Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: May 2024

Skip and loafer: วิธีมองโลกแบบ ‘มิทสึมิจัง’ ใจดีกับตัวเองและคนอื่น
Movie
31 May 2024

Skip and loafer: วิธีมองโลกแบบ ‘มิทสึมิจัง’ ใจดีกับตัวเองและคนอื่น

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Skip and loafer เป็นแอนิเมชันอบอุ่นหัวใจ เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นของ ‘มิทสึมิจัง’ เด็กสาวผู้มองโลกในแง่ดี ที่เดินทางจากบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดมาเรียนมัธยมปลายที่โตเกียว โดยมีความฝันว่าจะรับราชการเพื่อกลับไปพัฒนาจังหวัดที่ตัวเองเติบโตมา 
  • แอนิเมชันเรื่องนี้ เล่าเรื่องราวที่ทำให้ได้ย้อนกลับไปคิดถึงความทรงจำน่ารักๆ ในช่วงวัยรุ่น ทั้งเรื่องครอบครัว ความฝัน ตัวตน และความเจ็บปวดจากการเติบโตได้อย่างนุ่มนวล
  • การมีแผนในชีวิตเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่การยืดหยุ่นกับเรื่องราวใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เหมือนกับชีวิตของ ‘มิทสึมิจัง’ ที่แม้จะไม่ได้เป็นไปตามแผนการที่เคยวางไว้ แต่เธอก็มีความสุขกับเส้นทางและเรื่องราวปัจจุบันตรงหน้าได้เสมอ

Skip and loafer คือแอนิเมชันเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่น เรื่องราวการเติบโตของ ‘มิทสึมิจัง’ และเพื่อนๆ ของเธอ

มิทสึมิจัง คือ เด็กสาวที่เดินทางจากบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดมาเรียนม.ปลายที่โตเกียว โดยมีความฝันว่าจะรับราชการเพื่อกลับไปพัฒนาจังหวัดที่ตัวเองเติบโตมา แต่ระหว่างทางนั้นเธอเผลอปล่อยใจปล่อยอารมณ์ไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ตามประสาวัยรุ่น 

มิทสึมิจังได้เจอเพื่อนๆ ที่พาเธอไปสนุกกับชีวิต ได้มีความรู้สึกใหม่ที่ไม่แน่ใจในคำนิยามของมัน ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ทำให้เธอเติบโตขึ้นทีละนิด แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามแผนการการมุ่งสู่ความฝันที่เธอเคยวาดไว้เลย แต่เธอก็มีความสุขกับเส้นทางและเรื่องราวปัจจุบันตรงหน้าได้เสมอ เหมือนทำให้รู้ว่าการมีแผนในชีวิตเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่การยืดหยุ่นกับเรื่องราวใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น 

สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกอเมซิ่งกับความคิดของมิทสึมิจัง คือตอนเรียนมัธยมเราไม่เคยมีความฝันจริงจังเลยว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ไม่เคยเห็นภาพว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหนทำอะไรมาก่อน ต่างกับมิทสึมิจังที่มีภาพชัดเจนกับอนาคตของเธอ ตั้งแต่การตั้งใจเรียนมากๆ เพื่อสอบเข้ามหาลัย เรียนจบแล้วจะทำงานที่ไหน ไปจนถึงตอนเกษียณแล้วจะจากโลกนี้ไปอย่างไร เธอได้วางแผนทั้งหมดไว้แล้วเป็นฉากๆ

เรานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่ามิทสึมิจังเติบโตมาด้วยการเรียนรู้แบบไหน ส่วนตัวเท่าที่จำได้เราคิดว่าตัวเองรู้จักและเข้าใจตัวเองน้อยมาก เราโตในยุคที่มีค่านิยมจากพ่อแม่และสังคมว่าโตขึ้นลูกควรเป็นหมอ วิศวะ หรืออย่างน้อยก็นักบัญชี ถูกคาดหวังให้เรียนต่อสายวิทย์-คณิต เพราะมีทางเลือกในอาชีพมากกว่า ทั้งที่ทุกครั้งที่เข้าสอบวิชาเลข เราเลือกที่จะวาดรูปเล่นในกระดาษทด

เราเคยถูกถามว่าชอบวิชาอะไรแต่เมื่อเราตอบว่าศิลปะ เราก็ไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรที่มากขึ้นจากโรงเรียน

ทุกๆ วันเราไปเรียนเพื่อเรียนวิชาที่เราก็ไม่ได้สนใจอยากรู้ซักเท่าไหร่ เรียนเพราะเขาบอกว่าเป็นเด็กต้องตั้งใจเรียน ไม่ได้เรียนเพราะรู้สึกว่าฉันชอบการเรียนรู้จังเลย เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเรียนไปมันเอาใช้ในชีวิตต่อแบบไหน เป็นเพียงเด็กคนนึงที่ไหลไปตามสังคมโดยไม่รู้ว่าความสนใจของตัวเองนั้นมีคุณค่ายังไง เพราะไม่มีใครเคยบอก 

แม้แต่ในคาบศิลปะ(ซึ่งมีหน่วยกิตเพียงน้อยนิดต่อเทอม) ครูส่วนใหญ่ก็มีแต่จะตามหาคนที่วาดรูปเหมือนที่สุด ระบายสีอยู่ในกรอบที่สุด แน่นอนว่าเราไม่ได้กล้ามากพอจะเป็นคนที่แตกต่าง ซึ่งนั่นทำให้เรายังคงพยายามทำความรู้จักตัวเองไม่จบไม่สิ้น แม้จะเรียนจบมาแล้วเกือบสิบปี

อีกอย่างที่เราประทับใจคือมิทสึมิจังเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เธอมักจะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเสมอ บางคนอาจจะคิดว่าเธอคือคนที่มองโลกในแง่ดีเกินไป แต่สำหรับเราแล้วมิทสึมิจังไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น เธอแค่มีวิธีมองโลกในมุมที่ใจดีกับตัวเองและคนอื่น

ยกตัวอย่างตอนที่เธอและเพื่อนกำลังฝึกวอลเลย์บอลกันอยู่ ก็มีกลุ่มพี่ ม.5 มาชนเพื่อนของเธออย่างแรงจนแทบล้ม มิทสึมิจังเป็นคนที่กล้าตะโกนออกไปว่าพวกรุ่นพี่ไม่ควรทำแบบนี้ จนมีรุ่นพี่อีกคนมาช่วยทั้งสองไว้

‘มิกะจัง’ เพื่อนของมิทสึมิจังที่ฝึกวอลเลย์บอลด้วยกัน เธอรู้สึกโกรธและแค้นรุ่นพี่ที่มาชนเธอ เธอคิดในใจว่าจะจดจำชื่อของรุ่นพี่กลุ่มนี้ไว้ในสมุดเดธโน้ตส่วนตัว (Death note คือ สมุดบันทึกที่เอาไว้จดชื่อคนที่เราโกรธเกลียดถึงขั้นอยากให้เขาตาย) กลับกันทางด้านมิทสึมิจัง เธอกลับเลือกที่จะจำชื่อของรุ่นพี่ที่มาช่วยพวกเธอไว้

ซึ่งเรารู้สึกว้าวกับมุมมองนี้ของมิทสึมิ เพราะเราคงเป็นสาวน้อยแบบมิกะจังมากกว่ามิทสึมิจัง

การจดจำสิ่งที่ดี มุมที่ดีกับชีวิตมันคงทำให้ใจของเราเบาได้มากกว่าหรือเปล่านะ

ต้องออกตัวว่าเราไม่ได้อยากให้ทุกคนเป็นแบบมิทสึมิจัง แค่คิดว่าการที่ได้เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็นและภูมิใจในตัวของตัวเองต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญ ไม่ต้องพยายามเป็นคนที่คนอื่นรัก ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนแบบที่สังคมบอกให้เราเป็น  ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินอย่างไร การกล้าเป็นตัวเองนี่แหละที่เจ๋งสุด มิทสึมิจังกับผองเพื่อนมาสอนเราให้เห็นและเข้าใจในเรื่องนี้ อาจบอกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวเล็กๆ ที่ทำให้เราเข้าใจในตัวเองและโลกใบนี้ก็คงได้

เรารู้สึกว่า แอนิเมชันเรื่อง Skip and loafer เป็นแอนิเมชันที่อบอุ่นใจมาก ทั้งลายเส้น สีสัน และเนื้อเรื่อง แม้จะเป็นการ์ตูนแนวผู้หญิงหน่อย แต่ก็ไม่หวานเลี่ยน หรือดราม่าจนขนลุก เราว่ามันเป็นแอนิเมชันที่ทำให้ได้ย้อนกลับไปคิดถึงความทรงจำน่ารักๆ ในช่วงที่เป็นวัยรุ่นวัยเรียนที่ไม่ได้มีแค่เรื่องความรัก แต่ยังพูดถึงมิตรภาพกับแก๊งเพื่อน ครอบครัว ความฝัน ตัวตน ความเจ็บปวดจากการเติบโตได้อย่างนุ่มนวลที่สุดเรื่องหนึ่ง

Tags:

การมองโลกในแง่ดีสังคมSkip and loaferอนิเมชันวัยรุ่นเพื่อน

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Dear Evan Hansen : เคยรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวบ้างมั้ย?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Friends Can Break Your Heart Too: บทเรียนหัวใจสลาย บางครั้งคนใจร้ายก็คือ ‘มิตร’

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

  • Social Issues
    กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

    เรื่อง The Potential

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

ยุติการบูลลี่ เริ่มต้นที่ทัศนคติของผู้ใหญ่: พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
Social Issue
30 May 2024

ยุติการบูลลี่ เริ่มต้นที่ทัศนคติของผู้ใหญ่: พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การกลั่นแกล้งรังแก (Bullying) มีหลายรูปแบบ ทั้งการทำร้ายทางร่างกาย การใช้คำพูดล้อเลียน ดูหมิ่น หรือการแบนออกจากกลุ่ม รวมถึงการถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ หรือ Cyberbullying
  • การที่เด็กคนหนึ่งถูกบูลลี่หรือกลั่นแกล้งด้วยวิธีต่างๆ สามารถส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการเรียนรู้ หากเกิดซ้ำๆ และไม่ได้รับการช่วยเหลือ อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล จนนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง
  • การป้องกันไม่ให้ปัญหาการถูกกลั่นแกล้งบานปลาย พ่อแม่และครูควรเปิดโอกาสให้เด็กเข้ามาพูดคุยเรื่องนี้ได้อย่างปกติ รับฟังโดยไม่ตัดสิน และไม่ควรมองว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ ที่เล่นกัน

“เด็กคนหนึ่ง เป็นเด็กชายอายุ 11 ปี เรียนอยู่ชั้นป.6 แม่พามาตรวจที่แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น เพราะแม่สังเกตว่าไม่สดใส จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริงก็ดูเงียบไป บางครั้งจะมีสีหน้าเศร้า แม่เคยเห็นว่ามักจะมีอาการมากหลังจากที่เปิดโทรศัพท์มือถือ เล่นเฟซบุ๊กหรือไลน์ บางทีก็ร้องไห้

แม่เคยถามว่าเด็กเป็นอะไร เด็กจะบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีบ่นปวดท้องบ่อยๆ ในตอนเช้าที่ต้องตื่นไปเรียน บอกแม่ว่า ปวดท้องมาก แม่พาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล คุณหมอตรวจอย่างละเอียดแต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ให้ยามารับประทาน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีอาการปวดท้องจนขาดเรียนบ่อยๆ ต่อมาเริ่มบนว่า เบื่อ ไม่อยากไปโรงเรียน ต่อมาเริ่มมีปัญหาการเรียน ไม่ส่งการบ้าน ขาดเรียนบ่อย นอนไม่หลับ รับประทานได้น้อยลง จากเดิมที่เป็นคนร่าเริงแจ่มใส เรียนดี ไม่มีปัญหาอารมณ์พฤติกรรมใดๆ”

พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นโรงพยาบาลมนารมย์ หรือที่ใครหลายคนรู้จักในชื่อ ‘หมอมิน บานเย็น’ เจ้าของเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา เล่าถึงกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงของเด็กชายคนหนึ่ง หลังกุมารแพทย์ได้แนะนำให้แม่พาลูกชายมาพบ เพราะเด็กอาจมีภาวะทางจิตใจบางอย่างซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องที่เกิดขึ้น

“เมื่อคุยกับเด็กจึงพบว่าเด็กถูกเพื่อนแกล้งในเฟซบุ๊กกับไลน์ เพื่อนเอารูปถ่ายของเด็กไปตัดต่อในแบบตลกขบขัน บางรูปก็เป็นการตัดต่อกับรูปลักษณะลามก ส่งต่อในกลุ่ม และล้อเลียนกันสนุกสนาน เรื่องบานปลายจนเด็กถูกแบนออกจากกลุ่มเพื่อน เพื่อนในห้องไม่มีใครคบด้วย ทำให้เด็กมีความเครียดมากขึ้น”

หมอมินบอกว่าสิ่งที่เด็กชายกำลังพบเจอคือ การกลั่นแกล้งรังแก (Bullying) ซึ่งผู้ใหญ่บางคนอาจเข้าใจผิดว่าการกลั่นแกล้งจะต้องมีร่องรอยของการบาดเจ็บทางร่างกายหรือมีบาดแผลให้เห็น แต่จริงๆ แล้วการกลั่นแกล้งมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ การทำร้ายทางกาย คำพูดล้อเลียน ดูหมิ่น หรือการแบนออกจากกลุ่ม ซึ่งรูปแบบที่เจอได้บ่อยๆ ในยุคนี้คือ การถูกกลั่นแกล้งรังแกในโลกออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Cyberbullying

“การบูลลี่นั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ บางครั้งเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กๆ ซึ่งไม่ควรมองเป็นเรื่องธรรมดาปกติ”

อีกแง่มุมที่น่าสนใจคือ หลายครั้งการกลั่นแกล้งมักถูกมองว่าเป็นเพียงการพูดจาหยอกล้อหรือการแซวเล่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น รวมถึงตัวคนกระทำเองก็มักอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำร้าย เรื่องนี้หมอมินชี้ว่าเส้นแบ่งระหว่างการหยอกล้อกับการบูลลี่ ไม่ได้อยู่ที่เจตนาของผู้กระทำอย่างเดียว แต่ให้ยึดความรู้สึกของผู้ถูกกระทำเป็นเกณฑ์

“น่าจะอยู่ที่ความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำ ถ้าเขาไม่ชอบ ก็คงไม่ใช่แค่ล้อเล่น หยอกล้อ ผู้ใหญ่ก็ต้องบอกเด็กว่าบางครั้งในสถานการณ์เดียวกัน ความคิดความรู้สึกของเราอาจต่างกับคนอื่น เราต้องรู้จักเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน เห็นใจเขา ถ้าเพื่อนไม่ชอบก็ไม่ควรทำ ตรงนั้นเป็นการไปบูลลี่เพื่อน อย่าลืมว่าเรื่องเล็กน้อยของเรา อาจเป็นเรื่องที่มีผลกระทบอย่างยิ่งกับจิตใจของคนหนึ่งก็ได้”

สำหรับเด็กที่มักตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้ง หมอมินบอกว่าส่วนใหญ่มักเป็นเด็กที่มีปัญหาด้านการเรียน เด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงเด็กที่มักถูกผู้ใหญ่ ‘ล้อเลียนรูปลักษณ์’ ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนด้วยกัน

“จริงๆ ผู้ใหญ่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีกับเด็กๆ บางครั้งมีกรณีพ่อแม่ ญาติ หรือครูที่ชอบทักเด็กด้วยความเอ็นดูหรืออะไรก็ตามด้วยการนำรูปลักษณ์ของเด็กมาล้อเล่น เช่น ยายไฝ นายแว่น ยายดำ นายอ้วน ฯลฯ คิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ สนุกๆ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการปลูกฝังค่านิยมการเหยียดหรือบูลลี่ในใจเด็ก แล้วเด็กก็บูลลี่เพื่อนต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนเด็กที่ไปแกล้งคนอื่น บางครั้งเป็นเด็กที่เคยเป็นเหยื่อของการถูกแกล้งมาก่อน เด็กที่มีรูปร่างลักษณะตัวใหญ่ดูน่ากลัว เด็กที่มีประสบการณ์ความรุนแรงจากที่บ้าน ครอบครัวใช้ความรุนแรงกันจนเด็กซึมซับมองเป็นเรื่องปกติ เด็กที่มีภาวะทางจิตเวชบางอย่างที่ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เด็กที่มีพฤติกรรมทำผิดกฎระเบียบ เด็กไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น

หมออยากเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ทำสิ่งที่จะนำไปสู่ค่านิยมที่ดีให้สังคม เริ่มต้นด้วยการเลิกเรียกเด็กหรือคนรอบข้างด้วยสมญานามที่เอาจุดด้อยเขามาล้อเล่น น่าจะทำให้สังคมเราน่าอยู่มากขึ้น”

เพราะการที่เด็กคนหนึ่งถูกบูลลี่หรือกลั่นแกล้งด้วยวิธีต่างๆ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นเชื่อมโยงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และการเรียนรู้

“เด็กที่ถูกกลั่นแกล้งมักมีปัญหาการเรียน ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล ปัญหาทางอารมณ์ บางทีเด็กที่เครียดมาด้วยอาการทางกายต่างๆ สุขภาพร่างกายไม่ดี อาจมีปัญหาพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้ยาเสพติดเพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้น

สิ่งที่หมอห่วงมากที่สุดคือความคิดและการพยายามฆ่าตัวตาย การทำร้ยตัวเองและฆ่าตัวตาย ซึ่งมีหลายๆ กรณีที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวว่าเด็กและวัยรุ่นที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกจบชีวิตตัวเองอย่างน่าเศร้าและไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น”

หมอมินอธิบายเพิ่มเติมว่าความรุนแรงของผลกระทบทางด้านจิตใจของเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกสัมพันธ์กับภาวะเดิมของเด็กคนนั้นด้วย เช่น หากเป็นเด็กที่มีภาวะอารมณ์อ่อนไหว เครียดง่าย วิตกกังวลง่าย หรือมีภาวะซึมเศร้าอยู่เดิมจะมีผลกระทบมากกว่า 

นอกจากนี้หากเด็กถูกกลั่นแกล้งด้วยความรุนแรงบ่อยครั้งก็ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจจนอาจลุกลามกลายเป็นแผลใจในอนาคต ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการช่วยเหลือและให้กำลังใจจากคนรอบข้าง เพราะหากเด็กมีความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และคุณครูที่ดีที่คอยให้กำลังใจ เด็กก็ย่อมจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า

“…พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครูสามารถสังเกตว่าเด็กมีอาการ เช่น เมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วเสื้อผ้าฉีกขาด ข้าวของเสียหาย ร่างกายเด็กมีรอยแผล หรือรอยช้ำที่ไม่ทราบสาเหตุ เด็กอาจไม่บอกว่าถูกรังแกตรงๆ หมอเคยเจอเด็กมาพบด้วยอาการอยู่ดีๆ ก็กลัวการไปโรงเรียนแบบไม่มีสาเหตุ การเรียนตกลง เมื่อซักประวัติเพิ่มเติม เด็กจึงยอมรับว่าถูกเพื่อนขู่เอาเงิน และทำร้ายร่างกาย

เด็กบางคนอาจมีอาการเศร้า เงียบ แยกตัว บางทีอาจจะอารมณ์แปรปวนง่าย นอนไม่หลับ ฝันร้าย เด็กที่ถูกรังแกได้ง่ายส่วนหนึ่งมักเป็นเด็กที่ขาดทักษะการสื่อสาร มีลักษณะเก็บตัว เงียบ ไม่ค่อยมีปากมีเสียง อาจจะไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท หรือครอบครัวไม่ค่อยมีเวลาให้ เด็กไม่สามารถขอความช่วยเหลือใครได้ หรือไม่รู้จะขอความช่วยเหลืออย่างไร”

ขณะเดียวกัน หมอมินมองว่าการจะสังเกตและให้ความช่วยเหลือเด็กก็มีหลักที่ผู้ใหญ่ควรและไม่ควรปฏิบัติเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการใช้คำถามประเภท “เธอไปทำอะไรเขาก่อน ทำไมเขาถึงมาทำเธอ” เพราะมันจะทำให้เด็กรู้สึกว่าผู้ใหญ่มองว่าเขาทำผิดจึงถูกเพื่อนแกล้ง รวมถึงบางเรื่องอาจไปสะกิด ‘ต่อมอยากสอน’ ของผู้ใหญ่ แต่ก็ควรปล่อยให้เด็กเล่าจนจบ แล้วค่อยสอบถามพูดคุยถึงการแก้ปัญหาต่อไป

“สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำเป็นอย่างแรกคือทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง เริ่มด้วย ‘การรับฟัง’ ถามเด็กว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เด็กได้เล่า ก็เป็นการได้ระบายความรู้สึก ฟังไปเรื่อยๆ สนใจและตั้งใจ พยักหน้าเป็นระยะ สบตาไม่ใช่ว่าเด็กเล่าไป ผู้ใหญ่ก็ก้มหน้ากดมือถือ มีคำพูดที่สะท้อนความรู้สึกให้เหมาะสม เช่น “หนูคงรู้สึกแย่มากทีเดียวที่เจอเรื่องแบบนี้” 

บางครั้งพ่อแม่ก็มีความจำเป็นต้องคุยกับครูในเรื่องที่เด็กถูกแกล้ง เพราะบางทีการแกล้งมีความรุนแรงและมีผลกระทบมาก บางครั้งเด็กที่ถูกเพื่อนแกล้งเดินไปฟ้องครู ครูบอกว่า “จะฟ้องอะไรกันมากมายนี่” บางทีเด็กก็เหมือนกับขาดที่พึ่ง อย่างน้อยๆ ครูก็ช่วยรับฟังปัญหา และแนะนำเขาสักหน่อย ก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาก แต่บางครั้งเด็กที่ถูกแกล้งเหมือนหาทางออกไม่ได้ หมอเข้าใจว่าบางครั้งครูอาจจะมีภาระมาก แต่อยากให้กำลังใจและขอร้องให้คุณครูมีความละเอียดอ่อนตรงนี้สักหน่อย

การป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการถูกแกล้งบานปลายก็คือพ่อแม่และครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เข้ามาพูดคุยเรื่องนี้ได้อย่างปกติ ไม่ควรมองปัญหาการกลั่นแกล้งว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ ที่เล่นกัน 

และพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับเพื่อนบ่อยๆ เพราะการรับฟังช่วยได้มาก บางทีถึงแม้ว่าเพื่อนก็ยังแกล้งเขาอยู่ แต่เด็กก็คงรู้สึกดีขึ้นได้ ถ้ารู้สึกว่ามีใครสักคนที่รับฟังและเข้าใจความทุกข์ของเขา การทำให้เด็กรู้สึกว่าทุกอย่างนั้นมาคุยกับผู้ใหญ่ได้เสมอ พร้อมจะเข้าใจและเป็นกำลังใจให้ 

ที่สำคัญคือให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงเพียงพอ และผู้ใหญ่เป็นที่พึ่งทางใจให้เขาได้ ส่วนในกรณีที่ผลกระทบเกิดขึ้นกับจิตใจเด็กมาก อาจมีความจำเป็นที่จะต้องให้เด็กเข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นเพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กต่อไป”

สำหรับการให้คำแนะนำต่อเด็กที่กำลังเผชิญการถูกกลั่นแกล้งรังแก หมอมินบอกว่าไม่มีสูตรสำเร็จในการรับมือหรือวิธีที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และระดับความรุนแรง  

“หมอเคยดูคลิปในยูทูป มีคุณครูคนหนึ่งแนะนำเด็กๆ ว่าถ้าเป็นการบูลลี่ด้วยคำพูด “แม้จะรู้สึกแย่แค่ไหนกับคำพูดเพื่อน แต่จงอย่าแสดงออกให้เขาเห็นว่าเราเป็นเดือดเป็นร้อน” อย่าโวยวายหรือแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบมากๆ เพราะมันจะทำให้คนที่มาแกล้งรู้สึกสนุกและอยากแกล้งต่อไป ส่วนใหญ่ถ้าคนที่ถูกแกล้งมีปฏิกิริยาในทางลบมากเท่าไหร่ เช่น โกรธ เสียใจ ทำท่าไม่พอใจ คนที่มาแกล้งจะรู้สึกสนุกและอยากแกล้งมากขึ้น 

บางครั้งการพูดตามตรงว่า “เราไม่ชอบที่เธอมาพูดแบบนี้กับเรา” ก็อาจจะเป็นการสื่อสารที่ดีเช่นกัน อาจจะใช้ได้ในบางสถานการณ์ ในกรณีเด็กที่มาแกล้งพอจะเข้าใจและมีความเห็นอกเห็นใจบ้าง แต่วิธีนี้อาจจะเหมาะเฉพาะการกลั่นแกล้งรังแกที่เกิดในรูปแบบคำพูดที่ไม่มีการทำร้ายร่างกาย เพราะถ้ามีการทำให้เจ็บตัวด้วย แล้วคนที่ถูกแกล้งจะไปยิ้มรับและยินดีเต็มใจให้เขาทำให้บาดเจ็บก็คงไม่ดี

ดังนั้นถ้ามีการทำให้เกิดอันตรายกับร่างกาย ก็ต้องใช้วิธีอื่นเป็นการป้องกันตัวเอง หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่ควรยอมให้เขาทำร้ายไปเรื่อยๆ เช่น ควรบอกผู้ใหญ่ บอกผู้ปกครองดีกว่า หรือสามารถปรึกษาคนอื่นแทนได้ เช่น คุณครู หรือเพื่อนที่เราไว้วางใจ แต่สุดท้ายแล้วที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นพ่อแม่ของเด็กที่ถูกแกล้งที่ต้องมีความเข้มแข็งและเป็นหลักให้ลูก ให้กำลังใจลูกในวันที่ถูกแกล้ง

การป้องกันคือพ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกๆ เรียนรู้เรื่องของความเข้มแข็งทางใจ และทักษะในการจัดการกับการถูกแกล้ง เป็นเกราะป้องกันใจที่สำคัญในวันที่โลกภายนอกโหดร้ายกับเขา 

ส่วนครูควรมองเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจัง และช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ในโรงเรียน มีช่องทางให้เด็กปรึกษาได้ง่ายและสะดวก”

นอกจากนี้ หมอมินได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่มีแผลใจจากการถูกกลั่นแกล้งรังแกด้วยการยอมรับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น อยู่กับปัจจุบัน และมองหาเรื่องราวดีๆ ที่ช่วยปลอบประโลมใจให้สามารถก้าวผ่านห้วงความทุกข์นี้ไปได้

“บอกตัวเองว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาทุกอย่างทั้งดีและร้าย แต่ทั้งหมดมันก็ผ่านไปแล้ว พยายามมองที่ปัจจุบัน ชีวิตอาจจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสุข แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ชีวิตจะต้องมีแต่ความทุกข์ตลอดไป นอกจากมองเห็นเรื่องแย่ๆ ลองมองหาเรื่องดีๆ ที่ปลอบประโลมใจเรา น่าจะทำให้มีความหวังและกำลังใจขึ้น

บางคนใช้วิธีเลี่ยงความเจ็บปวด ด้วยการวิ่งหนี เก็บซ่อน ปฏิเสธ แต่ในที่สุดมันก็ไม่ช่วยให้ความเจ็บปวดหายไป การเผชิญหน้าและยอมรับต่างหาก ที่จะนำไปสู่การจัดการทำให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้

ความเข้าใจและยอมรับทั้งเรื่องดีและร้าย เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเข้มแข็ง กล้าที่จะเป็นตัวเอง ค่อยๆ เชื่อมั่นและยอมรับในตัวตนได้มากขึ้น รวมถึงพร้อมเผชิญอุปสรรค ความผิดพลาดตามธรรมชาติที่ผ่านเข้ามาในอนาคต แต่ถ้ารู้สึกว่าเรื่องราวในอดีตส่งผลรบกวนต่อสุขภาพจิตหรือการใช้ชีวิตมาก ไม่สามารถทำความเข้าใจ ยอมรับ หรือจัดการได้ ก็อาจต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา เพื่อการบำบัดรักษาที่เฉพาะต่อไป”

Tags:

สุขภาพจิตพ่อแม่การบูลลี่การกลั่นแกล้งCyberbullying

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • May i Quit Being Mom__cover
    Movie
    May I quit being a mom? ความพยายามดูแลแม่ญี่ปุ่นของรัฐบาล

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘พิการ’ ไม่เท่ากับ ‘ไร้ค่า’ ขอแค่พื้นที่ปลอดภัย และโอกาสในการเรียนรู้ 
Social Issues
27 May 2024

‘พิการ’ ไม่เท่ากับ ‘ไร้ค่า’ ขอแค่พื้นที่ปลอดภัย และโอกาสในการเรียนรู้ 

เรื่อง The Potential

  • “โดนบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก ทุกคนจะมองว่าเราพิการ ตอนเด็กๆ จะรู้สึกโกรธและโมโหมาก เวลาโดนบูลลี่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้”
  • เรื่องราวของ สายทอง-วิลาวรรณ แก้วยองผาง หญิงสาวที่ประสบปัญหาด้านการพูดและการเดิน อีกทั้งยังต้องทนทุกข์จากการถูกตีตราจากสังคม
  • แผลใจที่ถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอเอาตัวเองออกจากสังคมรอบตัว และเริ่มมีปัญหาในการเข้าสังคม การได้โอกาสจากโครงการเพาะกล้าครีเอเตอร์ชุมชน สร้างคนต่อยอดภูมิปัญญา เป็นเหมือน ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่คอยเติมเต็มพลังบวกให้กัน และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาทักษะด้านการเป็นครีเอเตอร์ชุมชน

ความพิการไม่ได้ทำให้คุณค่าความเป็นมนุษย์ของใครลดน้อยลง แต่สังคมที่พิการและเต็มไปด้วยอคติต่างหากที่ทำให้คนพิการกลายเป็นคนด้อยโอกาสและถูกลดทอนคุณค่า

‘สายทอง’ หรือ วิลาวรรณ แก้วยองผาง อายุ 32 ปี หญิงสาวชาวลำพูนที่ประสบปัญหาด้านการพูดและการเดิน คือคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์จากการถูกตีตราจากสังคม เธอเล่าว่า ‘คุณค่า’ ในชีวิตของเธอค่อยๆ หายไปตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก ด้วยความที่เธอเป็นคนพูดไม่ชัด พูดติดอ่าง เวลาเดินก็เหมือนจะล้ม ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เธอหยุดหายใจไปเกือบ 20 นาทีหลังคลอด นั่นหมายความว่าสมองเธอขาดออกซิเจนไปนานพอสมควร โดยหมอระบุว่าเธอจะเติบโตได้ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป 

“โดนบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก ทุกคนจะมองว่าเราพิการ ตอนเด็กๆ จะรู้สึกโกรธและโมโหมาก เวลาโดนบูลลี่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้” 

สายทองแก้ปัญหาด้วยการเอาตัวเองออกจากสังคมรอบตัว พูดคุยและเล่นกับเพื่อนให้น้อยที่สุด พอโตขึ้นมาหน่อยเธอก็เริ่มอ่านหนังสือธรรมะ ศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับจิตวิทยา เพื่อหาทางหลุดพ้นจากความเครียด แล้วก็พบว่าในหนังสือที่มีตัวอย่างของคนที่ ‘แย่กว่า’ เธออีกหลายเท่า ทำให้เริ่มคิดบวก ให้อภัยคนที่เคยบูลลี่เธอมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่สิ่งที่ยังทำให้เธอไม่สามารถหลุดพ้นได้คือ การเข้าสังคม 

“กลัวค่ะ กลัวว่าจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเหมือนตอนเด็กๆ กลัวคนหัวเราะเยาะเวลาเราพูดไม่ชัด” 

เหตุนี้เธอจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ด้วยการเปิดร้านขายน้ำ อยู่กับลูกและครอบครัว จนกระทั่งได้รับการชักชวนจาก ‘พี่กัล’ กัลยา ขาวโสม วิสาหกิจชุมชนสุขศิริ จังหวัดลำพูน ผู้รับผิดชอบโครงการเพาะกล้าครีเอเตอร์ชุมชน สร้างคนต่อยอดภูมิปัญญา หนึ่งในโครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้เข้ามาร่วมเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านอาชีพ และการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคม 

สายทองใช้เวลาตัดสินใจอยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอนั่งมองปลาทองที่เลี้ยงไว้ว่ายวนไปมาอยู่ในตู้… “เราก็คิดว่า เรามีมือ มีเท้า เราจะอยู่ในตู้แบบปลาทองไม่ได้” เธอจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ 

ทว่าด้วยแผลใจที่ถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก วันแรกที่เดินเข้ามาที่ศูนย์การเรียนรู้ เธอกวาดสายตามองทุกคนด้วยความไม่ไว้ใจ แต่ตรงกันข้ามทุกคนต่างยิ้มให้ กล่าวทักทาย ทำให้เธอรู้สึกได้ทันทีว่า ที่นี่คือ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ความกังวลจึงเริ่มคลี่คลาย กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาทักษะด้านการเป็นครีเอเตอร์ชุมชน โดยเฉพาะทักษะการขายของออนไลน์ การถ่ายทำคลิปวิดีโอ การตัดต่อและการโพสต์ ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ แต่ที่มากกว่านั้นคือความภูมิใจในตัวเอง

สายทองบอกว่า จากเดิมที่เปิดร้านขายกาแฟสด เครื่องดื่ม น้ำชง ภายในชุมชน มียอดขายต่อวันไม่มากนัก แต่เมื่อได้เรียนรู้เรื่องการขายผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,500 บาทต่อเดือน นอกจากนั้นยังได้นำทักษะการทำขนมปังและวาฟเฟิลที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเองมาปรับสูตร จัดทำเป็นหลักสูตรสอนทำขนมออนไลน์ทำให้มีรายได้เพิ่มจากการขายหลักสูตรออนไลน์ด้วย

“การได้เข้ามาร่วมเรียนรู้กับหน่วยจัดการเรียนรู้วิสาหกิจชุมชนสุขศิริ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น สามารถลบคำสบประมาทจากคนรอบข้างที่เขามองว่าเราพิการ เปลี่ยนจากคนที่ไม่กล้าเข้าสังคมก็มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น 

สามารถเพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทักษะอาชีพที่หลากหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตอย่างคาดไม่ถึง” 

สายทองยังบอกด้วยว่า ช่วงแรกที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ รู้สึกกลัวมากและกังวลว่าจะเจอสังคมบูลลี่ เจอคำดูถูกอย่างที่เคยพบมาตลอด แต่กลับพบว่าที่หน่วยจัดการเรียนรู้วิสาหกิจชุมชนสุขศิริเป็นสังคมที่เกื้อกูลและหนุนเสริมกัน เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่คอยเติมเต็มพลังบวกให้แก่กันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้ว่าจะจบโครงการฯ ไปแล้วแต่ทุกคนก็พร้อมให้ความช่วยเหลือกันอยู่ตลอด เป็นโครงการฯ ที่ทำให้เธอมีความสุขมาก 

เมื่อถามถึงเป้าหมายในการต่อยอดทักษะอาชีพในอนาคต แสงทองให้คำตอบว่าเธออยากมีแบรนด์กระเป๋าเป็นของตนเองโดยการนำเศษผ้าจากลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวปกาเกอะญอมาตัดเย็บเป็นกระเป๋า เพราะถึงแม้พี่น้องชาวปกาเกอะญอจะมีลวดลายผ้าทอที่เป็นจุดเด่นแต่ก็ไม่นิยมนำมาใส่ทุกวันแต่หากนำมาต่อยอดเป็นของใช้ที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็จะช่วยส่งเสริมอาชีพการทอผ้าและทำให้สินค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

“หากไม่มีหน่วยจัดการเรียนรู้สุขศิริคิดว่าตัวเองยังอยู่จุดเดิมและยังคงกลัวการเข้าสังคม แต่เมื่อได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่หลากหลาย การได้พบเจอสังคมใหม่ๆ ทำให้อยากพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าคนอื่นเขาจะมองว่าเราพิการแต่ก็เชื่อว่ามีแต่ตัวเราที่ทำให้ตัวเองดีขึ้น คนอื่นจะมองอย่างไรก็ช่าง แต่เราจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น” แสงทอง กล่าวทิ้งท้าย 

Tags:

พื้นที่ปลอดภัยความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem)ผู้พิการทักษะอาชีพการบูลลี่การเข้าสังคมโครงการเพาะกล้าครีเอเตอร์ชุมชน สร้างคนต่อยอดภูมิปัญญา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Pakorn_1
    Everyone can be an EducatorSocial Issues
    “เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • flexible learning-1
    Social Issues
    ‘ห้องเรียนระบบสอง’ การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตามโจทย์ชีวิตจริง:  นวัตกรรมการศึกษาแก้ปัญหาเด็ก Drop Out โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เรียนหนัก อกหัก ทะเลาะกับพ่อแม่… ทุกเรื่องที่น้องอยากระบาย ‘สายเด็ก’ (Childline Thailand) ยินดีรับฟัง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy lifeAdolescent Brain
    11 ชุดคำถาม ชวนนั่งไทม์แมชชีนกลับไปคุยกับอดีตเพื่อรู้จักและเข้าใจตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์
Book
25 May 2024

ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Mal di pietre หรือชื่อในฉบับแปลไทยว่า ‘จากดวงจันทร์’ เขียนโดย Milena Agus ชาวอิตาลี ถูกนิยามว่าเป็นนวนิยายสดุดีความรัก จินตนาการ และการเขียน
  • หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวนิรนามคนหนึ่งที่ถูกคนทั้งหมู่บ้านเรียกขานว่า เป็นผู้หญิงที่มาจากดวงจันทร์ เพราะเธอมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากคนธรรมดาสามัญ
  • การสื่อสารที่ชัดเจน คือหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใดก็ตาม

หลายคนคงรู้ว่า ดวงจันทร์ (Moon) มีความหมายถึงดาวที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์ และหลายคนอาจรู้ว่า ดวงจันทร์ของโลก มีชื่อว่า Lunar

แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ ชาวยุโรปในสมัยโบราณเชื่อกันว่า ดวงจันทร์ โดยเฉพาะดวงจันทร์เต็มดวงสุกสว่างในคืน 15 ค่ำ สามารถส่งอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของคนในทางลบ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ดวงจันทร์ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนบ้าได้

และในบางครั้ง เวลาที่ใช้คำพูดว่า คนๆ นั้นมาจากดวงจันทร์ จึงหมายความว่า คนๆ นั้นสติไม่ดี หรือ ‘บ้า’ นั่นเอง

ในหนังสือเรื่อง Mal di pietre ของนักเขียนชาวอิตาเลียน Milena Agus หรือชื่อในฉบับแปลไทยว่า ‘จากดวงจันทร์’ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกคนทั้งหมู่บ้านเรียกขานว่า เป็นผู้หญิงที่มาจากดวงจันทร์ ด้วยความเธอมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากคนธรรมดาสามัญ

พฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติธรรมดาของเธอ คือ ความโหยหา ทุ่มเท จนถึงหมกมุ่นในเรื่องความรัก ถึงขั้นที่ป่าวประกาศกับหลายๆ คนว่า เธอยินดีที่จะตายไป หากไม่ได้รู้จักความรักในชาตินี้

ความรักของย่า

หนังสือเล่มนี้ ซึ่งในคำโปรยบนปกหลังเขียนไว้ว่า เป็นนวนิยายสดุดีความรัก จินตนาการ และการเขียน บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวนิรนามคนหนึ่ง ผ่านการรำลึกความทรงจำของหญิงสาวนิรนามอีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นหลานของหญิงสาวนิรนามคนแรก

ย่าเป็นคนหน้าตาสะสวย เรือนร่างเปี่ยมด้วยเสน่ห์ทางเพศ แต่เธอไม่เคยสมหวังในความรัก ผู้ชายหลายคนที่แวะเวียนมาจีบย่า พากันเตลิดหนีไปหลังจากได้พบปะพูดคุยกันไม่กี่ครั้ง มีเสียงร่ำลือว่า เป็นเพราะย่าเขียนบทกวีรัก ที่เต็มไปด้วยถ้อยคำรำพันร้อนแรงถึงขั้นลามก ผู้ชายจึงกลัวและหลบหนีหน้าไปจากผู้หญิงบ้าคนนี้ ครั้งหนึ่ง ย่าทวด ผู้เป็นมารดาของย่า ทั้งอับอายและโกรธแค้น หันไปคว้าไม้เรียวมาเฆี่ยนย่า พร้อมสาปแช่งตัวเองที่ยอมให้ย่าได้เข้าโรงเรียน และหัดเขียนหนังสือ

ย่าถูกตราหน้าต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเธอเป็นปีศาจ แต่ที่บ่อยที่สุด ย่าถูกหาว่าบ้า และมาจากดวงจันทร์

แต่ขอถามเถิด ในโมงยามแห่งความรัก ใครบ้างไม่เคยมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนจากปกติธรรมดา

ในช่วงโมงยามแห่งความรัก ใครบ้างไม่เคยเขียนบทกวี ถ้อยคำหวานๆ ให้คนรัก หรือฝากถ้อยคำพร่ำเพ้อ ผ่านลำนำเสียงเพลง หรือเพียงแค่ยืนเหม่อมองหลังคาบ้าน ก็จินตนาการเห็นภาพคนรัก

เมื่อยังร้างคู่จนล่วงเลยวัยที่ควรมีคู่ พฤติกรรมผิดเพี้ยนของย่ายิ่งรุนแรงขึ้น ถึงขั้นกล้อนผมตัวเองเหมือนหมาขี้เรื้อน และก่อนที่ปู่ทวดกับย่าทวด จะส่งย่าเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบคนหนึ่ง ก็เอ่ยปากขอแต่งงานกับย่า

ย่าจึงถูกบังคับให้แต่งงานกับปู่ ย่าพยายามบ่ายเบี่ยงขัดขืน ถึงขั้นบอกกับปู่ตรงๆ ว่า ย่าไม่ได้รักปู่ ปู่ตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร เพราะปู่ก็ไม่ได้รักย่าเหมือนกัน

ปู่กับย่าใช้ชีวิตคู่อย่างเหินห่างและเย็นชา ยกเว้นเพียงกิจกรรมทางเพศบนเตียง ซึ่งทั้งคู่เต็มใจทำอย่างแข็งขัน โดยย่าให้เหตุผลว่า ปู่จะได้มีเงินเหลือเก็บ ไม่ต้องไปใช้บริการหญิงโสเภณี 

แต่นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีการบอกรัก ไม่มีถ้อยคำหวาน ไม่มีอะไรเลย

มีเพียงครั้งเดียวที่ย่ารวบรวมความกล้า เอ่ยปากถามว่า ปู่รักย่าหรือเปล่า ปู่ไม่ตอบอะไร เอาแต่อมยิ้มกับตัวเอง แล้วตบก้นย่าเบาๆ

ย่าไม่ได้รักปู่ และปู่ก็ไม่ได้รักย่า

ความรักของปู่

ก่อนมาพบกับย่า ปู่เคยแต่งงานมาแล้ว แต่ก็สูญเสียภรรยาไปในช่วงสงครามปะทุรุนแรง ปู่เป็นคนเอ่ยปากขอย่าแต่งงาน ซึ่งปู่ทวดและย่าทวดรีบยกให้อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวลูกสาวจะกลายเป็นสาวทึมทึก และยิ่งคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือนมากขึ้น ท่ามกลางเสียงซุบซินนินทาจากคนในหมู่บ้านว่า ปู่จำใจขอย่าแต่งงานเพื่อปลดหนี้

ย่าพยายามปฏิเสธปู่ ด้วยการบอกกับเขาว่า ย่าไม่ได้รักเขา แต่ปู่ตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะปู่ก็ไม่ได้รักย่าเช่นกัน

หลังแต่งงาน ทั้งคู่ก็ยังทำตัวเหมือนคนไม่ได้รักกัน พูดจากันน้อยยิ่งกว่าน้อย อยู่ใกล้กันเท่าที่จำเป็น อย่างเช่น ตอนทำกิจกรรมบนเตียง แต่นอกจากนั้น ทั้งปู่และย่าจะต่างคนต่างอยู่คนละมุมของบ้าน

ถึงกระนั้น ตอนที่ย่าป่วยเป็นโรคมาลาเรีย ไข้ขึ้นสูงถึงสี่สิบเอ็ดองศา ปู่เป็นคนนั่งเฝ้าไข้ย่าตลอดทั้งวัน คอยเอาผ้าชุดน้ำเช็ดหน้าผากย่าที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ มีคนพูดกับย่าว่า ถ้าไม่ได้ปู่คอยดูแล ย่าคงตายไปแล้ว แต่ย่ายักไหล่แทนถ้อยคำว่า “ฉันไม่สน”

ก็แน่ล่ะ ย่าไม่ได้รักปู่นี่นา และปู่เองก็ไม่ได้รักย่าเช่นกัน

ปู่กับย่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่หวานชื่นร่วมกัน บางครั้ง ย่าเผลอตัวส่งยิ้มให้ปู่ ปู่ก็จะพูดขึ้นว่า “ขำหรือ”

แม้กระทั่งตอนที่ย่าใส่ชุดสวยที่ปู่คะยั้นคะยอซื้อให้ ปู่ยังไม่ชมว่าย่าสวยเลย ปู่เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า ชุดสวยมาก แทนที่จะชมว่า ย่าสวยมาก

ปู่ไม่ได้รักย่า ย่าก็ไม่ได้รักปู่ แล้วย่ารักใคร?

ใครคือรักที่ซ่อนเร้น

ตอนย่าอายุได้ 40 หมอแนะนำให้ย่าไปแช่น้ำแร่ เพื่อรักษาโรคนิ่วในไต ที่เป็นมานาน คำแนะนำของหมอ ทำให้ย่าต้องเดินทางจากบ้าน ห่างจากปู่ และไปพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

เพียงแค่สบตากันครั้งแรก ย่าก็ตกหลุมรักชายหนุ่มคนนั้น เขาเป็นทหารผ่านศึกขาพิการ รูปร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลา หัวใจย่าเต้นแรกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทหารหนุ่มรูปงามคนนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกับย่า เขาป่วยเป็นโรคนิ่วในไตเหมือนกัน เขารักบทกวี ชอบอ่านหนังสือ และหลงใหลในการเล่นเปียโน

ย่าค้นพบสิ่งที่ตามหามาทั้งชีวิตแล้ว นั่นคือความรักที่ย่าโหยหา หากว่าความรักนั้นจะฉุดให้ย่าต้องตกนรก ย่าก็ไม่สนใจ

เก้าเดือนหลังกลับจากการรักษาตัวด้วยการแช่น้ำแร่ไม่นาน ย่าก็ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งในภายภาคหน้าจะกลายเป็นนักเปียโนที่เก่งกาจ และเป็นพ่อของหญิงสาวผู้เล่าเรื่องนี้

หญิงสาวผู้เป็นหลาน ซึ่งสนิทสนมกับย่าตั้งแต่เล็ก เคยนึกสงสัยว่า จริงๆ แล้ว คนที่เป็นปู่ที่แท้จริงของเธอ คือ ปู่ที่เป็นสามีของย่า หรือทหารผ่านศึกผู้เป็นรักที่ซ่อนเร้นของย่ากันแน่

จนกระทั่งปู่และย่าเสียชีวิตไป หลานสาวได้รับบ้านเก่าของปู่และย่าเป็นสมบัติตกทอด เธอจัดแจงซ่อมแซมบ้าน และได้ค้นพบความลับที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งของย่า

ที่ซอกเล็กในผนังบ้านที่ถูกฉาบปิดอย่างลวกๆ นอกจากจะเป็นที่เก็บบันทึกเรื่องราวชีวิตของย่าแล้ว ยังมีจดหมายเพียงฉบับเดียว ที่ทหารผ่านศึกคนนั้นเขียนให้ย่าด้วย

“เรียนคุณผู้หญิง ผมปลาบปลื้ม และอายอยู่เล็กน้อย ที่คุณนึกจินตนาการและเขียนเกี่ยวกับผมทั้งหมดนั้น คุณขอให้ผมพิจารณาเรื่องเล่าทั้งหมดจากมุมมองทางวรรณกรรม และขอโทษเกี่ยวกับฉากรักที่คุณแต่งขึ้น… ผมขอโทษหากจะกล่าวอย่างไม่อายว่า ขณะอ่านผมแทบรู้สึกเสียดายที่ไม่เกิดความรักนั้นขึ้นจริงๆ แต่เราก็ได้พูดคุยกันเยอะทีเดียว เราอยู่เป็นเพื่อนกัน และยังได้หัวเราะด้วย”

ข้อความในจดหมายฉบับนั้น ทำให้หลานสาวและคนอ่านอย่างผมได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ความรักระหว่างย่าและทหารผ่านศึก เป็นเพียงเรื่องเล่าจากจินตนาการของย่า ผู้รักในความรักและการเขียน

แล้วความรู้สึกที่แสนหวานชื่น เร่าร้อน และงดงาม ที่อยู่ระหว่างบรรทัดในเรื่องเล่าจากจินตนาการของย่า มันคืออะไร 

หรือจริงๆ แล้ว นั่นคือ ความรักที่แท้จริง ที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้ของย่า

ผมพลิกกลับไปอ่านเรื่องราวของย่าและปู่ในหลายๆ ช่วง เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ถูกเก็บงำไว้

ตอนที่มีคนบอกว่า ย่าคงตายไปแล้วด้วยโรคมาลาเรีย ถ้าไม่ได้ปู่คอยดูแล ย่ายักไหล่แบบไม่สนใจ ซึ่งย่าก็ยอมรับว่า นั่นเป็นสิ่งที่ใจร้ายมาก และย่าไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย

และอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่ปู่เอ่ยปากว่า ชุดสวยมาก ย่าเพิ่งมาคิดได้ว่า จริงๆแล้ว ปู่ต้องการพูดว่า ย่าสวยมากต่างหาก และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ย่าไม่มีวันให้อภัยตัวเอง ที่ไม่รู้จักจับถ้อยคำที่ซุกซ่อนในอากาศ

ย่าไม่เคยพูดว่ารักปู่ และปู่ก็ไม่เคยบอกรักย่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งคู่รักกันเหลือเกิน

รัก..แต่ไม่บอกว่ารัก ห่วง..แต่ไม่พูดว่าห่วง ชื่นชม..แต่ไม่เอ่ยปากชม ทั้งหมดล้วนเป็นพฤติกรรมที่แปลก บ้า และผิดเพี้ยนจากปกติธรรมดา แต่ไม่ใช่แค่

ปู่กับย่าเท่านั้นหรอก ในชีวิตจริง มีผู้คนมากมาย ที่พูดหรือแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับใจตัวเอง โดยเฉพาะกับคนที่รักและใกล้ชิดที่สุด

กับคนที่รู้จักผิวเผิน เราสามารถกล่าวชื่นชมและแสดงความรู้สึกดีๆ ออกไปอย่างง่ายดาย แต่กับคนที่เรารักและสนิทสนมที่สุด เรากลับไม่กล้าบอกรัก หรือแสดงความรู้สึกดีๆ ให้เขารับรู้

ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า การสื่อสารที่ชัดเจน คือหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ของคู่รัก เพื่อน พ่อแม่ลูก หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงาน

แต่ก็นั่นแหละ ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก มักจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีปัญหาในเรื่องการสื่อสารมากที่สุด อาจเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ก่อเกิดจากความรู้สึกและอารมณ์ล้วนๆ จึงเปราะบางและแตกหักได้ง่ายด้วยความรู้สึกและอารมณ์

หรืออาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก คือ ความสัมพันธ์ของคนที่ไม่ปกติธรรมดาสองคน

ผมถอนหายใจ-นึกกับตัวเองว่า เวลาที่คนมีความรัก ก็มักทำอะไรแปลกๆเพี้ยนๆ เช่นนี้แหละ

เพราะในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า..และมาจากดวงจันทร์

Tags:

หนังสือความสัมพันธ์ความรักนวนิยายชีวิตคู่Mal di pietreจากดวงจันทร์

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Cover
    Book
    The Wild Robot: ชีวิตที่ลิขิตเอง ไม่ต้องรอโปรแกรมคำสั่ง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

No hard feelings : พ่อแม่ต้องยอมให้เขาล้มเหลว หรือสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
Movie
24 May 2024

No hard feelings : พ่อแม่ต้องยอมให้เขาล้มเหลว หรือสำเร็จได้ด้วยตัวเอง

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • No hard feelings เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘แมดดี้’ บาร์เทนเดอร์สาวที่บังเอิญมีความจำเป็นจะต้องรับงานเดทกับ ‘เพอร์ซี’ เด็กหนุ่มวัยรุ่นลูกชายคนเดียวของครอบครัวคนรวย
  • เพอร์ซีมีปัญหากับการเข้าสังคม พ่อแม่จึงเป็นห่วงเขามากและต้องการให้ลูกมีประสบการณ์ชีวิต เลยหวังว่าการจ้างแมดดี้จะช่วยแก้ปัญหาได้
  • สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ ไม่ใช่การทำเพื่อลูกโดยไม่ถามความเห็นใดๆ แต่ คือการช่วยเป็นกำลังใจในวันที่ลูกล้ม ไม่ต้องซ้ำเติม ช่วยดีใจกับลูกในวันที่เขาทำสำเร็ก็เพียงพอ

No hard feelings เป็นเรื่องราวของ ‘แมดดี้’ บาร์เทนเดอร์สาวรายได้น้อยอายุ 30 ต้นๆ ที่บังเอิญมีความจำเป็นจะต้องรับงานเดทกับ ‘เพอร์ซี’ เด็กหนุ่มวัยรุ่นลูกชายคนเดียวของครอบครัวคนรวยเพื่อแลกกับการจะได้มีรถขับ 

พ่อแม่ของเพอร์ซีเห็นว่าเพอร์ซีค่อนข้างเก็บตัว มีปัญหากับการเข้าสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่คุยกับสาวๆ  ไม่ดื่ม ไม่ขับรถ พวกเขาเป็นห่วงว่าลูกจะเอาตัวไม่รอดเพราะปีหน้าลูกจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเลยอยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้มีประสบการณ์ชีวิต มีความมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ซึ่งเดทในที่นี้รวมไปถึงการมีเซ็กส์ด้วย โดยพ่อแม่ของเพอร์ซีบอกกับแมดดี้ว่าพวกเขาลองทำทุกวิถีทางที่จะเอาลูกชายออกมาจากกระดอง แต่มันก็ไม่ช่วยเลย พวกเขาอับจนหนทางแล้วจริงๆ ถึงมาเลือกใช้วิธีนี้

โดยตัวพ่อก็ยืนยันจากประสบการณ์ของตัวเองด้วยว่าตอนเป็นเด็กเขาเคยขี้อายแบบเดียวกับเพอร์ซี แต่เขาได้เจอสาวคนนึงที่ช่วยเปิดประสบการณ์ทางเพศให้เขาในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย แล้วนั่นทำให้เขากล้าออกสู่โลกกว้าง มีความมั่นใจและประสบความสำเร็จในชีวิตเลยหวังว่าการจ้างแมดดี้เข้ามาจะช่วยเพอร์ซีได้เหมือนอย่างที่ตัวพ่อเคยผ่านมา

แต่ปัญหาก็คือเพอร์ซีไม่รู้เลยว่าแมดดี้เข้ามาจีบเพราะต้องการรถ ไม่ได้ต้องการเขา เรื่องราวปวดหัว บ้าๆ บอๆ ก็เลยเกิดขึ้นมากมาย

ซึ่งสุดท้ายแล้วความลับก็แตก ตอนจบความสัมพันธ์ของแมดดี้และเพอร์ซีจะเป็นยังไงก็อยากให้ลองได้ไปดูเอง ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีพล็อตที่แปลกใหม่อะไรมาก แต่ความตลกร้าย บ้าบอ ผสมความอบอุ่นใจทำให้หนังเรื่องนี้กลายมาเป็นหนังที่ดูเพลินและคุ้มค่าที่จะลองนั่งดูแน่นอน

ซึ่งช่วงที่เราอยากนำมาพูดถึงก็คือช่วงที่เพอร์ซีพูดกับพ่อแม่หลังจากความลับแตกนี่แหละ แน่นอนว่าเขาโกรธที่ทุกคนรวมหัวกันหลอกเขา แม้สารตั้งต้นจะเกิดจากความหวังดีแค่ไหนก็ตาม เขาถามพ่อแม่ว่ามีอะไรอีกมั้ยที่พ่อแม่ทำแล้วเขาไม่รู้

เราคิดว่านอกจากความลับจะแตกแล้ว ความเชื่อใจที่เขามีให้พ่อแม่ก็แตกสลายไปพร้อมกัน ก่อนหน้านี้เขาไว้ใจพ่อแม่ให้รู้รหัสผ่านโทรศัพท์ของเขา แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจเปลี่ยนใหม่หมด

เพอร์ซีพูดปิดท้ายว่า “เขารู้ว่าพ่อแม่พยายามจะช่วย แต่มันไม่ใช่เลย พ่อแม่ต้องยอมให้เขาล้มเหลวหรือสำเร็จได้ด้วยตัวเอง”

เราคิดว่าสิ่งที่เพอร์ซีพูดน่าจะแทนใจมนุษย์ลูกหลายๆ คนได้เลย พ่อแม่บางคนมักจะกลัวว่าลูกจะทำไม่ได้บ้าง จะอยู่ไม่รอดนู่นนี่บ้าง พวกเขามัดรวมความกลัวและความเป็นห่วงของพวกเขามาใส่บ่าให้ลูกแบก บางครั้งแทนที่ลูกจะมั่นใจในตัวเองกลับกลายเป็นคนขี้กลัว ขี้กังวล ไม่กล้าลงมือทำอะไรจริงจัง เพราะกลัวจะล้มเหลว เพราะกลัวพ่อแม่จะรับไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความผิดพลาดคือเรื่องธรรมชาติ ถ้าเราไม่เคยผิดพลาด เราก็ไม่ได้เรียนรู้ว่าจะทำสำเร็จได้ยังไง 

แล้วไหนจะเรื่องการไม่มีขอบเขตต่อกัน พ่อแม่ของเพอร์ซีสามารถเข้าไปดูประวัติการใช้อินเตอร์เน็ต หรือติดตามเพอร์ซีตลอดเวลาทั้งที่เขาเป็นวัยรุ่นอายุ 18-19 แล้ว แถมยังมาตัดสินใจหาสาวให้เขาโดยที่ไม่ถามความเห็นอีกตังหาก ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าพ่อแม่ล้ำเส้นจนเกินไปและดูไม่ไว้ใจให้เพอร์ซีได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็นเลย

พูดจากประสบการณ์ตัวเองที่เป็นลูกคนเดียวแบบเพอร์ซี มีแม่คอยเป็นห่วง ความกังวลทั้งหลายมันลงมาที่เราเต็มๆ ไม่มีการกระจายความกังวลให้กับพี่น้องคนอื่น หลายครั้งแม่จะพูดเตือนเราด้วยความเป็นห่วง แต่สิ่งที่แม่พูด มันไม่ใช่การพูดตรงๆ ว่า “แม่เป็นห่วงลูกนะ” แต่คำพูดเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนขี้กลัว

อย่างเช่น การกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้คิดแบบที่เขาพูดบ้าง ต้องคอยมานั่งแปลหลายๆ ชั้น เพราะแม่บอกเราว่าที่เขาพูดดีๆ กับเรา ลึกๆ เขาอาจจะคิดอีกแบบ เรารู้นะว่ามันมีคนแบบนั้นอยู่จริงไม่ใช่แค่ในละครไทย แต่ในวงสังคมของเรา เราแค่เชื่อในตัวพวกเขา

ทุกวันนี้เราเริ่มมองออกว่านั่นคือความกลัวของแม่ ไม่ใช่ของเรา เราจะไม่ยินยอมรับความกลัวนั้นมาเป็นของตัวเองอีกแล้ว

บอกตามตรงว่าสิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ ไม่ใช่การทำเพื่อลูกโดยไม่ถามความเห็นใดๆ แต่ คือการช่วยเป็นกำลังใจในวันที่ลูกล้ม ไม่ต้องซ้ำเติม ช่วยดีใจกับลูกในวันที่เขาทำสำเร็จ แค่นั้นก็พอ

แม้พ่อแม่จะมีเจตนาที่ดีแค่ไหน แต่ในวันนี้ลูกอยากบอกว่าขอบคุณพ่อแม่ที่เป็นห่วงแต่ลูกจะเรียนรู้และผ่านมันไปได้แน่นอน

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นครอบครัวการเลี้ยงดูNo hard feelingsการเข้าสังคม

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • BookDear Parents
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

เพื่อนสนิทในที่ทำงานมีจริงไหม? ทำความเข้าใจมิตรภาพในที่ทำงานผ่านแนวคิด Platonic Love
Relationship
23 May 2024

เพื่อนสนิทในที่ทำงานมีจริงไหม? ทำความเข้าใจมิตรภาพในที่ทำงานผ่านแนวคิด Platonic Love

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Platonic Love คือความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยปราศจากความรู้สึกเชิงโรแมนติก โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในที่ทำงาน การมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิทนี้ก็มีประโยชน์มากมาย
  • ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก Platonic Love เป็นไปในทิศทางบวก คือ เกิดความสำเร็จในระดับบุคคลและทีม การทำงานมีประสิทธิภาพสูงในระดับบุคคลและทีม และได้ทีมที่แน่นแฟ้น
  • แนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาองค์กร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อนุญาตให้มี Platonic Love หรือแม้กระทั่งส่งเสริม Platonic Love ระหว่างสมาชิกภายในองค์กร

“เราเป็นเพื่อนสนิทกับคนในที่ทำงานได้มั้ย?”

คำถามลักษณะนี้พบได้บ่อยมากในกระทู้ต่างๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต บ้างก็ว่าได้ บ้างก็ว่าไม่ได้ ฝั่งที่ว่าได้บอกว่าการมีเพื่อนสนิทจะสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองไม่เคร่งเครียด ส่วนฝั่งที่ว่าไม่ได้ก็บอกว่าคนในที่ทำงานหาคนจริงใจยาก เขาอาจจะแค่แกล้งสนิทหลอกๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ก็ได้

เพื่อนสนิทตามแนวคิดทางจิตวิทยาเรียกว่า Platonic Love ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่คนสองคนมีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยปราศจากความรู้สึกเชิงโรแมนติก โดยความสัมพันธ์ลักษณะนี้ก็มีประโยชน์มากมาย เช่น ได้รับการสนับสนุนทางสังคม (Social Support) และได้พัฒนาทักษะการล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้ (Resilience)

ดังนั้นการจะมีเพื่อนสนิทหรือมิตรภาพแบบ Platonic ในที่ทำงานก็คงจะเป็นเรื่องดี ยิ่งถ้าเป็นการทำงานภายใต้ความกดดันสูง ในบทความนี้อาจไม่ได้ตอบคำถามว่าเราจะเป็นเพื่อนสนิทกับคนในที่ทำงานได้หรือไม่ แต่จะพาไปดูว่าการมีเพื่อนสนิทแบบ Platonic Love ในที่ทำงานเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและจะส่งผลอย่างไรต่อการทำงาน

งานวิจัยว่าด้วย Platonic Love ในที่ทำงาน

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นดุษฎีนิพนธ์ (งานศึกษาวิจัยเพื่อจบปริญญาเอก) ชื่อว่า ‘Love is Work: Work-Based Platonic Love Theory’ จัดทำโดย Margaret Gillette (2018) ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาบุคคลและองค์กร มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจว่าผู้คนที่ทำงานใน Silicon Valley ของรัฐแคลิฟอร์เนียรักกันแบบ Platonic ในที่ทำงานได้อย่างไร และพวกเขารับรู้ถึงผลกระทบอะไรบ้างจากความรักนี้

Gillette กล่าวว่าตัวเองเคยประสบกับ Platonic Love ในที่ทำงานมาก่อนและอยากรู้ว่าคนอื่นจะมีประสบการณ์ในลักษณะนี้เหมือนกันด้วยหรือไม่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าการศึกษาความรักในองค์กรมักเกี่ยวข้องความเป็นผู้นำ (Leadership) หรือคนจากระดับตำแหน่งที่ต่างกัน โดยมองข้ามความรักแบบเพื่อนของคนภายในองค์กร

ด้วยเหตุนี้ Gillette จึงได้ใช้การเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่าง 17 คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ Silicon Valley โดยคละตำแหน่งงานกัน เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่า Platonic Love ในบริบทการทำงานในองค์กรเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และบุคคลเหล่านั้นรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร

ปัจจัยก่อกำเนิด Platonic Love ในที่ทำงาน

จากการวิเคราะห์ข้อมูล Gillette ได้สรุปผลออกมาผ่านการเปรียบเทียบเป็นหม้ออัดแรงดัน (Pressure Cooker) โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 อย่าง คือ สภาพแวดล้อม (Environment), อินพุต (Input), ตัวเร่ง (Catalyst), เอาต์พุต (Output) และผลกระทบ (Effects)

1.   สภาพแวดล้อม (Environment)

จากการเก็บข้อมูลปรากฏสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความกดดันสูง เช่น มีความเร่งรีบ ต้องการคนทำงานมาก ต้องการงานคุณภาพสูง ต้องการนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นต้น ด้วยความกดดันสูงเช่นนี้จึงใช้การเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมเป็นหม้ออัดแรงดันใบนี้

2. อินพุต (Input)

สิ่งที่ต้องใส่เข้าไปในหม้อใบนี้คือการตอบสนองต่อเพื่อนร่วมงานหรือทีม ซึ่งมักเป็นการตอบสนองที่แรงกล้า (High-intensity Response) ได้แก่ ความไม่ชอบ ความขัดแย้ง และความชื่นชม ทั้งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ให้สัมภาษณ์รายงานว่าความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นด้วยอารมณ์เชิงลบหรืออารมณ์รุนแรง แต่เมื่อโฟกัสไปที่งานและได้ทำงานร่วมกันก็สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อกันได้

3. ตัวเร่ง (Catalyst)

แรงที่เข้ามาเร่งให้เกิด Platonic Love คือ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบาก ความท้าทาย งานสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน โดยในภาพหม้ออัดแรงดัน ตัวเร่งในที่นี้คือการหมุนปุ่มเพื่อเพิ่มความร้อน

การมีประสบการณ์ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากร่วมกันเป็นหนึ่งในสัญญาณของ Platonic Love ในเรื่องของ ‘ความใกล้ชิด’ (Closeness) ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนก็รายงานว่า Platonic Love เกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านสถานการณ์เหล่านี้ หรือบางคนก็บอกว่าเกิดขึ้นในทันทีที่ผ่านสถานการณ์เหล่านี้

4. เอาต์พุต (Output)

ผลผลิตที่จะได้จากหม้ออัดแรงดันใบนี้คือ การประสบกับ Platonic Love โดยผู้ให้สัมภาษณ์เกือบทั้งหมดไม่ได้อธิบายผลผลิตนี้ว่าเป็น ‘ความรัก’ (Love) แต่จะใช้คำอื่นแทน เช่น การแคร์กัน (Caring), ความเคารพ (Respect), ความรักแบบครอบครัว (Familial Love), ความรักในทีมตัวเอง (Team Love)

เหตุที่ไม่ใช้คำว่า ‘ความรัก’ (Love) เพราะว่าความรักดูเป็นสิ่งต้องห้าม (Taboo) ในที่ทำงาน โดยเห็นได้จากปฏิกิริยาของผู้ให้สัมภาษณ์ว่ามีความไม่สบายใจในการอธิบาย เช่น เบือนหน้าหนี กระวนกระวาย ตึงเครียดขึ้น ฯลฯ

นอกจากนี้ Gillette ยังเสนอว่าเป็นเพราะความรักในที่ทำงานอาจเชื่อมโยงกับการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) โดยเห็นได้จากการเคลื่อนไหว #MeToo ในช่วงเวลานั้นที่มีคนมากมายออกมาเปิดเผยว่าถูกคุกคามทางเพศจากคนดังใน Hollywood และสร้างแรงกระเพื่อมไปสู่การตระหนักถึงความร้ายแรงของพฤติกรรมดังกล่าวในระดับโลก

5. ผลกระทบ (Effects)

ผู้ให้สัมภาษณ์รายงานว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก Platonic Love เป็นไปในทิศทางบวก คือ เกิดความสำเร็จในระดับบุคคลและทีม, การทำงานมีประสิทธิภาพสูงในระดับบุคคลและทีม และก็ได้ทีมที่แน่นแฟ้น โดยในภาพจะเปรียบเป็นไอน้ำที่เกิดขึ้นจากการทำงานของหม้ออัดแรงดัน

ความสำเร็จเกิดมาจากการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการทำงาน ทั้งยังมีผู้ให้สัมภาษณ์บางคนรายงานว่าแม้จะไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงให้ความช่วยเหลือกันและกันต่อไป นอกจากนี้ มีผู้ให้สัมภาษณ์บางส่วนรายงานว่าความสัมพันธ์ลักษณะนี้ทำให้พวกเขาได้ให้และรับฟีดแบ็กที่มีประโยชน์ต่อการทำงาน ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและนำไปสู่ความสำเร็จ

ผู้ให้สัมภาษณ์รายงานว่า ในทีมที่มี Platonic Love เมื่อทำงานเสร็จและงานออกมาดีก็อยากทำงานด้วยกันต่อไป ทำให้เกิดเป็นทีมที่แน่นแฟ้นและพร้อมทำงานร่วมกันแม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ยากลำบาก เพราะ Plantonic Love เปรียบเสมือนกับสิ่งที่ป้องกันไม่ให้ทีมแตกเป็นเสี่ยงๆ (Shatterproof)

การนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กร

Gillette เสนอว่าข้อค้นพบที่ได้จากงานนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพ (Practitioner) นำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในทรัพยากรบุคคล (Human Resource: HR) และการพัฒนาองค์กร (Organization Development: OD) เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อนุญาตให้มี Platonic Love หรือแม้กระทั่งส่งเสริม Platonic Love ระหว่างสมาชิกภายในองค์กร

อย่างไรก็ตาม Gillette ย้ำว่าแม้ในแนวคิดจะมีความยากลำบากเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเพิ่มความยากลำบากเข้าไป ในการทำงานปกติเราต้องประสบกับความยากลำบากอยู่แล้ว การมีแบบจำลองที่ทำให้รับรู้ถึงความเป็นไปได้ในสถานการณ์ของตัวเองจะช่วยให้บุคคลและทีมผ่านความยากลำบากไปได้

สรุปคือ การมี Platonic Love ในที่ทำงานสร้างประโยชน์ให้เรามากมาย แม้ว่าอาจจะยังตอบคำถามไม่ได้ว่าเพื่อนสนิทในที่ทำงานมีจริงหรือไม่ แต่การมีเพื่อนสนิทที่คอยรักและห่วงใยกันในที่ทำงานก็เป็นเรื่องดีที่จะทำให้การทำงานของเราดำเนินไปได้อย่างราบรื่นทั้งทางกายและทางใจ

อ้างอิง

กันต์กนิษฐ์ มิตรภักดี. (2564) #MeToo แฮชแท็กที่เปลี่ยนข่าวฉาวของฮาร์วีย์ ไวน์สตีนให้เป็นการเคลื่อนไหวของผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศทั่วโลก.

Gillette, M. (2018). Love is Work: Work-Based Platonic Love Theory [Doctoral dissertation, Alliant International University]. 

Tags:

องค์กรความสัมพันธ์ความรักPlatonic Loveที่ทำงาน

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Weaponized-Incompetence-1
    Relationship
    Weaponized Incompetence: ทำไมการ ‘แกล้งทำไม่เป็น’ เพื่อโยนงานให้คนอื่น ถึงเป็นเรื่องท็อกซิกในความสัมพันธ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Relationship
    ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Bubble-Wrap Parenting: ปกป้องลูกมากเกินไปอาจได้ผลลัพธ์เป็นความ ‘เปราะบาง’ ทั้งร่างกายและจิตใจ
Character building
20 May 2024

Bubble-Wrap Parenting: ปกป้องลูกมากเกินไปอาจได้ผลลัพธ์เป็นความ ‘เปราะบาง’ ทั้งร่างกายและจิตใจ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Bubble-Wrap Parenting คือ วิธีการเลี้ยงลูกราวกับห่อพลาสติกไว้หนาๆ แบบเดียวกับตอนส่งสิ่งของทางไปรษณีย์เพื่อกันกระทบกระแทก ‘การปกป้องเด็กจนเกินควร’ เช่นนี้อาจส่งผลเสียในมุมกลับคือ ทำให้เด็กคนนั้น ‘เปราะบาง’ มากขึ้น
  • เด็กที่ไม่เคยเผชิญความยากลำบากและไม่ต้องดิ้นรนแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะขาด ‘ทักษะการแก้ปัญหา’ และหวังพึ่งพาพ่อแม่อยู่ร่ำไป เข้าทำนองเรื่องเล่า ‘พ่อแม่รังแกฉัน’
  • มีวิธีแก้เรื่องนี้หรือไม่? พ่อแม่ต้องทำอย่างไรจึงจะเลิกสปอยล์เด็กๆ จนก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบ วิธีแรกคือการบอกตัวเองว่าไม่มีทางที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ที่จะไม่ทำให้เด็กเจ็บปวดทางร่างกายหรือจิตใจได้อย่างสิ้นเชิง

เด็กยุคนี้เกิดมาในครอบครัวเดี่ยวที่อาจมีลูกเพียงคนเดียวหรือแค่ 2 คนเป็นส่วนใหญ่ และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไวมาก พ่อแม่จำนวนมากทีเดียวที่พยายามปกป้องลูกแบบ ‘ไข่ในหิน’ หรือถ้าเป็นสังคมจีนยุคก่อนเปิดประเทศก็เรียกว่าเลี้ยงลูกแบบ ‘ฮ่องเต้น้อย’ (เพราะอยากได้แต่ลูกชาย) คือ ทำให้ทุกอย่าง เอาอกเอาใจมากจนราวกับเป็นฮ่องเต้ ไม่เคยให้ต้องเผชิญความยากลำบาก จนแทบทำอะไรเองแทบไม่เป็น และเอาแต่เรียกร้องสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา 

วิธีการเลี้ยงลูกราวกับห่อพลาสติกไว้หนาๆ แบบเดียวกับตอนส่งสิ่งของทางไปรษณีย์เพื่อกันกระทบกระแทก (ในภาษาอังกฤษมีคำเรียกว่าเป็น Bubble-Wrap Parenting) หรือปกป้องราวกับมีครอบแก้วที่มองไม่เห็นครอบไว้ตลอดเวลา ส่งผลอะไรกับบ้างกับเด็กเหล่านี้ และแม้แต่กับตัวพ่อแม่เอง?

ในครอบครัวส่วนใหญ่สมัยนี้ พ่อแม่ต้องช่วยลูกทำการบ้านด้วย ซึ่งหากพ่อแม่บางคนไม่มีความอดทนมากพอ ก็คงอยากทำให้เลยมากกว่า เพราะใช้เวลาน้อยกว่าการค่อยๆ มานั่งอธิบายว่าต้องทำอย่างไร แต่การทำแบบนี้จะไปขัดขวางพัฒนาการสำคัญหลายอย่างในเด็ก ในทางกลับกัน พ่อแม่หลายคนก็หมดปัญญาจะสอนลูกทำการบ้าน แม้แต่เมื่อลูกเรียนชั้นประถม เพราะห้องเรียนสมัยนี้ใส่เนื้อหาเข้าไปมากเหลือเกิน แม้แต่ตั้งแต่ตอนเด็กยังอายุน้อยมาก   

เด็กที่ไม่เคยเผชิญความยากลำบากและไม่ต้องดิ้นรนแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะขาด ‘ทักษะการแก้ปัญหา’ และหวังพึ่งพาพ่อแม่อยู่ร่ำไป 

ยังพบอีกด้วยว่าการที่เด็กไม่ต้องเผชิญความเครียดหรือสถานการณ์กดดัน ทำให้เด็กคนนั้นขาดความสามารถในการเผชิญหน้าและจัดการกับแรงกดดันเมื่อโตขึ้น เข้าทำนองเรื่องเล่า ‘พ่อแม่รังแกฉัน’ ในสมัยก่อนที่พ่อแม่ทำให้ทุกอย่าง แต่เมื่อพ่อแม่จากไป ลูกที่แม้แต่จะมีเงินมรดกมากมายที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้ให้ ก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้  

นอกจากนี้เด็กคนนั้นยังขาดโอกาสเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบที่จะต้องทำสิ่งต่างๆ ให้ได้ตามกำหนดเวลาและการตอบสนองผลที่เกิดจากความผิดพลาดของตัวเอง ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องแน่นอนหรือรับประกันได้ บ่อยครั้งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผ่านการลงมือทำซ้ำๆ หรือต้องล้มเหลวหลายครั้งหลายหนเสียก่อน การเรียนรู้ผ่านการทำการบ้านหรืองานเดี่ยวงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย แต่ทำไม่ถูกต้องและถูกตำหนิ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้และมีประสบการณ์เอาไว้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญ   

แต่จะว่าไปก็น่าสงสารพ่อแม่ยุคนี้อยู่เหมือนกันนะครับ เพราะมีจำนวนมากเลยที่รู้สึกถึงความกดดันจากคนรอบๆ ตัวว่า ต้องเลี้ยงดูลูกให้ดี ต้องคอยปกป้อง อย่างน้อยก็ต้องทำให้ได้ไม่แพ้ ‘มาตรฐานง ที่บ้านอื่นๆ ทำกันอยู่ ซึ่งไม่ง่ายเลย ยิ่งหากชุมชนนั้นหรือแวดวงคนรอบตัวตั้งมาตรฐานไว้สูงมากๆ  

‘การปกป้องเด็กจนเกินควร’ อาจส่งผลเสียในมุมกลับคือ ทำให้เด็กคนนั้น ‘เปราะบาง’ มากขึ้น และเด็กที่ได้รับการเอาใจและปกป้องจนเกินควร มักจะส่งผลให้ขาดประสบการณ์การรับมือปัญหา จึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะตัดสินใจทำอะไรเสี่ยงๆ มากขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะประเมินสถานการณ์อย่างเหมาะสมไม่เป็น  [1] 

ผลกระทบแบบนี้จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อเด็กคนนั้นกลายเป็นวัยรุ่นหรือเมื่อตัดสินใจแยกออกจากครอบครัวไปใช้ชีวิตคนเดียว โดยมักจะตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นบ่อยครั้งและทำตัวดื้อดึงเอาแต่ใจมากกว่าคนอื่น ทั้งอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัว กรณีหลังอาจคิดว่าก็ทำมาได้ตลอดชีวิตนี่นา  

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมากของการปกป้องจนเกินเหตุก็คือ การไม่ปล่อยให้ลูกออกไปเล่นคลุกดินเปื้อนทรายกับเพื่อนๆ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงว่าการที่เด็กๆ ได้ออกไปเล่นตัวเปื้อนเลอะเทอะกลับช่วยลดโอกาสที่เด็กจะเกิดอาการภูมิแพ้สิ่งต่างๆ และแม้แต่การแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune) [2]

อันที่จริงถึงกับมี ‘สมมุติฐานเกลอเก่า (old-friends hypothesis)’ ที่เชื่อว่า ยิ่งในตอนเป็นเด็กน้อยได้เจอกับเชื้อโรคสารพัดมากเท่าใด ร่างกายในยามที่โตขึ้นก็จะเข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราได้เจอเชื้อต่างๆ ที่เป็น ‘เพื่อนเก่า’ มาแล้วในอดีต จึงรับมือเมื่อต้องเจอเชื้อคล้ายๆ กันอีกได้ดีขึ้นนั่นเอง [3]   

ข้อเท็จจริงสองเรื่องที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้ก็คือ เด็กที่เกิดโดยการผ่าคลอดมีแนวโน้มจะเกิดเป็นโรคภูมิแพ้อาหารได้ง่ายกว่า เพราะไม่ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อม รวมทั้งเชื้อต่างๆ ในช่องคลอดของมารดาขณะคลอด [4] สอดคล้องกับการที่พบว่าเด็กที่เติบโตในฟาร์มเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืดน้อยกว่าเด็กในเมือง เพราะอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ได้สัมผัสทั้งสัตว์และพืชมากกว่า [5] 

สภาวะสะอาดหมดจดเหมือนที่โฆษณาตามสื่อต่างๆ ว่า สารที่ใช้เช็ดถูพื้นในบ้านฆ่าเชื้อได้ดีมากระดับกว่า 99% จึงกลับอาจจะไม่ดีกับสุขภาพของเด็กๆ เท่าไหร่ เพราะทำให้ภูมิไม่เกิดขึ้นหรือไม่ก็หดหาย!

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังเช่นกันว่าดินหรือทรายที่เด็กๆ ไปเล่นนั้นควรจะปลอดจากสิ่งต่างๆ ที่เป็นอันตราย สารพิษต่างๆ รวมไปถึงเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการสัมผัส การกิน หรือแม้แต่การหายใจด้วย 

งานวิจัยทำให้รู้ว่าเด็กๆ จำนวนมากเลย (60%) ที่แสดงลักษณะนิสัยเป็นคนขี้วิตกกังวล ต่างก็มีพ่อแม่ที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้เช่นกัน เรียกว่าพ่อแม่ขี้กังวลจนติดไปถึงลูกก็คงไม่ผิดนัก นักจิตวิทยาบางคนถึงกับมองว่าลักษณะนิสัยแบบนี้ คือสูตรสำเร็จแบบหนึ่งของความล้มเหลวเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ทีเดียว [1]

ปัญหาที่เป็นไปได้อีกแบบหนึ่งสำหรับนิสัยห่วงลูกเกินกว่าความจำเป็นของพ่อแม่บางคนก็คือ จะทำให้เด็กเกิดความคิดหรือความรู้สึกว่า การควบคุมสิ่งต่างๆ รอบตัวทุกสิ่งอย่างเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ พวกเขาจึงควรทำตัวให้ ‘สมบูรณ์แบบ’ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน รวมไปถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็ต้องสมบูรณ์แบบด้วย ซึ่งที่ว่ามานี้เป็นเรื่องผิดธรรมชาติมากและเป็นไปไม่ได้เลย 

ผลลัพธ์คือมุมมองแบบนี้จะค่อยๆ หล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นมาพร้อมกับนิสัยอยากทำตัว ‘สมบูรณ์แบบ’ อยู่ตลอดเวลา และอยากควบคุมสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอเพื่อให้สบายใจ นิสัยแบบนี้อาจส่งผลเสียร้ายแรงได้คือ ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ บอกตัวเองเสมอว่าตัวเองยังดีไม่พอ หรือไม่ก็มีนิสัยชอบจับผิดคนรอบตัวทั้งเพื่อนและคู่รัก ว่ามีข้อบกพร่องอะไรอยู่บ้าง

ลักษณะเช่นนี้ย่อมกั้นขวางมิให้เกิดความสุขสงบในจิตใจได้โดยง่าย   

มีวิธีแก้เรื่องนี้หรือไม่? พ่อแม่ต้องทำอย่างไรจึงจะเลิกสปอยล์เด็กๆ จนก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบ 

ข้อมูลจากนิตยสาร Psychology Now ฉบับที่ 7 ปี 2023 ระบุว่า มีแนวทางที่ใช้เป็นไกด์ไลน์ช่วยแก้ไขพฤติกรรมแบบนี้ของพ่อแม่ได้อยู่ 5 แบบดังนี้ 

วิธีแรกคือการบอกตัวเองว่าไม่มีทางที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ที่จะไม่ทำให้เด็กเจ็บปวดทางร่างกายหรือจิตใจได้อย่างสิ้นเชิง ความคิดทำนองนี้เป็นเรื่องผิดธรรมชาติมาก  

ประสบการณ์ความเจ็บปวดและผิดหวังนี่เอง ที่จะสร้างอุปนิสัยการปรับตัวและแก้ไขตัวเองของเด็ก ทำให้กลายไปเป็นผู้ใหญ่ที่รู้คิดและฉลาดรับมือสถานการณ์ต่างๆ ในอนาคตต่อไป

ข้อต่อไปก็สอดคล้องกัน นั่นคือการเปิดให้มีช่องว่างเพื่อให้เด็กมีโอกาสคิดเชิงวิเคราะห์ วิพากษ์กับปัญหาที่พบด้วยตัวเอง ไม่ทำตัวเป็น ‘คุณพ่อรู้ดี’ หรือ ‘คุณแม่รู้ดี’ ที่มีคำตอบทุกอย่างในชีวิตและถูกต้องเสมอ (ทั้งๆ ที่บางอย่างก็ไม่ถูกต้องจริงๆ สักเท่าไหร่) 

เมื่อเด็กเริ่มคิดและหาคำตอบ แม้ว่าอาจจะผิดๆ ถูกๆ แต่การเรียนรู้จากผลลัพธ์ของการกระทำตัวเองก็ทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันทางความคิดและพร้อมเผชิญหน้าหรือรับมือกับปัญหาต่างๆ ในอนาคตมากขึ้น

ถือเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะต้องให้กำลังใจเวลาเกิดความผิดพลาดในการเลือกขึ้น การบอกเล่าประสบการณ์การเลือกผิดของตัวพ่อแม่เอง ก็เป็นเรื่องที่ทำได้และสมควรทำด้วยเช่นกัน  

ข้อต่อไปที่สอดคล้องกันก็คือ คุณต้องมีปฏิกิริยาที่ถูกต้องเวลาเด็กๆ ทำอะไรผิดพลาด คุณไม่ควรทำตัวปกป้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลาหรือมากจนเกินเหตุ การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ต้องเผชิญความยากลำบาก ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความผิดพลาดของตัวเองอยู่เรื่อยๆ จะทำให้พวกเขาแกร่งขึ้น 

นอกจากนี้ ยังช่วยให้เด็กๆ มองเรื่องความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติมากขึ้น จึงเข้มแข็งและทำตัว ‘เปราะบาง’ ลดลง   

การมอบหมายภาระหน้าที่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดถูปัดกวาดบ้าน การซักผ้า หรือการล้างจาน ฯลฯ ก็มีความสำคัญ ถือเป็นการสอนเรื่องความรับผิดชอบที่สำคัญ ที่เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยใกล้ตัว และเป็นการกล่อมเกลาให้เกิดอุปนิสัยมีวินัยและความรับผิดชอบ ซึ่งจำเป็นกับความสำเร็จในชีวิตเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ 

เคล็ดลับข้อสุดท้ายได้แก่ การพยายามเปลี่ยนความกังวลใจให้อยู่ในรูปคำแนะนำ แทนที่จะต้องส่งเสียงหรือตะโกนด้วยความเป็นห่วง เช่น อย่าวิ่ง ระวังรถ! ก็ให้สอนว่าทางด้านนั้นอาจจะมีรถวิ่งมาได้ตลอด ให้ระวังตัวด้วย เล่นทางฝั่งนี้จะปลอดภัยกว่า ฯลฯ ให้เด็กเรียนรู้จากการรับฟัง และแสดงความเชื่อใจว่า ผู้ใหญ่เชื่อว่าเด็กรับฟัง เข้าใจ และทำตามคำแนะนำของตัวเองได้     

วิธีการปกป้องเด็กๆ ที่ดีที่สุดในทุกยุคทุกสมัยได้แก่ การทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กได้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ ไม่ทำตัวแบบพูดอย่างทำอย่างจนเด็กๆ สับสนนั่นเอง

เอกสารอ้างอิง

[1] Are We Bubble-Wrapping Our Kids? Psychology Now (2023) Vol. 7, pp. 72-75

[2] https://www.livescience.com/health/allergies/is-playing-in-the-dirt-good-for-kids-immune-systems

[3] Front Allergy. 2023 Sep 12:4:1220481. doi: 10.3389/falgy.2023.1220481. 

[4] Front Pediatr. 2023 Jan 17:10:1044954. doi: 10.3389/fped.2022.1044954.

[5] https://www.wpr.org/health/study-investigate-why-farm-children-are-less-likely-have-allergies-asthma 

Tags:

ความวิตกกังวลความกดดันBubble-Wrap Parentingทักษะการแก้ปัญหาการเติบโตรูปแบบการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ (Parenting Styles)

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Kids Konference : ประชุมกลุ่มวัยอนุบาล เปิดให้คุยตั้งแต่ทำไมฝนตกถึงความตาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Anne with an E: การได้รับการปกป้องนี่มันสำคัญมากเลยนะ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 
Book
18 May 2024

วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ (Why Has Nobody Told Me This Before?) เขียนโดย ดร.จูลี่ สมิธ (Dr. Julie Smith) นักจิตวิทยาคลินิกชื่อดัง แปลเป็นภาษาไทยโดย ดุษฎี สืบแสงอินทร์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น
  • หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกับกระเป๋าที่เต็มไปด้วยคู่มือและเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้เราสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากไปพร้อมกับการเข้าใจกลไกการทำงานของจิตใจ

“คุณไม่จำเป็นต้องมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเพื่อรับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในภาวะสุขภาพจิตที่ใดก็ตาม การดูแลสุขภาพจิตของคุณเป็นสิ่งสำคัญ และหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณทำเช่นนั้นได้”

คำแนะนำที่เรียบง่ายของ ดร.จูลี่ สมิธ  (Dr. Julie Smith) นักจิตวิทยาคลินิกชื่อดังที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามทาง TikTok (@drjulie) มากกว่า 4.7 ล้านคน เตือนให้ผมย้อนกลับมาถามตัวเองว่าทุกวันนี้ผมได้ทำอะไรเพื่อดูแลสุขภาพจิตของตัวเองบ้าง และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจอ่านหนังสือ ‘วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณของเธอ’  (Why Has Nobody Told Me This Before?) แม้ผมจะมองว่าความวิตกกังวลและความเครียดถือเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่แล้ว

ในหนังสือเล่มนี้ ดร.จูลี่ ได้แนะนำเครื่องมือที่ทุกคนสามารถนำมาใช้บริหารจัดการและรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกอันไม่แน่นอนในแต่ละวัน ซึ่งส่วนตัวเครื่องมือที่ดูจะเหมาะสมกับผมในเวลานี้คือเครื่องมือที่ใช้จัดการกับความวิตกกังวล

ดร.จูลี่ เข้าใจดีว่าผู้ที่เข้ารับการบำบัดกับเธอรวมถึงผู้คนมากมายต่างอยากได้เคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถลงมือปฏิบัติแล้วสามารถสลายความวิตกกังวลได้อย่างเห็นผลทันที เธอจึงแนะนำให้พวกเขาฝึก ‘การควบคุมลมหายใจ’ เพราะเวลาที่คนเรามีความวิตกกังวล ร่างกายจะส่งสัญญาณเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการอยู่รอดด้วยการหายใจที่แรงขึ้นถี่ขึ้น ดังนั้นการควบคุมลมหายใจด้วยการฝึกหายใจอย่างช้าๆ จึงเป็นการลงทุนที่ดูคุ้มค่าและช่วยให้ความวิตกกังวลเบาบางลง 

“คุณจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทัน คุณจึงหายใจเร็วขึ้นและตื้นขึ้น ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากเกินไป แต่ถ้าคุณพยายามหายใจให้ช้าลง ร่างกายของคุณก็จะสงบลง ซึ่งส่งผลให้การหายใจของคุณช้าลงตามไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น หากคุณผ่อนลมหายใจออกให้ยาวกว่าตอนหายใจเข้า อัตราการเต้นของหัวใจก็จะช้าลง เมื่อหัวใจเต้นช้าลงแล้ว ความวิตกกังวลก็จะเบาบางลงตามไปด้วย”

หลังจากลองทำตาม ผมพบว่าการพยายามผ่อนลมหายใจออกให้ยาวกว่าตอนหายใจเข้าของดร.จูลี่ค่อนข้างได้ผล ไม่สลับซับซ้อน และทำได้ง่ายๆ ทุกที่ทุกเวลา พอหายใจให้ช้าลงและลึกขึ้น ความวิตกกังวลของผมก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าใครอยากฝึกหายใจในขั้นที่ละเอียดไปกว่านี้ ดร.จูลี่ได้แนะนำเครื่องมือที่มีชื่อว่า ‘การหายใจแบบสี่เหลี่ยม’ มาให้เราทดลองทำด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ 

  • เริ่มจากการมองไปยังสิ่งที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยม เช่น ประตู หน้าต่าง หรือจอคอมพิวเตอร์
  • จดจ่อสายตาไปยังมุมซ้ายล่าง หายใจเข้านับ 1-4 พร้อมกับไล่สายตาไปยังมุมบนซ้าย
  • กลั้นหายใจไว้ 4 วินาที ก่อนลงสายตาไปยังมุมบนขวา
  • หายใจออกโดยนับ 1-4 พร้อมกับไล่สายตาไปยังมุมล่างขวา
  • กลั้นหายใจไว้ 4 วินาที พลางไล่สายตาไปยังมุมซ้ายล่างอีกครั้งเพื่อเริ่มต้นใหม่

อย่างไรก็ตาม ดร.จูลี่บอกว่าหากใครลองใช้เทคนิคการหายใจแบบสี่เหลี่ยมแล้วแต่ยังรู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ตอบโจทย์ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัวสักพักกับวิธีการหายใจรูปแบบใหม่ 

นอกจากนี้ การฝึกหายใจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เรามีความพร้อมในการรับมือกับความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น…ดีกว่าการรอให้วิตกกังวลก่อนแล้วค่อยควบคุมลมหายใจ ซึ่งอาจเปรียบได้กับการรอให้ป่วยก่อนแล้วค่อยหันกลับมาดูแลตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วสุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกายที่ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด  

“เครื่องมือต่างๆ อาจดูดียามอยู่ในกล่อง แต่มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อคุณหยิบมันออกมาและฝึกใช้งานเป็นประจำ ถ้าครั้งนี้คุณยังใช้ค้อนตอกตะปูไม่สำเร็จ ก็ให้ลองพยายามใหม่ภายหลัง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับคุณ ฉันเองก็ยังคงฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกินจะรับไหว แต่ให้เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ซึ่งในระหว่างที่สร้างความมั่นใจ จงเป็นโค้ชของตัวเอง ไม่ใช่นักวิจารณ์ที่เลวร้ายที่สุด”

Tags:

จิตวิทยาความวิตกกังวลวิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณWhy Has Nobody Told Me This Before?สุขภาพจิตหนังสือ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Life classroomHow to enjoy life
    เปลี่ยนที่ทำงานเป็นพื้นที่ฮีลใจ ‘โศรยา ทองดี’ ฮีลเลอร์แห่งโบว์เบเกอรี่เฮ้าส์

    เรื่อง The Potential

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ: รู้ทันกลลวงของเจ้าลิงตัวนั้น แล้วจัดการความวิตกกังวลที่ก่อกวนชีวิตเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ระบุที่มาของความสุขและทุกข์ด้วยหลัก PERMA และจงวาดวงกลมความทุกข์ให้เต็มกระดาษเอสี่!

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว
Social Issues
14 May 2024

โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • “หนูมีความฝันว่าอยากทำงานด้านนี้ อยากเป็นพยาบาล ตอนนี้เรียนจบหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลแล้ว ก็จะทำงานก่อน 2 ปี แล้วเรียนต่อพยาบาลให้ได้ เพราะหนูอยากเป็นอาจารย์พยาบาลค่ะ”
  • ความฝันของ นัจมี หะเดร์ หรือ มี จะไปต่อไม่ได้เลยถ้าไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาจาก โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล สานต่อความหวังของครอบครัว
  • หากถามว่าการได้รับโอกาสทางการศึกษาในครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตเราอย่างไร? มีตอบได้ทันทีว่า ทำให้ชีวิตที่ดูเหมือนจะวนลูปสู่การทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและจุนเจือครอบครัว มีความหวังที่จะลืมตาอ้าปากขึ้นมา

“…ไม่มีโอกาสได้เรียน เพราะไม่มีเงิน…”

นี่คือหนึ่งในเหตุผลหลักๆ ของเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ โดยข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาว่า ความยากจนหรือด้อยโอกาสทำให้เด็กไทย (6-14 ปี) ยังอยู่นอกระบบการศึกษามากกว่า 430,000 คน และมีเพียง 5% ต่อรุ่น ที่มีโอกาสศึกษาต่อระดับสูง เทียบกับค่าเฉลี่ยของประชากรประเทศที่มีโอกาสถึง 30% อีกทั้งช่องว่างการเข้าถึงการศึกษาระหว่างคนรายได้น้อยกับรายได้ปานกลางยังห่างกันถึง 20 เท่า

ซึ่ง นัจมี หะเดร์ หรือ มี เป็นหนึ่งในเด็กขาดแคลนทุนทรัพย์ ที่วันนี้ได้รับโอกาสทางการศึกษาจาก โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส โดยมีกสศ. เป็นผู้สนับสนุน      

มีเล่าว่า เนื่องจากทางบ้านไม่สามารถส่งเสียเธอเรียนต่อในเส้นทางที่ใฝ่ฝัน นั่นก็คือ ‘พยาบาล’ แม้จะมีพี่สาวถึง 2 คน ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ต่างคนก็ต่างต่างมีภาระหน้าที่ของตัวเอง ส่วนพ่อก็ไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อ 6 ปีที่แล้ว อีกทั้งแม่เสียชีวิตในระหว่างที่เธอกำลังได้รับการพิจารณาเรื่องทุนการศึกษา เสมือนฝันสลายแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าจะบอกว่าโลกใบนี้ช่างใจร้ายกับเธอก็คงไม่ผิดนัก แต่แล้วแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ลอดเข้ามา เมื่อเธอได้รับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลอย่างใจหวัง 

จุดเริ่มต้นจาก ‘อาสากู้ภัย’ สู่นักเรียนทุนฯหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล

เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวทั้งพ่อและยายมักเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่มียังเด็กๆ เธอจึงอยากทำหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวยามเจ็บป่วยได้อย่างที่พี่พยาบาลทำบ้าง การเรียนต่อในหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลจึงเป็นตัวเลือกที่ปักหมุดไว้แต่แรก

“หนูมีความฝันว่าอยากทำงานด้านนี้ อยากเป็นพยาบาล ตอนนี้เรียนจบหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลแล้ว ก็จะทำงานก่อน 2 ปี แล้วเรียนต่อพยาบาลให้ได้ เพราะหนูอยากเป็นอาจารย์พยาบาลค่ะ” มีเล่าถึงความฝันของตัวเองให้ฟัง ด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เธอดูมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่รักและยังสามารถดูแลครอบครัวได้อีกด้วย 

ก่อนหน้าที่มีจะมาเป็นนักเรียนทุนฯหลักสูตรพยาบาลนี้ เธอเล่าว่านอกจากทำงานพาร์ตไทม์ที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถจังหวัดภูเก็ต กับพี่สาวช่วงปิดเทอม และขายของออนไลน์ไปด้วย ในช่วงชีวิตมัธยมปลาย ทุกๆ วันเสาร์ – อาทิตย์ ได้มีโอกาสทำงานจิตอาสาหน่วยกู้ชีพพิทักษ์ภัย อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส โดยได้ค่าตอบแทนบ้างเมื่อมีการส่งผู้ป่วยในที่ไกลๆ เรียกว่าเป็นค่าน้ำใจราวๆ 300 – 400 บาทต่อ 1 เคส แต่สิ่งที่ได้มากกว่าค่าตอบแทนนั้น คือประสบการณ์ในการทำงานช่วยเหลือผู้ป่วย เหมือนเป็นการปูพื้นฐานในการเรียนผู้ช่วยพยาบาลไปในตัว  

“หนูทำงานจิตอาสาที่หน่วยพิทักษภัยด้วยค่ะ ตอนแรกก็เป็นอาสาสมัคร ช่วยออกเหตุกับพี่ๆ ช่วยจัดเตรียมของอุปกรณ์ต่างๆ แล้วหลังๆ ก็คือหนูออกเหตุเองค่ะ ทำมาได้เกือบ 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะได้ทุน ทำตั้งแต่ม.5 เพราะว่าเสาร์-อาทิตย์ หนูไม่ได้เรียนก็เลยไปอาสาค่ะ งานนี้ก็ตื่นเต้นและลุ้นว่าวันนี้เราจะเจอเหตุอะไร หนักไหม หรือว่าเบสิกๆ” 

“สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากการทำจิตอาสากู้ภัย คือเขาจะสอนเกี่ยวกับการช่วยเหลือขั้นพื้นฐาน การทำ CPR ให้กับคนไข้ที่หมดสติ วัดชีพจรไม่ได้ แล้วพอได้มาเรียนผู้ช่วยพยาบาลก็เหมือนเราพอมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว ก็เลยง่ายขึ้น” 

ทุนเปลี่ยนชีวิต เติมเต็มความหวัง ความฝัน และอนาคต

หากถามว่าการได้รับโอกาสทางการศึกษาในครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตเราอย่างไร? มีตอบได้ทันทีว่า ทำให้ชีวิตที่ดูเหมือนจะวนลูปสู่การทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและจุนเจือครอบครัว มีความหวังที่จะลืมตาอ้าปากขึ้นมา เพราะการได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น การได้รับการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการในอนาคต นั่นหมายถึงโอกาสในการได้รับค่าตอบแทนหรือรายได้ที่สูงขึ้นด้วย สามารถเลื่อนระดับทางสังคม (Social Mobility) ในรุ่นของตน ซึ่งส่งผลไปถึงการขจัดความยากจนข้ามรุ่นได้ 

“ตอนแรกหนูก็หวังแค่ว่าเรียนให้ม.6 ค่ะ เพราะไม่สามารถที่จะเรียนได้ ด้วยฐานะที่บ้านก็ไม่ดี แล้วก็ได้มาเจอทุนนี้ ทุนนี้ได้เปลี่ยนชีวิตหนูไปมากค่ะ

จากที่คนคนนึงจะไม่ได้เรียนแล้ว เพราะเราไม่มีตังค์ เลยคิดว่าจบแล้วไม่ต้องไปเรียน ก็ไปทำงาน แล้วก็มีทุนมายื่นมือให้หนู นับว่าเป็นบันไดขั้นแรกเลยค่ะ ที่ทำให้หนูได้เรียนต่อ แล้วก็ช่วยสานฝันของหนูให้ได้เข้าใกล้ความเป็นจริงค่ะ นั่นก็คืออาจารย์พยาบาล” 

ถึงตอนนี้มีได้เรียนจบในหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลตามระยะเวลาที่กำหนดไว้นั่นคือ 1 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับประกาศนียบัตรทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล รุ่นที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2566 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567 ณ หอประชุมคณะพยาบาลศาสตร์ เขตบางนาค คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส 

“หลังจากเรียนจบแล้ว อนาคตข้างหน้าก็คือหนูอาจจะทำงานไปก่อน แล้วก็เรียนต่อคณะพยาบาล แล้วก็จะเรียนต่อป.โทด้วยค่ะ เพราะว่าฝันอยากจะเป็นอาจารย์พยาบาล” 

จากความมุ่งมั่นพยายามและมีใจรักในสิ่งที่ทำอย่างเต็มเปี่ยม เชื่อว่าต่อจากนี้การเป็นอาจารย์พยาบาลคงไม่ไกลเกินเอื้อมของเธอคนนี้แน่นอน 

“ถ้ามองย้อนกลับไป ถ้าไม่ได้รับโอกาสนี้ หนูคิดว่าชีวิตตอนนี้ก็น่าจะทำงานงกๆ อยู่ อาจจะไปทำงานที่มาเลเซีย หรือไม่ก็ไปทำงานที่ภูเก็ตกับพี่สาวค่ะ ซึ่งก็ไม่ได้มีทางเลือกมากเท่าไหร่” 

“หนูเลยมองว่าการได้รับโอกาสในการเรียนสำคัญมากค่ะ อย่างทุนนี้เขาจะมอบทุนการศึกษาให้หนู แต่ละเดือนเขาก็จะโอนให้หนู หนูก็เอาเงินส่วนนี้แบ่งไปให้พ่อบ้างในแต่ละเดือน

เพราะนอกจากจะสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ค่าเรียน ยังสนับสนุนกิจกรรมปรับบุคลิกภาพ การแต่งหน้า การสัมภาษณ์ยังไงให้ได้งาน แล้วก็เสริมด้านภาษาอังกฤษกับภาษาอาหรับ เพราะว่าที่โรงพยาบาลนราธิวาสมีชาวต่างชาติมาใช้บริการเยอะค่ะ”

สุดท้ายนี้ มีขอส่งสารฝากไปถึงน้องๆ หรือพี่ๆ ที่กำลังรู้สึกหมดหวังในชีวิต อยากเรียนต่อแต่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ ไม่รู้ว่าจะไปเส้นทางไหนดี 

“หนูอยากจะบอกว่าทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงมอบโอกาสให้กับเรา แล้วก็อยากจะฝากน้องๆ ที่ไม่มีทุนในการศึกษา ให้ลองมาสมัครทุนนี้ดูค่ะ เพราะว่าทุนนี้เปลี่ยนชีวิตหนู หนูก็อยากส่งต่อโอกาสตรงนี้ให้คนอื่นๆ ด้วย อยากส่งข่าวสารให้กับคนทั่วประเทศได้รู้ว่ามีทุนดีๆ แบบนี้ให้กับเราอยู่ แล้วก็ถ้าหนูมีโอกาสได้เป็นผู้ให้หนูก็จะให้ หนูมีแผนว่าถ้าสมมติหนูเรียนจบในคณะที่หนูอยากเรียนแล้วก็ทำอาชีพที่หนูอยากทำ หนูก็จะกลับมาพัฒนาอนามัยในหมู่บ้านด้วยค่ะ”

Tags:

โอกาสทางการศึกษากสศ.ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงขจัดความจนข้ามรุ่นหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลนัจมี หะเดร์

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Dr. Udom-nologo
    Transformative learning
    “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Voice of New GenSocial Issues
    เติมเต็มโอกาสที่ขาดหาย พลิกชีวิตจากผู้รับสู่ผู้ให้: เปิดใจ ‘มูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซง นักเรียนทุนฯหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา
Relationship
10 May 2024

Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • เมื่อคนสองคนสนิทสนมกัน มักถูกด่วนสรุปว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบคู่รัก โดยอาจลืมคิดไปว่าความรักมีหลายรูปแบบมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักกันเสมอไป ซึ่งเราเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่า ‘Platonic Love’
  • Platonic Love จะไม่มีความรักในเชิงโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวแต่อย่างใด เป็นการมีความรักให้กัน แต่ไม่ได้ตกหลุมรักกัน
  • เมื่อเราเจอกับปัญหาในชีวิตจนทำให้จิตใจของเรามืดมน การมีใครสักคนคอยรับฟังและซัปพอร์ตเราก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย

“สนิทขนาดนี้ต้องเป็นแฟนกันแน่”

คำกล่าวนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเราสัมผัสได้ว่าคนสองคนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสองคนนั้นเป็นชายกับหญิง เรามักด่วนสรุปว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบคู่รัก โดยอาจลืมคิดไปว่าในความเป็นจริงความรักก็มีหลายรูปแบบมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักกันเสมอไป

สองคนนี้อาจมีความห่วงใยให้กันโดยไม่มีเรื่องเพศหรือความโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นความรักฉันเพื่อน เป็นความรักแบบครอบครัว เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ความรักความสัมพันธ์ในแบบมิตรแท้ในรูปแบบที่เรียกว่า ‘Platonic Love’

Platonic Love คืออะไร?

Platonic Love เป็นแนวคิดจากนักปรัชญากรีกโบราณอย่างเพลโต (Plato) โดยเขาเชื่อว่าความรักรูปแบบนี้สามารถนำพาบุคคลให้เข้าใกล้อุดมคติอันศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเมื่อเราค้นพบคุณลักษณะเชิงบวกของบุคคลอื่นที่ทำให้เรารู้สึกสมบูรณ์หรือเติมเต็มก็จะเกิดความรักรูปแบบนี้ขึ้นมาก

ปัจจุบัน Platonic Love หรือ Platonic Relationship หมายถึงความสัมพันธ์ที่คนสองคนมีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยปราศจากความรู้สึกทางเพศและความรู้สึกเชิงโรแมนติก กล่าวง่ายๆ คือ เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะเพื่อนสนิทที่คอยรักและห่วงใยกันและกัน

ความรักในลักษณะอาจเกิดขึ้นในแรกพบก็ได้ เมื่อเราพบใครสักคน เราอาจรู้สึกถูกดึงดูดใจได้ในทันที เนื่องจากเราทั้งสองมีความชอบที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม ในการก่อตัวของ Platonic Love จะไม่มีความรักในเชิงโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวแต่อย่างใด 

ในอีกลักษณะหนึ่งที่จะพัฒนาไปเป็น Platonic Love คือเมื่อคนสองคนได้ทำความรู้จักจนเกิดเป็นพันธะพิเศษบางอย่าง ทั้งสองต่างก็ดูแลและเคารพกันและกัน พึ่งพิงกันและกันในช่วงเวลาสุขและทุกข์ มีความชอบความสนใจที่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์แบบคู่รักโรแมนติก

ความสัมพันธ์ลักษณะนี้หมายถึงคู่เพื่อนสนิทต่างเพศหรือเพศเดียวกันก็ได้ เช่น Bromance คู่เพื่อนชายที่สนิทกัน, Womance คู่เพื่อนหญิงที่สนิทกัน และ Work spouse คู่เพื่อนร่วมงานที่เป็นดั่งเพื่อนสนิท โดยสิ่งที่คนในความสัมพันธ์ลักษณะนี้มีร่วมกันคือ ‘การมีความรักให้กัน แต่ไม่ได้ตกหลุมรักกัน’

สัญญาณของ Platonic Love

คุณลักษณะสำคัญของ Platonic Love คือการมีความห่วงใยให้กันโดยปราศจากความโรแมนติกหรือความต้องการทางเพศ อย่างไรก็ดี Platonic Love ยังมีคุณลักษณะอื่นๆ อีกที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ประเภทอื่น เช่น

  • ความใกล้ชิด (Closeness) – มีความรู้สึกเกี่ยวดองกัน มีความสนใจและประสบการณ์ร่วมกัน
  • ความซื่อสัตย์ (Honesty) – ไม่มีความลับต่อกัน สามารถบอกเล่าความคิดความรู้สึกให้กันโดยไม่ถูกตัดสิน
  • การยอมรับ (Acceptance) – รู้สึกสบายใจ ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกัน รู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวของตัวเอง
  • ความเข้าใจ (Understanding) – เข้าใจและเคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน ไม่บังคับให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ใช้การสนับสนุนมากกว่าการบังคับ

ประโยชน์ของ Platonic Love

นักประสาทวิทยาสังคม Dr. John Cacioppo (2016) กล่าวว่า “ความเหงาเหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง” เพราะภูเขาน้ำแข็งมีส่วนที่โผล่พ้นน้ำเพียงน้อยนิด แต่ฐานรากสำคัญที่เหลือกลับจมอยู่ใต้น้ำโดยไม่มีใครเห็น เช่นเดียวกับความเหงา หลายคนรู้เกี่ยวกับความเหงาเพียงน้อยนิด แต่ในความเป็นจริงความเหงาส่งผลมากกว่าที่เราคิด

ความเหงาเรื้อรังเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 20% ซึ่งมีอัตราใกล้เคียงกับโรคอ้วน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าความเหงาทำให้ประสิทธิภาพในการนอนหลับลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

ทั้งนี้ ความเหงาไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่คนเดียวเสมอไป เมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ถ้าเรารู้สึกเดียวดาย ไม่มีใครเห็นเราอยู่ในสายตา ก็เกิดความเหงาขึ้นมาได้

Dr. Cacioppo แนะนำหนึ่งในวิธีรักษาคือ ‘การสนับสนุนทางสังคม’ (Social Support) กล่าวง่ายๆ คือ การมีคนคอยช่วยเหลือ ซัปพอร์ต และให้กำลังใจ ซึ่งใน Platonic Love ก็มีการสนับสนุนทางสังคมอยู่ด้วย 

เมื่อเรารับรู้ถึงการสนับสนุนทางสังคม เราจะรับรู้ว่าตัวเองได้รับความรัก ความเอาใจใส่ การเห็นคุณค่า และการยอมรับ ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิต โดยทางกายจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ส่วนทางจิตใจจะช่วยให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ มีแรงจูงใจในการแก้ไขปัญหา และมีความเครียดที่น้อยลง 

นอกจากนี้ Platonic Love ยังช่วยพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ‘Resilience’ (การคืนกลับสู่สภาพเดิม) โดยในทางจิตวิทยาหมายถึง ความสามารถทางอารมณ์และจิตใจในการปรับตัวและฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติหลังจากเหตุการณ์วิกฤต กล่าวง่ายๆ คือ ‘การล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้’

จากการศึกษาโดย van Harmelen และคณะ (2017) พบว่า ตัวแปรทำนาย (Predictor) ที่มีอำนาจมากที่สุดของความสามารถในการฟื้นตัวหลังจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจคือ การมีมิตรภาพที่แข็งแกร่ง

เมื่อเราเจอกับปัญหาในชีวิตจนทำให้จิตใจของเรามืดมน การมีใครสักคนคอยรับฟังและซัปพอร์ตเราก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย ซึ่งความสัมพันธ์แบบ Platonic ก็จะคอยช่วยเหลือเราในลักษณะนี้อยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลที่ว่า Platonic Love สามารถช่วยพัฒนา Resilience ของเราได้

แม้ว่า Platonic Love จะให้ประโยชน์กับเรามากมาย แต่เราต้องไม่ลืมว่าความสัมพันธ์ลักษณะเป็นแบบสองทาง เราต้องคอยดูแลกันและกัน ไม่ใช่คาดหวังให้อีกฝ่ายดูแลเราเพียงอย่างเดียว การเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้จะช่วยรักษาความสัมพันธ์ของเราให้คงอยู่ไปได้ตราบนานเท่านาน

อ้างอิง

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2562). Social support – การสนับสนุนทางสังคม.

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2566). Resilience – การฟื้นพลัง.

Adams, T. (2016). John Cacioppo: ‘Loneliness is like an iceberg – it goes deeper than we can see’.

Cherry, K. (2022). What Is a Platonic Relationship?

Frothingham, M.B. (2023). What Is A Platonic Relationship?

van Harmelen, A.-L., Kievit, R.A., Ioannidis, K., Neufeld, S., Jones, P.B., Bullmore, E., Dolan, R., Fonagy, P. & Goodyer, I. (2017). Adolescent friendships predict later resilient functioning across psychosocial domains in a healthy community cohort. Psychological Medicine, 47(13), 2312–2322.

Tags:

ความสัมพันธ์ความรักrelationshipPlatonic Loveกัลยาณมิตร

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • platonic
    Relationship
    เพื่อนสนิทในที่ทำงานมีจริงไหม? ทำความเข้าใจมิตรภาพในที่ทำงานผ่านแนวคิด Platonic Love

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel