Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

BOOK RE:PUBLIC การเมืองเป็นเรื่องต้องพูด จะเกลียดกันบ้างก็ได้ ไม่มีปัญหา
Space
27 February 2019

BOOK RE:PUBLIC การเมืองเป็นเรื่องต้องพูด จะเกลียดกันบ้างก็ได้ ไม่มีปัญหา

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Book Re:public ร้านหนังสือที่ดู ‘การเมื้องการเมือง’ มักจัดเสวนาที่ขึ้นชื่อขึงขัง เช่น เมื่อความจริง (และนิยาย) โดนดำเนินคดีในประเทศไทยยุคกษัตริย์นิยมล้นเกิน, ศาสนา เพศวิถี และความหลากหลายทางเพศ ไม่รวมเวิร์คช็อปที่จัดขึ้นเสมอๆ เช่น ห้องเรียนประชาธิปไตย, ห้องเรียนดีเบต หรือ Human ร้าย Human wrong
  • บทสนทนากับสาวแว่นสองคนที่เป็นทั้งพนักงานร้านหนังสือ, ผู้ร่วมปรุงสูตรเวิร์คช็อปเชิงวิพากษ์, ดีไซเนอร์, นักพิสูจน์อักษร หรือนักคิด ว่าตกลงแล้วร้านหนังสือ Book Re:public มีอำนาจที่จะทำอะไรได้บ้างนะ
  • “แค่ตั้งตนว่าจะไม่สนใจการเมืองมันก็คือการเมืองแล้ว มันมีปัจจัยไหนล่ะที่ทำให้คุณรู้สึกว่าขอวางเรื่องนี้ไป ถ้าคุณไม่สนใจการเมืองคุณสนใจอะไร เพลงแร็พ ลูกทุ่ง ลูกกรุง ก็เป็นการเมืองนะ การที่จู่ๆ วันหนึ่งคุณอยากจะลุกขึ้นมากินคลีน เฮ้ย ลองเช็คตัวเองดีๆ มันอาจจะเป็นการเมืองก็ได้นะเว้ย” 

เสวนาที่พบเจอได้ในร้านหนังสือ Book Re:public มีชื่อราวๆ นี้…

อ่านออกเสียง ตอน ‘เปิดปาก เปิดพื้นที่เสรีทางความคิด’, เมื่อความจริง (และนิยาย) โดนดำเนินคดีในประเทศไทยยุคกษัตริย์นิยมล้นเกิน, ศาสนา เพศวิถี และความหลากหลายทางเพศ, Book Talk ‘นีโอลิเบอรัล(มั้ย)ศาสตร์’ หรือแม้แต่ ตุลาการภิวัตน์หรือรัฐประหารบนบัลลังก์ศาล

ยังไม่รวมเวิร์คช็อปที่จัดขึ้นเสมอๆ เช่น ห้องเรียนประชาธิปไตย โครงการเรียนรู้นอกมหาวิทยาลัยเพื่อทำความเข้าใจประชาธิปไตยในชีวิตประจำวัน, ห้องเรียนดีเบต (Critical Thinking) โครงการฝึกความคิดเชิงวิพากษ์และกระบวนการถกเถียงด้วยเหตุผล หรือ Human ร้าย Human wrong – กิจกรรมไฮไลท์ประจำปีที่ชวนผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปมาใช้ศิลปะแนวใหม่เป็นสื่อกลางเพื่อแสดงออกและสื่อสารเรื่องสิทธิมนุษยชน

เรียกได้ว่า คำว่าวาทกรรม (discourse) หรือกระบวนทัศน์ (paradigm) ดูเป็นศัพท์พื้นๆ ไปเลย

เจ้าของร้านคือ อ้อย รจเรข วัฒนพาณิชย์ อดีต NGO ชุมชนคนรักป่าและเจ้าของไอเดียห้องเรียนประชาธิปไตย พนักงานร้านทั้ง 2 คน บัว-นันท์ณิชา ศรีวุฒิ และ ออยล์-ชนมน วังทิพย์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดเสวนาและห้องเรียนนอกระบบทั้งหลายที่ว่า พวกเธอยอมรับด้วยเสียงหัวเราะขื่นๆ ขำๆ ว่าการเมืองเป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ แต่เราจะไม่สนใจมันจริงๆ ได้หรือเปล่า แล้วถ้าเราสนมันแบบปักลึก หน้าที่ของร้านหนังสืออิสระเล็กๆ ในเมืองเชียงใหม่จะสนุกสนานอยู่บนพื้นฐานของการโต้เถียงและความขัดแย้งได้มากแค่ไหน

นันท์ณิชา คืออดีตนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มักจะตั้งคำถามกับกรอบสังคมที่ต้องเชื่อมโยงกับคนอื่นตลอดเวลา ความสนใจด้านพลวัตทางสังคมและการเมืองรอบตัวตั้งแต่รั้วมหาวิทยาลัยทำให้เธอนำทักษะด้านศิลปะมาสื่อสารในประเด็นด้านการเมืองตั้งแต่ครั้งยังเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมกับร้าน Book Re:public จนถึงปัจจุบันที่นั่งวาดสีน้ำสวยงามอยู่บนกระดาษ แต่เคลือบสาส์นของเสวนาการเมืองทั้งสิ้น

ชนมนเองก็เป็นเด็กที่ชอบดูปัญหาพัลวันของการสื่อสารและการมีอยู่ของมนุษย์ อดีตนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาและวรรณกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่บอกว่า รอยแตกแยกหรือการปะทะทางความคิดที่เกิดจากความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดไปได้ไม่สิ้นสุด และการเมืองก็เป็นเรื่องของทุกคนบนโลก

Book Re:public จึงดูเป็นร้านหนังสือที่ ‘การเมื้องการเมือง’ เคยมีนักอ่านเดินเข้ามาที่ร้านแล้วถามว่าพนักงานชอบเสื้อ ‘สีอะไร’ หรือชี้ป้ายหน้าร้านแล้วกระซิบกระซาบกันว่านี่เป็นร้านหนังสือที่สนับสนุน liberal democracy แบบสุดโต่ง แต่ในเมื่อจุดยืนของร้านคือการเปิดโอกาสให้พูด ใครๆ ก็มีสิทธิพูดได้ แล้วจะมาดีเบทห้ำหั่นต่อกันอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

และต่อจากนี้คือบทสนทนากับสาวแว่นสองคนที่เป็นทั้งพนักงานร้านหนังสือ, ผู้ปรุงสูตรเวิร์คช็อปเชิงวิพากษ์, ดีไซเนอร์, นักพิสูจน์อักษร หรือนักคิดก็ตามว่าตกลงแล้วร้านหนังสือสำหรับ Book Re:public มีอำนาจที่จะทำอะไรได้บ้างนะ

ตอนเข้ามาทำงานที่ Book Re:public รู้สึกว่าที่นี่เป็นแค่ร้านหนังสือหรือมากกว่านั้น

บัว: เราเข้ามาทำงาน 2 ปีที่แล้ว และเคยคลุกคลีกับกิจกรรมที่นี่ตั้งแต่ตอนเรียน และคิดว่า นี่มันร้านหนังสือการเมืองที่มีแต่คนโหดๆ คนวิชาการมาอยู่รวมกัน แล้วในฐานะที่เราเป็นเด็กที่เรียนศิลปะมา เราเลยคิดว่าจะต้องสื่อสารยังไงดีให้เด็กยุคใหม่เข้ามาในร้านมากขึ้น เราเลยค่อยๆ ออกแบบกิจกรรมและโปรโมทร้านที่ตอบโจทย์คนที่อยากมีพื้นที่ในการพูดคุยและแลกเปลี่ยนประเด็นทางสังคมมากขึ้น

คำว่าการเมืองที่ Book Re:public อยากจะสื่อสารออกไปกับคนรุ่นใหม่ไม่ใช่การเมืองเรื่องโครงสร้างที่เป็นเรื่องรัฐบาล การบริหารประเทศอะไรแบบนั้น แต่คำว่าการเมืองมันอยู่ในทุกฝีก้าว ทุกเวลาของคุณ ตั้งแต่เรื่องโครงสร้างการเมืองในครอบครัว เช่น ทำไมพ่อถึงมีสิทธิพูดมากกว่า หรือเรื่องของเพศสภาพที่มีความหลากหลายในรั้วมหาลัย การใช้ชีวิตในเชียงใหม่ หรือการออกแบบผังเมืองต่างๆ

บัว – นันท์ณิชา ศรีวุฒิ

เราพยายามกระตุกให้ผู้เข้าร่วมโครงการที่เป็นเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่นพยายามโฟกัสกับจุดนี้ก่อน แล้วค่อยไปต่อยอดเรื่อยๆ ว่าจากปัญหาที่คุณคิดว่ามันเป็นการเมือง เรื่องของคุณมันไปสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมอย่างไร มองเป็นสเต็ปๆ ไปเพื่อที่จะให้เขาเรียนรู้คำว่าการเมืองและสิทธิของตัวเองเท่าที่เขาจะพอไหว เลยเป็นอีกภาพลักษณ์หนึ่งที่เราพยายามจะนำเสนอให้กับกลุ่มเยาวชน ตั้งแต่โครงการ human ร้ายฯ critical thinking หรือโครงการดีเบต

ยกตัวอย่างกิจกรรม critical thinking ที่เปิดโอกาสให้คนมาเข้าร่วมอย่างเป็นรูปธรรมให้หน่อย

ออยล์: กระบวนการของกิจกรรม critical thinking คือเริ่มจากการเอาคำถามง่ายๆ บ้าๆ ที่ไม่มีใครคิดว่าจะถามมานั่งล้อมวงคุยกัน หาเหตุผลให้มันอย่างชัดเจนซึ่งเหตุผลอาจจะไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่ามันผิดหรือถูก แต่ว่าพื้นที่ในวงตรงนั้นมันได้ถูกจัดสรรให้ทุกคนได้พูดและโต้เถียงความเชื่อของตัวเองจนถึงที่สุด จำลองให้เห็นว่าการคุยเรื่องๆ หนึ่งมันไม่มีคำว่าไร้สาระ เพราะเบื้องหลังมันมีเหตุผลอะไรก็ตาม หรือแม้กระทั่งปัญหาสิทธิมนุษยชน เช่น เราควรรับผู้ลี้ภัยมาไหม การคุยกันอาจจะไม่ทำให้เขาพบว่าสิทธิมนุษยชนสำคัญยังไง แต่เขาจะรู้แล้วว่าความคิดเห็นของเขาไม่ใช่ความคิดเห็นหนึ่งเดียวบนโลกนี้ ถ้าเกิดคุณคุยกันด้วยเหตุผลจริงๆ มันอาจจะนำพาคุณไปสู่ทางออกหรือวิธีการใหม่ๆ ได้

ออยล์ – ชนมน วังทิพย์

ประเด็นที่ถามส่วนใหญ่น่าจะเป็นประเด็นที่ต้องโต้แย้งและใช้ความรู้พื้นฐานบางอย่าง ผู้เข้าร่วมสะท้อนออกมาเป็นยังไงบ้าง

บัว: เช่น ในเวิร์คช็อปดีเบตจะมีกระบวนการการแบ่งคนออกเป็นสองฝ่าย เช่น รถแดงควรจะอยู่ต่อในเชียงใหม่ไหม ก็จะมีฝั่งที่พยายามแย้งกลับว่าไม่ควรอยู่ซึ่งมีจำนวนเยอะมาก แต่ทำยังไงให้เขาคิดถึงว่าถ้าเขายืนอยู่ในจุดของผู้ประกอบการ เขาจะคิดถึงอะไรบ้าง ถ้าเขายืนอยู่ในจุดที่ต้องดีเฟนด์ว่าการมีอยู่ของปัญหานี้มันดียังไง เขาจะรู้สึกถึงใจเขาใจเรา ก็เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้คนพยายามเปิดรับความแตกต่าง

ออยล์: เพราะฉะนั้นในโครงการก็จะมีเวิร์คช็อปหลายแบบ ทั้งการสื่อสารทางศิลปะพร้อมกับการเวิร์คช็อปองค์ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนต่างๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ 20 คนที่มาเข้าร่วมอย่างเข้มข้น ระหว่างทางเขาจะพัฒนาชิ้นงานของเขาในประเด็นสิทธิมนุษยชนที่แต่ละคนสนใจไปพร้อมๆ กัน จนสุดท้ายพอจบโครงการ แต่ละคนจะได้ผลิตชิ้นงานศิลปะขึ้นมาเพื่อจัดแสดงร่วมกันในนิทรรศการ

บัว: เรากำลังทำให้เขาเหมือนเป็นศิลปินคนหนึ่งที่จะผลิตผลงานออกไปจัดแสดง ดังนั้นทุกคนจะตั้งคำถามต่องานของเขา ในกระบวนการเลยต้องมีการตรวจสอบหัวข้อนั้นๆ ว่าถ้าคุณคิดแบบนี้ตรรกะวิบัติหรือเปล่า หรือว่าเป็นการแปะป้ายให้กับคนกลุ่มที่กำลังอยู่ในประเด็นปัญหา มันจะมีการตรวจสอบกันอยู่ตลอดเวลาโดยตัวของผู้เข้าร่วมเองจนเจ้าของผลงานต้องไปค้นหาข้อมูลให้มากขึ้น เขาจะต้องทำให้คนหมู่มากรับสารตรงกันกับสิ่งที่เขาจะสื่อสาร แล้วดูว่าสารนั้นน่ะมันมีความ make sense อยู่ไหม

การตรวจสอบที่ว่าใช้เกณฑ์อะไร

บัว: อันดับแรกเราให้วิทยากรมาเสริมความรู้เรื่องต่างๆ ก่อนว่าในเรื่องที่เขาสนใจมันมีข้อมูลอะไรที่เขาต้องไปหาเพิ่มเติม เราจะเชิญวิทยากรหลายรูปแบบ ตั้งแต่คนที่อยู่ในวงการศิลปะไปจนถึงวงการวิชาการมาช่วยเรื่องการออกแบบการทำงานคอนเซ็ปท์หรือศิลปะ สมมุติว่ามีบางคนสนใจประเด็นสิทธิสตรี ก็ต้องไปหาข้อมูลเรื่องนี้แล้วมาเข้ากระบวนการดีเบทซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่ Book Re:public ชอบใช้ แล้วค่อยๆ ดีเบตแย้งกันไป ปรับปรุงเนื้อหาไปเรื่อยๆ

แล้วการเป็น curator หรือคนออกแบบการสื่อสารและเวิร์คช็อปนี้ เราต้องหาข้อมูลหนักมากแค่ไหน

ออยล์: เราเรียกกระบวนการที่ Book Re:public ว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันมากกว่า เพราะไม่ใช่แค่เรา แต่กระทั่งวิทยากรเองจะถูกผู้ร่วมกิจกรรมถามค้านกลับไปในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย มันคือปฏิสัมพันธ์โต้ตอบซึ่งสุดท้ายแล้วมันตอบไม่ได้ตั้งแต่ต้นว่าใครสอนใคร เพราะมาเรียนรู้ร่วมกันใหม่หมดเลย ดังนั้นในการทำงานแต่ละครั้ง ทั้งทีมงาน วิทยากร เราต่างก็ต้องหาข้อมูลกันประมาณนึงเพื่อทำความเข้าใจ เตรียมตัวตอบคำถาม หรือแม้แต่เพื่อตั้งคำถามต่อกันและกันเองในประเด็นที่เราเลือก

แล้วเราทำให้เขาเชื่อมั่นได้อย่างไร ถ้าวางรูปแบบว่าต้องมาเรียนร่วมกัน ไม่ได้มีใครสอนใคร มีคำถามที่เราตอบไม่ได้อยู่ไหม

บัว: มีแน่นอน สมมุติมีสัก 100 คำถาม เราอาจจะตอบไม่ได้สัก 70 คำถามด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นปัญหา บางทีเราถูกมองว่าเป็นเด็กที่มาจัดเวิร์คช็อปเพราะบางคนจบปริญญาโทมา เขาก็จะมีกำแพงกับเรานิดหน่อย แต่เราก็คิดว่าเราทำงานแบบ Google ละกัน ถ้ามี 70 คำถามแต่เรามี keyword เราเอามันไปค้นหาแล้วหาคนที่เชื่อมต่อกับ keyword นั้นได้อย่างไรบ้าง ซึ่งมันต้องอยู่ที่ผู้เข้าร่วมด้วยว่าจะต่อยอดข้อมูลที่เราหามาให้ไหม

คนเข้าร่วมเวิร์คช็อปต้องทำงานภายใต้ประเด็นการเมืองเท่านั้นไหม

ออยล์: ไม่นะ หัวข้อมันหลากหลายมากๆ อย่างในเวิร์คช็อป Human ร้าย, Human Wrong ที่ต้องเลือกหัวข้อมาสร้างชิ้นงานกัน บางคนมีหัวข้อที่ค่อนข้างส่วนตัวมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องพูดเรื่องความเหลื่อมล้ำ การเมือง  เรามีแม้กระทั่งคนที่ตั้งใจตั้งแต่ต้นเลยว่าจะไม่ทำออกมาในแนวการเมืองเด็ดขาด มันคือการลองให้เขาไปคิดประเด็นสิทธิมนุษยชนใกล้ตัวและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสังคม กระบวนการจะค่อยๆ ทำให้เขาเริ่มเชื่อมโยงเองว่าเขาสัมพันธ์กับสังคมรอบตัวหรือโลกแบบไหน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เริ่มจากประเด็นส่วนตัวของบางคน เช่น cyber bullying ก็ออกมาเป็นงานที่พูดถึงความคิดเห็นของผู้คนและโลกรอบตัวเขามากขึ้น แม้เริ่มแรกเขาจะเริ่มคิดเรื่องนี้จากประสบการณ์ที่เขาได้รับมา

พอพูดในคอนเซ็ปท์ใหญ่ๆ เรื่องการเมือง สิทธิมนุษยชน เพศ เราคัดประเด็นของแต่ละเวิร์คช็อปยังไงไม่ให้เป็นการแปะป้าย ชี้นำตั้งแต่แรก หรือจริงๆ แล้วมันไม่เป็นอะไร?

ออยล์: มันจะเริ่มตั้งแต่การเขียนโครงการเลยว่าท้ายที่สุดแล้วเราอยากให้เขาได้อะไร ซึ่งจะมีทั้งที่ตัวเราถือวิสาสะคิดว่ามันต้องมี เช่น อย่างน้อยๆ ต้องมีเรื่องสิทธิมนุษยชน ด้วยความที่ครึ่งหนึ่งของเนื้อหาเป็นสิ่งที่เราเลือกมา มันเลยอาจจะเวิร์คหรือไม่เวิร์คก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่มันเป็นโครงการต่อเนื่อง เราจะค่อยๆ เรียนรู้จากผู้เข้าร่วมกิจกรรมและประเมินอยู่ตลอดเวลาว่าเขาต้องการอะไร ระหว่างทางมันจึงเกิดการปรับขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในระหว่างเวิร์คช็อปที่ 1 เขาอาจจะบอกว่ายังไม่มีกิจกรรมที่เขาชอบเลย เราก็ต้องกลับมานั่งคิดแล้วว่าเราจะสามารถเพิ่มมันเข้าไปได้ไหม

แต่เราก็ต้องหนักแน่นเวลามีคนบอกว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นปัญหา ประชาธิปไตยไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป สิ่งที่เราต้องทำคือหาที่มาของคำถาม พยายามหาคำตอบให้ทั้งเขาและตัวเราเองว่ามันดียังไง มันไม่ดียังไง อะไรที่มันแก้ไขได้ อะไรที่เรามองไม่รอบหรือสื่อสารผิดจุด แต่ในจุดที่เรามองมันว่าเป็นทางเลือกที่ใช้การได้มากที่สุด เราจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ

เช่น ถ้าพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนแล้วคน ‘อี๋’ ถ้าถามว่างั้นเราควรเลี่ยงดีไหม เราไม่ทำแบบนั้นเพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องพูด จะเกลียดกันบ้างก็ได้ ไม่มีปัญหา

ไม่จำเป็นว่าทุกคนที่จบจากเวิร์คช็อปจะต้องรู้สึกสนใจการเมืองอย่างเข้มข้นใช่ไหม

ออยล์: ไม่จำเป็นเลย แต่มีคำพูดหนึ่งที่ประทับใจทีมงานมาจนถึงทุกวันนี้ คือมีผู้ร่วมเวิร์คช็อปบอกว่าเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ารัฐบาล การเมือง หรือแม้กระทั่งทหารมันเกี่ยวข้องกับชีวิตเขายังไงจนกระทั่งเขาต้องไปคิดงานศิลปะของตัวเอง เข้าไปติดตามข่าวสารด้วยตัวเอง กลายเป็นว่าเขาสนใจและได้ตระหนักถึงมันแล้ว งานศิลปะชิ้นนั้นๆ มันเลยเกิดขึ้นมาเพื่อสื่อสารเรื่องนั้นโดยเฉพาะเพราะมันกลายเป็นความตั้งใจของเขา ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป

สรุปแล้วเราเป็นร้านหนังสือไหมนะ

ออยล์: เป็นด้วยสิ เป็นพื้นที่ที่สำคัญมากด้วย ทีมงานจะบอกกันเสมอว่าไม่ว่าจะมีร้านหนังสือหรือไม่ เราก็ต้องสานต่อกระบวนการต่อไป แต่การที่เรายังมีร้านหนังสือร้านนี้อยู่ด้วยมันทำให้สิ่งที่ทำมันพิเศษขึ้น ในโลกที่ทุกอย่างไปโผล่บนพื้นที่ออนไลน์มันส่งผลให้พื้นที่เพื่อพูดคุยทางกายภาพจำเป็นอย่างมาก หรือเป็นพื้นที่เพื่อร่วมมือทำอะไรบางอย่างด้วยกัน แล้วมันจะพาคนมากมายเข้ามาทั้งคนที่สนใจหรือไม่สนใจการเมือง นักศึกษา เด็ก พระ คนแก่วนเวียนมาพูดคุยกัน

เราจะบอกว่าประเด็นที่ต้องมีร้านหนังสืออยู่ เพราะเรื่อง human touch ใช่ไหม

บัว: อย่างน้อยเราได้เจอคนเป็นๆ จริงๆ ยังมีคนที่สนใจและอยากซื้อหนังสือจากร้านเราเพราะเขาไปหาทั่วเชียงใหม่แล้วไม่เจอ เราก็ต้องหาให้เจอ ในกรณีที่หนังสือหมด เราก็ต้องพูดคุยกับเขาต่อว่าเล่มนี้แทนได้ไหม หรือเราสั่งจากร้านนี้ให้ สักพักหนึ่งจากลูกค้าจะกลายเป็นเพื่อนที่แวะมาคุยกับเรา จากเพื่อนกลายเป็นคนที่สนใจกิจกรรมแล้วมาเข้าร่วมกับเรา มันเป็นคอนเนคชั่น ไม่ได้มีแค่คอนเซ็ปท์ที่เราอยากนำเสนอว่าเป็นร้านหนังสือการเมืองหรือเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่เป็นพื้นที่ที่เราได้มาเจอคนที่มีความสนใจใกล้เคียงกัน แล้วเขาก็ลากเพื่อนคนนู้นคนนี้มาหาเรา

การมีอยู่ของร้านหนังสืออิสระจำเป็นไหม

ออยล์: สำหรับเรามันจำเป็นอยู่แล้ว เพราะร้านหนังสืออิสระมันไม่ได้มีไว้เพื่อขายหนังสืออย่างเดียว แต่ละที่มันมีคาแรคเตอร์ ตัวตนและประเภทของตัวเอง ซึ่งมันเปิดให้กับคนที่แสวงหาสิ่งเฉพาะบางอย่างที่เขาที่หาที่อื่นไม่ได้ คนชอบหนังสือปรัชญาหรือวิชาการจ๋าอาจจะมาที่นี่ คนชอบอ่านวรรณกรรมอาจจะไปที่ร้านเล่า (ในเชียงใหม่) แล้วร้านหนังสืออิสระมันเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือที่ไหนก็ตาม หรือแม้กระทั่งร้านหนังสือแบบ chain store เราว่าร้านหนังสือน่ะ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเพราะมันคือการเพิ่มทางเลือกให้ใครก็ตามที่กำลังหา comfort zone ในการอ่านอยู่ แล้วเราก็ดีใจมากที่ Book Re:public มันตอบโจทย์กลุ่มคนหนึ่งได้แบบนั้นเหมือนกัน

นักอ่านที่เข้ามาร้านเราเพิ่มขึ้นไหม

ออยล์: เพิ่มขึ้นนะ ในช่วงที่เขาบอกว่าร้านหนังสือกำลังจะตายน่ะ เรารู้สึกว่าการอ่านหนังสือมันกลับมาเป็นเทรนด์ที่ดีถึงขั้นที่ว่า บางคนมองว่าการมีวรรณกรรมติดตัวสักเล่มคือความเท่ เป็นการ branding อย่างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะมีด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามที่พาเรามาเจอหนังสือแล้วเราได้ทดลองอ่านมัน มันจะเปิดประตูให้กับการอ่านถัดๆ ไปของเรา เพราะฉะนั้นเรามีทั้งนักอ่านที่รู้ว่าตัวเองจะเข้ามาอ่านหรือไม่อ่านอะไร หรือคนที่พลัดหลงเข้ามาและอยากลองหาหนังสือกลับไปอ่านสักเล่ม เพียงแต่ว่าเมื่อเขาได้เข้ามาที่ร้านหนังสือแล้ว เลือกแล้ว เขาได้รับประสบการณ์ที่ดีจากหนังสือเล่มนั้นไหม

เลยกลับไปตอบโจทย์เรื่องความจำเป็นของร้านหนังสืออิสระเพราะมันคือการช่วยสร้างความประทับใจแรกในการอ่านหนังสือของเขา เพราะไม่ว่าคุณจะอ่านอะไรก็ตาม คุณอ่านมันได้อย่างสบายใจหรือเปล่า แล้วถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าคุณจะอ่านมันดีไหม มันควรจะมีใครสักคนบอกคุณว่าคุณอ่านมันได้

ในฐานะคนสร้างสรรค์เวิร์คช็อปและพนักงานร้านหนังสือ ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงต้องสนใจการเมือง

บัว:

แค่เราตั้งตนว่าจะไม่สนใจการเมืองมันก็คือการเมืองแล้ว มันมีปัจจัยไหนล่ะที่ทำให้คุณรู้สึกว่าขอวางเรื่องนี้ไป ถ้าคุณไม่สนใจการเมืองคุณสนใจอะไร เพลงแร็พ ลูกทุ่ง ลูกกรุง ก็เป็นการเมืองนะ การที่จู่ๆ วันหนึ่งคุณอยากจะลุกขึ้นมากินคลีน เฮ้ย ลองเช็คตัวเองดีๆ มันอาจจะเป็นการเมืองก็ได้นะเว้ย

แต่ถ้าคุณมีคำถามอะไรสักอย่างขึ้นมาคุณก็ต้องอยากจะรู้ สิ่งนั้นมันคือการเมืองด้วยหรือเปล่า การที่คุณพยายามจะตั้งคำถามที่จะทำให้คุณหลุดออกจากกรอบบางอย่างที่บอกให้คุณไม่ต้องตั้งคำถามก็ได้ สิ่งนี้อาจจะทำให้กลุ่มวัยรุ่นสนใจการเมืองที่ยังไม่ได้อยู่ในแฮชแท็กของคำว่าการเมือง ถึงจุดหนึ่งเขาจะพยายามที่จะหาคำตอบหรือตั้งคำถามกับกรอบที่ล้อมเขาอยู่ แล้วเดินไปในกรอบต่อๆ ไป นี่ก็คือการที่คุณค่อยๆ ทำความเข้าใจการเมืองแล้ว

ออยล์: คุณไม่ต้องสนใจมันก็ได้ ไม่ชอบมันก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องรู้ว่าคุณไม่มีทางที่จะหนีมัน เราไม่ได้พยายามจะโยนมันไปกระแทกหัวคุณนะ เพียงแต่ว่ามันอยู่รอบตัวคุณตั้งแต่แรก สิ่งที่เราพยายามทำเสมอมาคือการยืนยันว่ามันมีอยู่ และแม้มันจะนำมาซึ่งความขัดแย้ง จุดยืนของ Book Reฯ คือการบอกว่าเรื่องที่มันดูน่าวุ่นวายเนี่ยเป็นเรื่องที่พูดได้ และเป็นเรื่องของพวกคุณด้วย ดังนั้นคุณจะรับรู้มันแล้วไม่สนใจมันก็ได้ คุณอาจจะรู้สึกว่ามัน bullshit แต่ก่อนที่จะไปถึงการตัดสินใจสุดท้ายนั้น เราอยากให้คุณรับรู้และลองสัมผัสประสบการณ์บางอย่าง คิดกับมันอย่างลึกซึ้งก่อนว่าคุณจะปัดมันออกไปจากชีวิตได้สำเร็จจริงๆ ไหม สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการไม่ยุ่งกับมันจริงๆ เหรอ

ในฐานะมนุษย์เอง ตั้งแต่ที่เราคลุกคลีกับเรื่องราวหนักหน่วงนี้มา มันหล่อหลอมเราไปในทิศทางที่เราชอบตัวเองไหมหรือเราเหนื่อยกับมันแล้ว

บัว: มีทั้งเหนื่อยและชอบนะ เอาตรงๆ ชอบเพราะมันเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันที่เราต้องสนใจอยู่แล้ว เราเป็นเด็กเรียนศิลปะที่ดำรงอยู่กับคำถามที่ว่าทำไมเราไม่อยากเป็นนักศึกษาหรือเด็กดีในกรอบมหาวิทยาลัย พอเริ่มเจอคนที่มีทัศนคติเหมือนเราก็เริ่มกลายเป็นความชอบ แต่ก็กลายเป็นความเหนื่อยเหมือนกันเพราะเราต้องไปหาข้อมูลเพิ่มหรือทำตัวอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวตลอดเวลา ขาอีกก้าวหนึ่งเราเป็นคนที่ออกแบบเวิร์คช็อปด้วย มันเลยเกิดการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ซึ่งมีประเด็นสนใจมากมายมาแลกเปลี่ยนกัน

ออยล์: ชอบอยู่แล้ว ชอบเสมอมาและเสมอไป แต่เรารู้สึกกลัวจากการได้ทำงานหรือเจอคน เรารู้ว่าอะไรที่เราไม่รู้มันเยอะมากมาย หรือคนเก่งๆ มีมากมายแค่ไหน มีเรื่องที่เราต้องฝึกฝนเรียนรู้อีกมาก ทุกวันนี้ก็ทำไปด้วยความกลัววืด แต่ในขณะเดียวกันก็สนุกไปด้วย เราว่าการทำงานแบบนี้มันทำลายอีโก้เราได้เก่งมาก เราเคยคิดว่าถ้าเราตั้งใจเต็มที่ มันจะไม่มีทางผิดพลาด แต่เราเกือบจะลืมไปว่าการสื่อสารมันไม่มีวันสมบูรณ์อยู่แล้ว แถมยังนำมาซึ่งปัญหามากมายตลอดเวลา โดยเฉพาะการสื่อสารทางการเมืองระหว่างกลุ่ม แต่เราก็ชอบความกลัวนะ เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าต้องแสวงหาทางใหม่ๆ ต่อไปในการทำมันให้ดีขึ้น

คุณค่าของการเป็นพนักงานร้านหนังสือและลงมือออกแบบกระบวนการทั้งหมดนี้คืออะไร

บัว: พอเราอยู่ในนามสกุล Book Re:public มันมีคุณค่าของมันอยู่แล้วในแบบที่ที่ทำงานที่อื่นไม่สามารถให้ได้ ประสบการณ์ที่เราต้องสื่อสารกับคนหมู่มาก พยายามสร้างกิจกรรมหรือสร้างสิ่งที่จะทำให้คนที่มีความสนใจคล้ายๆ กับเรามาเจอกัน การที่เราได้เจอคนเหล่านี้คือคุณค่าที่เราให้กับมัน เป็นแรงผลักดันให้เราทำงานต่อไป อยากเจอคนใหม่ๆ อยากตั้งคำถามหรือเจอคนที่มีแรงฮึดแบบนี้เหมือนกัน คุณค่าของการทำงานเลยเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่เราอยากเจอ อยากจะเห็นสิ่งที่เราสร้างมีคนมาร่วมสร้างด้วยกันเพิ่ม

ออยล์: มันทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเราไม่รู้นะว่ามันคือคุณค่าแบบไหน แต่เราเชื่อว่าอย่างน้อย ในฐานะคนเตรียมการ จัดกระบวนการหรือคลุกคลีอยู่กับมัน เราได้เรียนรู้ตัวเองจากการทำงานตลอดเวลาว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร มีทัศนคติยังไง หรือเราจะจัดการกับโลกใบนี้ยังไง เราคิดว่าอย่างน้อยที่สุดถ้ามันจะมีคุณค่าอะไรสักอย่างในงานที่เราทำ มันคือการที่ใครสักคนได้เจอหนึ่งในคำตอบทั้งหลายสักหนึ่งข้อก็ยังดี

Tags:

หนังสือประชาธิปไตยเชียงใหม่นันท์ณิชา ศรีวุฒิBook Re:publicพลเมือง

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
EF (executive function)
26 February 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

อ่านนิทานก่อนนอนมิได้มีประโยชน์เพียงการสร้างสายสัมพันธ์ (attachment) แต่ส่งผลต่อการสร้างสมาธิ (attention) อีกด้วย

เมื่อทารกเกิด จักรวาลมิได้มีสิ่งที่เรียกว่าแม่ แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยตนเองมากที่สุดใน 6 เดือนแรกจึงเป็นแม่ เริ่มด้วยท่อนแขน เต้านม เสียงหัวใจ ทรวงอก เสียงร้องเพลง การอุ้มกอด และใบหน้าแม่

ใบหน้าแม่สำคัญอย่างไร ใบหน้าแม่ประกอบด้วยวงกลมสองวง สันจมูก และรอยยิ้มจะมีอยู่จริงด้วยการเลี้ยงดูด้วยตนเอง ช่วยให้ทารกหยุดสนใจสิ่งอื่นแล้วหันมาดูหน้าแม่เป็นอย่างแรก เราเรียกว่า face recognition

กิริยาหยุดดูสิ่งอื่นแล้วมาดูหน้าแม่นี้เรียกว่า response inhibition & shifting อันจะก่อรูปเป็นวงจรประสาทพื้นฐานที่ระยะก่อน EF เรียกว่า proto-EF เพื่อทำหน้าที่หยุดแล้วเปลี่ยน

เริ่มตั้งแต่หยุดคลานรอบห้องแล้วมานอนฟังแม่อ่านหนังสือ หยุดงอแงแล้วไปอาบน้ำ ไปจนถึงหยุดเล่นเกมแล้วไปทำการบ้านในวันข้างหน้า ทารกจะทำได้เมื่อแม่มีอยู่จริงและใบหน้าแม่นั้นมีอยู่จริง

เราจึงมีคำเตือนเสมอให้ระมัดระวังการดูหน้าจอก่อน 2 ขวบ เพราะสมอง เซลล์สมอง และวงจรประสาทในสมองเปลี่ยนแปลงทุกวัน เส้นประสาทงอกยาวออกไปทุกคืน ช้างในนิทานที่แม่อ่านให้ฟังเมื่อคืนนี้มีงวงยาวกว่าช้างที่แม่อ่านให้ฟังเมื่อสัปดาห์ก่อน

หากเราโชคร้าย สมองของลูกพัฒนาวงจรประสาทเพื่อเตรียมมีปฏิสัมพันธ์กับรูปสี่เหลี่ยม แต่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับใบหน้ามนุษย์ ไม่สบตา ไม่ยิ้มรับ และไม่พูด

ในคืนแรกๆ ของการอ่านนิทาน เด็กเล็กที่คลานหรือเดินได้แล้วอาจจะคลานหรือเดินเกาะเตาะแตะไปรอบห้องนอนทำทีเหมือนไม่ฟัง แม่ที่รู้งานจะไม่หวั่นไหวแล้วอ่านต่อไปทุกคืนๆ เด็กได้ยินแม้จะทำเป็นไม่ได้ยิน เขาจะถือครองความจำของคำที่หนึ่งนานพอที่คำที่สองจะมาเชื่อมต่อ แล้วถือครองความจำของคำที่หนึ่งและสองนานพอที่ความจำของคำที่สามจะมาเชื่อมต่อเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ไป

ความจำที่ถือครองเอาไว้ชั่วคราวนานพอก่อนที่การเชื่อมต่อจะเสร็จสิ้นนี้คือ ความจำใช้งาน (working memory) เป็นความจำชั่วคราว เกิดขึ้นในห้องนอนแล้วดับไปเมื่อนิทานจบ

ระยะเวลาที่ความจำใช้งานถูกถือครองเอาไว้นานพอนั้นคือ สมาธิ (attention) การอ่านนิทานก่อนนอนทุกคืนช่วยสร้างสมาธิ เพิ่มความยาวนานของสมาธิคือ attention span และลดอุบัติการณ์ของสมาธิสั้นลง

คุณแม่จำนวนมากท้อใจที่ลูกทำทีเหมือนไม่ฟังนิทานที่อ่าน นอกจากเดินหนีหรือคลานหนีแล้ว บางคนแย่งหนังสือไปจากมือเพื่อฉีกหรือกัด “เหมือนเขาจะไม่มีสมาธิฟังอะไรเลย”

แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนที่นอนหรือในห้องนอนยามค่ำคืน ดังนั้นเราควรจัดสถานที่ให้เรียบร้อย แสงไฟพอเหมาะไม่สว่างมากจนเกินไป กั้นรั้วไว้มิให้เขาคลานหรือเกาะเดินไปได้ไกล ไม่ปล่อยให้มีบริเวณที่กว้างขวางเกินไป และควรกั้นเสียงรบกวนได้เพื่อที่คุณแม่จะได้อ่านนิทานด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ไม่ต้องตะโกนแล้วอ่านได้นานพอ อ่านไปเรื่อยๆ

เตรียมนิทานสำรองเอาไว้ 2-3 เล่มข้างตัว เมื่อเขาหยิบไปขว้างทิ้งเราหยิบเล่มใหม่ออกมาอ่านต่อ ไม่ดุ ไม่ว่า ไม่ด่า ไม่ตี นี่เป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุข เอนหลังอ่านนิทานด้วยความสุข โดยไม่สนใจว่าลูกจะทำหรือไม่ทำอะไร

อย่าลืมว่าเด็กกำลังทดลองพลังของกล้ามเนื้อแขนและขามากกว่าที่จะใส่ใจเรื่องอื่นอย่างจริงจัง อีกทั้งเราขนหนังสือเล่มอื่นๆ ตุ๊กตาหลายสิบตัว แจกันดอกไม้ และวัตถุอื่นๆ ออกไปจากที่นอนหรือห้องนอนไม่เหลืออะไรให้เขาสำรวจมากนัก เมื่อสำรวจรอบห้องแล้ว ทดลองพลังแขนพลังขาจนหมดความสนุกแล้ว แต่เสียงแม่อ่านนิทานยังคงอยู่เสมอ หันไปพบใบหน้าแม่ คือวงกลมสองวง สันจมูก และรอยยิ้มวงพระจันทร์ เขาจะถูกดึงรั้งกลับมาล้มลงนอนที่ข้างตัวแม่ด้วยสิ่งที่เรียกว่าสายสัมพันธ์ แล้วฟังนิทาน รวมทั้งดูภาพประกอบนิทาน

เด็กที่ชอบอมนิทาน กินนิทาน หรือฉีกนิทานก็มิใช่ข้อยกเว้น หากเราไม่ลงทุนหนังสือนิทานที่ฉีกมิได้ เราอนุญาตให้เขาฉีกได้ตามสบายจนกว่าเขาจะหมดความสนใจ ระหว่างนั้นเราหยิบเล่มสำรองขึ้นมาอ่านไปเรื่อยๆ วันถัดไปค่อยซ่อมนิทานเล่มเก่าเอามาให้เขาฉีกใหม่

เราเป็นแม่ ตัวใหญ่กว่าเขาสิบเท่า เราไม่แพ้กับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ สมาธิในการฟังของเขาจะนานขึ้นทุกวัน แล้วเขาจะหยุดสนใจสิ่งอื่นก่อนที่จะเปลี่ยนมานอนฟังนิทาน ด้วยวงจรประสาท response inhibition & shifting

ระหว่างที่เด็กนอนลงดูรูปในนิทานนั่นเอง เขาจะดูทั้งฉากหน้าและฉากหลังคือ foreground & background พวกเราพ่อแม่มักดูแต่ฉากหน้าและตัวละคร (protagonists) แต่ไม่ดูฉากหลัง เด็กๆ เสียอีกที่มองเห็นใยแมงมุม จิ้งจก เศษกระดาษ หรือหลอดยาสีฟันบนพื้นที่ฉากหลังของตัวละคร จะเห็นว่าสมาธิของเขาไม่เพียงเคลื่อนไปในอวกาศและเวลา แต่ทะลุทะลวงเข้าไปด้านในของหนังสือได้อีกด้วย นี่คือมิติสัมพันธ์ (spatial relation)

สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

Tags:

อ่าน เล่น ทำงานการอ่านความจำใช้งานสมาธิ (attention)EFนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน
Creative learningCharacter building
22 February 2019

ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

เรื่องและภาพ The Potential

  • การเติบโตของเยาวชนโครงการก๋ายลายสะบัดชัยล้านนา บ้านป่าตึงเหนือ ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน กับการสืบทอดฟ้อนก๋ายลายของชาวไทลื้อ และการตีกลองสะบัดชัยของล้านนา ผสมผสานให้เป็นการแสดงในชุดเดียวกันในชื่อ การแสดงก๋ายลายสะบัดชัย
  • ไม่ใช่แค่ฝึกซ้อมให้แสดงเป็น แต่อยู่ที่ระหว่างทางการฝึกซ้อม ทำงานเป็นทีมกับเพื่อน และการเข้าไปศึกษาวัฒนธรรมจากปราชญ์ชุมชน
  • ไม่ใช่แค่เด็กที่เติบโต แต่พี่เลี้ยงก็ได้เรียนรู้และปรับจูนวิธีทำงานไปพร้อมกับเด็กๆ ด้วย

เสียงกลองสะบัดชัยประกอบการฟ้อนก๋ายลาย ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องในกิจกรรมคืนข้อมูลสู่ชุมชนของโครงการก๋ายลายสะบัดชัยล้านนา ยิ่งบวกกับคำชื่นชมและคำพูดที่บอกว่าภาคภูมิใจมากแค่ไหน ทั้งหมดนี้ทำให้ แยม-ธารีรัตน์ วงค์ใจ, ชมพู่-พิชญาภา นุนพนัสสัก, บีม-พรนภา นุนพนัสสัก และ ดีน-พิทักษ์พล เป็นพนัสสัก กลุ่มเยาวชนจากบ้านป่าตึงเหนือ ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ตื้นตันจนหุบยิ้มแทบไม่อยู่

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาก็บากบั่นกับการทำโครงการและต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาไม่ใช่น้อย…

เหตุเกิดเพราะความอิจฉา

“พวกเราเห็นหมู่บ้านอื่นมีการรวมกลุ่มเด็กๆ มาทำกิจกรรม เราก็อิจฉาเขา หมู่บ้านเราควรจะมีแบบนี้บ้าง มารวมกลุ่มกันทำนั่นทำนี่ ได้ช่วยผู้ใหญ่ด้วย และอยากให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านนี้ดีจัง”

แยม บอกเล่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้กลุ่มเยาวชนของบ้านป่าตึงเหนือเริ่มมารวมกันทำกิจกรรม ซึ่งทั้งหมดเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กทำให้สนิทสนมเป็นทุนเดิม เมื่อแจ๋ว-จุไรลักษณ์ เป็นพนัสสัก พี่เลี้ยงโครงการ ชักชวนให้เข้าร่วมโครงการปลุกสำนึก สร้างพลัง เสริมศักยภาพเยาวชนเมืองลำพูน ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนเลือกโจทย์โครงการได้ตามความสนใจของตัวเอง พวกเขาที่ชอบการทำกิจกรรมอยู่แล้ว จึงอยากเข้าร่วมด้วยเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

หลังผ่านการพูดคุยถึงความถนัด ความสนใจ และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน ทีมงานตัดสินใจนำ ‘ก๋ายลาย’ และ ‘กลองสะบัดชัย’ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาชิกในทีมมีความสามารถอยู่แล้วมารวมเป็นการแสดงชุดเดียวกัน โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นการช่วยสืบทอดก๋ายลายของชาวไทลื้อ และการตีกลองสะบัดชัยของล้านนาไว้ รวมทั้งสร้างการแสดงก๋ายลายสะบัดชัยให้เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านป่าตึงเหนือ

…แต่กว่าจะตกลงกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

แยมเล่าว่า “ตอนประชุมทีม เราถามย้ำกันหลายรอบมากค่ะว่าจะเลือกเรื่องนี้จริงไหม อยากให้แน่ใจว่าทุกคนอยากจะทำจริงๆ แล้วจะเกิดประโยชน์กับหมู่บ้านเราจริงๆ พอทุกคนตกลงแน่นอน พวกเราก็ไปคุยกับพี่แจ๋วค่ะว่าอยากทำเรื่องนี้ แล้วถ้ามีเวทีพิจารณาโครงการเมื่อไร เดี๋ยวเราจะไปแสดงให้เขาดูก่อน”

แม้จะบอกอย่างหนักแน่นว่าจะขึ้นแสดงให้ผู้ทรงคุณวุฒิดูในเวทีพิจารณาโครงการ เพราะมีความสามารถอยู่แล้ว แต่การก้าวออกมายืนหน้าเวทีในสถานที่ที่ต่างจากบริบทเดิมก็ทำให้ทีมงานเกิดอาการ “สู้แบบสั่นๆ!”

“ตอนออกไปพูดยากมากค่ะ มีความสั่นเพราะไม่เคยพูดในที่มีคนเยอะๆ เราพยายามแบ่งหน้าที่เพื่อให้พูดง่ายขึ้น หนูจะพูดที่มาของโครงการ แพนจะพูดบริบทของหมู่บ้าน พี่แน็กพูดสรุป แล้วก็ซ้อมพูดมาด้วย แต่มันเป็นครั้งแรกที่พูดในเวทีใหญ่แบบนี้” แยมเล่าอาการตอนนำเสนอ

แยม-ธารีรัตน์ วงค์ใจ

บีมที่เป็นคนโชว์ฟ้อนก๋ายลายบอกว่า “วันนั้นตื่นเต้นมาก กลัวจำท่าไม่ได้ เพราะรำบนเวทีใหญ่คนเดียว แล้วคนก็เยอะด้วย”

ถึงจะสั่น แต่ทีมงานก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำให้การนำเสนอผ่านไปได้ด้วยดี สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาจากผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคำแนะนำเต็มกระบุง โจ้-กิตติรัตน์ ปลื้มจิต เจ้าหน้าที่มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บอกว่าเขาไม่ได้สนใจว่าเราจะตีกลองเก่งหรือรำสวย แต่สนใจว่าพวกเราจะมีความรู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน 

คำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิกลายมาเป็นเครื่องมือเสริมให้การทำงานขั้นต่อมาของทีมงานแข็งแรงขึ้น นั่นคือ ‘การลงพื้นที่เก็บข้อมูล’ ที่พวกเขาตัดสินใจไปสอบถามกับผู้รู้ทั้งในชุมชนและนอกชุมชน โดยเริ่มจากการสืบค้นอินเทอร์เน็ต

“หลังนำเสนอ เรากลับมาลองสืบค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก่อน เพื่อให้รู้เบื้องต้นว่ากลองสะบัดชัยมีที่มาอย่างไร ฟ้อนก๋ายลายเป็นอย่างไร แล้วไปถามพี่แจ๋ว ถามพ่อหลวงว่ามีผู้รู้ในชุมชนหรือชุมชนข้างเคียงที่มีความรู้เรื่องนี้ไหม พี่เขาก็แนะนำให้ไปที่บ้านทาป่าเปา บ้านทาปลาดุก ส่วนบ้านป่าตึงเหนือของเราก็มีลุงเกียรติ พิริแก้ว เราเลยแยกกันไปสอบถามผู้รู้บ้านอื่น แล้วกลับมาช่วยกันสัมภาษณ์ผู้รู้บ้านเรา” แยมเล่า

แต่ก่อนจะเดินทางไปหาลุงเกียรติ พวกเขาเตรียมคำถามด้วยการโยนสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ลงมาแล้วจัดกลุ่มและลิสต์คำถามออกมาเป็นรายข้อ ภายใต้การแนะนำจากพี่แจ๋วเพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน จากนั้นแบ่งบทบาทกันเพื่อให้หน้างานไม่สะดุด โดยแยมจะรับหน้าที่ถามหลัก ส่วนน้องๆ ช่วยกันจดและถามเสริม

แยมให้เหตุผลง่ายๆ ที่เลือกทำหน้าที่นี้ เพราะเห็นว่าตัวเองเป็นพี่จึงควรเป็นหลักแก่น้องๆ หลังจากนั้นทีมงานได้ไปสอบถามเรื่องการฟ้อนก๋ายลายกับ วิ-วัชรพงษ์ พิริแก้ว รุ่นพี่ของกลุ่มเยาวชนบ้านป่าตึงเหนือ ที่ออกไปเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ซึ่งเป็นทั้งผู้รู้และผู้ถ่ายทอดการฟ้อนก๋ายลายแก่พวกเขา

ผลการเก็บข้อมูลเรื่องกลองสะบัดชัยจาก 3 หมู่บ้านพบว่าข้อมูลความเป็นมา ลักษณะการตี การนำไปใช้เหมือนกันหมด คือ มีจังหวะเร้าใจ ตีให้ทหารฮึกเหิมก่อนออกรบ ทำให้เข้ากับการฟ้อนก๋ายลาย ที่มีท่าทางโลดโผน เลียนแบบท่าทางของสัตว์ ข้อมูลทั้งหมดที่ได้ถูกนำมารวบรวมและพิมพ์เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในกิจกรรมต่อไป

ชมพู่-พิชญาภา นุนพนัสสัก

ลั่นกลอง ร่ายฟ้อน ดังก้องชุมชน

หลังจากได้ข้อมูลเกี่ยวกับก๋ายลายและกลองสะบัดชัย ทีมงานได้มีโอกาสแสดงในงานสงกรานต์ประจำปีเพื่อเผยแพร่ให้คนในชุมชนรู้จักโครงการของพวกเขา แยมเล่าว่า

“ตอนเช้าชุมชนจะจัดงานรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ส่วนตอนเย็นพวกเราได้จัดการแสดงฟ้อนก๋ายลายกับกลองสะบัดชัยให้คนในหมู่บ้านรู้ค่ะ โดยให้พ่อหลวงช่วยประกาศเสียงตามสายเชิญชวนมาร่วมงาน ก็มีมาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บางคนสนใจมาก ชื่นชมและให้เงินสนับสนุนด้วยค่ะ (ยิ้ม) พวกเราก็เก็บเข้ากองกลางของกลุ่มเยาวชนบ้านป่าตึงเหนือ”

นอกจากนั้นทีมงานยังได้ไปแสดงในงานวันแม่ และนำโครงการเข้าไปพูดคุยในวงประชุมประจำเดือนของหมู่บ้าน เพื่อสอบถามความคิดเห็นจากลุงๆ ป้าๆ ในการพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่ก็บอกว่าอยากให้พวกเขาฝึกซ้อมเยอะๆ เพื่อให้เกิดความโดดเด่นเวลาไปออกงานและทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของบ้านป่าตึงเหนือ

ระหว่างที่กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปนี้เอง ทีมงานพบว่าอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้การทำงานของพวกเขาไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรคือเรื่อง ‘เวลา’

“พวกหนูเรียนกันคนละโรงเรียนค่ะ คนที่เรียนในเมืองจะกลับรถรับจ้างซึ่งต้องรอเด็กที่เรียนเทคนิคด้วย กว่าจะกลับถึงบ้านก็เลยค่ำ บางทีก็ติดกิจกรรมของโรงเรียน หรือบางคนก็มีเรียนพิเศษ มีทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ” แยมอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

ก่อนที่บีมจะเฉลยเคล็ดลับที่ทำให้ผ่านอุปสรรคดังกล่าวมาได้จากการรู้จัก “รับฟังกันและกัน”

“พี่แจ๋วกับพี่แยมจะให้โอกาสเราพูดและเสนอความคิดเห็นเสมอ ไม่เคยบังคับให้ทำ มีแต่ถามว่าถนัดอะไร อยากทำอะไร ตอนที่เราไม่มีเวลามาทำงานกันพี่ๆ ก็ถามความเห็นเรา คุยกันจนหาเวลาที่จะมาทำงานด้วยกันได้” 

บีม-พรนภา นุนพนัสสัก

แยมเสริมว่า พี่แจ๋วคือเบื้องหลังที่คอยปลูกฝังว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร ทุกคนต้องฟังกัน หลังจากนั้นทีมงานได้ไปเข้าร่วมอบรมสื่อซึ่งถือเป็นบทเรียนใหม่เอี่ยมที่ทำให้เห็นศักยภาพของตัวเอง

ดีนที่ออกตัวว่าชอบเวทีนี้เป็นพิเศษเล่าว่า “ตอนแรกๆ ที่เริ่มทำสื่อก็ยากเหมือนกันครับ เพราะไม่เคยทำมาก่อน แต่พอหัดไปเรื่อยๆ ทำไปทำมาก็สนุกดี มีเสียงเอฟเฟ็คต์ต่างๆ ให้ลองเล่น จนมาเวทีอบรมสื่อครั้งที่ 2 ที่มีอุปกรณ์ให้เรียนรู้มากขึ้น ได้ลองใช้ขาตั้งกล้อง ชอบมากครับ”

นอกจากได้สนุกกับการลงมือทำแล้ว การที่ต้องตกตะกอนข้อมูลแล้วเรียบเรียงออกมาเป็นสตอรี่บอร์ด (storyboard) ทำให้ทีมงานได้ทบทวนกิจกรรมที่ผ่านมาทั้งหมดไปในตัว ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับกิจกรรมต่อมานั่นคือ ‘การคืนข้อมูลชุมชน’

ดีน-พิทักษ์พล เป็นพนัสสัก

“เราอยากเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างตั้งแต่กิจกรรมแรกจนกิจกรรมสุดท้าย มีอุปสรรคอะไร และได้เรียนรู้อะไรมาบ้างจากการทำโครงการ แล้วก็อยากให้ชุมชนให้คำแนะนำค่ะ ว่ามีอะไรเพิ่มเติมไหม เพื่อจะทำให้โครงการนี้และหมู่บ้านก้าวหน้าต่อไป” แยมบอกข้อมูลที่อยากคืนสู่ชุมชน

“จากนั้นก็แบ่งบทบาทหน้าที่กันตามความถนัด หนูเป็นพิธีกร พี่แยมกับดีนดูแลเครื่องเสียงและโปรเจคเตอร์ ชมพู่เป็นฝ่ายลงทะเบียนและต้อนรับ มีพี่ๆ รุ่นก่อนที่ออกไปเรียนนอกชุมชนแล้วกลับมาช่วยด้วยค่ะ” บีมเล่า

เมื่อจัดการงานในกลุ่มเรียบร้อยแล้ว ทีมงานจัดการงานนอกกลุ่มต่อด้วยการประสานกับพ่อหลวงช่วยประกาศเชิญผู้หลักผู้ใหญ่มาเข้าร่วม เหล่าแม่บ้านในชุมชนอาสามาช่วยพวกเขาทำอาหาร ทำขนม ส่วนกลุ่มผู้ชายก็มาช่วยจัดสถานที่ให้ แต่ในช่วงเวลาที่เตรียมงานนั้นกลับมีเหตุให้แยมที่เป็นหัวหน้าทีมต้องไปเข้าค่ายและไม่ได้มาช่วยน้องๆ เตรียมงาน กระทั่งถึงวันจริง…

“วันนั้นหนูต้องขอออกมาจากค่ายก่อนเพื่อมาช่วยน้อง มาเตรียมเครื่องเสียง มาตีกลอง หนูอยากมาดูด้วยตัวเองว่ากิจกรรมจะเป็นอย่างไร และอยากช่วยน้องๆ รับผิดชอบให้กิจกรรมผ่านไปได้ด้วยดีที่สุดค่ะ” แยมเล่าด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดต่อการทำหน้าที่ได้ไม่เต็มร้อย ทว่าผลลัพธ์ของโครงการที่ออกมากลับไม่ผิดไปจากความคาดหวังของพวกเขาเท่าไรนัก

“ผลก็เป็นไปตามที่คาดหวังค่ะ ผู้ใหญ่ในชุมชนให้คำแนะนำมาเต็มเลยว่าควรทำอย่างไร ทั้งเรื่องการเก็บข้อมูล การซ้อมตีกลอง และการเพิ่มจำนวนคนมาฟ้อน แล้วเขาก็ดีใจที่เด็กรุ่นหนูมาสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมตรงนี้ไว้ค่ะ”

ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่รอยยิ้มกว้างของทีมงานที่เจือด้วยความภาคภูมิใจที่ยืนหยัดทำสิ่งที่เชื่อมาจนถึงตอนนี้

แม้ระยะเวลาการทำโครงการจะสิ้นสุดลง แต่ทีมงานบอกว่าจะยังไม่หยุดการทำงาน เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อได้มีโอกาสไปแสดงข้างนอก และได้รายได้กลับมา พวกเขานำมาสะสมไว้บัญชีของกลุ่มเยาวชน ทำให้ตอนนี้มีเงินส่วนหนึ่งที่จะบริหารกลุ่มต่อไปได้

แยมให้เหตุผลว่าที่ยังทำต่อ เพราะการจะอนุรักษ์ก๋ายลายสะบัดชัยให้อยู่คู่ชุมชนบ้านป่าตึงเหนือจำเป็นต้องทำไปเรื่อยๆ และพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

“คำว่าอนุรักษ์สำหรับหนูคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้กลองกับการฟ้อนก๋ายลายกลายเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน เล่นไปเรื่อยๆ มีงานไหนก็ไปโชว์ตลอด ให้อยู่คู่กับหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ต้องไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว ต้องเติมเรื่อยๆ ซ้อมมากขึ้น พลิกแพลง คิดค้นท่าใหม่ๆ และถ่ายทอดแก่น้องๆ รุ่นหลัง น้องเองก็ถ่ายทอดต่อไปอีกให้คนรุ่นหลัง”

เมื่อถามต่อว่าสุดท้ายแล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดที่พวกเขาวาดหวังไว้คืออะไร แยมเป็นตัวแทนของทีมตอบว่า

“ถ้าเราแก่มา แล้วเห็นรุ่นลูกๆ มาฟ้อนมารำก็ดีใจแล้วค่ะ (ยิ้ม)”

เรื่องของเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่อาจนิ่งดูดาย

“โครงการนี้เป็นโครงการแรกเลยที่ทำให้พี่ได้มาทำงานกับเด็กเยาวชน ตอนนั้นอาจารย์จักรพันธุ์ เพียรพนศักดิ์ ที่เป็นญาติกับคนในหมู่บ้าน เขามาหาผู้ใหญ่บ้าน แล้วมาคุยกับผู้ใหญ่บ้านว่าสนใจทำโครงการที่ให้เด็กทำอะไรก็ได้ดีๆ ในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็ถามพี่ว่าสนใจไหม พี่บอกทันทีว่าสนใจ โดยไม่ได้ถามเลยว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร เพราะพี่มีลูกแล้วก็นึกถึงเยาวชนในหมู่บ้าน ที่เราไม่เคยมีกิจกรรมอะไรที่รวมกลุ่มทำอะไรมีประโยชน์แบบนี้ให้เขาทำหรือพัฒนาศักยภาพเขาเลย”

แจ๋ว-จุไรลักษณ์ เป็นพนัสสัก บอกเล่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัดสินใจก้าวเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงโครงการ ซึ่งทำให้เธอได้พบกับกลุ่มเยาวชนบ้านป่าตึงเหนือโดยเริ่มจากชวนดีน ลูกชายของเธอเองและแยม สาวน้อยบ้านใกล้เรือนเคียงที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย

“พี่ตัดสินใจชวนเขา เพราะมองแล้วว่าเขาสามารถทำงานได้ กับบ้านแยมก็อยู่ใกล้ๆ กัน รู้จักพ่อแม่ของเขา รู้ว่าโดยพื้นฐานทางครอบครัวแล้ว เขาเลี้ยงลูกไม่มีปัญหาอะไรเลย ถึงไม่ใช่เด็กเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่รู้จักคิดรู้จักปฏิบัติ รับผิดชอบตัวเองได้ เลยมั่นใจว่าถ้าแยมมาร่วมโครงการนี้เขาสามารถทำงานนี้ได้ แยมก็ไปชวนบีม ชวนชมพู่มาร่วมด้วย”

แจ๋วยอมรับว่า นอกจากไม่รู้รายละเอียดโครงการมากนักแล้ว เธอยังไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่าการเป็นพี่เลี้ยงกลุ่มเยาวชนต้องทำอย่างไรบ้าง จนได้มีโอกาสเข้าร่วมเวทีอบรมพี่เลี้ยงกับพี่เลี้ยงจากจังหวัดสตูล

“สิ่งที่วิทยากรสอนคือกระบวนการทำงานกับเด็ก ที่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา เชื่อในศักยภาพของเขา และเปิดโอกาสให้เขาทำ ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาเราทำผิดไปหน่อย เลยเริ่มกลับมาปรับปรุงตัวเอง จากตอนแรกที่เป๊ะมาก เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน และสั่งให้น้องทำ ก็เปลี่ยนทั้งหมดเลย”

กระบวนการเปลี่ยนแปลงของแจ๋วเริ่มจากการย้ายอำนาจที่อยู่กับเธอ ไปให้แยมที่เป็นประธานกลุ่มเป็นคนจัดการ เพื่อให้น้องได้ฝึกความเป็นผู้นำ แล้วมีปัญหาอะไรที่แยมจัดการเองไม่ได้จึงค่อยมาปรึกษา ซึ่งแยมก็สามารถจัดการงานแต่ละอย่างให้ผ่านไปได้เท่าที่กำลังของเธอจะทำได้ดีที่สุด

“งานที่ออกมาอาจไม่ต้องถึงกับถูกใจเราที่สุด เพราะเด็กเขาทำได้ไม่เหมือนผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่เขาก็ทำได้ดีในระดับความสามารถของเด็ก อย่างตอนไปอบรมสื่อ เราเห็นโครงการอื่นส่งกันหมดแล้วก็ใจคอไม่ดี เลยคุยกับแยมว่าทีมเราควรส่งวิดีโอได้แล้ว เพราะนี่ถือเป็นการบ้าน แยมก็บอกโอเค ทันแน่นอน ปรากฏว่าเย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน เขาก็รวมตัวกันทำจนเสร็จแล้วส่งคืนนั้นเลย จากตอนแรกที่เราเองคะเนว่าอย่างน้อยต้อง 2-3 วันถึงจะเสร็จ  นี่ทำให้รู้เลยว่าเด็กมีศักยภาพมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราให้โอกาสเขาได้แสดงความคิดเห็น ได้ตัดสินใจ เขาก็ทำได้”

นอกจากเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานกับทีมงาน แจ๋วยังเปลี่ยนแปลงวิธีการเลี้ยงลูกของตัวเองด้วย จากที่เป็นคนแข็งและพูดแรงเมื่อดีนทำอะไรที่ไม่เหมาะสม อย่างการออกไปแว้น เธอยอมรับว่าจะห้ามลูกด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่หลังอบรมกลับมา เธอยอมให้ลูกทำสิ่งที่อยากทำ “ภายใต้ข้อตกลงร่วมกัน” ว่าอนุญาตให้แต่งรถได้แล้วขี่ไปขี่มาแถวบ้าน โดยไม่ไปรวมกลุ่มแว้น เพียงขี่ไปขี่มาแถวบ้าน ฟากดีนที่เห็นว่าแม่ยอมรับฟังความต้องการของตัวเองจึงค่อยๆ ยอมมาร่วมทำโครงการ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีจากการได้เรียนรู้การทำเพื่อส่วนรวม

“ดีนปรับปรุงตัวดีขึ้นจากที่เป็นคนใจแคบ ไม่เห็นใจคนอื่น ซึ่งพลาดที่เราเองที่เคยสอนเขาว่าทำงานต้องได้เงิน พอมาโครงการนี้เลยบอกเขาว่าไม่มีเงินให้เหมือนทุกครั้งนะ แต่จะคอยให้กำลังใจไปเรื่อยๆ จนไม่น่าเชื่อว่าดีนจะเปลี่ยนไปได้ กลายเป็นเด็กที่ใจกว้างขึ้น รู้จักแบ่งปัน แล้วความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกก็ดีขึ้นด้วย เราเชื่อใจลูกมากขึ้น เขาก็เปิดโอกาสให้เข้าถึงมากขึ้น มีอะไรก็มาคุยกับแม่”

แจ๋วนำทักษะการเป็นพี่เลี้ยงที่เปิดโอกาสให้เด็กทำ และเปิดใจรับฟังเด็กไปปรับใช้กับการทำงานในฐานะผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และงานขับรถรับ-ส่งเด็กนักเรียนด้วย ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนใจเย็น ถ้อยทีถ้อยอาศัย และเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น

“เวลามีประชุมประจำเดือนของชุมชน เมื่อก่อนทุกอย่างต้องเป๊ะแต่ตอนนี้เรารู้วิธีสื่อสารมากขึ้นว่าต้องรับฟังคนอื่น ไม่ใช่ว่าเรารู้แล้วไปข่มเขา เพราะทุกคนต่างมีความรู้ไม่เหมือนกัน และอาจรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ด้วย แล้วก็โยงไปปรับใช้กับเด็กในรถของเราด้วยที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น เพราะรับเฉพาะเด็กม.1-ม.6 เมื่อก่อนเวลาเด็กมาช้า ไม่ขึ้นรถ แล้วเพิ่งไลน์มาบอกว่าไม่ไป พี่จะโมโหว่าเปลืองค่าน้ำมันรถ เสียเวลา แต่ตอนนี้ก็คิดว่าสงสัยเด็กตื่นสายเลยลืม เราให้โอกาสเด็กเยอะขึ้น” 

แม้โครงการจะสิ้นสุดระยะเวลา แต่แจ๋วยังไม่ยุติบทบาทพี่เลี้ยง เธอตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากนี้จะทำห้องสมุดที่ข้างบ้าน ให้เป็นพื้นที่รวมตัวของเด็กๆ ให้มานั่งอ่านหนังสือหรือมานั่งเล่นโทรศัพท์มือถือก็ยังได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อเธอ เพื่อดีน หรือเพื่อเด็กคนใดเป็นพิเศษ แต่เพื่อให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนมีพื้นที่ทำสิ่งดีๆ และเติบโตมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงพัฒนาบ้านป่าตึงเหนือแห่งนี้ต่อไป

Tags:

ดนตรีศิลปะการแสดงactive citizenproject based learningเกม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Character buildingCreative learning
    นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

“ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก
Social Issues
21 February 2019

“ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

เรื่อง The Potential

เมื่อบ้านเมืองเดินเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอีกครั้ง บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยป้ายหาเสียงและข่าวสารด้านการเมืองที่หลั่งไหลเข้ามาให้เห็นได้ในทุกสื่อ The Potential จึงชวน  9 New Voter ตอบคำถามสำคัญสำหรับการเลือกตั้ง(สภาชิกสภาพผู้แทนราษฎร) ครั้งแรกในชีวิต

คำตอบหลากหลาย-แน่นอน เราตั้งใจ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันทุกคนคือ “อยากกากบาทเต็มทน”

ถึงคราวนี้จะเลือกพลาดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้เลือก และต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เลือก…พวกเขาว่าอย่างนั้น

ธรรมธวัช ธีระศิลป์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปศาสตร์ ประธานกลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

รู้สึกกระตือรือร้นมาก เพราะจะได้มีส่วนร่วมกำหนดอนาคตประเทศ ให้เป็นไปในแนวทางที่เราคาดหวัง

นโยบายใดที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

หลักๆ สนใจนโยบายด้านการศึกษา เพราะเป็นการพัฒนาคุณภาพของประชาชนให้มากขึ้น เราควรได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด อีกด้านคือนโยบายด้านสวัสดิการ ที่จะช่วยทำให้ประชาชนมีหลักประกันแน่นอนในชีวิตตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน หรือกระทั่งเรื่องกองทัพ ที่ต้องอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือนที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อป้องกันไม่ให้มีรัฐประหารอีกครั้ง อันที่จริงไม่ว่าจะนโยบายเล็กหรือใหญ่ ถ้ามีผลกระทบต่อประชาชนทั้งทางเศรษฐกิจ หรือทางวัฒนธรรม ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจทั้งสิ้น

อยากเห็นอะไรบ้างในรัฐบาลชุดต่อไป

อยากเห็นประเทศที่ปกครองด้วยมติของคนส่วนมาก และเคารพในสิทธิของคนส่วนน้อย ที่ประชาชนทุกเสียงจะได้รับการรับฟัง

อยากเห็นประเทศที่มีกลไกการปกครองด้วยประชาธิปไตยเข้มแข็งและสามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้ อยากเห็นประเทศที่ความมั่งคั่งไม่กระจุกอยู่ที่คนไม่กี่กลุ่ม แต่กระจายออกไปสู่ผู้ยากไร้มากขึ้น อยากเห็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมพรั่งและทันสมัย อยากเห็นประเทศที่ปกครองด้วยหลักนิติรัฐ ที่กฎหมายได้รับการบังคับใช้อย่างยุติธรรม ไม่ผันแปรตามอำนาจ (สงสัยจะหวังมากไป)

คิดว่าเสียงของคนรุ่นใหม่สำคัญแค่ไหน

คนรุ่นใหม่นี้ได้เกิดและเติบโตในสังคมไทยที่มีปัญหาต่างๆ มากมาย และพวกเขาจะต้องทนอยู่กับปัญหาเหล่านี้ไปอีกนาน ดังนั้นเสียงของคนกลุ่มนี้จึงยิ่งทวีความสำคัญ เพราะอนาคตของชาติกำลังเรียกร้องให้ประเทศของตนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ก้าวหน้ามากขึ้น มิใช่วนเวียนอยู่ในกะลาใบเก่าๆ อย่างนี้ อีกทั้งเสียงของคนรุ่นปัจจุบันก็จะเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญต่อเนื่องไปอีกหลายปี ดังนั้นหากเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้ว คนรุ่นใหม่ย่อมสำคัญพอๆ กับคนรุ่นเก่าที่ถืออำนาจปกครองอยู่

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

แท้จริงแล้วเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลควรฟังเสียงประชาชนทั้งหมด คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเลือกตั้งก็เป็นหนึ่งในนั้น การเมืองเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องการจะมีส่วนร่วม คนรุ่นใหม่อาจจะมีแนวคิดไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็เป็นพลังที่จะขับเคลื่อนประเทศนี้ไปข้างหน้าได้ หากได้รับการสนับสนุนเพียงพอ

อยากฝากคำพูดอะไรถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรกเหมือนกัน

เลือกสิ่งที่จะสร้างอนาคตที่ดีที่สุดให้ตัวเราและประเทศ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร หรือประเทศไทยในอนาคตจะดีหรือแย่ลงขนาดไหน แต่อย่างน้อยเราก็ได้แสดงพลังออกมาแล้วว่าเราต้องการสิ่งใด

ที่สำคัญไม่ว่าจะคิดเห็นอย่างไร อย่างน้อยคุณค่าและหลักการของประชาธิปไตยก็ควรเป็นสิ่งที่เรารักษาและยึดมั่นเอาไว้ มิใช่มุ่งหวังจะเอาชนะทางการเมืองจนต้องหันไปใช้วิธีนอกระบบดังที่เป็นในปัจจุบัน

ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก การเลือกอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต

ตอนจบ ม.6 แล้วจะเข้ามหาวิทยาลัย การเลือกมหาวิทยาลัยและคณะที่เรียนนั้นจะส่งผลถึงการใช้ชีวิตและเส้นทางในอาชีพการงานของเราในอนาคต เราต้องเลือกด้วยตนเอง ไม่ใช่เลือกตามใจของพ่อ-แม่ เพราะเราจะตอบโจทย์ของตัวเราเองได้ดีที่สุด และแม้ว่าจะพลาดไปก็เลือกใหม่ได้หากยังไม่สายเกินไป

การเลือกตั้งนั้นก็เช่นเดียวกัน เพราะไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตของประเทศเท่านั้น แต่ผลที่ได้จากการเลือกตั้งก็จะมาเกี่ยวพันกับชีวิตเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ก็สำคัญพอๆ กับการเลือกสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญต่อชีวิตของเรา

เติ้ล-ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน ผู้ร่วมก่อตั้งและบรรณาธิการบริหาร SPACETH.CO วัย 20 ปี

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

รู้สึกเฉยๆ เพราะมันไม่ยุติธรรมตั้งแต่การออกกติการวมถึงกระบวนการหลายๆ อย่าง

แต่ก็เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นโอกาสที่เราจะได้หลุดออกจากรัฐบาลรัฐประหารที่อาจจะสืบทอดอำนาจด้วยการเขียนกฎให้ตัวเองชนะ

เนื่องจากตัวเองเป็นคนที่เชื่อมั่นในพลังของเสียงแม้กระทั่ง 1 เสียง ทำให้รู้สึกมีความหวัง

นโยบายใดที่ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ

สนใจด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการศึกษาด้วย เพราะเรารู้สึกว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเนื่องจากอยู่ในวัยเรียน และส่งผลกับเราโดยตรง เพราะก็มีงานบางส่วนที่ต้องทำร่วมกับหน่วยงานรัฐบาล เราอยากทำงานร่วมกับรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีต่อเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่พูดเรื่อง Thailand 4.0 แต่หลายอย่างยังทำเหมือนอยู่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

อยากเห็นอะไรบ้างในรัฐบาลชุดต่อไป

อยากให้ไม่โกหก แค่นั้นเลย อยากให้ทำในสิ่งที่พูด และทำออกมาจริงๆ ระบบรัฐสภา ‘ที่ดี’ มันถูกออกแบบมาเพื่อให้เราตรวจสอบการทำงานต่างๆ ได้อยู่แล้วว่านโยบายดีหรือไม่ดี เห็นผลหรือไม่เห็นผล แต่ถ้าใครก็ตามโกหก ทุกอย่างก็จบกัน มันไม่ได้เป็นเกมที่เล่นกันอย่างจริงใจตั้งแต่แรก

คิดว่าเสียงของคนรุ่นใหม่สำคัญแค่ไหน

สำคัญ ลองคิดดูว่าเราเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุด 8 ปีที่แล้ว มี virgin voter ทั้งหมดเข้ามาจำนวนกี่ล้านคน คนพวกนี้อยู่ภายใต้รัฐประหารมา 4 ปี และความวุ่นวายทางการเมืองตลอด 8 ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงมีความกระหายที่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น

ทำไมเราต้องฟังคนรุ่นใหม่

เพราะคนรุ่นใหม่คืออนาคตจริงๆ พวกเขากำลังจะโตขึ้นไปอยู่ในสังคม เข้าไปเติมในส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล ภาคเอกชน เป็นแรงงานสำคัญ เป็นนักธุรกิจ เขาควรมีสิทธิออกแบบประเทศที่เขาจะอยู่ไปอีกต่ำๆ ก็ 50 ปี

อยากฝากอะไรถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรกเหมือนกัน

การเลือกตั้งครั้งนี้แม้จะมีกติกาหลายๆ อย่างที่เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ยุติธรรม แต่มันก็เป็นความหวังที่เราจะต่อสู้เพื่ออนาคตของประเทศให้หลุดจากอำนาจที่อาจจะสืบทอดต่อไปอีกอาจจะมากถึง 10 ปี ดังนั้น เราไม่ได้บอกว่าให้เลือกใครหรือไม่ให้เลือกใครเพราะไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เราอยากให้ทุกคนพึงระลึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และเราต้องรับผลของการกระทำ เหมือนตอนที่ลงเสียงประชามตินั่นแหละ

ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก การเลือกอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต

ตอนนั้นตอน ม.3 เราเลือกที่จะไม่ทำตามค่านิยมของสังคม ไม่ไปเรียนพิเศษ ไม่เข้าเรียนวิชาที่เห็นแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์ ตั้งคำถามกับครู และมาเริ่มทำงานครั้งแรก เราทำทุกอย่างที่เด็กไทยไม่ถูกสอนให้เป็น แต่วันนี้มันกลับให้ประโยชน์กับเรามากๆ ทั้งด้านความคิด ด้านการเรียนหรือการงาน ดังนั้นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุด คือการเลือกที่จะเป็นตัวเอง

ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูสอนคณิตศาสตร์ โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม วัย 29 ปี

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

คือเอาจริงๆ ผมยังไม่เคยเลือกตั้งเลย เพราะไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อน จนได้เรียนรู้จากอาจารย์ที่เคารพ ได้เรียนรู้จากข่าว จากคนรู้จัก เพื่อน พี่ น้อง ก็เลยรู้ว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เลยทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น ที่จะได้เลือกผู้แทนที่จะเป็นคนส่งเสียงแทนเรา ในการกำหนดบทบาทเป้าหมายของประเทศ

นโยบายแบบไหนที่ชอบ

นโยบายที่แตกต่าง ประหลาด ชาวบ้านไม่ทำ นโยบายที่เปลี่ยนสมมุติฐานเพื่อให้แก้ปัญหาเก่าๆ ที่เขาแก้ไม่ได้ ผมชอบหมดเลย เช่น เรื่องกัญชา ไม่มีคนเสพกัญชาที่ไหนมาฆ่าคนหรอกครับ นอนยิ้มเรี่ยวแรงหายกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องเอามามอมเมานะครับ มันต้องมีกติกาที่ดี และผมเชื่อว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าโทษ หรือเรื่องเกณฑ์ทหาร ผมดูหนังฝรั่งเยอะ เลยพอมองภาพออกว่า ทหารเกณฑ์กับทหารสมัคร มันต่างกันมากจริงๆ กองทัพจะได้มีประสิทธิภาพ มากกว่ากองทัพลงพุง ที่เอาทหารไปตัดหญ้ารอบกองทัพ ตกเย็นเตะตะกร้อ เช้ากวาดพื้น

ส่วนด้านการศึกษา ถ้าพรรคไหนยกเลิกระบบการสอบที่ไม่รอบด้านออกได้คงจะเลิกเลย ทุกวันนี้นักเรียนมาค้นหาตัวเองตอน ม.ปลายกันเยอะมาก บางคนเรียนมหาวิทยาลัยยังไม่พบตัวเองเลย เฮ้ย การศึกษามีปัญหาแล้ว ถ้าแก้เรื่องนี้ได้ เอาครับ รวมไปถึงแบบเรียนที่ไม่ตรงไปตรงมาเรื่องประวัติศาสตร์ด้วย ควรมีข้อมูลหลายด้านให้เด็กได้คิด ค้นพบ สงสัย จนเกิดการตั้งคำถาม ผมว่าเรื่องพวกนี้จะทำให้การเรียนในไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลชุดต่อไป

อยากเห็นรัฐที่ทำงานกับประชาชน มองเห็นปัญหาของโครงสร้างระบบบริหาร แก้ปัญหาในเชิงลึกและเชิงกว้างเป็น ใจกว้างพอที่จะรู้ว่าสังคมมีความเชื่อที่หลากหลาย บางคนเชื่อว่าเผด็จการดี บางคนเชื่อในสถาบันกษัตริย์ บางคนเชื่อว่าศาสนาควรมาก่อน บางคนเชื่อในประชาธิปไตย และอยู่ได้บนความแตกต่างนี้ ไม่ใช่ว่าตัวเองเชื่ออย่างนี้แล้วบังคับให้ทุกคนมาเชื่อแบบตัวเอง ใครไม่เชื่อเหมือนเราคือไม่ฉลาด ใจไม่กว้าง

คิดว่าเสียงของคนรุ่นใหม่สำคัญแค่ไหน

สำคัญมากพอกับเสียงคนทุกรุ่น เพราะทุกคนเจ็บปวดเวลาที่ไม่มีคนฟังเราใช่ไหมครับ ดังนั้นทุกเสียงควรถูกฟัง ทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า เพื่อประกอบภาพปัญหาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

นั่นสิ ทำไมต้องฟัง ประสบการณ์ก็น้อยกว่า อายุน้อยกว่า จะฟังทำไม จริงๆ ไม่ควรฟังแค่คนรุ่นใหม่ครับ ควรฟังคนทุกรุ่น เพราะทุกคนใช้สอยพื้นที่สาธารณะด้วยกัน ก็ควรฟังทั้งหมดครับ

ฝากคำพูดอะไร ถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรกเหมือนกัน

อยากให้เลือกในพรรคที่ตัวเองเชื่อนั่นแหละครับ ถ้าไม่ดีเราค่อยเลือกใหม่ แต่หวังว่าเราจะได้เลือกเอง ไม่ใช่มีคนมาเลือกให้อีก มันดูไม่มืออาชีพและโตเป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่ครับ

ก่อนจะเลือกตั้งครั้งแรก เคยเลือกอะไรมาแล้วคิดว่าสำคัญที่สุด

ขอเลือกว่าจะทำงานครูต่อ ด้วยเหตุผลเพื่อสิ่งที่เราคิดว่ามันยิ่งใหญ่หรือจากไปด้วยเหตุผลของตัวเอง พูดไปก็จะรู้สึกอ้วกๆ หน่อย แต่ที่ผมยังเลือกเป็นครูอยู่เพราะคิดว่า เราน่าจะดีลกับเด็กได้ถ้าเขาเปิดใจและคงช่วยให้สังคมในอนาคตกล้าตั้งคำถาม กล้าต่อสู้เหมือนที่เราทำอยู่ตอนเป็นครู

ผมกำลังสร้างสังคมให้มีแรงเสียดทาน เพื่อให้เกิดพลังงานและก้าวไปได้ ก็หวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้แรงเสียดทานในตัวผมยิ่งแข็งแรงและละเอียดมากขึ้นครับ

รชา เหลืองบริสุทธิ์ นักเรียนสาขานิเทศศาสตร์ เอกวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วัย 22 ปี

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

ตื่นเต้น ไม่ได้เห็นบรรยากาศการเมืองคึกคักแบบนี้มานานแล้ว ถ้ามองแบบโลกสวยมันเป็นอะไรที่ชุ่มชื่นหัวใจ เพราะว่าประชาชนได้แสดงความคิด ตัดสินใจใดๆ ด้วยการลงคะแนนเสียง เฮ้ย เรามีสิทธิได้เลือกว่ะ แล้วเราได้มีโอกาสเจอพื้นที่หนึ่งที่ทำให้เห็นว่าทุกคนมีอะไรที่เท่ากัน ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่

นโยบายแบบไหนที่ชอบ เรื่องอะไร ด้านอะไร

เราสนใจนโยบายหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องการศึกษาที่จะเป็นต้นทุนทางความคิดและเป็นพื้นฐานในหลายๆ เรื่อง สนใจเรื่องแรงงานเพราะเราก็กำลังจะจบแล้วไปเป็นแรงงานในอนาคต แล้วเราก็สนใจนโยบายแนวสาธารณสุข จำพวกสุขภาพ เพราะความเจ็บป่วยมันไม่ได้เข้าใครออกใคร

ถ้าถามว่าชอบนโยบายแบบไหนก็คงจะชอบหลายๆ นโยบาย ถ้าจะยกตัวอย่าง อย่างเรื่องสุขภาพ อยากเห็นสวัสดิการความไม่เหลื่อมล้ำสิทธิในเรื่องของการรักษาพยาบาล ทำนองว่าไม่มีใครได้มากกว่าเพราะทำอาชีพนี้หรืออาชีพนั้น จะชอบนโยบายที่ไม่ต้องไปรอโรงพยาบาลรัฐเข้าคิวตอนตีห้า ได้ตรวจตอนบ่ายโมง ถ้าแก้ปัญหาโรงพยาบาลแออัดจะดีมากๆ หรืออย่างเรื่องนโยบายเรื่องการศึกษา จบมาหลายปีก็ยังรู้สึกอึดอัดปัญหาหลายๆ อย่าง ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โรงเรียนคุณภาพกระจุกในตัวเมือง ชุมชนเล็กๆ มีครู 1 คน สอน 8 วิชา อะไรทำนองนี้

จริงๆ เราอยากเห็นนโยบายอะไรที่ตอบสนองปัญหาที่มากมายในปัจจุบัน คือเรารู้ว่าเเก้ไม่ได้หมด แต่ก็เอาหน่อยทีละนิดก็ได้ น่าจะเป็นอะไรที่เป็นประโยชน์ในอนาคต

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลต่อไป

อยากเห็นอะไรใหม่ๆ ไม่วนลูปเดิม ทำตามระบบระเบียบประชาธิปไตย ว่าไปด้วยการทำงานและสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ รัฐบาลครั้งหน้าอาจไม่เวิร์คก็เดี๋ยวว่ากันใหม่ เลือกใหม่อีก 4 ปี

คิดว่าเสียงของคนรุ่นใหม่สำคัญแค่ไหน

สำหรับเราก็สำคัญพอๆ กับเสียงคนรุ่นอื่นๆ นั่นแหละ ถ้านับคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ก็จะมีประมาณแปดล้านเสียง ถามว่าสำคัญแค่ไหน ก็แปรเป็น สส.ได้ราว 100 คน (ใช่ไหม) น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญของทุกๆ พรรคได้เหมือนกัน

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

เราก็อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีกันทุกคน ถามว่าทำไมรัฐบาลต้องฟังเสียงคนรุ่นใหม่ เพราะเสียงคนรุ่นใหม่ก็เป็นเสียงหนึ่งในประชาชนหลายๆ รุ่นที่รวมกัน เสียงข้างมากเลือกพวกคุณจนไปเป็นรัฐบาล คุณคือตัวแทนเรา แล้วทำไมไม่ฟังเสียงเรา? (อันนี้พูดถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง) แต่ถ้ารัฐบาลพิเศษที่มาจากรัฐประหารก็นะ… (ยิ้มอ่อน)

ฝากคำพูดอะไร ถึงคนที่เลือกครั้งแรกเหมือนกัน

อยากชวนออกมาเลือกตั้งกัน เธอจะเลือกพรรคไหนก็ตามชอบเลย เพราะเราคิดว่าทุกคนศึกษาข้อมูลกันมาแล้ว ก็วันที่ 24 มีนา 2562 ลุย! มาลงคะแนนเสียงกัน

ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก เคยเลือกอะไรมาแล้วคิดว่าสำคัญที่สุด

เอาจริงๆ เราก็มีโอกาสได้เลือกตลอดในช่วงชีวิตที่ผ่านมาว่าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร จากส่วนของต้นทุนทางครอบครัว หรือสภาพจิตใจที่ว่าด้วยความสบายใจในการอยู่ร่วมกัน คือมีคุณภาพชีวิตที่ดีส่วนหนึ่งมาจากครอบครัว ซึ่งต้องมีอีกหลายๆ ส่วนประกอบ เช่น สิทธิต่างๆ ที่เราควรได้รับจากรัฐ ฯลฯ ลองไปดูจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน (เราควรได้ ควรมีอะไรแบบนั้นสำหรับคุณภาพชีวิตของประชาชน)

อย่างที่ได้เลือก เช่น โรงเรียนที่ได้เรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย (ถึงเข้ามหาวิทยาลัย) แน่นอนว่าพอมีโอกาสได้เลือก เราก็เลือกสิ่งดีๆ สำหรับเราในต้นทุนที่เรามีอยู่ ซึ่งมันก็ส่งผลดีต่อมา อย่างพูดถึงโรงเรียน เราก็ได้เจอเพื่อนดี เจอคนที่เข้ากับเราได้ ได้เรียนกับครูที่พูดรู้เรื่อง สอนรู้เรื่อง อะไรทำนองนี้

แต่ถ้าถามว่าได้เลือกอะไรที่สำคัญที่สุด อืม ตอบยาก อาจจะเป็นเรื่องการได้เลือกเรียนคณะที่ตัวเองอยากเรียนมั้ง เพราะด้วยวิชาหลายวิชาทำให้เรามองอะไรที่กว้างขึ้นและมีกระบวนการทางความคิด เราเรียนวารสารก็คือ เรียนความจริง มันจะจริงไม่จริง ต้องคอยรื้อถอนเรื่อยๆ แล้วเราต้องมองให้รอบด้านมากๆ ความรู้รอบตัวต้องเยอะ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา เป็นต้น

สรุปคือ มีความสุข และก็คิดว่าการได้เรียนอะไรทำนองนี้จะเป็นประโยชน์ ซึ่งได้มาด้วยการที่เราได้เลือก

เลิศลักษณ์ เกิดพุฒ อดีต media planner วัย 24 ปี ตอนนี้เรียนภาษาอยู่ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

ตื่นเต้นนะ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะตื่นเต้นอะไรหรอก สงสัยคงเพราะไม่คิดว่าจะต้องรอนานขนาดนี้ ความรู้สึกประมาณว่าในที่สุดก็สักที ตอนนี้อยู่ต่างประเทศ ยุ่งยากนิดหน่อยแต่ก็จะทำเต็มที่ ตามหน้าที่พลเมือง

นโยบายแบบไหนที่สนใจเป็นพิเศษ

ส่วนตัวให้ความสำคัญกับเรื่องความเหลื่อมล้ำและการศึกษา ความเหลื่อมล้ำที่พูดถึงนี่ไม่ได้หมายความถึงแค่ด้านรายได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ การศึกษา โอกาส สาธารณูปโภค มันคือคุณภาพชีวิต เห็นได้ชัดมากว่าประเทศไทยความเจริญกระจุกตัวอยู่ที่หัวเมืองใหญ่ แล้วการศึกษานี่ก็เป็นรากฐานของสังคมจริงๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตหลายๆ ด้าน เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งกระบวนการคิดและคุณภาพชีวิตที่ดี แค่คิดว่าเข้าไม่ถึงทุกคนนี่ก็แย่แล้ว แล้วไอ้ที่เข้าถึงนี่มันมีคุณภาพหรือเปล่าอีก? พูดแล้วเหนื่อย

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลชุดต่อไป

อยากเห็นคนที่มีวิสัยทัศน์มาทำงานนี้บ้าง เพราะที่ผ่านมาส่วนตัวยังแทบไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในนักการเมืองไทยเลย คุณเล่นการเมือง ใช่ แต่คุณเล่นเพื่ออะไร ผลประโยชน์ของประชาชนหรือของใคร ประชาชนส่วนใหญ่วางใจให้อำนาจเลือกคุณเข้ามาก็เพราะว่าเขาไว้ใจ ให้โอกาสคุณ ยอมฝากชีวิตในอีก 4 ปีไว้ในมือคุณ เขาก็คงคาดหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างอยู่แล้วแหละ อยากให้เห็นความสำคัญของประชาชนกันบ้าง อย่าลืมว่าคุณเป็นใคร เข้ามาทำอะไร ทุ่มเทให้เหมือนตอนที่ขายฝันให้กันหน่อย

คิดว่าเสียงของคนรุ่นใหม่สำคัญแค่ไหน

สำคัญนะ ไม่ใช่แค่เสียงของคนรุ่นใหม่แต่เสียงของประชาชนทุกคนสำคัญทั้งนั้น ไม่มีใครควรถูกมองข้าม

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

ไม่อยากให้ใช้คำว่าต้องฟัง เพราะมันเหมือนเราไปบังคับให้เขาฟัง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรต้องฟังเสียงของประชาชนหรือเปล่า เราไม่ได้จะบอกว่าคนยุคเราดีกว่าคนยุคเก่านะ ที่จะบอกก็คือจะคนรุ่นไหนมันก็เป็นประชาชนคนไทยเหมือนกันหรือเปล่า หลายคนชอบพูดว่าโตกว่า ผ่านมาก่อน อาบน้ำร้อนมาก่อน ใช่ คุณมีความรู้ มีประสบการณ์ที่สั่งสมมาระหว่างอายุขัย แต่ไม่คิดบ้างเหรอว่าเราโตมาคนละยุคคนละสมัย เราอาจจะมีมุมมองอะไรที่คุณไม่เคยผ่านมาก็ได้ อย่าเพิ่งตัดสินกันแค่เพราะอายุ สิ่งที่คุณต้องทำคือรับฟังแล้วคิดตามว่ามันถูกต้องตามนั้นไหม อันที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่คนทุกยุคทุกสมัยควรทำนั่นแหละ ใช้เหตุผล ลดอคติ

ฝากคำพูดอะไร ถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรกเหมือนกัน

อ่านเยอะๆ ดูเยอะๆ มีสิทธิอะไรในมือก็ออกไปใช้ให้เต็มที่ สำคัญเลยที่อยากฝากไว้สำหรับ

คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ชอบอะไรก็ย้อนกลับมาดูว่าตัวเองได้ทำแบบที่เราไม่ชอบอยู่บ้างหรือเปล่า รับฟังความเห็นต่าง คุยกันอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ เราถกเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร ส่วนอะไรที่มันไม่ดี หากว่าคนส่วนใหญ่เห็นพ้องกัน สุดท้ายแล้วมันก็จะหมดไปตามยุคสมัย ช้าหน่อยแต่ก็ช่วยๆ กัน อดทนไว้

ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก เคยเลือกอะไรมาแล้วคิดว่าสำคัญที่สุด

ตอนเลือกสายวิทย์สายศิลป์ ฟังดูเป็นเรื่องเล็กใช่ไหม แต่ตอนนั้นเครียดมากเลยนะ เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ชอบอะไร จนสุดท้ายเลือกวิทย์-แพทย์ ไป สรุปเข้ามานั่งขำกับเพื่อนที่คณะบริหาร

อ๊อฟ-กฤษฏิ์ บุญสาร ฟรีแลนซ์ วัย 24 ปี

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

มีคนเคยบอกว่าอะไรที่เป็นครั้งแรก คนเรามักจะจำเสมอ เช่น ขับรถครั้งแรก ว่ายน้ำครั้งแรก เพื่อนสนิทคนแรก มีแฟนคนแรก ฯลฯ เช่นเดียวกันการเลือกตั้งครั้งแรกของผม คงเป็นสิ่งที่จะจำไม่ลืม เลือกตั้งครั้งนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นดี อาจจะเป็นเพราะการเลือกตั้งมันได้ถูกเลื่อนมาเรื่อยๆ จากนายกฯ ที่ได้ฉายาว่าเป็นคนตลก เพราะชอบหยอกล้อ ล้อเล่นกับสื่อบ่อยๆ ไปเยือนประเทศไหน ก็บอกกับผู้นำประเทศนั้นว่า จะเลือกตั้งปีนั้น ปีนี้ แต่ก็เลื่อนมาตลอด ลักษณะแบบนี้ไม่แน่ใจว่าไปล้อเล่นกับผู้นำเหล่านั้นหรือเปล่า (ล้อเล่นกับโดนัลด์ ทรัมป์) แต่ 24 มีนาคม 2562 ที่จะถึงนี้ คงได้เลือก (หรือเปล่า)

มันเลยเป็นธรรมดาสำหรับผมที่จะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย อยากจะไปกากบาทเต็มทน

นโยบายไหนที่ชอบ

ชอบหลายเรื่องนะ ถ้าจะให้ชอบมากที่สุด คงเป็นเรื่องการศึกษา ตั้งแต่เปิดอาเซียนมา การศึกษาของไทยถูกจัดอันดับไปอยู่ท้ายๆ ของกลุ่มเลย ไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุอะไร อาจเป็นเพราะระบบการศึกษาไทยล้าหลังก็เป็นได้

ในฐานะคนที่เพิ่งจบการศึกษาปริญญาตรีมาใหม่ๆ ที่ยังพอหางานทำได้อยู่ (หรือเปล่า) และมองย้อนกลับในอดีตที่ตัวเองได้ผ่านพ้นมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ครึ่งหนึ่งของช่วงชีวิต เราอยู่กับการศึกษา ได้เรียนวิชาต่างๆ มากมาย ซึ่งบางวิชาก็มักมีคำถามอยู่ใจเสมอว่า “เรียนจบไป วิชาพวกนี้จะเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ใช่ไหม?” กระบี่กระบองเอย ลูกเสือ เนตรนารีเอย วิชาเหล่านี้ช่างล้าหลัง ปลูกฝังค่านิยมผิดๆ

ส่วนพวกวิชาที่เรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่น ฟิสิกส์ เคมี ภาษาอังกฤษ ฯลฯ ก็ไม่ใช่เอาไปใช้ได้ในชีวิตจริงเท่าไหร่ ภาษาอังกฤษที่เรียนท่องแกรมม่ากันหนักหน่วง พอจบออกมาก็ยังไม่สามารถสื่อสารกันได้ แต่ถามว่าสำคัญไหม สำคัญมากในชีวิตปัจจุบัน แต่การศึกษาไทยก็ยังสอนให้คนไทยพูดอังกฤษได้ไม่เท่าไหร่

ถ้ารัฐบาลใหม่เข้ามา มาพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น เน้นให้เด็กรู้จักตนเอง จบ ม.6 แล้วต้องรู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากเข้าคณะอะไร อะไรบ้างคือสิ่งสำคัญในชีวิต สอนให้รู้จักสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง พาออกนอกห้องสี่เหลี่ยมไปเรียนรู้สังคมภายนอก ให้เห็นและเข้าใจปัญหาสังคม ไม่ใช่มัวแต่ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ กล่อมเกลาด้วยอุดมการณ์ชาตินิยม วิชาไหนเห็นว่าไม่สำคัญก็เอาออก วิชาไหนที่ควรเอาเข้ามา เช่น ปรัชญา ก็เอาเข้ามา จะได้วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ ไม่ตัดสินคนอื่นเร็วเกินไป รับฟังความเห็นที่แตกต่าง

ผมมองว่าประเทศจะดีขึ้นได้ก็ด้วยตัวคน ไม่ใช่จะรอแต่นโยบายจากรัฐเพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนก็สำคัญด้วยในการจะช่วยพัฒนาประเทศ ความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียใหม่ๆ ที่มาจากประชาชน แผ่ขยายจากชุมชนสู่ชุมชน สู่อำเภอ สู่จังหวัด แต่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยตัวเรา

ถ้ามีสิ่งใดที่รัฐบาลควรจะลงทุนแล้วก่อประโยชน์ให้กับประเทศมากที่สุด ก็คือ ‘คน’ โดยการเปิดกว้างทางด้านการศึกษา ถ้าการศึกษาไม่ได้ถูกตีกรอบ คนเรียนก็จะมีไอเดียใหม่ๆ พอคนเหล่านี้จบออกมา ก็จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลชุดต่อไป

อยากคนเห็นมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นในระดับสังคมการเมือง การชุมนุม หรือแม้แต่ในมหาวิทยาลัย ไม่อยากเห็นภาพกลุ่มเพื่อนเนติวิทย์ถูกล็อคคอ หรือตัวเนติวิทย์ถูกคุกคาม ข่มขู่ แม้กระทั่งในสถาบันการศึกษา หรือเห็นใครบางคนแชร์ข่าว BBC แล้วต้องโดนคดีมาตรา 112 หรือต้องเห็นกลุ่มนักศึกษาโดนอุ้มเวลาไปรำลึกเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม

อยากเห็นรัฐบาลใหม่ใส่ใจกับชาวบ้านมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้าตามท้องตลาด พวกเขาขายของกันเป็นอย่างไรบ้าง เดินลงไปหาพวกเขาหน่อย ไม่ใช่ไปแค่ช่วงตอนหาเสียงเลือกตั้ง แต่พอตัวเองได้เป็นรัฐบาลแล้ว กลับหายไปเลย

เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยใส่ใจกับราคาผลผลิตพวกเขาให้มากๆ หน่อย เพราะที่ผ่านมาเสียงพวกเขาไม่ดังเหมือนคนอยู่ในเมืองกรุง ที่นั่งทำงานในห้องแอร์ นั่งกินกาแฟสตาร์บัคส์ เดินช็อปปิ้งหลังเลิกงาน อยากให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน มันแคบลงกว่านี้

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

เห็นได้ชัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เกือบทุกพรรคการเมืองจะมีกระแสดึงคนรุ่นใหม่มาลงสมัคร สส. พรรคตน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน คนก็ต้องเปลี่ยน เจเนอเรชั่นเก่ากำลังจะตายไป เจเนอเรชั่นใหม่เข้ามาแทนที่ แม้แต่ทางการเมืองก็ตามต้องเปลี่ยนไปด้วย

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยเลือกตั้งเลย มีประมาณ 4 ล้านกว่าคน จากผู้มีสิทธิทั้งหมด 50 ล้านกว่าคน คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคม การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดี

ฝากคำพูดอะไร ถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรกเหมือนกัน

“Brexit ที่ทำให้สหราชอาณาจักรออกจาก EU นั้น ส่วนหนึ่งมาจากคนรุ่นใหม่ไม่ยอมไปลงประชามติ แล้วหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ออกมาเรียกร้องว่าไม่อยากออกจาก EU เพราะตัวเองไม่ได้เป็นคนเลือกออก แต่เป็นคนรุ่นเก่าที่เลือก (อายุเกิน 60) เช่นกันกับการเลือกตั้งครั้งนี้ผมก็อยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ให้ไปใช้สิทธิกันเยอะๆครับ เพื่ออนาคตของพวกเราเอง”

ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก เคยเลือกอะไรมาแล้วที่คิดว่าสำคัญที่สุด

การเลือกคณะเข้าเรียนครับ การเลือกครั้งนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ได้ เข้ามหาวิทยาลัยตอนแรก ผมเลือกเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ เพราะตอนนั้นชอบและติดตามพี่สิงห์ วรรณสิงห์มาก ด้วยความอินโนเซนท์ของผม เลยคิดว่าถ้าเรียนเศรษฐศาสตร์ จบมาต้องทำงานคล้ายพี่สิงห์แน่เลย เป็นพิธีกร เป็นนักเดินทาง แต่พอเราไปเรียนแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้ คิดว่าคงไม่ใช่ทางของเราแล้วล่ะ

เลยมาเรียนปรัชญาเพราะตอนนั้นชอบพุทธศาสนา แต่พอมาเรียนปรัชญาแล้ว มันก็ไม่ได้มีแค่พุทธอย่างเดียว มันมีอย่างอื่นด้วย พวกแนวคิดทางตะวันตก วิชาจริยศาสตร์ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดไปหลายเรื่อง มันทำให้รู้ว่าหลักศีลธรรมมันไม่ได้มีแค่พุทธนี่หว่า มันมีหลายๆ หลักคิดด้วย มันเลยสนุก ปรัชญาทำให้เราอยากเข้าเรียนตลอด มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปเรียน บวกกับอาจารย์และเพื่อนด้วย ซึ่งเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็ต่างวัยส่วนมากแล้วเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เห็นมุมมองที่ต่างออกไปของคนหลายๆ รุ่น

ปัจจุบันผมทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ถามว่า จบมาได้ทำงานตรงกับสายที่เรียนมาไหม มันก็ไม่ได้ตรง 100 เปอร์เซ็นต์หรอก แต่ตอนนี้ก็ชอบที่ได้ทำอะไรพวกนี้อยู่ ช่วยให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับ สิทธินั้นสามารถทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น เราก็มีความสุขไปด้วย ผมก็ยินดีที่ตนเองได้ทำสิ่งพวกนี้เพราะ ‘การเลือก’ ครั้งนั้น

มินท์-ศิรประภา ด้วงผึ้ง ล่ามภาษาจีน วัย 23 ปี

รู้สึกอย่างไรกับเลือกตั้งครั้งแรกเลย

สำหรับตัวเรา เรามองว่าการเลือกครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในทางปฏิบัติ เพราะเคยได้ลงประชามติมาก่อน

รู้สึกว่าความเห็นตัวเองในครั้งนั้น อาจจะแทบไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะผลลัพธ์เหมือนถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว

ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้มองกติกามาก่อนเลยอันดับแรก ซึ่งมันไม่เหมือนกับกติกาครั้งก่อนๆ เหมือนสุภาษิตน้ำน้อยสู้ไฟ มีเปอร์เซ็นสูงที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง เรารู้สึกว่า มันคล้ายกับเหตุการณ์ลงประชามติ เพราะอาจจะไม่ได้สิ่งที่เราคาดหวังด้วยเงื่อนไขของกติกาและการปฏิบัติที่เห็นชัดของภาครัฐ ตัวบุคคล

ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า คนกระตือรือร้นที่จะเลือกตั้งมันมี แต่คนรอบตัวเราก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ เรามองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนประชาธิปไตยแบบสวมหน้ากาก ที่ภายนอกดูใช่แต่เนื้อในไม่ใช่

นโยบายไหนที่ชอบ

ไม่เลือกนโยบายขายฝันเกินไป ทุกพรรคมีนโยบายที่ขายฝันทุกพรรค เพราะต้องการให้คนมาเลือกอยู่แล้ว แต่ก็ต้องการพรรคที่สามารถทำนโยบายที่น่าจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง เมื่อเทียบกันหลายๆ พรรคแล้ว พรรคที่มีเปอร์เซ็นต์ที่จะผลักดันได้สำเร็จมากที่สุด ก็จะเลือกพรรคนั้น อีกกรณีนึง คือเลือกจากตัวบุคคล เป็นคนดูตลบตะแลงไหม โกหกหรือเปล่า และที่สำคัญคือจุดยืนเป็นของตัวเองและต้องเห็นได้ชัด โดยส่วนตัว เราชอบคนที่มีความแปลกใหม่เป็นตัวของตัวเอง

ถ้าเป็น สส. เก่าๆ ก็ต้องมีความรอบคอบมีความคิดมีประสบการณ์เยอะ ย้ำแต่ก็ต้องดูรายคนนะ ไม่ได้มองว่า สส. แบบเก่าคือคนไม่ดีทั้งหมด เน้นการพิจารณาอย่างรอบด้าน

เราเป็นคนมองภาพรวม ประเทศจะก้าวหน้าได้ก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาทุนมนุษย์เสียก่อน แต่การพัฒนาตรงนี้เป็นโจทย์ยาก เพราะคนมีหลายรุ่น หลายวัย ก็เลยมองด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และระบบสาธารณสุข เป็นหลัก คนจะดีได้ก็ต้องเริ่มจากหลักการสามข้อนี้

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลชุดต่อไป

เราอยากเห็นเรื่องการคมนาคม เราไปเรียนที่ต่างประเทศ ประเทศที่โดนคนไทยด่าว่าสกปรกอย่างประเทศจีน แต่เขากลับมีการคมนาคมที่เยี่ยมยอดมาก รถเมล์ 10 บาท คนขับสุภาพ ไม่มีตั๋วรถเมล์ มีป้ายบอกทางตลอดสาย เราอยากเห็นตรงนื้ เห็นการเข้าถึงของประชาชนกับของสาธารณะ ถ้าทำตรงนี้ได้จริงจะเป็นผลงานที่เห็นได้ชัดที่สุด เราไม่ชอบฟังอะไรลอยๆ คมนาคมนี่พัฒนามาให้เห็นเลย ทำยังไงจะเปลี่ยนจาก คนหนึ่งมีรถ 1 คัน เป็น คนหนึ่งนั่งรถเมล์ได้ทุกสาย ไปได้ทุกที่

คิดว่าเสียงของคนรุ่นใหม่สำคัญแค่ไหน

ก็ถ้าเราดูตามตัวเลข new voter ก็มีจำนวนมาก และมีความสำคัญ

มันเป็นครั้งแรกที่จะทำให้เราได้รู้ว่าการมีอำนาจในมือมันเป็นอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ได้ศึกษาข้อมูลมาหลายปี ว่าถ้าไม่เลือกจะต้องเจอกับอะไร เช่น เราให้โอกาสบางคนอยู่ตรงนี้แล้ว หลายปีแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

เราว่าพวกเขาต้องตระหนักว่า เพราะอำนาจของประชาชน พวกเขาถึงได้เข้าสู่สภา ได้เป็นรัฐบาล พวกเขาต้องฟัง เพราะเสียงจากทุกคนมันสะท้อนมาจากความรู้สึกอยากให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนก็ควรจะได้รับสิ่งที่ดีขึ้น ยังไงรัฐบาลก็ต้องฟังเสียงสะท้อนตรงนี้

มีอะไรอยากบอกคนเลือกตั้งครั้งแรกเหมือนกัน

คิดซะว่า ไม่ต้องตื่นเต้น ให้มองการเลือกตั้งว่าเหมือนการทำข้อสอบ ที่มันไม่ได้มีแค่หนเดียว ศึกษาให้ดีว่าคนที่เราชอบพรรคที่เราเลือกเป็นยังไง ไม่ต้องกลัวว่าถ้าเลือกผิดไปแล้วจะมีคนมาว่า ยังไงมันเป็นสิทธิของเรา

แต่ก็ต้องคิดดีๆ ให้รอบคอบ ว่าการเลือกครั้งนี้จะมีผลต่ออนาคตอย่างไร

คิดว่าการเลือกอะไร เป็นการเลือกที่สุดๆ ของตัวเอง

ลำดับ 1 ของเราคือการเลือกสายเรียนตอน ม.ปลาย ระหว่างสายวิทย์หรือสายศิลป์ ลำดับ 1.1 คือเลือกตั้งครั้งนี้นี่แหละ (หัวเราะ)

เทมป์-กฤตภัทธ์ ฐานสันโดษ นักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น วัย 24 ปี

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

สำหรับเราตื่นเต้นอยู่แล้ว เลือกตั้งครั้งล่าสุดตอน พ.ศ. 2557 ตอนนั้นถ้านับไปก็อายุ 19 ปีแต่เราจำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมไม่ได้ไปเลือก คือตอนนั้นน่าจะอยู่ปี 2 เรียนหนักมาก เห็นข่าวทางโทรทัศน์มีการประท้วงปิดคูหา ใครไปเลือกตั้งคือคนไม่รักชาติ ญาติเราก็ไปร่วม แพทย์ พยาบาล ไปร่วมขบวนแสดงพลังกันออกหน้าออกตา แต่ตอนนั้นเราน่าจะตั้งใจเรียนมาก และรู้สึกว่าการเมืองมันไกลตัวเหลือเกิน ชีวิตเราเกิดมาแค่เรียน ทำงาน หาเงินก็พอแล้ว

แต่ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเราเริ่มติดตามข่าวการเมืองมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะว่าดูภาพยนตร์ และข่าวที่แชร์กันบนสื่อออนไลน์

เราเริ่มรู้สึกว่าการเมืองเป็นอะไรที่อยู่ในอากาศ เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่กลับสำคัญกับชีวิตมาก อย่างการทำงานของเราทุกวันนี้ ทำไมคนไข้เยอะ ทำไงงบกระทรวงสาธารณสุขถึงไม่เคยพอ ทำไมสิทธิข้าราชการถึงได้อะไรมากกว่าสิทธิบัตรทอง และอื่นๆ อีกมาก ปัญหาเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วยวิกฤตการณ์การเมืองไทยที่เรื้อรังหมักหมมได้หมดเลย

เรายังไม่จบเป็นแพทย์นะ แต่ก็ทำงานคลุกคลีในโรงพยาบาลตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เรามักได้ยินแพทย์หรือพยาบาลหลายคนพูดกับคนไข้ว่า “ทำไมถึงทำตัวแบบนี้ ไม่รักตัวเองเหรอ” เราได้อ่านสัมภาษณ์ของ อาจารย์ตุลย์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์ด้านนาซีศึกษา ท่านอธิบายว่าทำไมเราถึงมองชีวิตหนึ่งชีวิตไม่มีคุณค่า มันจะมีคำภาษาเยอรมันว่า menschlichkeit แปลว่าความเป็นมนุษย์ที่จะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์อื่นๆ อย่างสันติ และเห็นคุณค่าของชีวิตทั้งของเราเองและของคนอื่น คือคนเยอรมันจะไม่ได้จอดทางม้าลาย เพราะแค่กลัวกฎหมาย แต่เขายังนึกถึงทั้งคุณค่าชีวิตของทั้งตนเองและคนอื่นด้วย

มันน่าสนใจมากๆ ว่าประเทศนี้ที่ผ่านประวัติศาสตร์โหดร้ายมาเยอะ อย่างการฆ่ากันอย่างถูกกฎหมายกลางกรุงเทพฯ รวมไปถึงเรื่องราวของคนอีกมากที่ไม่อยู่ในประวัติศาสตร์หลักและยังไม่ได้รับความยุติธรรม เหตุการณ์เหล่านี้เราไม่เคยได้รับรู้ ศึกษา หรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดเจนเสียที คนที่พยายามจะพูดถึงก็ถูกไล่ให้ออกไปนอกประเทศ เราจึงกลายเป็นคนที่กลัวความตายได้ตามสัญชาตญาณ แต่ไม่รู้สึกถึงการมีคุณค่าในตนเอง เพราะคนในประเทศนี้ตายหรือถูกขับไล่ออกไปได้อย่างง่ายๆ

นโยบายไหนที่ชอบ

เราสนใจแนวคิดของรัฐสวัสดิการในช่วง 3-4 ปีนี้ เพราะมันชัดเจนมากๆ ว่าประเทศไทยภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่กำลังนำพาไปสู่ความไม่เท่าเทียมกัน (inequality) การแบ่งขั้วตรงข้าม (polarization) ความยากจน (poverty) และความสิ้นไร้ไม้ตอก (misery) เหมือนที่ Manuel Castells นักมานุษยวิทยาชาวสเปนผู้ศึกษาโลกาภิวัตน์ได้กล่าวไว้

เราเชื่อว่ารัฐสวัสดิการจะช่วยตอบคำถามตรงนี้ การที่รัฐเข้ามาคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ไม่ใช่ทิ้งให้เรามีชีวิตตามมีตามเกิดเหมือนทุกวันนี้ ใครที่จนก็จะจนไปจนตาย นั่นไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความสามารถ แต่รัฐไม่สามารถสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้ประชาชนเติบโตได้ตามศักยภาพที่เขามีได้

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลต่อไป

การแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่เอื้ออำนาจให้แก่พวกพ้อง และแน่นอนว่าอยากเห็นสิ่งที่ทำได้เหมือนกับตอนหาเสียง ซึ่งเราก็เข้าใจได้ว่าหลายๆ นโยบายที่ลดอำนาจของชนชั้นนำอย่างการลดงบกองทัพ หรือภาษีที่ดิน ภาษีมรดก นโยบายเหล่านี้อาจต้องใช้เวลาพอสมควร อาจไม่เกิดภายในระยะเวลาสี่ปีที่เขาทำงาน

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่

เราเพิ่งได้ดูสัมภาษณ์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 คนหนึ่ง เขาศึกษารัฐธรรมนูญผ่านการวิเคราะห์ของนักวิชาการด้านกฎหมาย เขาตื่นเต้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้มาก ทั้งๆ ที่เขายังไม่มีสิทธิจะเลือกตั้งด้วยซ้ำตามกฎหมาย เราประหลาดใจมากเพราะถ้าเทียบกัน เวลานั้นเรากำลังนั่งรถจากบ้านร้อยกว่ากิโลเมตรเพื่อเข้าไปเรียนในโคราชทุกสัปดาห์ ชีวิตเรามีอยู่แค่นั้น มีแต่หนังสือและการทำโจทย์เพื่อให้ได้คะแนนมากๆ แต่ในยุคสมัยของเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เลย วัยรุ่นมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนกระบวนการประชาธิปไตย เขาไม่ฟังหรอกเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดี หนักแผ่นดิน หรือค่านิยม 12 ประการมันล้าสมัยและไร้รสนิยม

ฝากคำพูดอะไรถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรก

เราในฐานะคนที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งที่สอง (ยังไม่ได้ใช้สิทธิของตัวเองในครั้งแรก) ก็คงบอกว่าเรามาร่วมด้วยช่วยกัน ใช้สิทธิในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เราอย่างเห็นประเทศมีหน้าตาแบบไหน ขึ้นอยู่กับเราทุกคน

ก่อนจะมาเลือกตั้งครั้งแรก เคยเลือกอะไรมาแล้วที่คิดว่าสำคัญที่สุด

เลือกใช้ทุน (ไม่เรียนต่อเฉพาะทาง)

เฟนเดอร์-ธนพล จูมคำมูล นักร้อง/นักดนตรี Solitude is Bliss อายุ 26 ปี

เลือกตั้งครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

รู้สึกเหมือนโดนบีบครับ (ฮ่า) บีบให้ใช้สิทธิในกติกาที่ไม่ยุติธรรม ในฐานะประชาชนคนนึงที่กำลังจะได้รับผลที่จะตามมาหลังจากนี้ ก็ถือว่าเป็นการมีส่วนร่วมที่น่ากระอักกระอ่วนประมาณนึง

นโยบายไหนที่ชอบ

สาธารนูปโภค (สายไฟลงดิน) การเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานของการคมนาคม ปฏิรูปการศึกษา, กองทัพ, ระบบราชการ ชอบนโยบายที่เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้กับทุกหน่วยงานทั้งระบบ ตรงนี้ผมคิดว่ามันจะเป็นปลายเปิดไปสู่การแก้ปัญหาทุกระดับที่ลึกและกว้างขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมคิดว่าความโปร่งใสที่ว่ามาเป็นเรื่องพื้นฐานที่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยควรจะต้องใส่ใจยึดเป็นหลักอยู่แล้ว

อยากเห็นอะไรในรัฐบาลต่อไป

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความโปร่งใสของระบบรัฐ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทั้งกายภาพและปัญญา ความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงทรัพยากรและสาธารณูปโภค มีการปรับแก้กฎหมายให้เป็นธรรมต่อประชาชนเอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ลดการผูกขาดของนายทุนและชนชั้นปกครอง จริงๆ ถ้ารัฐบาลไหนทำแบบนี้ได้ ใครมันจะไม่รักกัน

ทำไมรัฐบาลต้องฟังคนรุ่นใหม่ ฝากคำพูดอะไรถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรก

เพราะคนรุ่นใหม่คือกำลังหลักในอนาคต เป็นผู้ที่มีชีวิต ทำงาน และขับเคลื่อนโลก มีการปรับตัวและเรียนรู้อย่างเปิดกว้าง (ระดับมวลรวม) ด้วยทักษะทางเทคโนโลยี การรับข้อมูลที่ซับซ้อนและเป็นผู้สร้างนวัตกรรมของยุคสมัยถัดไป เพราะฉะนั้นความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่จึงสำคัญมาก ในการใช้เป็นข้อมูลเพื่อปรับโครงสร้างสังคมที่สอดคล้องกับโลกที่หมุนไปอย่างไม่หยุดหย่อน

ฝากคำพูดอะไรถึงคนที่เลือกตั้งครั้งแรก

จงเปิดกว้างรับข้อมูล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และใช้สิทธิ นอกเหนือจากนี้ก็ระวังใจตัวเอง มีคติหรือความคิดเห็นได้ แต่อย่าเผลอไปอินเอาอารมณ์ไปเกลือกกลั้วคาดหวังจนเกินไปนะครับ เพราะการเมืองทำให้เครียดได้ มากๆ (จากใจผู้เคยจิตตก)

ก่อนจะมาเลือกตั้งครั้งแรก เคยเลือกอะไรมาแล้วที่คิดว่าสำคัญที่สุด

คงจะเป็นการตัดสินใจซิ่วครั้งแรกและพาตัวเองมาอยู่ที่เชียงใหม่ครับ เพราะตอนนั้นค่อนข้างสับสนไม่รู้จะเอาใจตัวเองเพ่งไปทางไหน อายุ 19 จะเด็กก็ไม่ใช่จะวัยรุ่นก็ไม่เชิง (แบบบรรทัดฐานไทย) แต่ที่รู้คือมีเรื่องที่อยากทำหลายอย่าง คิดอยู่นานจึงตัดสินใจจะพาตัวเองไปสู่ที่ที่มีโอกาสต่างๆ รออยู่น่าจะดีกว่า ถึงแม้ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมาทำอะไร เพื่ออะไร แต่คิดว่าเชียงใหม่จะเป็นปลายเปิดพอที่จะทำให้ผมได้ทดลองขยับชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้น

ในฐานะคนเลือกตั้งครั้งแรก ได้ศึกษากลไกการเลือกตั้งที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ประชามติหรือเปล่า คิดเห็นอย่างไร

ศึกษามาบ้างครับ ถึงไม่ดีเทลนักก็รู้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีกติกาที่ไม่แฟร์ มีความคลุมเครือแอบแฝงอยู่มากมายจากช่องโหว่ของกลไก

แรกสุด ผมคิดว่าจะไม่สนับสนุนการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมครั้งนี้ (หมายถึงไม่ใช้สิทธิ) เพราะไม่พอใจกับความ ‘ขี้โกง’ แบบนี้สุดๆ แต่พอคิดว่านี่เป็นโอกาสเดียวในสภาวะบีบคั้นนานนับหลายปีมานี้ก็คิดว่าจำเป็นต้องออกไปเลือก ถึงแม้ว่าท้ายสุดผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะยากที่จะยอมรับก็ตาม เราคงต้องทำหรือไม่ก็ต้องปิดหูปิดตาหนีออกจากโลกนี้ไปอย่างสุดชีวิต

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตยการเลือกตั้ง

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม
Voice of New Gen
20 February 2019

CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • “โรงพยาบาลในฝันไม่ได้สร้างได้ด้วยการสร้างอาคาร ออกแบบพื้นที่ หรือเปลี่ยนหินเปลี่ยนปูน แต่จะทำยังไงให้แม่บ้านที่มีความฝันว่าอยากปลูกกล้วยไม้ เห็นความฝันและรู้ว่าเขาตกแต่งโรงพยาบาลได้มากมาย ให้เขาคุยกันได้ว่า ‘ฉันอยากให้โรงพยาบาลเป็นยังไง’ การทำแบบนี้ หมายความว่า ‘เรา’ ไม่ใช่เจ้าของความฝัน แต่มันคือความฝันของทุกคน”
  • CROSSs สถาปนิกชุมชนที่ไม่ได้ทำแค่งานออกแบบเชิงสถาปัตย์ แต่ทำงานออกแบบที่มากไปกว่าสถาปัตย์เชิงกายภาพ เป็นทั้งกระบวนกร ทำสื่อสร้างสรรค์ และยังทำโปรเจ็คท์ ‘ต่างๆ’ ร่วมกับองค์กรทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ผ่านเครื่องมือที่หลากหลายอันทำให้พวกเขามั่นใจว่า ทุกเสียง จะถูกรับฟังจริงๆ
  • ออกแบบโรงพยาบาลชุมชน, ปรับปรุงชุมชนริมคลองลาดพร้าว เพื่อต่อรองสิทธิอยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ทำงานสร้างสรรค์กับชุมชนในชื่อ Co-Creation คือตัวอย่างที่นักออกแบบกลุ่มนี้เข้าไปทำงาน

ตอนโทรศัพท์ขอข้อมูลกับทีม CROSSs ครั้งแรก ปลายสายให้ข้อมูลว่า จริงๆ CROSSs ไม่ได้ทำงานในนามสถาปนิกชุมชนอย่างเดียว แต่ทำงานออกแบบที่มากไปกว่าสถาปัตย์เชิงกายภาพ เป็นทั้งกระบวนกร ทำสื่อสร้างสรรค์ และยังทำโปรเจ็คท์ ‘ต่างๆ’ ร่วมกับองค์กรทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม

โอเค – บางครั้งเราอาจต้องลบภาพจำต่ออาชีพ ‘เดิม’ ไปก่อน ในโลกใหม่ ใครเขาทำงานแค่แขนงเดียว!

สรุปรวบตึงในช่วงเกริ่นนำ CROSSs คือสถาปนิกชุมชนที่ยึดการทำงานแบบมีส่วนร่วม หรือที่คนในแวดวงสร้างสรรค์รู้จักกันในนาม ‘Co-Creation’ หรือ ‘การร่วมสร้าง’ ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน รูปร่างหน้าตารูปแบบของงานจะเป็นอย่างไรนั้นแล้วแต่จุดประสงค์ แต่ทุกคนที่เข้ามาร่วมโปรเจ็คท์ ต่างทำงานในภาคส่วนของตัวเอง

บางงาน-CROSSs เข้าไปเป็นกระบวนกร สร้างพื้นที่ให้ทุกคนมานั่งล้อมวงแล้วชวนถกเถียง เพื่อนำความเห็นทั้งหมดมาออกแบบสถาปัตย์เชิงกายภาพ อันเป็นความถนัดในฐานะที่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มร่ำเรียนมาโดยตรง บางงาน-CROSSs ทำสื่อสร้างสรรค์ เช่น วิดีทัศน์ นิทรรศการ อีเวนท์ เป็นตัวกลางดึงกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันออกไอเดียก่อนลุยทำงานจริง – ว่ากันง่ายๆ พวกเขาชอบที่จะ ‘ครอส’ คนทำงานคนอื่นที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้อง มาจับมือร่วมกันทำงาน

เมฆ สายะเสวี, ชาติ-สิรภพ ขำอาจ และ เมืองไทย-วิธี วิสุทธิ์อัมพร

เพื่อให้เห็นภาพวิธีทำงานแบบมีส่วนร่วม สมาชิก CROSSs (ซึ่งจริงๆ แล้วมีอยู่ 8 ชีวิต) ร่วมพูดคุยกับ The Potential 3 คนคือ เมฆ สายะเสวี, ชาติ-สิรภพ ขำอาจ และ เมืองไทย-วิธี วิสุทธิ์อัมพร ท่ามกลางงานหลายแขนง พวกเขาขอยกตัวอย่างงานที่ทำบ่อย-โครงการออกแบบโรงพยาบาล, โครงการสุดท้าทาย-ออกแบบปรับปรุงชุมชนริมคลองลาดพร้าว เพื่อต่อรองสิทธิอยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และ โครงการที่เป็นจุดเริ่มต้นของ CROSSs ปัจจุบัน- โปรเจ็คท์ Co-Creation ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์

เพื่อให้เห็นภาพว่า แค่สถาปนิกชุมชนอย่างเดียว ไม่พอ

โรงพยาบาลที่เกาะยาวใหญ่: จุดเริ่มต้น ‘การ’ CROSSs ก่อนจะพัฒนาเป็น ‘ทีม’ CROSSs ในปัจจุบัน

เมฆอธิบายว่า โครงการออกแบบโรงพยาบาลที่เกาะยาวใหญ่ ในช่วงปี 2008 (ยัง) ไม่ใช่งานของทีม CROSSs ในปัจจุบัน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียการทำงานแบบมีส่วนร่วมของเขาในฐานะนักศึกษาสถาปัตย์ เป็นไอเดียการทำงานแบบ ‘ครอส’ กันของทีมงานที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ทั้งไม่ใช่คนในสายงานเดียวกันด้วยซ้ำ

“ความตั้งใจตั้งต้นของ คุณหมอนิล-มารุต เหล็กเพชร เจ้าของโปรเจ็คท์ที่อยากให้ทุกคนบนเกาะช่วยกันออกแบบโรงพยาบาล ซึ่งคนที่อยู่ร่วมในโปรเจ็คท์นั้น อย่างน้อยคือคุณหมอ พี่ชวณัฏฐ์ ล้วนเส้ง สถาปนิกชุมชน ซึ่งพี่คนนี้เป็นเหมือนคนต้นแบบในการทำงานออกแบบอย่างมีส่วนร่วมกับชาวบ้าน แล้วก็มีเรา ซึ่งตอนนั้นยังเรียนมหา’ลัยอยู่ กับเพื่อนๆ อีก 6-7 คนจากต่างมหา’ลัย มาร่วมด้วย

“CROSSs อีกความหมายหนึ่งคือการเปลี่ยนสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่นั่น จากสัญลักษณ์กาชาดเครื่องหมายบวกสีแดง กลายเป็นเครื่องหมายบวกสีฟ้า ความหมายคือ ทุกคนมาบวกกัน มาเพิ่มพลังกัน เราเลยมาเล่นคำต่อ สแลงคำใหม่ ใช้ความหมายของคำกริยาซึ่งก็คือการตัดกัน ข้ามกัน จะเป็นใครจะมาจากที่ไหนก็ได้ แต่ทุกคนมีความสนใจร่วมกันและมาเจอกันในจุดๆ หนึ่ง มันเลยเป็นไอเดียแบบ… งั้นเรามาครอสกันไหม?

แต่การมีส่วนร่วมที่ว่าไม่ใช่แค่การจับคนหลายๆ คนมานั่งในที่ประชุมแล้วเริ่มพูดโดยผู้อาวุโสเป็นหลัก หัวใจของการทำงานคือ การรับฟัง ‘ความฝัน’ ของผู้ที่จะใช้งานจริงในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น พี่ยาม พยาบาล คุณป้าห้องครัว คุณหมอ และอื่นๆ

“ทำยังไงก็ได้ให้พี่พยาบาล พี่หมอ คนไข้ ญาติ หรือคนในเกาะยาวใหญ่ รับรู้ทั่วถึงและเท่ากัน รู้สึกให้ได้ว่าถ้าจะออกแบบ ก็ต้องมาออกแบบด้วยกัน มันเหมือนเป็นการออกแบบโรงพยาบาลนะ แต่สุดท้ายนำไปสู่คำถามใหญ่ที่ว่า ‘อะไรคือการเยียวยาคนทั้งเกาะ?’ คุณหมอ คุณพยาบาลที่ทำงานรักษาคนอื่น หัวใจของเขาเคยถูกรักษาหรือเปล่า?

“ตอนนี้โรงพยาบาลสร้างสำเร็จแล้ว มีสปาสมุนไพรซึ่งชาวบ้านเป็นคนคิดและกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของโรงพยาบาลถึงทุกวันนี้ มีการจัดตั้งกองทุนน้ำมัน มีครัวใหญ่ที่คุณป้าคนหนึ่งบอกว่าอยากได้เพราะอยากทำกับข้าวให้ผู้ป่วยกิน เกิดการออกแบบชานไม้หน้าห้องพักผู้ป่วยที่เหมือนชานทำครัวในบริเวณมัสยิด แสดงว่างานออกแบบไม่ได้มาจากการวิเคราะห์ของนักออกแบบอย่างเดียว แต่มาจากการใช้งานจริงของคนในพื้นที่ เป็นมากกว่าการออกแบบอาคาร แต่ไปถึงเรื่องสวัสดิการ การจัดการภายใน ซึ่งการครอสกันตรงจุดเล็กๆ นี้เหมือนเป็นการเปิดให้เราเห็นว่าการทำงานแบบมีส่วนร่วมมันน่าสนใจ เราชอบคำๆ นี้ และคิดว่านี่คือความต่าง ไม่ใช่ความต่างสิ… เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้เพิ่มนอกจากห้องเรียน”

เข้าใจว่านักออกแบบต้องสร้างสรรค์งานตามผู้อยู่อาศัย ผู้ว่าจ้าง หรือเรียกอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ลูกค้า’ แล้วปรัชญาการออกแบบอย่างมีส่วนร่วม ต่างจากวิธีคิดของนักออกแบบตรงไหน ทำไมคนหนุ่มนักศึกษาสถาปัตย์ในวันนั้น ถึงรู้สึกถูกใจกับไอเดียการทำงานแบบมีส่วนร่วมแบบนี้? – เราถาม  

“สอนนะ แต่มันสอนแค่ขั้นก่อนดีไซน์ว่าเราต้องมีคอนเซ็ปต์ ก่อนจะเข้าใจคอนเซ็ปต์ก็ต้องเข้าใจบริบท สิ่งแวดล้อมรอบข้างก่อน ซึ่งคำว่าชุมชน สังคม วัฒนธรรมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบเล็กๆ นั้นอยู่แล้ว แต่ในวิชาเรียนไม่เคยโฟกัสไปที่คน จะคิดในเชิงนักออกแบบว่าต้องมีความรู้เรื่องนี้ให้เยอะที่สุด ไปวิเคราะห์ ไป analyze ไปทำไดอะแกรมสักอย่างแล้วค่อยเอาไอเดียนั้นมาเป็นแบบ จากนั้นก็พุ่งไปตัวดีไซน์เลย แต่งานที่โรงพยาบาลมันเป็นความรู้ใหม่ งานออกแบบมันมาจากคนเลย” เมฆตอบ

เมฆ สายะเสวี

อย่างไรก็ตาม แม้โปรเจ็คท์ที่เกาะยาวใหญ่จะจบลงที่การสร้างโรงพยาบาลได้สำเร็จ เก็บเกี่ยวความฝันของผู้ที่ใช้งานจริงอยู่ในนั้นได้ครบ แต่การดำรงอยู่ของ CROSSs ในเวลานั้นไม่ได้ถูกสานต่อ คนหนุ่มนักเรียนออกแบบหลายคนที่คลุกงานในโปรเจ็คท์ต่างแยกย้ายไปทดลองทำงานในเส้นทางที่ตัวเองฝัน หากต้องนิยามปรัชญาของ CROSSs ในวันนั้น อาจคือการทำงานแบบ project based

อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบ CROSSs หรือปรัชญาแบบ Co-Creation ได้เกิดขึ้นแล้ว

ออกแบบปรับปรุงชุมชนริมคลองลาดพร้าว เพื่อต่อรองสิทธิการอยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย: ออกแบบพื้นที่ถกเถียง ทำแปลนอาคาร คิดงานสื่อสร้างสรรค์

หากยังจำเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2554 กันได้ หนึ่งในข้อถกเถียงถึงเหตุแห่งอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะเส้นทางน้ำในคูคลองกรุงเทพฯ นั้นแคบ ส่วนหนึ่งถูกรุกด้วยที่อยู่อาศัย ข้ามพ้นจากปัญหาเชิงโครงสร้างความเป็นเมือง (ซึ่งต้องพูดกันอีกวิธี) เฉพาะการแก้ปัญหาระยะยาวคือการยกคนขึ้นบก จัดเส้นทางน้ำใหม่ ขยายขอบคลองให้กว้างขึ้น สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กและประตูระบายน้ำ ซึ่งผู้รับหน้าที่หลักร่วมกันหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และกลุ่มสถาปนิกชุมชน ซึ่งเมฆและชาติ (ขณะนั้น CROSSs ยังไม่ฟอร์มทีม) อยู่ในทีมสถาปนิกชุมชนเฉพาะกิจในชื่อมกลุ่ม CROSSs รับหน้าที่เป็นกระบวนกร สร้างพื้นที่ชวนกลุ่มชาวบ้านมาร่วมออกแบบพัฒนาแผน ผังอาคาร ส่วนเมืองไทยทำงานร่วมกับทีม พอช.

8 เดือน 8 ชุมชน* คือโจทย์ที่พวกเขาต้องจัดการ

“เวลาเราทำงานเพื่อออกแบบผังกับชาวบ้าน ต้องชวนคนมานั่งคุย ชวนคนมาทะเลาะกัน เถียงกันให้ได้ว่าบ้านพี่จะอยู่กันขนาดเท่าไร อยู่กันยังไง บ้านพี่ใกล้กับบ้านพี่คนไหน พื้นที่สาธารณะอยู่ตรงไหน เอากระดาษลังมาตัดทำเป็นผังบ้าน ทำแผนที่ใหญ่ๆ ให้ทุกคนมานั่งรุมกัน ตั้งคำถามกัน แต่จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องรอให้เขาเริ่มว่างประมาณ 6 โมงเย็น นั่งคุยกันจนเลิกประมาณ  4-5 ทุ่ม บางวันเราต้องเลือกวันที่พี่คนที่เราจะคุยด้วยต้องไปซื้อพวงมาลัยที่ปากคลองตลาดพอดีเพื่อจะได้ติดรถเขากลับมาแถวบ้านได้

“หากทำงานกับโรงพยาบาลคือการทำด้วยบรรยากาศเชิงบวกเพราะเป็นการคุยเรื่องพื้นที่ความฝันที่จะทำงานด้วย service mind การทำงานออกแบบปรับปรุงชุมชนเพื่อต่อรองสิทธิการอยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย คือขั้วตรงข้าม แต่เราก็ใช้บรรยากาศลบๆ นี่แหละทำงาน ‘อีกสองเดือนพี่ต้องย้ายแล้วนะครับ เราจะเอายังไงกันดี’ ซึ่ง พอถึงจุดนี้เราเริ่มเห็นแล้วว่า แค่ทำงานออกแบบอย่างเดียวไม่พอ เราต้องการคนทำงานสื่อสารด้วย แล้วชาติก็ติดต่อเข้ามาพอดี จึงเป็นจุดที่ทำให้การทำงานเริ่มขยายบทบาท”

ในฐานะนักศึกษานิเทศศิลป์ ชาติเป็นนักออกแบบในสายเลือด เพียงแต่ช่วงเริ่มต้นเค้าไม่มั่นใจว่าความสวยงามบนสื่อสิ่งพิมพ์หรือเครื่องมือของสื่ออื่นๆ จะขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมได้

ชาติ-สิรภพ ขำอาจ

“เราไม่แน่ใจว่าสกิลที่มีจะทำอะไรกับงานตรงนี้ได้บ้าง การชวนคนมาคุยกันมันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา แต่พอลงมือ มันก็ทำได้นิหว่า สื่อหรือองค์ประกอบหลายอย่างมันมีบทบาทต่องานพัฒนาชุมชนไม่ใช่แค่การอกแบบเชิงกายภาพ พ้นไปจากตรงนี้เราก็พยายามจะเติมงานของทีมในเรื่องสื่อ เช่น ทำแผ่นพับเพื่อสื่อสารกับคนในชุมชนและชุมชนอื่น ชวนเพื่อนๆ มาทำงานทดลองเกี่ยวกับคลองเพราะต้องการสื่อสารกับคนนอก ให้เข้าใจว่าคลองคืออะไร คนที่อยู่กับคลองเป็นยังไง คนกับคลองมีความสัมพันธ์กับเมืองยังไง เหมือนอยากขยายผลของงานให้มากขึ้น ก็ชวนน้องที่แต่งเพลงได้ น้องที่ลงภาพตัดฟิล์มได้ ตัดต่อหนังได้ เราเสนอว่าอยากทำงานที่เกี่ยวกับคลอง เขาก็ให้ทำ มันก็เกิดงานทดลอง คนคลองเมือง เผยแพร่ผ่านไทยพีบีเอส” ชาติอธิบาย

โจทย์ 8 เดือน 8 ชุมชน เพื่อสรุปงานออกแบบอาคารและทางน้ำสำเร็จลง แม้ว่าความโหดหินของวิธีการและประเด็นจะทำให้มีคนออกไปพักเหนื่อยและทดลองทำสิ่งใหม่บ้าง แต่การ ‘ครอส’ กันของหลายๆ ทีมก็ทำให้สมาชิกหลักของ CROSSs เริ่มฟอร์มทีม

“คือเราไม่อยากรวมกันแล้วหาย แต่อยากหาความ sustain ให้ตัวเองแล้ว” ชาติกล่าว

และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ CROSSs รวมกันเป็นทีมถึงวันนี้ คือโปรเจ็คท์ Co-Creation ชวนคนมาออกแบบเมืองที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์

Co-Creation ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์

“มันจะมีเครือข่ายสถาปนิกชุมชนในชื่อ CAN คือ Community Architect Network มีทั้ง CAN ที่เป็นของภูมิภาคเอเชีย และ CAN Thailand, CAN ในระดับภูมิภาคทำอะไร? เช่น ในบริบทของเอเชียจะมีสถานการณ์คล้ายกันที่ต้องการนักออกแบบเข้าไปมีส่วมร่วม เช่น แทบทุกประเทศมีชุมชนแออัด แต่ละประเทศก็จะมีองค์ความรู้ต่อการทำงานในบริบทเหล่านี้แตกต่างกัน การแชร์ความรู้จึงสำคัญให้แต่ละประเทศ unlock โจทย์ประเทศตัวเองได้ง่ายขึ้น

“ที่นี้ทุกๆ สองปี CAN จะจัดเวิร์คช็อปขนาด 7-8 ประเทศ หรือขนาด 16 ประเทศ มารวมตัวกันแล้วทำโปรเจ็คท์ร่วมกันสักโปรเจ็คส์หนึ่ง คล้ายเป็นการสังคายนาครั้งใหญ่ของ CAN เลย งานที่ชุมแสงในชื่อโปรเจ็คท์ Co-Creation จึงเป็นการเอา CAN Thailand มาเจอกับ CAN Asia” เมืองไทยกล่าวถึงที่มาและว่า นี่เป็นงานนี้ที่ทำให้สมาชิก CROSSs จับกลุ่ม ‘ครอส’ กัน

“ทีนี้ที่มาของโปรเจ็คท์คืออะไร? อธิบายก่อนว่า ก่อนหน้านั้นเราพูดถึงงานที่เราทำกับชุมชน… ชุมชนๆๆ มันถึงจุดที่งานชุมชนเริ่มอิ่มตัว เราเริ่มเห็น pattern ของมัน ตั้งคำถามกันว่างานชุมชนที่เราทำเป็นจุดๆ และนอกเหนือจากกรอบผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัด จะอัพสเกลขึ้นมาทำในระดับเมืองได้ไหม? โปรเจ็คท์ Co-Creation จะไปสัมผัสกับมิติสุขภาพ มิติสังคม คนชรา วัฒนธรรม ทางสัญจร พื้นที่ใช้สอยกายภาพของเมืองอย่างไร พอรวบมิติเหล่านี้เข้าด้วยกัน มันเลยเรียกว่า Co-Creation”

ชาติอธิบายถึงรูปร่างหน้าตาการออกแบบเมืองในโปรเจคท์ Co-Creation ว่า “เราไม่ได้มีโจทย์ชัดว่าเราจะออกแบบอะไร แต่ไปชวนเขาาคุยว่า โอเค ถ้ามีผู้สูงอายุเยอะ เขาอยากมีอะไร? ลานออกกำลังกายเหรอ? ก็ค่อยๆ หา ไปตั้งคำถาม และแบ่งเป็นกลุ่มย่อยตามประเด็นที่สนใจ เช่น คุณลุงสนใจจักรยานก็ไปอยู่กลุ่มจักรยาน คนนี้สนใจเรื่องปลูกผัก ก็ชวนกันไปไปขยายเรื่องผักสุขภาพดีกับความสวยงามของเมือง พื้นที่ริมน้ำที่เมื่อก่อนอยู่ติดน้ำเลยแต่เดี๋ยวนี้มีเขื่อนกั้น เราจะทำเรื่องพวกนี้ยังไง”

บรรยากาศ วิธีทำงาน และวิธีคิดของโปรเจ็คท์ Co-Creation โดย Community Act Network


เมฆเสริมว่า “มันคือการทำงานกับชุมชนเก่าแต่เปลี่ยนหัวใจใหม่ หัวใจเขาดีอยู่แล้วแหละ แต่ที่เราทำคือให้หัวใจมาเชื่อมกัน ให้คนที่อยู่เมืองเดียวกัน ที่ไม่เคยเจอกันมาเจอกัน ซึ่งถ้าเขาเจอกันมันทำให้เมืองปะทุเลยนะ เช่น ซอยโรงเรียนสอนภาษาจีน ตอนกลางคืนร้างมาก แต่ถ้าช่วงงานประจำปีเราเปิดฟลอร์ให้ชมรมลีลาศมาสอนคนเต้นมันจะเป็นยังไงนะ คือจับคนเหล่านี้มาแชร์ไอเดียกัน

“พอเรากลับไปชุมแสงอีกครั้ง เมืองมันมีชีวิตขึ้นมา พื้นที่ริมน้ำถูกแปลงร่าง ทุกคนรู้ว่าจะเข้าไปใช้พื้นที่สาธารณะได้ยังไง นายกเทศบาลไม่ทำงานลำพัง ห้าวันที่เราเข้าไปทำงาน นายกเทศมนตรีก็งงเหมือนกันนะว่าเรามาทำอะไร แต่ทำงานจนจบ คนที่อยู่ในพื้นที่เสนอนโยบายเลยว่าชุมแสงควรต้องปรับปรุงอะไร”

CROSSs สถาปนิกชุมชนต้องไม่ทำงานบนกระดาษ

“ยกตัวอย่างโปรเจ็คท์หนึ่งที่เราทำงานกับโรงพยาบาล ตอนแรกโจทย์ไม่ได้ยากอะไร คือออกแบบโรงพยาบาลในฝัน ซึ่งสำหรับสถาปนิก การออกแบบอาคารไม่ใช่เรื่องยากเนอะ แต่เพราะความเป็นเรา ความเป็นครอส เราจะตั้งคำถามแต่แรกว่า ‘เสียงที่เราได้ยิน กับโจทย์ที่เรากำลังจะทำ เราได้ยินทุกคนจริงๆ รึเปล่า?’

“โรงพยาบาลในฝันไม่ได้สร้างได้ด้วยการสร้างอาคาร ออกแบบพื้นที่ หรือเปลี่ยนหินเปลี่ยนปูน แต่จะทำยังไงให้แม่บ้านที่มีความฝันว่าอยากปลูกกล้วยไม้ เห็นความฝันและรู้ว่าเขตากแต่งโรงพยาบาลได้มากมาย ให้เขาคุยกันได้ว่า ‘ฉันอยากให้โรงพยาบาลเป็นยังไง’ การทำแบบนี้ หมายความว่า ‘เรา’ ไม่ใช่เจ้าของความฝัน แต่มันคือความฝันของทุกคน” เมืองไทยเล่า

เมฆเสริมว่า “ซึ่งตอนคุยเราก็จะมีความขบถเล็กๆ นะว่า ‘เอ๊ะ ที่ต้องการนั้นจริงรึเปล่า’ (หัวเราะ) เราก็ขอให้พี่หมอลองร่างโรงพยาบาลในอีกยี่สิบปีข้างหน้าให้ดูหน่อย ซึ่งแกก็จะมีความฝันที่กั๊กไว้ไม่เคยบอกใครนะ แกเอาผังโรง’บาล ที่เขียนด้วยโปรแกรม Word ให้ดู แล้วก็แบบ ‘นี่นะ นี่จะเป็นตำแหน่งโรงสีข้าว’ เราก็… เฮ้ยมีโรงสีด้วยเหรอ? อีกเรื่องในโปรเจ็คท์นี้ก็คือ มันจะมีตึกๆ หนึ่งที่ยังสร้างไม่เสร็จ ในความเห็นเราก็คิดว่า มันพังรึเปล่าวะ? เราก็เลยฉายสไลด์ผังของพี่หมอไปที่ห้องประชุมแล้วขอให้ทุกคนช่วยกันแปะโพสต์อิทว่า รู้สึกยังไงกับตรงนี้ อยากเปลี่ยนอะไรมั้ย?

“มันน่าสนใจตรงที่ คุณหมอบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่าความฝันให้คนอื่นฟัง รู้สึกไม่ต้องแบกทิศทางโรงพยาบาลไว้คนเดียว เขารู้ว่าเขาสื่อสารออกมาได้”

คุยมาจนถึงตอนนี้ เราจับได้ว่า CROSSs ไม่ใช่แค่เป็นสถาปนิกชุมชนที่มี ‘ทักษะ’ การสื่อสารแค่ ‘นิดๆ’ แต่พวกเขาคือ ‘กระบวนกร’ เต็มความหมายในแง่การสร้างจังหวะ ดีไซน์ประสบการณ์ เป็นผู้นำบทสนทนา และต้องมีทักษะในการคลี่คลายความไม่ลงรอยระหว่างผู้ที่อยากแชร์ความคิดฝันร่วมกัน

“เราต้องวางแผนทั้งระยะยาวและสั้นเลย เช่น เราจะลงพื้นที่ 5 ครั้ง ครั้งแรกแนะนำตัวก่อน แค่ไปหา ไปทำความรู้จักเท่านั้น ครั้งที่สองคือการทำให้เขาส่วนร่วมกับเรา อาจจะปั้นดินน้ำมันเล็กน้อย ทำกิจกรรมนิดหน่อย แต่ครั้งที่สามต้องจริงจังละ โมเดลอาคารที่เขาปั้น ต้องเอามาเข้าสเกลได้

“วิธีคิดเรื่องเครื่องมือสื่อสารก็สำคัญมาก เช่นเวลาที่ทำกับคนต่างจังหวัด บางคนอาจพูดไม่เก่ง ไม่พูด เขิน ก็ให้เขียนไหม บางคนถนัดพูด ถนัดบ่น ต้องเลือกเครื่องมือให้เข้ากับแต่ละคน” ชาติอธิบาย

เมืองไทยเสริมว่า “ที่เราต้องจริงจัง ต้องมีเส้นสายการคุยที่ยาวขนาดนี้ เพราะเราไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแค่ผลลัพธ์กายภาพในตอนจบ นั่นเป็นแค่ผลลัพธ์ปลายทางเฉยๆ แต่กระบวนการที่จะเปลี่ยนคนเพื่อให้เขาเห็นศักยภาพในตัวเอง ให้เขาเข้าใจบทบาทตัวเอง unlock เขาได้ ส่วนใหญ่อยู่ที่กระบวนการนี่แหละ แล้วตัวงานที่ออกมามันจะแสดงตัวโดยประจักษ์เอง ‘เห็นไหมว่ามันไม่ใช่ความฝันของ ผอ. คนเดียว จำได้ไหมที่พี่พูดมันออกมาเป็นแบบนี้ ระเบียงที่พี่พูดมันหันหน้าไปสู่ป่าแบบนี้’ ทั้งหมดนี้มันจะแสดงตัวตนของมันออกมา

“เราจะโคด (เน้นเสียง) แฮปปี้เลยถ้าทุกคนรู้สึกว่านี่คืองานของเขา รักสิ่งนี้เพราะเห็นตัวเองอยู่ในนั้น แม้ว่าเราจะมีส่วนน้อยมากในงานนั้นเลย แต่เราได้ออกแบบให้ทุกคนมาแชร์ไอเดียร่วมกัน เราจะโคดแฮปปี้เลย”  

“หัวใจของมัน ไม่ใช่การทำงานบนกระดาษ” เมฆช่วยยืนยัน

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ นิยามว่า CROSSs คือใคร ทำงานแบบไหน เรียกว่าทำงานเพื่อสังคม หรือเพื่อชุมชนได้มั้ย? – เราถาม

“สำหรับเรานะ เราไม่ได้มองว่า CROSSs จับงานเพื่อสังคมหรือเพื่อชุมชนอะไรแบบนั้น แต่แน่นอนว่าหัวใจของมันคือการมีส่วนร่วม” ชาติอธิบายก่อน

“อยากทำงานสร้างสรรค์ที่เป็นมืออาชีพ อยากทำอะไรที่อิมแพค ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กหรือใหญ่”
“แต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สัมผัสได้”  
“และส่งต่อได้”

เมฆ และ เมืองไทย ช่วยกันต่อประโยคตามลำดับ ราวกับคนพูดมาจากคนๆ เดียวกัน

ไม่ใช่คำถามสุดท้ายของบทสนทนาจริง แต่อยากหยิบมาไว้ในตอนท้ายของบทความ ครั้งหนึ่งของบทสนทนาเมฆยกตัวอย่างกลับไปยังโปรเจ็คท์แรกที่โรงพยาบาลบนเกาะยาวใหญ่ เขาเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งระหว่างทำโปรเจ็คท์ เมฆกับคุณหมอนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ แสงแดดทะลุลอดใบไม้ลงมาอาบแขนเป็นริ้วๆ

“ตอนนั้นคุณหมอบอกเราว่า คงดีมากเลยถ้าคนไข้ได้มานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่แบบนี้ แค่นั้น ภาพผังก็ออกมาเลย ต้องมีชานตรงนี้ เจาะรูล้อมต้นไม้เอาไว้ แต่พอสร้างจริง… กลับมาอีกทีมันมีชาน มีรู แต่ต้นไม้หายไปแล้ว เดาว่าเป็นเหตุผลเรื่องการก่อสร้าง แต่ก็คิดว่าถ้ามีคนอยู่หน้างาน มันจัดการได้

“คุณหมอเศร้ามาก เราก็เฟล คุยกันแบบไม่กล้าสบตากัน ผิดใจกับต้นไม้ต้นนั้นมาก แต่ผ่านมาอีกสามปี ชาวบ้านเอามะขามเทศมาปลูก แล้วมันโต สวย แต่ตายไปแล้วนะ (หัวเราะ) ไม่ๆ แต่เค้าก็มีแผนปลูกใหม่ (ขัดจังหวะเสียงแซว) ประเด็นคือ เรารู้สึกว่า เชี่ย… เราคือคนนอกอะ เรายึดติดกับแบบ ติดกับอดีตที่เคยมีต้นไม้ใหญ่ แต่คนที่อยู่ตรงนั้นเขาก็ปลูกต่อ

“เมืองเคยบอกเราว่า งานชุมชนหรืองานมีส่วนร่วมมันไม่มีบวกหรือลบ มันอาจลบตอนนี้ แต่ถ้ายังมีคนโฮลพลังตรงนี้อยู่ พลังตรงนี้มันก็จะเพิ่มขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากโปรเจ็คท์นี้” เมฆกล่าว

รายชื่อชุมชนที่กลุ่มสถาปนิกชุมชนเฉพาะกิจ CROSSs ทำงานด้วย 8 ชุมชนคือ
ชุมชนบางบัวร่วมใจพัฒนาเชิงสะพานไม้สอง, ชุมชนเปรมประชาสมบูรณ์, ชุมชนประชากร 4, ชุมชนปู่เจ้าสมิงพราย, ชุมชนพรหมสัมฤทธิ์, ชุมชนร่วมพัฒนา, ชุมชนท่าอากาศยานด้านใต้, ชุมชนตาลคู่

Tags:

นักออกแบบสถาปนิกpublic space

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Creative learning
    สร้างห้องเรียนนอกห้องเรียน ‘วิชาการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น และพัฒนาชุมชน’ สู่ปากคลองตลาด Strike back กับ อ.หน่อง สุพิชชา โตวิวิชญ์

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ฮอมสุข สตูดิโอ: แค่เห็นปลาว่ายอยู่ในคลองแม่ข่าสักตัว เราก็ดีใจแล้ว

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ห้องเรียนไม่ใช่สมรภูมิรบ: ครูสงบศึกได้ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ
Learning Theory
18 February 2019

ห้องเรียนไม่ใช่สมรภูมิรบ: ครูสงบศึกได้ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • หลายครั้งห้องเรียนเป็นสมรภูมิรบ และครูคือคนที่เข้ามาไกล่เกลี่ย ไม่ควรเพิกเฉยกับความขัดแย้งหรือมองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมชาติ
  • เครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาช่วยครูคือ NVC หรือการสื่อสารอย่างสันติ ไม่ใช่การลงโทษให้เรื่องมันจบๆ ไป
  • นอกจากครูฟังอย่างตั้งใจ เด็กๆ คู่ขัดแย้งก็จะได้เรียนรู้ความต้องการของอีกฝ่ายด้วยการฟังและเข้าใจซึ่งกันและกัน

โรงเรียนเป็นพื้นที่ทางสังคมที่เด็กๆ ใช้เวลาชีวิตในแต่ละวันมากกว่าที่บ้านเสียอีก ห้องเรียนจึงเป็นทั้งโลกแห่งความรู้ ห้องทดลอง และสนามเด็กเล่น

นอกจากจะเป็นพื้นที่พัฒนาทักษะ ความรู้ โรงเรียนยังเป็นสนามแรกๆ ของชีวิตให้เด็กๆ เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ และความรัก

แต่บางครั้งโรงเรียนอาจกลายเป็นสมรภูมิรบได้เช่นกัน

“หนูทะเลาะกับเพื่อนไม่อยากไปโรงเรียนเลย” “เพื่อนในห้องล้อเรื่องกระเป๋าไม่เลิก หนูอาย ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว!” การทะเลาะเบาะแว้งที่อาจฟังเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาประสาเด็กน้อย บางครั้งไม่ได้จบลงอย่างสวยงาม แต่กลับลงเอยด้วยความรุนแรง กระทบกระทั่ง ที่ส่งผลร้ายต่อจิตใจ รวมถึงประสิทธิภาพการเรียนรู้และการเข้าสังคมของพวกเขา ก่อเกิดความเครียด วิตกกังวล จนลุกลามเป็นปัญหาทางจิตใจเช่น ภาวะซึมเศร้า

บทความนี้จึงต้องการนำเสนอแนวทาง การสื่อสารอย่างสันติ หรือ Nonviolent Communication (NVC) ให้เป็นทางเลือกหนึ่งที่ครูสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือจัดการความขัดแย้งระหว่างนักเรียน (conflict management) และออกแบบบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปราศจากอคติหรือการตัดสินว่ากล่าวผู้อื่น โดยครูเป็นผู้ช่วยนำทาง ปลูกฝังให้พวกเขาถอยห่างจากการนำตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก แล้วทำความรู้จักกับวิธีสื่อสารอย่างสันติ คือทุกคนรับฟังความต้องการและเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน

เพราะเราเพิกเฉยกับความขัดแย้ง มองความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมชาติ

แม้เราจะมีครูฝ่ายปกครองและระเบียบควบคุมความประพฤติพร้อมกับมาตรการลงโทษเพื่อป้องกันหรือรับมือความขัดแย้งรุนแรงระหว่างนักเรียนอย่างเข้มงวดแค่ไหน แต่ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง พูดเสียดสีด่าทอกัน ใช้กำลังข่มขู่ บังคับจิตใจ ล่วงละเมิด รังแกกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกก็ไม่เคยหมดไป

ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งหรือความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทางวาจาหรือกำลัง นอกเหนือจากบทลงโทษและการเยียวยาจิตใจ

ประเด็นสำคัญที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่มากพอคือทำอย่างไรเราจึงจะแก้ทัศนคติการคุกคามกันและสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน

การสื่อสารอย่างสันติ หรือ NVC เป็นกระบวนการพูดและฟังที่งดเว้นการกล่าวโทษหรือตัดสินผู้อื่น ออกแบบโดย ดร.มาร์แชล โรเซนเบิร์ก (Dr.Marshall Rosenberg) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและนักไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระดับโลก ในประเทศไทย NVC ได้รับการเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2547 โดยหลายหน่วยงาน เช่น เสมสิกขาลัย (SEM) สถาบันขวัญแผ่นดิน ให้เป็นแนวทางสร้างเสริมความเข้าใจระหว่างคนในสังคมและแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรงให้บรรเทาเบาบาง

โดยมุ่งเน้นการสื่อสารด้วยความเมตตากรุณา (empathy) เมื่อเป็นผู้พูดเราจะไม่พูดทำร้ายผู้อื่นทั้งทางตรงทางอ้อม เมื่อเป็นผู้ฟังเราจะเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่เอาตนเองเป็นไม้บรรทัดตัดสินว่ากล่าวคนอื่น

หลักการโดยย่อของ NVC

1. love and compassion – มอบความรักและความเมตตากรุณากับทุกคน

2. needs – เข้าใจว่าเบื้องหลังความรู้สึก การกระทำ หรือคำพูดนั้น ทุกคนมีความต้องการบางอย่าง การแสดงออกทั้งหมดล้วนเพื่อให้บรรลุสิ่งนั้น

3. self-responsibility and needs consciousness – ทุกคนควรรับผิดชอบต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นของตนเอง ไม่กล่าวโทษหรือผลักให้เป็นความผิดคนอื่น และควรรู้ว่าตนเองต้องการอะไร

4. ใช้กระบวนการพูดและฟังที่จะไม่กระตุ้นความบาดหมาง ด้วยการมองสถานการณ์ตามความจริง (observation) บอก/ถามความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา (feelings) บอก/ถามความต้องการอย่างตรงไปตรงมา (needs) และร้องขอให้ทำในสิ่งที่เราต้องการ (requests)

5. empathy – เข้าอกเข้าใจผู้อื่นว่าเขาเองก็มีความต้องการที่หวังจะได้รับการตอบสนองเหมือนกับเรา

Nonviolent Communication – มีเมตตาต่อตนเอง ไม่กดความต้องการของตนเอง และกล้าปฏิเสธ

สร้างวัฒนธรรมแห่งสันติในโรงเรียนด้วย NVC

คงไม่ต้องย้ำว่ากฎควบคุมความประพฤติไม่เคยสร้างปาฏิหาริย์ให้นักเรียนเลิกทะเลาะกัน ตราบใดที่พวกเขายังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ตัดสินวิพากษ์วิจารณ์ และไม่เคยมองเห็นความต้องการของคนอื่นหรือแม้กระทั่งของตนเอง

การนำหลักการ NVC มาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารที่โรงเรียนหรือจัดการความขัดแย้งในหมู่เด็กๆ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสังคมแห่งสันติที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ ด้วยการมีสติทั้งทางกาย วาจา ใจ คือรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตนเอง และเผื่อแผ่ความเมตตากรุณาไปยังผู้อื่นต่อไป

เคิร์สเตน คริสเตนเซน (Kirsten Kristensen) ประธานสมาคม LIVKOM ภาคีเครือข่ายศูนย์การสื่อสารเพื่อสันติ ลูกศิษย์ก้นกุฏิของ ดร.โรเซนเบิร์ก เธอเป็นวิทยากรบรรยายและออกแบบการเรียนรู้ตามแนวทาง NVC ให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งในเดนมาร์ค เยอรมนี และนอร์เวย์

ในเว็บไซต์ของเธอเผยแพร่คลิปวิดีโอความยาว 5 ตอน เรื่อง Culture of Peace in School with NVC ซึ่งถ่ายทอดขั้นตอนการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และไกล่เกลี่ยความขัดแย้งด้วย NVC ของโรงเรียนเตรียมประถมแห่งหนึ่งในเดนมาร์ค ทำให้เราเห็นวิธีที่ครูใช้ปลูกฝังเหล่าหนูน้อยวัยตั้งแต่ก่อนชั้นประถมให้เคารพและเมตตากันและกัน อีกทั้งยังสามารถจัดการความขัดแย้งในชั้นเรียนได้อย่างน่าติดตาม

ก่อนอื่น นอกเหนือจากครูกับนักเรียนต้องทำความเข้าใจหลักการและขั้นตอน NVC ซึ่งประกอบด้วย observation, feelings, needs, requests ที่กล่าวมาข้างต้น ในห้องเรียนควรมีกระดานคำศัพท์แยกแยะหมวดหมู่คำที่ใช้แสดงความรู้สึก (feelings) และความต้องการ (needs) ติดไว้ให้นักเรียนมองเห็นและสามารถยกมาใช้สื่อสารได้ทุกเมื่อ (สามารถอ้างอิงตัวอย่างคำศัพท์ได้จากบทความนี้)

ฟังอย่างนิ่งสงบ สยบความขัดแย้ง

คลิป Culture of Peace in School with NVC แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์การทะเลาะเบาะแว้งของเด็กๆ ในวันเปิดเทอมของคุณครู ฌอง โอลุนด์ ลอริทเซน (Jean Olund Lauritzen) ในโรงเรียนเตรียมประถมแห่งหนึ่งในเดนมาร์ค สาวน้อยผมทองซิลวียกมือฟ้องครูว่า ช่วงพักเบรกเธอถูกลุดวิก นักเรียนชายกับกลุ่มเพื่อนของเขาวิ่งไล่จับแล้วยังพยายามตรึงแขนเธอไว้ไม่ให้กระดุกกระดิก เธอวิ่งหนี ตะโกนให้คนช่วยแต่ก็ไม่เป็นผล เพื่อนๆ ไล่กวดไม่เลิก เธอเจ็บและไม่พอใจ จึงมาฟ้องครู

ครูลอริทเซนเล่าว่า ก่อนที่เธอจะรู้จัก NVC เธอมักตำหนิเด็กที่แกล้งเพื่อนทำนองว่า “อย่าแกล้งเค้าสิ ทีหลังต้องทำอย่างนั้นสิ อย่างนี้สิ” เธอรวบรัดตัดตอนการรับฟังสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขาไปสู่การอบรมสั่งสอนเลยทันที

เมื่อคริสเตนเซนนำ NVC เข้ามาใช้กับโรงเรียน เธอจึงได้เรียนรู้ที่จะปรับทัศนคติใหม่เมื่อเข้าใจว่า นักเรียนที่แสดงออกก้าวร้าวรุนแรง ตีหรือแกล้งเพื่อนมี ‘ความต้องการ’ บางอย่างเป็นแรงขับที่ทำให้เขาทำเช่นนั้น เขากำลังอยากบอกอะไร แทนที่จะดุและตราสถานะให้เขาเป็นคนผิด เธอรู้ว่าสิ่งที่เด็กเหล่านั้นต้องการที่แท้คือการได้รับความเอาใจใส่และรับฟัง “หนูต้องการอะไร” “ตอนนี้หนูรู้สึกยังไง” ขณะเดียวกันเธอมองว่าความขัดแย้งไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

เพราะเด็กทุกคนล้วนอยากให้ใครรับฟังความต้องการของพวกเขา ครูลอริทเซนจึงมักถามว่า “ทุกคนคิดอย่างไรกับเรื่องนี้กันบ้าง” “พวกเราควรหาทางออกยังไง” เพื่อให้โอกาสทุกคนในห้องแสดงออกและมีส่วนร่วมเสมอ

ต่อไปนี้คือกระบวนการ NVC ที่ครูลอริทเซนใช้ถามและรับฟังสาวน้อยซิลวีกับลุดวิกอย่างใจเย็น โดยค่อยๆ ไกด์ให้พวกเขาเปิดเผยความรู้สึกและความต้องการระหว่างกันดังนี้

1. กระตุ้นให้เล่าเหตุการณ์ – ครูลอริทเซนกระตุ้นให้ซิลวีและเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อฟังความให้รอบด้าน เธอรับฟังอย่างสงบนิ่งเท่านั้น ไม่ตำหนิหรือชมเชยใดๆ ทั้งสิ้น

“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ ซิลวี”

“ที่เพื่อนเขาวิ่งไล่ เขามาจับตรงไหนบ้าง”

“พอเพื่อนทำอย่างนั้น แล้วหนูทำยังไงต่อ”

“หนูได้พูดอะไรกับเพื่อนที่มาไล่จับหนูมั้ย พูดกับเขาไปว่ายังไงจ๊ะ พวกเขาเป็นเพื่อนห้องนี้หรืออยู่ต่างห้อง”

“มีใครในห้องเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซิลวีบ้าง เล่าให้ครูฟังหน่อยได้ไหม”

“ที่หนูบอกว่าพยายามช่วยซิลวี หนูช่วยยังไง แล้วช่วยสำเร็จไหม”

“ซิลวี หนูสังเกตเห็นเพื่อนที่เข้ามาช่วยไหม”

2. ถามความรู้สึก – ในสถานการณ์ไกล่เกลี่ย ครูลอริทเซนกระตุ้นให้ลุดวิกบอกความรู้สึกออกมาขณะที่เขากำลังคิดว่าตนเองเล่นสนุก จากนั้นเธอสอดแทรกให้เขาลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยให้เดาความรู้สึกจากมุมมองของอีกฝ่าย

“ลุดวิก หนูรู้สึกยังไงกับเรื่องที่ซิลวีเล่าจ๊ะ”

“ที่หนูรู้สึกสนุกเพราะหนูตอบตกลงที่จะเล่นกับเพื่อนอย่างชัดเจนแล้วใช่ไหมจ๊ะ”

“หนูรู้สึกยังไง ตอนซิลวีอธิบายวิธีที่เพื่อนๆ จับตัวไว้แล้วเธอพยายามวิ่งหนี”

“เธอไม่แน่ใจว่า ซิลวีเขาอยากเล่นต่อรึเปล่าเหรอ”

“แล้วหลังจากที่ซิลวีเขาบอกว่าเขาเจ็บและไม่สนุกล่ะ เธอคิดว่าซิลวีรู้สึกยังไง”

“จู่ๆ เพื่อนที่กำลังเล่นด้วยกันวิ่งหนีไป พวกหนูคิดว่าเพื่อนคนนั้นรู้สึกยังไง”

3. ถามความต้องการ – ความต้องการเป็นสิ่งที่รอการรับฟังเพื่อตอบสนองมากที่สุด ครูจำเป็นต้องมองทะลุสถานการณ์ทั้งหมดไปยังความต้องการ ความต้องการบางอย่างไม่จำเป็นต้องได้รับการตอบสนอง ขอแค่มีคนรับฟังอย่างเข้าใจ

“ลุดวิก หนูต้องการให้ซิลวีปฏิบัติกับหนูยังไง หนูจึงจะมั่นใจว่าซิลวีไม่อยากเล่นต่อแล้ว”

“ซิลวี ถ้าย้อนกลับไปตอนที่วิ่งหนีเพื่อนๆ มีคำพูดตรงไหนที่หนูอยากเปลี่ยนหรือแสดงออกอย่างอื่นบ้างไหมจ๊ะ”

“มีใครในห้องอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างจ๊ะ”

4. ถามถึงสิ่งที่อยากลงมือทำ – การถามว่าตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป คือการบอกพวกเขาว่าถึงเวลาที่ต้องหาทางออกและแก้ปัญหานี้เสียทีแล้ว

“เราควรพูดคุยกับเพื่อนที่วิ่งไล่หนูตอนนี้เลยดีไหม”

“พวกหนูมีวิธีแสดงออกยังไงให้เพื่อนเข้าใจว่าเราอยากเล่นหรือไม่อยากเล่นด้วย”

“เธอคิดจะทำยังไงหลังจากนี้จ๊ะลุดวิก”

“ใครที่หนูอยากคุยเรื่องนี้ด้วย ซิลวีหรือจ๊ะ มีคนอื่นที่อยากคุยด้วยอีกไหม”

“โมฮัมเหม็ด เธออยากคุยกับลุดวิกและซิลวีรึเปล่า”

“ซิลวี หนูตกลงใจที่จะคุยกับลุดวิกไหม การพูดคุยกันอาจช่วยให้หนูเข้าใจกันมากขึ้นนะ”

การเปิดอกเจรจาของเจ้าตัวเล็ก

ซิลวี: “ฉันไม่สนุก ฉันบอกให้เธอหยุด”

ลุดวิก: “แต่โมฮัมเหม็ด ไม่ได้บอกให้ฉันหยุดนี่”

ซิลวี: “เธอคิดว่าฉันสนุกเหรอ ในเมื่อฉันวิ่งหนีอยู่ตลอด”

ลุดวิก: “ก็เรากำลังเล่นเกมกันอยู่ ฉันจะรู้ได้ยังไง”

ซิลวี: “แต่ฉันไม่ได้เล่นเกมนั่นกับเธอซักหน่อย ฉันถึงตะโกนให้คนช่วยไง ถ้าฉันเล่นด้วยฉันจะไม่พูดซักคำ”

ลุดวิก: “โอเค งั้นครั้งหน้าฉันจะเข้าใจตามนี้ละกัน”

เมื่อนักเรียนเปิดอกพูดคุยกันเรียบร้อย สิ่งที่ครูลอริทเซนทำคือสรุปความรู้สึกของทุกฝ่ายและถามผลลัพธ์ว่าการเจรจาจบลงอย่างไร ไม่มีการตัดสินว่าใครถูกใครผิดในเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายได้พูดในสิ่งที่ตนต้องการและรับฟังสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่ายจนปรุโปร่ง โดยมีครูอีกคนที่รับฟังพวกเขาทั้งสองและแสดงความเข้าใจอย่างสงบนิ่งไม่ตัดสินอีกด้วย เมื่อทั้งสองหันหน้าพูดคุยกันแล้ว ครูลอริทเซนให้พวกเขาอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้เพื่อนในชั้นฟัง

ลุดวิก: “ถ้าเพื่อนวิ่งหนีตอนเรากำลังเล่นด้วยกัน แปลว่าเขาไม่อยากเล่นด้วยฮะ”

โมฮัมเหม็ด: “ผมคิดว่า ซิลวีบอกว่าเธอไม่สนุกด้วยกับเกมที่เราเล่น”

ซิลวี: “หนูต้องบอกเขาออกไปตรงๆ ว่าไม่เล่น”

ในบทความ Got Conflict? Learn to manage it skillfully ดร.ริชาร์ด บาร์บิเอรี (Dr. Richard Barbieri) ปรมาจารย์ด้านการแก้ปัญหาความขัดแย้งแห่งฮาร์วาร์ดชี้ว่า การฟังเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอันทรงอานุภาพที่สุด เพราะมันนำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจ แค่รับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องคำนึงว่าควรพูดอะไรโต้ตอบกลับไป ไม่เอ่ยขัด ไม่ต้องอธิบายสิ่งที่ตัวเองคิด

เมื่อรับฟังอย่างเปิดใจและเข้าไปอยู่ในมุมมองของผู้อื่น เราจะเห็นอคติที่บังตาไม่ให้เราหันไปหาทางออกได้ชัดขึ้น สุดท้ายแล้วสิ่งประเสริฐสุดที่จะตามมาเมื่อเราแก้ไขความขัดแย้งกันได้อย่างสันติ ก็คือความเมตตากรุณาที่จะเจริญงอกงามขึ้นภายในใจของเรานั่นเอง

เพื่อให้นักเรียนทุกคนในชั้นได้เรียนรู้การแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งไปด้วยกัน ขั้นต่อไปครูลอริทเซนนำเหตุการณ์นี้มาขึ้นกระดานให้เด็กๆ ในห้องเรียนช่วยกันคาดเดาความรู้สึกและความต้องการของทั้งซิลวีและลุดวิกที่เกิดขึ้น ‘ระหว่าง’ เหตุการณ์ความขัดแย้งของทั้งคู่ ออกมาได้ดังนี้

ครูลองถามทั้งสองว่าสิ่งที่พวกเขารู้สึกและต้องการตรงกับที่เพื่อนๆ เดาไหม ซิลวีเห็นด้วยทุกข้อ แต่ลุดวิกนั้นบอกว่าเขาไม่ได้โกรธ แต่ขณะเกิดเหตุเขายอมรับว่ารู้สึกหงุดหงิดเมื่อซิลวีตะโกนใส่เขา และเขาขอเพิ่ม ‘การสนับสนุน’ ลงไปในความต้องการบนกระดานด้วยตนเอง

เมื่อเขียนความรู้สึกและความต้องการของทั้งสองฝ่ายไว้ในรูปหัวใจสองดวงแล้ว ครูลอริทเซนทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วให้ทุกคนช่วยเสนอหนทางแก้ไข

“สิ่งที่เกิดขึ้นคือซิลวีถูกวิ่งไล่จับโดยเธอไม่ยินยอมพร้อมใจ มีการตะโกนกันด้วย ลุดวิกต้องการให้คนรับฟังเขาและอยากได้เสรีภาพที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง ซิลวีเองก็อยากได้ความสงบสุขและมิตรภาพ พวกหนูคิดว่า อะไรคือสิ่งที่จะทำให้พวกเขามองเห็นความต้องการของกันและกันได้อย่างนี้”

เด็กๆ ตอบว่า “ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายบอก”

“แล้วพวกเขาทั้งคู่ควรทำอย่างไรเพื่อจะได้รู้สึกดีขึ้น”

“คืนดีกัน”, “เวลาเล่นกัน ก็ฟังว่าเพื่อนชอบไม่ชอบอะไร”, “เล่นกันโดยมีผู้ใหญ่ดูแล”, “คุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นเพื่อนกันใหม่”

ท้ายที่สุด เมื่อการไกล่เกลี่ยดำเนินมาถึงหนทางแก้ไข ครูลอริทเซนสรุปทบทวนทางออกที่เพื่อนๆ ช่วยกันเสนอเหล่านี้ให้เด็กทั้งสองลองใคร่ครวญ พร้อมกับอธิบายให้ลุดวิกฟังว่าขณะที่เราเล่นกับเพื่อนแล้วเพื่อนวิ่งหนีกลางคัน ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเขาอยากเล่นต่อหรือไม่ เราต้องถามและรับฟังความสมัครใจของเพื่อนหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เมื่อเกิดความเข้าใจผิด สำหรับซิลวีเธอเรียนรู้แล้วว่าเธอต้องปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเมื่อไม่เต็มใจ

สามารถชมคลิป Culture of Peace in School with NVC ทั้ง 5 ตอน ที่นี่

ติดเบรกในใจด้วยสติ

จะว่าไปแล้ว กระบวนการ NVC นั้นแฝงหลักธรรมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องสติ คือฝึกจิตใจให้รู้เท่าทันตนเอง เป็นเบรกในใจที่คอยหยุดเราในที่ที่ควรหยุดและการมีเมตตาธรรมกับเพื่อนมนุษย์ คุณครูโมนา แวง (Mona Vang) ครูชั้นมัธยมปลายที่เดียวกันกับครูลอริทเซนซึ่งหันมาใช้ NVC เป็นแนวทางทั้งในการสอนที่โรงเรียนและชีวิตประจำวัน เล่าว่า NVC เปลี่ยนแปลงเธอไปในทางที่ดีขึ้นอย่างใหญ่หลวง หลักการและขั้นตอนการสื่อสารทำให้เธอหยุดทบทวนสิ่งที่อยู่ภายในตนเองก่อนที่จะแสดงอาการปรี๊ดแตกหรือพูดบางอย่างปุบปับออกมาตามสิ่งกระตุ้น

จากที่เคยอารมณ์ร้อนและตัดสินคนว่าโง่ตลอดเวลา NVC สอนให้เธอหยุดพิจารณาว่าแท้จริงแล้วเธอต้องการอะไรจากอีกฝ่าย เมื่อเข้าใจความรู้สึกตนเอง เธอก็พร้อมรับฟังความต้องการของผู้อื่นอย่างเมตตาเช่นกัน

“ฉันรู้สึกเหมือน NVC เป็นของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้ มันทำให้ฉันเข้าถึงสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเองและรับผิดชอบต่อมัน ทั้งในแง่ของความรู้สึกส่วนตัวและการปฏิบัติหน้าที่ของครู ฉันรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปใส่ใจกับความต้องการมากขึ้นและมองเห็นความสำคัญว่าสิ่งที่ต้องการนั้นมันสำคัญมากน้อยแค่ไหน มันทำให้ฉันเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น”

หากจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข คือการบ่มเพาะความรัก ความเข้าใจและเมตตากรุณาให้แก่กัน NVC คือวิธีการสื่อสารที่ช่วยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ ด้วยหลักการที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งมีความต้องการที่ต้องได้รับการตอบสนองด้วยกันทุกคน

เมื่อทุกคนพร้อมรับฟังซึ่งกันและกัน ความเข้าใจในข้อนี้เกิดขึ้นแล้ว ความไว้วางใจ ความร่วมมือ และความปลอดภัยในห้องเรียนก็จะตามมา ที่สุดแล้วโรงเรียนจะเป็นพื้นที่แห่งสันติและมิตรภาพ ไม่เพียงมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีและเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ นักเรียนเหล่านี้นี่เองที่จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมอันผาสุกและปราศจากความรุนแรงต่อไป

อ้างอิง:
สื่อสารอย่างสันติ: คู่มือการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
Got conflict? learn to manage it skillfully by Richard Barbieri
KIRSTENKRISTENSEN.COM: NVC in Schools
YOUTUBE: Nonviolent-Communication-Workshop: Marshall Rosenberg

Tags:

การสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)เทคนิคการสอนจิตวิทยาทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Learning Theory
    เอ๊ะ นี่ครูหรือหมาป่า ด่า *&^#$&+X$% จนลืมสอน

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ antizeptic

ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง
Creative learningCharacter building
18 February 2019

ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

เรื่องและภาพ The Potential

  • การเดินทางของเยาวชนกลุ่มโครงการอนุรักษ์และสืบสานดนตรีพื้นบ้าน บ้านห้วยโป่งสามัคคี อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เริ่มศึกษาดนตรีพื้นบ้านเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เมื่อศึกษาลงลึกแล้วพบว่าเป็นศาสตร์ที่ยากเกินคาดคิด
  • ไปต่อหรือล้มเลิก ทุกการเดินทางเกิดคำถามนี้ ระหว่างทางที่ต้องตัดสินใจต่างหาก คือองค์ความรู้ที่เกิดขณะล้มลุกคลุกคลาน
  • คุณูปการของโครงการ คือการเรียนรู้นอกห้องเรียน กับครูธรรมชาติหรือปราชญ์ชุมชน

ถ้าจะบอกว่าเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ คือลมหายใจของวัยรุ่น ก็คงต้องรวม เกม ROV เข้าไปอีกหนึ่งอย่าง ในฐานะ ‘ทักษะ’ สำคัญของเด็กในศตวรรษที่ 21 ที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่อาจจะต้องปรับความเข้าใจกันหน่อย

เรื่องราวของเยาวชนโครงการอนุรักษ์และสืบสานดนตรีพื้นบ้าน บ้านห้วยโป่งสามัคคี อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนก็มีเส้นเรื่องคล้ายกัน แต่จุดพลิกผันของเรื่องอยู่ที่ ‘เสียงตามสายจากวิทยุชุมชน’

สิ้นเสียงประกาศตามสายจากผู้นำชุมชนที่ดังทั่วหมู่บ้านในครั้งนั้น คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขา บอล-กรีฑาพล วงศ์ษายะ, ลีโอ-ธนภัทร ใจทัน, อายตา-ธีราภรณ์ ตันคำ และ ณัฐ-ณัฐพล ต่อกัน ตัวแทนก้าวออกมาจากโลกของ ROV มาเข้าร่วมกิจกรรมตามนัดหมาย มีเยาวชนกว่า 30 ชีวิตมาร่วมกันคิดและทำโครงการเพื่อชุมชน

และนี่คือจุดเริ่มต้นการรวมตัวกันของพวกเขาภายใต้โครงการอนุรักษ์และสืบสานดนตรีพื้นเมือง

ดนตรืพื้นเมืองเรื่องง่ายๆ ใครก็เล่น….เหรอ

หลังแม่ครูทองดีประกาศว่า โครงการปลุกจิตสำนึกสร้างพลังเสริมศักยภาพเยาวชนเมืองลำพูนกำลังจะเปิดรับสมัคร แม่ครูทองดีถามเอากับเด็กกลุ่มนี้ว่า อยากเริ่มทำอะไรกับชุมชนดี?

หลังช่วยกันระดมความคิด เด็กๆ จึงได้ข้อสรุปออกมา 3 เรื่องคือ ป่า จักสาน และดนตรีพื้นเมือง ข้อสรุปมาลงเอยที่ข้อสุดท้าย ลีโออธิบายเหตุผลว่าเพราะต้องการ ‘อนุรักษ์ดนตรีพื้นเมือง’ ให้อยู่คู่กับชุมชนบ้านห้วยโป่งสามัคคี และเพราะแกนนำส่วนใหญ่มีพื้นฐานการเล่นดนตรีไทยประกอบกับรู้จักครูผู้รู้ ไม่น่าจะยากถ้าคิดจะทำเกี่ยวกับเรื่องดนตรีพื้นเมือง เพื่อนำไปสอนน้องๆ ในชุมชนต่อได้

“ครูที่โรงเรียนท่านหนึ่งซึ่งเคยสอนดนตรีพื้นเมืองเกษียณออกไปแล้ว จึงไม่มีคนสานต่อเรื่องนี้ เราเลยอยากฝึกดนตรีพื้นเมืองให้ชำนาญขึ้นจะได้สอนน้องๆ ในชุมชนต่อได้ รวมทั้งพวกเราเองก็เล่นดนตรีพื้นเมืองกันอยู่แล้ว แค่มาพัฒนาทักษะเพิ่มสักหน่อยก็ไปสอนน้องๆ ได้” ลีโอธิบาย

หลังได้กำลังคนและเรื่องที่จะทำแล้ว ทั้งหมดเริ่มจึงเริ่มตีป้อม! ออกตามเก็บข้อมูลผู้รู้ด้านดนตรีพื้นเมืองที่มีอยู่ในชุมชน

“ก่อนลงพื้นที่ พวกเราประชุมชี้แจงกับผู้นำก่อนแล้วจึงทำแผนที่ชุมชนสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการลงพื้นที่ เสร็จแล้วก็ลงไปสัมภาษณ์ผู้รู้เก็บรวบรวมข้อมูลว่าแต่ละหมู่บ้านมีใครเล่นดนตรีชนิดไหนบ้าง” บอลเล่าขั้นตอนการทำงานในช่วงที่ผ่านมา

เล่นดนตรีพื้นเมืองอะไร ทำไมถึงชอบดนตรีพื้นเมือง เล่นมาแล้วกี่ปี ใครสอนเล่น มีการสืบทอดการเล่นให้ใครบ้าง? เหล่านี้เป็นคำถามที่พวกเขาออกแบบสำหรับสอบถามผู้รู้ครูดนตรี พวกเขาเวียนกันเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้อยู่ร่วมอาทิตย์จึงสืบค้นข้อมูลครบทุกบ้าน ผลลัพธ์คือได้รู้จักกับผู้รู้เรื่องดนตรีพื้นบ้านในชุมชนราว 11 คน ช่วยกันถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่อง ซึง สะล้อ ขลุ่ย ฉิ่ง ฉาบ กลอง กรับไม้

เมื่อสิ่งที่หวัง ไม่ได้มาง่ายอย่างที่คิด!

‘บ้านพ่อตา’ คือจุดนัดพบระหว่างนักเรียนวัยโจ๋ อย่างณัฐ ลีโอ บอล อายตา และก๊วนเพื่อนกับครูสอนดนตรีพื้นเมือง เพื่อเข้ามาขอเรียนรู้กับพ่อตาครูสอนซึง

“วันที่เราไปจะมีพ่อครูแต่ละชนิดเข้ามาสอนเรา เราเรียนอยู่หลายวันเหมือนกัน พ่อครูก็จะสลับกันไปมาแล้วแต่ว่าใครว่างมาสอน แต่เราจะยึดสถานที่เรียนที่บ้านพ่อตาเป็นหลัก เลือกกันว่าเราอยากเรียนเครื่องดนตรีอะไรแล้วครูจะเล่นให้เราดู” บอลอธิบายภาพบรรยากาศให้ฟัง

“โคตรยากเลย ไม่เหมือนที่ครูในโรงเรียนสอนตอนเด็กๆ ซึ่งมันง่ายกว่านี้ อันนี้โคตรยากเลยฮะ สมมุติว่าเล่นเพลงเดียวกัน วิธีเล่นจะไม่เหมือนกัน ถ้าการเล่นที่โรงเรียนจะให้เสียงนิ่งๆ ธรรมดาๆ แต่วิธีการของพ่อครูจะเพิ่มเทคนิคเข้าไปด้วย ความพลิ้วของทำนองเหมือนการเล่นลูกคอ สนุกก็จริงแต่ว่ายากเหมือนกัน” โอเล่บ่นอุบเมื่อถามถึงผลของการลงไปเรียนกับครูในวันนั้น

บอลเล่าต่อว่า “ผมเคยลองแกะทำนองเพื่อเล่นเองแต่แกะไม่ได้ และตอนแรกคิดว่าต้องเล่นแบบดูโน้ต แต่พ่อครูจะสอนแบบไม่มีโน้ต พ่อครูเล่นให้เราดูว่าเล่นยังไงแล้วให้เราเล่นตามไปเลย อาศัยดูและจำเอาว่านิ้วกดตรงไหน ช่วงแรกๆ เล่นไม่เป็น เล่นไปมั่วๆ สัก 2-3 วันถึงจะเริ่มได้”

พ่อครูจะประจำเครื่องดนตรีแต่ละชนิดและนั่งอยู่กลางวง จากนั้นเริ่มบรรเลงดนตรีให้กับทีมงานดู ทีมงานมีหน้าที่ดูตามพ่อครูแต่ละชนิด เล่นไปหยุดไปเพื่อบอกตัวโน้ตให้กับทีมงาน แล้วเริ่มบรรเลงพร้อมกันอีกที ทำแบบนี้เรื่อยๆ จนทีมงานเล่นตามได้

ทุกอย่างดูผิดแผนไปจากที่วางไว้ในตอนแรกที่คิดว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะมีพื้นฐานการเล่นดนตรีกันมาก่อน แต่เมื่อมาเรียนกับครูดนตรีพื้นเมืองจริงๆ ทีมงานถึงขั้นอึ้งกันยกทีม แต่อาศัยทักษะที่ตัวเองพอมีติดตัว ประกอบกับความเป็นคนช่างสังเกตค่อยๆ ดูนิ้วที่กดเครื่องเล่นแต่ละสาย จับเสียง จับสำเนียงการเล่น ค่อยๆ ฝึกฝนไปจนพอได้ในระดับหนึ่ง

เหนื่อย ท้อ หัวร้อน เรื่องซับซ้อนของวัยรุ่น

ความท้อใจบังเกิดเมื่อพบว่าการเล่นดนตรีพื้นเมืองนั้นซับซ้อนและยากกว่าที่คิด ยิ่งเล่นไม่ได้ยิ่งหัวร้อน จากที่เคยมีสมาชิกราว 15 คนในตอนแรก นานวันเข้าก็เริ่มทยอยหายไป ทุกอย่างดูไกลจากภาพฝันในตอนแรก พวกเขายอมรับว่าเคยคิดที่จะหยุดทำโครงการ

“ช่วงหนึ่งเรามาประชุมกันว่าจะทำต่อหรือว่าจะยกเลิกดี เพราะมีปัญหาหลายอย่างเข้ามา ทั้งการที่เพื่อนๆ ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ นัดแล้วไม่มา แถมช่วงนั้นบอลประสบอุบัติเหตุจากการเล่นฟุตบอลจนต้องหยุดพักไปเกือบ 2 เดือน แต่สุดท้ายเราก็กลับมาทำต่อ เพราะเราทำกันมาเกือบครึ่งทางแล้ว” ลีโอและอายตาพรั่งพรูปัญหาที่พวกเขาเจอในตอนนั้นให้ฟัง

ออม-สุจิตรา ไชยคำ เล่าเสริมต่อว่า “วันนั้นลุงหนานป๋อง-ประพันธ์ สังข์ป้อม ถามว่าจะไปต่อไหม ลุงหนานป๋องบอกว่า ‘ถ้าเป็นลุง ลุงจะไปต่อ เพราะทำมาแล้วก็ทำไปให้สุด’ พอได้ยินแบบนั้นเราเลยก็ไล่ถามเพื่อนทีละคนว่าใครอยากไปต่อบ้าง เสียงส่วนใหญ่บอกไปต่อก็เลยทำมาจนถึงตอนนี้”

นอกจากเพื่อนในทีมจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาคือเรื่องของการเล่นดนตรีพื้นเมืองที่ไม่มีตัวโน้ต ต้องอาศัยความจำและใจรักเท่านั้นถึงจะช่วยได้

“เวลาเราเล่น แล้วเราตามครูไม่ทัน เล่นไม่ได้ ตอนนั้นหัวร้อนมาก โมโหตัวเองว่าทำไมเล่นไม่ได้สักที เวลาโมโหมากๆ ก็จะเลิกเล่นเลย ไปหาอย่างอื่นทำก่อนให้เย็นลงแล้วค่อยมาเล่นใหม่ ถ้าอันไหนเล่นไม่ได้จริงๆ ก็จะไม่เล่น อาศัยว่า จังหวะไหนที่เราเล่นได้ค่อยเข้าไปเล่น” โอเล่หนุ่มหัวร้อนบอกเล่าช่วงจังหวะที่ตัวเองพยายามจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ณ ตอนนั้น

ขณะที่บอลกลับบอกว่า เขารู้สึกสนุกและชอบที่ได้มาเล่นกับผู้รู้ แต่ก็แอบไม่ชอบตรงที่มันจำยาก แต่ถ้าเล่นแล้วลองกลับมาแกะเป็นโน้ตของตัวเองได้ก็น่าจะสนุกกว่านี้เพราะจำโน้ตได้แล้ว

จากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะเรียนและเล่นดนตรีให้คล่อง เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับน้องในชุมชนที่สนใจต้องหยุดชะงักลง เหลือเพียงตั้งใจฝึกฝนตัวเองให้ชำนาญกับท่วงทำนองของดนตรีพื้นเมืองแล้วจึงค่อยวางแผนกันต่อในอนาคต

เรียนเล่นเรียนรู้

ถึงวันนี้ ภาพฝันกับความเป็นจริงจะดูอีกยาวไกล แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาได้คือความผูกพันระหว่างทีมและครูผู้รู้ แม้ว่าภาพของพี่สอนน้องเล่นดนตรีพื้นเมืองจะยังไม่เกิดขึ้น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ ภาพของเยาวชนกลุ่มหนึ่งในชุมชนที่มานั่งล้อมวงกับผู้สูงอายุในชุมชน บรรเลงดนตรีพื้นเมืองด้วยความรอยยิ้มและความหวัง

นี่คือภาพที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ อย่างที่ลีโอบอกกับเราสั้นๆ ง่ายๆ ว่า

 “ม่วน ม่วนตรงที่เล่นแล้วมีความรู้สึก เวลาเศร้าเราจะอินไปกับดนตรี นอกจากความรู้สึกขณะเล่น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้รู้ก็พัฒนาขึ้น จากที่บางคนไม่เคยรู้จัก บางคนรู้จักแต่ก็ไม่เคยทักทายกัน เดี๋ยวนี้เวลาขับรถสวนกันก็พูดจาทักทาย รู้สึกดีมากเลยครับ”

ส่วนบอลยังแน่วแน่กับการแกะโน้ตดนตรีพื้นเมืองเพราะมีเป้าหมายในใจว่า สักวันเขาจะต้องแกะโน้ตเหล่านี้ให้ได้

“คิดว่าจะลองแกะโน้ตที่พ่อครูเขาสอนมาดูก่อนครับ แต่ถ้ายากกว่านี้ก็ไม่เอาแล้ว ผมตั้งเป้าไว้ว่าอย่างน้อยก็ขอให้ตัวเองเล่นได้เก่งขึ้น เล่นแบบพ่อครูได้ แค่นั้นก็พอใจแล้ว ส่วนการสอนน้องได้ก็ถือว่าเป็นกำไร”

ด้านณัฐแม้จะไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่ แต่เมื่อถามถึงความรู้สึกของการได้เข้ามาเล่นดนตรีพื้นเมือง ณัฐก็สะท้อนว่า ดนตรีที่ตัวเองชอบมากที่สุดคือกลองสองหน้า

“แต่ก่อนผมเล่นซึง แต่ไม่มีใครตีกลองก็เลยต้องไปเล่น พอไปเล่น เรารู้สึกว่าการตีกลองทำให้เรานิ่ง จดจ่ออยู่กับการกำกับจังหวะ เลยรู้สึกชอบเครื่องดนตรีชนิดนี้”

แม้จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนเริ่มโครงการ แต่การเรียนรู้ระหว่างทางที่พวกเขาได้เรียนรู้นั้นสำคัญยิ่งกว่า ความผูกพันของคนสองวัย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของผู้สูงอายุที่เกิดจากกลุ่มเยาวชนนี้คือเครื่องการันตีว่า ชุมชนแห่งนี้ยังมีความหวัง อย่างน้อยๆ จากเดิมเสาร์อาทิตย์ที่พวกเขาเคยนั่งอยู่แต่ในบ้าน จ้องแต่จะตีป้อม ก็เปลี่ยนมาเป็นตีกลอง ซ้อมดนตรีพื้นเมืองแทน

Tags:

ดนตรีศิลปะการแสดงactive citizenproject based learningเกม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Character buildingCreative learning
    นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

ฮอมสุข สตูดิโอ: แค่เห็นปลาว่ายอยู่ในคลองแม่ข่าสักตัว เราก็ดีใจแล้ว
Voice of New Gen
15 February 2019

ฮอมสุข สตูดิโอ: แค่เห็นปลาว่ายอยู่ในคลองแม่ข่าสักตัว เราก็ดีใจแล้ว

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ‘พื้นที่ชุมชนคลองแม่ข่า’ อีกหนึ่งพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่มีปัญหาเชิงภูมิทัศน์เมืองและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนมายาวนานเกือบ 20 ปี แปรสภาพเป็นแหล่งรับน้ำเสียชั้นดีของเชียงใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
  • Imagine Maekha โปรเจ็คต์ใหญ่ที่รวบรวมหน่วยงานจากรัฐ เอกชน และภาคประชาชน รวบรวมข้อมูล แรงงาน และสร้างสรรค์ เพื่อคน น้ำในคลองแม่ข่า และ ในใจของคนใน-นอกชุมชนให้ใสขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
  • รับหน้าที่สถาปนิกชุมชนและ ‘กระบวนกร’ โดย ฮอมสุข สตูดิโอ ไม่ได้ใช้แค่ความรู้เชิงสถาปัตย์ แต่จับองค์ความรู้ของหลายองค์กรแล้วออกแบบกระบวนการเพื่อให้แต่ละหน่วยงานใช้สิ่งที่ตัวเองมี แก้ปัญหาคลองแม่ข่าร่วมกัน

เราเกือบจะคุ้นชินเสียแล้วกับปัญหาคลองน้ำเน่าเสีย สภาพแวดล้อมโดยรอบ และผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ได้มาตรฐานทั้งๆ ที่บริบทแวดล้อมของชุมชนนั้นมีศักยภาพที่จะพัฒนาทั้งในเชิงกายภาพ, เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม หรือเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สามารถเป็นต้นแบบให้กับหลายๆ พื้นที่ได้

หลายชุมชนมีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าไปช่วยวิเคราะห์และลงมือแก้ปมที่ยุ่งเหยิง แต่ผ่านไปหลายสิบปี สภาพน้ำในคลองหรือสภาพจิตใจของคนที่อยู่อาศัยภายในก็ยังไม่ใสขึ้น

ยากที่จะแจกแจงอย่างชัดเจนว่าสาเหตุที่ปัญหาเหล่านี้ยังเรื้อรังคืออะไร หรือสาวไปถึงต้นตอว่าใครเป็นคนทำให้คลองมีทัศนียภาพเสื่อมโทรม ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านถูกทิ้งร้าง หรือความสวยงามทั้งทางกายภาพและภายในได้ถูกลบเลือนไปจากสายตาของคนที่อยู่อาศัยในเมืองนั้น

คำถามสำคัญคือใครบ้างที่ยังนั่งทำงานและลงพื้นที่อย่างแข็งขันเพื่อดำเนินการแก้ไขด้วยวิธีการของตัวเองไม่ว่าคลื่นความซับซ้อนของปัญหาจะถาโถมมากกว่าในอดีต หรือภาครัฐจะเข้ามาช่วยมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

‘พื้นที่ชุมชนคลองแม่ข่า’ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีปัญหาเชิงภูมิทัศน์เมืองและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนมายาวนานเกือบ 20 ปี แปรสภาพเป็นแหล่งรับน้ำเสียชั้นดีของเชียงใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นอีกหนึ่งพื้นที่เชิงทดลองที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาจัดการปัญหาแต่ไม่ได้เกิดการเชื่อมโยงที่เหนียวแน่นมากพอ จึงไม่เกิดการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาพื้นที่เชิงรูปธรรม

โครงการ Imagine Maekha จึงเป็นอีกหนึ่งโปรเจ็คต์ใหญ่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อรวบรวมหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนเพื่อรวบรวมข้อมูลและแรงงาน สร้างสรรค์เพื่อ ‘คน’ น้ำในคลองแม่ข่า และ ในใจของคนใน-นอกชุมชนให้ใสขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และการจะดำเนินการแบบนั้นได้คือการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและมั่นคง

ฮอมสุข สตูดิโอ คือสตูดิโอสถาปนิกที่เป็นหนึ่งในแขนขาของโครงการนี้ ศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน คือ โอบ-โอบเอื้อ กันธิยะ, กิต-กฤษฎิ์ธาดา อินทยศ, รติ จิรานุกรม, บุ๊ค-คัมภีร์ คงเกิด และ ตูมตาม-ทศวีร์ โพคา เป็นอีกหนึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่โอบรับแรงบันดาลใจในการพัฒนาชุมชนด้วยการใช้องค์ความรู้เชิงสถาปัตย์สมัยเรียนมาปรับใช้

จนถึงเวลานี้ แม้พวกเขาจะเป็นน้องใหม่ที่เข้ามาช่วยจัดการปัญหาเมืองที่ตัวเองอยู่ให้สวยงามมากขึ้นด้วยแรงใจและแรงงานของตัวเอง เริ่มจากการปฏิเสธคำที่คนทั่วไปเรียกๆ กันว่า ‘โครงการปฏิวัติแม่ข่า’ ที่พวกเขาคิดว่าแม่ข่าไม่ใช่ปัญหา นี่มันไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการมาร่วมจินตนาการคลองแม่ข่าในอนาคตไปด้วยกันต่างหาก

แม่ข่าในจินตนาไกล

ทางสตูดิโอรับงานโครงการปฏิวัติแม่ข่ามาได้อย่างไร

โอบ: จริงๆ ไม่อยากใช้คำว่าปฏิวัติ เราอยากใช้ตามชื่อโครงการ คือ Imagine Maekha เพราะมันไม่ใช่การปฏิวัติ imagine คือการชวนกันมามองภาพอนาคตแม่ข่าไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็มองแม่ข่าในมุมมองของเขา และสร้างอนาคตร่วมกันได้

ฐานจริงๆ ของโครงการเริ่มจากโครงการพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เป็นโครงการหลักของเขาที่จะพัฒนาคลองแม่ข่า ซึ่งจะดูเรื่องที่อยู่อาศัยเป็นหลัก จากนั้นจึงมี พี่ตี๋-ศุภวุฒิ บุญมหาธนากร แห่งใจบ้านสตูดิโอ ซึ่งเขาทำงานเรื่องแม่ข่ากับ พอช. อยู่แล้ว ชักชวนพวกเรามาทำด้วยเมื่อกลางปีที่แล้ว เป็นโอกาสและจังหวะดีที่มีการร่วมมือจากหลายองค์กร พวกเราก็เลยรวมกลุ่มกันทั้งชาวสถาบันวิจัยสังคม, พอช., ใจบ้าน สตูดิโอ, พวกเราฮอมสุข และทางจังหวัดร่วมกันตั้งเป็นแคมเปญใหญ่ชื่อ Imagine Maekha ที่ชวนทุกคนมาจินตนาการไปด้วยกัน

ในฐานะสถาปนิก เข้าไปช่วยด้านอะไรบ้าง

โอบ: พอลงชุมชนแล้วจะเห็นปัญหาเยอะกว่าปัญหาทางด้านสถาปัตย์ หรือปัญหาที่ใหญ่มากกว่าที่ศาสตร์การออกแบบเพียงอย่างเดียวจะช่วยเหลือหรือทำให้มันดีขึ้นได้ ซึ่งเราก็มีทีมอีกหลายๆ ทีม ประเด็นมันซ้อนทับกันอยู่ สิ่งที่เราทำหลักๆ ก็คือเราพยายามสร้าง scenario หรือที่เขาเรียกกันว่าจินตภาพของแม่ข่า เพื่อให้ทุกคนได้มองเห็นตรงนั้น เติมไอเดียเข้าไปด้วยกัน เหมือนเราเป็นคนช่วยจูงความคิด เป็นคนนำร่วมกันกับคนอื่นมากกว่า

แต่ถ้าในแง่ของสถาปนิกที่เราทำอยู่ก็คือการออกแบบเบื้องต้น ซึ่งคือการสะสมไอเดียจากหลายภาคส่วนทั้งภาคสังคม สิ่งแวดล้อม โบราณสถาน ตัวชุมชนด้วย จากนั้นจึงนำมาสร้างเป็นจินตภาพร่วมกัน เราสนใจที่จะทำงานด้านสังคมอยู่แล้ว เราเรียนสถาปัตย์ฯ มา บางทีการเรียนการสอนเรื่องการออกแบบอาคารมันดูเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป ก็เลยถามตัวเองว่าแล้วบทบาทสถาปนิกจะอยู่ในสังคมแบบไหนได้อีก

อยากให้ช่วยเปรียบเทียบว่าสภาพแม่ข่าในตอนแรกเป็นอย่างไร แล้วมันสามารถพัฒนาให้ไปได้ไกลมากแค่ไหน

โอบ: ตามสภาพตอนนี้คือเป็นคลองที่น้ำเน่าเสีย แต่มันจะเน่าเสียในช่วงเขตเมืองจนปล่อยลงแม่น้ำปิง ริมคลองแม่ข่าก็จะเป็นที่อยู่อาศัยเหมือนกับเป็นที่ดินที่ชิดริมคลองเลย ดังนั้นก็จะไม่มีพื้นที่อื่นๆ ให้เราได้เห็น ส่งผลให้ไม่มีการดูแลคลอง แต่สิ่งที่เราอยากให้มันเป็นคือเราจะมองทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อม อยากให้แม่ข่าเป็นสะพานนิเวศน์ สะพานเศรษฐกิจ เป็นที่อยู่อาศัยของคน เป็นพื้นที่สาธารณะ ถ้าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น ระบบการจัดการน้ำดีขึ้น คลองก็จะใสเพิ่มมากขึ้น

เท่ากับว่า หนึ่งในหัวใจหลักคือทำให้คลองน้ำใสก่อน?

กิต: ถ้าในเป้าที่ทีมวางไว้กับเรื่องแม่ข่าคือไม่ใช่การตามปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ทำให้น้ำใสก่อนแล้วค่อยทำอย่างอื่น แต่เรายิงเป้าหมายไปไกลกว่านั้น

ถ้าแม่ข่าถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ปรับสภาพแวดล้อม เปิดพื้นที่คลองให้เชื่อมเมืองมากขึ้น ปัญหาที่อยู่ตามรายทางมันจะถูกแก้ไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรามุ่งไปทำภาพอนาคตเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจปัจจุบัน

โอบ: ด้านน้ำ ตอนนี้ก็มีการพัฒนา มีการพยายามขุดลอก พยายามผันน้ำเข้ามาเรื่อยๆ แต่เราก็ไปทุ่มกับการทำให้น้ำใสอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมถ้าเราไม่ดูเรื่องอื่นควบคู่ไปด้วย

เราไม่ได้มองแม่ข่าเป็นปัญหา แต่มองเป็นโอกาสในการพัฒนา เราจึงพยายามเข้าไปหาคนที่มีความรู้ในด้านสิ่งแวดล้อม, เศรษฐกิจ หรือชุมชน เช่น ด้านโบราณสถานเรามีกรมศิลปากร ด้านสังคมมีสถาบันวิจัยสังคมของ มช. ด้านชุมชนเราก็เข้าไปตั้งกองทุนในชุมชน แล้วเอาข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลดูโอกาสที่มันจะเกิดขึ้น

ถ้าในด้านสถาปัตย์คือเราจะเติมข้อมูลเหล่านั้นลงไปในผังเพื่อให้เห็นภาพว่าพื้นที่ตรงนั้นตรงนี้ จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง

บุ๊ค: ในอนาคตเมืองเชียงใหม่จะเปลี่ยนไปเพราะคลองแม่ข่าเปลี่ยนไป เรื่องทางสัญจร วันหนึ่งตลอดเส้นทางของแม่ข่าจะกลับมาใส จะมีพื้นที่ชายน้ำที่อุดมสมบูรณ์ คนเชียงใหม่จะได้มองเห็นว่าคลองแม่ข่ากลายเป็นสวนสาธารณะหลักของเมือง เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่คนก็อยากมาอยู่เพราะว่ามันมีการลงทุนเกิดขึ้น

แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการสัญจรอย่างเป็นจริงเป็นจัง?

โอบ: ยังครับ ตอนนี้เราแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ก้อนใหญ่ๆ หนึ่งคือภาครัฐ เจ้าของที่ดิน เจ้าของอำนาจ สองคือประชาชนคนที่อยู่อาศัยในคลอง กับสามคือภาคประชาสังคมและคนทั่วไป เพราะฉะนั้นก็จะมีการทำงานที่แตกต่างกันออกไปในรูปแบบที่ต้องก้าวออกไปพร้อมๆ กัน

จากการที่พยายามก้าวไปพร้อมๆ กัน การพัฒนาในเชิงรูปธรรมเริ่มมีมาให้เห็นบ้างหรือยัง

กิต: ที่เห็นได้ชัดคือเป็นกองทุนแม่ข่าที่คนในชุมชนและเครือข่ายต่างๆ จัดตั้งขึ้นมา แต่สิ่งที่เริ่มเห็นเป็นกายภาพชัดๆ คือ กิจกรรมล่องคลอง เช่น วันเด็กก็ชวนเด็กมาลงคลองเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าจริงๆ แล้วแม่ข่าที่คนเชียงใหม่หรือคนต่างจังหวัดมองแม่ข่าว่าเป็นคลอง เป็นชุมชนแออัดหรือเป็นสลัม จริงๆ แล้วมีมิติอื่นๆ มากกว่านั้น

โอบ: ซึ่งตอนนี้กำลังจะมี workshop และเลือกพื้นที่ Pilot Project ในการพัฒนา

กิต: แต่จากเกณฑ์มาตรฐานนะครับ พื้นที่ที่เราวางไว้ต้องเป็นพื้นที่ที่มีความร่วมมือจากชุมชน เห็นคลองธรรมชาติ และบางครั้งเราต้องสร้าง quick wind คือโซนพื้นที่ Pilot สร้างจินตภาพ ให้เห็นผลเชิงประจักษ์จริงๆ ว่าแม่ข่าสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างไร และในเชิงกายภาพตอนนี้กำลังมีตรงชุมชนกำแพงงามที่จะดีไซน์ landscape ทางเดินริมคลองกับศาลาริมน้ำเป็นท่าเรือสำหรับเวลามีเรือมาล่องแล้วก็จอดพัก ตัวศาลาก็มีการทำงานบูรณาการกับภาคการศึกษาด้วย คือ คณะสถาปัตย์ มช. ที่จะพาเด็กๆ มาร่วมกระบวนการชุมชน ทำงานออกแบบ และไปสร้างจริงที่พื้นที่ชุมชนตรงนั้นเลย

ออกแบบพื้นที่จากบริบทไม่ใช่ Google Earth

คนในชุมชนตอบรับกับอาคารหรือว่าสิ่งที่เราอยากเข้าไปพัฒนาอย่างไรบ้าง

กิต: จริงๆ หลายภาคส่วนแก้ปัญหาคลองแม่ข่ากันมานานเป็น 20-30 ปีแล้วครับ ซึ่งก็มีหลายโครงการพัฒนาเข้ามาในชุมชน จากที่มีปัญหาการจัดการแบบต่างคนต่างทำ ไม่มีการร้อยเรียงโครงการ หรือว่าทำงานต่อ ก็เลยอาจจะทำให้ชาวบ้านหรือความร่วมมือจากคนในชุมชนค่อนข้างแผ่วลง เหมือนเขาหมดพลังเพราะว่ามันก็ยังไม่ดีขึ้นสักที จริงๆ เราก็มีชาวบ้านที่เป็นแกนนำชุมชนหรือแม้แต่อาสาสมัครที่เป็นเด็กที่เขาให้ความร่วมมือในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ เป็นอย่างดี

ลึกๆ แล้วชาวบ้านรู้สึกหรือเปล่าว่าเขาเองก็อยู่แบบนี้ของเขาได้ ไม่ต้องมีใครมาพัฒนาพื้นที่ เป้าหมายของเราและเป้าหมายของชาวบ้านตรงกันหรือไม่

โอบ: โดยธรรมชาติของชาวบ้าน เขาก็จะคิดว่าอยู่กันแค่นี้แหละ เขาก็ไม่ได้มีแรงมีพลัง หรือทรัพยากรอะไรที่จะมาร่วมพัฒนา แต่ถ้าเกิดเราลงไปแล้วบอกเขาว่า มันพัฒนาแบบนี้ได้ อะไรๆ จะดีขึ้น แรกๆ เขาก็จะมีท่าทีหรือบอกปัดว่าไม่เป็นไร อยู่แบบนี้ได้ แต่พอเราใส่พลังของเราเข้าไปเขาก็เริ่มเห็นภาพ เราถึงต้องการ Pilot Project ที่ทำให้… ไม่ใช่แค่ชาวบ้าน แต่คนเชียงใหม่ทั้งหมดได้เห็นว่าการพัฒนามันเกิดได้จริง แล้วหลังจากนั้นผมก็เชื่อว่ามันจะมีพลังอีกมากมายที่จะมาช่วยให้เกิดความสำเร็จ

มองการบาลานซ์พื้นที่เศรษฐกิจเชิงท่องเที่ยวและพื้นที่ส่วนตัวของชาวบ้านอย่างไร ในฐานะนักออกแบบเราส่งเสริมและช่วยประเด็นนี้ด้วยไหม

กิต: เรามีหลักการมองชุมชนด้านกายภาพ เช่นว่า นี่คือพื้นที่ส่วนตัว นี่คือ semi public เช่น ชานหน้าบ้านที่เชื่อมกับถนนสาธารณะข้างๆ หรือนี่เรียกว่าพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเราก็ใช้ความรู้ตรงนั้นมาวางผังจัดโซนใหม่โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขหลายๆ อย่าง เช่น ริมคลองจริงๆ มันควรจะเซ็ตถอยออกมา 1-10 เมตร หรือ 2-3 เมตร แล้วแต่ตามสภาพพื้นที่ แถมเราได้ใช้ความรู้ของเราในการดูบริบทของแต่ละพื้นที่ว่าแต่เดิมชาวบ้านเขาอยู่กันยังไง แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นคนมาจากไหน เขาอยู่มาตั้งแต่การก่อตั้งชุมชนเลยหรือเปล่า หรือเขาเป็นแค่แรงงานมาเช่าพักอยู่ในพื้นที่

สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นว่าบริบทของกายภาพที่เราจะเปลี่ยน เราจัดรูปแบบของอาคารได้ การวางโซน land use ต่างๆ ในพื้นที่ชุมชนไปในรูปแบบไหนได้บ้างที่มันจะสอดคล้องกับบริบทของเขา เขาก็ยังอยู่อาศัยในพื้นที่ของเขาได้ แต่ก็มีเส้นของพื้นที่สาธารณะเสียบเข้ามาในพื้นที่ด้วย

ข้อดีข้อเสียของการพัฒนาพื้นที่แบบผสมผสานระหว่างพื้นที่สาธารณะ และ แหล่งที่อยู่อาศัยคืออะไร

กิต: ข้อเสียคือมันมีความซับซ้อนในการจัดการและพัฒนาเพราะมีเงื่อนไขเยอะมากๆ ถ้าเราไม่คิดให้ดีหรือว่าเราใจร้อน มันจะทำให้ทิศทางการพัฒนาเป๋ไปเลย

โอบ: แต่ในทางกลับกันข้อดีก็คือ ถ้าเราจัดการมันได้ มันจะเกิดมันพื้นที่ที่มีมิติทั้งชีวิต ทางความสัมพันธ์ สิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีมาก

บุ๊ค: ถ้าเราออกแบบตามผู้ใช้จริง เราจะมองศักยภาพของคนที่อยู่กับมัน ถ้าคนที่สร้างหรือคนที่ดูแลได้มาใช้เอง ยังไงมันก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ใช่ทำรูปปั้น ออกแบบวางต้นไม้ตามธรรมเนียมนิยมแบบไม่ได้ฟังเสียงคนใช้งาน แต่โปรเจ็คต์นี้เราฟังทุกฝ่ายมากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเรา top-down ลงไปแต่เป็น bottom-up

กิต: ครับ เราเลือกมองจากบริบท ไม่ใช่ Google Earth

พื้นที่สาธารณะเสื่อมโทรม หน้าที่ของใคร

คิดว่าคลองที่เป็นพื้นที่สาธารณะควรให้รัฐจัดการหรือเปล่า ทำไมประชาชนถึงต้องเข้าไปช่วยพัฒนามากขนาดนี้

โอบ: เราไม่ควรผลักภาระให้รัฐทำอยู่ฝ่ายเดียวเพราะเขามีพลังไม่มากพอจะทำทุกพื้นที่ให้มันดีได้หรอก เราเองซึ่งเป็นผู้ที่อยู่อาศัยและอยู่กินที่นี่ ถ้าเรามองย้อนกลับไป ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนของเชียงใหม่ เรามีบทบาทที่ทำให้คลองแม่ข่าเป็นแบบนั้น (เน่าเสีย) อยู่

เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องลุกมาทำอะไรเพื่อสังคมสักอย่าง ในฐานะที่เรามีอะไรที่ต่างจากรัฐ มีพลังเชื่อมโยง มีวิธีคิดและระบบการจัดการที่หลากหลายและอยู่นอกเหนืออำนาจรัฐ เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ แต่ถ้าสองอย่างนี้ไปด้วยกันได้ก็จะทำให้เมืองเราดี

บุ๊ค: ผมว่าการเปลี่ยนแปลงเมืองจะเริ่มจากหน่วยย่อยเล็กๆ เริ่มจากบ้านของใครของมัน จากบ้านก็มาเป็นชุมชน มันก็ใหญ่ขึ้นมาเรื่อย กลายเป็นเมือง จังหวัด

มีปัญหาอุปสรรคอะไรจากการทำงานกับภาครัฐ หรือส่วนที่ช่วยส่งเสริมกันอย่างไรบ้าง

โอบ: ต้องพูดว่าภาครัฐเองเขาก็มีกฎระเบียบและวิธีคิดของเขา ซึ่งบางทีมันไม่ได้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ แล้วมันกลายเป็นว่าเราใช้ความคิดชุดเดียวกันแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้

ปัญหาที่เรามักเจอกับภาครัฐคือโครงสร้างภาครัฐไม่เอื้อ เขามีข้อมูลและทรัพยากรที่จะแก้ปัญหา แต่บางทีนโยบายที่ออกแบบมาไม่ตรงจุด ข้อดีของเราคือ เรามีอิสระในการทำงาน เราจับข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่าย เช่น รัฐมีข้อดีตรงมีอำนาจ มีงบประมาณและมีทรัพยากร ใช้ความรู้ความคิดของเราไปจับตรงนั้นของเขาให้มาช่วยส่วนของเราได้ไหม มีเหตุการณ์ไหนที่จะช่วยแก้ปัญหาในแบบของเราได้

แล้วถ้ามีสิ่งที่เราต้องทำแน่นอน แต่ในกฎเกณฑ์หรือการขออนุญาตภาครัฐ ทำไม่ได้ล่ะ?

โอบ: มีบ้างครับ เช่น เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพราะส่วนใหญ่กรรมสิทธิ์ที่ดินของแม่ข่าจะเป็นของกรมธนารักษ์หรือเทศบาล พอเราขอข้อมูล เขาก็จะตอบสนองทำนองว่าอยากได้ตรงไหนก็บอก ซึ่งเขาไม่ยอมให้ทั้งหมด ต้องแจ้งด้วยว่าจะเอาไปทำอะไรเพื่ออะไร แต่บางทีเราเองก็ยังไม่รู้ว่าเราจะต้องเอาไปทำอะไร แต่เราต้องมีข้อมูลไว้ก่อน

กิต: เพราะเราเองก็ต้องการข้อมูลชัดเจนว่าพื้นที่ตรงนี้ของใคร กรรมสิทธิ์ของเขตฯ เท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้นำมาวิเคราะห์จัดการและสร้างจินตภาพหรือวางผัง แต่บางครั้งการที่เราไปขอข้อมูลหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ กลายเป็นว่าเขาบอกกลับไปมาว่าให้ไปขอที่นั่นแทน โยนกันไปโยนกันมา เราก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน

แล้วแก้ปัญหาอย่างไร

กิต: พอถึงจุดนี้มันจะมีการทำงานที่แยกเป็น 2 ฝ่าย ถ้าเรามัวแต่ไปรอข้อมูลที่ต้องชัดเจนจริงๆ ก็ไม่ได้ทำงานแน่ๆ ดังนั้นเราก็ทำอีกเส้นหนึ่งรอไปก่อนเลยจากการสำรวจ ในเชิงความรู้ของทางสถาปัตย์คือการเก็บข้อมูล ติดอาคารขอบเขตชุมชนเองเลย เราก็ทำเช่นนั้นรอไปก่อนเลย

ความท้าทายในเชิงสถาปัตย์ที่จะต้องออกแบบอาคารในชุมชนลักษณะนี้คืออะไร

กิต: เนื่องด้วยพื้นที่มีโจทย์ที่หลากหลายทับซ้อนกันอยู่ มีเลเยอร์ของโบราณสถาน ท่าน้ำ ท่าเรือ เขตแนวคลองและกฎหมายต่างๆ หรือแม้แต่ชุมชนคนที่อยู่อาศัย กลุ่มคนเมือง กลุ่มคนชาติพันธ์ุ กลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ

ความท้าทายในการออกแบบทางสถาปัตย์คือ สมมุติเราออกแบบอาคาร 1 หลัง วางลงไปในพื้นที่นั้น อาคารและสภาพแวดล้อมตรงนั้นมันได้ตอบโจทย์กับทุกบริบทของพื้นที่ที่เราเห็นหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าการออกแบบบ้าน 1 หลัง วางลงไป ตึ๊ง… แล้วยังไงต่อ? ความท้าทายในการงานแม่ข่าจริงๆ คือ มันจะโยงไปถึงมิติต่างๆ ที่มากกว่าแค่ด้านกายภาพเยอะมาก

บุ๊ค: ผมมองเป็นเรื่องความยั่งยืน เวลาเราสร้างสิ่งที่เราออกแบบ มันก็จะส่งผลกระทบต่อบริบท ต่อสังคม ต่อชุมชนซึ่งเราต้องคิดไปถึงอนาคต อดีตแล้วก็ปัจจุบันด้วย เพราะว่าคลองแม่ข่าเป็นเหมือนกับเส้นเลือดของเมืองเชียงใหม่

เท่าที่ฟังๆ ดู เหมือนไม่ได้ทำงานแค่เฉพาะสถาปนิกเท่าไหร่?

โอบ: แต่สิ่งที่เราเรียนรู้จากงานมันจะพัฒนาชุดความคิดของการออกแบบด้านของสถาปนิกของเราไปได้ไกลอีกเยอะ

ทำงานชุมชน เหมือนเจอผู้หญิงในฝัน

จากวันแรกที่เข้ามาทำโครงการนี้จนถึงวันนี้กราฟความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

โอบ: สำหรับผมมันก็จะปะทุขึ้นเรื่อยๆ นะครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเราสนุกกับมัน สนุกที่เห็นปัญหาแล้วรู้สึกว่ากำลังจะแก้มันได้ ยิ่งมีปัญหาแล้วเรายิ่งแก้มันได้ก็เท่ากับว่าเป็นการพิสูจน์ว่าเรามีสิ่งที่เราเชื่อ เราฝัน เราทำได้นะ วันนี้ก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างคือเราทำงานกับคนกลุ่มใหญ่ เราเลยไม่รู้สึกว่าเราทำงานอยู่คนเดียว พอเห็นคนมีพลังแล้วก็ยิ่งมีพลังเพิ่มมากขึ้น

กิต: ผมก็จะมีขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ้าง ด้วยความที่เราทำงานคนหมู่มาก บางครั้งแกนหรือทิศทางมันเขว แต่ทุกครั้งที่มันเริ่มเขว เราก็จะรู้สึกว่าเออเราไม่ได้เขวคนเดียวนี่หว่า สิ่งที่มันดีกว่าคือทุกคนรู้ว่าตัวเองกำลังเขวอยู่นะ แล้วทุกคนกลับมารวมโต๊ะด้วยกัน คุยกันว่าใครทำอะไรอยู่ ซึ่งการกลับมารวมกลุ่มคุยกันมันทำให้เกิดแรงผลักดันที่จะสร้างเป้าหมายใหม่ๆ ในการทำงานขึ้นมา

รติ: รู้สึกดีใจครับ เพราะโอกาสที่จะได้ทำงานแบบนี้มันน้อยมาก แล้วเรารุ่นใหม่ด้วย มีไฟที่จะทำงานตรงนี้จึงรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีและดีใจที่ได้ทำครับ ความรู้สึกเหมือนเจอผู้หญิงในฝันเลย

บุ๊ค: ผมมองเป็นความโชคดีนะครับที่ได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ คิดว่าคนเชียงใหม่เองก็อยากจะเข้ามาร่วมด้วย พวกเราก็ขออุปมาตัวเองเป็นตัวแทนที่มีโอกาสได้ทำงานนี้ เราอาจจะเด็กๆ ถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ในทีม ซึ่งเราก็ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดเพราะสุดท้ายก็ต้องมีคนที่กล้ามาทำงานตรงนี้ต่อไป

คิดว่าโปรเจ็คต์ใหญ่ที่เราทำอยู่จะเปลี่ยนแปลงสังคม หรือว่าเป็นถนนสู่การเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่

ทุกคน: เต็มๆ เลยครับ

โอบ: มองว่า Imagine Maekha ที่เราทำมันเป็นรูปแบบที่เกิดได้ยากมากๆ ที่ภาคประชาสังคม ประชาชนและภาครัฐจะเข้ามาทำงานร่วมกันแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเมืองขึ้นได้

ผมมองว่ามันเป็นรูปแบบใหม่ของสังคมที่เมื่อก่อนเราก็รอการพัฒนาจากภาครัฐหรือภาคธุรกิจ ซึ่งสองภาคนี้ก็ไม่ได้มีเป้าหมายร่วมกัน แต่นี่เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ดีไซน์ออกมาให้ทุกคนมีบทบาทที่จะพัฒนาเมืองไปด้วยกัน โดยที่เราเป็นคนจัดระบบ เป็นเพียงแค่กระบวนกรที่พยายามเอารูปแบบกระบวนการให้ทุกหน่วยงานและองค์กรได้ใช้สิ่งที่เขามีเพื่อแม่ข่าให้ได้มากที่สุด

คิดว่าโปรเจ็คต์นี้จะทำพัฒนาให้เราเป็นนักออกแบบลักษณะไหนในอนาคต

โอบ: จริงๆ ผมไม่อยากตอบว่าเป็นแบบไหน แต่อยากให้ความรู้และประสบการณ์ที่เราประสบพบเจอมันหล่อหลอมเราไปเอง

กิต : เรายังไม่อยากเห็นว่าเราจะไปเป็นนักออกแบบเชิงอนุรักษ์ หรือสถาปนิกชุมชนจริงๆ แต่เราอยากให้ประสบการณ์หรือความรู้ที่ผ่านงาน Imagine Maekha มันค่อยๆ เซ็ตอัพตัวตนของสตูดิโอเราขึ้นมา เพราะว่าอีก 1 ปัจจัยหลักคือเราเพิ่งจบใหม่ ภาษาบ้านๆ คือเรายังละอ่อน เราอยากเรียนรู้ให้มันกว้างกว่านี้ก่อน

ถามจริงๆ คิดว่าเราจะทำมันสำเร็จไหม

รติ: ถ้าไม่คิดว่าสำเร็จก็คงไม่นั่งทำอยู่ตรงนี้ครับ

คำว่าสำเร็จคืออะไร

บุ๊ค: สำเร็จไปทีละเล็กทีละน้อย เช่นตอนนี้เราสามารถล่องเรือเที่ยวแม่ข่าได้เราก็คิดว่าเป็นความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว เห็นทุกหน่วยงานมาคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นก็ถือเป็นความสำเร็จ เห็นคนที่อยู่ในพื้นที่จริงๆ เขากล้าพูดและกล้าออกความคิดเห็น เขากล้าพูดว่าอยากได้อะไรแล้วเราเอามาทำงานของเราต่อได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จ

โอบ: ถ้าถามผมว่า 100 เปอร์เซ็นต์ของความสำเร็จคืออะไร ก็คือการได้เห็นแม่ข่าเป็นสิ่งที่เราฝันไว้เป็นสะพานนิเวศน์ สะพานเศรษฐกิจ ไม่ว่าหน้าตามันจะออกมาเป็นยังไง แต่ถ้ามันเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่ได้ ผมว่าคือความสำเร็จแล้ว

บุ๊ค: แค่เห็นปลาตัวเดียวว่ายอยู่ในคลองแม่ข่า เราก็ดีใจมากแล้วครับ

Tags:

เชียงใหม่4Csนักออกแบบสถาปนิกpublic space

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Creative learning
    สร้างห้องเรียนนอกห้องเรียน ‘วิชาการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น และพัฒนาชุมชน’ สู่ปากคลองตลาด Strike back กับ อ.หน่อง สุพิชชา โตวิวิชญ์

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

‘ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น’ มีอยู่จริง และการที่เด็กไม่ได้เล่นคือปัญหาสังคม
Education trend
15 February 2019

‘ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น’ มีอยู่จริง และการที่เด็กไม่ได้เล่นคือปัญหาสังคม

เรื่อง The Potential

  • ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น มาจากสองประการคือ จากเรื่องเพศ และ ความพร้อมทางสังคม เด็กผู้ชายมีโอกาสเล่นของเล่นพวกบล็อกหรือเลโก้มากกว่าเด็กผู้หญิง ขณะที่เด็กในครอบครัวยากจน (ทั้งชายและหญิง) มีโอกาสน้อยยิ่งกว่าที่จะเข้าถึงของเล่นในแบบเดียวกัน
  • ‘ยุ่งเกินกว่าจะเล่น’ และ ‘สถานที่’ หรือสนามเด็กเล่นของเด็กๆ ลดลง (เช่น สวนสาธารณะ, พิพิธภัณฑ์, ห้องสมุด, ป่าเมือง และอื่นๆ) อีกสาเหตุที่ทำให้อัตราการเล่นของเด็กๆ ถดถอย
  • เปิดประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่นจากงานประชุม The World Economic Forum Annual Meeting ชี้ความกังวลเรื่องการเล่นที่คนในภาคธุรกิจไม่อาจละเลย
หมายเหตุ: เนื้อหาในบทความนี้ ถอดความจากงานประชุม The World Economic Forum Annual Meeting กำหนดวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และภาคอุตสาหกรรมในช่วงต้นปี ณ วันที่ 22-25 มกราคม 2019 แคว้นดาวอส-คลอสเตอร์ส (Davos-Klosters) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในประเด็น ความเหลื่อมล้ำของการเล่น จะมีผลต่อเด็กในอนาคตอย่างไร? (What the global ‘play gap’ means for our children’s futures)

เราต่างรู้ว่าอัตลักษณ์ นิสัย ศักยภาพที่เรามีและหยิบใช้ทุกวันนี้ มาจากการสร้างคุณลักษณะในวัยเด็ก ‘การเล่น’ คือหนึ่งในวิธีการเหล่านั้น

รายงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน เวลาของเด็กในการ ‘เล่น’ ซึ่งหมายความถึงการออกไปใช้ร่างกาย สัมผัส รับกลิ่น ได้คิด ค้นหา ออกไปอยู่กับระบบนิเวศที่ท้าทายระบบรับสัมผัสร่างกายทั้งห้านั้น ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่เข้ามาแทนคือ การเล่นกับเทคโนโลยี (สมาร์ทโฟน, สื่อออนไลน์) และ เวลาที่ต้องใช้อยู่ในห้องเรียน

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดความกังวล เพราะการ ‘ไม่เล่น’ ขัดกับความรู้วิทยาศาสตร์ด้านการพัฒนากล้ามเนื้อและสมอง

ไม่นับข้อถกเถียงของคนในแวดวงการศึกษาที่พูดคล้ายกันว่า การเรียนรู้ของเด็ก ‘ปัจจุบัน’ (เพื่อโตเป็นผู้ใหญ่ที่จะอยู่กับอาชีพในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีที่ทุกวันนี้ก็ยังทำนายไม่ได้) อาจต้องกลับไปสู่การพัฒนาทักษะทางสังคม หรือ soft skill

ล่าสุดในงานประชุม The World Economic Forum Annual Meeting วันที่ 22-25 มกราคม 2019 ณ แคว้นดาวอส-คลอสเตอร์ส (Davos-Klosters) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แวดวงการประชุมคนในภาคธุรกิจ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงประเด็น ‘การเล่น’ ที่หายไปนี้ แต่ชูคีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ ‘Play Gap’ หรือ ความเหลื่อมล้ำในการเล่น

ประเด็นสำคัญที่ที่ประชุมนี้ชี้ก็คือ ความเหลื่อมล้ำในการเล่น เกิดขึ้นชัดเจนระหว่างเด็กผู้หญิงและชาย และ เด็กที่มาจากครอบครัวยากจน

ทั้งหมดเพื่อจุดประเด็นว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ไม่ใช่แค่เรื่องของโลกธุรกิจ การเข้าสู่ยุค Disruptive Technology หรือการแก้ปัญหาทางสังคมอย่างความยากจนหรือการเปลี่ยนแปลงรุนแรงของสภาพอากาศ อีกต่อไป แต่ยังรวมถึง การพัฒนาคน โดยเฉพาะ ‘การเล่น’

อ่านเพิ่มเติม: อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เชื้อเพลิงแห่งพัฒนาการวัยเด็ก

เพราะเราต่างรู้ว่าการเล่น คือโอกาสชั้นดีในการพัฒนาทักษะของร่างกาย ชีวิต และทักษะทางสังคมแค่ไหน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พันธมิตรองค์กรชั้นแนวหน้าร่วมมือกันตั้งโครงการ Real Play Coalition โดย IKEA, the LEGO Foundation, National Geographic และ Unilever ขึ้นในปี 2018 เพื่อผลักประเด็น ‘โอกาสแห่งการเล่นขั้นพื้นฐาน’ (play-based opportunities) การเล่นเพื่อพัฒนาการที่เหมาะสม

ปัจจุบัน เราเห็นความเหลื่อมล้ำในการเล่น หรือ play gap เกิดขึ้นทั่วโลก ด้วยเหตุผลใหญ่ 2 เรื่อง คือ เวลา และ สถานที่

ทั้งสองอย่างก็เป็นผลจากความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเพศในอีกทอดหนึ่ง ดังเห็นได้จากภาพประกอบข้างต้นเรื่องจากรายงานของ โครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยเทียบกับนานาชาติ (Trends for International Mathematics and Science: TIMSS) ชี้ถึงความแตกต่าง/ความเหลื่อมล้ำในการเล่นของเด็กระหว่างเพศ และความพร้อมทางสังคม

ภาพบนขวา – ชี้ถึงความแตกต่าง/ความเหลื่อมล้ำ ที่จะได้เล่นของเล่นที่เป็นตัวต่อ หรือ เลโก้ ระหว่างเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ซึ่งพบว่าเด็กผู้ชายมีโอกาสเล่นมากกว่าผู้หญิง

ขณะที่ภาพล่างซ้าย – ชี้ถึง ความแตกต่าง/ความเหลื่อมล้ำ ที่จะได้เล่นของเล่นที่เป็นตัวต่อ หรือ เลโก้ ระหว่างเด็กที่มีความพร้อมทางสังคม กับเด็กที่ไม่มีความพร้อมทางสังคม ที่พบว่าเด็กที่มีความพร้อมทางสังคมมีโอกาสเล่นมากกว่า

ขณะที่รายงานวิจัยจาก Real Play Coalition ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 พบว่า วิกฤติการเล่นในปัจจุบัน มี 2 ประเด็นใหญ่ ซึ่งให้คำอธิบายตัวแปร ‘เวลา’ และ ‘สถานที่’ ที่ทำให้เด็กๆ เล่นน้อยลงว่า

หนึ่ง เวลาเล่นของเด็กน้อยลง (หรือไม่มีเวลาเล่น) อันเนื่องจากตารางเรียนของเด็กส่วนใหญ่นั้นแน่นและยุ่งเกินกว่าจะเจียดเวลาออกมาเล่นได้ สำคัญก็คือ เด็กๆ เลิกเล่น หรือ เล่นน้อยลง ในวัยที่น้อยลงไปเรื่อยๆ รายงานดังกล่าวเผยด้วยว่า เด็กๆ 1 ใน 5 ระบุว่าพวกเขา ‘too busy to play’ หรือ ยุ่งเกินกว่าจะเล่น

สอง สถานที่ที่จะเล่น เช่น สวนสาธารณะ, พิพิธภัณฑ์, ห้องสมุด, ป่าเมือง และอื่นๆ นั้นลดจำนวนลง นอกจากนี้ยังเป็นความกังวลเรื่องความปลอดภัยในตัวเด็กของผู้ปกครอง จึงไม่ต้องการให้ลูกออกมาเล่นนอกบ้านอีกด้วย

ดังปรากฏเป็นตัวเลขทางสถิติว่า เด็กอังกฤษเจเนอเรชั่นนี้ออกมาเล่นนอกบ้านน้อยลงราว 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 10 ของเด็กๆ ไม่เคยออกมาเล่นนอกบ้านเลย

อย่างไรก็ตาม คณะทำงาน Real Play Coalition กล่าวว่า พวกเขาตั้งใจจะรวบรวมข้อมูลการเล่นของเด็กต่อไป และในปีนี้พวกเขาได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (University College London) ทำวิจัยเรื่อง Play Gap Report ซึ่งจะตีพิมพ์ภายในปีนี้ เพื่อรวบรวมสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในการเล่นที่มาจากเรื่องเพศและเศรษฐกิจจาก 70 ประเทศทั่วโลก

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะผลักประเด็น ‘พลังแห่งการเล่น’ ที่ถือเป็นขุมทรัพย์แห่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เท่ากับที่หลายหน่วยงานให้น้ำหนักการแก้ปัญหาเรื่องความยั่งยืนด้านอื่นๆ เช่นกัน

Tags:

การเล่นคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsความเหลื่อมล้ำ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง: เมื่อองค์ความรู้ด้านออกแบบมาชนกับพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • GritMovie
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้
Learning Theory
13 February 2019

สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • สิ่งสำคัญก่อนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคือการตระหนักว่า พลังประชาธิปไตยในมือเรามีมากแค่ไหน
  • การจะไปสอนประชาธิปไตย ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจหน้าที่พลเมือง
  • ซึ่งเป็นหน้าที่พลเมือง คนละความหมายกับที่เด็กๆ เรียนในวิชาหน้าที่พลเมือง

ขณะที่ประเทศไทยกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนทางการเมืองเข้าไปทุกขณะ ถ้าและถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง คำถามสำคัญ เราตระหนักถึงพลังประชาธิปไตยในมือมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะคนที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก

ถ้าย้อนลงไปในวัยที่เด็กกว่านั้น ก่อนจะเข้าใจคำว่าประชาธิปไตย เขาน่าจะเริ่มทำความรู้จัก ‘หน้าที่พลเมือง’ ก่อน ซึ่งอาจจะคนละอย่างกับวิชาหน้าที่พลเมืองที่เด็กๆ กำลังเรียนอยู่โดยที่ยังไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม

บทความนี้ The Potential ขอชวนคุณครูมาทำความเข้าใจว่าเราจะสอนเรื่องพลเมืองประชาธิปไตยอย่างไร และหลัก 3 ข้อที่โรงเรียนต้องใส่ใจในการสอนเพื่อสร้างพลเมืองประชาธิปไตยมีอะไรบ้าง

การสอนให้ตั้งคำถามคือกุญแจสำคัญ

โจเอล เวสไฮเมอร์ (Joel Westheimer) ประธานองค์การวิจัยด้านการศึกษาและประชาธิปไตยแห่งมหาวิทยาลัยออตตาวา (The University of Ottawa) ได้ศึกษาหลักสูตรการสอนในประเทศต่างๆ ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เช่น เกาหลีเหนือ จีน อิหร่าน เขาสังเกตว่านักเรียนในประเทศเผด็จการอย่างเกาหลีเหนือและจีน เรียนคณิตศาสตร์และวิชาการ โรงเรียนต่างสอนให้อ่านออกเขียนได้ คิดเลข แก้สมการพีชคณิต และเศษส่วน ไม่ต่างกับเด็กในสังคมประชาธิปไตยในอเมริกาหรือแคนาดาเลย

เปรียบเทียบการศึกษาระหว่างประเทศในระบอบประชาธิปไตยกับประเทศในระบอบเผด็จการแล้ว เขาเกิดคำถามว่าในเมื่อโรงเรียนที่อยู่ในระบอบการปกครองที่ต่างขั้วกันต่างสอนวิชาการเหมือนกัน แล้ว “จุดต่างของเป้าหมายการศึกษาในสังคมประชาธิปไตยกับเผด็จการอยู่ตรงไหน”

ในเมื่อเป้าหมายการศึกษาของระบอบเผด็จการไม่ได้มีเป้าหมายให้นักเรียนมีความคิดเป็นของตนเอง แต่เป็นไปเพื่อจำกัดและตีกรอบให้รู้ในสิ่งที่รัฐต้องการ ให้รู้และทำในสิ่งที่รัฐต้องการให้ทำ ไม่มีสิทธิมีเสียงโต้แย้งใดๆ ดังนั้น ในทางตรงข้าม การศึกษาในสังคมประชาธิปไตยจึงควรต้องสอนให้นักเรียนรู้จักตั้งคำถาม คำถามที่อาจไม่รื่นหู หรือแม้แต่กล้าท้าทายขนบประเพณีดั้งเดิม นักเรียนจำเป็นต้องคิดและเปิดรับทัศนคติหลากหลายแง่มุม เพราะการสร้างสังคมด้วยประชาธิปไตย คือการรับฟังความคิดที่แตกต่างหลากหลายด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน และร่วมกันตัดสินใจหาทางออกบนประโยชน์ส่วนรวมที่เป็นไปได้มากที่สุด

ที่มา : http://thaiciviceducation.org/

อย่างไรก็ดี หนทางเพื่อบรรลุเป้าหมายการสร้างพลเมืองประชาธิปไตยของโรงเรียนนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม จากการสำรวจบทบาทหน้าที่ในการอบรมความเป็นพลเมืองของโรงเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ สถาบันการศึกษา องค์กรและหน่วยงานในชุมชนต่างๆ ในแคนาดา ภายใต้หัวข้อ Democratic Dialogue (การสานเสวนาทางประชาธิปไตย) ปัญหาแรกที่เวสไฮเมอร์พบคือ การปฏิรูปการศึกษาในอเมริกา (ซึ่งแคนาดารับจากที่นั่นมาอีกที) มุ่งเน้นแต่ความพร้อมในการประกอบอาชีพและการเรียนการสอนเพื่อสอบ จนปิดกั้นโอกาสที่ครูจะปลูกฝังเจตคติ ความรู้ และลักษณะนิสัยสำคัญในการสร้างสังคมประชาธิปไตยให้กับนักเรียน

โรงเรียนต้องสร้างพลเมืองแบบไหน

เวสไฮเมอร์และโจเซฟ คาห์น (Joseph Kahne) เพื่อนร่วมวิจัย ใช้เวลากว่าสิบปีสังเกต วิเคราะห์หลักสูตรการสอนทั่วโลกที่มุ่งสร้างทักษะความเป็นพลเมืองที่ดีในเด็กและเยาวชน ซึ่งระบุลักษณะจำเป็นของพลเมืองประชาธิปไตยไว้ในจุดประสงค์การสอน

พวกเขาพบว่าแนวทางสร้างพลเมืองประชาธิปไตย (Citizenship Education) ในหลักสูตรเหล่านั้นพยายามสร้าง“พลเมืองที่ดี” 3 แบบคือ

  1. พลเมืองที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนต่อสังคม (The Personally Responsible Citizen)
  2. พลเมืองที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางสังคม (The Participatory Citizen)
  3. พลเมืองที่มีจิตสำนึกด้านความยุติธรรมทางสังคม (Social-Justice-Oriented Citizen)

พลเมืองที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนต่อสังคม (The Personally Responsible Citizen)

คือพลเมืองที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ด้อยโอกาส การสอนมุ่งเน้นการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education) ให้นักเรียนมีคุณธรรม และแสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อในการบริจาคการกุศล ช่วยเหลือสังคมด้วยทุนทรัพย์หรือแรงกายเท่าที่จะทำได้ ในหลักสูตรนี้ โรงเรียนมักกระตุ้นให้นักเรียนบริจาคอาหารหรือสิ่งของแก่ผู้ยากไร้

พลเมืองที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางสังคม (The Participatory Citizen)

คือพลเมืองที่มีส่วนร่วมในกิจการงานเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ ครูเน้นการสอน ให้ความรู้ความเข้าใจถึงหน้าที่ของรัฐบาล หน่วยงานรัฐต่างๆ อาทิ องค์กรรัฐในชุมชน โบสถ์ ว่าทำหน้าที่อะไร และสอนให้นักเรียนวางแผนและแบ่งหน้าที่ในกิจกรรมเพื่อส่วนรวม ในขณะที่พลเมืองที่ตระหนักรู้ถึงความรับผิดชอบของตนต่อสังคมแสดงความเอื้อเฟื้อเป็นสิ่งของหรืออาหารบริจาค พลเมืองที่มีส่วนร่วมจะทำหน้าที่แจกจ่ายอาหารและสิ่งของที่ได้รับบริจาค

พลเมืองที่มีจิตสำนึกด้านความยุติธรรมทางสังคม (The Social-Justice Oriented Citizen)

คือพลเมืองที่สามารถรับฟังความคิดเห็นและตริตรองความคิดเห็นได้อย่างละเอียดรอบด้าน สามารถวิเคราะห์โครงสร้างสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และมองหามาตรการที่จะแก้ไขปัญหาจากต้นตอ ลักษณะของพลเมืองในข้อนี้คือนักคิดอย่างมีวิจารณญาณอันเป็นลักษณะที่ถูกละเลยมากที่สุด คำว่า “มีจิตสำนึกด้านความยุติธรรมทางสังคม” เพราะแนวทางที่จะเสริมสร้างทักษะด้านนี้ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดในประเด็นเรื่องความเที่ยงธรรม โอกาสที่เท่าเทียม และการมีส่วนร่วมในประชาธิปไตย

สำคัญอย่างยิ่งคือ ครูต้องตระหนักเสมอว่าทุกคนมีสิทธิคิดต่าง การสอนต้องกระตุ้นให้นักเรียนมองหาหนทางปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น ทั้งมีส่วนรู้เห็นในประเด็นปัญหาที่มีอยู่ในท้องที่ของตนเสียก่อน

แนวทางนี้จะไม่เน้นเรื่องการช่วยเหลือการกุศล แต่เน้นให้นักเรียนเข้าใจการพัฒนาภาพรวมของสังคมมากกว่า

เปรียบเทียบพลเมืองสามแบบข้างต้น หลักสูตรที่สร้างพลเมืองที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนต่อสังคมจะเน้นการสอนสร้างอุปนิสัยและคุณงามความดี (character education) ที่สามารถแสดงออกเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ในขณะที่การสอนสร้างพลเมืองที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางสังคมจะเน้นการเข้าไปช่วยบริหารการจัดกิจกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่สำหรับการสอนสร้างพลเมืองที่มีจิตสำนึกด้านความยุติธรรมทางสังคม จะสอนให้รู้จักคิด และตั้งคำถามเมื่อเห็นปัญหาความขาดแคลนที่เกิดขึ้นในสังคม และลงมือแก้ปัญหา

แต่ถึงอย่างนั้น หลักสูตรจากการศึกษาเกือบทั้งหมดเป็นไปในทางที่สนับสนุนให้นักเรียนเป็นอาสาสมัครการกุศล หรือสอนแบบบรรยายให้ทราบขั้นตอนการออกกฎหมายและหน้าที่พลเมือง 2 แบบแรกเสียมากกว่า โรงเรียนที่มุ่งสอนให้นักเรียนพิจารณาถึงต้นเหตุความไม่เท่าเทียมในสังคม เศรษฐกิจ และ นโยบายการเมืองอย่างลึกซึ้งนั้นแทบไม่มี

หากพิจารณาแล้ว แม้พลเมืองสองแบบแรก เป็นลักษณะอันพึงมีในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับการเป็นพลเมืองประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง การเคารพกฎและรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ต่อสังคมอาจสวนทางกับการคิดอย่างเสรีซึ่งสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

หลัก 3 ข้อที่โรงเรียนต้องใส่ใจในการสอนสร้างพลเมืองประชาธิปไตย

เวสไฮเมอร์ ศึกษาบทบาทความสำคัญของโรงเรียนที่มีต่อการสร้างพลเมืองประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วงปี 90 แนะให้ครูและโรงเรียนอิงหลัก 3 ข้อเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนในการสอนสร้างพลเมืองประชาธิปไตยให้มีประสิทธิภาพ คือ

  1. สอนให้คิดลึกซึ้งกว่าการรู้เพียงข้อเท็จจริง (Go Beyond Facts) การสอนให้นักเรียนเข้าถึงข้อเท็จจริงเป็นเรื่องจำเป็น แต่การศึกษาที่มุ่งเน้นให้รับเอาแต่ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวก็ตื้นเขินเกินไป ครูต้องให้โอกาสนักเรียนคิดด้วยตนเอง และตั้งคำถามอย่างมีส่วนร่วม เมื่อต้องฝึกทักษะการอ่าน เขาควรอ่านเรื่องอะไรจึงจะเป็นประโยชน์และอ่านเพื่อเป้าหมายอะไร ทักษะความสามารถของเขาเหล่านั้นจะทำประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติอย่างไรบ้าง
  2. สอนอย่างการเมือง (Be Political) นักเรียนต้องเข้าใจก่อนว่า การเมืองเป็นหนทางที่ช่วยให้คนต่างค่านิยม ต่างพื้นเพ ต่างความคิด สามารถทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าต่อส่วนรวมได้ สาระสำคัญของมันคือการบรรลุซึ่งเสรีภาพและความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ดังนั้น ห้องเรียนต้องเปิดรับต่อความเห็นต่างและอุดมการณ์หลากหลาย และสร้างคุณค่าให้กับเรื่องนี้
  3. เปิดใจกับวิธีการสอนที่หลากหลายไม่ตายตัว (Embrace Pedagogical Diversity) โลกที่กว้างใหญ่และแตกต่าง เหตุปัจจัยของปัญหาในแต่ละเมือง แต่ละชุมชนหรือประเทศล้วนส่งผลต่อการคิดหลักสูตรและแนวทางการสอนทั้งสิ้น นักการศึกษาบางคนให้คุณค่ากับการศึกษาแนวก้าวหน้า (Progressive Education) ที่หันหลังให้การท่องจำและพุ่งการเรียนรู้ไปที่ประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติของนักเรียนเอง ในขณะที่ผู้ปกครองที่เป็นพลเมืองชั้นสองมองว่าแนวทางการศึกษานี้อาจกีดกันไม่ให้บุตรหลานเข้าถึงวัฒนธรรมกระแสหลัก เพราะเด็กจะไม่ถูกสอนว่าอะไรเป็นอะไรโดยตรง

ดังนั้น การสอนความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยแต่ละแห่งก็แตกต่างไปตามนิยามของพลเมืองที่ดีว่าควรเป็นแบบใดจึงสอนแบบนั้น ดังนั้น จึงไม่มีข้อจำกัดในวิธีการสอนว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้เพื่อให้นักเรียนคิดได้ และตระหนักรู้

หากแต่ต้องพึงตระหนักเสมอว่าการสร้างพลเมืองให้เกิดขึ้นได้นั้น สำคัญคือต้องไม่เพียงให้โอกาสนักเรียนได้คิดต่าง แต่ต้องเคารพอุดมการณ์ ความเชื่อของผู้อื่น แม้ไม่เห็นด้วยก็ตาม

ประชาธิปไตยที่สุดปลายทาง

มีเส้นทางพานักเรียนก้าวไปสู่ปลายทางของการเป็นพลเมืองได้มากมาย และเส้นทางเหล่านั้นก็ไม่ตายตัวเสียด้วย ทั้งการให้นักเรียนทำโครงการที่มีส่วนร่วมในโรงเรียน ชุมชน หรือการสอนให้ตั้งคำถาม คิด และอภิปราย

ครูเกรด 5 คนหนึ่งในชิคาโกให้นักเรียนทำโครงการศึกษาย่านชุมชนที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ปัญหาความอดอยาก หรือ ครูชั้นประถมในวิสคอนซิลตั้งคำถามเรื่องเหตุวินาศกรรม 9/11 ให้นักเรียนในชั้นอภิปรายและฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นไปสืบค้นข้อมูลแล้วมาหารือถึงบทบาทที่พวกเขาพึงกระทำต่อเพื่อนมนุษย์ ชุมชนและโลกใบนี้

อ้างอิง: What kind of citizen? 2008 และ Teaching for democratic Action 2015: Joel Westheimer

อ้างอิง:
วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง
‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก 
แก้ปัญหาวัยรุ่นด้วยงานอาสา: ถูกยอมรับ ทำให้เห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่

Tags:

เทคนิคการสอนประชาธิปไตยการเลือกตั้งครูพลเมือง

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel