- ‘โอโบชิ’แม่เมืองผู้เป็นที่รักของชาว ‘นครเหล็ก’ เพราะเขาคอยช่วยเหลือชาวเมืองทุกชนชั้น ได้นำไพร่พลบุกตัดศีรษะ ‘เทพเจ้าแห่งป่า’ เพราะต้องการมอบเป็นบรรณาการแด่จักรพรรดิ หากแต่ว่าเมื่อองค์เทพไร้ศีรษะ จะกลายร่างควานหาหัวและคร่าทุกชีวิตทำให้ผู้คนในนครเหล็กตกอยู่ในอันตราย
- ความกรุณาแบบแม่นายอิโบชิได้แบ่งแยกให้ป่าเป็นศัตรู บนฐานความ ‘ดี’ โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง กลายเป็นว่ามนุษย์อย่างพวกเราก็มักโทษอะไรก็ตามนอกจากตัวเอง โดยมักไม่ได้ตั้งคำถามว่า เรามีส่วนเพียงใดต่อความป่วยไข้ของโลก?
- ราวกับว่าต้องเป็นความรุนแรงและเจ็บป่วยระดับที่มากพอเท่านั้น ที่จะทำให้เส้นบรรทัดความ ‘ปรกติ’ บนโลกใบนี้รวมถึงศีลธรรมอันดีในนิยามอย่างหนึ่งหันมา ‘รับรู้’ และทบทวนว่าวิถีหลักที่มหาชนถูกบ่มเพาะให้ทาบตัวเองไปกับมัน เริ่มจะปิดกั้นความไหลลื่นแห่งชีวิต เริ่มเป็นโทษและไม่สงบเรียบร้อยจริงอย่างไร
1.
อะชิตะกะ เจ้าชายแห่งเผ่าเอะมิชิ สังหารเทพหมูป่าที่กลายเป็นปีศาจ แต่แขนข้างหนึ่งของเขากลับบาดเจ็บประทับรอยคล้ำ มันคือคำสาปแห่งความชิงชังที่จะกลืนกินเขาไปในที่สุด เจ้าชายเดินทางออกจากเผ่าด้วยต้องการค้นหาที่มาของหมูป่าปิศาจคุ้มคลั่งโดยมีหวังว่าอาจถอนคำสาปได้ ในระหว่างทางเขาได้ช่วยเหลือคนจากนครเหล็กและพาพวกเขาส่งกลับเมือง เขาได้รู้จักกับ โอโบชิ แม่เมือง ซึ่งจัดการให้ชาวเมืองทำงานมีรายได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้คนชายขอบในยุคของเธอไม่ว่าจะเป็นโสเภณีหรือคนที่เป็นโรคเรื้อนได้ทำงานสุจริตด้วย ซึ่งพวกเขาต่างก็ซาบซึ้งในคุณของโอโบชิ
อย่างไรก็ตามนครเหล็กมีศัตรูรอบด้าน เมื่อชาวเมืองทำร้ายป่า เทพสัตว์ในป่าก็ย่อมต้องตอบโต้ บรรดาเทพเจ้าหมาป่าและ ซัง ลูกสาวที่แม่หมาป่าเลี้ยงไว้ ร่วมกันซุ่มโจมตีชาวนครเหล็ก ไม่เพียงเท่านั้น เทพหมูป่าเคยปะทะกับโอโบชิ ซึ่งเธอโต้ตอบด้วยการยิงลูกเหล็กใส่มันกระทั่งมันกลายเป็นปิศาจที่อิชิตะกะสังหารลงนั่นเอง นอกจากนี้ ความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจของนครเหล็กกระตุ้นความโลภของไดเมียวทำให้นครสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากทั่วสารทิศ
แล้วโอโบชิก็นำไพร่พลบุกตัดศีรษะเทพเจ้าแห่งป่าเพราะต้องการมอบศรีษะขององค์เทพเป็นบรรณาการแด่จักรพรรดิซึ่งเธออาจหวังพึ่งพา องค์เทพซึ่งปรกติแล้วสามารถเยียวยาบาดแผลรวมถึงมอบชีวิตและพรากชีวิต หากเมื่อไร้ศีรษะจึงกลายเป็นร่างเมือกดำควานหาหัวและคร่าทุกชีวิตที่สัมผัส ผืนป่าค่อยๆ เปลี่ยนสีจากเขียวชอุ่มเป็นน้ำตาลดำ และผู้คนในนครเหล็กก็ล้วนตกอยู่ในอันตราย
อะชิตะกะและซัง ช่วงชิงศีรษะไปคืนให้แก่องค์เทพ แล้วทุกสิ่งก็กลับมามีชีวิต บรรยากาศเป็นสีเขียวฉ่ำและสดใสดั่งเดิม
2.
ศีลธรรมที่มีแค่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ แล้วธรรมชาติล่ะ?
แม่นายอิโบชิแห่งนครเหล็กพยายามหล่อเลี้ยงและปกป้องชาวเมือง ทั้งยังช่วยเหลือคนที่เป็นเรื้อนและนำเสนองานใหม่ให้อดีตโสเภณีเพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่ต้องอยู่ในซ่องอีกต่อไป ในมุมมองของมนุษย์ ก็นับว่าเธอคล้ายแม่พระที่ใส่ใจคนปลายอ้อปลายแขมแห่งยุคสมัย ส่วนประชาชนในนครเหล็กนั้นก็ เพียงใช้ชีวิตประจำวันไปตามความจำเป็นของชีวิต ซึ่งก็เลี่ยงได้ยากที่จะต้องใช้ประโยชน์จาก(และทำลาย)ป่า เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ป่ารกชัฏนั้นก็มีความดิบและดุร้าย สอดรับกับคำว่า wilderness ซึ่งมีรากจาก wildeor สะท้อนความปรารถนาอันผสานไปกับความเป็นสัตว์ป่าที่ควบคุมยากและซุ่มซ่อนอยู่ในพื้นที่ที่มนุษย์ไม่คุ้น และอาจสร้างความยุ่งยาก โกลาหล หรือทำลายมนุษย์ลงเสียเมื่อใดก็ได้ คล้ายว่าป่านั้นมีจิตวิญญาณเหนือธรรมชาติซึ่งสามารถก่อทุกข์โศกโรคภัยและความตาย
ศัพท์จีนแปล 怪 (ดึงตัวอักษรออกมากจาก 物の怪 หรือ โมโนโนะเคะ ในภาษาญี่ปุ่น) ในทำนองภูติผีปิศาจ ความประหลาดและสับสน ซัง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเจ้าหญิงโมโนโนะเคะเป็นภาพแทนของจิตวิญญาณธรรมชาติเช่นนั้นในป่า เธอเห็นว่ามนุษย์ชั่วร้ายและอันตรายดุจกันจึงต้องรบราด้วยเพื่อให้ป่าปลอดภัย เฉกเช่นที่เธอก็เป็นเงาสะท้อนของสิ่งที่มนุษย์หวั่นเกรงและมองว่าต้องกำจัดหรือกำราบให้อยู่หมัดเพื่อการดำรงอยู่และความ ‘เจริญ’
ลีโอโปลด์กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นเพียง “ส่วนหนึ่งของชุมชนสิ่งมีชีวิต” ไม่มีสิทธิ์ไปจัดการธรรมชาติ (อ้างอิง Animate Earth: Science, Intuition and Gaia) ทว่าทั้งเจ้าหญิงโมโนโนเคะแห่งป่าและมนุษย์ต่างก็กำลังทำให้อีกฝ่ายเป็นกระบวนการชีวิตที่ต้องต่อสู้ด้วย
ความกรุณาแบบแม่นายอิโบชิได้แบ่งแยกให้ป่าเป็นศัตรู บนฐานความ ‘ดี’ ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางซึ่งแยกจากธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้ประโยชน์ อิโบชิจัดการกับเทพหมาป่าและหมู่ป่า อีกทั้งตัดศีรษะองค์จิตวิญญาณแห่งป่าทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล ปรากฏเป็นภัยพิบัติร้ายแรงแก่มนุษย์
เมื่อเกิดโรคภัยร้ายแรง กลายเป็นว่ามนุษย์อย่างพวกเราก็มักโทษอะไรก็ตามนอกจากตัวเอง – แม้สิ่งที่ถูกกล่าวโทษนอกตัวจะทำกริยาที่ขัดหลักศีลธรรม(แบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง) – โดยมักไม่ได้ตั้งคำถามว่า เรามีส่วนเพียงใดต่อความป่วยไข้ของโลก?
ดวงตาที่ร่วมกันมองสิ่งต่างๆ ด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ได้รวมเป็นกระแสพลังลบคล้ายวิญญาณอาฆาตที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่โรคและภัยบนกายมารดาโลกที่ไม่เข้ากับเส้นวิถีชีวิต ‘ปรกติ’ กำลังบอกอะไรมนุษย์?
3.
ศีลธรรมและการให้คุณค่าที่ฝืนการลื่นไหลของธรรมชาติ สามารถก่อให้เกิดโรคและภัย?
แหล่งที่ถูกเรียกว่าเสื่อมโทรม สกปรก ยากจน ดูป่วยไข้ มืดมน หดหู่ ปิดตาย อันดำรงอยู่อย่างหลีกเร้น ซ้อน คู่ขนาน ประจันหน้า หรือวางในตำแหน่งอื่นใดต่อบริเวณที่ดูร่ำรวยและเต็มไปด้วยปฏิสัมพันธ์ของผู้คนอย่างเปิดเผย ขยายตัว มีชีวิตชีวา หรือว่องไวไปจนถึงรีบร้อน กำลังบอกว่าเราไร้ความสำนึกรู้โดยแจ่มชัดต่อ สิ่งใด?
ผู้คนจำนวนหนึ่งกินยาเคมีเป็นกำๆ ปิดปากไม่ให้ร่างกายป่วยประท้วงเพื่อจะได้ตะบี้ตะบันทำตามความคาดหวังของสังคมและของตัวเองต่อได้ อีกทั้งผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มีภาวะแสนเศร้าอนธการเรื้อรังและปรารถนาในความตาย ใครจะเข้าคลับซึมเศร้าก็ได้ แต่สมาชิกคลับอันเปิดกว้างนี้กลับรู้สึกว่าอยู่เพียงลำพัง และส่วนหนึ่งก็ได้สังเวยชีวิตจากการกลืนกินของภาวะซึมเศร้าไปแล้วอย่างเป็นปรากฏการณ์ที่เราได้สัมผัส ‘ร่วมกัน’ (collective)
นี่บอกว่าเรากำลังดำเนินชีวิตในรูปแบบครอบครัวและสังคมที่ให้ค่ากับอะไร? คุณค่าแบบไหนบ้าง ที่ทำให้แต่ละคนต้องใช้โหมดปกป้องตัวเองและจู่โจมกันและกันทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวกระทั่งเหนื่อยล้า? คุณค่าแบบไหนบ้าง ที่ทำให้สิ่งอันไม่อาจตามบรรทัดฐานซึ่งถูกบอกว่าควรจะเป็นและไม่อาจเข้ากับความ ‘ปรกติ’ กลายเป็นชายขอบ และกลายเป็นกระบวนการรองแห่งชีวิตที่เราแทบไม่ตระหนัก กระทั่งบางพื้นที่ค่อนข้างปิดในโรงพยาบาลและคุกได้กลายเป็นสถานที่อีกไม่กี่แห่งที่ บางสิ่ง จะดำรงอยู่ได้อย่าง ‘ถูกที่ทาง’ โดยไม่ถูกบีบให้ลงรอยกับมาตรฐานข้างนอกนั้นอีก ทั้งที่คนข้างนอกกับคนที่ถูกกักและจองจำก็อาจเดียวดายพอกัน
ฉันได้ลงโทษและโดดเดี่ยวตัวเองในความเจ็บป่วยและคุกมืดเงียบมามากพอแล้ว คน ‘ปรกติ’ ที่มีพวกคนใด จะมาลงทัณฑ์หรือตัดสินซ้ำอีก?
มหันตภัยทางธรรมชาติและโรคร้ายอันเป็นเสมือนเสียงกรีดร้องแห่งมารดาโลก การประท้วงเคลื่อนไหวทางสังคม และถ้อยคำซึ่งเปล่งปะทุขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหวราวป่าวประกาศ ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายโอ้อวด แต่ใช่หรือไม่ว่าหากไม่ถูกกดทับและทอดทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงดังเพียงนั้น? หากไม่รู้สึกอันตรายสัตว์ก็จะไม่พองขนร้องฟู่ และหากไม่ถูกกีดกันออกไปประหนึ่งว่าชีวิตฉันไร้ความหมาย ใยเล่าต้องพยายามอย่างหนักหน่วงเกินสามัญ? ใช่หรือไม่ว่าหากน้อยและเบากว่านี้ ก็เริ่มจะเฉียดจุดที่รู้สึกไร้ค่า? กลุ่มก้อนแห่งสิ่งที่ถูกมองว่าพยายามเกิน ไม่ถ่อมตัว เยอะ หิวแสง แรง ระเบิดออกมา และเรียกร้องไม่ยอมเงียบง่ายๆ รวมถึงไม่กี่เสี้ยววินาทีแห่งภาวะจิตเช่นนั้นในชีวิตประจำวัน ก็เป็นเช่นตัวแทนแห่งผีสางและสัตว์ประหลาดที่ได้ถูกปิดผนึกไว้ในความมืดมนและถูกปิดปากมานานเกินไป บาดเจ็บและไม่มีใคร และในที่สุดแล้วก็แค่อยากมีเพื่อน พ้องเสียงกันมากพอที่จะทำให้ บางสิ่ง กลายเป็นกระแสสำนึกใหม่ (ซึ่งก็จะกลายเป็นของเก่าและจำต้องสูญสลายไปเหมือนกับสิ่งที่ได้ดับลงและกำลังดับลงไปก่อนหน้า)
ราวกับว่าต้องเป็นความรุนแรงและเจ็บป่วยระดับที่มากพอเท่านั้น ที่จะทำให้เส้นบรรทัดความ ‘ปรกติ’ บนโลกใบนี้รวมถึงศีลธรรมอันดีในนิยามอย่างหนึ่งหันมา ‘รับรู้’ และทบทวนว่าวิถีหลักที่มหาชนถูกบ่มเพาะให้ทาบตัวเองไปกับมัน เริ่มจะปิดกั้นความไหลลื่นแห่งชีวิต เริ่มเป็นโทษและไม่สงบเรียบร้อยจริงอย่างไร? เจตจำนงใหม่ที่ผุดเกิดขึ้น กำลังคลี่เผยเป็นหลากรูปลักษณ์อะไรบ้าง? ไม่ได้สนับสนุนให้ใครทำร้ายคนอื่น ทว่าสิ่งที่ถูกทำให้เป็นอาชญากรรมเกินสัดส่วนความอันตรายของมันก็อาจต้องมีพื้นที่เพิ่มขึ้นให้ได้ปรากฏอย่างสร้างสรรค์บ้าง อย่างในพิธีกรรมและเทศกาลที่เราได้ร่ายรำไปกับสัตว์ดิบดุในตำนาน ของกินที่เชื่อมกับนิทานพื้นบ้าน หรือกิจกรรมอื่นใดที่ผู้คนจะสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของ บางสิ่งนั้น ในเชิงสัญลักษณ์ได้ร่วมกันอย่างไม่ต้องทำร้ายสรรพชีวิต
ไม่แปลก หากสิ่งที่ดูเหมือนอยู่ตรงข้ามกันต่างดำรงอยู่ในกันและกันอย่างคลุกเคล้าจนไม่อาจแยกเป็นฝั่งฝ่าย และต่างก็มีห้วงเวลาที่ต้องการควบคุม กินอาณาเขตและลบล้างอีกฝ่ายเพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ และแม้แต่ชิงชังอีกฝ่ายทั้งที่ตนก็ทำเช่นเดียวกันนั้น
ในป่ารกดิบมีพลังการเยียวยาสถิตอยู่ แม้อีกด้านของความไหลลื่นและงอกงามแห่งชีวิตจะเป็นความตายก็ตาม
ตาย* เพื่อจะมีชีวิต ❄✝
อ้างอิง
ขอบคุณบทสนทนากับหลิน ชโลบล ฉัตรชัยวง ที่ทำให้สัมผัสถึงกระบวนการภายในอันรุ่มรวย การผสานทางเคมีและความไหลลื่น อีกทั้งเป็นแรงบันดาลใจต่อส่วนหนึ่งของบทความนี้, ขอบคุณชายคนหนึ่งที่หมกตัวโดดเดี่ยวตัวเองในบ้านที่ดูร้างไร้ แม้ถูกผู้คนสงสัยว่าจิตวิกล แต่ก็ออกมาให้อาหารหมู่นกทุกเย็นในพื้นที่ที่เขาจะถูกมองเห็นความกรุณาที่ซุกซ่อนอยู่นั้นได้
หมายเหตุ* ตาย ในเชิงสัญลักษณ์
ภาพยนตร์อนิเมชั่น《もののけ姫》
กาย่า โลกที่มีชีวิต วิทยาศาสตร์และการหยั่งรู้ (Animate Earth: Science, Intuition and Gaia) โดย สเตฟาน ฮาร์ดิ้ง
จิตวิทยา จิตวิญญาณ โดย ประสาน ต่างใจ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐
Chater of the United Nations and Statute of the International Court of Justice
International Covenant on Civil and Political Rights
I am Fine Learning to live with depression (TedxBrighton) โดย Jake Tyler
The Legend of the Lady White Snake; An Analysis of Daoist,
Buddhist and Confucian Themes โดย Lindsay Emerson