Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: March 2023

คินสึงิ: การเยียวยาจิตใจที่ไม่จำเป็นต้องลบรอยแผล แต่มองความไม่สมบูรณ์แบบเป็นเรื่องปกติ
Healing the trauma
8 March 2023

คินสึงิ: การเยียวยาจิตใจที่ไม่จำเป็นต้องลบรอยแผล แต่มองความไม่สมบูรณ์แบบเป็นเรื่องปกติ

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • หนทางรักษาเยียวยาบาดแผลในจิตใจ (Trauma) อาจไม่ใช่การพยายามไป ‘ลบ’ รอยแผลนั้น แต่หมายถึงการ ‘ยอมรับ’ บาดแผลนั้น ปล่อยให้มันคงอยู่ ปล่อยให้มันเตือนสติเราด้วยบทเรียนในอดีต เหมือนกับแนวคิด คินสึงิ (Kintsugi)
  • คินสึงิ 【金継ぎ】 คือศิลปะการซ่อมแซมถ้วยชามภาชนะที่แตกบิ่นของชาวญี่ปุ่นโดยการผสานรอยแตกร้าวด้วยทองที่มอบความงามอันเป็น ‘เอกลักษณ์’ หนึ่งเดียวใบเดียวในโลก แต่ความงดงามแปลกตานี้จะเกิดขึ้นได้ การแตกหักแตกสลายต้องเกิดขึ้นก่อน
  • ความสมบูรณ์แบบอาจเป็นเพียงแฟนตาซีในนิยายที่มีอยู่จริงแค่ในจินตนาการ ซึ่งในเมื่อความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริงในโลกของเรา ก็ควรมองความไม่สมบูรณ์แบบให้เป็นเรื่องปกติ และเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์คนหนึ่ง

เรามักคิดว่าการเยียวยาบาดแผลในจิตใจ (Trauma) คือการพยายามไป ‘ลบ’ รอยแผลนั้นให้กลับมาสะอาดเนียนกริบเหมือนเดิม เสมือนถ้วยชามที่มีรอยร้าวต้องหาทางเคลือบมันให้กลับมาเงาวับ เสมือนแผลเป็นบนเรือนร่างที่ต้องรีบไปทำศัลยกรรมลบมันออกแม้แผลเป็นนั้นจะมีขนาดแค่เสี้ยวเดียวของร่างกายเราและต้องเพ่งเล็งมองเท่านั้นจึงจะเห็น

แต่ความจริงแล้ว หนทางรักษาเยียวยาใจอาจหมายถึงการ ‘ยอมรับ’ บาดแผลนั้น ปล่อยให้มันคงอยู่ ปล่อยให้มันเตือนสติเราด้วยบทเรียนในอดีต เหมือนที่แนวคิด คินสึงิ (Kintsugi) จากญี่ปุ่นบอกเรา 

คินสึงิ – ความงดงามในความไม่สมบูรณ์แบบ

เดิมที คินสึงิ【金継ぎ】คือศิลปะการซ่อมแซมถ้วยชามภาชนะที่แตกบิ่นของชาวญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์สืบย้อนกลับไปได้นานกว่า 500 ปี 

  • คิน 【金】 แปลว่า ทอง
  • สึงิ 【継ぎ】แปลว่า การแปะ, ติด, ต่อเข้าด้วยกัน

คินสึงิ จึงหมายถึงการปะติดปะต่อรอยร้าวของถ้วยชามด้วยทอง เป็นวิธีผสานรอยแตกร้าวให้ภาชนะนั้นให้กลับมามีฟังก์ชั่นใช้งานได้ใหม่ โดยนำยางไม้จากต้นอุรุชิของญี่ปุ่นมาผสมเข้าด้วยทอง ก่อนจะเชื่อมต่อไปยังรอยร้าวต่างๆ บนถ้วยชามภาชนะเพื่อยึดมันไว้ด้วยกันไม่ให้แตกร้าวไปมากกว่าเดิม 

ทีนี้เมื่อกระบวนการซ่อมแซมเสร็จสิ้นลง เราจะพบเห็นรอยเส้นสีทองที่แตกกิ่งก้านแทรกซึมอยู่ทั่วจานชามภาชนะใบนั้น ซึ่งมันมอบ ‘เอกลักษณ์’ หนึ่งเดียวใบเดียวในโลก และความ ‘งดงาม’ แปลกตาที่ไม่สามารถสร้างสรรค์ได้ด้วยน้ำมือมนุษย์ (หรือเครื่องจักรในโรงงานปัจจุบัน) หากแต่ความงดงามแปลกตานี้จะเกิดขึ้นได้ การแตกหักแตกสลาย…ต้องเกิดขึ้นก่อน

แล้วศิลปะการซ่อมถ้วยชามภาชนะของญี่ปุ่นนี้…มาเกี่ยวอะไรกับการเยียวยาบาดแผลในจิตใจของคนเรา?

ทุกรอยร้าวคือเอกลักษณ์ ทุกบาดแผลคือบทเรียนชีวิต

การแตกหักแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน การซ่อมแต่ละครั้งจึงไม่เหมือนกัน เส้นสายสีทองอันงดงามที่ปรากฎจึงไม่เหมือนกันเลยสักใบ และรอยร้าวเหล่านั้นไม่มีแบบแผน (Pattern) นั่นหมายความว่า ทุกถ้วยชาม (หรือคนเราแต่ละคน) ย่อมมีเอกลักษณ์แตกต่างกันของใครของมัน 

  • 10 ถ้วย 10 รอย 10 ความต่าง
  • 100 คน 100 บาดแผล 100 บทเรียนชีวิต

ทีนี้เมื่อผู้พบเห็นสัมผัสได้ถึงความงดงามแปลกใหม่ที่หาจากสิ่งอื่นไม่ได้ จึงเริ่มมีการเปรียบเปรยสะท้อนมายังปรัชญาการใช้ชีวิตของคนเรา พยายามเข้าใจความเปราะบางแตกหักและเซนซิทีฟของจิตใจมนุษย์เราที่เปราะบางแตกหักง่ายไม่ต่างจากถ้วยชามภาชนะเหล่านั้น แต่เราสามารถเลือกที่จะซ่อมแซมเยียวยาแผลในใจได้โดยไม่ต้องปิดซ่อนร่องรอยบาดแผล เพราะคนๆ หนึ่งที่มีร่องรอย ‘บาดแผลแห่งประสบการณ์ชีวิต’ อาจหมายถึงการได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า 
เราไม่ได้เขวี้ยงถ้วยชามนั้นทิ้งแล้วไปผลิตหรือซื้อหาอันใหม่ แต่เลือกที่จะซ่อมแซมทำนุบำรุงมันขึ้นมาใหม่โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่า มันจะ ‘ทิ้งร่องรอย’ แตกหักที่เป็นเส้นสายทั่วทั้งภาชนะ หรือก็คือ รู้ทั้งรู้ว่ามันจะไม่มีทางกลับมาสมบูรณ์แบบใหม่เอี่ยมเหมือนตอนแรก แต่ก็ยังลงมือซ่อมมันขึ้นมา

เราจะเห็นจุดแตกหักของชีวิตเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย แต่มันไม่ใช่ ‘จุดจบ’ ซะทีเดียว เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและคงอยู่ก็เท่านั้น คินสึงิจึงเป็นการเยียวยาใจรูปแบบหนึ่ง เป็นการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบและมองมันด้วยชื่นชมยินดีว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ได้เกิดขึ้น

เยียวยาแผลใจโดยไม่ต้องซ่อนรอยแผลเป็น

ถ้าเราวิ่งหกล้มเข่าแตกจนเลือดอาบ เราก็ควรรีบสมานแผลและพักฟื้นให้กลับมาเดินได้โดยเร็ว เมื่อเข่าดีขึ้น เราอาจพบว่ามันเกิดรอยแผลเป็นขึ้น แต่เราจะไม่ไปมองว่ามันน่าเกลียดหรือเป็น ‘ความผิดพลาดในชีวิต’ ที่เราดันสะเพร่าหกล้ม แต่มองมันอย่างเป็นกลางว่านี่แหล่ะคือ ‘ชีวิต’

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า คินสึงิไม่ได้ปฏิเสธการ ‘แก้ปัญหา’ เพราะเมื่อเกิดรอยร้าวบนภาชนะ (เกิดปัญหา) ก็ต้องทำการเชื่อมมันด้วยทอง (แก้ปัญหา) 

การแก้ปัญหาของแนวคิดคินสึงิไม่ใช่การโยนทิ้งและเปลี่ยนไปใช้ภาชนะใบใหม่ แต่เป็นการซ่อมแซมใบเดิมให้ดีจนกลับมาใช้งานใหม่ได้ 

และที่สำคัญ จะไม่ไป ‘ปิดบัง’ ภาชนะนั้นด้วยสิ่งห่อหุ้มใหม่เอี่ยมแต่อย่างใด หากแต่จะเปิดเผยร่องรอยการเชื่อมด้วยทองคำที่แตกกิ่งก้านไปทั่วภาชนะ

บัดนี้ ภาชนะใบเดิมยังคงอยู่ คินสึงิจึงเสมือนการ ‘ชุบชีวิต’ อดีตและปัจจุบันให้เชื่อมต่อกันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จากที่รังเกียจรอยแผลเป็นและอยากเมินหน้าหนีทุกครั้งที่เห็นมัน เราอาจพบภายหลังว่า ‘ขอบคุณนะที่เจ็บปวด’ เพราะมันทำให้เราเติบโตขึ้นทั้งทางธรรมและทางโลก

โอบรับความไม่สมบูรณ์แบบรอบตัวเรา

บางทีการยอมรับอดีตที่ล้มเหลวและโอบกอดความเจ็บปวดในใจ อาจนำไปสู่ความรู้สึกปล่อยวางและมีความสงบสุขในใจมากขึ้นได้ในที่สุด เพราะมันคือการมองโลกในความเป็นจริงที่สุดว่า เราคือ ‘มนุษย์’ ที่ไม่(มีวัน)สมบูรณ์แบบ

Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือ Four Thousand Weeks: Time Management for Mortals อันโด่งดังบอกว่า มนุษย์เรามีเวลาและทรัพยากรที่จำกัด แม้ว่าเราอยากจะทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จไปเสียหมด แต่สุดท้ายแล้วเราจะล้มเหลวเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ดี

และคงจะดีมากเลย ถ้าเรามีความใจกว้างยอมรับอดีตอันบกพร่องของผู้อื่นได้ไม่น้อยไปกว่าของตัวเอง และดียิ่งกว่าเมื่อเราพยายามทำให้คนอื่นมีความสุข มีงานวิจัยพบว่า มนุษย์เราจะยิ่งมีความสุขใจขึ้นไปอีกเป็นพิเศษเมื่อได้พยายามช่วยเหลือยกระดับให้คนอื่นมีความสุขตามไปด้วยนอกเหนือจากตัวเอง

ในเมื่อเราสามารถมองผู้อาวุโสที่ผิวพรรณใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นว่ามีความ ‘ภูมิฐาน’ เชิงรูปลักษณ์ ไฉนแล้ว เราจะมองรอยบาดแผลทางกายใจของคนเราว่าเป็นสิ่งงดงามน่า ‘ภูมิใจ’ ไม่ได้? 

เรานำคินสึงิมาปรับใช้กับเรื่องราวในชีวิตได้อย่างไร?

คินสึงิสอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่สิ่งแวดล้อมคือปัญหาใหญ่ระดับโลก แนวคิดคินสึงิมาช่วยเราตรงนี้โดยการ ‘ใช้ซ้ำ’ สิ่งของเดิมๆ ที่อาจเสื่อมสภาพไปบ้างแต่เราพยายามซ่อมแซมมันและใช้ต่อไปให้ได้นานที่สุด ช่วยทั้งสิ่งแวดล้อมและเซฟเงินในกระเป๋า

คินสึงิยังเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนอื่น ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก เราต้องยอมรับความจริงว่ายิ่งความสัมพันธ์เนิ่นนานมากแค่ไหน ยิ่งมีโอกาสกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เราจะยังจับมือและสานสัมพันธ์กันต่อไปท่ามกลางรอยแผลระหว่างทางได้หรือไม่? 

เราอาจเห็นต่างจนมีปากมีเสียงทะเลาะกันและพ่นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย แต่เราจะเดินไปขอโทษ ให้อภัยกัน และสานสัมพันธ์กันต่อไปได้หรือไม่?

ความสมบูรณ์แบบอาจเป็นเพียงแฟนตาซีในนิยายที่มีอยู่จริงแค่ในจินตนาการของพวกเรา มันเป็นความฝันที่เราอยากไปให้ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง

ในเมื่อความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริงในโลกของเรา เราก็ควรมองความไม่สมบูรณ์แบบให้เป็นเรื่องปกติ? มองว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์คนหนึ่ง?

รายการอ้างอิง

Price, Amy. “Commentary: My Pandemic Grief and the Japanese Art of Kintsugi.” The BMJ, British Medical Journal Publishing Group, 10 Aug. 2021, https://www.bmj.com/content/374/bmj.n1906.

Titova, Liudmila, and Kennon M. Sheldon. “Happiness Comes from Trying to Make Others Feel Good, Rather than Oneself.” Taylor & Francis, https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/17439760.2021.1897867.

Tags:

บาดแผลทางจิตใจความสมบูรณ์แบบคินสึงิKintsugiTraumaบทเรียนชีวิต

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • IMG_3795
    Healing the trauma
    เมื่อบาดแผลหล่อหลอมชีวิต: การเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวด (Post-traumatic Growth)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the trauma
    จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 10. โยงสู่บริบทการศึกษาไทย
Transformative learning
7 March 2023

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 10. โยงสู่บริบทการศึกษาไทย

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ 10. โยงสู่บริบทการศึกษาไทย โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช เสนอเป็นข้อเรียนรู้ในมิติที่ลึกและซ่อนเร้น 10 ข้อ
  • บทบาทของครู ไม่ใช่แค่บทบาทจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่มีอีกบทบาทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือหน้าที่พัฒนาหลักสูตรและพัฒนาระบบการศึกษา
  • การให้คุณค่าแก่ผลงานน่าจะเป็นเรื่องดี ตัวผลงานไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ตัวลัทธิบูชาผลงานเป็นผู้ร้าย เพราะมันนำไปสู่พฤติกรรมติดตามประเมินผลที่ผลงานแบบตายตัว ไม่ว่าผลงานนั้นจะเป็นผักชีโรยหน้า หรือสร้างขึ้นชั่วคราวก็ตาม ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ในระบบการศึกษา เป็นการทำลายโอกาสความเป็นผู้ก่อการของครู

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach (2015) เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator) โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วย ท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อโดยง่าย

บันทึกที่ 10 นี้ผมจินตนาการเชื่อมโยงสู่ขบวนการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย โดยเสนอเป็นข้อเรียนรู้ในมิติที่ลึกและซ่อนเร้น 10 ข้อ เป็นการตีความสุดๆ หรือตีความซ้อนตีความ จึงมีข้อผิดพลาดได้ง่าย ท่านผู้อ่านพึงมีสติอยู่กับกาลามสูตรอย่างเต็มที่

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 1 

ในสายตาของผม สาระสำคัญที่สุดสำหรับวงการศึกษาไทย ที่หนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach สื่อคือ ระบบการศึกษาเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและเป็นพลวัตสูงยิ่ง การจัดการระบบด้วยกระบวนทัศน์แบบลดทอนความซับซ้อน (reductionism) และความสัมพันธ์แบบกลไก (mechanistic) ด้วยการควบคุมผลอย่างเข้มงวด จะนำไปสู่ความล้มเหลว คือเกิดการลดทอนทั้งคุณภาพผลลัพธ์การศึกษา และลดทอนคุณภาพครู และยิ่งก่อผลร้าย คือจะทำให้ระบบการศึกษาเต็มไปด้วยความไม่ซื่อสัตย์

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 2

มีการสะท้อนจุดอ่อนของหลักสูตรที่เน้นผลลัพธ์ (outcome-based curriculum) ที่เราคิดกันว่าเป็นหลักสูตรที่ดี เพราะเน้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน แต่เมื่อมีการวิจัยผลของการประยุกต์ใช้หลักสูตรนี้ ผลที่ออกมาไม่ดีดังคาด เพราะมีจุดอ่อน ๒ ประการ คือ (๑) “ผลลัพธ์” ที่กำหนดมาจากการลดทอนคุณค่าของการศึกษา จากสภาพซับซ้อน มาเป็น “ผลลัพธ์” ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) ของการศึกษา ถูกละเลย เพราะหลงไปหมกมุ่นกับ “ผลลัพธ์” ที่เป็นผลิตผลของ “ลัทธิลดทอน” (reductionism) ไม่เกิดการพัฒนานักเรียนอย่างเป็นองค์รวม (๒) เกิดระบบติดตามผลที่ “ผลลัพธ์” อย่างเข้มข้นและเข้มงวด หน่วยเหนือของโรงเรียนและครู ดำเนินการติดตามผลแนวควบคุม ไม่ใช่แนวส่งเสริม ทำให้โรงเรียนและครูมุ่งทำงานเพื่อสนองการประเมิน แทนที่จะเน้นสนองนักเรียน

จุดอ่อนประการที่ ๓ ของหลักสูตรเน้นผลลัพธ์ คือ มีผลลดทอนโอกาสพัฒนาความเป็นผู้ก่อการ (agency) ของครู ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ระบบการศึกษาอ่อนแอลงไปอีก

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 3

ระบบการศึกษาที่เลียนแบบระบบธุรกิจ รับเอาอุดมการณ์และวิธีการหลายอย่างของระบบธุรกิจมาใช้ โดยไม่คำนึงว่า บริบทของธุรกิจกับบริบทของการศึกษาแตกต่างกัน จะนำไปสู่ความตกต่ำของระบบการศึกษา  

ข้อแตกต่างสำคัญยิ่งคือ ระบบธุรกิจมุ่งสนองความต้องการของลูกค้า ส่วนระบบการศึกษามุ่งสนองความต้องการของผู้เรียน (หรือผู้ใช้บริการ) ลูกค้ามีอำนาจสูง เพราะสามารถบอกความต้องการของตนได้ชัดเจนผ่านช่องทางต่างๆ และองค์กรธุรกิจก็ต้องสนองความต้องการนั้น แต่นักเรียนบอกไม่ได้ว่าตนเองต้องการบรรลุเป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) ของการศึกษา และไม่มีกำลังต่อรองใดๆ   เกิดคำถามว่า ใครเล่า ที่เป็นผู้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของนักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้บริหารระบบการศึกษา หรือคนอื่น (กลไกอื่น เช่นกลไกตลาด) คำตอบของผมคือครู ครูอยู่ในฐานะที่จะรักษาและสนองผลประโยชน์ของนักเรียนได้ดีที่สุด  ความเห็นนี้ต้องถกเถียงกันยาว โดยประเด็นของเรื่องคือ หากครูมีความเป็นผู้ก่อการ ครูจะรักษาผลประโยชน์ของนักเรียนได้ดีกว่า  

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 4 

ระบบกำกับคุณภาพ และติดตามประเมินผลการศึกษา เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา การกระทำที่เต็มเปี่ยมด้วยเจตนาดีอาจก่อผลร้าย หากมีวิธีดำเนินการที่ผิดพลาด อันเกิดจากกระบวนทัศน์ที่ผิด 

กระบวนทัศน์ที่ถูกต้องคือ ระบบดังกล่าวมีไว้สนับสนุนหรือช่วยเหลือฝ่ายปฏิบัติ ไม่ใช่มีไว้ควบคุมฝ่ายปฏิบัติ หรือกล่าวใหม่ว่าต้องดำเนินการแบบเน้นสนับสนุนส่งเสริมมากกว่าควบคุม   

แต่ลัทธิบูชาผลงาน (performativity) ชักนำให้ทุกขั้นตอนของระบบการศึกษาต้องมีผลงาน หน่วยเหนือขึ้นไปจึงต้องเรียกร้องผลงานของหน่วยต่ำลงมา เพื่อนำไปรวบรวมเป็นผลงานของตน เกิดความบิดเบี้ยวของระบบกำกับคุณภาพและติดตามประเมินผลการศึกษาในระดับพื้นฐาน คือกลายเป็นมุ่งควบคุม ไม่ใช่มุ่งส่งเสริมสนับสนุน โรงเรียนและครูจึงมีเป้าหมายที่บิดเบี้ยว คือมุ่งสร้างผลงานไว้เสนอหน่วยเหนือ ไม่ได้มุ่งที่ความต้องการหรือเป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) ของนักเรียน 

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 5 

บทบาทของครู ไม่ใช่แค่บทบาทจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่มีอีกบทบาทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือหน้าที่พัฒนาหลักสูตรและพัฒนาระบบการศึกษา กล่าวใหม่ว่า ในระบบการศึกษาคุณภาพสูง ครูต้องเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาระบบ และพัฒนาหลักสูตร

เพื่อทำหน้าที่ประการหลัง ครูต้องแสดงพฤติกรรมของ “ผู้ก่อการ” (agency) ที่เป็นสาระหลักของหนังสือ Teacher Agency ตลอดเล่ม ที่หลักสูตรสมัยใหม่มักจะเรียกร้อง แต่ระบบบริหารหลักสูตรมักปิดกั้นด้วยความเข้าใจผิดสองประการ ประการแรก เข้าใจว่าจะได้ครูผู้ก่อการ (agentic teacher) ได้โดยการฝึกอบรมเพิ่มความรู้ให้แก่ครู ประการที่สอง ดำเนินการบริหารจัดการแบบควบคุมสั่งการ และเน้นการประเมินผลลงรายละเอียด ทำให้ครูมุ่งปฏิบัติตามรายละเอียดที่จะวัดเหล่านั้น ไม่มีโอกาสได้ตีความเอง คิดเอง หาวิธีทำเอง เรียนรู้เอง ผลที่ตามมาคือ ครูขาดโอกาสเรียนรู้และพัฒนาความเป็นผู้ก่อการของตนเอง 

ครูที่มีความเป็นผู้ก่อการ จะสามารถร่วมกันตีความเป้าหมายอันทรงคุณค่า (purpose) และแนวทาง (process) ที่ระบุไว้กว้างๆ ในหลักสูตรสู่การร่วมกันคิดวิธีจัดกระบวนการเรียนรู้หลากหลายวิธี ร่วมกันตัดสินใจเลือกวิธีการที่น่าจะเหมาะสมที่สุด ร่วมกันดำเนินการ แล้วติดตามตรวจสอบผลเอง สำหรับนำมาร่วมกันตีความผล และหมุนวงจรเรียนรู้ของทีมครู ที่เป็นวงจรชั้นเดียว และวงจรสองชั้น ตามที่กล่าวแล้วในบันทึกที่ ๙ ซึ่งผลของวงจรเรียนรู้ของทีมครู จะนำไปสื่อต่อทีมงานของทั้งโรงเรียน ต่อเขตพื้นที่การศึกษา และผู้บริหารในส่วนกลาง เท่ากับครูได้มีส่วนร่วมพัฒนาหลักสูตรในระดับโรงเรียน และในระดับประเทศ 

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 6

ความเป็นผู้ก่อการ (agency) ของครูมีค่ายิ่งต่อคุณภาพของการศึกษา โดยที่ความเป็นผู้ก่อการเป็นพฤติกรรมที่ผุดบังเกิด (emerge) ขึ้นในปัจจุบันขณะ ภายใต้บริบทนั้นๆ ผ่านแรงขับดันเชิงคุณค่า ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ที่สั่งสมมาในอดีต  ผสานกับแรงคาดหวังไปในอนาคตในเรื่องนั้นๆ ส่งผลให้มีการตัดสินใจดำเนินการออกมาเป็นพฤติกรรมที่กล้าหาญ และก่อคุณค่า ณ ปัจจุบันขณะ จะเห็นว่าพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการมาจากการสั่งสมจากอดีต ที่ระบบนิเวศของการปฏิบัติงานของครูเอื้อให้เกิดการสั่งสม คุณค่า ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ที่เอื้อต่อการเป็นผู้ก่อการ รวมทั้งสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศในการทำงาน ณ ปัจจุบันขณะที่เอื้อการตัดสินใจลงมือปฏิบัติการ

ความเป็นผู้ก่อการของครู จึงไม่ใช่ขึ้นกับตัวครูเท่านั้น แต่มีปัจจัยด้านระบบนิเวศของการทำงาน เป็นองค์ประกอบด้วย ระบบนิเวศที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ปิดกั้นพฤติกรรมผู้ก่อการของครู

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 7

ไม่ว่าหลักสูตรใหม่จะได้รับการออกแบบมาดีแค่ไหนก็ตาม ไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากระบบการศึกษาไม่เป็น “ระบบที่ฉลาด” (intelligent systems)  ซึ่งหมายความว่า ต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวอยู่ในองคาพยพต่างๆ ของระบบ อยู่ตลอดเวลา ทั้งในระดับปฏิบัติ และระดับบริหารจัดการ โดยข้อเรียนรู้จากแต่ละจุดในระบบ ต้องได้รับการสื่อสารไปทั่วทั้งระบบ เพื่อเป็นข้อมูลกระตุ้นการปรับตัวของระบบ 

นี่คือความเป็นจริงสำหรับระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว (complex-adaptive systems) ระบบการศึกษาเป็นระบบที่ซับซ้อนยิ่ง และมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาอย่างเข้มข้น จึงเป็นระบบที่หวังให้การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการสั่งการจากเบื้องบนเท่านั้นไม่ได้ เพราะจะไม่สำเร็จ เบื้องบนไม่มีข้อมูลที่ซับซ้อน และเป็นปัจจุบัน (real time) เพียงพอสำหรับการตัดสินใจและสั่งการที่ถูกต้อง จึงต้องให้ภาคส่วนต่างๆ ของระบบมีการสื่อสารกันเองได้อย่างอิสระด้วย  

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 8

การให้คุณค่าแก่ผลงานน่าจะเป็นเรื่องดี แต่ในบันทึกชุดนี้เอ่ยถึง “ลัทธิบูชาผลงาน” (performativity) ในทำนองเป็นผู้ร้าย โปรดสังเกตให้ดีว่า ตัวผลงานไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ตัวลัทธิบูชาผลงานเป็นผู้ร้าย เพราะมันนำไปสู่พฤติกรรมติดตามประเมินผลที่ผลงานแบบตายตัว ด้วยท่าทีของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมี “ผลงาน” แบบตายตัวให้ตรวจสอบ ไม่ว่า “ผลงาน” นั้นจะเป็นผักชีโรยหน้า หรือสร้างขึ้นชั่วคราวก็ตาม ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ในระบบการศึกษา เป็นการทำลายโอกาสที่ครูจะร่วมกันจรรโลงศักดิ์ศรีวิชาชีพ และความเป็นผู้ก่อการของครู

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 9

กิจกรรมด้านการศึกษาขึ้นกับบริบท ต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบท มีการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่องในแต่ละบริบท กิจกรรมการศึกษาจึงไม่มีทางดำเนินการได้ผลดีตามมาตรฐานเดียว ตัวชี้วัดเดียว บริบทในที่นี้แจงย่อยลงไปเป็นภาค จังหวัด เขตการศึกษา โรงเรียน และห้องเรียน และแจงย่อยตามเวลาด้วย ห้องเรียน ป. ๔/๓ ของโรงเรียน ก ในปีการศึกษา ๒๕๖๓ ก็มีบริบทแตกต่างจากในปีการศึกษา ๒๕๖๔ เพราะลักษณะของนักเรียนอาจแตกต่างกันมาก หรืออาจเปลี่ยนตัวครูประจำชั้น หรือเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงเรียน

ในระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว แต่ละส่วนย่อยต้องเรียนรู้ปรับตัวตามบริบทของตน โดยยึดมั่นเป้าหมายสูงส่ง (purpose) ร่วมกัน ระบบการศึกษาจึงต้องมีการตีความทำความชัดเจนต่อเป้าหมายที่สูงส่งอยู่เสมอ ในสถานการณ์ต่างๆ สำหรับใช้ยึดถือร่วมกันในทุกภาคส่วนของระบบ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต้องเปิดโอกาสให้แต่ละภาคส่วนตีความ ตั้งเป้าหมายเพื่อการดำเนินการ และกำหนดยุทธศาสตร์ดำเนินการของส่วนย่อยนั้นๆ ได้ เพื่อร่วมกันดำเนินการยกระดับคุณภาพการศึกษาในส่วนย่อยของตน ในลักษณะของการทำงานไปเรียนรู้ไป สร้างนวัตกรรมไป และส่งสัญญาณข้อมูลการเรียนรู้ออกแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับระบบใหญ่อยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น หน้าที่ของผู้บริหารระบบการศึกษาของประเทศ ต้องจัดให้มีการพัฒนาระบบข้อมูล และระบบการสื่อสารเพื่อสื่อสารการค้นพบนวัตกรรมของแต่ละส่วนย่อย ในลักษณะของการสื่อสารอิสระ แต่มีกลไกกรองความเท็จและการโอ้อวดเกินจริง รวมทั้งกรองการโอดครวญด้วยเจตคติเชิงลบ เจตคติกล่าวโทษผู้อื่น ออกไป  ให้ระบบสื่อสารเน้นสื่อสารความพยายาม และความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ แต่ยิ่งใหญ่  มีการประมวลนวัตกรรมเล็กๆ ดังกล่าว เพื่อส่งสัญญาณและทรัพยากรสนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์เล็กๆ ณ จุดปฏิบัติเหล่านั้น

นำไปสู่การบริหารการเปลี่ยนแปลงแนวใหม่ แนวส่งเสริมการสร้างสรรค์ ณ จุดปฏิบัติ ผมอยากเห็นแนวทางจัดการหลักสูตรฐานนวัตกรรมในแนวนี้  

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 10

“ความไว้วางใจ” (trust) เป็น สินทรัพย์ ที่มีค่ายิ่งในระบบการศึกษา การจัดการระบบการศึกษาไทยพึงเอาใจใส่การใช้พลังของสินทรัพย์นี้ โดยจัดการให้ “ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน” (mutual trust) เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการศึกษา และขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้  

โดยต้องมีการจัดการให้ระบบการศึกษาเป็นระบบที่มีความไว้วางใจเป็นเจ้าเรือน อย่าปล่อยให้ความไม่ไว้วางใจเข้ามาครองระบบ โดยต้องจัดการให้เกิดความสัมพันธ์แนวราบเป็นความสัมพันธ์หลักในระบบการศึกษา ลดทอนความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือแนวบังคับบัญชาลงไป

โดยต้องมีระบบข้อมูล และระบบการจัดการที่ส่งเสริม “ความจริง” และ “ข้อมูลหลักฐาน” จาก “การปฏิบัติจริง” เพื่อส่งเสริมความมีวิจารณญาณของสมาชิกในระบบการศึกษา และส่งเสริมความสุจริตในหมู่สมาชิก รวมทั้งหาทางขจัดความไม่จริงใจ ความไม่สุจริต ออกไปจากระบบ ทั้งนี้ โดยยึดมั่นในคุณค่าสูงส่งของระบบการศึกษาต่อสังคมส่วนรวมหรือต่อบ้านเมืองเป็นเป้าหมายหลัก

ระบบข้อมูล และระบบสื่อสารดังกล่าว จะนำไปสู่ความไว้วางใจซึ่งกันและกันในหมู่ครูผู้ก่อการ และนำไปสู่พลังสร้างสรรค์ในวงการการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับปฏิบัติ ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดของระบบการศึกษา

ผมเริ่มเขียนบันทึกชุดนี้ในสัปดาห์ที่สามของเดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ และเขียนเสร็จในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน คือใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนในการอ่านหนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach หลายเที่ยว หลายแบบ เพื่อตีความเข้าสู่บริบทไทย โดยมุ่งตีความในระดับคุณค่า มุ่งทำความเข้าใจความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ในระบบการศึกษา เอามานำเสนอเพื่อให้สมาชิกของระบบการศึกษาไทยได้พิจารณา ผมไม่ยืนยันว่าการตีความและข้อคิดเห็นที่ผมสอดใส่เข้าไปเกินจากที่หนังสือระบุ จะถูกต้องทั้งหมด ที่ยืนยันได้คือความไม่ครบถ้วน ผมเน้นการเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้ท่านผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณของท่าน สิ่งที่ผมใฝ่ฝันให้เกิดคือ ความเป็นผู้ก่อการของท่านทั้งหลาย ร่วมกันก่อการเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาไทย ภายใต้เป้าหมายที่ทรงคุณค่าคือคุณภาพของพลเมืองไทยในอนาคต ที่เปี่ยมสมรรถนะการเป็น “พลเมืองผู้ก่อการ” (agentic citizen)  

สามารถอ่านบทความ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ ตอนที่ 1 – 9 ได้ที่นี่ 

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 6. คุณค่าของปฏิสัมพันธ์ – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู – The Potential

Tags:

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการPriestleyหนังสือ-วิจารณ์ครูหนังสือ

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 
7 March 2023

วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ปัจจุบันแม้ว่าคนพิการจะได้รับสวัสดิการทางสังคมที่ดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะของการสงเคราะห์ที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในหลุมพรางของทัศนคติที่เห็นว่าคนพิการเป็นภาระ
  • ในฐานะแกนนำผู้พิการจังหวัดลำปาง เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ มองว่าการเสริมสร้างศักยภาพของคนพิการต้องเริ่มต้นที่การเปลี่ยนวิธีคิดให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเอง 
  • สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเพิ่มทักษะอาชีพและทักษะชีวิตให้คนพิการ คือการจัดการเรียนรู้และจัดสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

“เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง เปลี่ยนผู้รับให้กลายเป็นผู้ให้”

ชายผู้นั่งประจำอยู่ในวีลแชร์ กล่าวประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเอ่ยถึงความคาดหวังในการลุกขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งชมรมเพื่อเพื่อนผู้พิการ ก่อนจะพัฒนามาเป็น โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเครือข่ายชมรมคนพิการ อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ภายใต้โครงการส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเยาวชนและแรงงานนอกระบบ ปี 2563 โดยการสนับสนุนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)  

“เราพยายามหาโอกาสให้กับตัวเองและเพื่อนคนพิการ ตอนเริ่มต้นเมื่อปี 2553 เรารวมกลุ่มกันประมาณ 4-5 คน เพื่อที่จะให้คนพิการได้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ”

เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ เล่าถึงที่มาของชมรมเพื่อเพื่อนผู้พิการแจ้ซ้อนว่า เกิดจากตัวเขาและเพื่อนๆ คนพิการส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ และไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิอะไรบ้าง จึงตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต การศึกษา ตลอดจนฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของคนพิการ 

หลังจากดำเนินการมาได้ระยะหนึ่ง ชมรมก็สามารถขยายพื้นที่ครอบคลุมอีก 4 ตำบล คือ ชมรมคนพิการตำบลเมืองปาน ชมรมคนพิการตำบลบ้านขอ ชมรมคนพิการตำบลทุ่งกว่าว และชมรมคนพิการตำบลหัวเมือง เกิดเป็น ‘เครือข่ายชมรมคนพิการอำเภอเมืองปาน’ มีสมาชิกทั้งหมด 1,146 คน

หัวใจของการพัฒนาศักยภาพคือการเห็นคุณค่าในตัวเอง

แม้ว่าการรวมกลุ่มในนามชมรมคนพิการฯ จะช่วยให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นสิ่งที่เพียงฟ้าได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงก็คือ โครงการที่เข้ามาสนับสนุนอาชีพคนพิการ มักไม่ได้สำรวจความต้องการที่แท้จริง และไม่สามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิได้

“เขายังไม่ถามเลยว่าเราต้องการอะไร เขาก็มาให้เลย ในเมื่อเขาให้เราก็เอา แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ อย่างอยู่ๆ เขาบอกว่าวันนี้จะมาอบรมทำพรมเช็ดเท้าให้นะ เราก็อบรม แล้วก็หายไป ไม่ได้ต่อยอด ไม่สามารถทำเป็นอาชีพได้”

กระทั่งเมื่อเพียงฟ้าได้เข้าร่วมโครงการฯของกสศ. สิ่งที่เขาได้รับนอกจากทุนในการพัฒนาอาชีพกลุ่มเป้าหมายจำนวน 75 คน คือมุมมองต่อความพิการที่เปลี่ยนไป ซึ่งเปรียบเสมือนการปลดล็อกให้เห็นถึงหัวใจสำคัญของการพัฒนาศักยภาพคนพิการ 

“กสศ.จะมีทีมพี่เลี้ยงมาทำงานร่วมกัน เราคุยกันแล้ววิเคราะห์ว่า เรื่องที่น่าจะยกระดับเป็นเรื่องของความคิด ความคิดของตัวคนพิการเองเลยนะครับ ที่เมื่อก่อนเขามีมุมมองทัศนคติที่ยังแคบ รอรับอย่างเดียว ไม่ยอมที่จะพึ่งพาตัวเอง รอแต่การสงเคราะห์ ไม่ออกจากชุมชน ไม่ออกจากบ้าน เราก็เลยมองว่าถ้าคนพิการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วก็ออกมาสู่สังคม ช่วยเหลือชุมชนบ้าง ก็น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ”

กิจกรรมแรกของโครงการจึงเน้นไปที่การปรับมุมมองทัศนคติให้คนพิการเห็นคุณค่าตัวเอง โดยได้เชิญคนพิการที่เป็นต้นแบบของการพึ่งตนเอง คนที่ประสบความสำเร็จด้านอาชีพและชีวิตมาพูดปลุกพลังว่า การอยู่แบบคนพิการโดยไม่พึ่งคนอื่นมากนักต้องทำอย่างไร 

“ให้เขาค่อยๆ กลับมาคิด เรียนรู้ และพึ่งพาตัวเองบ้าง… 

ให้คนพิการรู้ว่าก่อนอื่นต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน ให้โอกาสตัวเองออกสู่สังคม แล้วก็มาช่วยเหลือครอบครัวของตัวเอง ไม่ต้องเป็นภาระให้กับครอบครัว ไม่ต้องเป็นภาระให้กับสังคมมากนัก เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีคุณค่ามีศักดิ์ศรีทัดเทียมกับบุคคลทั่วไป” 

เพียงฟ้าเลือกใช้คำว่า ‘เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง เปลี่ยนจากผู้รับให้เป็นผู้ให้’ เป็นสโลแกนในการขับเคลื่อนงาน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานคิด ซึ่งเป็นเงื่อนปมสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาศักยภาพของคนพิการ

“เราก็พยายามมาเรื่อยๆ ใช้ชุมชนเป็นฐาน แล้วก็บ้านเป็นหลัก อาสาสมัครเป็นแรงเสริม ให้คนพิการเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เราใช้สโลแกนนี้มาเรื่อย เพื่อให้กลุ่มเกิดความเข้มแข็ง แล้วก็สามารถที่จะช่วยเหลือคนพิการ ให้โอกาสคนพิการที่เขายังมีวิธีคิดที่ยังด้อยค่าตัวเองอยู่ ให้หันกลับมาเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ 

ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าจะให้คนพิการมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องมีอาชีพของตัวเอง แล้วอาชีพนั้นสร้างรายได้ เขาก็จะมีความภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่ารายได้จะน้อย แต่ถ้าเขามีอาชีพเป็นของตัวเอง มันก็มีคุณค่าแล้ว และเขาก็จะมีความคิดว่าไม่เป็นภาระของครอบครัวแล้ว ซึ่งมันสร้างกำลังใจ อย่างพ่อลิ (สมาชิกโครงการฯ) เคยคิดฆ่าตัวตายบ่อยมาก แต่พอเจอคุณค่าของตัวเอง พ่อลิก็กลายเป็นต้นแบบของคนพิการไปเลย”

สำหรับอาชีพที่เพียงฟ้าเอ่ยถึง ในที่สุดก็ลงตัวที่การเลี้ยงกบ เพาะเห็ด เพาะกล้า และปลูกไผ่

“อย่างปลูกไผ่ใช้ระยะเวลา 3-4 ปี จึงจะขายลำได้ แต่เราไม่ต้องทำอะไรเยอะ พอ 3 ปีไปแล้วไผ่โตขึ้น เราสามารถขายได้ขั้นต่ำ 40 บาทต่อลำ โดยโครงการจะติดต่อกับภาคีเครือข่ายซึ่งมีที่รับซื้ออยู่แล้ว”

ในมุมมองของเขา สิ่งที่ทำให้ กสศ.ต่างจากหน่วยงานอื่นที่เข้ามาสนับสนุนด้านอาชีพ คือมีการต่อยอดและเชื่อมโยงเครือข่ายอื่นๆ จากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงมีการออกแบบการเรียนรู้ที่ทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในทุกขั้นตอน จนมีองค์ความรู้และทักษะเพียงพอที่จะบริการจัดการงานต่อไปได้ด้วยตนเอง 

ทว่า นอกเหนือจากทักษะอาชีพและทักษะชีวิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว เพียงฟ้ามองว่า ก้าวที่สำคัญที่คนพิการในโครงการได้รับ คือการก้าวข้ามความรู้สึกด้อยค่าของตัวเอง

“ถ้าแค่อบรมอาชีพตอนหลังก็อาจจะทิ้งไป อาจจะไม่ได้ทำ ถ้ายังมีความคิดเหมือนเดิมที่รอแต่การสงเคราะห์อย่างเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกเรื่องของการสู้ชีวิต ทำเพื่อตัวเองด้วย อย่าไปพึ่งคนอื่นมาก อย่าไปรอรับอย่างเดียว อันนี้คือเรื่องสำคัญเลยครับ 

อย่างที่พ่อลิเล่า พ่อลิก็ได้รับการปรับเปลี่ยนทัศนคติ จนไม่ต้องไปฆ่าตัวตาย เกิดลุกขึ้นมาสู้ แล้วก็เป็นแบบอย่างให้คนอื่นมาเรียนรู้ด้วย กสศ. ไม่ได้ให้แค่อาชีพ แต่ให้เรื่องของความรู้ จิตใจ” 

การเรียนรู้ของคนพิการต้องเสริมพลังไม่ใช่บั่นทอน

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เพียงฟ้าไม่ได้เป็นผู้พิการโดยกำเนิด เขาเล่าว่าตอนอายุได้ 5 ขวบ ตัวเองป่วยเป็นไข้ ขาไม่มีแรง แม่จึงพาไปรักษาที่เชียงใหม่แต่ไม่หาย กลายเป็นคนพิการขาอ่อนแรงทั้งซ้ายและข้างขวา ต้องใช้วีลแชร์ หรือไม้ค้ำยันมาตลอด 

แม้ในด้านการศึกษาเขาจะมีโอกาสเรียนในระบบจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แต่ความพิการทำให้เขาพบว่า ‘โรงเรียน’ ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ที่ดีเท่าไรนักในการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้พิการ

“ผมได้รับปัญหาเรื่องของสถานที่ สิ่งแวดล้อม เช่น ห้องน้ำที่ผมไม่สะดวก การขึ้นไปเรียนบนอาคารชั้น 2 -3 ผมก็ขึ้นลำบาก ส่วนเรื่องวิชาความรู้ มันก็ไม่ค่อยตอบโจทย์ แล้วตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยได้เรียน เพราะต้องรักษาไปด้วย คือขาดช่วงในการเรียน ขาดโอกาสในการเรียนต่อระดับสูง”

เมื่อความรู้ไม่เพียงพอสำหรับเรียนต่อหรือประกอบอาชีพ ประสบการณ์และทักษะอื่นๆ ก็ไม่มี เขาจึงเลือกไปเรียนต่อกับ กศน.(การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขามีอาชีพที่มั่นคง 

“เมื่อความรู้ไม่มีผมก็ต้องมาเรียนรู้เอง ใช้ประสบการณ์เรียนรู้ด้วยตัวเอง ผมไม่มีโอกาสเรียนสูงเหมือนคนอื่น ไม่ได้มีโอกาสเรียนวิชาชีพอะไร” 

มองในมุมนี้ถ้าระบบการศึกษาตอบโจทย์สำหรับคนที่มีความแตกต่างหลากหลาย เพียงฟ้าอาจจะมีโอกาสมากกว่านี้ มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากกว่านี้ และ…ฝันได้ไกลกว่านี้

“ผมมองว่า ทางสถานศึกษาหรือโรงเรียนจะต้องปรับสภาพแวดล้อม คือคนพิการที่จริงเขาทำอะไรก็ได้ ไปโรงเรียนก็ไปได้ แต่พอไปถึงโรงเรียนแล้ว เขาเกิดความพิการเลย เพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เขาก็ไม่ไปไง 

ถ้าโรงเรียนปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อความพิการ คนพิการเขาก็อยากจะไปเรียน โดยที่เรียนกับคนปกติทั่วไปเลย ไม่ต้องไปแบ่งเป็นโรงเรียนเพื่อคนพิการ ให้คนพิการไปเรียนรู้กับคนปกติ ใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กเลย เขาจะได้มีโอกาสมีเพื่อนเป็นคนทั่วไปด้วย อย่าไปให้เขาอยู่คนเดียว

ผมก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ทางสถานศึกษาจะมีระบบแบบนี้หรือเปล่า แต่แถวท้องถิ่นเราไม่มี แล้วก็เรื่องอาชีพ ถ้าโรงเรียนมีการฝึกอาชีพ เป็นหลักสูตรเรียนอาชีพโดยตรงของคนพิการเลย โตมาเขาก็จะมีวิชาเป็นของตนเอง”

นอกจากนี้ เขายังมีข้อเสนอเพิ่มเติมว่า คนพิการน่าจะต้องรวมกลุ่มกันเพื่อเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน เช่น คนพิการทางการได้ยินหากมีโอกาสได้เรียนรู้กับคนพิการทางร่างกาย ก็อาจจะช่วยเหลือกันในการประกอบอาชีพได้ 

“คนพิการทางด้านร่างกายก็อาจจะทำอะไรไม่สะดวก แต่คนพิการทางการได้ยินเขาเดินเหินสบาย แต่เขาสื่อสารไม่ได้ คนพิการทางร่างกายก็จะได้ช่วยเหลือกัน เป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะมาเรียนรู้ร่วมกัน”

ดังนั้น หากต้องการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมศักยภาพของคนพิการอย่างแท้จริง องค์ประกอบสำคัญก็คือ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง การเรียนรู้ร่วมกัน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

“ส่วนที่ยังขาดอยู่ คือสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่ที่คนพิการต้องไป เช่น วัด โรงเรียน หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยว น่าจะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการออกแบบที่ไม่ทำให้พิการมากกว่าเดิม ที่เรียกว่า Universal Design เพราะสิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้คนพิการไม่อยากออกสู่สังคม”

เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “คนพิการไม่มีอยู่จริง มีแต่สภาพแวดล้อมที่พิการ” เพียงฟ้ามองว่าแม้คนพิการในปัจจุบันจะได้รับการดูแลจากทางภาครัฐพอสมควร แต่ที่ยังขาดอยู่คือ การจัดสภาพแวดล้อมที่ทำให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ว่านี้นอกจากทางกายภาพแล้ว ยังรวมถึงทัศนคติของคนในสังคมด้วย

“เมื่อก่อนทัศนคติของสังคมต่อคนพิการไม่ค่อยดี จากที่พวกผมลุกขึ้นมารวมกลุ่มกัน คนพิการก็ยังถูกมองว่าต้องไม่ทำอะไร อยู่แต่บ้าน รอแต่การช่วยเหลือ แล้วก็ยังหาว่าคนพิการ… แถวบ้านผมจะบอกว่า เจอคนพิการก็โชคไม่ดีแล้ว จนผมพยายามรวมกลุ่มกัน เพื่อให้สังคมเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีที่ดูถูกคนพิการ เห็นว่าคนพิการอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร

แต่ปัจจุบันสังคมค่อนข้างยอมรับคนพิการมากขึ้น เพราะเราลงมือทำเอง เราเข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชน สังคม แล้วเราช่วยเหลือคนพิการในพื้นที่ เป็นการช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้วย ก็เลยทำให้คนพิการได้รับการยอมรับมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม เพียงฟ้าเชื่อว่าการเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าคนพิการไม่เปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง 

“เราต้องเข้าใจว่าเรามีความบกพร่อง เขามองอย่างนั้นก็ไม่ผิด ทีนี้เราต้องเปลี่ยนมุมมองตัวเองดู หลังจากนั้นคนอื่นก็ยอมรับเราได้ สังคมก็ให้โอกาสเราได้ ผมใช้มุมมองแบบนี้เพื่อที่จะอยู่กับสังคมให้ได้” 

ถึงตอนนี้ในวัย 46 ปี กับสถานะคนพิการ เพียงฟ้าบอกว่าเขาภูมิใจที่พาตัวเองและเพื่อนมาถึงจุดที่สังคมรอบข้างให้การยอมรับ และยังสามารถช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนได้ 

“เคยมีคนถามว่า ฝันอยากจะหายมั้ย อยากจะเดินปกติมั้ย ผมบอกว่าผมชินกับความพิการแล้ว และเหมือนได้สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ถ้าผมไม่พิการ ผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นได้เยอะขนาดนี้ 

ผมไม่อยากจะเป็นคนปกติแล้ว เหมือนกับผมได้มีคุณค่าจากการที่ผมพิการ …ถ้าผมไม่พิการ ผมอาจเป็นคนไม่มีค่าก็ได้”

แต่ถ้าถามถึงความฝันหรืออนาคตการทำงาน เขายอมรับว่าเคยฝันว่าอยากเป็นผู้นำ เป็นนักการเมือง แต่ตอนนี้คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ สร้างคุณค่าได้มากกว่าเส้นทางการเมืองด้วยซ้ำ 

“อยากให้คนพิการเปลี่ยนแนวคิดของตัวเอง เพื่อให้คนในสังคมยอมรับเราให้ได้ หลายคนบอกว่า ทำไมสังคมคิดกับเราอย่างนั้น ก็ต้องเข้าใจว่าเขาคิดแบบนั้นมานาน ติดแบบกรมประชาสงเคราะห์ เพราะฉะนั้น เราต้องพูดเรื่องของศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวเองให้มาก ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด มุมมอง ทัศนคติ จากผู้รับเป็นผู้ให้บ้าง เปลี่ยนภาระให้เป็นพลังให้ได้ เราก็จะอยู่กับชุมชนสังคมได้”  

Tags:

คนพิการการเรียนรู้วิชาชีวิตกสศ.เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเครือข่ายชมรมคนพิการการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Illustrator:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ‘รักตัวเอง’ สุขจริงหรือแค่ปลอบใจ แล้วแค่ไหนถึงกลายเป็นหลงตัวเอง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Everyone can be an Educator
    ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ล้มได้ แต่ไม่พ่ายแพ้ : ชวนเด็กๆ เรียนรู้และรับมือกับความล้มเหลว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

Aftersun: แม้ภายในจะรวดร้าวแต่พ่อยังอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก
Movie
3 March 2023

Aftersun: แม้ภายในจะรวดร้าวแต่พ่อยังอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Aftersun เป็นภาพยนตร์ดรามาสัญชาติอังกฤษที่สื่อหลายสำนักทั่วโลกยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของปี 2022
  • ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของคุณพ่อยังหนุ่มที่ตัดสินใจพาลูกสาวไปพักร้อนที่ประเทศตุรกี โดยที่ลูกไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้พบกับพ่อ
  • เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ชม เช่น หากดูด้วยสายตาของลูกสาวในวันนั้น ก็ถือเป็นภาพยนตร์ฟีลกู๊ด ทว่าหากชมภาพยนตร์ผ่านสายตาของพ่อ Aftersun คือภาพยนตร์ที่เปี่ยมด้วยความรันทดและแหลกสลาย

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์]

ว่ากันว่าทุกความทรงจำมักมีจุดบอดเสมอ โดยเฉพาะความทรงจำในวัยเด็กที่นักจิตวิทยาหลายคนพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า “มนุษย์มักเลือกจำในสิ่งที่อยากจำมากกว่าการจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด” 

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เวลาผมชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจสักคนคุยเรื่องอดีตแบบเจาะลึก ผมเดาได้เลยว่าระหว่างการสนทนาจะต้องมีใครสักคนอุทานขึ้นว่า “ถ้าไม่เล่าเรื่องนี้ก็คงลืมไปแล้ว” หรือไม่ก็ “เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นด้วยเหรอ…ไม่เห็นจะจำได้เลย”

ผมหวนคิดถึงประโยคเหล่านี้อีกครั้ง หลังจากได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง Aftersun ที่สื่อต่างประเทศหลายสำนัก อย่าง BBC, The Guardian, Vogue, The telegraph และอีกมากมาย ยกย่องว่านี่คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของปี 2022 และน่าทึ่งยิ่งขึ้นเมื่อพบว่า Aftersun เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรกของผู้กำกับสาววัย 35 อย่าง Charlotte Wells ที่ได้แรงบันดาลใจในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากที่เธอค้นเจออัลบั้มรูปเก่าๆ ของตัวเองในวัยเด็กและพบว่าพ่อของเธอในตอนนั้นดูหนุ่มกว่าที่เธอคิด 

นอกจากอัลบั้มรูป ผู้กำกับสาวได้ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ว่าเธอยังพบเทปบันทึกการแข่งขันหมากรุกระหว่างเธอกับพ่อ แต่น่าเสียดายที่ในหนึ่งชั่วโมงนั้นกลับมีแต่ภาพของกระดานหมากรุก ดังนั้นเธอจึงเก็บความรู้สึกของการไขว่คว้าและอยากไล่ตามใครบางคนที่สูญหายไปมานำเสนอ

“…หัวของเราทุกคนจะลอยออกจากหน้าจอ เพราะกระดานหมากรุกน่าสนใจกว่า ฉันคิดว่ามันทั้งสมบูรณ์แบบและน่าเศร้าของในแบบของมัน”

-1-

Aftersun บอกเล่าเรื่องราวของ ‘โซฟี’ สาววัยกลางคนที่พบเทปม้วนหนึ่งที่เคยถ่ายไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเทปม้วนนั้นคือเทปบันทึกเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เธอได้พบกับพ่อ 

ตอนนั้นโซฟีอายุ 11 ขวบ เธอได้รับอนุญาตจากแม่ผู้เป็นหม้ายให้ไปพักร้อนช่วงปิดเทอมที่ประเทศตุรกีกับพ่อที่ใกล้จะอายุ 31 ในอีกไม่กี่วัน 

พ่อของโซฟีมีชื่อว่า ‘แคลัม’ แม้ในเรื่องจะไม่ได้บอกว่าทำไมเขาถึงหย่าร้างกับภรรยา แต่การเงินที่ขัดสน รวมถึงนิสัยที่ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ก็พอจะทำให้เดาเหตุผลได้ส่วนหนึ่ง

สารภาพว่าตอนชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรก ผมดูด้วยความสบายๆ ไม่คิดอะไรมาก จึงรู้สึกถึงแค่ความรักอันเรียบง่ายระหว่างพ่อลูก และ ‘ไม่มีอะไรพิเศษ’ ไปกว่าการที่โซฟีต้องมาใช้ชีวิตกับพ่อในโรงแรมเกือบทั้งทริป โดยมีกิจวัตรประจำวันซ้ำๆ อย่างการนอนอาบแดด ว่ายน้ำ เล่นพูล กินข้าว หรือไม่ก็ออกไปดำน้ำดูปะการังบ้างในบางวัน ฯลฯ 

เมื่อโซฟีต้องทำกิจวัตรสุดจำเจ เธอก็เริ่มเบื่อหน่าย ประกอบกับฮอร์โมนที่กำลังจะพาเธอก้าวสู่การเป็นสาวน้อย ทำให้เธอเริ่มมีความสนใจพฤติกรรมต่างๆ ของกลุ่มวัยรุ่นในโรงแรม มากกว่าจะสนใจพ่อที่ยังหนุ่มยังแน่นแต่กลับทำตัวเหมือนคนแก่ที่อยากพักผ่อนไปวันๆ 

ในทางกลับกัน ถึงพ่อจะดูน่าเบื่อไปบ้าง แต่อีกใจโซฟีก็รู้สึกว่าพ่อของเธอเป็นคนอบอุ่น แม้จะมีบางเวลาที่พ่อชอบทำตัวแปลกๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่ากับความสุขที่เธอได้รับจากพ่อ 

“พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้ว่าตอนลูกโตขึ้น ลูกคุยกับพ่อได้ทุกเรื่องนะ ไม่ว่าจะเรื่องเพศ ยาเสพติดหรืออะไรก็ตาม…พ่อลองมาหมดแล้ว”

-2-

อาจเพราะความสงสัยที่คั่งค้างในบางฉาก ทำให้ผมตัดสินใจกลับไปดู Aftersun อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมเลือกที่จะโฟกัสกับอารมณ์และความแปลกของแคลัมเป็นหลัก

ผมพบว่าแม้แคลัมมักส่งยิ้มให้โซฟีบ่อยๆ แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับเจือด้วยร่องรอยของความขมขื่นราวกับแบกรับโชคชะตาอันโหดร้ายของชีวิต

ฉากแรกที่อยากพูดถึงคือตอนไปถึงตุรกีใหม่ๆ โซฟีได้คุยโทรศัพท์กับแม่ จากนั้นแม่ก็ขอคุยกับแคลัม ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะบอกเรื่องข่าวดีบางอย่างของเธอ ทำให้แคลัมหน้าเจื่อนไปวูบหนึ่งแล้วรีบพูดขึ้นว่า “ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน ผมยินดีกับคุณด้วยจริงๆ …โอเค รักคุณนะ บาย”

เมื่อวางสายโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์ แคลัมพบว่าโซฟีแอบฟังการสนทนา เขาจึงฝืนยิ้มให้กับลูกสาว ซึ่งภายหลังเธอตัดสินใจถามผู้เป็นพ่อว่าทำไมต้องบอกรักแม่ในโทรศัพท์ ทั้งๆ ที่ทั้งคู่เลิกรากันไปแล้ว

“ลูกเองก็ต้องบอกรักลุงป้าน้าอาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ…ยังไงแม่ก็เป็นครอบครัวของเรานะ” แคลัมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นท่ามกลางความงุนงงของโซฟี

จากสองฉากนี้ ผมรู้สึกว่าแคลัมยังคงรักอดีตภรรยา แต่อาจมีเหตุผลที่ทำให้ทั้งคู่เลิกกัน ซึ่งอาจมาจากหลายๆ เหตุผล ทั้งฐานะทางการเงินที่ชักหน้าไม่ถึงหลังของแคลัม การใช้ชีวิตล่องลอยไม่เป็นที่เป็นทาง หรืออาจเป็นการติดเหล้าและสารเสพติด ที่แม้ภาพยนตร์จะไม่อธิบายแน่ชัด แต่จากคำพูดของแคลัมที่พูดกับพนักงานบนเรือว่า “ผมนึกภาพตัวเองตอนอายุ 40 ไม่ออกด้วยซ้ำ แค่รอดมาจน 30 ก็แปลกใจมากแล้ว” ทำให้ผมเข้าใจได้ว่าแคลัมเป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ล้มเหลว และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ถ้าไม่นับคำพูดและสีหน้าของแคลัมแล้ว บางครั้งภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นว่าแคลัมมีความทุกข์ที่ยากจะแบกรับ อย่างเช่น ฉากที่โซฟีถามแคลัมว่าตอนวันเกิดสมัยเด็กๆ เขาเป็นยังไง คิดภาพว่าตัวเองตอนอายุ 31 จะเป็นอย่างในปัจจุบันไหม 

สำหรับผม ความน่าสนใจของฉากนี้ไม่ได้อยู่ที่คำตอบของแคลัม หากอยู่ที่โฟกัสของกล้องที่จับไปที่กองหนังสือสี่ห้าเล่ม ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังสือประเภทการทำสมาธิและการฝึกบริหารลมปราณแบบไทชิ (ไทเก็ก) ทำให้พอตีความได้ว่าแคลัมพยายามจะใช้วิชาเหล่านี้เยียวยาความรู้สึกอันหนักอึ้งในใจตัวเอง

หรือฉากที่สองพ่อลูกไปร่วมกิจกรรมตอนกลางคืนที่ทางโรงแรมเปิดให้ผู้เข้าพักมาร่วมแข่งขันชิงรางวัล ซึ่งกล้องได้จับไปที่สีหน้าแววตาของแคลัมที่นั่งเหม่อด้วยสายตาล่องลอยไร้ชีวิตชีวา โดยมีเสียงเพลง Unchained Melody เป็นดั่งคำอธิบายความรู้สึกในจิตใจ

“โอ้ที่รัก…ยอดรักของฉัน ฉันกระหายที่จะได้รับการสัมผัสจากเธอ เวลาแห่งความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวนี้มันช่างเนิ่นนานเหลือเกิน…”

-3-

หลังจากดู Aftersun ไปสองรอบ ผมบังเอิญไปเจอบทสัมภาษณ์ของพระเอกหนุ่ม  Paul Mescal ที่รับบท ‘แคลัม’ โดยประเด็นที่ผมรู้สึกสนใจเป็นพิเศษคือการพูดคุยถึงหนึ่งในฉากสำคัญของเรื่อง อย่างตอนที่โซฟีชวนแคลัมไปร้องคาราโอเกะด้วยกันบนเวที แต่แคลัมกลับปฏิเสธคำขอนั้นจนนำมาสู่ความขัดแย้งในภายหลัง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องกับเหตุการณ์ที่แคลัมได้ฟังเพลง Unchained Melody ที่ผมกล่าวไว้ในย่อหน้าก่อน

“คุณจะเห็นได้ว่าเขา (แคลัม) เป็นคนที่สามารถยืนหยัดต่อหน้าฝูงชนและมีความมั่นใจ เป็นตัวละครที่สนุกกับการลุกขึ้นเต้นต่อหน้าฝูงชน แต่ในขณะนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับเขาที่ห้ามไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ภายในของเขากำลังกรีดร้องให้เขานั่งลงและอยู่นิ่งๆ และเขาไม่ต้องการให้ใครรับรู้หรือมองเห็นเขาในช่วงเวลานั้น 

แน่นอนว่ามันเจ็บปวดที่เห็นลูกสาวต้องการบางอย่างจากคุณโดยที่คุณไม่สามารถให้ได้”

โซฟีออกไปร้องเพลงด้วยความรู้สึกเศร้าๆ หนำซ้ำยังร้องผิดคีย์เสียงเพี้ยน ทำให้แคลัมตื่นจากภวังค์แห่งความทุกข์ของตัวเองชั่วคราว ก่อนพยายามแซวโซฟีว่าเขาจะส่งเธอไปเรียนร้องเพลง แต่สุดท้ายคำตอบของโซฟีกลับตอกย้ำปมในใจของเขาให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง 

 “…เขาถามเธอว่าต้องการเรียนร้องเพลงไหม เธอพูดว่า “หยุดเลยพ่อ พ่อจะส่งหนูไปเรียนทำไม ในเมื่อตัวพ่อไม่สามารถจะจ่ายได้” นั่นเป็นความอัปยศที่แท้จริงสำหรับแคลัมที่เขาไม่สามารถให้สิ่งที่เธอต้องการเพียงเพราะเขาไม่สามารถจ่ายมันได้ สำหรับผมแล้วประเด็นที่โซฟีหยิบมาพูดทำให้หัวใจของแคลัมแตกเป็นเสี่ยงๆ”

นักแสดงชาวไอริชกล่าวเพิ่มเติมว่าเขามองว่าแคลัมเป็นพ่อที่ดี 95 เปอร์เซ็นต์ แต่อีก 5 เปอร์เซ็นต์ที่หักออกไปคือผลลัพธ์จากฉากนี้ ที่สองพ่อลูกต่างคนต่างไปสงบสติอารมณ์ ซึ่งแคลัมเลือกทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวในงานคาราโอเกะคืนนั้น   

“ผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับความรู้สึกรังเกียจหรืออับอายกับตัวตนของเขาจริงๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สะท้อนถึงการต่อสู้อย่างต่อเนื่องกับสุขภาพจิตของเขาเอง 

อย่างไรก็ตามในความคาดหวังต่อความสัมพันธ์เช่นพ่อกับลูก คนเป็นพ่อย่อมอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก แต่ในท่าทีที่ปกติเหล่านั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาซ่อนความเจ็บปวดไว้แค่ไหน เพราะกรอบความสัมพันธ์นี้ทำให้พ่อไม่สามารถแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนรักโดยเฉพาะกับลูกสาว ซึ่งถ้าดูผ่านๆก็ไม่มีอะไร แต่ผมสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่แทรกอยู่ระหว่างบรรทัด” Paul Mescal กล่าวกับ GQ

-4-               

สำหรับผม…หากแคลัมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ผมอยากบอกเขาว่าเราไม่จำเป็นต้องพยายามเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ อีกทั้งการกดทับความรู้สึกนั้นรังแต่จะสร้างรอยร้าวให้กับใจมากขึ้น 

จริงอยู่ที่พวกเราต่างไม่อยาก ‘อ่อนแอ’ ต่อหน้าคนที่เราอยากให้ชื่นชม โดยเฉพาะลูก แต่การแสดงความอ่อนแอให้ลูกเห็นในวันที่เราไม่ไหวจริงๆ เช่น การร้องไห้ระบายความรู้สึกออกมาก็ทำให้เราผ่อนคลายขึ้น อีกทั้งอ้อมกอดจากลูกก็สามารถเยียวยาหัวใจให้กลับมามีพลังอีกครั้ง

ในทางกลับกัน การแสดงความอ่อนแอให้ลูกเห็นยังสามารถเป็น ‘บทเรียนชีวิต’ ให้ลูกได้ตระหนักว่าความผิดหวังเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ เพียงแต่ต้องเปิดใจยอมรับและรู้จักรับมือกับความผิดหวังนั้นอย่างถูกวิธี 

นอกจากนี้ มากไปกว่าการมีพ่อที่เข้มแข็งหรืออ่อนไหว เด็กทุกคนคงอยากมีพ่อที่รักและเข้าใจลูกจากหัวใจ

Tags:

พ่อแม่ความสัมพันธ์ครอบครัวความทรงจำหนังAftersun

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Myth/Life/Crisis
    ‘ครอบครัว’ ที่ไม่เป็นไปตามขนบ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

รู้ใจวัยรุ่น…ผ่านตัวตน สมอง และฮอร์โมน
How to get along with teenagerAdolescent Brain
2 March 2023

รู้ใจวัยรุ่น…ผ่านตัวตน สมอง และฮอร์โมน

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • วัยรุ่นไม่ใช่เด็ก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่เช่นกัน เพราะสมองของวัยรุ่นกับสมองของผู้ใหญ่มีลักษณะเฉพาะตัวและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันมาก
  • การเปลี่ยนแปลงของสมอง เป็นเบื้องหลังทำให้เกิดนิสัยต่างๆ ในแบบวัยรุ่น ทั้งความพลุ่งพล่าน การสะเทือนใจได้ง่าย การตัดสินใจและเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว
  • วัยรุ่นเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดในการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เพราะสมองของพวกเขาพร้อมที่จะเชื่อมโยงความรู้ใหม่ๆ เข้ากับประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อสรุปเป็นโลกทัศน์และมุมมองส่วนตัวที่มีต่อโลก

ในทำนองเดียวกับที่เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก วัยรุ่นทุกคนก็ไม่ใช่เด็ก (พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็ก!) แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่เช่นกัน

สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนรู้กันดีก็คือ เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่นนั้น นอกจากจะไม่ค่อยอยากทำตัวสนิทสนมกับพ่อแม่ดังเดิมแล้ว (เพราะกลัวเพื่อนล้อ) บางครั้งยังพบการแสดงออกที่ดูจะหุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยมีเหตุมีผล และชอบทำอะไรแผลงๆ เสี่ยงๆ เป็นว่าเล่น 

เรื่องพวกนี้สะท้อนความจริงที่ว่า วัยรุ่นแตกต่างจากผู้ใหญ่ในเรื่องอุปนิสัยใจคอ วิธีมองและคิดแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ผลลัพธ์ทั้งหมดนั้นมีรากฐานจากความแตกต่างทางสรีรวิทยา พูดแบบสรุปสั้นๆ ก็คือ สมองของวัยรุ่นกับสมองของผู้ใหญ่มีลักษณะเฉพาะตัวและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันมาก 

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของปริมาณฮอร์โมนที่ท่วมท้นได้ง่ายๆ อีกด้วย 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบสมองของวัยรุ่นก็พบว่า มีบริเวณจำเพาะที่เรียกว่า อะมิกดาลา (amygdala) ซึ่งใช้ตอบสนองแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรวดเร็ว และควบคุมอารมณ์กลัวและก้าวร้าวด้วย สมองส่วนนี้พัฒนาขึ้นมามากกว่าตอนเป็นเด็กเล็ก [1] 

จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยรุ่นจะมีนิสัย ‘ห้าวๆ’ อยู่สักหน่อย

สมองอีกส่วนหนึ่งที่กำลังเติบโตมากในวัยรุ่นคือ ส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกอีกเช่นกัน [2] วัยรุ่นจึง ‘อิน’ กับอารมณ์ต่างๆ เช่น อารมณ์ตื่นเต้นหรืออารมณ์เศร้าได้ง่ายและมาก ภาพยืนให้น้ำจากฝักบัวราดหัวหรือเดินร้องไห้ตากฝนในตอนอกหัก จึงเป็นเรื่องเข้ากันได้สุดๆ กับอารมณ์เช่นนั้น 

เวลาอ่านนิยายหรือมังงะ ก็จะอินได้ง่ายและมากสุดๆ และอาจจะฝังใจจำ จนเป็นความประทับใจไปตลอดชีวิตได้เลยทีเดียว 

หนังสือที่อ่าน ภาพยนตร์ที่ดู เพลงที่ฟัง วีรกรรมที่ทำ จึงล้วนตราตรึงอยู่ในใจจนยากลืมเลือน   

ในขณะเดียวกัน เมื่อตรวจสอบเปลือกสมองส่วนหน้าที่ชื่อ ฟรอนทัลคอร์เทกซ์ (frontal cortex) ซึ่งใช้วิเคราะห์หาเหตุผลและชั่งน้ำหนักการกระทำต่างๆ ก็กลับพบว่า ยังมีพัฒนาการไม่ดีเท่า แต่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตครั้งใหญ่ ซึ่งจะสำเร็จเสร็จสิ้นเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว

นอกจากนี้ยังพบอีกด้วยว่า สมองวัยรุ่นยังอยู่ในช่วงที่สร้าง ‘สายใย’ ระหว่างเซลล์สมองอย่างมากมาย ซึ่งจะเป็นการสร้างเส้นทางการเชื่อมโยงที่ใช้กันไปตลอดจนกระทั่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว หรือแม้กระทั่งใช้ไปตลอดชีวิต มีการสร้างสารที่เป็นเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทชื่อ ไมอีลิน (myelin) ซึ่งช่วยทำให้การส่งกระแสประสาทในสมองทำได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม  

สมองอีกส่วนหนึ่งที่ทำงานได้ดีมากๆ ในช่วงวัยรุ่นก็คือ ‘สมองส่วนให้รางวัล’

เมื่อพวกเขาเสี่ยงทำอะไรสักอย่าง (ตั้งแต่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ แข่งมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงชกต่อยกัน ฯลฯ) แล้วชนะ จึงเกิดอาการ ‘ฟิน’ อย่างรุนแรง หลั่งสารที่ชื่อ โดพามีน (dopamine) ออกมาอย่างท่วมท้น และง่ายที่จะเสพติดนิสัยเสี่ยงๆ ทั้งหลายต่อไป หรืออาจทำให้ต้องการทำมากขึ้น จึงทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ด้วย   

อย่าว่าแต่เรื่องเสี่ยงกับชีวิตเลย แค่ขอสาวออกเดต หรือเห็นภาพวับๆ แวมๆ นิดหน่อย ก็ทำให้ขนลุกขนชันไปทั้งตัวได้แล้ว! 

ทั้งหมดที่ว่ามาคือ การเปลี่ยนแปลงของสมองที่เป็นเบื้องหลังทำให้เกิดนิสัยต่างๆ ในแบบวัยรุ่นคือ มีความพลุ่งพล่าน มีอารมณ์ร่วมและสะเทือนใจได้ง่าย ตัดสินใจรวดเร็วและเปลี่ยนใจได้ว่องไวมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อาจคิดอะไรไม่ค่อยรอบคอบนัก เผลอทำอะไรผิดพลาดได้ง่ายดายไม่น่าเชื่อ แต่ก็ทุ่มเทไม่กลัวความเสี่ยงผิดพลาดหรือล้มเหลว 

ทั้งหมดนั้นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของวัยรุ่น

จุดอ่อน เช่น อาจผลีผลาม ไม่ชั่งใจ คิดในเชิงเหตุผลให้มากพอก่อนทำอไรสักอย่าง หรือเอะอะอะไร ก็จะลุย จะ ‘บวก’ กันท่าเดียว ไม่คิดถึงผลอื่นๆ ที่จะตามมา แต่ข้อดีคือ มีพลังเยอะ ปลุกเร้าด้วยเรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์ให้ร่วมไม้ร่วมมือสร้างสรรค์สิ่งยิ่งใหญ่ด้วยกันได้ง่าย 

พ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามามีบทบาทตรงนี้ได้ โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของวัยรุ่น (ที่ตัวเองก็เคยผ่านมา แต่อาจลืมไปแล้ว) ตามที่เล่ามานี้ และทำตัวเป็นผู้ให้คำแนะนำ สอนแบบอ้อมๆ (วัยรุ่นไม่ชอบการสอนแบบตรงๆ หรือบ่นแบบคนมีอายุ) ผ่านเรื่องเล่าหรืออุทาหรณ์ในรูปแบบต่างๆ และเสนอทางออกที่วัยรุ่นอาจไม่ทันนึกถึง 

รวมไปถึงการทำตัวเป็นแบบอย่างให้ดูว่าที่ถูกที่ควร ต้องทำอย่างไรกันแน่ 

สำหรับเรื่องเสี่ยงๆ ที่วัยรุ่นชอบ ก็อาจต้องใจเย็น หนักแน่น และค่อยๆ ให้ข้อมูล ผลดีผลเสีย ที่สำคัญคือ อย่าทำให้วัยรุ่น ‘หัวร้อน’ หรือ ‘ของขึ้น’ ไปเสียก่อน เพราะในทางจิตวิทยา รู้กันเป็นอย่างดีว่า อารมณ์ที่คุกรุ่นทำให้สมองส่วนเหตุผลทำงานได้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด 

เรื่องที่ผู้ใหญ่อาจมองดูว่าเล็กน้อย เช่น การคบเพื่อนใหม่ในโรงเรียนใหม่ ก็อาจถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ชวนให้เครียดได้แล้วสำหรับวัยรุ่นสักคน กำลังใจและคำแนะนำดีๆ จึงมีประโยชน์กับพวกเขาและเธอเป็นอย่างมาก 

สำหรับตัววัยรุ่นเอง สิ่งที่จำเป็นต้องรู้และตระหนักไว้ตลอดเวลาก็คือ ความกดดันจากกลุ่มเพื่อนถือว่ามีน้ำหนักมากต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ จนเป็นวัยที่การตัดสินใจต่างๆ อยู่ภายใต้อิทธิพลของเพื่อนฝูงมากกว่าทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ [3] 

ความกดดันในเรื่องนี้อาจมากจนกระทั่งความล้มเหลวในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หรือการถูกบูลลี่หรือทำร้ายจากกลุ่ม ทั้งทางร่างกายและวาจา อาจทำให้คิดสั้นฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว  

การตัดสินใจทำหรือไม่ทำเรื่องสำคัญมากๆ ของวัยรุ่น จึงควรถอยห่างออกมาจากวงเพื่อนฝูง เพื่อใช้เวลาตั้งสติตั้งสักนิดและใช้เวลาให้มากขึ้นอีกหน่อย 

วิธีการนี้จึงช่วยได้มากจริงๆ  

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งทั้งกับตัววัยรุ่นเองและผู้ปกครองก็คือ การตระหนักว่าวัยรุ่นแต่ละคนมีความเป็นตัวตนสูง ไม่มีใครเหมือนคนอื่นไปเสียทั้งหมด การเปรียบเทียบกับวัยรุ่นคนอื่นในชั้น หรือแม้แต่พี่น้องในครอบครัว หรือญาติในตระกูล หรือคนแถวบ้านที่รุ่นราวคราวเดียวกัน จึงเป็นเรื่องต้องห้ามและไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง 

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ วัยรุ่นคือวัยที่ขวนขวายหาคำตอบให้ตัวเองว่า ตัวเองเป็นใครกันแน่? จะทำยังไงกับตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัวจึงจะดีที่สุด? 

วัยรุ่นจึงเป็นวัยที่ลองผิดลองถูกและสำรวจเรื่องต่างๆ รอบตัวผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการร่วมกลุ่มกับเพื่อนทำสิ่งต่างๆ ซึ่งบ่อยครั้งก็แหกกฎสังคม เพราะทำให้ตื่นเต้นสนุกสนานกว่าทำตามกฎ สมองของคนวัยนี้จึงเหมือนได้รับการกระตุ้นให้คิดสร้างสรรค์และทำเรื่องต่างๆ เพื่อสร้างความทรงจำใหม่ๆ 

วัยรุ่นจึงเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่พวกเขาคิดว่าสำคัญกับชีวิตตัวเอง 

สมองของพวกเขาพร้อมที่จะเชื่อมโยงความรู้ใหม่ๆ เข้ากับประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อสรุปเป็นโลกทัศน์และมุมมองส่วนตัวที่มีต่อโลก เรื่องนี้เองที่ผลักดันให้พวกเขาไปสำรวจจนสุดขอบความเป็นไปได้ของชีวิต ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้าย 

แต่เรื่องที่สำคัญไม่ควรลืมคือ การเติบโตของสมองในช่วงวัยนี้ ทำให้วัยรุ่นเรียนรู้อะไรได้เยอะอย่างกระตือรือร้นอีกต่างหาก และจะมีโอกาสที่จะได้ใช้ความรู้บางอย่างในจำนวนนี้ไปตลอดชีวิต  

สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองและครูอาจารย์ควรจะทำจึงได้แก่ การกังวลเรื่องความเสี่ยงหรือความห้าวของพวกเขาให้น้อยลง เพราะเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แต่ควรโฟกัสไปที่การเป็น ‘ที่ปรึกษา’ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ท่าทีที่เหมาะสม และช่วงจังหวะที่เหมาะสม 

หากทำดังนี้ได้ คำแนะนำดีๆ ก็จะได้รับการตอบสนอง และวัยรุ่นก็จะค่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดอย่างรอบคอบมากขึ้น และมีความเสี่ยงในทางไม่ดีลดน้อยลงเอง

       

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.aacap.org/AACAP/Families_and_Youth/Facts_for_Families/FFF-Guide/The-Teen-Brain-Behavior-Problem-Solving-and-Decision-Making-095.aspx

[2] https://parentandteen.com/how-teens-make-decisions/

[3] Simon Ciranka et al. Front. Psychol., 29 August 2019, Volume 10–2019.  doi.org/10.3389/fpsyg.2019.01915

Tags:

พัฒนาการพ่อแม่วัยรุ่นสมองผู้ใหญ่ฮอร์โมน

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

    เรื่อง The Potential

  • Early childhoodMovie
    THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้

    เรื่อง

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel