Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
Transformative learning
7 March 2023

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 10. โยงสู่บริบทการศึกษาไทย

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ 10. โยงสู่บริบทการศึกษาไทย โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช เสนอเป็นข้อเรียนรู้ในมิติที่ลึกและซ่อนเร้น 10 ข้อ
  • บทบาทของครู ไม่ใช่แค่บทบาทจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่มีอีกบทบาทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือหน้าที่พัฒนาหลักสูตรและพัฒนาระบบการศึกษา
  • การให้คุณค่าแก่ผลงานน่าจะเป็นเรื่องดี ตัวผลงานไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ตัวลัทธิบูชาผลงานเป็นผู้ร้าย เพราะมันนำไปสู่พฤติกรรมติดตามประเมินผลที่ผลงานแบบตายตัว ไม่ว่าผลงานนั้นจะเป็นผักชีโรยหน้า หรือสร้างขึ้นชั่วคราวก็ตาม ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ในระบบการศึกษา เป็นการทำลายโอกาสความเป็นผู้ก่อการของครู

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach (2015) เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator) โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วย ท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อโดยง่าย

บันทึกที่ 10 นี้ผมจินตนาการเชื่อมโยงสู่ขบวนการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย โดยเสนอเป็นข้อเรียนรู้ในมิติที่ลึกและซ่อนเร้น 10 ข้อ เป็นการตีความสุดๆ หรือตีความซ้อนตีความ จึงมีข้อผิดพลาดได้ง่าย ท่านผู้อ่านพึงมีสติอยู่กับกาลามสูตรอย่างเต็มที่

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 1 

ในสายตาของผม สาระสำคัญที่สุดสำหรับวงการศึกษาไทย ที่หนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach สื่อคือ ระบบการศึกษาเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและเป็นพลวัตสูงยิ่ง การจัดการระบบด้วยกระบวนทัศน์แบบลดทอนความซับซ้อน (reductionism) และความสัมพันธ์แบบกลไก (mechanistic) ด้วยการควบคุมผลอย่างเข้มงวด จะนำไปสู่ความล้มเหลว คือเกิดการลดทอนทั้งคุณภาพผลลัพธ์การศึกษา และลดทอนคุณภาพครู และยิ่งก่อผลร้าย คือจะทำให้ระบบการศึกษาเต็มไปด้วยความไม่ซื่อสัตย์

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 2

มีการสะท้อนจุดอ่อนของหลักสูตรที่เน้นผลลัพธ์ (outcome-based curriculum) ที่เราคิดกันว่าเป็นหลักสูตรที่ดี เพราะเน้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน แต่เมื่อมีการวิจัยผลของการประยุกต์ใช้หลักสูตรนี้ ผลที่ออกมาไม่ดีดังคาด เพราะมีจุดอ่อน ๒ ประการ คือ (๑) “ผลลัพธ์” ที่กำหนดมาจากการลดทอนคุณค่าของการศึกษา จากสภาพซับซ้อน มาเป็น “ผลลัพธ์” ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) ของการศึกษา ถูกละเลย เพราะหลงไปหมกมุ่นกับ “ผลลัพธ์” ที่เป็นผลิตผลของ “ลัทธิลดทอน” (reductionism) ไม่เกิดการพัฒนานักเรียนอย่างเป็นองค์รวม (๒) เกิดระบบติดตามผลที่ “ผลลัพธ์” อย่างเข้มข้นและเข้มงวด หน่วยเหนือของโรงเรียนและครู ดำเนินการติดตามผลแนวควบคุม ไม่ใช่แนวส่งเสริม ทำให้โรงเรียนและครูมุ่งทำงานเพื่อสนองการประเมิน แทนที่จะเน้นสนองนักเรียน

จุดอ่อนประการที่ ๓ ของหลักสูตรเน้นผลลัพธ์ คือ มีผลลดทอนโอกาสพัฒนาความเป็นผู้ก่อการ (agency) ของครู ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ระบบการศึกษาอ่อนแอลงไปอีก

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 3

ระบบการศึกษาที่เลียนแบบระบบธุรกิจ รับเอาอุดมการณ์และวิธีการหลายอย่างของระบบธุรกิจมาใช้ โดยไม่คำนึงว่า บริบทของธุรกิจกับบริบทของการศึกษาแตกต่างกัน จะนำไปสู่ความตกต่ำของระบบการศึกษา  

ข้อแตกต่างสำคัญยิ่งคือ ระบบธุรกิจมุ่งสนองความต้องการของลูกค้า ส่วนระบบการศึกษามุ่งสนองความต้องการของผู้เรียน (หรือผู้ใช้บริการ) ลูกค้ามีอำนาจสูง เพราะสามารถบอกความต้องการของตนได้ชัดเจนผ่านช่องทางต่างๆ และองค์กรธุรกิจก็ต้องสนองความต้องการนั้น แต่นักเรียนบอกไม่ได้ว่าตนเองต้องการบรรลุเป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) ของการศึกษา และไม่มีกำลังต่อรองใดๆ   เกิดคำถามว่า ใครเล่า ที่เป็นผู้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของนักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้บริหารระบบการศึกษา หรือคนอื่น (กลไกอื่น เช่นกลไกตลาด) คำตอบของผมคือครู ครูอยู่ในฐานะที่จะรักษาและสนองผลประโยชน์ของนักเรียนได้ดีที่สุด  ความเห็นนี้ต้องถกเถียงกันยาว โดยประเด็นของเรื่องคือ หากครูมีความเป็นผู้ก่อการ ครูจะรักษาผลประโยชน์ของนักเรียนได้ดีกว่า  

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 4 

ระบบกำกับคุณภาพ และติดตามประเมินผลการศึกษา เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา การกระทำที่เต็มเปี่ยมด้วยเจตนาดีอาจก่อผลร้าย หากมีวิธีดำเนินการที่ผิดพลาด อันเกิดจากกระบวนทัศน์ที่ผิด 

กระบวนทัศน์ที่ถูกต้องคือ ระบบดังกล่าวมีไว้สนับสนุนหรือช่วยเหลือฝ่ายปฏิบัติ ไม่ใช่มีไว้ควบคุมฝ่ายปฏิบัติ หรือกล่าวใหม่ว่าต้องดำเนินการแบบเน้นสนับสนุนส่งเสริมมากกว่าควบคุม   

แต่ลัทธิบูชาผลงาน (performativity) ชักนำให้ทุกขั้นตอนของระบบการศึกษาต้องมีผลงาน หน่วยเหนือขึ้นไปจึงต้องเรียกร้องผลงานของหน่วยต่ำลงมา เพื่อนำไปรวบรวมเป็นผลงานของตน เกิดความบิดเบี้ยวของระบบกำกับคุณภาพและติดตามประเมินผลการศึกษาในระดับพื้นฐาน คือกลายเป็นมุ่งควบคุม ไม่ใช่มุ่งส่งเสริมสนับสนุน โรงเรียนและครูจึงมีเป้าหมายที่บิดเบี้ยว คือมุ่งสร้างผลงานไว้เสนอหน่วยเหนือ ไม่ได้มุ่งที่ความต้องการหรือเป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) ของนักเรียน 

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 5 

บทบาทของครู ไม่ใช่แค่บทบาทจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่มีอีกบทบาทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือหน้าที่พัฒนาหลักสูตรและพัฒนาระบบการศึกษา กล่าวใหม่ว่า ในระบบการศึกษาคุณภาพสูง ครูต้องเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาระบบ และพัฒนาหลักสูตร

เพื่อทำหน้าที่ประการหลัง ครูต้องแสดงพฤติกรรมของ “ผู้ก่อการ” (agency) ที่เป็นสาระหลักของหนังสือ Teacher Agency ตลอดเล่ม ที่หลักสูตรสมัยใหม่มักจะเรียกร้อง แต่ระบบบริหารหลักสูตรมักปิดกั้นด้วยความเข้าใจผิดสองประการ ประการแรก เข้าใจว่าจะได้ครูผู้ก่อการ (agentic teacher) ได้โดยการฝึกอบรมเพิ่มความรู้ให้แก่ครู ประการที่สอง ดำเนินการบริหารจัดการแบบควบคุมสั่งการ และเน้นการประเมินผลลงรายละเอียด ทำให้ครูมุ่งปฏิบัติตามรายละเอียดที่จะวัดเหล่านั้น ไม่มีโอกาสได้ตีความเอง คิดเอง หาวิธีทำเอง เรียนรู้เอง ผลที่ตามมาคือ ครูขาดโอกาสเรียนรู้และพัฒนาความเป็นผู้ก่อการของตนเอง 

ครูที่มีความเป็นผู้ก่อการ จะสามารถร่วมกันตีความเป้าหมายอันทรงคุณค่า (purpose) และแนวทาง (process) ที่ระบุไว้กว้างๆ ในหลักสูตรสู่การร่วมกันคิดวิธีจัดกระบวนการเรียนรู้หลากหลายวิธี ร่วมกันตัดสินใจเลือกวิธีการที่น่าจะเหมาะสมที่สุด ร่วมกันดำเนินการ แล้วติดตามตรวจสอบผลเอง สำหรับนำมาร่วมกันตีความผล และหมุนวงจรเรียนรู้ของทีมครู ที่เป็นวงจรชั้นเดียว และวงจรสองชั้น ตามที่กล่าวแล้วในบันทึกที่ ๙ ซึ่งผลของวงจรเรียนรู้ของทีมครู จะนำไปสื่อต่อทีมงานของทั้งโรงเรียน ต่อเขตพื้นที่การศึกษา และผู้บริหารในส่วนกลาง เท่ากับครูได้มีส่วนร่วมพัฒนาหลักสูตรในระดับโรงเรียน และในระดับประเทศ 

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 6

ความเป็นผู้ก่อการ (agency) ของครูมีค่ายิ่งต่อคุณภาพของการศึกษา โดยที่ความเป็นผู้ก่อการเป็นพฤติกรรมที่ผุดบังเกิด (emerge) ขึ้นในปัจจุบันขณะ ภายใต้บริบทนั้นๆ ผ่านแรงขับดันเชิงคุณค่า ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ที่สั่งสมมาในอดีต  ผสานกับแรงคาดหวังไปในอนาคตในเรื่องนั้นๆ ส่งผลให้มีการตัดสินใจดำเนินการออกมาเป็นพฤติกรรมที่กล้าหาญ และก่อคุณค่า ณ ปัจจุบันขณะ จะเห็นว่าพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการมาจากการสั่งสมจากอดีต ที่ระบบนิเวศของการปฏิบัติงานของครูเอื้อให้เกิดการสั่งสม คุณค่า ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ที่เอื้อต่อการเป็นผู้ก่อการ รวมทั้งสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศในการทำงาน ณ ปัจจุบันขณะที่เอื้อการตัดสินใจลงมือปฏิบัติการ

ความเป็นผู้ก่อการของครู จึงไม่ใช่ขึ้นกับตัวครูเท่านั้น แต่มีปัจจัยด้านระบบนิเวศของการทำงาน เป็นองค์ประกอบด้วย ระบบนิเวศที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ปิดกั้นพฤติกรรมผู้ก่อการของครู

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 7

ไม่ว่าหลักสูตรใหม่จะได้รับการออกแบบมาดีแค่ไหนก็ตาม ไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากระบบการศึกษาไม่เป็น “ระบบที่ฉลาด” (intelligent systems)  ซึ่งหมายความว่า ต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวอยู่ในองคาพยพต่างๆ ของระบบ อยู่ตลอดเวลา ทั้งในระดับปฏิบัติ และระดับบริหารจัดการ โดยข้อเรียนรู้จากแต่ละจุดในระบบ ต้องได้รับการสื่อสารไปทั่วทั้งระบบ เพื่อเป็นข้อมูลกระตุ้นการปรับตัวของระบบ 

นี่คือความเป็นจริงสำหรับระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว (complex-adaptive systems) ระบบการศึกษาเป็นระบบที่ซับซ้อนยิ่ง และมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาอย่างเข้มข้น จึงเป็นระบบที่หวังให้การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการสั่งการจากเบื้องบนเท่านั้นไม่ได้ เพราะจะไม่สำเร็จ เบื้องบนไม่มีข้อมูลที่ซับซ้อน และเป็นปัจจุบัน (real time) เพียงพอสำหรับการตัดสินใจและสั่งการที่ถูกต้อง จึงต้องให้ภาคส่วนต่างๆ ของระบบมีการสื่อสารกันเองได้อย่างอิสระด้วย  

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 8

การให้คุณค่าแก่ผลงานน่าจะเป็นเรื่องดี แต่ในบันทึกชุดนี้เอ่ยถึง “ลัทธิบูชาผลงาน” (performativity) ในทำนองเป็นผู้ร้าย โปรดสังเกตให้ดีว่า ตัวผลงานไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ตัวลัทธิบูชาผลงานเป็นผู้ร้าย เพราะมันนำไปสู่พฤติกรรมติดตามประเมินผลที่ผลงานแบบตายตัว ด้วยท่าทีของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมี “ผลงาน” แบบตายตัวให้ตรวจสอบ ไม่ว่า “ผลงาน” นั้นจะเป็นผักชีโรยหน้า หรือสร้างขึ้นชั่วคราวก็ตาม ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ในระบบการศึกษา เป็นการทำลายโอกาสที่ครูจะร่วมกันจรรโลงศักดิ์ศรีวิชาชีพ และความเป็นผู้ก่อการของครู

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 9

กิจกรรมด้านการศึกษาขึ้นกับบริบท ต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบท มีการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่องในแต่ละบริบท กิจกรรมการศึกษาจึงไม่มีทางดำเนินการได้ผลดีตามมาตรฐานเดียว ตัวชี้วัดเดียว บริบทในที่นี้แจงย่อยลงไปเป็นภาค จังหวัด เขตการศึกษา โรงเรียน และห้องเรียน และแจงย่อยตามเวลาด้วย ห้องเรียน ป. ๔/๓ ของโรงเรียน ก ในปีการศึกษา ๒๕๖๓ ก็มีบริบทแตกต่างจากในปีการศึกษา ๒๕๖๔ เพราะลักษณะของนักเรียนอาจแตกต่างกันมาก หรืออาจเปลี่ยนตัวครูประจำชั้น หรือเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงเรียน

ในระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว แต่ละส่วนย่อยต้องเรียนรู้ปรับตัวตามบริบทของตน โดยยึดมั่นเป้าหมายสูงส่ง (purpose) ร่วมกัน ระบบการศึกษาจึงต้องมีการตีความทำความชัดเจนต่อเป้าหมายที่สูงส่งอยู่เสมอ ในสถานการณ์ต่างๆ สำหรับใช้ยึดถือร่วมกันในทุกภาคส่วนของระบบ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต้องเปิดโอกาสให้แต่ละภาคส่วนตีความ ตั้งเป้าหมายเพื่อการดำเนินการ และกำหนดยุทธศาสตร์ดำเนินการของส่วนย่อยนั้นๆ ได้ เพื่อร่วมกันดำเนินการยกระดับคุณภาพการศึกษาในส่วนย่อยของตน ในลักษณะของการทำงานไปเรียนรู้ไป สร้างนวัตกรรมไป และส่งสัญญาณข้อมูลการเรียนรู้ออกแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับระบบใหญ่อยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น หน้าที่ของผู้บริหารระบบการศึกษาของประเทศ ต้องจัดให้มีการพัฒนาระบบข้อมูล และระบบการสื่อสารเพื่อสื่อสารการค้นพบนวัตกรรมของแต่ละส่วนย่อย ในลักษณะของการสื่อสารอิสระ แต่มีกลไกกรองความเท็จและการโอ้อวดเกินจริง รวมทั้งกรองการโอดครวญด้วยเจตคติเชิงลบ เจตคติกล่าวโทษผู้อื่น ออกไป  ให้ระบบสื่อสารเน้นสื่อสารความพยายาม และความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ แต่ยิ่งใหญ่  มีการประมวลนวัตกรรมเล็กๆ ดังกล่าว เพื่อส่งสัญญาณและทรัพยากรสนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์เล็กๆ ณ จุดปฏิบัติเหล่านั้น

นำไปสู่การบริหารการเปลี่ยนแปลงแนวใหม่ แนวส่งเสริมการสร้างสรรค์ ณ จุดปฏิบัติ ผมอยากเห็นแนวทางจัดการหลักสูตรฐานนวัตกรรมในแนวนี้  

ข้อเรียนรู้ข้อที่ 10

“ความไว้วางใจ” (trust) เป็น สินทรัพย์ ที่มีค่ายิ่งในระบบการศึกษา การจัดการระบบการศึกษาไทยพึงเอาใจใส่การใช้พลังของสินทรัพย์นี้ โดยจัดการให้ “ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน” (mutual trust) เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการศึกษา และขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้  

โดยต้องมีการจัดการให้ระบบการศึกษาเป็นระบบที่มีความไว้วางใจเป็นเจ้าเรือน อย่าปล่อยให้ความไม่ไว้วางใจเข้ามาครองระบบ โดยต้องจัดการให้เกิดความสัมพันธ์แนวราบเป็นความสัมพันธ์หลักในระบบการศึกษา ลดทอนความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือแนวบังคับบัญชาลงไป

โดยต้องมีระบบข้อมูล และระบบการจัดการที่ส่งเสริม “ความจริง” และ “ข้อมูลหลักฐาน” จาก “การปฏิบัติจริง” เพื่อส่งเสริมความมีวิจารณญาณของสมาชิกในระบบการศึกษา และส่งเสริมความสุจริตในหมู่สมาชิก รวมทั้งหาทางขจัดความไม่จริงใจ ความไม่สุจริต ออกไปจากระบบ ทั้งนี้ โดยยึดมั่นในคุณค่าสูงส่งของระบบการศึกษาต่อสังคมส่วนรวมหรือต่อบ้านเมืองเป็นเป้าหมายหลัก

ระบบข้อมูล และระบบสื่อสารดังกล่าว จะนำไปสู่ความไว้วางใจซึ่งกันและกันในหมู่ครูผู้ก่อการ และนำไปสู่พลังสร้างสรรค์ในวงการการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับปฏิบัติ ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดของระบบการศึกษา

ผมเริ่มเขียนบันทึกชุดนี้ในสัปดาห์ที่สามของเดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ และเขียนเสร็จในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน คือใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนในการอ่านหนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach หลายเที่ยว หลายแบบ เพื่อตีความเข้าสู่บริบทไทย โดยมุ่งตีความในระดับคุณค่า มุ่งทำความเข้าใจความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ในระบบการศึกษา เอามานำเสนอเพื่อให้สมาชิกของระบบการศึกษาไทยได้พิจารณา ผมไม่ยืนยันว่าการตีความและข้อคิดเห็นที่ผมสอดใส่เข้าไปเกินจากที่หนังสือระบุ จะถูกต้องทั้งหมด ที่ยืนยันได้คือความไม่ครบถ้วน ผมเน้นการเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้ท่านผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณของท่าน สิ่งที่ผมใฝ่ฝันให้เกิดคือ ความเป็นผู้ก่อการของท่านทั้งหลาย ร่วมกันก่อการเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาไทย ภายใต้เป้าหมายที่ทรงคุณค่าคือคุณภาพของพลเมืองไทยในอนาคต ที่เปี่ยมสมรรถนะการเป็น “พลเมืองผู้ก่อการ” (agentic citizen)  

สามารถอ่านบทความ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ ตอนที่ 1 – 9 ได้ที่นี่ 

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 6. คุณค่าของปฏิสัมพันธ์ – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู – The Potential

Tags:

หนังสือเอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการPriestleyหนังสือ-วิจารณ์ครู

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel