Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: August 2021

พ่อเป็นห่วงเธอมากนะนาร์ซิสสัส (เพราะเธอดูอินโทรเวิร์ต?)
Myth/Life/Crisis
6 August 2021

พ่อเป็นห่วงเธอมากนะนาร์ซิสสัส (เพราะเธอดูอินโทรเวิร์ต?)

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ลักษณะความเป็นอินโทรเวิร์ต (Introvert) มีหลากหลายมิติ แต่ภาพจำของคนส่วนใหญ่มองว่าคนอินโทรเวิร์ตเข้าถึงยาก ไม่สนใจสังคม คนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายว่าจะเป็นอินโทรเวิร์ตก็อาจเคยถูกผู้ใหญ่บางคนบอกว่าคุณมีอะไรที่ ‘ไม่โอเค’ ต้อง ‘ปรับตัว’ ต้องรู้จักคลุกคลี อย่าเป็นพวกชอบขลุกกับตำราที่เข้าสังคมไม่เก่งและไม่เกิดผลประโยชน์ด้านงานการ ฯลฯ
  • คนอินโทรเวิร์ตมีแนวโน้มไปในทางตั้งรับ อีกทั้งชอบเชื่อมโยงกับผู้อื่นแบบหนึ่งต่อหนึ่งอย่างมีคุณภาพ ชอบการสนทนาเชิงลึกมากกว่าการคุยเจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อย พวกเขาชอบใคร่ครวญและมักเก็บงำความรู้สึกไว้กับตัว อีกทั้งประมวลความรู้สึกนึกคิดมากมายเหลือเกินอยู่ภายใน โดยมักคิดว่าคนอื่นคงไม่สนใจ ซึ่งก็อาจทำให้คนแบบอื่นมองว่าเข้าถึงยาก
  • บทความนี้ ภัทรารัตน์ จะพาไปรู้จักกับอินโทรเวิร์ตผ่านตัวละคร นาร์ซิสสัส จากวรรณกรรม นาร์ซิสสัสกับโกลด์มุนด์ (Narcissus and Goldmund)

1.

ณ มาเรียบรอนน์ (Mariabronn) อารามยุคกลางแห่งหนึ่งในชนบทของเยอรมันโกล์ดมุนด์ หนุ่มน้อยผู้มีจิตวิญญาณแบบศิลปินจำต้องมาเป็นนักเรียนในอาราม เพื่อบวชในอนาคตตามความต้องการของพ่อ (อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง โกลมุนด์: ความทรงจำที่ถูกฝังกลบ การเยียวยาผ่านความฝัน และสัญญาณการเปลี่ยนแปลง)

ในอารามนั้นมีบุคคลผู้น่าเลื่อมใสอยู่สองท่าน นั่นคือท่านแดเนียล สมภารผู้มีความเมตตาและเรียบง่าย และนาร์ซิสสัส ครูหนุ่มผู้สามารถหยั่งรู้บุคลิกภาพและชะตากรรมของคนอื่น นาร์ซิสสัสไม่เกกมะเหรกเกเรเหมือนคนหนุ่มในวัยเดียวกัน เขาพอใจชีวิตสันโดษอันมีกำแพงกับโลกภายนอกในระดับหนึ่ง ที่ทำให้เขาได้มีเวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เรียนรู้ศิลปะวิทยาและอุทิศตนแด่พระเจ้า แม้นาร์ซิสสัสจะเฉลียวฉลาด แต่ท่านแดเนียลก็เป็นห่วงนาร์ซิสสัสและเคยถึงกับคิดว่าเขาเป็นคนยโสที่สามารถกลบมันไว้มิดชิดเท่านั้น บุคลิกภาพหลายอย่างของเขา ทำให้ท่านแดเนียลกังวลจนถึงกับต้องเอ่ยออกมาครั้งหนึ่งว่า “พ่อเป็นห่วงเธอมากนะนาร์ซิสสัส…เธอมีคนชื่นชอบมากมาย แต่เธอไม่มีเพื่อน”

กระนั้น แท้จริงแล้วนาร์ซิสสัสได้ถักทอมีมิตรภาพอันลึกซึ้งกับโกล์ดมุนด์ ซึ่งมีอุปนิสัยแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง โกล์ดมุนด์ต้องการออกไปใช้ชีวิตอิสระอันเปิดกว้างต่อผัสสาการที่น่าตื่นเต้น เขาได้เข้าพัวพันลิ้มรสหอมหวานกำซาบจากผู้หญิงมากมาย ทั้งได้ศึกษาลักษณะต่างๆ ของพวกเธออย่างศิลปินที่สัมผัสกับชีวิตอย่างล้ำลึก เขาเคยเป็นฆาตกรและพร้อมจะใช้ชีวิตเร่ร่อนไป ครั้งหนึ่ง เขายั่วยวนนางบำเรอของเจ้าเมืองกระทั่งถูกจับขังคุกรอการประหาร 

แต่โชคชะตาก็พาให้นาร์ซิสสัสได้ไปเจอกับโกล์ดมุนด์ในคุกแห่งนั้น จึงช่วยเขาพากลับมายังอารามที่บัดนี้ตนเป็นเจ้าอาวาส ในเบื้องปลายของชีวิต โกลด์มุนด์ประสบอุบัติเหตุจากการขี่ม้าและกลับไปสิ้นใจ ณ อาราม ทิ้งให้นาร์ซิสสัสตั้งคำถามว่าชีวิตในวิถีของตนเองนั้นเป็นชีวิตที่สมบูรณ์หรือไม่?

2.

มีคนจำนวนมากที่ได้อ่าน นาร์ซิสสัสกับโกลด์มุนด์ (Narcissus and Goldmund) ซึ่งเขียนโดย เฮอร์มาน เฮสเส สะท้อนว่านาร์ซิสสัสมีลักษณะอินโทรเวิร์ต (Introvert) แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าอินโทรเวิร์ตเป็นอย่างไร? ตามการแบ่งจากหนังสือ Understanding Your MBTI Step II Results มิติของความเป็นอินโทรเวิร์ตมีหลากหลาย โดยในด้านการเชื่อมโยงกับผู้อื่นนั้น คนอินโทรเวิร์ตมีแนวโน้มไปในทางตั้งรับ อีกทั้งชอบเชื่อมโยงกับผู้อื่นแบบหนึ่งต่อหนึ่งอย่างมีคุณภาพ เฉกเช่นที่นาร์ซิสสัสสานสายใยกับโกล์ดมุนด์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งแม้โกล์ดมุนด์จะเป็นเพื่อนคนเดียวที่เขาผูกพันด้วยอย่างมาก แต่นั่นก็คือคนที่สำคัญกับเขา คนอินโทรเวิร์ตชอบความสัมพันธ์เช่นนี้มากกว่าจะอยู่เป็นฝูง

คนอินโทรเวิร์ตชอบการสนทนาเชิงลึกมากกว่าการคุยเจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อย พวกเขาชอบใคร่ครวญและมักเก็บงำความรู้สึกไว้กับตัว อีกทั้งประมวลความรู้สึกนึกคิดมากมายเหลือเกินอยู่ภายใน โดยมักคิดว่าคนอื่นคงไม่สนใจ ซึ่งก็อาจทำให้คนแบบอื่นมองว่าเข้าถึงยาก พวกเขามักเรียนรู้ได้ดีผ่านการอ่านและเขียน อีกทั้งชอบบรรยากาศอันสงบและมักจะรู้สึกถูกรบกวนจากเสียงดังอึกทึก

3.

ถ้าหากคุณมีลักษณะต่างๆ สอดคล้องกับลักษณะของคนอินโทรเวิร์ตข้างต้น ก็อาจเคยถูกผู้ใหญ่อีกลักษณะหนึ่งบอกว่าคุณมีอะไรที่ ‘ไม่โอเค’ คุณต้อง ‘ปรับตัว’ คุณต้องรู้จักคลุกคลี อย่าเป็นพวกชอบขลุกกับตำราที่เข้าสังคมไม่เก่งและไม่เกิดผลประโยชน์ด้านงานการ ฯลฯ อีกมากมายซึ่งอาจเป็นการสอนสั่งด้วยความเป็นห่วงในทำนองเดียวกับที่เจ้าคุณแดเนียลห่วงใยนาร์ซิสซัส (โกลด์มุนด์ก็อาจโดนผู้ใหญ่พร่ำบ่นอย่างเป็นห่วงเหมือนกันในประเด็นอื่น แต่เขาก็จะทำตามหัวใจตัวเองอยู่ดี) 

คนที่เข้าเค้าอินโทรเวิร์ตซึ่งได้ยินอะไรทำนองนี้มาตลอดชีวิต ก็อาจพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับความคาดหวังของสังคมมาอย่างมากแล้ว โดยบ้างก็อาจถึงกับลืมเลือนด้านดีของความเป็นอินโทรเวิร์ตไปเลย ในที่นี้จึงขอยกประโยชน์สองข้อที่มีแนวโน้ม (แปลว่า ไม่เสมอไป) จะเกิดขึ้นจากลักษณะอินโทรเวิร์ตมาให้อ่านกัน 

  1. แนวโน้มในการเป็นผู้ฟังที่ดี นักจิตวิทยาคลินิก Laurie Helgoe ซึ่งเขียนหนังสือ Introvert Power กล่าวว่า “ผู้ฟังที่ดีวางตนเป็นกลางในขณะที่พยายามเข้าใจผู้พูด” สอดคล้องกับนิยามที่ว่า “ผู้ฟังที่ดีได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างแท้จริง โดยไม่เอาประสบการณ์ตัวเองไปตัดสินหรือหมกมุ่นว่าจะพูดอะไรต่อ” คนอินโทรเวิร์ตมีแนวโน้มจะตั้งใจรับฟังเรื่องราวของคู่สนทนาเกินกว่าแค่คุยเล่นเอาเพลิน เมื่อรับเอาสิ่งที่คู่สนทนาพูดเข้ามาแล้วก็มักคิดใคร่ครวญในหัวเงียบๆ ก่อนจะพูดอะไรกลับไป จึงสามารถทำให้ผู้พูดรู้สึกว่า ‘ถูกได้ยิน’ และมีพื้นที่ ไม่แปลกใจเลยที่คนอินโทรเวิร์ตหลายคนจะทำงานด้านจิตวิทยาบำบัดได้ดี เพราะมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ฟังในระดับลึกได้นั่นเอง
  2. แนวโน้มจะชื่นชมสิ่งเล็กน้อยรอบตัวได้ง่ายและไม่ต้องการอะไรมากมายเพื่อจะรู้สึกดี ในช่วงปีค.ศ.1960 มีสมมุติฐานที่ว่ามนุษย์เราแสวงหาการกระตุ้นในระดับพอดี (สามารถค้นหาเพิ่มเติมจากนักจิตวิทยาชื่อ Hans Eysenck) และในขณะที่คนประเภทอื่นต้องการสิ่งกระตุ้นที่เยอะกว่าเพื่อให้กระปรี้กระเปร่า หรือพ้นไปจากความเบื่อหน่าย คนอินโทรเวิร์ตอาจต้องการเพียงหนังสือสักเล่มกับห้องเงียบๆ หรือการไดอะล็อคเรื่องที่มีความหมายกับเพื่อนสักคน หรือการได้สูดกลิ่นดินหญ้าหลังฝนหรือมองพระอาทิตย์ตกดิน นั่นก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ พวกเขามักจะสามารถจะทำอะไรไปคนเดียวได้โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว การกินข้าวหรือไปเที่ยวคนเดียวไม่ได้เป็นเรื่อง ‘น่าสงสารเห็นใจ’ แต่เป็นห้วงเวลาแห่งความรื่นรมย์ด้วยซ้ำ การถูกห้อมล้อมด้วยคนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของเขาอาจทำให้เขารู้สึกเหงายิ่งกว่า 

อย่างไรก็ตาม ที่บรรยายมาข้างต้นนี้อาจซ้อนทับกับลักษณะของ บางคน ที่อ่อนไหวไวต่อสิ่งเร้าสูงหรือ Highly Sensitive Person ซึ่งจะขอย่อว่า HSP กล่าวคือ คนที่มีระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น แสง อารมณ์ของคนอื่น คาเฟอีน เสียง ฯลฯ อีกทั้ง HSP อาจเป็นเหมือนฟองน้ำที่ซับความละเอียดออกในบรรยากาศแวดล้อมเข้ามาได้ง่าย ทำให้ระบบประสาทเหนื่อยล้าได้ง่ายเช่นกัน 

ดร.อารอน (Elaine N. Aron) กล่าวว่าคนลักษณะนี้มีอยู่ประมาณ 15 – 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ซึ่งในสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการสูงต่างๆ ในสายพันธุ์เดียวกัน ก็สามารถพบสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวสูงในสัดส่วนประมาณนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม เธอได้แยกความแตกต่างระหว่าง HSP กับลักษณะอินโทรเวิร์ต ไว้ในหนังสือชื่อ The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You โดยบอกว่ามี HSP ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ที่มีลักษณะอินโทรเวิร์ต ซึ่งซูซาน เคน (Susan Cain) ผู้เขียน Quiet: The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking ก็ได้กล่าวถึงงานของดร.อารอนไว้ในหนังสือของตนด้วย

ถ้าหากคุณมีลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่ามันจะสะท้อนความเป็นอินโทรเวิร์ตหรือความอ่อนไหวไวต่อสิ่งเร้าสูงก็ตาม (ซึ่งก็อาจไม่จำเป็นต้องจัดประเภท) อยากทิ้งคำถามว่า ในช่วงที่โรคโควิดระบาดซึ่งทำให้ต้องจำกัดการเดินทางไปพบปะผู้คนหรือต้องทำงานจากบ้านนั้น คุณรู้สึกเหนื่อยล้าน้อยกว่าเดิมหรือไม่? 

4.

เรามักได้รับการ ‘สั่งสอน’ ต่างๆ นานาว่าควรสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร แต่นาร์ซิสซัสก็ไม่ได้ผิดอะไรที่จะดำเนินชีวิตแบบที่ชอบปลีกวิเวกเพื่ออุทิศตนในสิ่งที่เขาสนใจในลักษณะที่ดูมีปราการระดับหนึ่งกับโลก ขณะเดียวกันโกลมุนด์สามารถเพิ่มพูนความตระหนักรู้อันลึกซึ้งผ่านการนัวเนียกับโลกภายนอก ลองผิดลองถูกและบาดเจ็บตามวิถีของเขา ผู้คนมากมายที่นาร์ซิสซัสออกไปสัมผัสนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เป็น ‘เพื่อน’ เขาอย่างแท้จริงเหมือนกับนาร์ซิสซัส บุคคลทั้งสองเป็นดั่งลมหายใจเข้าและออก ซึ่งแม้โน้มเอียงไปคนละทิศทางแต่ก็มิได้แยกจากกัน

ไม่มีใครใช้บุคลิกใดแค่อย่างเดียว เพียงแต่อะไรจะมากกว่าและในช่วงไหนเท่านั้น  

ซึ่งแม้ว่าความสมดุลจะยังคงมีความสำคัญ รวมทั้งไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราเองนั่นแหละที่ต้องเลือกว่าจะสัมพันธ์กับโลกนี้อย่างไร โดยที่ไม่ลืมข้อดีของตัวเอง

อ้างอิง
นาร์ซิสสัสกับโกลด์มุนด์  (Narcissus and Goldmund) โดย เฮอร์มาน เฮสเส แปลเป็นภาษาไทยโดย สดใส ขันติวรพงศ์
Introducing Jung โดย Maggie Hyde
Quiet: The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking โดย Susan Cain
The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You โดย Elaine N. Aron ในหนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงงานของอาวริล ธรอน ซึ่งศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงอินโทรเวิร์ทสูงและเอ็กซ์โทรเวิร์ทสูง และงานวิจัยอื่นๆ อีกมาก ทั้งนี้ ผลลัพธ์จากงานวิจัยหนึ่งๆ ไม่อาจเอามาเป็นภาพแทนของอินโทรเวิร์ททั้งหมดนอกงานวิจัยได้ บทความใน Potential นำข้อมูลจากหลายแหล่งที่สอดคล้องกันมาเขียนโดยเน้นภาพรวมเพื่อให้อ่านง่ายและมิได้มุ่งให้เป็นวิชาการจนเกินไปนัก  
Looking at TYPE โดย เอิร์ล C. Page ตีพิมพ์โดย Center for Applications of Psychological Type และ Understanding Your MBTI Step II Results
Are Introverts The Best Listeners?
How You Can Tell That You’re an Introvert 
Introverts: this is why working from home is the wake-up call you never knew you needed
The Surprising Benefits of Being an Introvert
7 Reasons to Celebrate Being an Introvert 

Tags:

นาร์ซิสสัสกับโกลด์มุนด์  (Narcissus and Goldmund)แบบแผนทางความสัมพันธ์อินโทรเวิร์ต (Introvert)

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์ : ความเหงาและหัวใจที่เชื่อมโยง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (พ่อแม่ก็เช่นกัน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    หลีกเลี่ยง รวนเร ขาดการจัดการ และมั่นคงปลอดภัย: รูปแบบความผูกพัน 4 แบบของพ่อแม่กับวัยรุ่น

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง
Everyone can be an Educator
5 August 2021

‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ช่วงวัยเด็กที่ ‘ขาดโอกาส’ ไม่ได้ใช้ชีวิต ทำให้ราฎา กรมเมืองตัดสินใจเป็นพี่เลี้ยงในโครงการ โครงการข้าวอัลฮัม นำชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เพื่อให้เยาวชนในชุมชนของเธอได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพตัวเอง
  • “เราต้องดูว่าใครถนัดด้านไหน เช่น คนไหนอยากโชว์ โชว์เลย คนไหนพูดเก่งก็ให้เขาพูด หรือคนไหนไม่ถนัดพูดแต่อยากลงมือทำ ก็ให้ไปทำ เราให้เขาทำให้สุด แล้วสุดท้ายมันมาตกตะกอนตอนถอดบทเรียนว่าแต่ละคนทำออกมาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วค่อยๆ ปรับกันไป แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นกำไรของเรา คือ การที่เราได้มีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยทำ”
  • “ในตัวของทุกคนมันมีความพิเศษซ่อนอยู่จริงๆ นะ มันกลายเป็นความเชื่อที่อยู่ในตัวเรา ทำให้เราอยากช่วยกระตุ้นเด็ก ให้เขาแสดงความพิเศษส่วนนั้นออกมาด้วย ถ้าเราขุดมันออกมาได้จะเป็นประโยชน์มากๆ เลย อยากมีพื้นที่ให้เด็กได้แสดงศักยภาพ พื้นที่ที่เป็นมากกว่าเสา มากกว่าหลังคา มากกว่าลานกว้างๆ พื้นที่ที่มีกระบวนการเติมศักยภาพให้กับเด็กๆ ได้ เป็นศูนย์การเรียนรู้พัฒนาทักษะชีวิต” 

“ในตัวคุณมีสิ่งพิเศษซ่อนอยู่”

ถ้าวันหนึ่งมีใครเอ่ยกับคุณด้วยประโยคนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร?

“หลายครั้งที่รู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับคนอ่อนแอ มันไม่มีที่ยืนทำให้เราไม่กล้าแสดงความอ่อนแอออกมาเมื่อไปยืนต่อหน้าคนอื่นๆ…ฉันต้องแข็งแรงตลอดเวลา” ราฎา กรมเมือง หญิงสาววัย 30 ปี เอ่ยถึงความรู้สึกอ่อนล้าในช่วงวัยรุ่นของเธอ วัยที่หลายคนบอกว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่เธอกลับรู้สึก ‘ไม่เคยถูกมองเห็น’ และ ถูกจำกัดจากการ ‘ตีตรา’ ของคนอื่น เธอสับสนในตัวเอง จนแทบไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นใครกันแน่ แล้วกำลังทำอะไรอยู่

ราฎา กรมเมือง

ความโชคดีอย่างหนึ่งของราฎา คือ เธอรู้จักตัวเองมากพอ จึงพยายามหาทางรับมือกับเรื่องที่คิดว่าแย่ จนวันนี้เมื่อมองย้อนกลับไปเธอต้องขอบคุณทุกคนที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งที่เข้ามาสร้างบาดแผล และเข้ามามอบประสบการณ์ที่ดี จนทำให้เธอเข้มแข็งขึ้นในทุกๆ วัน

เรื่องราวที่ The Potential กำลังจะบอกเล่าต่อไปนี้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่เป็นเรื่องธรรมดา ที่น่าจะสะท้อนความรู้สึกของใครอีกหลายๆ คน การถูกบูลลี่ ความเก็บกด การถูกกดดัน หรือความอึดอัดคับข้องใจ ที่หลายคนกำลังหาทางออกอยู่ในตอนนี้ การเดินทางของราฎาอาจช่วยคลี่คลายปมเหล่านั้นไปได้…ไม่มากก็น้อย

ตัดฝัน ตัดสิน จนเกือบตัดใจ

ราฎา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต คณะบริหารธุรกิจ สาขาการขนส่งระหว่างประเทศ ปัจจุบันเป็นทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดสตูล เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า คณะที่จบ สาขาที่เรียน และอาชีพที่ทำ ไม่ได้เกิดจากความหลงใหลส่วนตัว แต่ล้วนมีที่มาจากบุคคลอื่นและองค์ประกอบภายนอก

“ความจริงแล้วชอบทำอาหาร แต่เป็นคนรูปร่างอ้วน ตอนนั้นถูกขัดความฝันว่า ถ้าอ้วนแล้วไปเรียนทำอาหารจะอ้วนยิ่งกว่าเดิม ก็เลยตัดความฝันเรื่องเรียนทำอาหาร ตัวเองเก่งวิชาเคมีนำคะแนนไปส่งที่มหาวิทยานเรศวร วิทยาเขตพะเยา เพราะแม่เป็นคนพะเยา เคยมีความคิดอยากไปอยู่ภาคเหนือ แต่ก็ถูกตัดความฝันอีกเนื่องจากไกลบ้านเกินไป ที่บ้านเป็นห่วงเพราะเป็นเด็กที่ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกล ถ้าไปไหนก็ไปกับที่บ้าน

“ปี 2551 มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์มาแนะแนวเกี่ยวกับสาขาการขนส่งระหว่างประเทศ บอกว่าถ้าเรียนจบจะได้กลับมาทำงานที่บ้าน เพราะสตูลกำลังจะมีท่าเรือน้ำลึกปากปาราที่รัฐบาลวางโปรเจคไว้ เราไม่รู้เรื่องว่าโครงการจะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า แต่โปรเจคนี้วางไว้ตอนเราเรียนจบพอดี เราก็ถูกขายฝันว่าเรียนสาขานี้จบแล้วได้กลับมาทำงานที่บ้าน เลยตัดสินใจไปเรียน แต่สุดท้ายท่าเรือก็ไม่เกิด เรื่องนี้ยังเป็นข้อพิพาทกับชุมชน ซึ่งตัวเรามาเห็นที่หลังว่าโครงการมีผลกระทบมากกว่าสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการพัฒนา เพราะไปทำลายทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ทุกอย่างผิดแผนไปหมด แต่ก็ได้กลับมาอยู่บ้านสอบได้เป็นเจ้าหน้าศูนย์ยุติธรรมชุมชน”

ราฎา ไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวที่ขาดแคลนจนถึงกับด้อยโอกาส แต่ปมในใจของเธอถูกบ่มเพาะขึ้นมาจากการ ‘ขาดโอกาส’ ภาพความทรงจำในอดีตจึงเต็มไปด้วยเรื่องที่ถูกตัดฝัน ตัดสิน จนทำให้เธอเกือบตัดใจยอมแพ้อยู่หลายครั้ง

“เมื่อก่อนในชุมชนมีกลุ่มเยาวชนที่แข็งแรงมากซึ่งเราไม่เคยได้เข้าร่วมเลย เวลามีกิจกรรมไปต่างจังหวัด เราไม่เคยได้ไป หลังจากนั้นตัวเองรู้สึกว่าไม่ค่อยได้รับความสำคัญ จึงทำให้เรามีปมถูกมองข้าม คิดเหมือนกันว่ามันคือความจริง หรือว่าเราสร้างปมให้ตัวเองหรือเปล่า 

“เคยทำเรื่องสายธารชีวิตมองย้อนกลับไปดูตัวเอง เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเราขาด เวลาเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวด้วยกัน เราไม่มีความทรงจำนั้นเลย เพราะไปโรงเรียนเช้าเย็นกลับบ้าน มาช่วยงานที่บ้าน หรือตอนเรียนมัธยมก่อนไปโรงเรียนก็ต้องไปเก็บน้ำยางพาราก่อน หลังจากนั้นต้องรีบอาบน้ำไปโรงเรียน ตอนเย็นกลับมาก็ไปเก็บขี้ยางอีก เราคิดว่าไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนที่เด็กๆ คนอื่นมีกัน เช่น ไปเที่ยว เฮฮา หรือไปหาประสบการณ์”

“พอได้โควต้าไปเรียนอยู่กรุงเทพฯ เป็นคนไม่ค่อยพูด มีแต่คนบอกว่าเราเป็นคนเก็บกด เราโดนตีตราอีก จนเอามาคิดว่า…ทำไม? กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราเป็นแบบนั้นอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ หรือ แต่ก็พยายามเปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวเอง เรียนรู้ไปเรื่อยๆ”

ฉายเดี่ยวท่ามกลางวงล้อมของเด็กหนุ่มวัยรุ่น

“เราไม่เคยมีโอกาสทำโครงการแบบนี้ตอนเด็ก แล้วก็คิดว่าถ้ามีโอกาสแบบนี้ เราคงโตมาเก่งกว่านี้ ความปรารถนาเดียว คือ เราอยากช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนในชุมชนให้พวกเขาได้รับโอกาสและเก่งขึ้น”

ราฎา เล่าถึงความตั้งใจของตัวเอง ก่อนเข้ามารับบทบาทเป็นพี่เลี้ยง โครงการข้าวอัลฮัม นำชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล มีเป้าหมายเพื่อศึกษา อนุรักษ์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพันธุ์ข้าวอัลฮัม พันธุ์ข้าวพื้นเมืองดั้งเดิมตำบลเกตรีให้คงอยู่กับชุมชน ภายใต้ โครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล หรือ Satun Active Citizen ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชน ผ่านกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน

“หลังเรียนจบกลับมาที่ชุมชนได้ 2 ปี เรารู้สึกว่ามันไม่มีเรื่องราวของเยาวชนในชุมชนเลย ไม่มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม มีแต่กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน กลุ่มสตรี กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มผู้นำท้องที่ท้องถิ่นและกลุ่มผู้นำศาสนา พอเราเห็นแบบนั้นจึงอยากทำกิจกรรมเด็กและเยาวชนขึ้นมาบ้าง ตอนแรกแค่อยากชวนน้องๆ มาทำอะไรสนุกๆ หรือมาทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนเฉยๆ เช่น ถ้ามัสยิดมีงาน เราอยากเห็นภาพเด็กๆ มาช่วยเสิร์ฟน้ำ ยกของบ้าง เราคิดแค่ภาพเล็กๆ ไม่ได้คิดถึงการทำโครงการใหญ่โต แค่อยากให้เยาวชนมีตัวตน”

กระบวนการทำงานในโครงการ Active Citizen เปิดพื้นที่ให้เด็กเยาวชนได้คิดวางแผน เรียนรู้จากการแก้ไขปัญหาผ่านการลงมือทำด้วยตัวเอง พี่เลี้ยงมีบทบาทเป็นผู้แนะนำและสนับสนุน สำหรับโครงการข้าวอัลฮัมฯ กลุ่มแกนนำเยาวชนได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวอัลฮัม ทั้งจากอินเทอร์เน็ต เอกสาร และจากการสอบถามผู้รู้ในชุมชน มีกิจกรรม ‘นานอกนา’ หรือการทดลองปลูกข้าวในกระถางเพื่อศึกษาระยะการเจริญเติบโตของข้าว เนื่องจากระยะการทำโครงการไม่ได้อยู่ในช่วงฤดูกาลทำนา

นอกจากนี้ กลุ่มแกนนำเยาวชนยังได้ลงสำรวจพื้นที่นาร้างในชุมชน ฝึกฝนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวอัลฮัมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และได้จัดกิจกรรมดำนาร่วมกับคนทั้งในและต่างพื้นที่เมื่อฤดูกาลทำนามาถึง เรียกได้ว่า พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องข้าวอัลฮัมอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม การเป็นพี่เลี้ยงผู้หญิงที่ต้องดูแลเด็กผู้ชายวัยรุ่นทั้งกลุ่ม ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ สำหรับราฎา แต่เธอผ่านมาได้ด้วย ความเข้าใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และความจริงใจ

“ครั้งหนึ่งแกล้งให้เขาวาดวงจรชีวิตข้าวโดยให้เวลา 1 อาทิตย์ เด็กๆ ได้ไปสัมภาษณ์ปราชญ์ผู้รู้ และศึกษาค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต แล้วคัดลอกข้อมูลนั้นมาวางในแผ่นผ้า ผลที่ได้คือตกหล่นไปหลายอย่างมาก เราถามเขาว่าไหนล่ะ วงจรที่ข้าวตั้งท้องและการใส่ปุ๋ย เพราะสิ่งที่เขาคัดลอกมานั้น ไม่มีสาระสำคัญเลย เราถามว่าจะส่งทั้งที่งานไม่สมบูรณ์แบบนี้ใช่ไหม แล้วได้ลองทำลงในกระดาษหรือยัง เขาตอบว่ายัง”

การตั้งคำถามย้อนคิด ให้ได้ทบทวนการทำงานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการที่ราฎานำมาใช้กับกลุ่มเยาวชนแกนนำอยู่เสมอ 

“ทุกครั้งที่ลงมือทำ เราได้ถอดบทเรียน ตั้งคำถามเพื่อให้เขาคิด เราจะไม่เอาชนะเขาด้วยการด่าหรือเถียง แต่ถามเพื่อให้เขาได้ย้อนคิดว่าสิ่งนั้นมันถูกหรือผิด

“เหตุการณ์วันนี้เป็นเพราะไม่เตรียมคำถามไปใช่ไหม แล้วเสียผ้าไป 1 เมตรเป็นเพราะอะไร เขาตอบว่าเดี๋ยวผมซื้อใหม่ก็ได้ครับ เราก็บอกว่าซื้อใหม่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ผลที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไร เพราะบางครั้งเขาอาจไม่ได้คิดจริงจัง หรือบางครั้งคำตอบที่ออกมาฟังดูกวนๆ เราก็บอกว่าแน่ใจนะ คิดดีๆ แล้วเราก็ออกจากสถานการณ์ตรงนั้นเลย

“เราต้องใจเย็นมาก ทั้งที่ข้างในเราคุกรุ่นมาก ให้เขาลองทำ ในใจเราเชื่อว่าเขาจะทบทวนได้เพราะเราโยนคำถามให้เขาคิดแล้ว

“ปัญหาคลี่คลายตอนที่เราถอดบทเรียน ซึ่งน้องๆ ก็สะท้อนสิ่งที่เขารู้สึกจริงๆ ว่าบางครั้งเขารู้สึกโกรธและไม่พอใจ เขาก็รู้ว่าผิดที่เขาไม่ได้วางแผนกันมาก่อน ไม่ได้ลองวาดในกระดาษก่อน บอกเราว่า ผมขอโทษผมผิด เราก็สะท้อนตัวเองด้วยเช่นกันเพราะเราใช้อารมณ์ แล้วได้ขอโทษน้องๆ ออกไป การทำงานกับเด็กผู้ชาย นิสัยต้องตรงไปตรงไป เราต้องปรับตัวเอง เปิดอกคุยกันด้วยความจริงใจ”

ราฎา บอกว่า การเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงโครงการ Active Citizen เปลี่ยนมุมมองความคิดด้านการทำงานกับเด็กและเยาวชนของเธอไปอย่างสิ้นเชิง

“เมื่อก่อนทำโครงการอื่นเราต้องนำเพราะเราเป็นพี่ ต้องสั่งให้เขาทำเพื่อให้งานสำเร็จ เป็นคนจัดการทุกอย่าง แต่โครงการนี้เด็กต้องเป็นคนที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง บางครั้งเราต้องกัดฟันให้เขาทำเอง ล้มเองบ้าง เขาจะได้เรียนรู้ ก่อนหน้านี้เราคาดหวังให้โครงการสำเร็จ เด็กๆ ก็แค่ดีใจ แต่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่า นี่เป็นโครงการที่เขาคิดเอง และจัดการทุกอย่าง รูปแบบการทำงานมันคนละเรื่องกันเลย”

ดีที่สุดในจุดที่ยืน

เด็กแต่ละคนมีจุดเด่น มีความสามารถแตกต่างกัน และทุกคนพัฒนาได้ แต่เมื่อต้องมาทำงานร่วมกันเป็นทีม สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือ การเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“เราต้องดูว่าใครถนัดด้านไหน เช่น คนไหนอยากโชว์ โชว์เลย คนไหนพูดเก่งก็ให้เขาพูด หรือคนไหนไม่ถนัดพูดแต่อยากลงมือทำ ก็ให้ไปทำ เราให้เขาทำให้สุด แล้วสุดท้ายมันมาตกตะกอนตอนถอดบทเรียนว่าแต่ละคนทำออกมาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วค่อยๆ ปรับกันไป เราพยายามเพิ่มเติมวิธีคิดการทำงานให้เขา เช่น รู้ไหมว่าสิ่งที่เราถนัด นั่นคือสิ่งที่ดี แล้วเราทำมันให้ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นกำไรของเรา คือ การที่เราได้มีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยทำ”

ราฎา บอกว่า คำพูดดังกล่าวช่วยกระตุ้นให้กลุ่มแกนนำเยาวชนมีความกระตือรือร้น หันมาสนใจและมีความกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น คนที่ชอบพูดเปลี่ยนมาถ่ายภาพ คนที่ถ่ายภาพลองมาระบายสี หรือคนที่ระบายสีก็ไปล้างจานบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไป

“เรื่องสันทนาการที่ว่ายากที่สุด เด็กในทีมฝึกสันทนาการเกือบครบทุกคนแล้ว คู่นี้ซ้อมเสร็จเปลี่ยนคู่ใหม่ คนที่เคยเก็บอุปกรณ์ ลองทำสันทนาการดู ถ้ายังออกมาได้ไม่ดี เรากลับมาถอดบทเรียนกัน มีน้องคนหนึ่งบอกว่า วันนี้ผมทำได้ไม่ดี เราก็ถามเขาว่า อยากแก้ตัวไหม เขาตอบว่า อยากครับ แต่ผมยังไม่พร้อม เราก็ท้าทายเขานะ บอกว่า ตัดสินใจดีๆ น้อง เหล็กถ้าตีตอนร้อนมันจะง่ายนะ เขาก็บอกว่าอาทิตย์หน้าผมจะลองใหม่ 

เราพยายามเปลี่ยนวิธีคิดเขา ทำยังไงให้น้องมันสู้ เพราะเด็กรู้สึกนอยด์ แต่ในใจเราเชื่อว่าเขาทำได้ แค่เขามักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนอีกคนที่ทำดีกว่า” ราฎา ยกตัวอย่างตอนฝึกสับเปลี่ยนแกนนำเยาวชน ให้รับบทบาทฝ่ายสันทนาการซึ่งเคยเป็นตำแหน่งที่มีแต่คนอยากปฏิเสธ

“สองคนแรกที่ผ่านไป พวกเขาทำได้ดีเพราะมีประสบการณ์ในการขึ้นเวทีมาก่อน บังเอิญมาจับคู่กันพอดี ผลที่ออกมาคือเล่นดีและเต็มที่มาก ส่วนสองคนนี้เป็นสายวิชาการ เขาอยากลองแต่พอเจอสถานการณ์ตรงนั้น ทำให้รู้สึกกดดัน มองภาพเพื่อนในอดีตว่าเก่ง ตัวเด็กอยากถอนตัวแล้ว แต่การถอนตัวถอนได้แค่เพียงความรู้สึก ดังนั้น ถ้าจะทำต่อต้องไปให้สุดและต้องเร็ว เพราะเราถอดบทเรียนกันแล้วรู้ว่าพลาดตรงไหน ผิดพลาดตรงที่ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ ดังนั้น ครั้งต่อไปต้องควบคุมให้ได้ เราคิดว่าถ้าเกิดปล่อยไว้นาน แล้วมีคนอื่นมาแทรกอีก มันจะมีตัวชี้วัดใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกว่า คู่นี้ทำได้ดีกว่าเราอีก ดังนั้นทำเลยอย่ารอ ลุยเลย ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีกว่ารอบแรก น้องเกิดความภูมิใจและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เราก็ไม่ห่วงแล้ว ถ้าวันไหนไม่มีใครมาสันทนาการ เขาก็สามารถทำได้”

สิ่งที่ราฎายึดมั่นในการเป็นพี่เลี้ยง คือ เด็กทุกคนมีศักยภาพ เธอจึงไม่เปรียบเทียบ แต่ให้โอกาสน้องๆ ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน ประสบการณ์จากการทำงานที่หลากหลาย ทำให้กลุ่มเยาวชนมีความเข้าใจและเอื้อเฟื้อต่อกันมากขึ้น

“เราสร้างโจทย์และความท้าทาย เพื่อให้เขาไม่ยึดติด เพราะเดิมทีเด็กๆ บอกว่า ‘ผมไม่ถนัดอันนั้น อันนี้’ แต่นี่คือโอกาสให้เขาได้ลองทำ มันคือการเรียนรู้ ถ้าไปที่อื่นไม่มีใครให้โอกาสขนาดนี้นะ ถ้าไปที่อื่นเขาให้แสดงจริง ไม่มีให้ซ้อมแบบนี้นะ

“เราพยายามหาโครงการหางานให้น้องๆ ทำ ให้ทุกคนได้ลองเป็นประธาน เพราะตำแหน่งประธานไม่มีใครเข้าใจมันลึกซึ้งพอถ้าไม่ได้ลงมาทำเอง แล้วเวลาที่เขาไม่ได้เป็นประธาน เขาจะเป็นผู้ตามที่ดีมาก จากเมื่อก่อนบางคนเป็นผู้ตามที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก พอวันนึงได้มาเป็นประธาน เขาจึงเข้าใจว่าเราต้องการทีมแบบไหน แล้วเขาจะเป็นลูกทีมแบบไหนที่สามารถช่วยเหลือประธานได้ พอเห็นแบบนี้ก็ไม่เป็นห่วงแล้ว เพราะทุกคนมีความรับผิดชอบและเข้าใจคนที่เป็นผู้นำ งานก็สามารถเดินต่อไปได้ เราไม่ให้ใครทำหน้าที่ของตัวเองซ้ำๆ ถ้าน้องได้ลองทุกอย่างเหมือนกัน น้องจะเข้าใจทุกคนมากขึ้น เพราะแต่ละงานมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่เรารู้สึกว่าตั้งแต่ที่ทำงานมาน้องไม่เคยทะเลาะกัน

“เราพยายามบอกน้องๆ ว่า อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะเรามีคนเดียวบนโลก ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร เราคอยสนับสนุนเพื่อให้เขาภูมิใจในตัวเอง ให้เขาหาจุดเด่นให้เจอว่าตัวเองเด่นด้านไหน ดังนั้น เวลาที่เราคุยกับเด็กก็จะแตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญคือเราอยากให้เขายืนหยัดในตัวเอง เวลาที่เขาคิดก็เป็นแบบของเขา พื้นที่การเรียนรู้ของเรามันไม่มีผิดหรือถูก น้องคิดแบบไหน จงพูดในสิ่งที่คิดออกมา ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนคนอื่น เด็กบางคนพูดเก่ง แต่อาจทำไม่เก่ง ในขณะที่บางคนไม่กล้าคิดไม่กล้าพูด แต่กลับทำทุกอย่างได้ดี”

กว่าจะมาเป็นตัวเองในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับราฎา เธอใช้ประสบการณ์ที่เลวร้ายในอดีตเป็นบทเรียนขับเคลื่อนพลังบวกที่มีอยู่ภายในตัวเอง

“แรกๆ เราต้องไปเอาความรู้มาจากคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันมีคนสะท้อนมาว่า เขาได้รับความรู้จากเรา เราก็งงนะว่าเราให้อะไรกับคนอื่นได้ด้วยเหรอ เพราะไม่รู้ตัวว่าเราสามารถให้คนอื่นได้ มันทำให้เราเข้าใจว่าบทบาทพี่เลี้ยงคือผู้ที่ถ่ายทอด 

“แต่วันนี้ในความเป็นเรา เราได้รับมาจากเด็กเยอะมาก ได้รับความรู้ กำลังใจที่เขาเติมให้กับเรา ทุกคนสามารถถ่ายทอดความรู้ให้แก่กันได้ แม้แต่เด็กก็ยังถ่ายทอดให้เราได้ในสิ่งที่เด็กมีและสิ่งที่เด็กเป็น เราก็ถ่ายทอดให้คนอื่นได้ในสิ่งที่เรามีที่เราเป็น ปราชญ์ชาวบ้านที่เราลงพื้นที่ เขามีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวนาที่ไม่มีอะไรเลย เขาแค่ทำนา มีหน้าที่เอากล้าไปปัก แต่เขาคือองค์ความรู้ที่เด็กไปศึกษา ถ้าไม่มีเขาเหล่านี้ เด็กๆ จะไม่รู้วิธีการทำนาเลย”

“ในตัวคุณมีสิ่งพิเศษซ่อนอยู่”

ราฎา บอกว่า เธอเชื่อมั่นในคำนี้ เธอจึงไม่รอจนกว่าจะมีความพร้อม จนกว่าจะสะดวก หรือจนกว่าจะมีใครหยิบยื่นโอกาสอีกแล้ว แต่เธอจะลงมือทำงานด้านเด็กและเยาวชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีเวลาก็จะพยายามจัดสรร หากไม่สะดวกก็จะพยายามแหวกหาทางมาให้ได้ จะทำทุกวิถีทางเพื่อส่งต่อโอกาสให้เด็กเยาวชนในชุมชนรุ่นต่อๆ ไป

“ความรู้ที่เรามี เราสามารถส่งต่อได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเองก่อน ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร และมีคุณค่า โดยที่ไม่ต้องเก่งเหมือนใคร 

“ในตัวของทุกคนมันมีความพิเศษซ่อนอยู่จริงๆ นะ มันกลายเป็นความเชื่อที่อยู่ในตัวเรา ทำให้เราอยากช่วยกระตุ้นเด็ก ให้เขาแสดงความพิเศษส่วนนั้นออกมาด้วย 

“ถ้าเราขุดมันออกมาได้ จะเป็นประโยชน์มากๆ เลยอยากมีพื้นที่ให้เด็กได้แสดงศักยภาพ พื้นที่ที่เป็นมากกว่าเสา มากกว่าหลังคา มากกว่าลานกว้างๆ พื้นที่ที่มีกระบวนการเติมศักยภาพให้กับเด็กๆ ได้ เป็นศูนย์การเรียนรู้พัฒนาทักษะชีวิต”

“ใจจริงอยากมีอาชีพที่ทำงานด้านนี้โดยตรงเลย อาชีพที่หนึ่งตอบโจทย์รายได้ สองตอบโจทย์ความสุข สามตอบโจทย์คุณค่าในชีวิตของเรา เป็นสามสิ่งที่เรารู้สึกว่าอยากทำและอยากมี เพราะยังอยากมีโอกาสพัฒนาตัวเอง เรารู้สึกว่ามันยังมีองค์ความรู้มากมายที่เราไม่มีโอกาสไปด้วยภาระงานประจำที่ทำอยู่ ตอนนี้เราแค่ใช้เวลาว่างมาทำงานเด็ก แต่ถ้าเรามาทำงานเกี่ยวกับเด็ก เราก็จะพัฒนาตัวเองได้เยอะกว่านี้อีก มันน่าจะสนุกมากเลยนะ” ราฎา กล่าวทิ้งท้ายถึงสิ่งที่อยากทำให้เกิดขึ้นในอนาคต

Tags:

active citizenสิ่งแวดล้อมการเติบโตสตูลพื้นที่ปลอดภัยราฎา กรมเมือง

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Voice of New GenCreative learning
    ‘นราทิป ชูช่วง’ กลุ่มเยาวชนคนชายเล อาสาแปลงร่างเศษขยะเป็นประติมากรรมชายหาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character buildingCreative learning
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเลน เจอคุณปู่โกงกางและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ

    เรื่อง The Potential

‘ให้อิสระกับลูก ปล่อยให้เขาทำผิดบ้าง’ 6 แนวทางการดูแลเด็กในช่วงโควิด-19 ที่ไม่ซ้ำเติมความเครียดในครอบครัว
Early childhood
4 August 2021

‘ให้อิสระกับลูก ปล่อยให้เขาทำผิดบ้าง’ 6 แนวทางการดูแลเด็กในช่วงโควิด-19 ที่ไม่ซ้ำเติมความเครียดในครอบครัว

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • งานวิจัยพบว่า พ่อแม่ที่ปล่อยลูกให้มีอิสระ จะทำให้ลูกอารมณ์ดีขึ้นเพราะความต้องการของเขาได้รับการเติมเต็ม ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวก็ดีขึ้นเช่นกัน ปริมาณความผูกพันทางอารมณ์เพิ่มขึ้น และการให้ทางเลือกลูกโดยไม่จำกัดขอบเขต ดูจะเป็นวิธีรับมือที่ดีในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้
  • แนวทางการเลี้ยงลูกที่จะทำให้พวกเขามีอิสระ เช่น ปล่อยให้ลูกทำผิดบ้าง ขณะที่ลูกกำลังเล่นต่อบล็อกไม้ ผู้ปกครองลองปล่อยให้เขาวางแผนทำด้วยตัวเอง พักการให้คำแนะนำ เช่นว่าต้องทำฐานให้แข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้บล็อกไม้ถล่ม หรือไม่ต้องเตือนลูกบ่อยให้ทำการบ้าน 
  • สิ่งที่ผู้ปกครองหลายคนเป็นกันโดยอัตโนมัติ คือ พยายามแก้ไขปัญหาของลูกทันที ลองเชื่อมั่นในตัวเขา ปล่อยให้ลูกได้หาทางออกเอง โดยผู้ปกครองอาจอยู่ในฐานะผู้รับฟังว่าปัญหาลูกคืออะไร ถามเขาว่าเขาจะแก้ไขยังไง หรือปัญหาทะเลาะระหว่างพี่น้อง ปล่อยให้พวกเขาจัดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ปกครองไม่เป็นจำเป็นต้องเข้าไปช่วยแก้

ผ่านมา 1 ปี 7 เดือน กับการระบาดของโควิด-19 ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกที่จากเดิมก็ถือเป็นหนึ่งงานหิน แต่การเลี้ยงลูกในช่วงภาวะโรคระบาดยิ่งเพิ่มความยากไปอีกหลายเลเวล ไหนจะต้องดูแลลูกให้มีพัฒนาการตรงตามวัย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีหลากหลายทฤษฎีออกมา ข้อควรระวังต่างๆ ที่ทำให้การเลี้ยงลูกยากขึ้น รวมถึงสุขภาพจิตใจที่ต้องเยียวยาทั้งของลูกและผู้ปกครอง

Cara Goodwin นักจิตวิทยาครอบครัว ได้เขียนบทความแนะนำแนวทางการเลี้ยงลูกในช่วงโควิด-19 โดยหยิบยกงานวิจัยที่ทำการสำรวจแนวทางการเลี้ยงลูกของผู้ปกครองในเด็กวัยเรียนชาวเยอรมัน จำนวน 496 คน อายุตั้งแต่ 6 ถึง 19 ปี ช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2020 

‘ให้อิสระลูกมากขึ้น’ ปล่อยให้เด็กๆ มีเสรีภาพในการเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง เคล็ดลับการเลี้ยงลูกที่จะทำให้ทั้งตัวเด็กและผู้ใหญ่มีความสุข งานวิจัยพบว่า พ่อแม่ที่ปล่อยลูกให้มีอิสระ จะทำให้ลูกอารมณ์ดีขึ้นเพราะความต้องการของเขาได้รับการเติมเต็ม ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวก็ดีขึ้นเช่นกัน ปริมาณความผูกพันทางอารมณ์เพิ่มขึ้น งานวิจัยพบอีกว่า การให้ทางเลือกลูกโดยไม่จำกัดขอบเขต ดูจะเป็นวิธีรับมือที่ดีในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้

เพราะความกดดันที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครอง ไม่ว่าจะต้องคอยตอบสนองลูก สร้างการมีส่วนร่วม และรับมือกับอารมณ์อ่อนไหวของลูกที่เกิดขึ้น จากการศึกษาพบว่า การที่ผู้ปกครองรู้จักปล่อยวางบ้าง ไม่ต้องพยายามรับมือจัดการด้วยตัวเองทุกอย่าง เพราะการให้ลูกมีอิสระในการเลือก ตัดสินใจ มีแนวโน้มว่าจะส่งผลดีกับทั้งตัวผู้ปกครองและเด็กในช่วงเวลาตึงเครียดเช่นนี้

Goodwin แชร์แนวทางการเลี้ยงลูกที่จะทำให้พวกเขามีอิสระ ซึ่งไม่เพียงใช้ได้แค่ในช่วงเวลานี้ แต่ผู้ปกครองสามารถใช้แนวทางนี้ไปได้ตลอดเช่นกัน

1. ให้ทางเลือกลูกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจเริ่มด้วยการกระทำพื้นฐานสุด อย่างให้ลูกตัดสินใจเองว่าจะใส่ชุดอะไร กินอาหารอะไร หรือเล่นของเล่นชิ้นไหน

2. ปล่อยให้ลูกทำผิดบ้าง ขณะที่ลูกกำลังเล่นต่อบล็อกไม้ ผู้ปกครองลองปล่อยให้เขาวางแผนทำด้วยตัวเอง พักการให้คำแนะนำ เช่นว่าต้องทำฐานให้แข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้บล็อกไม้ถล่ม หรือไม่ต้องเตือนลูกบ่อยให้ทำการบ้าน 

ลองชวนลูกคุยว่าการเรียนรู้จากความผิดพลาดสำคัญอย่างไร Goodwin แชร์ว่า เธอมักเล่าเรื่องความผิดพลาดของตัวเองให้ลูกฟังบ่อยๆ และวิธีที่เธอเรียนรู้จากความผิดพลาด

3. ให้ลูกเรียนรู้ผลที่ตามมาจากสิ่งที่เขาเลือก เช่น ถ้าอากาศหนาวแต่ไม่ยอมใส่เสื้อกันหนาว ผลที่ตามมา คือ ต้องเผชิญกับอากาศเย็นๆ หรือถ้าไม่ยอมจัดห้อง ปล่อยให้ห้องรก ก็จะหาของเล่นยากลำบาก

4. พยายามหลีกเลี่ยงการแก้ไขอารมณ์ลบที่เกิดกับลูก ให้โอกาสลูกได้สัมผัสอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นผู้ปกครองค่อยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อลูกสงบลง

5. ระหว่างที่ลูกเล่น ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการสอน การแก้ไขความถูกต้อง หรือถามลูกบ่อยๆ ด้วยคำถามที่ไม่จำเป็น รวมถึงอย่าพยายามเปลี่ยนความสนใจของลูก สร้างความมั่นใจให้ลูกเมื่อการเล่นพวกเขาไม่เป็นไปตามแผน

6. อย่าแก้ไขปัญหาให้ลูกเอง เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองหลายคนเป็นกันโดยอัตโนมัติ พยายามแก้ไขปัญหาของลูกทันที เชื่อมั่นในตัวเขา ปล่อยให้ลูกได้หาทางออกเอง โดยผู้ปกครองอาจอยู่ในฐานะผู้รับฟังว่าปัญหาลูกคืออะไร ถามเขาว่าเขาจะแก้ไขยังไง หรือปัญหาทะเลาะระหว่างพี่น้อง ปล่อยให้พวกเขาจัดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ปกครองไม่เป็นจำเป็นต้องเข้าไปช่วยแก้

นี่อาจเป็นเพียงหนึ่งคำแนะนำ เพราะแต่ละบ้านมีแนวทางเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันตามบริบทครอบครัว สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความสุขของคนในครอบครัว แต่โปรดอย่าลืมว่าพ่อแม่ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ทำผิดพลาดได้ ไม่จำเป็นต้องสวมบทฮีโร่ตลอดเวลา ทำพลาดบ้าง ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปโดยที่เราไม่ต้องพยายามไปกำหนดกะเกณฑ์ เพราะเราไม่รู้ว่าสภาวะนี้จะจบลงเมื่อไหร่ การรักษาจิตใจของเราไม่ให้บอบช้ำไปมากกว่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

อ้างอิง

Pandemic Parenting

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ความเครียดการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

‘ครูจิ๋ว’ ทองพูล บัวศรี : ครูข้างถนนที่เติมแสงสว่างในชีวิตเด็กด้วยโอกาสทางการศึกษา
Everyone can be an EducatorSocial Issues
2 August 2021

‘ครูจิ๋ว’ ทองพูล บัวศรี : ครูข้างถนนที่เติมแสงสว่างในชีวิตเด็กด้วยโอกาสทางการศึกษา

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • จากเด็กยากจนที่พลิกชีวิตตัวเองด้วยการศึกษา ครูจิ๋วมุ่งมั่นที่จะส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กๆ ที่ขาดโอกาส โดยเริ่มต้นจากการเป็นครูอาสาในแหล่งก่อสร้าง จนปัจจุบันรับหน้าที่ผู้จัดการโครงการครูข้างถนนและโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่
  • ทั้งสองโครงการทำงานกับกลุ่มเด็กเร่ร่อนและเด็กลูกคนงานก่อสร้าง โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ ทำอย่างไรให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาและอยู่ให้ได้นานที่สุด 
  • “เราไม่ได้เพียงแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาอย่างเดียว แต่ต้องลงไปดูที่ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเด็กด้วย เพื่อจัดการให้เข้าถึงสวัสดิการการศึกษา สวัสดิการสาธารณสุข สวัสดิการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับ ซึ่งต้องทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน”

ความยากจน ความห่างไกล ไร้สถานะพลเมือง รวมไปถึงโรคระบาดและอีกหลายสาเหตุ ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งเข้าไม่ถึงหรือตกหล่นจากระบบการศึกษา คือภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่นับวันยิ่งน่าเป็นห่วง 

ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คาดการณ์ไว้ว่าสิ้นปีการศึกษา 2564 จะมีเด็กหลุดจากระบบ 65,000 คนในระดับชั้นประถมศึกษาราว 4% มัธยมศึกษาตอนต้นอยู่ที่ 19-20% มัธยมปลายอยู่ที่ 48% และในจำนวนนี้โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียง 8-10%

ขณะที่ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) เมื่อปี 2562 ระบุว่าจากนักเรียนกว่า 7 ล้านคน ในระบบการศึกษาภาคบังคับของประเทศไทย มีเด็กถึง 8 แสนคนที่มาจากครอบครัวยากจนที่รายได้เฉลี่ยไม่ถึง 3,000 บาท/คน/เดือน กลุ่มนี้คือ “เด็กนักเรียนยากจนพิเศษ” ที่มีความเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาส่วนหนึ่งเพราะต้องดูแลคนในครอบครัวและหารายได้เลี้ยงครอบครัว ซึ่งในยุคโรคระบาดเช่นนี้ นอกจากเด็กกลุ่มยากจนพิเศษแล้ว ยังมีกลุ่มเด็กลูกแรงงานและเด็กเร่ร่อน มีแนวโน้มที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา 

โอกาสทางการศึกษาสำคัญอย่างไร แล้วการจัดการศึกษาจะทำได้อย่างไร ใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบไหน คุยกับ ‘ครูจิ๋ว’ ทองพูล บัวศรี แห่งมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ผู้ผ่านประสบการณ์การทำงานช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ ในโครงการ ‘ครูข้างถนน’ และ ‘โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่’ 

จากเด็กยากจนคนหนึ่ง ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา 

ภาพความแร้นแค้นของหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแวบเข้ามาในหัวเมื่อ ‘ครูจิ๋ว’ เล่าถึงชีวิตตัวเองในวัยเด็กให้ฟัง หมู่บ้านที่ไม่มีเด็กเรียนหนังสือ มีเพียงบ้านของเธอบ้านเดียวที่ดั้นด้นที่จะเรียน แม้ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนจะห่างไกลและไม่สามารถเดินทางโดยรถยนต์ได้ก็ตาม 

“ครูจิ๋วก็เป็นเด็กยากจนมาก่อน แต่ได้รับทุนการศึกษาตั้งแต่ป.5 มาจนจบปริญญาตรี เป็นทุนการศึกษาทั่วไป และทุนจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชนในระดับปริญญาตรี ให้ผ่านสภากาชาดแต่ละจังหวัด ซึ่งครูจิ๋วแจ้งเจตจำนงไปว่า เราต้องการทุนเพราะว่าเป็นเด็กยากจน และมีภาระที่ต้องส่งเสียน้องเรียนหนังสือ แล้วระหว่างเรียนครูจิ๋วก็รับสอนพิเศษวิชาคณิตกับวิทย์ด้วย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน แล้วครูของเราให้โอกาสตลอดตั้งแต่ประถมไม่เคยหยุดที่จะสนับสนุน หรือตอนที่ไม่มีเสื้อผ้าเพื่อนก็เอาเสื้อผ้ามาให้” ครูจิ๋วเล่าถึงโอกาสที่เธอเคยได้รับตลอดมา 

อีกทั้งความฝันของครูจิ๋วในตอนนั้นเองก็มี ครูจันทร์แรม ศิริคำฟู ครูผู้สอนหนังสือเด็กยากจนบนดอย ทั้งที่จบเพียงชั้น ป.4 เป็นแรงผลักดันชั้นดีให้มุ่งมั่นที่จะส่งต่อโอกาสที่ตัวเองเคยได้รับให้กับเด็กๆ ที่ไม่มีโอกาสและไม่รู้ว่าโอกาสจะทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร

หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยาหรือมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ครูจิ๋วก็เริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า อยากมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กๆ ที่ไม่มีโอกาส จนถึงวันนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือเด็กที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กมาตลอด 33 ปี โดยเริ่มต้นเป็นครูอาสาสอนในแหล่งก่อสร้าง ครูประจำศูนย์ ผู้ประสานงานโครงการศูนย์เด็กก่อสร้าง และได้เข้าไปคลุกคลีในแวดวงการศึกษาในฐานะเลขานุการของหลายหน่วยงาน หนึ่งในนั้นคือ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จากนั้นก็กลับมาฟื้นฟูโครงการศูนย์เด็กก่อสร้าง จนตอนนี้รับผิดชอบโครงการครูข้างถนนและโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ ในฐานะผู้จัดการโครงการที่เน้นภาคสนามเป็นส่วนใหญ่

สร้างโอกาสทางการศึกษากับ ‘ครูข้างถนน’ และ ‘โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่’ 

‘ครูข้างถนน’ และ ‘โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่’ เป็นโครงการที่ครูจิ๋วดูแลอยู่ โดยทำงานกับกลุ่มเด็กเร่ร่อนและเด็กลูกกรรมกรก่อสร้างตามไซต์ก่อสร้างต่างๆ ทั้งสองโครงการมีเป้าหมายร่วมกันคือ ทำอย่างไรให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาและอยู่ให้ได้นานที่สุด เพราะเธอเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า… โอกาสทางการศึกษาพลิกชีวิตคนได้ 

โครงการครูข้างถนน ครูจิ๋วลงพื้นที่เดินตามถนนไปสร้างความไว้วางใจและสำรวจความต้องการของเด็กในด้านการศึกษา โดยจะแบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ เด็กเร่ร่อนไทยถาวร ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ออกจากโรงเรียนกลางคัน (Dropout) ซึ่งก็จะกลายเป็นปัญหาที่ตามมาอีกมาก 

“เด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเรียนแค่ป.2, ป.3 แล้วก็ออกมาใช้ชีวิตบนถนนถาวร อยู่ใต้ทางด่วนบ้าง ไปนอนป้ายรถเมย์บ้าง แล้วส่วนตรงนี้เป็นส่วนที่ยากมากต่อการคืนเด็กเข้าสู่ระบบ” 

กลุ่มที่สองคือ กลุ่มเด็กเร่ร่อนชั่วคราว เด็กกลุ่มนี้ใช้พื้นที่อยู่บนถนน ขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย และขอทาน มี 3 ชุมชน คือ ชุมชนโค้งรถไฟยมราช, ชุมชนแถวเพชรบุรีซอย 7 และชุมชนพื้นที่คลองตัน ซึ่งเด็กสองกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการศึกษา คือให้เด็กอยู่ในระบบการศึกษาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยประสานกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในการขออุปกรณ์การเรียนต่างๆ ให้กับเด็ก 

“ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มที่เราทำงานมา 7-8 ปี และเริ่มเป็นโมเดลได้แล้วก็คือ กลุ่มเด็กเร่ร่อนต่างด้าว ซึ่งเดิมเลยจะถือว่าเป็นกลุ่มค้ามนุษย์ แต่เราก็ทำให้เห็นว่า เด็กกลุ่มนี้เป็นแค่กลุ่มเร่ร่อนแล้วก็ออกไปตามพื้นที่ต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ตอนนี้เรามีเด็กกลุ่มนี้ประมาณร้อยกว่าคนที่เข้าสู่ระบบการศึกษา” 

ครูจิ๋วเล่าว่า ที่ต้องเน้นเรื่องการศึกษาให้กับเด็กเร่ร่อนต่างด้าวนั้น ก็เพราะว่าถ้าเข้าสู่ระบบการศึกษา เด็กจะมีอักษร G หมายถึงนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานออกเลขรหัสให้ 

“การมีอักษร G คือจะเริ่มเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล แล้วก็เด็กกลุ่มนี้เดิมเขาต้องถูกผลักดันกลับประเทศ แต่มันจะมีมติครม. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2559 ให้เด็กกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ชั่วคราว เรียนหนังสือตามช่วงชั้นที่สามารถเรียนได้ ก็เลยเป็นผลทำให้ครูจิ๋วต้องเอาเด็กกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบการศึกษา 

ซึ่งมันก็มาผนวกกับเด็กอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ กลุ่มเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง โครงการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ โดยจะมีเจ้าหน้าที่สองท่านที่ทำงานตรงนี้อยู่ แล้วเด็กกลุ่มนี้ตอนเข้าโรงเรียนก็เหมือนกันคือเราใช้มติครม. เมื่อปี 2535 แก้ไขเมื่อ 8 ก.ค. 2548 ว่า เด็กทุกคนสามารถเข้าเรียนตามช่วงชั้นได้ เรียนตามศักยภาพของพวกเขาได้ เราก็เลยมีเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง 227 คน เข้าสู่ระบบการศึกษาในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ คือมีโรงเรียนเปรมประชา, โรงเรียนประชาอุทิศ, โรงเรียนวัดพิชัย, โรงเรียนวัดมักกะสัน และโรงเรียนปลูกจิต” 

สำหรับโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ งานหลักๆ ก็คือ หนึ่ง หลังจากที่นำเด็กเข้าโรงเรียนแล้ว จะมีการติดตามใบเกิดของกลุ่มเด็กต่างด้าวที่เรียนในประเทศไทย เพราะบางคนเกิดในโรงพยาบาลแต่ไม่ได้รับใบรับรองการเกิด กว่าจะได้ใบเกิดแต่ละคนใช้เวลา 8 เดือนถึง 2 ปี สอง เมื่อได้ใบเกิดมาแล้ว จะเข้าไปสู่เรื่องของการรักษาพยาบาล คือเด็กที่เกิดในประเทศไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีนขั้นพื้นฐานเท่ากับเด็กไทย คือ วัคซีนป้องกันวัคโรค (BCG) วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (HB) วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) และวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี โดยจะเน้นกับพ่อแม่ว่าเด็กต้องได้รับการฉีดวัคซีนตามสมุดบันทึกแรกเกิดสีชมพู และสาม คือระบบการส่งต่อเวลาที่เด็กต้องรักษาหรือเมื่อเด็กมีปัญหาต่างๆ เพราะเด็กเหล่านี้มักเป็นวัณโรค และปัจจุบันเด็กกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับโควิด-19 ด้วย 

ครูจิ๋ว คือ นักบูรณาการในการจัดการความรู้

หากจะนิยามการทำงานในบทบาทการเป็นครูของครูจิ๋วนั้น เธอบอกว่าเป็น ‘นักบูรณาการในการจัดการความรู้’ ที่เน้นงานภาคสนามเป็นหลัก งานเอกสารเป็นรอง แต่สองส่วนนี้ขาดกันไม่ได้ เนื่องจากแต่ละเคสเข้าถึงค่อนข้างยากการลงพื้นที่ไปสำรวจจากสภาพจริงและการสร้างความเข้าใจร่วมกันจึงสำคัญอย่างมาก

ซึ่งเมื่อเด็กกลุ่มนี้ต้องเรียนออนไลน์ เด็กกลุ่มนี้ก็ต้องเผชิญกับความไม่พร้อมทั้งเครื่องมือสื่อสารที่จำเป็น สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียร ส่งผลให้การเรียนไม่มีประสิทธิภาพ เด็กส่วนใหญ่เรียนไม่รู้เรื่อง ครูจิ๋วยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่ง ทุกวันจันทร์พ่อจะขี่มอเตอร์ไซต์หรือจ้างวินไปรับการบ้านที่โรงเรียนให้ลูกทั้ง 2 คน แต่เมื่อถึงเวลาเรียนออนไลน์ สมาร์ทโฟนมีเครื่องเดียว กับเด็กสองคนที่ต้องเรียน และในบางครั้งพ่อก็ต้องใช้ในการติดต่อกับผู้รับเหมาใหญ่เพราะเขาต้องโทรสั่งงาน นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

“ในขณะเดียวกันครูจิ๋วก็เจอศึกหนักคือ เด็กที่อยู่ในโค้งรถไฟยมราช ชุมชนคลองส้มป่อย ชุมชนคลองตัน และชุมชนเพชรบุรี เด็กค้างค่าเทอมบางคนค้างกันมาตั้งแต่ม.1 ราว 20,000 กว่าบาท นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น เราก็ต้องจัดการหางบประมาณไปจัดการ เด็กที่ต้องขึ้นม.1 กับ ม.4 ก็ต้องไปจ่ายเงินที่โรงเรียนก่อนไม่อย่างนั้นเด็กเรียนออนไลน์ไม่ได้ ต้องจ่ายค่าเทอมก่อนถึงจะเอาชื่อเข้าแล้วถึงจะได้เอกสารเรียนออนไลน์ แล้วตอนนี้ทั้งเทอมเป็นการเรียนออนไลน์หมด”

อุปสรรคในการเรียนของกลุ่มเด็กกลุ่มนี้ จึงไม่ใช่แค่การเรียนออนไลน์ที่เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ พวกเขายังถูกผลักภาระให้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งทำให้เรียนหนังสือได้น้อยลง เพราะใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน อยู่บนท้องถนน เพื่อขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย ส่งผลให้เด็กมีโอกาสที่จะออกกลางคันสูงมาก 

อีกทั้งการเข้าถึงระบบการศึกษายังหมายถึง ข้าว 2 มื้อ ที่เด็กจะได้รับจากโรงเรียนด้วย โดยโรงเรียนสังกัดกทม. จะมีข้าวเช้ากับกลางวันให้เด็ก เมื่อเสียโอกาสตรงนี้เท่ากับว่าภาระของครอบครัวจะต้องกินอาหารสามมื้อต่อวัน แต่รายได้จากการขายพวงมาลัยบางครั้งอาจจะได้ข้าวเพียงมื้อเดียว ซึ่งครูจิ๋วยอมรับว่าไม่สามารถประคองได้ทุกคน 

“ตอนนี้มีเด็กอยู่ในมือที่เป็นลูกกรรมกรก่อสร้าง 700 คน เด็กเร่ร่อนทั่วไปอีก 200 คน รวม 900 คน เราไม่สามารถมีอาหารทั่วถึงได้ทุกวัน วันไหนอาหารน้อยเด็กก็จะต้องช่วยเหลือตัวเอง ก็จะได้กินบ้างอดบ้าง แล้วเรื่องการเรียนรู้ไม่ต้องพูดถึงมันลดน้อยถอยลงไปเรียกว่าด้อยเลยก็ว่าได้ ขนาดคนที่มีครอบครัวครบสมบูรณ์เขายังบอกว่าลูกเขาเรียนพัฒนาการช้าลง แต่เด็กของครูจิ๋วไม่ต้องพูดว่าพัฒนาการช้าลง มันแทบจะไม่ได้เรียนเลย”

“เราจึงไม่ได้เพียงแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาอย่างเดียว แต่ต้องลงไปดูที่ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเด็กด้วย เพื่อจัดการให้เข้าถึงสวัสดิการการศึกษา สวัสดิการสาธารณสุข สวัสดิการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับ ซึ่งเราไม่สามารถทำงานองค์กรเดียวได้ เราก็ต้องทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน ในการที่จะช่วยให้เขาได้มีที่ยืนทางการศึกษาให้ได้นานที่สุด” 

การเรียนรู้ภายใต้ข้อจำกัด

สำหรับโครงการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ ในเด็กแรกเกิดจนถึง 3 ขวบ จะเน้นเสริมทักษะชีวิต โดยมีเครื่องเล่นและอุปกรณ์การเรียน เช่น หนังสือนิทาน วิธีแรก ครูจะเล่านิทานให้แม่ฟังก่อน จากนั้นแม่ก็เอาหนังสือนิทานไปเล่าให้ลูกฟังอีกที อีกวิธีคือใช้นิทานเสียง ซึ่งเป็นนิทานจากยูทูบนำมาต่อเข้ากับทีวีเปิดให้ทุกคนดู โดยรถโรงเรียนเด็กก่อสร้างนี้จะเข้าไปทำกิจกรรมสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้ยังเน้นให้เด็กได้รับวัคซีนและอาหารพื้นฐานไปพร้อมๆ กัน 

ส่วนในเด็ก 3 – 6 ปี ถ้าเป็นกรณีเด็กไทย ครูจิ๋วบอกว่าส่วนใหญ่นำเข้าศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้าน ซึ่งจะมีหลักสูตรที่เรียกว่า ‘หลักสูตรลูกคนงานก่อสร้าง’ เสริมทักษะผ่านกระบวนการเล่น ฝึกให้อ่านออกเขียนได้ โดยเริ่มจากการเขียนตามรอย ระบายสี เล่านิทาน กลอนคำคล้องจอง เป็นการปูพื้นฐานก่อนเข้าสู่รั้วโรงเรียน และหน้าที่ต่อมานั่นคือ ทำอย่างไรที่ให้เขาได้ทำการบ้านทุกคน 

“ตอนนี้หลายบริษัทอย่างแคมป์อิตาเลี่ยนไทยดอนเมือง เขาจะมีกลุ่มแม่บ้านช่วยสอนการบ้านตอนเย็นให้เด็ก ตรงนี้เราก็จะช่วยเสริมว่าอะไรที่แม่บ้านเขาไม่รู้หรือมีปัญหาก็จดบันทึกมา เวลาเราไปเราก็จะเสริมให้ เช่น อุปกรณ์ไม่พอ กระดาษทำรายงานไม่พอ สี ดินสอ ปากกาไม่พอ แล้วงานก่อสร้างหยุดหมด พ่อแม่ก็ว่าง ลูกก็อยู่บ้านบางทีก็ทะเลาะกัน หนังสือเราก็เลยเป็นสิ่งที่เด็กๆ จะระบายสี เปลี่ยนบทบาทมาเป็นครูแทน มีอะไรก็โฟนอินกัน และตอนนี้สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องส่งอาหารไปให้ทุกๆ แหล่งก่อสร้าง อะไรที่เราพอหาได้เราก็จะแบ่งปันกันไป”

นอกจากนี้ก็จะเป็นเด็กวัยมัธยมฯ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งตอนนี้ ม.1-ม.6 กำลังมีปัญหาเรียนไม่ทันเพื่อน เนื่องจากอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้และบรรยากาศห้องเรียนออนไลน์ทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับการเรียนได้เท่าที่ควร 

สำหรับครูจิ่ว เมื่อเด็กได้เข้าเรียนแล้วใช่ว่าภารกิจจะจบ เพราะยังต้องคอยติดตามการเรียนที่โรงเรียนของเด็กด้วย ประสานกับครูที่โรงเรียนเพื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตที่โรงเรียนอย่างปลอดภัย 

“ครูจิ๋วหวังว่าเขาจะมีโอกาสได้พูดแล้วก็ได้รับฟัง พูดให้เป็น รับฟังให้มาก และลงมือทำ”

เธอบอกว่า ที่ผ่านมาพยายามทำตัวให้เป็นแบบอย่างของคนที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาและสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ เพื่อว่าเด็กๆ จะได้เห็นความสำคัญและคุณค่าของการศึกษา “เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว จงรักษาโอกาสไว้ให้ดี”

“เราพูดให้เขาเห็นภาพว่า เพื่อนคุณเหมือนกัน เขาไม่ได้เรียนหนังสือเลย เขามีลูกแล้ว สุดท้ายเขาพาลูกไปขอทาน คุณเคยเป็นเด็กขอทานคุณอยากไปขอทานพร้อมลูกคุณไหมละ ถ้าไม่อยากก็ตั้งใจเรียน ตรงนี้ครูจิ๋วแค่ชี้ให้เขาเห็นว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณมีโอกาสได้รับสิทธิเหล่านี้ แต่จะไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องทำตาม

ขอแค่ให้เขาได้โอกาสทางการศึกษาให้มากที่สุดตามที่เขาจะได้เรียน ถ้าจะเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็จบม.3 อย่างน้อยก็ไม่ไปขายบริการทางเพศ ไม่มาขอทาน การจบม.3 ก็คือจะมีเรื่องของการรักษาพยาบาล ประกันสิทธิแน่ นี่คือขั้นต้น ซึ่งมันไม่ใช่แค่ว่าเขาเป็นเด็กต่างด้าว แต่เด็กทุกคนควรจะมีสิทธิในการศึกษาไม่ว่าจะเป็นเด็กชนชาติไหน” 

เพราะความหวังสูงสุดของครูจิ๋วคือ… “เด็กทุกคนอยากเรียนต้องได้เรียน” 

อ้างอิง

เด็กไทยจนแค่ไหน…จนไม่ได้เรียน | Dashboard (eef.or.th)

กสศ.สำรวจสถานการณ์เด็กหลุดออกนอกระบบหลังเปิดเทอมใหม่ | กสศ. (eef.or.th)

ไฟเขียว “เด็กรหัส G” ทั่วปท. ไร้สัญชาติไทย/ทะเบียนราษฎร มีสิทธิเต็ม กินอาหารกลางวัน ดื่มนมโรงเรียน เทียบเท่าเด็กไทย (mgronline.com)

Tags:

โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่โอกาสทางการศึกษานักบูรณาการในการจัดการเรียนรู้ครูจิ๋ว ทองพูล บัวศรีการศึกษาไทยครูข้างถนน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    ‘เปลี่ยนความพิเศษเป็นพลัง’ ลบคำว่า ‘สงเคราะห์’ ออกจากการศึกษาของเด็กพิเศษ: ผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

    เรื่อง The Potential

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • โรงเรียนเล็ก โรงเรียนใหญ่ แก้ปัญหาแบบไหนที่ตรงจุด?: มองหาทางออกใหม่ ให้การศึกษาไทยได้ไปต่อ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social IssuesEveryone can be an Educator
    ‘Saturday School’ วิชานอกห้องเรียนที่ทำให้เด็กกล้าฝันและเป็นเจ้าของการเรียนรู้: ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel