเกิดความรู้สึกต่อนักบำบัดเหมือนกับที่รู้สึกกับพ่อ โดยความรู้สึกนี้อาจเป็นในแง่บวกหรือแง่ลบก็ได้

เมื่อตัวละครที่สร้างขึ้นในจิตใจเป็นจริงมากขึ้น ตอนที่เราอ่านข้อความจากคนนี้ เราจะใส่ความเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นลงไป ในจุดนี้จะเริ่มทำให้เราขาดความยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากเราเผลอคิดไปว่าคนที่คุยด้วยเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้น รู้สึกเหมือนว่ากำลังคุยกับตัวเอง ทำให้กล้าทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยทำตอนอยู่ต่อหน้าได้

  1. จินตนาการที่แยกจากความเป็นจริง (Dissociative Imagination)

ในการใช้สื่อออนไลน์ บางคนอาจสร้างตัวตนสมมุติขึ้นมาโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เพื่อใช้เฉพาะในโลกออนไลน์ คนเหล่านี้เชื่อว่าตัวตนในโลกออนไลน์กับตัวตนในโลกจริงเป็นสิ่งที่แยกจากกัน เปรียบเสมือนกับการสร้างตัวละครในวิดีโอเกม โดยตัวละครเหล่านั้นก็อยู่แค่ในเกม ไม่เกี่ยวกับเราในชีวิตจริง

เมื่อเราเชื่อว่าตัวตนในโลกออนไลน์เป็นแค่เกมที่แยกจากความเป็นจริง เราจึงรู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ บางคนพูดจาโผงผาง ทำอะไรไม่คิดถึงผลที่ตามมาให้ดีเสียก่อน

  1. การลดอำนาจให้ต่ำที่สุด (Minimization of Authority)

การพูดคุยกันในชีวิตจริงนอกจากจะมีการใช้วัจนภาษาแล้ว ยังมีอวัจนภาษาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น สีหน้า ท่าทาง การแต่งตัว รูปลักษณ์ ฯลฯ อวัจนภาษาเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงสถานะและอำนาจบางอย่างได้ 

ในการพูดคุยกันต่อหน้า เราพิจารณาอวัจนภาษาเหล่านี้เพื่อดูว่าคนที่เราสนทนาด้วยมีอำนาจที่เหนือกว่า ต่ำกว่า หรือเท่ากับเรา การพิจารณาอำนาจของคู่สนทนาทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษทางสังคม เช่น ถูกมองว่าเป็นคนไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะ

อย่างไรก็ตาม การสื่อสารในโลกออนไลน์ขาดในส่วนของอวัจนภาษา ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคนนั้นมีอำนาจที่สูงหรือต่ำกว่าเรา เรารู้สึกว่าคนอื่นมีอำนาจเท่ากันกับเรา คล้ายกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่มีอำนาจอยู่ในระดับเดียวกัน 

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่ได้เกรงกลัวในการแสดงความคิดเห็นต่อบุคคลต่างๆ และถ้ายิ่งมีภาวะนิรนามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เราก็ยิ่งจะกล้ามากขึ้น ไม่กลัวถูกลงโทษทางสังคม เพราะคิดว่าไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นใครจริงๆ

สุดท้าย ปัจจัยทั้งหมด 6 อย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเดี่ยวๆ อาจเกิดขึ้นหลายๆ อย่างพร้อมกันก็ได้ สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการพัฒนาทักษะอย่าง ‘ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัล’ (Digital Emotional Intelligence) หรือ ‘DEQ’ เพื่อให้เรารู้เท่าทัน เข้าใจ และจัดการกับอารมณ์ของตัวเองในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ต่อไป

อ้างอิง

จรุงกุล บูรพวงศ์. (2017). ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกออนไลน์.

ธัญญา ศรีธัญญา. (ม.ป.ป.). “Transference and Countertransference” : การถ่ายโอนปมปัญหา ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับความช่วยเหลือ.

นำชัย ชีววิวรรธน์. (2024). ทำไมคนปกติกลายเป็นปีศาจบนโลกออนไลน์?

รวิตา ระย้านิล. (2020). Anonymity – ภาวะนิรนาม.

Psychology Today. (n.d.). Dissociation.

Suler, J. (2004). The Online Disinhibition Effect. CyberPsychology & Behavior, 7(3), 321-326.

Tags:

การสื่อสารการสร้างตัวตนความฉลาดทางอารมณ์Online Disinhibition Effectการขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์ภาวะนิรนามInvisibility

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • digital-emotional-intelligence-nologo
    21st Century skills
    Digital Emotional Intelligence: เมื่อ ‘ความฉลาดทางอารมณ์‘ (EQ) อย่างเดียวอาจไม่พอในโลกดิจิทัล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an EducatorLife Long Learning
    พระอาจารย์ชยสาโร: พุทธศาสนาคือระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลต่อการพัฒนาทุกด้านของชีวิตพร้อมกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Education trend
    มองหาสัญญาณเมื่อเด็กขอความช่วยเหลือ: คุยเรื่องจิตบำบัดในโรงเรียนกับ โดม-ธิติภัทร รวมทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to enjoy life
    พลังแห่งการเขียน: ยารักษาบาดแผลทางจิตใจคือไดอารี่แห่งความรู้สึก

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ
Book
16 January 2025

ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ เขียนโดย โมริซาวะ อากิโอะ นักเขียนชื่อดังที่ผลงานหลายเรื่องถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ แปลเป็นภาษาไทยโดย พิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ สำนักพิมพ์พิคโคโล
  • นวนิยายเรื่องนี้ บอกเล่าเรื่องราวของคิริโกะ อดีตนักจิตวิทยาการปรึกษาชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านคาเฟ่เล็กๆ แม้เธอจะชงเครื่องดื่มไม่เก่งสักอย่าง แต่คาเฟ่ของเธอกลับมีชื่อเสียงด้านการเยียวยาจิตใจให้กับลูกค้าที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์

เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมมีโอกาสเข้าร่วมคอร์สอบรมนักเขียนกับอาจารย์ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ 

เรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่ในใจคือช่วงที่ทุกคนสลับกันแนะนำตัว มีคุณป้าคนหนึ่งจู่ๆ ก็ร้องไห้ เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่าตัดสินใจมาเข้าคอร์สเพราะต้องการจุดไฟฝันอีกครั้ง หลังจากที่สมัยสาวๆ เคยคว้ารางวัลนักเขียนดีเด่นจากเวทีประกวดแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับละทิ้งฝันนั้นเพื่อไปประกอบอาชีพอื่นที่ให้ความมั่นคงกว่า 

“ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันก็ไม่ได้เขียนอะไรจริงๆ จังๆ อีกเลย มันเลยคาใจมาตลอดชีวิต”  

เหตุการณ์นั้นย้อนกลับมาในความคิดของผมอีกครั้ง เมื่ออ่านนวนิยายญี่ปุ่นเรื่อง ‘คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ’ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของคิริโกะ อดีตนักจิตวิทยาการปรึกษาชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของคาเฟ่เล็กๆ ที่ชื่อ ‘โชโดวะ’ แม้เธอจะไม่เชี่ยวชาญในการชงเครื่องดื่ม แต่คาเฟ่ของเธอกลับมีชื่อเสียงด้านการเยียวยาจิตใจให้กับลูกค้าที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์

หนึ่งในบทที่สะกิดใจผมเป็นพิเศษคือเรื่องของ ‘โคเฮ’ คุณลุงวัย 53 ปีที่เพิ่งตกงานจากการถูกเลิกจ้างกะทันหัน เขาจึงอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะหางานใหม่ หรือถือโอกาสนี้กลับไปไล่ล่าความฝันวัยหนุ่มอย่างการเป็นนักดนตรีร็อคแอนด์โรล 

ขณะเล่าความรู้สึกที่คาเฟ่โชโดวะ ทุกคนที่ร้าน (ยกเว้นคุณคิริโกะที่ไม่อยู่) ต่างเห็นพ้องว่าโคเฮควรกลับไปหางานใหม่ที่มั่นคงเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เพราะการจะเริ่มต้นเป็นนักดนตรีร็อคแอนด์โรลในวัย 53 ดูจะสายเกินไป 

แน่นอนว่าคำตอบที่เขาได้รับไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย แต่สำหรับผม โคเฮเหมือนกับกระจกที่สะท้อนความรู้สึกของใครหลายคน หนึ่งคือการมีความฝันที่ยังคาใจ (เพราะยังไม่ได้ลงมือทำ) สองคือการแสวงหาคำตอบของใครสักคนที่ช่วยยืนยันสิ่งที่เราแอบคิด

ผมเชื่อว่าทุกคนคงเดาได้ไม่ยากว่าหลังจากวันนั้น โคเฮได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมและกลับไปหางานประจำ เพราะชีวิตจริงไม่ได้เปิดโอกาสให้เราสามารถไล่ตามความฝันโดยไร้ข้อจำกัด โดยเฉพาะเมื่อโคเฮต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว การเลือกเส้นทางเดิมที่แม้อาจจะไม่ถูกใจนักแต่การันตีความมั่นคงทางด้านรายได้ย่อมเป็นทางเลือกที่น่าจะถูกต้องกว่าโดยไม่จำเป็นต้องถามใครด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม โคเฮเริ่มทบทวนชีวิตที่ผ่านมาซึ่งไม่ต่างอะไรกับค่านิยมของคนส่วนใหญ่ มีงานประจำ รายได้มั่นคง เสี่ยงน้อย ไม่ทำให้คนรักและครอบครัวเป็นห่วงหรือเดือดร้อน หากแต่ลึกลงไปในความรู้สึก เขายังคงคาใจมาตลอดว่า ถ้าตอนนั้นเขาเลือกเดินบนเส้นทางดนตรี…ตอนนี้เขาจะมีชีวิตอย่างไรกันแน่? 

“แต่การเลือกเส้นทางปกตินั้นถูกต้องจริงไหมนะ…ผมเริ่มคิดหลังจากถูกเลิกจ้างน่ะครับ เพราะที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดามากๆ เลยมีส่วนที่นึกเสียใจภายหลังหลายอย่าง”

แม้จะเลือกสมัครงานไปไม่น้อยกว่า 7 แห่ง รวมถึงไปสอบสัมภาษณ์มาบ้างแล้ว แต่ผ่านไปเป็นเดือนก็ยังไม่มีที่ใดตอบรับ โคเฮจึงกลับมานั่งคอตกที่คาเฟ่โชโดวะอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้อดีตนักจิตวิทยาการปรึกษาอย่างคิริโกะอยู่ด้วย เธอจึงอาสาติวการสอบสัมภาษณ์ให้โคเฮเป็นกรณีพิเศษ

ระหว่างติวสัมภาษณ์ คิริโกะวางเงื่อนไขสำคัญคือโคเฮห้ามโกหกและต้องบอกความรู้สึกที่แท้จริงอย่างตรงไปตรงมา และเมื่อถามไปเรื่อยๆ จนบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย คิริโกะกับผู้ช่วยก็ค่อยๆ ไล่ถามสาเหตุที่ทำให้เขาเลิกเล่นดนตรี 

“ที่ผมต้องเลิกเล่นดนตรี…เพราะผมคิดว่าในฐานะเสาหลักของครอบครัว ควรให้ความสำคัญกับความสุขของครอบครัวมากกว่าไล่ตามความฝันของตัวเอง”

หลังจากวันนั้น คิริโกะทราบจากคนในคาเฟ่ว่าโคเฮมีลูกชายชื่อ ‘ฮารุกิ’ หนุ่มมัธยมที่มักไปยืนเปิดหมวกเล่นดนตรีบริเวณสถานีรถไฟฟ้า เธอจึงไปเดินชมความสามารถ ก่อนชักชวนเขามาที่คาเฟ่โชโดวะ และคุยกันถูกคอจนฮารุกิเล่าให้ฟังว่าความฝันของเขาคือการเป็นนักร้องนักแต่งเพลง ระหว่างนั้นคิริโกะจึงชวนฮารุกิคุยเรื่องพรสวรรค์

“เธอรู้หรือเปล่าว่าพรสวรรค์คือะไร”

เหมือนกับผม ฮารุกิคิดว่าพรสวรรค์คือ เซนส์ หรือความสามารถพิเศษที่พระเจ้ามอบให้ แต่ในมุมของอดีตนักจิตวิทยาการปรึกษาอย่างคิริโกะ คำตอบนั้นอาจไม่ได้ถูกต้องทีเดียว เพราะหากมีพรสวรรค์แต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ก็ยากจะประคับประคองตัวเองไปตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะในโลกของมืออาชีพ

“เธอจำไว้นะ พรสวรรค์น่ะคือความสามารถในการโน้มน้าวตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าจะไม่ลดละความพยายามเป็นอันขาดจนกว่าจะประสบความสำเร็จ 

สรุปคือ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดีที่สุดไปเรื่อยๆ โดยไม่ย่อท้อจนกว่าความฝันจะเป็นจริง เราเรียกคนที่ทำสิ่งนั้นได้ว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำความฝันให้เป็นจริง”

ผมคิดว่าประโยคนี้คือหัวใจสำคัญของเรื่อง การที่เราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เรารักได้ดีพิเศษเป็นเพียงก้าวแรกของพรสวรรค์เท่านั้น แต่เราจะไม่สามารถเปลี่ยนพรสวรรค์นั้นให้เป็นประโยชน์ได้เลย หากขาดคุณสมบัติอย่างที่คิริโกะกล่าวไว้ 

มากไปกว่านั้น ผมยังคิดถึงทักษะที่ชื่อว่า Resilience หรือความสามารถในการฟื้นตัวและกลับมายืนหยัดใหม่อีกครั้งหลังจากเผชิญความล้มเหลว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยโน้มน้าวให้เราไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน

หลังจากพูดประโยคสำคัญ คิริโกะได้ชวนฮารุกิดูวิดีโอตัวอย่างบทสัมภาษณ์ของนักดนตรีที่ขาดพรสวรรค์ นั่นทำให้ฮารุกิถึงกับอึ้งกับคำตอบของพ่อ (โคเฮ) ก่อนที่เธอจะมอบวิดีโอให้เขาเป็นที่ระลึก

แม้ว่าผู้เขียนไม่ได้สรุปชี้ชัดว่าสุดท้ายแล้วโคเฮจะสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ไหม แต่วิดีโอนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวของโคเฮสนับสนุนให้เขาทำในสิ่งที่รัก ผ่านการที่โคเฮเลือกทำงานที่เงินเดือนน้อยลง  แต่แลกกับเวลาที่เขาสามารถแบ่งปันให้ครอบครัวและกลับมาเล่นดนตรีที่เขารัก ส่วนฮารุกิเองก็สนับสนุนพ่อโดยยกพื้นที่เปิดหมวก แถมยังคอยเป็นคู่ซ้อมให้กับพ่ออีกด้วย

“ได้ยินว่าที่มหาวิทยาลับในอเมริกาน่ะนะ ทำแบบสำรวจความเห็นผู้สูงอายุในวัยเก้าสิบเกี่ยวกับชีวิต แล้วมีคำถามที่ผู้สูงอายุเกือบทุกคนตอบ ‘Yes’ น่าจะผจญภัยให้มากกว่านี้ กับคำถามที่ว่า ‘คุณคิดไหมว่าน่าจะผจญภัยในชีวิตที่มีแค่ครั้งเดียวให้มากกว่านี้’

ถ้าเจ้าตัวและครอบครัวต้องการ จะเริ่มไล่ตามความฝันตอนนี้ก็ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำหลังเกษียณก็ได้ไม่ใช่เหรอ มนุษย์เราน่ะนะ อยู่ร่วมกับความฝันที่ลองทำแล้วแต่ล้มเหลวได้ง่ายเกินคาดเลยละ แต่ความฝันค้างคาที่ยังไม่ได้ลองทำน่ะ เรากลับอยากโยนทิ้งเพราะมันเน่าอยู่ในใจจนส่งกลิ่นเหม็น ทว่ามีแต่ความฝันแบบนั้นนั่นละ ที่ไม่ยอมลบเลือนไป

…แทนที่จะปล่อยมือจากความฝัน ฉันอยากให้เขาทำให้เป็นจริงต่างหากล่ะ” คิริโกะกล่าว

ถึงบรรทัดนี้ สิ่งที่ชัดเจนขึ้นในความรู้สึกของผมก็คือ ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่เคยได้ลงมือทำ เพราะต่อให้ทำแล้วล้มเหลวก็ยังดีกว่าชีวิตที่ไม่เคยได้ลองทำในสิ่งที่ใจปรารถนา

Tags:

หนังสือจิตวิทยาความฝันนิยายชีวิตคิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Book
    หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy lifeBook
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Myth/Life/Crisis
    โกลมุนด์: ความทรงจำที่ถูกฝังกลบ การเยียวยาผ่านความฝัน และสัญญาณการเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว
tranformative learning
14 January 2025

โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

เรื่อง The Potential

  • “หัวใจสำคัญของการศึกษาคือทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตที่ดีทั้งต่อตัวเอง ผู้อื่น และสังคม” ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวในเวทีการจัดการความรู้เพื่อการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQM) ‘School Zero Dropout’
  • โรงเรียนแห่งอนาคตต้องเป็นแหล่งสร้างนวัตกร ต้องสร้างคนที่รู้จักตนเอง คิดเองเป็น เป็นตัวของตัวเอง และเคารพผู้อื่น ต้องสร้าง Agentic Person คือคนที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เป็นมนุษย์ที่มีจิตวิทยาเชิงบวกและมีสุขภาวะที่ดี
  • การจะสร้างผู้เรียนที่คิดเป็นและเป็นตัวของตัวเองได้ หัวใจสำคัญคือการสร้างนิเวศเรียนรู้ที่เอื้อต่อ ‘ความหลากหลายของผู้เรียนทุกคน’ ครูและโรงเรียนต้องเอาใจใส่ เคารพ และเข้าใจในความหลากหลายของเด็ก รวมถึงเข้าใจสิ่งที่แตกต่างกันทั้งในด้านพื้นฐานทางสังคมและครอบครัว

“โรงเรียนยุคใหม่ต้องเป็นโรงเรียนสร้างอนาคต เป็นโรงสร้างหลายๆ แบบ สร้างการเรียนรู้จากประสบการณ์ สร้างการเรียนรู้เชิงรุก สร้างนิเวศการเรียนรู้ที่ดี และเป็นโรงเรียนที่นำไปสู่การสร้างสุขภาวะ เพื่อพัฒนาเด็กสู่ ‘นวัตกร’ และ ‘Agentic Person’ ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง กล้าคิด กล้าทำ และมีจิตสาธารณะทำประโยชน์ให้แก่สังคม” บางช่วงบางตอนของการปาฐกถาพิเศษโดย ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ได้กล่าวให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนและระบบนิเวศทางการเรียนรู้สู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กและเยาวชนในอนาคต ในเวทีการจัดการความรู้เพื่อการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQM) ‘School Zero Dropout’

สร้างนิเวศการเรียนรู้ที่ดี ต้องมี ‘พื้นที่ปลอดภัย’ 

“เรื่องระบบนิเวศการเรียนรู้ สิ่งที่ต้องเตือนตลอดเวลา คือ เด็กเรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 7 วัน ปีละ 365 วัน แปลว่า ระบบนิเวศการเรียนรู้หลายอย่างอาจทำลายเด็กโดยไม่ตั้งใจ บางครั้งพ่อแม่หรือครูเองหนุนเด็กบางคนแต่ทำลายเด็กบางคน สิ่งเหล่านี้คือความซับซ้อนในเรื่องการเรียนรู้ของมนุษย์”

 ฉะนั้นระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ต้องการคือ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เพื่อให้เด็กรู้สึกปลอดภัยทั้งในมิติกาย-ใจ

ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า เราต้องมีพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้พวกเขากล้าตั้งคำถามต่อประเด็นต่างๆ และที่สำคัญคำว่าพื้นที่ปลอดภัยต้องไม่ใช่แค่ปลอดภัยจากการทุบตีหรือกลั่นแกล้ง แต่ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางใจด้วย หลายครั้งเด็กถูกบีบคั้นทางใจ ทำอย่างไรที่จะทำให้ระบบนิเวศเอื้อต่อเด็กที่มีอารมณ์หลากหลายแบบ

“ระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ดี เด็กต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบ หมายความว่า ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และชุมชน ต้องมีวิธีการที่ทำให้เด็กมีส่วนช่วยในการออกแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เขาไม่ข่มเหงหรือรังแกกัน เพราะเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร เพื่อนต้องการอะไร เข้าใจความแตกต่างของมนุษย์ ที่สำคัญการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ชักจูงให้เป็นเด็กเติบโตเป็นคนดี มีค่านิยมที่ดี”

ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช

‘เรียนรู้จากประสบการณ์’ สร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องเป็น ‘การเรียนรู้บูรณาการ’ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือ ‘การเรียนรู้จากประสบการณ์’ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ประสบการณ์ แต่ต้องได้ความคิด วิธีตกผลึก รวมถึงทฤษฎีหรือหลักการ ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า Kolb’s Experiential Learning Cycle 

ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า  Kolb’s Experiential Learning Cycle คือวงจรเรียนรู้ของ ดร.เดวิด เอ. โคล์บ (Dr.David A. Kolb) มี 4 ขั้นตอน เริ่มจาก Experiencing เรียนรู้ข้อมูลผ่านการมีประสบการณ์และการลงมือทำ ขั้นตอนที่ 2 คือ Reflecting นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้มาทบทวน ใคร่ครวญ จากนั้นมาสู่ขั้นตอนที่ 3 คือ Thinking คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ออกมาตกผลึกเป็นหลักการหรือทฤษฎี และขั้นตอนสุดท้าย คือ Acting ลงมือทำจากความรู้ใหม่ที่ได้ และเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำหรือปรับปรุง 

“การเรียนรู้จากประสบการณ์นั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเราคุ้นเคย เดิมเราเรียนทฤษฎีแล้วนำไปลองปฏิบัติ แต่ในที่นี้บอกว่าให้ปฏิบัติแล้วคิดไปหาทฤษฎี ดังนั้นเด็กคิดทฤษฎีเอง เป็นตัวของตัวเอง ภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น ‘Agentic Person’ เป็นคนที่กล้าคิดด้วยตัวเอง มีความคิดของตัวเอง กล้าริเริ่มสร้างสรรค์ แต่ขณะเดียวกันต้องเคารพความคิดคนอื่นด้วย เพราะเหรียญมีสองด้าน ฉะนั้นคิดได้เองแล้ว ต้องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่ายืนหยัดยืนยันว่าสิ่งที่คิดดีที่สุด ต้องรู้จักอ่านทฤษฎีจากที่อื่น ฟังเพื่อนตกผลึก ต้องฝึกให้เด็กฟังกัน อธิบายซึ่งกันและกันว่าทำไมคิดต่าง เด็กจะได้เข้าใจว่าในโลกใบนี้มีคนที่คิดต่างกันได้ 

ดังนั้น หัวใจสำคัญของการศึกษาคือทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตที่ดีทั้งต่อตัวเอง ผู้อื่น และสังคม”

การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นเครื่องมือเรียนรู้จากการปฏิบัติที่ช่วยทำให้พวกเขามีทักษะในการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เป็นการเรียนรู้ไปตลอดชีวิตไม่มีสิ้นสุด ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันและอนาคต ฉะนั้นโรงเรียนต้องเป็นแหล่งหนุนการเรียนรู้ตาม Kolb’s Experiential Learning Cycle เป็นการเรียนรู้ที่นำไปสู่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับระบบการศึกษาไทย 

‘สร้างความรู้ใส่ตัว’ ผ่านการเรียนรู้เชิงรุก 

ทุกวันนี้แก่นสำคัญของการเรียนรู้ไม่ใช่การรอรับถ่ายทอดจากหนังสือหรือครูเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ผู้เรียนต้องสร้างสมรรถนะการเรียนรู้ทั้ง 4 ด้าน ที่เรียกว่า VASK คือ คุณค่า (Values) ทัศนคติ (Attitude) ทักษะ (Skills) และ ความรู้ (Knowledge) ใส่ตัวเอง ด้วย กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning’

ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า การเรียนรู้แบบ Active Learning หมายความว่าเรียนจากของจริง เป็นการเรียนจากการปฏิบัติและสะท้อนคิด มีหลายโรงเรียนทำกิจกรรมสำรวจชุมชน ทำให้เด็กๆ ได้เห็นว่าชุมชนมีอะไรที่ยังขาดหรือต้องพัฒนาปรับปรุง พวกเขาก็นำมาช่วยกันคิด ออกแบบ ทำโครงการที่จะไปสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน ตอนทำกิจกรรม เด็กๆ ก็ได้เรียนรู้บูรณาการแทบทุกสาระวิชา และยังได้จิตสาธารณะ คือมีจิตใจที่ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น รวมถึงสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะให้คุณค่าและติดตัวเขาไปจนตาย  

“สิ่งสำคัญของการเรียนรู้เชิงรุกคือต้องทำเป็น ‘ทีม’ เพื่อให้เด็กได้ทำงานร่วมกัน ฝึกรับฟังการสะท้อนคิดของคนอื่น ฝึก Give and Take และยังช่วยพัฒนา Soft Skill ในด้านต่างๆ ทั้งทักษะการฟัง การสื่อสาร การเสียสละ การเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น”

สำหรับบทบาทของครูในการกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก ศ. นพ.วิจารณ์ บอกว่า ครูต้องไม่ทำตัวเป็นผู้รู้ แต่ต้องเป็น ‘นักเรียนรู้’ ร่วมกับศิษย์ ผู้ปกครอง ชุมชน หรือแม้แต่เพื่อนครู 

“การเรียนรู้แบบ Active Learning ครูต้องไม่เน้นถ่ายทอดความรู้ แต่เน้นทำหน้าที่ออกแบบ เป็น Facilitate และ Coach ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ และฝึกให้เด็กสะท้อนคิดหลักการด้วยตัวเอง ซึ่งหัวใจสำคัญคือการตั้งคำถาม ซึ่งเท่ากับหนุนให้เด็กสร้างความรู้ใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในระหว่างที่เด็กสร้างความรู้ใส่ตัว เด็กจะรู้ว่าบางเรื่องนั้นผิด ต้องเปลี่ยนใหม่ สิ่งนี้คือ ‘Transformative Learning’ เป็นการเรียนรู้ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา หมายความว่าในการตั้งคำถามเพื่อสะท้อนคิดนั้น ต้องสะท้อนคิดหลายๆ แบบ และมีการท้าทายว่าสิ่งที่เคยเชื่อหรือเคยเห็นนั้นตรงกับที่เคยเชื่อไหม มีใครเปลี่ยนใจบ้าง ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจว่า ชีวิตของการเรียนรู้คือชีวิตของการเปลี่ยนใจ แต่ว่าไม่ใช่เปลี่ยนแบบเหลาะแหละ ต้องมีหลักการ” 

สร้างการเรียนรู้บน ‘ความแตกต่างและหลากหลาย’ 

การจะสร้างผู้เรียนที่คิดเป็นและเป็นตัวของตัวเองได้ หัวใจสำคัญคือการสร้างนิเวศเรียนรู้ที่เอื้อต่อ ‘ความหลากหลายของผู้เรียนทุกคน’

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า โรงเรียนต้องเอาใจใส่ เคารพ หรือเข้าใจในความหลากหลายของเด็ก เด็กบางคนชอบดนตรี บางคนเรียนหนังสือเก่ง บางคนเรียนหนังสือไม่เก่งแต่เล่นกีฬาเก่ง ดังนั้นทำอย่างไรที่จะปลุกพลังที่ซ่อนเร้นของเขาออกมาได้ และทำให้เขามีชีวิตที่ดี สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่น ฉะนั้นครูต้องเอาใจใส่ และเข้าใจสิ่งที่แตกต่างกันทั้งในด้านพื้นฐานทางสังคมและครอบครัว ทำอย่างไรโรงเรียนจะหนุนเด็กทุกประเภทได้ 

“ครูและโรงเรียนต้องช่วยให้เด็กได้เข้าใจตัวเองและใช้ความแตกต่างหนุนการเรียนรู้ของตัวเองและของเพื่อน ครูต้องเน้นการตั้งคำถามเพื่อสร้างความมั่นใจ แล้วก็มุ่งมั่นสร้าง Growth Mindset ให้กับลูกศิษย์ และปลุกพลังที่ซ่อนเร้นออกมา ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่จะช่วยป้องกันปัญหาการ Drop-out ที่รากเหง้า เมื่อเด็กไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ แต่พอเต้นแล้วสนุกมาก ก็ให้เขาได้เรียนเต้น เพราะเรื่องการเคลื่อนไหวเขาดี” 

โรงเรียนไม่ใช่โรงสอน แต่คือโรงสร้างนวัตกรแห่งอนาคต

ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า โรงเรียนแห่งอนาคตต้องเป็นแหล่งหนุนการเรียนรู้และพัฒนา อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องมีกลไกการปฏิสัมพันธ์ของระบบการศึกษาแบบ Bottom-Up และ Top-Down เพราะจุดอ่อนที่ผ่านมาคือ เรามี Top-Down มากเกินไป ที่สำคัญคือต้องมีปฏิสัมพันธ์แบบแนวราบ นั่นคือระหว่างโรงเรียน นักเรียน และครูด้วยกันเอง 

“เวลาถามว่าโรงเรียนคืออะไร เราจะเผลอตอบไปว่า โรงเรียนเป็นที่เรียนวิชาความรู้ ซึ่งไม่ผิด แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การพัฒนาความเป็นมนุษย์’ และยังเป็น ‘แหล่งเชื่อมโยงความรู้ทฤษฎีกับการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง’ หมายความว่า เรายังต้องเรียนรู้จากทฤษฎี แต่ขณะเดียวกันต้องกล้าเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และกล้าที่จะบอกว่าทฤษฎีนี้ไม่ครบ ต้องเติมให้ครบ เพื่อให้ใช้ได้จริงในสถานการณ์ของเรา 

ฉะนั้นการศึกษาที่มีคุณค่าที่แท้จริงนั้น เราต้องไม่หลับหูหลับตา หรือลุ่มหลงในความถูกผิดในเรื่องของการเรียนรู้มากเกินไป ”

อย่างไรก็ดีสำหรับทิศทางของโรงเรียนแห่งอนาคต ศ.นพ.วิจารณ์ มองว่า ต้องเป็นแหล่งสร้างนวัตกร ต้องสร้างคนที่รู้จักตนเอง คิดเองเป็น เป็นตัวของตัวเอง และเคารพผู้อื่น อีกทั้งยังต้องสร้าง Agentic Person คือคนที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง กล้าคิด กล้าทำประโยชน์ให้แก่สังคม เป็นมนุษย์แห่งสุขภาวะ มีจิตวิทยาเชิงบวกและมีสุขภาวะที่ดี ดังนั้นโรงเรียนไม่ใช่โรงสอนแต่เป็นโรงสร้าง หนุนเด็กให้สร้างความรู้และสมรรถนะอื่นๆ ใส่ตัว 

“ความจริงมนุษย์ทุกคนต่างมีพลังซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพียงแต่การศึกษาด้วยการบอกหรือสอนให้เชื่อ ไม่สามารถดึงพลังซ่อนเร้นเหล่านั้นออกมาได้ ครูต้องเป็นนักออกแบบ เป็นนักสร้างบันไดเพื่อให้นักเรียนปีนขึ้นไปปลดปล่อยพลัง ขณะที่โรงเรียนและระบบการศึกษาไทยต้องสร้างนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการปลุกพลังที่ซ่อนเร้นในมนุษย์ออกมาให้ได้”

Tags:

Kolb’s Experiential Learning Cycleศ.นพ.วิจารณ์ พานิชพื้นที่ปลอดภัยActive Learningการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบระบบนิเวศการเรียนรู้TSQMโรงเรียนสร้างอนาคต

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Dr. Udom-nologo
    Transformative learning
    “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Pakorn_1
    Everyone can be an EducatorSocial Issues
    “เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

    เรื่อง The Potential

  • Transformative learningLearning Theory
    เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “ความคาดหวังของพ่อแม่อาจรังแกลูก” ชวนพ่อแม่ปรับมายเซ็ตในความสัมพันธ์ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน กับ ‘พ่อโต้ง’ สุระ จารุศศิธร เพจดีต่อลูก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

จิตวิทยาความเหงา ‘อาจเพราะเรากำลังต้องการความผูกพันที่ลึกซึ้ง’ 
How to enjoy life
14 January 2025

จิตวิทยาความเหงา ‘อาจเพราะเรากำลังต้องการความผูกพันที่ลึกซึ้ง’ 

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ความรู้สึก ‘เหงา’ เป็นเหมือนสัญญาณที่กำลังบอกเราว่า “เรากำลังต้องการความผูกพันที่ลึกซึ้ง” ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำนวนคนรอบตัว หากแต่เป็นความลึกซึ้งและคุณภาพของความสัมพันธ์นั้นต่างหาก
  • ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเกิดจากการที่เราใช้ตัวตนที่แท้จริงในการปฏิสัมพันธ์ ซื่อตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง โอกาสที่จะเจอความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพก็จะมากขึ้น
  • การอยู่ลำพังไม่ได้หมายความว่าเหงาเสมอไป เราจะรู้ว่าตัวเองเหงาก็ต่อเมื่อเรารู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ในจิตใจของเรา

ความรู้ทางจิตวิทยาสมัยใหม่เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความต้องการพื้นฐานในการสร้างความผูกพันกับผู้อื่น (attachment) เช่น พ่อแม่ คู่รัก หรือเพื่อน ความผูกพันจะเป็นสิ่งหล่อหลอมการพัฒนาตัวตนให้มีความมั่นคงทางจิตใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม–เราอาจพูดว่ามันคือความอบอุ่นหัวใจที่ทำให้เราไม่เหงาเกินไป 

ความเหงามักเกิดขึ้นเมื่อความต้องการพื้นฐานอย่างการมีความผูกพันไม่ได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ ซึ่งอาจเป็นเพราะการขาดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง หรือการไม่มีความเชื่อมโยงทางความรู้สึก ดังนั้น ความรู้สึกเหงาจึงเป็นเหมือนสัญญาณที่กำลังบอกเราว่า “เรากำลังต้องการความผูกพันที่ลึกซึ้ง” ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำนวนคนรอบตัว หากแต่เป็นความลึกซึ้งและคุณภาพของความสัมพันธ์นั้นต่างหาก

ความเหงากับตัวตนที่ปลอม  

ช่วงวัยเด็กเรามักแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาอย่างไร้ความกังวล โดยเฉพาะเมื่อมีผู้เลี้ยงดูที่ใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อเติบโต เราอาจปรับเปลี่ยนตัวตนเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สิ่งนี้ทำให้ตัวตนที่แท้จริงถูกซ่อนไว้แล้วใช้ตัวตนที่ปลอมแทนที่ ตัวตนที่ปลอมสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเราจากความเจ็บปวด เช่น การไม่ถูกยอมรับ การไม่เป็นที่รัก การเป็นคนไม่สำคัญ แต่แท้จริงแล้วมันกลับทำให้เราเจ็บปวดเหมือนเดิม เพียงแค่รูปแบบความเจ็บปวดนั้นเปลี่ยนไป บางคนอาจสร้างตัวตนที่ปลอมขึ้นมาเพื่อกลบความรู้สึกเปราะบางด้วยการทำตัวเป็นคนที่เข้มแข็งเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตัวตนที่ปลอมนั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าลึกๆ แล้วเขาก็ยังเจ็บปวดที่คนไม่สนใจความรู้สึกเขาอยู่ดี 

ราคาของตัวตนที่ปลอมคือ กำแพงที่ขวางกั้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง – แล้วนำมาซึ่ง ‘ความเหงา’  

ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเกิดจากการที่เราใช้ตัวตนที่แท้จริงในการปฏิสัมพันธ์ ตัวตนที่แท้จริง (true self) ซึ่งเป็นแนวคิดของ Donald Winnicott นักจิตวิเคราะห์ชาวอังกฤษ หมายถึง ตัวตนที่เขาเป็นจริงๆ แม้มันจะรู้สึกเปราะบางมากเพียงใดก็ตาม ทั้งการแสดงออก ความรู้สึก หรือพฤติกรรมต่างๆ โดยไม่ได้ทำออกมาเพราะความกลัวไม่ถูกยอมรับ อารมณ์เหมือนเป็นเสียงเรียกร้องจากข้างในหัวใจ เราอาจจะบอกตรงๆ ไม่ได้ว่าคนที่ใช้ตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่เราสามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ใกล้เขาเราจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเป็นแล้วแสดงออกมา “มันจริง” 

สิ่งที่ได้มาของการซื่อตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองคือ โอกาสที่จะเจอความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพได้มากขึ้น

ความเหงาจะยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นเมื่อเราไม่ได้ใช้ตัวตนที่แท้จริงในการปฏิสัมพันธ์ เพราะเมื่อเราใช้ตัวตนที่ปลอมจะทำให้เรารู้สึกว่า แม้คนอื่นจะเข้ามาหาหรือคุยด้วยมากเพียงใด เราก็ยังคงรู้สึกว่า “ไม่มีใครเข้าใจตัวตนเราจริงๆ” ยิ่งมีตัวตนที่ปลอมเยอะและนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสรู้สึกเหงาและห่างเหินผู้คนมากเท่านั้น แต่ถ้าเราใช้ตัวตนที่ปลอมแบบยังพอรู้ตัวอยู่บ้างว่าตัวตนข้างในรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกเหงาก็จะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับคนที่มีตัวตนที่ปลอมเยอะ หรือไม่ได้เชื่อมโยงกับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง 

เวลาอยู่ใกล้คนที่ใช้ตัวตนที่ปลอมเยอะ เรามักจะรู้สึกว่ามันมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างคำพูด การแสดงออก และอารมณ์ที่แท้จริง เวลาที่คุยกันก็จะรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ อาจไม่สามารถอธิบายได้ชัด แต่เป็นเหมือนความรู้สึกแปลกแยกออกไป เช่น พูดโดยไม่มีความรู้สึก มีความห่างเหิน หรือแสดงท่าทีบางอย่างที่ดูขัดแย้งกัน 

เวลาที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครสักคนมักเกิดจากการที่เราสามารถเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง – แม้มันจะเปราะบางเพียงใดก็ตาม แต่คนที่มีตัวตนที่ปลอมมักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความเปราะบาง หรือแม้แสดงออกมาก็ดูเหมือนมีกำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เหมือนเป็นความสับสนที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด คนที่มีตัวตนที่ปลอมก็จะไม่สามารถเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้  เขาอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวตนเขาเป็นแบบไหน เขาเป็นใคร เขาต้องการอะไร

ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่จะหลีกหนีความเจ็บปวด การจะมาเปิดเผยแล้วยอมรับว่าฉันมีตัวตนที่ปลอมจึงเป็นเรื่องยาก 

การอยู่ลำพังไม่ได้หมายความว่าเหงา

ความเหงาเกิดจากการไม่มีความผูกพัน แต่ทำไมบางคนที่มีความผูกพันจึงยังเหงาอยู่ ? 

หนึ่งแนวคิดสำคัญที่อธิบายเรื่องความเหงาคือ ‘Object Constancy’ ลองนึกภาพง่ายๆ ว่า เด็กจะชอบเล่นจ๊ะเอ๋ เหมือนเราหลบอยู่หลังโซฟาแล้วเด็กก็จะหัวเราะชอบใจเหมือนเราหายไปจากโลกใบนี้แล้วอยู่ดีๆ ก็โผล่มา เด็กยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่า แม่ยังอยู่ตรงนี้ แม้จะมองไม่เห็น เด็กรับรู้เพียงว่า แม่อยู่กับเขาก็ต่อเมื่อแม่ปรากฎตัว แต่ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเหมาะสม ได้รับความรักที่อบอุ่นและสม่ำเสมอ เขาจะค่อยๆ พัฒนาความรู้สึกมั่นคงและไว้วางใจพ่อแม่ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ไหนพ่อแม่จะอยู่ในใจเขาเสมอ

Object Constancy คือ ความสามารถในการรักษาความรู้สึกผูกพันและความมั่นคงทางอารมณ์ต่อบุคคลสำคัญ แม้ตอนนั้นจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือมีความขัดแย้งกัน เขาจะยังรู้สึกเสมอว่าความรักยังอยู่ ความรักไม่ได้หายไปไหน นั่นหมายความว่า การอยู่ลำพังไม่ได้หมายความว่าเหงาเสมอไป เราจะรู้ว่าตัวเองเหงาก็ต่อเมื่อเรารู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ในจิตใจของเรา เคยเป็นไหมครับ เวลาที่เราเดินไปสักที่แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงคนรักก้องขึ้นมาในใจ หรือทำอะไรอยู่ก็รู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่นของคนรอบกาย กระบวนการนั่นเกิดขึ้นจากการที่จิตใจมีความมั่นคงมากพอที่จะเรียนรู้และเข้าใจได้ว่า ความรักของพ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งในจิตใจเขา แล้วพ่อแม่ไม่ได้หายไปไหน 

ในทางกลับกัน หากคนนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความผูกพันและความมั่นคงทางอารมณ์ที่มีกับคนอื่น เขาก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกเหงาได้มากกว่าคนทั่วไป แล้วถ้าเหงามากๆ แล้วยังไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกกับคนอื่นได้ มันก็จะพัฒนาเป็นความรู้สึกอ้างว้างและรู้สึกโดดเดี่ยว

คำแนะนำในการจัดการความรู้สึกเหงา 

1. ใช้ตัวตนที่แท้จริงในการปฏิสัมพันธ์: เริ่มจากการเป็นตัวของตัวเองในความสัมพันธ์ โดยไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับตัวตนที่แท้จริง แม้มันจะรู้สึกเปราะบางก็ตาม เมื่อเราใช้ตัวตนที่แท้จริง เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีคุณภาพได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเหงาลงได้อย่างมาก

2. พัฒนาความมั่นคงทางอารมณ์: ความมั่นคงในความรู้สึกและการผูกพันสามารถช่วยลดความเหงาได้ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้กัน การรักษาความรักและความผูกพันในใจสามารถทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขได้ แม้จะอยู่คนเดียวก็ตาม หากรู้สึกว่าความรักยังคงอยู่ในใจเราก็จะไม่รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว

3. รักษาความสัมพันธ์และการเชื่อมโยง: ความสามารถในการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น แม้ในช่วงเวลาที่ห่างไกล จะช่วยให้เรามีความรู้สึกผูกพันที่มั่นคง ทำให้ไม่รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว แม้จะไม่ได้พบเจอคนอื่นบ่อยๆ

4. เปิดใจและรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง: ควรสำรวจและเข้าใจว่าเรากำลังเหงาจากเหตุผลใด เช่น หากเรารู้สึกเหงาจากการไม่สามารถใช้ตัวตนที่แท้จริงในการปฏิสัมพันธ์ ควรพยายามเปิดใจและเป็นตัวเองในความสัมพันธ์ หากเหงาเพราะขาดความผูกพันทางจิตใจ ควรพัฒนาแนวคิดเรื่องการรักษาความรักและความมั่นคงในใจ

5. ไม่ละเลยการพบปะและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น: แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ห่างเหินหรือโดดเดี่ยว อย่าลืมที่จะออกไปพบปะและติดต่อกับคนอื่น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกผูกพันและลดความเหงาได้มาก

คำถามชวนคิด

• คุณเคยรู้สึกว่ามีตัวตนที่แท้จริงที่คุณไม่ได้แสดงออกหรือไม่ ?

• คุณสามารถยอมรับความเหงาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองได้หรือเปล่า ?

ทุกความรู้สึกกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่างแก่เราเสมอ ความรู้สึกเหงาก็เช่นกัน เวลาเหงาให้ลองถามตัวเองว่า ความรู้สึกนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ ผมเชื่อว่าความเหงาไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงแต่คือโอกาสให้เราได้สำรวจตัวตนและความต้องการที่แท้จริงของเรา อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกเหล่านี้ เพราะมันอาจนำพาคุณไปสู่ความเข้าใจในตัวเองและการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากยิ่งขึ้น 

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเชื่อมต่อกับตัวตนของเราอย่างแท้จริง เราก็จะสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้งเช่นกัน

บทความนี้ท้าทายมากเลยครับ เพราะมีคนเขียนเรื่องความเหงาเยอะแล้ว พยายามหามุมมองใหม่ๆ มาเขียนให้มีแนวคิดที่หลากหลาย อ่านแล้วเป็นอย่างไรแวะมาคุยกันได้นะครับ เผื่อว่าเราจะได้เชื่อมโยงกัน 

และเหงาน้อยลง 

Tags:

Object Constancyตัวตน (Self)จิตวิทยาความเหงาความผูกพันที่ลึกซึ้ง

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Kru-gar_cover 2
    Creative learning
    ‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Green Book: มิตรภาพบนความต่าง คือบทสนทนาของหัวใจที่เปิดกว้างละวางอคติ
Movie
10 January 2025

Green Book: มิตรภาพบนความต่าง คือบทสนทนาของหัวใจที่เปิดกว้างละวางอคติ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Green Book เป็นภาพยนตร์โรดทริปอเมริกันที่คว้าสามรางวัลออสการ์ในปี 2018 บอกเล่าเรื่องราวของ ดร.ดอน เชอร์ลีย์ นักเปียโนผิวสีฝีมือระดับอัจฉริยะ กับโทนี่ ลิป คนขับรถผิวขาวที่มีนิสัยหยาบกระด้าง ที่ต้องเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์
  • สิ่งสำคัญที่ทำให้ Green Book เข้าไปอยู่ในใจของใครหลายคนคือการที่ภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีอคติในตัวเอง แต่สิ่งสำคัญคืออย่าให้อคตินั้นกลายเป็นเครื่องตัดสินผู้อื่นเพียงเพราะเขาแตกต่างจากเรา  

ช่วงหยุดยาวที่ผ่านมา ผมกลับไปดูภาพยนตร์ฟีลกู๊ดเรื่องโปรดที่ไม่เคยนำมารีวิวเลยสักครั้ง

ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ Green Book ที่คว้าสามรางวัลสำคัญจากเวทีออสการ์ครั้งที่ 91 ในปี 2018 (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม—มาเฮอร์ชาลา อาลี)

Green Book เป็นภาพยนตร์แนวโรดทริปสัญชาติอเมริกันที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวมิตรภาพระหว่าง ‘ดร.ดอน เชอร์ลีย์’ นักเปียโนผิวสีระดับอัจฉริยะ และ ‘โทนี่ ลิป’ คนขับรถสัญชาติอิตาลีผู้มีนิสัยหยาบกระด้าง ที่ต้องเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันเป็นเวลาแปดสัปดาห์ตามเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ โดยมีฉากหลังคือปี 1962 ซึ่งเป็นยุคที่กฎหมาย Jim Crow ยังคงแบ่งแยกชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างคนขาวกับคนผิวสี (ที่ถูกปฏิบัติไม่ต่างอะไรกับทาส) อย่างชัดเจน 

ก่อนจะเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงมีชื่อว่า Green Book จึงลองหาข้อมูลและพบว่าชื่อนี้มีที่มาจากคู่มือที่เรียกว่า “The Negro Motorist Green Book” หรือคู่มือปกเขียวของผู้ขับขี่นิโกร เพื่อช่วยให้คนผิวสีสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและรู้ว่าพวกเขาได้รับอนุญาตหรือถูกห้ามให้ไปยังสถานที่ไหนได้บ้าง เนื่องจากสมัยนั้นทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ยังจำกัดเสรีภาพของคนผิวสี  

กลับมาที่ดร.เชอร์ลีย์ เขาไม่ได้เป็นเพียงยอดนักเปียโนผิวสี แต่ยังจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยา ดนตรี และศิลปะในพิธีกรรมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีบ้านพักสุดอลังการที่ตั้งอยู่เหนือโรงละครชื่อดังในนิวยอร์ก เรียกได้ว่าหากไม่นับสีผิวที่เป็นอุปสรรคสำคัญ เขาก็คือหนุ่มสังคมชั้นสูงคนหนึ่งนั่นเอง  

ด้วยพรสวรรค์และทักษะการเล่นเปียโนระดับอัจฉริยะ ทำให้ดร.เชอร์ลีย์มีชื่อเสียงตั้งแต่เล็ก และโด่งดังถึงขั้นถูกเชิญให้ไปแสดงที่ทำเนียบขาวมาแล้ว แต่ใครเลยจะรู้ว่าสิ่งที่ดร.เชอร์ลีย์ต้องการที่สุดดูจะไม่ใช่ชื่อเสียงในฐานะนักเปียโน แต่เป็นการที่เขาได้รับการยอมรับและการปฏิบัติอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นั่นจึงเป็นที่มาของการทัวร์คอนเสิร์ตทางภาคใต้ ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการแบ่งแยกสีผิวอย่างสุดโต่ง เขาจึงตามหาใครสักคนที่สามารถเป็นทั้งคนขับรถและคนอำนวยความสะดวกเพื่อการันตีว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ซึ่งชื่อของโทนี่ ลิป บอดี้การ์ดในสถานบันเทิงชื่อดังถูกแนะนำมาไม่ต่ำกว่าสองครั้ง

ครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน ดร.เชอร์ลีย์นั่งบนบัลลังก์อันหรูหรา ขณะที่โทนี่นั่งบนเก้าอี้รับแขกธรรมดา ภาพนั้นสะท้อนถึงความแตกต่างในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ฐานะ และบุคลิก แม้ว่าวันนั้นทั้งคู่จะยังหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ แต่ด้วยข้อเสนอที่ลงตัวในเวลาต่อมา โทนี่จึงตกลงร่วมทางไปกับดร.เชอร์ลีย์ 

แม้หนังจะฉายให้เห็นถึงความแตกต่างกันแบบสุดขั้ว แต่ผมมองว่าตัวละครทั้งสองต่างตกเป็นเหยื่อของการเหมารวม (Sterotyping) ซึ่งเป็นการตัดสินกันจากอคติและเปลือกนอกที่สะท้อนเพียงเศษเสี้ยวของตัวตนที่แท้จริง

ในฝั่งของ ดร.เชอร์ลีย์ โทนี่เป็นเพียงพวกแรงงานที่หยาบกระด้าง ไร้วัฒนธรรม และขาดความละเอียดอ่อน ซึ่งค่อนข้างขัดต่อ ‘ภาพลักษณ์ความเป็นผู้ดี’ ของเขา และมันคงน่าอับอายไม่น้อยหากโทนี่เผลอไปทำกิริยาไร้วัฒนธรรมต่อหน้าแขกผู้ทรงเกียรติที่มาดูเขาแสดงคอนเสิร์ต

เช่นเดียวกับโทนี่ที่คิดว่าดร.เชอร์ลีย์เป็นเพียงคนบันเทิงผิวสีที่ทำตัวเป็นพวกหัวสูง มาดเยอะ จะทำอะไรก็ดูเป็นพิธีรีตองไปหมด เรียกได้ว่าต่างคนต่างไม่ชอบในเปลือกของกันและกันเท่าไหร่ ซึ่งผมมองว่าตัวละครทั้งสองไม่ได้แปลกอะไร เพราะในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่ก็มักตัดสินคนจากเปลือกมากกว่าจะใช้เวลาเพื่อค้นหาเนื้อแท้ที่อยู่ข้างในคนๆ นั้น

ด้วยความเป็นหนังอบอุ่นฟีลกู๊ด ผู้กำกับจึงค่อยๆ เทส่วนผสมของความเห็นอกเห็นใจกันเข้ามาทีละฉากอย่างไม่ยัดเยียดจนเกินไป (ประมาณว่าพอคนแปลกหน้าสองคนอยู่ด้วยกันนานเข้า ยังไงก็ต้องมีความผูกพันกันบ้าง) เช่น ตอนที่ดร.เชอร์ลีย์รู้ว่าโทนี่ต้องเขียนจดหมายหาภรรยาบ่อยๆ ตามที่ให้สัญญาไว้ เขาจึงอาสาแต่งข้อความสุดโรแมนติกให้กับโทนี่ที่เขียนหนังสือไม่แตกด้วยความเต็มใจ ส่วนโทนี่เองก็ดูจะห่วงใยดร.เชอร์ลีย์มากขึ้น เพราะดร.เชอร์ลีย์มักชอบแอบหนีเที่ยวคนเดียวกลางดึกโดยไม่สนใจข้อห้ามในคู่มือ Green Book จนโทนี่ต้องตามไปช่วยจากเงื้อมมือของแก๊งคนขาวหรือแม้แต่พวกตำรวจเลว ทั้งที่จริงโทนี่จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนก็ได้

“จากนี้ห้ามไปไหนโดยไม่มีผมเด็ดขาด เข้าใจไหม”

ฉากที่ผมมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยให้ดร.เชอร์ลีย์ปรับมุมมองที่มีต่อโทนี่ และรู้สึกถึงมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ คือตอนที่โทนี่ถูกเพื่อนเก่าที่เจอโดยบังเอิญชวนให้ย้ายมาทำงานด้วยเงินจำนวนมากกว่า ดร.เชอร์ลีย์ที่ได้ยินจึงหาโอกาสคุยกับโทนี่พร้อมเสนอเพิ่มตำแหน่งและเงินเดือนให้เพราะกลัวจะเสียเขาไป  

“ไม่เอาๆ ขอบใจ เราตกลงกันที่สัปดาห์ละ 125 เหรียญ บวกค่าใช้จ่าย นั่นคือข้อตกลงของเราใช่ไหม ผมไม่ไปไหนหรอกน่าด็อกเตอร์ ผมจะเดินไปบอกพวกเขา”

เมื่อได้ฟังคำยืนยันอันหนักแน่นของโทนี่ แววตาที่เศร้าสร้อยของนักเปียโนผิวสีก็กลับมามีประกายอีกครั้ง ผมเชื่อว่าดร.เชอร์ลีย์คงตระหนักได้ว่าที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เขาที่ถูกคนอื่นมองด้วยกำแพงแห่งอคติ แต่ตัวเขาเองก็มองคนหาเช้ากินค่ำอย่างโทนี่ด้วยอคติเช่นกัน เพราะเมื่อได้ใช้เวลาและมีปฏิสัมพันธ์กับโทนี่ไปเรื่อยๆ เขาก็พบว่าเบื้องหลังบุคลิกอันหยาบกระด้างนั้นกลับซ่อนไว้ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง

ส่วนโทนี่เองก็ได้เรียนรู้ว่าตัวเองก็มองดร.เชอร์ลีย์ผิดมาตลอด เพราะหลังจากที่เขาพลั้งมือไปชกหน้าตำรวจโทษฐานที่พูดจาเหยียดหยามดร.เชอร์ลีย์ ส่งผลให้ทั้งคู่ถูกจับเข้าคุก แม้ว่าไม่นานจะมีเหตุให้ถูกปล่อยตัว แต่ทั้งคู่ก็ไม่วายกลับมาขว้างปาอารมณ์ใส่กันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อดร.เชอร์ลีย์บอกว่าโทนี่เป็นพวกความอดทนต่ำ ขณะที่เหยื่อทางคำพูดอย่างเขากลับสามารถอดทนกับคำดูถูกเหยียดหยามมาได้ตลอด แถมตัวโทนี่เองก็ไม่ได้ผิวดำเหมือนเขาเลยสักนิด

“ทำไม ผมโมโหสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่คนดำเหรอ ผมดำกว่าคุณอีก คุณไม่รู้อะไรเรื่องคนดำเลย  พวกเขากินอะไร พูดยังไง อยู่ยังไง คุณไม่รู้จักลิตเติ้ลริชาร์ดด้วยซ้ำ…ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นใคร ผมคือคนที่อยู่ย่านเดิมในบร็องซ์มาตลอดชีวิต (ย่านที่มีอัตราอาชญากรรมสูงและมีชุมชนที่มรายได้ต่ำในยุคนั้น) กับแม่ พ่อ พี่ชาย และตอนนี้ก็เมียกับลูกๆ แค่นั้น นั่นแหละผม 

ผมคือไอ้งั่งที่ต้องวิ่งวุ่นทุกๆ วันเพื่อให้ครอบครัวมีกิน ส่วนคุณพ่อคนดัง อยู่บนยอดประสาท เที่ยวรอบโลก เล่นคอนเสิร์ตให้คนรวยฟัง ผมอยู่ข้างถนน คุณนั่งบังลังก์ เออใช่ โลกของผมมันดำกว่าคุณเยอะ” โทนี่กล่าว

ฝั่งดร.เชอร์ลีย์ที่ได้ยินก็โมโหถึงขั้นเดินลงจากรถ ก่อนจะหันมาตะโกนใส่โทนี่ที่วิ่งตามมาติดๆ ว่าตัวเขาเองก็มีความทุกข์ที่ต้องแบกไว้เช่นกัน

“ใช่ ผมอยู่ในปราสาท โทนี่ ตัวคนเดียว คนขาวรวยๆ จ้างผมเล่นเปียโนให้ฟัง เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกมีวัฒนธรรม แต่ทันทีที่ผมก้าวลงจากเวที ผมก็กลับไปเป็นไอ้มืดคนนึงในสายตาพวกเขา เพราะนั่นคือวัฒนธรรมที่แท้จริงของพวกเขา 

ผมโดนเหยียดตามลำพัง เพราะคนผิวสีก็ไม่ยอมรับผม เพราะผมก็ไม่เหมือนพวกเขา ถ้าผมดำไม่พอ ขาวไม่พอ เป็นลูกผู้ชายไม่พอ งั้นบอกผมสิโทนี่ ว่าผมเป็นตัวอะไร”

แน่นอนว่าโทนี่ที่ได้ฟังถึงกับนิ่งไป เมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ดร.เชอร์ลีย์แบกรับมาตลอด ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำงานอยู่ภายในใจของโทนี่ในฉากนี้คือ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ เพราะที่ผ่านมาโทนี่คิดเหมือนคนทั่วไปว่า ‘เงินคือคำตอบของความสุข’ แต่เมื่อลองมองโลกผ่านสายตาของดร.เชอร์ลีย์ เขาก็พบกับความอ้างว้างโดดเดี่ยวและการไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งคนขาว (ของเล่นคนรวย) รวมถึงคนผิวสีล้วนแต่สร้างความทุกข์ให้กับดร.เชอร์ลีย์ไม่น้อยไปกว่าความขัดสนทางการเงินที่เขาเผชิญ

หลังจากชมภาพยนตร์จบ ผมอดคิดไม่ได้ว่าความเข้าใจผู้อื่นคือกุญแจสำคัญในการทำลายกำแพงแห่งอคติ เพราะเมื่อเราเปิดใจรับฟัง พยายามเข้าใจความรู้สึก รวมถึงประสบการณ์ของผู้อื่นในมุมมองของเขามากขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะลดอคติและความคิดเชิงลบต่อผู้ที่มีความแตกต่างลง ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เต็มไปด้วยความแตกต่างอย่างเข้าอกเข้าใจ

Tags:

อคติมนุษย์หนังGreen Bookภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Freedom Writers: ครูผู้ชวนเด็กๆ ขีดเขียนชีวิตในแบบของตัวเอง ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • MovieDear Parents
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง
Social IssuesVoice of New Gen
10 January 2025

‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

เรื่อง The Potential

  • สังคมมักตีตราเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา (Dropout) ว่าเป็นเด็กไม่ดี เด็กเกเร ไม่มีอนาคต ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายเหตุผลที่ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องออกจากโรงเรียน ส่วนเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบได้ คือประตูแห่งโอกาสที่ปิดตายด้วยกฎระเบียบและอคติของผู้ใหญ่
  • ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง เป็นตัวอย่างของเด็ก Dropout ที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความฝัน วันนี้เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าหากการศึกษามีความยืดหยุ่นพอ ทุกคนสามารถกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
  • สิ่งที่กันฝากไปถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง คืออยากให้เปิดใจรับฟังเสียงจากเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กกลุ่มเปราะบาง “อยากให้ผู้ใหญ่ลองเป็นตะแกรง ไปช่วยโอบอุ้มเขาไว้ เพื่อไม่ให้เขาตกลงไปสู่ก้นเหว”

เด็กทุกคนล้วนฝันถึงอนาคตในแบบของตัวเอง แต่ถ้าถูกปิดกั้นหรือขาดโอกาสก็ยากที่จะนำพาชีวิตไปในเส้นทางที่เลือก เช่นเดียวกับ ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง วัยรุ่นที่มีทั้งศักยภาพและความฝัน แต่ชีวิตพลิกผันต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยปัญหาที่ตนเองไม่ได้ก่อ ขณะกำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทว่าด้วยการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นและหัวใจที่เปิดกว้างของผู้ใหญ่หลายคน ทำให้ได้รับโอกาสกลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้อีกครั้ง 

‘กัน’ ฉายแววด้านการแต่งเพลงและเริ่มผลิตผลงานออกมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งมัธยมปีที่ 2 มีค่ายเพลงติดต่อเซ็นสัญญาทำงานร่วมกันประมาณ 5 ปี ทำให้ช่วงเวลานั้นต้องเรียนด้วยทำงานไปด้วย และยังพ่วงบทบาทนักดนตรีไทยของโรงเรียน นอกจากนี้ยังรับหน้าที่สารวัตรนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 3 และได้เป็นประธานสารวัตรนักเรียนตอนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 5 แต่ด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง ทำให้กันตัดสินใจรับผิดชอบด้วยการลาออกจากโรงเรียน  

“ตอนที่ออกมายังมีงานทำเลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัวได้ เพราะยังอยู่ในสัญญากับค่ายเพลง ตอนนั้นคิดว่าถ้าหมดสัญญาจะทำงานเป็นฟรีแลนซ์ รับงานจากทุกค่ายเพลงและทุกคนที่มาจ้าง”

แม้จะพอมีหนทางหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องหล่อเลี้ยงครอบครัว แต่คำว่า ‘วุฒิการศึกษา’  ยังคงติดค้างในใจ และเริ่มเห็นว่าอาจสร้างปัญหาในอนาคต

“ผมนั่งตกตะกอนกับตัวเอง บางครั้งนั่งทำงานก็มีคิดแว๊บขึ้นมาในหัวถึงคำว่าวุฒิการศึกษา คนทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ เขาอาจจะเห็นว่าก็แค่กระดาษใบเดียว ไม่ได้สำคัญอะไร แต่สำหรับพวกผมที่ยังมีความฝันอยู่ ยังฝันได้อยู่ มันคือใบเบิกทางเลยนะ ยิ่งในประเทศเราที่ให้ความสำคัญกับงานด้านวิชาการ ไม่ได้เปิดกว้างสำหรับอาชีพสายศิลป์ หรือให้คุณค่ากับงานด้านศิลปะมากเทียบเท่ากับโซนยุโรป อเมริกา การมีวุฒิการศึกษาจึงเป็นความมั่นคงหรือความอุ่นใจ” 

ด้วยค่านิยมและกระแสสังคมที่ยกย่องเฉพาะบางอาชีพที่สร้างรายได้หรือได้รับการนับหน้าถือตา กันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า เด็กธรรมดาที่ไม่ได้เก่งวิชาการแบบเขายังจะมีพื้นที่เหลือให้มีฝันบ้างหรือไม่ 

“ผมเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ได้มีความฝันว่าต้องเป็นแพทย์ วิศวกร บางคนอาจจะยึดความฝันของพ่อแม่ ผมมองว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กกดดันด้วย พ่อแม่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พ่อแม่เขาอาจจะยัดความคิดอะไรบางอย่างใส่ตัวเขาว่าเขาต้องเรียนทางนี้นะ ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่กล้าฝัน ไม่กล้ามีความคิด หรือว่าความฝันของตัวเองที่ชัดเจน แต่ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความฝัน แค่เขาจะแสดงออกมาให้เราเห็นมากน้อยแค่ไหน”

สำหรับกัน-บัณฑิตาเอง แม้จะมีความสามารถด้านการแต่งเพลง แต่อีกด้านเขายังมีความสนใจเรื่อง ‘การเมืองการปกครอง’ อย่างมาก ถึงขนาดเปิดฟังพอดแคสต์ประชุมสภาได้ทั้งวัน

“ฟังแทนเพลงเลย เรียกว่าเป็นงานอดิเรกก็ได้ คนอื่นบอกว่าการเมืองเครียด แต่ผมกลับรู้สึกว่าสนุก  บอกตัวเองว่าไม่เป็น ส.ส. แน่ๆ แต่ยังมีอีกหลายอาชีพที่เราสามารถเป็นรากฐานเพื่อให้ประเทศดีขึ้นไปอีก ยิ่งตอนนี้ผมได้เรียนสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ยิ่งทำให้สนใจการเมืองการปกครองของทุกประเทศเลย”

กลับสู่เส้นทางการเรียนรู้  ด้วยรูปแบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น

แม้จะค้นเจอความสนใจของตัวเอง แต่กับเส้นทางใหม่นี้ ‘วุฒิการศึกษา’ คือเงื่อนไขสำคัญที่จะเป็นตัวตัดสินว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ ซึ่งกันบอกว่าตอนนั้นไม่คิดจะกลับเข้าสู่การศึกษาในระบบ โชคดีที่ได้เจอกับผู้ใหญ่ใจดีชี้เส้นทางแห่งโอกาสให้เขากล้าที่จะฝันอีกครั้ง 

“ปู่แนะนำมาว่ามีโรงเรียน 4 ตารางวา หรือ ศูนย์การเรียนสถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อสังคม ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เปิดรับเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา รูปแบบการเรียนก็ไม่ซ้ำจำเจ ไม่ต้องนั่งอยู่ในห้องเรียน นั่งอยู่หน้ากระดานดำ เป็นการเรียนที่เปิดกว้างมาก

และแม้พื้นที่ในการทำงานอาจไม่ได้กว้าง แต่พื้นที่การเรียนรู้กว้างมาก และเขาเปิดโอกาสให้กับเด็กทุกคน เขาไม่สนเรื่องวัย เรื่องเพศสภาพ เขาไม่ได้มาถามเราอะไรแบบนั้น เขาเห็นว่าเราเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง”

กันบอกว่าเขาโตมากับประโยคที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนมักพูดว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” แต่ในความเป็นจริงเมื่อมองไปที่ระบบการศึกษาซึ่งเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ กลับไม่เห็นว่ามีโครงสร้างอะไรที่เด่นชัด

“ผมรู้สึกว่ามันอาจจะศักดิ์สิทธิ์ในคำพูด แต่ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ในการกระทำ นโยบายอะไรต่างๆ ไม่ได้นำไปสู่สิ่งนั้นจริงๆ ท้ายที่สุดเป็นเพียงวาทกรรม”

หลังจากสมัครเข้าเรียนที่ศูนย์การเรียนสถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อสังคม (โรงเรียน 4 ตารางวา) และได้รู้จักกับ ‘ครูติ๊ก’ ชัชวาลย์ บุตรทอง  กันพบว่าการเรียนรู้ที่นี่ไม่ได้มีแค่ ‘วิชาความรู้’ แต่ยังเติมเต็มด้วย ‘วิชาชีวิต’ 

“พอได้เรียนและนั่งคุยกับครูติ๊กในหลายๆ อย่าง เราไม่ได้แค่เรื่องเรียน แต่เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตด้วย ผมว่าครูติ๊กมีวิสัยทัศน์ที่ทำให้เด็กอย่างพวกผมรู้สึกว่า เอ้ย! ผู้ใหญ่เขามีวิสัยทัศน์ที่รองรับเด็กรุ่นใหม่ขนาดนี้เลยหรอ”

แนวทางการจัดการเรียนรู้ของศูนย์การเรียนแห่งนี้เปิดกว้างและยืดหยุ่นตามโจทย์ชีวิตของเด็กแต่ละคน โดยออกแบบให้สามารถนำประสบการณ์จากการทำงานและการทำกิจกรรมมาเทียบโอนแลกหน่วยกิตได้

“ผมเอาวุฒิ ม.3 ไปสมัคร แล้วเรียนได้วุฒิ ม.6 ภายใน 8 เดือน จากนั้นก็เตรียมเข้าสู่มหาวิทยาลัย ตอนเรียนที่ศูนย์ฯ ครูติ๊กได้เชิญผู้ใหญ่หลายๆ ท่านมาพูดคุย ทำให้เราได้เห็นมุมมองต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งยังมีอาจารย์มหาลัยราชภัฏฯ ที่พานักศึกษามาดูงาน ซึ่งอาจารย์มาถามว่าสนใจเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหม ถ้าอยากเรียน สามารถเรียนก่อนได้โดยให้เข้าระบบนักศึกษา LL เป็นการเรียนร่วมเพื่อเก็บหน่วยกิตไปก่อน พอได้วุฒิ ม. 6 มาแล้ว ก็จะใช้เทียบโอนได้ ทำให้เรียนต่อปี 2 กับเพื่อนได้ ซึ่งอาจารย์ถามว่าสนใจด้านไหน ผมก็บอกว่าสนใจด้านการเมืองการปกครอง ก็เลยมาถึงปัจจุบันนี้ที่ผมได้ศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์”

เด็กทุกคนมีศักยภาพและความฝัน ขอเพียงโอกาสไม่ถูกปิดกั้น 

ณ วันที่ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา แสงสว่างแห่งชีวิตก็ดูเหมือนจะเริ่มริบหรี่ลง แต่ด้วยรูปแบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นทำให้ กัน-บัณฑิตา กลับสู่เส้นทางแห่งโอกาสอีกครั้งและกล้าที่จะฝันได้อย่างไร้ข้อจำกัด 

กันเล่าว่า การศึกษาที่ยืดหยุ่นเป็นการศึกษาที่ไม่มีพรมแดน เป็นการศึกษาที่ไม่ได้มานั่งถามว่าอายุเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียน มีแต่คำว่าเราจะไปถึงไหน ใจเราไหวแค่ไหนมากกว่า 

“อย่างตอนนี้ผมเรียนภาคพิเศษเสาร์-อาทิตย์ มีผู้ใหญ่หลากหลายวัยมาเรียน บางคนก็รุ่นพ่อแม่ผมเลย เวลาเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ เขาอาจจะตามไม่ทัน เรามีความรู้มากกว่าก็แบ่งปันกันได้ ผมรู้สึกว่ามันคือเสน่ห์ของการเรียนที่ยืดหยุ่น มันเกิดความผูกพันคนละรูปแบบกับในโรงเรียน เป็นการเรียนรู้ที่คนต่างรุ่นต่างวัยได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน”

“การศึกษาที่ยืดหยุ่นทำให้ผมมีโอกาสได้กลับเข้ามาเรียนอีกครั้ง ซึ่งทำให้เราต่อยอดความฝันเพิ่มเติมไปหลากหลายมาก อาจด้วยอายุ ทำให้เรายังมีเวลาได้คิดทบทวนตัวเอง และอนาคตหากเจอสิ่งที่สนใจ ก็เชื่อได้ว่ารอบตัวเรายังมีผู้ใหญ่ที่คอยสนับสนุน” 

แม้ในชีวิตจะมีจุดพลิกผันที่ทำให้กันต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน แต่วันนี้เขาสามารถลุกขึ้นมาสานฝันตัวเองอีกครั้งและยังเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กคนอื่น รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่อาจกำลังไม่เห็นอนาคตของตนเอง

“การที่ผมมาอยู่ตรงนี้เหมือนเป็นกระบอกเสียงแทนเด็กๆ สิ่งที่อยากฝากไปถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง คืออยากให้เปิดใจรับฟังเสียงจากเด็กรุ่นใหม่ที่เขามีความคิดใหม่ๆ 

ประโยคบางประโยคหรือคำบางคำที่เด็กพูดออกมาด้วยความไร้เดียงสา อาจจะจุดประกายความคิดของเราบางอย่างได้ เพราะบางทีเราอาจลืมคิดในบางเรื่องหรือบางมุมไป แต่เด็กๆ เขาเป็นคนจุดไฟให้เรา”

“ที่สำคัญผมอยากให้ตามหาเด็กที่อยู่ในพื้นที่สีแดง เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งเรื่องยาเสพติด หรือการใช้ความรุนแรง ผมเชื่อว่ายังมีเด็กขาดโอกาสอีกเยอะ อยากให้ขยายการตามหาและปูเส้นทางที่เหมาะให้กับเขา คำว่า ‘เหมาะ’ ในที่นี้คือ เหมาะด้วยสภาพสังคม เหมาะด้วยความรู้ที่เขาต้องการ หรือว่าเหมาะด้วยบริบทชีวิตเขา ผมไม่อยากให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นเด็กที่ถูกลืม แค่อยากให้ผู้ใหญ่ลองเป็นตะแกรง ไปช่วยโอบอุ้มเขาไว้ เพื่อไม่ให้เขาตกลงไปสู่ก้นเหว”

นอกจากเด็กกลุ่มเสี่ยงที่รอคอยการหยิบยื่นโอกาสแล้ว ก็ยังมีเด็กอีกมากที่ไม่กล้าแม้จะมีฝัน กันฝากส่งกำลังใจถึงเด็กๆ ทุกคนว่า ให้กล้าลุกขึ้นมาสร้างฝันและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ให้ได้

“เด็กบางคนไม่รู้ว่าความฝันคืออะไร เขาอาจจะไม่กล้าฝันเลย เพราะฐานะของครอบครัว หรืออะไรหลายๆ อย่าง แต่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาทุกคนจะมีความฝันของตัวเอง ชีวิตคนเราย่อมมีอุปสรรค ‘แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน’ ถ้าพวกหนูแพ้ก็แค่ปีนบันได ถ้าพวกหนูชนะก็จะได้เดินสะพาน และคนรอบตัวเราคือคนที่สร้างสะพานกับบันไดให้ เขาคือคนที่จะสร้างปูนให้เดินต่อไปได้  หรือถ้าคนอื่นเขาสร้างให้เราไม่ได้ เชื่อเถอะว่าเราสร้างจากมือตัวเองได้ 

สุดท้ายอยากบอกว่า ถ้าวันไหนที่ทำสำเร็จแล้ว อย่าลืมที่จะส่งต่อโอกาส เพื่อร่วมกันสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่มากขึ้น”

แม้วันนี้เส้นทางที่กัน-บัณฑิตาเลือกเดินอาจยังไม่ถึงฝั่งฝัน หรือความสำเร็จที่วาดหวังไว้ แต่ทุก ‘โอกาส’ ที่ได้รับคือพลังที่ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง 

“คำว่า โอกาส เด็กไทยอาจจะรู้สึกว่ามันน้อยเหลือเกิน สำหรับการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวัน แต่ถ้าเราจับต้องมันได้ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก และความจริงแล้วเราเองสามารถสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาป้อนหรือต้องไปขอจากเขา เราสามารถวิ่งเข้าหาโอกาสด้วยตัวเอง ด้วยความคิดของเราเอง 

ทั้งนี้อยากขอบคุณทุกคนที่จัดทำโครงการแบบนี้ขึ้นมาช่วยส่งเสริมโอกาส ไม่ใช่แค่ผม แต่สำหรับเด็กอีกหลายคน และท้ายที่สุดอยากขอบคุณตัวเองที่กล้าได้กล้าเสียอะไรหลายๆ อย่าง จนเติบโตมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าเป็นไปได้ในอนาคตก็อยากสานฝันครูติ๊กในการขยายโรงเรียน 4 ตารางวา ให้กว้างขึ้น เพื่อส่งต่อโอกาสให้ไปได้ไกลกว่านี้” 

เพราะ ‘โอกาส’ สำหรับบางคนอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม บางคนอยู่ไกลสุดปลายมือต้องขวนขวาย แต่ท้ายที่สุดแล้วการส่งต่อโอกาสดีๆ จะช่วยต่อบันไดสร้างสะพานให้เด็กๆ ได้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่เขาสามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเพื่อเติบโตอย่างมีคุณภาพได้

Tags:

การศึกษาวิชาชีวิตDropoutนักเรียนสังคมเยาวชนโรงเรียน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    วิเคราะห์มุมมืดระบบการศึกษาไทย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการเรียนรู้

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    คลี่ม่าน ‘มายาคติทางการศึกษา’ เปิดพื้นที่เรียนรู้บนความแตกต่างหลากหลายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างทาง: ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

‘รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง’ จิตวิทยาเบื้องหลังความห้าวหรือบ้าบิ่นของบางคน
Character building
9 January 2025

‘รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง’ จิตวิทยาเบื้องหลังความห้าวหรือบ้าบิ่นของบางคน

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เคยสงสัยไหมว่าทำไมจึงมีคนชอบทำอะไรเสี่ยงๆ? บางคนชอบกิจกรรมสุดอันตราย ไม่ว่าจะปีนเขา เล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม หรือลงทุนเสี่ยงสูง ซึ่งคำตอบอาจซ่อนอยู่ในปัจจัยทางชีวภาพ ที่หล่อหลอมให้หลายๆ คนกลายเป็นคนรักการผจญภัยและแสวงหาความเร้าใจ
  • คนกลุ่มที่มีบุคลิกภาพรักความตื่นเต้นนั้นมีอะดรีนาลีนและโดพามีนสูง ทำให้รู้สึกสนุกกับสถานการณ์เสี่ยง แต่ในปัจจุบัน ลักษณะนิสัยนี้อาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ด้วย
  • จริงอยู่ที่ความตื่นเต้นเป็นสีสันของชีวิต แต่การปล่อยให้ความชอบความเสี่ยงครอบงำ อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ในชีวิต การฝึกสติและการควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุล และหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านลบจากการแสวงหาความตื่นเต้นที่มากเกินไป

วันที่ 14 ตุลาคม 2012 มีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดดิ่งพสุธาลงมาจากบอลลูนที่ความสูงเกือบ 39 กิโลเมตร (ตัวเลขที่วัดได้จริงคือ 38,969.4 เมตร) ความสูงขนาดนี้คือสูงกว่าระดับที่เครื่องบินพาณิชย์ทั่วไปบินอยู่ราว 3 เท่าครึ่ง เพราะปกติเครื่องบินที่เราใช้บริการกันมักบินอยู่ที่ราวความสูง 30,000–35,000 ฟุต (9.1–10.7 กิโลเมตร)  

เรื่องนี้ใช้เวลาเตรียมการนานถึง 5 ปีและใช้เงินมากถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการที่มีชื่อว่า เรดบูลสตราโตสโปรเจ็กต์ (Red Bull Stratos Project) และทำให้นักดิ่งพสุธาชาวออสเตรีย เฟลิกซ์ โบมการ์ตเนอร์ (Felix Baumgartner) กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ “ดิ่งอวกาศ (space diving)” จนทำความเร็วทะลุระดับความเร็วเสียงได้เป็นคนแรกของโลก [1] 

ความเร็วสูงสุดที่เฟลิกซ์ทำได้คือ 1,357.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นความเร็วเกิน 2 เท่าของความเร็วของรถไฟหัวกระสุนที่ครองสถิติความเร็วสูงสุดในปัจจุบันคือ เซี่ยงไฮ้แม็กเลฟ (Shanghai Maglev) ที่ทำสถิตความเร็วสูงสุดได้ 501 กิโลเมตร/ชั่วโมง! [2] 

อย่างไรก็ตาม แม้สื่อมวลชนมักจะพาดหัวว่าเป็น space diving ก็ตาม แต่ความจริงแล้วก็อาจจะยังนับไม่นับเป็นการ ‘ดิ่งอวกาศ’ ที่แท้จริง เพราะขอบเขตอวกาศตามเส้นสมมุติที่ใช้นิยามขอบเขตการออกสู่อวกาศที่เรียกว่า เส้นคาร์แมน (Karman Line) อยู่ที่ความสูง 100 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล [3] แต่หากใครเคยเห็นรูป ก็จะเห็นว่าที่ระดับความสูงนี้มองเห็นเส้นโค้งขอบโลกแล้ว   

กระนั้นก็ตามยังต้องถือว่าเป็นการท้าความตายอย่างน่าหวาดเสียวกับการดิ่งพสุธาลงมาในชุดป้องกันเพียงชุดเดียวและร่มชูชีพที่ติดมากับชุดเพียงหนึ่งคัน  

อะไรทำให้คุณโบมาการ์ตเนอร์และทีมงานคิดทำอะไรที่บ้าบิ่นเสี่ยงตายขนาดนี้?  

ที่น่าประหลาดใจไม่แพ้กันก็คือ เรื่องนี้อาจมีความเกี่ยวพันกับเรื่องน่าหวาดเสียวอย่างกีฬาเอกซ์ตรีมทั้งหลาย การขับรถแข่ง ดิ่งพสุธา เล่นสตันต์ พายเรือล่องแก่ง กระโดดลงถ้ำลึก (cave-diving) ดำน้ำลึกแบบไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย โดดบันจี้จัมป์ นั่งรถไฟเหาะตีลังกา ปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ ปีนยอดตึกเพื่อถ่ายเซลฟีด้วย และอาจจะเกี่ยวกับแม้แต่กับเด็กแว้น เด็กติดยา หรือช่างกลตีกัน…ก็ได้ด้วยเช่นกัน! 

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ทำไมจึงมีคนชอบทำอะไรเสี่ยงๆ? ทำไมจึงมีคนที่ชอบอะไรที่ท้าทายระดับเอาชีวิตเข้าแลก? 

คำตอบอาจจะอยู่ในสายเลือด อยู่ในดีเอ็นเอ และอยู่ในสมองของเรานี่เองครับ

หากสังเกตคนรอบตัวก็จะพบว่า ในด้านหนึ่งก็อาจมีคนที่ชอบทำอะไรสุ่มเสี่ยงชนิดที่ดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยยั้งคิด กับอีกด้านหนึ่งก็มีคนที่ไม่กล้าทำอะไรหรือไม่ชอบทำอะไรหลายอย่าง แม้เสี่ยงแค่เพียงเล็กน้อย เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับทางปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่แต่ละคนเติบโตมาด้วยครับ 

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1960 มีนักจิตวิทยาชื่อ มาร์วิน ซักเคอร์แมน (Marvin Zuckerman) ที่พบว่าลักษณะนิสัยแบบเสาะหาความตื่นเต้นเร้าใจที่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกลักษณะนั้นมีรากฐานมาจากเรื่องพันธุกรรมด้วย แต่บางคนก็จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกมากกว่า

เขาพัฒนาตัวชี้วัดขึ้นเรียกว่า Sensation Seeking Scale (มาตราส่วนความต้องการความรับรู้สัมผัส) หรือเรียกย่อว่า SSS ซึ่งใช้บอกได้ว่า แต่ละคนต้องการหรือมองหาสิ่งกระตุ้นมากน้อยเพียงใดหรือเป็นพวกเป็นพวกหนีโลก ไม่หือไม่อือไม่สนใจอะไรนัก ไม่ค่อยรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจ [4] 

เมื่อให้แต่ละคนทำแบบทดสอบ SSS ก็ทำให้รู้ว่าสามารถแบ่งคนออกตามลักษณะนิสัยตามความชื่นชอบความตื่นเต้นน่าสะพรึงได้แบบคร่าวๆ เป็น 4 แบบคือ 

(1) พวกที่มองหาความตื่นเต้นและการผจญภัยตลอดเวลา 

(2) พวกที่อยากลองอะไรแค่เพื่อเป็นประสบการณ์

(3) พวกหุนหันพลันแล่นหรือขาดความยับยั้งชั่งใจ (disinhibition) (4) พวกเบื่ออะไรต่อมิอะไรรอบตัวได้ง่ายเสียเหลือเกิน    

พวกกลุ่มแรกนี่แหละครับที่เข้าข่ายเป็นพวกกล้าบ้าบิ่น ทำอะไรเสี่ยงๆ อย่างที่เราเกริ่นไว้ข้างต้น พวกนี้จะมองหาตัวกระตุ้นจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา ขณะที่พวกอยากลองในกลุ่ม 2 นี่ หนักไปทางลองอะไรแปลกๆ ที่ส่งผลต่อจิตใจภายในหรือประสาทสัมผัสแบบต่างๆ ชอบชิม ดม สัมผัส ฯลฯ  

ส่วนกลุ่ม 3 นี่ ก็อาจเป็นพวกห้ามใจไม่ค่อยอยู่ ชอบไปร่วมงานปาร์ตี้หน้ากากหรือพิธีกรรมห่ามๆ รวมไปถึงเป็นกลุ่มคนที่กล้ารับคำท้าชนแก้วไม่หยุดหย่อน อันนี้อันตรายมากนะครับ ปริมาณแอลกอฮอล์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทำให้เสียชีวิตได้ หลีกเลี่ยงได้ก็จะดี 

ขณะที่กลุ่มสุดท้ายเป็นพวกไม่ชอบทำอะไรซ้ำซาก ไม่ชอบเข้าใกล้คนทำตัวน่าเบื่อหน่าย หรือไม่ชอบเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่รู้ผลลัพธ์ค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้ว และทนไม่ได้เอาทีเดียวหากจะไม่ได้ลองทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ บ้างเลย คนส่วนใหญ่มักจะไม่สุดโต่งไปในแบบใดแบบหนึ่ง แต่จะมีลักษณะผสมๆ ทั้ง 4 แบบ แต่บางคนก็อาจจะแสดงลักษณะแบบใดแบบหนึ่งชัดเจนมากเป็นพิเศษ [4]  

งานวิจัยในยุคต่อๆ มาแสดงให้เห็นว่า ลักษณะนิสัยมองหาความตื่นเต้นเร้าใจแบบนี้จะเพิ่มสูงสุดเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หลังจากนั้นก็จะคงที่หรือลดลงจากปัจจัยทางสังคม เช่น การแต่งงานหรือมีลูก 

เรื่องที่น่าสนใจคือกลุ่มคนที่ทำอะไรสุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือ พวกผู้ชายหลังจากการหย่า!

พอไปดูเรื่องสรีรวิทยาก็พบว่า ลักษณะนิสัยที่แสดงออกเป็นไปตามปริมาณของฮอร์โมนหลายชนิดที่ร่างกายสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะดรีนาลีน โดพามีน เอ็นดอร์ฟิน คอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) รวมไปถึงเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) 

การศึกษาด้วยเครื่อง MRI ทำให้รู้ว่า คนที่ชอบทำอะไรสุ่มเสี่ยงมักจะมีสมองส่วนควบคุมอารมณ์ความรู้สึกคือ อะมิกดาลา (amygdala) ที่ตอบสนองต่ำในยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลก็ต่ำด้วยเทียบกับคนทั่วไป แต่กลับมีอะดรีนาลินและโดพามีนสูง ฮอร์โมนตัวหลังสุดนี่มักหลั่งออกมาเมื่อเรามีความเพลิดเพลินจำเริญใจ    

ผลลัพธ์ก็คือในขณะที่คนทั่วไปที่เผชิญกับสถานการณ์กดดันจะรู้สึกตึงเครียดและไม่ชอบ คนกลุ่มนี้กลับสบายดี เครียดน้อยกว่า อะดรีนาลินก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดมากขึ้น มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองทำให้ตื่นตัวมากกว่าปกติ 

แต่ที่สำคัญคือ โดพามีนที่เพิ่มขึ้นยังอาจทำให้รู้สึก ‘สนุก’ ไปกับสถานการณ์พวกนั้นด้วยซ้ำ [4]

วงจรฮอร์โมนแบบนี้อาจทำให้คนพวกกล้าบ้าบิ่นเหล่านี้ ‘เสพติด’ สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ได้ จึงไม่น่าแปลใจที่พวกเขาจะวนเวียนกลับมาหาเรื่องพวกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

อุปนิสัยสุ่มเสี่ยงแบบนี้มีประโยชน์อะไร ทำไมวิวัฒนาการจึงเก็บพฤติกรรมพวกนี้เอาไว้ในดีเอ็นเอของคนกลุ่มนี้ ทั้งที่น่าจะส่งผลร้ายทำให้คนเหล่านี้ตายไปเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น?

ซักเคอร์แมนอธิบายว่าลักษณะนิสัยแบบนี้ฝังอยู่ในยีนและระบบประสาทของมนุษย์ทุกคน บรรพบุรุษสมัยโบราณของเราต้องอาศัยมันเพื่อให้อยู่รอดได้ในยุคที่ยังหาของป่าล่าสัตว์อยู่ การล่าสัตว์ต้องอาศัยความกล้าเสี่ยง โดยเฉพาะในกรณีของการล่าสัตวเลี้ยงลูกด้วยนมที่ร่างกายใหญ่โต เช่น ช้างหรือแรด  

ความแตกต่างสำคัญก็คือ ในยุคนั้นความกล้าบ้าบิ่นใช้ไปกับการเอาตัวรอดและการบุกป่าฝ่าฟันไปยังพื้นที่ใหม่ๆ แต่ในโลกปัจจุบันกลับลดรูปเหลือแค่เพียงเพื่อความพึงพอใจส่วนบุคคลเท่านั้น แม้ว่าการปลดปล่อยแบบนี้จะทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกคลายเครียด สบายใจ และสุขสมก็ตาม หากดูแลควบคุมให้ดีเรื่องทำนองนี้ก็ไม่ได้เป็นอันตรายกับคนยุคนี้มากนัก แต่หากเกินเลยไปก็อาจนำไปสู่ความรุนแรงเกินควบคุมได้ 

ผลลัพธ์ที่เห็นในวัยรุ่นนั้นอยู่ในรูปของการชกต่อย ยกพวกตีกัน พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่างๆ การติดสารเสพติด การติดการพนัน และการแข่งรถไปตามท้องถนนยามค่ำคืนราวกับเสียสติ และบางคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่ง ต้องรอจนถึงใกล้เดดไลน์จึงจะลงมือทำอะไรสักอย่างได้นั้น อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมแบบนี้ได้ด้วยเช่นกัน [4]  

โดยเป็นการสร้างสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเครียดเพื่อกดดันตัวเอง โดยรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตัวเองเรียนหรือทำงานได้ดีที่สุดภายใต้ความกดดันเช่นนั้น 

ดังนั้นจึงควรลดละเลิกพฤติกรรมแบบนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื้อรังที่จะตามมา อย่างการมีความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาหลอดเลือดสมอง การฝึกการผ่อนคลายด้วยการควบคุมลมหายใจ การทำสมาธิ สร้างสติ ตลอดไปจนถึงการฝึกโยคะหรือไท้เก๊ก ก็ช่วยได้เช่นกัน

ความตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ คงไม่สร้างปัญหาอะไร แต่หากเคยชินจนเป็นพฤติกรรมติดตัวและทำอย่างหนักหนาสาหัสอยู่ซ้ำๆ คงก่อให้เกิดปัญหาได้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงครับ 

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.guinnessworldrecords.com/records/hall-of-fame/felix-baumgartner-first-person-to-break-sound-barrier-in-freefall เข้าถึงข้อมูลวันที่ 18 ธ.ค. 2024

[2] https://www.railway-technology.com/features/the-10-fastest-high-speed-trains-in-the-world/?cf-view เข้าถึงข้อมูลวันที่ 18 ธ.ค. 2024

[3] https://en.wikipedia.org/wiki/Space_diving เข้าถึงข้อมูลวันที่ 18 ธ.ค. 2024

[4] Emma Green. Going in For the Thrill. Psychology Now 2023; 7: 44–47 

Tags:

จิตวิทยาความเสี่ยงพฤติกรรมพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายกีฬาเอ็กซ์ตรีม

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    ปัดจอจนเหนื่อยใจ แล้วไหนล่ะคู่ฉัน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Social Issues
    FRIENDSHIP BENCH ม้านั่งให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในซิมบับเว

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

‘เล่นสร้างโลก’ ปั้นเด็กปฐมวัยให้มีสมรรถนะผ่านพื้นที่เรียนรู้และการเล่นอิสระ
Social Issues
7 January 2025

‘เล่นสร้างโลก’ ปั้นเด็กปฐมวัยให้มีสมรรถนะผ่านพื้นที่เรียนรู้และการเล่นอิสระ

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • การดูแลเด็กเล็กหรือเด็กปฐมวัย ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ครอบครัวหรือผู้ดูแลหลักในบ้านเท่านั้น ชุมชน-สังคมต้องมีส่วนร่วมในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่พ่อแม่หรือคนในครอบครัวไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ‘ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก’ ซึ่งกระจายตัวอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ ถือว่ามีบทบาทสำคัญ
  • ในเวทีเสวนา ‘ระบบนิเวศการเรียนรู้ สร้างสุขภาวะองค์รวม 3H กรณี: ศูนย์เด็กเล่นสร้างโลก’ โดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ ‘ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก’ ที่มากกว่าการเตรียมเด็กให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก่อนวัยอนุบาล แต่เป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ผ่าน ‘การเล่นอิสระ’ (Free Play)  
  • การได้เล่นอย่างอิสระ (Free play/Unstructured play) นี้ ส่งผลให้เด็กมีความสามารถในการกำกับควบคุมตัวเอง (Self-rugulation) 

งานหลักของเด็กคือ ‘งานเล่น’ การพัฒนาเด็กจึงต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตจาก ‘เรียนปนเล่น’ เป็น ‘เล่นปนเรียน’ และการเล่นนั้นควรจะเน้น ‘การเล่นอิสระ’ (Free Play) ที่ไม่เพียงช่วยกระตุ้นให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำงานร่วมกัน ยังส่งผลให้เกิดสมรรถนะการจัดการตนเอง (Self-management) ซึ่งเป็นรากที่มั่นคงในการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง

นี่คือใจความสำคัญส่วนหนึ่งจากเวทีเสวนา ‘ระบบนิเวศการเรียนรู้ สร้างสุขภาวะองค์รวม 3H กรณี: ศูนย์เด็กเล่นสร้างโลก’ โดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่จะฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ ‘ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก’ ที่มากกว่าการเตรียมเด็กให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก่อนเข้าสู่การเรียนในระดับอนุบาล 

แหล่งเรียนรู้ใกล้บ้าน ส่งเสริมเด็กเล่นไปให้ถึงสมรรถนะการจัดการตนเอง (Self-management) 

จากข้อมูลของศูนย์นโยบายเด็กและครอบครัว (kid for kids) ชี้ให้เห็นว่า เด็กประมาณ 60-70% อยู่ในครอบครัวที่มีความเปราะบาง ฐานะยากจน เด็กประมาณเกือบ 30% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ โดยได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่น ที่น่าเป็นห่วงคือเด็กเหล่านี้จำนวนไม่น้อยเข้าไม่ถึงแหล่งเรียนรู้ ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่ล่าช้าทั้งการใช้ภาษาและการเข้าใจภาษา

ดร.ประพาฬรัตน์ คชเสนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4 ) ภายใต้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงบทบาทของ สสส. ในการสนับสนุนและขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการตนเอง (Self-management) ว่าเด็กและเยาวชนคือช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต หากสามารถทำช่วงวัยนี้ให้ดี เด็กจะมีสุขภาพดีไปตลอดชีวิตได้ (Best start for lifelong health) 

“สสส.ใช้แนวคิดสำคัญในการพัฒนาเด็กเรียกว่า ‘ระบบนิเวศการเติบโตตลอดช่วงวัยของเด็ก’ มองเด็กตั้งแต่ปฏิสนธิ และใช้กรอบแนวคิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่พูดถึง Nurturing Care Framework หลักการดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ ที่ไม่ได้มองเพียงเรื่องสุขภาพแต่มีมิติอื่นๆ ร่วมด้วย รวมถึงการดูแลเด็กไม่ใช่แค่ครอบครัวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน รพ.สต. เป็นต้น”

นอกจากนี้ ดร.ประพาฬรัตน์ ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายภายนอกที่เข้ามา กระทบการเลี้ยงดูให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ

“ความท้าทายส่วนหนึ่งของประเทศไทยก็คือ ช่วงวัยเด็กมีหน่วยงานที่ให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ หลายหน่วยงานมีบทบาทมาก ทำยังไงจึงจะเกิดการบูรณาการการทำงานในเรื่องนี้ด้วยกันเพื่อเพิ่มพลังให้มากขึ้น ก็โยงมาที่ว่าแล้ว สสส. ดำเนินงานอย่างไร ที่จะช่วยเสริมหนุนในเรื่องนี้ 

อันแรกก็คือว่าเราไม่ได้มองว่า เด็กเกิดแล้วก็เติบโตด้วยตนเอง เด็กไม่ใช่กลุ่มประชากรที่เกิดแล้วก็โตเองได้ เขาจะต้องอยู่ในความดูแลของครอบครัว ของผู้ใหญ่ ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 

เพราะฉะนั้นแนวคิดที่เราใช้คือแนวคิดที่ว่า ‘เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ใช้คนทั้งหมู่บ้าน’ มองว่าเด็กเป็นลูกหลานของชุมชน การดูแลเด็กไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นความร่วมมือของทุกส่วนในชุมชน อันนี้ก็จะนำไปสู่ความร่วมมือแล้วก็ความยั่งยืนต่อในอนาคตด้วย 

อันที่สองเราส่งเสริมเรื่องของ ‘การเล่นอิสระ’ (Free Play) ให้กับเด็ก ทำให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านพื้นที่เล่น พื้นที่เรียนรู้ และทำยังไงที่จะให้แหล่งเรียนรู้เหล่านี้อยู่ใกล้บ้านเด็ก เด็กเข้าถึงได้ภายใน 15 นาที”

การได้เล่นอย่างอิสระ (Free play/Unstructured play) นี้ ส่งผลให้เด็กมีความสามารถในการกำกับควบคุมตัวเอง (Self-rugulation) โดยข้อมูลจากงานวิจัยระยะยาว (Longitudinal Study) จากออสเตรเลียพบว่าเด็กวัย 2-3 ปี และ 4-5 ปีที่พ่อแม่ให้เล่นอิสระ (Free play/Unstructured play) 1-5 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านกำกับควบคุมตัวเอง (Self-Regulation) ในอีกสองปีให้หลัง

“อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของการทำ play worker ก็คือการเป็นผู้ที่จะช่วยเสริมหนุนการเล่นให้กับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คุณครู คนในชุมชน หรือปู่ย่าตายาย ก็สามารถทำได้ และอีกส่วนหนึ่งที่เราทำงานกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก็คือการทำโปรแกรมที่เรียกว่า 366 Q-KIDS โปรแกรมเสริมศักยภาพครูและบุคลากรเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย จะมีทั้งรูปแบบของการใช้ 3 ตัวช่วย (เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ ทีมวิชาการพี่เลี้ยง และชุดความรู้พร้อมใช้ ผ่านการดำเนินกิจกรรม 6 รูปแบบ ในระยะเวลา 6 เดือน โดยใช้รูปแบบผสมผสานทั้งการเรียนรู้แบบออนไซต์และออนไลน์) ส่วนนี้เองก็จะเป็นการกระจายโอกาสในการเรียนรู้ให้กับคุณครูและบุคลากรของศูนย์เด็กเล็กด้วย แล้วก็จะมีการทำเป็นศูนย์ต้นแบบให้ฝังตัวอยู่ในพื้นที่เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอื่นๆ”

จากการทำงานการขับเคลื่อนที่ผ่านมา ดร.ประพาฬรัตน์ แชร์ข้อค้นพบที่สำคัญเพื่อประโยชน์ในการทำงานต่อไปในอนาคต อันดับแรกก็คือ ครูมีบทบาทสำคัญมากต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็ก และอันที่สองคือความท้าทายในการออกแบบกิจกรรม 

“ถ้ายิ่งกิจกรรมมีความท้าทายก็จะช่วยพัฒนา EF ได้มาก ต่อมาเป็นการออกแบบขั้นตอนการเรียนรู้ ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ สามารถสร้างให้เด็กปฐมวัยเข้าใจ สื่อสาร และส่งต่อ Message สู่ครอบครัว ในการดูแลเอาใจใส่เด็ก เป็นการเชื่อมกิจกรรมไปยังที่บ้าน ต่อมาการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจให้เด็กๆ ได้เรียนรู้แบบ active learning ก็จะช่วยได้ และอีกส่วนทำยังไงให้เด็กเห็นผลเชิงประจักษ์ เขาก็จะเกิดการเรียนรู้และพยายามที่จะพัฒนาตัวเองไปถึงเป้าหมายที่เขาอยากจะให้ไป”

Heart-Hands-Head แกนหลักของการพัฒนาเด็กปฐมวัยแบบองค์รวม

เพราะการดูแลเด็กเล็กหรือเด็กปฐมวัย ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ครอบครัวหรือผู้ดูแลหลักในบ้านเท่านั้น ชุมชน-สังคมต้องมีส่วนร่วมในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่พ่อแม่หรือคนในครอบครัวไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กซึ่งกระจายตัวอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ ถือว่ามีบทบาทสำคัญ

โดยเด็กตั้งแต่แรกเกิด ถึง 5 ปี เป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาด้านต่างๆ และเป็นฐานสำคัญในสร้างการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้ในระดับเด็กปฐมวัยอย่างมีคุณภาพ

อาจารย์สืบศักดิ์ น้อยดัด สำนักการศึกษาแบบองค์รวม สถาบันอาศรมศิลป์ ได้กล่าวถึงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในงานเสวนานี้ว่า 

“สพฐ. กระทรวงศึกษาฯ เองก็เริ่มที่จะประกาศเป็นนโยบายบอกว่าเรื่องปฐมวัยให้จัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นพัฒนาการสมวัย ผมเองได้มีโอกาสในการเข้ามาช่วยขับเคลื่อนในเรื่องของการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กที่เราพยายามสร้างคอนเซปต์ให้เห็นถึงระบบนิเวศการเรียนรู้แบบใหม่ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ยึดแนวคิดนวัตกรรมที่เป็น Holistic Learning หรือว่า Holistic Education ที่เป็น 3H (Heart-Hands-Head) จิตใจ พฤติกรรม สติปัญญา 

ผมมองว่าระบบนิเวศการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ ที่เห็นว่าคุณครูพี่เลี้ยงเด็กต้องมีสมรรถนะก่อนที่จะไปจัดการเรียนรู้ให้กับเด็กของเขาเอง 

แล้วเราก็พยายามจะคุยกับทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กว่า เราจะเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ต้องรับผิดชอบชีวิตเด็ก เราจะไม่ใช่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่แค่เลี้ยงเด็กไปเหมือนวิถีเดิมๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเป็นที่พึ่งให้กับในพื้นที่ตรงนั้น ก็เลยพยายามจะทำเรื่องกระบวนทัศน์ใหม่ให้ครูผู้ดูแลเด็ก”

คอนเซปต์การสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กนั้น อาจารย์สืบศักดิ์เน้นว่า งานหลักของเด็กคือ ‘งานเล่น’ ไม่ใช่เรียนหนังสือ แต่การเล่นที่ว่านั้นต้องควบคู่กับฐานวิชาการที่ควรจะได้ติดตัวไปด้วย เพื่อที่จะสามารถประยุกต์ใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ เป็นผู้ ‘ฉลาดรู้’ ผ่านการกระทำทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนามนุษย์ โดยใช้กิจวัตรประจำวัน 5 งาน ได้แก่ งานบ้าน งานครัว งานสวน งานเล่น และงานคิด อ่าน เขียน มาออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ 

“เรื่องเล่นจึงเป็นเรื่องที่จริงจังสำหรับเด็ก และเราก็ต้องแปรรูปการเล่นทั้งหลาย เราเป็นสังคมที่กำลังคาดหวังว่าทุกคนต้องได้ EF ก็เลยเป็นช่องทางหนึ่งที่เราคิดว่าการเล่นทั้งหลายมันจะส่งเสริมต่อให้เด็กมี EF ที่ดีได้ ซึ่ง EF ที่ดีพื้นฐานแรกก็คือเด็กต้องเล่น หรือว่าต้องปฏิบัติเพื่อเจอสถานการณ์ที่เป็นโจทย์จริง อันนั้นคือ EF ทำงานทันที ส่งต่อไปถึงการปรับเปลี่ยนมายด์เซ็ตตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน หน่วยงาน องค์กร เปลี่ยนจากการ ‘เรียนปนเล่น’ ให้เป็นให้เป็น ‘เล่นปนเรียน’ แล้วก็ปรับมุมมองใหม่ๆ ที่จะทำให้เกิดการเล่นในทุกพื้นที่ 

เราจึงหวังว่าพื้นที่เล่นต้องดีทั้งข้างในและข้างนอก เป็น Learning space แล้วก็จัดกระทำด้วย 5 งาน คือ งานบ้าน งานครัว งานสวน งานเล่น และงานคิด อ่าน เขียน ส่วน 5 งานนี้เราได้ถอดวิธีการ หลักการ แนวคิดเลี้ยงลูกของสมเด็จย่ามาใช้ อันนี้เป็นหลักทฤษฎีที่เราสามารถนำมาอ้างอิงแล้วเชื่อถือได้ โดยผ่านงานเล่น แล้วผลสุดท้าย EF ก็เกิด ไปบรรลุผลเป็นสมรรถนะเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีที่เป็นของสากล Well Being”   

ข้อควรระวังในการพัฒนาเด็กปฐมวัย

“เด็กแต่ละคนมี culture ที่แตกต่าง เด็กเล็กเป็นวัยแห่งการเล่นอิสระ เพราะฉะนั้นเด็กต้องมีการออกแบบการเรียนรู้ของตัวเอง” หมอโอ๋ – ผศ.พญ. จิราภรณ์ อุรณากูร คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และเจ้าของเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน แลกเปลี่ยนมุมมองในฐานะนักวิชาการด้านปฐมวัย 

“คำแนะนำเล็กๆ ที่อยากจะเติมเต็ม คืออยากแนะนำว่าเวลาเรากำหนดเรื่อง Outcome (ผลลัพธ์) อยากให้มีความระวัง หลีกเลี่ยงการกำหนด Outcome ออกมาเป็นคุณลักษณะที่เป็นผลลัพธ์ เช่น ฉลาด มนุษย์ที่สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้อาจจะต้องตระหนัก 

มนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่มีจริงนะคะ มันทำให้ดูเป็นความคาดหวังที่สูงไปว่าเราจะทำให้เด็กคนหนึ่งเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่เอาจริงๆ เราทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบ เราทุกคนต่างมีจุดพร่อง การที่เขาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ดูแลตัวเองได้อาจจะเป็นเป้าหมายสำคัญ

บางทีพอไปกำหนดว่าเด็กต้องฉลาด ‘เก่ง ดี มีความสุข’ คำเหล่านี้อาจจะต้องตีความดีๆ ว่าเอ๊ะ! มันมีความจำเป็นจริงๆ ไหม เด็กฉลาดอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับเด็กรักการเรียนรู้ เด็กรักการเรียนรู้ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องฉลาด คำว่าฉลาดมันแปลได้หลายความหมายมาก คำว่าฉลาดคือเรียนเก่งเหรอ หรือฉลาดคืออะไร ปัจจุบันเราเชื่อเรื่องทฤษฎี character-based ก็คือการให้คุณค่ากับการมีคุณลักษณะสำคัญ คุณลักษณะอาจจะเป็นเรื่องทักษะ ไม่ใช่เรื่องของ Outcome เช่น รักการเรียนรู้ เป็นทักษะนะคะ”

นอกจากนี้ หมอโอ๋ยังแสดงความกังวลถึงเครือข่ายชุมชนของผู้ปกครอง (Line Group) ที่คอยสื่อสารกันว่าตอนนี้เด็กๆ มีพัฒนาการไปขึ้นขั้นไหนบ้าง  

“จริงๆ ก็แอบกังวลกับเรื่องกรุ๊ปไลน์ เพราะว่ากรุ๊ปไลน์มันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยเฉพาะกับกรุ๊ปไลน์ที่ต้องส่งภาพเด็กไปอวดกันว่าเขาทำอะไรได้ ซึ่งส่วนนึงมันดีนะคะ ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าดีจังเลยมีชุมชนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อีกแง่นึงเนี่ยคือพ่อแม่ยุคใหม่อยู่กับการ competitive (การแข่งขัน) มากอยู่แล้ว ผ่านโลกโซเชียลว่าลูกคนนั้นทำอันนั้นได้ ลูกเรายังทำไม่ได้ อยากฝากไว้ว่าทำยังไงให้พื้นที่กรุ๊ปไลน์มันดีต่อพ่อแม่ เพราะว่าหลายทีการที่เราส่งภาพเด็ก วีดีโอเด็กลงไปในกรุ๊ปไลน์ พอลูกเรายังทำไม่ได้หรือลูกเราก็ทำได้แต่ลูกคนอื่นทำได้เก่งกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นผลดีกับพ่อแม่เท่าไหร่ ทำยังไงที่เราจะสร้างนิเวศการเรียนรู้แบบที่เราไม่ต้องแข่งกัน ไม่ต้องรู้สึกเปรียบเทียบกันกับตัวเด็กๆ แล้วเวลาที่ส่งอะไรแบบนี้ลงกรุ๊ปไลน์มันอดไม่ได้จริงๆ ค่ะ ที่มันจะมีการเปรียบเทียบ และทำให้รู้สึกว่าลูกเรายังดีไม่พอ ทั้งที่จริงๆ ลูกเราอาจจะดีมากแล้ว”

“นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องการสร้างมายด์เซ็ต การชมเด็กเก่ง เช่น ‘ปอกไข่ไม่มีรอยแตกเลยลูก’ อาจจะให้ระวังนิดนึง หมออยากให้เขาเรียนรู้คำว่า ‘เก่ง’ ผ่านคาแรกเตอร์ หนูมีความพยายามมากเลย หนูมีความตั้งใจมากเลย หนูมีสมาธิในการปอกไข่มากเลย สิ่งเหล่านี้อาจจะมีความหมายกับเด็กมากกว่าคำว่าเก่งหรือหนูปอกไข่ไม่มีรอยแตกเลย จริงๆ อันนั้นก็เป็นเรื่องของ Outcome ซึ่งทำให้หลายครั้งเด็กอาจตั้งคำถามว่า ฉันเก่งพอหรือยัง ทำไมไข่ของฉันมีรอย แปลว่าฉันไม่เก่งหรือเปล่า”   

ข้อควรระวังอีกเรื่องคือ ตารางการเรียนรู้ของเด็กที่ดูเป็นแพทเทิร์นกำหนดเวลาและกิจกรรมไว้ ในอีกแง่มุมหนึ่ง หมอโอ๋มองว่า อาจจะไม่ได้ดีสำหรับเด็กนัก 

“เด็กแต่ละคนมี culture ที่แตกต่าง เด็กเล็กเป็นวัยแห่งการเล่นอิสระ เพราะฉะนั้นเด็กต้องมีการออกแบบการเรียนรู้ของตัวเอง เขาอาจจะไม่ต้องกินนมพร้อมกัน เพราะเราอาจจะมีความหิว อิ่ม ไม่เหมือนกัน แต่ว่าเขาอาจจะถูก Assign (กำหนด/มอบหมาย) คร่าวๆ ว่าวันนี้เขาควรจะต้องกินนม เขาออกแบบการเรียนรู้ของตัวเองได้ว่า เขาจะกินนมตอนไหน จะหิวเมื่อไหร่ การเล่น Free play จึงไม่ค่อยเห็นในกิจกรรมของเด็กที่ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กออกแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นการทำกิจวัตรตามเวลามากกว่า ซึ่งเอาจริงๆ เป็นการลิมิตศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กพอสมควร 

ทำยังไง Free Play เป็นการเรียนรู้หลัก ไม่ใช่การทำกิจวัตรประจำวันตามเวลาเท่านั้น เพราะจริงๆ เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่นมากๆ นะคะ”

นอกจากนี้ในเรื่องการดูแลสุภาพใจเด็กก็สำคัญไม่แพ้กัน หมอโอ๋เสนอว่า ควรเน้นให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ‘โกรธ เศร้า เหงา กลัว’ มากกว่าการเน้นให้นั่งหลับตาทำสมาธิ 

“เรื่องของการนั่งสมาธิ สวดมนต์ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะดีในแง่มุมของผู้ใหญ่ ก็คือเด็กได้นั่งสมาธิ หลับตา แต่ว่าสำหรับเด็กเล็กเขาไม่ได้เรียนรู้การดูแลสุขภาพใจของตัวเองผ่านกิจกรรมที่เขายังไม่เข้าใจความหมายแบบที่ผู้ใหญ่เข้าใจ อย่างการนั่งสมาธิ เพราะฉะนั้นการเอาเด็กไปนั่งหลับตา หายใจเข้าออก เอาจริงๆ หลายทีไปส่งผลต่อจิตใต้สำนึกว่าการนั่งสมาธิน่าเบื่อ เพราะเขายังไม่เข้าใจ 

เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพใจของเด็กเล็ก เป็นการเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง เช่นเราอาจจะชวนเขาดูว่าวันนี้เขารู้สึกยังไงบ้างผ่านรูปภาพใบหน้าทำให้เขาเข้าใจว่า อ๋อ…อารมณ์โกรธเป็นธรรมชาติของมนุษย์ อารมณ์ดีใจ  อารมณ์กลัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทำยังไงที่เราจะรู้จักอารมณ์เหล่านี้แล้วเรียกชื่อมันถูก ภาวะอะไรได้บ้างที่เราจะเกิดอารมณ์เหล่านี้ เราจัดการตัวเองยังไง อะไรแบบนี้อาจจะมีความหมายกับเด็กๆ มากกว่าการนั่งหลับตาแบบที่เด็กไม่เข้าใจ ซึ่งเราอาจจะทำความเข้าใจกับเขาได้ 

แต่หมออยากให้เราทำด้วยความเข้าใจว่าเด็กเข้าใจจริงๆ และทำด้วยความเข้าใจว่าเด็กมีข้อจำกัด Attention Span หรือช่วงเวลาในการโฟกัสของเด็กเล็กน้อยมาก คิดง่ายๆ คือ อายุคูณสองถึงสามนาที แปลว่าเด็กเล็ก 2-3 ขวบ เขาจะอยู่ได้ประมาณ 5-6 นาที ไม่เกิน 10 นาที เพราะฉะนั้นกิจกรรมเหล่านี้ต้องไม่นานแบบที่ผู้ใหญ่ทำ”

Tags:

การจัดการตัวเอง (Self-Management)การควบคุมตัวเอง (Self-control)ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเล่นสร้างโลกระบบนิเวศการเรียนรู้3H (Heart-Hands-Head)Holistic Learningการเล่นอิสระ(free play)

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Weerathep pomphan-cover
    Life classroom
    ‘เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ เรียนรู้จากชัยชนะ’ นักฟุตบอลทีมชาติที่มีครอบครัวเป็นกองหลัง: วีระเทพ ป้อมพันธุ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    Self-Management : สมรรถนะการจัดการตนเอง ปูทางเด็กสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    Para Plearn : นวัตกรรม ‘ของเล่น’ ที่ช่วยให้การเล่นของเด็กๆ ปลอดภัย กระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการ

    เรื่อง ณัฐมน ทีฆาวงศ์วัชราภรณ์ สนทนา

  • Space
    Loose Parts เล่นอย่างไรในยุคโควิด ไม่ให้วิกฤติหยุดจินตนาการเด็ก

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhoodBook
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel