Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2020

ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.2 การชื่นชมเด็ก
Early childhoodFamily Psychology
8 December 2020

ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.2 การชื่นชมเด็ก

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ด้อยค่ากว่าคนอื่น เคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่คนอื่นทำ ไม่รู้วิธีชื่นชมคนอื่นหรือแม้กระทั่งยอมรับคำชมของคนอื่นอย่างไม่สงสัยว่าคนตรงหน้าจริงใจหรือเปล่า และอื่นๆ อาจมีผลมาจากการถูกเลี้ยงดูมาโดย ‘ไม่เคยได้รับคำชื่นชม’ เลย
  • เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจ ตามใจนักจิตวิทยา ชวนคุยว่าปมที่เกิดขึ้นในใจเด็กที่ไม่เคยได้รับคำชื่นชมเลยนั้นมีผลอย่างไรบ้าง รวมทั้งอยากชวนคุยถึงความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา ‘การชื่นชมเด็ก’ ที่ปรากฎในวัฒนธรรมการเลี้ยงเด็กในสังคม
  • “เด็กทุกคนล้วนต้องการ ‘ความสนใจ’ และ ‘การตอบสนอง’ ดังนั้นเมื่อเขาทำสิ่งที่เหมาะสมและดีงาม แต่พ่อแม่กลับนิ่งเงียบไม่ได้ให้การตอบสนองเขาด้วยการชื่นชม เด็กอาจจะตีความหมายของการตอบสนองแบบนั้นว่า ‘สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ให้ความสนใจ’ หรือ ‘สิ่งนั้นอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับพ่อแม่ของเขา’ ”

‘อย่าชมมาก เดี๋ยวเหลิง’

‘ชมบ่อยๆ เดี๋ยวเสียคน’

คงเป็นประโยคที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต้องเคยได้ยินผ่านหูเป็นอย่างดี ความเชื่อที่ส่งต่อกันมาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง ให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเอง และมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนทำ

การชื่นชม หมายถึง การแสดงออกทางกาย วาจา ใจ ด้วยความยินดีกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ ซึ่งการชื่นชมอาจจะเกิดขึ้นในรูปแบบของภาษาพูด เช่น ‘ทำได้เยี่ยมมากเลย’ ‘ยินดีด้วย’ ‘เก่งมากเลย’ หรือ อาจจะเกิดจากการแสดงออกทางภาษากาย เช่น ชูนิ้วโป้งพร้อมกับยิ้มให้ แทนการบอกว่า ‘เยี่ยมมาก’ หรือ การปรบมือให้ แทนการชื่นชม เป็นต้น

ปมที่อาจจะเกิดขึ้นในใจของเด็กที่ไม่เคยได้รับคำชื่นชม…

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

ปมที่หนึ่ง ‘ความรู้สึกว่า ตนเองยังไม่ดีพอ’

เด็กทุกคนล้วนต้องการ ‘ความสนใจ’ และ ‘การตอบสนอง’ ดังนั้นเมื่อเขาทำสิ่งที่เหมาะสมและดีงาม แต่พ่อแม่กลับนิ่งเงียบไม่ได้ให้การตอบสนองเขาด้วยการชื่นชม เด็กอาจจะตีความหมายของการตอบสนองแบบนั้นว่า ‘สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ให้ความสนใจ’ หรือ ‘สิ่งนั้นอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับพ่อแม่ของเขา’ เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าเขาจะพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นแค่ไหน ถ้าพ่อแม่ยังตอบสนองเช่นเดิม  คือ การไม่ให้การชื่นชมใดๆ  เด็กบางคนอาจจะเริ่มรู้สึกท้อกับสิ่งที่เขาทำอยู่ และอาจจะเลิกทำสิ่งนั้นไปโดยปริยาย

ปมที่สอง ‘ความรู้สึกว่า ตนเองด้อยกว่าคนอื่น’

พ่อแม่บางคนนอกจากจะไม่ให้การชื่นชมลูกแล้ว อาจใช้การเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่น เพื่อหวังจะผลักดันให้ลูกของตัวเองพัฒนาต่อไปๆ แต่วิธีการที่ใช้อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม เด็กที่ถูกพ่อแม่เปรียบเทียบตัวเขากับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มักจะมีเด็กอีกคนที่เก่งกว่าเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจและพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่มีวันที่จะเป็นที่หนึ่งในสายตาพ่อแม่

ปมที่สาม ‘ความเคลือบแคลงใจที่มีต่อความรักที่พ่อแม่มอบให้’

เมื่อพ่อแม่มักตำหนิเขามากกว่าชื่นชม เด็กอาจสงสัยว่า ‘พ่อแม่รักเขาจริงไหม’ เพราะในแต่ละวัน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร พ่อแม่คอยจ้องจับผิดและตำหนิเขา แต่เมื่อเขาทำสิ่งดีๆ กลับไม่เคยเอ่ยปากชื่นชมเขาเลย แม้พ่อแม่จะรักลูกสุดหัวใจ และหวังให้เขาได้ดีจากการเลี้ยงดูแบบนี้ 

แต่สำหรับเด็ก ‘ความรัก’ ที่เขาสัมผัสได้ ต้องมาจากการกระทำและคำพูดที่พ่อแม่ทำและพูดกับเขา ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่คิดในใจ

ปมที่สี่ ‘ความเคลือบแคลงใจในสิ่งที่เขาทำ’

เด็กทุกคนเพิ่งลืมตาขึ้นมาบนโลกเพียงไม่กี่ปี พวกเขายังไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี พวกเขารู้เพียงว่า สิ่งใดที่พ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวเขาให้การยอมรับ และให้ความสนใจ นั่นคือสิ่งที่เขาควรทำ ดังนั้นเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดีงามและเหมาะสม แต่ผู้ใหญ่กลับไม่ให้การชื่นชมและสนใจเขา เด็กอาจจะสับสนว่า ‘สรุปแล้ว สิ่งที่เขาทันนั้นเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมหรือยัง’

ปมที่ห้า ‘เมื่อไม่ได้รับการชื่นชม ก็ไม่รู้ว่าจะต้องชื่นชมผู้อื่นอย่างไร’

เด็กที่ไม่เคยได้รับการชื่นชมจากพ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวเขา เมื่อเขาเข้าสู่สังคม ไปโรงเรียน และได้เจอเพื่อนๆ เขาต้องเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น เมื่อเพื่อนของเขาทำสิ่งดีๆ ให้กับเขา เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบสนองเพื่อนอย่างไรดี ทำให้การเข้าสังคมกับเพื่อนอาจจะกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา

ความเข้าใจผิดเรื่องการชื่นชมเด็ก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการเลี้ยงดูเด็กที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็น ‘การไม่ให้ความสนใจลูก เมื่อเขาทำสิ่งที่เหมาะสมและดีงาม’ ‘การเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น’ ‘การคาดหวังให้ลูกต้องเป็นอันดับหนึ่ง ต้องดีที่สุด หรือ ต้องสมบูรณ์แบบ’

ในขณะที่เราใส่ความคาดหวังและความกดดันลงไปในตัวเขา เราก็ใส่คำตำหนิเข้าไปมากมาย โดยที่เราละเลยการใส่ความสนใจ ความชื่นชม การมองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวลูก และการมองเห็นคุณค่าในตัวเขา ทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กคนหนึ่ง เขาอาจจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่โหยหา ‘การเป็นที่ยอมรับ’ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ เขาจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคม ซึ่งแม้ในท้ายที่สุด ความพยายามที่เขาทำไป อาจจะทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง มีการงานที่ดีและมั่นคง มีคนมากมายให้การยอมรับเขา แต่ข้างในจิตใจของเขาอาจจะยังคงกลวงโบ๋ เพราะคนที่เขาต้องการให้ยอมรับมากที่สุด คือ พ่อแม่ของเขานั้นเอง

สำหรับเด็กๆ ที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในปัจจุบันนี้ เราอาจจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอตีตที่ผ่านมาได้ สิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อเดินหน้าต่อไป คือ

ข้อที่ 1 ‘การตระหนักรู้ปมในใจ และการมองเห็นตัวเองให้ชัด’

การตระหนักรู้ว่า ภายในใจเราโหยหาการเป็นที่ยอมรับ เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยได้รับมันอย่างเต็มที่ในวัยเยาว์ แม้เรายังไม่สามารถยอมรับตัวเองได้เต็มที่ แต่ค่อยๆ เรียนรู้ และมองหาสิ่งดีๆ ภายในตัวเอง หากมองไม่เห็นหรือหาไม่เจอ เราสามารถพูดคุยกับเพื่อนที่เราไว้ใจหรือคนใกล้ตัวที่เราเปิดใจคุยได้ ให้เขาช่วยเป็นกระจกสะท้อนให้เรามองเห็นตัวเอง แต่ถ้าเราไม่สามารถหาคนๆ นั้นได้ การไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เป็นอีกทางเลือกที่สามารถช่วยเราได้

ข้อที่ 2 ‘หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น’

เราอาจจะเคยชินกับการถูกเปรียบเทียบมาเสมอ แม้วันนี้ที่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรากลับไม่สามารถหยุดเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่นได้ ทำให้เราไม่เคยพอใจกับชีวิตที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น ถ้าหากเราหยุดและหันกลับมามองตัวเองอย่างที่เราเป็น เราไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร หรือ ต้องประสบความสำเร็จเดี๋ยวนี้เหมือนคนอื่น ขอแค่เป็นเราที่สามารถตื่นขึ้นมา และอยากทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเอง สิ่งดีๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เช่น ตื่นเช้าขึ้นนิดหน่อยเพื่อจะได้ออกไปเดินเล่นสูดอากาศ การได้อ่านหนังสือหนึ่งบท การได้กินอาหารเช้า เป็นต้น เพราะสุดท้าย คนที่กำหนดความสุขของตัวเรา ก็คือ ตัวเราเอง ไม่ใช่ใครอื่น

การเปรียบเทียบเดียวที่อาจจะส่งผลดีกับชีวิต คือ การเปรียบเทียบตัวเราเองในปัจจุบันกับตัวเราเองในอดีต เพื่อจะได้มองเห็นว่า เราพยายามมามากเท่าไหร่ หรือ เราเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว

ข้อที่ 3 ‘ไม่ส่งต่อความเชื่อผิดๆ ต่อไปยังเด็กรุ่นต่อไป’

ในเมื่อเรารู้แล้วว่า ‘การไม่ชื่นชมลูกในสิ่งที่เขาทำได้ดีและเหมาะสม’ ‘การไม่ให้ความสนใจ’ ‘การเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น’ คือ สิ่งที่เราเคยเผชิญมา และสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และการมองเห็นคุณค่าในตัวเรา เราก็ไม่ควรส่งต่อสิ่งเหล่านี้ต่อไปยังเด็กรุ่นต่อไป เราอาจจะได้กลายเป็นพ่อแม่ คุณครู หรือ หัวหน้างานของเด็กจบใหม่สักคน ถ้ามีโอกาสให้เราส่งต่อสิ่งที่ถูกต้องต่อไป

วิธีการชื่นชมที่ดี

แต่ถ้าอยากให้การชมของเราเกิดผลดีกับตัวเด็กจริงๆ เราควรชมเด็กที่ ‘พฤติกรรม’ หรือ ‘การกระทำ’ ของเขา ซึ่งเราจะเริ่มได้จาก

ขั้นที่ 1 จริงใจกับเด็ก

การชื่นชมที่ดีควรเริ่มจากการจริงใจกับความรู้สึกของเราที่มีต่อเด็กคนหนึ่ง เพราะถ้าหากเราชมเขาด้วยความไม่จริงใจแล้ว เด็กบางคนจะรับรู้ได้ทันที ซึ่งการจริงใจต้องเริ่มจากการให้ ‘ความสนใจ’ กับเด็กตรงหน้าของเราเสียก่อน ปัจจุบันผู้ใหญ่เราบางคน เอ่ยปากชมเด็ก โดยที่ยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมามองเด็กเสียด้วยซ้ำ คล้ายกับเป็นการตอบสนองอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากลูกว่า ‘แม่ดูนี่สิ’ พ่อดูหนูสิ’ ‘ครูคะ ดูที่หนูทำ’ 

ดังนั้นสนใจเด็กให้เต็มที่ มองตาเขา มองสิ่งที่เขาทำ รับฟังที่เขาพูด แล้วเราจะรู้เองว่า ‘เราควรชื่นชมอะไรเขาดี’

ขั้นที่ 2 ชื่นชมเด็กที่ความตั้งใจและความพยายาม

การชื่นชมที่ผลลัพธ์หรือผลงานของเด็ก บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนจะทำผลงานออกมาได้สวยงาม และความสามารถเด็กไม่ได้เท่ากันทุกคน เมื่อเราชมไปว่า ‘สวยจังเลย’ เด็กบางคนอาจจะรับรู้ได้ทันทีว่า ‘เราโกหก’ เพราะเขารู้ว่า ผลงานเขาไม่ได้สวยเหมือนของเพื่อนๆ แต่ถ้าเราชื่นชมเขาที่ ‘ความตั้งใจ’ และ ‘ความพยายาม’ ของเขา เด็กจะรับรู้ได้ว่า ตัวเองทำสุดความสามารถแล้ว และเขาควรได้รับการชื่นชมเช่นกัน เช่น ‘ลูกตั้งใจทำอย่างเต็มที่ และพยายามทำผลงานชิ้นนี้ด้วยตนเอง พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ’ การบอกอย่างชัดเจนว่า เราชอบที่เขา ‘ตั้งใจทำ’ และ ‘ทำด้วยตัวเอง’ ทำให้เด็กรู้ว่า ‘เราชอบเขาที่ตรงไหน’ ดังนั้นเขาจะรักษาสิ่งที่เราชอบเอาไว้ต่อไป

ขั้นที่ 3 ให้การชื่นชมในระดับที่แตกต่างกันกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

ในสถานการณ์ที่เด็กต้องใช้ความตั้งใจและพยายามมากเป็นพิเศษ และเขาทำมันได้สำเร็จ ให้เราชื่นชมเขาอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเด็กทำสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาเคยทำมันบ่อยครั้งแล้ว เราสามารถชื่นชมเขาได้ แต่ไม่ควรเป็นการชื่นชมที่เทียบเท่ากับสถานการณ์แรก

ยกตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึ่งเพิ่งเริ่มเรียนบวกเลขวันแรก เมื่อเขาสามารถทำโจทย์ได้ด้วยตัวเขาเอง พ่อแม่ควรชื่นชมเขาอย่างเต็มที่ เช่น ‘ลูกพยายามได้ดีมากเลย ทำเสร็จด้วยตัวลูกเอง’ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขาทำโจทย์ได้ด้วยตัวเอง พ่อแม่สามารถลดระดับการชื่นชมลงมาได้ เช่น ‘ลูกตั้งใจดีมาก’

ทั้งนี้ เราควรชื่นชมเพื่อให้ลูกเกิดการพัฒนา ซึ่งการชื่นชมที่ดี คือ การชื่นชมอย่างเต็มที่เมื่อลูกกล้าที่ลองทำสิ่งใหม่ๆ หรือ สิ่งที่ยากและท้าท้าย อย่างไรก็ตามการชื่นชมยังควรมีอยู่ แม้สิ่งนั้นลูกจะทำได้จนชำนาญ เพื่อให้ลูกรู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสม ควรทำต่อไป เมื่อถึงวัยหนึ่งที่เด็กจะเรียนรู้ว่า ‘เขาจำเป็นต้องทำ แม้จะไม่มีใครชื่นชมเขา’ คำชื่นชมของเราจะส่งผลกับเขาน้อยลงไปเอง

การชื่นชมความพยายามของเด็กมากกว่าผลลัพธ์ของเขาเพราะความพยายามจะทำให้เด็กสามารถข้ามผ่านอุปสรรคในชีวิตไปได้ตลอดรอดฝั่ง และพยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ในขณะที่ผลลัพธ์ทำให้เด็กมองเป้าหมายคือการได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่คาดหวัง เมื่อบางครั้งไม่สมดังหวัง จะทำให้หมดกำลังใจ และจะยอมแพ้ และผละจากสิ่งนั้นไปเอาเสียดื้อๆ

ขั้นสุดท้าย อย่าลืมสอนให้เขาชื่นชมยินดีกับผู้อื่นบ้าง

เด็กๆ ที่เติบโตมาพร้อมกับการได้รับความสนใจ ได้รับคำชื่นชมเมื่อทำสิ่งที่ดีและเหมาะสม เขาจะกลายเป็นผู้ใหญที่มีความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาควรจะเรียนรู้ที่จะหันไปชื่นชมและแสดงความยินดีกับผู้อื่นบ้าง เพราะการมองเห็นคุณค่าในตัวผู้อื่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เขาใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข

พ่อแม่สามารถเริ่มสอนลูกได้ตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเริ่มจากการแสดงความยินดีกับผู้ชนะเมื่อเขาเป็นฝ่ายแพ้ และให้กำลังใจกับผู้แพ้เมื่อเขาเป็นฝ่ายชนะการแข่งขัน นอกจากนี้พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างให้กับลูกในการชื่นชมกันอยู่เสมอ พ่อแม่ที่แสดงความขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายทำสิ่งต่างๆ ให้ และชื่นชมอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ ลูกจะเลียนแบบพ่อแม่ของเขา และเรียนรู้ที่จะนำไปใช้กับผู้อื่นต่อไป

สุดท้าย การชื่นชมจากพ่อแม่ ถือเป็นพรวิเศษที่พ่อแม่สามารถมอบให้กับลูกของตนได้ เด็กๆ ที่ได้รับพรข้อนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มองเห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น เขาจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปในสังคมได้อย่างมีความสุข

Tags:

การฟังและตั้งคำถามThe Untold Storiesการไม่ถูกชื่นชม

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (พ่อแม่ก็เช่นกัน)

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Dear ParentsMovie
    Modern Family: ความโมเดิร์นที่หมายถึง ‘ยอมรับความเปลี่ยนแปลง’ ว่ามันจะเกิดขึ้นเสมอ เกิดขึ้นตลอดไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ปลดแอก ‘ชุดนักเรียน’ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น : มองรอบด้านจากบ้านถึงโรงเรียนกับ ‘รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี’
Social Issues
8 December 2020

ปลดแอก ‘ชุดนักเรียน’ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น : มองรอบด้านจากบ้านถึงโรงเรียนกับ ‘รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี’

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เครื่องแบบนักเรียน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์การใช้อำนาจผ่านกฎระเบียบต่างๆ การคงอยู่หรือยกเลิกจึงต้องทำความเข้าใจบริบททั้งครอบครัว สังคม และพื้นฐานทางอารมณ์ที่แตกต่างกันของเด็ก เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด
  • วินัยเชิงบวก คือแนวทางสร้างการยอมรับกติกาในการอยู่ร่วมกันในสังคมบนหลักเมตตาธรรม ไม่ใช้อารมณ์ มีเหตุผลและยืดหยุ่นได้
  • ทางออกของความขัดแย้งเรื่องนี้คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียนและเปิดให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมสะท้อนความคิดเห็นของตนเอง

“หมอไม่ได้ต้องการเห็นภาพ Top down อีกต่อไป เพราะฉะนั้นช่วยหยุดคำสั่งจากส่วนกลางและให้เป็นไปตามบริบทของท้องถิ่นนั้นๆ บางพื้นที่ที่มีความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ไม่สามารถที่จะจัดหาได้ ก็อาจจะเป็นข้อตกลงของท้องถิ่นนั้นเลย ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นชุดขาวกางเกงสีกากี อาจจะเป็นม่อฮ่อมสีน้ำเงินที่เขาใส่กันก็ได้ ดังนั้นเรื่องชุดนักเรียนหรือแม้แต่เรื่องทรงผม เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเราปลดล็อกอำนาจนิยมไปซะ” 

ความเห็นของ หมอเดว-รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น และผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ที่อยากสื่อสารต่อประเด็นข้อเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใส่เครื่องแบบนักเรียน

“เวลาที่เด็กเล็กเขาเรียนรู้ไม่ใช่จากการท่องจำ แต่มาจากการประพฤติปฏิบัติหรือเรียกว่า ‘วิถีแห่งชีวิต’ Learning by feeling คือเรียนรู้จนซึมซาบ จะเห็นว่าเวลาที่หมอพูดถึงการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะเรื่องของเล่นต้องไม่เยอะเกินไปและสามารถรับผิดชอบด้วยการเก็บฝึกจนกลายเป็นพฤตินิสัย ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน โรงเรียน หรือในระบบนิเวศไหนก็ทำเป็นเรื่องปกติ”

นี่เป็นเส้นทางของการฝึกพฤติกรรมและเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ที่หมอพูดเช่นนั้นเพราะขึ้นชื่อว่า ‘เด็ก’ เช่นอายุน้อยกว่า 15 ปีลงไป ซึ่งการตัดสินใจยังไม่ดีนัก กลุ่มนี้เป็นภาระหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องทำให้เขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจนอยู่รอดปลอดภัย และได้รับการพัฒนาของร่างกาย จิตใจ สังคม อารมณ์ สติปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องของจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกัน 

ดังนั้น วินัยในนัยยะของหมอจึงหมายถึงเป็นจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกันกับตนเองและสังคม เวลาที่เราฝึกเด็กให้ใส่ชุดที่ไปในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นความงดงามในการอยู่ร่วมกันบนความคิดอย่างมีระบบ และเรียนรู้กาลเทศะ 

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี

ความต่างของเด็ก 4 แบบ กับเครื่องแบบในบริบทของการสร้างวินัย 

ตามหลักจิตวิทยา เวลาเราจะฝึกเด็กเล็กๆ ให้คิดอย่างเป็นระบบนั้น เกิดขึ้นจากการฝึกในวิถีชีวิตจนที่สุดเกิดการเรียนรู้ พอเขาทำได้หนึ่งเรื่องเขาจะไปทำเองได้ในเรื่องสองสามโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่ให้เด็กถือกระเป๋าเอง ซึ่งในกระเป๋านั้นยังมีใบเล็กใบน้อยแยกไว้ว่าสำหรับใส่อะไรบ้าง เหตุผลที่ทำแบบนั้นเพราะเขากำลังแทรกวิถีคิดที่เป็นระบบ ถ้าเด็กสามารถจัดการได้เมื่อตัวคนเดียวเขาจะไม่ต้องพึ่งพิงพ่อแม่ สามารถที่จะจัดการชีวิตได้อย่างเป็นระบบ กระบวนการนี้เราเรียนว่า Learning by feeling 

ทั้งนี้ คุณครูโดยส่วนใหญ่ที่อาจจะเข้าใจหลักจิตวิทยาเชิงบวกน้อยไป ตามหลักแล้วพฤติกรรมไหนที่เราอยากให้ดำรงอยู่เราต้องให้แต้มบวก พฤติกรรมไหนเราไม่ต้องการให้ดำรงอยู่ต้องให้แต้มศูนย์ เว้นเสียแต่ว่าพฤติกรรมนั้นตกอยู่ใน 3 ประเด็น หนึ่ง…พฤติกรรมนั้นเสี่ยงต่อชีวิตหรืออันตรายต่อชีวิตตัวเอง สอง…เสี่ยงต่อชีวิตหรืออันตรายต่อชีวิตผู้อื่น และสาม…พฤติกรรมนั้นเป็นการอาละวาด ทำลายสิ่งของ ใช้อารมณ์ พฤติกรรมเหล่านี้ต้องหยุดทันที 

กลับมาดูในรั้วโรงเรียนเด็กที่แต่งตัวเรียบร้อย ครูกลับไม่ค่อยชื่นชม เพราะถือว่าเป็นภาระหน้าที่ แต่ถ้าแต่งหลุดลุ่ยเมื่อไรเตือนทันที ทั้งๆ ที่ถ้าเอาตามหลักทางจิตวิทยาพลังบวกต้องทำตรงกันข้าม ถ้าไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินเว้นแต่ว่าชุดนั้นมันประเจิดประเจ้อเกินไป ซึ่งในฐานะผู้ใหญ่ที่เห็นแล้วว่าถ้าปล่อยไว้เขาอาจจะถูกล่อลวง อาจจะถูกทำร้ายได้หรือเข้าข่ายกับ 3 ข้อที่ว่า จึงเป็นเหตุให้ผู้ใหญ่ออกมาปกป้องเขาทันที เพราะไม่อยากให้เกิดภาวะคุกคามทางเพศ (sexual harassment)

ดังนั้นความยืดหยุ่นกับการเรียนรู้ของแต่ละวัยจึงแตกต่างกัน ถ้าสำหรับการปล่อยอิสระ ในทัศนะของหมอเองยังไม่อยากจะถึงอิสระมากนักในเด็กวัยเล็กๆ เพราะเราต้องยอมรับว่าครอบครัว 20 ล้านครอบครัวในประเทศไทย เกือบครึ่งเลี้ยงลูกด้วยอำนาจนิยม อีก 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย หมอใช้คำว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ไม่ทุ่มเท บ้านไม่ค่อยอยู่ปล่อยให้ชาวบ้านช่วยเลี้ยงลูก และฝากความหวังไว้ที่โรงเรียนให้ช่วยเลี้ยงลูกฉันให้เป็นคนดี แต่ตัวพ่อแม่เองกลับไม่ทำหน้าที่ ครอบครัวในลักษณะนี้เหลือครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยที่มีหัวใจแห่งความเป็นคุณธรรมหรือการมีส่วนร่วมประมาณสัก 10 เปอร์เซ็นต์ได้ 

“ถ้าเราเตรียมครอบครัวมาดี และครอบครัวเกินครึ่งเป็นครอบครัวแบบประชาธิปไตย ลูกกลายเป็นคนที่มีภาวะคิดเป็น รู้กาลเทศะ แบบนี้หมอจะเชียร์อัพทันทีว่าขอให้ฟรีสไตล์ ทันทีที่เด็กมีอำนาจในการตัดสินใจแล้วเขาคิดเป็นเหตุเป็นผลได้ปล่อยเขาเลย แต่เราต้องยอมรับกลับมาที่ทุนชีวิตของเด็กไทย ว่าครอบครัวเกินครึ่งเลี้ยงแบบอำนาจนิยม” 

การเลี้ยงแบบนี้เด็กก็มี 4 สายพันธุ์ กลุ่มแรกคือ ‘เด็กเลี้ยงง่าย’ หากเลี้ยงด้วยอำนาจนิยมบังเอิญลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่ายสั่งให้ซ้ายก็ซ้ายสั่งขวาก็หันขวา สั่งให้นั่งเรียนก็เรียนสั่งให้มาเป็นหมอก็เป็น พวกนี้คือเด็กเลี้ยงง่าย แต่ยังขาดภาวะการคิดเป็น ซึ่งไม่สามารถที่จะปล่อยได้ หมอใช้คำว่าเหมือนลูกแหง่ ทำตามสั่งทุกอย่าง

เมื่อกลุ่มครอบครัวที่เลี้ยงด้วยอำนาจนิยมต้องมาเจอกับ ‘เด็กเลี้ยงยาก’ กลุ่มนี้จะกลายเป็นเด็กแหกคอกเลย ทำเพื่อประชดประชัน ซึ่งจะเอาไม่อยู่ด้วยกฎกติกาใดๆ แล้ว ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ต่อให้เป็น Boundaryless ไร้ขอบเขตเลย ไม่ต้องมีวินัย ทรงผม หรือชุดนักเรียน เพราะเขาสามารถคิดเองได้ ถ้าเป็นกลุ่มเด็กเลี้ยงยากเขาพร้อมที่จะแหกกฎทุกเรื่อง ถ้ามาเจอกับกลุ่มเกินครึ่งเป็นอำนาจนิยม ซึ่งจะเห็นเลยว่ามีปัญหาลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด กลุ่มพวกนี้ปัญหาสังคมจะตามมาอีกเยอะ แต่ถ้ามาเจอกลุ่มที่สาม ‘เด็กที่อ่อนไหวง่าย’ เก็บอารมณ์ อาจจะเป็นกลุ่มหนึ่งที่เป็นได้ทั้งสองทิศทาง ด้วยความกล้าๆ กลัวๆ

กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มเด็กบ้าพลัง พลังเยอะและต้องการพื้นที่ปล่อยของ ทำอะไรก็ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจ เแต่ประเทศไทยมีเด็กกลุ่มที่พื้นฐานอารมณ์เลี้ยงง่ายเยอะที่สุด ราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งระบบการศึกษาก็ไปออกแบบที่เน้นกับกลุ่มเด็กเลี้ยงง่าย เราไม่เคยออกแบบเพื่อเด็กเลี้ยงยากเลย ซึ่งที่เด็กเขาเรียกร้องกันอยู่เพราะระบบไปวางไว้ให้กับเด็กเลี้ยงง่ายอย่างเดียว แล้วครอบครัวเราเกินครึ่งก็เป็นอำนาจนิยม ครูก็เติบโตมาจากครอบครัวเหล่านี้ เขาก็คุ้นชินกับวิธีการแบบนี้จะสังเกตเลยว่าแม้ครูจะไปเรียนต่อต่างประเทศมากลับมาก็ใช้สไตล์ตัวเองที่เคยอยู่ประเทศไทย จะเห็นเลยว่าประเภทของเด็กและครอบครัวจึงมีนัยยะมาก 

ยกตัวอย่าง สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มี Parenting style (รูปแบบการเลี้ยงดู) แบบค่อนไปในลักษณะประชาธิปไตย โอกาสจะใช้อำนาจกับลูกน้อยมาก น่าจะขั้วตรงกันข้ามกับบ้านเรา แน่นอนเขามีเด็กเลี้ยงง่าย เด็กเลี้ยงยาก แล้วเมื่อโตขึ้นมาสักระยะหนึ่งเขาก็ปลดระวางโดยไม่ต้องมีกระบวนการระเบียบทั้งหลาย แล้วให้เป็นไปตามวิถีชีวิต ลูกต้องรู้จักมีวุฒิภาวะในการจะหาเลี้ยงชีพ ซึ่งพ่อแม่ไม่ได้ทิ้งเพียงแต่เพิ่มวุฒิภาวะ เพิ่มมิติทางสังคม 

หรือจะเป็น อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตย บางที่มียูนิฟอร์มบางที่ไม่มี บางที่เป็นแบบ flexible คือยืดหยุ่นมากเลย มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้ เป็นไปตามวิถีแห่งชีวิต อันนี้คือประชาธิปไตยในสไตล์ของเขา ซึ่งหมอก็ไม่ได้จะบอกว่าอันไหนดีกว่ากัน เพียงแต่ให้เรียนรู้ว่าแต่ละที่มันมีองค์ประกอบของมันต้องกลับมาดูที่ประเทศไทย ถ้าเราจะหยิบยกบางเรื่องบางอย่างเอามานั่งคุยกันมาวิเคราะห์กันว่า ถ้าอย่างนั้นเราเรียนรู้บนวิถีแห่งชีวิต ไม่ใช่เรียนแบบตำรา ไม่ใช่มานั่งท่องจำว่าต้องพอเพียง มีวินัย จิตอาสา สุจริต ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำ แต่เรื่องที่ควรให้คุณค่าคือพฤติกรรมมากกว่า 

“สมัยเราเป็นเด็กๆ หมอก็เชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เจ็บปวดกับระบบในลักษณะนี้ แต่มันพูดอะไรไม่ออก อย่างมากก็ยกหูโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่โรงเรียนอื่นว่าเจอแบบนี้บ้างไหม ซึ่งก็ไม่กี่คน แต่เราไม่รู้ว่าขณะที่เราอยู่กรุงเทพเพื่อนเราที่อยู่จังหวัดอื่นๆ เขาเจอแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียทำให้เรารู้ว่ามีใครคิดเห็นเหมือนเราบ้าง ที่นั่นก็เจอแบบนี้ ที่นี่ก็มีปัญหาอย่างนั้น แสดงว่ามันไม่ได้เป็นแค่โรงเรียนเดียวแต่เป็นทั้งระบบ ทำให้เกิดแนวร่วมอย่างมากมายด้วยความรวดเร็ว” 

เปลี่ยนการใช้อำนาจผ่านกฎระเบียบเป็นสร้างแรงจูงใจโดยใช้ ‘วินัยเชิงบวก’

วินัยเชิงบวก (Positive discipline) ไม่ใช่วินัยตามใจแต่เป็นวินัยที่สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นระบบและมีระเบียบบนเมตตาธรรม ไม่ใช้อารมณ์ มีเหตุผล และยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็สามารถเห็นร่องรอยได้ว่า นี่แหละที่เขาเรียกว่าระเบียบของเขาตามบริบทท้องถิ่น แต่ก็ฝึกวิถีชีวิตที่คิดเป็นทำเป็น ทำดีได้

Meaningful participation ก็คือสร้างการมีส่วนร่วม แม้แต่เด็กปฐมวัยก็สามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้ ฟังเสียงเขาหน่อยสิว่าเขาคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร แล้วเราจะได้ยินเสียงเด็กมากขึ้น ถ้าในบ้านเราเลี้ยงดูแบบนี้จะทำให้ได้ยินเสียงดังพอที่จะหยุดการใช้อารมณ์ ยกตัวอย่างกรณีลูกวัยอนุบาลร้องไห้ตอนเช้าเพราะไม่อยากไปโรงเรียน ให้แต่งตัวก็ไม่แต่ง ไม่อาบน้ำ ถามว่าความสุขของเขาคือการไม่ใส่ชุดใช่ไหม ถ้าใช่แม่ก็พาเขาไปโรงเรียนทั้งชุดนอนไปเลย แต่ไม่ต้องไปลงโทษเขานะ พอถึงที่โรงเรียนแล้วเขาเห็นเพื่อนแต่งเหมือนกันเขาจะเกิดการเรียนรู้เอง เรียกว่า Social Learning theory หรือจิตวิทยาสังคม 

วิธีนี้จะทำให้โจทย์ของพ่อแม่ง่ายขึ้นในการที่จะจัดการลูกเพื่อให้ลูกจัดการกับระเบียบของตัวเองได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่หมอไม่อยากให้สลายทุกเรื่องไปหมด เพราะวินัยยังจำเป็น บ้านเมืองมันไม่มีไม่ได้ แต่แทนที่เราจะใช้อำนาจผ่านเครื่องแบบหรือกฎระเบียบต่างๆ เราสร้างแรงจูงใจด้านบวก (positive motivation) ให้เด็กอยากทำด้วยตัวเอง ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจวัยรุ่นโดยใช้หลักจิตวิทยาวัยรุ่นนั่นเอง 

“ในทางจิตวิทยาพื้นฐานอารมณ์เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กบางคนต้องการโชว์ออฟ ขณะที่เด็กบางคนไม่ต้องการเป็นเป้าสายตา เด็กที่ต้องการโชว์ออฟคุณไปกล้อนผม เขาก็รวบรวมพลังขึ้นมาแล้วอาจจะกลายเป็นการก่อหวอดกันครั้งยิ่งใหญ่ ไปงัดข้อกับครูและสุดท้ายครูก็เอาไม่อยู่ ครูเองก็ตกเป็นจำเลยกรณีนี้เหมือนกัน กรณีนี้ยังไม่นับภาวะคุกคามต่อเด็กอีกด้วย”

ในทางกลับกันถ้าครูทำแบบนี้ในกลุ่มเด็กที่ไม่ได้ต้องการเป็นเป้าสายตาเลย ก็จะกลายเป็นการถูกบูลลี่และไม่อยากจะมาโรงเรียน มีความรู้สึกถูกทำให้อับอาย จนในที่สุดรู้สึกว่าการเรียนในโรงเรียนมันไม่มีประโยชน์ เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย และถ้าเป็นประเภทเก็บกดอาจจะนำมาสู่ภาวะซึมเศร้า ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องกัน

เครื่องแบบนักเรียนยังจำเป็นหรือไม่ คำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว

สำหรับบริบทประเทศไทย หมอมองว่ายังจำเป็นในสไตล์ของท้องถิ่น เพราะหมอก็ไม่ได้ต้องการเห็นภาพแบบ Top Down อีกต่อไป แต่ต้องการเห็นมันเกิดขึ้นจากบริบทของการมีส่วนร่วม คนบนดอยแต่งตัวสไตล์บนดอยก็ไม่มีปัญหาแต่ขอให้มันเป็นระบบเฉพาะท้องถิ่น บนข้อตกลงร่วมกันซึ่งจะเกิดเป็นร่องรอยระบบและระเบียบขึ้นมานั้นคือ ‘วินัยเชิงบวก’ ไม่ใช่วินัยเชิงอำนาจ ไม่ใช่วินัยแบบสั่งการ แต่มันเกิดการคุยร่วมกัน จึงมีนัยยะบนการมีส่วนร่วมอย่างมีคุณค่า ซึ่งหมอว่าคุณครูคงจะทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น เด็กเองก็มีความสุข ขณะเดียวกันก็มีความคิดเชิงตรรกะและเป็นระบบด้วย

วันนี้เราต้องยอมรับว่าระบบนิเวศชุมชนและสังคมของเราไม่ได้เหมือนสมัยก่อน ระบบของชุมชนของเราก็ไม่ได้เข้มแข็ง ระบบในโรงเรียนก็ไม่ได้สร้างคุณธรรมจริยธรรมและจิตสำนึกบนวิถีแห่งชีวิต แต่สร้างบนตำราเรียนซึ่งมันไม่ได้สร้างการเรียนรู้ได้ในวันพรุ่งนี้ อย่าลืมว่ายังมี New Generation ที่กำลังเติบโตขึ้นมาแล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างไร นี่คือสิ่งหนึ่งที่หมออยากจะสะท้อนไปด้วย

ปลายทางของปัญหา คือสร้างพื้นที่ปลอดภัยและเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วม 

ประเด็นแรกเลยตอนนี้จงทำพื้นที่ของบ้าน ชุมชน และโรงเรียน ให้เป็นพื้นที่ที่อบอุ่นและปลอดภัยสำหรับเด็กๆ แล้วใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมเหลาความคิดฟังเหตุผล หา win-win situation ที่ทำให้ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย 

“จริงๆ ชุดนักเรียนมันเป็นแค่สัญลักษณ์ ใส่หรือไม่ใส่ไม่ใช่ประเด็นหลัก สำคัญอยู่ที่การใช้เหตุผลก่อนที่จะใส่หรือจะไม่ใส่ ก็ตามความคิดเชิงตรรกะ การไม่ถูกล่อลวง การรู้เท่าทัน การรู้จักกาลเทศะ Paradigm มันจะมีทั้งการคิดเชิงตรรกะ คิดเป็นระบบระเบียบ ในขณะเดียวกันต้องอยู่ร่วมกับสังคมได้บนจิตสำนึกที่ดีร่วมกัน

แต่ต้องยอมรับสมรรถนะของครอบครัวก็มีปัญหา ประเทศไทยครอบครัวมีปัญหามากมาย เด็กราว 3 ล้านคนที่อยู่โดยที่ไม่มีพ่อแม่ ทีนี้ถ้าถามว่าบนความเหลื่อมล้ำยากจนและไม่มีชุด ถ้าเข้าใจตรรกะเหล่านั้นก็อะลุ่มอล่วยกันได้”

ดังนั้นสิ่งที่หมอเองอยากเรียกร้อง คือ คณะกรรมการสถานศึกษาน่าจะมีตัวแทนสภานักเรียนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการไม่ใช่นั่งเฉพาะกิจ เข้าไปเป็นหนึ่งในกรรมการ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก เพราะทุกวันนี้กฎหมายในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ องค์ประกอบของคณะกรรมการสถานศึกษาไม่มีตัวแทนเด็กเลย แต่มีผู้นำชุมชน มีพระตามหลักธรรมทางศาสนา มีสุภาพสตรี หรือแม้กระทั่งตัวแทนครู ตัวแทนจากผู้ปกครอง 

ถ้าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก อาจจะใช้กลไกของสถาเด็กและเยาวชนซึ่งมีระดับตำบลด้วยซ้ำ เขาจะเป็นกระบอกเสียงในการช่วยคานสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และช่วยทำให้อำนาจมันไม่ไปอยู่เบ็ดเสร็จอยู่ที่ผู้อำนวยการ ซึ่งถ้าทำได้จะเป็นการกระจายอำนาจที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ความกังวลของหมออีกอย่างคือ ถ้าเรากลายเป็น Boundaryless Society สังคมไร้พรมแดน บนอินไซด์ที่ไม่แข็งแรงประเทศชาติเสียหายแน่นอนครับ แล้วถึงตอนนั้นน้องๆ ที่เติบโตขึ้นมา อาจจะแบกภาระวิกฤติของประเทศที่กู่ไม่กลับด้วย เรื่องบางเรื่องปลดล็อกได้ก็ทำ แล้วไปรีบพัฒนาในส่วนอื่นต่อ อย่างเรื่องภาวะคุกคามที่มีไม่ได้และไม่ควรปล่อยให้มีอีกต่อไป

Tags:

วัยรุ่นนพ.สุริยเดว ทรีปาตีวินัยเชิงบวกจิตวิทยาเด็ก

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Life classroomMovie
    Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
How to get along with teenager
8 December 2020

คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อไรที่ควรคุยกับลูกเรื่องเพศ และ แนะแนวคำตอบเรื่องเพศที่เด็กๆ มักสงสัย
  • เรื่องเพศไม่ควรรู้เฉพาะการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพสำหรับตัวเอง แต่ควรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเพศกำเนิดที่ไม่ตรงกับเราด้วย
  • ที่จริงแล้ว เด็กวัย 8 ขวบควรเรียนรู้และเข้าใจได้แล้วว่าร่างกายและอารมณ์ของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอีกไม่ช้าที่จะเข้าสู่วัยแรกรุ่น ซึ่งถ้าถามว่าเร็วไปไหมเด็กวัย 8 ขวบ พิจารณาตามสถิติแล้ว เด็กผู้หญิงในวัยนี้จะเริ่มใส่ชุดชั้นในกันบ้างแล้ว ส่วนเด็กผู้ชายจะเริ่มเสียงแตกเมื่อล่วงเข้าขวบปีที่สิบหรือหลังจากนั้นเล็กน้อย

เด็กสมัยนี้เข้าถึงข้อมูลเรื่องเพศกันอย่างรวดเร็วและง่ายดายเพียงคลิกเดียว ไม่เว้นแม้แต่ละครหรือสื่อบันเทิงต่างๆ ที่นำเสนอเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้เห็นเป็นเรื่องปกติจนพวกเขาอาจรู้เรื่องอะไรต่ออะไรก่อนเข้าสู่วัยแรกรุ่น (puberty) เสียอีก ดังนั้น บทบาทสำคัญของพ่อแม่อย่างหนึ่งจึงหนีไม่พ้นการหันมาใส่ใจสื่อสารความรู้ที่จำเป็นสำหรับวัยของพวกเขา เพราะแม้เขาจะเข้าถึงหรือได้ยินข้อมูลบางเรื่องมาบ้างแต่แหล่งข้อมูลที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอาจทำให้เขาเกิดความเข้าใจแบบผิดๆ จะดีกว่าไหมถ้าเขาสามารถเรียนรู้พูดคุยและปรึกษาอย่างเปิดอกกับพ่อแม่ที่ให้ความรู้และแนะนำเขาได้อย่างถูกต้อง

อย่ารอให้ลูกเดินมาถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เพราะเขาอาจไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่ไม่เคยพูดถึงหรือแสดงออกมาก่อนเลยว่าเขาสามารถยกเรื่องนี้มาพูดได้อย่างเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ 

ในฐานะพ่อแม่ เราสามารถชี้ชวนให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกช่วงของการเติบโตได้อยู่ตลอด เพราะเด็กๆ มักจะช่างซักถามตั้งแต่ยังเล็ก ผู้ใหญ่สามารถใช้โอกาสนั้นตอบคำถามและพูดคุยถึงธรรมชาติของร่างกายที่จะเกิดอาการแตกเนื้อหนุ่มหรือสาว เปลี่ยนแปลงและเติบโตตามวัยให้เขาฟังแต่เนิ่นๆได้

สำคัญอย่างยิ่งคือการตอบคำถามเรื่องความเปลี่ยนแปลงของวัยแรกรุ่น (puberty) ผู้ใหญ่จำเป็นต้องพูดอย่างเปิดอกตรงไปตรงมา อย่ารอจนลูกเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม 

ที่จริงแล้ว เด็กวัย 8 ขวบควรเรียนรู้และเข้าใจได้แล้วว่าร่างกายและอารมณ์ของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอีกไม่ช้าที่จะเข้าสู่วัยแรกรุ่น ซึ่งถ้าถามว่าเร็วไปไหมเด็กวัย 8 ขวบ พิจารณาตามสถิติแล้ว เด็กผู้หญิงในวัยนี้จะเริ่มใส่ชุดชั้นในกันบ้างแล้ว ส่วนเด็กผู้ชายจะเริ่มเสียงแตกเมื่อล่วงเข้าขวบปีที่สิบหรือหลังจากนั้นเล็กน้อย 

คุยเรื่องเพศ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ ‘ความรู้’ แต่เป็น ‘ความสัมพันธ์’ และ ‘ไว้วางใจ’ 

แต่ก่อนที่จะไปว่ากันเรื่อง ‘ความรู้’ ที่เราจะนำไปพูดคุยกับลูกเรื่องเพศ ที่อยากชวนผู้ปกครองกลับมาตั้งหลักก่อนคือ ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตัวเองเริ่มมีความรักครั้งแรกเมื่อไร รู้สึกอย่างไร ตอนมีประจำเดือนครั้งแรก หรือ ฝันเปียกครั้งแรกเมื่ออายุเท่าไร เวลาไหนจึงเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ และอื่นๆ และ มีเรื่องอะไรที่เราคิดว่า หากได้รู้เร็วกว่านี้ จะดีต่อตัวเราในการใช้ชีวิตมากที่สุด?

และคำถามสำคัญ เมื่อวันที่เราเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เราปรึกษาใคร ด้วยเหตุผลอะไร 

เชื่อว่าในข้อสุดท้าย บางคนมีคำตอบในใจว่าคือ ‘พ่อแม่’ แต่ก็มีอีกมากเช่นกันที่ตอบว่า ‘เพื่อน’ ซึ่งในคนที่ตอบว่า ‘พ่อแม่’ นั้น ก็อาจมีอีกเช่นกันที่ ไม่ได้รับคำตอบที่กระจ่าง พยายามเลี่ยงไม่พูดถึง หรือไม่อีกที ก็อาจปฏิเสธไปเลยว่าไม่มีจริง 

เมื่อหลายคนถูกปฏิเสธสิ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญและเป็นเรื่อง ‘ภายใน’ ของเรา อาจทำให้เราไม่กล้าปรึกษาคนใกล้ตัวอย่างพ่อแม่อีกเลย คล้ายๆ ว่า ไม่แล้ว ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับเธออีก

อันที่จริงอาจไม่ต้องยกตัวอย่างให้เสียเวลา เชื่อว่าหลายคนเข้าใจกันดีว่า ความไว้วางใจ ความสัมพันธ์ มีผลต่อการอยากพูดหรือเล่าเรื่องเพศกับผู้ปกครองมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่น่าจะตั้งต้นกันก่อนคือ ผู้ปกครองต้องทำให้การพูดคุยเรื่องเพศเป็นปกติ ไม่ปฏิเสธเมื่อถูกถาม นั่งฟังนิ่งๆ โดยไม่ตัดสิน 

จะเป็นคีย์เวิร์ดที่ทำให้ลูกเปิดใจอยากพูดเรื่องเพศให้กันฟัง

เมื่อแตกเนื้อหนุ่มสาว

การได้เข้าใจและเตรียมตัวเรื่องประจำเดือนไว้เนิ่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กผู้หญิง หนูๆ อาจตกใจกลัวได้ถ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างกายจะมีเลือดประจำเดือนออกมา

เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนครั้งแรกตอนอายุ 12-13 ปี หรือหลังจากเข้าสู่วัยแรกรุ่นมาประมาณ 2 ถึง 2 ปีครึ่ง ในขณะที่เด็กบางคนเจริญวัยเร็วกว่าเพื่อนและเริ่มมีประจำเดือนที่อายุ 9 ปี หรือกรณีมาช้ากว่าเพื่อนเมื่ออายุ 16 ปี 

สำหรับเด็กผู้ชายจะเข้าสู่วัยแรกรุ่นช้ากว่าเล็กน้อย โดยเฉลี่ยทั่วไปอยู่ที่ 10-11 ปี บางคนอวัยวะสืบพันธุ์อาจพัฒนารวดเร็วและเกิดการหลั่งอสุจิครั้งแรกได้ตั้งแต่ในขวบปีนี้ 

การบอกเล่าถึงธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของลูกไว้แต่เนิ่นๆ นั้นคล้ายคลึงกับการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในวัยผู้ใหญ่อย่างเช่น การย้ายบ้านหรือเปลี่ยนงานนั่นเอง ในมุมของเด็กๆ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องได้เข้าใจและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตนเองไว้ล่วงหน้าก่อนเวลานั้นจะมาถึง 

ทั้งนี้ โรงเรียนบางแห่งมีการสอนเพศศึกษาให้กับเด็กๆ อยู่บ้างแล้ว แต่โดยมากมักแยกสอนหญิงชายออกจากกันชัดเจน เช่น เด็กผู้หญิงจะได้ทราบถึงประจำเดือนและการสวมเสื้อยกทรง ในขณะที่เด็กผู้ชายจะได้เรียนเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศและอาการเสียงแตก 

แต่อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วเด็กผู้หญิงควรได้รู้ว่าเพศตรงข้ามมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และเด็กผู้ชายเองก็ควรรู้ถึงธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเด็กผู้หญิงด้วยเช่นกัน 

การสอนหัวข้อเรื่องเพศศึกษานี้ พ่อแม่ควรปรึกษาและเช็คกับครูที่โรงเรียนว่ามีเนื้อหาการสอนอย่างไรเพื่อช่วยเสริมแทรกเรื่องที่ขาดตกบกพร่องไป นอกจากนั้นยังสามารถพูดคุยถามตอบข้อสงสัยที่เขาอาจมีต่อเนื้อหาวิชาเพศศึกษานี้กันที่บ้าน

จะเริ่มด้วยเรื่องอะไรดี

จุดสำคัญหนึ่งเมื่อเอ่ยถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายกับลูกเมื่อเขาก้าวสู่วัยแรกรุ่นคือการให้เขารู้สึกมั่นใจว่าพึ่งพาเราได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับเด็กบางคน เขาอาจรู้สึกอ่อนไหวไม่มั่นใจเมื่อรู้สึกว่าต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเพียงลำพัง

เป็นปกติสำหรับเด็กซึ่งกำลังก้าวเข้าวัยแรกรุ่นมักจะขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทุกคนต่างก็เคยเป็นแบบนี้เช่นกัน มีไม่น้อยที่รู้สึกงุ่มง่ามแปลกแยกจากเพื่อน ให้เขาเข้าใจว่าเพื่อนๆ ของเขาต่างก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเดียวกันนี้ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน บางคนอาจเป็นสิว อารมณ์แปรปรวน ตัวยืดแบบพรวดพราด ทั้งหมดคือกระบวนการหนึ่งของการเจริญเติบโตที่เป็นไปตามธรรมชาติซึ่งทุกคนต้องเจอ เพียงแต่จะมากน้อยหรือเร็วช้าแตกต่างกันไป

เด็กผู้หญิงที่เจริญวัยเร็วหน่อยอาจเริ่มต้นตอนประถมปีที่ 2-3 ซึ่งหากลูกเริ่มมีหน้าอกเร็วขนาดนี้ เขาอาจทำตัวไม่ถูกและรู้สึกขัดเขินกับการใส่ชุดชั้นในก่อนใครเพื่อน 

การเจริญวัยของเด็กผู้ชาย นอกจากเสียงแตกพร่าแล้วขนบนร่างกายส่วนต่างๆจะเริ่มขึ้นหนาอย่างเห็นได้ชัด ใครที่แตกหนุ่มก่อนเพื่อนก็อาจรู้สึกงุ่มง่ามหรือเขินอายเวลาเพื่อนเห็นหรือล้อไปบ้าง

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกเรื่องวัยเจริญพันธุ์

  • รูปร่างของเด็กผู้หญิงจะกลมกลึงมากขึ้น มีสะโพกและขาเรียวขึ้น
  • หน้าอกเด็กผู้หญิงจะเริ่มมีเนินและขยายขึ้นเรื่อยๆ บางคนอาจมีหน้าอกเร็วกว่าคนอื่น
  • ทุกคนจะมีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศและใต้วงแขน ขนหน้าแข้งหนาและเข้มขึ้น 
  • จะมีสิวกับเหงื่อออกมากขึ้น
  • ร่างกายจะยืดตัวให้เห็นอย่างชัดเจน 
  • อวัยวะเพศและอัณฑะของเด็กผู้ชายจะมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • เสียงของเด็กผู้ชายจะเปลี่ยนเป็นทุ้มขึ้นหรือเสียงแตก
  • เด็กผู้ชายเริ่มมีหนวดเครา
  • เด็กผู้ชายเริ่มฝันเปียก มีการหลั่งน้ำอสุจิตอนหลับ
  • เมื่อเด็กผู้หญิงมีประจำเดือน จะมีเลือดออกเดือนละหนึ่งครั้ง กระบวนการคร่าวๆ คือท่อปัสสาวะจะเก็บเลือดเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ในกรณีที่ไข่ไม่ถูกผสม เลือดเหล่านั้นก็จะกลายเป็นประจำเดือนถูกขับออกมา และกลับกันเมื่อไข่ถูกผสม ก็หมายความว่าเกิดการตั้งครรภ์ 
  • ประจำเดือนของเด็กผู้หญิงครั้งจะมาครั้งละ 3-7วัน ต้องใส่ผ้าอนามัยที่กางเกงชั้นในเพื่อรองรับเลือดประจำเดือน 

คำถามที่ผู้ใหญ่มักถูกถามบ่อยๆ 

เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กๆ ย่างเข้าวัยแรกรุ่นมักมีคำถามมากมายที่เขาข้องใจเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจที่จะให้เวลาพูดคุยตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง ตรงไปตรงมาและให้ข้อมูลถูกต้อง รวมทั้งหมั่นสอบถามความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้คำแนะนำเป็นระยะ

คำถามยอดฮิตคือ 

คำถาม: อะไรคือก้อนแข็งๆ ในหน้าอกหนู? 

คำตอบ: ในเด็กผู้หญิง เมื่อถึงวัยแรกรุ่นอย่างหนูหน้าอกจะเริ่มมีก้อนเป็นไตขึ้นแบบนี้ทุกคนจ้ะ ต่อไปหน้าอกก็จะขยายใหญ่ขึ้นเป็นเต้านมซึ่งขนาดของแต่ละคนใหญ่เล็กต่างกัน และจะพัฒนาเร็วช้าต่างกันด้วย 

คำถาม: ทำไมหน้าอกหนูเล็ก/ใหญ่จังล่ะคะ

ถามทวน: หนูกังวลเรื่องอะไรอยู่รึเปล่า? (เมื่อถามแล้วอาจรอให้เด็กๆ ได้ตอบคำถามออกมาว่าเขากังวลอะไรอยู่) 

ในกรณีที่เขากังวลว่า เขามีหน้าอกที่ใหญ่กว่าเพื่อนในห้อง ทำให้รู้สึกผิดปกติและไม่ดีต่อตัวเอง ถ้าเป็นเรื่องนี้อาจตอบว่า 

คำตอบ: หน้าอกคือ ‘สรีระ’ ของคนจ้ะ ซึ่งแต่ละคนจะมีสรีระไม่เหมือนกัน ไซส์หน้าอกของหนูจะเป็นแบบหนึ่ง มีทรวดทรงแบบหนึ่ง ซึ่งของเพื่อนก็อาจจะไม่เหมือนกัน ขนาดของหนูกับของแม่ก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ แม่เดาว่าหนูกำลังรู้สึกผิดปกติเพราะเริ่มมีหน้าอกเร็วกว่าเพื่อน แต่อยากให้หนูเข้าใจว่า การเติบโตทางสรีระเป็นพัฒนาการปกติ สาวๆ ทุกคนจะค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนแปลงนะ เดี๋ยวเพื่อนๆ ของลูกก็จะค่อยๆ มี ช้าเร็วต่างกันจ้ะ

คำถาม: ทำไม จู๋ผมเล็ก/ใหญ่จังครับ

คำตอบ: ในเด็กผู้ชาย อวัยวะเพศหรือจู๋ (อยากให้ผู้ปกครองสบายใจที่จะเรียกชื่ออวัยวะเพศอย่างสมจริง อย่างรู้สึกว่ามัน ‘ชื่อ’ คือของอวัยวะหนึ่ง) จะเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดเลยล่ะ และแต่ละคนเปลี่ยนเร็วช้าต่างกันนะ ถ้าเห็นเพื่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน เราก็จะรู้สึกว่าทำไมของฉันเล็ก หรือ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเพื่อน เราก็จะรู้สึกว่าทำไมฉันใหญ่จัง จริงๆ แล้วจู๋ของเพื่อนลูกทุกคนก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนกันหมด แต่รูปร่างและขนาดจะต่างกันไป เมื่อมันแข็งตัวขนาดและรูปทรงของแต่ละคนก็จะไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก

คำถาม: ทำไมหนู/ผม ยังไม่มีขนขึ้นที่ตรงนั้นซักที 

คำตอบ: ทุกคนมีขนขึ้นที่อวัยวะเพศหมดแหละจ้ะ เพียงแต่จะขึ้นเร็วขึ้นช้าเท่านั้น แล้วแต่ละคนก็มีมากน้อยไม่เหมือนกัน

คำถาม: ทำไมผมถึงมีนมขึ้นเหมือนผู้หญิงละครับ

คำตอบ: ช่วงแตกหนุ่มบางคนจะมีหน้าอกขึ้นแป๊บนึงอย่างนี้แหละลูก มันเป็นอาการซึ่งมีชื่อด้วยนะ เรียกว่า ไกเนโคมาสเตีย (gynecomastia) ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย สักพักมันจะหายไปเอง บางคนขึ้นมาเป็นเดือนหรือบางคนเป็นปีก็มีนะ

คำถาม: ทำไมหนูยังไม่มีประจำเดือนซักที

คำตอบ: แต่ละคนมาช้ามาเร็วไม่เหมือนกันจ้ะ ส่วนใหญ่แล้วพอเริ่มเป็นสาว ประจำเดือนจะมาก็อีก 2 ปี-2ปีครึ่ง ถ้าเพื่อนๆ ของลูกเป็นสาวเร็วเขาก็จะมีประจำเดือนเร็ว ช่วงวัยที่จะมีประจำเดือนบางคนมาเอาตอนอายุ 16 ปีก็มี ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกตินะ หนูไม่ต้องกลัว แต่เตรียมพร้อมตัวเองไว้ว่าถ้ามีประจำเดือนแล้ว เราต้องใส่ผ้าอนามัยและรักษาความสะอาดนะ 

มีเรื่องอะไรต้องบอกลูกอีกไหม

ให้เขารู้เสมอว่าพ่อกับแม่พร้อมที่จะพูดคุยและเป็นที่ปรึกษาให้เขาตลอดเวลา รวมทั้งเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ใหญ่ที่จะต้องเป็นฝ่ายเข้าหาและเปิดการสนทนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในวัยแรกรุ่นของเขาด้วย รวมถึงไม่เอาแต่อธิบายหลักการ พ่อแม่ต้องเข้าให้ถึงความรู้สึกต่างๆ ของลูกที่มากับการเปลี่ยนแปลงอย่างเข้าอกเข้าใจ 

สำหรับบางบ้านที่รู้สึกขัดเขินกับการพูดคุยหัวข้อนี้แบบเปิดเผย ก็ควรต้องพยายามหาโอกาสพูดและแนะนำเขาให้ได้อยู่ดี อาจสร้างความมั่นใจด้วยการศึกษาข้อมูลให้มากขึ้นและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสริม เพราะก่อนตอบคำถามของลูกๆ ก็ควรแน่ใจเสียก่อนว่าตัวเองไม่มีข้อสงสัยอะไรค้างคา แต่ถ้าไม่กล้าและรู้สึกกระดากที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนี้กับลูกจริงๆ อาจจะต้องเกริ่นนำกับเขาว่า พ่อหรือแม่อาจจะถามไม่เป็นหรืออธิบายไม่เก่ง แต่ถ้าลูกต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลืออะไร สามารถมาพูดคุยได้เสมอ 

อ้างอิง
Steven Dowshen, MD

Tags:

Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)พ่อแม่วัยรุ่นเพศ

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

    เรื่อง The Potential

Project-Based Learning ที่สร้างความเป็นนักสำรวจ: กระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย
Learning Theory
2 December 2020

Project-Based Learning ที่สร้างความเป็นนักสำรวจ: กระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ชวนมารู้จักกับการเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project – Based Learning) ที่ช่วยสร้างความคิด (Mindset) แบบนักสำรวจ ทำให้ผู้เรียนกระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย และกระบวนการทางภูมิศาสตร์” (The Geo – Inquiry Process) ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบ Project – Based Learning รูปแบบหนึ่ง มีกี่ขั้นตอน และทำอย่างไร ชวนอ่านกันค่ะ

เมื่อโรงเรียนต้องหยุดการเรียนการสอนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 ทั้งครูและนักเรียนทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับการปรับรูปแบบการเรียนกันใหม่ชนิดที่ไม่มีใครคาดถึง ประเด็นสำคัญที่ภาคการศึกษาหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การร่วมกันหาแนวทางให้การเรียนการสอนในปี 2020 – 2021 เป็นไปอย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด รวมถึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีสอนให้สอดคล้องกับ ‘วิถีใหม่’ ตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนระยะไกลผ่านออนไลน์ นั่งเรียนในห้องแบบเว้นระยะห่าง หรือสลับกันทั้งสองแบบ ทว่าการสอนจะต้องมีประสิทธิภาพในการติดตั้งทักษะจำเป็นให้กับผู้เรียนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งความยืดหยุ่นด้านสถานที่และวิธีการในการเข้าถึงการเรียนรู้ยังกลายเป็นหัวข้อที่ต้องหันมาพิจารณากันขนานใหญ่ในสภาวการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบันอีกด้วย 

เอดูโทเปีย – เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลด้านการศึกษาได้เผยแพร่บทความของ วิกกี้ ฟิลลิปส์ (Vicki Phillips) ผู้บริหารฝ่ายการศึกษาของ National Geographic Society ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรเจ้าของช่องทีวีและนิตยสารเชิงสารคดีที่เราคุ้นตา ก่อตั้งขึ้นเพื่อศึกษาและถ่ายทอดความรู้แขนงต่างๆ อันเป็นประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไป ตั้งแต่วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงเทคโนโลยี

โดยบทความดังกล่าวได้กล่าวถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-Based Learning: PBL) ที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติด้วยตนเองผ่านการทำโครงงานหัวข้อต่างๆ ที่ไม่เพียงเอื้อกับการปรับวิธีจัดการเรียนการสอนให้เข้ากับสถานการณ์ แต่ยังเป็นหลักสูตรที่เสริมสร้างทักษะจำเป็นในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะ ‘ความคิดแบบนักสำรวจ‘ (an explorer’s mindset) ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาบทใหม่ที่ไม่อาจขาดทักษะสำคัญอย่างการปรับตัว (Adaptability) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น (Collaboration) ไปได้อีกด้วย 

Project-Based Learning เพื่อสร้างความคิด (Mindset) แบบนักสำรวจ

ความคิด (Mindset) แบบนักสำรวจ หมายถึง ความกระหายที่จะเรียนรู้และก้าวข้ามกรอบไปสู่สถานที่ ประสบการณ์ ความรู้สดใหม่ เหมือนนักสำรวจที่ออกไปทำความรู้จักกับโลกที่ตนไม่เคยพบ กล้าเปิดประตูก้าวออกไปจากความไม่รู้ เมื่อสงสัยก็ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบก่อนจะลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้น ผ่านการเตรียมพร้อม ขวนขวายใฝ่รู้ และใคร่ครวญบทสรุป ไปจนถึงทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงส่งต่อไปถึงผู้อื่น ซึ่งหากวางแนวคิดเช่นนี้เป็นจุดตั้งต้น การศึกษาเรียนรู้ที่เกิดขึ้นไม่ว่าในหรือนอกห้องเรียน ในระบบหรือนอกระบบ ผู้สอนและผู้เรียนก็จะกล้าออกไปผจญภัยด้วยความคิดและทักษะแบบนักสำรวจที่เปิดกว้าง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังการเรียนรู้โดยไม่หวั่นกลัวกับอุปสรรคปัญหา

นอกจากข้อดีในด้านประสิทธิภาพการเสริมสร้างความคิดแบบนักสำรวจได้ชัดเจน เมื่อพูดถึงความยืดหยุ่นทั้งสถานที่และวิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยแล้ว PBL เรียกได้ว่าตอบโจทย์อีกเช่นกัน เพราะเป็นรูปแบบที่เอื้อให้ผู้เรียนเข้าถึงการเรียนรู้อย่างเป็นอิสระ พลิกแพลงได้ เช่น สามารถศึกษาค้นคว้าที่ไหนและเมื่อไรก็ได้ จะนัดประชุมกับเพื่อนแบบเจอตัวหรือออนไลน์ก็ตามแต่สะดวก ด้วยเหตุนี้ PBL จึงเป็นแนวทางที่เหมาะกับการเรียนรู้ในสภาวการณ์ที่ต้องเรียนแบบลูกผสม คือ ผู้เรียนบางส่วนอาจต้องอยู่บ้าน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งมาเรียนร่วมกันในชั้นเรียน และยิ่งพิจารณาจากเหตุผลสำคัญที่ PBL มีส่วนช่วยพัฒนาทักษะสำคัญและความคิดแบบนักสำรวจ จะเห็นได้ว่าโรงเรียนหลายแห่งหันมาให้ความสำคัญโดยการกำหนดชั่วโมงการเรียนรู้ผ่านโครงงานช่วงสั้นๆ เข้าไปในตารางเรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งครูผู้สอนจาก National Geographic Society ต่างเห็นตรงกันว่า PBL ช่วยให้เด็กๆ ปรับตัวได้ง่ายขึ้นเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนไปใช้การเรียนรู้เสมือนจริง (Virtual learning) ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ แทนการสอนปกติ

สอดแทรกกระบวนการทางภูมิศาสตร์ในการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้

“กระบวนการทางภูมิศาสตร์” (The Geo – Inquiry Process) คือการเรียนรู้แบบ Project – Based Learning รูปแบบหนึ่ง ซึ่ง National Geographic Society ออกแบบขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนใช้ทักษะอย่างรอบด้านมาคิดวิเคราะห์ หาเหตุผล โดยอิงจากจากระบวนการศึกษาทางภูมิศาสตร์ที่มีการพิจารณาข้อมูลด้านรูปการณ์ พื้นที่ และความเกี่ยวโยงกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติมาทำความเข้าใจ วิเคราะห์ประเด็นและหาข้อสรุปเพื่อการตัดสินใจลงมือปฏิบัติในท้ายที่สุด โดยกระบวนการนี้มี 5 ขั้นตอนซึ่งประกอบไปด้วย การถาม (Ask) การค้นคว้า (Collect) นำเสนอข้อมูลเป็นภาพ (Visualize) พัฒนาเรื่องเพื่อสื่อสาร (Create) และสื่อสารข้อค้นพบ (Act)

ในบทความ ฟิลลิปส์แนะนำให้โรงเรียนนำกระบวนการทางภูมิศาสตร์ (The Geo – Inquiry Process) 5 ขั้นตอนนี้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และความเข้าใจของผู้เรียนได้ลึกซึ้งขึ้นไม่ว่าพวกเขาจะนั่งเรียนอยู่ที่บ้านหรือในโรงเรียน ได้แก่

1. ถาม (Ask): ตั้งคำถาม 

สิ่งที่จะช่วยชักนำให้ผู้เรียนไปค้นคว้าข้อมูลในเรื่องที่เขาสนใจ คือ การตั้งคำถามที่สะกิดต่อมความอยากรู้ คำถามจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักสำรวจและผู้ที่สงสัยใคร่รู้ความเป็นไปในโลก ลองตั้งคำถามที่นำไปสู่การค้นคว้า เช่น การปฏิบัติไม่เท่าเทียมกับคนต่างเชื้อชาติในย่านนี้ส่งผลกระทบอะไรบ้าง? อะไรคือสาเหตุ? จะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

2. ค้นคว้า (Collect): รวบรวมข้อมูล 

ให้นักเรียนหาข้อมูลและรวบรวมประเด็นเพื่อตั้งสมมติฐานให้กับคำถามที่พวกเขามี ขั้นตอนนี้ คือ การให้พวกเขาออกไปสัมผัสประสบการณ์ตรง ค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คนในย่านที่อยู่หรือผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ ทำแบบสอบถาม เก็บบันทึกภาพหรือวิดีโอ ลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์ (อย่าลืมว่าต้องอยู่ในระยะที่ปลอดภัยด้วย)

3. นำเสนอข้อมูลเป็นภาพ (Visualize): จัดการและวิเคราะห์ข้อมูล

เมื่อผู้เรียนเก็บรวบรวมข้อมูลมาได้แล้ว มีหลายวิธีที่คุณครูสามารถช่วยให้เขามองเห็นและเข้าถึงประเด็นเด่นชัดได้มากขึ้น โดยนำเสนอผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น วาดเป็นแผนที่หรือกราฟที่แสดงข้อมูลและใส่ความเข้าใจในแต่ละหัวข้อ พร้อมกับหลักฐานที่มีน้ำหนัก ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนที่ค้นคว้าวิจัยเรื่องสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 ในย่านที่อยู่อาศัยอาจระบายสีต่างกันเพื่อบอกจำนวนผู้ติดเชื้อในย่านใกล้เคียง และทำกราฟแท่งเพื่อแสดงอายุและรายได้โดยเฉลี่ยของคนในพื้นที่นั้นๆ

4. พัฒนาเรื่องเพื่อสื่อสาร (Create): พัฒนาเรื่องราว

ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล แล้วให้นักเรียนสรุปข้อค้นพบเป็นคำตอบให้กับคำถามที่ตั้งไว้ในตอนแรกที่ศึกษาเรื่องนั้นๆ โดยเรียงร้อยเป็นเรื่องราวในรูปแบบ story telling จุดสำคัญของกระบวนการพัฒนาเรื่องราว คือ การชี้ให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปที่ได้จากการค้นคว้านี้ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร และคนกลุ่มใดที่ข้อค้นพบนี้จะสื่อไปถึงเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นได้จริง

5. สื่อสารข้อค้นพบ (Act): แบ่งปันส่งต่อข้อค้นพบ 

ขั้นตอนสุดท้ายคือการเผยแพร่เรื่องราวที่เขียนขึ้นให้ผู้อื่นทราบ ในการเรียนทางไกลจากนอกห้องเรียน (Remote Learning) การเผยแพร่ข้อค้นพบแบบ story telling อาจทำได้มากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเผยแพร่ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง สร้างเพจสาธารณะ เปิดสัมมนาออนไลน์ หรืออัพเป็นวิดีโอเรื่องราวลงโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ

กระบวนการทางภูมิศาสตร์ 5 ขั้นตอนข้างต้นสามารถนำไปใช้กับการสอนได้ทั้งกับรายวิชาหรือนำมาเชื่อมโยงทำความเข้าใจหลายสาขาวิชาในคราวเดียวกันก็ได้ เช่น นักเรียนอาจค้นคว้าเรื่องระบบการทำงานในร่างกายมนุษย์และจุลินทรีย์ในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับศึกษาแง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีบทบาทและเกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายของโรคติดต่อไปพร้อมกัน ซึ่งการทำความเข้าใจประเด็นต่างๆแบบสหวิทยาการ นอกจากจะช่วยเปิดโอกาสให้ครูผู้สอนจากหลายสาขาได้เชื่อมโยงเนื้อหาการสอนเข้าด้วยกัน ผู้เรียนยังได้เรียนรู้และเข้าใจในหลายมิติด้วย 

ดังนั้น การเรียนผ่านการทำโครงงาน หรือ Project – Based Learning น่าจะเป็นหนทางที่ไม่เพียงช่วยปลุกทักษะการคิดแบบนักสำรวจให้ตื่นขึ้นได้ผ่านการฝึกให้ผู้เรียนขวนขวาย ใฝ่รู้ และใช้ทักษะที่จะสามารถนำไปรับมืออุปสรรคปัญหาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วไม่แพ้ความเป็นไปของโลก หากนำมาประยุกต์ใช้ควบคู่กับโมเดลการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสาตร์ข้างต้นด้วยก็จะยิ่งเป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพหนึ่งที่จะขยายผลการจัดการเรียนรู้ของคุณครูให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

เพราะไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด สิ่งหนึ่งที่ในทุกรูปแบบชั้นเรียนไม่มีวันเปลี่ยน คือความมุ่งหวังของครูที่พร้อมจะจุดประกายความสนใจใคร่รู้ให้เกิดขึ้นในแววตานักเรียนทุกคน และช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจ ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ 

อ้างอิง
An Adaptable Framework for Project-Based Learning.

Tags:

project based learning21st Century skills4Csความสามารถในการปรับตัว(Adaptability)ทักษะการร่วมงานกับผู้อื่น(collaborative skill)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Creative learning
    การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • 21st Century skills
    ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

การยอมรับ คำชื่นชม และค้นพบความคลั่งไคล้ของตัวเอง: 3 พลังที่ควรได้รับเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่น
How to get along with teenager
1 December 2020

การยอมรับ คำชื่นชม และค้นพบความคลั่งไคล้ของตัวเอง: 3 พลังที่ควรได้รับเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่น

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เราบางคนอาจเคยสับสนและรู้สึกหลงทางเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ช่วงวัยที่เราต้องเจอกับคำถามตลอดเวลา ฉันชอบทำอะไร? ฉันอยากเป็นอะไร? บางคนที่โชคดีได้ค้นพบตัวเอง แต่กับบางคนกำลังเดินอยู่ในเขาวงกต ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางออกเจอ แม้จะเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
  • รายการพอดแคสต์ ‘ในโลกวัยรุ่น’ ตอนแรก จะมาแนะนำเครื่องมือที่ช่วยวัยรุ่นค้นหาตัวเอง กับ 3 พลังที่วัยรุ่นควรได้รับ พลังของการถูกมองเห็น พลังของการได้รับการชื่นชม และพลังของการค้นพบความคลั่งไคล้ หรือ passion ของตัวเอง

ในช่วงวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงที่กำลังค้นหาตัวตนก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ มี 3 พลังที่ควรได้รับที่จะช่วยให้เขาเจอความชอบ เจอศักยภาพของตัวเอง นั่นคือ พลังของการถูกมองเห็น พลังของการได้รับการชื่นชม และพลังของการค้นพบความคลั่งไคล้ หรือ passion ของตัวเอง ซึ่งทั้ง 3 พลังนี้อาจได้มาจากคนรอบตัว จากตัวเราเองที่ย้อนมองประสบการณ์ของตัวเรา หรือจากเครื่องมือดีๆ ที่เข้ามาช่วย

โจ้ – กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential ชวนสนทนาถึงประเด็นนี้ใน Podcast รายการ “ในโลกวัยรุ่น” ว่า 3 พลังนี้คืออะไร และจะสามารถค้นเจอได้อย่างไรในช่วงวัยรุ่น ผ่านการถอดประสบการณ์ของตัวเอง 

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่นี่

The Potential Podcast รายการ “ในโลกวัยรุ่น” เป็นรายการที่อยากชวนคุณผู้ฟังมาลองย้อนกลับไปมองตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น อยู่ในช่วงของการสับสน ค้นหาตัวเอง เหมือนฟ้ามืดๆ มองหาทางไม่เจอ แล้วมันมีจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้เราค้นพบศักยภาพตัวเอง เจอพลังความชอบ ความใช่ พลังคลั่งไคล้ เพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่ศักยภาพอันสูงสุด โดยเราจะชวนคนในอาชีพต่างๆ มาเล่าประสบการณ์ถอดบทเรียนในช่วงเวลาที่เขาเป็นวัยรุ่น เขาทำทางหาตัวเองเจอได้อย่างไร พร้อมกับแนะนำเครื่องมือและวิธีการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ ช่วยให้วัยรุ่นได้ค้นเจอศักยภาพของตัวเอง

ทุกวันนี้ในวัยกลางคนทำงานอะไร และมีช่วงวัยรุ่นเป็นอย่างไร?

ขอเริ่มจากงานที่เราทำแล้วกัน แน่นอนว่างานหนึ่งของเราคือการเป็นบรรณาธิการเว็บไซด์ The potential เราทำหน้าที่ในการคิด วางธีม วางแก่นแนวคิด แล้วก็สร้างสรรค์เนื้อหาต่างๆ ส่งมอบเรื่องราวดีๆ ให้กับคุณผู้ฟัง ส่วนอีกงานหนึ่งคือเราเป็นคนทำงานด้านการพัฒนาเยาวชน 

จริงๆ มันมีจุดเปลี่ยนนะว่าทำไมเราจึงเลือกมาทำงานพัฒนาเยาวชน เพราะตอนที่เป็นวัยรุ่นเราก็เป็นคนหนึ่งที่สับสน คลำทางไม่เจอตัวเอง ชีวิตเราพ่อแม่แยกทางกัน เราก็เลยโตมากับยาย ค่อนข้างต้องดูแลตัวเองในระดับหนึ่ง ไปโรงเรียนเอง ทำอะไรเอง ซึ่งการที่เราต้องอยู่ด้วยตัวเองมันค่อนข้างที่จะมืดมาก คือเราหาไม่เจอเส้นทางที่จะพัฒนาตัวเอง ยิ่งเราเรียนในโรงเรียนที่เข้มข้นเรื่องวิชาการ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความถนัดของเรา เราเป็นคนไม่ชอบคิด ไม่ชอบเรียน แต่ชอบปฏิบัติ รวมๆ มันก็ทำให้เราหาทางได้ยากนะ 

จนวันหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเราที่เป็นเด็กหลังห้อง เด็กที่กว่าจะค้นหาตัวเองเจอ ก็นำไปสู่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกวันนี้เราทำงานพัฒนาเยาวชน เพราะเราอยากแชร์วิธีที่เราเจอตัวเองให้คนอื่นได้เรียนรู้ไปด้วย

ก่อนจะมาทำงานพัฒนาเยาวชนเต็มตัว ได้ยินมาว่าพี่โจ้เป็นนักการละครมาก่อน อยากรู้ว่าจุดเริ่มต้นของการเข้าไปเรียนการละคร เริ่มจากอะไร? 

ช่วง ม.ต้น เราเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เหมือนโรงเรียนในกรุงเทพฯ ทั่วไปที่เน้นเรื่องวิชาการ เน้นคณิตศาสตร์ วิทย์ อังกฤษ และเชื่อว่าเด็กเก่ง คือ ต้องเป็นที่ 1 ในการท่องจำ ถ้าย้อนไปมองเราตอนนั้นไม่รู้จะเหมือนคุณผู้ฟังหรือเปล่านะ คือ เราไม่ถนัดเรียนหนังสือ เป็นเด็กหลังห้อง คะแนนก็ไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะเราไม่ค่อยตั้งใจเรียน เราไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้นานๆ นั่งเรียนไปสักพักก็จะหันออกไปมองนอกห้อง แต่ละคาบที่เรียนไปเราก็รอว่าเมื่อไรจะถึงเวลาพักสักที เมื่อไหร่จะได้นั่งคุยกับเพื่อน เหมือนเราเป็นคนที่ชอบพูดคุยกับผู้คน ชอบความสัมพันธ์ ชอบทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนเสียมากกว่า

วิธีเรียนรู้ (Learning Styles) ของเราไม่ใช่แบบสายวิชาการ 

ใช่ แล้วมันก็จะมีความ pain พอสมควรนะ สำหรับเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็นแบบพี่

Pain จากอะไร?

Pain จากความรู้สึกว่าเราไม่มีจุดเด่น ไม่มีความโดดเด่นอะไร เพราะสังคมมักให้ค่าว่าความโดนเด่นต้องอยู่ที่คะแนน ถ้าจะบอกคุณว่าเป็นวัยรุ่นที่เก่ง มีศักยภาพ  แปลว่าคุณต้องได้เกรด 4 ในบางวิชา โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ หรือโอ้โห ต้องเป็นที่หนึ่งของห้องเรียน แต่เราเป็นพวกอยู่หลังห้องเรียนอะ แถมเวลาสอบ คะแนนออกมาก็ไม่ค่อยดีอีกต่างหาก หรือเวลาอ่านหนังสือ เราก็อ่านยังไงวะ? หลับตลอดเวลาเลย ประมาณนี้

เพราะเป็นนักกิจกรรมหรือเปล่า เลยไม่สนใจวิชาการ?

ตอนนั้นเราก็ยังไม่ชัดเจนว่าชอบกิจกรรม แค่พอรู้ว่าหากจัดกีฬาสีเมื่อไรมันคือช่วงเวลาของเรา เป็น festival ที่จะได้เฉลิมฉลอง ได้เจอเพื่อน พี่ น้อง เรียนรู้และลองทำกิจกรรมร่วมกัน รู้สึกว่าข้างในเรามีพลังบางอย่างที่เรียกร้องหรือตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการทำกิจกรรม แต่เนื่องจากช่วง ม.1 – ม.6 ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ทำกิจกรรม ยิ่งเราเป็นเด็กหลังห้องก็ยิ่งไม่ถูกมองเห็นอีก

วันหนึ่งเกิดจุดเปลี่ยน ตอนนั้นอาจารย์ออกแบบให้ทำละครภาษาอังกฤษ มีเพื่อนเราคนหนึ่งเป็นคนชอบละคร เขาไปเรียนการแสดงตั้งแต่ ม.4 – ม.5 ไปเรียนกับครูช่าง ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง แล้วเอาแบบฝึกหัดมาเล่นกับเพื่อนๆ ในห้อง คล้ายๆ กับทำเวิร์คช็อป ให้เราลองใช้ร่างกายเคลื่อนไหวหรือการพูดแสดงสด เรามีโอกาสไปทำเวิร์คช็อปนั้น เพื่อนก็เป็นนักพาทำจริงๆ เนื่องจากเขามีประสบการณ์การละครมาก่อน

เพื่อนคนนี้ชื่อว่าคุณเชอร์รี่ เป็นคนแรกที่มองเห็นเรา อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนหลังห้องนะ เพื่อนๆ ที่คบก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่วันนั้นที่เราทำละครภาษาอังกฤษ เชอร์รี่บอกว่า ‘โจ้ แกเก่งมาก กล้าใช้ร่างกาย เวลาที่เล่นละครแกโดดเด่นมาก’

พลังแรก “การถูกมองเห็น” มาแล้ว

ใช่ แล้วไม่ได้มาจากครูหรือผู้ใหญ่ที่ไหน แต่เป็นเพื่อนเราเองนี่แหละที่สะท้อนเรา ตอนนั้นเรารู้สึกว่าถูกเติมเต็ม (fullfill) นะ เรารู้สึกดีใจที่ได้รับการชื่นชม พอเราถูกมองเห็นก็เริ่มคิดแล้วว่า เอ๊ะ! หรือเราจะชอบทางนี้? ก็กลับมานั่งคิดว่าเราอยากลอง ถ้าเราได้เป็นนักแสดง ได้ทำละคร เราจะเป็นอย่างไร 

ตอนที่เพื่อนบอกว่า เราใช้ร่างกายเก่งนะ เราเชื่อเพื่อนตั้งแต่แรกเลยไหม? มันไม่ได้ขัดแย้งกับ ความรู้สึกจริงๆ ของเราใช่ไหม?

ก็ไม่รู้ว่าเราเชื่อหรือไม่นะ แต่มันเหมือนว่าคำชื่นชมของเพื่อนเป็นแรงผลักดันให้เราได้ค้นต่อ ให้เราได้สำรวจต่อ คำพูดเขามันเปิดโอกาส เชื้อเชิญให้เราได้ทดลองใช้ร่างกาย ให้อยากทำแบบฝึกหัดนั้น แล้วยิ่งใช้ร่างกาย ลอง เราก็ทำมันให้สุด เพราะมันคือโอกาสที่เราจะได้ทำครั้งเดียวเท่านั้น

แล้วเพื่อนเขาก็เปรียบเทียบด้วยนะ เพื่อนแต่ละคนที่ทำงานเขาก็บอกคนนี้มันโดดเด่นเหลือเกินทำออกมาเสียดี นั่นแหละเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราอยากค้นหาและอยากทำแบบฝึกหัดแบบนี้มากขึ้น เอาจริงเราไม่เคยจินตนาการมาก่อนนะว่า เราอยากเป็นนักแสดงหรือเปล่า เรายังคิดไปไม่ถึงตรงนั้น แต่เรารู้สึกว่าแค่ทำงานตรงนี้ อยู่กับกิจกรรมแบบนี้แล้วเรามีความสุข สุดท้ายมันก็ทำให้เราพาตัวเองไปสู่การสอบที่จะเข้าสาขานี้ ไปออดิชัน

เรามั่นใจไหมว่าเราอยากเป็นนักการละคร?

ตอนนั้นไม่รู้ว่าอยากเป็นนักการละครไหม แต่รู้ว่าอยากเรียนที่นี่ อยากทำแบบฝึกหัดให้มากขึ้นไปอีก คิดว่าถ้าได้ฝึกเพิ่มกว่านี้เราจะดีขึ้นไหม? ตอนนี้เราเพียงแค่ทำกิจกรรมใช้ร่างกายแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าเราได้เข้าไปเรียนตรงนั้นเลย มีเวลาค้นหา ใช้ร่างกายในการแสดงให้มากขึ้น มันจะเป็นไปได้ไหม 

ตอนไปสอบไม่รู้หรอกว่าจะติดหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าเขาเรียก เซอร์ไพรส์มากเลย คือตอนที่ไปออดิชัน เรารู้สึกว่ามีคนกำลังมองเห็นเรา เขาเป็นครูที่มานั่งดูออดิชัน พอถึงตาเราเราต้องเล่นละครสดๆ เราเตรียมบทไว้เอง 3 – 5 นาที ตอนนั้นไปสอบที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว.ประสานมิตร  สอบครึ่งเช้ามีคนเป็นร้อย พอเล่นเสร็จมีรุ่นพี่มาบอกเราว่า มีอาจารย์ชอบเรานะ มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าอาจารย์เห็นแววอะไรบางอย่างในตัวเราหรือเปล่า แสดงว่าพรสวรรค์ที่เรามีมันอาจจะใช่

คล้ายๆ กับเป็นการคอนเฟิร์มบางอย่างใช่ไหม?

ใช่ ตอนประกาศผลเราได้สำรองลำดับ 5 ไม่ได้ติดหนึ่งใน 15 คน แต่สุดท้ายเขาก็เรียกสำรองทั้งหมดนะ ก็ได้โอกาสเรียนที่นี่ เรารู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงวัยรุ่น แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าชอบอะไร เรียนเราก็ไม่เก่ง เราก็คิดว่าจะสอบอะไรได้หรือเปล่า สอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องไม่ติดแน่นอน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่มองเห็นเรา ว่าเราใช้ร่างกายได้ดีนะ น่าจะเป็นแบบนี้นะ คำพูดตรงนั้นทำให้เราลองสำรวจตัวเอง ครู อาจารย์ รุ่นพี่มาพูด ก็ทำให้เรากล้า มั่นใจที่จะสำรวจความชอบของตัวเอง

แสดงว่าจุดเริ่มต้น คือ การได้รับคำชื่นชมที่จะทำให้เราสนใจอยากไปต่อ และพอมีคำชมที่สอง มันเริ่มยืนยันแล้วว่าสิ่งที่เราทดลองนั้นน่าจะมาถูกทางแล้ว?

ใช่ๆ เหมือนมีคนหนึ่งมองเห็นแล้วจุดประกายเรา 

ตัวเขามีเซนส์บางอย่างที่รับรู้ได้ว่าคนคนนี้กำลังมีอะไรที่ซ่อนอยู่ พร้อมที่จะฉายแววออกมา การมีคนที่มีเซนส์แบบนี้เราว่าสำคัญมากนะสำหรับวัยรุ่น ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นเพื่อนกันเองก็ได้ และที่สำคัญคือคำชม มันเหมือนการมอบของขวัญ ‘ทำไมเราถึงใช้ร่างกายได้ดีจัง’ ‘ทำไมเราแตกต่างจากคนอื่น’ คำพูดแบบนี้มันโคตรจะเป็นแรงผลักดันให้เรามีแรงค้นหาตัวเองต่ออีกเยอะ

พลังที่สอง พลังของการได้รับการชื่นชม

มันเหมือนซีรีย์นะ พลังที่ผลักดันเราช่วงเป็นวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่ยังหาตัวเองไม่เจอ กว่าจะเจอมันเริ่มต้นจากการมองเห็นก่อน อันที่สอง คือ การชื่นชม ยิ่งได้รับคำชื่นชมมากก็เหมือนได้ของขวัญ คำชมที่เป็นจุดเปลี่ยนของพี่อีกอันนึง คือ ช่วงที่พี่เรียนวิชาละครสร้างสรรค์ เป็นละครเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อเล่นละครเวที หรือละครหน้ากล้อง เป็นวิชาที่เราต้องฝึกเป็นพิธีกร เป็นคนนำกิจกรรมที่จะพากลุ่มเป้าหมายเกิดการเรียนรู้ พาเยาวชนไปเรียนรู้ เป็นครั้งแรกของชีวิตที่ได้ทำกิจกรรมแบบนั้น 

มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเรานะ เพราะปกติเราเป็นแค่คนร่วมกิจกรรม แต่นี่เราต้องเป็นคนนำกิจกรรม ยืนหน้าห้องพาคนนำกิจกรรม เหมือนไปไม่ถูก แต่เราก็ได้รับคำชมของอาจารย์คนหนึ่ง ชื่อครูแพท รศ.ดร.ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มันเป็นคำพูดหนึ่งจากอาจารย์ที่พี่จดจำได้ตลอดชีวิตเลย เขาบอกว่า ‘คุณเป็นครูได้’ คำนี้นี่แหละมันเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย ทำให้เห็นว่าเราเก่งอะไร ทั้งๆ ที่เราอาจจะไม่เห็นตัวเราเองด้วยซ้ำ หรือทั้งๆ ที่การทำกิจกรรมครั้งนั้นจะเป็นครั้งแรกในชีวิตเรา แต่พอครูพูดคำนี้ปุ๊บ มันมีความหมายสำหรับเรามากที่จะทำให้เราได้ฝึกตัวเองต่อในเส้นทางนี้ เรารู้สึกว่าเราต้องการมากเลย

ในชีวิตเราจะได้รับคำชมหลายแบบมาก แล้วเส้นแบ่งระหว่างคำชมที่ทำให้เรามองเห็นอาชีพหรือทักษะบางอย่างในตัวเอง กับคำชมทั่วๆ ไปคืออะไร? 

ถ้าให้ถอดรหัสนะ คำชมที่เติมเต็มเรามักเป็นคำชมจากคนใกล้ชิด เป็นคนที่มีความหมายกับชีวิตเรา เป็นคนที่เรามองเขาแล้วรู้สึกว่าเราเรียนรู้จากเขา คล้ายๆ กับคนที่เป็นไอดอลของเรา

พี่รู้สึกว่าอาจารย์คนนี้เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้ แล้วถ้าพี่จะฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะเป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องอะไร พี่ก็จะดูจากคนที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ อาจารย์คนนี้ก็เหมือนเป็นไอดอลนั่นแหละ แล้วคิดดูสิว่าไอดอลมาชมเรา มันจะเกิดอะไรขึ้น เราไม่ต้องชมตัวเองเลย มันจะแยกออกเลยระหว่างคนอื่นทั่วไปที่มาชมเรากับคนที่พิเศษสำหรับเรา

มีคำชมอื่นๆ ที่รู้สึกว่าเติมเต็ม (fullfill) ตัวเอง หรือมีผลต่อการค้นหาอาชีพของเราต่อไหม?

ไม่ถึงขั้นเป็นคำชมนะ เป็นแรงเสริม คือเวลาเล่นละครก็ต้องใช้เวลาฝึกซ้อมประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี แล้ววันสุดท้ายที่เราเล่นละครตอนจบ ถ้าใครเคยดูละครเวที พอละคร 1 ชั่วโมงเล่นจบ เขาจะให้นักแสดงออกมาเพื่อโค้งคำนับ แสงสปอต์ไลท์ก็ส่องมาที่เรา มีเสียงปรมมือจากคนดู มันเป็นอะไรที่สุดยอดเลยนะ ที่เราทุ่มเท ฝึกฝนซักซ้อม แล้วก็เตรียมพร้อมกับมันมา ณ วันหนึ่งที่ปล่อยผลงานเราออกไป แล้วมีเสียงปรบมือให้กับเรา เราก็จะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่า ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่พี่คิดว่าคำชมมันควรเป็นสิ่งที่ค่อยๆ เก็บสะสมมาเรื่อยๆ พูดในมุมการละครนะ 

แต่ถ้าเป็นเรื่องของการนำกิจกรรม พี่มีโอกาสได้นำกิจกรรมให้กับน้องๆ เยาวชนหรือเด็กๆ ที่ขาดโอกาสหลายๆ คนนะ หลังทำกิจกรรมเสร็จ ก็จะมีกระบวนการให้เขาเขียนสะท้อน (Reflection) แล้วเขาเขียนว่า ‘ขอบคุณที่พี่มาสร้างโอกาสให้กับเรา ทำให้หนูได้เรียนรู้’ ทำนองนี้ คำพูดแบบนี้มันทำให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่า เรามีความหมาย เป็นแรงผลักให้เราพัฒนางานของเราให้ดียิ่งขึ้นไปอีก 

แล้วจะกลายเป็นว่าเราบ้าคำชื่นชมไหม?

ก็น่ากลัวเหมือนกันนะ บางทีเราอาจจะเสพติดว่าเราต้องได้รับคำชมตลอดเรื่อยๆ แต่ลึกๆ ตัวเราจะสัมผัสได้เองว่าอะไรคือคำพูดที่จริงใจ ทรงพลังกับเรา อย่างที่บอก กว่าจะจัดแสดงละครครั้งหนึ่งต้องซ้อม 6 เดือนถึง 1 ปี เราทุ่มเททำ พัฒนา เราใช้เวลากับมันมาก พอได้รับคำชื่นชมมันก็มีความหมายกับเรามากเป็นพิเศษ แต่ถ้าคนมาเยินยอเรา แต่เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าเราไม่ได้ทุ่มเทขนาดนั้น คำชมนั้นก็ไม่โดนเราหรอก แต่งานไหนที่เราทุ่มเท เป็นผลงานที่เราพร้อมนำเสนอจริงๆ มันก็จะโดน

สำหรับผู้อ่านหรือผู้ฟังที่เป็นคุณครู อาจารย์ หรือคนที่มีส่วนในการผลักดันสนับสนุนเยาวชน หรือวัยรุ่น เขาควรใช้คำชมอย่างไรที่จะทำให้วัยรุ่นที่เขาดูแลค้นเจอตัวเองแบบที่พี่โจ้เจอ?

ชมที่ทักษะ ที่ความทุ่มเทของเขา ถ้าเราปล่อยคำชมมากมาย แต่ไม่ได้มาจากใจจริงก็เท่านั้น แต่ถ้าเราจริงจังกับคำชม เรารู้ว่าคำชมนี้มันจะทำงานกับวัยรุ่นในช่วงที่เขากำลังฝึกฝนตัวเอง มันจะทรงพลังมากนะ

สุดท้ายแล้ว เราก็แค่อยากจะได้รับความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในสิ่งที่เราทำอยู่

ใช่ จะทำให้เราชัดเจนว่าเรากำลังหาอะไร อย่างที่พูดไปเมื่อช่วงต้นว่าวัยรุ่นเป็นช่วงของการคลำทางค้นหาตัวตน เขาไม่รู้หรอกว่าชอบอะไร จะทำสิ่งนี้ได้ดีหรือไม่ แต่โจทย์ที่เขากำลังเจอ ที่เขากำลังทำอยู่ ถ้ามันได้รับคำชมขึ้นมา แล้วคำชมนั้นมันกลายเป็นคำชมที่จริงจังและจริงใจ มันจะทำให้เขาพาตัวเองไปสู่การฝึกฝนที่เจอตัวเองจริงๆ เหมือนศักยภาพที่ซ่อนอยู่มันจะค่อยๆ ฉายแววออกมา จะฉายออกมาได้ก็ต่อเมื่อได้ฝึกฝน

การเดินทางของชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สิ่งที่เราได้รับไม่ได้มีแต่คำชม คำด่าก็มี ซึ่งมันทำงานกับเรานะ อาจจะไม่ได้ให้พลังบวกแบบคำชม

พี่ก็ได้ตรงนี้เยอะมาก เช่น การที่เขาบอกจุดบอดของเรา หรือบอกว่าจุดที่เรายืนอยู่มันด้อย ตอนฟังก็หน้าชานะ รู้สึกอาย แต่จริงๆ ก็ดีเหมือนกัน แต่มันไม่ควรใช้บ่อย ในสังคมไทย ผู้ใหญ่ชอบใช้เยอะเลยแหละ เขาเรียกเสียงหมาป่า เป็นคำต่อว่า ซึ่งเราก็จะมีวิธีเก็บเสียงที่เป็นคำพูดที่ชื่นชม คำพูดที่เสริมพลัง 

ตัวพี่ได้คำด่าเยอะมาก ทุกๆ วันที่เราฝึกซ้อมละคร เราจะมีกรรมการมาคอยคอมเมนต์ สะท้อน หรือวิจารณ์ที่เป็นเชิงบวก พี่ได้ฝึกตรงนี้เยอะเหมือนกัน เช่น เวลาเราซ้อมละครรอบที่ 1 เสร็จ ผู้กำกับก็จะมานั่งคุยกัน เขาก็จะบอกว่าจุดนี้คุณยังทำไม่ได้นะ เป็นการสะท้อนให้เห็นความเป็นจริง ผู้กำกับจะบอกให้เราใส่ใจกับตรงนี้อีกนิดนึงได้ไหม ‘คุณลองใช้ร่างกายเพิ่มขึ้นได้ไหม’ ‘ลองอยู่กับความจริงจัง’ ‘จริงใจกับตัวละครอีกได้ไหม’ ‘คุณลองเอาสถานการณ์ในชีวิตจริงของคุณเข้ามาคิด แล้วก็มาเป็นตัวละครตัวนี้ได้ไหม’ ‘ทดลองดูซิ ถ้าทำได้เนี่ย มันจะทำให้การแสดงของคุณมันน่าสนใจขึ้นเยอะเลย’ ประมาณนี้

คนที่เรียนละครจะได้ฟีดแบคแบบนี้ทุกวัน หรือแม้กระทั่งในกระบวนการใดๆ ก็ตาม เหมือนเป็นวัฒนธรรมที่เราจะรับคำติชม แต่ให้รู้นะว่าคอมเมนต์เพื่อเป้าหมายงาน นี่ก็น่าสนใจ เป็นพลังของคำวิจารณ์ ขัดเกลาให้ทักษะของเราได้เชี่ยวชาญเข้าไปได้อีก

กระบวนการที่จะเปลี่ยนคำวิจารณ์นั้นให้เป็นพลังบวก ไม่ให้เรายอมแพ้กับมัน ทำอย่างไร?

พอพูดคำว่าเป็นกระบวนการ คำนี้ก็น่าสนใจนะ วัยรุ่นเป็นวัยที่มีอารมณ์ข้างในมากมาย เขาจะอยู่แต่กับความรู้สึก ใช้ความรู้สึกเป็นตัวนำ ช่วงแรกๆ สิ่งที่เราควรให้วัยรุ่นคือคำชม พอช่วงหลังๆ เราก็จะลองให้ฟีดแบคเขาอย่างจริงจัง ให้เขาเห็นตัวเองเพื่อที่จะพัฒนาต่อ ซึ่งมันจะนำไปสู่พลังสุดท้ายที่วัยรุ่นควรได้รับ คือ passion หรือการค้นพบพลังคลั่งไคล้ในตัวเอง 

พลังที่สาม การค้นพบพลังคลั่งไคล้ในตัวเอง 

ในช่วงวัย 14 – 18 ปี ถ้าเราพบ passion ของตัวเอง มันจะเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ทำให้เรารู้เป้าหมายและอาจจะทำให้สำเร็จ ถ้าสะท้อนตัวเองในช่วงวัยรุ่น สิ่งที่พี่เจอว่าตัวเองคลั่งไคล้… จำตอนที่เล่าเรื่องเวิร์คช็อปละครตอน ม.6 ได้ไหม ตั้งแต่เจอสิ่งนั้นพี่ก็อยู่กับมันมาตลอด เรียนปี 1 – 4 ก็เรียนการละคร คือพี่ไม่วิ่งออกจากลู่นี้เลย เพราะเราเจอพลังคลั่งไคล้อย่างจริงจัง แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำสำเร็จ เวลาเรียนละครก็จะมีสเต็ปของมัน เริ่มต้นคุณเป็นนักแสดง สเต็ปต่อมาเป็นนักแสดงที่ใช้ร่างกาย จินตนาการ ใช้ความเชื่อ และใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดี ต่อมาก็ไปสู่การเข้าใจชีวิต คุณต้องเป็นคนที่ผ่านการตีบทละครได้ดีอย่างลึกซึ้ง ถ้าคุณอยากเป็นคนเขียนบทละคร คุณก็ต้องฝึกการเป็นนักเขียนบทละครที่เข้าใจชีวิต แล้วก็ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงผ่านศิลปะได้ ขยับไปอีกเป็นผู้กำกับ หรือคุณอยากเป็นนักออกแบบฉาก นักออกแบบเสื้อผ้า ผู้กำกับเวที ทั้งหมดมันมีลู่วิ่งที่ทำให้เราต้องฝึกฝนตนเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ 

พี่ได้มีโอกาสฝึกการเป็นนักแสดงและผู้กำกับเยอะพอสมควร ประมาณ 4 ปี จนพี่มาเปลี่ยนทาง (track) ของตัวเองว่าเราชอบการเป็นคนใช้ละครเพื่อการพัฒนา ใช้ละครในเชิงสร้างสรรค์ก็ตอนเรียนปี 3 เจอเส้นทางใหม่ของตัวเองว่าเราสามารถนำละครมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาตัวตน พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคมได้ พี่ก็ขัดเกลาความเชี่ยวชาญของตัวเองลึกลงไปอีก ในเรื่องของการใช้ละครเพื่อการพัฒนา กำลังจะบอกว่าพลังคลั่งไคล้มีส่วนสำคัญที่ทำให้การเรียนรู้ของเราไม่มีวันจบ เราจะค่อยๆ พัฒนาตัวเองต่อไป มันเหมาะมากนะสำหรับวัยรุ่น

มันจะเสียเวลามากถ้าช่วงวัยรุ่นเราหาตัวเองไม่เจอ เราไม่เจอพลังคลั่งไคล้ แล้วเราลองอะไรได้นิดเดียวเราก็เลิกทำแล้ว มันเสียโอกาสที่เราจะได้สร้างสรรค์แล้วก็ขัดเกลาความเชี่ยวชาญของตนเอง แต่เผอิญถ้าช่วงวัยรุ่นคุณได้คำชื่นชม คุณได้ถูกมองเห็นไม่ว่าจะโดยใครก็ตาม หรือว่าเรามองเห็นตัวเราเอง แล้วเราก็ได้เจอพลังคลั่งไคล้ ฝึกมันต่อ เป็นอะไรที่โคตรเยี่ยมเลย

การที่เราจะเจอว่าตัวเองคลั่งไคล้อะไรสักอย่าง ก็มาด้วยหลายๆ องค์ประกอบ มีคนมองเห็น มีคนชื่นชม มีคนให้ฟีดแบค แล้วตัวเราก็ไม่ยอมแพ้ด้วย ซึ่งการไม่ยอมแพ้ก็มาจากพลังที่เรารู้สึก สิ่งนี้แสดงว่าเราคลั่งไคล้มันอยู่ใช่ไหม?

ใช่ๆ พอเราได้ชิมลองพลังคลั่งไคล้ครั้งหนึ่ง ก็จะรู้เลยว่าชีวิตเราไม่ได้มีสิ่งเดียวที่เราคลั่งไคล้ เราจะลองไปเรื่อยๆ หาความชอบ มันไม่ใช่แค่ว่าเรียนปี 1 – 4 จบมาแล้วคุณจะทำอาชีพนั้น หรือทำสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต เพราะอย่างพี่ก็ไม่ได้เป็นนักแสดง เรียนจบปี 4 เราก็ผันตัวเองไปเป็นนักพัฒนาเยาวชนโดยใช้เครื่องมือละคร ใช้เครื่องมือศิลปะที่เราเรียนมา จนทุกวันนี้อายุ 38 เราก็ยังมีพลังคลั่งไคล้หลากหลายขึ้นไปเรื่อยๆ

เหมือนเป็นลูป (Loop) เลย จากในโลกอนุบาลมาสู่ในโลกวัยรุ่นแล้วเดี๋ยวก็จะมีวิกฤตวัยกลางคน (midlife crisis) ที่ต้องไปหาความคลั่งไคล้ใหม่ของตัวเองต่อไป หมายความว่าความคลั่งไคล้มันมีอายุของมันใช่ไหม?

ใช่ครับ มันจะใช้ได้ในช่วงหนึ่ง สักพักก็ถึงวันหมดอายุ ก็ต้องไปหาอันใหม่ต่อ เหมือนที่เขาบอกว่าโลกมันซับซ้อน ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ

ชอบที่ทุกอย่างมันล้อกัน และมีวันหมดอายุ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร เป็นวัยรุ่นหรือไม่ จะหาตัวเองเจอหรือเปล่า มีคนมองเห็นศักยภาพของเราไหม แล้วก็หาความคลั่งไคล้ของตัวเองให้เจอ ทุกอย่างมันต้องค่อยๆ หาไปเรื่อยๆ

แล้วคุณไม่จำเป็นต้องคลั่งไคล้ในเรื่องเดียว ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ท้าทาย หาความคลั่งไคล้ หาพลังที่ช่วยเป็นแรงผลักดันให้คุณฝึกฝนที่จะทำให้ตัวเองเชี่ยวชาญต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้คุณไม่ท้อถอย เราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ถ้าเรามีครอบครัวที่ดี มีเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานที่ดี คนเหล่านี้ก็จะเป็นคนที่ทำหน้าที่ในการมองเห็นเรา ทำหน้าที่ในการชื่นชม หรือให้ฟีดแบคว่าเราต้องพัฒนาอะไร ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญที่ทำให้ความคลั่งไคล้ของเราถูกพัฒนาจนเป็นความเชี่ยวชาญ แล้วเราก็สามารถอยู่ในสังคมที่เป็นตัวของตัวเอง

ก่อนจะจบรายการ พี่โจ้มีอะไรอยากทิ้งท้ายไหมคะ?

ฝากคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่กับวัยรุ่น คิดว่าคุณพ่อคุณแม่คงเข้าใจแล้วล่ะว่า วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่สับสนและหลงทางได้ง่าย เป็นวัยที่ค้นหาตัวเองอยู่ ต้องการคนช่วยที่จะพาให้เขาคลำทางเจอว่าเขาชอบอะไร ถ้าเอา 3 พลังนี้ไปใช้ก็จะช่วยให้คนคนนึงพบเจอศักยภาพของตนเอง แล้วเขาจะมีชีวิตที่มีความสุข 

Tags:

Gritในโลกวัยรุ่นวัยรุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Grit
    “เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ไม่ว่าจะมีนิสัยที่เป็นภัยหรือไม่ เราทุกคนต่างก็เป็นที่รักได้ : Things No One Taught Us About Love
  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel