Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: November 2021

เรียนหนัก อกหัก ทะเลาะกับพ่อแม่… ทุกเรื่องที่น้องอยากระบาย ‘สายเด็ก’ (Childline Thailand) ยินดีรับฟัง
How to enjoy life
29 November 2021

เรียนหนัก อกหัก ทะเลาะกับพ่อแม่… ทุกเรื่องที่น้องอยากระบาย ‘สายเด็ก’ (Childline Thailand) ยินดีรับฟัง

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • สายเด็ก เป็นองค์กรที่ดำเนินงานให้ความช่วยเหลือและบริการด้านคำปรึกษา ผ่านบริการสายด่วน 1387 พร้อมทั้งช่องทางออนไลน์ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ เช่น สาขาจิตวิทยาสังคม จิตวิทยาให้คำปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายที่ยินดีให้บริการทุกวัน 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  • หัวใจหลักในการทำงานของสายเด็กนั้น อยู่ที่ การฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ตั้งคำถาม และไม่ตั้งกฎให้เขารู้สึกอึดอัด แต่จะสร้างความไว้ใจ ให้เขารู้ว่าตรงนี้ยังมีคนรับฟัง เพราะเด็กหลายๆ คน เขามาแค่ต้องการคนรับฟัง เพราะอยู่ที่บ้าน การฟังมันอาจจะยากมากกับคนใกล้ชิดที่เขาคาดหวัง
  • “ถ้าเขาบอกว่าวันนี้หนูเหนื่อย เราแค่ตอบไปว่า เหรอ…หนูทำอะไรมา หนูเล่าให้พี่ฟังได้ไหม เขาก็จะรู้ว่าเขาเหนื่อยเพราะอะไร เหนื่อยเรื่องอะไร หนูทำได้ขนาดนี้ หนูเก่งนะ หลายๆ ครั้งมันเป็นการเสริม Self-esteem ให้เด็ก และในหลายๆ ครั้งเด็กก็รีวิวตัวเองด้วยว่า จริงๆ ชีวิตหนูก็ไม่ได้แย่ แต่มันแค่ไม่มีคนฟัง”

เมื่อ ‘บ้าน’ อาจไม่ใช่ Safe Zone ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กคนหนึ่ง และพ่อแม่อาจไม่ใช่ความสบายใจที่ลูกจะเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ฟัง 

“หนูรู้สึกว่าครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนอีกต่อไป ประโยคนี้ฟังแล้วสะเทือนใจนะ เพราะว่าทุกวันนี้เราเองยังอยากกลับบ้านเลย ทำงานมาเหนื่อยแค่ไหนหรือว่าเรียนมาหนักแค่ไหน กลับไปบ้านแล้วรู้สึกว่ามันโล่ง รู้สึกปลอดภัย แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคิดว่าเราทำกิจกรรมอยู่ข้างนอกแล้วกลัวจังเลยถ้าต้องกลับบ้าน แสดงว่าบ้านอาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเราแล้ว”  

จินดา ชัยพล ผู้จัดการมูลนิธิสายเด็ก สะท้อนปัญหากลุ้มใจที่เด็กเข้ามาพูดคุยผ่านสายเด็ก พื้นที่ปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ที่เด็กๆ สามารถเปิดใจเล่าได้ทุกเรื่องโดยไม่ถูกตัดสิน 

Childline Thailand Foundation หรือมูลนิธิสายเด็ก 1387 เป็นองค์กรที่ดำเนินงานให้ความช่วยเหลือและบริการด้านคำปรึกษา ผ่านบริการสายด่วน 1387 พร้อมทั้งช่องทางออนไลน์ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ เช่น สาขาจิตวิทยาสังคม จิตวิทยาให้คำปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายที่ยินดีให้บริการทุกวัน 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

โอกาสนี้เราจึงอยากชวนพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุยกับสายเด็ก Childline Thailand ถึงภาวะเครียดในเด็ก ที่อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไปเมื่อส่งผลกระทบต่อตัวเขา นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัวที่หายไป

จินดา ชัยพล ผู้จัดการมูลนิธิสายเด็ก

สายเด็ก 1387  

“สายเด็กเรามี 3 พาร์ทด้วยกัน พาร์ทหนึ่งก็คือเป็นการให้คำปรึกษาออนไลน์โทรเข้ามาหรือว่าแชทเข้ามาปรึกษาได้ในช่องทางต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ แล้วก็ไลน์ออฟฟิเชียล หรือว่าจะเป็นอีเมลก็ได้ เป็นการรับแจ้งเหตุด้วย และประสานงานต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” 

นอกจากนี้ยังมี ‘ศูนย์เดอะฮับสายเด็ก’ (The Hub Saidek) ศูนย์พัฒนาเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสในชุมชนหัวลำโพง ซึ่งเป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัย ที่มีทั้งอาหาร ห้องน้ำ ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และการศึกษาสำหรับเด็กๆ และรณรงค์ผลักดันนโยบาย เพื่อปกป้องสิทธิเด็กในประเด็นต่างๆ ในสังคมไทย 

โดยในส่วนของการให้คำปรึกษาออนไลน์ที่เด็กๆ อาจจะรู้จักกันในรูปแบบเฟซบุ๊กแฟนเพจ Childline Thailand สิ่งที่เด็กๆ เข้ามาระบายมีตั้งแต่เรื่องความรัก เรื่องการเรียน ความสัมพันธ์กับเพื่อนที่โรงเรียน ความสัมพันธ์ในครอบครัว ไปจนถึงถูกทำร้ายร่างกาย ถูกล่วงละเมิดทางเพศ 

“เรื่องอกหักของเด็ก 9 ขวบ 10 ขวบ มันก็เกิดขึ้นได้ เราอย่าไปตัดสินเขาว่า เฮ้ย…9 ขวบอย่าคิดไรเยอะ พอเลิกเพ้อเจ้อ ไปนอน ไปทำการบ้าน ถามว่าเด็กคนนั้นดีขึ้นไหม ก็ไม่นะ แล้วเขาหาทางออกไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นประสบการณ์การอกหักครั้งแรกของเขา ปัญหาของเด็กถ้าคุณไม่ฟังคุณก็จะไม่เข้าใจว่ามันหนักสำหรับเขายังไง”  

“เด็กบางคนบอกว่า หนูทำการบ้านไม่ได้ เครียดมาก หนูท้อ หนูนอนไม่หลับหลายวัน ซึ่งถ้าไปปรึกษาคุณครู ก็จะบอกหนูไม่ตั้งใจฟัง ไปปรึกษาพ่อแม่ก็ตอบกลับมาว่าทำไมจะทำไม่ได้ หรือคำที่พ่อแม่ชอบพูดบ่อยๆ ฉันก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน แค่นี้ทำไมทำไม่ได้” 

“หรือโทรมาลาก็มี ส่งรูปกรีดแขนมา เลือดโชกเลย หนูกำลังฆ่าตัวตาย หนูกำลังคิดว่าหนูไปต่อไม่ไหวแล้ว มันมีตั้งแต่ปัญหาเล็กมากจนถึงปัญหาใหญ่มากสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กทุกปัญหาของเขาคือมันใหญ่นะ ปัญหาที่เด็กทำการบ้านไม่ได้อาจจะทำให้เด็กคนนั้นผูกคอตายหรือว่าฆ่าตัวตายได้เลย มันขึ้นอยู่กับตัวช่วย ทรัพยากรที่อยู่ข้างๆ รอบตัวเขา ว่ามันจะซัพพอร์ทสภาพจิตใจให้เขามูฟออนหรือว่าก้าวต่อได้ไหม” 

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปัญหาเล็กหรือใหญ่ เราไม่สามารถจะมองข้ามไปได้เลย เพราะนั่นอาจหมายถึงความเสี่ยงของเด็กในการถูกทำร้ายก็ได้ 

รับบทนักฟังที่ดี  

ในกระบวนการทำงานของสายเด็กนั้น เธออธิบายว่า เบื้องต้นจะต้องเก็บข้อมูลพื้นฐานก่อน อันดับแรกต้องทราบอายุของเด็กว่ายังอยู่ในเกณฑ์ 0 – 18 ปี หรือไม่ นั่นก็เพราะว่า สายเด็กเองไม่ได้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ใหญ่โดยตรง หากอายุเกินเกณฑ์คงจะต้องส่งต่อให้กับผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นจริงๆ 

หัวใจหลักในการทำงานของสายเด็กนั้น อยู่ที่ การฟังโดยไม่ตัดสิน 

“ไม่ตั้งคำถามเยอะ คือจริงๆ แล้วการตั้งคำถามเราเชื่อว่าเด็กเขาโดนอยู่แล้วในครอบครัว ตั้งคำถาม ตั้งกฎอะไรเยอะมาก จึงเป็นสิ่งที่เด็กเขาถึงมาหาเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรต้องทำคือ ไม่ตั้งคำถาม ไม่ตั้งกฎให้เขารู้สึกอึดอัด แต่จะสร้างความไว้ใจ ให้เขารู้ว่าตรงนี้ยังมีคนรับฟัง

เด็กหลายๆ คน เขามาแค่ต้องการคนรับฟัง เพราะอยู่ที่บ้าน การฟังมันอาจจะยากมากกับคนใกล้ชิดที่เขาคาดหวัง”

และถึงแม้ฉากหน้าจะฟังโดยไม่ตัดสินว่าสิ่งถูกผิดเป็นเช่นไร ทว่าเบื้องหลังการทำงานของเจ้าหน้าที่สายเด็กจะต้องทำการ ‘ประเมิน’ เพื่อความปลอดภัยของเด็ก โดยต้องประเมินให้ได้ว่า ขณะนั้นความปลอดภัยของเด็กกำลังอยู่ในระดับไหน 

“พวกเราก็จะประเมินจากคีย์เวิร์ดที่เขากำลังพูดถึงหรือสถานการณ์ที่เขากำลังอยู่มันปลอดภัยสำหรับเขาไหม ถ้ามันไม่ปลอดภัยก็จะต้องประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่เข้าช่วยเหลือ โดยบางครั้งเราอาจไม่ต้องได้รับการอนุญาตจากเด็ก ถ้าในกรณีที่เด็กกำลังอยู่ในอันตรายหรืออยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงต่ออันตราย เราต้องตัดสินใจโดยทันที ประสานกับตำรวจ นักสังคมสงเคราะห์ในพื้นที่ให้ลงพื้นที่โดยทันที” 

ครอบครัวควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก

ในมุมของจินดา เธอมองว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ คือ พื้นที่ที่ให้เด็กสามารถเข้ามาคุยกันได้ ระบายความในใจได้ โดยที่ไม่มีใครมาบอกว่า สิ่งที่เขาพูดหรือสิ่งที่เขาคิดนั้น ถูกหรือผิด

“เราจะไม่แนะนำ แต่เราจะให้เขาสะท้อนตัวเอง คือเด็กหลายๆ คนพอเขาพูดไปแล้วสุดท้ายเขาก็บอกว่า…เออพี่ หนูว่าที่หนูเล่าไปหนูก็ผิดนะ มันเหมือนเป็นการให้เขาได้ทบทวนตัวเอง เพราะเด็กบางคนเขาไม่ได้พูดกับใครเขาก็ไม่รู้นะว่าจริงๆ แล้ววันเนี่ยเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง หรือว่าสิ่งที่มันทำให้เขารู้สึกแย่มันเกิดจากอะไร”

ในทางกลับกันเมื่อเขาพูดกับพ่อแม่ว่า “หนูเหนื่อย” แม่จะตอบกลับมาทันทีด้วยประโยคเด็ดว่า “จะเหนื่อยอะไรแค่เรียนหนังสือ” ซึ่งเด็กก็จะรู้สึกว่า “พี่หนูไม่เข้าใจว่า หนูเหนื่อยไม่ได้เหรอ” คำพูดเหล่านี้กลายเป็นการปิดกั้นให้เด็กได้แสดงความรู้สึกของตัวเองหรือได้รีวิวตัวเอง เพื่อที่จะมูฟออนต่อไป 

“ถ้าเขาบอกว่าวันนี้หนูเหนื่อย เราแค่ตอบไปว่า เหรอ…หนูทำอะไรมา หนูเล่าให้พี่ฟังได้ไหม เขาก็จะรู้ว่าเขาเหนื่อยเพราะอะไร เหนื่อยเรื่องอะไร หนูทำได้ขนาดนี้ หนูเก่งนะ หลายๆ ครั้งมันเป็นการเสริม Self-esteem ให้เด็ก และในหลายๆ ครั้งเด็กก็รีวิวตัวเองด้วยว่า จริงๆ ชีวิตหนูก็ไม่ได้แย่ แต่มันแค่ไม่มีคนฟัง” 

ทุกการกระทำมีผลต่อจิตใจและร้ายแรงกว่าที่คิด 

“สำหรับผลกระทบต่อตัวเด็กต้องบอกว่า ถ้าปัญหามันไม่ได้ระบายออกมา ไม่มีใครรับฟัง ก็เหมือนน้ำถ้าเติมไปเรื่อยๆ จนเต็มมันก็ล้น สภาพจิตใจของเด็กก็เหมือนกัน ถ้ามันสะสมมาเรื่อยๆ วันหนึ่งก็คงระเบิด แต่ทีนี้มันจะระเบิดไปในทิศทางไหนละ 

เด็กบางคนอาจระเบิดด้วยการทำร้ายตัวเอง แต่เด็กบางคนอาจระเบิดโดยการเป็นคนก้าวร้าวได้ เพราะฉะนั้นมันส่งผลกับพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตัวเองที่แสดงออกได้หลายแบบ”

ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เขาอาจจะเป็นอาชญากรได้ในอนาคต เราจะรอให้ถึงจุดนั้นหรือ

“ถ้าเด็กที่เขาโดนทำร้าย โดนตบตีมาตลอด หรือเห็นความรุนแรงในบ้านมาตลอด พ่อทำร้ายแม่ แล้วมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครมาเทคแอคชั่น แล้วแม่ก็ยังยอมยังทน ซึ่งโอกาสต่อไปในอนาคตมันก็แล้วแต่นะ ก็เป็นได้ทั้งบวกและลบ เด็กคนนี้อาจจะทำร้ายภรรยาตัวเอง ทำร้ายลูก หรืออาจจะปกป้องภรรยาและลูกอย่างดีที่สุด เพราะว่าเคยผ่านประสบการณ์มา แต่ว่าเราจะเสี่ยงไหมว่าเด็กคนนี้จะไปในทิศทางไหน”

จะดีกว่าไหมถ้ามีพื้นที่ปลอดภัยให้เขาได้ระบายออกมาบ้าง พื้นที่ที่เขาจะได้สะท้อนตัวเอง มองปัญหาว่ามีต้นสายปลายเหตุอย่างไร และหาทางออก

“เราเองเวลาไม่สบายใจก็โทรหาพี่ โทรหาพ่อแม่ โทรหาเพื่อน เหมือนกันเด็กเหล่านี้ถ้าเขามีคนที่เขาสามารถคุยได้เขาก็คงไม่มาคุยกับเรา แต่เพราะเขาไม่มีใครแล้วจริงๆ อย่างสมมติพี่อกหักนะ พี่คงไม่เข้าไปออนไลน์แล้วเล่าใครก็ไม่รู้ฟัง แล้วถามว่าฉันต้องทำยังไง เราคงเล่าให้คนที่เราไว้ใจฟัง คนที่เราสนิท คนที่ซัพพอร์ททางด้านจิตใจเราได้”

เคารพสิทธิเด็ก

อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การที่พ่อแม่ลิดรอนสิทธิของลูกเสียเอง และยังมีความเข้าใจที่ผิดๆ กันอยู่ว่า ลูกคือสมบัติของพ่อแม่ จนบางทีก็นำไปสู่ความบาดหมางในครอบครัว  

“ในประเทศไทยก็ยังไม่เคยมีเคสไหนที่ลูกฟ้องพ่อแม่ เพราะว่าเรามีกฎหมายระบุว่า บุตรไม่สามารถที่จะฟ้องบุพการีได้ แต่ไม่ตัดอำนาจอัยการหรือผู้ใช้กฎหมาย ก็คือเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กเอย อัยการเอย สามารถที่จะฟ้องแทนเด็กได้ แต่พอเอาเข้าจริงแม้กระทั่งนักสังคมในพื้นที่หรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กไปยื่นฟ้อง สุดท้ายก็จบที่การไกล่เกลี่ยมันอยู่ในขั้นนี้จริงๆ 

กฎหมายความรุนแรงในครอบครัวยังกลายเป็นเรื่องที่สามารถไกล่เกลี่ยและประนีประนอมได้ ซึ่งมันไม่ควรเป็น มันเป็นคดีอาญานะ จริงๆ แล้ว มันไม่สามารถจบกันได้ในชั้นสอบสวนนะ แต่ว่าประเทศไทยสามารถทำให้มันจบได้”

แต่สัญญาณที่ดีคือ สายเด็กได้รับสายแจ้งเหตุความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น โดยจากเพื่อนบ้านหรือพลเมืองที่พบเห็นเหตุการณ์ 

“มีโทรมาบอกว่า ได้ยินบ้านนี้ทะเลาะกันทุกวันเลย แล้วก็เขามีลูกด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปในบ้านเขานะ ไม่รู้ว่าเด็กได้รับความรุนแรงหรือเปล่า คุณช่วยส่งเจ้าหน้าที่ไปดูหน่อยได้ไหม คือคนไม่ได้นิ่งดูดายนะ แต่ว่ามันก็ยังไม่เกิดขึ้นสำหรับทุกคน เพราะในขณะเดียวกันคนที่โทรแจ้งเขาก็ไม่ได้รับความปลอดภัยในหลายๆ ครั้ง แล้วแจ้งเข้ามาพอเจ้าหน้าที่โทรกลับไปก็คือซักข้อมูลเขาจนเขารู้สึกว่า ฉันจะปลอดภัยไหม”

นอกจากนี้สายเด็กยังมีโปรเจกต์ที่ทำอย่างต่อเนื่องมาตลอดคือ การรณรงค์หยุดการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็ก Commercial Sexual Exploitation of Children (CSEC) โดยมีกิจกรรมจัดอบรมในเรื่องนี้ให้กับเด็กเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 

“ในเด็กเล็กเขายังไม่รู้ว่าอวัยวะในร่างกายส่วนไหนใครจับได้จับไม่ได้ ก็พ่อแม่จับเขาได้เขาก็คิดว่าใครๆ ก็จับได้เป็นเรื่องปกติ เราจึงต้องปูพื้นฐานให้กับเด็ก ให้เขาเข้าใจว่าถ้ามันมีรูปการแบบนี้เข้ามาเราควรจะต้องรับมือยังไง ซึ่งเป็นคอร์สเทรนนิ่งสนุกๆ ขณะเดียวกันก็จะใส่ความรู้ไปให้เขา ตอนนี้ทำเฉพาะโรงเรียนในกรุงเทพฯ เป็นโรงเรียนรัฐที่เราขอเข้าไปเอง และบางทีไปก็ได้เคสกลับมาด้วย”

“สุดท้ายเราไม่มีหน้าที่ไปดูแลเขานะ คนที่ต้องดูแลก็คือตัวเขาเอง พ่อแม่ หรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเขา สิ่งที่เราทำได้คือเราแค่เป็นพื้นที่สำรองที่ปลอดภัยในกรณีที่เขาไม่มีตัวเลือก ไม่มีใคร ที่ตรงนี้ก็จะเป็นพื้นที่ให้เขาระบาย ให้เขาสามารถที่จะมาคุยได้โดยที่มีคนๆ หนึ่งฟังเขา แล้วก็พยายามที่จะเข้าใจเขา เราไม่ได้เข้าใจเขาทั้งหมดนะ เราพยายามที่จะเข้าใจแล้วก็อยู่กับความรู้สึกของเขา ให้เขารู้ว่ามันยังมีคนที่ยังอยู่เพื่อเขาอยู่ตรงนี้”

อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ใช่เครื่องมือที่จะช่วยให้ชีวิตเขาผ่านไปได้ แต่เป็นการช่วยให้เขาได้เห็นเครื่องมือที่มีอยู่ในตัวเขา ดึงศักยภาพในตัวเขาออกมาให้เขาดูแลตัวเองต่อไปได้

หากไม่สบายใจหรือว่าเครียดเมื่อไรแล้วคุยกับใครไม่ได้ พื้นที่นี้ยินดีต้อนรับเสมอ สายเด็ก 1387  

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)พื้นที่ปลอดภัยการฟังสายเด็ก (Childline Thailand)จินดา ชัยพล

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “ความคาดหวังของพ่อแม่อาจรังแกลูก” ชวนพ่อแม่ปรับมายเซ็ตในความสัมพันธ์ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน กับ ‘พ่อโต้ง’ สุระ จารุศศิธร เพจดีต่อลูก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Everyone can be an Educator
    ครูไก่แจ้ – สิทธิพงษ์ ติยเวศย์ : ครูอาสาวิชาคณิตศาสตร์ ที่เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าในตัวเองมากกว่าท่องสูตร

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’
29 November 2021

มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’ วาทกรรมที่ด้านหนึ่งสื่อถึงการประกันอนาคตของคนรุ่นใหม่ หากพวกเขาเดินตามเส้นทางที่ตลาดต้องการ อีกด้านหนึ่งมันกลับกลายเป็นโซ่ที่ล่ามพวกเขาไว้ ไม่ให้สามารถทำตามความฝันได้
  • Michael Apple นักการศึกษาสายวิพากษ์ ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ พบว่า เสรีนิยมใหม่ได้เป็นพลังทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิรูปการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา แนวคิดนี้มองนักเรียนเป็นแรงงานของตลาด พร้อมกับชูแนวคิดการศึกษาเพื่อการมีงานทำหรือการจ้างงาน โดยมองว่าความต้องการของตลาดจะเป็นหลักประกันอนาคตให้กับคนทุกคน
  • “คำถามสำคัญที่เราอาจจำเป็นต้องถาม คือ การศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร? หากเรามองว่า การศึกษาควรเป็นพื้นที่ให้คนได้ซักซ้อม เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และกล้าทดลองที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามความฝันที่เขาอยากเป็น ความฝันก็จะเปลี่ยนแปลงได้ ลองได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะล้มเหลว เช่นนั้นการศึกษาก็ควรเป็นเส้นทางปลายเปิด ไม่ใช่ลู่ปลายปิดที่ถูกกำหนดด้วยเป้าหมายของตลาด”

“โตขึ้น ฝันอยากเป็นอะไร” 

ประโยคปลายเปิดที่ชวนให้เด็กหลายคนได้ลองจินตนาการถึงความฝันของตัวเองในอนาคต วลีนี้คอยย้ำซ้ำๆ กับเด็กๆ อยู่เสมอว่าคนทุกคนมีฝันของตนเอง เราเพียงแต่ต้องหามันให้เจอและทำมันให้ได้ แต่ทว่าสิ่งนี้ก็อาจกลายเป็นเพียงเรื่องโกหกสำหรับเด็กหลายคน  

ย้อนกลับไป ในช่วงที่ผมเป็นครูฝึกสอนในโรงเรียนขยายโอกาส ผมได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งนามสมมุติว่า ‘จี’ จีเป็นเด็ก ม.ต้น ที่ต้องแบกรับต้นทุนในการเลี้ยงดูน้องสาวคนเล็ก และย่าที่ป่วยติดเตียง อีกไม่กี่เดือน (ในช่วงเวลานั้น) ตัวเขาเองก็จะจบชั้น ม.3 จีมีทางเลือกอยู่เพียงไม่กี่ทาง ทางแรก เรียนให้จบม.3 แล้วหางานทำเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายดูแลคนในครอบครัว ส่วนทางเลือกที่สอง คือ สมัครเข้าเรียนต่อในโรงเรียนของบริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อที่ระหว่างเรียนเขาจะได้รับทุนการศึกษา และได้ทำงานให้กับบริษัทเพื่อหารายได้ระหว่างเรียนไปด้วย ภายใต้แนวคิด ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’

ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบของจีคือทางเลือกไหน และเขามีความฝันแบบไหนกันแน่ แต่จุดนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มต้นตั้งคำถามกับแนวคิด ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’ ว่ามันคืออะไรกันแน่ และมันเข้ามามีอิทธิพลอย่างไรต่อชีวิตของนักเรียน ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากนำเสนอข้อสังเกตบางประการต่อแนวคิดการศึกษาเพื่อการมีงานทำผ่านเรื่องราวของจี

เสรีนิยมใหม่กับการศึกษาเพื่อการมีงานทำ

Michael Apple นักการศึกษาสายวิพากษ์ ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ พบว่า เสรีนิยมใหม่ได้เป็นพลังทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิรูปการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา แนวคิดดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่การทำให้รัฐอ่อนแอลง ให้ความสำคัญกับระบบเอกชน และต้องการทลายระบบสวัสดิการและบริการสาธารณะ เกิดการผลักดันให้การศึกษาแปรรูปสู่การเป็นสินค้าในระบบตลาดที่เน้นทำกำไรมากขึ้น 

แนวคิดนี้มองนักเรียนเป็นแรงงานของตลาด พร้อมกับชูแนวคิดการศึกษาเพื่อการมีงานทำหรือการจ้างงาน โดยมองว่าความต้องการของตลาดจะเป็นหลักประกันอนาคตให้กับคนทุกคน (แทนที่ระบบสวัสดิการ) พูดง่ายๆ ก็คือ หากนักเรียนเดินไปตามเส้นทางที่ตลาดต้องการ สิ่งนี้จะช่วยการันตีอนาคตที่ดีได้

มากไปกว่านั้น เสรีนิยมใหม่สร้างความเชื่อที่ว่า โรงเรียนคือพื้นที่ที่จะมอบโอกาสให้คนทุกคนได้แข่งขันกันอย่างเท่าเทียม เพียงแค่ทุกคนมีความพยายาม พร้อมกับบอกว่า เราทุกคนมีเสรีภาพในการเลือก ดังนั้น เราจึงสามารถเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้ หมายความว่า ทุกคนรู้ว่าความฝันของตัวเองเป็นอย่างไร ที่เหลือก็แค่ต้องเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และมันจะเป็นตัวการันตีนงานที่ดีให้กับคุณในอนาคต 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในความเชื่อแบบเสรีนิยมใหม่นั้น เมื่อนักเรียนคนใดก็ตามเข้าสู่ตลาดของการศึกษา พวกเขาจะมีตัวเลือกมากมาย ผู้ปกครองในกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่างกันก็จะมีสิทธิในการเลือกโรงเรียนเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน เป็นการให้โอกาสทุกคนตัดสินใจอย่างเท่าเทียม ดังนั้น หากอยากมีชีวิตที่ดี ก็จงเลือกโรงเรียนที่ดี เลือกโรงเรียนที่สามารถมอบความฝันในแบบที่ตลาดกำหนดไว้ให้ได้

ความฝันที่ถูกดัดแปลงให้ตอบโจทย์ตลาด 

เราอาจเห็นภาพคุ้นตาในสังคมไทยที่การศึกษากลายเป็นเหมือนตลาดแข่งขันเสรี มีทั้งโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนทางเลือก โรงเรียนสาธิต โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนนานาชาติ ทางเลือกมากมายมาพร้อมกับการเสนอขายโปรแกรมการเรียนสุดพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าอย่างนักเรียน โรงเรียนหลายแห่งเปิดโปรแกรมห้องเรียนพิเศษ เตรียมสอบหมอ เตรียมสอบนิติศาสตร์ขึ้นมา ขณะเดียวกันบริษัททุนขนาดใหญ่ก็ได้เข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดการศึกษา พวกเขาเปิดโรงเรียน และเข้าไปทำหลักสูตรร่วมกับโรงเรียนด้วย 

ฟังแล้วก็ดูดี นักเรียนเรียนแล้วใช้ได้จริง เรียนจบแล้วมีงานทำด้วย? แต่หากเราลองย้อนกลับไปยังเรื่องราวของจี ไม่ว่าจะอย่างไร ท้ายที่สุดชีวิตของเขาก็กำลังถูกบีบให้ดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองและครอบครัวมีชีวิตรอดต่อไปได้ (เช่นเดียวกับนักเรียนหลายคนที่ต่างก็มองหาหลักประกันเพื่อความมั่นคงในชีวิต) พร้อมๆ กับที่บริษัทแห่งนั้นได้ก้าวย่างเข้าไปสู่พื้นที่ของความเปราะบาง ความไม่มั่นคง และยื่นข้อเสนอที่มั่นคงกว่าให้แก่เขา ข้อเสนอที่พอจะประกันให้เขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวพร้อมกับได้เรียนไปด้วย 

ซึ่งนั่นก็อาจทำให้จี (และเด็กอีกหลายคน) ต้องยอมดัดแปลงตัวตนให้กลายเป็นสมบัติของบริษัท เสรีภาพในการการเลือกเรียน เลือกฝันจึงอาจไม่มีอยู่จริงสำหรับจี เพราะมันถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนทางเศรษฐกิจ 

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเสมือนว่า หากคุณถูกล่ามไว้ไม่ให้ฝันด้วยโซ่ตรวนทางเศรษฐกิจ หากคุณอยากจะมีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี ไม่อดตายแล้วล่ะก็ พวกเรามีโปรแกรมการศึกษาเพื่อการมีงานทำให้คุณ ภายใต้เงื่อนไขเพียงแค่คุณต้องเข้ามาเรียนและทำงานให้กับเราไปด้วย เรารับรองได้เลยว่าคุณจะมีงานทำและมีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว 

อาจพูดได้ว่า การศึกษาเพื่อการมีงานทำนั้นเป็นการขายประกันทางเดินให้นักเรียนได้มีโอกาสทางรอดทางเศรษฐกิจ (ในสังคมที่ไม่มีสวัสดิการเป็นหลักพิง) เสมือนว่าพวกเขาไม่มีความฝัน ไม่มีมีสิ่งที่อยากจะลองทำ ไม่มีสิ่งที่อยากลองเป็น

การศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร 

คำถามสำคัญที่เราอาจจำเป็นต้องถาม คือ การศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร? หากเรามองว่า การศึกษาควรเป็นพื้นที่ให้คนได้ซักซ้อม เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และกล้าทดลองที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามความฝันที่เขาอยากเป็น ความฝันก็จะเปลี่ยนแปลงได้ ลองได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะล้มเหลว เช่นนั้นการศึกษาก็ควรเป็นเส้นทางปลายเปิด ไม่ใช่ลู่ปลายปิดที่ถูกกำหนดด้วยเป้าหมายของตลาด หรือถูกบีบให้ดัดแปลง ให้เรียนเพื่อความอยู่รอด 

ดังนั้น การศึกษาเพื่อการมีงานทำจึงอาจเป็นวาทกรรมที่กลายเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำที่ผูกขาดทรัพยากร เพื่อใช้ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในสังคม ตอกย้ำความคิดที่ว่าการศึกษาเป็นตั๋วเบิกทาง เป็นหลักประกันความมั่นคงบางอย่างให้กับชีวิต การศึกษาเป็นเงื่อนไขของการแข่งขันที่คุณต้องลงแข่งเพื่อได้รับสิทธิพิเศษหรือการการันตีว่าคุณจะมีอนาคตที่ดี  พร้อมกับปฏิเสธจินตนาการใหม่หรือไอเดียที่ว่า เราสามารถมีสังคมที่คนทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกเรียนรู้ กล้าจะผิดพลาด ทดลอง และค้นหาความฝัน พร้อมกับการที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงฝันได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะอดตายไหม จะหิวไหม จะได้รับการดูแล หรือจะมีงานทำไหม และไม่ต้องจบลงด้วยการทิ้งความฝันของตัวเอง

อ้างอิง

ความเรียง “ระบบการศึกษาที่ใครบางคนต้องตัดแปลงตัวตน” ในหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” เขียนโดย ครูอรรถพล ประภาสโนบล 

บทสัมภาษณ์ the potential “การศึกษาที่ทำให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งต้องถูกดัดแปลง” อรรถพล ประภาสโนบล ประเด็นรัฐสวัสดิการกับการศึกษา 

บทความ เปลือยการศึกษาไทย ทำไม “เรียนฟรี” ไม่ได้ เขียนโดย Sanook

บทความ “Between Neoliberalism and Neoconservatism: Education and Conservatism in a Global Context” เขียนโดย Michael Apple  

บทความ “will standard save public education” เขียนโดย Michael Apple  

Tags:

ระบบการศึกษาความเหลื่อมล้ำความฝัน

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    “การศึกษาที่ทำให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งต้องถูกดัดแปลง” อรรถพล ประภาสโนบล ประเด็นรัฐสวัสดิการกับการศึกษา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เงินทองต้องคิดส์ (9) : อย่ามองข้ามเรื่องการให้
Early childhood
26 November 2021

เงินทองต้องคิดส์ (9) : อย่ามองข้ามเรื่องการให้

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แม้ว่า ‘การให้’ อาจไม่เคยปรากฏอยู่ในตำราการเงินฉบับไหน แต่สำหรับผมแล้วการบริจาครายได้บางส่วนเพื่อประโยชน์สาธารณะถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรยึดถือเพื่อสรรสร้างสังคมที่ดีกว่า พ่อแม่แทบทุกคนจะต้องการเลี้ยงลูกให้รู้จักใส่ใจสังคมและคนรอบข้าง แต่บางครั้งเรากลับสร้างนิสัยเห็นแก่ตัวให้กับลูกๆ ด้วยการชื่นชมความสำเร็จส่วนบุคคลและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาโดยไม่รู้ตัว
  • หากจะฝึกการให้จนเป็นนิสัย เราต้องเริ่มจากการปันส่วนเงินออมจำนวนเล็กน้อยมาเก็บไว้สำหรับบริจาค โดยที่พ่อแม่คอยสอบถามว่าเจ้าตัวเล็กใส่ใจปัญหาสังคมเรื่องใด และคัดเลือกองค์กรการกุศลที่ขับเคลื่อนในประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งอธิบายให้เด็กๆ ฟังว่าเงินที่บริจาคไปนั้น องค์กรจะนำไปแก้ไขปัญหาอย่างไร
  • โลกของเด็กๆ ใบเล็กกว่าเรามาก พวกเขาไม่เข้าใจหรอกครับว่าทำไมเด็กบางคนถึงร่ำรวยล้นฟ้า และเด็กบ้างบ้านอาจขาดแคลนและจำต้องใส่ชุดนักเรียนเก่าๆ เมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มสงสัย พ่อแม่ก็ควรให้เวลาพูดคุยในประเด็นดังกล่าว บอกเล่าให้ลูกรู้ว่าผู้ใหญ่แต่ละคนมีรายได้ไม่เท่ากันซึ่งอาจมีสาเหตุจากพื้นฐานของครอบครัว ความโชคร้าย หรือการขาดแคลนโอกาส แต่ละคนต่างต้องเผชิญสถานการณ์ที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราสามารถทำได้คือพยายามเข้าอกเข้าใจและอย่ารีบด่วนตัดสินโดยเอาความเชื่อของเราเข้าไปสวมทับ

‘การให้’ อาจไม่เคยปรากฏอยู่ในตำราการเงินฉบับไหน แต่สำหรับผมแล้วการบริจาครายได้บางส่วนเพื่อประโยชน์สาธารณะถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรยึดถือเพื่อสรรสร้างสังคมที่ดีกว่า แต่การปลูกฝังเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือสิ่งของ เจ้าตัวเล็กในบ้านอาจแสดง ‘ความหวงแหน’ ผิดวิสัยจนพ่อแม่หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเลี้ยงลูกตัวเองมาอย่างไร ทำไมถึงใจแคบอย่างไม่น่าเชื่อ!

แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินนะครับ บางทีพฤติกรรมดังกล่าวอาจเป็นเรื่องของช่วงวัยที่โลกหมุนรอบเด็กๆ และบางทีเราเองก็อาจปลูกฝังความเห็นแก่ตัวให้ลูกไปโดยไม่รู้ตัว มีการสำรวจพบว่าพ่อแม่แทบทุกคนจะต้องการเลี้ยงลูกให้รู้จักใส่ใจสังคมและคนรอบข้าง แต่กลับให้น้ำหนักกับความสำเร็จส่วนบุคคลและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ต้องเหนือกว่าคนอื่น ผลสุดท้ายคือเด็กส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “พ่อแม่จะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวฉัน ถ้าฉันเรียนได้เกรดดีมากกว่าที่ฉันช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ ในชั้นเรียนและโรงเรียน” 

บทความนี้จะเชิญชวนพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนมาปลูกฝัง ‘ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่’ ให้กับเด็กๆ ในบ้าน เพราะสิ่งสำคัญในชีวิตนอกจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและครอบครัวแล้ว อย่าลืมว่าความสุขทางใจก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีงานวิจัยยืนยันหลายต่อหลายชิ้นว่าคนที่รู้จักการแบ่งปันหรือทำงานอาสาสมัครอย่างสม่ำเสมอจะมีความสุขและสุขภาพทางใจที่ดีกว่าคนที่ไม่รู้จักแบ่งปัน

1. จัดหา ‘กระปุกหมู’ เพื่อการให้

หากใครยังจำบทเรียนเรื่องการออมได้ ผมแนะนำว่าเด็กๆ ควรแบ่งกระปุกออมสินตามเป้าหมาย ทั้งการออมเพื่อซื้อของในระยะสั้น การออมสำหรับของชิ้นใหญ่ในระยะยาว แต่ที่ขาดไม่ได้คือกระปุกหมูสำหรับการให้

อย่างไรก็ดี เราควรมีเป้าหมายจัดสรรเงินสำหรับบริจาคในระดับที่สมเหตุสมผล โดยแบ่งมาใส่สัก 5 เปอร์เซ็นต์หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่จะเก็บออม เมื่อถึงวันที่กระปุกมีเงินเยอะมากพอ พ่อแม่ก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้ให้คำแนะนำว่าควรจะนำเงินก้อนดังกล่าวไปใช้ทำอะไรด้วยคำถามง่ายๆ ว่า “ถ้าอยากทำให้อะไรบนโลกดีขึ้นหนึ่งอย่าง หนูจะเลือกเปลี่ยนอะไร”

คำตอบอาจเป็นปัญหาน้ำท่วมที่ต่างจังหวัด หมอกควันในกรุงเทพฯ คนขอทานที่เห็นตามท้องถนน หรือสุนัขจรจัด เมื่อจับประเด็นได้ ขั้นตอนต่อไปคือการมองหาองค์กรที่ขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว โดยที่เราต้องอธิบายอย่างชัดเจนว่าเงินที่บริจาคไปนั้นจะนำไป ‘เปลี่ยนโลก’ ตามที่เจ้าตัวเล็กคาดหวังได้อย่างไรบ้าง

2. เมื่อได้ของใหม่ ให้บริจาคของเก่า

กฎนี้เป็นกฎง่ายๆ สำหรับหลายบ้าน คือ เมื่อได้อะไรใหม่มาสักหนึ่งอย่าง ให้นำของหนึ่งอย่างในบ้านที่ไม่ได้ใช้แล้วไปให้คนอื่นซึ่งอาจมีความต้องการใช้มากกว่า กุศโลบายนี้ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากจะสอนเรื่องการแบ่งปันแล้ว ยังช่วยจัดการกับปัญหาของล้นบ้านได้อีกด้วย

ข้อดีของกฎนี้คือลูกๆ สามารถเลือกที่จะบริจาคอะไรก็ได้ในบ้านตามสมัครใจ เพียงแค่เจ้าตัวเล็กจะต้องยอมให้อะไรบางอย่างเมื่อได้ของชิ้นใหม่ แต่สำหรับเด็กบางคนที่ต่อต้านวิธีปฏิบัติเช่นนี้ พ่อแม่ก็อย่าไปฝืนใจ การให้เป็นสิ่งที่เราควรจะมีความสุขกับมัน เราควรทำใจให้สงบแล้วบอกว่าสักวันหนึ่งเมื่อหนูโตพอก็น่าจะเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการให้เหมือนกับพ่อแม่

3. เล่าให้ลูกฟังเกี่ยวกับการตัดสินใจบริจาคเงิน

การเป็นตัวอย่างที่ดีในการบริจาคเงินหรือทำงานอาสาสมัครอาจยังไม่เพียงพอที่จะปลูกฝังให้ลูกรู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เราจะต้องพูดคุยเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมถึงตัดสินใจช่วยเหลือองค์กรเหล่านี้ โดยที่เราอาจเน้นว่าเงินก้อนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้กับอะไรบ้างและประเด็นสาธารณะที่เงินจะถูกนำไปใช้นั้นมีความสำคัญกับเราอย่างไร

อย่าคิดว่านี่เป็นการอวดโอ่เรื่องการทำความดีให้ลูกฟังนะครับ เพราะมีการศึกษาโดยองค์การสหประชาชาติที่ติดตามเด็กจำนวน 900 คนเป็นเวลาร่วม 6 ปีพบว่าเด็กๆ ที่พ่อแม่พูดคุยเรื่องการบริจาคเงินมีแนวโน้มมากกว่าที่จะแบ่งปันเงินส่วนหนึ่งเพื่อเป้าหมายสาธารณะ เมื่อเทียบกับพ่อแม่ที่บริจาคเงินอย่างสม่ำเสมอก็จริงแต่ไม่เคยหยิบมาบอกเล่าให้ลูกฟัง

หากเป็นไปได้ ทุกครั้งที่เราบริจาคนอกจากจะเล่าให้ลูกฟังแล้ว ก็ถือโอกาสลองชวนลูกมาบริจาคร่วมกันนะครับ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช่น ตรุษจีนซึ่งเด็กๆ อาจได้เงินสดมาก้อนใหญ่ซึ่งพ่อแม่สามารถชักชวนให้ลูกแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับมอบให้แก่สังคม

4. สอนลูกให้เข้าใจเรื่องความเหลื่อมล้ำ

โลกของเด็กๆ ใบเล็กกว่าเรามาก พวกเขาไม่เข้าใจหรอกครับว่าทำไมเด็กบางคนถึงร่ำรวยล้นฟ้า และเด็กบ้างบ้านอาจขาดแคลนและจำต้องใส่ชุดนักเรียนเก่าๆ เมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มสงสัย พ่อแม่ก็ไม่ควรบอกปัดและควรให้เวลาพูดคุยในประเด็นดังกล่าว บอกเล่าให้รับรู้ว่าผู้ใหญ่แต่ละคนมีรายได้ไม่เท่ากันซึ่งอาจมีสาเหตุจากพื้นฐานของครอบครัว ความโชคร้าย หรือการขาดแคลนโอกาส แต่ละคนต่างต้องเผชิญสถานการณ์ที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราสามารถทำได้คือพยายามเข้าอกเข้าใจและอย่ารีบด่วนตัดสินโดยเอาความเชื่อของเราเข้าไปสวมทับ

มีการศึกษาพบว่า เด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่พ่อแม่ชวนพูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำอย่างสม่ำเสมอจะไม่เชื่อมายาคติที่ว่าคนจนเพราะพวกเขาไม่ฉลาดหรือว่าไม่ขยันซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่หลายคนเชื่อ

สำหรับพ่อแม่ที่อยู่ในเมืองอาจต้องเจอกับสถานการณ์กระอักกระอ่วน เช่น เจอกับขอทานตามท้องถนน หรือคนแต่งตัวมอซอมาขอให้ช่วยอุดหนุนสินค้า บางคนอาจยอมควักกระเป๋าให้แบบไม่ยากเย็น ขณะที่บางคนอาจยึดถือว่าจะไม่ให้เงินแก่คนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าคุณจะดำเนินตามแนวทางไหนก็ไม่ควรทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยิน แต่ควรตอบปฏิเสธอย่างสุภาพหากคุณยึดตามแนวทางอย่างหลัง ในกรณีที่ลูกตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่ช่วยคนที่ลำบาก ให้ใช้โอกาสนี้อธิบายเหตุผลให้ฟัง พร้อมกับเล่าว่าเราบริจาคเงินผ่านช่องทางอื่นใดบ้างที่เรามองว่ามีความสำคัญไม่ต่างกัน

5. อย่าบังคับคนอื่นให้ทำความดี

บางบ้านที่ปลูกฝังลูกให้มีจิตสำนึกต่อสังคมได้สำเร็จก็อาจเผชิญกับปัญหาที่น่าปวดหัวอย่างอื่นเช่นการที่เด็กๆ ในบ้านเริ่มคาดคั้นให้คนอื่นบริจาคให้กับองค์กรที่ตัวเองสนใจ หรือกลับมาจากการทำงานอาสาสมัครเก็บขยะริมชายหาดแล้วเริ่มเกรี้ยวกราดใส่ทุกคนที่ใช้หลอดพลาสติก

เมื่อเด็กๆ เริ่มมีพฤติกรรมแบบ ‘เกินเลย’ หรือเข้าขั้นระรานคนอื่น อย่างแรกที่ต้องทำคือการหายใจเข้าลึกๆ และพยายามมองข้ามคำพูดไม่รื่นหูของเจ้าตัวเล็ก แต่หากคิดว่ามีจุดไหนที่เกินกว่าจะรับไหว เราก็อาจต้องเรียกมาพูดคุยปรับความเข้าใจโดยเริ่มจากแสดงความยินดีที่ลูกๆ เริ่มก่อร่างสร้าง ‘ชุดคุณค่า’ เกี่ยวกับประเด็นทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ตนเองใส่ใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกให้เข้าใจว่าคนอื่นๆ อาจให้น้ำหนักกับประเด็นสาธารณะที่แตกต่างกันออกไป ตราบใดที่เรายังอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน เราก็ต้องประนีประนอมในบางเรื่องและเคารพในความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน

สำหรับบางบ้านอาจเจอกับสถานการณ์ที่ลูกๆ เริ่มไปร้องขอให้คนอื่นบริจาคเงิน พร้อมกับบ่นตัดพ้อต่อว่าเมื่อระดมเงินได้ไม่ถึงเป้า เราอาจต้องเรียกมาปรับความคิดเสียใหม่โดยเน้นว่าแต่ละคนต่างก็เผชิญกับความท้าทายทางการเงินที่แตกต่างกัน แม้ว่าลูกจะรวบรวมเงินเพื่อทำในสิ่งที่คิดว่าดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนมีกำลังพอที่จะจ่ายไหว พร้อมกับถือโอกาสสอดแทรกประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำให้เด็กๆ ฟังไปด้วย

6. ระมัดระวังเรื่องการซื้อพ่วงบริจาค

ปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งเริ่มมีโครงการบริจาคกำไรบางส่วนที่ได้จากการขายสินค้า (ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า แว่นตากันแดด หรือขวดน้ำดื่ม) ให้แก่คนที่ยากไร้ แน่นอนครับว่าโครงการลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าลืมว่าเรามีทางเลือกคือการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกลงสักหน่อย แล้วนำเงินส่วนต่างไปบริจาคให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ขับเคลื่อนในประเด็นที่สำคัญสำหรับเราจริงๆ

ข้อควรระวังของโครงการซื้อของพ่วงบริจาคคือเราอาจตกหลุมพรางแล้วซื้อสินค้ามากเกินกว่าที่เราต้องการ และบางครั้งการใช้จ่ายจนเกินตัวอาจทำให้เรารู้สึกดีที่ได้ช่วยสังคมจากการซื้อสินค้าเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ

7. อย่าลืมเก็บใบเสร็จเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี

ไม่ว่าเงินก้อนนั้นจะเป็นเงินบริจาคของเจ้าตัวเล็กที่ไม่มีรายได้ หรือเป็นของลูกๆ ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน พ่อแม่ควรให้คำแนะนำเรื่องการเก็บใบเสร็จรับเงินเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี ตามกฎหมายไทยแล้ว เงินบริจาคให้แก่องค์กรสาธารณกุศลจะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเงินบริจาคให้แก่สถานศึกษาหรือโรงพยาบาลของรัฐจะนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่า ที่สำคัญอย่าลืมระบุชื่อผู้บริจาคให้เป็นผู้มีรายได้สูงที่สุดในครอบครัวเพื่อจะได้ช่วยประหยัดภาษีให้ได้มากที่สุด

แน่นอนครับว่าการลดหย่อนภาษีไม่ใช่เป้าหมายหลักของการให้ แต่การลดหย่อนภาษีก็อาจช่วยเราบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง อีกทั้งยังทำให้เรามั่นใจว่าเงินที่บริจาคไปนั้นมี ‘ใบเสร็จ’ และจะนำไปทำประโยชน์สาธารณะจริงๆ ไม่ใช่สูญหายไปเข้ากระเป๋าใคร

ทั้ง 7 ข้อคือหลักการปลูกฝังเรื่องการให้ที่ทุกครอบครัวสามารถไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับลูกๆ ตั้งแต่วัยเตาะแตะไปจนถึงวัยทำงาน ผมอยากเน้นย้ำอีกครั้งว่าเราควรนำเรื่องการบริจาคเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายในครอบครัว แม้อาจไม่ใช่เงินบริจาคก้อนใหญ่มากมายอะไร แต่ผมเชื่อว่าสังคมในฝันของทุกคนย่อมเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเข้าอกเข้าใจ ไม่ใช่แก่งแย่งแข่งขันและต่างคนต่างอยู่

คุณและครอบครัวสามารถร่วมสร้างสังคมนั้นได้ ด้วยการนำเงินไปบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณะที่คุณคิดว่าสำคัญ

Tags:

พ่อแม่การเงินเงินทองต้องคิดส์การให้

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (11): เรื่องเงินทองที่พ่อแม่ต้องวางแผน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (8) : เรื่องหนี้ เรื่องนี้พ่อแม่ต้องสอน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (4): สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (3) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กโต)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (2) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

กล้าหาญอย่างถูกวิธี ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น
Character building
24 November 2021

กล้าหาญอย่างถูกวิธี ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • ‘ความกล้าหาญทางวิชาการ (academic courage)’ เป็นความมุ่งมั่นในการเผชิญหน้ากับความยากลำบากและความกลัวทางเรื่องวิชาการ
  • ความกล้าหาญและความมั่นใจส่งผลต่อการเรียนไม่แตกต่างกัน แต่ความมั่นใจมีลักษณะยืดหยุ่นมากกว่า หมายถึงว่าถ้านักเรียนมีความมั่นใจ พวกเขาจะนำมาปรับใช้กับการเรียนได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า
  • แม้ความมั่นใจจะส่งผลดีต่อการเรียนมากที่สุด แต่ความกล้าหาญกลับสามารถนำมาใช้เป็นปัจจัยสนองตอบต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ปิดจุดอ่อนได้ดี หากนักเรียนเกิดความรู้สึกว่ามีความยากลำบากหรือความกลัวในการเรียนเรื่องวิชาการ

เวลาพูดถึงความกล้าหาญ เรามักนึกถึงสถานการณ์พิเศษที่ไม่ใช่กิจวัตรประจำวันซึ่งเราต้องลงมือทำบางอย่าง โดยเฉพาะการต่อสู้กับความกลัว จนบางคนก็บอกว่าความกล้าหาญกับความกลัวเป็นสองหน้าของเหรียญเดียวกัน แต่เป็นเช่นนั้นแน่หรือ?

จะมีหนทางใดหรือไม่ที่เราจะสร้างหรือสนับสนุนให้เด็กๆ เกิดความกล้าหาญ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการศึกษาหาความรู้ของเด็กๆ เหล่านั้น? 

มาดูกันที่คำถามแรกกันก่อนนะครับ ความกล้าหาญกับความกลัวเป็นปลายสองด้านของอุปนิสัยที่ตรงกันข้ามจริงหรือไม่?

ปีเตอร์ มูริส (Peter Muris) จากสถาบันจิตวิทยาในสังกัดมหาวิทยาลัยอีราสมัสแห่งรอตเตอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์ทำการทดลองที่น่าสนใจในเรื่องนี้เอาไว้ [1]  

เขาทดสอบในเด็กๆ อายุ 8-13 ปี รวม 51 คน เริ่มจากการสัมภาษณ์ด้วยคำถามว่า เด็กๆ ได้เคยทำอะไรในชีวิตที่คิดว่าเป็นเรื่องกล้าหาญที่สุดไว้บ้างหรือไม่ พร้อมกับให้จัดระดับความกลัวและความกล้าหาญในเหตุการณ์นั้นไว้ 

จากนั้นก็ทดลองแยกต่างหาก โดยนำเด็กๆ มาทำแบบทดสอบที่เรียกว่า CM-C (Courage Measure for Children) ที่ออกแบบมาเป็นดัชนีวัดระดับความกล้าหาญโดยรวมของเด็กแต่ละคน นอกจากนี้ ยังให้ทำแบบทดสอบยังประเมินระดับความกระวนกระวายใจและแบบทดสอบที่ใช้ดูว่าคนไหนมีอุปนิสัยชื่นชอบทำอะไรที่ตื่นเต้นมากน้อยแค่ไหน 

แบบทดสอบ CM-C นี่ มีคนคิดประดิษฐ์ไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 2009 โน่น โดยจะมีเนื้อหารวม 12 ข้อ เช่น “ฉันพยายามเอาชนะความกลัวของตัวเอง” “ฉันเชื่อว่าตัวเองทำตัวกล้าหาญ” “หากฉันกังวลใจเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง ฉันจะเผชิญหน้ากับมันหรือทำอะไรสักอย่าง” โดยเด็กๆ จะต้องให้คะแนนเป็น 4 ระดับดังนี้ ให้ 1 คือ คำกล่าวดังกล่าวไม่จริง ให้ 2 คือ มีส่วนจริงอยู่บ้าง ส่วน 3 คือ ข้อความเป็นความจริง และ 4 ก็หมายความว่า จริงมากๆ 

สำหรับแบบทดสอบความกระวนกระวายใจหรือกังวลใจที่นำมาใช้ชื่อ SCARED (ตั้งชื่อได้เหมาะมากๆ) มาจากชื่อเต็มว่า The Screen for Child Anxiety Related Emotional Disorders) เป็นคำถามให้ประเมินตัวเองอีกเช่นกัน ประกอบด้วยคำถามจำนวน 41 ข้อ แบ่งเป็น 5 กลุ่มย่อย คือ 

  1. ความกลัวอย่างหนักชนิดโฟเบีย เช่น เมื่อตกใจกลัว หัวใจเต้นเร็ว 
  2. ความกระวนกระวายใจแบบทั่วๆ ไป เช่น ฉันเป็นคนขี้กังวล
  3. ความกังวลใจแบบต้องแยกตัว เช่น ฉันไม่ชอบอยู่ห่างไกลจากครอบครัวของฉัน 
  4. ความกลัวทางสังคม เช่น ฉันไม่ชอบคนไม่คุ้นเคยกัน และ 
  5. ความกลัวที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน เช่น ฉันกลัวที่ต้องไปโรงรียน โดยเด็กๆ ต้องให้คะแนนเป็น 3 แบบ คือ ให้ 0 หมายถึง แทบไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย แต่หากให้ 1 คือ บางครั้งก็เป็นแบบนั้น และหากให้ 2 คือ เป็นแบบนั้นบ่อยๆ 

ส่วนแบบทดสอบที่ใช้ดูว่าคนไหนมีอุปนิสัยชื่นชอบทำอะไรที่ตื่นเต้นมากน้อยแค่ไหน ใช้แบบทดสอบชื่อ SSSC (The Sensation Seeking Scale for Children) ที่มี 10 ข้อ เพื่อวัดว่ามีแนวโน้มจะเข้าร่วมกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทางร่างกายมากแค่ไหน เช่น สกี กระโดดร่มชูชีพ และปีนเขา 

สำหรับแบบทดสอบสุดท้ายนี้แบ่งเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ 1 คือ ไม่จริง จนถึง 5 คือ จริงที่สุด 

หลังจากนั้นก็ยังมีการสัมภาษณ์รายคนอีกด้วย แต่คราวนี้คณะนักวิจัยจะเป็นผู้ให้คะแนนจากคำตอบที่ได้รับ สิ่งที่สรุปได้จากการสัมภาษณ์ก็คือ เด็กๆ มีความกล้าจะทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตรายทางกายมากที่สุดคือ 33.3% ของทั้งหมด รองลงมาก็คือ การนั่งรถไฟเหาะตีลังกา (18.8%) และการเผชิญหน้ากับสัตว์ที่ตัวเองกลัว (12.5%) 

ส่วนในกลุ่มหัวข้อที่กลัวค่อนข้างมาก ได้แก่ การเผชิญหน้ากับคนน่ากลัว การต้องผ่าตัดหรือรักษาทางการแพทย์ การต้องช่วยเหลือคนอื่น และการแสดงอะไรสักอย่างต่อหน้าผู้คน ทั้งหมดนี้มีคนกล้าทำอยู่แค่ 5% 

แต่ที่กลัวที่สุดมีแค่คนเดียว (2.1%) ตอบว่าไม่กลัว ได้แก่ การเล่นกีฬาที่ต้องจับคู่กับเด็กที่โตกว่า

เมื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน คณะนักวิจัยสรุปเป็นภาพรวมว่า เด็กแทบทั้งหมด (94%) ให้ข้อมูลว่าตัวเองเคยทำอะไรที่แสดงความกล้าหาญมาแล้วในชีวิต แต่ที่น่าสนใจคือ ระดับความกลัวและความตื่นเต้นขณะทำเรื่องพวกนั้น กลับไม่แสดงความสัมพันธ์ที่ชัดเจน คือ อาจจะกลัวมากแต่กังวลใจน้อย หรือกลับกัน เป็นต้น

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ในวีรกรรมที่เล่ามานั้น ผลประเมินความกล้าหาญกับความกลัวไม่ได้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ความกล้าหาญกับความกลัวจึงไม่ได้เป็นสองหน้าของเหรียญเดียวกันหรือสิ่งที่ตรงกันข้ามบนสเกลวัดเสียทีเดียว!

ในทางตรงกันข้าม ผลจากแบบทดสอบ CM-C ชี้ว่า ความกล้าหาญสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับความกังวลใจ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความกล้าหาญสำหรับเด็กๆ แล้ว คือการเอาชนะความกังวลใจ ไม่ใช่ความกลัว ข้อสรุปสุดท้ายคือ เด็กๆ ที่มีอุปนิสัยชอบการผจญภัยและมองหาความตื่นเต้นในชีวิต จะเป็นกลุ่มที่แสดงความกล้าหาญโดยรวมมากกว่าเด็กๆ ส่วนที่เหลือ

ดังนั้น หากจะสนับสนุนให้เด็กๆ เกิดความกล้าหาญ ไม่ใช่ลดความกลัว แต่ต้องหาทางลดความกังวลใจ 

มาถึงคำถามที่สอง ความกล้าหาญมีผลต่อการเรียนหรือไม่? และถ้ามี มีผลอย่างไรกันแน่?

มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร School Psychology Quarterly ค.ศ. 2011 ที่ศึกษาเรื่องนี้ [2] 

คนที่ทำวิจัยไว้คือ มาร์ติน แอนดรูว์ เขาศึกษาในเด็กมัธยมศึกษาตอนปลาย 7,637 คน จากโรงเรียน 14 แห่งในออสเตรเลีย โดยนิยามคำว่า ‘ความกล้าหาญทางวิชาการ (academic courage)’ ว่าเป็นความมุ่งมั่นในการเผชิญหน้ากับความยากลำบากและความกลัวเรื่องทางวิชาการ 

โดยเขาดูว่ามันมีผลต่อการทำนายผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการได้หรือไม่ (วัดเฉพาะเรื่องการรู้หนังสือและความสามารถด้านเลขคณิต) นอกจากนี้ ยังดูผลของมันต่อตัวชี้วัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางวิชาการ (เช่น การวางแผน การจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย การจัดการกับจุดอ่อนของตัวเอง การไม่ผูกพันกับการเรียน การมีส่วนร่วมกับชั้นเรียน ความรู้สึกว่าการไปโรงเรียนนั้นสนุก และการมองเรื่องการเรียนเป็นเรื่องดี ฯลฯ) 

เขาวิเคราะห์แบบจับกลุ่มปัจจัยหลักเป็น 4 แบบ ประกอบด้วยความกล้าหาญ ความมั่นใจ การหลบเลี่ยง และการรู้สึกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผลการทดลองได้มาจากการสังเกตและเก็บข้อมูลจากในห้องเรียนจริง และจากการที่นักเรียนทำแบบทดสอบ 

เมื่อนำผลลัพธ์ที่ได้มาสร้างเป็นสมการแบบจำลองโครงสร้าง จึงได้ข้อสรุปว่า ความกล้าหาญและความมั่นใจส่งผลต่อการเรียนไม่แตกต่างกัน แต่ความมั่นใจมีลักษณะยืดหยุ่นมากกว่า หมายถึงว่านักเรียนนำมาปรับใช้กับการเรียนได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า 

เรื่องที่น่าสนใจคือ ความกล้าหาญเป็นอุปนิสัยที่มีลักษณะยืดหยุ่นกว่าการหลบเลี่ยงและการรู้สึกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ในทุกหัวข้อตัววัดที่ใช้ 

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ แม้ความมั่นใจจะส่งผลดีต่อการเรียนมากที่สุด แต่ความกล้าหาญกลับสามารถนำมาใช้เป็นปัจจัยสนองตอบต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ปิดจุดอ่อนได้ดี หากนักเรียนเกิดความรู้สึกว่ามีความยากลำบากหรือความกลัวในการเรียนเรื่องวิชาการ

นักเรียนต้องเข้าใจให้ได้ว่า ความผิดพลาดต่างๆ เป็นโอกาสและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การวัดความสำเร็จในการเรียนจึงควรอยู่ในรูปของการความก้าวหน้าและพัฒนาเทียบกับตนเองในอดีต วิธีนี้ยังทำให้ง่ายที่จะเกิดความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม เพราะนักเรียนไม่รู้สึกว่าเพื่อนเป็นคู่แข่ง  

สรุปทั้งหมดที่เล่ามาคือ หากอยากให้เด็กๆ เรียนได้ดี ต้องสนับสนุนให้เด็กๆ เกิดความกล้าหาญ แต่ไม่ใช่เรื่องของการลดความกลัวล้วนๆ แต่ต้องเป็นการสอนให้รู้จักจัดการกับความกังวลใจ จนไม่กลัวความยากลำบาก จนเกิดความมุ่งมั่นในการเรียนอย่างต่อเนื่อง 

เอกสารอ้างอิง
J Child Fam Stud (2009) 18:486–490. DOI 10.1007/s10826-009-9271-0
School Psychology Quarterly (2011) 26(2), 145–160. doi.org/10.1037/a0023020

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนความกล้าหาญทางวิชาการ (academic courage)

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Related Posts

  • Education trend
    Learning Analytic: วิธีวาร์ปไปแก้ปัญหาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Self-Management : สมรรถนะการจัดการตนเอง ปูทางเด็กสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต
Character building
23 November 2021

Self-Management : สมรรถนะการจัดการตนเอง ปูทางเด็กสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หลักสูตรฐานสมรรถนะที่กำลังจะนำมาใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนของไทย ให้นิยาม ‘การจัดการตนเอง’ (Self-Management) หมายถึง การรู้จักเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น การตั้งเป้าหมายในชีวิต การกำกับตนเอง การจัดการอารมณ์และความเครียด สามารถฟื้นคืนสู่สภาวะสมดุล (resilience)
  • พัฒนาการทางสมองด้านการเรียนรู้การจัดการตนเองทำงานได้แล้วในทารกวัย 5 – 12 เดือนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากเด็กได้รับการส่งเสริมและพัฒนาด้านการจัดการตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ เด็กจะสามารถเรียนรู้การติดตามพฤติกรรมของตนเองและควบคุมการกระทำของตนเองได้
  • การฝึกฝนให้เด็กเรียนรู้การตั้งเป้าหมายตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาการจัดการตนเอง เด็กหลายคน ‘หลงทาง’ รู้สึกเคว้งคว้าง เพราะพวกเขาไม่รู้เป้าหมายในชีวิตของตัวเอง การกำหนดเป้าหมายเริ่มต้นได้จากเรื่องเล็กๆ เช่น การตั้งเป้าอ่านหนังสือวันละ 15 นาที การฝึกปั่นจักรยานวันละ 30 นาที

การจัดการตนเองเป็นส่วนผสมของทักษะและคุณลักษณะหลากหลายด้าน การให้เวลากับการส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้มีความสามารถในการจัดการตนเองมีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านความคิดและอารมณ์ของพวกเขา 

ในหลักสูตรสมรรถนะที่กำลังจะนำมาใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนของไทย ให้นิยาม ‘การจัดการตนเอง’ (Self-Management) ว่าหมายถึง การรู้จัก รัก เห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น การตั้งเป้าหมายในชีวิต การกำกับตนเอง การจัดการอารมณ์และความเครียด รวมถึงการจัดการปัญหาและภาวะวิกฤต สามารถฟื้นคืนสู่สภาวะสมดุล (resilience) เพื่อไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายในชีวิต มีสุขภาวะที่ดี และมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ดี

การจัดการตนเองสัมพันธ์กับการประสบความสำเร็จในชีวิต

งานวิจัยด้านการศึกษาหลายแหล่ง ระบุว่า ความสามารถในการจัดการตนเองมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะการจัดการตนเอง คือ การจัดการวิธีคิด อารมณ์ การแสดงออกทางพฤติกรรม และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น การคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจว่าจะตอบสนองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร การทำงานเป็นทีม และการทำตามกติกา ข้อตกลงของส่วนรวม 

จากการศึกษาด้านประสาทวิทยาซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง พบว่า พัฒนาการทางสมองด้านการเรียนรู้การจัดการตนเองทำงานได้แล้วในทารกวัย 5 – 12 เดือนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวคิดที่กล่าวถึง การพัฒนาการของสมองส่วนหน้า (Executive Function: EF) หรืออีเอฟ ทั้งนี้ หากเด็กได้รับการส่งเสริมและพัฒนาด้านการจัดการตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ เด็กจะสามารถเรียนรู้การติดตามพฤติกรรมของตนเองและควบคุมการกระทำของตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น

  • เด็กก่อนวัยเรียน สามารถทำตามคำแนะนำอย่างง่าย เช่น การเอาเสื้อผ้าออกจากห้องน้ำมาใส่ไว้ในตะกร้าให้เป็นระเบียบ
  • เด็กวัยประถมต้น รับผิดชอบทำการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมาย ตรงต่อเวลา มีส่วนร่วมทำงานกลุ่มโดยไม่เอาเปรียบผู้อื่น หรือเมื่อทำงานเสร็จแล้ว เด็กๆ ช่วยกันดูแลทำความสะอาด เก็บกวาดชั้นเรียน
  • เด็กวัยประถมปลาย สามารถยับยั้งตัวเองจากการแสดงพฤติกรรมฉุนเฉียว การพูดคำหยาบ การลักขโมยของเล็กๆ น้อยๆ จากความอยากได้ตามเพื่อนหรือตามตัวอย่างที่เห็นจากสังคมโดยรอบ และพฤติกรรมที่สะท้อนผ่านความรับผิดชอบ เช่น ทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมายเป็นกิจวัตรได้โดยไม่ต้องเตือน เป็นต้น

พื้นฐานการเลี้ยงดูของครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโตขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการจัดการตนเองของเด็ก ซึ่งก็คือ ความฉลาดทางปัญญา (การเรียนรู้ทางวิชาการ การคิดอย่างมีเหตุผล) และความฉลาดทางอารมณ์ (การเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง การรู้จักยับยั้งชั่งใจ) 

เมื่อเด็กมีปัญหาเรื่องการจัดการตัวเอง อาจทำให้เกิดความอึดอัดคับข้องใจ ความไม่สบายใจ ความขุ่นเคืองใจ ทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดและความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งนำมาสู่ความไม่ไว้วางใจกัน จนเกิดปัญหาลูกโซ่ตามมามากมาย เช่น ลูกรู้สึกไม่มีที่พึ่งไม่มีที่ปรึกษา ลูกรู้สึกโดนทอดทิ้ง เป็นความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่หากไม่สามารถจัดการตนเองได้ ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้เด็กหลงทางเดินเข้าหาสิ่งที่เป็นอบายมุขได้ง่าย 

4 องค์ประกอบ ปลูกฝังให้เด็กเรียนรู้การจัดการตนเอง

การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทำให้ระบบการศึกษาได้รับผลกระทบ การสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกตกมาเป็นภาระของผู้ปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ตั้งหลักกันไม่ทันและไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ควรจัดการเวลาอย่างไร เด็กหลายคนถูกทิ้งให้เผชิญสถานการณ์ตรงหน้าด้วยตัวเอง เพราะผู้ปกครองหาเช้ากินค่ำ หรือไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะแนะนำลูกได้

“ทำไมลูกถึงไม่ทำตามที่บอก?”

“ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงจัดการไม่ได้?”

“ทำไม…?” “ทำไม…?” 

อาจเป็นคำถามที่อยู่ในใจของพ่อแม่แต่ไม่กล้าสื่อสารออกไป หรือบางบ้านอดทนไม่ได้หลุดปากพูดไปจนกลายเป็นเรื่องของการทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญของการจัดการตนเอง แทนที่จะตีโพยตีพายสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ การไม่คาดหวังแต่สวมบทบาทเป็นผู้นำทางให้กับลูก ด้วยการให้ความสำคัญกับ

1.เวลา

จุดเริ่มต้นที่ดีของการจัดการตนเอง คือ การบริหารจัดการเวลา พ่อแม่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมให้เด็กๆ รับผิดชอบงานบ้าน หรือให้พวกเขานำเสนอกิจกรรมที่อยากทำ แล้วประเมินด้วยตัวเองว่าต้องใช้เวลาทำงานหรือทำกิจกรรมนั้นนานแค่ไหน ระยะเวลาในการทำกิจกรรมแต่ละอย่างสามารถจัดสรรให้แตกต่างกันตามช่วงวัยของเด็ก เช่น เด็กอายุ 10 ปี สามารถทำกิจกรรมที่ใช้สมาธิต่อเนื่อง อย่างการเขียนบันทึกสั้นๆ การฝึกทักษะกีฬา และงานอดิเรกอื่นๆ ได้ประมาณ 10 – 20 นาที 

เมื่อลูกสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่า พวกเขาได้สร้างวินัยในตัวเอง ผู้ปกครองสามารถขยายเวลา หรือเพิ่มเติมกิจกรรมย่อยอื่นๆ ที่ลูกสนใจอยากทำเข้าไปอีก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเขา 

2.สุขภาพกาย

หลายคนนึกไม่ถึงว่าเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นการจัดการตัวเองโดยตรง เช่น การล้างมือก่อนทานอาหาร การอาบน้ำ แปรงฟัน หรือแม้แต่การเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เป็นจุดเริ่มต้นของการรักตัวเอง ซึ่งจะพัฒนาไปสู่ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น (empathy) 

นอกจากนี้ การได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายยังช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์ของเด็กโดยเฉพาะความหุนหันพลันแล่นของเด็กวัยรุ่น

3.สภาพแวดล้อม

สภาพแวดล้อมในที่นี่ไม่ได้หมายถึง สถานที่เท่านั้นแต่รวมถึงบรรยากาศ การสร้างความชัดเจนในการสื่อสารระหว่างกัน และเรื่องการจัดการความเครียด 

ส่วนหนึ่งของการจัดการตัวเอง คือ การเรียนรู้พฤติกรรมที่ได้รับการยอมรับ การสื่อสารอย่างชัดเจนมีความสำคัญต่อการสร้างการเรียนรู้ในจุดนี้ เช่น

แทนที่จะบอกกับลูกว่า “เล่นของเล่นเสร็จแล้ว เก็บของให้เป็นระเบียบด้วยนะลูก”

ผู้ปกครองสามารถสื่อสารให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า “ถ้าเล่นรถของเล่นเสร็จแล้ว ให้เก็บรถใส่กลับในตะกร้าสีแดง แล้วเก็บหนังสือกลับบ้านชั้นวางด้วยนะลูก” แล้วให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า “…ลูกจะได้รู้ว่าเก็บของเล่นรถกับหนังสือไว้ที่ไหน ครั้งต่อไปจะได้หาเจอ ทำให้ห้องจะได้ดูดีและสะอาด” พร้อมบอกว่า “ขอบใจมากลูก” 

การอธิบายให้เห็นภาพว่าลูกควรทำอย่างไร เป็นการสื่อสารที่แสดงให้เห็นตัวอย่างเป็นรูปธรรม เพราะ “การเก็บของเล่นให้เป็นระเบียบ” ในความหมายของพ่อแม่อาจเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ลูกกำลังคิด หรือ ถ้าลูกยังอยู่ในวัยเด็กมากๆ เขาอาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความเป็นระเบียบคืออะไร

ความเครียดเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แม้แต่ผู้ใหญ่เองบางครั้งเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเครียดอยู่ ในวัยเด็กก็เช่นเดียวกัน ความเครียดบางครั้งมาจากปัญหาการ เช่น เรียนไม่รู้เรื่อง กังวลเรื่องการสอบ หรือ การไม่ถูกยอมรับจากเพื่อน เป็นต้น

ความเครียดไม่สามารถหายไปได้เองแต่ต้องอาศัยการจัดการ ความเครียดที่ไม่ถูกจัดการอย่างเหมาะสมสามารถพัฒนาไปสู่การแสดงออกทางอารมณ์ที่ก้าวร้าวและฉุนเฉียว จนควบคุมตัวเองไม่ได้ 

การฝึกสติ (Mindfulness) เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยได้ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่การนั่งสมาธิ แต่รวมถึงการทำกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้สมาธิจดจ่อ เช่น การเขียนบันทึก การเล่น และการฝึกกำหนดลมหายใจในระยะเวลาสั้นๆ บางสถานการณ์ในชีวิตจริงผู้ปกครองสามารถเป็นตัวอย่างให้กับลูกได้ เพื่อให้ลูกเห็นว่าทุกคนมีอารมณ์ ความรู้สึกที่สามารถแสดงออกได้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการตัวเองด้วยวิธีไหน เช่น

ระหว่างทางเจอรถติด ผู้ปกครองเองเริ่มรู้สึกหัวเสีย เราสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเอง ไปพร้อมๆ กับการปลูกฝังการฝึกควบคุมอารมณ์ให้กับลูกได้ ด้วยการสนทนากับลูกว่า

“พ่อหงุดหงิดกับการจราจรตอนนี้มากเลย กลัวว่าเราจะไปไม่ทัน พ่อจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วนับหนึ่งถึงสิบ แทนที่จะบีบแตรหรือพูดคำหยาบคาย” 

ทั้งนี้ จากการศึกษา พบว่า การมีสติจดจ่อกับปัจจุบันขณะ (presence) และการรับรู้อย่างมีสติ (mindful awareness) ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ระบบสมอง กระบวนการที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนฝึกฝนและพัฒนาได้ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Mindsight: บริหารสมองด้วยการทำสมาธิ ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม)

4.เป้าหมาย

การฝึกฝนให้เด็กเรียนรู้การตั้งเป้าหมายตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาการจัดการตนเอง เด็กหลายคน ‘หลงทาง’ รู้สึกเคว้งคว้าง เพราะพวกเขาไม่รู้เป้าหมายในชีวิตของตัวเอง

การกำหนดเป้าหมายเริ่มต้นได้จากเรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โต เช่น การตั้งเป้าอ่านหนังสือวันละ 15 นาที การฝึกปั่นจักรยานวันละ 30 นาที หรือแม้แต่การเอาเสื้อผ้าออกจากห้องน้ำมาใส่ไว้ในตะกร้าให้เป็นระเบียบ ก็เป็นเป้าหมายได้

ผู้ปกครองเริ่มต้นได้จากการตั้งคำถามง่ายๆ เช่น

“ลูกอยากทำอะไร?” “ทำไมถึงอยากทำ?” “แล้ววางแผนว่าจะทำมันอย่างไร?” เป็นต้น

เมื่อลูกยังต้องเรียนออนไลน์ ผู้ปกครองสามารถเข้ามาร่วมกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้รายวันร่วมกับลูก ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน มีเวลาพักและเวลาเล่น โดยไม่กดดันเรื่องผลการเรียนมากจนเกินไป จากการศึกษา พบว่า การวางแผนตารางกิจวัตรประจำวัน แล้วสามารถทำตามแผนได้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยส่งเสริมศักยภาพด้านการจัดการตนเอง เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ความรับผิดชอบ และความมีวินัย ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความสำเร็จในวิชาชีพต่อไปในอนาคต

ตัวอย่างการออกแบบตารางกิจวัตรประจำวัน สำหรับช่วงวัยประถมศึกษา

เวลาประเภทกิจกรรมลักษณะกิจกรรม
ตื่นนอนทานอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพ
กิจวัตรตอนเช้าจัดที่นอน อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว
ชั่วโมงเรียนรู้เรียนรู้ตามตารางเรียนของโรงเรียน
ชั่วโมงสร้างสรรค์ไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพระบายสี การต่อเลโก้ การเล่น ประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ 
พักเที่ยงทานอาหารเที่ยงที่มีประโยชน์
งานบ้านซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน ฯลฯ
ชั่วโมงเรียนรู้เรียนรู้ตามตารางเรียนของโรงเรียน / ทำการบ้าน
ผ่อนคลายกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ปั่นจักรยาน หรือ การเล่นเกม
สร้างความสัมพันธ์เขียนจดหมาย หรือข้อความส่งกำลังให้ผู้อื่น การพาสุนัขออกไปเดินเล่น หรือ การโทรหา พูดคุยกับคนในครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ผ่อนคลายกิจกรรมตามอัธยาศัย
เข้านอนอาบน้ำ แปรงฟัน เข้านอน

การออกแบบตารางกิจวัตรประจำวันมีประโยชน์ต่อการจัดการตัวเด็กเอง และช่วยให้พ่อแม่จัดการตัวเองได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะรู้ว่าในแต่ละช่วงเวลาลูกต้องทำอะไร แล้วพ่อแม่ควรเข้ามาใช้เวลากับลูกในช่วงใดบ้าง 

สำหรับช่วงวัยมัธยมศึกษา ผู้ปกครองสามารถประยุกต์ให้ลูกเขียน “สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน” (To do list หรือ Daily check list) ล่วงหน้า ครอบคลุมสิ่งที่ลูกอยากทำและตารางเรียนที่ต้องรับผิดชอบ 

บทความที่เกี่ยวข้องกับการจัดการตนเอง (Self-Management)
การกำกับตัวเอง
ความยืดหยุ่นทางจิตใจ
อ้างอิง
csefel.vanderbilt.edu
How To Build Self-Management Skills In Early Childhood
How Parents can Support Development of Self-Management Skills in the Brain
Teaching Self-Management Skills: 5 Strategies to Create an Effective Plan
3 Ways to Help Students Improve Self-Management Skills in At-Home Learning
Pre-K self-management tips: Here’s how to help your child

Tags:

ปฐมวัยหลักสูตรฐานสมรรถนะการจัดการตัวเอง (Self-Management)Competency-based Curriculumพ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

สานเสวนา (Dialogue) เชื่อมโยงบทเรียนภาษาไทยสู่การเรียนรู้เชิงรุก : ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล
Creative learning
22 November 2021

สานเสวนา (Dialogue) เชื่อมโยงบทเรียนภาษาไทยสู่การเรียนรู้เชิงรุก : ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ชวนเปิดห้องเรียนออนไลน์ หน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยของครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล แห่งโรงเรียนเพลินพัฒนา กับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ออกแบบโดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบเสวนา (Dialogue)
  • การเรียนรู้แบบเสวนา เป็นวิธีการที่ครูชวนนักเรียนเสวนา (Dialogue) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ซึ่งคำพูดถือเป็นการกระทำอย่างหนึ่ง และคำพูดของครูมีพลังสูงมากต่อการเรียนรู้ของศิษย์ หากครูมีทักษะการพูดอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามจังหวะการเรียนรู้
  • ‘พิชิต 3 ด่าน เชี่ยวชาญอักษรสูง’ กิจกรรมเรียนรู้วิธีการผันวรรณยุกต์อักษรสูง และฝึกผันให้แม่นยำ ผ่าน 3 ด่านที่ครูมิลค์คิดเพื่อให้เด็กๆ พิชิต โดยที่กิจกรรมจะประสบความสำเร็จได้ ห้องเรียนต้องมี ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เพื่อให้เด็กๆ กล้าที่จะแลกเปลี่ยนความรู้

“วันนี้ไม่ได้เก็บคะแนนใดทั้งสิ้น ให้เด็กๆ ลองผันดูว่าพอจะผันวรรณยุกต์อักษรสูงได้หรือยัง ขอสำรวจหน่อยว่าวันนี้ ใครที่ผันวรรณยุกต์ได้คล่องแคล่วมากๆ เลย”

“หนูผิดข้อที่ยากๆ ข้อฉู่ฉี่ หนูไม่ใช่ ฉ ฉิ่ง กลายเป็น ซ” 

“เต้าส่วน ตรงคำว่า ส่วน หนูจะเขียนเป็นไม้โทแล้ว”

“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นครั้งแรกที่เราได้ลองเขียน”

นี่คือส่วนหนึ่งของบทสนทนาระหว่าง ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล กับเด็กๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนออนไลน์ หน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเพลินพัฒนา โดยครูมิลค์กำลังให้เด็กๆ ได้ตรวจการบ้านของตัวเอง นอกจากเขาจะได้ทบทวนบทเรียนและเพื่อทำความเข้าใจในส่วนที่ผิดพลาดแล้ว ในห้องเรียนยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของความ Active แม้จะเป็นการเรียนออนไลน์ แสดงให้เห็นว่า ระหว่างครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน พวกเขาต่างมีความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจที่จะพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างไม่เคอะเขิน หรือที่เรามักเรียนกันว่า ‘พื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียน’ นั่นเอง

ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล

ชวนเปิดห้องเรียนของครูมิลค์ แห่งโรงเรียนเพลินพัฒนา นอกจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ออกแบบโดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบเสวนา (Dialogue) เราจะไปดูกันว่าครูมิลค์ทำอย่างไรให้เด็กๆ กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างมีเหตุผล  

สานเสวนา (Dialogue) สู่การเรียนรู้เชิงรุก  (Active Learning)

ก่อนจะไปถึงกิจกรรมการเรียนรู้ของครูมิลค์เรามาทำความเข้าใจกับกระบวนการเรียนรู้แบบสานเสวนา กันสักหน่อยว่าคืออะไร โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ได้อธิบายไว้ในเวทีสานเสวนาเพื่อพัฒนาครู โครงการความร่วมมือระหว่างโรงเรียนเพลินพัฒนา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล เพื่อให้ครูได้พัฒนาทักษะในด้านการใช้ Dialogue ไปใช้เพื่อจัดกระบวนการสร้างการเรียนรู้ในชั้นเรียน เป็นการพัฒนาโรงเรียน ยกระดับคุณภาพผู้เรียน ผ่านการพัฒนาศักยภาพของ ‘ครู’ 

ทั้งนี้ ในหนังสือ ‘สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก’ นิยามความหมายของการสอนเสวนาว่า เป็นวิธีการที่ครูชวนนักเรียนเสวนา (Dialogue) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)

“ทีนี้ Active Learning จริงๆ แล้วก็คือเรียกว่า Learning by Doing เป็นการเรียนรู้ผ่านการกระทำ การพูด ก็เป็นการกระทำอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะพูดได้ต้องเกิดการคิดก่อนแล้วจึงพูด เพราะฉะนั้นการพูดคุยกันก็เป็นส่วนหนึ่งของ Learning by Doing และในหนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เห็นว่าคำพูดของครูมีสารพัดแบบและมีพลังสูงมากต่อการเรียนรู้ของลูกศิษย์ หากครูมีทักษะในการพูดอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามจังหวะของการเรียนรู้” 

นอกจากนี้ หนังสือยังได้ระบุเป้าหมายของการพูดไว้ 6 เป้าหมายด้วยกัน คือ การกระตุ้นคิด, กระตุ้นการเรียนรู้, สื่อสาร, สร้างความสัมพันธ์เชิงประชาธิปไตย, เพื่อสอน และเพื่อประเมิน ซึ่งการพูดของครูเพื่อกระตุ้นการเรียนของนักเรียน ตามแบบที่ใช้กันทั่วไป เรียกว่า IRE (Initiated, Response, and Feedback) Initiated คือการเริ่มต้นโดยอาจจะใช้คำถาม คำพูดบางคำที่ก่อความสนใจ แล้วกระตุ้นให้นักเรียนโต้ตอบ (Response) จากนั้นครูให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ว่าเด็กเป็นอย่างไร แทนการประเมินแบบตัดสินว่าถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม 

“นอกจากนี้ F ไม่ควรจะเป็นเพียง Feedback แต่ควรจะเป็นการ Feed Forward คือ การพูดสนองเพื่อให้นักเรียนได้คิดต่อไปอีก เพื่อให้นักเรียน สามารถเรียนรู้ได้ในมิติที่ลึกขึ้น เกิดเป็น Deep Thinking Skill”

ภารกิจพิชิต 3 ด่าน เชี่ยวชาญอักษรสูง : เรื่องเล่าจากห้องเรียนภาษาไทย ป.3 

ในหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเพลินพัฒนา ครูมิลค์ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสานเสวนา (Dialogue) ในการสร้างแผนการเรียนรู้ที่มีชื่อว่า ‘พิชิต 3 ด่าน เชี่ยวชาญอักษรสูง’ 

บทเรียนนี้ครูมิลค์เล่าว่า เกิดขึ้นภายหลังจากที่เด็กๆ ได้เรียนรู้วิธีการผันวรรณยุกต์อักษรกลาง และสามารถที่จะผันวรรณยุกต์อักษรกลางได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นก้าวต่อไปของเด็กๆ คือการเรียนรู้วิธีการผันวรรณยุกต์อักษรสูง และฝึกผันให้แม่นยำ ซึ่งกระบวนการที่เด็กๆ จะฝึกผันวรรณยุกต์ได้อย่างแม่นยำนั้น ครูมิลค์ก็ได้ออกแบบด่านเอาไว้ 3 ด่านให้เด็กๆ ได้พิชิตกัน 

ด่านที่หนึ่ง อ่านอย่างไรให้ลองผัน เป็นด่านที่ให้เด็กๆ ได้อ่านออกเสียงคำอักษรสูง  โดยจะมีคำ 2 พยางค์ ที่เขียนด้วยอักษรสูงให้ลองอ่านพร้อมกันเพื่อเรียกความมั่นใจ 

“เมื่ออ่านออกเสียงพร้อมกันแล้ว ครูขอให้ช่วยอธิบายถึงลักษณะของสิ่งนั้น เช่น คำว่า ขี้เถ้า คนแรกตอบว่าเป็นผงๆ ครูถามต่อว่าเกิดขึ้นเมื่อไร อีกคนอธิบายว่า เกิดขึ้นเมื่อเราเอาถ่านไปเผา แล้วก็จะมีขี้เถ้าสีเทาๆ ออกมา จากนั้นเพื่อนอีกคนช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า ขี้เถ้ามาจากถ่านที่เราเอามาทำอาหาร แล้วมันจะเหลือเศษเป็นขี้เถ้า แล้วครูจึงเฉลยด้วยความหมายที่เขียนไว้ในพจนานุกรม โดยเชื่อมโยงจากความเข้าใจของเด็กที่ได้อธิบายไว้”

ด่านที่สอง เขียนอย่างไรให้ลองผัน เด็กๆ จะได้ฝึกเขียนคำที่มีวรรณยุกต์อักษรสูง โดยครูมิลค์นำรูปอาหารที่เขียนด้วยอักษรสูง 5 จาน มาให้เด็กๆ ดู แล้วให้แต่ละคนเขียนชื่ออาหารตามเสียงที่ครูพูด หรือที่มักเรียกกันว่า การเขียนตามคำบอก ซึ่งเรียกความตื่นเต้นฮือฮาได้ไม่น้อย และในด่านนี้สิ่งที่จะได้เห็นอีกอย่างก็คือ เด็กๆ จะเริ่มตั้งข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นตามความสงสัย เช่น ทำไมชื่ออาหารถึงมีแต่คำว่า ‘ผัด’ ทั้งนั้นเลย

และด่านที่สาม เช็กให้ชัวร์แต่ละตัวผันอย่างไร เป็นด่านที่เด็กๆ เอ่ยปากว่ายากที่สุด เพราะจะต้องเขียนคำที่มีทั้งอักษรกลางและอักษรสูงปะปนอยู่ด้วยกัน ซึ่งเด็กคนหนึ่งได้ตั้งชื่อด่านนี้ใหม่ว่า ‘ด่านขนมสุดแสนจะน่ารัก แต่จริงๆ แล้วไม่น่ารักเลย’ 

“ด่านนี้เป็นชื่อขนมที่ในแต่ละชื่อจะสะกดด้วยอักษรกลางและอักษรสูงปะปนกันอยู่ ในการผันจึงมีความยากมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ชื่อด่านนี้จึงคิดขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนเพิ่มความระมัดระวังในการเขียนไปในตัว เช่น ปุยฝ้าย ถั่วแปบ เต้าส่วนถั่ว”

หลังจากที่เด็กๆ ได้พิชิต 3 ด่านของครูมิลค์ ก็จะเป็นช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนความรู้สึกและหาข้อค้นพบร่วมกัน โดยครูมิลค์ชวนเด็กๆ พิจารณาคำเหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อให้นักเรียนได้พูดทบทวนออกมาด้วยตนเอง ซึ่งในการเรียนอักษรสูงวันนั้นได้ข้อสรุปว่า เมื่อเป็นคำอักษรกลางก็ต้องผัน 5 เสียง ในขณะที่เมื่อเป็นอักษรสูงจะผัน 3 เสียง ซึ่งสถานการณ์จริง ในการอ่านและเขียนคำที่มีวรรณยุกต์ในภาษาไทย เราจะเจอคำหลากหลายชนิดอยู่รวมกัน ดังนั้นหากเราไม่ฝึกฝนบ่อยๆ เราจะใช้ไม่ถูกต้อง

และภารกิจสุดท้ายที่ครูมิลค์ให้เด็กๆ ร่วมกันทำในวันนั้นคือ การสรุปความรู้เรื่องของการผัน ‘อักษรกลาง’ และ ‘อักษรสูง’ นั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องอะไรบ้าง เป็นการฝึกให้เด็กๆ ได้เรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบ ด้วยการใช้ตารางมาบันทึกสิ่งที่เพื่อนๆ คนอื่นได้นำเสนอขึ้นมา รวมทั้งได้วงเล็บชื่อของผู้นำเสนอด้วย แล้วจึงสรุปปิดท้ายด้วยการยกตัวอย่างคำ 

สร้างพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียน สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียนต้องมาก่อน 

จากกิจกรรมการเรียนรู้ของครูมิลค์ข้างต้น จะเห็นว่าการตั้งคำถามที่ชวนให้เด็กๆ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นนั้น เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การเสาะหาเรื่องราวที่น่าสนใจใกล้ตัวมาสร้างเป็นบทเรียนให้กับพวกเขา แล้วคำถามลักษณะไหนที่ทำให้เด็กอยากพูดคุยกันล่ะ? 

“คำถามลักษณะแรกจะต้องเป็นคำถามที่ให้เด็กๆ เขาได้เล่าหรือเชื่อมโยงย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ของตัวเอง ตัวอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องแลกเปลี่ยน มีเด็กคนนึงเขาแลกเปลี่ยนเรื่องฟันน้ำนมของเขาที่หัก แล้วปรากฏว่าหัวข้อของห้องในวันนั้นทุกคนอยากจะแลกเปลี่ยนเรื่องฟันน้ำนมที่หักของตัวเองเหมือนกัน ด้วยวิธีการต่างๆ แล้วคุณครูเองก็ได้ร่วมแชร์ด้วย ห้องเรียนในวันนั้นสนุกมาเลย แล้วก็เป็นหัวข้อที่เกิดขึ้นจากตัวเด็กๆ เอง จากที่เขาได้สนทนากันเองจริงๆ” ครูมิลค์ อธิบาย 

นอกจากนี้ครูมิลค์เสริมว่า หากครูจะคุยกับเด็กๆ ในชั้นเรียนที่สอนได้รู้เรื่องหรือจะพาเด็กเข้ามาคุยกันได้ ครูต้องเป็นเพื่อนกับเขาให้ได้ก่อน ในที่นี้ความเป็นเพื่อน หมายถึงสัมพันธภาพระหว่างครูกับเด็กจะต้องมีขึ้นก่อน รวมถึงความเข้าใจในโลกของเขาด้วย

“เด็กๆ ดูอะไร เด็กๆ ฟังอะไร เด็กๆ เที่ยวที่ไหน กินอะไร เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ครูผู้สอนเด็กในชั้นนั้นๆ เองก็ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่ว่าเราจะได้เข้าใจโลกทัศน์แล้วก็เข้าใจภาษาของเขาได้ดีมากขึ้น แล้วเราก็จะพาเขามาแลกเปลี่ยนมานั่งพูดคุยได้มากขึ้น”

สุดท้ายแล้วในห้องเรียนแห่งนี้ ครูมิลค์ให้ความสำคัญกับพื้นที่ปลอดภัย ให้เด็กรู้สึกสบายใจที่จะแลกเปลี่ยนกันเสมอ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จาก 3 ปัจจัยสำคัญ 

“ปัจจัยที่หนึ่งก็คือ กติกา เรื่องของผู้พูดและผู้ฟัง เมื่อไรที่มีผู้พูดครูมิลค์ก็จะตั้งใจฟังเขา เช่นเดียวกันก็จะย้ำกับเด็กๆ ว่า เมื่อไรที่เพื่อนพูดเราต้องตั้งใจฟังที่เพื่อนพูด 

ปัจจัยที่สองเป็นเรื่องของการที่ครูให้ความสำคัญกับคำตอบของเด็กๆ จะเห็นว่าจะมีการอ้างชื่อหรือว่าทวนคำตอบที่เด็กพูดออกมา สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกว่าเมื่อเขาตอบเขาก็จะมีตัวตน เขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยขับเคลื่อนห้องเรียนด้วย 

แล้วก็ปัจจัยที่สามคิดว่า เป็นท่าทีและน้ำเสียงของครู ที่น่าจะทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นมิตร แล้วก็สบายที่จะพูดคุยกับคนๆ นี้ และกล้าที่จะแชร์เรื่องราวของตัวเองออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ”

Tags:

ปฐมวัยเทคนิคการสอนโรงเรียนเพลินพัฒนาภาษา

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Unique Teacher
    เด็กผู้ชายชอบสีชมพู นักเรียนติครู ความปกติในห้องเรียนอนุบาลของ ‘ครูนกยูง’ ปานตา ปัสสา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Unique Teacher
    พรรณวิภา โซลเบิร์ก: ครูไทยในห้องเรียนนอร์เวย์ ชอบพาเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Learning Theory
    6 วิธีสร้างบรรยากาศ ‘วอลดอร์ฟ’ ง่ายๆ ให้โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 จริงหรือไม่ สถานะทางกฎหมายตอนนี้เป็นอย่างไร?

    เรื่อง The Potential

แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ
Book
19 November 2021

แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • คนแต่ละคน ต่างมีระดับความสูงของขุนเขาที่ตรงกับใจเรา บางคนอาจชื่นชอบขุนเขาที่สูงเทียมฟ้า เป็นสถานที่ลี้ลับที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันหนาวเหน็บ แต่บางคนอาจพึงพอใจแค่เนินเขาเตี้ยๆ ที่มีทุ่งหญ้าอันเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
  • แปดขุนเขา (Le otto montagne) บันทึกความทรงจำช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของ เปาโล คนเญตติ (Paolo Cognetti) นักเขียนและนักปีนเขาชาวอิตาลี เล่าเรื่องราวการตามหา ‘ขุนเขา’ ของแต่ละตัวละคร
  • บรูโน เพื่อนวัยเด็กของเปาโล เขาค้นพบขุนเขาและระดับความสูงที่เหมาะสมกับตัวเขาแล้วบรูโนพึงพอใจที่จะใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาลูกเดิม สร้างครอบครัว ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และทำชีสขาย

เราแต่ละคนมีระดับความสูงของภูเขาที่ตนโปรดปราน มีทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับตัวเราและเป็นที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ

ของแม่นั้น แน่นอนว่า เป็นป่าที่ระดับความสูง 1,500 เมตร มีต้นสน ต้นลาร์ช และพุ่มบลูเบอร์รี่ซึ่งขึ้นในร่มเงาของพวกมัน มีต้นจูนิเพอร์ ต้นกุหลาบป่า และมีกวางโรแอบซ่อนอยู่

ส่วนผมชอบภูเขาที่อยู่ถัดจากนั้นขึ้นไป มีทุ่งหญ้า ลำธาร ที่ลุ่มสนุ่น สมุนไพรที่ขึ้นบนเขาสูง และสัตว์กำลังเล็มหญ้า

สูงจากระดับนี้ขึ้นไปไม่มีพืชพรรณ หิมะปกคลุมทุกอย่างจนถึงต้นฤดูร้อน และสีที่โดดเด่น คือสีเทาของหิน เป็นลายริ้วด้วยควอตซ์ และแต้มสีเหลืองของไลเคน โลกของพ่อเริ่มต้นที่นั่น

ขุนเขา คือ ความใฝ่ฝัน

แปดขุนเขา (Le otto montagne) คือ หนังสือนิยายที่เป็นประหนึ่งบันทึกความทรงจำช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของ เปาโล คนเญตติ (Paolo Cognetti) นักเขียนและนักปีนเขาชาวอิตาลี หนังสือเล่มนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2016 ได้รับรางวัล Premio Strega 2017 ของอิตาลี และรางวัล Prix Mèdicis ètranger 2017 ของฝรั่งเศส แปลเป็นภาษาไทยโดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ และตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อ่านอิตาลี

ต่อให้หนังสือเล่มนี้ ไม่เคยคว้ารางวัลใดๆ เลย เรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างคนกับคน หรือความผูกพันระหว่างคนกับขุนเขา บวกกับความงดงามของธรรมชาติ ที่บรรยายอย่างใส่ใจในละเอียด ละเมียดละไมในความรู้สึก ก็ทำให้หนังสือเล่มนี้ กลายเป็นหนึ่งในหนังสือในดวงใจของใครหลายคน นับตั้งแต่วันแรกที่ตีพิมพ์

ในหนังสือเล่มนี้ พูดถึงมิตรภาพระหว่างเด็กชายสองคน คือ ปิเอโตร กวัสติ เด็กชายชาวมิลาน ผู้หลงรักในขุนเขา กับบรูโน กุลเยลมินา เด็กชายชาวชนบท ผู้เกิดและเติบโตในขุนเขาบ้านเกิด มิตรภาพที่ยังคงอยู่จนถึงช่วงเวลาที่ทั้งคู่เติบใหญ่และใช้ชีวิตบนเส้นทางที่แตกต่างกัน

ขณะที่ปิเอโตร เดินทางท่องไปทั่วโลก ปีนป่ายขุนเขาหลายลูก ทั้งเทือกเขาแอลป์และหิมาลัย บรูโน ไม่เคยจากขุนเขาบ้านเกิดไปไหนเลย แม้ว่าเขาจะติดใจเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลที่อ่านในหนังสือ รวมถึงเคยประกาศไว้ตั้งแต่วัยเด็กว่า จะไม่ยอมอยู่ที่ขุนเขาลูกนี้ไปตลอด

ขุนเขาที่บรูโนกล่าวถึง คือ ขุนเขาลูกสำคัญที่สุด และเป็นฉากหลักของหนังสือเล่มนี้ คือ ‘เกรน็อน’ ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านใช้เรียกขานขุนเขาทุกลูกที่อยู่ใกล้หมู่บ้านกรานา (เกรน็อน แปลว่า ขุนเขาของกรานา)

ที่นี่เป็นบ้านของปิเอโตรและบรูโน บ้านที่ทั้งคู่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมากับมือ บ้านที่ผนังก่อด้วยหิน หลังคาด้านนอกมุงด้วยไม้ลาร์ช ส่วนด้านในมุงด้วยไม้สน บ้านที่มีเตาผิงแสนอบอุ่น บ้านที่เป็นที่พักพิงแห่งจิตวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นบ้านในนิยามความหมายที่แตกต่างกันของทั้งคู่

ปิเอโตร ทำงานเป็นนักทำสารคดี ทำให้เขาได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก บ้านบนขุนเขาเกรน็อน เป็นเหมือนที่พักพิงชั่วคราว ในยามที่เขาเหนื่อยล้าจากการผจญโลก รวมถึงการปีนป่ายขุนเขาลูกแล้วลูกเล่า แต่สำหรับบรูโน บ้านบนขุนเขาที่หนาวเหน็บ เป็นทั้งบ้าน ที่ทำงาน ที่ก่อร่างสร้างครอบครัว รวมทั้งเป็นเรือนตายของชีวิต

ขุนเขาที่ปรากฎในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ทางภูมิศาสตร์ หากแต่ยังมีนัยยะหมายถึงความใฝ่ฝัน ความปรารถนา หรือจุดมุ่งหมายในชีวิต ที่ต้องอาศัยความบากบั่นเดินขึ้นไปจากระดับพื้นราบ หรือระดับน้ำทะเล

ข้อความตอนหนึ่งในหนังสือ เขียนไว้ว่า… 

คนแต่ละคน ต่างมีระดับความสูงของขุนเขาที่ตรงกับใจเรา บางคนอาจชื่นชอบขุนเขาที่สูงเทียมฟ้า เป็นสถานที่ลี้ลับที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันหนาวเหน็บ แต่บางคนอาจพึงพอใจแค่เนินเขาเตี้ยๆ ที่มีทุ่งหญ้าอันเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ 

เช่นเดียวกัน ความฝันในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน บางคนอาจมีความฝันที่สูงจนเหมือนจะสุดสอย ต้องใช้ความมานะพยายามอย่างสูง เพื่อที่จะไปให้ถึงความฝันนั้น แต่ใครอีกคนอาจมีความฝันที่เรียบง่าย ธรรมดา เช่น ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ทำกิจวัตรประจำวันที่เหมือนกันทุกวัน

แน่นอนว่า ความฝันของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และไม่ว่าจะเป็นความฝันใด ก็ไม่มีถูกหรือผิด และก็เป็นอย่างที่คนเญตติเขียนไว้ว่า “เราแต่ละคนมีระดับความสูงของภูเขาที่ตนโปรดปราน มีทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับตัวเราและเป็นที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ”

ความฝันก็เช่นกัน

ขุนเขาของบรูโน

บรูโน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญของเรื่อง คือ คนที่ค้นพบขุนเขาที่เหมาะกับตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่เกิดในหมู่บ้านกรานา หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา แม้ว่าการศึกษาของเขาจะไม่สูงนัก แต่บรูโนเรียนรู้ทุกสิ่งที่เขาควรจะต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ การทำชีส และการสร้างบ้าน

ปิเอโตร ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง (หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ตัวผู้เขียนนั่นเอง) ได้พบและผูกมิตรกับบรูโนตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเขาย้ายบ้านจากมิลานมาอยู่ในหมู่บ้านกรานา มิตรภาพระหว่างปิเอโตรและบรูโน ซึ่งก่อตัวขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง บนขุนเขา ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ กลายเป็นความผูกพันที่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่ากาลเวลาจะพาให้ทั้งสองคนแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตน และสุดท้าย กาลเวลาก็พาทั้งสองคนกลับมาพบกันบนขุนเขาลูกเดิม

ปิเอโตร เคยพูดไว้ว่า บรูโน คือ ด้านตรงข้ามของตัวเขา ด้วยความที่มีนิสัยและบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่จริงๆ แล้ว บรูโน อาจจะเป็นอีกตัวตนหนึ่งของปิเอโรก็เป็นได้ และในห้วงเวลาที่ปิเอโตร ทิ้งขุนเขาไปใช้ชีวิตในเมือง บรูโน ได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อของปิเอโร และกลายเป็นเหมือนตัวแทนของปิเอโตร ในการประคับประคองความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกที่เริ่มมึนตึง เหินห่างและหมางเมิน

หากถามว่า ระดับความสูงของขุนเขาที่เหมาะสมกับบรูโนอยู่ตรงไหน คงต้องตอบว่า ทุกระดับตั้งแต่พื้นราบขึ้นไปจนถึงยอดเขา เพียงแต่ขอให้เป็นขุนเขาที่ชื่อว่าเกรนอน ขุนเขาที่เขาถือกำเนิด เติบโต และใช้ชีวิตจวบจนวันตาย

บรูโน ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน แม้ว่าเขาจะมีวิชาชีพการก่อสร้างติดตัว แม้ว่าในวัยเด็ก เขาเคยบอกว่า ไม่อยากอยู่บนขุนเขาลูกนี้ไปตลอดหรอก แต่พอเติบใหญ่ เขากลับไม่ต้องการไปหางานทำในเมือง ทั้งที่รู้ว่าเป็นงานที่มีรายได้ดีกว่า 

บรูโนพึงพอใจที่จะใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาลูกเดิม สร้างครอบครัว ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และทำชีสขาย เขาค้นพบขุนเขาและระดับความสูงที่เหมาะสมกับตัวเขาแล้ว

ถึงแม้ว่าท้ายที่สุด ความฝันของบรูโนจะพังทลายลง ธุรกิจผลิตชีสขายล้มเหลว ชีวิตครอบครัวล่มสลาย แต่เขาก็ไม่ทอดทิ้งขุนเขาเกรน็อน แม้ในช่วงเวลาที่พายุหิมะรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีของอิตาลี บรูโนไม่ยอมลงสู่พื้นราบอันอบอุ่น เขาเกิดบนภูเขา และเขาเลือกที่จะตายบนภูเขา

ขุนเขาของปิเอโตร

ระหว่างที่เดินอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง บนเทือกเขาหิมาลัย ปิเอโตร ได้พบและพูดคุยกับผู้เฒ่าชาวเนปาลคนหนึ่ง ปิเอโตรบอกกับชายคนนั้นว่า เขาออกท่องโลกเพื่อจะได้ค้นพบขุนเขาที่สวยงามในที่ต่างๆ ของโลก ผู้เฒ่าคนนั้นจึงพูดขึ้นว่า

“เข้าใจละ คุณกำลังท่องไปบนแปดขุนเขา”

หลังจากนั้น ผู้เฒ่าชาวเนปาล ได้วาดรูปวงกลม พร้อมลากเส้นผ่าศูนย์กลางแยกเป็น 8 แฉก ซึ่งก็คือสัญลักษณ์มันดาลา โดยที่จุดศูนย์กลางของวงกลม คือ ขุนเขาพระสุเมรุ ส่วนที่ปลายเส้นรัศมีทั้ง 8 คือ ที่ตั้งของขุนเขาทั้งแปด

(ตามคติความเชื่อของชาวอินเดีย ทั้งศาสนาพราหมณ์ ฮินดู พุทธ และรวมถึงศาสนาเชน เชื่อว่า ขุนเขาพระสุเมรุ คือ ศูนย์กลางของจักรวาล ส่วนคำว่า มันดาลา หรือ มลฆล ก็คือ จักรวาล หรืออาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ตามคติความเชื่อ)

“แล้วเราก็พูดกันว่า ใครได้เรียนรู้มากกว่ากัน คนที่ท่องไปทั้งแปดขุนเขา หรือคนที่ไปถึงยอดเขาพระสุเมรุ”

แม้ว่าปิเอโตรจะค้นพบระดับความสูงของขุนเขาที่เหมาะกับตัวเอง แต่เขายังไม่พบขุนเขาลูกนั้น (หรือเขาเลือกที่จะไม่พบเจอขุนเขาลูกนั้น) เขาจึงได้แต่เดินทางท่องโลก ท่องไปบนขุนเขาทั้งแปด

อย่างที่ปิเอโตรเคยกล่าวไว้ว่า แต่ละคนต่างมีระดับความสูงของขุนเขาที่เหมาะกับตัวเอง ระดับความสูงของเขาสูงกว่าแม่ แต่ต่ำกว่าพ่อ ระดับความสูงของพ่อ คือ ยอดสุดแห่งขุนเขา และสุดยอดแห่งความท้าทาย

เรื่องน่าเศร้าก็คือ พ่อไม่เคยยอมรับความจริงว่า ระดับความสูงของพ่อ ไม่ใช่ระดับความสูงที่เหมาะกับปิเอโตร

ปิเอโตรในวัยเด็ก เคยมีพ่อเป็นต้นแบบของชีวิต หากแต่พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาค้นพบแล้วว่า ระดับความสูงที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ใช่ระดับที่พ่อต้องการ จนนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว และทำให้ปิเอโตรเลือกที่จะทิ้งหมู่บ้านกรานา และออกเดินทางไปใช้ชีวิตในเมือง

ในช่วงเวลาที่ปิเอโตรเหินห่างจากพ่อ บรูโน ได้กลายเป็นตัวแทนของเขา ในการเข้ามาประสานรอยร้าวในครอบครัว บรูโนกลายเป็นเหมือนลูกชายอีกคนของพ่อ เป็นเหมือนพี่ชายที่แสนดีของปิเอโตร

หลังจากที่พ่อเสียชีวิตไป ปิเอโตรได้กลับมาประสานรอยร้าว ด้วยการสร้างบ้านบนขุนเขาเกรน็อน บ้านที่เป็นเหมือนความฝันของพ่อ บ้านที่เขาและบรูโนช่วยกันสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง

แม้ว่าถึงที่สุด ปิเอโตรจะทำให้ฝันของพ่อกลายเป็นจริง แต่ความฝันของเขาล่ะ คืออะไร และเขาจะทำให้มันกลายเป็นจริงได้หรือไม่

บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกว่า สุดท้าย ปิเอโตร ค้นพบขุนเขาพระสุเมรุของตัวเองหรือยัง ชีวิตของเขายังคงเหมือนกับการเดินทางท่องไปบนขุนเขาทั้งแปด

แล้วคุณล่ะ ค้นพบขุนเขาพระสุเมรุของตัวเองหรือยัง หรือคุณยังเดินทางท่องไปบนขุนเขาทั้งแปด

Tags:

การเติบโตหนังสือชีวิตการทำงาน

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Book
    หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก

    เรื่อง ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

    เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

ดอเรียน เกรย์ : ความเหงาและหัวใจที่เชื่อมโยง
Myth/Life/Crisis
19 November 2021

ดอเรียน เกรย์ : ความเหงาและหัวใจที่เชื่อมโยง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • การหาคนคล้ายกันกับเราและเข้าใจด้านที่เราให้ความสำคัญในครอบครัวร่วมยีนส์กันไม่เจอนั้น เป็นความเหงาอย่างหนึ่ง ดั่งเช่น ดอเรียน เติบโตมาอย่าง โดดเดี่ยว ตัดขาดจากบรรพบุรุษและญาติพี่น้อง เขาพยายามเชื่อมโยงกับบรรพชนผ่านรูปเหมือนของพวกท่านแทน
  • การปฏิสัมพันธ์กับสังคมที่ผู้คนมีความหลากหลาย พวกเราอาจยังซ่อนเร้นบางอย่างไว้ บ้างก็เป็นลักษณะบางประการ เช่น ความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าสูง (highly sensitive) บ้างก็เป็นรสนิยมหรือประสบการณ์ภายในที่คนส่วนใหญ่จะมองว่าแผกเพี้ยน ฯลฯ โดยที่เรา คิดไปเอง ว่าหากเผยลักษณะบางอย่างออกมาคนอื่นจะตัดสินหรือไม่เป็นเพื่อนกับเรา
  • การแสดงอีกส่วนหนึ่งของตัวเองออกมานั้น แม้จะมีชั้นเชิงเพียงใดก็จะมีคนที่ยอมรับและไม่ยอมรับ หากมั่นใจว่ามันไม่ได้ไปทำร้ายใครและพร้อมจะเปิดเผยมันออกมาในที่แจ้ง ไม่ช้านาน เราก็มักจะได้รับการรายล้อมด้วยคนที่รับได้ในจำนวนเพิ่มขึ้นไปเอง และความรู้สึก “เป็นส่วนหนึ่ง” (belong) ที่เราแสวงหาก็สามารถจะมาจากการได้แวดล้อมกันและกันกับผู้คนเหล่านั้น

“ทุกห้วงวัยเด็กอันเดียวดายหวนคืนกลับมาอีกครั้งขณะมองไปรอบห้อง” – ดอเรียน เกรย์ ในขณะนำภาพเหมือนของตัวเองไปซ่อนไว้ในห้องเล่นเก่าใต้หลังคา, จากหนังสือ The Picture of Dorian Gray

1.

ดอเรียน เกรย์ เป็นบุตรของ เลดี้ มาร์กาเร็ต เดเวอรู บุตรสาวของลอร์ดเคลโซ แม่ของดอเรียนสิ้นใจตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนพ่อของเขาก็ถูกฆ่าตาย เด็กชายดอเรียนจึงต้องถูกทิ้งอย่างเดียวดายไว้ในกำมือของลอร์ดเคลโซ ชายชราผู้ไร้ความรัก

ดอเรียนเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปงาม และจิตรกรผู้หนึ่งก็ได้วาดภาพเหมือนซึ่งสะท้อนความงามแห่งวัยเยาว์ของเขาไว้ และแล้วชายหนุ่มผู้หวาดหวั่นว่าจะสูญเสียความงามอันหอมจรุงให้แก่กาลเวลา ก็ได้ประกาศยอมแลกกับทุกอย่างเพื่อให้รูปเหมือนแบกรับความชราเหี่ยวแห้งไว้แทน เขาจะดูเป็นหนุ่มหล่อวิลาสชั่วนิรันดร์

หนุ่มหน้ามนออกไปใช้ชีวิตและภาพเหมือนของเขาก็ดูอำมหิตขึ้นกระทั่งเขาต้องหาที่ซุกซ่อนมันไว้ โดยห้องที่จะไม่มีใครไปยุ่งย่ามก็คือห้องเรียนเล่นในวัยเด็ก มันเป็นห้องที่ลอร์ดเคลโซสร้างไว้ผลักไสหลานชายที่ท่านลอร์ดเกลียดชังไปเก็บให้พ้นสายตา เมื่อดอเรียนเข้าไปในห้องดังกล่าวเขาก็ได้ระลึกถึงทุกห้วงวัยเด็กอันเดียวดาย เขาเพียงแต่แขวนภาพชวนสยองไว้บนผนังห้องเงียบเหงานั้นแล้วล็อคปิดตายไว้

ไม่เพียงแค่วัยเด็กของเขาเท่านั้นที่โดดเดี่ยวดุจภาพวาด ชีวิตวัยผู้ใหญ่ของเขาก็อ้างว้างด้วย แม้เขาจะจัดงานสังสรรค์สัมพันธ์กับผู้คน แต่คนอื่นก็หาได้เคย “เห็น” จิตวิญญาณส่วนลึกของเขาไม่ 

กระนั้น เขาก็ยังหาทางดำรงอยู่กับดวงใจส่วนที่แปลกแยกด้วยหนทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลาอยู่คนเดียวกับศิลปวัตถุและเชื่อมโยงกับบุคคลมากมายในงานวรรณกรรม อีกทั้งยังชอบเพ่งมองภาพเหมือนของเทือกเขาเหล่ากอในคฤหาสน์ส่วนตัว และจินตนาการว่าเขาได้สืบมรดกอะไรจากบรรพบุรุษผู้มีเนื้อหนังมาบ้าง? 

2.

เดียวดายซ้ำ : ดอเรียนโดดเดี่ยวรูปภาพของเขาจากสังคม เหมือนที่คุณตาทำกับเขา 

แม้ดอเรียนอยู่ในสายตาของสังคม ทว่าภาพเหมือนอันเป็นดั่งจิตวิญญาณของเขากลับต้องถูกกักเก็บอย่างเดียวดายในห้องซึ่งเด็กชายถูกตาที่ไม่ยอมรับเขาทิ้งเอาไว้อย่างโดดเดี่ยว

การหาคนคล้ายกันกับเราและเข้าใจด้านที่เราให้ความสำคัญ ในครอบครัวร่วมยีนส์กัน ไม่เจอนั้น เป็นความเหงาอย่างหนึ่ง ดอเรียนเติบโตมาอย่าง โดดเดี่ยว ตัดขาดจากบรรพบุรุษและญาติพี่น้อง เขาพยายามเชื่อมโยงกับบรรพชนผ่านรูปเหมือนของพวกท่านแทน โดยตั้งคำถามว่าคนร่วมสายเลือดมีนิสัยและรสนิยมเหมือนเขาหรือไม่? กลายเป็นว่าตัวละครต่างๆ ในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ชดเชยความรู้สึกคล้องจองกับตนมากกว่าคนร่วมพันธุกรรม 

เพราะมันอาจเจ็บปวดกว่าก็ได้หากไม่มีบรรพบุรุษหรือญาติคนไหนเป็นแบบเขา และร้าวรานกว่านั้นอีกหากคนร่วมสายโลหิตมีลักษณะเหมือนกันกับเขา ทว่าไม่ยอมรับและกลับฉายลักษณะเหล่านั้น (psychological projection) มาที่เขาคนเดียว  

หากดอเรียนได้เชื่อมโยงคนร่วมยีนส์ตัวเป็นๆ สักคนที่มีลักษณะคล้ายเคียงเขาและเข้าอกเข้าใจ ชีวิตชายหนุ่มผู้หว้าเหว่จะแตกต่างไปอย่างไรบ้าง? 

ความเหงา นับแต่อดีตกาล

ความรู้สึกว่าไม่มีใคร แม้แต่คนในครอบครัว เป็นเหมือนเราและเข้าใจสารัตถะบางอย่างของเรา อีกทั้งต้องแอบซ่อนมันเอาไว้ไม่ให้โลกเห็นนั้น เป็นความรู้สึกเดียวดายอย่างยิ่ง 

ผู้คนในประวัติศาสตร์เผชิญความเปลี่ยวดายทำนองเดียวกันนี้หมุนเวียนไปเช่นกัน กล่าวคือ พวกเขาส่วนหนึ่งตอบรับเสียงเพรียกภายใน ได้ขยายขอบบุคลิกภาพและดำรงชีวิตในลักษณะที่พ้นไปจากแบบแผนที่ประชาชนส่วนใหญ่จะตระหนักรู้ หรือเข้าใจและยอมรับได้ เขาจึงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนจากอคติหรือมิเช่นนั้นก็ต้องเผชิญภยันตราย ทั้งที่ในหลายยุคก่อนหน้านั้น สิ่งที่พวกเขาเข้าไปรู้และวิถีชีวิตของพวกเขา ก็มิได้เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ วิกลจริต หรือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีสักหน่อย   

เฉกเช่น Oscar Wilde ผู้แต่งเรื่องดอเรียน เกรย์ ที่ได้เล่ามานี้ ได้ถูกดำเนินคดีจากเหตุ ‘กระทำลามกอนาจาร’ หรือ gross indecency ในปีค.ศ. 1895 เพียงเพราะรักร่วมเพศยังคงเป็นความผิดอาญา นักเขียนดังแห่งศตวรรษที่ 19 ถูกพิพากษาให้จำคุก เพื่อที่พวกเราในศตวรรษที่ 21 จะพบว่าคู่รักเพศเดียวกันในบางประเทศสามารถจดทะเบียน Civil Partnership ได้ หนำซ้ำคู่รักต่างเพศยังต้องการเลียนแบบอีกด้วย

3.

ซ่อนและเหงา

ในการปฏิสัมพันธ์กับสังคมที่ผู้คนมีความหลากหลาย พวกเราอาจยังซ่อนเร้นบางอย่างไว้ บ้างก็เป็นลักษณะบางประการ เช่น ความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าสูง (highly sensitive) บ้างก็เป็นรสนิยมหรือประสบการณ์ภายในที่คนส่วนใหญ่จะมองว่าแผกเพี้ยน ฯลฯ โดยที่เรา คิดไปเอง ว่าหากเผยลักษณะบางอย่างออกมาคนอื่นจะตัดสินหรือไม่เป็นเพื่อนกับเรา 

แต่เมื่อซ่อนตัวเองใต้ฉากหน้าเช่นนั้น เรากลับเหงายิ่งกว่าเดิมและเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้ใช้ชีวิต หรือรู้สึกว่าคนอื่นไม่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับเราในฉบับจริงแท้ ทั้งที่หลายคนซึ่งประกาศก้องลักษณะอันคลับคล้ายกับที่เราซุกซ่อนไว้ ก็ยังมีคนคบค้าและชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย

แล้วเราจะทำเพียงอิจฉา หรือจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม “ไม่กล้า” ทำอย่างเขาล่ะ? ในเมื่อซ่อนงำแล้วช่างสวนทางอย่างที่สุดกับแรงขับตอนแรกที่ไม่อยากเหงา

4.

เอาความลับอันหนักอึ้ง ออกมาสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง 

การแสดงอีกส่วนหนึ่งของตัวเองออกมานั้น แม้จะมีชั้นเชิงเพียงใดก็จะมีคนที่ยอมรับและไม่ยอมรับ หากมั่นใจว่ามันไม่ได้ไปทำร้ายใครและพร้อมจะเปิดเผยมันออกมาในที่แจ้ง ไม่ช้านาน เราก็มักจะได้รับการรายล้อมด้วยคนที่รับได้ในจำนวนเพิ่มขึ้นไปเอง และความรู้สึก “เป็นส่วนหนึ่ง” (belong) ที่เราแสวงหาก็สามารถจะมาจากการได้แวดล้อมกันและกันกับผู้คนเหล่านั้น 

นั่นทำให้การไร้จุดเชื่อมร้อยอันสำคัญทางจิตใจกับคนร่วมพันธุกรรมหรือมีแต่หายังไม่เจอ ไม่น่าวิตกและมิได้กลวงเปล่าไร้รากไร้สังกัด เพราะเรายังรู้สึกว่ามี “บ้าน” “ครอบครัว” “เผ่า” “วงศ์” ได้จากความเชื่อมโยงบางลักษณะกับสรรพชีวิตที่ผ่านพบเจอ การซ้อนประสานและการสืบสายกันทางใจไม่จำเป็นต้องซ้อนทับกับการเป็นผู้สืบสายทางชีวภาพเสมอไป และท้ายที่สุดแล้วคนร่วมเชื้อสายกับชีวิตอื่นก็เริ่มไม่แตกต่าง หนำซ้ำทุกคนยังมีศักยภาพแม้แต่จะเห็นความไม่สืบเนื่องแห่งสายโซ่บางอย่างได้พ้นไปจากการความปรารถนาจะผูกร้อยสายใยความต่อเนื่องที่มีตัวเราอยู่ในนั้น

นอกจากนั้น ความรู้สึกในทำนอง “ฉันได้ทนทุกข์มามากพอแล้วกับความโดดเดี่ยว เมื่อพูดในสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจได้” แบบที่คาร์ล ยุง จิตแพทย์ชาวสวิสฯ กล่าวไว้ ก็มิได้เข้ากันกับทุกกรณี เพราะในเส้นทางชีวิตเราอาจได้พบพานใครบางคนที่เข้าใจและคล้ายคลึงแต่ก็ไม่อยากเป็นพรรคพวกกับเรา และในบรรดาผู้คนที่ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับเราในตอนแรกก็ได้กลายมาเป็นกัลยาณมิตรเมื่อเราได้ถ่ายทอดบางอย่างไปให้เขารับรู้และตื่นขึ้น

เราล้วนอยู่ในกระบวนการแห่งวิวัฒนาการ อีกทั้งลักษณะต่างๆ ของเราได้รับการขับเน้นไปตามเวลาและบริบท เช่นเดียวกับความเหงาที่ก็สามารถลื่นไหลและเลือนหายไปในชั่วขณะต่างๆ ซึ่งบางห้วงเวลายิ่งพยายามเชื่อมโยงก็ยิ่งเหงา แต่กลับรู้สึกเต็มเปี่ยมขึ้นเมื่อได้ตระหนักรู้โลกภายในลึกขึ้นเรื่อยๆ และหลอมรวมกับสภาวะบางอย่างที่ใหญ่โตกว่าตัวเราแต่เพียงลำพังโดยปราศจากเสียงจากภายนอกมาบอกว่าอะไรคือความจริงที่เราไปรู้เข้า 

เมื่อดื่มดำรสแห่งวิเวก ก็ลืมความจำเป็นของการมีญาติและฝูง

เราจึงสามารถเยียวยาความเหงาอีกวิธีด้วยความวิเวก รวมไปถึงการดูแลตัวเองดีๆ ทางร่างกายก็เช่น ดื่มน้ำให้มากพอ หาเวลาพักผ่อน ออกกำลังและดูแลความสะอาดของร่างกาย นวด ฯลฯ ทางจิตใจก็เช่น ไม่ดูถูกตัวเอง ทบทวนข้อดีของตัวเองบ้าง และตระหนักรู้สิ่งใดๆ ก็ตามไปเช่นที่มันผุดเกิดขึ้น

เพราะในความเหงาที่สืบเนื่องมายาวนาน เราต้องการรากฐานการเป็นมิตรภาพกับตัวเองอย่างที่สุด ซึ่งยั่งยืนกว่าไปฝากความหวังไว้ที่พ่อแม่หรือลูก แฟน ญาติ หรือเพื่อนคนไหนๆ 

โดยที่ยังสามารถรู้สึกขอบคุณทุกคนอย่างสุดซึ้งนะ.. 

อ้างอิง
The Picture of Dorian Gray โดย Oscar Wilde และฉบับแปลภาษาไทย โดย ภ. สุวรรณวัฒนา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์มูลนิธิหยดธรรม (ติดต่อซื้อที่ dhammadrops@gmail.com)
Memories, Dreams, Reflections หรือ ความทรงจำ ความฝัน ความคิดคำนึง แปลเป็นภาษาไทยโดย พจนา จันทรสันติ โดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟ
Kill or Cure: An Illustrated History of Medicine โดย Steve Parker 
Feeling Lonely? These 3 Ideas Can Help โดย ดร. Emma Seppälä
What does loneliness do to a person โดย ดร. Rohini Radhakrishnan รีวิวบทความโดยแพทย์หญิง Palavi Suyog Uttekar
ชีวประวัติของมิลาเรปะ เขียนโดย ลอบซัง พี.ลาลุงปะ แปลเป็นภาษาไทยโดย เชน นคร
Oscar Wilde Trial

Tags:

หนังสือแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)การเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    เราไม่จำเป็นต้องสูญเสียตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ : ผลจากการเลี้ยงดูที่ถูกปกป้อง (ควบคุม) อย่างสุดขีดและทางออก

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    เพราะไม่ว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราก็ต้องการความรักและความสนใจจากพ่อแม่เหมือนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม
Social Issues
18 November 2021

ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หากคุณเคยเป็นหนึ่งคนที่ต้องร้องไห้เพราะทุกข์ทรมานจากการเรียน ภาวนาให้ตนเองป่วยเพราะไม่ต้องการส่งงาน คุณไม่ได้ผิดปกติ แต่สิ่งที่ต้องกลับมาคิดคำนึงคือ ทำไมสถานศึกษาถึงกลับกลายเป็นสถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกหลงทางและทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม?
  • คำว่า ‘โต้รุ่ง’ แทบจะกลายเป็นคำพูดปกติควบคู่ไปกับการเรียนในระบบการศึกษา ทั้งที่ผลเสียจากการโต้รุ่งมีมากมาย แต่หลายคนยังคงเลือกที่จะโต้รุ่ง เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น งานเยอะเกินไปจนทำให้ต้องโต้รุ่ง, การอ่านหนังสือโต้รุ่งก่อนสอบเพราะกลัวคะแนนสอบออกมาไม่ดี ฯลฯ
  • เด็กหลายคนต้องแบกความคาดหวังในการเรียนเพื่อที่จะจบออกไปให้มีงานทำ ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยเองก็ไม่ได้เปิดกว้างมากพอที่จะรองรับความหลากหลายของเด็กแต่เลือกที่จะผลิตเด็กในรูปแบบเดียวกันซ้ำๆ เพื่อออกไปตอบโจทย์ตลาดแรงงานหรือโลกของทุนนิยม
Trigger warning : การฆ่าตัวตาย (Suicide), โรคซึมเศร้า (Depressive disorder)

ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกหลงทาง ความเชื่อมั่นในตัวเองสูญหายระหว่างการเรียนรู้ในระบบการศึกษา – น่าแปลกที่คำที่กล่าวมาข้างต้น มักมาจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ แม้การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะดูเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าศึกษาต่อในภาควิชาที่ตนเองสนใจ เรากลับพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายหรือการเข้าพบจิตแพทย์ของนักศึกษากลับเพิ่มมากขึ้น ยิ่งในระดับชั้นที่สูงมากขึ้นเท่าไร ปัญหาสุขภาพจิตก็ยิ่งสูงตามมาเท่านั้น โดยเฉพาะในระดับชั้นที่จะต้องทำวิทยานิพนธ์หรือโปรเจกต์จบที่จะต้องทำงานควบคู่ไปกับอาจารย์ที่ปรึกษาและคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 

การสูญหายตัวตนระหว่างทางแทบกลายเป็นเรื่องปกติที่เราต้องพบเจอ

กรมสุขภาพจิตระบุว่า ในปี พ.ศ. 2562 เด็กไทยอายุ 10 – 29 ปี เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึง 778 คน ซึ่งการฆ่าตัวตายถือเป็น 1 ใน 5 ปัจจัยหลักของการเสียชีวิต นอกจากนี้ ตัวเลขที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่ได้นับรวมจำนวนเด็กที่พยายามจะฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ และเด็กที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตแต่กลับไม่ได้รับการเข้าถึงการรักษา เนื่องจากติดปัญหาทางด้านอื่นอีกด้วย

หากคุณเคยเป็นหนึ่งคนที่ต้องร้องไห้เพราะทุกข์ทรมานจากการเรียน ภาวนาให้ตนเองป่วยเพราะไม่ต้องการส่งงาน คุณไม่ได้ผิดปกติ แต่สิ่งที่ต้องกลับมาคิดคำนึง คือ ทำไมสถานศึกษาถึงกลับกลายเป็นสถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกหลงทางและทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงคุณคนเดียวที่เผชิญสถานการณ์เหล่านี้ นักศึกษาหลายคนเองต้องพบเจอปัญหาการเรียนที่หนักจนแทบไม่ได้นอน ทั้งวิชาที่มีการให้งานเป็นจำนวนมาก การเข้มงวดอย่างมากเกินไปของอาจารย์ผู้สอน การค้นคว้า หรืออ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับการร้องไห้ ความเชื่อมั่นในผลงานของตนแต่กลับโดนอาจารย์ตอบกลับมาจนแทบไม่เหลือความมั่นใจ โดยเฉพาะคณะสายอาร์ตที่ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นในการสอบเข้ามาเพื่อเรียนรู้ถึงศิลปะที่ตนคิดว่าไม่มีขีดจำกัด แต่ยิ่งเรียนมากขึ้นเท่าไหร่คำว่าศิลปะของเราและอาจารย์กลับแตกต่างกันมากขึ้นเท่านั้น 

เมื่อรู้ตัวอีกทีความภูมิใจในการมองการเห็นคุณค่าของตนเอง (Self-esteem) ก็สูญหายไประหว่างทางเมื่อไรก็ไม่รู้ และยิ่งในระดับชั้นปีที่จะต้องทำวิทยานิพนธ์ ถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า ‘จะจบไม่จบขึ้นอยู่กับที่ปรึกษา/กรรมการสอบ’ ยิ่งกดดันให้นักศึกษาที่นอกจากจะเคร่งเครียดกับการเรียนก่อนหน้านี้แล้วยังต้องมาเครียดจากการเสี่ยงดวงว่าอาจารย์ที่ปรึกษาและคณะกรรมการสอบจะเป็นอย่างไร เพราะหากได้อาจารย์ที่ไม่เข้ากับตนเอง การเรียนที่หมั่นพากเพียรมาตลอดอาจสูญหายไปในพริบตา และทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา สิ่งที่น่าแปลกมากที่สุดคือ – ทำไมเราทุกคนถึง ‘ต้อง’ พบเจอเรื่องราวแบบนี้?

วัฒนธรรมการเรียนหนักคือเรื่องปกติในสังคมไทย

โต้รุ่ง (ปาก) ว. อยู่ตลอดคืนจนกระทั่งเช้า.

คำที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ และเป็นคำที่ใครหลายคนมักเคยผ่านประสบการณ์นั้น อย่างเช่น ทำงานโต้รุ่ง อ่านหนังสือโต้รุ่ง ทำโปรเจกต์โต้รุ่ง จนคำว่า ‘โต้รุ่ง’ แทบจะกลายเป็นคำพูดปกติที่ควบคู่ไปกับการเรียนในระบบการศึกษา 

ซึ่งหากมาลองคิดพิจารณากันแล้วนั้น การโต้รุ่งเพื่อทำงาน การโต้รุ่งเพื่ออ่านหนังสือเรียน มันควรเป็นเรื่องปกติจริงหรือ เพราะผลเสียที่ตามมาจากการโต้รุ่งกลับมีมากมาย แต่ใครหลายๆ คนก็ยังคงเลือกที่จะโต้รุ่ง เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น งานเยอะเกินไปจนทำให้ต้องโต้รุ่ง, การอ่านหนังสือโต้รุ่งก่อนสอบเพราะกลัวคะแนนสอบออกมาไม่ดี, การจำต้องทำงานในช่วงกลางคืนจนกลายเป็นโต้รุ่งเนื่องจากในช่วงกลางวันมีกิจกรรมอื่นที่จำเป็นต้องทำจึงไม่สามารถแบ่งเวลามาทำงานตลอดทั้งวันได้, การเรียนออนไลน์ที่ทำให้เด็กเกิดภาวะเครียดและการหลีกหนีช่วงเวลากลางวัน โดยเลือกที่จะเริ่มลงมือทำในงานช่วงเวลากลางคืนเนื่องจากรู้สึกดีและปลอดภัยกว่า และอีกหลายหลายปัจจัยอื่น ซึ่งแน่นอนว่าการที่เด็กขาดการนอนหลับในช่วงเวลาที่เหมาะสม ได้ส่งผลเสียต่อสมองและสุขภาพจิต

ซูมี ลี หัวหน้าทีมวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Behavioral Medicine หรือผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ Sleep, Stress and Health (STEALTH) ได้ศึกษาเรื่องการนอนหลับและปัจจัยที่หลากหลายที่ส่งผลต่อประชากร กล่าวถึงเรื่องการขาดการนอนหลับไว้ว่า “การขาดการนอนหลับอย่างต่อเนื่อง มีความสัมพันธ์กับอารมณ์เชิงบวกที่ลดลง อารมณ์เชิงลบที่เพิ่มขึ้นและความถี่ของอาการทางร่างกายที่รุนแรงขึ้น

“เมื่อการอดหลับอดนอนเกิดขึ้นเกือบทุกวัน ซึ่งหมายความว่า (มัน) เรื้อรัง นั่นคือเวลาที่ร่างกายและจิตใจของเราไม่สามารถทนต่ออีกต่อไป ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการสูญเสียการนอนหลับติดต่อกันส่งผลให้การฟื้นตัวไม่สมบูรณ์และความเครียดสะสมและทำให้สุขภาวะในแต่ละวันของเราลดลง”

และแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่เรามักรู้ดี ว่าการอดหลับอดนอนโต้รุ่งจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก แต่เราก็มักเลือกที่จะทำเนื่องจากมันค่อนข้างเป็นสิ่งที่ หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือเป็นสิ่ง จำเป็น และปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนั้นมาจาก ‘ความกลัว’

ความกลัว –กลัวที่จะล้มเหลว กลัวที่จะสอบได้เกรดไม่ดี กลัวว่างานที่ทำออกมาจะได้รับการต่อว่าจากอาจารย์​ กลัวที่จะเรียนไม่จบ กลัวที่จะโดนครอบครัวดุด่า กลัวที่จะทำให้ครอบครัวผิดหวัง กลัวที่จะทำให้คะแนนออกมาไม่ดีและหลุดจากทุนการศึกษา กลัวที่จะหลุดออกจากภาพอนาคตที่ตนคิดไว้ และกลัวที่จะตกจากความคาดหวังที่ตนเองตั้งไว้หากไปไม่ถึง

ความกลัวเหล่านี้ แน่นอนว่าเกิดขึ้นมากจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักๆ นั่นเพราะมหาวิทยาลัยและระบบทุนนิยม คือ พันธมิตรที่ต้องพึ่งพากัน 

เด็กหลายคนต้องแบกความคาดหวังในการเรียนเพื่อที่จะจบออกไปให้มีงานทำ ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยเองก็ไม่ได้เปิดกว้างมากพอที่จะรองรับความหลากหลายของเด็ก แต่เลือกที่จะผลิตเด็กในรูปแบบเดียวกันซ้ำๆ เพื่อออกไปตอบโจทย์ตลาดแรงงานหรือโลกของทุนนิยม

ทำให้วัฒนธรรมการเรียนหนักถูกผลิตซ้ำอยู่ร่ำไป ‘คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ใครจะใช้ทำอะไร’ วาทกรรมอันขมขื่นของโลกทุนนิยมที่บีบรัดให้เด็กจะต้องใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ใครขยันได้มากกว่าคนนั้นชนะ ใครเรียนได้มากกว่าคนนั้นชนะ ใครอ่านได้มากกว่าคนนั้นชนะ บีบรัดทั้งเวลาและตัวเด็ก บีบคั้นทั้งร่างกายและจิตใจให้ต้องทุกข์ทนซ้ำๆ อยู่กับวังวนของการเอาตัวรอดในระบบการศึกษา จนสุดท้ายจิตใจแตกสลายแต่กายยังคงต้องทำอยู่ สูญหายตัวตนระหว่างการเรียน ด้วยคำถามที่ว่า ‘เราดีพอรึยัง’ และ ‘แค่ไหนที่จะเรียกว่าเก่ง’ ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถมากพอรึเปล่า ในเมื่อมองไปรอบข้างแล้วมีแต่คนเก่งมากมาย แต่ตัวเองนั้นกลับว่างเปล่า แม้กระทั่ง สิ่งที่คิดว่าชอบและทำได้ดีกลับโดนอาจารย์เหยียบย่ำและฉีกมันออกอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยคำว่า ‘งานไม่ดี’ โดยไม่ทันได้มองว่า งานที่ดีหรือไม่ดีนั้นช่างปัจเจกฯเสียเหลือเกิน กลายเป็นว่ายิ่งเรียนมากเท่าไหร่ความเชื่อมั่นตนเองก็ยิ่งจางหายมากขึ้นเท่านั้น

ทุนนิยม – ระบบการศึกษา – มหาวิทยาลัย เกี่ยวข้องกันอย่างมีนัยสำคัญ

หากกล่าวถึงมหาวิทยาลัยในมุมมองของคนทั่วไป เรามักจะนึกถึงสถานที่ที่ได้เรียนรู้ความเป็นตัวเอง ได้ทดลองทำในสิ่งที่ตนเองสนใจและอยากทำ ได้เลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่ในมุมมองของ อันโตนิโอ กรัมชี่ นักทฤษฎีการเมืองแนวมาร์กซิสต์ชาวอิตาเลียน กลับฉายภาพความเชื่อมโยงระหว่างทุนนิยมและการจัดการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียนได้อย่างน่าสนใจ 

“การมองปัญหาและปรากฏการณ์ทางสังคม/การเมืองแบบเชื่อมโยงและเป็นองค์รวมถือเป็นจุดเด่นสำคัญประการหนึ่งของมุมมองแบบกรัมชี่ การเลือกใช้คำว่า ‘Organic’ สำหรับกรัมชี่มีนัยสำคัญที่ความเป็นโครงสร้าง กล่าวคือ เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้โดยมิติหรือโดยตัวแปรใดแต่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากตัวแปรต่างๆ กลับเชื่อมโยงถึงกันอย่างแนบแน่น เหตุที่กรัมชี่มองว่าหาก ‘โรงเรียน’ หรือองค์กรที่ทำหน้าที่จัดการศึกษา ตลอดจนหลักสูตรการศึกษานั้น จะนำไปสู่การเกิดวิกฤติเชิงโครงสร้างของรัฐได้ 

เพราะกรัมชี่มองว่า การศึกษาเป็นเรื่องของ ‘ชนชั้น’ (Class) การกำเนิดขึ้นของโรงเรียนในลักษณะที่แตกต่างกันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มุ่งเน้นการผลิตขนาดใหญ่และความชำนาญเฉพาะทางในการผลิต ภายใต้สังคมเช่นนี้จึงจำเป็นต้องสร้างกรรมาชีพที่มีทักษะการทำงานที่ตอบสนองชนชั้นผู้ถือครองปัจจัยการผลิตได้

“เมื่อองค์กรจัดการศึกษาเป็นสิ่งที่ผูกโยงกับประเด็นชนชั้น จึงทำให้เราเข้าใจประเด็นที่กรัมชี่เสนอในบทบันทึกนี้ว่า หากวิกฤติการณ์ของหลักสูตรการศึกษาและวิกฤติการณ์ของโรงเรียนเกิดขึ้น จึงมีโอกาสที่จะนำไปสู่วิกฤติยาวนานของรัฐหรือสังคมนั้นๆ ได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในระบบทุนนิยมที่ดำเนินอยู่บนพื้นฐานของการขูดรีด (Exploitation) และสร้างมูลค่าส่วนเกิน (Surplus value) ของชนชั้นนายทุนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น หากองค์กรการศึกษาเกิดวิกฤติหรือไม่สามารถทำหน้าที่ในการผลิตกรรมกรเพื่อทำหน้าที่ในการผลิตให้กับสังคมนั้นๆ ได้ มีโอกาสนำไปสู่วงจรของการขาดทุน เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเชื่อมโยงไปยังปัญหาสังคมอื่นตามมาได้อีกหลายประการ” (จากหนังสือ อันโตนิโอ กรัมชี่ กับการจัดวางความคิดทางการเมือง โดย วัชรพล พุทธรักษา)

แม้บทบันทึกของกรัมชี่ที่ยกมานี้จะไม่ได้กล่าวถึงรูปแบบมหาวิทยาลัย แต่ก็เห็นได้ว่าในตัวบทมีความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกันกับรูปแบบมหาวิทยาลัยในไทยอยู่ไม่น้อย 

เพราะหากเราลองคิดพิจารณาดีๆ จะเห็นได้ว่าคณะที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น หลายครั้งก็มาเพื่อตอบสนองตลาดทุนนิยม เทรนด์ของโลก และหลายครั้งที่คณะดีๆ จำต้องยุบไปเพราะมันแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับโลกของทุนเลย

มหาวิทยาลัยในไทยทุกวันนี้ แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ดูเหมือนเป็นสถานที่ที่ดูเปิดกว้างอย่างไม่จำกัดกรอบทางความคิด แต่ในทางปฏิบัติ มหาวิทยาลัยก็คล้ายกับโรงงานที่ผลิตนักศึกษาในรูปแบบที่ดูทันสมัยและตอบโจทย์กับผู้บริโภค หรือตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่แม้กระทั่งตัวนักศึกษาเองก็ยินดีที่จะอยู่ในระบบที่ขูดรีดนั้นเพราะมันได้สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจในแบบที่จับต้องได้จริงๆ

“ผมสอนหนังสือมาเกือบจะ 20 ปี ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้มีความรู้และมีการศึกษาดี ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ มหาวิทยาลัยที่ผมทำงานอยู่ถือว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่สิ่งที่ Paul Mason เรียกว่า ‘มหาวิทยาลัยเสรีนิยมใหม่ทั่วไป’ (Standard Neoliberal University) ซึ่งหมายถึงมหาวิทยาลัยเอาภววิทยาแบบธุรกิจมาใช้ ตามมุมมองดังกล่าว มหาวิทยาลัยโดยพื้นฐานแล้วก็คือ ‘สถาบันที่อบรมฝึกฝนแรงงานและนำสิ่งที่ค้นพบใหม่ๆ ไปใช้สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ’ มันคือ ‘ธุรกิจที่เชี่ยวชาญในการเตรียมความพร้อมให้ผู้คนเข้าทำงานในบริษัท’ ไม่มีใครมองมันว่าเป็นสถานที่ที่ ‘ทำให้คนหนุ่มสาวเสียคน’ (corrupt youth) อันที่จริงแล้ว นับวันนิสิตนักศึกษาก็ยิ่งได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นผู้บริโภคที่ต้องการได้รับความพึงพอใจและรู้สึกว่าสิ่งที่ได้มาคุ้มกับเงินที่จ่ายไป มหาวิทยาลัยไม่ใช่สถานที่ที่ผลิตความรู้ที่ ‘ต้องห้าม’ หรือ ใช้งานไม่ได้จริง’ ที่ท้าทายอำนาจรัฐและทุน ทุนต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่าการศึกษาวิจัยหรืองานวิชาการประเภทไหน ‘เป็นประโยชน์’ และ ‘มีคุณค่า’ ”

ข้อความข้างต้นจากหนังสือ เมื่อโลกซึมเศร้า: Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุน และลัดดาแลนด์ โดย สรวิศ ชัยนาม ที่ได้ฉายภาพการเชื่อมโยงของทุนนิยม ระบบการศึกษา และมหาวิทยาลัยในไทยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น และถือเป็นส่วนที่ตอกย้ำว่า บ่อยครั้งที่งานได้ถูกกำหนดคุณค่าโดยทุน หากทุนไม่เลือก งานเหล่านั้นก็อาจถูกลดคุณค่าทั้งๆ ที่หากวันดีคืนดีงานประเภทนั้นกลายเป็นกระแสสังคมโลกขึ้นมา ความเป็นคุณค่าที่ทุนเคยปัดทิ้งไปก็จะได้กลับคืนมาทันที

อย่างในกรณีสายศิลปะ ที่แม้ว่ามองภายนอกจะดูเปิดกว้างทางความคิดแค่ไหน แต่มหาวิทยาลัยก็ยังสอดแนบแนวความคิดที่เป็นที่นิยมในตลาดเข้ามาผ่านสภาพแวดล้อม วิชาเรียน อาจารย์ และแม้กระทั่งเกณฑ์การวัดคะแนนอยู่ดี ซึ่งตัวการเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่คอยบีบคั้นให้เหล่านักศึกษาจะต้องดำเนินแนวทางไปตามเกณฑ์ของโลกทุนนิยมเสมอ โลกทุนนิยมเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ออกแบบสร้างสรรค์ แต่ในขณะเดียวกันก็กำหนดกรอบของการสร้างสรรค์ให้อยู่ในเกณฑ์นั้นด้วย

เมื่อตัวตนของเราไม่สอดคล้องกับกระแสของตลาดแรงงาน จุดเริ่มต้นของการมองไม่เห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกหลงทาง ความเชื่อมั่นในตัวเองสูญหายระหว่างการเรียนรู้ในระบบการศึกษา – คำที่กล่าวมาข้างต้นบทความ หากเราลองมองผ่านเลนส์ของโลกทุนนิยม จะเห็นได้ว่าสิ่งใดที่กำลังเกี่ยวและตัดตอนความมั่นใจในคุณค่าของตนออกไปเรื่อยๆ การที่โลกของทุนนิยมไม่ได้สร้างความหลากหลายที่แท้จริงไม่ได้แปลว่าตัวตนเรานั้นจะไร้คุณค่า เราไม่ได้แปลกแยก หรือไม่ดี แต่เป็นเพราะโครงสร้างของระบบสังคมที่ผิดเพี้ยนจนไม่ได้มองเห็นถึงความหลากหลายนี้ต่างหาก ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยและอาจารย์ที่มองผลงานของนักศึกษาผ่านเลนส์ของทุนนิยมก็เช่นเดียวกัน การที่ทุนไม่ได้เลือกผลงานของเรา ไม่ได้แปลว่าผลงานของเราไม่ดี ไม่งดงาม แต่เพราะผลงานของเราได้สร้างความสวยงามเกินกว่าที่ทุนเหล่านั้นจะมองเห็น

อันโตนิโอ กรัมชี่ เคยกล่าวไว้ว่า “มหาวิทยาลัยและผู้สอนต้องสามารถชี้นำทางปัญญาและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเองเพื่อให้ผู้เรียนสามารถมองเห็นและแยกแยะวางเปลือกนอก (Form) และสารัตถะ (Content) ของสรรพสิ่งได้อย่างวิพากษ์”

สิ่งนี้คือส่วนสำคัญ หากมหาวิทยาลัยและอาจารย์ไม่ได้ชี้นำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมองเห็น เพียงแต่ผลักดันและเร่งรัดให้นักศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างดีเยี่ยมและตรงคุณสมบัติที่โลกของทุนนิยมต้องการมากที่สุด ดังนั้น แล้วการศึกษาจะมีอยู่เพื่ออะไร? เพราะหากไร้ซึ่งการวิพากษ์และความหลากหลาย การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมและโลกที่ดีกว่าในอนาคตคงยากที่จะเกิด

อ้างอิง
รายการอัตราการฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิต
วิกฤติโควิด-19 ทำเด็กเสี่ยง “โรคซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย”
Just one night of sleep loss harms your well-being, new study finds
อันโตนิโอ กรัมชี่ กับการจัดวางความคิดทางการเมือง
กรัมชี่ การศึกษาและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
เมื่อโลกซึมเศร้า: Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุน และลัดดาแลนด์ โดย สรวิศ ชัยนาม

Tags:

มหาวิทยาลัยซึมเศร้าระบบการศึกษาการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)

Author:

illustrator

กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ

ชื่อชอบงานศิลปะ แต่ไม่ถนัดวาดรูป รักการถ่ายรูป ค้นพบตัวได้ที่อาร์ตแกลหรือร้านหนังสือ สนใจในเรื่องเพศ สังคม จิตวิทยา มนุษย์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เป็นเฟมินิสต์แอคทิวิสต์ที่ชอบฟังนิทานก่อนนอน เชื่อในความหลากหลายและฝันอยากมีโลกที่โอบอุ้มคนทุกคน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    “ควรเป็น” หรือ “อยากเป็น” เส้นทางที่ต้องเลือกของ “เด็กซิ่ว” ในระบบการศึกษาไทย

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
How to get along with teenager
17 November 2021

ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • ของขวัญที่ลูกหลายคนอยากได้มากที่สุด คือ การที่พ่อแม่พร้อมที่จะรับฟังพวกเขา เข้าใจสิ่งที่เขาเผชิญ และยอมรับในตัวเขาแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ

หนึ่งเรื่องเศร้าที่เรามักพบเจอตลอดไม่ว่าจะอายุเท่าไร คือ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ การมองหา ‘คุณค่า’ ในตัวเองเพื่อดึงความเชื่อมั่นคืนมากลับกลายเป็นเรื่องยาก… 

‘ทักษะการฟังที่ดี’ ตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้เรากลับมาเห็นคุณค่าในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเอง ‘ดีพอ’ จะมีอะไรดีไปกว่าการมีใครสักคนที่พร้อมนั่งข้างๆ เรา รับฟังปัญหาทุกสิ่งที่เราเผชิญด้วยความเต็มใจ พร้อมที่จะเข้าใจ และช่วยเราที่กำลังหลงทางได้เจอกับคุณค่าในตัวเองอีกครั้ง ยิ่งถ้าคนๆ นั้นเป็นพ่อแม่ด้วยคงเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อย เพราะสำหรับลูกไม่มีของขวัญใดจะมีค่าเท่ากับการที่พ่อแม่พร้อมรับฟัง เข้าใจ และยอมรับแม้ว่าเขาจะไม่มีสมบูรณ์แบบ

‘การฟังที่ดี’ เริ่มต้นจาก…

(1) อยู่ตรงนั้นเพื่อเขา (Be present) วางทุกอย่างลง สายตามองที่เขา และเปิดรับสิ่งที่เขากำลังพูด

(2) ฟังสิ่งสำคัญ หรือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก ไม่แทรกแซงด้วยการบ่น ตำหนิ ต่อว่า ระหว่างที่อีกฝ่ายพูด

(3) ฟังให้ได้ยินเสียงพูด และเสียงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่

(4) ฟังด้วยหัวใจ และร่างกาย ได้แก่ สีหน้า ท่าทาง อารมณ์ที่แสดงออกล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายสบายใจที่พูดหรือไม่พูดออกมา

(5) ฟังด้วยใจเป็นกลาง ไม่คิดแทน ไม่ตัดสินอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย แต่เราควรฟังให้จบ โดยไม่พูดแทรก

(6) ฟังเพราะอยากเข้าใจในมุมของอีกฝ่าย

(7) ฟังโดยไม่ต้องคิดว่า เราจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ไหม เพราะสิ่งสำคัญของการฟัง คือ ‘การฟัง’ อย่างเคียงข้าง ไม่ใช่การสอนสั่ง หรือการตัดสิน

บางครั้งพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ลูกพูด หรือต้องมีคำตอบให้กับทุกปัญหาของลูก เพราะสิ่งที่ลูกต้องการจากเราอาจจะเป็นเพียง ‘การรับฟัง’ และ ‘การยอมรับ’ เท่านั้นเอง

สุดท้าย หากวัยรุ่นรู้สึกว่า ‘เขาต้องการความช่วยเหลือ’ การไปพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา คือทางเลือกที่พ่อแม่ควรแนะนำให้กับลูกได้ เพราะบางครั้งการพูดคุยกับพ่อแม่ในเรื่องบางเรื่อง อาจจะทำให้วัยรุ่นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ พ่อแม่อย่าเพิ่งน้อยใจว่า ทำไมลูกไม่กล้าปรึกษาเรา เพราะวัยรุ่นหลายคนกลัวว่า ถ้าเขาพูดเรื่องนั้นออกไปแล้ว พ่อแม่จะเสียใจ หรือผิดหวังในตัวเขาหรือเปล่า ดังนั้น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อาจจะเป็นทางเลือกที่เขาสบายใจกว่าเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าเขารักหรือเคารพพ่อแม่น้อยลงแต่อย่างใด

แม้โลกจะดูสิ้นหวัง และตัวเขากำลังจะหมดหวังกับตัวเอง ถ้าพ่อแม่ยังคงยืนหยัดเคียงข้างและเชื่อมั่นในตัวลูก ความหวังที่เรามอบให้กับเขาสามารถจุดประกายความหวังให้กับลูกได้อีกครั้งหนึ่ง ขอเพียงพ่อแม่อย่าหมดหวังในตัวลูก

อ่านบทความฉบับเต็ม ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นการฟังและตั้งคำถามไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Juno: การรับมือกับท้องไม่พร้อม และการบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ(ด้วยตัวเอง)กับครอบครัว

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel