Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: August 2020

ปลดปล่อยความทรงจำอันเจ็บปวด เรียกคืนความสมดุลให้ชีวิต ด้วย 4 คำทรงพลัง “ขอโทษ ให้อภัย ขอบคุณ และฉันรักคุณ”
How to enjoy life
31 August 2020

ปลดปล่อยความทรงจำอันเจ็บปวด เรียกคืนความสมดุลให้ชีวิต ด้วย 4 คำทรงพลัง “ขอโทษ ให้อภัย ขอบคุณ และฉันรักคุณ”

เรื่อง ศรีสุภา ส่งแสงขจร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • “ปัญหาไม่ได้อยู่กับพวกเขา มันอยู่กับคุณ และในการเปลี่ยนแปลงพวกเขา คุณต้องเปลี่ยนตัวเอง” – ดร.ฮิว เลน
  • หัวใจสำคัญของกระบวนการ Ho’oponopono คือ “เปลี่ยนตัวเองก่อน แล้วโลกรอบตัวคุณจะเปลี่ยนไปด้วย” ด้วยการใช้ความรักและการให้อภัย เพื่อชำระล้างจิตใจและคืนความสมดุลให้ชีวิตของตัวเราเอง
  • เมื่อเราแสดงความเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยมกับทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น โดยยอมรับปัญหาและความทุกข์ที่เกิดขึ้น และพยายามเชื่อมโยงดวงจิตของตนเองกับผู้อื่นและเบื้องบน เพื่อรวมจิตกับความเป็นหนึ่งที่กว้างกว่าแค่ตัวเราเอง
  • การกล่าวคำทรงพลังทั้ง 4 เพื่อจะได้สลายพลังลบอันเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ความขัดแย้ง ความเจ็บป่วย และนำสันติสุขมาสู่ตัวเรา ครอบครัว องค์กร สังคม และโลกนี้

เผชิญความทุกข์ภายในใจ

ลองถามตัวเราสิว่า เราเคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า?

อยู่กับแฟนก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่บ่อยๆ 

อยู่กับพ่อแม่หรือมีลูกก็มีปากเสียงเถียงกันตลอด

อยู่กับพี่น้องที่บ้านแซวกันไปมากลับกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โตได้

อยู่กับเพื่อนร่วมงานก็หมั่นไส้ กลั่นแกล้ง แถมมีปัญหาการเมืองในที่ทำงาน 

อยู่กับหัวหน้าก็โดนตำหนิ ไม่พอใจกัน หรืออยู่กับลูกค้าก็ผิดใจกันได้ทุกเรื่องจริงๆ 

อยู่นอกบ้านก็เจอแต่คนที่สร้างปัญหา ล่าสุดเจอคนขับรถเฉี่ยวชน โมโหเลือดร้อน ไปจบกันที่โรงพัก

นี่อาจเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเราได้เสมอ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนที่เรารักมากอย่างสามีภรรยา ลูก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท เจ้านาย ลูกน้อง ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หรือคนที่บังเอิญเจอ และแม้กระทั่งศัตรูก็ตาม การกระทบกันจากความสัมพันธ์กลายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตจริง 

เมื่อเจอปัญหาทุกข์ใจเหล่านี้ สิ่งที่ตามมาก็คืออารมณ์ความรู้สึกภายในตัวเราเอง เช่น ความรู้สึกร้อนในอก ขุ่นมัวในใจ คิดฟุ้งซ่าน นอนไม่หลับ แล้วยังส่งผลทางกายอีกมากมาย เช่น โกรธจนหน้าแดง ปวดท้อง ปวดหัว ความดันขึ้น เจ็บที่หัวใจ ฯลฯ เรียกว่ามีผลกระทบทั้งกายและใจ

มองดูรอบตัวเราในสังคมสมัยนี้เต็มไปด้วยคนเลือดร้อน (บางครั้งก็รวมถึงตัวเราด้วย) ที่เอะอะก็พร้อมจะปะทะด้วยความรุนแรงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าวคนขับรถปาดหน้าจนถึงกับฆ่ากัน นักเรียนตีกันเพราะเป็นคู่อริ สามีภรรยาฆ่ากันเพราะหึงหวง และอีกมากมาย ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความอารมณ์ร้อน โกรธจนไม่ลืมหูลืมตา และคิดว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย 

ฉันเองก็เจอเรื่องราวจากความสัมพันธ์ ทั้งคนใกล้ตัวมาก อย่างคนในครอบครัว คนรัก เพื่อนสนิท ตลอดจนเพื่อนร่วมงาน แต่ก่อนเมื่อเจอแบบนี้กระทบแล้วจะหงุดหงิด ไม่พอใจ โกรธเขา แถมชิ่งมาโกรธตัวเองซ้ำเติม เหตุจากที่ไปโกรธเขานี่แหละ ทับถมและซับซ้อนหนักเข้าไปอีก

ฉันทุกข์ใจหนักมาก จนกระทั่งค่อยๆ เรียนรู้เรื่องราวการเยียวยาภายในตัวเองผ่านสารพัดศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือ Ho’oponopono ศาสตร์โบราณของชาวฮาวาย เพื่อช่วยปลดล็อกชีวิตด้านในด้วยการขอบคุณอย่างเข้าใจและให้อภัยทั้งผู้อื่นและตัวเราเองได้อย่างแท้จริง 

Ho’oponopono ศาสตร์การให้อภัยของหมอฮาวาย

“ถ้าเรายอมรับได้ว่า เราเป็นผลรวมของความคิด อารมณ์ คำพูด และการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมด 

ชีวิตและทางเลือกในปัจจุบันของเรานั้นมีสีหรือเงาของความทรงจำในอดีต 

เราจะเริ่มเห็นกระบวนการของการแก้ไขหรือการตั้งค่าที่เหมาะสม

ที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของเรา ครอบครัวของเรา และสังคมของเราได้”

– Morrnah Nalamaku Simeona

Ho’oponopono (ออกเสียงว่า โฮโอโปโนโปโน) เป็นกระบวนการในการแก้ไขปัญหาตามความเชื่อของชนพื้นเมืองชาวฮาวายโบราณ ซึ่งเป็นวิธีการปลดปล่อยความทรงจำอันเจ็บปวดในอดีตหรือสิ่งที่เราบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกออกมา เพราะเชื่อว่าความคิดหรือข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่สมดุล ความเจ็บป่วยทางกายหรือโรคต่างๆ ในตัวของเรา รวมถึงการทะเลาะ และความขัดแย้งต่างๆ

คำว่า Ho’oponopono หมายถึงการทำให้ถูกต้อง หรือแก้ไขข้อผิดพลาด และหมายรวมถึงการรักษาหรือชำระล้างจิตใจด้วยการสารภาพ กลับใจ คืนดี และให้อภัย เพื่อเรียกคืนความสมดุลให้ชีวิต 

ศาสตร์นี้มีที่มาจากนักบวชผู้รักษาชาวพื้นเมืองบนเกาะฮาวายที่เรียกว่า Kahuna lapa’au ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Morrnah Nalamaku Simeona จากนั้นจึงแพร่กระจายไปทั่วโลกจากคุณหมอท่านหนึ่งที่ได้พิสูจน์ศาสตร์นี้ด้วยตัวเองเป็นเวลานานกว่า 4 ปี (พ.ศ.2527 – 2530) เขาคือ ดร.ฮิว เลน (Dr.Ihaleakala Hew Len) เรื่องราวของเขาอยู่ในหนังสือขายดีชื่อ Zero Limit : The secret of Hawaiian System for Wealth, Health, Peace and more เขียนโดย ดร.โจ ไวทาลี (Dr.Joe Vitale) และดร. ฮิว เลน เล่าถึงสูตรลับโบราณของชาวฮาวายที่เรียกว่า “Ho’oponopono” ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนแปลงผู้คนจำนวนมากมาย 

คุณหมอฮิว เลน เข้าทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งของรัฐฮาวาย ในแผนกจิตเวชที่รักษานักโทษอาชญากรโรคจิตขั้นร้ายแรงอยู่ คนไข้ที่มารักษาที่นี่มีแต่ประวัติอุกฉกรรจ์ ทั้งฆาตรกรโรคจิต ฆาตรกรฆ่าข่มขืน ทำร้ายร่างกาย หรือลักพาตัว ฯลฯ เป็นที่เล่าขานกันว่าแม้คนไข้เหล่านั้นจะใส่ทั้งกุญแจมือและมีโซ่ล่ามอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็ยังมีการทำร้ายกันระหว่างนักโทษหรือแม้แต่ผู้คุมก็ไม่เว้นแต่ละวัน จนแพทย์พยาบาลทั้งหลายต่างไม่อยากที่จะเข้าไปย่างกรายหรือทำงานที่แผนกนี้ 

ต่อมา ภายหลังคุณหมอฮิว เลน ได้ใช้วิธีการของชาวฮาวายโบราณที่ว่านี้ คนไข้ที่ได้รับยากล่อมประสาทก็มีอาการดีขึ้นจนไม่ต้องใช้ยาควบคุม พวกเขายังเริ่มได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกตึกโดยที่ไม่ต้องใช้กุญแจมือหรือโซ่ล่ามเหมือนเคย รวมถึงอัตราการทำร้ายกันของนักโทษและผู้คุมลดลงอย่างเห็นได้ชัด หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในแผนกก็อยากไปทำงานมากขึ้น ในที่สุดสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลแห่งนั้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งแผนกจิตเวชนักโทษของโรงพยาบาลแห่งนี้ต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีคนไข้เหลืออยู่อีก

4 คำทรงพลังของเทคนิค Ho’oponopono

สงสัยใช่ไหมว่าคุณหมอฮิว เลน ทำอย่างไรถึงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อย่างนั้นได้

คุณหมอฮิว เลน บอกว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นคือ “ผมแค่ทำความสะอาดภายในจิตใจของผม ส่วนที่ผมจะแบ่งปันกับพวกเขา” หมายถึงเราจะบำบัดใคร ให้เราเริ่มจากตัวเราก่อนที่จะให้คนอื่น 

แทนที่จะรักษาคนไข้แบบตัวต่อตัวเดิมๆ คุณหมอฮิว เลน เปลี่ยนแนวการรักษาแบบใหม่ด้วยการเลือกรักษาตนเองและเปิดใจตนเองให้กว้างก่อน เขาเริ่มจากการดูแฟ้มประวัติของคนไข้แต่ละคน แม้ยังไม่ได้เคยเจอกันเลย เขาพยายามรู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนไข้ พยายามเข้าใจในสิ่งที่คนไข้กำลังเผชิญ และเริ่มเปลี่ยนการมองในความต่างระหว่างตัวเขาเองกับคนไข้เหล่านั้น ลองมองว่าเขาปกติเหมือนเรา และให้ความรักกับคนไข้เหล่านั้น ด้วยการส่งผ่านถ้อยคำ 4 คำที่ทรงพลังตามเทคนิค Ho’oponopono ประกอบด้วยคำว่า 

  1. “ฉันขอโทษ” (I am sorry)  
  2. “โปรดอภัยฉัน” (Please forgive me) 
  3. “ขอบคุณ” (Thank you) และ 
  4. “ฉันรักคุณ” (I love you) 

หากเจาะความหมายของถ้อยคำแต่ละคำที่ใช้ในกระบวนการ Ho’oponopono ได้แก่

  • “ขอโทษ”  เราตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เราสังเกตและยอมรับมันว่าเรามีความรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเรา แม้การรับรู้นี้อาจเจ็บปวดและบางครั้งเรามักจะต่อต้านไม่ยอมรับความรับผิดชอบสำหรับปัญหาที่ปรากฏว่า “มี” เช่น ปัญหาสุขภาพ ความเครียด ความโกรธแค้น ความก้าวร้าว โดยเริ่มจากสิ่งที่ดูเหมือนจะสำคัญมากและบอกว่าเราเสียใจมากที่มันเกิดขึ้น
  • “โปรดให้อภัย” ไม่ว่าจะเป็นเรายกโทษให้ตัวเอง คนอื่น หรือแม้กระทั่งจักรวาล เพื่อทำให้ชีวิตเราที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ได้รับการให้อภัย นำการปลดปล่อยให้ทั้งผู้เสนอและผู้รับ เราไม่ได้กล่าวโทษ เราให้อภัย สองอย่างนี้แตกต่างกันมาก การให้อภัยสามารถยกเลิกความติดขัดหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตได้ เพราะเรารับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
  • “ขอบคุณ” การกล่าวคำขอบคุณเป็นการให้ความหมายกับสถานการณ์นี้ โดยการค้นหาสิ่งที่เป็นบทเรียนสอนตัวเราเองและสิ่งที่ได้รับอนุญาตให้เรา “ทำความสะอาด” ในตัวเอง ความกตัญญูสำนึกรู้คุณจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก
  • “ฉันรักคุณ” เรากลับไปให้ความรัก แทนการปฏิเสธหรือผลักไส ส่งต่อความรักความเมตตาแก่ร่างกายของตัวเอง แก่ผู้คนมากมาย อากาศที่เราหายใจ บ้านที่เราอาศัย พระเจ้า และสรรพสิ่งทั่วทั้งจักรวาล พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยความรู้สึกจากหัวใจ เพื่อส่งพลังอันยิ่งใหญ่ที่เติมเต็มความรักทั้งหมด

คุณหมอฮิวเลนอธิบายถึงหลักการสำคัญของกระบวนการโฮโอโปโนโปโนว่า มาจากหลักความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราและผู้อื่น เนื่องมาจากความคิดของเรา การกระทำของเรา และสิ่งแวดล้อมของเราเอง และเป็นความรับผิดชอบของเรา 100 เปอร์เซ็นต์ หากการที่คนไข้เหล่านั้นไม่ชอบเราและจะทำร้ายเรา นั่นก็เป็นเพราะเราไม่ได้รักเขาก่อน อาการของคนไข้ไม่ดีขึ้น ก็เพราะตัวเราเองไปมองว่าเขาไร้สติ เพราะเราไม่ได้มองเขาในทางที่ดีขึ้น

ดังนั้น เราก็ควรเริ่มแสดงความรับผิดชอบ เริ่มต้นที่ตัวเราเอง เริ่มมองว่าเขาเป็นปกติเหมือนเรา และให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเองว่าเขาก็เหมือนเรา เริ่มรักเขา ด้วยการเอ่ยคำว่า “ฉันเสียใจ โปรดให้อภัยฉัน ขอบคุณ และฉันรักเธอ” การกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ซ้ำๆ มันคือกุญแจสำคัญเพื่อการเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเรา ด้วยการลบล้างข้อมูลความทรงจำในอดีต และสร้างความเป็นกลางให้เกิดขึ้น ด้วยการเปลี่ยนแปลงพลังงานนี้จะนำไปสู่การเป็นพลังงานแห่งความรักอันบริสุทธิ์

ศาสตร์ฮาวายโบราณนี้จึงเป็นการส่งความรักแทนที่ความเกลียดชัง เพราะบ่อยครั้งที่เราใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นในทางลบมากเกินไป จนแทบไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับสิ่งดีๆ ที่เราอยากเห็นหรืออยากมีได้เลย สิ่งสำคัญที่คุณหมอฮิว เลน ทำก็คือ การขจัดอคติในใจของตนเองที่มี และคนไข้เหล่านั้นก็สามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งนี้และต้อนรับเขาเป็นอย่างดีนั่นเอง 

จากถ้อยคำสู่การเยียวยาภายในตัวเราและผู้อื่น 

“เมื่อเราตระหนักว่า เราคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ 100 % ในทุกสิ่งที่เราก่อให้เกิดขึ้นในชีวิต 

เราจะต้องยอมรับปัญหาเหล่านั้นด้วยการมองว่านี่คือโอกาสที่ดีในการชำระล้างมันออกไปจากชีวิตของเรา เราอาจร้องขอต่อเบื้องบน ผู้รู้จักพิมพ์เขียวชีวิตของเราเป็นอย่างดี 

ให้ทำการบำบัดความคิดและความทรงจำซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางเรา”

– Dr. Hew Len

ตอนแรกฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับกระบวนการเหล่านี้ แต่พอได้ฝึกและนำไปใช้ในชีวิตจริง ฉันคิดว่ามันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเยียวยาความสัมพันธ์และจิตใจภายในตัวเองที่ดีมาก เพราะเวลาที่เรารู้สึกผิดหรือมองโลกในแง่ร้าย การแสดงความรับผิดชอบด้วยการแก้ไขที่ตัวเอง นอกจากจะลดความเครียด กำจัดความคิดเชิงลบ เปลี่ยนเส้นทางจิตใจของเราไปสู่ความคิดเชิงบวก ลบล้างความทรงจำที่ไม่ดี และปลดปล่อยอารมณ์และความคิดรุนแรงที่เข้ามารบกวน อีกสิ่งที่ดีสำหรับฉันถือว่าเป็นการลดความเป็น “ฉัน” ลงได้เป็นอย่างดี

เมื่อใดที่เราลดความเป็น “ฉัน” ลงได้ ความสงบในใจจะตามมา และสันติภาพจะเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตัวเรา เราจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่สู้ดีได้ดีขึ้น และหากเราสามารถมองความไม่พึงปรารถนาที่ผ่านเข้ามาด้วยความรักได้ ฉันคิดว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก นอกจากจะเกิดสันติสุขภายในตัวเรา การเกิดสันติสุขด้วยการส่งต่อความรักให้แก่ผู้อื่นก็เป็นไปตามธรรมชาติ 

เหมือนเช่นคนไข้เหล่านี้ที่ได้รับความเข้าใจ ความเห็นใจ และความรักจากคุณหมอฮิว เลน พวกเขารับรู้ถึงความจริงใจที่มีคนอยากเห็นพวกเขาเป็นคนปกติ เมื่อมีคนมองพวกเขาเป็นคนปกติ ก็ย่อมจะเกิดเป็นความเชื่อมั่นและอยากให้ตัวเองเป็นคนปกติ ตั้งใจรักษาตัวเองให้ดีที่สุดโดยตระหนักดีว่ามีคนที่รักและให้โอกาสพวกเขาอยู่ ด้วยความคิดและพลังงานจากคุณหมอฮิว เลน จึงแพร่ขยายออกไปไปยังทุกๆ คนในแผนก สุดท้าย มันจึงเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลแห่งนี้ได้ 

เรื่องราวของคุณหมอฮิว เลน เป็นแรงบันดาลใจและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก่ผู้คนมากมายไปแล้วทั่วโลก รวมถึงตัวฉันเอง หากคุณผู้อ่านเริ่มสนใจบ้างแล้ว เรามีแบบฝึกหัดเรื่องนี้มาฝากค่ะ

แบบฝึกหัดง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้ 

วิธีการท่องมนตรากับ 4 คำทรงพลังคือ

  1. หลับตาและจินตนาการถึงใบหน้าของคนที่เราต้องการเยียวยาความสัมพันธ์ หรือคนที่อยู่ในความทรงจำหรือสถานการณ์ซึ่งทำให้เรารู้สึกยุ่งยากลำบากใจ 
  2. กล่าว 4 คำสั้นๆ ซ้ำๆ ช้าๆ ทีละประโยค ด้วยความตั้งใจจริง ได้แก่ “ฉันขอโทษ” “โปรดให้อภัยฉัน” “ฉันขอบคุณ” และ “ฉันรักเธอ” 

กระบวนการเยียวยาด้วย Ho’oponopono สามารถรักษาทุกด้านของตัวเราเอง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ รวมถึงความสัมพันธ์ ด้วยคำมนตราทั้ง 4 คำนี้ จะเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงและเยียวยาภายในตัวเรา เพื่อปลดปล่อยความทรงจำในอดีตและสลายพลังลบอันเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ความเจ็บป่วย ความขัดแย้ง ความเจ็บป่วย และจะสั่นสะเทือนพลังงานไปสู่การเยียวยาผู้อื่นด้วย ซึ่งนำสันติสุขมาสู่ครอบครัว องค์กร สังคม และโลกนี้

อ้างอิง
Joe Vitale and Ihaleakala Hew Len , Zero Limits: The Secret Hawaiian System for Wealth, Health, Peace, and More. New Jersey. John Wiley & Sons, Inc. 2007
Ho’oponopono
The Foundation of I, Inc. Freedom of the Cosmos
ฉันขอโทษ..ฉันรักเธอ…

Tags:

การจัดการอารมณ์กระบวนการ Ho’oponopono

Author:

illustrator

ศรีสุภา ส่งแสงขจร

ชื่อเล่นว่า เมย์ นักเรียนรู้โลกภายในตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Creative learning
    ‘สื่อสารเป็น’ วิชาที่เริ่มจากฟังเสียงตัวเอง เข้าใจสุขทุกข์ผู้อื่น ก่อนส่งต่อคำพูดและการกระทำที่ดี: ครูธีรยุทธ พงษ์ศิริยะกุล โรงเรียนปัญญาประทีป

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    เจ้าหญิงกับเม็ดถั่ว: คนอ่อนไหว จะหาสมดุลอย่างไรในโลกอันท่วมท้น

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    สู้กับความกลัว: เปลี่ยนจากแพนิก อยู่กับตัวเอง เป็นแบ่งปัน เชื่อมโยงกับคนอื่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศากิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม
MovieMyth/Life/Crisis
27 August 2020

แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • ภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น Haitatsu Saretai Watashitachi (จดหมายเจ็ดปี กับ บุรุษไปรษณีย์อยากตาย) จะมาให้กำลังใจอุ่นๆ กับเราในวันที่ซึมเศร้าหดหู่
  • คนที่ส่งพลังใจให้เราคลายจากทุกข์ได้ดีที่สุด ไม่ใช่คนเก่งกล้าสามารถที่คอยตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนคนอื่นเหมือนมาจาก “ข้างบน” แต่กลับเป็นเพียงคนธรรมดาที่เคยประสบความทุกข์ในรูปแบบเดียวกับเรา เคยมีบาดแผลคล้ายๆ เรา อีกทั้งพร้อมแบ่งปันเรื่องราวของเขาและโอบอุ้มเรื่องราวของเรา อย่าง “เสมอกัน” กับเรา
  • แถมด้วยวิธีการพาตัวเองออกจากความเศร้า ซึ่งภัทรารัตน์รวบรวมจากผู้ผ่านประสบการณ์จริง และจากนักจิตบำบัดชื่อดังหลายท่าน

“มีเพียงหมอที่มีบาดแผลเท่านั้น ที่อาจรักษาผู้คนให้หายได้”
– คาร์ล กุสตาฟ ยุง จิตแพทย์และผู้ก่อตั้งจิตวิทยาวิเคราะห์ (Analytical Psychology) ชาวสวิส

1.

ขออุทิศเรื่องราวนี้ให้กับผู้คนที่มีอาการซึมเศร้ากระทั่งไร้พลังจะมีชีวิตอยู่ อีกทั้งขอมอบเรื่องราวนี้แด่ทุกคนซึ่งอาจมีบางวันที่รู้สึกหดหู่และเดียวดาย เชื่อเหลือเกินว่าการแบ่งปันเรื่องราวหม่นเศร้าในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์จากตำแหน่งที่ “เสมอกัน” ซึ่งไม่มีใครเหนือกว่าใครก็มีส่วนทำให้พลังชีวิตฟื้นคืนกลับมา ดั่งเรื่องราวสัมผัสหัวใจในภาพยนตร์เรื่อง Haitatsu Saretai Watashitachi (配達されたい私たち) ที่จะเล่าต่อไปนี้

2.

ซีรีส์ภาพยนตร์เรื่อง Haitatsu Saretai Watashitachi ชื่อไทยว่า จดหมายเจ็ดปี กับ บุรุษไปรษณีย์อยากตาย มีผู้เขียนบทที่ผ่านการต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามาเองจริงๆ เนื้อเรื่องดำเนินไปโดยตัวละครหลักชื่อ ซาวาโนะ ฮาจิเมะ อดีตนักข่าวซึ่งเป็นโรคซึมเศร้ามาประมาณสองปี เขารู้สึกมาตลอดว่าพ่อมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามดังที่เขาเห็นมาตั้งแต่เป็นเด็ก จนแม้ครั้งสุดท้ายที่เจอพ่อก่อนท่านจะสิ้นชีวิต เขาก็ยังเห็นสายตาแบบเดิม เขารู้สึกไร้ค่า แต่ก็บอกตัวเองให้ไม่สนใจและทำตัวไร้อารมณ์ความรู้สึก เขาเปรียบว่าตัวเองเป็นราวกับหัวนมของผู้ชายที่ ‘ไม่มีประโยชน์’ อะไร เป็นเพียงสิ่งที่ใช้แบ่งแยกระหว่างความเป็นด้านหน้ากับด้านหลัง

ถึงจุดหนึ่งเขาจึงตัดสินใจผูกคอตายในโรงหนังร้าง ทว่าทำไม่สำเร็จเพราะเชือกที่มัดกับขื่อขาดลง เขาตกจากจุดที่ผูกเชือกมาพบกับกระเป๋าที่มีจดหมายเต็มไปหมด ซึ่งจดหมายพวกนี้ควรจะส่งไปถึงมือของผู้รับตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว ในนั้นมีจดหมายที่มีสภาพดีเหลืออยู่เพียง 7 ฉบับ เขาจึงตัดสินใจจะนำจดหมายเหล่านี้ไปส่งให้ครบก่อนเพื่อเป็นการนับถอยหลัง แล้วจะฆ่าตัวตายอีกครั้งเมื่อภารกิจนี้เสร็จสิ้น และจากการไล่ส่งจดหมายนี้เอง ทำให้เขาได้เข้าไปรู้เห็นและพัวพันกับชีวิตของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับจดหมาย แล้วความหมายและความปรารถนาในการมีชีวิตของเขาก็ค่อยๆ กลับคืนมา   

จากนี้จะขอกล่าวถึงหนึ่งในจดหมายเหล่านั้น คือจดหมายถึง คุนิชิโร่ อดีตนักวิ่งมาราธอนชื่อดัง ผู้ซึ่งยืนหนึ่งเรื่องความพยายามอันไม่ลดละ กับคำกล่าวที่ว่า “คุณทำได้ถ้าพยายาม ผมจะพยายาม คุณก็ด้วยนะ”  แต่ในที่สุดวันหนึ่ง คุนิชิโร ก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะวิ่งมาราธอนอีก   

เขาผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านโอโคโนมิยากิ(พิซซ่าญี่ปุ่น)โกโรโกโสที่วันๆ ไม่มีลูกค้าเข้าเลย  จนถึงวันที่ ซาวาโนะ นำจดหมายจาก ฮาเซะเบะ มาให้  ฮาเซะเบะนั้นเป็นช่างภาพข่าวกีฬาซึ่งคอยแบกกล้องตามบันทึกภาพคุนิชิโรมาตั้งแต่ยังหนุ่ม กระทั่งทั้งคู่ย่างเข้าวัยกลางคนและต่างก็มีปัญหาสุขภาพ       

ในจดหมาย ฮาเซะเบะถ่ายทอดความทรงจำของตัวเองไปสู่นักวิ่งในดวงใจว่า แม้วาระสุดท้ายของการวิ่งมาราธอนที่คุนิชิโร่ดูบาดเจ็บมาก คุนิชิโร่ก็ยังไม่ละความเพียร หนำซ้ำยังพยายามผลักดันให้นักวิ่งหน้าใหม่เร่งฝีเท้าจนกลายเป็นแชมป์ ในวันนั้น ทางสถานีโทรทัศน์ผู้ว่าจ้างฮาเซะเบะสั่งให้เขาจับภาพนักวิ่งหน้าใหม่ แต่เขาไม่อาจละกล้องจากคุนิชิโร่ เพราะในสายตาของเขา คุนิชิโร่คือฮีโร่ตลอดกาล ผู้ที่เขาต้องการให้จรัสแสงต่อไป   

แค่เพียงคุนิชิโร่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้ใครคนหนึ่งเสมอมา เขาก็มีพลังอีกครั้ง

ยิ่งรู้ว่าฮาเซะเบะจะมาทานโอโคโนมิยากิที่ร้าน คุนิชิโร่ก็ยิ่งกลับมามีแรงฮึด จากที่เคยใช้หมูค้างตู้เย็นทำอาหารไปวันๆ เขาตั้งใจทำโอโคโนมิยาเกะที่ดีที่สุดรอฮาเซะเบะ เมื่อฮาเซะเบะมาหา คุนิชิโร่ก็ได้ทราบเรื่องราวเพิ่มเติมว่าฮาเซะเบะถูกบีบให้ออกจากงานเพราะเป็นโรคซึ่งทำให้เขาจะค่อยๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

นอกจากนี้ ฮาเซะเบะเคยติดเหล้าถึงขนาดต้องไปบำบัดโรคพิษสุรา ทว่าฮาเซะเบะสามารถหักดิบไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลยแม้เพียงหยดเดียวมาได้ถึงสามปีเพราะนึกถึงตอนที่คุนิชิโร่วิ่ง มาวันนี้ฮาเซะเบะมีฝันว่าจะวิ่งมาราธอนคนตาบอดเพื่อที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น คุนิชิโร่จึงยืนยันให้ฮาเซะเบะรู้ว่าเขาทำได้ด้วยการบอกว่า “คุณก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเหมือนกันนะครับ เราเสมอกันแล้วนะ”   

เมื่อคนเศร้าสัมผัสหัวใจกันอย่างเสมอภาค พวกเขาก็ได้เป็นประโยชน์ต่อกันและกัน* และมีพลังชีวิตขึ้นมาได้

ซาวาโนะอาการดีขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะได้เจอผู้คนที่ล้วนแล้วแต่มีบาดแผล ผู้คนเหล่านั้นอยากให้เขาอยู่ด้วยและตั้งใจเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้เขาฟังพร้อมน้ำตานองหน้า หลายคนแสดงความรู้สึกขอบคุณซาวาโนะออกมาอย่างชัดเจน สัมผัสจากมนุษย์อันลึกซึ้งซึ่งมีนัยยะว่า การดำรงอยู่ของซาวาโนะสำคัญและมีความหมาย เหล่านี้ต่างหากคือ อาหารใจ ที่ค่อยๆ พาให้คนซึมเศร้าหลุดพ้นจากหลุมดำ

ไม่ว่าเราจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือแค่รู้สึกหดหู่หม่นหมองเป็นบางคราว หากลองพิจารณาดูก็จะพบว่าคนที่ส่งพลังใจให้เราคลายจากทุกข์ได้ดีที่สุด ไม่ใช่คนเก่งกล้าสามารถตลอดเวลาที่คอยตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนคนอื่นเหมือนมาจาก “ข้างบน” แต่กลับเป็นเพียงคนธรรมดาที่เคยประสบความทุกข์ในรูปแบบเดียวกับเรา เคยมีบาดแผลคล้ายๆ เรา อีกทั้งพร้อมแบ่งปันเรื่องราวของเขาและโอบอุ้มเรื่องราวของเราอย่าง “เสมอกัน” กับเรา 

รายงานทางการแพทย์มักบอกว่าคนซึมเศร้ามีสารสื่อประสาทต่างๆ ไม่สมดุล แต่ซาวาโนะซังไม่ได้อยากกลับมามีชีวิตเพราะไปเจอจิตแพทย์ที่ให้ยาต้านเศร้าปรับสมดุลสารสื่อประสาทมากินเป็นกำๆ อีกทั้งเขาไม่ได้มีพลังใจขึ้นมาจากถ้อยคำประเภท “เข้มแข็งหน่อยสิ” “อดทนหน่อยสิ” “ชีวิตทุกคนก็เป็นโศกนาฏกรรมทั้งนั้น คนอื่นยังผ่านมาได้เลย” ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าอาจมาจากเจตนาที่จะให้กำลังใจ แต่คนซึมเศร้าหลายคนที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเองอยู่แล้วอาจตีความถ้อยคำพวกนี้ระหว่างบรรทัด ส่งผลให้รู้สึกถูกตัดสินว่าอ่อนแอหรือไม่อดทนไปอีก ทั้งที่พวกเขาอาจจะอดทนกับทุกอย่างในชีวิตภายใต้เงื่อนไขที่เราไม่มีทางเข้าใจมาหลายสิบปีแล้วก็ได้

แม้ว่าเรื่องสารเคมีในสมองไม่สมดุลอาจไม่เกี่ยวกับปัญหาชีวิต (บางคนก็ชีวิตดีแต่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองจริงๆ หรือหลายคนที่แพทย์เคยวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า มาเจอว่าตัวเองกินอาหารบางประเภทซ้ำๆ เป็นเวลานาน แล้วพอเปลี่ยนอาหารก็หายเลย เช่น หยุดอาหารธาตุเย็นอย่างเต้าหู้ไปสักพัก เลิกกินมังสวิรัติ แล้วกลับมากินเนื้อสัตว์และเนื้อวัวบ้างก็หายซึมเศร้าและมีพลังชีวิตขึ้นมาเฉยเลย) แต่ในกรณีผู้คนต่างๆ ที่เจอมา อาการซึมเศร้านั้นสัมพันธ์กับปัญหาชีวิตทั้งสิ้น กล่าวคือก่อนที่ใครต่อใครจะถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าและได้ยาต้านเศร้ามาปรับสมดุลสารสื่อประสาทนั้น คนในครอบครัวของเขาอาจฆ่าตัวตาย หรือมีคนในครอบครัวป่วยเรื้อรังทำให้เขาต้องดูแลต่อเนื่องมาเนิ่นนาน และแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจเป็นโรคประจำตัวมาตั้งแต่เกิดพร้อมกับถูกทารุณกรรมตอนเด็ก หรือเขากำลังเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาอยู่และกำลังรอวาระสุดท้ายของชีวิต ฯลฯ

เห็นได้ว่า พวกเขาไม่ได้ขาดความอดทนแต่อดทนมาจนท่วมท้นแล้ว หนำซ้ำถ้าหากพวกเขามีลักษณะที่ใส่ใจโลกภายในมากกว่าภายนอก ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้คน ไม่ชอบขอความช่วยเหลือและไม่ค่อยบอกเล่าความทุกข์กับคนอื่นมากนัก ก็ยิ่งจะสามารถทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้เผชิญความทุกข์ที่ “เกิดกับฉันคนเดียว” อย่าง “โดดเดี่ยว” “ไร้คนเข้าใจ” หรือ “ไม่มีใครเห็น”

ดังนั้น แม้ในกรณีที่แพทย์บอกว่าพวกเขาซึมเศร้าเพราะสารเคมีในสมองไม่สมดุล ก็เห็นมามากว่าคนเรามักจะค่อยๆ มีพลังชีวิตขึ้นมาด้วยปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ(ท่ามกลางอีกหลากหลายปัจจัย) นั่นคือการได้เจอ “เพื่อนร่วมทุกข์” ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่สร้าง อาหารใจ ให้กัน 

*ขอบคุณเพื่อนผู้มีอาการซึมเศร้าคนหนึ่งที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่าคำว่า “มีประโยชน์” สำหรับบางคนก็ไปกระตุ้นบาดแผลที่เขาถูกบีบให้ “มีประโยชน์” ต่อสมาชิกครอบครัวมาตลอดชีวิต การมีคนบอกว่าเขามีความสามารถและมีประโยชน์ในบางกรณีจึงกลับไม่ใช่การให้อาหารใจเขา ดังนั้น คำว่า “มีประโยชน์” บางทีก็ต้องใช้อย่างระวังเหมือนกัน

บทบาทภายนอกอาจอยู่กับเราเพียงชั่วคราว แต่คุณค่าภายในอยู่กับเรานานกว่านั้น อย่างหลังต่างหากคือแก่นสารของเรา 

เรื่องราวของคุนิชิโร่และฮาเซะเบะ เตือนเราว่าจะมีวันหนึ่งในชีวิตที่เราจะ สูญเสีย บทบาทภายนอกที่กำลังทำอยู่ 

วันหนึ่งเราอาจตกงาน วันหนึ่งเราอาจต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัดและมีรายได้น้อยกว่าเดิม หรือวันหนึ่งเราอาจจะทำงานที่ชอบไม่ได้อีกแล้ว การสูญเสียบทบาทเดิมที่ให้อาหารใจกับเราในบางกรณีอาจทำให้เป็นทุกข์เรื้อรังกระทั่งถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า แต่สุดท้ายทุกคนก็ย่อมต้องหาทางมีชีวิตอยู่ต่อไป 

แม้สาเหตุและวิธีรักษาโรคซึมเศร้ายังเป็นที่ถกเถียงกันไม่เป็นอันยุติ แต่คำอธิบายทางการแพทย์มักบอกว่าคนซึมเศร้ามีสารสื่อประสาทต่างๆ ไม่สมดุล ที่สนใจเป็นพิเศษคือเรื่องเล่าที่ว่าคนซึมเศร้าขาดสารสื่อประสาทชื่อเซโรโทนิน เพราะเรื่องเซโรโทนินพร่องนี้ไปพ้องกับภาวะของสัตว์ที่พ่ายแพ้การต่อสู้หรือสัตว์ที่ถูกกระชากออกมาจากตำแหน่งสูงในปีรามิดทางสังคมของมัน ว่ากันว่ากุ้งมังกรที่พ่ายแพ้การต่อสู้จะถอยหนีแต่กลับลุกขึ้นสู้อีกครั้งเมื่อได้รับเซโรโทนิน นอกจากนี้ ลิงที่ได้รับเซโรโทนินจะทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งอันเหนือกว่าพวกลิงที่ถูกลดเซโรโทนิน ส่วนลิงที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งสูงส่งในปีรามิดทางสังคมก็จะมีโซโรโทนินลดลง (จาก Jordan Peterson และ Elaine N. Aron รายละเอียดตามที่อ้างอิง )

นี่ทำให้ไม่แปลกใจเมื่อเห็นคนที่อยู่ในจุดที่ตัวเองรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ามานานแล้วมีอาการซึมเศร้า และเมื่อไปหาจิตแพทย์ เขาก็มักจะได้รับยาที่สามารถช่วยให้โซโรโทนินอยู่ในระบบได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยพยุงให้เขายังสามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อได้ (เช่น นอนหลับได้และยังมีแรงตื่นไปทำงาน หรือทำให้มีความพร้อมพอควรในการทำจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย) มากพอที่จะไปหาหนทางอื่นๆ ในการมีชีวิตอยู่ต่อไป (เช่น ไปหางานใหม่หลังตกงานหรือตั้งตัวเป็นเจ้าของกิจการเองเสียเลย)

กระนั้นในการหาทางมีชีวิตอยู่ต่อไปในแบบใหม่ๆ ทั้งการลองเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อให้มีอาหารใจและโดยเฉพาะการหาวิธีหาเลี้ยงชีพแบบใหม่นั้น

เส้นทางสู่จุดหมายใหม่อาจยาวนานกระทั่งเราไม่แน่ใจว่าจะถึงฝั่งนั้นได้หรือเปล่า และอาจยังคงรู้สึกเหมือนกุ้งมังกรที่พ่ายแพ้ หรือลิงที่ถูกกระชากออกจากตำแหน่งอันเลอค่า แต่ในระหว่างที่เดินทางไปสู่ปลายทางใหม่ กระบวนการเดินทางเองก็มีค่า อีกทั้งคุณค่าที่อยู่ภายในตัวเราก็ยังคงอยู่เสมอและมักจะเพิ่มมากขึ้นด้วย

เช่น ต่อให้เราจะสูญเสียตำแหน่งงานที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าไป แต่เนื้อในของเราก็ยังเป็นคนที่คอยรับฟังและเห็นอกเห็นใจคนอื่น อีกทั้งยังหนักแน่นกับความพยายามที่ไม่ลดละและยังรู้จักรอคอย และยังคงตั้งใจภาวนาไปด้วย (แค่ยกตัวอย่าง เพราะแต่ละคนไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อเหมือนกัน) ฯลฯ  ดังนั้น แม้บทบาทภายนอกจะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวและต้องผลัดเปลี่ยนไป แต่คุณลักษณะภายในต่างหากที่บอกว่าเราเป็นใครและเติบโตเป็นอะไรได้อีก

เมื่อใส่ใจคุณลักษณะภายในมากกว่าบทบาทภายนอก ความเสี่ยงในการตกอยู่ในภาวะหดหู่ซึมเศร้าดุจสัตว์ผู้พ่ายแพ้ที่ด้อยชั้นทางสังคมก็ย่อมน้อยลง เพราะคุณค่าของเราไม่ได้มาจากการต้องชนะ และ ไม่ เกี่ยวกับการได้ตำแหน่งแห่งที่จากข้างนอกซึ่งต้องไป เปรียบเทียบ กับคนอื่น

สุดท้าย แม้ในสายตาคนทั่วไป โรคซึมเศร้าหรือแม้แต่แค่ความรู้สึกหดหู่เฉยๆ ดูน่าจะแก้ไขง่าย แต่ก็เปล่าเลย ปลามองไม่เห็นน้ำที่อยู่รอบตัวฉันใด คนซึมเศร้าก็มองไม่เห็นความเชื่อมโยงกับคนอื่นที่เป็นเหมือนกันรอบตัวฉันนั้น จวบจนเมื่อมีอะไรมาเบิกเนตรว่าเรื่องแบบนี้ก็มีหลายคนเผชิญอยู่นั้นแหละ จึงจะเห็นว่าแท้จริงแล้วความทุกข์เหล่านี้อาจแก้ได้จากการมีคนมาเขี่ยเสี้ยนหนามในดวงตาให้นี่เอง หรือไม่ก็ดีขึ้นเพราะได้เชื่อมโยงกับบางอย่างที่ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกมีค่า และบ้างก็อาจเป็นสภาพแวดล้อมอันรื่นรยม์ หรือวิธีคิดที่ต่างออกไปความคุ้นชิน ฉะนั้น “เพื่อน” หรือ “กัลยาณมิตร” ได้จาก…

  1. นอกเหนือไปจากการไปหาจิตแพทย์ที่ทำจิตบำบัดได้และให้ความสำคัญกับการแสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือการไปหานักจิตบำบัดที่ถูกจริตกับเรา ก็ยังมีคนมากมายที่ได้เผชิญความทุกข์คล้ายๆ เราและได้รับการบำบัดเยียวยาไปแล้ว การสื่อสารกับคนเหล่านั้นหรือขอความช่วยเหลือบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอก เพราะในขณะที่เราขอให้เขาช่วย เราก็อาจจะกำลังช่วยให้เขารู้สึกดีใจที่ได้ช่วยเราอยู่ด้วยเหมือนกัน
  2. สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและมีคุณค่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนก็ได้ (เพราะถ้าไปเจอคนที่ไม่เข้าใจแล้วโดนตัดสินจะรู้สึกแย่หนักไปอีก) เช่น การสัมผัสกับพลังชีวิตในธรรมชาติอย่างต้นไม้และแผ่ความรู้สึกดีให้มัน หรือเชื่อมโยงกับตัวละครในภาพยนตร์ หรือถ้าชอบอ่านคัมภีร์ศาสนา ก็อาจลองหาประวัติตัวละครในคัมภีร์ที่มีประเด็นคล้ายๆ กับเรามาอ่าน หรือการสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงอย่างแมว เหล่านี้ก็สามารถทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวได้ เห็นมาหลายคนเลยที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้เลี้ยงแมว อาจเพราะไม่เพียงมันให้ความเป็นเพื่อนแต่มันยังทำให้เรารู้สึกมีค่า มีความหมาย ได้รับการยอมรับ ได้รับความรัก ฯลฯ ด้วย
  3. วิธีการเกี่ยวกับร่างกายและการรับรู้ทางประสาทสัมผัส เช่น ออกกำลังกาย จัดห้องแล้วคุมโทนให้มีสีสันและกลิ่นที่เราชอบ อาจหาน้ำมันหอมระเหยกลิ่นวานิลา กลิ่น มินท์ กลิ่นคาปูชิโน กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นสายฝน ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกดีมาวางไว้ในห้อง ซึ่งก็เห็นว่าหลายคนที่ซึมเศร้าเมื่อจัดสภาพแวดล้อมของห้องใหม่แล้วก็รู้สึกดีขึ้น
  4. ลองเปลี่ยนแนวข้อมูลที่เสพบ้าง เช่น จากชอบดูภาพยนตร์แค่แนวไซโคทริลเลอร์ ก็ลองเปลี่ยนมาดูแนวตลกโรแมนติกบ้าง หรือหนังฟีลกู้ดกระแสหลักบ้าง ก็อาจไปเจอวิธีคิดแบบอื่นๆ ทำให้ไม่รู้สึกว่าชีวิตเป็นทางตัน

เห็นไหมว่า กัลยาณมิตรที่ทำให้ช่วยปลดล็อคเราจากความทุกข์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเท่านั้น คุณไม่ใช่ความผิดพลาดของจักรวาลและไม่ได้ดำรงอยู่แต่เพียงผู้เดียวนะ

อ้างอิง
ซีรีส์ภาพยนตร์ Haitatsu Saretai Watashitachi (配達されたい私たち)

มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร โดย คุณ พศิน อินทรวงศ์ ณ วัดสระโนน จ.ขอนแก่น

The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You โดย Elaine N. Aron นักจิตวิทยาบำบัดผู้อ่อนไหวและเข้าใจคนซึมเศร้า

บทสนทนากับผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือแค่รู้สึกเศร้าเพราะอาหารการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยไม่กินเนื้อสัตว์ และกินแต่ของธาตุเย็นมานานๆ

This Could be Why You’re Depressed or Anxious  (TED on Youtube) โดย Johann Hari นักเขียนสวิส-สก๊อตทิช ผู้เขียนหนังสือและพูดเกี่ยวกับเรื่องอาการซึมเศร้า เขากินยาด้านเศร้ามาสิบกว่าปีก็ไม่หาย แต่พบว่าเวลาคนเศร้าหายเหงากลับรู้สึกดีขึ้น

What is depression? โดย Helen M. Farrell อธิบายความต่างของอาการซึมเศร้าทางคลินิกซึ่งโยงไปถึงเรื่องสารสื่อประสาท ซึ่งไม่ใช่แค่รู้สึกเศร้าชั่วคราว

What’s the Deal with Lobsters? โดย Jordan Peterson นักจิตวิทยาคลินิกชาวแคนนาดา ผู้มีลูกสาวที่เคยเป็นโรคซึมเศร้าและเคยซึมเศร้าเอง (ดู Depression: A Family Affair) อีกเป็นศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต ผู้เข้าใจจิตวิทยาสายคาร์ล ยุง อย่างยิ่ง และเป็นผู้เขียนหนังสือเลื่องชื่อ 12 Rules for Life: An Antidote to Chaos

Tags:

การเติบโตภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนาซึมเศร้าภาพยนตร์ปม(trauma)

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

‘รับมือ’ และ ‘สร้างขวัญกำลังใจ’ เพื่อก้าวผ่านความกลัว (แม้ขายังสั่นอยู่) โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน
Character building
27 August 2020

‘รับมือ’ และ ‘สร้างขวัญกำลังใจ’ เพื่อก้าวผ่านความกลัว (แม้ขายังสั่นอยู่) โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน

เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • นีท เบญจรัตน์ นักจิตวิทยาโรงเรียน เขียนถึง ‘ความกลัว’ (Fear) ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะน้องๆ ม.ต้น ที่กำลังค่อยๆ สร้างตัวตนและความมั่นใจ
  • อธิบายสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความกลัว คำอธิบายการทำงานสมองต่อ (การจดจำ) ความกลัว และ วิธีรับมือกับความกลัวตั้งแต่กลไก สู้ หรือ หนี หรือการตั้งหลักทบทวนเสียงในหัวและความกลัวของตัวเอง  
  • เด็กอ่านได้เอาไว้ใช้กับตัวเองตรงๆ ผู้ใหญ่อ่านดีเอาไว้ทำความเข้าใจ พาตัวเองย้อนไปเข้าใจความกลัวที่เคยผ่านมาก่อน หรือคุณครูจะหยิบบทความไปให้นักเรียนอ่านก็ยิ่งเข้าทีดีเลยค่ะ

นีทเชื่ออย่างหนึ่งค่ะว่า ชีวิตของคนเราเหมือนกับการเล่นเกม ที่หากเราอยากจะปราบ ‘บอส’ เราก็ต้องเก็บ level ให้แข็งแกร่งพอจะสู้กับบอสได้ ชีวิตวัยรุ่นเองก็เช่นกันค่ะ เราก็ต้องก้าวผ่านด่านต่างๆ ของชีวิตเพื่อสะสมคุณลักษณะ (character) ที่จำเป็น หรือแก้ไขคุณลักษณะที่ไม่ดี ดังนั้น นีทจึงตั้งใจทำบทความชุด Character world ขึ้น เพื่อให้วัยรุ่นได้มาเก็บคุณลักษณะและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มค่ะ 

โดยจะขอเริ่มชิ้นแรกที่เรื่อง ความกลัว หรือ Fear ค่ะ 🙂 

สาวน้อยคนหนึ่งกำลังตัวสั่นเทา เธอเอามือทั้งสองโอบกอดกระดาษโน้ตเพลงไว้ พอได้ยินเสียงประกาศว่า “ลำดับต่อไปขอเชิญหมายเลข 18” ตัวเธอก็เริ่มสั่นมากขึ้น น้ำตาไหล พร้อมพูดพึมพำกลับตัวเองว่า “อีกสองคนก็ถึงตาฉัน ไม่ไหวแล้ว ฉันทำไม่ได้หรอก ”

ทันใดนั้นก็มีผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งเดินไปหาสาวน้อยคนนั้น เอามือลูบหัวเธอเบาๆ หลายที อาการสั่นเทาที่เป็นอยู่ก็ค่อยๆ หายไป หญิงคนนั้นบอกกับเธอว่า ป้ามีลูกอมวิเศษนะ ถ้าหนูกินเข้าไปมันจะทำให้หนูหายกลัวได้แน่นอน ได้ยินอย่างนั้น สาวน้อยก็รับลูกอมจากผู้ใหญ่แล้วกินเข้าไป ปรากฏว่าสาวน้อยก็หายตื่นเต้น และขึ้นไปแสดงบนเวทีได้อย่างมั่นใจ

เฮ้อ… ถ้าหากชีวิตจริง มี “ลูกอมวิเศษ” ที่กำจัดความกลัวแบบนี้ได้ก็ดีสินะ ทำไมชีวิตเต็มไปด้วยความน่ากลัว นี่ฉันต้องอยู่กับมันไปอีกนานแค่ไหนกันนะ? โอ๊ยๆ คิดไปคิดมาก็เริ่มปวดท้อง มือสั่น และทันใดนั้นเอง เสียงคุณครูก็เรียกกลุ่มฉันให้ไปนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์

นีทเข้าใจว่า ความรู้สึกแบบนี้ เป็นเรื่องที่วัยรุ่นจะเจอได้บ่อยมาก ความกลัวที่หลายคนคิดว่าเล็กน้อย แต่สำหรับเด็กคนหนึ่งอาจยิ่งใหญ่ ส่งผลต่อความมั่นใจและ ‘คาแรกเตอร์’ มหาศาล วันนี้นีทอยากชวนคุยเรื่องนี้และวิธีจัดการกับความกลัว โดยนีทขอยกสถานการณ์ประกอบดังนี้ค่ะ

สถานการณ์แรก: เพราะต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือสิ่งแวดล้อม

เรื่องนี้ อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่เราเป็นนักเรียนใหม่ น้องม.1 สายสดใสต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย อย่างโรงเรียนใหม่ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าตึกที่ต้องการจะไปนั้นอยู่ที่ไหน หรือบางทีอยากจะเข้าห้องน้ำจังเลยแต่มันไปทางไหนกันนะ หรือว่า เอ… ที่นั่งตรงนี้ เรานั่งได้รึเปล่านะ พี่เขาจะดุไหม กลัวจังเลย ดูเหมือนจะเดินไปตรงไหนก็ไม่คุ้นชินและรู้สึกไม่ใช่ที่ทางของเราทั้งหมด ทั้งหมดนี้ก่อให้เราเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างและกลายเป็นความกลัวขึ้นมาได้

ในสถานการณ์นี้ เป็นความกลัวสำหรับเด็กที่ยังไม่คุ้นกับการปรับตัว ไม่คุ้นกับสถานที่ใหม่ มันคือ ความกลัวในครั้งแรก ที่ตัวเราไม่มั่นใจว่า ฉันจะสามารถรับมือกับสิ่งที่ฉันยังไม่รู้จักได้หรือไม่ 

สถานการณ์ที่สอง: เพราะต้องออกไปนำเสนอหรือพูดหน้าชั้น

โอ้แม่เจ้า! ต้องนำเสนอวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ กลัวอ่ะ ไม่อยากนำเสนอเลย ไหนๆ ลองกลับมาดูบทที่ 3 การทดลองอีกที่สิ ตัวแปรต้น มันต่างกันจริงใช่ไหม ตัวแปรควบคุม เราควบคุมทุกตัวแล้วใช่ไหม หลังนำเสนอเสร็จอาจารย์จะถามอะไรเรานะ ถ้าตอบคำถามไม่ได้ จะโดนหักกี่คะแนน   

ในสถานการณ์ที่ 2 นี้เป็นความกลัวที่เกิดจากความไม่มั่นใจที่เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างต่อหน้าผู้คนเยอะๆ มันคือ ความกลัวที่จะผิดพลาด กลัวว่าถ้าเราทำได้ไม่ดี คนอื่นจะต่อว่าเรา ลงโทษเรา (ในที่นี้คือการหักคะแนน) หรือตัวเราจะรู้สึกอับอายกับสิ่งๆ นั้นเมื่อเราทำได้ไม่ดี

สถานการณ์ที่สาม: เพราะกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง

เราสมัครแข่งขันเปียโนไป เพราะคุณครูบอกว่าปีนี้น่าจะลองแข่งใหม่ ขณะที่เราซ้อมก็มีเสียงหนึ่งในใจขึ้นมาว่า “ไปสละสิทธิ์ ไม่แข่งดีไหม?” เราไม่อยากกลับไปแข่งขันอีกแล้ว บรรยากาศการแข่งขันมันน่ากลัว ปีที่แล้วตอนแข่งก็เล่นโน้ตผิด เลยทำให้ไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่อยากแข่งเลย

ในสถานการณ์ที่ 3 นี้ เป็นความกลัวจากประสบการณ์ไม่ดีเก่าๆ ที่เราเชื่อว่ามันน่าจะส่งผลถึงปัจจุบันด้วย มันคือ ความกลัวจากอดีต ที่เรากลัวว่าเราอาจจะทำผิดพลาดเหมือนในอดีต หรือความผิดพลาดในอดีตนั้นยังไม่จางหายไป จนเราไม่กล้าเริ่มต้นใหม่

สถานการณ์ที่สี่: เพราะไม่กล้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ

เราอึดอัดและไม่รู้จะพูดกับเพื่อนอย่างไรดี เพราะบางทีเวลาทำงานกลุ่ม เพื่อนมักจะแบ่งงานให้เราเยอะเสมอแต่เราไม่กล้าปฏิเสธเลยรับๆ มา หรือบางทีเพื่อนก็ชอบชวนไปโน่นไปนี่ ทั้งที่ๆ เราไม่อยากไปแต่ไม่กล้าปฏิเสธ หรือบางทีเพื่อนชอบฝากเราให้เอาจานไปเก็บ เรารู้สึกว่าทำไมไม่เก็บเอง นิสัยไม่ดี แต่ก็ไม่กล้าบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ

ในสถานการณ์ที่ 4 นี้ เป็นความกลัวในเรื่องความสัมพันธ์ ที่เรากลัวว่า เราจะเสียเขาไป มันคือ ความกลัวการสูญเสีย เรากลัวจนกระทั่งยอมเขาตลอดเวลา จนบางทีไม่เป็นตัวเอง

4 สถานการณ์นี้เป็นตัวแทนของเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความกลัวที่แต่ละคนสามารถพบเจอได้ โดยหลังจากนี้นีทจะขอค่อยๆ อธิบายเพื่อให้หลายคนเห็นต้นตอความกลัวของตัวเองมากขึ้น

แล้วความกลัวเกิดขึ้นได้อย่างไร

พอเรามาอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่คุ้นชิน หรือไม่เคยเจอมาก่อน เจ้าสมองที่แสนฉลาดของเราจะมี เมล็ดอัลมอนด์น้อยที่เรียกว่า อะมิกดาลา (amygdala) ชิ้นส่วนสมองที่เป็นศูนย์กลางอารมณ์และความรู้สึก ทำงานร่วมกับ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) สมองส่วนความจำและการเรียนรู้ ทั้งคู่จะคอยประเมินสถานการณ์ให้เราว่า ฉันควรจะกลัวกับเรื่องนี้ไหมนะ เรื่องนี้ (เคย) ทำให้ชั้นรู้สึกอะไร แล้วจดจำความรู้สึกต่อสถานการณ์แบบนี้ไว้ในสมองผ่านเจ้าฮิปโปแคมปัส กลไกแบบนี้ก็เป็นสัญชาตญาณมนุษย์ที่จะทำให้เธออยู่รอด (survive) ได้ในโลกใบนี้

เช่น เธอเคยไปญี่ปุ่นคนเดียวแต่ไม่หลงทาง เดินไปไหนแป๊ปเดียวก็ถึง หรือจะขึ้นลงรถไฟสายต่างๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา เธอรู้สึกว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวไม่น่ากลัว ดังนั้นถ้ารอบนี้เธอไปเที่ยวคนเดียวอีกรอบซึ่งอาจจะเป็นญี่ปุ่นหรือที่อื่น อะมิกดาลาก็ขอเดา (ซึ่งเอาความทรงจำมาจากฮิปโปแคมปัส) ว่า เธอก็คงไม่กลัว (สถานการณ์แบบนี้) หรอก

แต่ถ้าประสบการณ์การท่องเที่ยวครั้งนั้น เกิดหลงทางแล้วกลัวจนร้องไห้ ครั้งต่อไปที่เธอจะไปเที่ยวคนเดียวอีก อะมิกดาลาก็ขอเดาว่าเธอน่าจะเป็นเหมือนตอนหลงทางครั้งนั้นแน่ๆ ดังนั้นเธอน่าจะกลัวนะ 

ซึ่งพออะมิกดาลาประเมินแล้วว่า “เราน่าจะเกิดความกลัว” สมองแสนฉลาดของเราก็ไปประสานกับร่างกาย เช่น ไปทำให้ร่างกายเราสูบฉีดเลือดรุนแรงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายมาบอกเราและทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า “ฉันกำลังกลัว” อยู่นะ

พอตัวเรารับรู้ว่า “ฉันกลัว” แล้ว เราก็จะเข้ามาสู่กระบวนตัดสินใจว่า “ฉันจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดีนะ”

การรับมือกับความกลัว

ในเรื่องการรับมือ นีทขออนุญาตแบ่งแบบง่ายๆ คือ “สู้” (fight) หรือ “หนี”( flight) ซึ่ง 2 คำนี้ เป็นคำที่เราสามารถแปลได้ตรงตัว และเข้าใจมันได้ง่ายดายมาก  คือ

  • “สู้” ก็หมายถึง “เผชิญหน้า” กับสิ่งที่เรากลัวอยู่
  • “หนี” ก็หมายถึง “ วิ่งหนี” ออกจากสถานการณ์นั้น เช่น ไปหลบไปซ่อน

ทุกคนเชื่อไหมคะว่า โดยทั่วไปของคนเรา เวลาที่เรามีความกลัว สิ่งที่เราเลือกทำคือ การ  “หนี”  มากกว่า “สู้” เพราะมันทำง่ายกว่า เร็วกว่า และอาจจะสะดวกกว่า ดังนั้น การหนี จึงอาจจะเป็นการตอบโต้โดยอัตโนมัติของมนุษย์เรา  

นีทขอยกตัวอย่างเช่น สมัยก่อนมนุษย์อาศัยอยู่ในป่า พวกเขาเหล่านั้นน่าจะต้องอยู่ในป่าด้วยความกลัวสัตว์อันตราย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาหันไปเห็นรอยเท้าของสัตว์ที่อันตราย เดาว่าอาจจะเป็น เสือ สิงโต หรือหมี (อย่าลืมเรื่องอะมิกดาลา กับ ฮิปโปแคมปัส ชิ้นส่วนสมองสองส่วนนี้ที่จำได้ว่า เสือ สิงโต หมี เคยทำให้เธอกลัวหรืออาจเคยเห็นใครตายจากการถูกพวกมันจับกิน ดังนั้น ความกลัวทั้งหมดจึงฝังเข้าไปไว้ในความจำและเมื่อเจอเจ้าพวกนี้ เห็นอะไรที่ใกล้เคียง หรือแค่ได้ยินเสียงพวกมันจากที่ไกลๆ เราก็พร้อมจะ ‘หนี’ ไปให้ไกลเสียแล้ว) และทันใดนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงคำราม ร่างกายจะสั่งเขาอย่างอัตโนมัติว่า “วิ่งหนี” แบบโกยเถอะโยม เดี๋ยวอันตรายกำลังเข้ามา พวกเขาคงได้แต่วิ่งหนี แต่ถ้าหากทางที่พวกเขาวิ่งไปนั้นคือ หน้าผาสูงชันที่ทางข้างล่างเป็นแม่น้ำ จากที่ต้องหนีก็อาจเปลี่ยนมาเป็น “สู้” ดังนั้นจากเรื่องเล่านี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า เราคุ้นชินกับการ “หนี” มากกว่า การ”สู้” ซึ่งมันถูกหรือผิด นีทเองก็ไม่อาจจะตอบได้

แต่สิ่งเดียวที่นีทตอบได้อย่างมั่นใจก็คือว่า ถ้าการเลือกจะ “หนี” แล้วมันจบ เราก็เลือกไปเถอะ (เพราะหากเราหนีสัตว์ได้ ทุกอย่างก็จบ เรารักษาชีวิตได้ ดังนั้นการเลือกที่จะหนีจึงไม่ผิดอะไร กลับกัน ถ้าเลือกที่จะสู้ เราอาจจะตายก็ได้ ใครจะรู้)

แต่คำถามในสถานการณ์ต่างๆ ที่นีทได้ยกมานั้น “การหนี” อาจจะไม่ใช่หนทางรอด เพราะเมื่อหนีไปแล้วมันไม่จบ ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่ “หนี” แล้วไม่รอด ก็จง “สู้” เถอะ (ขนาดคนเราจวนตัว ยังคิดสู้กับเสือได้เลย จริงไหมคะ)

น้องหลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมพี่ถึงเล่าเรื่องอะมิกดาลานะ ทำไมพี่นีทถึงเล่าเรื่องการสู้กับการหนีนะ พี่นีทขอบอกเลยค่ะว่า ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังเพราะต้องการที่จะบอกน้องๆ ทุกคนว่า ความกลัว นั้นควบคุมได้ เพราะความกลัวมันเกิดจากการคิดของเรา เกิดจากการประมวณความทรงจำต่างๆ ดังนั้น น้องๆ ทุกคนคะ ไม่ว่าอะมิกดาลา จะประเมินสถานการณ์ต่างๆ ให้น้องกลัวหรือไม่ก็ตาม น้องจัดการกับความคิดได้ค่ะ เพราะความคิดเป็นสิ่งที่ควบคุมได้นะ

สมมติอะมิกดาลา ประเมินแล้วว่าสถานการณ์นี้เราต้องกลัวนะ แล้วเราจะทำอย่างไรดี พี่มี 2 ทางออกดังนี้คือ คุยกับความกลัว และหาวิธีสู้

อ่านเรื่อง ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

คุยกับความกลัว และหาวิธีสู้

คุยกับความกลัว คือ การที่เราต้องรู้ตัวเองให้ได้ว่า “ตอนนี้ฉันกำลังกลัวอยู่นะ” ผ่านการสังเกตร่างกายเรา เช่น เราอาจจะใจเต้นแรง ใจไม่สงบ ตอนนี้ให้เราถามตัวเองว่า “ฉันกำลังกลัวอยู่ใช่ไหม?” ถ้าคำตอบออกมาว่า “ใช่” ให้เราคุยต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ ว่า “แล้วฉันกลัวอะไร” เช่น ฉันกลัวเล่นเปียโนพลาดเหมือนปีที่แล้ว ฉันกลัวเพื่อนโกรธแล้วไม่คบฉัน และสุดท้ายคือ ให้ถามตัวเองว่า “ที่คิดมันจริงหรือเปล่า หรือฉันกลัวไปเอง?”  เรื่องบางเรื่องของความกลัวอาจจะจบที่คำถามนี้ คือเรากลัวเกินไป และมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ เช่น

ในสถานการณ์ที่ 2 เราอาจจะเข้าใจตัวเองใหม่ว่า เรานำเสนอไม่พลาดหรอก ก็เตรียมตัวมาดีแล้ว ซ้อมมาตั้ง 5 วัน หรือจริงๆ ถ้าเราตอบคำถามครูไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรหรอก มีเพื่อนช่วยตอบนะ หรือคะแนนตอบคำถามมันก็ไม่เยอะมากหรอก เราอาจจะไม่ได้คะแนนเต็ม แต่คะแนนก็ไม่น่าเกลียดแน่นอน หรือในสถานการณ์ที่ 4 เราอาจจะพบคำตอบว่า เพื่อนไม่โกรธหรอก ถ้าหากเราพูดดีๆ ไม่เหวี่ยงใส่ เราคุยกันรู้เรื่องแน่นอน หรือถึงจะโกรธ แต่ก็เป็นความรู้สึกของเราที่คนเป็นเพื่อนน่าจะรับรู้ไว้นะ เป็นเพื่อนกันก็คงมีการทะเลาะกันบ้าง แต่สุดท้ายเราน่าจะดีกันได้ถ้าเขายังอยากเป็นเพื่อนกับเราอยู่

แต่หากบางเรื่องไม่จบที่ขั้นแรก เราจะมาเข้าสู่กระบวนการ “หาวิธีสู้” เพื่อจัดการกับความกลัว ซึ่งมีอยู่2 วิธีที่นีทแนะนำคือ คิดวิธีรับมือ กับ สร้างขวัญกำลังใจ

คิดวิธีการรับมือ คือ การคิดหาคำตอบหรือการรับมือ (ล่วงหน้า) ว่า ฉันควรจะทำอย่างไร เช่น

ในสถานการณ์ที่ 1 ฉันต้องหลงทางที่โรงเรียนใหม่แน่ๆ เลย ดังนั้นถ้าฉันหลง ฉันจะถามนะว่า “ขอโทษนะคะ พอดีหนูเป็นเด็กใหม่ จะเดินทางไปตึกนี้ อย่างไรคะ” (ถ้าเราคิดคำไว้แบบนี้ พอหลงทางจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว)

หรือในสถานการณ์ที่ 2 ที่เรากลัวการนำเสนอ เราอาจจะเตรียมตัว โดยการลองคิดคำถามล่วงหน้าว่า ครูน่าจะถามอะไรเพื่อซ้อมตอบคำถาม หรือสถานการณ์ที่ 3 ที่เรากลัวว่าเราจะเล่นเปียโนพลาด เราอาจจะวางแผนการซ้อมให้หนักขึ้น (ถ้าครั้งที่แล้วเราอ่อนซ้อม) หรือ เราอาจจะไปแสดงให้คนอื่นฟังบ่อยๆ (ถ้าครั้งที่แล้ว เราตื่นเวที)

นอกจากนี้ บางทีการเผชิญหน้ากับความกลัวก็ต้องการกำลังใจ ดังนั้น เราจึงต้องไม่ลืม “สร้างขวัญกำลังใจ” ให้ตัวเอง  เช่น

  • การผ่อนคลายตนเอง เพื่อทำให้เราไม่ตึงเครียดตลอดเวลา หรือสร้างการ “ฮึดสู้” ผ่านการหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ หรือการขยับตัวไปมา ให้ตัวเองไม่เกร็ง
  • การหาคำปลุกใจ เช่น  “ไม่เป็นไร เราทำได้” “ไหวอยู่ สู้ๆ” “พ่อจ๋า แม่จ๋า คุ้มครองหนูด้วย”
  • หาคน (ผู้ใหญ่/เพื่อน) ฟัง บางครั้งเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร การหาคนฟังก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเขาจะช่วยบอกคำแนะนำหรือให้กำลังใจเราได้

เช่น เมื่อจะถึงกลุ่มที่ต้องนำเสนออยู่แล้ว การบอกตัวเองว่า “ทำได้” ก็เป็นแรงฮึดที่ดีนะ หรือบางทีเรากลัวเรื่องเพื่อนมาก แต่ถ้าได้ระบายให้พ่อแม่ฟัง เราก็อาจจะได้มุมมองว่า การบอกความรู้สึกของเรา มันไม่ได้น่ากลัวเท่าที่เราคิดหรอกนะ หรือการระบายความในใจว่า เรากลัวการแข่งเปียโนมากขนาดไหน คุณครูที่สอนเราก็อาจจะให้กำลังใจเราและบอกเราว่า จริงๆ ทุกคนก็กลัวทั้งนั้นแหละ แต่การซ้อมไม่เคยหลอกเรา ถ้าซ้อมเราจะทำได้

เราทุกคนมีความกลัวกันทั้งนั้น เพียงแต่เราจะปล่อยให้ตัวเองกลัวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เราจึงต้องไปรู้จักกับความกลัว คุยกับมัน และหาทางรับมือ แม้ว่าตอนที่เราต้องสู้กับความกลัวนั้น เราอาจจะขาสั่นอยู่ก็ตามที แต่ถ้าเราก้าวผ่านความกลัวไปได้ มันก็คงดีไม่น้อยนะ

อ้างอิง
How to Overcome fear and anxiety
Fight, Flight, or Freeze: What This Response Means
What Happen in the Brian When We Feel Fear

Tags:

ความกลัว (Fear)ภาวะถูกแช่แข็ง (Freeze)นักจิตวิทยาโรงเรียนการจัดการอารมณ์Character world

Author:

illustrator

เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์

นักจิตวิทยาโรงเรียน ผู้ฝันอยากจะเป็น “ฮีโร่” ให้กับเด็กๆ และวัยรุ่น ให้เขามีความสุขในชีวิตมากขึ้น ปรับตัวได้ดีมากขึ้น และมีพลังมุ่งหน้าไปสู่ฝัน นอกจากนี้ยังมีความโลภอยากจะเชิญชวนให้มนุษย์ผู้ใหญ่ทุกคนมาร่วมกันเป็น “ฮีโร่” ของเด็กๆ ผ่านปลายปากกา

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy lifeAdolescent Brain
    11 ชุดคำถาม ชวนนั่งไทม์แมชชีนกลับไปคุยกับอดีตเพื่อรู้จักและเข้าใจตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ประเมินกำลัง หาวิธีปราบ ใช้ไอเท็มเสริม: จัดการความเครียดช่วงเปิดเทอมกับนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    สู้กับความกลัว: เปลี่ยนจากแพนิก อยู่กับตัวเอง เป็นแบ่งปัน เชื่อมโยงกับคนอื่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศากิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020
Voice of New Gen
24 August 2020

3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020

เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • ทั้งพ่อเเม่เเละลูกต่างตั้งคำถามต่อกันคนละเเบบจากมุมมองที่ต่างกัน เเต่จะเป็นอย่างไร ถ้าผู้ใหญ่มานั่งฟังความรู้สึกของพวกเขาอย่างเปิดใจเเละเข้าใจ
  • TEDxYouth@Bangkok2020 เปิดพื้นที่ชวนผู้ใหญ่มาทำความเข้าใจความรู้สึกเเละพื้นที่ของเด็กๆ และให้เด็กเองได้พูดความคับข้องใจของเขาผ่านหัวข้อ You(th) Matter ไม่ใช่เเค่เสียงของคนรุ่นใหม่ที่สำคัญเเต่เสียงของ ‘คุณ’ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการช่วยให้เสียงของคนรุ่นใหม่ดังขึ้นกว่าเดิม
  • จาก 10 สปีกเกอร์ มี 3 เรื่องราวผ่านเสียงของเด็ก 3 คน ที่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าพื้นที่ที่พวกเขาเลือกเองคือพื้นที่ในการเเสดงความเป็นตัวเองเเละมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในของพวกเขา
ภาพ: TEDXYouth@Bangkok2020

พ่อเเม่มักสังเกตพร้อมตั้งคำถามต่อการกระทำเเละความสนใจของลูก เช่น อยากให้ลูกอยู่บ้านกับครอบครัวเเต่ลูกเลือกออกไปหาเพื่อน ลูกอยากเรียนในสิ่งที่เขาสนใจ เช่น ศิลปะ กีฬา ดนตรี  เเต่พ่อเเม่อยากให้เรียนวิชาการ พ่อแม่เห็นแต่ลูกติดมือถือทั้งที่จริงๆ นี่คือเครื่องมือการเรียนรู้โลกของยุคสมัย ขณะเดียวกันลูกก็ตั้งคำถามกับเรื่องเหล่านี้เช่นกันว่า ทำไมพ่อเเม่ถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเลือกเเละสนใจ ต่างฝ่ายต่างตั้งคำถามต่อกัน มีความต้องการต่อกันคนละแบบ 

เเต่จะเป็นอย่างไร ถ้าผู้ใหญ่มานั่งฟังความรู้สึกของพวกเขาอย่างเปิดใจเเละเข้าใจ

TEDxYouth@Bangkok2020 เปิดพื้นที่ชวนผู้ใหญ่มาทำความเข้าใจความรู้สึกเเละพื้นที่ของเด็กๆ และให้เด็กเองได้พูดความคับข้องใจของเขาผ่านหัวข้อ You(th) Matter ไม่ใช่เเค่ Youth หรือเสียงของคนรุ่นใหม่เท่านั้นที่สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนเเปลงสังคม เเต่ You ด้วยเช่นกัน ‘คุณ’ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการช่วยให้เสียงของคนรุ่นใหม่ดังขึ้นกว่าเดิม เเละมีส่วนช่วยทำให้ความต้องการของคนรุ่นใหม่เป็นจริง 

เวทีปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องจัดเวทีเป็น 2 แบบ คือ เเบบออฟไลน์ที่ E-sport Arena เดอะสตรีท รัชดา เเละ แบบออนไลน์ที่มีให้เลือก 2 ออปชั่น คือ ผ่านโปรเเกรม Zoom เเละเพจเฟซบุ๊ก TEDxYouth@Bangkok และความพิเศษของเวทีปีนี้ คือ เป็นครั้งเเรกที่เชิญผู้ใหญ่เข้ามาเป็นหนึ่งในสปีกเกอร์ด้วย 

ขณะที่ฟังเรื่องราวจาก 10 สปีคเกอร์ มี 3 เรื่องราวที่พอฟังแล้วทำให้ผู้เขียนมีโอกาสย้อนกลับไปมองตัวเองในอดีต ตัวเราที่เคยคาดหวังว่าต้องเป็นคนที่ดีที่สุด ต้องทำตัวให้เป็นที่ยอมรับ จนทำให้เราไม่สามารถเเสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ ทั้งการเข้าใจพื้นที่ Safe Zone พื้นที่ที่ทำให้เราได้ทบทวนความรู้สึกและเข้าใจตัวเองผ่านสิ่งที่เราสนใจ เเต่กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรือเเม้เเต่ความชอบเเละความสนใจของผู้เขียนที่อยากทำงานเขียนเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่จะสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ เเต่ต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะพิสูจน์ให้คนรอบข้างยอมรับเเละเข้าใจจนเป็นตัวเองที่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่

เเละการเป็นเด็กเรียนดีที่เพื่อนกับครูคาดหวัง สร้างภาพจำว่าตัวเราควรจะเป็นอย่างไร จนไม่สามารถเเสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพราะเป้าหมายของตัวเราในการเรียนคือการเดินเข้าไปอยู่ในภาพจำของคนอื่น

ทั้ง 3 เรื่องราวผ่านเสียงของเด็ก 3 คน ที่ต้องการให้ทุกคนเข้าใจว่าพื้นที่ที่พวกเขาเลือกเองคือพื้นที่ในการเเสดงความเป็นตัวเองเเละมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในของพวกเขาได้

มายด์ – ธวัลรัตน์ วงศ์นุ่ม: วันสุดท้ายของเรื่องไร้สาระ

จุดเริ่มต้นความสุขของคนๆ หนึ่งในเเต่ละวัน อาจจะเป็นการออกกำลังกาย เล่นเกมส์ ฟังเพลง ดูหนัง ดูซีรีส์ หรือดูคลิปศิลปินที่ตัวเองชอบ แต่บางครั้งสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข อาจถูกมองเป็น ‘เรื่องไร้สาระ’ ในสายตาคนอื่น

มายด์ – ธวัลรัตน์ วงศ์นุ่ม

มายด์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หนึ่งในเด็กที่ถูกผู้ใหญ่มองความสุขของเธอเป็นเรื่องไร้สาระ มายด์เปิดพื้นที่เล่าเรื่องด้วยคลิปเเคสท์เกมของพี่เอก heartrocker นักเเคสท์เกม (หรือ นักพากย์เกม – Cast Game, Game Caster หรือ Game Commentator) ที่มีคนติดตามมากกว่า 6 ล้านคน พร้อมถามคำถามว่า ‘คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระไหม?’

สำหรับเธอเเล้ว คลิปของพี่เอก heartrocker ช่วยให้เธอลืมความเครียดจากการดูเเลเเม่ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดทางสมองเมื่อ 2 ปีก่อน มายด์สร้างโลกของตัวเธอผ่านดนตรีเเละเกม ใช้เวลาอยู่กับโลกใบนี้วันละ 8 ชั่วโมง จนพ่อถามว่า ‘วันๆ ไม่เห็นจะทำอะไรเลย มัวเเต่เล่นโทรศัพท์’ เเต่มายด์นิยามโลกใบนี้ว่า มันคือจุดเริ่มต้นความสุขเเละรอยยิ้มของเธอในเเต่ละวันที่เรียกว่า Safe Zone – พื้นที่ปลอดภัยของเธอ เพราะในวันที่เธอไม่อยากจะมีชีวิตต่อ แต่เสียงของผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าในโลก Safe Zone กลับเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้มายด์เลือกที่จะมีชีวิตต่อไป 

ช่วงท้ายการ talk ของมายด์เธอขึ้นภาพสติ๊กเกอร์ไลน์ “สวัสดีวันจันทร์” ชี้ว่าสติ๊กเกอร์นี้คงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายคนชอบส่งกัน ต่อมามายด์เปิดภาพถัดไป เป็นภาพศิลปินเกาหลี มายด์อธิบายว่า เมื่อนึกถึงศิลปินเกาหลี หลายคนคงเห็นภาพของกลุ่มเเฟนคลับที่รอรับศิลปินที่ชื่นชอบจนเเทบไม่มีที่ยืนในสนามบิน หลังจากเปิดรูปภาพเสร็จ มายด์ก็ถามขึ้นมาว่า “คุณคิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระไหม?” มายด์กำลังเชื่อมสองโลกนี้ ความชอบจากโลกสองใบให้เห็นภาพใกล้เคียงกัน

ขณะที่คนหนึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระมากที่สุดในชีวิต เเต่สำหรับอีกคน สิ่งๆ นั้นอาจเป็นพื้นที่ที่ทำให้เขามีความสุข กระตุ้นให้ตัวเองตื่นเช้าไปเรียนหรือทำงาน หรือเป็นเเรงผลักดันให้เขากล้าเป็นตัวเองมากขึ้นก็ได้ 

“ทุกคนล้วนมี Safe Zone เป็นของตัวเอง เเละไม่อยากให้ใครมาว่า เราอยากให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Safe Zone เพราะวันหนึ่งคุณอาจจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลก Safe Zone ของใครบางคน”

พราว – พราว ธำรงรัตน์: เพื่อนสนิทที่ชื่อ Passion

Passion คือ ความหลงใหลที่มากพอจะขับเคลื่อนชีวิตเรา คงไม่ใช่เรื่องเเปลกถ้าเราจะชอบเเละเดินเข้าไปทำความรู้จักกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก จนเเทบจะเเฝงอยู่ในตัวเราเเบบไม่รู้ตัว เป็นเพื่อนสนิทของเรา หรือที่ใครหลายคนชอบพูดว่ามันคือ Passion เเละกลายเป็นจุดเด่นของตัวเอง พราวเริ่มต้นด้วยเรื่องราวนี้ก่อนจะเเนะนำเพื่อนสนิทของเธอ…

พราว – พราว ธำรงรัตน์

เพื่อนสนิทคนเเรกของพราว คือ ‘คุณ-ภาพ’ ย่อมาจาก การวาดภาพ เพราะความสุขที่ได้จับดินสอ ยางลบ การลงสี ทำให้ทุกวันหลังเลิกเรียน พราวจะใช้เวลาไปกับการวาดภาพ เเต่เมื่อถึงเวลาสอบเธอได้ใช้เวลาวาดรูปน้อยลง เเม้ช่วงเวลานั้นจะแค่ 2 อาทิตย์ เเต่สำหรับพราวเวลาช่างเดินช้าเหมือนผ่านไปเป็น 10 ปี นอกจากนี้เธอก็ต้องพบกับความซับซ้อนในการวาดภาพเเละปัญหาการลงทุนเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับ ‘วาด’ ทำให้คุณ-ภาพ ไม่สนุกเหมือนตอนที่พราวเเละคุณ-ภาพ รู้จักกันใหม่ๆ 

จนพราวได้มารู้จักกับเพื่อนคนใหม่ที่ชื่อว่า ‘คุณ-เขียน’ ย่อมาจาก เขียนนิยาย ที่ทำให้พราวตื่นเต้นเเละมีความสุขไปในทุกตัวอักษรเเละเรื่องราวระหว่างบรรทัด 

เมื่อแพรโตขึ้น เธอได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อีกมากมาย ทั้งคุณ-เพลง คุณ-หนัง คุณ-ซีรีส์ คุณ-กีฬา เเละคุณ-อื่นๆ เพราะสำหรับพราว Passion ก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง จะสนิทมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ว่าสิ่งเหล่านั้นเข้ากับบุคลิก นิสัย หรือความชอบของเราได้มากเเค่ไหน

หลังจากนั้นพราวก็เเนะนำวิธีให้ทุกคนค้นหาเพื่อนสนิทของตัวเองผ่าน 4 Checklist หรือ TENM พราวอธิบายว่า ถ้ามีมากกว่า 3 ข้อ ยืนยันได้เลยว่าสิ่งนี้คือเพื่อนสนิทของเราจริงๆ เขาจะเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเเละสนับสนุนให้ตัวเรารู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราเลือกในอนาคต

  •  Checklist#1 T : Time เราเล่นสนุกกับเพื่อนคนนี้จนลืมเวลา
  • Checklist#2 E : Excite ตื่นเต้นเเละเฝ้ารอที่จะได้เล่นกับเพื่อน
  • Checklist#3 N : No Fear ไม่ว่าคนรอบข้างจะมองเพื่อนเรายังไง เราก็ยังอยากจะเล่นเเละทำความรู้จัก
  • Checklist#4 M : Money คุณกล้าที่จะเสียเงินเพื่อที่จะได้ไปเจอเเละสนุกไปกับเพื่อนคนนี้

“ลองหยุดฟังเสียงรอบข้างเเล้วมาอยู่กับตัวเอง  Passion คือสิ่งที่ตัวเราหลงใหลมากพอที่จะมาขับเคลื่อนชีวิตของเรา Passion เป็นเหมือนเพื่อน ที่บางคนรู้สึกสนิทมากและอยู่กันได้นาน หรือบางคนอาจจะได้ใช้เวลาร่วมกันสั้นๆ เเล้วเเยกย้ายกันไป”

เเพร – เเพรนวล จอนบำรุง: ถึงเวลาคืนค่าเกรดเฉลี่ย

คุณคิดอย่างไรกับเด็กที่สอบได้เกรด 4 ? ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่คงเป็นภาพคนเก่ง คนดี เป็นที่รักของใครหลายคน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต 

แพร – แพรนวล จอนดำรง

เเพร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นหนึ่งคนที่ถูกจำด้วยภาพนั้น เธอเป็นตัวเเทนของเด็กที่สอบได้เกรด 4 เป็นตัวเเทนโรงเรียนในการประกวดวิชาการ เเล้วยังเป็นนักเรียนที่คุณครูยอมรับพร้อมกับยื่นโอกาสดีๆ ให้เสมอ เเต่ใครจะรู้ว่าโอกาสที่ยื่นให้เเละมองว่าเป็นความสุข กลับทำให้แพรต้องอึดอัดกับความเป็นตัวเอง เเละเริ่มตั้งคำถามกับระบบการศึกษาไทยว่า ‘เกรดเฉลี่ยที่เธอได้มาสำคัญอย่างไร?’ เพราะโลกมี 2 ด้านเสมอ…

“เกรดเฉลี่ยมันอเมซิ่งมากๆ ทั้งเป็นเกณฑ์ที่ทำให้คนๆ หนึ่งได้รับโอกาสดีๆ เเละยังเป็นเครื่องมือในการตัดสินเด็กคนหนึ่ง”

เเพรบอกว่าเกรดคือสิ่งที่หยิบยื่นโอกาสให้คนๆ หนึ่ง เเต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กอีกจำนวนหนึ่งต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพียงเพราะเกรดเขาไม่ดี เเต่จริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะทำอย่างอื่นได้ดีกว่า เช่น วาดรูป เล่นกีฬา หรือสิ่งที่เขาสนใจ แพรยกข้อมูลหนึ่งมาเล่าให้ทุกคนฟังว่า ประเทศไทยมีการเเบ่งเเยกนักเรียนสูงมากถึง 77 เปอร์เซนต์ มากกว่าเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์ 

ไม่ผิดที่เราจะชื่นชมเด็กสอบได้เกรด 4 เเต่ก็ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีความสามารถด้านอื่นนอกจากวิชาการเข้ามามีส่วนร่วมเเละเเสดงความสามารถของตัวเอง เพื่อให้เขารู้สึกว่า ความสามารถของเขาสำคัญเเละกล้าที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป

เพราะเมื่อโรงเรียนให้ความสำคัญกับการจัดลำดับนักเรียน ไม่ต่างจากการจัด rank ในเกมส์ ทำให้เด็กต้องตั้งเป้าหมายว่า ‘ฉันจะต้องเป็นเด็กที่มีเกรดดีๆ’ ก็เลยต้องซื้อไอเท็มที่จะทำให้ผ่าน mission เเต่ละด่านไปให้ได้  ก็คือโรงเรียนสอนพิเศษ จะเห็นว่าชีวิตของเด็กไทยในตอนนี้ คือ เรียนในโรงเรียนเสร็จเเล้ว ก็ไปเรียนที่โรงเรียนสอนพิเศษต่อ 

เเพรพูดด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมว่า “ถึงเวลาเเล้วที่เราจะคืนค่าเกรดเฉลี่ย โดยที่ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” เกรดไม่ใช่สิ่งสำคัญ เเต่สิ่งที่สำคัญคือการที่เด็กเข้าใจสิ่งที่เขาเรียนรู้มา สามารถนำมาประยุกต์กับการใช้งานในอนาคต 

“หากการศึกษาทำให้ผู้เรียนเหมือนกำลังเล่นเกม เเสดงว่ามันกำลังบิดเบียววัตถุประสงค์ทางการศึกษา เเท้จริงเเล้วเกรดเฉลี่ยไม่ได้เป็นปัญหา เเต่เป็นค่านิยมของคนในสังคมที่กำลังเป็นปัญหา”

เสียงเล็กๆ จากเด็กคนหนึ่งอาจนำไปสู่การสร้างความเข้าใจระหว่างพวกเขาเเละผู้ใหญ่ เข้าใจเหตุผลของกันเเละกัน ไม่เเน่ว่าวันหนึ่งเสียงนี้จะสร้างความเปลี่ยนเเปลงเเละเป็นเสียงที่ดังที่สุดเสียงหนึ่งก็ได้

ในงาน TEDxyouth@Bangkok2020 มีการส่ง Special Box ให้กับผู้ที่ซื้อบัตรเข้าร่วมงานถึงที่บ้าน โดยด้านในกล่องจะประกอบด้วย 

1) Board Game: School Matter เกมส์ที่จะทำให้ผู้เล่นย้อนวัยเหมือนกลับไปอยู่ในรั้วโรงเรียนอีกครั้งผ่านวีรกรรม กิจกรรม เเละบทสนทนาระหว่างผู้เล่นกับเพื่อนๆ ในวัยเรียน
2) Postcard เเละ Stickers จากเหล่า Speaker ที่ออกเเบบให้เข้ากับหัวข้อการ Talk ของเเต่ละคน เช่น อาร์ม สรสิช สิรวัฒนากุล ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องการออกเเบบการเรียนรู้เเบบ Self-Learning ก็ทำเป็นโปสการ์ดถึงวิธีการ What, How, Then ส่วนด้านหลังเป็นปฏิทิน
3) Kerry Express Thailand Box for Laptop รูปเเบบของกล่องสามารถนำไปประยุกต์เป็นที่วางโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ หรือเเท็บเล็ตได้
4) GQ Apparel mask TEDxYouth@Bangkok 

Tags:

เกมการเติบโตTED Talksวัยพรีทีน (Preadolescence)อีเวนต์พื้นที่ปลอดภัยวัยรุ่น

Author:

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Related Posts

  • MovieDear Parents
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
21 August 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การกระตุ้นในวัยเด็ก (early childhood stimulation หรือ ECS) จะช่วยสร้างเสริมความสามารถในการคิด การสื่อสาร และการเข้าสังคม โดยมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่สนับสนุนว่าการเล่นในวัยเด็กสร้างผลบวกต่อเจ้าตัวเล็กในระยะยาว เช่น การศึกษาในประเทศจาไมกาที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยต่อเนื่องถึง 20 ปี พบว่าการที่พ่อแม่เล่นกับลูกมากขึ้นที่บ้านในวัยเด็กจะสร้างประโยชน์ให้กับเด็กในระยะยาว ทั้งความสามารถในการรับรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา อาชีพ สุขภาพจิต รวมถึงรายได้
  • การจะมีสมาธิหยิบตรงนั้นจับตรงนี้พร้อมกับพูดคุยหยอกล้อกับเจ้าตัวเล็กอาจสนุกในวันแรกๆ แต่หลังผ่านไปหลายเดือน บางคนคงเริ่มเบื่อหน่ายเมื่อต้องอ่านนิทานซ้ำๆ หรือหยิบของเล่นชิ้นเดิม แต่สิ่งที่ผมท่องไว้เสมอคือต้องอดทนเพราะนี่คือการลงทุนที่เราอาจไม่เห็นผลในปีนี้ปีหน้า แต่มันจะงอกเงยกลับมาหาเราในระยะยาว

ในหนังสือคู่มือเลี้ยงเด็ก เหล่าคุณแม่จะเชื่อมสัมพันธ์กับลูกน้อยผ่านอ้อมกอดและไออุ่นขณะกำลังให้นม ส่วนคุณพ่อไม่มีบทบาทมากนักและมักทำหน้าที่หน่วยสนับสนุนคอยหยิบจับสิ่งของที่ขาดเหลือพร้อมให้กำลังใจ แต่สำหรับผม บทบาทแค่นั้นออกจะน้อยไปสักหน่อย ก็เลยขอจับจองบางช่วงเวลาของวันเพื่อมีกิจกรรมสองต่อสองกับลูกน้อยนั่นคือการ ‘เล่น’ 

หลายคนมองว่าการเล่นกับลูกน้อยไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เป็นเพียงกิจกรรมฆ่าเวลาไม่ให้พ่อแม่เบื่อหน่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเล่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของลูกตามวัยโดยเฉพาะในช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบ แม้ว่าจะเป็นการกิจกรรมอย่างง่าย อย่างการอ่านหนังสือ ร้องเพลง หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ดูแลและเด็กน้อย 

การกระตุ้นในวัยเด็ก (early childhood stimulation หรือ ECS) จะช่วยสร้างเสริมความสามารถในการคิด การสื่อสาร และการเข้าสังคม โดยมีการศึกษาในประเทศจาไมกาที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยต่อเนื่องถึง 20 ปี พบว่าการที่พ่อแม่เล่นกับลูกมากขึ้นที่บ้านในวัยเด็ก จะสร้างประโยชน์ให้กับเด็กในระยะยาว ทั้งความสามารถในการรับรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา อาชีพ สุขภาพจิต รวมถึงรายได้ ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่สนับสนุนว่าการเล่นในวัยเด็กสร้างผลบวกต่อเจ้าตัวเล็กในระยะยาว แต่โจทย์ที่นักวิจัยยังตีไม่แตกคือจะออกแบบนโยบายอย่างไรที่จะจูงใจให้พ่อแม่เล่นกับลูกที่บ้านมากขึ้น 

ก็ลองนึกสิครับว่าจะเล่นอะไรกับเจ้าตัวเล็กในวัยแบเบาะที่แม้แต่จะชูคอก็ลำบากเต็มที! 

ในบทความนี้ ผู้เขียนเลยขอมาแบ่งปันประสบการณ์การเล่นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน สิ่งที่คาดหวังจากการเล่นแต่ละอย่าง รวมถึงอุปกรณ์หลากชนิดที่ควรมีไว้ใกล้มือ 

เล่นง่าย ได้ประโยชน์ 

ทารกในวัยแรกเกิดหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับ แต่หากบางช่วงจังหวะที่เจ้าตัวเล็กลืมตาตื่นก็อย่าลืมเข้าไปพูดคุยถามไถ่ อุ้มมาในอ้อมกอดแล้วร้องเพลงอะไรก็ได้ จะเป็นเพลงร่วมสมัย คลาสสิคเอิงเอย หรือจะแต่งขึ้นมาใหม่ตามแรงบันดาลใจ ณ ชั่วขณะนั้นก็ไม่ว่ากัน นี่คือกระบวนการที่จะทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ทำความรู้จักตัวตนของเราผ่านน้ำเสียงและเสริมสร้างคลังคำเพื่อพัฒนาการทางภาษา 

สำหรับเจ้าตัวเล็กที่ยังคอไม่แข็ง พ่อแม่ต้องคอยประคับประคองอย่างระมัดระวัง แตะสัมผัสแบบเบามือ แล้วหาโอกาสเล่นล้อแบบตามองตา ทำหน้ายิ้มหวาน หัวเราะ ย่นคิ้ว แลบลิ้น กลอกตาไปมา แล้วทำหน้าทะเล้นพิเรนทร์อย่างไรก็ได้เท่าที่จะคิดออก แต่อย่าคาดหวังว่าเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดจะตอบสนองอะไรมากมายนะครับ เพราะผมเองก็เผชิญกับหน้านิ่งสนิทร่วมสามเดือนกว่าจะได้รอยยิ้มตอบกลับมา 

กิจกรรมที่ผมชอบมากและพ่อแม่มือใหม่ห้ามพลาดคือฝึกลูกนอนคว่ำ (Tummy Time) วันละ 10 ถึง 15 นาที ซึ่งปกติแล้วผมจะให้เจ้าตัวเล็กมานอนเล่นอยู่บนพุงนุ่มนิ่ม คอยเฝ้ามองเขากระเสือกกระสนที่จะดันคอตัวเองขึ้นมา ขณะเดียวกันก็หยอกล้อพูดคุยเล่นหูเล่นตากับเค้าไปด้วย การฝึกลูกนอนคว่ำสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยและคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กน้อยยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และมีโอกาสขาดอากาศหายใจหากจมูกราบไปกับพื้นหรือคว่ำทับของเล่นอย่างตุ๊กตา 

หลังจากเด็กน้อยเริ่มยิ้มและหัวเราะก็อย่าลืมกิจกรรมคลาสสิคอย่างการเล่นจ๊ะเอ๋ ที่เจ้าตัวเล็กพร้อมจะสนุกกับเราได้ครึ่งค่อนชั่วโมงโดยไม่เบื่อ มีแต่ผมนี่แหละครับที่จะเหนื่อยเสียก่อนเพราะต้องวิ่งหาที่ซ่อนใหม่ๆ ให้ลูกมองหา 

อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมความสนุก 

สิ่งที่ควรมีไว้ติดบ้านคือหนังสือนิทาน จะเป็นรูปแบบภาษาเดียว สองภาษา สามภาษาก็แล้วแต่ถนัด ขอให้มีเอาไว้บ้านเผื่อวันไหนคิดไม่ออกว่าจะคุยอะไรกับลูกจะได้หยิบนิทานมาเล่าให้ฟัง ด้วยความที่ผมเป็นนักอ่าน หนังสือนิทานเลยมีอยู่กองพะเนิน แต่จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่านหมด ส่วนหนึ่งเพราะตัวเล็กติดใจอยู่ไม่กี่เล่ม ส่วนพ่อเองก็ชอบเล่มที่ตัวหนังสือน้อยๆ (ฮา) เพราะการอ่านออกเสียงมันเหนื่อยกว่าที่คิดไว้มาก 

เทคนิคการเล่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล บางคนชอบส่งเสียงสูงต่ำชวนตื่นเต้น บางคนเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ส่วนผมก็จะชอบแต่งเติมเรื่องเข้าไปตามจินตนาการเพราะขี้เกียจอ่าน บางครั้งก็เล่าสิ่งที่เราไปเจอมาตลอดวันให้ฟัง หรือแม้แต่หยิบต้นฉบับบทความเศรษฐศาสตร์การเงินมาอ่านเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเพราะงานคุณพ่อก็เสร็จ ส่วนคุณลูกก็ดูมีความสุขดี (!?) 

ผมมองว่าเทคนิควิธีหรือเรื่องที่จะนำมาเล่าเป็นประเด็นปลีกย่อยนะ เพราะสิ่งสำคัญคือการใช้เวลาร่วมกันและให้เค้าได้ยินเสียงของเราให้คุ้นชินจนสบายใจ 

การได้เป็นพ่อคนยังเปิดโลกใหม่ให้ผมรู้ว่าตอนนี้มีของเล่นเด็กน่าซื้อหาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน หากไม่หักห้ามใจตัวเอง ของเล่นเจ้าตัวน้อยคงเกลื่อนบ้านชนิดเล่นเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ซึ่งผมมีกฎจำง่ายในการเลือกซื้อของเล่นให้เจ้าตัวเล็กคือ ซื้อแต่พอดี อย่าเน้นปริมาณแต่ให้เน้นคุณภาพและความปลอดภัย เลือกของเล่นให้เหมาะกับช่วงวัย และสุดท้ายคือเลือกซื้อของเล่นหลากหลายผิวสัมผัส 

ที่ต้องเน้นคุณภาพและความปลอดภัย เพราะหลังจากเด็กน้อยเริ่มนั่งและคว้าของได้ เครื่องมือสำคัญที่เจ้าตัวเล็กใช้สำรวจสิ่งรอบตัวคือ ‘ปาก’ พ่อแม่จึงต้องมั่นใจว่าของเล่นที่ซื้อมาเอาเข้าปากได้ไม่เป็นอันตราย ส่วนของเล่นหลากหลายผิวสัมผัส อาจเลือกเป็นหนังสือผ้าที่ขย้ำแล้วมีเสียงกรอบแกรบ ของเล่นนุ่มๆ ที่ไม่มีขนปุกปุย โมบายส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งสีสันสดใสให้เจ้าหนูมองตาม หรือกระจกที่ปลอดภัยสำหรับเด็กให้เจ้าตัวเล็กเรียนรู้หน้าตาของตัวเอง 

สิ่งที่พ่อแม่ควรระวังคือห้ามนำสิ่งของชิ้นเล็กๆ มาอยู่ใกล้เจ้าตัวน้อยเด็ดขาด เพราะมีโอกาสที่เค้าจะคว้าแล้วเอาเข้าปากสูงมาก รวมถึงพลาสติกส่งเสียงก๊อบแก๊บซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเด็กๆ แต่เสี่ยงต่อการทำให้เด็กขาดอากาศหายใจ 

มองเผินๆ เจ้าตัวเล็กอาจไม่ได้อะไรจากการเล่นสักเท่าไหร่ แต่ทุกการขยับตัว หยิบจับ มองตาม รวมถึงการได้ยินเสียงของเรา ทุกนาทีคือการเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นและสิ่งรอบข้าง ทำความคุ้นเคยกับภาษา พลางฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ด้วยการสำรวจโลกใบน้อยที่อยู่ตรงหน้า 

แน่นอนครับว่าการจะมีสมาธิหยิบตรงนั้น จับตรงนี้ พร้อมกับพูดคุยหยอกล้อกับเจ้าตัวเล็กอาจสนุกในวันแรกๆ แต่หลังผ่านไปหลายเดือน บางคนคงเริ่มเบื่อหน่ายเมื่อต้องอ่านนิทานซ้ำๆ หรือหยิบของเล่นชิ้นเดิม แต่สิ่งที่ผมท่องไว้เสมอคือต้องอดทนเพราะนี่คือการลงทุนที่เราอาจไม่เห็นผลในปีนี้ปีหน้า แต่มันจะงอกเงยกลับมาหาเราในระยะยาวครับ 

Tags:

การเล่นปฐมวัยบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อนการกระตุ้นในวัยเด็ก(early childhood stimulation)

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ความรุนแรงในวัยอนุบาล : ได้รับแล้วประทับในกาย ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่เซฟทับประสบการณ์เก่า : นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร
Social Issues
20 August 2020

การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • ปรากฏการณ์การเข้ามาแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ ทำให้เกิดการปะทะกันทั้งความคิดและความเห็นกัน คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ The Potential สื่อสารผ่าน The Potential จากประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องบทบาทหน้าที่ของโรงเรียนและครอบครัว ต่อการเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยของนักเรียน และนิสิตนักศึกษา 
  • “เยาวชนจะเรียนรู้จากไหนว่าการคิดต่างไม่ใช่ศัตรูกัน? ก็ต้องเรียนรู้ในโรงเรียน แต่หากบทบาทของโค้ช หรือ ผู้อำนวยการเรียนรู้ (facilitator) อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องกำหนดบทบาทตัวเองให้ชัดเพื่อไม่ให้อยู่ในสถานการณ์ที่ครูหรือผู้ปกครองยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักเรียน แต่ให้เขารู้ว่าเราทำหน้าที่สนับสนุนให้กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อการเรียนรู้ของเขา”

จากปรากฏการณ์การเข้ามาแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำกิจกรรมในพื้นที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และพื้นที่สาธารณะต่างๆ หลายจังหวัดทั่วประเทศไทย ก่อให้เกิดความไม่สบายใจของผู้ใหญ่หลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง ตามที่ได้เห็นข่าวการปะทะกันทั้งความคิดและความเห็นกันในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา 

คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ The Potential ในฐานะผู้ขับเคลื่อนงานเยาวชนมานานเกินสิบปี สื่อสารผ่าน The Potential จากประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องบทบาทหน้าที่ของโรงเรียนและครอบครัว ต่อการเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยของนักเรียน และนิสิตนักศึกษา 

ด้วยถ้อยความต่อไปนี้… 

กิจกรรม เนื้อหา และ ท่าที: 3 ปัจจัยที่ชวนครูและพ่อแม่แบบโค้ชรู้ให้ชัด ก่อนช่วยลูกและศิษย์พัฒนาทักษะพลเมือง 

การที่เยาวชนโดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ทำให้สังคมดูตกใจมาก คำถามคือ “ทำไมเราตกใจ?” เราอาจจะตกใจเพราะในสมัยที่พวกเรา (ผู้ใหญ่) อยู่ในยุคกระโปรงบานขาสั้นหรืออยู่ในอายุเท่าเขา เรายังไม่ได้สนใจการเมืองหรือยังไม่เข้าใจการเมืองมากเท่าไร เราจึงแปลกใจว่าทำไมเด็กๆ ในช่วงวัยเท่ากับเราสมัยนั้นกลับสนใจการเมืองและดูมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากเรา ถึงขั้นที่ผู้ใหญ่บางคนบอกว่า “มันไปไกล”

ดิฉันคิดว่าตรงนี้เองที่ทำให้คนรู้สึกตกใจ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ตกใจแล้วเราทำยังไง?” เราจะมีท่าทีอย่างไร วันนี้ดิฉันอยากจะสื่อสารกับครอบครัว กับพ่อแม่ผู้ปกครอง กับครูอาจารย์ ซึ่งเกี่ยวพันกับเยาวชนโดยตรง เพราะคิดว่าโรงเรียนและครอบครัวจะเข้ามามีบทบาทค่อนข้างสูง

คำถามคือ ตอนนี้สิ่งที่ครูและผู้ปกครองต้องเข้าใจ หรือต้องมองสถานการณ์แบบนี้อย่างไร ถ้ามองในมุมของนักการศึกษาหรือนักการเรียนรู้ ก็ต้องบอกว่า มันถูกต้องแล้วที่นักศึกษา เยาวชน นักเรียน สนใจลุกขึ้นมาทำกิจกรรมการเมือง เพราะถ้าเราเข้าใจหลักการการเรียนรู้ว่าการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่การท่องจำ ไม่ได้อยู่ที่การอ่านหนังสือแต่อยู่ที่การลงมือปฏิบัติ หรือ practice 

มองว่าสถานการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง ตอนนี้เยาวชนก็กำลังทดลองปฏิบัติทำหน้าที่พลเมืองอยู่ เพื่อให้ได้ประสบการณ์และความรู้จากการลงมือทำ ซึ่งการเรียนรู้ในแนวทางนี้เป็นแนวทางที่เรากำลังจะปฏิรูปการศึกษาไทย เพื่อให้การเรียนการสอนในห้องเรียนพลิกโฉมจากเรียนโดยครูบอกสอนมาเป็นฝึกปฏิบัติ ขอย้ำว่าทิศทางการปฏิรูปการศึกษาจะไปในทิศทางนี้ทั่วโลก เพื่อให้เยาวชนที่จบการศึกษา ในการทำงาน ในการอยู่ร่วมกับคนในสังคมที่แตกต่างหลากหลาย เป็นสมรรถะของคนในสมรรถนะที่ 21 

ถ้ามีมุมมองแบบนี้ เราก็จะไม่ได้มองเหตุการณ์หรือสถานการณ์แบบนี้ว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัว แต่จะเห็นว่าสถานการณ์แบบนี้เป็นขั้นตอนการเรียนรู้ของเยาวชน ของนักศึกษา ของนักเรียน เช่นนี้แล้ว บทบาทของผู้ใหญ่ทั้งครูและพ่อแม่ จะเปลี่ยนจากการเผชิญหน้าเป็นการโอบอุ้ม แนะนำ พูดคุย ทำความเข้าใจ และให้โอกาส 

กับเรื่องนี้ อยากให้มองแยกกัน 3 เรื่อง คือ หนึ่ง-กิจกรรมเหล่านี้ว่าดีหรือไม่ดี น่าสนับสนุนหรือแบน กับสอง-คอนเทนต์หรือเนื้อหาที่เขากำลังสื่อสารมันใช่หรือไม่ใช่ เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย และ สาม-ท่าทีในการแสดงออก

เรื่องแรก กิจกรรม ถ้าเรามองว่าเรื่องนี้เป็นขั้นตอนการเรียนรู้ เป็นกระบวนการเรียนรู้หน้าที่พลเมืองและประชาธิปไตย แปลว่าเราต้องส่งเสริม โรงเรียนต้องเปิดพื้นที่ให้เขาแสดงกิจกรรม ซึ่งต้องขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เข้าใจ ที่ออกมาบอกแล้วว่าเปิดโอกาสให้นักเรียนทำกิจกรรมการเมืองในพื้นที่โรงเรียนได้ (อ่านข่าวได้ที่นี่) ซึ่งนี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมาก 

แต่การเรียนรู้ในโรงเรียนและในบ้าน ต้องมีโค้ช มีคนคอยแนะนำ ก็ต้องถามกลับไปที่คุณครูและพ่อแม่ว่าเราทำหน้าที่ชี้แนะประคับประคองให้กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นและเกิดการเรียนรู้ของนักศึกษาและนักเรียนหรือไม่ แทนที่เราจะหวาดกลัว วิตก แต่เราเข้าไปช่วยประคับประคองได้เลย เช่น โรงเรียนจัดพื้นที่ จัดเวลา ให้น้องๆ ได้แสดงความคิดเห็น มีครูบาอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษา ที่มีความเข้าใจและมีท่าทีที่เป็นมิตร 

ซึ่งการเป็นคุณครูที่จะเข้าไปโค้ช หรือ facilitate กิจกรรมเหล่านี้ต้องกำหนดเป้าหมายให้ดีว่า น้องๆ จะได้เรียนรู้ประชาธิปไตย เรียนรู้ว่าการแสดงออกทางการเมืองนั้นควรเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนเนื้อหา (Content) ที่เขาจะสื่อสารนั้น ดิฉันจะขอพูดในส่วนถัดไป แต่เฉพาะเรื่องการทำกิจกรรม แทนที่ครูจะห้ามปราม ก็น่าจะสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมเหล่านี้ภายใต้การไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น นี่จะเป็นโจทย์แรกที่เขาจะได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยแบบไหนที่จะรักษาสิทธิตัวเองได้และไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่น ได้รู้จักกับประชาธิปไตยแห่งการพูด และได้เรียนรู้ว่าสถานศึกษาเปิดโอกาสให้เขาได้พูดและเรียนรู้

ประการต่อมา ท่าที ตอนนี้ท่าทีที่สังคมกังวล ต้องกลับไปดูว่าขณะนี้ก็ ‘แรง’ ทั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ใหญ่ คุณครู หรือ ผอ. มองบทบาทตัวเองเรื่องการเป็นโค้ชหรือ facilitator ตรงนี้ไม่ออกจึงเข้าไปขัดขวาง กลายเป็นการเผชิญหน้า ยืนอยู่กันคนละฝั่ง แต่ถ้าเรากำหนดบทบาทของเราให้ชัดว่าเราเป็นคนสนับสนุน เตือนให้เขารู้ว่า เขามีสิทธิแสดงออกแต่ก็ละเมิดคนอื่นไม่ได้ หรือเตือนให้รู้ว่าท่าทีที่เขาแสดงออกและอยากให้ผู้ใหญ่ฟังเป็นแบบไหน ท่าทีที่ไม่เป็นมิตรและคนจะไม่ฟังเป็นแบบไหน นี่คือสิ่งที่น้องๆ จะได้เรียนรู้ 

เยาวชนจะเรียนรู้จากไหนว่าการคิดต่างไม่ใช่ศัตรูกัน? ก็ต้องเรียนรู้ในโรงเรียน แต่หากบทบาทของโค้ช หรือ ผู้อำนวยการเรียนรู้ (facilitator) อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องกำหนดบทบาทตัวเองให้ชัดเพื่อไม่ให้อยู่ในสถานการณ์ที่ครูหรือผู้ปกครองยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักเรียน แต่ให้เขารู้ว่าเราทำหน้าที่สนับสนุนให้กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อการเรียนรู้ของเขา

สุดท้าย เนื้อหาสาระ หรือ คอนเทนต์ นี่ก็ต้องถูกนับอยู่ในกระบวนการเรียนรู้เหมือนกัน ถ้าครูเห็นว่ามันไม่เหมาะสม ครูเห็นว่าข้อมูลที่นักเรียนนักศึกษานำเสนอมีไม่ครบด้าน ด้วยบทบาทของโค้ช ครูก็มีหน้าที่กระตุ้นให้เขาเห็นว่าข้อมูลที่หามามีอยู่ข้างเดียวหรือเปล่า จุดนี้ครูสามารถชวนให้ทำกระบวนการวิเคราะห์แล้วค่อยสังเคราะห์เป็นข้อเสนอได้ ฉะนั้น ดิฉันมองเรื่องการเรียนรู้เรื่องการเมืองเป็นกระบวนการเรียนรู้ เหมือน Project Based Learning (หรือการเรียนรู้ผ่านโครงงานหรือโปรเจกต์) ฉะนั้น ผู้ใหญ่ คุณครู ต้องกำหนดบทบาทให้ชัด กระบวนการที่ให้คนฟังกัน หรือท่าทีทำให้น้องๆ แสดงออกหรือพูดออกมา ภายใต้บรรยากาศขัดแย้ง ทั้งหมดต้องใช้กระบวนการ

ทั้งหมดนี้ คุณครูจะใช้อำนาจไม่ได้แต่ต้องเปลี่ยนเป็นครูโค้ช เครื่องมือของครูโค้ชคือกระบวนการ ครูต้องเปลี่ยนเป็นกระบวนกร ถ้าคุณครูกำหนดบทบาทแบบนี้ ท่าทีครูจะเปลี่ยน ความสัมพันธ์ของครูจะเปลี่ยน บทบาทของโรงเรียนก็จะเปลี่ยน จากที่บอกว่ากิจกรรมทางการเมืองแสดงออกในโรงเรียนไม่ได้ เข้าสถานศึกษาไม่ได้ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า กิจกรรมทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ประชาธิปไตย ซึ่งสถานศึกษามีหน้าที่ปลูกฝังด้วย 

ในปี 2565 กระทรวงศึกษาธิการจะผลักหลักสูตรสมรรถนะ หนึ่งในสมรรถนะหลักคือ ผู้เรียนมีสำนึกความเป็นพลเมือง และแสดงออกในการเป็นพลเมืองที่ดี รับผิดชอบต่อสังคม คำถามคือว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างไรถ้าไม่เกิดจากการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ

ธรรมชาติของวัยนี้ เขามีความคิดในเชิงอุดมคติ แต่หน้าที่ของเราคือการพาให้เขาให้เห็นความจริงว่าในสีขาวมีสีดำ ในสีดำมีสีขาว ไม่มีขวา-ซ้าย แต่มีตรงกลางที่อาจจะขยับไปอิงซ้ายหรืออิงขวา แล้วครูจะทำยังไง? ครูจะต้องละทิ้งความเชื่อทางการเมืองของตัวเอง ครูต้องมีความเป็นกลาง สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เขาได้เรียนรู้ ทั้งทักษะคิดวิเคราะห์ (critical thinking) ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) เชื่อหรือไม่เชื่อในข้อมูลที่รับมาและจะตรวจสอบข้อมูลนั้นได้อย่างไร นี่คือเรื่องที่เขาจะได้เรียนรู้อีกเยอะ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลจะทำให้เขามีมุมมองทางการเมือง เขาก็จะเติบโตในเรื่องความเข้าใจทางการเมืองมากขึ้น ไม่นับรวมว่าเขาได้ ฝึกทักษะการปราศัย ฝึกเรื่องการแสดงออก ซึ่งเป็นบันไดแรกๆ ของการแสดงออกทางความคิด และถ้าได้เห็นว่าโรงเรียนเปิดโอกาสให้อย่างไร เขาก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าออกไปนอกโรงเรียน เขาจะสร้างโอกาสในการแสดงออกอย่างไร

ประเด็นเนื้อหา คนจะเป็นห่วงว่ามันสุดโต่ง (extreme) ไปนะ แต่ถ้าเราค่อยๆ ให้เขาเรียนรู้ มีการค้นหาข้อมูลหลายๆ ส่วน กลับเข้ามาวิเคราะห์สังเคราะห์ร่วมกัน สุดท้ายมันก็จะเป็นตัวเขาเองที่จะตัดสินใจ ซึ่งในสังคมประชาธิปไตย เราก็ต้องเคารพความหลากหลาย 

พูดถึงโรงเรียน ก็ต้องพูดถึงที่บ้าน ที่บ้านก็ต้องเปิดโอกาสแบบที่โรงเรียนเปิด คือ เปิดโอกาสให้น้องแสดงความคิดเห็น พ่อแม่ก็เป็นครูโค้ชเหมือนที่โรงเรียน ถ้าเขาเอาข้อมูลมาไม่ถูกต้องหรือไม่ครบ พ่อแม่จะมีบทบาทอย่างไรที่จะกระตุ้นให้ลูกหาข้อมูลเพิ่มเติม จะมีบทบาทอย่างไรในการเปิดโอกาสหรือช่องทางให้เขาได้เสนอควมคิดเขาให้เราฟัง 

พ่อแม่ต้องฝึกฟังให้มาก ต้องใจกว้างพอ เมื่อไรที่เราใจกว้างและนิ่งพอ ท่าทีการพูดคุยหรือการเติมช่องว่างของลูกก็ต้องเป็นมิตร พ่อแม่ก็คงต้องใช้กระบวนการให้เป็น ปรับท่าทีไม่ใช้การสั่งการ แต่สร้างพื้นที่ๆ สงบ ปลอดภัย คุยกันได้ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ง่าย 

แต่ในสถานการณ์แบบนี้เราต้องคิดว่าพ่อแม่ต้องมีบทบาททำให้ลูกเข้าใจประชาธิปไตยดีขึ้น เข้าใจเรื่องการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างแบบไม่แบ่งแยกเราไม่อยากเห็นข่าวอย่างในตอนนี้ที่ว่ามีการตัดพ่อตัดลูกกัน เราอยากเห็นท่าทีของพ่อแม่ที่ facilitate ลูกๆ ในการเติบโตเรื่องของประชาธิปไตย 

เราผ่านโลกมา 40  50 ปี หรือบางคนเป็นคุณปู่คุณย่า แล้วลูกหลานเราผ่านโลกมากี่ปี? เราจะอายุเท่ากันเหรอเราจะทะเลาะกันใช่ไหมคะ? เข้าใจว่าด้วยอายุเราคงเห็นประเทศไทยมายาวนานกว่า แต่ให้คิดว่าเรากำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขา ถามเขา… ข้อมูลลูกมาจากไหน น่าเชื่อถือแค่ไหน แล้วมันมีข้อมูลอื่นตรงไหนมาขัดแย้งกันไหม? 

ผู้ใหญ่ต้องใจกว้าง กำหนดบทบาท ทำงานกับลูกหรือหลานด้วยวิธีที่สันติ ขณะเดียวกันต้องกำหนดบทบาทให้ชัดว่าเราเป็นครูโค้ชเหมือนกัน แต่เป็นโค้ชที่บ้าน ฉะนั้นโค้ชไม่ทะเลาะกับนักกีฬานะคะ โค้ชก็ต้องมองจุดอ่อนและจุดแข็ง เผื่อหาจุดพัฒนาเขาต่อ มองสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการเรียนรู้ของลูกเรา ถ้าโรงเรียน ครอบครัว มองสิ่งนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้ แล้วบทบาทของครู พ่อแม่ คือ โค้ช ประคับประคองให้เขาเรียนรู้ในทางที่ถูกต้อง ตรงนี้กระแสจะลดลงเยอะ ความขัดแย้งก็จะลดลงเยอะ

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตย

Author:

illustrator

ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

Beautiful Boy: ไม่ว่าลูกจะเลือกทางไหน พ่อจะเห็นลูกเป็น ‘บิ้วตี้ฟูลบอย’ ของพ่อเสมอ
Dear ParentsMovie
20 August 2020

Beautiful Boy: ไม่ว่าลูกจะเลือกทางไหน พ่อจะเห็นลูกเป็น ‘บิ้วตี้ฟูลบอย’ ของพ่อเสมอ

เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Beautiful Boy เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชายวัยรุ่นที่ตกอยู่ในวังวนยาเสพติดอย่างหนัก สร้างจากหนังสือที่พ่อเขียนถึงลูกชายที่ติดยาเสพติดจริงๆ หนังเรื่องนี้เป็นมุมมองของพ่อที่อาจจะไม่ได้รู้ว่าลูกชายเริ่มติดยาเสพติดด้วยเหตุผลอะไร แต่จะได้เห็นว่าทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะคนเป็นพ่อพยายามแค่ไหนที่จะดึงลูกชายให้หลุดออกจากทางเดินนั้น
  • “แล้วก็คิดได้ว่า เออ เราก็ไม่ได้ดีไปกว่าแม่หรอก เราก็เถียงเก่ง ดื้อ ไม่ยอมแม่ง่ายๆ แม่ก็คงไม่เคยคิดอยากให้เราโตมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีสิทธิ์เลือก ลูกไม่มีสิทธิ์เลือกเกิด พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกให้ลูกโตมาในแบบที่อยากให้เป็นได้อย่างหมดจด พ่อแม่ทำได้แค่เลือกสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้เค้าเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันอยู่ดีว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง ลูกต้องการมันรึเปล่า เค้าอาจจะทำตาม รับฟัง แต่ในใจเป็นอีกเรื่องก็ได้”
นิค
เดวิด

Tags:

ภาพยนตร์พ่อพิมพ์พาพ์การเลี้ยงลูกยาเสพติด

Author & Photographer:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Social Dilemma พลังการเก็บข้อมูล digital footprint ที่กำลังหลอกหลอนเรา

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The Umbrella Academy: ความรู้สึกเป็นคนนอกครอบครัว เพราะตัวเองไม่(มีพลัง)พิเศษ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

“ไม่ได้ชี้นำแต่ถามให้คิด” ห้องที่เรียนจากคำถาม เกม และสิ่งที่ผู้เรียนสงสัย
Unique Teacher
19 August 2020

“ไม่ได้ชี้นำแต่ถามให้คิด” ห้องที่เรียนจากคำถาม เกม และสิ่งที่ผู้เรียนสงสัย

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ‘ชาติคืออะไร?’ ชวนไปหาคำตอบที่ห้องเรียนของ สิทธิชัย จูอี้ แห่งโรงเรียนสุรวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดโคราช ครูที่อยากให้เด็กๆ (และสังคม) สามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความคิดที่ต่างกัน ห้องเรียนของเขาเน้นให้เด็กๆ เรียนรู้จาก ‘คำถาม’ และ ‘การเล่นเกม’ เป็นการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่มาจากความต้องการของเด็กๆ
  • “ผมไม่ได้ชี้นำแต่ถามให้คิด สุดท้ายผมตั้งคำถามว่า…ก่อนที่เราจะรักชาติ เรารู้หรือยังว่าชาติคืออะไร แล้วคิดว่าคนที่ร้องเพลงชาติไม่ดังรักชาติหรือเปล่า? นักเรียนได้คำตอบจากการคิดด้วยตัวเอง”

“ทำไมต้องร้องเพลงชาติเสียงดัง ร้องเพลงชาติเสียงไม่ดังแปลว่าไม่รักชาติหรือเปล่า?” นักเรียนถามขึ้นในห้องเรียน

  “ชาติคืออะไร?” ครูถามกลับ

“ชาติคือประเทศมั้งครับ” นักเรียนตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ถ้าชาติคือประเทศจริงๆ นักเรียนเคยดู ‘ธอร์ แร็กนาร็อค*’ มั้ย ในหนังเมืองแอสการ์ดระเบิด…ตู้ม!! แบบนั้นชาวแอสการ์ดสิ้นชาติไหม?”

“ไม่ เพราะโอดินบอกกับธอร์ว่าแอสการ์ดไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นผู้คน” นักเรียนตอบทันควัน ขณะที่ครูยิงคำถามต่ออย่างไม่รีรอว่า “ถ้าชาติไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน แล้วชนเผ่าที่เร่ร่อนไปเรื่อย ไม่มีแผ่นดินอาศัยเป็นหลักแหล่ง เป็นชาติหรือเปล่า เมื่อพวกเขาก็เป็นผู้คน?”

“ไม่ใช่” นักเรียนตอบ 

“แปลว่าชาติต้องมีทั้งแผ่นดินและผู้คนใช่ไหม?” “งั้นหมู่บ้านที่มีทั้งแผ่นดินและผู้คน เป็นชาติได้แล้วหรือยัง?” ครูตั้งคำถามต่อ 

บทสนทนาในคาบเรียนระหว่าง สิทธิชัย จูอี้ ครูประจำวิชาภูมิศาสตร์ , รัฐธรรมนูญและเศรษฐศาสตร์ โรงเรียนสุรวิวัฒน์  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา กับนักเรียนของเขา ทำให้เราในฐานะผู้ฟังได้คิดตามเช่นกัน

ครูสิทธิชัยเล่าให้ The Potential ฟังถึงวิธีการยิงคำถามเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสงสัย โดยครูไม่จำเป็นต้องเฉลยคำตอบ

ผมไม่ได้ชี้นำแต่ถามให้คิด สุดท้ายผมตั้งคำถามว่า…ก่อนที่เราจะรักชาติ เรารู้หรือยังว่าชาติคืออะไร แล้วคิดว่าคนที่ร้องเพลงชาติไม่ดังถือว่าไม่รักชาติหรือเปล่า? นักเรียนได้คำตอบจากการคิดด้วยตัวเอง”

มนุษย์กับสังคมที่มีความเข้าใจกัน

โรงเรียนสุรวิวัฒน์ เป็นโรงเรียนในกำกับของมหาวิทยาลัยสุรนารี เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนราว 4 ร้อยกว่าคน แต่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว้างขวาง ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกับมหาวิทยาลัย

ก่อนมารับบทบาทครูเต็มตัว สิทธิชัยมีความฝันอยากทำงานหรืออาชีพที่ให้โอกาสตัวเองได้ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม เป็นความฝันที่เป็นเหมือนอุดมการณ์การใช้ชีวิตมาโดยตลอด

“ในยุคที่ผมเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น ผมเห็นสังคมมีความขัดแย้งมากขึ้น แบ่งแยกคนเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายไม่สามารถคุยกันดีๆ ได้ ผมเลยคิดว่าบางทีสิ่งที่สังคมนี้ต้องการอาจไม่ใช่แค่ความช่วยเหลือทางกายภาพ ความอยู่ดีกินดี โรคภัยไข้เจ็บ ความปลอดภัยเพียงหรือเศรษฐกิจที่มั่งคั่งเท่านั้น แต่รวมถึงการปรับเปลี่ยนแนวคิด ให้ยอมรับฟังความเห็นของคนที่คิดแตกต่างจากตนเองอย่างมีสติ สามารถคุยกันด้วยเหตุผล ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือคิดเหมือนกันทุกเรื่อง แต่สามารถคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่ตนได้รับ แล้วหารือร่วมกันเพื่อนำไปสู่ไอเดียใหม่ ในการพัฒนาโลก มากกว่ามุ่งเอาชนะหรือกำจัดคนเห็นต่าง

“เราไม่ควรตั้งธงแล้วมองว่าอีกฝ่ายต่างจากเราแล้วไม่ใช่พวกเรา ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราแตกต่างจากเรา ทำไมเขาแตกต่างจากเรา เหตุผลอาจมาจากข้อแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ เรื่องเพศ เรื่องครอบครัว เมื่อเราเข้าใจปัจจัยที่หล่อหลอมคนๆ หนึ่งแล้วทำให้เกิดสังคม เราจะเข้าใจความต่างได้จริงๆ เพราะรู้ที่มา

“ถ้าคนที่คิดไม่เหมือนกันสามารถคุยกันได้โดยไม่จ้องทำลายอีกฝ่าย เมื่อนั้นจะเกิดความก้าวหน้าและทำให้เกิดการพัฒนาในสังคม”

ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจมนุษย์ เข้าใจพฤติกรรมมนุษย์? เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา – เป็นโจทย์ที่สิทธิชัยถามตัวเอง

จึงเป็นที่มาให้เขาเลือกเรียน คณะโบราณคดี สาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะเป็นศาสตร์การเรียนรู้ที่จะทำให้เขาเข้าใจความเป็นมนุษย์

“พอเราเริ่มเข้าใจในกระบวนการคิดของมนุษย์ผ่านการหล่อหลอมของสังคม ผมก็อยากจะมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการขัดเกลาสังคมดูบ้าง ผมชอบถ่ายทอดความรู้เลยเลือกเขียนนิยาย เขียนเรื่องสั้น เขียนบทความต่าง ๆ ที่มีสาระแทรกด้วยแนวคิดของตัวเอง จนกระทั่งแฟนแนะนำว่า…ทำไมไม่ลองไปเป็นครู

“มันตรงกับความต้องการของตัวเอง เพราะผมมีเรื่องราวที่อยากถ่ายทอดเยอะ และอาชีพนี้เป็นอาชีพที่สามารถเอาความรู้ความสามารถที่มีไปใช้พัฒนาผู้อื่นได้ และทำให้นักเรียนเติบโตได้ไปพัฒนาสังคมในทางที่ดีขึ้น ผมว่าครูเป็นอาชีพแห่งความหวังของสังคมเลยล่ะ

“ตอนเป็นนักเขียนฟีดแบ็คจากผู้ติดตามทำให้ผมรู้ว่าเรื่องไหนที่คนอ่านแล้วเข้าใจมากขึ้น และเรื่องไหนที่คนยังไม่พร้อมเข้าใจ แต่ก็ยังไม่สามารถตอบข้อสงสัยของทุกคนได้ การที่ผมมาเป็นครูดีตรงที่ว่าผมสามารถตอบคำถามเด็กๆ ในเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจได้โดยตรง”

มื่อถามถึงครู/ อาจารย์ในดวงใจ ครูสิทธิชัย ตอบทันทีว่า อาจารย์ธเนศวร์ วงศ์ยานนาวา อาจารย์พิเศษจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่รับเชิญมาสอนสาขามานุษยวิทยา-สังคมวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร

“อาจารย์สามารถเชื่อมโยงทุกอย่างในชีวิตเข้ากับมานุษยวิทยา – สังคมวิทยาได้ดี เปิดรูปประติมากรรม เปิดหนังเพื่อสอนทฤษฎีมานุษยวิทยา แม้ว่ามันดูไม่เกี่ยวกันเลยขนาดไหนก็ตาม แต่อาจารย์ก็ทำให้มันเกี่ยวกันได้อย่างมีเหตุผล สามารถเชื่อมโยงทุกอย่างในชีวิตเข้ากับทฤษฎีทางมานุษยวิทยา – สังคมวิทยาได้

“มุมมองอย่างหนึ่งที่ติดตัวผมมาจากการเรียนมานุษยวิทยา คือ อยากให้สังคมคุยกันได้ด้วยเหตุผล ไม่เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองที่สร้างความรุนแรงอีก เหมือนที่อาจารย์ธเนศวร์บอกว่าศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์ คือ ความเกลียดชังในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก”

ห้องเรียนที่เห็นความต้องการของนักเรียนสำคัญ

ความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงอย่างหนึ่งในชั้นเรียน คือ การตัดสินจากครูว่านักเรียนหลังห้องเป็นเด็กที่ไม่ตั้งใจและไม่สนใจการเรียน

“ผมเป็นเด็กหลังห้อง จำได้ว่าครูปฏิบัติกับเราไม่เหมือนที่ทำกับเพื่อนหน้าห้อง ห้องเรียนที่ผมสอนเลยไม่มีหน้าห้องหลังห้อง ผมจัดห้องเรียนเป็น 2 แบบ แบบแรกรูปตัวยูแล้วครูสอนอยู่ตรงกลาง แล้วก็มีแบบที่จัดโต๊ะเป็นห้าเหลี่ยมวางกระจายตัวกัน เด็กทำกิจกรรมกลุ่มได้ ส่วนผมก็เดินไปทั่ว บางทียืนหน้าห้อง บางทีก็บรรยายจากหลังห้อง ทั้งหมดที่ทำมาไม่ได้หมายความว่าเด็กทุกคนจะชอบในทุกอย่างที่เราทำนะ ส่วนสำคัญอยู่ที่ครูต้องคุยกับเด็กว่า อะไรที่เขาชอบไม่ชอบแล้วเราจะปรับยังไง”

ด้วยเหตุนี้ห้องเรียนของครูสิทธิชัย จึงยึดธีม ‘ความต้องการของนักเรียนและความสนุก’ เป็นสำคัญ สื่อการสอน กิจกรรมที่ทำจึงต้องมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีการเก็บข้อมูลจากการสำรวจความเห็นของนักเรียนบ่อย ๆ ว่าต้องการทำอะไร ต้องการการเรียนรู้แบบไหน อยากให้เอาการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือเกมอะไรมาสอนบ้าง หลังจากนั้นครูถึงไปศึกษาในสิ่งที่นักเรียนต้องการ บางครั้งต้องลองเล่นเกม ดูภาพยนตร์หรืออ่านการ์ตูนที่ยังไม่เคยแตะมาก่อน แต่นักเรียนชอบ เพื่อเอามาเป็นสื่อการสอนแล้วโยงเข้าหาบทเรียนให้ได้

ถึงขนาดว่าครั้งหนึ่ง ครูสิทธิชัยได้ทำบทความวิจัย ชื่อ “การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อลดค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและเพิ่มค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ในรายวิชาสังคมศึกษา” เพื่อพัฒนาการสอนของตนเอง

“ถ้าพัฒนาตนเองให้ชำนาญในสิ่งที่สอนมากพอและพยายามอินไปกับสิ่งที่นักเรียนอิน เราจะเห็นความเชื่อมโยงในวิชาที่สอนและเรื่องที่นักเรียนชอบ จนสามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยากสอนผ่านเรื่องที่เขาชอบได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน เกม ละคร ภาพยนตร์ กีฬา หรือกิจกรรมอะไรก็ตาม ไม่ใช่ปฏิปักษ์กับการศึกษา ถ้าครูรู้จักเชื่อมโยงเข้าหาบทเรียน

“ผมพัฒนาเกมที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรายวิชาที่สอนขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วนำมาใช้ในการสอน เพราะผมพอมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง สมัย ม.ต้นผมเริ่มสนใจการเขียนเกมคอมพิวเตอร์เลยลองศึกษาและพัฒนาขึ้นมาโดยมีเพื่อน ๆ ช่วยเทส ยุคนั้นคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตยังเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ ความสนใจเรื่องพวกนี้เลยโดนผู้ใหญ่มองแปลก ๆ เราก็ไม่ได้โทษผู้ใหญ่ยุคนั้นหรอก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก ต้องขอบคุณทางผู้บริหารของโรงเรียนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ให้การสนับสนุนการใช้สื่อบันเทิงสารพัดมาประกอบการเรียนการสอน และให้การสนับสนุนด้านนวัตกรรมประกอบการสอน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ บอร์ดเกม หรือสื่ออื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความสามารถในการเรียนการสอนในห้องเรียนพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ”

ยกตัวอย่าง เรื่องภัยธรรมชาติ ครูสิทธิชัยนำเกมเกี่ยวกับการหลบภัยธรรมชาติมาเล่นแข่งกับนักเรียน พอเล่นไปสักพักนักเรียนเห็นว่าครูเล่นเกมเก่งกว่า มีโอกาสรอดจากภัยธรรมชาติมากกว่า จึงเป็นจังหวะเหมาะให้ครูอธิบายได้ว่า เพราะครูมีความรู้เกี่ยวกับปัจจัยการเกิดภัยธรรมชาติและแนวทางการรับมือที่ดีกว่า หลังจากนั้นจึงพานักเรียนเข้าสู่บทเรียน

“ยิ่งเด็กสนุก เด็กยิ่งมีแรงบันดายใจในการเรียน เล่นเกมแล้วค่อยมาสอนเขาว่าภัยธรรมชาติที่มีโอกาสเกิดบนโลกนี้มีอะไรบ้าง เกิดอย่างไร จะป้องกันแก้ไขอย่างไร แล้วพอนักเรียนลองเล่นอีกครั้งด้วยความรู้ที่มาจากการสอน ก็พบว่า…เออมันได้ผล!! จากนั้นให้นักเรียนลองจับกลุ่มอภิปรายกันว่าภัยธรรมชาติแต่ละอย่างเกิดจากอะไร มีลักษณะร่วมหรือคล้ายอย่างไร การรับมือทำอย่างไร อะไรรับมือง่ายหรือยากที่สุด

หรือถ้าสอนเรื่องการโฆษณาสินค้า ก็ให้นักเรียนนั่งดูโฆษณาสินค้าแต่ละชนิด แล้วมาอภิปรายกันว่าอะไรน่าซื้อที่สุดสำหรับแต่ละคน แล้วโยงเข้าทฤษฎีการตลาด นักเรียนก็จะรู้สึกว่าสิ่งที่สอนมันเกี่ยวข้องกับชีวิต ใช้ได้จริง จากนั้นก็ให้นักเรียนลองจับกลุ่มทำโฆษณาสินค้าสักอย่างขึ้นมา”

“ผมจะมีกรอบว่าเรื่องนี้จะชวนนักเรียนวิจารณ์ประเด็นไหน เข้าใจเรื่องไหน ในมุมมองอะไร เด็กสมัยนี้ฉลาด เขามีความรู้บางอย่างที่เราไม่รู้ เข้าถึงสื่อและเทคโนโลยี เด็กมีคำถามที่ดีขึ้น และชอบมีคำถามประหลาดๆ โผล่มาซึ่งเป็นคำถามที่สมัยก่อนไม่เคยถูกถาม”

“อะไรเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ?” ครูสิทธิชัย ยกตัวอย่างคำถามในชั้นเรียน

“ความเจริญ คืออะไร?” “แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ไม่เกิดสิ่งนั้น?” ครูถามกลับให้นักเรียนคิด

หลังจากได้ฟังคำถาม นักเรียนตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “หนูว่าหนูนี่แหละถ่วงความเจริญประเทศ เพราะ…”

จากสถานการณ์ที่ยกมา คำถามไม่ได้จบแค่การได้คำตอบว่าใครหรืออะไรเป็นตัวถ่วงความเจริญ ครูสิทธิชัยบอกว่า คำถามควรดำเนินต่อไปเพื่อนำทางให้เด็กได้คิดลึกลงไปมากกว่าการหาจำเลยสังคม

“ทำไมเธอถึงมีมุมมองอย่างนั้น การที่มีมุมมองแบบนี้แสดงว่าเราต้องผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสัมคมบางอย่างมา ไหนลองทบทวนสิว่าเธอผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมมาอย่างไร มีอะไรแวดล้อมที่ไม่ดีบ้าง แล้วจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร”

คำถามเหล่านี้ ไม่ได้ตัดสินให้ใคร ‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ แต่กระตุ้นกระบวนการคิดที่อาจเป็นทางเลือก ทางรอดในการพัฒนาตนเองและสังคมในอนาคต

ความแข็งแกร่ง (Strength)

เราให้ครูสิทธิชัยเลือกบัตรคำที่อธิบายถึงความเป็นตัวเองขึ้นมา 1 ใบ จากบัตรคำทั้งหมด 24 ใบ “ความแข็งแกร่ง” เป็นคำที่ครูสิทธิชัยเลือก

บรรยากาศของห้องเรียนที่เต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน นักเรียนรวมหัวกันคิด ยกมือแสดงความคิดเห็น ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะครูสิทธิชัยไม่เคยละเลยที่จะเอาใจมาใส่ใจเรา

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ห้องเรียนที่ถูกออกแบบกระบวนการเรียนรู้มาอย่างดี “ความแข็งแกร่ง” เป็นความมั่นคงภายในที่ทำให้สามารถสร้างพลังงานเชิงบวกแห่งการเรียนรู้ขึ้นมาได้

“ความแข็งแกร่ง หากโยงกับคติพุทธ คือ หลักพละ 5 หรือ กำลัง 5 ประการ ที่จะทำให้เรามีเรี่ยวแรง มีพลัง เป็นกำลังเกื้อหนุนให้รู้ทางแห่งการดับทุกข์ได้ ถ้าความไม่รู้ของคน ความเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นความทุกข์ พลังแห่งการดับทุกข์ของเราก็คือ ความแข็งแกร่ง”

ถึงตรงนี้ ครูสิทธิชัย เปิดห้องเรียนเฉพาะกิจ อธิบายเรื่องพละ 5 ว่า ประกอบด้วย

  1. ศรัทธาพละ (สัทธาพละ)
  2. วิริยะพละ ความเพียรพยายาม
  3. สติพละ ความระลึกได้ เป็นกำลังต้านทานความประมาทพลั้งเผลอ
  4. สมาธิพละ ความตั้งมั่นจดจ่อ
  5. ปัญญาพละ ความเข้มแข็งทางปัญญาที่ทำให้เอาชนะโมหะ หรือ ความโง่ ความหลง

“ผมศรัทธาในศักยภาพของนักเรียน ศรัทธาในอาชีพครูว่า ครูสามารถพัฒนานักเรียนได้และนักเรียนทุกคนมีศักยภาพพอที่จะพัฒนา ผมมีความเพียรพยายามที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจนักเรียน ทดลองเล่นเกมที่เด็กชวน ทดลองอ่านหนังสือที่นักเรียนแนะนำมา เพื่อนำมาสอนนักเรียนอีกทีหนึ่ง มีสมาธิหรือมีจิตตั้งมั่น แน่วแน่ในการพัฒนานักเรียนและอาชีพครูอย่างจริงจัง มีสติ ไม่ประมาทว่าตัวเองรู้แล้ว ไม่ประมาทกับการเรียนการสอน  และมีปัญญารู้จักเชื่อมโยงเนื้อหาของบทเรียน คิดสร้างสรรค์ไปสู่สิ่งที่เด็กชอบให้ได้ ต่อให้บางเรื่องไม่เกี่ยวก็ทำให้เกี่ยวกันให้ได้

“ผมรู้ตัวว่าผมเข้าข้างความเป็นเด็กกับสิทธิมนุษยชนเยอะไปหน่อย ผมมีอีโก้นะ เป็นอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อสังคมของเรา ผมสอนเด็กในวิชาชุมนุมเรื่องการจำแนกลักษณะตัวละคร (Character Alignments) มนุษย์เรามีหลายประเภท คนแต่ละประเภทก็จะมองคนอื่นในมุมมองที่ต่างกันไป เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เรามองคนอื่นว่าเป็นแบบไหน ในทางกลับกันมันจะสะท้อนว่าคนที่มองเราแบบนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนแบบไหนด้วย”

เมื่อถามว่าหากไม่เป็นครู คิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ครูสิทธิชัย บอกอย่างไม่รีรอว่า “คงกำลังเป็นนักเขียนอยู่”

“ผมคงหันมาดูแลกิจการสำนักพิมพ์เต็มตัว เพราะยังไงก็รักการถ่ายทอดความรู้และนำเสนอมุมมองความคิด ทัศนคติต่างๆ ให้กับผู้คน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในสังคม วัฒนธรรมและสิ่งที่ต่างจากตนเอง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สังคมทุกวันนี้ยังมีคนที่มีอคติต่อผู้อื่นและไม่มีความพยายามเปิดใจคุยกัน ด้วยเหตุผล ทั้งที่ความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราลดอคติลงให้ได้มากที่สุด

“บางคนก็ด่าว่าล้อเลียนกันสนุกปาก บางคนใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการกดขี่ข่มเหงคนที่แตกต่างจากตน อาจเพราะความกลัวที่จะสูญเสียความคิดเดิมที่ตนเองยึดถือ หรืออาจเพราะกลัวสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ของตนก็ตาม แต่นั่นทำให้สังคมโลกเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ พยายามกำจัด ตีตรา หรือกีดกันคนที่แตกต่าง แทนที่จะเคารพความเป็นตัวเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา ร่วมมือกันหารือ หาแนวทางการพัฒนาสังคมและโลก เพราะทุกวันนี้โลกกำลังเจอวิกฤตหลายด้าน

“ถ้าเปรียบเทียบคงเหมือนผมอยากปลูกต้นไม้ให้โลกนี้มีต้นไม้เพิ่มขึ้น การเป็นครูก็เหมือนการปลูกต้นไม้ในสวนป่า และเฝ้าคอยดูแลจนเจริญงอกงามด้วยมือตัวเอง ก่อนย้ายต้นไม้ไปปลูกที่อื่นต่อ ส่วนการเป็นนักเขียนก็เหมือนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปหว่านเมล็ดพืชตามที่ต่าง ๆ ถึงไม่ได้ดูแลใกล้ชิดแต่ก็กระจายเมล็ดพันธุ์ได้ทั่ว ไม่ว่าอย่างไหนก็ทำให้โลกนี้มีต้นไม้เพิ่มขึ้นทั้งนั้น ทุกวันนี้ผมเลยยังทำทั้งสองอย่าง เพราะเลิกไม่ได้”

ภาพยนตร์เรื่อง ธอร์ แร็คนาร็อก (Thor: Ragnarok) ศึกอวสานเทพเจ้า เป็นภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของ Thor เทพเจ้าสายฟ้า ในภาคนี้ธอร์ถูกเนรเทศไปยังสุดขอบจักรวาล กลายเป็นนักโทษโดยปราศจากค้อนคู่ใจ เขาหาทางกลับไปยังแอสการ์ดเพื่อหยุดยั้งมหาสงครามที่จะทำลายล้างดินแดนแห่งเทพ ซึ่งจะเป็นจุดจบของอารยธรรมแห่งแอสการ์

Tags:

การฟังและตั้งคำถามunique teacherสิทธิชัย จูอี้คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ antizeptic

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

เพราะครูกับเด็กไม่ใช่คู่ต่อสู้กัน: ชวนครูซ้อมคุยกับตัวเอง ก่อนคุยกับนักเรียน
Social Issues
18 August 2020

เพราะครูกับเด็กไม่ใช่คู่ต่อสู้กัน: ชวนครูซ้อมคุยกับตัวเอง ก่อนคุยกับนักเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ณ เวลานี้คงพูดไม่ได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความขัดแย้งระหว่างนักเรียนและครู กับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เรื่องประชาธิปไตยของนักเรียนในพื้นที่โรงเรียนหลายจังหวัด ครูหลายท่านตั้งตัวไม่ติด บ้างเฝ้ามอง บ้างหวั่นไหว โกรธ รู้สึกเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมนักเรียนและครูจึงลุกขึ้นมาโต้เถียงขัดแย้งกัน 

ก่อนอื่น The Potential ขอแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทั้งทางกายและวาจา โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาคุณภาพตัวเองและเข้าใจความเป็นไปของโลก 

ต่อมา เราอยากชวนครู นักเรียน (และผู้ปกครอง) ตั้งหลักอย่างนี้ค่ะว่า เรา… ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังตึงเครียด ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพูดคุยบอกความต้องการของตัวเองต่อกัน รับฟังซึ่งกันและกัน แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น อยากชวนครูซ้อมคุยกับตัวเอง ให้เห็นเจตนาและเสียงของตัวเอง ก่อนพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับศิษย์ เพื่อคลี่คลายปมปัญหา และชวนกันดูว่า ในสถานการณ์นี้ เราจะร่วมกันรับมือและออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ ‘ร่วม’ นี้กันอย่างไร 

เพื่อให้โรงเรียนเป็นโรงเรียน และยังทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครแพ้-ชนะ แต่ชนะไปด้วยกันได้ในที่สุด 

Tags:

ครูระบบการศึกษาการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ปัญหาโรงเรียน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trendSocial Issues
    เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้
Myth/Life/Crisis
14 August 2020

คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth Life Crisis ชิ้นนี้ ภัทรารัตน์ เขียนถึงนิทาน “คนตัดไผ่” หรืออีกชื่อว่า “เจ้าหญิงคางุยะ” เรื่องเล่าแบบชาวบ้านผสานกลิ่นอายวรรณกรรมราชสำนัก กับความรู้สึกต้องทำตามความต้องการของคนอื่น ซึ่งในที่นี้คือพ่อของเธอ แต่มันคัดง้างกับตัวตนจนแบกรับไม่ได้อีกต่อไป
  • “คางุยะอยากให้พ่อของตนมีความสุข แต่ยิ่งเธอพยายามทำสิ่งที่เขาต้องการมากขึ้นเพียงใด เธอก็ยิ่งมีความสุขน้อยลงเพียงนั้น ในบริบทหรูหราอย่างใหม่ที่ความปรารถนาของเธอไม่มีความหมาย รู้สึกมีที่ทางบนโลกใบนี้ลดลงเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็จำต้องลาจากโลกนี้ไป”
  • การเจียดเวลามาทำกิจกรรม หรือเชื่อมโยงกับสถานที่หรือวัตถุอันสอดคล้องกับเนื้อแท้ของเรา อาจช่วยเพิ่มความรู้สึกว่ามีที่ทางบนโลกใบนี้ได้

“การไม่ต้องรู้สึกรู้สาและไม่ให้โลกมาแตะต้องฉันนั้น ปลอดภัยกว่ามากเหลือเกิน… ฉันไม่รู้จะตื่นขึ้นมาทำไม ในเมื่อไม่มีอะไรให้ตั้งตารอคอย” – ซิลเวีย แพลธ (Sylvia Plath)

1.

คุณเคยไหม? ที่ต้องขวนขวายอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการของคนที่เรารักและก็รู้ด้วยว่าเขาต้องการอย่างนั้นเพราะหวังดีกับเรา แต่จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ลึกลงไปแล้ว การดิ้นรนดังกล่าวกลับกลายเป็นหินก้อนหนักกดทับใจ ตัดขาดเราจากคุณค่าแท้อันสุกสว่างและอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของตน หนักหนาราวกับว่าแสงจันทร์ผ่องใสได้ถูกคุกคามจากกรอบเกณฑ์ประดิษฐ์ กระทั่งไม่อาจส่องประสานกับโลกมนุษย์ได้อีกต่อไป เฉกเช่นเรื่องราวของ “เจ้าหญิงคางุยะ” ตำนานเจ้าหญิงจากดวงจันทร์ ซึ่งเธอได้มาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อใช้ชีวิตที่แท้จริง แต่เมื่อรอบตัวไม่เหลือพื้นที่ให้เนื้อแท้และความปรารถนาของเธอ เธอจึงต้องลาจากโลกนี้ไป

นิทาน “คนตัดไผ่” ซึ่งอาจเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า “เจ้าหญิงคางุยะ” เป็นเรื่องเล่าแบบชาวบ้านผสานกลิ่นอายวรรณกรรมราชสำนัก นิทานเรื่องนี้มีหลายเวอร์ชั่นแต่จะขออิงเนื้อเรื่องจากการดัดแปลงของค่าย Ghibli ดังนี้… 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสองตายายใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะในชนบท วันหนึ่งคุณตาไปตัดต้นไผ่ในป่า และได้พบเด็กหญิงตัวน้อยขนาดเล็กกว่าฝ่ามือจรัสเรืองแสงอยู่ในหน่อไผ่ คุณตาเก็บเด็กหญิงนั้นมาเลี้ยง เด็กหน่อไม้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือมนุษย์ เธอมีชีวิตกับเพื่อนฝูงท่ามกลางธรรมชาติและมี ซูเตมารุ เด็กหนุ่มบ้านนาคอยดูแลอีกทาง เธอร้องเพลงถึงธรรมชาติที่ “สอนข้าว่าควรรู้สึกเช่นไร หากได้ยินเจ้าคร่ำครวญหา ข้าจะคืนสู่เจ้า” ทว่าจากนั้น เมื่อคุณตาเข้าไปตัดไผ่ในป่าเหมือนเช่นเคย และได้พบกับทองคำหลั่งล้นมาให้ ตามมาด้วยผืนพัสตราภรณ์สวยงาม คุณตาก็คิดว่าสวรรค์ต้องการให้เด็กหน่อไม้เป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แน่นอน วันหนึ่ง หลังจากเด็กหน่อไม้เก็บของกินมาจากป่าได้และเตรียมทำอาหารแบ่งปันกับเพื่อนๆ ก็กลับพบว่าตนต้องละทิ้งป่าไปยังเมืองหลวง  

เธอตื่นขึ้น ณ คฤหาสน์ใหญ่โตในเมือง พร้อมกับมีนางในวังมาอบรมศิลปะวิทยาและกริยามารยาท ในงานฉลองที่เด็กหน่อไม้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ขุนนางท่านหนึ่งได้ตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่า “เจ้าหญิงคางุยะ” แต่กระนั้นเธอกลับรู้สึกอึดอัดกับการที่ผู้คนใส่ใจเพียงเปลือกนอกของเธอด้วยท่าทีก้าวร้าว และจากนั้นก็คงเป็นความฝันที่นำพาให้เธอวิ่งกลับสู่ชนบทตามเส้นทางใต้ดวงจันทร์กลมโต เปลื้องเปลือกอาภรณ์แห่งเจ้าหญิงออกทีละชั้นตามทางทอดยาว จนเหลือเพียงผืนผ้าเรียบง่ายด้านในสุด นั่นต่างหากคือเนื้อแท้ภายในของเธอ

วันเวลาผ่านไป เสียงร่ำลือในความงามของเธอก็ทำให้ชายชนชั้นสูงแห่งตระกูลทั้งห้าปรารถนาครอบครอง พวกเขาต่างสรรเสริญความงามของเจ้าหญิงโดยเปรียบเปรยเป็นวัตถุสมบัติอันวิจิตรพิสดาร เจ้าหญิงไม่ได้อยากแต่งงาน จึงขอให้ชายเหล่านั้นไปหาสมบัติที่ไม่มีจริงมาให้เธอ

และแล้วบรรดาชายชนชั้นสูงก็กลับมาพร้อมกับสมบัติจอมปลอม ความพยายามที่ล้มเหลว และแม้กระทั่งความตาย เจ้าหญิงโกรธในความปลอมและรู้สึกผิด กระนั้นเรื่องราวของนางก็เล็ดรอดไปถึงองค์จักรพรรดิ ความสนใจในตัวนางของพระองค์ทำให้คุณตาล้นปรี่ด้วยความสุขอีกครั้งและหลงคิดว่านี่จะเป็นความสุขของคางุยะด้วย องค์พระจักรพรรดิลอบเข้าหาเธอ นี่เองที่ทำให้หัวใจเธอกรีดร้องขอให้พระจันทร์ช่วยโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดเธอบอกพ่อแม่ว่าจะมีคนมารับเธอในอีกไม่ช้า

วันเพ็ญ เดือนสิงหาคม ขบวนพุทธะจากดวงจันทร์ลงมารับเธอ เธอได้บอกลาพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วสวมเสื้อคลุมอันจะทำให้ลืมเลือนชีวิตบนโลก ระหว่างทางสู่ดวงจันทร์ เจ้าหญิงหันกลับไปมองโลกที่แสนห่างไกล เธอมีน้ำตาซึมออกมา อย่างไรเสีย ขบวนแห่แห่งความตื่นนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนจนลับตาไปในวงจันทร์

2.

คางุยะตระหนักว่าตนมายังโลกใบนี้เพื่อใช้ชีวิต “ที่แท้จริง” เฉกเช่นนกและสัตว์ต่างๆ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยอิสรภาพแห่งความดิบเดียงสา ซึ่งเกี่ยวพันกับจิตวิญญาณแห่งผืนป่า โดยในเบื้องแรกที่คุณตาใช้ชีวิตอยู่กับคุณยายอย่างเชื่อมโยงกับผืนป่าทำกินนั้น ความสัมพันธ์ของคางุยะกับโลกใบนี้ก็ล้วนงอกงามและเบ่งบาน แต่มันกลับต้องมาขาดสะบั้นลงเมื่อคุณตาละเลยความปรารถนาที่แท้จริงของคางุยะไป เพราะถูกบดบังด้วยความทะยานอยากของเขาเองที่ปรารถนาให้ “เจ้าหญิง” คางุยะสมรสกับชายผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เพื่อเลื่อนสถานะทางสังคมของตน ทว่ายิ่งพยายามเนรมิตประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ให้สูงศักดิ์มากขึ้นเพียงไหน เขาก็ยิ่งตัดขาดจาก เนื้อแท้ ของคางุยะซึ่งมีคุณค่าอันส่องสว่างมากขึ้นเพียงนั้น   

คางุยะอยากให้พ่อของตนมีความสุข แต่ยิ่งเธอพยายามทำสิ่งที่เขาต้องการมากขึ้นเพียงใด เธอก็ยิ่งมีความสุขน้อยลงเพียงนั้น ในบริบทหรูหราอย่างใหม่ที่ความปรารถนาของเธอไม่มีความหมาย เธอรู้สึกมีที่ทางบนโลกใบนี้ลดลงเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็จำต้องลาจากโลกนี้ไป

หากเปรียบกับชีวิตคนจริงๆ ความรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน (ไม่ belong) ฉันไม่ไหวแล้วจนต้องอธิษฐานให้ดวงจันทร์มาช่วย กระทั่งต้องกลับคืนสู่ดวงจันทร์ ก็อาจเป็นการปรารถนาในความตาย ซึ่งเป็นการเดินทางไปยังอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่นี่ ส่วนการที่คางุยะไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกแล้ว ก็เป็นดั่งการได้ตายสมใจ

มีผู้คนมากมายที่เป็นเหมือนกับคางุยะ เขาพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้คนที่แวดล้อมพอใจ หลายคนเลือกทำวิชาชีพที่พ่อแม่อยากให้ทำ ซึ่งอันที่จริงก็สมเหตุสมในการตอบโจทย์ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความยอมรับนับถือจากสังคม กระนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิต คนเหล่านั้นกลับรู้สึกว่าถ้อยคำที่คนอื่นสรรเสริญบทบาทอันสูงศักดิ์ของตัวนั้นไม่มีความหมายอีกแล้ว กลับกลายเป็นว่าสิ่งมีค่าภายนอกมากมายที่ครองอยู่ล้วนดูแปลกปลอมและไม่อาจตอบสนองความโหยหาก้นบึ้งแห่งใจได้ เฉกเช่นที่บรรดาชายผู้ทรงศักดิ์ไม่อาจหาสิ่งเลอค่าใดมาเติมเต็มความต้องการเบื้องลึกของคางุยะได้เลย 

คางุยะเจ็บปวดเพราะรู้สึกว่าทุกอย่างมัน “ปลอม” โดยเฉพาะตัวเธอที่ต้องปลอมขึ้นมาตอบสนองพ่อ

บรรดาคนที่ต้องตัดขาดกับตัวเองถึงจุดหนึ่ง ก็จะเริ่มไม่มีความสุขอย่างมากจนถึงขั้นไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้วและลงมือฆ่าตัวตายไปแล้วด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาส่วนหนึ่งฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ เมื่อกลับมาบอกเล่าเรื่องราวก็พบว่า มีใครอีกคนในตัว อันเป็น เนื้อแท้ ของฉันที่ยังดำรงอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ฉันไม่อนุญาตให้ออกมาใช้ชีวิตเพราะไม่อยากให้คนอื่นผิดหวัง 

เช่น เนื้อแท้ของฉันเป็นศิลปินผู้หยั่งรู้ความรุ่มรวยของโลกในนี้ ฉันถ่ายทอดความรับรู้อันซับซ้อนเช่นนั้นออกมาในบทเพลงและงานเขียนได้ดียิ่ง ในอดีตฉันไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ จึงเลือกทำอาชีพที่น่าจะมั่นคงกว่าการเป็นศิลปินแบบนั้น แต่วันนี้ฉันมั่งคงทางเศรษฐกิจแล้ว แถมยังปลูกผักกินเองได้ตั้งหลายชนิด ฉันอนุญาตให้ตัวตนที่เป็นศิลปินออกมาโลดแล่นได้เต็มที่แล้วนะ ไม่รอให้คนอื่นอนุญาตแล้ว แค่คิดถึงศิลปินภายในที่กำลังจะได้ออกมาแสดงความสามารถ ฉันก็มีพลังขึ้นมาอย่างท่วมท้นทันที ไม่รู้สึกว่าต้องนอนเฉยๆ โหยหาความตายอีก ฉันพร้อมคืนชีพอย่างเต็มเปี่ยมที่สุดเลย

การได้กลับไป เชื่อมโยงกับเนื้อแท้ของตัวเอง เป็นอีกหนึ่ง ขุมพลังชีวิต จริงๆ

ที่น่าสนใจคือสิ่งที่ผู้คนบอกว่าเป็น เนื้อแท้ ของเขานั้นมักมีลักษณะบริสุทธิ์(ไม่ปรุงแต่งเพื่อตอบสนองคนอื่น)และทำให้รู้สงบร่มเย็นราวกับแสงจันทร์ อีกทั้งเป็นแหล่งพลังงานที่มีความอุดมสมบูรณ์เฉกเช่นผืนป่า จึงไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งเทพแห่งการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวในสมัยโบราณมากมายก็เป็นเทพแห่งดวงจันทร์ด้วย โดยเราหาตัวอย่างได้ในตำนานเทพอียิปต์ กรีก อิหร่าน และอินเดีย ฯลฯ คติของมนุษย์เชื่อมโยงพระจันทร์เข้ากับความสมบูรณ์แห่งพฤกษาอันเกื้อกูลชีวิตบนโลก และพร้อมกันนั้นเองก็เชื่อมพระจันทร์เข้ากับความศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นอมตะนิรันดร์ และความบริสุทธิ์ยิ่งกว่าชีวิตบนโลก (อ้างอิง Moon and Its Mystique ของ Mircea Eliade)

3.

แต่เราที่เหลือ ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงจุดที่รู้สึกไม่อยากมีชีวิตก่อนหรือไม่ต้องรอให้ลูกของเราพยายามฆ่าตัวตายก่อน จึงค่อยอนุญาตให้ตัวเองหรือคนในครอบครัวได้กลับมาเชื่อมโยงกับ เนื้อแท้ อันผ่องแผ้วราวกับแสงจันทร์ ลองดูคุณตาในเรื่องเป็นตัวอย่าง เขา “รู้สึกตัว” คร่ำครวญหวนนึกถึงความสุขล้นอันเรียบง่ายตอนที่ตนได้พบและเลี้ยงดูเด็กหญิงจากปล้องไผ่ เขาเพิ่งเลิกหมกมุ่นกับความคาดหวังของตัวเองและสนใจเนื้อแท้ของลูก ก็เมื่อตอนที่รู้ว่าลูกคางุยะกำลังจะจากไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังต้องสัมพันธ์กับคนอื่นและบริบทซึ่งอาจเกื้อหนุนหรือไม่เกื้อหนุนเนื้อแท้ของเรา ในที่นี้จึงขอเน้นที่ความสัมพันธ์กับตัวเอง กล่าวคือ เราสามารถกลับมาสัมพันธ์กับเนื้อแท้ของตัวเองผ่านสิ่งต่างๆ ได้ เช่น

  1. เจียดเวลามาทำ กิจกรรม ที่สอดคล้องกับเนื้อแท้ของเรา เช่น สมมุติว่าเรามีวิชาชีพแพทย์หรือทนายความ หรืออาจทำงานธนาคารอยู่ แต่มันดันไม่สอดคล้องกับเนื้อในที่เป็นศิลปินของเรา เราก็อาจเจียดเวลาสักกี่ชั่วโมงต่ออาทิตย์ก็แล้วแต่ มาทำสิ่งที่ทำให้ตัวตนนั้นภายในเรามีความสุข เช่น วาดรูป ร้องเพลงเล่นดนตรี หรือแต่งนิยาย
  2. สิ่งที่สอดคล้องกับเนื้อแท้ของเราอาจเป็นเพียง สถานที่หรือวัตถุ บางอย่างก็ได้ เช่น หนุ่มอารมณ์อ่อนไหวคนหนึ่ง ก่อนกลับบ้านอันเต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์และความคาดหวังต่อตัวเขา การได้ไปแวะจอดรถมองภูเขาเคล้าหมอกหรือธารน้ำ ก็ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกับเนื้อแท้ของตัวเขาเองที่ชอบความสงบแล้ว หรือใครอีกคนหนึ่งมีดินสอสีที่เป็นด้ามโปรดในวัยเด็ก เขาในวัยผู้ใหญ่ซึ่งมักตกร่องความเหี่ยวเฉา ไม่ได้ใช้ดินสอสีนั้นนานจนลืมไปแล้ว แต่พอพูดคุยกับคนอื่นก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีดินสอสีด้ามนั้นอยู่ ซึ่งเชื่อมโยงกับความทรงจำในตอนเด็กที่เขารู้สึกว่าพ่อแม่ชอบเขาอย่างที่เขาเป็นจริงๆ เมื่อจงใจกลับมาใช้ดินสอสีด้ามนี้อีก เขาพบว่าห้วงขณะที่จับดินสอสีอยู่ช่างทำให้เขามีพลังชีวิตขึ้นมา เขาจึงกำหนดเวลาลงในปฏิทิน Google ให้ตัวเองได้ใช้ดินสอสีด้ามนี้ขีดเขียนอีกบ่อยๆ

กิจกรรม หรือ สถานที่หรือวัตถุ อันเป็นพื้นที่ให้เนื้อแท้เราได้ออกมาเริงร่าแม้ท่ามกลางบริบทที่ไม่เกื้อหนุน ก็เป็นเสมือนพื้นที่เล็กๆ ในคฤหาสน์ซึ่งยังมีกลิ่นอายชนบทคลับคล้ายบ้านในวัยเด็กของคางุยะ ณ ที่นั่น คุณยายผู้เป็นมารดาของคางุยะบนโลกมนุษย์มักปรากฏอยู่กับเธอเสมอ เปิดใจให้เธอคลี่เผยธรรมชาติที่แท้อย่างเป็นอิสระ พ้องกับสัญลักษณ์ของความเป็นไทอีกมากที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง เช่น คางุยะนำหินที่ทับชีวิตบรรดาสัตว์น้อยๆ ออกไปจนมันเผยความเคลื่อนไหวแห่งชีวิตให้เห็นอีกครา หรือเหตุการณ์ที่คางุยะปล่อยแมลงออกไปจากฝ่ามือ  

เมื่อเราได้ เชื่อมโยงกับเนื้อแท้ของตนเอง แล้ว เราก็น่าจะได้พลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงมาขึ้น ทำให้เพิ่มแนวโน้มในการสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและมิตรสหายอย่างผ่อนคลายและยั่งยืนมากขึ้นเช่นกัน เราจึงเสี่ยงน้อยลงที่จะเป็นเหมือนคางุยะ ที่สุดท้ายก็ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

         เพราะจันทร์ ก็คือจันทร์ แม้แดนฝัน จักเปลี่ยนไป… เนื้อแท้ช่างสดใส อุมดมไว้ด้วยพลัง

อ้างอิง
Connecting Childhood and Old Age in Popular Media โดย Vanessa Joosen เป็นบรรณาธิการ
บทความ Moon and Its Mystique โดย Mircea Eliade
ภาพยนตร์อนิเมะ The Tale of the Princess Kaguya หรือ かぐや姫の物語 (2013) ซึ่งมีพื้นจาก The Tale of the Bamboo Cutter กำกับโดย Isao Takahata ค่าย Studio Ghibli (สามารถดูผ่านทาง Netflix ด้วย)

Tags:

ชีวิตการทำงานspiritualการเติบโตภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนาMyth Life Crisis

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • MovieMyth/Life/Crisis
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Life classroom
    Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel