Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: January 2020

ฮาวทูทิ้ง: มอง “ตัวละคร” ผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อเราต่างมี “ฮาวทู” จัดการความสัมพันธ์ในแบบของตัวเอง
Life classroom
20 January 2020

ฮาวทูทิ้ง: มอง “ตัวละคร” ผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อเราต่างมี “ฮาวทู” จัดการความสัมพันธ์ในแบบของตัวเอง

เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • ฮาวทูทิ้งของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มองพฤติกรรมของตัวละครผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อความสัมพันธ์คืองานกลุ่ม แต่ทุกคนมีฮาวทูจัดการกับความสัมพันธ์ในรูปแบบของตัวเอง
  • “ถ้ามองที่มาที่ไปของการที่จีนทิ้งพี่เอ็มโดยไม่เผชิญหน้า เราจะเห็นว่าเขาเองเคยถูกคุณพ่อทิ้งมาก่อน เรารู้จักความเจ็บปวดนั้น ไม่มีใครอยากตอกย้ำความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา พอเราโตขึ้น เริ่มมีความสัมพันธ์กับใครสักคน ก็มักจะเริ่มมีความคิดแว้บเข้ามาว่าถ้าเรามีความสัมพันธ์ต่อไปเราจะถูกทิ้งไหม แทนที่เราจะรอให้ได้รับความเจ็บปวดนั้น ขอเป็นคนจากไปก่อนดีกว่า” หนึ่งในเบื้องหลังความสัมพันธ์ของตัวละครใน ฮาวทูทิ้ง นี้

หากภาพยนตร์คือการบันทึกรูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ เรื่องราวที่ฉายอยู่บนจอในเวลาไม่กี่ชั่วโมงจึงเป็นทั้งความบันเทิงและพื้นที่ให้เราได้เรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ พร้อมทั้งได้ย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง และอย่างที่เรารู้กันดีว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์นั้นแสนจะเปราะบาง บางวันเราอาจจะเป็นผู้กระทำ บางวันอาจจะเป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แล้วเราจะดูแลแผลของตัวเองและแผลของคนอื่นต่อไปได้อย่างไร นี่คงเป็นโจทย์ให้ได้เรียนรู้แบบไม่มีวันสิ้นสุด

ภาพยนตร์เรื่อง ฮาวทูทิ้ง… ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ ผลงานกำกับและเขียนบทเรื่องล่าสุดของ เต๋อ- นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ หนังเล่าเรื่องของ จีน หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบกลับมาจากสวีเดน และต้องการจะเปลี่ยนบ้านให้เป็นโฮมออฟฟิศสไตล์มินิมอล เธอจึงต้องการเคลียร์ของออกจากบ้านให้เสร็จก่อนปีใหม่ แต่การเริ่มหยิบของใส่ถุงดำกลับกลายเป็นการผลักโดมิโนตัวแรกใส่กองความสัมพันธ์และความทรงจำที่จีนคิดว่าทิ้งไปได้แล้วให้กลับมาใหม่แบบที่ไม่ทันเตรียมใจตั้งรับ ทั้งเพื่อน แฟนเก่า แฟนใหม่ของแฟนเก่า พ่อ แม่ และพี่ชาย หนังพาเราไปนั่งดูการกระทบกันของโดมิโนแต่ละตัวผ่านการเก็บของ ทิ้งของ และคืนของ เหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่ใครหลายคนเคยทำ และคงเพราะเป็นแบบนั้น ตัวหนังจึงทำงานกับประสบการณ์และความทรงจำของแต่ละคนจนสร้างกระแสตอบรับและพูดถึงพฤติกรรมของตัวละครที่หลากหลายมากมาก

หากความสัมพันธ์คืองานกลุ่ม แต่ในวันที่ใครคนหนึ่งเลือกจะใช้วิธีของตัวเอง แล้วมันส่งผลเป็นโดมิโนต่อคนอื่นอย่างไร เราจะรับมือและประคับคองกันและกันไปได้อย่างไร ชวนมาฟังบทสนทนาผ่านมุมมองจิตวิทยาความสัมพันธ์ ธรรมมะ และความรัก บนเวที ฮาวทูทิ้ง Q&A Week Psychology จิตวิทยาและความสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2563 ผู้ร่วมเสวนามีดังนี้

  • เต๋อ นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ ผู้เขียนบทและผู้กำกับ
  • ดร.กุลวดี ทองไพบูลย์ นักจิตวิทยาคลินิก
  • ดร. ณัชร สยามวาลา นักเขียนและนักดาบผู้สนใจเรื่องสติและสมอง
  • และดีเจพี่อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล แห่งรายการ คลับฟรายเดย์

จีน – การทิ้งและเก็บ ความรู้สึกผิดในใจ

จีนเป็นตัวละครที่มีความเห็นสะท้อนกลับมาจากคนดูแบบสุดขั้วมาก ทั้งเข้าใจ สงสาร เกลียด สมน้ำหน้า และเห็นแก่ตัว จีนคือหญิงสาวที่บอกลาแฟนที่สนามบินแล้วไม่ติดต่อเขากลับไปอีกเลย เธอเหมือนคนไม่มีหัวใจ ที่สามารถโยนทุกสิ่งลงถุงดำแล้วใช้ชีวิตต่อไปได้ แต่แท้จริงแล้วอะไรทำให้จีนทำแบบนั้น จีนยังมีหัวใจไหม แล้วเราจะเข้าใจจีนได้อย่างไร เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก่อนโดยดร.กุลวดี ในมุมจิตวิทยาเด็ก

“เราตั้งสมมติฐานว่าในอดีตเขาคงเจ็บปวดมามากกับการถูกคุณพ่อทิ้ง เขาเคยมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน พอวันที่คุณพ่อจากไปซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังเป็นวัยรุ่นหรือช่วงวัยเด็กพอดี เด็กๆ มักเกิดการตั้งคำถามว่า มันเป็นเพราะฉันรึเปล่า? ฉันมีส่วนผลักให้เขาต้องเดินออกไปจากชีวิตรึเปล่า? นี่จึงเป็นความรู้สึกที่จีนแบกไว้ เพราะฉะนั้นการที่จีนไขว่คว้าไปเรียนต่อ ก็เพื่อที่จะเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้นใหม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวเอง

“พอจีนมีความสัมพันธ์แบบแฟน ถ้าเรามองที่มาที่ไปของการที่เขาทิ้งพี่เอ็มโดยไม่เผชิญหน้า เราจะเห็นว่าเขาเองเคยถูกคุณพ่อทิ้งมาก่อน เวลาถูกทิ้งเรารู้จักความเจ็บปวดนั้น ไม่มีใครที่จะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา พอเราโตขึ้น เริ่มมีความสัมพันธ์กับใครสักคน ก็มักจะเริ่มมีความคิดแว้บเข้ามาว่าถ้าเรามีความสัมพันธ์ต่อไปเราจะถูกทิ้งไหม แทนที่เราจะรอให้ได้รับความเจ็บปวดนั้น ขอเป็นคนจากไปก่อนดีกว่า

“หลายคนเลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายทิ้งก่อน จะได้ไปต่อได้โดยไม่ต้องรับรู้ความเจ็บปวด ถ้ามองในเชิงจิตวิทยามันเป็นกลไกการป้องกันตัวเอง (Defense mechanism) แบบหนึ่ง  ซึ่งในแต่ละตัวละครก็มีการป้องกันตัวเองที่ไม่เหมือนกัน

“จีนใช้การใช้เหตุผลมาอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำ (Rationalization) เช่น เราไปเรียนต่อเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เอ็มจะอยู่ได้ ดีแล้วที่เขาไม่มีเรา ซึ่งนี่อาจจะเป็นกลไกการป้องกันตัวเองอีกแบบของจีน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่แย่ ทุกคนมีเหมือนกันหมด แล้วมันเป็นธรรมชาติของเราที่จะปกป้อง self ของตัวเองหรือทางจิตวิทยาเรียกว่า Ego เวลาเรารู้สึกไม่ดี เราก็อยากปกป้องตัวตนของเราไม่ให้ได้รับความเจ็บปวด เพื่อไม่ให้เราเองรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ทำ”

“จริงๆแล้วจีนเขาหนีสถานการณ์หลายอย่าง หนีการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน การเป็นจีนมันต้องใช้ความกล้าอย่างมาก ในการที่จะตัดสินใจทำอะไรที่เขาไม่เคยทำ เช่น เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเอง กว่าเขาจะมาถึงคำพูดนี้ได้ กว่าจะตัดสินใจเอาของไปคืนคนอื่นๆ ในชีวิตได้ จีนต้องใช้พลังอย่างมากที่จะผลักดันให้ตัวเองสามารถทำได้ อยากให้เครดิตเขานิดนึง มันแค่ยังมีปมอะไรบางอย่างที่เขายังก้าวข้ามไม่ได้”

ขณะที่ดีเจพี่อ้อยเสริมว่า “ในเรื่องคือการที่จีนทิ้งของ แต่พอเราดูจบกลับรู้สึกว่าจีนไม่ได้ทิ้งอะไรสักอย่างเลย จีนสะสมความรู้สึกผิดในใจไว้ทั้งเรื่อง คิดว่าการเอาของไปคืนคือการไถ่โทษ ในคลับฟรายเดย์ เราจะเจอความสัมพันธ์ประเภทที่ถ้าบอกรักจะบอกต่อหน้า แต่ตอนบอกลาใช้หายเงียบ ซึ่งมีคนเยอะมากที่ทำแบบนี้เพราะกลัวจะรู้สึกผิด   ฉะนั้นเราไม่ต้องรักหรือต้องเกลียดจีน เขาก็คือคนๆ หนึ่งที่ก็เหมือนคนคนอื่นๆ อีกมากในยุคนี้ ที่กล้าใช้คำว่า ‘มีมาก’ ในยุคนี้เพราะตอนนี้มันเป็นยุคที่เราใช้คำว่า ‘รักตัวเอง’ เยอะ รักตัวเองแต่ก็เริ่มไปเบียดเบียนคนอื่น เช่น ‘คิดว่าฉันทำขนาดนี้เธอต้องรู้แล้วล่ะ’

“สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ หนังสะกิดเราให้คิดว่าเคยมีบางพาร์ทที่เราเป็นเหมือนจีนรึเปล่า เคยมีบางพาร์ทที่เรากลัวความรู้สึกผิดจนไม่สามารถตัดความรู้สึกผิดนั้นออกไปได้ไหม ต่อให้เอาของไปคืนก็ไม่จบง่ายแค่นั้นเพราะยังรู้สึกผิดอยู่ดี ความรู้สึกผิดเป็นความรู้สึกที่ประหลาดค่ะ ยิ่งหนีมันยิ่งอยู่ ความรู้สึกผิดบางทีคือการที่เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ไม่ต้องทิ้ง ไม่ต้องเก็บ แค่ยอมรับความจริง”

ถึงตอนนี้ นวพล ในฐานะผู้กำกับและเขียนบทกล่าวว่า “ทุกตัวละคร เราเขียนด้วยความรัก ทุกตัวมีปมบางอย่างที่แก้ไม่ได้แล้วมันไม่รู้จะทำยังไง บางอย่างเราทำผิดไปแล้ว เราควรทำไงดี? เราเหมือนจะเห็นประตูทางออกแต่เราไม่รู้จะเดินไปถึงยังไง แล้วบางทีก็เดินผิดทาง เรื่องยิ่งแย่ไปกว่าเดิม”

“อย่างฉากสุดท้ายที่เราเขียนให้จีนโกหก มันน่าจะคล้ายๆ ที่อ.กุลวดีพูดว่า มันคือการที่เขาเขียน narative (เรื่องเล่า) ขึ้นใหม่ เหมือนอย่างที่เอ็มพูดว่า ‘คนเราอยากเห็นเฉพาะสิ่งที่เราอยากเห็น’ เราจะสร้างความจริงของเราขึ้นมาให้เรารอดพ้นสิ่งนั้นไปได้ เช่น เราอาจจะทำผิดพลาดไปแล้วบอกตัวเองว่ามันไม่เป็นไร เขาน่าจะโอเค ซึ่งจริงๆ เขาอาจจะไม่โอเค แต่กูบอกตัวเองว่าแม่งโอเค ไม่งั้นเดี๋ยวกูผ่านบล็อคนี้ในจิตใจไปไม่ได้”

เอ็ม – สิทธิในการให้และไม่ให้อภัย

ชายหนุ่มที่ถูกแฟนสาวทิ้งไปแบบไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าและไม่มีแม้คำลาสักคำ เขาเดินหน้าต่อกับชีวิตและมีแฟนคนใหม่ สามปีผ่านไปแฟนคนเก่าเดินกลับมาพร้อมคำขอโทษและเอ่ยปากให้เขาด่าเธอสักคำ สิ่งที่เอ็มตอบกลับมีเพียง “เธอจะให้เราด่าอะไรล่ะ เราดีใจที่ได้เจอเธอ” และการที่เขาเลือกจะเดินหน้าต่ออีกครั้งด้วยการทิ้งแฟนใหม่มันคือการเดินหน้าหรือเปล่า

“พ้อยท์หนึ่งที่ผมโน๊ตไว้ตอนเขียนบทคือ มันเป็นเรื่องที่คนชอบบอกว่าเวลาเราทำผิดต่อใคร เราควรจะเดินไปขอโทษเขาอย่างกล้าหาญ แล้วถ้าเขามาขอโทษแล้ว เราก็ควรจะให้อภัย เลยมีคำถามว่าคนเรามีสิทธิในการที่จะไม่ให้อภัยหรือเปล่า?”

นวพลกล่าวเสริมอีกว่า “เอ็มเป็นตัวละครที่ move on ในแบบของมันเอง เพราะจริงๆ แล้วเอ็มไม่เคยบอกว่า ‘เธอกลับมาหาฉันเถอะ’ มันแค่ ‘เธอไปเถอะ เธอไปแบบเธอ แล้วฉันจะไปในแบบฉัน’ ฉันจะทิ้งอีกคนมันก็เป็นวิธี move on  ถ้าคนที่ไม่เคยอยู่ในความรู้สึกนี้จะรู้สึกว่าทำไมมันทำแบบนี้ หรือรู้สึกว่าเขาจม แต่จริงๆ มันเป็นวิธี move on อีกแบบหนึ่ง”

ขณะที่ดร.กุลวดี กล่าวเสริมว่า “เรามีสิทธิที่จะเลือกให้อภัยหรือไม่ให้อภัยก็ได้ บางครั้งเราอาจจะถูกคนรอบข้างกดดันว่าเราต้องให้อภัย มันผ่านมานานแล้ว ให้อภัยแล้ว move on สิ ถ้าเราเลือกที่จะให้อภัย เราควรให้เมื่อเราพร้อม เพราะการที่จะให้อภัยได้เราต้องรับรู้ว่าเราสูญเสียอะไรบางอย่าง ต้องผ่านกระบวนการสูญเสียก่อน อาจจะเป็นไอเดีย เป็นความคิด หรือความคาดหวังกับความสัมพันธ์ เมื่อเราผ่านตรงนั้นแล้ว ต่อมาเราถึงจะมาทำงานกับความเสียใจจากความสูญเสีย (grief) แล้วสเต็ปต่อไปถึงจะเป็นการให้อภัยได้ ฉะนั้นแต่ละคนมีความพร้อมที่จะให้อภัยไม่เหมือนกัน การให้อภัยมันไม่จำเป็นต้องมีคนสองคน เราทำเพื่อตัวเราเอง ทำเพื่อที่เราจะได้ไปข้างหน้าได้ ซึ่งเราไม่จำเป็นจะต้องให้อภัยถ้าเรายังไม่พร้อม เพราะบางคนเขาก็ทำกับเราแรง บางคนมันก็ให้อภัยยาก เรา move on ด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เราจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้”

ดร.ณัชร ให้ความเห็นว่า “ที่จีนเขาเป็นทุกข์ เพราะเขาไปขอโทษแล้วเขามีความคาดหวังว่าทุกคนจะให้อภัยหรือดีใจที่ได้ของคืน พอมันไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เขาก็รู้สึกแย่ ถ้าเป็นทางพุทธศาสนา การให้อภัยก็เพื่อจิตใจเราเอง มันไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่คือคนที่สามารถประคองใจให้เป็นกุศล คือขอโทษ ขออโหศิกรรมเขาไป เขาจะให้อภัยไม่ให้อภัยเป็นเรื่องของเขา แต่ว่าเราได้ทำแล้ว ส่วนเอ็ม มันกลับไปที่ใจของเอ็ม ถ้าเขายังไม่ให้อภัยหรือยังคิดที่จะเอาคืน ในที่สุดแล้วคนที่เสียใจมันคือตัวเอ็มเอง ถ้าในตัวเขายังไม่จบ ความรู้สึกมันก็จะตามไปทุกหนทุกแห่ง เพราะคนที่ไม่ได้พูดเรื่องจริง ในใจลึกๆมันก็รุ่มร้อนเอง”

ดีเจพี่อ้อย กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า “พี่ไม่รู้สึกว่าเขาไม่ให้อภัยนะ เอ็มให้อภัย แต่พอเป็นในเรื่องความรัก ฉันให้อภัยแล้วทำไมไม่กลับมารักกัน บางทีมันแค่นี้ อภัยแล้วแต่เขายังไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เรารู้ว่าเวลามันเดินหน้าต่อไปแล้ว มันเหมือนเวลามีคนโทรเข้ามาในรายการ ‘พี่คะหนูนอกใจแฟน หนูทำดีกับเขาทุกอย่างชดใช้ แต่ทำไมเขาไม่ให้อภัยสักที’ อันนี้เรียกว่าเอาแต่ใจค่ะ ตอนแกทำเขาเจ็บแกเห็นภาพเขาจะลงไปตายต่อหน้าไหม แต่พอตอนที่เราจะกลับไป เราเห็นแค่ว่าชั้นอุตส่าห์ทำขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอไม่ move on จากเรื่องเดิมๆ …ไม่ได้ค่ะ

ทุกคนมีสิทธิที่จะประคองหัวใจตัวเอง พอเราเชื่อว่าคนที่ขอโทษแล้วควรได้รับการให้อภัยเสมอ มันไม่จริงนะคะ ต่อให้ธรรมะสอนให้เราให้อภัย แต่มันได้มากได้น้อยแต่ละคนไม่เหมือนกัน

“ในอีกมุมนึง การ move on ของแต่ละคนมันต่างกัน เอ็มอาจจะใช้วิธีดึงใครสักคนเข้ามาในชีวิตและคิดว่านี่คือการ move on สิ่งนี้คือสิ่งที่เราพูดกันอยู่เสมอว่า ถ้าคนเก่ายังอยู่ในใจอย่าดึงคนใหม่เข้ามาเจ็บ การดึงคนใหม่เข้ามาประชดคนเก่า มันมีภาพแบบนี้อยู่ ซึ่งในเรื่องนี้มันเป็นอีกภาพหนึ่งให้เราเห็นว่าการที่ดึงคนใหม่เข้ามามันไม่ได้ทำให้เราเจ็บน้อยลงนะ ไม่ว่าจีนจะกลับหรือไม่กลับ มันยังมีความรู้สึกบางอย่างอยู่เสมอ แล้วอีกหน่อยมันจะไปเจอโจทย์ต่อไปว่า เห้ย เขาก็เป็นคนดีนะ ดีขนาดนี้ทำไมไม่รักเขาวะ แต่คนที่รักหรือรู้สึกรักจะเข้าใจเลยว่าความรักมันไม่เคยใช้เหตุผล เข้าใจว่าเขาดีแต่ก็ไม่ได้รักขนาดนั้น แล้วความรู้สึกทุกอย่างมันเลยชัดเจนตอนคนเก่ากลับมาว่านี่ไงคือคนที่รัก เอ็มอาจจะเป็นคนธรรมดาคนนึงที่ใช้วิธีดึงคนใหม่เข้ามาแทนคนเก่า แล้วพบว่าตัวเองใช้วิธีเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา”

แม่ – ฉันอยู่ของฉันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว

ผู้หญิงที่ยินดีที่จะร้องคาราโอเกะแค่เพลงเดียว อยู่ในห้องเดิม เปียโนตัวเดิม และความหวังว่าวันหนึ่งสามีคนเดิมอาจจะกลับมาเล่น การอยู่กับสิ่งเดิมๆ นับเป็นการ move on ได้หรือไม่?

นวพลเริ่มก่อนว่า “ตัวละครนี้มันลึกลงไปอีกสเต็ปหนึ่ง เขาคือคนที่ยินดีที่จะอยู่กับอดีต มันเลยเกิดการต่อสู้ระหว่างคนที่บอกว่า  ‘เห้ย อยู่ในห้องนี้แล้วมันไม่ move ไปสักที ออกมาเถอะ ออกมาดีกว่า’ แต่บางคนเขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะต้อง move เขาอยู่ในเซฟโซนนี้ก็ดีแล้ว แม้ว่ามันอาจจะเป็นพิษหรืออะไรก็ตาม แต่เขายินดีที่จะอยู่”

“จริงๆ ทุกตัวละครยังเชื่อลึกๆ ว่าพ่อจะกลับมา ซึ่งคนที่รู้สึกเยอะคือแม่กับจีน เพียงแต่เขามีวิธีจัดการกับความหวังนี้กันคนละแบบ จีนคือโทรไปถามแล้วแต่เขาไม่มาแล้ว จบเถอะ แล้วเราไปสู่สิ่งอื่นกันดีกว่า ส่วนแม่เขาไม่สนใจแล้ว เขาไม่อยากฟัง เขาไม่อยากเพิ่มข้อมูลใหม่อีกแล้ว เขาขออยู่แบบนี้ ลึกๆ เขากลัวว่าถ้าเขารู้แล้วเหมือนฝันมันพัง ซึ่งเขาอาจจะอยู่ในสถานการณ์นั้นไม่ได้มากกว่า ถ้าตัวละครมองกันและกัน มันจะตัดสินกันว่าตัวนี้ move ตัวนี้จม แต่ในมุมคนเขียน เรามองว่ามันเป็นวิธี move on ของเขานะ แต่มันดันโชคไม่ดีที่วันนี้ทางของแต่ละคนมันมาชนกันแล้วมันเลือกได้แค่อย่างเดียว”

ดีเจพี่อ้อยกล่าวตบท้ายหัวข้อนี้ว่า “แม่ก็มีวิธี move on ในแบบของแม่ แล้วเราอย่าลืมว่าแม่อยู่กับอดีตมานานกว่าลูกนะ ลูกเกิดมากี่ปีที่เห็นพ่อ แม่เขาเห็นตั้งแต่พาร์ทที่เขารักกัน การ move onของเขาคือการร้องเพลงเดิมๆ แต่เขาก็มีความสุขของเขา ไม่งั้นแม่คงทุกข์ทรมานมากกว่านี้”

เจย์ – คนกลางและคนซัพพอร์ท

พี่ชายที่คอยซัพพอร์ทน้อง และลูกชายที่คอยซัพพอร์ทแม่ ตัวกลางที่ประคับประคองทั้งแม่และน้องสาวให้ผ่านการถูกทิ้งไปให้ได้ เมื่อต้องรับบทเป็นพยาบาลทำแผลให้คนรอบข้างแล้วตัวเขามีวิธีจัดการกับบาดแผลของตัวเองอย่างไร

ดร.กุลวดี ให้ความเห็นในมุมจิตวิทยาว่า “เจย์คือคนกลางระหว่างการปะทะของเเม่กับจีน บางครั้งคนที่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างเจย์ จึงเป็นตัวละครหนึ่งที่ไม่แสดงความรู้สึกแล้วก็ไม่เคยมีใครถามถึงความรู้สึกของเขาเลย ตัวละครแบบนี้มันมีมากในชีวิตจริง คนแบบที่สามารถจัดการอะไรได้ในครอบครัว เช่น ลูกคนโต เรียนได้ดี จัดการบริหารชีวิตตัวเองได้ ในขณะที่คนเล็กต้องใช้ความพยายามเยอะ พ่อแม่ต้องใส่ใจเยอะกว่า พ่อแม่ก็จะไปโฟกัสกับลูกคนเล็กมากกว่า มันเลยเหมือนเป็นการทำโทษคนที่สามารถจัดการฟังค์ชั่นในชีวิตตัวเองได้ ว่าเขาต้องทำได้ตลอด แล้วก็ละเลยเขาไป ซึ่งบางครั้งในชีวิตของคนเรา เราจะมีบางพาร์ทที่รับบทนี้อยู่ เหมือนเราจัดการได้ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันเราก็เป็นคนที่ถูกละเลย ด้วยความที่เราสามารถจัดการทุกอย่างได้”

บางครั้งในชีวิตของคนเรา เราจะมีบางพาร์ทที่รับบทนี้อยู่ เหมือนเราจัดการได้ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันเราก็เป็นคนที่ถูกละเลย ด้วยความที่เราสามารถจัดการทุกอย่างได้

“เพราะงั้นถ้ามองที่ตัวเจย์ เชื่อว่าเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้จีนกับเหตุการณ์นี้ แต่เจย์อาจจะต้องสเต็ปอัพขึ้นมาเพื่อที่จะประคับประคองครอบครัวนี้ทั้งแม่และจีนที่เขามีวิธี move on จากเรื่องที่เกิดขึ้นต่างกันสุดขั้ว เจย์เลยเป็นคนกลางที่ประคับประคองให้ครอบครัวนี้อยู่ได้ อาจมองสิ่งที่เจย์ทำได้ว่า เจย์เหมือนตัดขาดความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งภาษาจิตวิทยาเรียกว่า Intellectualization คือไม่อนุญาตให้ตัวเองรับรู้ความรู้สึกซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตัวอีกรูปแบหนึ่ง ถ้าเราชวนเจย์คุย เขาจะพูดถึงความคิด แต่จะไม่พูดถึงความรู้สึกเลย เพราะว่าถ้าเขารับรู้ความรู้สึกเมื่อไหร่ ตัวตนเขาจะเซ การรู้สึกเจ็บปวดมันอาจจะไปกระตุ้นความรู้สึกและบางอย่างในตัวซึ่งทำให้เขาไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตหรือประคับประคองครอบครัวนี้ต่อไปได้ แต่ไม่ถึงขั้นทำหน้าที่แทนพ่อ ประคับประคองในที่นี้หมายถึง ถ้ามีการปะทะเขาจะเป็นบัฟเฟอร์ เป็นคนซัพพอร์ทคนอื่น ซึ่งจริงๆ แล้วเรามีคนแบบนี้เยอะ เราหลายคนในช่วงชีวิตก็เคยอยู่ในตำแหน่งนี้ การเป็นผู้ดูแลทุกคนจนบางครั้งเราละเลยที่จะดูแลความรู้สึกตัวเอง หรืออนุญาตให้ตัวเองรับรู้ความรู้สึก เราเจ็บได้ เราโกรธได้ แล้วเราก็แสดงออกอย่างเหมาะสมได้ในแบบเรา”

ดีเจพี่อ้อย “ในเรื่องมันจะมีการพูดว่ายุคนี้มันเป็นยุคของเราแล้วนะว้อย พี่มองว่าเจย์กับจีนเป็นคนยุคเดียวกัน แต่เจย์เป็นคนรับฟังคนอื่น รับบทที่จะพาแม่ไปเที่ยว จีนบอกให้เก็บบ้านก็เก็บ แล้วเขาก็เป็นพี่แบบที่โอบน้องอยู่ตลอดเวลา สำหรับพี่เจย์อาจจะไม่ถึงกับละเลยความรู้สึกของตัวเอง แต่เจย์เป็นคน gen นี้ที่ยังพยายามจะเข้าใจในมุมมองของคนอื่นบ้าง มันคือการหาสมดุลระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ ถึงเข้าใจในเหตุผลแต่บางทีอารมณ์มันทำให้เราอยู่กันได้อย่างมีความสุข”

มี่ – ไม่เป็นไร เราเข้าใจ

หญิงสาวคนรักใหม่ของเอ็ม ที่อยู่บนความกลัวว่าวันหนึ่งแฟนเก่าของเขาจะกลับมา และเมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ เธอก็ถูกเขาทิ้งอย่างที่กลัวจริงๆ ในคำว่า ’ไม่เป็นไร เราเข้าใจ’ เธอเข้าใจจริงๆไหม และไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม

ดร.ณัชร ให้ความเห็นว่า “การโดนทิ้งมันขึ้นอยู่กับว่าจบยังไง สมมติพ่อแม่เขาไม่ชอบเรา มันทำอะไรไม่ได้ นี่คือจบสวย คุยกันเข้าใจ แต่ถ้ากรณีสุภาพสตรีโดนทิ้ง เชื่อว่าคำถามแรกที่ขึ้นมาคือ ทำไมต้องเป็นฉัน? ทำไมทำให้ขนาดนี้แล้ว…? ทำไมๆๆๆ แต่ถ้าฝึกสติก็จะเข้าใจว่ามันก็แค่นี้เอง ไม่เราทิ้งเขา เขาก็ทิ้งเรา พลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้เข้าใจจริงหรือไม่ มันอาจจะพูดแค่ให้อีกฝ่ายรู้สึกดี เขาก็เข้าใจในระดับหนึ่ง เข้าใจในระดับเหตุผล สมองเขาเข้าใจแต่หัวใจเขาไม่ได้เข้าใจ มันเลยยังทุกข์มาก มันก็ยังตัดไม่ได้”

ดีเจพี่อ้อย ให้ความเห็นเสริมว่า “คนแบบมี่คือคนที่โทรเข้ามาในรายการคลับฟรายเดย์มากที่สุด ประโยคที่พูดกันบ่อยคือ ‘เข้าใจค่ะ แต่ยอมรับได้มั้ยมันคนละเรื่อง’ ฉันเข้าใจว่าเธอรักแฟนเก่ามากแล้วเขากลับมา แต่สิ่งที่ไม่ยอมรับคือ แล้วฉันไม่มีสิทธิในการเดินหน้าต่อหรือ มี่เข้าใจแหละแต่เขาก็ไม่ได้ยอมรับหรอก แต่มันทำไงได้ หลายๆ ครั้งที่เราเห็นคนคนหนึ่งแล้วรู้สึกว่าเขาทำได้ไง ยอมทำใจยอมเข้าใจได้อย่างไร แต่จริงๆ แล้วกว่าจะถึงจุดทำได้ไง มันผ่านจุดทำไงได้มาแล้วทั้งนั้นแหละ มี่เป็นคนหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น ปัญหาไม่ใช่แฟนเก่าของเขากลับมานะ แต่คือคนของเรายังลืมแฟนเก่าไม่ได้ต่างหาก จากการที่ฟังเรื่องในรายการมาสิบห้าปี เราเห็นรูปแบบแล้วว่า บางทีคนเก่าเขาไม่ได้กลับมาด้วยนะ แต่มันมีอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เรารู้สึกเสมอว่าเหมือนมีเงาอีกคนทาบอยู่บนตัวฉัน ไม่วันใดก็วันนึงไม่ว่าจีนจะกลับมาไหม วันหนึ่งข้างหน้ามันก็เดินไปไกลได้ยากเพราะความทรงจำของเขายังชัดเจนมากอยู่ แค่นั้นเอง”

ดร.กุลวดีให้ความเห็นปิดท้ายว่า “เหตุผลกับความรู้สึกมันแยกจากกันนะคะ เราเข้าใจได้ด้วยเหตุผล แต่ความรู้สึกเรามันเป็นของเรา ที่นี้ ณ วันที่หลายๆ คนพูดว่าฉันเข้าใจนะ เราทำใจได้แล้ว เราไม่โกรธ เราไม่เสียใจ เราโอเค เราเข้าใจด้วยเหตุผล แต่ก่อนที่เราจะเริ่มจัดการกับอะไรในตัวเองได้ เราต้องยอมรับก่อนว่าเรามีความรู้สึกมีอารมณ์นั้น เราเสียใจนะ เราเจ็บนะ เราโกรธเขานะ แล้วเมื่อนั้นเราถึงจะเข้าสู่กระบวนการที่เราจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ ถ้าเรายังปฏิเสธอยู่ เราบอกตัวเองว่าเราโอเค เราทำใจได้แล้ว มันก็เหมือนเราไม่ได้เริ่มกระบวนการที่จะจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นซะที”

Tags:

ภาพยนตร์จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์งานเสวนา

Author:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล
Creative learningLearning Theory
20 January 2020

ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ครูสามเส้า ประกอบไปด้วย ครูในโรงเรียน-ครูชุมชน-ครูพ่อแม่ ส่วนสุดท้ายคือการนำพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนแต่ละห้องเข้ามาเป็น ‘ครู’ ทำการสอนควบคู่ไปกับครูในโรงเรียน
  • ครูสามเส้าคือหนึ่งในนโยบายการปฏิรูปการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล ซึ่งโรงเรียนบ้านควนเกเป็น 1 ใน 10 โรงเรียนนำร่องที่นวัตกรรมนี้จัดการศึกษา
  • หน้าที่ของครูพ่อแม่ คือการสอนในเรื่องที่ลูกๆ สนใจและอยากเรียนรู้ โดยวิชาส่วนใหญ่เป็นทักษะที่สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต เช่น การทำขนมต้มเพื่อไหว้ในเทศกาลฮารีรายอ การทำแฟ้ม กล่องดินสอ จักสาน
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสอนหนังสือเป็นเรื่องของครู แต่จะดีกว่าไหม ถ้าทุกจังหวะการเรียนรู้ของลูก พ่อแม่มีส่วนรับรู้ด้วย

โรงเรียนบ้านควนเก เป็นโรงเรียนประถมขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในอำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล ซึ่งถูกประกาศให้เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จึงทำให้โรงเรียนบ้านควนเกกลายเป็น 1 ใน 10 โรงเรียนนำร่องที่ใช้นวัตกรรมต่างๆ เพื่อปฏิรูปรูปแบบการเรียนการสอน โดยโรงเรียนบ้านควนเกใช้วิธีการเปลี่ยนห้องเรียนให้อยู่ในรูปแบบ Active Learning หรือ การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ โดยผ่านการทำโครงงานฐานวิจัย 14  ขั้นตอน หรือ Research Based Learning (RBL) รวมถึงการใช้วิธีการกระจายการเรียนรู้เพื่อไม่ให้กระจุกตัว เปิดโอกาสให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง และชุมชน เข้ามาเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ในการศึกษาของเด็ก 

เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงเกิดขึ้นได้ทุกที่เท่านั้น แต่ยังสามารถส่งต่อและถ่ายทอดได้จากกลุ่มคนหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเป็นครูคนเดียวอีกต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ พ่อแม่ผู้ปกครองของโรงเรียนบ้านควนเก รวมตัวกันและจัดตั้งกลุ่ม ‘ครูพ่อแม่’ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนของบุตรหลานของตัวเอง

ครูพ่อแม่ เป็นส่วนหนึ่งของ ครูสามเส้า ครูสามเส้าที่ว่านี้หมายถึง ครูในโรงเรียน-ครูชุมชน-ครูพ่อแม่ โดยหัวใจหลักคือต้องการรวมพลังกันทำงาน เพื่อทำให้เห็นว่าการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ขยับไปโรงเรียน และขยายวงกว้างไปถึงชุมชน 

โดยทุกบ่ายของวันศุกร์ จะเป็นช่วงเวลาที่เด็กนักเรียนแห่งโรงเรียนบ้านควนเก ได้เรียนรู้ตามหัวข้อต่างๆ ที่พวกเขาสนใจอย่างอิสระกับตัวแทนพ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น การทำตุ๊กตายัดไส้การบูร, กล่องดินสอจากกระดาษแข็ง, แฟ้มใส่หนังสือที่จักสานด้วยมือ และขนมต้มที่ใช้สำหรับวันฮารีรายอ  

นี่จึงที่มาของการคุยกับตัวแทน ครูพ่อแม่ มะผึ้ง–หัสนีย์ โฉลกดี แม่ของนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1, มะหนับ-ทัศนีย์ มาลัยสนั่น แม่ของนักเรียนชั้นอนุบาล 3, มะเด๊าะ-ฝาตีม๊ะ ปาละวัล แม่ของนักเรียนชั้นประถมปีที่ 6 แห่งโรงเรียนบ้านควนเก เพื่อทำความเข้าใจว่า ครูพ่อแม่คือใคร ต้องสอนอะไร สอนอย่างไรเพื่อช่วยเชื่อมโยงความรู้ให้ไปถึงบุตรหลานของพวกเขา

เข้ามาเป็นครูพ่อแม่ได้อย่างไร

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: อันดับแรกพวกเราทั้งสามคนเป็นผู้ปกครองของลูกๆ นักเรียนทั่วไป ใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดาเหมือนพ่อแม่คนอื่น ย้อนไปเทอมที่แล้ว ประมาณ 6 เดือน พอเริ่มมีโครงการ ‘ครูสามเส้า’ ขึ้นมา ผอ. ก็จัดประชุมและบอกว่าอยากให้พ่อแม่เข้ามาช่วยสอน มาเป็น ‘ครู’ ให้เด็กหน่อย ซึ่ง ผอ. เห็นว่าเราใกล้ชิดกับเด็กอยู่แล้ว เพราะเราเป็นคนในชุมชนที่บ้านอยู่ละแวกโรงเรียนด้วย เขาก็อยากให้มาช่วย

แต่ถ้าย้อนไปตอนนั้นที่ ผอ. บอกว่าให้มาเป็นครู เรารู้สึกกลัวนะ เพราะเราไม่ได้เรียนจบครูมา จะให้เป็นครูได้ยังไง แต่ผอ.ก็มีการเรียกมาประชุมเรื่อยๆ เพื่อทำความเข้าใจ และบอกว่าเราเป็นได้ เราใช้ความสามารถส่วนตัว ความสามารถที่เราใช้ในชีวิตประจำวันนี่แหละสอนเด็กๆ 

ตอนแรกก็กลัวว่าจะทำได้ไหม เด็กจะให้ความร่วมมือไหม ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะสอนอะไรดี กังวลไปหมดทุกอย่าง แต่พอได้เริ่ม เราก็ชอบ และมีความสุขกับเด็กไปด้วย 

(ซ้ายไปขวา) :  ทัศนีย์ มาลัยสนั่น – หัสนีย์ โฉลกดี – ฝาตีม๊ะ ปาละวัล

ครูพ่อแม่ต้องสอนอะไรบ้าง

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: ในช่วงแรกที่เข้ามา เราไม่รู้จะสอนอะไร เราเล่าเรื่องประวัติ ความเป็นมาของหมู่บ้านควนเกให้เขาฟัง เด็กจะสนใจกันมาก เพราะเด็กรุ่นหลังๆ เขาจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับประวัติของบ้านตัวเองอยู่แล้ว พอได้ยินได้ฟังเขาจะมีความตื่นเต้น หลังจากนั้นเราก็พัฒนามาเรื่อยๆ แต่ต้องเริ่มสอนโดยการสอนตามใจเด็ก หมายถึง เด็กอยากเรียนอะไร ชอบอะไร ขอให้เขาบอก ครูพ่อแม่ก็จะเข้ามาสอน ในช่วงบ่ายของทุกวันศุกร์  

นอกจากเล่าประวัติบ้านควนเกแล้ว พัฒนามาสอนอะไรอีกบ้าง

มะเด๊าะ-ฝาตีม๊ะ ปาละวัล: ตัวอย่างเช่น ในช่วงเทศกาลฮารีรายอ เรารวมตัวกันเพื่อสอนทำขนมต้ม ซึ่งเป็นขนมประจำเทศกาล สอนวิธีการทำ ส่วนประกอบ ส่วนผสมต่างๆ ซึ่งคาบนี้เด็กๆ ชอบมาก เขามีความสุข พอทำเสร็จก็ได้กิน ได้เอากลับบ้านไปด้วย

นอกจากสอนทำขนม ยังมีวิชาอื่นที่เราเคยนำมาสอนเด็กๆ เช่น งานจักสาน งานประดิษฐ์ พอเขาชอบ เขาอยากเรียนรู้ และอยากทำเป็น การเรียนจักสานมันก็สนุก มันสวยงามมีสีสัน สอนแล้วสามารถเอาไปใช้ได้จริง นำไปประกอบอาชีพได้ด้วย เหมือนมะตอนนี้ มะใช้จักสานเป็นอาชีพเสริม ทำพวกกระเป๋าใส่ดินสอ แฟ้มหนังสือ ตะกร้า ช่วยลดการใช้จ่ายไปได้มาก เราทำใช้เองไม่ต้องซื้อ เราจึงอยากสอนให้เด็กๆ หรือลูกๆ ของเราให้เรียนรู้ตรงนี้ ถ้าเขาทำเป็น เขาก็เอาไปใช้ได้จริง แถมยังเป็นอาชีพติดตัวในภายภาคหน้าได้

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: ขอเสริมเรื่องการทำขนม สมัยก่อนเมื่อถึงเทศกาลวันฮารีรายอ เชื่อว่าเด็กบางคนเขาอยากจะเข้าไปช่วยพ่อแม่ทำ แต่พ่อแม่อาจจะไม่ให้ทำเพราะคิดว่าเป็นเด็ก เป็นห่วงไม่อยากให้ลูกหยิบจับอะไรเลย กลัวเรื่องความปลอดภัย เช่น แก๊ส น้ำมัน แต่พอเด็กๆ เขาเคยหัดทำขนมแบบนี้ที่โรงเรียนมาแล้ว พ่อแม่ก็เริ่มเข้าใจลูกของตัวเองมากขึ้น เปิดโอกาสให้เด็กได้ลอง ได้เข้าไปช่วยทำขนม ทำกับข้าว ทอดไข่เจียว

โครงการครูสามเส้าเหมือนกับการฝึกให้เด็กได้หัด ได้ลองทำสิ่งต่างๆ เป็น เมื่อกลับไปที่บ้านพ่อแม่ก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นลูกเข้าครัว ก็ให้เริ่มให้ลองทำนู่นทำนี่ด้วยตัวเอง เหมือนกับเราฝึกให้เขาได้ใช้ชีวิตค่ะ พ่อแม่คนอื่นๆ ก็รู้สึกดีไปกับโครงการนี้ไปด้วย เพราะเขาเห็นผลลัพธ์จริงๆ 

มะเด๊าะ-ฝาตีม๊ะ ปาละวัล: อย่างที่รู้กันว่าโรงเรียนบ้านควนเก เป็นโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมของจังหวัด เด็กๆ ต้องลงมือทำทุกอย่างเอง

พอมีโครงการนี้ เราสังเกตลูกของเรา เขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย เมื่อก่อนลูกจะใช้เราทำทุกอย่าง แต่ตอนนี้พอกลับบ้าน “มะ ช่วยสอนทำผัดมาม่าหน่อย” จากเมื่อก่อน “มะ อยากกินผัดมาม่า ทำให้หน่อย” เขาจะตะโกนสั่งอย่างเดียว ตอนนี้เขาอยากกินอะไรก็ลุกขึ้นมาทำเองเลย เพราะที่โรงเรียนเขาได้ลงมือทำเสมอ มันจึงทำให้เด็กรู้สึกอยากเรียนรู้ 

การทำนาก็เหมือนกัน พ่อแม่บางคนไม่ให้อยากลูกทำเพราะมันสกปรก แต่มาโรงเรียนแล้วพวกเขาได้ทดลองทำในวิชาฐานวิจัย หรือ RBL เช่น ศึกษาเรื่องพันธุ์ข้าว เรื่องสีสันจากธรรมชาติ แล้วเขารู้สึกสนุก เด็กก็ชอบ และรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก

ทั้งสามคนมองว่าการเรียนรู้แบบเดิม “โรงเรียนก็สอนไปสิ พ่อแม่ก็ดูแลลูกที่บ้านไปสิ” วิธีแบบนี้มันดีหรือไม่

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: คือการเรียนแบบเดิมมันก็ดีค่ะ แต่ความรู้มันก็จะอยู่แต่ในหนังสือ อยู่แบบเดิมๆ การพัฒนาไม่ค่อยได้มากขึ้น แต่พอมีการปรับเปลี่ยนใหม่ ให้มีทั้งการเรียนแบบเดิมและแบบใหม่เข้ามาช่วย ทำให้เด็กมีความรู้มากขึ้น สนุกขึ้น เด็กไม่ต้องอยู่แต่ในหนังสือ แต่ไปเจอไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ 

การมีอยู่ของกลุ่มครูสามเส้า ทำให้พ่อแม่กลับมาเชื่อมโยงกับโรงเรียนยังไง

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: ตั้งแต่มีการรวมกลุ่มครูสามเส้าเข้ามา ในแง่ของความสัมพันธ์มันทำให้ผู้ปกครองคนอื่นๆ เริ่มเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับลูกตัวเองมากขึ้นนะ โดยปกตินักเรียน 1 ห้อง ต้องมีครูพ่อแม่ที่เป็นตัวแทน 4 คน เราเป็นตัวแทนที่ทำงานกับเด็กโดยตรง ผู้ปกครองคนอื่นๆ เขาก็เลือกมาถามว่า… “วันนี้ลูกเขาเป็นยังไงบ้าง ลูกเขาตั้งใจเรียนไหมลูกเขาทำได้ไหม” ผู้ปกครองจะมีความสนใจ ใส่ใจกับโรงเรียนมากกว่าเดิม มีความสนใจกระตือรือร้นใส่ใจลูกตัวเองสูงขึ้น

มะหนับ-ทัศนีย์ มาลัยสนั่น: หรือในแง่การเรียน บางหัวข้อที่เด็กอยากรู้ แต่ไม่มีความรู้ กลุ่มครูพ่อแม่ก็เป็นตัวแทนออกไปหาความรู้ต่างๆ จากนอกสถานที่ให้ เช่น ในหมู่บ้าน หมู่ 1 เขาเด่นเรื่องการนวดแผนโบราณ เราในฐานะครูพ่อแม่ก็เข้าไปคุยเพื่อขออนุญาตพาเด็กไปเรียนรู้ ทุกอย่างมันทำได้ง่ายขึ้น ความเชื่อมโยงมันอยู่ตรงนี้

อะไรที่ทำให้ทั้งสามคนอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของลูก

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: เพราะลูกเราเรียนอยู่ที่นี่ อยู่ในบ้านเรา เราก็อยากให้ลูกเราเก่ง อยากให้ลูกเราพัฒนาการที่ดีขึ้น อยากให้ลูกเราเก่งทัดเทียมกับเด็กในโรงเรียนดีๆ ดังๆ ได้ และเราคิดว่าเราช่วยลูกได้ก็เลยอยากลองดูสักตั้ง ถึงแม้ใจจริงจะกลัว เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอะไร จะสอนอะไร แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะลอง เราก็ต้องทำ ต้องลองแล้วก็ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันทำให้ดีขึ้น

ในฐานะที่ทั้งสาม เป็นทั้งครูด้วย เป็นแม่ด้วย อยากให้ขยายความเพิ่มว่าแต่ละคนเห็นลูกของเราเปลี่ยนแปลงอย่างไร

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: เรารู้จักลูกตัวเองเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ เรารู้สึกดีมาก เพราะปกติลูกสาว ป.3 เขาจะเป็นคนเงียบๆ กลับมาจากโรงเรียนเขาก็จะเล่นโทรศัพท์ จะไม่ทำอะไรเลย เราคิดว่าเขาไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก แต่ตอนนี้กลับมาถึง “มะ…หนูอยากทอดไข่ หนูอยากเจียวไข่” เขาอยากทำอะไร ก็ทำเองหมดทุกอย่าง มีความกระตือรือร้นที่อยากจะมาโรงเรียน ปกติเด็กตื่นเช้าขึ้นมาก็ขี้เกียจ “ขอไม่ไปโรงเรียนได้ไหมคะ” แต่ตอนนี้ไม่นะ ตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว แล้วก็รีบมาโรงเรียน เขาชอบ อยากมาเรียน มาทำกิจกรรมกับเพื่อน

มะเด๊าะ-ฝาตีม๊ะ ปาละวัล: ที่ชัดเลยคือมันทำให้เราได้คุย ได้สนิท ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะว่าโครงการนี้เขาจะให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง เริ่มจากในห้องเรียนที่ครูพาพวกเขาแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ จากนั้นเด็กจะต้องไปค้นคำตอบด้วยตัวเอง ต้องกลับไปถามพ่อแม่ จุดนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้ ทำให้ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันเพิ่มมากขึ้น

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: และที่สำคัญทำให้ผู้ปกครองเข้าหาครูมากขึ้นด้วย สมัยก่อนเราไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าครูสอนเด็กเป็นอย่างไรบ้าง แต่ตั้งแต่มีโครงการนี้เข้ามาทำให้ผู้ปกครองกล้าเข้าหาครู ใกล้ชิดครู แล้วก็ทำให้รู้ว่าครูสอนอะไร พฤติกรรมของเด็กเวลาครูสอนเป็นยังไง ครูเหนื่อยขนาดไหน ครูต้องอดทนขนาดไหน เพราะปกติที่ผ่านมา ผู้ปกครองบางคนก็คิดว่า ครูไม่สนใจ ครูไม่ใส่ใจลูกเรามันทำให้เข้าใจความรู้สึกครู เข้าใจความรู้สึกนักเรียน เข้าใจความรู้สึกทุกคนมากขึ้น

ในวิชาโครงงานฐานวิจัย (RBL) ของโรงเรียนบ้านควนเก ที่มี 14 ขั้นตอน บทบาทของครูพ่อแม่อยู่ในขั้นตอนไหนบ้าง

มะเด๊าะ-ฝาตีม๊ะ ปาละวัล: พอเด็กได้หัวข้อวิจัยที่เลือกจากความชอบแล้ว เด็กก็จะไปเสนอครู จากนั้นก็แบ่งงานให้เด็กรับผิดชอบ เด็กก็จะกลับไปปรึกษาพ่อแม่ตามหน้าที่ที่เขาได้รับ เช่น ศึกษาเรื่องสีจากธรรมชาติ ก็กลับไปถามพ่อแม่ของเขา ในวิชานี้เราแค่ช่วยเสริม ผู้ปกครองกับครูดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้ลงมือทำให้เด็ก ถ้าอันไหนที่เด็กไม่รู้เราก็จะแนะนำให้เขาไปศึกษาถูกจุด เหมือนเป็นพี่เลี้ยงให้ เช่น ตอนนี้ลูกมะอยู่ ป.6 เรียน RBL เรื่องสีจากธรรมชาติ เขาก็มาถามว่า “มะ แถวหมู่บ้านนี้มีใครปลูกต้นอะไรบ้าง” หรือ “ดอกอัญชัญคั้นมาแล้วจะออกมาเป็นสีอะไร ขมิ้นเป็นสีอะไร” เพราะครูให้โจทย์มา เขาต้องเตรียมข้อมูลล่วงหน้าเพื่อที่จะออกพื้นที่

สุดท้ายแล้วการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มครูสามเส้าเติมเต็มให้กับทั้งสามอย่างไรบ้าง

มะหนับ-ทัศนีย์ มาลัยสนั่น: อย่างเราเป็นพ่อแม่ บางเรื่องเราที่ไม่ถนัด เราก็มาหัดเรียนกับลูก 

มะผึ้ง-หัสนีย์ โฉลกดี: มันก็ช่วยเสริมให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้น กลายเป็นว่าเราทำทุกอย่างไปพร้อมเด็ก เรียนรู้กับเด็ก ตอนที่ทำขนมต้ม เราก็ทำไม่เป็น พอมาเรียนกับเด็กเราก็ทำได้ เรามาขอความรู้กับครูพ่อแม่ท่านอื่นๆ จนตอนนี้ทำเป็นหลายอย่างแล้ว (หัวเราะ) ประเด็นคือเราได้ทำเป็นพร้อมเด็ก ช่วยกันเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เครือข่ายผู้ปกครองก็ต้องมาเรียนด้วยกัน ช่วยกันเรียนรู้ ช่วยกันสอน และมันจะทำให้เด็กเข้มแข็ง และชุมชนเข้มแข็งไปด้วย

อ่านบทความ การเรียนรู้โดยใช้วิชาโครงการฐานวิจัย (Research-Based Learning) โรงเรียนบ้านควนเก เพิ่มเติมได้: ที่นี่

หมายเหตุ: โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนหนึ่งในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จ.สตูล สนับสนุนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศูนย์วิจัยด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูล

Tags:

ระบบการศึกษาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาครูสามเส้าResearch Base Learning(RBL)สตูล

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ‘ครูสามเส้า’ นวัตกรรมการศึกษาโรงเรียนอนุบาลสตูล : เมื่อครูอยู่รอบตัวเรา และการเรียนรู้ไม่ได้หยุดแค่ห้องเรียน

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    การออกแบบการสอนที่ให้เด็กทำสิ่งสำคัญ คือ การ ‘ฝัน’ และพิสูจน์สิ่งที่ฝันให้ได้ก่อน: อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล ที่นี่พ่อแม่ โรงเรียน ชุมชน “ทุกคนเป็นครู”

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง
อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
17 January 2020

สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ตามมาฟังวงเสวนาที่พูดคุยถึงวิธีเตรียมพร้อมให้ลูกก้าวทันโลกศตวรรษที่ 21 โดยเริ่มจากพ่อแม่ลุกขึ้นมา relearn เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก
  • วิธีการเรียนรู้ที่พ่อแม่ทำร่วมกับลูกได้ง่ายๆ คือ การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง อินไปกับสิ่งที่ลูกทำ และมีพื้นที่ให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่อยากทำ 
  • เตรียมให้ลูกเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และอาจไม่จำเป็นต้องเก่งในทุกอย่างที่ทำ
ภาพ: Flock Learning

เมื่อ 20 ปีที่แล้วเราตื่นเต้นกับการสื่อสารด้วยอีเมล แต่ในปัจจุบันมีการสื่อสารที่รวดเร็วกว่าอีเมล เช่น เฟซบุ๊ค ไลน์ อีกทั้งยังมีรูปแบบที่หลากหลายทั้งพิมพ์ โทรคุย หรือวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า ตัวอย่างการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดและคาดไม่ถึงเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามไม่ใช่แค่ว่าในอนาคตโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่กระแสการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้เกิดคำถามว่าเราจะสามารถอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วได้อย่างไร?

การเรียนรู้สิ่งที่เคยรู้ด้วยมุมมองใหม่ๆ การกลับมาเรียนรู้กันอีกครั้ง หรือ relearn จึงถูกพูดถึงในฐานะวิธีการที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและคาดไม่ถึงนี้ ทั้งพ่อแม่ ผู้ใหญ่ และเด็กๆ ต่างต้อง relearn เราจึงมาหาคำตอบในวงเสวนา ‘Why Relearn: ไล่ตามปัจจุบันให้ทัน’ ที่จัดขึ้นในงาน Parent Relearn Festival โดย Flock Learning ณ มิวเซียมสยาม เมื่อวันที่ 11-12 มกราคม 2563 ว่าทำไมพ่อแม่ต้องลุกขึ้นมา relearn ไปพร้อมๆ กับลูก วิธีที่จะเรียนรู้ และบทบาทของพ่อแม่ในฐานะพลเมืองสังคมที่ต้องช่วยกันลุกขึ้นมาปฏิรูประบบการศึกษาไทยคืออะไรบ้าง 

ผู้ที่จะมาร่วมพูดคุยในวงสนทนาครั้งนี้ประกอบด้วย 

  • ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ภายใต้แนวคิดที่ว่าพ่อแม่เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สำคัญของการสร้างศักยภาพทางการเรียนรู้ตลอดชีวิต 
  • ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ก่อตั้งเถื่อนเกมและเชื่อว่าการเรียนรู้มีหลากหลายวิธีการ 
  • วีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ ที่จะมาช่วยอธิบายว่าถึงเราจะต่าง Gen กันแต่ก็สามารถอยู่ในสังคมเดียวกันได้

ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ ศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักวิชาการ และอาจารย์ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทำไมพ่อแม่ต้อง Relearn?

ดร.สมเกียรติตอบคำถามนี้ว่า ถ้าพ่อแม่ไม่เรียนรู้ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ได้ เพราะความรู้นั้นอายุสั้นแต่คนอายุยืนยาว มีการประมาณการอายุของเด็กไทยว่าจะมีอายุเฉลี่ยเกิน 90 ปี เด็กที่เกิดในช่วง 2-3 ปีนี้จะมีอายุยืนยาวไปถึงศตวรรษที่ 22 ส่วนอายุของความรู้นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ปีก็จะไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ในเมื่อลูกต้องอาศัยอยู่ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พ่อแม่จึงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยเตรียมพร้อมลูกให้เขารับมือได้ ผ่านการลุกขึ้นมา relearn ตัวเอง

ดร.เดชรัตเสริมว่า พ่อแม่เองไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อ 30 ปีที่แล้วเราคาดเดาได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปี 2563 คำตอบคือไม่ได้ เพราะโลกมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ การเรียนรู้ไปกับมัน เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก

“เรามักพูดว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่เคยมี ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นสิ่งที่เราต้องประสบพบเจอในอนาคต พ่อแม่มีความจำเป็นที่จะต้อง relearn” ดร.เดชรัตอธิบาย 

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด

การเรียนรู้คือความสนุก พ่อแม่มีสิทธิที่จะไม่รู้

ดร.เดชรัตอธิบายว่า สาเหตุที่พ่อแม่ไม่อยาก relearn เพราะรู้สึกว่ามันไม่สนุก คิดว่าลงเรียนตั้งเยอะแล้วทำไมไม่เป็นไปอย่างที่เรียน มันทำให้พ่อแม่เกิดความรู้สึกเครียด แต่ถ้าพ่อแม่ลองเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า “เออ มันมีแบบใหม่นะ ลองดูเส้นทางใหม่ๆ” เปลี่ยนความคิดที่ว่าเรียนแล้วเครียดเป็นยิ่งเรียนรู้ยิ่งสนุก แล้วยิ่งเรียนกับลูกด้วยแล้วยิ่งสนุกมากขึ้น 

อีกด้าน วีรพรก็ได้เสนอให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ลืมที่จะสนุกไปกับลูก

“การเป็นพ่อแม่สักระยะหนึ่งมันจะลืมว่าความสนุกเป็นยังไง เพราะพ่อแม่จะวางตัวเป็นคนสอนลูกตลอดเวลา พ่อแม่ต้องคิดอยู่ตลอดว่าจะแนะนำลูกอย่างไรดี มันทำให้พ่อแม่อาจจะพลาดกับการได้สนุกกับสิ่งใหม่ๆ การเป็นพ่อแม่มันก็คือการได้เรียนรู้โลกในอีกช่วงเวลาหนึ่ง

“บางครั้งลูกก็มีบทบาทเป็นคนสอนพ่อแม่ ยังมีหลายสิ่งที่พ่อแม่ต้องเรียนรู้จากลูก บอกลูกบ้างว่าฉันไม่รู้ พ่อแม่มีสิทธิที่จะไม่รู้” 

โรงเรียนช่วยให้ลูกก้าวทันโลกไม่ได้ แต่พ่อแม่ทำได้

ดร.สมเกียรติบอกว่า การเรียนในโรงเรียนทุกวันนี้ไม่ได้ช่วยทำให้เด็กสามารถก้าวตามโลกได้ทัน ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันองค์กรต่างๆ สนใจรับคนเข้าทำงาน เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก ทำงานเป็นทีมได้ มีความสามารถในการสื่อสาร เป็นต้น ในขณะที่โรงเรียนบางส่วนยังมุ่งเน้นให้เด็กทำงานเองคนเดียว เช่น ถ้าเด็กคุยกับเพื่อนในห้องถือว่าไม่มีวินัย หรือการสอบที่ต้องค้นคว้าหาคำตอบคนเดียว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีบริษัทไหนห้ามพนักงานคุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือห้ามทำงานเป็นทีม เป็นต้น

เมื่อเราฝากความหวังไว้ที่โรงเรียนไม่ได้แล้ว พ่อแม่ต้องเป็นคนช่วยลูกเองผ่านการเรียนรู้ไปด้วยกัน ช่วงเวลา 7-8 ชั่วโมงต่อวันที่ลูกอยู่กับพ่อแม่ควรทำให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่ง ดร.สมเกียรติแนะนำวิธีเริ่มต้นง่ายๆ ที่ต้นทุนต่ำ คือ การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ถือเป็น quality time ที่ดีที่สุด ข้อดีคือ ลูกจะมีคลังศัพท์ในหัวเยอะ คลังศัพท์คือระบบคิดของคน การมีคลังศัพท์เยอะเด็กสามารถต่อยอดไปหาความรู้ใหม่ๆ พอถึงวัยเข้าโรงเรียนเด็กก็จะมีความสามารถในการเรียนรู้หรือเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

ดร.เดชรัตเสริมต่อว่า การอินกับสิ่งที่ลูกทำถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้พ่อแม่เรียนรู้กับลูกได้ เพราะถ้าพ่อแม่ไม่อินกับสิ่งที่ลูกทำจะคิดว่าพฤติกรรมลูกนั้นแปลก พ่อแม่จะไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ลูกทำนั้นมีค่าอะไร กลายเป็นไม่ได้สนับสนุนลูก

ดร.เดชรัตยกตัวอย่างว่า ตัวเขาเองเคยเจอเหตุการณ์ที่ลูกมาบอกว่าอยากไปดูประเพณีวันสงกรานต์ของชาวมอญ ถ้าเขาไม่อินไม่พาลูกไป ลูกเขาก็จะไม่มีทางได้เรียนรู้สิ่งที่เขาสนใจได้ สิ่งที่เขาทำคือพาลูกขึ้นรถไปหาข้อมูลถึงที่ เวลาไปเขาก็จะดูว่าลูกเป็นยังไง หาข้อมูลแบบไหน สุดท้ายลูกเขาค้นพบสิ่งที่ชอบ กลายเป็นตอนนี้เรียนต่อทางด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

“สิ่งเล็กๆ ที่ดูไม่มีอะไรมันเป็นการสร้างตัวตนเขาขึ้นมา ถ้าลูกชอบเล่นเกมพ่อแม่ลองไปเล่นด้วยจะได้เข้าใจว่าทำไมลูกถึงชอบ เป็นการให้โอกาสตัวเราและลูก” 

ให้เขาเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ลูกไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่

แม้ว่าการ relearn การเรียนรู้ไปพร้อมกันระหว่างพ่อแม่กับลูกจะสำคัญมาก อย่างไรก็ตาม ในวงเสวนาก็ย้ำประเด็นว่า การให้พื้นที่กับลูกยังคงสำคัญ พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เขาเป็นในสิ่งที่อยากเป็น

วีรพรบอกว่า พ่อแม่บางคนอาจมีทัศนคติว่า “ลูกเป็นของของเรา” ซึ่งวิธีคิดแบบนี้จะทำให้เผลอหยิบยื่นสิ่งที่คิดว่าดีไปให้ลูก เช่น แม่เป็นนักเขียน ก็จะเอาแต่สิ่งพวกนี้ไปให้ลูก อย่างดีลูกอาจจะชอบ อยากเป็นนักเขียนเหมือนแม่ อย่างร้ายอาจกลายเป็นลูกไม่ชอบ หาทางตัวเองไม่เจอ ซึ่งพ่อแม่อาจเปลี่ยนความคิดว่า “ลูกไม่ใช่สิ่งของหรือสมบัติของพ่อแม่” พ่อแม่ไม่สามารถช่วยลูกไปได้ตลอดชีวิต สิ่งที่พ่อแม่ช่วยลูกได้ คือ ทำให้เขาค้นพบศักยภาพของตัวเอง

วีรพร นิติประภา

“การกำหนดบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้นว่าเราจะดูแลลูกแบบไหน ลูกจะค้นหาทางไปด้วยตัวเขาเอง ผ่านความชอบ ความถนัด ความลุ่มหลง” 

ดร.สมเกียรติเสริมว่า พ่อแม่จะโตมากับความคิดที่ว่าความฉลาดมีแบบเดียว คือ ต้องเก่งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จะมีภาพในหัวเป็นไอน์สไตน์ แต่งานวิจัยค้นพบแล้วว่าความฉลาดมีอย่างน้อย 7-8 แบบ ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดเรื่องใช้กล้ามเนื้อ ดนตรี หรือกีฬา หรือความสามารถในการอยู่ในโลกให้มีความสุขก็มีองค์ประกอบหลายอย่าง เหมือนการกินอาหารต้องมีเครื่องเคียง มีของชูรส สมองของมนุษย์มีหลายส่วนทั้งซีกซ้ายและซีกขวา หากพ่อแม่ช่วยกันบาลานซ์ให้มันสามารถอยู่ร่วมกันได้ ชีวิตของลูกจะมีความสุขขึ้น

“ให้เขาได้ค้นหาสิ่งที่ชอบ อย่าไปยัดของของเราใส่ในตัวเขา เขาอาจจะเป็นอะไรได้หลายอย่างที่ไม่เหมือนเราเลย โลกของผมเก่งวิทย์เป็นได้แค่หมอกับวิศวะ แต่สมัยนี้คุณสามารถทำอะไรได้เยอะแยะเลย 

“ฝรั่งเรียกคนที่เก่งอย่างเดียวว่าตัวเม่น เพราะมันเก่งที่จะขุดดินลงไปลึกที่สุด แล้ววิวัฒนาการการเรียนรู้มีแนวโน้มจะลงลึกไปทุกที ต่อไปอาจจะมีหมอที่รักษาหูด้านซ้ายแต่รักษาด้านขวาไม่เป็น แต่กระแสแบบนี้เมืองนอกบอกไปไม่รอดแล้ว เพราะโลกมันเปลี่ยนเร็ว เราต้องเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งคือหมาจิ้งจอก ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และอาจไม่จำเป็นต้องเก่งในทุกอย่างที่ทำได้ จะเก่งเพียงอย่างเดียวก็ได้” ดร.สมเกียรติขยายความ 

ดร.เดชรัตบอกว่า คำถามที่พ่อแม่ชอบถามลูก คือ “โตขึ้นจะเป็นอะไร” มันทำให้พ่อแม่กังวลกับอนาคตของลูก แต่สำหรับตัวเด็กเขาไม่ได้สนใจว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร เขาสนใจว่า “เขาจะทำอะไรบ้าง” เด็กอาจจะเขียนหนังสือ หรือสร้างการ์ตูน พ่อแม่เป็นคนช่วยให้ลูกสะสมความสามารถเอาไว้ สุดท้ายลูกจะไปทำอาชีพอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ แล้วโลกก็จะตอบรับสิ่งที่เขาทำเอง

“เวลาเรามองตาลูกเรารู้เลยว่าเราไม่อาจควบคุมมนุษย์คนนี้ได้เลย สิ่งที่เราทำได้คือเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างน้อยในช่วงหนึ่ง” ประโยคจาก ดร.เดชรัต 

ดร.เดชรัต แชร์ 3 สเต็ปที่เขาตั้งไว้เป็นเป้าหมายในการเลี้ยงลูก ประกอบด้วย 3 ขั้น คือ 

  • ผู้ผลิต เพราะโลกยุคหน้าเป็นแค่ผู้บริโภคอย่างเดียวอาจลำบาก พ่อแม่ช่วยส่งเสริมเขาให้มีไอเดียที่จะสร้างอะไรก็ได้ ผ่านการเชียร์ ให้กำลังใจเมื่อเขาล้มเหลว
  • ผู้ประกอบการ สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ สร้างสิ่งของผ่านการร่วมมือกับคนอื่น
  • ผู้เปลี่ยนแปลง ให้ลูกทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต้องให้โลกจดจำเขา แต่เป็นสิ่งเล็กๆ เป็นก้าวก้าวหนึ่ง ที่ตัวเขาเองจำได้ว่าทำอะไร

ก่อนวงสนทนานี้จะจบลง ดร.สมเกียรติได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เมืองไทยมีโจทย์อยู่ข้อหนึ่ง คือ เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ถ้าเป็นพ่อแม่ชนชั้นกลางก็พอจะหาทางออกให้ลูกได้ มีเงินส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่มีคุณภาพ ซึ่งโรงเรียนพวกนี้ก็มีน้อย โรงเรียนส่วนใหญ่ที่เด็กต้องเผชิญก็เป็นโรงเรียนที่ไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้เด็กส่วนใหญ่ยังต้องอยู่ในระบบการศึกษาแย่ๆ พ่อแม่ควรร่วมมือกัน ช่วยกันปฏิรูประบบการศึกษาไทย เปลี่ยนค่านิยมสังคม เรียกร้องให้ภาครัฐจัดการการศึกษาที่ดี อย่าจำยอมกับสภาพความเป็นอยู่ที่เป็น

“นอกจาก relearn ตัวเองแล้ว ต้องมา reform การเรียนรู้ของประเทศด้วย อย่าไปคิดว่ามีโรงเรียนแล้ว จ่ายเงินค่าเทอมไปแล้ว มองโรงเรียนรับจ้างผลิตของไม่ได้ เวลาหนึ่งในสามของลูกอยู่ที่บ้าน เวลาต่างๆ เหล่านี้ควรทำให้เกิดการเรียนรู้”

Tags:

Flock Learningพ่อแม่21st Century skillsงานเสวนา

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Family Psychology
    FLOCK LEARNING: มาคุยกันหน่อยได้ไหม ทำไมฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้วลืมความสุขของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Early childhood21st Century skills
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

กิตติธัช ดีการ: คนหนุ่มที่ฝันอยากทำเกษตรอินทรีย์ และสร้างความสุขตั้งแต่คนทำสวนจนถึงคนกิน
Voice of New Gen
16 January 2020

กิตติธัช ดีการ: คนหนุ่มที่ฝันอยากทำเกษตรอินทรีย์ และสร้างความสุขตั้งแต่คนทำสวนจนถึงคนกิน

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ The Potential

  • เดียร์-กิตติธัช ดีการ เกษตรกรวัย 25 ปี ที่เรียนรู้การทำสวนจากการทำสวนยางและปลูกมันสำปะหลังในวัย 13 ปี
  • ‘ผลกระทบจากสารเคมี’ ทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะเป็นเกษตรกรอินทรีย์ พร้อมกับทำตามความฝันที่อยากสร้างสวนเกษตรอินทรีย์ของเขาให้กลายเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข คนทำงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี เจ้าของสวนมีความสุข และผู้บริโภคซื้อสินค้าราคาเป็นธรรม
  • “สวนมันก็เกิดจากความเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมดา ไม่ต้องหรูหรา ปล่อยให้ระบบนิเวศในสวนดูแลกันเอง เราแค่คอยเป็นผู้ช่วยดูแลให้เกิดสมดุล” นี่คือสิ่งที่เดียร์เรียนรู้จากการทำเกษตรมา 13 ปี

‘รักสุขภาพ’ หนึ่งในคุณสมบัติยอดฮิตของใครหลายๆ คนในยุคนี้ โดยเฉพาะอาหารการกินที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์อินทรีย์เพื่อความมั่นใจและปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยราคาผลผลิตที่ค่อนข้างสูงทำให้มีเฉพาะคนบางกลุ่มที่เข้าถึงได้ แต่สำหรับ เดียร์-กิตติธัช ดีการ เกษตรกรวัย 25 ปี ผู้ซึ่งมีเป้าหมายอยากผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ราคาสามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม 

เดียร์-กิตติธัช ดีการ

เดียร์เรียนรู้การทำสวนมาจากครูคนแรก คือ พ่อแม่ เหมือนเกษตรกรทั่วไปที่หน้าที่หนึ่งของลูกต้องทำสวนเป็นไม่ต่างกับอ่านออกเขียนได้ เขาคลุกคลีลงไปทำสวนโดยเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยพ่อแม่ก่อนขยับตำแหน่งไปเป็นเจ้าของแปลงสวนมันสำปะหลังเมื่ออายุ 13 ปี ที่ดินเล็กๆ ที่พ่อแม่ยกให้เขาดูแลจัดการเอง นี่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาได้ค้นพบว่าตัวเองหลงใหลการทำเกษตร ในขณะที่เพื่อนวัยรุ่นด้วยกันออกไปทำกิจกรรมประสาวัยรุ่น เดียร์ขออยู่โยงเฝ้าสวนตัวเอง เมื่อถึงเวลาเลือกอาชีพ เดียร์ตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางเกษตรกร

แต่ย่อหน้าข้างต้นไม่ใช่ภาพการทำสวนสวยๆ กลับกัน เขาเจอความทุกข์จากการใช้สารเคมีทำไร่ คุณภาพชีวิตของคนทำงานที่ไม่ได้ดีเหมือนสถานที่ที่ทำงานของพวกเขา และราคาผลผลิตที่ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งคนซื้อคนขาย ทำให้เดียร์ขอเลือกเป็นเกษตรกรสายเกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้งชวนชาวสวนเกษตรอินทรีย์ในระยองมารวมกลุ่มกันในนาม ‘เกษตรพอใจธรรม’ เพื่อต่อรองราคาผลผลิต และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทำงานในสวน ทั้งหมดนี้เพื่อทำตามความฝันในการสร้างพื้นที่เล็กๆ ที่มีความสุขระหว่างคนทำงาน เจ้าของสวน และคนซื้อ

บทสนทนาเริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐาน ‘อะไรที่ทำให้เขาสนใจในงานเกษตร อยากเป็นเกษตรกร?’ คำตอบของเดียร์คือภาพจำในวัยเยาว์ ภาพคุณย่าเก็บเมล็ดพันธุ์ผักผลไม้จากสวนหลังบ้าน นำเมล็ดพันธุ์ไปตากให้แห้งใส่ถุงพลาสติก เก็บไว้บนเพดานครัวบริเวณที่ๆ มีควันไฟจากการประกอบอาหารเพื่อไล่ความชื้น เมื่อถึงฤดูกาลเพาะปลูกก็นำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้โยนลงดินปลูกได้ทันที

เด็กชายเดียร์เติบโตในสวนจังหวัดจันทบุรี หนึ่งในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องสวนผลไม้ ภาพพ่อแม่ทำสวนเป็นสิ่งที่เดียร์เห็นจนชินตา ตัวของเขามีบทบาทในฐานะผู้ช่วยทำสวนของพ่อแม่ ทำให้ชีวิตของเขาผูกพันกับพื้นหญ้าและต้นไม้

“ตอนนั้นอายุ 13 พ่อแบ่งที่ให้ประมาณ 3 ไร่ ให้เราปลูกมันสำปะหลังเอง แล้วพ่อจะเป็นคนขายให้”

เดียร์ที่ตอนนั้นอายุ 13 ปี ได้รับภารกิจจากพ่อในการทำสวนมันสำปะหลังเป็นของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่เติบโตมากับการทำสวนอย่างเขา เดียร์เรียนรู้วิธีการทำสวนมาจากครูของเขา คือ พ่อและแม่ แต่คราวนี้เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วย แต่เป็นเจ้าของมันสำปะหลังทั้ง 3 ไร่ เดียร์บริหารจัดการสวน เริ่มจากขอคนงานของพ่อแม่ โดยเขาไปช่วยทำสวนพ่อแม่เป็นการแลกเปลี่ยน  

“วันหยุดเราก็เลือกที่จะไปทำงานของพ่อแม่ให้เสร็จก่อน งานส่วนตัวเราเอาไว้ทีหลัง แต่มันจะแยกยังไงในเมื่อมันอยู่วันเดียวกัน คือ เสาร์-อาทิตย์ มีวันแค่สองวันนี้ เราก็ต้องจัดสรรเวลา ตอนเช้าไปสวนยางของพ่อแม่ ตอนบ่ายไปลงทำสวนของตัวเอง

“ตอนนั้นที่สะพายถังฉีดยาไปสวนมันสำปะหลัง ชาวบ้านแถวนั้นเขาก็แซว ทีแรกเราก็เขินก็อาย แต่เราไม่สน ของของเรา เรารู้สึกว่าเราทำได้ จนกระทั่งถึงวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิต เราได้รับคำชมจากชาวบ้าน เราไม่ได้รับโดยตรงนะเขาไปพูดกับคนอื่น เราได้ยินทีหลัง แอบดีใจว่าจริงๆ ที่เราทำเราไม่ได้บ้านะ แต่มันดี” เดียร์เล่าถึงความรู้สึกในตอนนั้น

สวนมันสำปะหลังของเดียร์ใช้เวลา 1 ปี ก็สามารถออกผลผลิตตอบแทนเจ้าของสวนอย่างเดียร์ เขาให้พ่อนำไปขาย ซึ่งเงินก้อนแรกที่ได้จากการทำสวนครั้งนี้จำนวน 30,000 บาท ความรู้สึกแรกที่เขาได้รับเงินก้อนนั้น คือ ดีใจที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้านและหายเหนื่อย มันทำให้เขายิ่งหลงใหลในการทำสวนมากขึ้น

จุดเปลี่ยนของชีวิตเดียร์เกิดขึ้นตอนเขาขึ้นมัธยมปลาย เขาย้ายมาอยู่กับญาติที่จังหวัดระยอง ที่นี่เองเดียร์ได้รู้จักกับ กลุ่มรักษ์เขาชะเมา กลุ่มที่ทำงานด้านเยาวชน เดียร์เล่าว่ามันอาจจะเป็นเพราะจังหวะหรือโชคชะตา มีเพื่อนในห้องมาชวนเพื่อนคนอื่นๆ ไปทำงานค่ายวัฒนธรรมของกลุ่มรักษ์เขาชะเมา เดียร์ตัดสินใจไปเพราะอยากหาอะไรทำ การไปครั้งแรกทำให้เขาติดใจไปซ้ำอีกหลายครั้ง สุดท้ายเขากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม และได้พบกับ ป้าแฟ้บ-บุบผาทิพย์ แช่มนิล หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา เป็นคนที่คอยรับฟังปัญหา ให้คำปรึกษา และคอยช่วยเหลือเดียร์

เมื่อเดียร์เรียนจบมัธยมปลายเขาต้องเจอกับทางแยกอีกครั้ง เป็นทางแยกสองทางที่ให้เขาเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของเขาว่าจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย หรือออกไปทำงาน เนื่องจากปัญหาหลายๆ อย่าง เดียร์เลือกที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ป้าแฟ้บผู้ซึ่งมองเห็นศักยภาพของเดียร์ ตัดสินใจชวนให้เดียร์เรียนต่อ พร้อมกับบอกว่ามีผู้ใหญ่ใจดีที่จะช่วยส่งเสียค่าเรียนให้กับเดียร์

สำหรับเดียร์แล้วนี่ถือเป็นโอกาสสำคัญของเขา ซึ่งเขาก็รับมันไว้ ซึ่งคงไม่ต้องถามว่าเขาจะเลือกเรียนอะไร เพราะสิ่งที่เขาหลงใหลและผูกพันกับมันมีอยู่อย่างเดียว คือ การทำเกษตร 

“เราเลือกเรียนเกษตรเพราะเราเห็นว่าจริงๆ แล้วการเกษตรก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เกือบทุกอย่างมาจากพื้นฐานเรื่องเกษตร แล้วก็มีความชอบ เราสนุกเวลาอยู่กับต้นไม้”

การทำสวนเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ใช่แค่ดูแลต้นไม้ แต่ต้องดูแลชีวิตคนทำงานในสวนด้วย

“มันเป็นเหมือนกระแสที่ต้องทำตามกัน จากปลูกมันสำปะหลังที่ไม่ต้องใช้สารเคมี เรายังเคยไปช่วยเขาถอนหญ้า จนมาถึงยุคหนึ่งเราเห็นเขาต้องใช้ เห็นเขาฉีดตรงที่เราเคยไปช่วยเขาถอนหญ้า หรือช่วยเขาดายหญ้า”

ชีวิตของเดียร์ผูกพันกับการทำสวน เขาเริ่มทำสวนมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขาเห็นวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของมัน จากที่เคยใช้มือถอนหญ้าได้ ก็เปลี่ยนเป็นใช้หัวฉีดยาฆ่าหญ้า ในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความรู้เรื่องเกษตรมากนัก ไม่รู้ผลกระทบของสารเคมี สำหรับเดียร์การใช้สารเคมีคือให้ผลลัพธ์ที่เร็ว แต่ไม่ดีต่อร่างกาย คนรอบตัว ระบบนิเวศ รวมถึงตัวของเดียร์เองได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมี 

“ณ ตอนนั้นก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เราเห็นเราจำ แต่เราเพิ่งมารู้สึกเอาตอนหลังๆ เมื่อก่อนเขาจะมีดักกระต่ายท้องถิ่นทั่วไปได้ แต่มาช่วงหลังๆ มันน้อยลง พวกกระต่าย ตัวอ้น หนู ตุ่น แม้แต่ตอนหน้าแล้งที่มันจะมาเยอะๆ ก็น้อยลง เหมือนระบบนิเวศมันเปลี่ยนไป มันอยู่ไม่ได้เพราะมียาฆ่าแมลง ถ้าตัวที่รับไปโดยตรงก็ตาย”

เดียร์เลือกเรียนคณะเกษตรเพื่อที่จะได้มีความรู้ในการทำเกษตรมากๆ มากกว่าความรู้ที่ตัวเองได้ตอนทำสวน แต่การเรียนในระบบอาจยังไม่ตอบโจทย์การทำเกษตร เพราะส่วนใหญ่เรียนเกษตรแบบใช้สารเคมีเดียร์จึงออกไปหาประสบการณ์จากการไปคลุกคลีและเรียนจริงๆ กับชาวสวน ทำให้เดียร์ได้เห็นการทำสวนหลายๆ แบบ เขากลับมาถามตัวเองว่าเขาอยากทำเกษตรแบบไหน

‘เกษตรอินทรีย์’ คือทางที่เดียร์เลือก เพราะเขาเห็นแล้วว่าแม้สารเคมีจะช่วยทุ่นแรง ให้ดอกออกผลเร็ว แต่มันก็ส่งผลไปยังระบบนิเวศ สัตว์ที่อยู่ในนั้น รวมถึงตัวของคนทำสวนเองด้วย ประกอบกับความโชคดีที่ผู้ใหญ่ใจดีที่ส่งเสียให้เดียร์เรียนก็มีความตั้งใจที่อยากจะทำเกษตรอินทรีย์ เขามีแปลงสำหรับทำเกษตรอินทรีย์โดยตรง หลังเรียนจบเดียร์ตัดสินใจมาช่วยพัฒนาสวนตรงนี้ต่อ งานของเดียร์คือการพัฒนาระบบสวนเกษตรอินทรีย์ให้สมบูรณ์แบบ เพื่อให้เกิดสมดุลมากที่สุด 

การลงมาทำสวนเต็มตัวทำให้เดียร์เห็นว่า การทำสวนมันไม่ใช่แค่พัฒนาให้ต้นไม้ในสวนดีขึ้นเท่านั้น แต่ต้องดูแลคุณภาพชีวิตของคนทำงานในสวนด้วย เพราะพวกเขาก็เป็นฟันเฟืองที่สำคัญของการทำสวน แต่คุณภาพชีวิตของคนทำงานหลายๆ คนยังไม่ดีเท่าที่ควร พวกเขาต้องพบกับปัญหาหนี้สิน หรือการติดเหล้า แม้พื้นที่สวนที่พวกเขาทำงานอยู่จะดีแต่ชีวิตคนทำงานเหล่านี้กลับไม่ดีตาม เดียร์อยากเปลี่ยนแปลงตรงนี้ การดูแลคุณภาพชีวิตของพวกเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่เดียร์และพี่ใจดีของเดียร์กำลังพยายามทำ

“ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหมายความว่า เราเข้าไปดูไม่ได้แทรกแซงไม่ได้บังคับ แต่ซื้อใจให้เขาค่อยๆ เปลี่ยน มีตั้งแต่ติดเหล้าไปจนถึงติดยา มันมีหมดเลยอยู่ที่เราจะให้โอกาสไหม ให้เขาค่อยๆ เปลี่ยน อยากให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น เราเข้าไปทำให้คนงานแข็งแรงขึ้น อยู่แบบมีความสุข เงินเหลือมีเงินเก็บ” 

“เราตั้งใจอยากทำพื้นที่ตรงนี้ให้มันเป็นสังคมเล็กๆ ระหว่างคนทำงานด้วยกัน ไม่ใช่กำไรหรือเนื้องานเพียงอย่างเดียว คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขบนพื้นฐานของการปฎิบัติต่อกันอย่างเป็นธรรม ในพื้นที่เกษตรอินทรีย์ของเรา เขาควรมีความเป็นอยู่ที่ดีสอดคล้องกับพื้นที่ที่ดี”

กลุ่มเกษตรพอใจธรรม: การรวมตัวกันของชาวสวนเกษตรอินทรีย์ในระยอง

“เราเห็นระบบกลไกตลาดที่ไม่เป็นธรรม ผลิตผลไม้ทั่วไปที่อาบยาพิษ มีสารตกค้างให้ผู้บริโภค มันไม่ได้ถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมด เพราะระบบมันเอื้อให้เป็นแบบนี้”

เทรนด์กระแสรักสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมารับประทานผักผลไม้ที่เป็นปลอดสารเคมีมากขึ้น แต่ราคาที่ค่อนข้างสูงทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางถึงสูง ชนชั้นอื่นๆ ไม่สามารถเข้าถึงได้ เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เดียร์อยากแก้ไขช่องว่างตรงนี้ เขาอยากทำผักผลไม้อินทรีย์ที่สามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม

“เราอยากจะสร้างสวนเกษตรอินทรีย์ที่หนึ่ง ผักผลไม้ปลอดภัยชัวร์ สอง ราคาเป็นธรรมกับคนกิน คนทำด้วย ถ้าให้คนกินๆ ราคาถูกคนทำอยู่ไม่ได้ มันต้องแฟร์ทั้งสองฝ่าย คนซื้อมีกำลังซื้อที่เท่าไหร่ คนทำมีกำไรเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ ไม่งั้นทำไปขาดทุนทุกปีก็อยู่ไม่ได้  

เดียร์ตัดสินใจรวมกลุ่มกับชาวสวนอินทรีย์ในจังหวัดระยอง ตั้งเป็นกลุ่มชื่อว่า ‘เกษตรพอใจธรรม’ เป็นกลุ่มขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เพราะแต่ละสวนก็จะมีฐานลูกค้าของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแค่นำมารวมกัน ทำตลาดขายของเองโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาทำเพจเฟซบุ๊คและวางแผนการตลาด

“เรากำหนดราคาเอง ไม่อิงกับราคาตลาดทั่วไป เราเคลมให้ถ้าผลผลิตเสียหายหรือไม่โอเค ขายราคาเดียวทั้งฤดูกาล หมดฤดูจะมาคุยกันว่าปีหน้าเราจะประเมินผลผลิตปรับราคาขึ้นหรือลดยังไง คุยกับลูกค้าด้วยว่าเขาโอเคไหม แต่รับรองว่าเป็นผลไม้อินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์”

ซึ่งงานกลุ่มตรงนี้ก็ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มรักษ์เขาชะเมา พี่ๆ เพื่อนๆ ในกลุ่มมาช่วยเดียร์ทำ เช่น คนทำการตลาด รวมทั้งมีการทำ มาตรฐานควายยิ้ม เพื่อเป็นการรับรอง ต่อยอด และเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในชุมชน นอกจากนี้กลุ่มรักษ์เขาชะเมากับเดียร์ร่วมกันทำโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเกษตร เช่น โครงการพื้นที่อาหารปลอดภัย 

“การที่เรารวมตัวเป็นกลุ่มที่เห็นได้ชัด คือ บริษัทวิ่งเข้าหาเรา แต่ถ้าเขาเข้ามาแล้วมาบิดเบือนความเป็นเรา เราพร้อมที่จะถอนตัวทันที เรามีความเป็นตัวตนมากพอที่จะเป็นแบบนี้”

การสร้างพื้นที่ที่มีความสุขระหว่างเจ้าของสวน คนทำงาน และคนกิน

จากบทสนทนาที่พาเราไปรู้จักชีวิตของเดียร์ สิ่งที่ทำให้เขาอยากมาเป็นเกษตรกร ได้รู้จักเส้นทางที่เดียร์ใช้เดินมาจนถึงตอนนี้ และเป้าหมายงานของเดียร์ที่อยากจะสร้างพื้นที่ที่มีความสุขของเขาเอง คำถามคือมันสามารถสร้างให้เป็นไปได้จริงไหม? เดียร์ตอบด้วยความมั่นใจว่ามันสามารถเป็นไปได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา เหมือนการปลูกต้นไม้ที่ต้องพรวนดิน ลงเมล็ดพันธุ์ รดน้ำ รอคอยให้เขาเติบโต ถ้าใช้วิธีลัดหรือเร่งด้วยการใส่สารเคมี ผลผลิตที่ได้อาจจะเร็ว แต่ไม่คุ้มกับสุขภาพของคนกินและสภาพแวดล้อมรอบๆ คนทำ

การสร้างพื้นที่ของเดียร์จึงค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เริ่มจากการทำสวนเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มระบบ ควบคุม ดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานต่อ ขยายพื้นที่สร้างความรู้ให้กับชาวสวนคนอื่นๆ เพื่อให้เขาเห็นว่าการทำสวนมีหลายทางเลือก มีทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับตัวของชาวสวนเองและคนกิน แล้วค่อยรวมกลุ่มสร้างความแข็งแรงของชาวสวนที่จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและราคาเป็นธรรมให้กับผู้บริโภค 

จากเด็กอายุ 13 ปีกับสวนมันสำปะหลัง 3 ไร่ จนมาถึงชายวัย 25 ปี กับสวนเกษตรอินทรีย์ สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลา 13 ปี หัวใจของการทำสวน คือ ธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งในสวนล้วนแล้วแต่มีชีวิต มนุษย์เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ คอยช่วยเหลือเมื่อมันต้องการอะไร 

“สวนมันก็เกิดจากความเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมดา ไม่ต้องหรูหรา ปล่อยให้มันดูแลกันเอง ณ จุดหนึ่งเราช่วยมันบ้าง เพราะมันมีชีวิตนะ พวกจุลินทรีย์ หรือแมลงในสวน มันสามารถเติบโตและแข็งแรงด้วยตัวเองได้ เราแค่เข้าไปดูวิเคราะห์ว่าอะไรที่มันขาดไปหรืออะไรที่วิกฤติ ก็เติมให้มัน

“เราพยายามสร้างให้มันเกิดสมดุลหรือใกล้เคียงมากที่สุด เกิดและเป็นธรรม ทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อมและธุรกิจ”

Tags:

เกษตรกรกลุ่มรักษ์เขาชะเมากิตติธัช ดีการระยอง

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ต่อบล็อกไม้ ปั้นขนมไข่เต่า เดินสวนสมุนไพร เพื่อรู้จักชุมชน ที่ตำบลทุ่งควายกิน จังหวัดระยอง

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    เก็บบ๊วยหมักเหล้า เข้าสวนคนขี้เกียจ: เถื่อนทัวร์แบบรื่นรมย์ของคนบ้านหนองเต่า

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Voice of New Gen
    “ภูเขาหัวโล้น เพราะปลูกข้าวโพดเลี้ยงไก่ เรากินไก่ แล้วใครทำลายป่า? เฮ้ย เรานี่หว่า” วิชาธรรมชาติของแตง อาบอำไพ รัตนภาณุ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Education trend
    โรงเรียนนี้ ฟาร์มรู้ท่วมหัว เอาตัวยังไงก็รอด

    เรื่อง

ครูในดวงใจ: เขาเป็นใคร และเขาสอนให้เราเรียนรู้เรื่องอะไรกันนะ?
Unique Teacher
16 January 2020

ครูในดวงใจ: เขาเป็นใคร และเขาสอนให้เราเรียนรู้เรื่องอะไรกันนะ?

เรื่อง The Potential ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

วันนี้วันครู 16 มกราคม เราชวนคุยกันดีกว่าค่ะว่า “ครูในดวงใจของเราเป็นใคร” หรือ “อะไรคือครูของเราได้บ้าง?”

เวลาพูดถึงคำว่า ‘ครู’ แวบแรกแน่นอนว่าคือ ‘บุคคล’ ที่มีผลต่อการเติบโตของเราในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ครูที่เป็นแรงผลักดันสำคัญในชีวิตและแต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบของโรงเรียน แต่หาก ‘ครู’ คือผู้ที่ทำให้เราเรียนรู้อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย วิชาการหรือทักษะชีวิต เรื่องไร้หรือมีสาระ ไม่ว่าจะอะไร… ที่ทำให้เราเรียนรู้และรับสิ่งนั้นมาไว้ในชีวิต ประสบการณ์นั้นยังคงอยู่ในตัวและกลายเป็นเข็มทิศในชีวิต 

คำว่า ‘ครู’ ก็น่าจะเป็นใคร หรือสิ่งใด ก็ได้ทั้งนั้น 

เราชวนเพื่อนพ้องน้องพี่มาร่วมแชร์กันว่า ‘ครู’ ในดวงใจของแต่ละคนเป็นใคร ถามโดยไม่ปิดกั้นว่าต้องเป็นบุคคลเท่านั้น เราอยากรู้ว่า ‘ครู’ ของแต่ละคนหรือสิ่งใด และเขาสอนเราให้รู้จักกับอะไรบ้าง 

ว่าแต่… แล้วครูในดวงใจของคุณเป็นใครหรือสิ่งใดบ้างคะ เขาผู้นั้นสอนคุณในเรื่องอะไร และการเรียนรู้ในช่วงเวลานั้นทิ้งบทเรียนสำคัญอะไรเอาไว้ในชีวิต 🙂

สุขสันต์วันครูค่ะ ขอให้คนที่อยู่ในอาชีพครูทุกท่านยังมีไฟฝันและทำงานตามกำลังและความเชื่อของตัวเอง และก็ขอให้เราต่างเป็นครูของกันและกัน และให้ทุกวัน ทุกสิ่งที่เจอเป็น ‘การเรียนรู้’ ที่ดีและมีแต่ทำให้เราเติบโตนะคะ 

1.

ชื่อ-นามสกุล: ศรุตยา ทองขะโชค นักศึกษาจบใหม่
ครูในดวงใจ: อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษที่บอกเราว่า “I believe you can”
เหตุผล: เป็นอาจารย์ในชีวิตมหาวิทยาลัยที่ทำให้เรามีกำลังใจในการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ได้เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ แต่มันจำเป็นต้องใช้ก็อยากพูดได้ สื่อสารได้ เวลาเรียนกับอาจารย์ อาจารย์มักจะถาม ว่า “Fa, understand?” เราก็ยิ้มแหะๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อาจารย์ก็คงดูออก

มีครั้งนึงอาจารย์ให้ตอบคำถามแล้วเราอ้ำอึ้ง เขาบอกมาว่า “I believe you can, Fa” เท่านั้นแหละ ก็ยังอ้ำอึ้งอยู่ดี แต่หลังจากนั้นประโยคนี้มันแวบมาตลอดเวลาที่ไม่กล้าสื่อสารภาษาอังกฤษ แล้วก็ทำให้เราขยันที่จะหาความรู้ทางนี้มากขึ้น หาคำศัพท์ ดูหนัง ตามทวิต ตามไอจีที่สอนภาษาอังกฤษ ลงเรียนวิชาแปลข่าวภาษาอังกฤษกับอาจารย์คนนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะลงเรียนวิชานี้ได้เพราะกลัวทำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้นะ “because I believe I can” 

“มีครั้งนึงอาจารย์ให้ตอบคำถามแล้วเราอ้ำอึ้ง เขาบอกมาว่า ‘I believe you can, Fa’ หลังจากนั้นประโยคนี้มันแวบมาตลอดเวลาที่ไม่กล้าสื่อสารภาษาอังกฤษ ทำให้เราขยันที่จะหาความรู้ทางนี้มากขึ้น หาคำศัพท์ ดูหนัง ตามทวิตและไอจีที่สอนภาษาอังกฤษ ลงเรียนวิชาแปลข่าวภาษาอังกฤษกับอาจารย์คนนี้ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะลงเรียนวิชานี้ได้ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้นะ ‘cause I believe I can’”

2.

ชื่อ-นามสกุล: วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ 1 ใน 3 คณะบรรณาธิการ WAY
ครูในดวงใจ: ครูนิรนามท่านหนึ่งที่เกลียดชัง
เหตุผล: 

ผมมีครูหลายคน แต่อยากเลือกพูดถึงครูคนหนึ่งซึ่งผมเกลียดชังเขา เขามักประกอบบาดแผลให้ตนและผู้อื่นอยู่เป็นนิจศีล ฝักใฝ่หาความสบายเป็นที่ตั้ง หลบหลีกปัญหาแทนเผชิญหน้า ก่อการ สำนึก ละอาย จะไม่ทำมันอีก แต่ผลิตซ้ำพฤติกรรมเดิม ผมเฝ้ามองเขามานาน บางครั้งเขาทำทีเหมือนจะดีขึ้น บางครั้งเขาก็เหมือนไม่เคยเรียนรู้อะไร แม้ผมจะเกลียดเขา แต่ยังให้โอกาสเขาเสมอมา ให้โอกาสเขาเรียนรู้ และผมก็ได้เรียนรู้ด้วย เพราะเขาคือผม ผมคือเขา คนที่อยู่ข้างใน 

“แม้จะเกลียดแต่ผมยกให้เขาเป็นครูคนหนึ่ง แม้ผมจะเกลียดครูคนนี้ แต่การมีเขาอยู่ การตระหนักรู้ว่าผมมีเขาอยู่ มันทำให้รู้ว่าชีวิตนี้คือการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และบทเรียนที่เรียกว่า ‘ความจริง’ ไม่ใช่วิชาที่ง่ายเลย”

“แม้จะเกลียดแต่ผมยกให้เขาเป็นครูคนหนึ่ง แม้ผมจะเกลียดครูคนนี้ แต่การมีเขาอยู่ การตระหนักรู้ว่าผมมีเขาอยู่ มันทำให้รู้ว่าชีวิตนี้คือการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และบทเรียนที่เรียกว่า ‘ความจริง’ ไม่ใช่วิชาที่ง่ายเลย”

3.

ชื่อ-นามสกุล: ขวัญชาย ดำรงค์ขวัญ เจ้าของเพจมนุษย์กรุงเทพฯ, สื่อมวลชน
ครูในดวงใจ: ครูที่สอนให้เขียนหนังสือเป็น เป็นคนแรก
เหตุผล:

ผมอายุสามสิบกว่าแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องเจอครูมาหลายคน แต่ทุกครั้งที่พูดถึงครูคนสำคัญในชีวิต พี่แตง (นิรมล มูนจินดา) คือคนแรกที่นึกถึง 

ตอนผมเป็นกองบรรณาธิการเว็บไซต์มูลนิธิโลกสีเขียว (เว็บไซต์ข่าวสิ่งแวดล้อม) พี่แตงเป็นบรรณาธิการหนังสือเล่ม ขณะนั้นมีช่วงสั้นๆ ที่เว็บไซต์ไม่มีบรรณาธิการ พี่แตงเลยต้องมาช่วยดูแลน้องในทีม ครั้งแรกๆ ผมเขียนบทความเรื่องแยกขยะให้พี่แตงตรวจ ก่อนส่งคิดว่าคงผ่านง่ายๆ เพราะประเด็นไม่ได้ยากอะไร ตอนนั้นมั่นใจในตัวเองด้วย เพราะสมัยเรียนเคยทำคะแนนวิชาเขียนสารคดีได้ค่อนข้างดี แต่ความเป็นจริงคือ พี่แตงแก้ต้นฉบับอย่างละเอียด อย่าว่าแต่ทีละบรรทัดเลย พี่แตงแทบจะสอนทีละวรรคด้วยซ้ำ คนไม่เคยโดนแก้งานหนักแบบนั้น ยอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจไปเลย ในใจแบ่งเป็นสองเสียง หนึ่ง ไม่เห็นผิดอะไรเลย ทำไมต้องแก้ด้วย และสอง จริงด้วย แก้แล้วอ่านไหลลื่นขึ้น สุดท้ายผมยอมทำตามที่พี่แตงสอน

ไม่รู้ว่าองค์กรอื่นทำงานกันยังไงนะ ทุกครั้งที่ผมส่งงานไป พี่แตงปรินท์งานออกมาเป็นกระดาษ ก้มหน้าอ่านบทความอยู่เนิ่นนาน แล้วขีดเขียนแก้ไขอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่นั้น เขาค่อยๆ อธิบายอย่างตั้งใจด้วย ทั้งในแง่ประเด็นและหลักภาษา ด้วยเป็นองค์กรเล็กๆ การทำงานเลยไม่ได้ตามข่าวรายวันมากนัก พอผมเสนอทำบทสัมภาษณ์หรือสารคดีประเด็นต่างๆ พี่แตงก็ร่วมคิดและให้คำแนะนำอย่างเต็มใจ

ผมยึดอาชีพทำงานเขียนมาร่วมสิบปีแล้ว แม้จะได้ทำงานด้วยกันแค่ช่วงสั้นๆ (หลังจากเปลี่ยนงาน ผมยังโทรไปปรึกษาพี่แตงเป็นระยะ แม้ว่าบางครั้งเขาตอบไม่ได้ แต่ก็สบายใจที่ได้คุยกัน) แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งผลต่อทิศทางชีวิตอย่างมาก

“พี่แตงแก้ต้นฉบับอย่างละเอียด อย่าว่าแต่ทีละบรรทัดเลย แกแทบจะสอนทีละวรรคด้วยซ้ำ คนไม่เคยโดนแก้งานหนักแบบนั้นยอมรับว่าสูญเสียความมั่นใจไปเลย ในใจแบ่งเป็นสองเสียง หนึ่ง ไม่เห็นผิดอะไรเลย ทำไมต้องแก้ด้วย และสอง จริงด้วย แก้แล้วอ่านไหลลื่นขึ้น สุดท้ายผมยอมทำตามที่พี่แตงสอน

“ผมยึดอาชีพทำงานเขียนมาร่วมสิบปีแล้ว แม้จะได้ทำงานด้วยกันแค่ช่วงสั้นๆ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งผลต่อทิศทางชีวิตอย่างมาก”

4.

ชื่อ-นามสกุล: ผศ.ดร.นิธิดา แสงสิงแก้ว วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ครูในดวงใจ: ครูที่ทำให้เข้าใจว่า ‘การเรียน’ กับ ‘การเรียนรู้’ ต่างกันอย่างไร
เหตุผล:

ถ้าคิดถึงครูที่เป็นคนจริงๆ จะคิดถึงอาจารย์ท่านนึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เข้าคลาสแรกอาจารย์ก็สั่งจัดโต๊ะใหม่เป็นวงกลมให้ทุกคนได้เห็นหน้ากัน ก่อนเริ่มบทเรียนที่เตรียมมา อาจารย์ชวนคุยก่อนเลยว่าวันนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้าง วิเคราะห์ให้ฟังหน่อย แล้วให้พูดทีละคนจนครบวง เป็นแบบนี้ทุกคาบ จำได้ว่าใจเต้นก่อนเข้าห้องทุกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนจะไปรบแบบนั้นเลย มาถึงตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็น trick ให้เด็กไปแสวงหาความรู้ที่เป็นวัตถุดิบด้วยตัวเอง 

ในห้องเรียนอาจารย์จะช่วยเกลา ต่อยอดและช่วย facilitate ให้ทั้งห้องเรียนรู้ไปพร้อมกัน วิชาแบบนี้ เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม ต้องอ่าน ต้องค้นคว้าให้ตัวเองมีของไปแลกเปลี่ยนในห้องให้ได้ ในเชิงกระบวนการสื่อสารมันได้ครบเลยนะ ทั้งคิด ทั้งวิเคราะห์ ทั้งตัดสินใจ ทั้งนำเสนอ น่าสนใจว่าพอทำสักพักมันเริ่มชินและกลายเป็นนิสัย เราจะสนุกกับการอ่าน ชอบคิด ชอบแลกเปลี่ยนความเห็นจนเป็นนิสัยถึงทุกวันนี้ 

อาจารย์แบบนี้ทำให้เราเข้าใจจากหัวใจเลยว่าการเรียนกับการเรียนรู้มันต่างกันอย่างไร

“จำได้ว่าใจเต้นก่อนเข้าห้องทุกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนจะไปรบแบบนั้นเลย มาถึงตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็น trick ให้เด็กไปแสวงหาความรู้ที่เป็นวัตถุดิบด้วยตัวเอง พอทำสักพักมันเริ่มชินและกลายเป็นนิสัย เราจะสนุกกับการอ่าน ชอบคิด ชอบแลกเปลี่ยนความเห็นจนเป็นนิสัยถึงทุกวันนี้ อาจารย์แบบนี้ทำให้เราเข้าใจจากหัวใจเลยว่าการเรียนกับการเรียนรู้มันต่างกันอย่างไร”

5.

ชื่อ-นามสกุล: นายรดิศ ค้าไม้ นักศึกษาชั้น ปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครูในดวงใจ: เกมออนไลน์ที่ทำให้เข้าใจระบบเศรษฐกิจเหตุผล: 

เกมออนไลน์สอนการใช้ชีวิตให้ผม ผมเล่นตั้งแต่ตอนที่ผมอายุประมาณ 7-8 ขวบ เกมนี้มันก็มีระบบค้าขายให้เราต้องหาของมาขายแลกเปลี่ยน ทำให้เราเข้าใจระบบเศรษฐกิจว่าของที่มีน้อยราคาจะแพง ของที่หาง่าย ขายได้ไม่เยอะก็ราคาถูก ทำให้เราเข้าใจเลยว่าการค้าขายจริงๆ เป็นยังไง มันยังมีระบบปาร์ตี้ให้เรากับเพื่อนไปสู้กับมอนสเตอร์ มันสอนการเข้าสังคม รู้จักบทบาทหน้าที่ของตัวเอง เรื่องความสามัคคี เพื่อให้เราจัดการกับมอนสเตอร์ได้ มันให้ประสบการ์ณหลายๆ อย่างที่ใกล้เคียงกับโลกจริงๆ ซึ่งในโลกจริงอาจไม่เคยได้ทำหรือทำไม่ได้

“เกมออนไลน์สอนการใช้ชีวิตให้ผม ผมเล่นเกมนี้ตั้งแต่ 7-8 ขวบ ว่าด้วยระบบค้าขาย ต้องหาของมาแลกเปลี่ยน ให้เข้าใจระบบเศรษฐกิจว่าของที่มีน้อยราคาจะแพง ของที่หามาขายได้ไม่เยอะจะราคาถูก เกมให้ประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ใกล้เคียงกับโลกจริงๆ ซึ่งในโลกจริงอาจไม่เคยได้ทำหรือทำไม่ได้” 

6.

ชื่อ-นามสกุล: กตัญญู สว่างศรี ซีอีโอแห่งครีเอทีฟเอเจนซี Katanyu86ครูในดวงใจ: แม่ ครูในดวงใจที่สอนสิ่งเล็กน้อยแต่คือพื้นฐานชีวิตเหตุผล: 

ครูในดวงใจของเราคือแม่ แม่เป็นครูที่สอนให้เราเข้าใจด้วยการเปิดโอกาสให้เราทำทุกอย่างที่เราสนใจ แม้ว่าข้อจำกัดของแม่จะมากมาย แม่ไม่เคยสอนเราแบบจริงจังในเรื่องความคิด แต่สอนเรื่องเล็กน้อยตั้งแต่ หุงข้าว ซักผ้า เช็ดพัดลม เพราะแม่ไม่เคยกำหนดหรือหวังให้เราเป็นอะไร ทุกอย่างที่แกสอนจึงคือพื้นฐานชีวิต และนั่นทำให้แม่เป็นครูในดวงใจ ที่ห่วงใยและเปิดกว้างให้เราอย่างแท้จริง

“แม่ไม่เคยสอนเราแบบจริงจังในเรื่องความคิดแต่สอนเรื่องเล็กน้อยตั้งแต่ หุงข้าว ซักผ้า เช็ดพัดลม เพราะแม่ไม่เคยกำหนดหรือหวังให้เราเป็นอะไร ทุกอย่างที่แกสอนจึงคือพื้นฐานชีวิต นั่นทำให้แม่เป็นครูในดวงใจ ที่ห่วงใยและเปิดกว้างให้เราอย่างแท้จริง”

7.

ชื่อ-นามสกุล: ชนสรณ์ เฉียบเอี่ยมเชาน์ ผู้อำนวยการบ้านซันเสร่ (ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนของตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี)
ครูในดวงใจ: นักเรียนที่สอนให้เห็นความหลากหลายของการเป็นมนุษย์
เหตุผล

สำหรับเรา ครูที่เรารักที่สุดคือนักเรียนที่เราสอนนี่แหละ ทุกครั้งที่เราสอน เราไม่ได้คิดว่าเรามีก้อนความรู้อะไรไปให้เขา แต่เราจะคิดว่าเรามีความรู้อยู่ก้อนนึง ลองเอามานั่งคิดนั่งคุยกันดู แล้วไอ้ตอนนั่งคิดนั่งคุยนี่แหละที่ชอบมีอะไรทำให้เราตกใจได้เสมอเพราะมันหลากหลายมากๆ วิธีคิดของเด็กบางคนสะท้อนถึงวิธีการเลี้ยงดู บางคนสะท้อนถึงประสบการณ์ที่เคยเจอ บางคนสะท้อนถึงสภาพสังคมและการเมืองในยุคที่เขาเติบโตมา สำคัญที่สุดคือทุกวิธีคิดสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์มีความรู้สึกออกมาภายใต้บทบาทความเป็นลูก เป็นนักเรียนหรือเป็นประชาชนคนนึง ทุกครั้งที่เราเข้าสอน คนที่ได้อะไรกลับไม่ใช่แค่นักเรียนของเรา แต่มันเพิ่มความ empathy ให้เราในทุกๆ ครั้งที่ได้คุยกับนักเรียน

“นักเรียนคือครูที่เรารักที่สุด นักเรียนชอบมีอะไรมาทำให้เราตกใจได้เสมอ วิธีคิดของเด็กบางคนสะท้อนถึงการเลี้ยงดู ประสบการณ์ที่เขาเคยเจอ หรือสภาพสังคมและการเมืองในยุคที่เขาเติบโตมา สำคัญที่สุดคือวิธีคิดสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกภายใต้ความเป็นลูก นักเรียน หรือเป็นประชาชนคนนึง” 

8.

ชื่อ-นามสกุล: นายวิศรุต ชาลี นักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมพอลิเมอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีครูในดวงใจ: ที่ปรึกษาที่สอนตั้งแต่ความผิดหวังยันธุรกิจสตาร์ทอัพเหตุผล:  

เขาชื่อครูพี่ต้นฮะ เขาอาจไม่ใช่ครูสอนหนังสือจริงๆ แต่เขาสอนเรื่องการใช้ชีวิต สอนการทำสตาร์ทอัพ ให้แนวคิด เป็นที่ปรึกษาที่ดี เขายังสอนให้ผมรู้จักการต้องเจอกับความผิดหวัง ตอนล้มเหลว ให้เรารีบลุกเพื่อหาจุดยืนใหม่ หลายๆ อย่างจากพี่คนนี้ทำให้ผมมีทุกวันนี้และเดินมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

“เขาอาจไม่ใช่ครูสอนหนังสือจริงๆ แต่สอนเรื่องการใช้ชีวิต การทำสตาร์ทอัพ ให้แนวคิด เป็นที่ปรึกษาที่ดี เขายังสอนให้ผมรู้จักการต้องเจอกับความผิดหวัง ตอนล้มเหลว ให้เรารีบลุกเพื่อหาจุดยืนใหม่ หลายๆ อย่างจากพี่คนนี้ทำให้ผมมีทุกวันนี้และเดินมาจนถึงทุกวันนี้ครับ”

9.

ชื่อ-นามสกุล: กันตพร สวนศิลป์พงศ์ นิสิตปริญญาโทคณะจิตวิทยา สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา ปี 2

ครูในดวงใจ: คนในความสัมพันธ์ทั้งที่จบไปและยังอยู่

เหตุผล: มีไม่กี่คนหรอกที่เราจะเปิดเผยและใช้ความเป็นตัวเองมากๆ เวลาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเมื่อมีการทะเลาะ การไม่ลงรอย การจบความสัมพันธ์ มันก็เกิดบาดแผลให้เราต้องทำแผล การทำแผลตรงนั้นคือการต้องกลับมาเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า อะไรทำให้เราเลือกกระทำหรือแสดงออกแบบนั้น มีอะไรไหมที่เราคิดแคบไป หรือจริงๆ แล้วเราเห็นแต่อีกคนในสายตาจนไม่รักตัวเองเลย บางทีเมื่อนึกย้อนก็พบความผิดพลาดในอดีตที่ไม่เคยรู้ตัว พอพบก็เลยเข้าใจว่าเราจะอยู่กับอีกคนให้ดีขึ้นได้ยังไง คำตอบคือเราต้องเข้าใจและยอมรับตัวเอง พร้อมๆ กับเข้าใจและยอมรับในตัวอีกคนด้วย เรื่องนี้พูดง่ายทำยาก แต่ถ้าทำได้ ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะจบหรือยังประคองไว้ได้อยู่ ความเข้าใจที่ได้ก็มีแต่กำไร เพราะมันจะทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้น บางทีเราคิดเล่นๆ ด้วยซ้ำว่า ชีวิตคงส่งคนคนนี้เข้ามาเพื่อสอนให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นในแง่มุมนี้

“เราต้องเข้าใจและยอมรับตัวเอง พร้อมๆ กับเข้าใจและยอมรับในตัวอีกคนด้วย ความเข้าใจที่ได้มีแต่กำไร เพราะมันจะทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้น”

10.

ชื่อ : ชยนพ บุญประกอบ ผู้กำกับภาพยนตร์

ครูในดวงใจ: คาวาโต้ จากการ์ตูนเรื่อง ‘Rookies’

เหตุผล: คาวาโต้เป็นครูมือใหม่ไฟแรง เป็นคนซื่อๆ (จนบางทีก็บื้อ) แต่มีสิ่งที่เขาจริงจังอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ นั่นคือการให้ความสำคัญกับการมีความฝันและลงมือทำ ภารกิจของคาวาโต้คือการฟื้นฟูชมรมเบสบอลที่เหลวแหลก เต็มไปด้วยเด็กเกเรที่ใช้ห้องพักนักกีฬาเป็นบ่อนการพนัน คาวาโต้มักถามทุกคน (ออกไปดื้อๆ) ว่า ‘ความฝันของพวกเธอคืออะไร’ มันดูเชยและทื่อมาก แต่สุดท้ายคาวาโต้ก็ชนะใจนักเรียนเกเรทุกคนให้ตระหนักถึงการมีความฝันและทำเต็มที่เพื่อให้ฝันนั้นสำเร็จ (ในที่นี้คือการเล่นเบสบอล โดยใช้ข้อดีและความถนัดของแต่ละคน เช่น คนขี้ขโมยฝีเท้าไว เปลี่ยนเป็นตัวขโมยเบส, อันธพาลจอมบ้าพลัง เปลี่ยนเป็นนักตีโฮมรัน) ด้วยความจริงใจและทุ่มเทต่อสิ่งที่ทำแบบสุดความสามารถของคาวาโต้ ทำให้คำสอนของเขา เช่น “ห้ามดูถูกความฝันของคนอื่น”, “ความกรุณาคือดอกไม้แห่งความดี” และ “คนเรามีข้อดีเพียงข้อเดียว ก็นับเป็นข้อดี”  ที่อาจจะฟังดูเลี่ยนๆ แต่ติดตรึงใจผมมาก”

เล่าแล้วจะยาว เอาเป็นว่า Rookies คือการ์ตูนที่ชอบอ่านที่สุดในชีวิตเรื่องหนี่งและหยิบมาอ่านซ้ำนับไม่ถ้วน เพื่อรับพลังและคำสอนจากการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากคุณครูท่านนี้

“ห้ามดูถูกความฝันของคนอื่น”, “ความกรุณาคือดอกไม้แห่งความดี” และ “คนเรามีข้อดีเพียงข้อเดียว ก็นับเป็นข้อดี”  เป็นคำสอนที่อาจจะฟังดูเลี่ยนๆแต่ติดตรึงใจผมมาก

Rookies คือการ์ตูนที่ชอบอ่านที่สุดในชีวิตเรื่องหนึ่งและหยิบมาอ่านซ้ำนับไม่ถ้วน เพื่อรับพลังและคำสอนจากการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากคุณครูท่านนี้

Tags:

ครูอีเวนต์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เพราะเด็กคือความหวัง และนิทานมีพลังกว่าที่คิด: “ป่าดอยบ้านของเรา” ให้นิทานสร้างเด็กเพื่อให้เด็กสร้างเมือง

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

‘การเล่น’ คืองานที่เด็กทุกคนต้องได้ทำอย่างสุดความสามารถ
Learning TheoryEarly childhood
15 January 2020

‘การเล่น’ คืองานที่เด็กทุกคนต้องได้ทำอย่างสุดความสามารถ

เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • การเล่น ถือเป็นห้วงเวลาที่สมองของเด็กๆ ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
  • November Play: เทศกาลลานเล่นอิสระ คือเทศกาลที่แปลงร่างพื้นที่ในสวนให้กลายเป็นพื้นที่เล่นอิสระ (free play) ช่วยเปิดประสบการณ์เล่นให้เด็กๆ ได้เล่นอย่างอิสระและปลอดภัย ผ่านการลองหยิบจับ ลองปีนป่าย สัมผัสทราย และฝึกต่อท่อข้อต่อของเล่น

พอได้ยินคำว่า ‘สนามเด็กเล่น’ สิ่งที่ลอยเข้ามาในหัวหนีไม่พ้นไม้กระดก กระดานลื่น ชิงช้า ของเล่นปีนๆ โหนๆ ที่ทำจากวัสดุเป็นเหล็กบ้าง สังกะสีบ้าง และก็มักทาสีเขียว เหลือง แดง เหมือนที่เห็นทั่วไปในโรงเรียน สวนสาธารณะ หรือตามสถานที่ราชการต่างๆ ซึ่งก็ไม่ผิดนักเพราะนี่คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ทั่วไปในบ้านเรา แต่ไม่ใช่กับที่นี่ เทศกาล November Play: เทศกาลลานเล่นอิสระ ณ สวนไฟฝัน จัดโดย กลุ่มไม้ขีดไฟ เทศกาลที่แปลงร่างพื้นที่ในสวนให้กลายเป็นพื้นที่เล่นอิสระ (free play) สำหรับเด็ก เปิดให้เล่นกันยาวๆ ตลอดทั้งเดือนตั้งแต่ 8-30 พฤศจิกายน 2562 หลังจากแอบดูเด็กเล่นมาทั้งเดือน จึงอยากเก็บมาเล่าสู่กันฟังบ้างว่า ‘ทำไมเรื่องเล่นถึงถูกให้ความสำคัญขนาดนั้น’  

ที่บอกว่าสนามเด็กเล่นที่เคยเห็นที่อื่น ไม่ใช่กับสนามเด็กเล่นที่ลานเล่นอิสระ ก็เพราะว่า ‘สนามเด็กเล่น’ ในความหมายของที่นี่คือการเล่นอย่างอิสระ (free play) ที่นี่เราจะไม่เห็นวัสดุที่เป็นเหล็ก สังกะสี ไม่เห็นของเล่นสีสันฉูดฉาด แต่เรากลับเห็นสนามสีเขียวที่มีของเล่นทำจากไม้ ทราย น้ำ หรือเศษวัสดุเหลือใช้แทน ของเล่นทุกชิ้นเป็นสีธรรมชาติ ไม่มีการย้อมด้วยสีเคมีใดๆ  

จากสนามหญ้าโล่งๆ สู่พื้นที่เล่นอย่างสร้างสรรค์ และปลอดภัย

เพราะประสบการณ์ในการสัมผัสธรรมชาติส่งผลให้เด็กมีจินตนาการอย่างอิสระ ส่งผลต่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ง่าย สีและการสัมผัสธรรมชาติเป็นสัมผัสที่นุ่มนวลและจริง เด็กสัมผัสทรายจริง ไม้จริง สีไม้จริงๆ ไม่ใช้ไม้ที่ย้อมสี นั่นคือสัมผัสที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ ส่งผลให้เด็กมีความเข้าใจธรรมชาติ

นอกจากนี้ ของเล่นทุกอย่างที่มีก็ตอบโจทย์พัฒนาการตามวัยของเด็ก (โดยเฉพาะการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กใหญ่) ของเล่นที่เห็นจึงต้องสัมผัสได้ ขยำได้ มุดได้ ปีนป่ายได้ ให้เสียงได้ สร้างจินตนาการต่อได้ เราจึงไม่เห็นของเล่นสำเร็จรูปประเภท ตุ๊กตาพลาสติก รถถัง หรือหุ่นยนต์ที่นี่ เพราะของเล่นที่เหมือนจริงจนเกินไป ได้บั่นทอนจินตนาการของเด็กไปจนแทบจะหมดสิ้นแล้ว

Play Worker: เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลให้เล่นอย่างปลอดภัย แต่ไม่ต้องป้องกันจนหมดความท้าทาย

นอกจากโครงสร้างของเล่นเหล่านี้ต้องคำนึงถึงในการออกแบบแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างคือความ ปลอดภัยในการเล่น ที่ต้องคำนึงถึงตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ รูปแบบของของเล่น เหลี่ยมมุม การติดตั้ง จุดที่วางของเล่นแต่ละชนิด เป็นต้น ทุกอย่างต้องคิดให้จบตั้งแต่ขั้นตอนแรก

แม้แต่ของเล่นบางชนิดที่ดูเสี่ยง แต่ถ้าถูกคิดและออกแบบอย่างดี ความเสี่ยงนั้นจะกลายเป็นความท้าทายของเด็กในที่สุด นอกจากนี้เมื่อเด็กๆ มาเล่นจริงก็ต้องมีผู้ใหญ่ที่เป็น ‘ผู้ดูแลการเล่น’ หรือที่เรียกว่า play worker คอยดูแลอยู่ในสนาม play worker ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกฎแต่อย่างใด บทบาทหลักของ play worker คือ การดูเด็กเล่น เล่นบางอย่างให้เด็กดู และเล่นกับเด็กในบางครั้ง  

อาจมีบ้างที่ play worker ต้องประกบหากการเล่นนั้นเลยเถิดจนอาจเกิดอันตรายได้ แต่ที่นี่ไม่มีผู้ใหญ่ที่คอยยืนตะโกนบอกเด็กว่า “เล่นเบาๆ สิลูก” “ลงมาอย่าขึ้นไป” “ไปเล่นทางโน้น อย่ามาเล่นทางนี้” บลา บลา บลา เพราะหากพื้นที่เล่นนั้นถูกออกแบบมาอย่างดีแล้ว การเล่นของเด็กจะลื่นไหลโดยที่ผู้ใหญ่แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย

การที่ play worker เล่นบางอย่างให้เด็กดู เด็กจะเกิดการเลียนแบบ เริ่มเล่นตามเรา และพลิกแพลงเองได้เมื่อไม่ถูกห้ามให้เล่นตามกติกา ผู้ใหญ่จึงเป็นแค่ผู้ดูแลการเล่นจริงๆ ไม่ใช่ทำหน้าที่ปกป้องจนเด็กหมดสนุก เพราะบางครั้งการปกป้องมากเกินไปก็บั่นทอนความท้าทายเด็กเช่นกัน

แอบดูเด็กๆ เล่นกันอย่างไรในพื้นที่เล่นแบบนี้

สำหรับเด็กปฐมวัยจะใช้เวลาเล่นประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึง สองชั่วโมง ในช่วง 20 นาทีแรกเราจะเห็นเด็กๆ วิ่งเข้าหาของเล่นด้วยความตื่นเต้น ลองเล่น ลองจับ ลองปีนป่ายของเล่นเกือบทุกชิ้น ชวนกันมาเล่น มีต่อคิวบ้าง แซงคิวบ้าง แต่จะยังไม่เล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่งจริงจังนัก

หลังจากที่สำรวจจนครบหรือจนสาแก่ใจแล้ว คราวนี้เราจะเริ่มเห็นเขาเล่นของเล่นชิ้นที่ตัวเองชอบ ที่ตัวเองสนใจ รู้ได้อย่างไรว่าเขาสนใจ? เราจะเห็นว่าเขาเริ่มใช้เวลาอยู่กับของชิ้นนั้นนานขึ้น ทำซ้ำๆ พยายามแล้วพยามยามอีกโดยไม่สนใจว่าเพื่อนจะเล่นอะไร แต่ตัวเองจะสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า มีบ้างที่ชักชวนเพื่อนมาเล่นด้วยกันแต่ไม่แห่ตามกันไปเหมือนช่วงแรก จังหวะนี้เราเริ่มเห็นเด็กบางคนกำลังท้าทายตัวเอง เช่น ที่เคยกล้าๆ กลัวๆ ของเล่นกลุ่มปีนป่าย แต่พอถูกเสริมแรงจาก play worker ว่า “ลองทำดู” “หนูทำได้นี่” เด็กก็มักจะกลับมาเล่นซ้ำ และได้พยายามแล้ว พยายามอีกเพื่อเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ หรือบางคนก็จะมีสมาธิกับของเล่นบางอย่างนานๆ โดยไม่สนใจคนอื่น

มาถึงช่วงสุดท้ายเมื่อเขาได้เล่นอย่างอิสระโดยไม่มีใครกำกับการเล่นของเขา เด็กจำนวนหนึ่งจะเริ่มพลิกแพลงการเล่นให้เป็นแบบของตัวเอง ช่วงนี้เราจะเห็นเด็กๆ มิกซ์ของเล่นสองอย่างที่อยู่ใกล้ๆ เข้าด้วยกันบ้าง เปลี่ยนรูปแบบการเล่นเดิมที่เคยเล่นบ้าง โอ้อวดเพื่อนหรือครูว่าสามารถสร้างสิ่งใหม่ได้บ้าง ช่วงนี้แหละเป็นช่วงสำคัญที่สมองได้พัฒนาจากการเล่นอย่างเต็มที่  

ลองคิดดูว่าถ้าตั้งแต่นาทีแรกที่มาถึง เด็กๆ ถูกกำกับ ถูกดุ ถูกจัดการการเล่นเพียงเพราะผู้ใหญ่กลัวอันตราย กลัวเลอะ กลัวทะเลาะกัน จะมีนาทีนี้ไหม นาทีที่สมองได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่จากการเล่น

แอบส่อง ของเล่นแต่ละชนิด พาเด็กๆ ไปเจออะไรในตัวเอง

  • ปีนๆ ป่ายๆ ได้อะไร

สำหรับเด็กเล็ก ทั้งเชือกถักและหน้าผาไม้เป็นของเล่นที่น่าแอบมองเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งแอบมอง ยิ่งเห็นเลยว่าเด็กๆ กำลังท้าทายตัวเอง สะสมความมั่นใจ ความภาคภูมิใจ จนเข้าไปอยู่ในเนื้อในตัวอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะสิ่งที่เราเห็นคือเด็กมักจะกล้าๆ กลัวๆ ที่จะปีน เก้ๆ กังๆ ใจนึงก็อยาก ใจนึงก็กลัว จังหวะนี้เป็นโอกาสทองที่พ่อแม่ ครู หรือ play worker แค่พูดประโยคเหล่านี้ “ลองดูไหมลูก” “เชื่อนะว่าหนูทำได้” “แม่/ครู/พี่ ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องกลัว” “ค่อยๆ ก้าว ใจเย็นๆ ทำได้อยู่แล้ว” เท่านั้นแหละ รับรองได้ว่าเด็กจะเริ่มต้นทำในสิ่งที่อาจจะเคยกลัวหรือไม่เคยทำเลยทั้งชีวิต

แรกๆ ก็จะขึ้นไปนิดเดียวก่อนแล้วก็ลงมา คำพูดของผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลการเล่นก็จะมีความสำคัญอีกครั้ง “ลองขึ้นสูงอีกนิดไหมลูก” “สูงกว่านี้หนูก็น่าจะทำได้นะ” “แม่เชื่อมั่นว่าหนูทำได้” “ลองดูอีกรอบ” จังหวะนี้คือการให้เด็กได้ท้าทายตัวเอง เพิ่มเป้าหมายให้สูงขึ้นจนสำเร็จได้ในที่สุด และเมื่อทำสำเร็จ ทำได้ แน่นอนที่สุด สำหรับเด็กแล้ว คำชมจากผู้ใหญ่ พ่อแม่ หรือครู เป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

เพราะนั่นกำลังย้ำว่าความสำเร็จที่เขาท้าทายตัวเองจนผ่านมันไปได้นั้นมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

สำคัญไปกว่านั้นคือ คุณค่าและความภูมิใจนั้นมันจะอยู่ในเนื้อในตัวของเขา การสะสมความภาคภูมิใจไปเรื่อยๆ นั่นคือการสะสม self-esteem ลงในใจเด็กไปเรียบร้อยแล้ว

ยังไม่นับประโยชน์ที่จะได้รับทางกายคือ การพัฒนากล้ามเนื้อมือแขนขาให้แข็งแรง อันนี้เกิดขึ้นแน่ๆ เมื่อเด็กได้ปีนป่าย เด็กที่ปีนป่ายเก่งมักจะเขียนหนังสือดี ลองพิสูจน์ดูสิ

กับเด็กโตก็ไม่ต่างกัน มีกิจกรรมปีนต้นไม้ ที่เป็นการปีนที่มีอุปกรณ์ มีผู้เชี่ยวชาญดูแล และมีความท้าทายที่มากขึ้น สิ่งที่เห็นเด็กโตก็ได้สะสมทักษะชีวิตผ่านกิจกรรมนี้เช่นกัน

เริ่มจากก่อนการตัดสินใจใส่ชุดปีน เด็กๆ หลายคนต้องท้าทายตัวเอง ก้าวผ่านความกลัวให้ได้ก่อนแล้วค่อยๆ เดินไปสวมชุด เมื่อชุดติดอยู่กับเอวแล้วก็ต้องบอกตัวเอง ให้ลุย step ต่อไป ขั้นตอนนี้คือชีวิตเลยแหละ เราต้องผ่านมันให้ได้ เพราะทันทีที่เราก้าวออกจาก safe zone ก็เท่ากับเปิด learning zone ของตัวเองให้กว้างขึ้น

เมื่อก้าวผ่านความกลัวได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็กำหนดเป้าหมาย  “ปีนขึ้นไปสองคืบพอ” “1 เมตรนะ” “ไปสูงสุดเลย” “ขึ้นไปกอดต้นไม้ให้ได้” เป้าของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ที่เหมือนกันคือเด็กทุกคนพยายามไปให้ถึงเป้าหมาย และอีกหลายคนเมื่อถึงเป้าที่ตั้งไว้แล้ว ค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายขึ้นไปอีกทีละหน่อย เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุด

ขั้นตอนนี้บอกอะไร บอกว่าการพยายามก้าวผ่านทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้เป็นทักษะที่เด็กๆ ต้องมี เมื่อไปจนสุดทางแล้วก็ challenge ตัวเองให้ไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต่อไป มันเป็นทักษะสำคัญที่บอกหรือสอนไม่ได้ ต้องเผชิญเอง ต้องเจอเองจากการเล่นนี่แหละ

สุดท้ายเมื่อภารกิจทุกอย่างสำเร็จ สิ่งที่ติดตัวเด็ก คืออะไร? คือ การเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรยากเกินศักยภาพของเรา เรียนรู้ว่าเมื่อเราก้าวออกจาก safe zone ได้ learning zone มันหอมหวานขนาดไหน เรียนรู้ว่า โลกแห่งการเรียนรู้มันกว้างใหญ่ยิ่งนัก

  • ท่อ และข้อต่อ ของเล่นง่ายๆ แต่ประสิทธิภาพสูงส่ง

เราแอบมองเด็กน้อยอายุประมาณ 4-5 ขวบคนนึงอยู่ห่างๆ เขากำลังง่วนกับท่อและข้อต่อนี้อยู่นานราว 20 นาที เล่นอยู่คนเดียว ไม่สนใจของเล่นอื่นๆ ที่เพื่อนๆ กำลังเล่นอยู่ เขาจับมาต่อ จับมาตั้ง ต่อแล้วถอดออก ถอดแล้วต่อใหม่ บางจังหวะถอยออกไปยืนเล็งแล้วกลับมาต่อใหม่

เราไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรและต้องการต่อเป็นอะไรเพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของการเล่นอิสระ ในขณะที่เด็กใช้เวลาอยู่กับของเล่นชิ้นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนคือ เด็กมีจินตนาการ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาแบบที่ผู้ใหญ่ต้องการโดยไม่ต้องท่อง ก ข ค ก็ได้ เสริมสร้างสมาธิ ซึ่งผู้ใหญ่ทุกคนรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมให้เด็กมี เพราะจะส่งผลต่อการเรียนและการงานของเด็กในอนาคต ได้ฝึกทักษะการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ ของเล่นแบบนี้เหมือนการทำงานของเด็ก พวกเขาต้องฝึกวางแผน ตั้งเป้าหมาย และทำให้สำเร็จ หากไม่เป็นไปตามแผนก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ใหม่ ถอดออก ทุกอย่างล้วนเกิดทักษะทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือให้แข็งแรง เมื่อกล้ามเนื้อมือแข็งแรง ก็จับดินสอได้ดี จับดินสอได้ดีก็เขียนหนังสือได้ดี ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าไม่เร่งเด็ก ไม่ข้ามขั้นตอน ไม่มีเด็กคนไหนโง่แน่นอน

  • ‘ทราย’ ของง่ายๆ ที่หาได้ทุกบ้าน กลายเป็นมหาวิทยาลัยของเด็ก

ทรายเป็นของที่หาได้ไม่ยากเลย ยากดีมีจนอย่างไรเราก็หาทรายให้เด็กเล่นได้ ทรายกับเด็กเป็นของคู่กันมากๆ เวลาเด็กเล็กเล่นอยู่บนกองทรายหรือกระบะทราย เราจะเห็นเขาเล่นด้วยกันบ้าง ต่างคนต่างเล่นบ้าง เราอาจเห็นว่าเขานั่งอยู่ที่กระบะเดียวกันหรือกองทรายเดียวกัน แต่เรื่องราวบนกองทรายนั้นเป็นจินตนาการของแต่ละคนและมันจะไม่เหมือนกันเลย ยิ่งถ้ามีของเล่นไม้ ที่ไม่สำเร็จรูปจนเกินไปให้เด็กๆ ได้สร้างเรื่องราวบนกองทรายเพิ่มอีกล่ะก็ รับรองได้ว่านั่นคือช่วงเวลาที่จินตนาการบรรเจิด สมองกำลังทำงานไม่ต่างอะไรกับการเรียนระดับมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว เพราะทันทีที่มือ เท้าของลูกในวัย 2-3 ขวบสัมผัสของเล่นที่เป็นดิน ทราย นั่นคือการกระตุ้นการทำงานของสมอง ภายในสมองของลูกจะมีการสร้างเซลล์สมอง และมีการเชื่อมต่อของเซลล์สมองผ่านเส้นใยประสาท โดยมีสารสื่อประสาทเป็นตัวเชื่อมโยง ยิ่งมือ เท้าได้สัมผัสก็ยิ่งสร้างมากขึ้นและขยายวงจรอย่างต่อเนื่อง คือเซลล์สมองที่ยื่นแขนงยาวออกไปแตะกันเป็นล้านล้านตำแหน่ง

ถ้าจะให้พูดภาษาง่ายๆ นี่คือกระบวนการกระตุ้นความฉลาดให้สมองเด็ก กระบวนการนี้จะพัฒนาได้ดีมากในช่วงวัย 1-5 ขวบเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กจึงมักแนะนำให้เด็กเล่นทราย เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองให้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ทราย ยังช่วยให้เด็กมีจินตนาการ เพราะทรายสามารถสร้างได้สารพัดเรื่องราว เรียนรู้เรื่องรูปทรง เพราะทรายขึ้นรูปได้ง่าย จะเป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยมก็เรียนรู้บนกองทราย และมิติสัมพันธ์ การทำงานประสานกันระหว่างมือและสายตา สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องระวังเมื่อเด็กๆ อยู่บนกองทรายมีเรื่องเดียวคือ อย่าให้ขว้างทรายใส่กันเท่านั้นพอ

เมื่อแอบดูมาทั้งเดือนยิ่งทำให้มั่นใจว่านี่คือภารกิจ นี่คือการงานที่ยิ่งใหญ่ที่วัยเด็กทุกคนต้องได้ผ่านการงานนี้ ถึงจะเติบโตเป็นวัยรุ่น เป็นวัยผู้ใหญ่ที่สมดุลได้ ลองจินตนาการถึงวัยเด็กที่ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในบ้าน มีของเล่นสำเร็จรูปหรือเกมดิจิตอลมากมายไว้ให้เล่น หรือไม่ก็เร่งส่งเข้าโรงเรียนเพื่อเร่งเขียน เร่งอ่านโดยไม่มีโอกาสได้เล่นอิสระ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสโลกของธรรมชาติที่แท้จริงดูซิว่า… เด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่แบบไหนกัน

ผู้ใหญ่เองก็ต้องมีหน้าที่การงานที่ต้องทำให้ลุล่วงก่อนเริ่มงานชิ้นใหม่ เด็กก็เช่นเดียวกัน ‘การเล่น’ คือการงานชิ้นแรกของชีวิตที่ต้องทำให้ลุล่วงก่อนจะเริ่มงานชิ้นต่อไปในวัยต่อๆ ไปได้

ผู้ใหญ่อย่างเราจึงมีหน้าที่เดียวคือการช่วยให้เด็กได้บรรลุการงานชิ้นนี้ของเขา โดยไม่มีเรื่องความคาดหวัง ค่านิยมใดใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการงานเขา

และพอมาถึงตรงนี้ก็น่าจะพอเห็นแล้วว่าแค่ผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ คิดเพิ่มอีกนิด หาความรู้อีกหน่อย ออกแบบอย่างมีข้อมูล สนามเด็กเล่นที่ทำให้เด็กเล่น มันจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตของเด็กได้เลยจริงๆ

ไม่เชื่อ… ลองดูกันไหม

Tags:

การเล่นอิสระ(free play)การเล่นพัฒนาการ

Author & Photographer:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

การศึกษาในโลกยุคใหม่และเรียนรู้ตามความถนัด: ควรมุ่งเน้น AI หรือ พหุปัญญา?
Education trend
13 January 2020

การศึกษาในโลกยุคใหม่และเรียนรู้ตามความถนัด: ควรมุ่งเน้น AI หรือ พหุปัญญา?

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • เมื่อ Personalized Learning หรือ การเรียนรู้ตามความถนัดของแต่ละคน กลายเป็นโมเดลจัดการการเรียนรู้ที่ได้รับการผลักดันมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามจึงมีอยู่ว่า ระหว่าง AI กับ พหุปัญญา แบบไหนดีกว่ากัน
  • AI หริอ ปัญญาประดิษฐ์ อาจดูแห้งแล้งเพราะไม่มีการสื่อสาร แต่คือการจัดการเรียนรู้แบบ tailor made จริงๆ สำหรับเด็กทุกคน
  • ส่วนพหุปัญญา ศูนย์กลางการเรียนรู้อยู่ที่ผู้เรียน ซ้ำยังเชื่อมโยงตัวเองกับชุมชน ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ

ในช่วงนี้ที่นักปฏิรูปการศึกษาพากันเดินหน้าผลักดันให้ Personalized Learning หรือ การเรียนรู้ตามความถนัดของบุคคล เป็นโมเดลที่โรงเรียนควรหันมาใช้จัดการการเรียนรู้ของนักเรียนบนพื้นฐานสำคัญว่า เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างหลากหลายในความถนัดและความชอบ

เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แนวทางนี้แตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายหัวก้าวหน้าที่นำ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) เข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน เก็บข้อมูลและประมวลผลพัฒนาการของเด็กด้วยคอมพิวเตอร์แบบรอบด้าน กับอีกฝ่ายที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ผ่านการลงมือทำเพื่อพัฒนาพหุปัญญา (Multiple Intelligences-MI) อันได้แก่ ทักษะทางสังคม อารมณ์ ภาษา คณิตศาสตร์ ดนตรี การเคลื่อนไหวร่างกาย ความเข้าใจและใส่ใจธรรมชาติ ไปจนถึงความสามารถทางทัศนศิลป์

จุดต่างระหว่างโมเดลทั้งสองที่เห็นได้ชัด คือ โรงเรียนที่เน้นพหุปัญญา (M.I.) จะมีพื้นที่ให้เด็กร้องเล่นเต้นระบำ วาดรูป อ่านหนังสือ เล่นสนุก ทำกิจกรรมกลุ่มร่วมแรงร่วมใจกัน (group learning) ได้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นและมีการพาไปใกล้ชิดธรรมชาติ ในขณะที่โรงเรียนที่นำ AI เข้ามาใช้จำเป็นต้องให้การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ครูผู้สอนไม่จำเป็นต้องคอยประกบนักเรียนตลอดเวลาเหมือนฝั่ง M.I. ตลอดการเรียนผู้เรียนจะไม่มีปฏิสัมพันธ์หรือได้สื่อสารกับคนอื่นนอกจากหน้าจอ และยังห่างไกลจากกิจกรรมด้านศิลปะและการทำงานกลุ่ม

อาจฟังดูแห้งแล้งเสียเหลือเกิน แต่เหตุผลสำคัญที่ AI ถูกมองว่าเป็นตัวช่วยที่มา ‘อัพเกรด’ การศึกษาแนวทางนี้ ทั้งที่ต้องใช้ทุนมหาศาลเป็นเพราะประสิทธิภาพในการฉุดเกรดเฉลี่ยของนักเรียนให้ดีขึ้นแบบเห็นๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าทำไมผลลัพธ์จาก AI จึงออกมาดีเลิศจนน่าตกใจ เพราะโปรแกรมการสอนด้วย AI ถูกคิดค้นโดยวิศวกรจากซิลิคอนวัลเลย์ให้อุดช่องโหว่ของเด็กแต่ละคนโดยการเก็บข้อมูลส่วนตัวทุกกระเบียดนิ้วมาวิเคราะห์ประมวลผลร่วมกับพฤติกรรมของเด็กที่ตามเก็บภาพไว้ด้วยกล้องตามจุดต่างๆ

ที่ว้าวยิ่งกว่านั้นคือเป้าหมายสูงสุดของการนำ AI เข้ามาจัดการการเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ผลสำเร็จด้านเกรดเฉลี่ยเพียงเท่านั้น แต่ทุกโรงเรียนที่ใช้แพลตฟอร์มการสอนด้วย AI จะสามารถสร้างเครือข่ายซึ่งแชร์ ‘big data’ หรือข้อมูลทั้งหมดจากเด็กทุกคนที่เข้าใช้งาน แน่นอนว่ายิ่งเครือข่ายมากขึ้น อัลกอริธึมก็จะยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งระบบจะสามารถสร้างโปรแกรมที่จัดสรรบทเรียนเฉพาะบุคคลให้นักเรียนนับล้านทั่วโลกพร้อมกันได้ในคราวเดียว

แต่ยังคงมีข้อกังขาในประเด็นที่ว่า การเรียนรู้ผ่านกระบวนการนี้ นักเรียนจะไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ เลย ผู้สอนหลักที่นักเรียนโต้ตอบด้วยก็เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งที่ตามจริงแล้ว เด็กมีความจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบตัวด้วย

ตัวอย่างโรงเรียนสมัยใหม่ที่ริเริ่มนำต้นแบบ AI มาใช้สอนได้แก่ Alt School ในซานฟรานซิสโก ก่อตั้งและบริหารโดย แมกซ์ เวนทิลลา (Max Ventilla) อดีตนักพัฒนาซอฟต์แวร์หัวกะทิจากกูเกิล เวนทิลลาเชื่อมั่นว่าการสอนเด็กแบบตัวต่อตัวเป็นวิธีที่ดีที่สุด (แต่ก็แพงที่สุดด้วยเช่นกัน) เขาจึงต่อยอดไอเดียการเรียนตัวต่อตัวให้เป็นจริงได้ด้วยการเปิดช่องให้นักลงทุนเข้ามาสนับสนุนโครงการสร้างเครือข่ายโรงเรียนที่ใช้ระบบการสอนด้วย AI ชั้นเรียนจะเป็นเหมือนห้องแล็บที่ให้เด็กเรียนสิ่งต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์แบบ ‘Hyper-Personalized Learning’ คือ ข้อมูลและรายละเอียดการเรียนรู้ทุกเม็ดของแต่ละคนจะถูกเก็บต่อเนื่องไปทุกวันแล้วนำมาประมวลผล วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งเพื่อคัดสรรกิจกรรม เนื้อหาแบบฝึกหัด บทเรียนเฉพาะบุคคลให้เข้ากับความรู้ ความสนใจและความสามารถเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ

ยกตัวอย่างเช่น เด็กเกรด 5 ที่มีทักษะการอ่านก้าวหน้าไปหนึ่งขั้นแต่การเขียนไม่ดีนัก นอกจากโปรแกรมจะจัดแบบฝึกหัดการอ่านให้ท้าทายเข้ากับระดับความสามารถที่รุดหน้า โปรแกรมจะรวบรวมจุดบกพร่องทางการเขียนทั้งหมดมาประมวลผลแล้วสรุปแจกแจงให้ครู ผู้ปกครอง และผู้เรียนได้ทราบโดยละเอียดว่าควรแก้ไขปรับปรุงเพิ่มลดจุดไหนเป็นพิเศษ

คราวนี้มาดูการเรียนแบบ M.I. บ้าง ฝ่ายนี้ให้ ‘ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้’ เช่นเดียวกัน แต่กระบวนการจะสะท้อนไปถึงการเรียนรู้แบบฝึกฝนเคี่ยวกรำ (Apprentice Learning) คือ ผู้เรียนต้องฝึกฝนทักษะต่างๆ จากการลงมือทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนชำนาญ แนวทางนี้สอดคล้องกับโรงเรียนแนวมอนเตสซอรีที่หลายคนอาจคุ้นหูกันดี บุกเบิกโดยแพทย์หญิงชาวอิตาเลียน มาเรีย มอนเตสซอรี (Maria Montessori) ไว้กว่าศตวรรษมาแล้ว โดยเฉพาะที่ฟินแลนด์ประสบความสำเร็จกับโมเดลนี้อย่างงดงาม 

โรงเรียนแนว M.I. เน้นให้เด็กสื่อสารและฝึกทักษะอื่นๆ ร่วมกับผู้ใหญ่และเพื่อนฝูง ได้เชื่อมโยงตัวตนเข้ากับชุมชนผ่านกิจกรรมต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เรียนให้รู้ แต่ยังครอบคลุมการสร้างสัมพันธภาพกับครูและผู้อื่น สำคัญอีกอย่างคือการได้ลงมือค้นคว้าลองผิดลองถูกด้วยตนเองในสถานการณ์จริง กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการคิดสร้างสรรค์ทำงานกลุ่มและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในกิจกรรมโดยแทบไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไฮเทคเลย

โรงเรียน Mission Hill ที่บอสตัน เป็นตัวอย่างหนึ่งของโรงเรียนแนวมอนเตสซอรี ที่นี่ไม่ได้พึ่งเทคโนโลยีไฮเทคในการสอนแต่อย่างใด ใช้เพียงวิธีบ้านๆ คือ คณะครูอาจารย์ดูแลเอาใจใส่เด็กๆ อย่างใกล้ชิด หารือและแบ่งปันแนวการสอนร่วมกัน

ครูผู้สอนคนหนึ่งเล่าว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ของเด็กคือบรรยากาศในชั้นเรียนที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างครูกับศิษย์ และครูแต่ละคนควรต้องมีอิสระในสไตล์การสอนรวมถึงการตัดสินใจในห้องเรียนเต็มที่ โดยนักเรียนเองก็มีเสรีภาพที่จะเรียนรู้และทำในสิ่งที่ตนชอบด้วยเช่นกัน อย่างการวาดรูป อบขนม หรือลองตีเหล็ก เป็นต้น

ไม่แน่ว่าไม่ช้านี้ โรงเรียนทั่วโลกอาจหันมาพิจารณาให้แนวทางทั้งสองเป็นระบบการศึกษาหลัก เพราะถึงจะต่างกันที่กระบวนการ แต่สิ่งที่สองโมเดลเห็นพ้องต้องกันคือภารกิจที่จะนำพาเด็กๆ ให้หลุดพ้นจากระบบการสอบวัดผลด้วยคะแนนที่มีส่วนทำให้เด็กส่วนใหญ่กลายเป็นคนมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด

ทางฝั่งการเรียนแบบ ‘Hyper-Personalized Learning’ ด้วย AI นักเรียนจะไม่ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นและไม่ต้องเครียดกับการสอบอีกต่อไป เพราะพัฒนาการของแต่ละคนจะเห็นได้จากข้อมูลที่ถูกเก็บร่วมกับการทดสอบผ่านคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องทุกวัน อีกทั้งแบบเรียนที่ถูกปรับให้ท้าทายกับระดับความสามารถจะช่วยให้เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็พร้อมสอบระดับมาตรฐานสากลอย่างไร้ปัญหา

ส่วนการเรียนแนว MI ก็ไม่ได้ให้น้ำหนักกับการสอบวัดผลที่ห้ำหั่นด้วยคะแนน เพราะมุ่งเน้นให้เด็กแสดงความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์และความถนัดเฉพาะตัวเป็นหลัก

เช่น โรงเรียน Boston Arts Academy ซึ่งชั้นเรียนมีความหลากหลายและผสมผสานกันระหว่างวิชาการกับศิลป์ มีทั้งร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นบัลเลต์ งานช่าง วิศวกรรม ออกแบบ ไม่น่าเชื่อว่าผลคะแนนของเด็กๆ ส่วนใหญ่ออกมาในเกณฑ์ดีเมื่อได้แสดงความสามารถ ติดอยู่เพียงอย่างเดียวตรงที่ทักษะบางอย่างไม่อาจวัดประเมินออกมาเป็นรูปธรรมชัดเจนได้ แต่โดยภาพรวมแล้ว แนวทางนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก ดูจากสถิติกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่จบจากที่นี่ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาและร่วมงานกับองค์กรชั้นนำอีกด้วย

ในห้วงเวลาที่โลกกำลังมุ่งมั่นกับการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างให้เด็กๆ ‘เรียนเก่ง’ ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องทบทวนถึงคุณค่าของความคิดสร้างสรรค์ การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ตนอยู่อาศัย และความมืดบอดในการมองเห็นสิ่งพิเศษในเด็กแต่ละคนตามแบบฉบับของเขาเองอย่างที่ผ่านมา อย่าให้ความรับผิดชอบที่เรามีหล่นหายไปจากวลีที่เอ่ยกันจนชินปากว่า “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” เพราะภาระหน้าที่ในการสร้างเด็กๆ เหล่านั้นให้เติบโตเต็มศักยภาพและเก่งกล้าสามารถที่จะออกไปไขว่คว้าหาโอกาสในโลกกว้างใหญ่ในวันข้างหน้า อยู่ในมือผู้ใหญ่อย่างเรานี่เอง

ที่มา
The Future of Education: To Focus on AI or MI?

Tags:

AIDisruption21st Century skills

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    “ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ
Creative learningCharacter building
10 January 2020

สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • 3 หนุ่มจากสกลนคร ปอ, แม็ค และ กี้ นักศึกษาชั้นปี 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร เจ้าของโปรเจ็คต์ WiMC หรืออุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไร้สายอัจฉริยะที่จะช่วยทุ่นแรง ทุ่นทุน และป้องกันความเสียหายเชิงธุรกิจให้ผู้ประกอบการได้อย่างมหาศาล
  • “เราสามารถเป็นนักพัฒนาได้ถ้าคิดแตกต่าง มองในจุดที่คนอื่นไม่มอง ต้องมีความอดทน และนอกจากมีความรู้แล้ว ก็ต้องเปิดใจรับความรู้ที่เราไม่รู้มาก่อนด้วย”
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

การศึกษาหาความรู้ผ่านข้อมูลทุติยภูมิหรือข้อมูลที่มีผู้อื่นแสวงหามาให้ ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักเรียนนักศึกษา ทว่าเมื่อก้าวไปถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจากผู้เรียนสู่ผู้ลงมือทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนวัตกรที่ต้องพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้อื่น การอาศัยเพียงข้อมูลหรือความรู้จากเอกสารหนังสือ อันเปรียบได้กับการมองโลกผ่านสายตาของผู้อื่นเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพออีกต่อไป 

ข้อเท็จจริงนี้คือสิ่งที่ 3 หนุ่มจากสกลนคร ปอ-ปรมินทร์ แสงแก้ว, แม็ค-กฤษณะ ธิวโต, กี้-รัฐธรรมนูญ พลอยเพ็ชร นักศึกษาชั้นปี 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร ได้ประสบมากับตัวเองจากการลงมือทำโปรเจ็คต์ WiMC (Wireless Motor Check) อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไร้สายที่ช่วยเฝ้าระวังความผิดปกติของมอเตอร์แบบเรียลไทม์ ที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยดูแลอุปกรณ์มอเตอร์จำนวนมากในสถานประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ที่จะช่วยทุ่นแรง ทุ่นทุน และป้องกันความเสียหายเชิงธุรกิจให้ผู้ประกอบการได้อย่างมหาศาล

ทั้งสามยอมรับว่า WiMC คงไม่อาจเกิดขึ้นจริงหรือเกิดจริงแต่ก็คงใช้งานจริงไม่ได้เลย หากพวกเขาไม่ได้พาตัวเองไปสัมผัสข้อมูลปฐมภูมิ ผ่านสายตาของตัวเอง…

มอเตอร์ขับด้วยแรงกล คนเคลื่อนด้วยแรงใจ

WiMC มีเป้าหมายเริ่มแรกมาจากความต้องการของ ปอ-แม็ค-กี้ ที่ต้องการพัฒนาผลงานชิ้นนี้ให้เป็นโปรเจ็คต์จบการศึกษาและส่งประกวด YECC ไปพร้อมๆ กัน โดยหัวข้อของผลงานเกิดมาจากประสบการณ์ตรงจากการไปฝึกงานในโรงงานอุตสาหกรรมของปอ ซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มที่เติบโตมาจากสายวิชาชีพ 

“ผมเคยฝึกงานเรื่องการซ่อมบำรุงมอเตอร์และหม้อแปลง และพบว่าในสายงานนี้ยังไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สามารถใช้ตรวจสอบเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ได้หลายๆ อย่าง จึงเกิดความคิดว่าอยากทำเครื่องมือที่ช่วยย่นระยะเวลาการทำงานของวิศวกร เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริง ลดระยะเวลาในการตรวจสอบเครื่องจักรได้จริงโดยไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม แค่มีเครื่องเราเครื่องเดียวก็สามารถดูค่าต่างๆ ที่ห้องทำงานได้” ปอเล่าถึงแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นพัฒนาผลงาน

“อย่างโรงงานที่ผมไปฝึกงานมีมอเตอร์เป็น 100 ตัว แต่มีช่างซ่อมแค่ 1-2 คน และมอเตอร์มันไม่ได้วางติดกันทุกตัว ตัวหนึ่งอยู่ตรงนี้ อีกตัวหนึ่งห่างไป 500 เมตร ต้องใช้เวลาในการเดิน มอเตอร์ตัวไหนใกล้พัง แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะไปตรวจ มอเตอร์ก็อาจเสียหายก่อนได้” กี้เสริม 

“เกิดจู่ๆ มอเตอร์ช็อตแค่ตัวเดียวแต่ต้องชัตดาวน์ทั้งโรงงานส่งผลกระทบต่อทั้งส่วนงานนั้นที่ต้องหยุดทำงานไปเลย เกิดความเสียหายมหาศาล” ปอกล่าวต่อ

“แต่ถ้าเรามีอุปกรณ์ชิ้นนี้ เราก็ไม่ต้องเดินไปตรวจให้เหนื่อย ดูได้ในคอมพิวเตอร์จอเดียวก็เช็คได้เลยว่ามอเตอร์ตัวนี้แรงสั่นสะเทือนแค่ไหน อุณหภูมิแค่ไหน ไม่ต้องเดินไปตรวจเอง” กี้สรุปความถึงวัตถุประสงค์ของผลงาน

ทั้งสามจึงเริ่มต้นพัฒนา WiMC ให้มีคุณสมบัติสามารถวัดแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า อุณหภูมิ และแรงสั่นสะเทือนได้ เพียงแต่ในกระบวนการพัฒนา ทั้งสามจำใจต้องตัดอุปกรณ์รับการสั่นสะเทือนออกไปเนื่องจากไม่สามารถหาอุปกรณ์ที่ตรงตามมาตรฐานได้

ซ้ายไปขวา แม็ค-กฤษณะ ธิวโต, กี้-รัฐธรรมนูญ พลอยเพ็ชร และ ปอ-ปรมินทร์ แสงแก้ว

กระทั่ง WiMC แล้วเสร็จ ทั้งสามก็ส่งผลงานเข้าประกวด YECC และต่อยอดมาถึงโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ซึ่งช่วงนี้เองคือทางแพร่งที่ทั้งสามต้องตัดสินใจเลือกเส้นทาง เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษามองว่าผลงาน WiMC เป็นเรื่องเกี่ยวกับมอเตอร์ ซึ่งมีความยากและต้องใช้เวลาในการพัฒนายาวนานจนไม่สามารถใช้เป็นโปรเจ็คต์จบการศึกษาได้ ทีมจึงต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในการทำโปรเจ็คต์จบการศึกษาขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง และพัฒนาผลงานทั้งสองควบคู่ไปพร้อมกัน

ลำพังแค่นี้ก็หนักหนาพอดูแล้วสำหรับพวกเขา แต่หลังจากได้มองเห็นลู่ทางในการพัฒนาผลงานให้ไปได้ไกลกว่าเดิม ทั้งสามก็ท้าทายตัวเองอีกขั้นหนึ่งด้วยการนำ WiMC เข้าโครงการต่อกล้าฯ ด้วย

“อาจารย์กลัวว่าจะยากเกินไปสำหรับเรา ทำให้ไม่จบ โปรเจ็คต์จบก็เลยต้องทำอีกโปรเจ็คต์หนึ่งควบคู่กันไป ซึ่งหนักมากเหมือนกัน ตอนแรกผมก็กะจะทิ้ง กลัวไม่ไหว เริ่มท้อแล้ว แต่แม็คบอกว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ไปต่อเถอะ สุดท้ายเลยตัดสินใจทำ เพราะถ้าเลิกทำกลางคันก็กลัวส่งผลเสียต่อรุ่นน้องที่อยากเข้ามาต่อกล้าฯ ด้วย ด้วยชื่อเสียงมหา’ลัย และได้โอกาสมาถึงขั้นนี้แล้ว จึงสู้กันต่อ” ปอกล่าวอย่างมุ่งมั่น

“แม็ครู้จักพี่คนหนึ่งที่เคยมาต่อกล้าฯ (นายภูมินทร์ ประกอบแสง โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 3) เราอยากมาเข้าโครงการเพราะเราเป็นเด็กกิจกรรมชอบประกวด ชอบหาประสบการณ์ เราก้าวมาแล้ว แม้จะมีอุปสรรคบ้าง มีท้อ มีเหนื่อย แต่ถ้าเราผ่านไปได้เราน่าจะภูมิใจ เลยยังอยากสู้ต่อ” แม็คกล่าวเสริม

ออกจากห้องเรียน ไปสัมผัสโลกจริง

โลกของการเรียนกับโลกของการทำงานจริงนั้นแตกต่างกัน ความรู้ที่ใช้เพื่อสอบกับความรู้ที่ใช้พัฒนาผลงานเพื่อนำไปใช้จริงในโลกของการทำงานก็แตกต่างกัน นี่คือสิ่งที่ปอ-แม็ค-กี้ ได้เรียนรู้หลังจากเข้าร่วมโครงการต่อกล้าฯ และต้องยกระดับผลงานจากโปรเจ็คต์ไปสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

“ตอน YECC งานของเราเหมือนเป็นแค่ต้นแบบ เป็นกล่องที่ไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ) แค่สามารถทำงานตามคอนเซ็ปต์ได้ แต่ยังใช้เป็นผลิตภัณฑ์ไม่ได้ เพิ่งมาได้ไอเดียว่าจะทำผลิตภัณฑ์ตอนเข้ามาต่อกล้าฯ นี่เอง” ปอเล่าอย่างอารมณ์ดี

จุดเชื่อมต่อระหว่างความเป็นโปรเจ็คต์นักศึกษากับนวัตกรรมในโลกจริง ก็คือการเก็บข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มผู้ใช้เพื่อนำมาพัฒนาผลงาน ซึ่งเดิมทีนั้นมีเพียงปอที่มีโอกาสได้ไปฝึกงาน และนำเอาประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการฝึกงานนั้นมาสร้างเป็นหัวข้อโปรเจ็คต์ ทว่ากี้กับแม็ค ซึ่งยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานในโรงงานจริงมาก่อน ยอมรับว่าพวกเขาไม่ถ่องแท้ในวัตถุประสงค์ของผลงานตัวเองเท่าไหร่นัก จนกระทั่งได้มีโอกาสฝึกงานจริง พวกเขาจึงมองเห็นเป้าหมายและสิ่งที่ต้องทำในผลงานชิ้นนี้ได้อย่างชัดแจ้งขึ้น

“เมื่อก่อนยังมองภาพไม่ออกว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้มันจะตรวจยังไง (ยิ้ม) แต่พอได้มาฝึกงานผมกระจ่างเลยว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้สามารถช่วยได้จริงๆ สามารถวัดกระแส วัดแรงดัน วัดอุณหภูมิได้” กี้เล่าถึงการเรียนรู้ที่ได้รับ

เปรียบเหมือนกับการมองโลกผ่านสายตาคนอื่น จากหนังสือ จากตำรา แน่นอนว่าเราย่อมได้ความรู้และเห็นโลกในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าการออกไปมองโลกผ่านสายตาของตัวเอง เราย่อมเห็นแง่มุมต่างๆ ได้ชัดเจนกว่า ทั้งแง่มุมที่สายตาคนอื่นไม่เคยบอก และแง่มุมที่สายตาคนอื่นบอกแล้ว แต่อาจใช้ไม่ได้จริงในบริบทที่แตกต่างออกไป

“ตั้งแต่เริ่มทำโครงการเราคิดแล้วล่ะว่าเราจะทำอะไร แต่อย่างที่ปอบอก เรามีความรู้จากการเรียนมาแต่เรายังไม่เคยเจอสถานการณ์จริง เราพูดได้ว่าเรารู้แต่มันอาจจะเป็นความรู้ที่ได้มาระดับหนึ่งแต่ยังไม่สุด ทำให้เวลากรรมการหรือคนอื่นมาถามลึกขึ้น คำตอบเราจึงไม่ชัดเจน และการทำงานไม่ใช่แค่เราอยากทำอย่างเดียว เราต้องมีความรู้ด้วย ถ้าอยากได้ประสบการณ์หรือความรู้ใหม่ๆ เราต้องดึงตัวเองเข้ามาในห้องเรียนห้องหนึ่งที่เราเรียกมันว่าประสบการณ์ เพราะความรู้ตอนเราลงมือปฏิบัติมันจะต่างจากความรู้ที่เราอ่านหรือได้ยินคนพูดมา” แม็คเล่าการเรียนรู้ในส่วนของตัวเองอย่างมีชีวิตชีวา

งานยังไม่จบ จะนิ่งสงบไม่ได้

จากผลงานที่คาดหวังให้เป็นเพียงโปรเจ็คต์จบการศึกษา ปัจจุบันทั้ง 3 หนุ่มได้มุ่งมั่นพัฒนาจน WiMC ก้าวไปไกลถึงขั้นพร้อมจะเป็นผลิตภัณฑ์ในโลกแห่งความจริง แต่กระนั้น ทั้งสามก็ยอมรับว่ายังคงมีปัจจัยอีกไม่น้อยที่พวกเขาต้องสะสางจัดการ หากปรารถนาให้ผลงานชิ้นนี้ต่อยอดไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งในมิติของตัวผลงานเอง…

“ตอนนี้ยังมีประเด็นเรื่องตัวสั่นสะเทือนที่ยังวัดไม่ได้ และยังศึกษาไม่ได้ด้วยว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการมันต้องเป็นยังไง ก็ยังต้องศึกษาเรื่องนี้อีกเยอะ” ปอเล่าถึงแผนต่อไปของผลงาน

แม็คเสริมว่า “เพราะงานวิศวกรไฟฟ้าเป็นงานเบื้องหลัง เราสามารถสร้างความเสียหายได้ถ้าเกิดความผิดพลาด จนกว่าจะถึงวันส่งมอบงานได้อย่างปลอดภัย นั่นคือความฟิน (หัวเราะ)” 

“เราจะทุ่มสุดตัวทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จ เพราะผมเห็นความสำคัญของงานชิ้นนี้มากตั้งแต่มาฝึกงาน” กี้ให้สัญญา

และรวมถึงในมิติของการเพิ่มพูนศักยภาพของตัวเอง เพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีมากขึ้นไปอีกบนเส้นทางที่ทอดยาวของชีวิต

“ผลงานชิ้นนี้สอนพวกเราให้มีความอดทนในการทำงานและความรู้อย่างถ่องแท้ในสิ่งที่เราจะทำ ต้องรู้ให้มากให้เพียงพอที่จะพัฒนาผลงานได้จริง อย่างการเขียนโค้ด ผมพอเขียนได้ ตอนที่เข้า YECC ก็เขียนเอง แต่พอมาถึงจุดนี้มันต้องเขียนในขั้นที่สูงขึ้น ซึ่งเกินความสามารถของเราแล้ว เลยต้องพึ่งพี่ๆ ตอนนี้เลยผมสนใจเรื่องการเขียนโปรแกรมมากๆ” ปอกล่าว

แน่นอนว่าไม่ใช่การมองโลกด้วยสายตาของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขากำลังต่อยอดตัวเองไปสู่การเรียนรู้โลกและลงมือทำในฐานะนวัตกรอย่างเต็มภาคภูมิ

“สำหรับคนที่จะมาเป็นนักพัฒนาคนหนึ่งต้องมีความรู้รอบด้าน จะได้เห็นความต้องการว่าอะไรขาดไป อะไรควรมี ถ้าผมไม่เคยฝึกงานก็จะไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันจำเป็น โชคดีที่เคยไปฝึกงานและเห็นไอเดียถูกจุด ทำให้ได้แนวคิดในการพัฒนา นอกจากนั้นต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ศึกษาในสิ่งที่ตัวเองจะทำให้มาก รู้ในเรื่องนั้นทุกด้าน อย่างทำเรื่องมอเตอร์ถ้าต้องทำคนเดียวไม่มีตัวช่วยก็ต้องศึกษาให้ลึกซึ้งทุกอย่าง” ปอกล่าวถึงคุณสมบัติของนวัตกรที่ดี

ก่อนที่แม็คจะทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มว่า

“เราสามารถเป็นนักพัฒนาได้ถ้าคิดแตกต่าง มองในจุดที่คนอื่นไม่มอง ต้องมีความอดทน และนอกจากมีความรู้แล้ว ก็ต้องเปิดใจรับความรู้ที่เราไม่รู้มาก่อนด้วย (ยิ้ม)”

Tags:

AI21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรนักออกแบบคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Character buildingCreative learning
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Character buildingCreative learning
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล ที่นี่พ่อแม่ โรงเรียน ชุมชน “ทุกคนเป็นครู”
Creative learning
10 January 2020

โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล ที่นี่พ่อแม่ โรงเรียน ชุมชน “ทุกคนเป็นครู”

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนที่นำวิชาโครงการฐานวิจัย (Research-Based Learning) หรือ RBL มาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการเรียนรู้ โดยหลักการคือให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ ผ่านกิจกรรมหรือประสบการณ์ใกล้ตัว เช่น การศึกษาสีประกอบอาหารจากธรรมชาติ การทำขนมโรตีกรอบ รวมถึงการศึกษาพันธุ์ข้าวในชุมชนตัวเอง
  • ผลลัพธ์ของ RBL นอกจากติดอาวุธให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก และได้เรียนในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ยังเชื่อมโยงพ่อแม่ โรงเรียน และชุมชน ให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง เพราะที่นี่ “ทุกคนเป็นครู”
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

“ไม่ทะเลาะกัน สามัคคี เดินเป็นแถว อย่าแย่งกันถาม”

“เตรียมแบบสอบถาม แบบบันทึก และโทรศัพท์ให้พร้อม”

“5 คนคอยถาม, 3 คนคอยเขียน, 2 คนคอยอัดเสียง และ 2 คนคอยถ่ายรูป”

นี่คือข้อตกลงร่วมกันของเด็กๆ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล หลังจากระดมไอเดีย ช่วยกันเสนอข้อตกลง วางแผน และแบ่งหน้าที่กันเพื่อทำงานได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ

ก่อนเด็กๆ ทั้งหมดจะออกเดินทางลงพื้นที่จริง ในวิชาโครงงานฐานวิจัย (Research-Based Learning) หรือ RBL เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลในหัวข้อ ‘พืชสีสันจากธรรมชาติที่ใช้ประกอบอาหารได้’ โดยเลือกศึกษาสีจากพืช 4 ชนิด ได้แก่ กระเจี๊ยบ ขมิ้นชัน ใบเตย และอัญชัน ที่บ้านของ รออิฉ๊ะ รำวายกอ แม่ของ นุรอัยดา หมัดศรี นักเรียนหญิงอาสาสมัครผู้เปิดบ้าน พาเพื่อนๆ ชั้น ป.6 มาขอความรู้จากแม่ตัวเอง เพราะสวนหลังบ้านของเธอปลูกกระเจี๊ยบแดงและขมิ้นชันไว้หลายต้น

เมื่อเด็กๆ ป.6 เดินเท้ามาถึงบ้านของนุรอัยดา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชุมชนรอบๆ ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก เด็กๆ ไม่รีรอเวลา ยกมือสวัสดีและแนะนำตัวกับแม่ของนุรอัยดา ก่อนจัดแจงหาที่นั่งของตัวเอง ยกกระดาษและสมุดที่พกมาจากห้องเรียนขึ้นมาเตรียมจดบันทึก

นักเรียนจำนวน 5 คนที่เป็นตัวแทนต่างผลัดกันถามคำถามและข้อสงสัยต่างๆ ในหัวข้อที่เตรียมมา ส่วนนักเรียนอีก 3 คนก็คอยจดและรวบรวมคำตอบที่ได้ไปประมวลต่อ โดยมีนักเรียนอีก 2 คน คอยอัดเสียงและถ่ายรูปเก็บเป็นข้อมูลไว้

ผลจากการลงมือครั้งนี้ ทำให้เด็กๆ พบว่า บ้านในชุมชนหมู่บ้านควนเกของพวกเขาปลูกกระเจี๊ยบ ขมิ้นชัน ใบเตย และอัญชันแทบทุกหลัง เพราะเป็นพืชที่ดูแลง่าย นำมาปรุงอาหารได้ เพียงแค่นำกระเจี๊ยบและขมิ้นชันมาต้ม เคี่ยว และสกัดโดยการตากแดด ก็สามารถทำเป็นอาหารได้หลายประเภท เช่น ขมิ้นชันมักจะถูกใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำแกงส้ม แกงผัดเห็ด กระเจี๊ยบมักนำไปคั้นเป็นน้ำ หรือใช้ทำขนมถั่วแปบ หากนำไปใส่ในข้าวเหนียวก็จะทำให้มีสีสันที่น่ารับประทาน เมื่อนำไปขายก็จะขายได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งนอกจากสีสันที่สวยงามแล้ว สรรพคุณของพืชทั้งสองชนิดนี้ ยังช่วยลดความดันและแก้กระหาย ทำให้คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนมักใช้เป็นยาสมุนไพรอีกด้วย

กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้ผู้เขียนในฐานะผู้สังเกตการณ์ มองเห็น ‘โอกาสแห่งการเรียนรู้’ บนความสนุกที่เกิดขึ้น

วิชาโครงงานฐานวิจัย (Research-Based Learning) หรือ RBL เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการเรียนรู้ โดยผ่านกิจกรรมหรือประสบการณ์ เป็นเทคนิคที่มุ่งให้นักเรียนพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ ได้เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ลงไปเจอ สัมผัส ไปคลุกคลีกับสถานการณ์นอกห้องเรียนอย่างแท้จริง และสิ่งที่สำคัญที่เห็นได้ชัดไม่แพ้กัน คือแววตาแห่งความสุขและเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ในการผลัดกันถาม แย่งกันพูด แลกเปลี่ยนความคิดเห็นของตัวเอง ช่วยสะท้อนว่าอย่างน้อยรูปแบบการเรียนเช่นนี้ ช่วยทำให้เด็กๆ กล้าแสดงออกและเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

มากไปกว่านั้นนอกจากความสนุกสนานที่เกิดขึ้น การเรียนการสอนในวิชาโครงงานฐานวิจัย หรือ RBL ยังทำให้เห็นบทบาทของพ่อแม่ผู้ปกครองที่เข้ามามีส่วนร่วมช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกๆ ของตัวเอง

เพราะทุกบ่ายวันศุกร์ โรงเรียนบ้านควนเกใช้เวลาตรงนี้ นำพ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามาเป็นครูสอนและจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ลูกๆ ของพวกเขา ในนามกลุ่ม ‘ครูสามเส้า’ ซึ่งเราอาจไม่ค่อยพบเห็นวิธีการเรียนเช่นนี้ ในการเรียนกระแสหลักเท่าไรนัก

นี่จึงเป็นที่มาของการพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้อำนวยการ ครู พ่อแม่ เด็กนักเรียน ว่าทำไมโรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล ถึงตัดสินใจนำ วิชาโครงงานฐานวิจัย หรือ RBL เข้ามาปรับใช้ในโรงเรียน และวิชานี้จะช่วยติดตั้งเครื่องมือหรือฝังแนวคิดอะไรให้เด็กได้ตกตะกอน จนเกิดเป็นทักษะติดตัวให้พวกเขานำไปใช้ในอนาคต

ฉากแรก: ก่อนมี วิชา RBL

“ที่ผ่านมาบ้านควนเกเป็นโรงเรียนที่ผลการสอบของเด็กถูกประเมินว่าค่อนข้างต่ำ แต่โชคดีที่ชุมชนมีความเข้มแข็ง มีความร่วมมือของผู้ปกครองและชุมชนเหนียวแน่น เพียงแต่เป็นการร่วมมืออย่างไม่ถูกจุด เราจึงอยากเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ดีขึ้นแต่ก็คงไม่แย่กว่าเดิม”

อะหมาร สันนาหู ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล บอกว่าเหตุผลหลักคือมองเห็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากระบบจัดการภายในโรงเรียนที่ไม่เข้มแข็ง การวัดผลในวิชาการของเด็กๆ ก็ไม่สูงมากนัก บวกกับจังหวัดสตูล ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาอยู่แล้ว จากพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรม พ.ศ. 2562 จึงเริ่มขยับตัวและตัดสินใจเปลี่ยนแปลง

โดยนำการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานฐานวิจัย หรือ RBL เข้ามาใช้ เพื่อสอนและพัฒนาคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู ไม่เว้นแม้แต่ตัวเองซึ่งเป็นผู้อำนวยการ ผ่านการเรียนรู้ด้วยวิชาลงมือปฏิบัติ

“ยิ่งมี พ.ร.บ. รองรับ เราก็ยิ่งมั่นใจที่จะทำมากขึ้น มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากขึ้น โดยเรากำหนดคอนเซ็ปต์ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไว้ว่า เราจะพัฒนาจาก bottom up 80 เปอร์เซ็นต์ และ top down 20 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงการฟังเสียงและติดตามความเคลื่อนไหวของคนที่ลงไปปฏิบัติจริง จากล่างขึ้นมาสู่ด้านบนมากขึ้น

“อีกส่วนคือการต้องการให้ผู้ปกครองของเด็กๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลบุตรหลานของพวกเขาอย่างถูกจุด เพราะแต่เดิมกลุ่มผู้ปกครองจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือโรงเรียนในเรื่องของการบำรุงระบบกิจกรรมต่างๆ เท่านั้น แต่ผมต้องการเปลี่ยน mindset ของเขาให้มาส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ของลูกและเด็กๆ แทน”

เพราะการพัฒนาชีวิตของเด็กหนึ่งคน ไม่ควรเป็นหน้าที่ของใคร แต่ต้องรับผิดชอบกัน 3 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อะหมารยังจำเสียงตอบรับของเหล่าครูได้ดี เมื่อตัดสินใจนำ RBL เข้ามาปรับใช้ในโรงเรียนครั้งแรก

“ครูก็บอกกันว่า ผอ. เอาอะไรมาให้ทำอีก แค่นี้ก็ทำงานหนักจะตายแล้ว ภาระงานครูเยอะแยะ ไม่มีใครแฮปปี้สักคน มันก็หนักจริงๆ นั่นแหละ แต่การทำงานนี้มันจะหนักช่วงปีแรก ปีถัดไป ปีที่สอง ปีที่สาม เด็กก็จะนำกระบวนการได้ด้วยตัวเอง แต่การที่ครูรู้สึกว่ามันหนัก อาจเป็นเพราะครูยังอยู่ในวิถีเดิมๆ”

ไม่ต่างจากความรู้สึกของตัวเอง หากย้อนไปในการเรียนเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว อะหมารเคยเป็นครูที่มีไม้เรียวกับหนังสือเล่มเดียว แต่การเรียนเช่นนั้นมันใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้

“ฉะนั้นการที่ครูรู้สึกว่าหนักและเหนื่อย มันเป็นเพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน”

 ฉากสอง: เมื่อมี RBL

หัวใจหลักในวิชาโครงงานฐานวิจัย RBL จะเริ่มจากการตั้งโจทย์ให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว หนึ่งในนั้นคือการสำรวจต้นทุนของชุมชนรอบๆ ตัวของเขา ทั้ง 5 ทุนเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็น ทุนทางปัญญา ทุนเงินตรา ทุนทรัพยากร ทุนมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม จากนั้นเมื่อเด็กสำรวจเสร็จแล้วก็เปิดเวทีให้นักเรียนนำเสนอข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลว่าแต่ละทุนนี้มีอะไรบ้าง

ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะเป็นเรื่องที่เด็กสนใจ เป็นเรื่องที่เด็กอยากเรียน ผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนหาเหตุผลกันในชั้น สรุปมาเป็นโจทย์เพียงแค่เรื่องเดียวต่อปี เช่น เด็ก ป.6 สนใจศึกษาเรื่องสีธรรมชาติ จากดอกไม้และสมุนไพรในรั้วบ้าน โดยวิชา RBL จะแบ่งขั้นตอน ทั้งสิ้น 14 ขั้นตอน 5 หน่วยการเรียนรู้ ดังนี้

หน่วยการเรียนรู้ขั้นตอน
‘ได้เรื่อง’

1. เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว

เพื่อทำความรู้จักเรื่องที่จะทำ ได้รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น รู้จักชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดของตัวเอง

2. สำรวจ/วิเคราะห์/จำแนกและเลือกเรื่อง

เพื่อสำรวจเรื่องราวรอบตัว เช่น ทุนในชุมชน ทั้ง 5 ทุน ว่าพบอะไรบ้าง จากนั้น วิเคราะห์ข้อมูล และเลือกเรื่องที่สนใจขึ้นมาทำ
‘ได้โครงงาน’3. พัฒนาเป็นโจทย์วิจัย

ช่วยกันเหลาประเด็นให้เล็กลง ค้นหาความสำคัญของเรื่องไปเขียนเป็นหลักการและเหตุผลของโครงงาน จากนั้นตั้งคำถามย่อยในสิ่งที่อยากรู้ให้ได้มากที่สุด

4. ออกแบบวิจัย

ช่วยกันตรวจสอบคำถามวิจัย เพื่อค้นหาวิธีการหาคำตอบ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย แหล่งเรียนรู้ และผลที่คาดว่าจะได้รับ

5. นำเสนอโครงงาน
‘ได้ข้อมูล’6. สร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูล

เพื่อค้นหาวิธีเก็บข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์ผู้รู้จริง

7. ลงพื้นที่เก็บข้อมูล

8. ตรวจสอบข้อมูล

นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้จากการลงพื้นที่ มาประเมิน วิเคราะห์ และสกัดผลออกมา
‘ได้ทางเลือกใหม่’9. คืนข้อมูลสู่ชุมชน

10. กำหนดทางเลือกใหม่

11. จัดทำแผนปฏิบัติการ

12. ทดลองลงมือปฏิบัติ
‘ข้อสรุป’13. สรุปผล

14. นำเสนอผลการวิจัย

เมื่อหันกลับมาเรียนรู้เรื่องใกล้ตัวแล้ว ในวิชา RBL ครูและนักเรียนยังจำเป็นต้องรีเซ็ตการสอนและเปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิมๆ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านควนเก บอกว่า อันดับแรกที่จะทำให้กระบวนการเห็นผลคือ ‘ครูต้องเปลี่ยน’

“หนึ่ง–ครูต้องกล้าที่จะไม่สอน ครูเป็นเพียงผู้ส่งเสริมและกระตุ้นเท่านั้น สอง–ครูไม่ใช่เจ้าของวิชา แต่ครูมีหน้าที่ชี้แนะแนวทางให้เด็กได้ออกไปเรียนรู้หาคำตอบด้วยตัวเขาเอง สาม–เด็กมีความสุขขึ้น บนพื้นฐานที่ครูมีความเมตตากับเด็ก แม้เขาจะไม่เก่งหรือด้อยกว่าเพื่อนอย่างไร ครูก็จะค้นหาจุดที่เด็กถนัดและสนใจ และร่วมพัฒนาทักษะนี้ให้อยู่ในตัวเขา

“ส่วนในการสอนเราต้องใช้คำถามเป็นตัวตั้ง ในการพาเด็กไปสู่การทำกระบวนการ ซึ่งเราต้องฝึกครูก่อน เช่น ครูควรจะเลือกใช้คำถามปลายเปิดเยอะๆ ไม่ใช่การตั้งกรอบ คำว่า ‘ใช่หรือไม่’ เพราะครูเป็นผู้สอนและส่งต่อให้เด็ก ในการทำ RBL เด็กๆ จะต้องถามให้เป็น แต่กว่าเด็กจะเป็น ครูต้องเป็นก่อน การเรียนแบบก่อน เน้นให้ครูถามอย่างเดียวแต่ตอบไม่เป็น แต่การเรียนแบบใหม่จะทำให้เด็กและครูพัฒนา”

แต่เด็กจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนอย่างเดียว แต่พ่อแม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เพราะทุกคาบบ่ายของวันศุกร์ โรงเรียนบ้านควนเกจะจัดชั่วโมงเรียนที่จัดสอนโดยกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่เข้ามาเป็นครู หรือที่เรียกว่ากลุ่มครูสามเส้า โดยหัวข้อต่างๆ ที่เรียนล้วนเป็นเรื่องที่เด็กสนใจทั้งสิ้น

“ในช่วงเทศกาลฮารีรายอ เรารวมตัวกันเพื่อสอนทำขนมต้ม ซึ่งเป็นขนมประจำเทศกาล เด็กๆ ชอบมาก พอทำเสร็จก็ได้กิน ได้เอากลับบ้าน” ฟาตีม๊ะ ปาละวัล ผู้ปกครองของนักเรียนชั้น ป.3 และหนึ่งในสมาชิกครูสามเส้า เล่าให้ฟังถึงบทบาทของพ่อแม่ครู

นอกจากสอนทำขนม ก็ยังมีวิชาอื่นที่เคยนำมาสอนเด็กๆ ในคาบวันศุกร์ “เช่น งานจักสาน งานประดิษฐ์ เด็กชอบ เขาอยากเรียนรู้ อยากทำเป็น เพราะมันสนุก สวยงามมีสีสัน สอนแล้วสามารถเอาไปใช้ได้ นำไปประกอบอาชีพได้ด้วย เวลาที่ไม่มีงานทำ เหมือนเราตอนนี้ เราก็ทำจักสานขายเป็นอาชีพเสริม พวกกระเป๋าใส่ดินสอ แฟ้มหนังสือ ตะกร้า ช่วยลดการใช้จ่ายไปได้มาก เราทำใช้เองไม่ต้องซื้อ เราจึงอยากสอนให้เด็กๆ หรือลูกๆ ของเราให้เรียนรู้ตรงนี้ ถ้าเขาทำเป็น เขาก็เอาไปใช้ได้จริง แถมยังเป็นอาชีพในภายภาคหน้าได้”

แต่กว่าจะสังเคราะห์ออกมาเป็นวิธีนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อแม่หลายๆ คน มักคิดว่าการที่ลูกมาโรงเรียนแล้ว กระบวนการต่อไปคือหน้าที่ของครู

“ผมอยากให้พ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วมกับลูกด้วยนะ ลูกคุณจะดีได้ ไม่ใช่แค่หน้าที่ของโรงเรียนอย่างเดียว คุณมีส่วนช่วยได้ ชุมชนก็ช่วยได้ จะด้วยคุณธรรม ด้วยความรู้ หรือทักษะต่างๆ ก็ตามแต่ เราต้องช่วยกันด้วยความเมตตา”

ผอ.อะหมาร ย้อนให้ฟังถึงวันแรกๆ ที่นำกระบวนการการเรียนรู้นี้เข้ามาทำในโรงเรียน พบว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าการมาสอนหนังสือให้ลูกตัวเองเป็นภาระที่หนักและเหนื่อย และพวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีความรู้อะไร กังวลว่าตัวเองจะสอนลูกได้จริงไหม และการเรียนที่ดูทีเล่นทีจริง เช่น เรียนเรื่องสีธรรมชาติ เรียนเรื่องขนมโรตีกรอบ อาจทำให้เด็กเรียนวิชาหลักๆ ที่เป็นวิชาการด้อยลง

แต่พอได้ใช้เวลาและอดทนสักพัก กลุ่มผู้ปกครองได้เห็นลูกตัวเองเปลี่ยนไป ได้เห็นตัวตนของลูกมากขึ้น เช่น จากเด็กที่อยู่บ้านไม่พูด แต่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำหน้าชั้นเรียนแล้ว กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก เพราะได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียนจริงๆ ก็ยิ่งทำให้มั่นใจและช่วยคิดพัฒนาการสอนให้ดีขึ้น

ฉากปัจจุบัน: ผลการเปลี่ยนแปลง หลังมี RBL

อะหมาร บอกว่า “ในช่วง 6 เดือนที่ทดลองสอน RBL มา เด็กจะอยากมาโรงเรียนมากขึ้น เด็กหลังห้องที่เรียนไม่เก่งในวิชาหลัก จะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้น เพราะเขาค้นพบสิ่งที่ชอบสิ่งที่เขาถนัดและสนใจ ได้มีบทบาทมากจากการที่เพื่อนแบ่งงานให้ทำ โดยที่เด็กไม่คิดว่านี่คือการเรียน เป็นวิชาเล่น ทำให้เขาอยากมาโรงเรียนเพื่อเล่น และได้พัฒนาทักษะต่างๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เด็กพัฒนาทักษะ การคิด การจำแนกความรู้ การหาเหตุผล การนำเสนอ ความกล้าแสดงออก บทบาทผู้นำผู้ตาม การทำงานเป็นทีม ก็ได้จากวิชา RBL ทั้งหมด”

ในขณะเดียวกันการทดลองพาเด็กเรียน RBL ไปหนึ่งภาคเรียน มันกลับไม่ได้พัฒนาเพียงแค่นักเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบุคลากรต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการอีกด้วย

“มันมีประโยชน์ในด้านความคิด เราไม่ได้ต้องการทำโครงการเพื่อให้เด็กรู้แค่เรื่องสีของธรรมชาติ เรื่องขยะ เรื่องสละ เรื่องขนมโรตีกรอบ แต่เราสนใจองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติมากกว่า กว่าจะมาเป็นโรตีกรอบ เด็กๆ ต้องไปค้นหา ไปพูดคุย ไปลงมือทำจริง ผ่านการวิเคราะห์ แก้ปัญหาต่างๆ ในโครงการฐานวิจัย แต่กว่าจะถึงปลายทาง เราจะดูว่าเด็กติดต่อประสานงานเป็นไหม เขาเอาเปรียบเพื่อนไหม นี่คือสิ่งที่เราต้องการให้เกิดกับเขา

“และเมื่อทำไปเรื่อยๆ มันจะพัฒนาข้างในตัวเราเอง ผมเองได้พัฒนาในแนวทางของผู้บริหาร ครูก็พัฒนาในแบบของครู ครูเป็นนักจัดการ เป็นกระบวนกรเรียนรู้ไม่ใช่แค่ผู้บอกความรู้ ชุมชนก็พัฒนากล้าคิดกล้าลงมือทำมากขึ้น เด็กก็กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงเหตุผล มีการคิดการวิเคราะห์ ทั้งหมดนี้เราทุกคนก็เหมือนได้พัฒนาร่วมกันผ่านโครงการ RBL ทั้งหมด”

ซึ่งการที่โรงเรียน ชุมชน เด็ก เปลี่ยนแปลงจนเป็นเนื้อเดียวกัน เห็นภาพร่วมกัน เห็นความฝันร่วมกัน มันเอื้อให้สังคม เกิดความรัก ความอบอุ่นต่อเด็ก

การที่ผู้ปกครองได้ให้ความรักและใส่ใจในเรื่องของการเรียนรู้ของลูก สภาพชุมชน สิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญา ทำให้สังคมดีขึ้นและกลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา ซึ่งหากจังหวัดสตูลสามารถสร้างการเรียนรู้แบบนี้ได้เต็มพื้นที่ เด็กสตูลก็จะรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้

“ผมหวังว่าในอนาคตเด็กจะมีทักษะชีวิต มีทักษะการทำงาน รักท้องถิ่น รักบ้านเกิด และเด็กต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราสร้างเด็กขึ้นมา อย่างน้อยให้เขารู้จักบ้านของตัวเอง เขาจะรักสตูล อยู่กับสตูลต่อไป ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ อยู่ๆ เด็กจะมีเองไม่ได้ ไม่ใช่ให้ครูไปสอนว่า ‘ลูกต้องแก้ปัญหานะ’ ‘ลูกต้องจัดการแบบนี้นะ’ อยู่ๆ จะมาบอกให้ทำมันไม่ได้ มันต้องสะสม ผ่านกระบวนการเรียน RBL ถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่กับเรา อย่างน้อยพ่อแม่ก็จะสบายใจได้ว่า ลูกจะรู้เท่าทัน”

ฉะนั้นเมื่อเราถามและไล่ทวนความรู้สึกไปที่เด็กๆ ป.6 หลังจากจบวิชา RBL สำรวจพืชทั้ง 4 ชนิดในชุมชนบ้านควนเก เด็กๆ ตอบตรงกันว่า…

“หนูชอบเรียนแบบนี้ มันสนุก ได้ลงพื้นที่จริง ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเฉยๆ ตอนแรกที่ครูบอกว่าจะให้เรียนวิชานี้ก็งงๆ แต่ครูบอกว่าวิชานี้จะช่วยฝึกให้เราคิดเองและกล้าแสดงออก เทอมหน้าพวกหนูก็จบ ป.6 แล้ว ต้องไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนอื่น ไม่ได้เรียนแล้ว ก็คงเสียใจ” เสียงจาก เด็ก ป.6 บอกทิ้งท้ายไว้กับเรา

หมายเหตุ: โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนหนึ่งในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จ.สตูล สนับสนุนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศูนย์วิจัยด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูล


*พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือ โครงการนำร่องเพื่อปฏิรูปการศึกษาที่จะให้โรงเรียนเป็นอิสระ บริหารจัดการตัวเอง  มีการร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายและชุมชนในพื้นที่เพื่อร่วมกันออกแบบการศึกษาเพื่อผลิตคนคุณภาพที่ตอบโจทย์พื้นที่เอง นำร่องใน 6 จังหวัด ครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)

Tags:

โรงเรียนเทคนิคการสอนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาครูสามเส้าResearch Base Learning(RBL)

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ‘ครูสามเส้า’ นวัตกรรมการศึกษาโรงเรียนอนุบาลสตูล : เมื่อครูอยู่รอบตัวเรา และการเรียนรู้ไม่ได้หยุดแค่ห้องเรียน

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Unique Teacher
    วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา
21st Century skills
8 January 2020

PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • PBL (Problem Based Learning) คือ การเรียนรู้โดยตั้งต้นจาก ‘ปัญหา’
  • การใช้ PBL แต่ละโรงเรียนจะไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนอาจใช้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร  ขณะที่บางโรงเรียนก็ใช้เต็มเวลา เช่น โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ที่มีวิธีการออกแบบแผนการสอน PBL โดยใช้คอนเซ็ปต์ 2 ส่วนคือ หนึ่ง-รู้จักการทำ สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง และ สอง-รหัส ซึ่งมีอยู่ 2 ชุดคือ P (problem) กับ K (knowledge)
  • บทความนี้อธิบายการใช้ PBL โดยตัวอย่างเป็นการจัดการขยะล้นโรงเก็บขยะในโรงเรียน ขั้นแรกให้ครูพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้ก้อนสามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง จากนั้นจึงค่อยนำไปสู่การออกแบบแผนการสอน 

เชื่อว่าครูหลายคนได้ยินกันมาบ่อยแล้วกับคำว่า PBL (Problem Based Learning) การออกแบบการเรียนรู้โดยตั้งต้นจาก ‘ปัญหา’ คือแทนที่จะเรียนเป็นหมวดหมู่รายวิชา แต่ PBL จะเปลี่ยนวิธี เลือกหยิบ ‘ปัญหา’ มาหนึ่งอย่างแล้วให้ผู้เขียน ‘คลุกวงใน’ อยู่กับมัน ครูเองก็ได้เปลี่ยนบทบาทไปเป็น ‘ผู้อำนวยการเรียนรู้’ หรือ facilitator ไม่ยืนเลคเชอร์หน้าห้องแต่คอยหนุนเสริมให้เด็กๆ ทำโปรเจ็คต์นั้นด้วยตัวเขาเอง

ด้วยตัวมันเอง PBL เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สร้าง ‘ความเข้าใจ’ มากกว่าการ ‘copy and paste’ ความรู้ให้กับผู้เรียน เด็กๆ จะได้ลงมือทำ คิด วิเคราะห์ หาทางหนีทีไล่ (ถ้าแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ไม่ได้จะแก้แบบไหนดี) ได้ออกไปเรียนตามวิธีที่ตัวเองเป็นคนออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง ออกไปสัมภาษณ์ ค้นข้อมูลด้วยตัวเองทางอินเทอร์เน็ตหรือหนังสือ และอีกหลากวิธีตามแต่ประเด็นเพื่อมาแก้ปัญหานั้น และแม้จะตั้งต้นที่ปัญหาหนึ่งเรื่อง แต่พอทำจริงก็ได้บูรณาการไปทุกศาสตร์วิชาอย่างเป็นองค์รวมไม่แยกกัน

ที่น่าสนใจคือ PBL ถูกบอกว่าเป็น ‘นวัตกรรมทางการศึกษา’ ที่จะทำให้เด็กๆ มีทักษะในศตวรรษที่ 21 เพราะการแก้ปัญหาหนึ่งย่อมเรียกร้อง การคิดวิเคราะห์, ความสร้างสรรค์, ทำงานร่วมเป็นทีม และการสื่อสาร และยังก่อคาแรคเตอร์อย่าง ความสงสัยใคร่รู้, การริเริ่ม, ความเข้าอกเข้าใจผู้ใช้งาน (empathy), การปรับตัวยืดหยุ่น และอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การใช้ PBL แต่ละโรงเรียนจะไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนอาจใช้ PBL เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร โดยอาจกำหนดเป็นชั่วโมง เช่น 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ ขณะที่บางโรงเรียนก็ใช้ PBL เต็มเวลาไม่มีการสอนแบบแยกคาบเลย เช่น โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ซึ่งผู้เขียนใช้ข้อมูลและวิธีคิดในการออกแบบการสอนจากที่นี่เป็นหลัก  

ประเด็นที่อยากเขียนเล่าและไฮไลต์ในบทความชิ้นนี้ คือ อยากเล่าวิธีคิด ‘ก่อน’ ที่ครูจะออกแบบหน่วย PBL ครูจะเขียนแผนอย่างไรให้หน่วย PBL นอกจากจะสนุกแล้ว ความเข้าใจใน ‘ปัญหา’ ยังจะพาผู้เรียนไปสู่ทักษะชีวิตอีกด้วย ทำให้ผู้เขียนรู้สึกท้าทาย และใช้ ‘ปัญหา’ นี้สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ออกแบบแผนการสอน PBL

ก่อนจะว่ากันเรื่องครูสร้างแผนการเรียนรู้อย่างไร โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะชวนคุณครูทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์ 2 ส่วนคือ หนึ่ง-รู้จักการทำ สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง และ สอง-รหัส ซึ่งมีอยู่ 2 ชุดคือ P (problem) กับ K (knowledge) 

วิธีการออกแบบแผนการสอน PBL: สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง

สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง มีไว้เพื่อให้ครูทำความเข้าใจปรากฏการณ์/สถานการณ์ของ ‘ปัญหา’ ในระดับที่ลึกลงไปในชั้นโครงสร้างว่าในปัญหาหนึ่งๆ นั้นเกี่ยวพันกับเรื่องอะไรบ้าง เพราะในฐานะที่ครูเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ จะได้ชัดเจนกับตัวเองก่อนว่ากำลังจะใช้ความเข้าใจ ‘ปัญหา’ นี้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอะไรของผู้เรียน อยากให้เขาเห็นคุณค่าอะไร และด้วยตัวภูเขาน้ำแข็งเองจะทำให้เข้าใจในระดับทะลุทะลวง และให้รู้รอบว่าปรากฏการณ์ที่ดูเล็กน้อยนั้น แท้จริงแล้วมันไปแตะที่เรื่องอะไรบ้าง ซึ่งจุดนี้เองที่เป็นหัวใจของของ PBL

การทำความเข้าใจ ‘ปัญหา’ โดยก่อนออกแบบแผนการเรียนรู้ ครูต้องทำภูเขาน้ำแข็งตามรูปและวิธีการดังนี้ 

  • Event: ปรากฏการณ์ พฤติกรรมที่ปรากฏ และจะเป็นหัวข้อที่เลือกจะศึกษา
  • แบบแผนพฤติกรรม: ใต้ปรากฏการณ์นั้น มีพฤติกรรมอะไรที่เกิดซ้ำๆ 
  • โครงสร้าง: event นี้เป็นผลจากโครงสร้างสังคมอะไรบ้าง เป็นได้ทั้งโครงสร้างทางกายภาพ สังคม การเมือง เศรษฐกิจ  
  • คุณค่า ค่านิยม ความเชื่อ: เพราะมีความเชื่ออะไร จึงนำไปสู่โครงสร้าง แบบแผนพฤติกรรม และ event ที่ปรากฏนั้น 

จะเห็นว่าฝั่งซ้ายจะมีคำว่า ‘เดิม/ปัญหา’ ฝั่งขวามีคำว่า ‘เปลี่ยนสู่’ การเติมรายละเอียดในแต่ละชั้นน้ำแข็งก็เพื่อให้ครูเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหา และให้ชัดว่าในแต่ละชั้นของภูเขาน้ำแข็ง ครูอยากให้ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนไปสู่ความเข้าใจเรื่องอะไร

สำคัญที่สุดคือประเด็นจากภูเขาน้ำแข็งที่ยกมาทำ PBL ต้องเป็นประเด็นที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ประเด็นอะไรที่เกินกำลัง เปลี่ยนไม่ได้ในระดับผู้เรียนให้หลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะ PBL ที่ดีต้องทำได้จริง ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนทั้งภูเขาน้ำแข็ง (วิธีแก้ ครูอาจใช้เรื่องในประเด็นเดิมแต่เลือก Event ที่เกิดได้ในระดับผู้เรียนมาเป็นประเด็นสำหรับทำ PBL)

พอสรุปภูเขาน้ำแข็งได้แล้ว ต่อไปก็จะมาออกแบบแผนการเรียนรู้แต่จะออกแบบแผนได้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า อยากให้ผู้เรียนได้ความรู้อะไร และอยากให้เกิดทักษะอะไร ผ่าน ‘ปัญหา’ นั้น ซึ่งตรงนี้จะเป็นอันที่นำเอา รหัส มาใช้ 

วิธีการออกแบบแผนการสอน PBL: รหัส

รหัสมีอยู่ 2 ชุดคือ K (knowledge) กับ P (problem) 

K – Knowledge คือ ความรู้ที่ผู้เรียนจะได้จากการเรียนรู้ผ่านปัญหา ซึ่งมี 3 ระดับ คือ

  • K3 – ความรู้ปฐมภูมิที่มีอยู่แล้ว เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผลลัพธ์ทางสถิติที่มีอยู่แล้ว หรือข้อเท็จจริงทั่วไป 
  • K2 – ความรู้ทั่วไป และความรู้เชิงเทคนิคที่ได้จากการปฏิบัติ ระหว่างการปฏิบัติงาน เด็กๆ จะต้องคุยกับเพื่อน คิดหาทางแก้โจทย์ปัญหาและลงมือทดลอง ทักษะ 4Cs (critical thinking, creativity, communication, collaboration) ก็จะเกิดตามมา หรือเกิดความรู้เชิงเทคนิคเฉพาะเรื่องจากประเด็นที่ตนเองศึกษา เช่น วิธีการจัดการขยะ เป็นต้น
  • K1 – ความรู้ที่เกิดจากตัวเด็ก เด็กสร้างความรู้เองจากการลงมือปฏิบัติงาน รวมถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น เวลาทดลองแล้วไม่เป็นไปตามหวัง เด็กต้องแก้ปัญหาเอง เขาอาจได้ค้นพบวิธีแก้ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีคนคิดได้มาก่อน และมันเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากตัวผู้เรียนเอง คือเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบุคคล 

P – Problem คือ ปัญหาที่ผู้เรียนจะได้เผชิญในระหว่างทำ PBL มี 3 ระดับ คือ

  • P0 – ปัญหาที่ผู้เรียนยังไม่มีความรู้ ครูให้เด็กไปค้นคว้าแล้วมาจัดการความรู้ร่วมกัน (ทำให้ได้ความรู้ระดับ K3) 
  • เช่น การทำ PBL หมวดการลดปริมาณขยะ ครูอาจให้นักเรียนค้นความรู้ก่อนว่า ขยะมีกี่ประเภท ผลกระทบของขยะมีอะไรบ้าง สถิติปริมาณขยะต่อปีของประเทศไทย วงจรการเกิดขยะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความรู้ที่มีอยู่แล้ว หาได้จากการค้นคว้าทั่วไป เป็นต้น 
  • P1 – ปัญหาที่ครูเป็นคนตั้งให้เพื่อให้เด็กค้นคว้า และสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหานั้น ทักษะที่เด็กได้ในขั้นนี้คือทักษะเชิงเทคนิค (ได้ความรู้ระดับ K3 และ K2) 
  • เช่น การทำ PBL หมวดการลดปริมาณขยะ ครูอาจตั้งโจทย์ให้นักเรียนคิด ‘นวัตกรรมเพื่อจัดการขยะ’ ผู้เรียนก็ต้องไปคิด ค้นคว้า หาวิธีว่าจะใช้วิธีการอะไรมาบริหารจัดการขยะที่ถูกวิธีและเกิดประโยชน์สูงสุด ต้องคิดว่าต้องมีถังขยะกี่ใบกันดีนะ ถ้าเป็นแก้วน้ำที่มีน้ำแข็ง ก็ต้องมีถังเปล่าสำหรับใส่น้ำแข็งและน้ำที่ติดมากับแก้วหรือเปล่า หรือมีถังแยกเพิ่มสำหรับเศษอาหารอีกใบดี? โดยผู้เรียนอาจคิด ‘ถังแยกขยะอัจฉริยะ’ และการลงถือสร้างถังขยะอัจฉริยะนี่เองที่จะทำให้ผู้เรียนได้ความรู้ระดับ K3 และ K2 
  • P2 – เป็นปัญหาของเด็กเองที่เกิดระหว่างการทำงานนั้นๆ ทักษะที่เด็กได้ในขั้นนี้คือทักษะศตวรรษที่ 21 ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาในระดับ P2 ขึ้น เด็กๆ จะต้องคิดหาทางแก้ปัญหาเอง ต้องค้นความรู้เพิ่มขึ้นและสร้างนวัตกรรมขึ้นเพื่อแก้ปัญหานั้น (ความรู้ที่ได้มีโอกาสเกิดได้ทั้ง K2 และ K1)

เช่น เมื่อนำ ‘ถังแยกขยะอัจฉริยะ’ ไปตั้งแล้วคนก็ยังไม่แยกขยะอยู่ดี อันนี้จะเป็นโจทย์ปัญหาของเด็กๆ แล้ว (P2) กล่าวคือ หน้าที่ของโครงงานนี้อาจจบลงที่นักเรียนจัดทำถังแยกขยะตามโจทย์ที่ได้รับแล้ว นักเรียนจะพอใจแค่นี้ก็ได้ แต่ถ้าเด็กๆ ยังอยากแก้ปัญหาต่อว่า “แม้จะมีถังแยกขยะแล้ว แต่ทำไมคนก็ยังไม่แยกอยู่ดีนะ?” เด็กๆ อาจต้องไปสัมภาษณ์คนที่ไม่แยกขยะแล้วดูว่าเขาคิดอย่างไร อะไรทำให้เขาแยกหรือไม่แยกขยะ เด็กๆ อาจคิดวิธีแก้ได้หลากหลาย เช่น อาจออกกฎร่วมมือกับคนขายเลยว่าให้ใช้ภาชนะถาวรที่ต้องนำภาชนะมาคืนและคิดค่ามัดจำภาชนะ พัฒนาตู้หยอดขวดน้ำที่จะแยกขยะให้อัตโนมัติและคนหยอดได้แต้มหรือได้เงินคืน หรือวิธีอื่นๆ

ซึ่ง P2 นี่เองที่ทำให้เด็กๆ ‘อิน’ ท้าทาย อยากทำโปรเจ็คต์ให้จบเพราะมันเป็นโจทย์ที่เกิดมาจากความไม่แล้วใจของเขาเอง (initiate) ซึ่งการแก้ปัญหาในระดับนี้ทำให้เกิดความรู้ที่เขาเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเองด้วย และยังชัดเจนอีกว่าวิธีการทำงานของเด็กๆ ในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดทักษะในศตวรรษที่ 21 

ทั้งในหมวดความสามารถ (competency) ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร คิดวิเคราะห์ และหมวดคาแรคเตอร์ เช่น การริเริ่ม ลงมือทำ ยืดหยุ่นปรับตัว มุมานะ และอื่นๆ – อย่างไม่ต้องสงสัย

ย้ำอีกครั้ง ปัญหาในระดับ P0 – ไม่เกิดนวัตกรรม แต่ P1 กับ P2 เกิดนวัตกรรม และทำให้เกิดความรู้เชิงเทคนิค และ ทักษะในศตวรรษที่ 21 

การใส่รหัสทั้งหมดนี้เพื่อย้ำกับครูว่าเวลาคิดแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละขั้น ต้องพยายามมองให้ทะลุว่าแผนแต่ละขั้นจะทำให้เกิด P และ K ในระดับไหนและครูจะสร้างให้เกิดความรู้แต่ละระดับอย่างไร แผนที่ดีต้องพยายามให้เกิดความรู้ในระดับ K1 และ K2 ขึ้นไป และให้เกิดปัญหาในระดับ P2 ขึ้นไป เพื่อให้เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่มาจากปัญหาของเขา และเกิดทักษะใหม่ในการคิดแก้ไขปัญหาจริงๆ 

ตัวอย่างแผนการสอน

ปัญหา: ขยะล้นโรงเก็บขยะในโรงเรียนทุกวัน ส่งกลิ่นเหม็น 

ขั้นแรกให้ครูพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้ก้อนสามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็งก่อน จากนั้นจึงค่อยนำไปสู่การออกแบบแผนการสอนต่อไป 

ปัญหาเดิมภูเขาน้ำแข็งเปลี่ยนไปสู่
ขยะล้นโรงเก็บขยะในโรงเรียนทุกวัน ส่งกลิ่นเหม็นeventขยะในโรงเก็บขยะน้อยลง กลิ่นเหม็นน้อยลง
– คนไม่แยกขยะ 
– ทิ้งเศษอาหารรวมกับขยะมูลฝอยอื่น
– มักใช้ single used plastic
แบบแผนพฤติกรรม– แยกขยะ โดยเฉพาะขยะเศษอาหาร
– คนพกขวดน้ำ แก้วน้ำถาวรมากขึ้น
– ไม่มีถังแยกขยะในโรงเรียน/ถังขยะแต่ละจุดมีใบเดียว ทำให้ไม่รู้จะแยกยังไง 
– โรงอาหารไม่แยกขยะอาหาร 
– ไม่มีระบบแยกขยะในโรงเก็บขยะ 
– ระบบแยกขยะไม่ครบวงจร 
– การใช้บรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง/อายุน้อย (single used)
โครงสร้าง– มีระบบคัดแยกขยะในโรงเรียน 
– โดยเฉพาะการคัดแยกเศษอาหารจากขยะประเภทอื่น 
– สหกรณ์ในโรงเรียนไม่ขาย/ไม่ให้ single used plastic
– แยกขยะไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็เอาไปทิ้งรวมกัน 
– มีซาเล้งแยกขยะอยู่แล้ว/มีคนประกอบอาชีพนี้อยู่แล้ว
– การแยกขยะไม่ใช่เรื่องของเรา แค่ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางก็พอแล้ว
คุณค่า ค่านิยม ความเชื่อ– การแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเป็นหน้าที่ของเรา 
– การไม่ผลิตขยะที่ไม่จำเป็นตั้งแต่ต้นทาง เป็นหน้าที่ของเรา

แผนการสอน

ชื่อหน่วย: ขยะ 

คำถามหลัก: ขยะ กระทบอะไรบ้าง จะลดขยะและจัดการให้ถูกต้องและเป็นระบบได้อย่างไร? 

ภูมิหลังปัญหา: เป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาใหญ่ระดับโลกขณะนี้คือวิกฤติโลกร้อน และหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นคือเรื่อง ‘ขยะ’ ประเทศไทยผลิตขยะ 74,988 ตัน/วัน หรือ 1.13 กิโลกรัม/คน/วัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะลุกขึ้นมาสำรวจว่าเราเป็นหนึ่งในปัญหาอย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดปัญหาขยะล้นโลกแบบนี้ และวิธีการจัดการขยะอย่างถูกต้อง ทำได้อย่างไรบ้าง 

เป้าหมายความเข้าใจ: เข้าใจและแยกขยะแต่ละประเภทอย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การจัดการอย่างถูกวิธี และลดการผลิตขยะในชีวิตประจำวันได้ 

ระยะเวลา: 11 สัปดาห์ (8 ชั่วโมง/สัปดาห์)

Week กระบวนการ
Week 1โจทย์: สร้างแรงบันดาลใจ (P0 P1)

กิจกรรม (K2)

– เรียนรู้ขยะที่เกิดจากตัวเรา 
– สำรวจบ่อขยะ สถานที่ที่มีการทิ้งขยะเป็นจำนวนมาก 
– วางแผนและออกแบบการเรียนรู้ 
– สร้างวิธีลดขยะร่วมกัน (ถุงผ้า ขวดน้ำ ห่อข้าว) 
Week 2-3โจทย์: ออกแบบนวัตกรรมเพื่อจัดการขยะ (P1) กิจกรรม: (K2)
– วิพากษ์ระบบการจัดการขยะที่มีคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ
– วิเคราะห์การจัดการขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่รอบตัว (โรงเรียน บ้าน ชุมชน) 
– วางแผนและออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ออกแบบนวัตกรรมเพื่อจัดการขยะ (P2 K2 K1)

(P2 จะเกิดเพราะหากออกแบบนวัตกรรมมาใช้ ไปทดลองแล้วทำไม่ได้ อันนี้จะกลายเป็นปัญหาของผู้เรียนที่ต้องคิดหาทางแก้ เมื่อลงมือแก้ ความรู้ที่เขาได้แน่ๆ คือความรู้ระหว่างลงมือทำ (K2) กับความรู้ในทักษะเฉพาะด้านที่เขาเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเอง (K1)

*กิจกรรมระยะยาวคู่ขนานไปตลอดหน่วย
Week 4-7โจทย์: การลดขยะ (P1)

กิจกรรม: สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านกระบวนการ Reuse, Reduce, Recycle, Repair, Reject (P2 K2 K1)
Week 8-9โจทย์: สร้างสื่อเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับขยะและการจัดการ รวมถึงผลกระทบที่ต่อมีต่อตัวเรา สังคม และโลก  (P1)

กิจกรรม: 
– วางแผนและออกแบบสื่อ
– สร้างสื่อและเผยแพร่ (P2)
Week 10-11โจทย์: ถอดบทเรียน, HOME

กิจกรรม: ประเมินและถอดบทเรียนการเรียนรู้ (K2 K1)
– วางแผนและออกแบบสื่อ
– กิจกรรม HOME เปิดบ้าน ชวนผู้ปกครองและเพื่อนๆ มาร่วมเรียนรู้ร่วมยินดี-

Tags:

ครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาProblem based Learning(PBL)เทคนิคการสอน21st Century skills

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Learning Theory
    จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel