Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: April 2020

ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020
Dear Parents
12 April 2020

ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • เด็กเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 เช่นเดียวกับคนอื่นๆ พวกเขาเกิดความเครียด ไม่ใช่ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นความคิดเพียงชั่วครู่ไม่นานก็หาย แต่สำหรับเด็กๆ หลายคน กลับเป็นความเครียดที่นำไปสู่สุขภาพจิตที่ยํ่าแย่ได้
  • ญา – ปราชญา ในฐานะคนที่คอยให้คำปรึกษาเด็กที่มีปัญหา ช่วงนี้จำนวนคนที่มาขอคำปรึกษาเยอะขึ้น เพราะความกังวลของพวกเขามีมากขึ้น ทั้งเรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางออกไปนอกบ้าน เรื่องความรุนแรงของเหตุการณ์ ปัญหาด้านการเงิน
  • เมื่อเกิดปัญหาสิ่งที่ตามมาคือความเครียด ประสบการณ์ในการรับมือของเด็กอาจยังไม่มากพอ คนที่สามารถช่วยให้คำแนะนำพวกเขาได้ ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดที่สุด หนึ่งในนั้นคือ พ่อแม่ แต่ตัวเด็กเองไม่กล้าเล่าปัญหาให้พ่อแม่ฟัง เพราะกลัวพ่อแม่เครียดตาม เพื่อหาทางออกปัญหา ญาแนะนำว่า สมาชิกในครอบครัวควรช่วยกันสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์’ เปิดใจ รับฟังความคิดของกันและกัน ร่วมมือช่วยกันข้ามปัญหานี้ไปให้ได้
Illustrators ด.ช. นิปปอน Sandspace Studio

เริ่มต้นปีใหม่มาจนถึงตอนนี้ เดือนเมษายนแล้ว เชื่อว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านคงได้ยินข่าวคราวที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนมีนาคม แต่ละข่าวสร้างความหดหู่ใจ ความเศร้า และความเครียดไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ จากเหตุการณ์ 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า แล้วเดือนหน้าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก? เราจะรับมือสิ่งนั้นไหวไหม? คำถามนี้ทำให้หลายคนวิตกกังวลและหวาดกลัวกันไปไม่น้อย ถึงเหตุการณ์ในอนาคต หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่ยังไม่สิ้นสุด อย่าง Covid-19 ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เด็กๆ อย่างพวกเราเอง ก็ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเช่นกัน

สถาบันครอบครัว ถือเป็นสถาบันที่ทำให้พวกเรา เด็กๆ และวัยรุ่น แข็งแกร่งขึ้น พร้อมเผชิญปัญหา และป้องกันตนเองจากเหตุการณ์ร้ายแรงได้ โดยไร้ซึ่งความเครียดในจิตใจ ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ในครอบครัว จะทำให้ครอบครัวเราสามารถจับมือกัน เผชิญปัญหาและฝ่าฟันไปได้

ญา – ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

แต่ในขณะนี้กลับมีเด็กหลายๆ คนที่ ‘เครียด’ จากเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่เพียงเป็นความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นความคิดเพียงชั่วครู่ไม่นานก็หาย แต่สำหรับเด็กๆ หลายคน กลับเป็นความเครียดที่นำไปสู่สุขภาพจิตที่ยํ่าแย่ได้ จากการสำรวจและพูดคุยกับเพื่อนๆ วัยรุ่น พบว่า ในขณะนี้พวกเรากังวลเรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางออกไปนอกบ้าน กังวลเรื่องความรุนแรงหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ว่าเราจะสามารถรับมือและปกป้องคนในครอบครัวได้หรือไม่ และเรื่องของ Covid-19 ในขณะนี้ที่มีอัตราผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งไวรัสนี้ยังมีความรุนแรงต่อร่างกาย สามารถติดต่อผ่านคนสู่คนได้จากการสัมผัส หรืออยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อ และเรื่องของอุปกรณ์การป้องกันที่หาซื้อได้ยากในขณะนี้

รวมทั้งการที่เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบด้านการเงินจากสถานการณ์ในปัจจุบัน วัยรุ่นหลายคนเมื่อถึงช่วงเวลาปิดเทอมก็จะหารายได้เสริม ทำงานพาร์ทไทม์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและดูแลตนเอง แต่หากมีผลกระทบจากสถานการณ์นี้ ส่งผลให้วัยรุ่นหลายคนขาดรายได้ รวมทั้งยังเป็นห่วงสภาพการเงินของครอบครัวอีกด้วย

ในฐานะคนที่ให้คำปรึกษาเด็กที่มีปัญหา ช่วงนี้จำนวนคนที่มาปรึกษาเพิ่มขึ้น พวกเขาต่างได้รับผลกระทบ มีวัยรุ่นอายุ 16 ปีคนหนึ่งได้ส่งข้อความมาปรึกษา เธอกำลังศึกษาในระดับชั้นปวช. ซึ่งหากเป็นเหตุการณ์ปกติเธอคงทำงานพาร์ทไทม์ และขายของต่างๆ เพื่อนำเงินมาดูแลครอบครัวและจ่ายค่าเล่าเรียนของตนเอง แต่เมื่อมีสถานการณ์ของ Covid-19 ขึ้น เธอจำเป็นต้องขอพักการเรียนชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถหารายได้มาจัดการค่าใช้จ่ายได้เหมือนเดิม และเมื่อกิจการต้องพักลง ทำให้เธอไม่สามารถทำงานได้ ตอนนี้เธอมีเพียงรายได้จากการขายของซึ่งไม่มีความแน่นอน เธอยังเป็นห่วงทั้งเรื่องการเรียนของตนเอง และรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในครอบครัว เมื่อได้คุยกับเธอไปสักพักหนึ่ง เธอเล่าว่า หลายครั้งที่ความเครียดของเธอเพิ่มสูงขึ้น จนหาทางออกจากปัญหานี้ไม่พบ เธอเคยคิดที่จะทำร้ายตนเองและฆ่าตัวตายเหมือนกัน เมื่อเธอปรึกษาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่เธอรู้จัก ส่วนใหญ่มักมองว่า ‘ก็แค่ไม่มีเงินเรียน ไม่นานก็หาใหม่ได้’ แต่สำหรับเธอการเรียนคือทั้งชีวิต เพราะหากเธอได้ศึกษาเล่าเรียน ในอนาคตเธอจะได้มีงานที่มั่นคง และเธอยังสามารถดูแลคนในครอบครัวของเธอได้เป็นอย่างดี

แม้สถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคนทุกอาชีพ แต่หากพูดถึงเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว เป็นเรื่องน่าวิตกกังวลอย่างมาก เพราะส่งผลถึงด้านชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษา ครอบครัว และอนาคตของเด็กและเยาวชน ซึ่งในขณะนี้ เธอเองก็ยังไม่ทราบว่าจะได้กลับมาเรียนเมื่อไหร่ และเงินเก็บที่มีอยู่ในขณะนี้จะพอดูแลตนเองและครอบครัวถึงเวลาที่วิกฤตินี้สิ้นสุดลงหรือไม่

อาจเป็นเพราะช่วงเวลาไม่กี่ปีที่เราเติบโตมาในโลกที่สวยงามใบหนึ่ง ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาได้พบความงดงามและความสุขภายใต้ดาวเคราะห์กลมๆ ใบนี้ แต่เมื่อเราเติบโตไปเรื่อยๆ โลกใบนี้ก็โหดร้ายต่อเราและผู้คนมากยิ่งขึ้น มีปัญหาหลายอย่างที่เข้ามา บวกกับการที่เรายังไม่สามารถวิเคราะห์หาวิธีการแก้ไขปัญหาได้ ทำให้เด็กๆ ในยุคนี้เครียดมากยิ่งขึ้น

แต่…..พวกเรากลับไม่มีโอกาสปรึกษาผู้ปกครองเพื่อสร้างเกราะคุ้มกันจิตใจตนเองเลย บางครั้งอาจเป็นเพราะ ‘ไม่กล้า’ บางครั้งอาจเป็นเพราะ ‘กลัวคุณพ่อ-คุณแม่เครียดตาม’ หรือบางครั้ง พ่อแม่อาจไม่ใช่ ‘Safe Zone’ ของลูกอีกต่อไป

แล้วเราจะทำอย่างไร? ให้ครอบครัว พ่อแม่ และเด็กๆ หันกลับมาเปิดใจพูดคุยกัน และเป็นบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์และจิตใจ ไร้ซึ่งความเครียดที่อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย และการทำร้ายผู้อื่น ซึ่งในขณะเดียวกัน เราก็พร้อมรับมือกับปัญหาในปัจจุบันที่ยังไม่สิ้นสุด รวมถึงปัญหาที่อาจมาในอนาคตอีกด้วย?

ทำไมเราต้องมีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ?

เชื่อว่าหลายๆ ครั้งเวลาที่คนเราประสบปัญหา มักจะมีคนบอกว่า สู้ๆ นะ เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็ผ่านไป ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ถึงแม้ว่านั่นอาจมีส่วนที่ถูกต้อง แต่ในชีวิตจริงกว่าเราจะผ่านปัญหานี้ไปได้ เราต้องผ่านอุปสรรคอย่างปัญหาสุขภาพจิตในใจของเราให้ได้เสียก่อน ใจซึ่งเต็มไปด้วยความเครียดมากมาย

เวลาที่จิตใจเรามีความเครียด เปรียบได้กับตอนที่เรากำลังถูกขังอยู่ในห้องมืด ที่ไม่มีทางออก ไม่มีแสงสว่างใดๆ ทำให้เราสิ้นหวัง และหมดหวัง เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในขณะนี้ ที่หลายคนเครียด สิ้นหวัง ดังนั้น หากเรามีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ เราจะสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ แล้วยังสามารถช่วยเหลือคนในครอบครัว ตัดสินใจอย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน โดยไร้ซึ่งเหตุการณ์ที่อยากย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไข

มาสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ในครอบครัวกันเถอะ

  1. เปิดใจเล่าสู่กันฟัง เชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัว

หลายครั้งที่เด็กๆ ไม่กล้าปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ แต่อันที่จริงแล้ว พวกเราอยากให้พ่อแม่เป็นฝ่ายเข้าหามากกว่า โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจลองชวนเด็กๆ พูดคุยว่า คิดยังไงบ้างกับปัญหาที่มีในตอนนี้

และเมื่อถึงจุดที่เด็กๆ สบายใจ เขาจะเริ่มเล่าและปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เกี่ยวกับความเครียดในตอนนี้ เมื่อครอบครัวของเรารู้แล้วว่า ใครเครียดเรื่องไหนอย่างไรบ้าง ก็ไม่ยากเลยที่จะร่วมมือกันจัดการกับความเครียดและปัญหาเหล่านั้น

พ่อแม่ในฝันของลูกๆ ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีเด่น หรือสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง แต่พ่อแม่ที่พวกเราต้องการ คือพ่อแม่ที่เป็น ‘เพื่อน’ คอยรับฟังเราอย่างเปิดใจ คอยสนับสนุน เป็นเพื่อนที่เราปรึกษา พูดคุยได้ทุกเรื่อง เป็นเพื่อนที่เราอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา และเป็นเพื่อนที่มีเหตุผลกับเราเสมอ

และที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่อย่าปิดบัง เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันกับพวกเรา เพราะจะทำให้เด็กๆสับสนว่าเหตุการณ์ไหนจริง หรือไม่จริง นำไปสู่การหาข้อมูลที่ไม่ถูกต้องได้ และอาจทำให้หวาดระแวงเกินไป และเก็บความเครียดไว้เพียงคนเดียว

  1. เรียนรู้การจัดการอารมณ์ร่วมกันในครอบครัว

หลายครั้งที่เรามักจะปล่อยอารมณ์ของตนเองไปตามความรู้สึก เครียดก็ปล่อยให้เครียด เศร้าก็ปล่อยให้เศร้า โกรธก็ปล่อยให้โกรธ เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะหายไปเอง และไม่ส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจเรา แต่ความเป็นจริง ยิ่งเราไม่จัดการอารมณ์ของตนเองบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สุขภาพจิตของเราแย่มากขึ้นเท่านั้น และหากปล่อยไว้เป็นเวลานาน ทำให้เราจัดการอารมณ์ของตนเองได้ยากขึ้นอีกด้วย

หากเรามีทักษะในการจัดการอารมณ์ของตนเอง เราเครียดได้ เศร้าได้ โกรธได้ แต่หลังจากนั้นเราต้องจัดการให้อารมณ์เหล่านี้ แม้มันจะอยู่ข้างๆ เรา ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ และทำให้อารมณ์เหล่านี้ไม่เป็นผลต่อการตัดสินใจของเรา

โดยการจัดการอารมณ์นี้ เราสามารถทำในครอบครัวได้ โดยสร้างให้มีชั่วโมงกิจกรรมครอบครัว ลองชวนกันพูดคุยถึงอารมณ์ในแต่ละวัน แยกแยะความคิดที่ไม่ดี และความคิดที่คู่ควรแก่สมองและอารมณ์ของเรา ร่วมใช้เวลาว่างที่มีด้วยกัน ไปกับการสร้างภูมิคุ้มกันและเรียนรู้วิธีการจัดการอารมณ์

  1. วิเคราะห์อารมณ์ เชื่อมโยงกับปัญหา

วิธีนี้จะช่วยป้องกันความเครียดที่เกิดกับปัญหาที่เราไม่ทันตั้งตัว โดยในขั้นตอนนี้ พ่อแม่อาจชวนลูกพูดคุยถึงปัญหาที่เคยเกิดมาในอดีต แล้วลองคุยกันว่า ‘เมื่อเราเจอปัญหานั้น มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง’ บางครอบครัวเมื่อเจอสถานการณ์ปัญหาเดียวกัน แต่กลับมีอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่างกัน แม่มีอารมณ์เศร้า ลูกมีอารมณ์เครียด พ่อมีอารมณ์โกรธ ดังนั้นแล้ว หากเราได้วิเคราะห์ปัญหานั้นแล้วเชื่อมโยงมายังอารมณ์ของเรา สังเกตว่าเราจะเกิดอารมณ์ไหนขึ้นขณะพบเจอปัญหา ก็จะทำให้เราสามารถเฝ้าระวังอารมณ์นั้นได้ ในยามที่เจอปัญหาเฉพาะหน้า

ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างได้ จากความอบอุ่น ความรัก ความใส่ใจ และการเปิดใจหันหน้าพูดคุยกันในครอบครัว แม้จะใช้เวลาไม่มาก แต่ทักษะนี้จะอยู่ติดตัวทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และเด็กๆ อย่างพวกเราไปอีกแสนนาน

สุดท้ายนี้ อยากเชิญชวนให้พ่อแม่ทุกท่าน ใช้เวลาอันมีคุณค่านี้กับลูกๆ สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้กับคนในครอบครัว และทำให้ทุกๆ เวลาที่อยู่ร่วมกัน กลายเป็นห้วงเวลาแห่งความสุข ที่เมื่อนึกถึงทุกครั้งก็จะมีความสุขและความอบอุ่นจากครอบครัวเสมอ

Tags:

สุขภาพจิตพ่อแม่ซึมเศร้าวัยรุ่นไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

ผู้สนับสนุนการแก้พ.ร.บ. ให้คนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ญาเริ่มทำงานด้านปัญหาสุขภาพจิตในเด็กเมื่ออายุ 12 ปี ปัจจุบันญาอายุ 14 ปีทำงานเป็นที่ปรึกษาให้เด็กที่เป็นโรคซึมเศร้า ประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตบางกะปิ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร แกนนำเยาวชน Lovecare Station และทำวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ในโรงเรียน

Photographer:

illustrator

ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

Related Posts

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

SAVE CHAINGMAI ขอให้ไฟป่าสงบลงเร็วพลัน
Social Issues
7 April 2020

SAVE CHAINGMAI ขอให้ไฟป่าสงบลงเร็วพลัน

เรื่อง The Potential ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

มีนาคม 63 ข่าวไฟป่าเชียงใหม่เป็นข่าวใหญ่ ปะทุหนักกินพื้นที่กว่า 1,389 ไร่ ทั้งหมด 16 อำเภอ ส่งผลให้ค่า P.M. 2.5 พุ่งสูงสุดถึง 1,000 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา จวบจนถึงวันนี้ไฟป่ายังคงปะทุอยู่

ภาพที่น่าสลดใจไม่ใช่แค่ภาพเชียงใหม่เกือบทั้งเมืองเป็นสีเทาเข้ม หากมีภาพข่าวสัตว์ป่าจำนวนมากถูกครอก หรือวิ่งหนีตายออกมาจากพื้นที่ป่ากันจ้าละหวั่น

วินาทีที่ไฟป่ายังคงปะทุ แผ่กว้าง ไร้วี่แววจะดับได้ในเร็ววัน The Potential ขอส่งกำลังใจถึงพี่น้องชาวเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ(เท่าที่ทำไหว) โดยเฉพาะพี่ๆ อาสาและชาวบ้านในท้องที่ที่เข้าไปดับไฟ จิตใจมั่นคงพร้อมสู้ต่อ และขอให้ไฟป่าครั้งนี้สงบลงเร็ววัน

Tags:

เชียงใหม่สิ่งแวดล้อม

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Education trend
    ชวนเด็ก ‘รัก’ และ ‘รักษ์’ สิ่งแวดล้อม เปิดประตูสู่การศึกษาเพื่อความยั่งยืน

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วม อยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมาย ในห้องเรียนที่กว้างเท่าผืนป่า : ‘ครูหนุ่ม-นิติศักดิ์’ ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • How to enjoy life
    SACRED MOUNTAIN สนามเด็กเล่นทางจิตวิญญาณที่บอกเราว่า โลกคือปาฏิหาริย์และชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Voice of New Gen
    กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

สู้กับความกลัว: เปลี่ยนจากแพนิก อยู่กับตัวเอง เป็นแบ่งปัน เชื่อมโยงกับคนอื่น
How to enjoy life
7 April 2020

สู้กับความกลัว: เปลี่ยนจากแพนิก อยู่กับตัวเอง เป็นแบ่งปัน เชื่อมโยงกับคนอื่น

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศากิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • ความกลัว (Fear) เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ที่สัญชาตญาณสั่งให้ทำงานทันทีเมื่อต้องเผชิญกับภาวะควบคุมอะไรไม่ได้ (Loss of Control) การสูญเสียตัวตน (Loss of Identity) การต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยว (Isolation) และตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน (Fear of Death) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก
  • ความกังวล (Anxiety) เป็นรูปแบบหนึ่งของความกลัว สร้างขึ้นมาจากภายในและทำงานอยู่ภายในใจเรา โดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่
  • การออกจากความกลัวและความกังวลคือการแปรเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่กับตัวเองไปสู่การเชื่อมโยงกับคนอื่น หรือการค้นหาศักยภาพในการแก้ปัญหาที่เราเคยก้าวข้ามปัญหาต่างๆ มาได้ ก็จะเป็นพลังบวกที่ทำให้เราปรับตัว ลดความกลัวและความกังวล ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงนี้ได้อย่างมีความสุขขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายและซับซ้อนนี้

ในขณะที่เราต่างกำลังอยู่ในสภาวะเดียวกันทั่วโลกที่ต้องต่อสู้กับโรคระบาด เวลานี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดร่วมสำคัญและชัดเจนที่สุดหนีไม่พ้นความรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลที่เข้าเกาะกุมจิตใจของทุกคน ‘ฉันติดแล้วรึยัง’ ‘คนที่บ้านเอาเชื้อมาติดมั้ย’ ‘หรือฉันเอาเชื้อมาติดที่บ้านรึเปล่า’ ‘จะตกงานมั้ยนะ’ ‘ร้านต้องปิดไปอีกนานเท่าไหร่’ ทุกความไม่แน่ไม่นอน ความรู้สึกไม่มั่นใจในมาตรการของรัฐว่าจะการันตีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสถานการณ์ว่าเราจะสูญเสียสิ่งใดไปอีกกี่มากน้อย ล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุให้ผู้คนจมอยู่ในความรู้สึกเปราะบางสั่นไหวจนบางครั้งอาจเป็นอันตรายและกัดกร่อนทำร้ายเราได้ยิ่งกว่าเชื้อไวรัส

ทำความรู้จักกับความกลัว (Fear) และความกังวล (Anxiety)

สัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ที่จะถูกปลุกก่อนเสมอในยามสุ่มเสี่ยงกับความอยู่รอดของชีวิตคือ ความกลัว (Fear) เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ที่สัญชาตญาณสั่งให้ทำงานทันทีเมื่อต้องเผชิญกับภาวะควบคุมอะไรไม่ได้ (Loss of Control) การสูญเสียตัวตน (Loss of Identity) การต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยว (Isolation) และตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน (Fear of Death) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก

ความรู้สึกกลัวมักมีที่มาที่ไปชัดเจน เมื่อกลัวแล้วจะตัดสินใจ ‘สู้หรือหนี’ (Fight or Flight) และบีบให้เราโฟกัสแค่เหตุการณ์เฉพาะหน้าตอนนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น ตามมาด้วยอารมณ์ลบ เช่น โกรธ ผิดหวัง หรือสับสน ความกลัวจึงเป็นอารมณ์ที่นอกจากจะขัดขวางความคิดที่มีประสิทธิภาพ (Productive) แล้ว บ่อยครั้งยังบดบังมโนธรรมความเป็นมนุษย์จากการขาดสติควบคุมตัวเองอีกด้วย

ควบคู่มากับความกลัวคือ ความกังวล (Anxiety) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความกลัว แต่จะต่างกันที่ความวิตกกังวลสร้างขึ้นมาจากภายในและทำงานอยู่ภายในใจเรา โดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ เวลาเราวิตกหรือกังวลมักเป็นความรู้สึกเครียดที่เกิดจากการคิดล่วงหน้าไปก่อนว่าเรื่องเลวร้ายบางอย่างอาจเกิดขึ้น อย่างความคิดทำนอง ‘ฉันต้องติดแน่เลย’ ที่หลายคนเป็นอยู่ขณะนี้ทั้งๆ ที่ป้องกันตัวเองเป็นอย่างดีอยู่กับบ้าน ความกังวลจึงมักเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่เกี่ยวกับเหตุตรงหน้า เช่น อาการ Panic Attack ของผู้โดยสารระหว่างนั่งเครื่องบิน เป็นต้น

ยกตัวอย่างความกลัวหรือความกังวลที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เช่น ความกลัวเกี่ยวกับสุขภาพ กลัวจะเป็นโรค กลัวว่าสุขภาพจะไม่แข็งแรง ความกลัวด้านสังคม กลัวว่าตัวเลขผู้ป่วยที่สูงขึ้นจะส่งผลอย่างไรต่อระบบสาธารณสุข กลัวจะปิดเมือง กลัวว่าเราจะไม่มีกิน หรือความกลัวในด้านการงาน กลัวว่าจะแก้ปัญหางานได้หรือไม่ กลัวไม่มั่นคงในอาชีพ อาจจะต้องตกงาน อาชีพที่ทำอยู่อาจไม่สามารถทำได้อีกแล้ว หรือกังวลเรื่องสถานะทางเศรษฐกิจ

หากจะว่าไปแล้ว ความกลัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือความเครียดที่เกิดจากความกลัวและวิตกกังวล หากถูกครอบงำด้วยความกลัวและความกังวลมากเกินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็อาจนำไปสู่ภาวะหดหู่ซึมเศร้าได้ การควบคุมและจัดการกับความกลัวให้อยู่ในระดับที่สมควรและประคับประคองจิตใจให้ยืนหยัดรับสถานการณ์ได้จึงสำคัญมาก

แนวทางเบื้องต้นในการรับมือกับสิ่งที่กระตุ้นความกลัวและวิตกกังวล

สิ่งที่จะทำให้เราหายกลัวคือการได้ระบายความกลัวและความกังวลนั้นออกมา เพราะจะทำให้เราตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ทับถมอยู่ภายในตัวเราคืออะไร คล้ายๆ กับการนำสิ่งที่แบกไว้ในอกออกมาวางไว้ข้างนอก ถ้าเรามองเห็นความกังวลได้อย่างมีสติแล้ว และสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรากังวลมากไป หรืออะไรที่เราสามารถลงมือแก้ไขได้ ความกลัว ความกังวลที่เราสะสมและแบกรับมันอยู่จะถูกปล่อยวางลง

นอกจากนี้ การระบายให้ผู้อื่นรับฟัง เหมือนเป็นการผลักดันให้เราเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่จมอยู่ภายใน แล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานใหม่ คือการ เชื่อมโยงกับคนอื่น

ขอแนะนำตัวอย่างในการจัดการกับความกลัว และวิตกความกังวล เช่น

  1. เล่าความกลัวหรือความวิตกกังวลของตนเอง เป็นการเอาความกลัวและความกังวล ‘ออกมา’ โดยอาจเล่าให้คนที่เราสะดวกใจรับฟัง แล้วค้นหาศักยภาพ ว่าเราเคยมีศักยภาพอะไรที่ใช้จัดการปัญหานี้ได้ ให้นำพลังงานที่เราเคยแก้ปัญหาที่ยากเข้ามาใช้ในสถานการณ์นี้ จะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา
  2. เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสถานการณ์ที่เราไม่รู้เกี่ยวกับ โควิด-19 สถานการณ์ที่เราไม่รู้ เช่น การจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคในประเทศจะดีขึ้นหรือไม่ สภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร การจัดการงานและอาชีพที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งงานในองค์กรและธุรกิจส่วนตัวจะทำอย่างไร แล้วเปลี่ยนมุมมองในการจัดการกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่ไม่รู้จากการรับมือด้วยการแบกภาระไว้ที่ตัวเองเป็นการแสวงหาโอกาส เชื่อมโยงกับเพื่อนหรือคนอื่นๆ ในการแก้ปัญหา เปลี่ยนมุมมองจากที่มองว่าเหตุการณ์นี้เป็นปัญหาเป็นว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และเปลี่ยนมุมมองจากการควบคุมเป็นการปรับตัวและหาทางออกด้วยการรับฟังไอเดีย ความเห็นใหม่ๆ ที่หลากหลายในการจัดการปัญหาร่วมกัน
  3. หาโอกาสในการช่วยเหลือสังคม การที่มัวแก้ปัญหาเรื่องของตัวเองอาจทำให้เราสู้แบบจนตรอก แต่หากเราเปลี่ยนพลังงานไปสู่การแบ่งปัน ช่วยเหลือสังคมที่พอทำได้ เช่น ช่วยจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น หรือจัดหาอาหารให้ผู้ที่ลำบากกว่าเราก็จะช่วยเสริมคุณค่าภายใน มีกำลังใจที่เราจะอยู่รอดไปด้วยกัน

นอกจากนี้ แนวทางเบื้องต้นในการรับมือกับสิ่งกระตุ้นความกลัวที่จะส่งผลต่อเราที่ทำได้ ได้แก่

  1. ควรจำกัดการเสพข่าวสารที่จำเป็นจริงๆ และเปิดทีวีช่องข่าวเป็นช่วงเวลา
  2. การกักตัวอยู่บ้านจริงจังอาจทำให้จิตใจหดหู่ย่ำแย่ โดยเฉพาะผู้มีแนวโน้มซึมเศร้าหรือต้องอยู่ตามลำพัง ควรหาโอกาสติดต่อพูดคุยโทรศัพท์และใช้โซเชียลมีเดียกับคนที่มีทัศนคติบวกเป็นระยะๆ
  3. หากิจกรรมหลากหลายคอยสลับสับเปลี่ยนเพื่อคลายเครียดลงในตารางประจำวัน เช่น ฝึกสมาธิ รดน้ำต้นไม้ ทำสวน ฝึกโยคะ อ่านหรือเขียนหนังสือ เล่นดนตรี วาดรูป เพนท์สี เล่นเกมฝึกสมอง ทำอาหารที่ชอบ จัดบ้าน
  4. มีอารมณ์ขันและหาเรื่องให้ตัวเองหัวเราะ อย่างคลิปขำขันหรือดูหนังเบาสมอง
  5. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อสร้างภูมิต้านทาน ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. คิดถึงเรื่องดีๆ ที่มีในชีวิตและขอบคุณสิ่งเหล่านั้น
  7. จดบันทึกสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเวลารู้สึกเคร่งเครียด การจดบันทึกทำให้เราสามารถเช็คพฤติกรรมของตัวเองได้ว่าสร้างสรรค์หรือบ่อนทำลาย เช่นพฤติกรรมการดื่มเพื่อให้หลับ กินมากเกินไป หรือความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด
  8. ปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด และจัดระเบียบการป้องกันการแพร่เชื้อในบ้านอย่างจริงจัง
  9. อย่าเพิ่งกังวลถึงอนาคตล่วงหน้าที่ไกลเกินไป อยู่กับปัจจุบัน และลงมือทำสิ่งที่ทำได้ตรงหน้าก่อน
  10. อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกแย่ได้ ไม่ว่าความกลัว ผิดหวัง เสียใจ และวิตกกับบางอย่าง แบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้นกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง

ความกลัวและความกังวลอาจทำให้เราสนใจอยู่ที่การป้องกันตัวเองและจมอยู่กับความรู้สึกกลัวและกังวลนั้น ยิ่งนโยบาย Self isolation หรือ Social distancing ยิ่งทำให้เราตัดขาดจากผู้อื่นและโลกภายนอก และแบกรับความกลัวและวิตกกังวลนั้นไว้เองซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง การออกจากความกลัวและความกังวลคือการแปรเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่กับตัวเองไปสู่การเชื่อมโยงกับคนอื่น หรือการค้นหาศักยภาพในการแก้ปัญหาที่เราเคยก้าวข้ามปัญหาต่างๆ มาได้ ก็จะเป็นพลังบวกที่ทำให้เราปรับตัว ลดความกลัวและความกังวล ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงนี้ได้อย่างมีความสุขขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายและซับซ้อนนี้

อ้างอิง

Anxiety vs. Fear What is the difference
Coping with the Fear of COVID-19
What Is Post-Traumatic Growth and Coping in a Pandemic?
COVID-19 and Pandemic Anxiety

Tags:

การจัดการอารมณ์ความกลัว (Fear)spiritual

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    “โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy lifeAdolescent Brain
    11 ชุดคำถาม ชวนนั่งไทม์แมชชีนกลับไปคุยกับอดีตเพื่อรู้จักและเข้าใจตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ‘รับมือ’ และ ‘สร้างขวัญกำลังใจ’ เพื่อก้าวผ่านความกลัว (แม้ขายังสั่นอยู่) โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

อนุญาตให้ตัวเอง ‘รู้สึกเท่าที่รู้สึก’ 5 วิธีจัดการตัวเอง หาความสงบให้เจอในแก่นกลางความไม่แน่นอน
How to enjoy life
6 April 2020

อนุญาตให้ตัวเอง ‘รู้สึกเท่าที่รู้สึก’ 5 วิธีจัดการตัวเอง หาความสงบให้เจอในแก่นกลางความไม่แน่นอน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • บทความจากนักจิตวิทยาคลินิกที่จะมาชวนทุกคนหายใจช้าๆ เฝ้ามองความรู้สึกและอยู่กับมันให้ไหวในชั่วขณะแห่งความไม่แน่นอนนี้ ผ่าน 5 วิธีจัดการตัวเอง หาความสงบให้เจอในแก่นกลางความไม่แน่นอน
  • “ในฐานะที่เราต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว รู้สึกอย่างที่รู้สึก เปลี่ยนความคับข้องใจให้เป็นการกระทำ สมดุลตัวเองด้วยการหาข่าวดีๆ อ่าน พักหายใจช้าๆ ในเวลาที่เรารู้สึก ‘ไม่ไหวแล้ว’ สำคัญที่สุด เชื่อมโยงตัวเองกับผู้คนและคนที่เรารัก แม้เราจะถูกครอบงำด้วยข่าวร้ายรายวัน แต่เรื่องราวในนั้นยังเต็มไปด้วยฮีโร่ เสียงหัวเราะ และความรัก”

เรียบเรียงจากบทความเรื่อง How to Cope During Unsettling Times:  5 ways to find peace in the midst of uncertainty. (วิธีรับมือกับช่วงเวลาที่คาดเดาไม่ได้: 5 วิธีค้นหาความสงบในแก่นกลางความไม่แน่นอน) โดย ดร. เอลเลน เฮนดริกสัน (Ellen Hendriksen, Ph.D.) นักจิตวิทยาคลินิกแห่งศูนย์ให้บริการด้านวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน เชี่ยวชาญด้านกลุ่มอาการวิตกกังวล ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ข่าวจิตวิทยา Psychology Today

จากสถานการณ์โคโรน่าไวรัสระบาดทั่วโลก การดำเนินชีวิตของแต่ละคนต้องเปลี่ยนอย่างไม่เคยจินตนาการไว้ รายรับที่เคยมั่นคงเหมือนเลือนลอยหายไป หน่วยแพทย์ที่ปัจจุบันเราเรียกพวกเขาว่า ‘แนวหน้า’ (fron lines) กำลังเผชิญกับอารมณ์ท่วมท้นล้นจม ผู้ปกครองหลายคนต้องจัดสรรเวลา บทบาท และการยอมรับกับข้อเท็จจริงใหม่เมื่อต้องกลับมาทำงานที่บ้านขณะที่เด็กๆ ก็ออกไปไหนไม่ได้เช่นกัน

ปัญหาใหญ่ขณะนี้คือ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าโคโรน่าไวรัสจะทิ้งอะไรไว้ให้เรารับมือหลังจากนี้ – ปฏิบัติการทางการแพทย์ สังคม เศรษฐกิจ? ไม่มีใคร(กล้าและอยาก)คาดการณ์ ซึ่งความรู้สึก ‘คาดการณ์ไม่ได้’ ‘ควบคุมไม่ได้’ นี้เอง ที่ทำให้เราวิตกกังวล

ทำอย่างไรดี เราจะยืนหยัด เข้าใจ สุขุมเยือกเย็นในโมงยางที่วางใจกับอะไรไม่ได้เลยเช่นในเวลานี้?

อย่างแรก ให้วางใจว่าความกังวลที่เกิดขึ้นนี้ คือความปกติธรรมดา

เวลาที่พาดหัวข่าวให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องราวในภาพยนตร์ คอนเทเจี้ยน (Contagion (2554)) – เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส) หรือ วอล-อี (Wall-E (2008)) ว่าด้วยหุ่นยนต์ตัวสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้บนโลก นำเสนอโลกอนาคตในแบบเลวร้าย เช่นนี้… เป็นธรรมดาที่เรารู้สึกเหมือนใกล้จะเป็นบ้า

แต่ก่อนที่คุณจะหลีกหนีไปหาหลุมหลบภัยหรือปิดหน้าต่างไม่รับรู้สิ่งใดอีก ขอให้คุณอ่าน 5 วิธีข้างล่าง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกดีขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกดดันและส่งพลังลบให้กับคุณ

รู้สึก ว่ากำลังรู้สึกอะไร

ทำความเข้าใจว่าคุณกำลังรู้สึกอะไรและพยายามทำให้มันปรากฎตัวขึ้นมา อ้างอิงจากวิธีของรายการ Mister Rogers (ชื่อรายการ และ นักจัดรายการ (ชื่อเดียวกัน) รายการโทรทัศน์เด็กสัญชาติอเมริกันที่โด่งดังมากๆ กว่า 40 ปี 1961-2001) อ่านเรื่องของเขาที่นี่) ที่บอกว่า ทุกความรู้สึกไม่ว่าจะโกรธ ตื่นกลัว วิตกกังวล เศร้าลึก หวาดกลัว ควรที่จะ ‘พูดถึง’ และ ‘จัดการ’ มันได้

จะทำอย่างนั้น เราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง มองเห็นมัน จากนั้นจึงสื่อสารมัน แบ่งปันความรู้สึก และจะช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่

ให้สิ่งที่เรา ‘รู้สึก’ พาเราสู่จุดของการ ‘ช่วยเหลือ’

ยกตัวอย่างความรู้สึก ‘เศร้า’ อย่างที่รู้สึกเมื่อเห็นรถตู้เย็นจอดเรียงรายหน้าโรงพยาบาลในนิวยอร์กเพื่อใช้เป็นที่เก็บศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 หรือภาพผู้ป่วยที่ถูกกักตัวไม่ให้เยี่ยมญาติ แต่ในความโหดร้ายของ ‘ความรู้สึกเศร้า’ คือ อีกอณูหนึ่งของความเศร้าก็เป็นตัวขับให้เราใจเย็น เข้าอกเข้าใจ และเอื้ออาทรต่อกัน

หรือจะเป็น ‘ความโกรธ’ รู้สึกโกรธให้พอและใช้ความโกรธขับเคลื่อนให้เราทำอะไรสักอย่าง เช่น ความโกรธทำให้คนออกมาเลือกตั้ง ทำให้คนลุกไปจัดการเมื่อรู้สึกว่ากำลังสูญเสียโอกาส เสียสิทธิ์ หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามหวัง

ไม่ว่าคุณกำลังรู้สึกอะไร ปล่อยให้มันเติบโตและเปลี่ยนมันเป็นพลังเพื่อ ‘ทำอะไร’ สักอย่าง ในสถานการณ์แบบนี้ คุณอาจใช้ความรู้สึกเหล่านั้นเปลี่ยนเวลา แรงงาน และเงินของคุณเพื่อกระทำบางอย่างได้ เช่น รวมทีมกับเพื่อนบริจาคอาหารให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบในชุมชน ดูแลผู้สูงอายุใกล้บ้านผ่านสื่อสารออนไลน์ หรือถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ทางการเงินที่ยังมั่นคงอยู่ อาจจะบริจาคเงิน ช่วยสมทบทุนกับองค์กรต่างๆ หรือเรื่องเล็กน้อยอย่างให้ทิปเพิ่มกับคนที่ทำงานบริการที่ยังต้องทำอยู่ในโมงยามนี้ ใครจะรู้ การกระทำเล็กน้อยของเราบางอย่างอาจช่วยขจัดความรู้สึกสิ้นหวังในใจคนอื่นและอาจเสริมแรงใจให้เขาอดทนได้ไหว …ก็ได้

กล่าวโดยสรุปคือ แทนที่จะเมินเฉย ไม่รับรู้ หรือไม่ปล่อยให้ตัวเองจ่อมจมกับบางความรู้สึก รับรู้มันเถอะ สู้ไปกับคลื่นอารมณ์เหล่านี้และช่วยเหลือคนอื่นหากทำได้

เสพสื่ออย่างชาญฉลาด

หาจุดสมดุลระหว่างการดูข่าว(ที่ถูกฝีด)ตลอดวัน กับ ปิดมันซะและออกจากหน้าจอ คนไข้ของฉันคนหนึ่งเล่าระหว่างการบำบัดออนไลน์ว่า เขาเหมือนกำลังถูกดึงให้จมไปกับความรู้สึกวิตกกังวลหวาดกลัว เพราะกลัวมาก เขาถึงขนาดไล่จดบันทึกทุกวันและทำตารางยอดคนไข้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ปรากฎในเมือง เขาทำเพื่ออยากรู้สึก ‘ควบคุม’ มันได้และเท่าทันรายงานของสื่อมวลชน แต่กลายเป็นว่ามันยิ่งทำให้ความวิตกกังวลพุ่งสูงขึ้นเกินรับมือ

ข้อตกลงที่ทำร่วมกับคนไข้รายนี้คือ ลดการเสพข่าวของเขาลงครึ่งหนึ่งและให้เลิกนับจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต ผลลัพธ์คือ แม้เขาจะยังติดตามข่าวและประกาศสำคัญๆ แต่ความกังวลอย่างท่วมท้นนั้นลดลง

เหมือนกันกับคุณ ถ้าคุณรู้สึกว่า ‘รู้สึกมากเกินไป’ หลังเสพข่าวไม่ว่าจะจากหน้าจอหรือที่ไหนก็ตาม ควบคุมเวลาในการรับข้อมูลของตัวเอง หรือเปลี่ยนไปรับข้อมูลจากแหล่งข่าวอื่นที่นำเสนอข่าวเบาๆ บ้าง

มาตรวัดว่าคุณรับสารจากโซเชียลมีเดียมากเกินไปหรือเปล่า ให้ลองถามตัวเองหลังจากปิดโทรศัพท์หรือหลังปิดรับข่าวสารว่ารู้สึกอย่างไร ลดการเสพแล้วดีขึ้นมั้ยหรือว่าแย่กว่าเดิม? หรือ หากบอกว่าเวลาออนไลน์แล้วสนุกกว่า ก็เป็นไปได้ที่ Tik Tok หรือ คลิปสั้นใน instagram ช่วยให้คุณหัวเราะและ ‘มูฟออน’ สู่การวางแผนประชุมครั้งต่อไปใน Zoom …ก็เป็นได้

เอาเป็นว่า จุดประสงค์คืออยากให้คุณหาสมดุลในการเสพข่าวและชีวิตในโลกออนไลน์ อย่างงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ขอให้ผู้เข้าร่วม 500 คน เลิกเล่นเฟซบุ๊คเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ขณะที่อีก 500 คนให้ออนไลน์ได้ตามปกติ พบว่ากลุ่มที่เลิกเล่นเฟซบุ๊กบอกว่าพวกเขาสุขสงบขึ้น อารมณ์และสภาวะข้างในสดใสขึ้นด้วย

ตามหาข่าวดี

ประเด็นนี้ต้องอธิบายถึงการทำงานในอุตสาหกรรมข่าว การที่องค์กรสื่อจะอยู่รอดได้ในปัจจุบันต้องพึ่งพิงเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมโฆษณา เพื่อให้เกิดการ ‘คลิก’ เข้าชมเว็บข่าวนั้นๆ ให้มากขึ้น (เพื่อเงินจากโฆษณาจะมากขึ้นตาม) สื่อมวลชนส่วนใหญ่ต้องรายงานข่าวเรียกอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งหรือความทุกข์เศร้า และทุกคนก็ชอบข่าวแบบนั้นมากกว่าข่าวดี

อ้างอิงเรื่องราวของนักจิตวิทยารู้คิด สตีเฟน พินเกอร์ (Stephen Pinker) บนเวที TED talk ปี 2018 ให้ข้อมูลว่า ณ ช่วงเวลานั้นมีประชากรกว่า 137,000 ที่หลุดพ้นจากเส้นความยากจนได้ แต่ไม่มีสำนักข่าวไหนรายงานข่าวดีชิ้นนี้ พินเกอร์ยังรายงานต่อไปว่าช่วงเวลานั้น กราฟความรุนแรง ความรู้ของผู้คน ความยากจน และตัวเลขการถูกฆ่านั้นดีขึ้นมากอย่างมีนัย แต่เช่นกัน เราไม่เห็นการรายงานจากสื่อมวลชน

เพราะข่าวดีไม่ได้ทำให้เรารู้สึกท่วมท้นมากเท่าการอ่านข่าวร้าย แต่ในช่วงเวลาอย่างนี้ การอ่าน ฟัง เปิดรับข่าวดี เป็นหนทางเยียวยาและเรียกศรัทธาของเรากลับมาได้

เชื่อมโยงตัวเองกับผู้คน กับเพื่อนของเรา

รายงานจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตตที่ทำงานกับผู้เข้าร่วมทดลอง 400 คน เพื่อดูว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญที่สุด องค์ประกอบที่ผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้บอกคล้ายกัน นั่นคือ …ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างคนในกลุ่ม

พวกเขาบอกว่าการได้พบเพื่อนทำให้เขามี ‘ความสุข’ มากกว่ารู้สึก ‘มีความหมาย’ ไม่เหมือนการใช้เวลากับครอบครัว ที่เป็นช่วงเวลาที่มี ‘ความหมาย’ ก็จริงแต่ไม่ได้รู้สึกถึง ‘ความสุข’ เข้มข้นชัดเจน แต่ในภาพรวมสรุปว่า ‘ความสัมพันธ์เชื่อมโยง’ คือกุญแจสำคัญในการเข้าถึงความรู้สึกปลอดภัย

แต่ไม่ต้องกังวล! คุณไม่ต้องกัดฟันทนเพื่อวิดีโอแชทกับเพื่อนตลอดเวลา พูดให้ถึงที่สุด ไม่จำเป็นต้องวิดีโอคอลเลยก็ได้ แค่ส่งเมสเสจหรือโทรหาคนที่คุณรักและผูกพันเท่านี้ก็เพียงพอ และหากคุณรู้สึกคิดถึงเพื่อนสมัยเรียนหรือที่ทำงานเก่าซึ่งห่างหายไปนาน ให้ช่วงเวลาแบบนี้เป็นโอกาสดีที่จะโทรหาไปสอบถามสารทุกข์สุขดิบเสียเลย

ในฐานะที่เราต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว รู้สึกอย่างที่รู้สึก เปลี่ยนความคับข้องใจให้เป็นการกระทำ สมดุลตัวเองด้วยการหาข่าวดีๆ อ่าน พักหายใจช้าๆ ในเวลาที่เรารู้สึก ‘ไม่ไหวแล้ว’ สำคัญที่สุด เชื่อมโยงตัวเองกับผู้คนและคนที่เรารัก แม้เราจะถูกครอบงำด้วยข่าวร้ายรายวัน แต่เรื่องราวในนั้นยังเต็มไปด้วยฮีโร่ เสียงหัวเราะ และความรัก

ที่มา: psychologytoday.com

Tags:

spiritualไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Creative learning
    ลดภาระงาน เลือกทักษะที่สอดคล้องกับชีวิตเด็ก : หลักการจัดการเรียนรู้ในช่วงโควิด – 19 ของ ‘โรงเรียนบ้านปะทาย’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • How to enjoy life
    “เปลี่ยนโลกให้เป็นสนามเด็กเล่น” กลับมาเติมความสนุกที่หายไปในชีวิต กับ โจน จันได

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อแม่ควรตั้งรับอย่างไร เมื่อต้องทำงานที่บ้านและลูกไม่ได้ไปโรงเรียน

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้
Learning TheorySocial Issues
6 April 2020

โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การระบาดของ Covid-19 ทำให้ ‘การเรียนรู้ด้วยตัวเอง’ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ควรทำและให้ความสำคัญ
  • การเรียนรู้ด้วยตัวเองฟังดูแล้วเป็นเรื่องสบายๆ ผู้เรียนสามารถเลือกได้เองว่าจะเรียนอะไร ที่ไหน และเมื่อไร แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างที่จะทำให้ตัวเองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ทั้งความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน ความสงสัยใคร่รู้ ความรับผิดชอบและความมีวินัยในตัวเอง
  • ครูยังคงมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ช่วยวางแนวทางการเรียนรู้ และชี้ช่องทางการเรียนรู้ที่เหมาะแก่นักเรียนแต่ละคน แล้วให้นักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างอิสระในขั้นต่อไป
Photo by Alice Dietrich on Unsplash

ณ ช่วงเวลาที่การกักตัวเองอยู่กับบ้านเป็นสิ่งที่ควรทำและต้องทำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการรับและแพร่เชื้อ Covid-19 ท่ามกลางมาตรการที่เป็นข้อจำกัดหลากหลายด้านทั่วโลก ทั้งการจำกัดขอบเขต จำกัดเวลา จำกัดการเดินทาง จำกัดเขตแดน จำกัดเงินเดือน จำกัดจำนวนผู้คน และอื่นๆ อีกมากมายที่ถูกลิมิตไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่ Covid-19 จำกัดไม่ได้ คือ การเรียนรู้

แม้โรงเรียนและสถาบันการศึกษาหลายแห่งไม่เฉพาะแค่ในประเทศไทย ยังล้มลุกคลุกคลานกับการปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้ตอบสนองและเข้าถึงนักเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเท่าที่กำลังและศักยภาพของเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีจะเอื้ออำนวย หลังจากประตูโรงเรียนต้องถูกปิดลงจากสถานการณ์โรคระบาด และไม่สามารถตอบได้ว่าเมื่อไรจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ  ‘การเรียนรู้ด้วยตนเอง’ ไม่น่าจะเป็นตัวเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่ควรทำและให้ความสำคัญ

เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เพิ่มจำนวนขึ้นและประชากรโลกที่ขยายอย่างรวดเร็ว ขณะที่สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะถดถอย นักเรียนอเมริกันเป็นหนี้กองทุนกู้ยืมทางการศึกษาจำนวนมากไม่ต่างจากประเทศไทย นักเรียนหลายคนใช้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่จบไฮสคูล ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ หากสนใจใฝ่เรียนรู้ก็ต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนและเป็นรายได้เลี้ยงชีวิต

การเรียนรู้ด้วยตนเองที่ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่มีช่องทางการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกในสิ่งที่สนใจ อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ช่วยสร้างโอกาสให้นักเรียนกลุ่มปากกัดตีนถีบและคนที่สนใจใฝ่เรียนรู้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพสามารถใช้ชีวิตบนพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด

เรียนออนไลน์ ที่ไหนเมื่อไรก็ได้

ระบบเรียนออนไลน์น่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในวิกฤตินี้

เมื่อปี 2012 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สแตนฟอร์ด และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้เปิดตัว MOOCs (Massive Open Online Courses) การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ ที่รองรับผู้เรียนจำนวนมาก ไม่จำกัดเพศ วัย โดยเน้นหลักสูตรที่ให้บริการฟรี แม้ว่าปัจจุบันมีบางคอร์สเก็บค่าเล่าเรียนอยู่จำนวนหนึ่ง

MOOCs เป็นปรากฎการณ์ที่ทำให้รูปแบบการเรียน ‘ได้ทุกที่ ทุกเวลา’ และ ผู้เรียน ‘เลือกเรียนสิ่งที่อยากเรียน’ เกิดขึ้นจริง บทเรียนส่วนใหญ่เรียนผ่านวิดีโอ บรรยายโดยอาจารย์เจ้าของวิชา มีแบบฝึกหัดหลังบทเรียน บางแพลตฟอร์มมีกระดานสนทนาหรือฟอรั่ม (Forum) ให้ผู้เรียนเข้าไปแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้สอนและผู้เรียนด้วยกันเองด้วย เมื่อผ่านการเรียนรู้จนครบชั่วโมงและผ่านการทดสอบ ผู้เรียนจะได้เกียรติบัตรรับรองการเรียนรู้ไม่ต่างจากการเรียนในห้องเรียน

นี่เป็นวัฒนธรรมการเรียนแบบใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาในพื้นที่ระบบการเรียนการสอนแบบเดิม!!

สำหรับนักเรียนมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ระบบการสอบเอพี (AP: Advanced Placement exams)* ให้นักเรียนประเมินศักยภาพของตัวเองด้วยการทำข้อสอบในรายวิชาที่สนใจ ผลลัพธ์ช่วยให้ผู้เรียนเตรียมความพร้อมตัวเองก่อนเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่ต้องการสอบในรายวิชาที่ไม่ตรงกับสายการเรียนในปัจจุบัน

หรือหากวิชาที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการเป็นรายวิชาที่อยู่ในระบบเอพี นักเรียนสามารถนำคะแนนจากการสอบเอพีไปยื่นเพื่อสมัครเข้าเรียนต่อได้ นอกจากนี้บางรายวิชาในเอพีโปรแกรมสามารถนำไปใช้นับเป็นเครดิตสำหรับการเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรกได้ด้วย

การเรียนรู้ด้วยตัวเองที่ไหนเมื่อไรก็ได้ ฟังดูแล้วเป็นเรื่องสบายๆ แต่ในความเป็นจริงผู้เรียนต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างที่จะทำให้ตัวเองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ผลสำเร็จจากการเรียนในแต่ละโมดูลจึงสะท้อนคุณสมบัติต่างๆ ของผู้เรียน ทั้งความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน ความสงสัยใคร่รู้ ความรับผิดชอบและความมีวินัยในตัวเอง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเรียนในระดับมัธยม นักการศึกษามองว่าครูยังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยวางแนวทางการเรียนรู้ และชี้ช่องทางการเรียนรู้ที่เหมาะแก่นักเรียนแต่ละคน แล้วให้นักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจ ออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างอิสระในขั้นต่อไป ผลการศึกษาระบุว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองช่วยเติมเต็มการเรียนในห้องเรียนให้มีคุณภาพและทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้น

บทเรียนส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร

จอห์น ดิวอี้ (John Dewey: 1859-1952) นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน เชื่อว่า ประสบการณ์เป็นรากฐานสำคัญของการศึกษา บทบาทสำคัญของนักการศึกษา คือ การแนะนำ สนับสนุนให้ผู้เรียนออกไปสำรวจโลกรอบตัว ตั้งคำถามเชิงลึกกับปรากฎการณ์ตรงหน้า โดยเฉพาะคำถามคีย์เวิร์ด ‘ทำไม?’ และหาทางพิสูจน์เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ อย่างที่ The Potential เน้นย้ำเสมอว่า การศึกษาที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากการลงมือทำ

แล้วครูจะมีส่วนช่วยนักเรียนอย่างไรได้บ้างในสถานการณ์ที่นักเรียนต้องเรียนทางไกล เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระจายไปทั่วโลก?

บทบาทสำคัญของครู คือ การรักษามาตรฐานการเรียนการสอน ประเมินผลการเรียนอย่างสอดคล้องกับความพร้อมของนักเรียนแต่ละคน

ครูสามารถเข้ามามีบทบาทกระตุ้นการออกแบบการเรียนของนักเรียน ด้วยการวิธีการต่อไปนี้

  1. ให้นักเรียนวางเป้าหมาย – การเรียนในแต่ละครั้งต้องมีหัวข้อชัดเจนว่าต้องการเรียนรู้หรือศึกษาเรื่องอะไร สงสัยเรื่องอะไร เพราะอะไร
  2. ลงมือค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ – ยิ่งในยุคที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายยิ่งต้องใส่ใจกับการคัดเลือกข้อมูล เปรียบเทียบความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงหลายแหล่ง
  3. ต่อยอดความสนใจ – ความสนใจ สงสัยใคร่รู้เป็นแรงขับสำคัญในการเรียนรู้ ระหว่างการค้นหาข้อมูล หากนักเรียนรู้สึกสนใจเรื่องใดเฉพาะเป็นพิเศษ ให้ต่อยอดการค้นคว้าเพิ่มเติมจากจุดที่ตนเองสนใจ การเชื่อมโยงการเรียนรู้ต่อเนื่องไปในลักษณะนี้ ทำให้ผู้เรียนได้ข้อค้นพบใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับชุดความรู้เดิม

เว็บไซต์เอ็ดดูโทเปีย (Edutopia) นำเสนอบทความ New Strategies in Special Education as Kids Learn From Home – กลยุทธ์ใหม่เพื่อการศึกษากลุ่มพิเศษเมื่อเด็กเรียนรู้จากที่บ้าน บอกว่า ในภาวะที่โควิด -19 เข้ามากระทบระบบการเรียน การเตรียมตารางเรียน การสนับสนุนให้นักเรียนทำกิจกรรมที่ใช้ประสาทสัมผัส และความร่วมมือจากครอบครัว สามารถช่วยส่งผ่านการเรียนรู้ให้กับนักเรียนกลุ่มพิเศษได้อย่างราบรื่นแม้ไม่ได้เข้าชั้นเรียน

สิ่งที่ครูทำเป็นลำดับแรก คือ การติดต่อทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ให้ผู้ปกครองเตรียมพื้นที่ที่มีความพร้อมในบ้านเป็นที่สำหรับการเรียนรู้ ครูโทรหานักเรียนด้วยตัวเองทุกวันเพื่อสรุปตารางกิจกรรมที่จำเป็นต้องทำในแต่ละวัน

“เมื่อเอ่ยถึงการศึกษาพิเศษ เรากำลังพูดถึงผู้เรียนกลุ่มพิเศษที่มีอายุหลากหลาย มีความสนใจ มีความสามารถ หรืออาจเป็นผู้พิการ ซึ่งแต่ละคนควรได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้แตกต่างกันออกไป”มาร์กาเร็ต ชาเฟอร์ ครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากเมืองมอร์ตัน รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา กล่าว

สิ่งนี้แตกต่างจากการพัฒนาการสอนเหมารวมทั้งชั้นเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ ครูกลุ่มนี้ได้รับมอบหมายให้พัฒนาแผนการเรียนที่ไม่ซ้ำกันสำหรับนักเรียนทุกคน ซึ่งต้องสอดคล้องกับ IEPs ตามมาตรฐานของรัฐบาล

IEPs คือ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program) สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล โดยมีแผนระยะยาวและระยะสั้น โดยปกติจะเป็นแผนระยะ 1 ปี และมีการทบทวนทุกภาคเรียน

ข้อมูลจากเพจ ผมชื่อลูเต้อร์ – My Name is Luther สุนัขนำทางผู้พิการทางสายตา ทราย – คีริน เตชะวงศ์ธรรม เจ้าของลูเตอร์ ที่ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา นำเสนอเรื่องราวผ่านเพจว่า

“เข้าอาทิตย์ที่สามของการ quarantine ทรายยังคงเรียนทุกอย่างทางไกล โดยตอนเช้าเวลาแปดโมงทุกวันเราจะเริ่มด้วยการโทร conference call กับครูและนักเรียนทุกคน เพื่อทักทายและแจ้งข่าวสารต่างๆ หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างไปทำกิจวัตรของตัวเอง โดยครูของทรายแต่ละคนจะโทรมาคุยกับทรายเกี่ยวกับโปรเจ็คที่ต้องการให้ทรายทำในวันนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเบรลล์ เทคโนโลยี ไม้เท้า และชั้นทำกับข้าว

“สำหรับชั้นไม้เท้าทรายยังต้องออกไปเดินทุกวัน เพราะที่นี่เป็นเมืองเล็ก ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว เราแค่ต้องไม่เดินเข้าไปใกล้ใคร ส่วนชั้นทำอาหารตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอาหาร นักเรียนแต่ละคนมีโปรเจ็คต่างๆ กัน บางคนเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับการทำอาหาร หรือวิธีการซักผ้า ส่วนทรายกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นและการลงทุน ซึ่งทรายรู้สึกว่าน่าสนใจมาก เพราะอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว

“ถึงแม้เรายังต้องเข้าเรียนจากแปดโมงถึงห้าโมงเย็นเหมือนปกติ โดยรวมแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีผลกระทบมากนักกับการใช้ชีวิต แต่การติดอยู่กับบ้านเป็นเวลานาน และการแทบไม่ได้เจอใครเลยก็เริ่มมีผลกระทบกับสุขภาพจิตของทราย ซึ่งตอนนี้ลูเตอร์ก็ได้กลายร่างจากสุนัขนำทางเป็นสุนัขบำบัดไปเรียบร้อยแล้ว

“เอาจริงก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลูเต้อร์รู้สึกยังไงกับการเปลี่ยนแปลงนี้ จากการติดอยู่ในกรงทั้งวันที่ศูนย์ มาเป็นการติดอยู่ในบ้านทั้งวันกับเจ้านาย… ลูเต้อร์บอก ‘ขอกลับไปอยู่ในกรงดีกว่าครับ’ อย่างน้อยทรายก็พยายามพาลูเต้อร์ออกไปเดินทุกวันวันละครั้ง คนที่มีสัตว์เลี้ยงอย่าลืมพาเขาออกไปเดินออกกำลังกายด้วยนะคะ”

จากตัวอย่างห้องเรียนของทราย เห็นได้ว่าแม้เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ยังจำเป็นต้องมีแบบแผนและมีวินัยในตนเองอยู่เสมอ ส่วนการวัดผลการเรียนรู้ย่อมเป็นการวัดผลเฉพาะบุคคลด้วยเช่นกัน

การย้ายห้องเรียนมาไว้ที่บ้าน แล้วให้นักเรียนทำกิจกรรมตามตารางการเรียนรู้ที่ครูวางแผนให้เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ด้วยตัวเองที่ยอดเยี่ยมไม่ควรจบอยู่แค่การเปลี่ยนสถานที่นั่งเรียนเขียนอ่าน แต่ควรประกอบด้วยความสงสัยใคร่รู้ต่อยอดไปจากบทเรียนตรงหน้า การคิดวิเคราะห์ แล้วค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น หากนักเรียนมีความสนใจด้านภาษาเป็นพิเศษ การแนะนำให้นักเรียนลงคลาสเรียนภาษาอย่างเดียวคงไม่ตอบโจทย์ เพราะคงไม่สร้างการเรียนรู้ให้สื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว ได้เท่ากับประสบการณ์จากการสื่อสารจริงในชีวิตประจำวัน นักเรียนต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้พวกเขาไปได้ไกลมากกว่าแค่การเข้าชั้นเรียน ครูสามารถแนะนำโปรแกรมเรียนภาษาออนไลน์อย่าง Duolingo หรือการจัดคลาสสนทนาภาษาต่างชาติผ่านวิดีโอคอลล์ โดยให้นักเรียนนำเสนอหัวข้อที่ตนเองสนใจหรือต้องการพูดถึง

ครูสามารถค้นหาไอเดียและแนวทางการสอนได้จากเว็บไซต์ Open Education Resource Commons (OER) ที่รวบรวมวรรณกรรม งานวิจัย และเครื่องมือการสอน รวมทั้งคอร์สเรียนออนไลน์ที่จะช่วยเสริมทักษะให้กับครูได้ แหล่งข้อมูลทั้งหมดในโออีอาร์สามารถนำออกไปใช้ได้ฟรีและไม่ต้องขออนุญาต

แม้จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวที่ห้องเรียนจะหายไปแล้วปล่อยให้นักเรียนมีอิสระจนอาจกลายเป็นเคว้งคว้าง และใช่ว่านักเรียนทุกคนจะเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างเท่าเทียมกัน สำหรับนักเรียนด้อยโอกาสอีกหลายคนโรงเรียนเป็นมากกว่าสถานที่เรียนหนังสือ นี่เป็นสาเหตุว่า ทำไมแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และการให้โอกาสนักเรียนเลือกเรียนในสิ่งที่อยากเรียน เพื่อค้นหาตัวเองจึงควรอยู่ในระบบการศึกษา โดยมีครูเป็นผู้สังเกตการณ์และแนะนำอย่างใกล้ชิด เพราะท้ายที่สุดความรู้สึกอิสระและการตัดสินใจด้วยตัวเองจะเป็นแรงขับแห่งการเรียนรู้ หากผู้คนได้เรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาจะกระหายความรู้ ผลักดันให้เกิดการเรียนรู้แบบไม่รู้จบ

ที่มา :

Self-Studying: What’s the Benefit and How to Do it

Importance of Self Study

How to Put Self-Directed Learning to Work in Your Classroom

Teach to One: Math and School Partners Collaborate to Ensure Learning Continuity for Students

เว็บไซต์แห่งการเรียนรู้สำหรับคนที่สนใจ

Thai Mooc
OER Commmons


Advanced Placement (AP)* คือแบบทดสอบที่มีเนื้อหาในระดับมหาวิทยาลัยแต่เปิดโอกาสให้นักเรียนในระดับมัธยมปลาย (High School) ได้ทดสอบตัวเอง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ผู้ที่สอบผ่าน AP ที่ได้คะแนนตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดจะได้รับการพิจารณาเข้าศึกษาต่อ โดยที่อาจได้รับหน่วยกิต (Credit) ในวิชาที่สอบผ่านตามเกณฑ์ แม้มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะยอมรับผลสอบ AP แต่ก็มักให้นักเรียนสอบ Standardized Test เช่น SAT หรือ ACT เพื่อประกอบการสมัครเข้าเรียนด้วย

ในปี 2020 ข้อสอบ AP มีรายวิชาให้เลือกสอบ 39 วิชา โดยประเมินผลการสอบออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 5, 4, 3, 2 และ 1 มหาวิทยาลัยส่วนมากรับผล AP ที่ได้ 4 และ 5 คะแนนในขณะที่บางแห่งก็ยังรับผล AP ที่ได้ 3 คะแนน (ลิงค์รายวิชา ที่นี่)

Tags:

ระบบการศึกษาDisruptionการเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)เรียนออนไลน์school closureไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์เลวร้าย ‘ความยืดหยุ่น’ สิ่งที่ต้องมีในโมงยามนี้
Character building
3 April 2020

ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์เลวร้าย ‘ความยืดหยุ่น’ สิ่งที่ต้องมีในโมงยามนี้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Resilience คือความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัวปรับใจไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคปัญหา เหมือนกับต้นไผ่ลู่ลม เป็นทักษะที่จำเป็นในโลกปัจจุบันที่เผชิญกับความปั่นป่วน
  • บ้านและโรงเรียนสามารถสร้างทักษะนี้ให้เด็ก ด้วยการปลดแอกพวกเขาจากมายาคติว่าชีวิตเป็นเรื่องง่าย เด็กๆ ควรมีโอกาสฝึกให้สู้ชีวิต มีภูมิต้านทานเข้มแข็งพอที่จะเอาตัวรอดได้กับทุกสถานการณ์
  • ความยืดหยุ่นมาจากทัศนคติเชิงบวกและสติปัญญาที่สั่งสม จนพร้อมตั้งรับปรับตัวเมื่อโดนแรงปะทะจากสถานการณ์เลวร้าย หรือตกอยู่ในสภาวะบีบคั้น เป็นตุ๊กตาล้มลุกที่เมื่อผิดหวังหรือล้มเหลวก็ไม่จมกับความทุกข์นาน เอาชนะใจตัวเองลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ และยืดหยุ่นพลิกแพลงตามสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เหมือนหนังสะติ๊ก
Photo by Simon Rae on Unsplash

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญหน้ากับทั้งการระบาดของโควิด-19 โลกเป็นอัมพาต เศรษฐกิจดิ่งลงเหว ไหนจะปัญหาปากท้องตามมาติดๆ นี่เป็นอีกห้วงเวลาที่ทุกบ้านต่างหายใจไม่ทั่วท้องด้วยสถานการณ์ที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ คงไม่มีวาระไหนจะขับเน้นความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจที่เราควรมีได้เด่นชัดเท่าในตอนนี้

บทความนี้จึงขอพูดถึง Resilience หรือ ความสามารถในการปรับตัวปรับใจไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคปัญหา ยืดหยุ่นทนมรสุมได้เหมือนต้นไผ่ลู่ลม นี่คือหนึ่งในคุณสมบัติจำเป็นยิ่งในโลกที่กำลังเผชิญทั้งวิกฤตการณ์และความผันผวนเช่นนี้

แม้ Resilience หรือเรียกง่ายๆ ว่าความยืดหยุ่นจะไม่ใช่เรื่องใหม่ และถูกพูดถึงโดยนักจิตวิทยาเชิงบวกอย่างกว้างขวางว่า เป็นคุณสมบัติสำคัญที่เด็กเจนนี้ควรมีติดตัว แต่จากงานวิจัยเรื่องสุขภาวะทางใจของประชากรอังกฤษเมื่อปี 2018 ของ Public Health Wales กลับรายงานสวนทางว่า…

เยาวชนทั่วโลกกำลังประสบกับภาวะภูมิคุ้มกันปัญหาบกพร่อง โดยเฉพาะประชากรเด็ก 1 ใน 10 จากทั้งหมด 12.5 ล้านคนในอังกฤษ กำลังเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตย่ำแย่และ EQ ต่ำ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาความยืดหยุ่นที่เป็นภูมิคุ้มกันใจนั้น ก็ต่อเมื่อเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผู้ใหญ่ช่วยเขาก้าวข้ามปัญหาชีวิตและสู้กับสภาวการณ์เลวร้ายจนเติบโตไปเป็นคนที่สุขภาพจิตดีได้

เด็กที่ใจขาดภูมิต้านทานส่วนใหญ่มีสาเหตุสำคัญจากการเลี้ยงดูแบบ helicopter หรือ snowplow คือถูกผู้ใหญ่โอ๋จนเคยตัว และไม่เคยได้เจอกับอุปสรรคเลย (อ่านเพิ่มเติม ที่นี่) เด็กจึงเปราะบางกลายเป็นโรคเสพติดความสุข

แอนนา โรว์ลีย์ (Anna Rowley) นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาฝ่ายบริหารบริษัทไมโครซอฟต์ กล่าวว่าเด็กสมัยนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เพ้อฝันว่าชีวิตจะพบเจอแต่ความสุขมากเกินไป ขนาดมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างสแตนฟอร์ดและเยลยังมีคลาสสอนเรื่องความสุขกันเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งแม้ฟังดูเข้าท่าและผู้เรียนคงสนุกดีไม่น้อย แต่โรว์ลีย์กังขาว่า คลาสสร้างสีสันทางธุรกิจเช่นนี้กำลังทำให้เด็กไขว้เขวจากทักษะรูปธรรมที่ช่วยเอาตัวรอดได้จริงหรือเปล่า (ซึ่งประเด็นนี้เราถกเถียงกับเธอต่อได้ว่าคลาสเรียนเหล่านี้เป็นเพียงการพูดถึงทักษะความสุขแบบลอยๆ หรือเปล่า – กองบรรณาธิการ)

เธอชี้ว่า อย่าลืมว่าชีวิตไม่ได้หยุดที่ตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ยังดำเนินต่อไปพร้อมนานาปัญหาที่เปลี่ยนรูปแบบเข้ามารออยู่ข้างหน้า บ้านและโรงเรียนจึงควรปลดแอกพวกเขาจากมายาคติว่าชีวิตเป็นเรื่องง่าย นี่หมายความว่าเด็กๆ ควรมีโอกาสฝึกให้สู้ชีวิต มีภูมิต้านทานเข้มแข็งพอที่จะเอาตัวรอดได้กับทุกสถานการณ์

ความยืดหยุ่นสร้างได้อย่างไร

ความยืดหยุ่นงอกเงยจากทัศนคติเชิงบวกและสติปัญญาที่สั่งสมจนพร้อมตั้งรับปรับตัวเมื่อโดนแรงปะทะจากสถานการณ์เลวร้ายหรือตกอยู่ในสภาวะบีบคั้น เป็นตุ๊กตาล้มลุกที่เมื่อผิดหวังหรือล้มเหลวก็ไม่จมกับความทุกข์นาน เอาชนะใจตัวเองลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ และยืดหยุ่นพลิกแพลงตามสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เหมือนหนังสะติ๊ก ด้วยเหตุนี้

ความยืดหยุ่นจึงเป็นมวลรวมของทักษะหลากหลาย ทั้งสกิลการแก้ปัญหาและสุขภาวะทางกายใจและอารมณ์ที่ดีของบุคคลนั้น

ในอเมริกา โรงเรียนประถมซิลเวอร์สปริง รัฐแมรีแลนด์มีหลักสูตร Resilience Builder Program ให้เด็กเกรด 5 ฝึกทักษะด้านนี้โดยเฉพาะ แมรี อัลวอร์ด (Mary Alvord) นักจิตวิทยาผู้ก่อตั้งอธิบายว่า “เด็กจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าชีวิตเป็นเรื่องอยู่เหนือการควบคุม ซึ่งพวกเขาสามารถดึงพลังในตัวเองออกมาสร้างการเปลี่ยนแปลงได้” ในชั้นเรียนของอัลวอร์ดสอนทักษะการสื่อสาร การจัดการอารมณ์และความเครียด ตลอดจนการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้อารมณ์ผ่านการฝึกโยคะ เล่นปริศนาทายคำ ผลัดกันเล่านิทานให้เพื่อนฟัง

ทั้งนี้ การปูพื้นให้ลูกหลานมีความยืดหยุ่นปรับตัวเป็น พ่อแม่และคุณครูควรให้ความสำคัญกับหัวข้อต่อไปนี้

  • Growth Mindset และการคิดบวก
  • กิจกรรมและงานที่ยากและท้าทายความสามารถ
  • ต้นตอของอารมณ์ลบและสอนวิธีจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม
  • ทักษะความคิดนอกกรอบและสร้างสรรค์
  • การทำงานร่วมกับผู้อื่น กล้าถาม และขอความช่วยเหลือยามจำเป็น

พร้อมกันนั้น หัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้และเป็นเสมือนลมใต้ปีกคอยส่งให้เด็กๆ โบยบินต่อไปได้ยังคงเป็นความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวและคนใกล้ชิด

แอน มาสเตน (Ann Masten) ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็ก มหาวิทยาลัยมินเนโซต้า ติดตามดูชีวิตเด็กร่อนเร่ เด็กในศูนย์อพยพที่หนีสงครามหรือประสบภัยพิบัติเป็นเวลาถึง 20 ปี เพื่อศึกษาปัจจัยที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการเอาตัวรอดของเด็กที่ใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบเหล่านั้น กล่าวว่า “คุณลักษณะพื้นฐานที่จะสร้างความยืดหยุ่นได้เริ่มจากครอบครัวและผู้ใหญ่ใกล้ชิดที่ให้ความรักความอบอุ่น ดึงสติปัญญาเขาออกมา รวมทั้งสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบตัว พ่อแม่และครูอบรมให้เขาแก้ปัญหาและดูแลให้อยู่ในร่องในรอย เหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยให้เขาข้ามผ่านเรื่องเลวร้ายได้”

ปัจจัย 10 ข้อที่มาสเตนระบุว่ามีอิทธิพลต่อความสามารถในการการฝ่าฟันวิกฤตปัญหาของเด็กมีดังนี้

  1. การเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ
  2. ผู้ใหญ่รอบตัวเอาใจใส่ใกล้ชิด
  3. มีเพื่อนหรือคนรักที่ไว้ใจพึ่งพาได้
  4. มีไหวพริบ แก้ปัญหาได้
  5. รู้จักคุมอารมณ์และมีเป้าหมาย
  6. แรงจูงใจใฝ่ความสำเร็จ
  7. รู้จักทักษะ ความเชี่ยวชาญของตัวเองและใช้ประโยชน์เป็น
  8. มีศรัทธา ความหวัง และเห็นคุณค่าของชีวิต
  9. โรงเรียนมีคุณภาพ
  10. สังคมแวดล้อมดี

พลานุภาพของความไม่หวั่นไหว

นอกจากใจที่ยืดหยุ่นจะเสริมภูมิต้านทานวิกฤตชีวิตแล้ว คุณภาพจิตใจและชีวิตก็จะดีตามไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทฤษฎี Broaden-and Build Theory ของ บาร์บาร่า เฟรดริคสัน (Barbara Fredrickson) บอกไว้ว่า อารมณ์ขั้วบวกเป็นทุนตั้งต้นทางจิตใจ ปัญญา และสังคมของมนุษย์ ดังนั้น การวางใจในแดนบวกจนเป็นนิสัยจึงส่งผลดีถึงสมองและพฤติกรรมของเรา คนที่อารมณ์บวกจะมีมุมมองความคิดกว้างไกล มองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ จนนำไปสู่การลงมือทำเรื่องสร้างสรรค์เป็นประโยชน์

ลองนึกภาพ อารมณ์สนุกสนานของเด็กนำไปสู่การสำรวจเรียนรู้และสร้างเพื่อนใหม่ และในทางตรงข้าม อารมณ์ลบจะตีกรอบความคิดและจำกัดพฤติกรรมให้แคบลง อย่างเวลาหวาดกลัว เราจะคิดทางออกได้แค่สู้หรือหนีเท่านั้น

ถึงตรงนี้อยากให้ลองฟังมุมมองตัวอย่างของคนสู้ชีวิตที่ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง ฮาริ บุดดา มาการ์ (Hari Budha Magar) นักปีนเขาชาวเนปาลที่พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสเมื่อปี 2018 ที่ความสูง 19,000 ฟุต สิ่งที่ทำให้ต้องอึ้งไม่ใช่เพียงเพราะเขาทำสถิติได้ มาการ์สูญเสียขาตั้งแต่หัวเข่าลงมาจากการถูกระเบิดในสงครามอัฟกานิสถาน เขาจึงถือเป็นผู้พิการขาขาดทั้งสองข้างคนแรกที่สร้างสถิตินี้

“ใจเรานี่แหละที่สร้างเงื่อนไขขีดจำกัด จะทลายขีดจำกัดก็ต้องทลายที่ใจ พอต้องกลายเป็นคนนั่งรถเข็น ใช้ไม้เท้า ประตูกับห้องน้ำก็ต้องขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น แต่ชีวิตก็คือการปรับตัวนั่นแหละ ถ้าสิ่งที่คิดไม่เป็นดังหวัง เราก็แค่หาทางรับมือกับมันใหม่ก็เท่านั้น”

ที่มา:

Forget happiness, you should be aiming for resilience

Teaching children to be resilient could be key to their future mental health

To make your child more resilient, you need to let her fail

Ann Masten: Children’s natural resilience is nurtured through ‘ordinary magic’

Resilience. (2019). In L. U. Vuorinen, See the Good! (pp. 42-48). Helsinki: Positive Learning Ltd.

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ความยืดหยุ่น(resilience)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Character building
    Shyness : ความขี้อายไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

‘การเรียนรู้ที่บ้าน’ กำลังมา: กำกับตัวเองให้มาก ใช้ความสงสัยใคร่รู้และความสุขจากการเล่นนำทาง
Learning Theory
2 April 2020

‘การเรียนรู้ที่บ้าน’ กำลังมา: กำกับตัวเองให้มาก ใช้ความสงสัยใคร่รู้และความสุขจากการเล่นนำทาง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • การ disrupt ของวิกฤตโควิด-19 อาจทำให้การเรียนของเด็กๆ เปลี่ยนไป การเรียนที่บ้านจะเป็นความเคยชินใหม่ เกิดนวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ คนจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น
  • บทความชิ้นนี้อธิบายว่าการเรียนที่บ้านมอบโอกาสทองต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ อย่างไร แนะนำพ่อแม่จะจัดการศึกษา ชวนลูกทำกิจกรรมด้วยวิธีการอย่างไรดี
  • กำกับตัวเองได้ เรียนรู้ระดับลึกและเชื่อมโยงไปยังสิ่งรอบตัว ใช้ความสงสัยใคร่รู้และความสนุกจากการเล่นนำทาง นี่คือ ‘การเรียนรู้ที่บ้าน’ มอบให้เด็กๆ ได้
Photo by Anna Earl on Unsplash

ถ้าจะมี ‘สิ่งดี’ อยู่บ้างในวิกฤตโคโรน่าไวรัสในประเทศไทย อย่างหนึ่งคือช่วงเวลาการระบาดเกิดขึ้นขณะโรงเรียนปิดเทอมพอดิบพอดี ทำให้การปิดโรงเรียนในฐานะมาตรการควบคุมโรค ส่งผลกระทบต่อระบบจัดการในรั้วโรงเรียนน้อยกว่าที่ควร ผู้ปกครองเตรียมใจและตั้งตัวทัน (ระดับหนึ่ง) ว่าในช่วงสองถึงสามเดือนนี้ เด็กๆ จะกลับมาอยู่ที่บ้านตามฤดูกาลปิดเทอม

แต่ที่ไม่ทันตั้งตัวคือ ผู้ปกครองก็ต้องกลับมาทำงานที่บ้าน รักษาระยะห่าง ฝากลูกไว้กับสถานศึกษา พี่เลี้ยง หรือคุณตาคุณยายในช่วงปิดเทอมเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ และการต้องเตรียมแผนทางการเงินของที่บ้านใหม่

แต่ที่พูดถึงช่วงเวลาระบาดที่ชนกับฤดูปิดเทอมบ้านเราพอดี ก็เพราะว่าบางประเทศประกาศปิดเรียนกลางคัน เด็กหลายล้านคนต้องเปลี่ยนไปเรียนผ่านออนไลน์หรือผ่านถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ (อ่านเพิ่ม ที่นี่) นักการศึกษาคาดการณ์ว่าการ disrupt ของวิกฤตโควิด-19 อาจทำให้วิธีการเรียนของเด็กๆ เปลี่ยนไปจากเดิม จะมีนวัตกรรมทางการศึกษาใหม่ๆ คนในแวดวงการศึกษาจะชินและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น

สำคัญที่สุด เด็กๆ อาจไม่จำเป็นต้อง ‘เรียนตามคำบอก’ อีกต่อไป

หนึ่งในความเห็นเกี่ยวกับ ‘การเปลี่ยนแปลงในวงการศึกษา ช่วงวิกฤตโควิด-19’ คือบทความเรื่อง Why Learning at Home Should Be More Self-Directed—and Less Structured (ทำไมการเรียนที่บ้านจึงต้อง กำกับตัวเองมากขึ้น และ สั่งสอนให้น้อยลง) โดย ไซมอน เคิน (Simone Kern) ครูและผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษา โดยเฉพาะแนวทาง Montessori และเธอยังเป็นคุณแม่ที่จัดการเรียนรู้ให้ลูกๆ เองที่บ้านด้วย ตีพิมพ์เว็บไซต์ชุมชนการศึกษา Edutopia

เธอบอกว่า การเปลี่ยนมาเรียนที่บ้านผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ถือเป็นโอกาสทองด้วยซ้ำที่เด็กๆ จะได้ กำกับตัวเองโดยไม่ต้องให้คาบเรียนมากำกับ แต่ใช้ความสงสัยใคร่รู้และความสุขจากการได้เล่นนำทาง พ่อแม่จัดการเรียนรู้จากเรื่องใกล้ตัวโดยไม่ต้องพึ่งพาสมุดการบ้าน

เธอเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อแชร์และแนะนำการจัดการเรียนรู้ที่บ้าน ซึ่งเคินเรียกว่า Authentic learning หรือการเรียนรู้ที่แท้จริง เปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นคว้า ทดลอง จัดระเบียบข้อมูล คิดทบทวนกับมันอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ยืดหยุ่นมากพอที่จะสนใจว่าเขาอยากเลือกศึกษาด้วยวิธีอะไร ค้นหาจากหนังสือเล่มไหน และหนังสือเล่มนั้นพาเขาต่อยอดไปสู่อะไรบ้าง ซึ่งวิธีการนี้เป็นจริงไม่ได้ในห้องเรียนที่มีนักเรียนราว 20-30 คน

ความคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ดัดแปลง คือทักษะอย่างน้อยที่เด็กๆ จะได้จากการเรียนที่บ้านแบบตัวต่อตัวกับพ่อแม่ แน่นอน

ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์

สำหรับเด็กเล็ก การเล่นคือการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการจับเขวี้ยงของเล่น กดบีบฟองน้ำหรือสิ่งนุ่มยืดหยุ่น หรือการจับหมุนของเป็นวงกลม และยังเป็นการเล่นเพื่อสร้างกล้ามเนื้อร่างกายด้วย เคินแนะนำว่าควรใช้เวลาช่วงนี้สนับสนุนการเล่นอิสระ (free play) กับสิ่งของในบ้านได้เลย ไม่ว่าจะเป็นต่อบล็อกไม้ ติ๊ต่างว่าผ้าพันคอคือเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าห่มเป็นเต็นท์หรือกั้นเป็นห้องส่วนตัว นี่คือการเล่นที่จะเข้าไปสร้างจินตนาการข้างในของลูกอย่างทรงพลัง

สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยก็เขยิบไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ (หรือที่เราเรียกอย่างคุ้นหูว่า Science Show) กับสิ่งของในบ้านได้ เช่น การทดลองทางอาหาร ลองเอาช็อกโกแลตไปอุ่นในเตาแล้วเอาขนมมาดิปกิน ละลายลูกกวาดให้เป็นกาวเหนียวที่มีสี หรือ เอาขวดพลาสติกมาดูดไข่แดงออกจากไข่ขาว (ดูการทดลองอื่นๆ ได้ที่นี่) จากนั้นให้เด็กๆ จดวิธีการ ตั้งสมมติฐาน และลองหาคำตอบว่าทำไมมันจึงเปลี่ยนแปลงหรือปรากฎผลอย่างที่เห็นตรงหน้า

หรือเอาให้ง่ายกว่านั้น แค่เด็กๆ ออกไปอยู่กับธรรมชาติ ชวนกันคุยถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นสีของแหล่งน้ำ ระบบนิเวศที่อิงอาศัยอยู่ การเดินทางของอาหารที่หยิบมาปิกนิกด้วย หรืออาจจะไปหยิบดอกไม้นานาพันธ์ุ สังเกตสีสันและตามหาว่าดอกไม้ชนิดนี้มีชื่อว่าอะไร ทั้งหมดนี้ก็คือการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้ว

ทำความเข้าใจประเด็นสังคม

ในหมวดประเด็นสังคม อาจเริ่มจากลองดูว่าเด็กๆ สนใจประเด็นรอบตัวเรื่องอะไร จากนั้นลองชี้ชวนกันดูหนังสือประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมที่เขาสนใจสักเล่มเพื่อต่อยอดทำรายงานลึกๆ ในประเด็นนั้น (ประเทศไทยในช่วงเวลานี้ ห้องสมุดดิจิตอลเพื่ออ่านหนังสือจากแอปพลิเคชันได้ฟรี) พอเด็กๆ อ่านหนังสือจบหรือรู้สึกว่าศึกษาจนหนำใจแล้ว อาจให้เขาจบโปรเจ็กต์ด้วยการนำไปดัดแปลงไปนิทาน ทำโปสเตอร์ หรือสรุปเนื้อหาที่ศึกษามาด้วยวิธีสร้างสรรค์ที่ไม่ใช่แค่มาเล่าให้ฟังว่าได้ค้นพบอะไร

อีกวิธีที่ใช้ได้เช่นกันและสนุกด้วยก็คือ ดูหนังหรือซีรีส์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่แค่ดูเฉยๆ แต่ผู้ปกครองชวนกันคุย ถามว่าเขาคิดต่อประเด็นหรือต่อตัวละครนี้อย่างไร ชี้ประเด็นในหนังที่คิดว่าเป็นข้อมูลเปี่ยมอคติหรือยังเป็นที่ถกเถียงในปัจจุบัน หรืออาจชี้ชวนประเด็นความแตกต่างวัฒนธรรมว่าเหมือนหรือต่างกับที่เรายึดถืออย่างไร เป็นการถกเถียงเพื่อต่อยอด และทำให้เขา ‘ลึกซึ้ง’ สนใจใคร่รู้ต่อเรื่องราวตรงหน้าด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์

หัวใจของการเรียนคณิตศาสตร์เหมือนวิชาอื่น นั่นคือ ‘ทำให้ง่าย’ ในเด็กเล็กอาจเริ่มต้นโดยการฝึกนับจากสิ่งของในบ้านจริงๆ และเอาเข้าจริง …การทำครัวก็มีคณิตศาสตร์อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นการชั่ง ตวง วัด ปริมาณวัตถุดิบในอาหาร การเพิ่มหรือลดสัดส่วนวัตถุดิบทำให้เข้าใจคอนเซ็ปต์เศษส่วนไปในตัว หรือให้สนุกกว่านั้น ในบอร์ดเกมก็ยังมีคณิตศาสตร์ ตั้งแต่การบวกนับเลข คำนวณเงิน การคำนวณทิศทางเคลื่อนไหวผ่านตัวเลขบนกระดาน และอื่นๆ แล้วแต่คาแรกเตอร์ของบอร์ดเกมนั้นๆ

ศึกษาภาษาอย่างมีศิลป์

ภาษาเป็นอีกหนึ่งทักษะที่เด็กๆ จำเป็นต้องมีอย่างแตกฉาน อาจเริ่มจากกระตุ้นให้เขาสนใจโดยให้เลือกหนังสือที่อยากอ่านเอง แต่การอ่านหนังสืออาจเป็นยาหอม(ซึ่งขม)สำหรับเด็กหลายคน แนะนำให้ผู้ปกครองใช้เวลาอ่านหนังสือร่วมกันไม่ใช่การบอกให้เด็กเข้ามุมอ่านอยู่คนเดียว จากนั้นให้ชวนกันคุยถึงหนังสือที่เลือกมาอ่านด้วย

ขั้นตอนการชวนคุยนี่เองที่สำคัญ เพราะนี่คือโอกาสชี้ชวนให้เขาเข้าใจสิ่งที่พูด เพิ่มคลังคำศัพท์ให้ตัวเอง นอกจากการพูดคุยจะช่วยสรุปใจความ บทสนทนาดีๆ – ซึ่งไม่จำเป็นต้องยากและซับซ้อน- จะช่วยเชื่อมโยงสิ่งที่เขาอ่านเจอขยายออกไปยังสิ่งรอบตัว และอาจเป็นข้อมูลฝังลึก เป็นคลังความรู้ติดตัวเขาไปตลอด

นอกจากการอ่าน การเขียนยังเป็นการฝึกทักษะทางภาษาชั้นดีอีกด้วย ในเด็กโตหน่อย อาจท้าทายให้เขาลองเขียนนิทาน เรื่องสั้นของตัวเอง หรือการเข้าค่ายเสริมประสบการณ์ในเด็กบางแห่งก็ใช้การเขียนนิยายเป็นจุดพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กๆ ด้วย มากกว่านั้น การฝึกให้เขียนด้วยวิธีการหลายๆ แบบจากเครื่องมือหลายชนิดยังเป็นการพัฒนาทักษะให้เขาด้วย เช่น เขียนด้วยการพิมพ์ เขียนด้วยมาร์กเกอร์ ด้วยดินสอเครยอน ด้วยการเพนท์ หรือให้แอดวานซ์ไปกว่านั้น จะฝึกร่างบนทรายก็ยังได้

โอบกอดศิลปะ

Visual arts  หรือ ศิลปะที่รับรู้ด้วยสัมผัสสายตา มีผลต่อการทำงานสมองที่เชื่อมต่อถึงความสุขในชีวิตของผู้คน ขณะที่เสียงเพลงจะช่วยพัฒนาทักษะการจดจำและทักษะภาษา แต่ทั้งหมดทั้งมวล ศิลปะพัฒนาทักษะจำเป็นของชีวิตหลายอย่าง มันคือแรงขับในการใช้ชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ใช้ ‘ความสร้างสรรค์’ ไปกับการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์มาแก้ปัญหาชีวิต การเรียนรู้ที่บ้านจึงขาดศิลปะไม่ได้

ศิลปะที่บ้านเป็นได้ตั้งแต่ แป้งโดว์ที่ฮิตในหมู่เด็กๆ ขณะนี้ การเย็บปักถักร้อยอย่างการถักนิตติ้งหรือโครเชต์ หรือจะซับซ้อนน้อยลงมาหน่อย อย่างการทำเปเปอร์มาเช่ หรือศิลปะอื่นๆ

ดนตรีเป็นอีกหนึ่งอย่างที่จัดกิจกรรมได้ง่ายๆ ที่บ้าน อาจเริ่มจากการประยุกต์สิ่งของที่มีอยู่แล้วอย่าง กะละมัง หม้อ ไห แล้วลองดีด สี ตี เป่า ให้เกิดท่วงทำนอง และถ้ารู้สึกว่าเด็กๆ เริ่มมีความสามารถที่แอดวานซ์ขึ้นเรื่อยๆ อาจสนับสนุนให้เขาเล่นดนตรีอย่างเป็นกิจลักษณะไปเลยยังได้ หรืออาจจะให้เด็กจัดโชว์เล็กๆ อย่าง Puppet show หรือการแสดงหุ่นกระบอก โชว์เต้น โชว์เล่นดนตรีด้วยเพลงที่แต่งเอง

หากอยากเรียนดนตรีอย่างจริงจัง เคนแนะนำโครงการห้องสมุดโน้ตเพลงนานาชาติ ดูเพิ่มเติมที่นี่ 

เรียนรู้ทักษะชีวิต

ยิ่งบ้านไหนมีผู้อยู่อาศัยเยอะ เท่ากับงานบ้านแปรผันตามกันไปด้วย ใช้โอกาสนี้ในการสร้างทักษะชีวิตให้เด็กๆ ในบ้านโดยเฉพาะทักษะการคิดแก้ปัญหา และในเด็กเล็ก การทำงานบ้านแบบนี้เป็นโอกาสดีช่วยสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กใหญ่ด้วย

ในเด็กเล็ก การสร้างเรื่องราวคล้ายว่านี่คือ ‘การเล่น’ มากกว่าทำงานบ้าน เป็นเคล็ดลับที่จะทำให้พวกเขาสนุกกับการทำงานบ้านมากขึ้น เช่น “ยักษ์ตัวใหญ่กำลังเดินทางมาที่บ้านหลังนี้ และมันเกลียดคนที่ทำพื้นสกปรกมากๆ ถ้าเราไม่ถูพื้นให้สะอาดก่อนที่มันจะมาถึง มันจะกินพวกเราทั้งหมด!”

ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย แรงจูงใจของเขาขึ้นอยู่กับบทบาทที่ผู้ปกครองกำหนดให้เขามีส่วนร่วม เช่น จัดประชุมครอบครัวเพื่อหารือว่าแต่ละวัน ใครมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง (เพื่อความยุติธรรมและการมีส่วนร่วม)

มองให้เห็น ‘โอกาส’

ไม่ต้องทำให้ครบทุกวิชา และไม่ต้องรู้สึกผิดถ้าทำทั้งหมดนี้ไม่ได้ เด็กๆ อาจใช้เวลาทั้งวันทำแค่หนึ่งหรือสองวิชาที่กล่าวไว้ในนี้ การเรียนรู้ที่แท้จริง (Authentic learning) จะมีความหมายในชีวิตจริง ในโลกจริง ตราบใดที่พวกเขายังเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ยังได้ทำ เล่น และเรียนรู้ ไม่ต้องกังวล ให้ความอยากรู้และความสนุกนำทางการเรียนรู้ของเด็กๆ เอง

ที่มา:
edutopia.org

Tags:

Disruption21st Century skillsการเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)school closureHOME-BASED LEARNING

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    เลื่อนเปิดเทอม: โจทย์ วิธีรับมือ ของ 4 ครูไทยในพื้นที่และบริบทที่แตกต่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel