Skip to content
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Transformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent Brain
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)

Year: 2019

ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน
Social Issues
9 July 2019

ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • เริ่มจากการตั้งคำถามกับภาวะที่เกิดขึ้นกับครูในยุคนี้ ทำไมครูไม่ได้แค่สอนหนังสือ แต่กลับต้องเผชิญกับภาระเอกสารจำนวนมาก รวมถึงทำงานนอกเวลา 
  • เข้าใจและถอยออกมามองให้ชัด การเดินทางตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันของระบบศึกษาไทย ผ่านงานวิจัย ‘Neoliberalism, Govermentality, Education Reform, and Teacher in Thailand’ โดย วงอร พัวพันสวัสดิ์ ว่าเหตุใดเมื่อเสรีนิยมใหม่เข้ามาแล้วภาระงานของครูจึงมีมากขึ้น
  • เป็นเรื่องที่น่าเศร้า หากครูต้องจมอยู่กับปัญหาเหล่านี้โดยไม่คิดทำอะไร “ครูต้องหาทางออกก่อนที่งานจะกัดกิน passion และทำให้ครูไม่สนุกกับการเป็นครูอีกแล้ว” คำตอบจาก ครูร่มเกล้า-ครูสอนคณิตศาสตร์ ม.ปลาย ผู้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง และไม่ยอมให้ภาระงานเอกสารทำให้ตัวเองหมดสนุกกับการสอน
ภาพ: กลุ่มพลเรียน, Inskru และ Critizen

“ทำไมครูถึงเผชิญกับภาระเอกสารจำนวนมาก?”

“เพราะอะไรครูถึงไม่ได้ทำงานสอนเพียงอย่างเดียว?”

นี่คือผลผลิตของแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่เข้ามาปั่นปวนในระบบการศึกษาไทยจนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ครูไม่ได้ทำหน้าที่ครู’ ค่อยๆ สะสมในสังคมไทยอย่างยาวนานและแนบแน่น จนบางครั้งทำให้เราหลงลืม ไม่ทันฉุกคิด และตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่ในความเป็นจริง หน้าที่ของครูที่แท้คืออะไร?

การทำงานเอกสารและสร้างผลงานวิชาการ ถือเป็นข้อเสียหรือไม่?

วิทยานิพนธ์เรื่อง ‘Neoliberalism, Govermentality, Education Reform, and Teacher in Thailand’ โดย วงอร พัวพันสวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบรวมคำอธิบายผ่านประสบการณ์ของครูจำนวน 63 คน ผ่านทฤษฎีทางสังคมและการเมือง เพื่อให้เข้าใจและถอยออกมามองให้ชัดว่าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันการเดินทางของระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างไร

วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในงาน ตั้งวงเล่า #1 เมื่อ ‘ครู’ ไม่ได้ทำหน้าที่ครู: เสรีนิยมใหม่ในโรงเรียนไทย โดยกลุ่ม พลเรียน inskru และ Critizen เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

เสรีนิยมใหม่คืออะไร

คือระเบียบทางเศรษฐกิจโลกที่เข้ามากำกับชุดความคิดและกำหนดนโยบายทางการเมืองและสังคม โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญไปที่ระบบเศรษฐกิจ 

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อเราพูดถึงคำว่าเศรษฐกิจ ย่อมเชื่อมโยงกับชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ เสรีนิยมใหม่จึงมีบทบาทและสร้างผลกระทบเชื่อมโยงกับเราทุกคนได้แทบทุกด้าน ไม่ว่าจะทางสังคม วัฒนธรรม สุขภาพ รวมถึงการศึกษา  

หากเราสวมแว่นตาเสรีนิยมใหม่มองเข้าไปในระบบการศึกษาไทย จะพบเห็นความพยายามจัดวางให้โรงเรียนเป็นดั่งสินค้า มีครูทำหน้าที่เป็นพนักงานผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาด และเชื่อกันว่าหากโรงเรียนอยู่บนกลไกตลาดที่มีการแข่งขันสูง จะทำให้โรงเรียนและบุคลากรครูเกิดการพัฒนา ท้ายที่สุดการศึกษาจะมีคุณภาพ 

เมื่อโรงเรียนอยู่ในสถานะผู้ผลิตสินค้าแล้ว พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะมีอำนาจในการซื้อขายมากขึ้น หมายถึง จะมีเสรีภาพในการเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับลูกตัวเองได้ (parental choice) เราจึงเห็นโรงเรียนทางเลือก หรือโรงเรียนนานาชาติ ผุดขึ้นมากมายในยุคหลัง 

ทั้งนี้ เสรีนิยมใหม่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับคำว่ารัฐสวัสดิการ เพราะรัฐสวัสดิการคือ สวัสดิการที่รัฐจัดให้ หลายฝ่ายคิดว่าจะไม่ก่อให้เกิดการต่อสู้ แข่งขัน ไม่มีการลุกขึ้นมาผลิต พัฒนา และปรับตัว ทำให้ไร้นวัตกรรม 

ความคิดนี้ ส่งผลถึงภาพใหญ่ของระบบการศึกษา และความคิด-ความเชื่อที่เปลี่ยนไปของคนตัวเล็กๆ ในระดับปัจเจก อย่าง  ‘ครู’ 

เสรีนิยมใหม่ในการศึกษาไทย

ดูเหมือนว่าเสรีนิยมใหม่เรียกร้องให้ครูแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น ให้ครูแต่ละคนใช้เทคนิคหรือวิธีการส่วนตัวต่อสู้กับปัญหาที่พบเจอไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจทำให้ครูมีสิทธิต่อรองได้น้อยลง และเพราะคิดว่าเป็นปัญหาของตัวเอง จึงต้องก้มหน้าก้มตาจัดการปัญหาทางการศึกษาด้วยตัวเองต่อไป ทั้งที่จริงแล้วมันคือปัญหาเชิงโครงสร้าง

สรุปสั้นๆ ว่า เมื่อเสรีนิยมใหม่เข้ามาในระบบการศึกษาไทย ก่อให้เกิด 2 ปรากฏการณ์สำคัญ คือ ความคิดของครูที่เปลี่ยนไปและพฤติกรรมที่ครูแสดงออกมา จึงทำให้ ดร.วงอร พัวพันสวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามในการศึกษาวิทยานิพนธ์เล่มนี้ว่า ‘ประสบการณ์ของครูในโรงเรียนรัฐบาลที่มีต่อการปฏิรูปนโยบายเสรีนิยมใหม่ เปลี่ยนไปอย่างไร’

โดยบทความชิ้นนี้จะตั้งข้อสังเกตและศึกษาครูในฐานะลูกจ้างของรัฐ ว่า ‘ครูกับรัฐ: สะท้อนความสัมพันธ์ของครูกับรัฐบาล ในฐานะลูกจ้างเป็นอย่างไร’ เมื่อสังคมก้าวเข้าสู่ยุคเสรีนิยมใหม่แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้นบ้างกับครู ซึ่งข้อมูลทั้งหมดในวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ได้มาจากการสัมภาษณ์ผ่านประสบการณ์ครูระดับมัธยมจำนวน 63 คน ในโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และโรงเรียนประจำอำเภอจำนวน 5 แห่ง 

ผลการศึกษา

เมื่อมีนโยบายเสรีนิยมใหม่เข้ามา พฤติกรรมของครูในโรงเรียนรัฐเปลี่ยนไปอย่างน้อย 2 เรื่องใหญ่ คือ 

  1. การจ่ายผลตอบแทนที่ผูกติดกับผลงาน: เรื่องนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีแรงจูงใจเหมือนพนักงานเอกชน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกจ้างงานในลักษณะความมั่นคง ตลอดชีวิต และระยะยาว ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะไม่ก่อให้เกิดการผลักดัน และผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ  
  2. เรื่องการประเมินคุณภาพโรงเรียน: ลักษณะหนึ่งของการบริหารแบบเสรีนิยมใหม่มักนำเอาการบริหารจัดการในภาคธุรกิจเข้ามาปรับใช้ในภาครัฐ โดยมีตัวชี้วัดเป็นตัวตัดสิน เพื่อประเมินว่าใครเป็นอย่างไร 

ข้อดีของการประเมิน เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่รัฐกระตือรือร้น แต่อีกนัยหนึ่งก็ทำให้การศึกษากลายเป็นสินค้า มีผู้ผลิต และบริโภค ทำให้หลังการปฏิรูปการศึกษาปี 2542 โรงเรียนต้องเผชิญกับระบบการประเมินอย่างมหาศาล เต็มไปด้วยตัวชี้วัดมากมาย กลายเป็นว่าครูไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน และผลักให้ครูหลายคนต้องทำงานล่วงเวลา หรือทำงานเอกสารอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

พฤติกรรมใหม่ของครู

เมื่อเสรีนิยมใหม่เข้ามา ทำให้ครูต้องเร่งพัฒนาตัวเองและหมั่นสร้างผลงานอยู่เสมอ ครูจะต้องเพิ่มองค์ความรู้ทางวิชาการ พัฒนาสื่อการเรียนการสอน หมั่นอัพเดตและติดตามข่าวสาร  

เสรีนิยมใหม่มองว่าการบริหารจัดการโรงเรียนควรเป็นเหมือนบริษัท ผลักให้ครูกลายเป็นพนักงานบริษัทต้องแข่งขันไปตามกลไก ต้องสร้างผลงานให้กับองค์กร เช่น การสร้างแผนการสอนใหม่ๆ ทำใบงาน ทำวิจัย ทำใบประกาศต่างๆ นอกจากนี้วาทกรรมการพัฒนาตัวเอง ยังมีอิทธิพลมาก เพราะกลายเป็นตัวชี้วัดทางศีลธรรม ทำให้ครูหลายๆ คนใช้สิ่งนี้ตัดสินและกำกับตัวเองว่า ตัวเองเป็นครูที่ดีหรือไม่ โดยพิจารณาจากการสร้างผลงาน 

ครูที่ดีคือใคร

คุณสมบัติของครูที่ดีภายใต้ยุคเสรีนิยมใหม่ จะต้องเป็นครูที่ต้องผ่านการอบรมสัมมนาเป็นประจำ ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ กระตือรือร้น รู้จักปรับการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ ใช้แหล่งความรู้เครื่องมือและเทคนิคการสอนอย่างหลากหลาย รวมถึงทำงานวิจัย ผลกระทบที่ตามมา คือ ‘แรงกดดัน’ จากผู้บังคับบัญชา (หรือโรงเรียน) รวมถึงความกดดันภายในตัวเอง 

ปรับแผนการสอนหน้าเดียว ลดภาระครู

ในเมื่อโลกเดินเข้าสู่ระบบเสรีนิยมใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ เหล่ามนุษย์ครูย่อมต้องปรับตัว สำหรับ ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูสอนคณิตศาสตร์ระดับชั้น ม.ปลาย โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ให้คำนิยามกับเสรีนิยมใหม่ไม่ต่างจากงานวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ และมองว่าเสรีนิยมใหม่ส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาอย่างหลีกหนีไม่ได้ 

เสรีนิยมทำให้มนุษย์เป็นสินค้าและแรงงานในการหาเงิน ทำให้การศึกษากลายเป็นเครื่องมือผลิตแรงงานขึ้นมา ยิ่งตอกย้ำว่าโรงเรียนไทยกำลังผลิตมนุษย์เพื่อตอบโจทย์ระบบเศรษฐกิจและระบบทุน มุ่งเน้นการผลิตนักเรียนไปในทิศทางเดียว โดยลืมให้ความสำคัญบางอย่างไป เช่น การค้นหาตัวตน การค้นพบทักษะที่สำคัญตามวัย ความสามารถและทักษะที่เด็กควรจะมีติดตัว รวมถึงความสุขในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน 

แน่นอนว่าผลผลิตหนึ่งของเสรีนิยมใหม่คือภาระงานของครูที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางงานที่มากมายของครูเช่นนี้ ครูร่มเกล้า มีวิธีการปฏิบัติเชิงรูปธรรมที่นำร่องและช่วยลดภาระดังกล่าวได้ นั่นคือ การทำแผนการสอนให้เหลือ 1 หน้า

ก่อนหน้านั้น ครูร่มเกล้าได้ทำผลสำรวจเรื่องแผนการสอนจากครูจำนวน 313 คน พบว่า ครูส่วนใหญ่มักใช้วิธีลอกแผนการสอนเดิมของตัวเอง หาข้อมูลเพิ่มจากอินเทอร์เน็ต หรือบางทีอาจหยิบยืมของเพื่อนครูด้วยกัน ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่อาจย่นระยะเวลาภาระงานได้เลย ครูยังเหนื่อยอยู่ แถมแผนการสอนดังกล่าวยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีเพียงพอ จึงเกิดไอเดียการทำแผนหน้าเดียวขึ้นมา เพื่อปลดล็อคการเขียนแผนตามฟอร์มที่เกินความจำเป็น ให้ครูได้เขียนแผนแบบที่ตัวเองได้ใช้จริง ตามสไตล์ที่ตนเองถนัดก็พอ 

“เริ่มจากการตั้งวัตถุประสงค์ ที่มี 3 ส่วนเหมือนแผนปกติทั่วไป ทั้งความรู้ กระบวนการ และคุณลักษณะที่อยากได้ มีขั้นนำขั้นสอน ขั้นสรุป และการวัดประเมินผลผู้เรียน ทั้งหมดนี้คือใจความที่เราจะสอน ออกแบบโดยมีภาพมาช่วยอธิบายว่า เราจะสอนตอนไหน โดยแผนนี้ใช้ 1 เรื่อง ต่อ 1 เนื้อหา”

“นอกจากนี้ เราใช้วิธีลงไปอยู่กับเด็ก ให้เด็กทำแบบฝึกหัด อาจไม่ได้มีขั้นตอนการสอนอะไรมากมาย แต่ถ้าเด็กต้องการรู้ว่าเราสอนเนื้อหาแบบไหน สไลด์แบบไหน ก็สามารถเข้าไปดูใน QR code”

“ทุกคนต้องตีความคำว่าเสียสละใหม่ เรามักจะเรียกร้องให้ครูทำงานเกินเวลา กลับดึก ทำงานในวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนนี้จะทำให้ชีวิตและตัวตนของครูหายไป แทนที่ครูจะได้พักไปอยู่กับครอบครัว อยู่กับตัวเอง ได้มีเวลาสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ก็ไม่มี”

นอกจากนั้นครูร่มเกล้ายังแบ่งปันวิธีการทำงานที่ตัวเองใช้ และเห็นว่าเป็นประโยชน์ทำให้ครูสามารถขยับตัวได้คล่องขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ นั่นคือ 

  1.     ครูต้องเขียนงานทั้งหมดที่มี กางออกมาให้ตัวเองเห็น
  2.     ครูต้องเรียงลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้น
  3.     ครูสามารถตัดทิ้งงานบางสิ่งบางอย่างออกไป

“3 วิธีการนี้จะช่วยให้ครูไม่ต้องรับภาระโหลดเกินไป ครูต้องหาทางออกก่อนที่งานจะกัดกิน passion และทำให้ครูไม่สนุกกับการเป็นครูอีกแล้ว”

ซึ่งการทำแผนหน้าเดียว จะช่วยทำให้ครูทำงานได้เต็มศักยภาพมากขึ้น รู้โฟกัสของตัวเอง ข้อดีอีกอย่างจะช่วยส่งต่อให้ครูผู้สอนท่านอื่น สามารถสอนเข้าสอนแทนได้อย่างสะดวก หากครูผู้สอนติดภารกิจ เพราะมีแผนการสอนหน้าเดียวกำกับอย่างชัดเจน ว่าจะต้องสอนเนื้อหาอะไรในแต่ละคาบ ช่วยลดปัญหาครูทิ้งคาบ หรือคาบว่างของนักเรียนลงไปได้

สอดคล้องกับคำพูดที่ครูร่มเกล้า กล่าวไว้บนเวทีงาน TEP Forum 2019 ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’ ที่ผ่านมา โดยครูร่มเกล้าเชื่อว่าการลดภาระงานเอกสาร เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขของครู 

 “ถ้าครูมีความสุข ครูก็จะส่งความสุขต่อนักเรียน ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เกิดตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ก็จะส่งต่อไปที่สังคม และสุดท้ายก็จะไปเปลี่ยนนโยบายได้ในที่สุด” 

Tags:

ครูระบบการศึกษาประชาธิปไตยกลุ่มพลเรียน

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    ‘ครูคือคนที่สร้างความแตกต่าง’ ความทรงจำ ตัวตน และจุดยืนการสอน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค
Education trend
8 July 2019

ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

เพราะบางครั้งการสัมผัสเด็ก โดยเกิดจากความเอ็นดูหรือไม่เอ็นดู อาจไปสร้างปม-บาดแผลให้เด็กได้ ถ้าเด็กไม่รู้สึก ‘ยินยอม’ ตัวเลขกว่า 53 % บอกว่า ผู้กระทำความรุนแรง มักเป็นคนใกล้ตัวเด็ก คนรู้จักคุ้นเคย หรือบุคคลในครอบครัว

จึงอยากชี้ประเด็นว่า

1.เราทุกคน (โดยเฉพาะพ่อแม่และเด็ก) จะต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพเนื้อตัวและร่างกายของตนเอง

2.ให้เด็กเรียนรู้วิธีสื่อสาร รู้จักพูดปฏิเสธเป็น (กล้าพูดว่าไม่)

3.ผู้ใหญ่ที่แม้จะสัมผัสจากความเอ็นดู แต่หากเด็กพูดว่า ‘ไม่’ ก็ต้องเคารพคำปฏิเสธ

ซึ่งผลกระทบเรื่องนี้ อาจะส่งไปถึงระดับจิตใจ ฝังลึกเป็นปม ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย อยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และรู้สึกถูกทรยศหักหลัง จากคนที่เขาไว้ใจหรือพ่อแม่ สอดคล้องกับคำที่หมอจิตแพทย์บอก “บางครั้งที่ผู้ใหญ่หอมแก้มด้วยความเอ็นดูรักใคร่ แต่ถ้าเด็กอึดอัดไม่ชอบใจจะฝืนเขาไม่ได้ ควรขออนุญาตเด็กก่อน ด้วยประโยคง่ายๆ ที่ว่า ‘ขอหอมแก้มได้ไหม?’ ‘ขอกอดได้ไหม?’ ถ้าเขาไม่อนุญาต ผู้ใหญ่ต้องเคารพ ถ้าพ่อแม่ทำแบบนี้ตั้งแต่ต้นเขาจะเข้าใจการปกป้องตัวเอง ถ้ามีใครมาจู่โจมเขาจะปฏิเสธได้ว่า ‘อย่าทำนะไม่ชอบ’”

อ่านบทความ คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ ได้ที่นี่

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาเพศSexuality Education(เพศวิถีศึกษา)คุกคามทางเพศ (sexual harassment)พ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Character building
    คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’
Early childhood
5 July 2019

ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

เรื่อง

  • 2 คุณหมอ 1 นักจิตวิทยาจาก 3 เพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน เลี้ยงลูกตามใจหมอ และ ตามใจนักจิตวิทยา ตอบคำถามว่าทำไมเลี้ยงเด็กสักคนยากจัง ตามหลักจิตวิทยาเด็ก
  • เลี้ยงยากหรือเลี้ยงไม่เป็น นั่นเพราะไม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการ พอไม่เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ถูก นำมาซึ่งความยากต่างๆ นานา
  • เด็กไม่ต้องการโตอย่างผู้ใหญ่ เขาต้องการเล่น กินอุ่น นอนอุ่น มีความสุขแบบเด็กจริงๆ นั่นคือพัฒนาการของเขา
เรื่อง: อิชย์อาณิคม์ ชิตวิเศษ
ภาพ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

“ทำไมการเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมาได้ มันยากเหลือเกิน”

ประโยคนี้มีเข้าหูบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูอาจเป็นการบ่นลอยๆ คำตอบจะได้หรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับการก้มหน้าก้มตาเลี้ยงลูกไปดีกว่า

แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคำถามโลกแตกนี้มีคำตอบชัดเจน และนำไปสู่ภาคปฏิบัติที่ทำให้ง่ายขึ้นเพราะตั้งต้นจากความรู้ ความเข้าใจเรื่องพัฒนาการ

เรื่องดังกล่าวเป็นเนื้อหาสำคัญของวงเสวนา ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก: ไขปัญหาและแลกเปลี่ยนความรู้ใหม่กับ 3หมอและนักจิตวิทยาเด็กเจ้าของเพจชื่อดัง’ โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักพิมพ์ bookscape และ dtac ณ ห้อง Library ชั้น 32 ดีแทคเฮาส์ จามจุรีสแควร์ เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

เมื่อปัญหาเกิดจากความคาดหวังสวนทางกับสิ่งที่เป็น

พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ ‘หมอโอ๋’ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ เริ่มต้นวงด้วยการชี้ให้เห็นว่า ปัญหาและความยากส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง เกิดจากสมการง่ายๆ ที่ว่า

“ปัญหา = ความคาดหวัง – สิ่งที่เป็นอยู่”

หมอโอ๋กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความคาดหวังของพ่อแม่ที่สวนทางกับธรรมชาติของพัฒนาการและความต้องการของเด็ก โดยส่วนมากความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกๆ มักหนีไม่พ้นให้ลูกเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ รู้จักแบ่งปันและมีน้ำใจ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่กำหนดความเป็นคนดีของสังคมก็จริง แต่พ่อแม่กลับไม่ได้รู้เลยว่า…

​“เรากำลังคาดหวังสิ่งที่เป็นผู้ใหญ่ในตัวเด็ก”

​กรอบของสังคมเหล่านี้ ทำให้พ่อแม่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าลูกมีปัญหา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การเลี้ยงดูที่ดีที่สุดต้องเริ่มจาก การให้ลูกเรียนรู้ผ่านการเป็นตัวเอง ผ่านการเห็นแก่ตัว ผ่านการเอาแต่ใจตัวเอง เพื่อรู้จักตัวตนของตัวเอง แล้วจึงค่อยๆ ทำความเข้าใจผู้คนรอบข้าง จนปรับตัวเข้าสู่สังคมได้

ด้าน ‘หมอวิน’ ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านจิตวิทยา และมะเร็งในเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกตามใจหมอ’ เพิ่มเติมในประเด็นสำคัญนี้ว่า นอกจากความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกแล้ว ปัญหาที่กุมารแพทย์ส่วนใหญ่มักพบเจอในเด็กคือ เด็กไม่กินหรือเลือกกินอาหาร การนอนของเด็ก เด็กไม่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ตั้งแต่เล็กจนโต และการใช้พฤติกรรมรุนแรงของเด็ก ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดจากการเลี้ยงลูกอย่างไม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการของพ่อแม่

​“ทำให้พ่อแม่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือตามวัยแก่ลูกๆ ของตนได้”

ขณะที่ ‘เมย์’ เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ นักจิตวิทยาด้านเด็กและครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวในเสวนาครั้งนี้ ให้ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กว่า อายุ 0-2 ปี เป็นช่วงวัยที่เด็กต้องการความเชื่อใจ ต้องการให้พ่อแม่อยู่ใกล้ๆ กับพวกเขามากที่สุด

“เมื่อเวลาผ่านไป ช่วงอายุ 3 ปี จะเป็นช่วงวัยที่พวกเขาต้องการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายของตัวเอง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเด็ก ไม่ว่าจะเป็นกุญแจรถ รีโมต หรือแม้แต่อาหาร ทุกสิ่งเป็นของเล่นในสายตาของเด็กวัยนี้ เพราะพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งนี้คืออะไร การทดสอบจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะส่งผลต่อพัฒนาการของพวกเขา”

สอดคล้องกับเนื้อหาในหนังสือ จิตวิทยาเด็ก: ความรู้ฉบับพกพา เขียนโดย อูชา กอชวามี (Usha Goswami) ที่อธิบายว่า ทารกกำลังกำลังเรียนรู้โลก เรื่องแรกที่พวกเขาเรียนคือ การเคลื่อนที่และการเปลี่ยนตำแหน่งผ่านการทดสอบพลังกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่อย่าง แขนและมือ โดยพวกเขาจะทดสอบด้วยการปัด โยน ปา เพื่อดูว่าไปได้ไกลแค่ไหน ทั้งหมดคือพัฒนาการของเด็กวัยนี้

“ดังนั้นการเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับพัฒนาการของลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ควรหาให้กับลูก ที่สำคัญ พ่อแม่ควรพูดคำว่า อย่า หรือ ห้าม ให้น้อยที่สุด หรือไม่พูดเลยในช่วงวัยนี้” เมย์กล่าว

หลังจากนั้น เด็กจะเริ่มแยกจากพ่อแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 6 ปี แต่ด้วยบริบทของสังคมไทยที่ผู้คนต่างปากกัดตีนถีบ เพื่อที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและครอบครัว การส่งลูกน้อยในวัย 3-4 ปี ไปยังโรงเรียนจึงเป็นทางเดียวที่จะลดภาระของพ่อแม่ได้

​“ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อลูก แล้วลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีอยู่จริงสำหรับเขาไหม”

เช่นนั้นแล้ว การเตรียมความพร้อมให้ลูกโดยเฉพาะการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะเข้าโรงเรียนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

“เพราะถ้าพ่อแม่ไม่อยู่กับพวกเขาในช่วงเวลานั้น การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งหลังจากช่วงเวลานี้ก็จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น เพราะพ่อแม่ไม่เคยมีอยู่จริงเลยในมุมมองของเขา”

รับมือกับระบบการศึกษาแบบ Mainstream

แต่ปัญหาของเจ้าตัวเล็กไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อเด็กๆ เริ่มเข้าสู่การศึกษากระแสหลักแล้ว ความไม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการก็ยังตามมาถึงห้องเรียน

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หมอโอ๋ชี้ว่า ระบบการศึกษาของไทยไม่ได้เข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็ก ซ้ำยังเร่งพัฒนาทักษะบางอย่างก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เด็กส่วนใหญ่เสียโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบตามช่วงวัย

“การศึกษาไทยเน้นเร่งพัฒนาการอ่าน เขียน เรียน ติว ตั้งแต่ช่วงอนุบาล ทำให้การพัฒนาวงจรประสาทในเด็กผิดพลาด”

ช่วงวัย 3-6 ปีของเด็ก เป็นช่วงเวลาแห่งการพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้ครบ การเร่งฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่าง การฝึกเขียนคัดไทย ในเวลาที่ไม่ใช่ ทำให้เด็กส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์จำใจทำ โดยที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ ความรู้สึกเชิงลบต่อการเรียนจึงเกิดขึ้นกับเด็ก การเรียนเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ จนเกิดเป็นความรู้สึกต่อต้านครูและการบ้าน

“ที่เป็นเช่นนี้เพราะเด็กไม่ได้รับการฝึก Executive Function (EF) หรือที่เรียกว่า ทักษะสมองด้านการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นทักษะที่สัมพันธ์กับการใช้สติปัญญาทั่วไป ทักษะภาษา และความจำใช้งาน ช่วยให้เด็กสามารถควบคุมยับยั้งความคิด นำไปสู่การควบคุมความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตัวเองได้”

สอดคล้องกับบทหนึ่งของหนังสือจิตวิทยาเด็ก ที่พูดถึง ความสามารถที่จะยับยั้งหรือชะลอความต้องการเติมเต็มความพอใจ หรือ delayed gratification ผ่านการทดลองที่ห้ามให้เด็กหยิบขนมจนกว่าจะได้ยินเสียงกริ่ง หรือเรื่อง การยับยั้งความคิด หรือ inhibitory control ผ่านการทดลองที่เรียกว่า Go-No Go Task ซึ่งกำหนดให้เด็กพูดว่ากลางวันเมื่อเห็นดวงจันทร์และพูดว่ากลางคืนเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ การทดลองเหล่านี้ส่งผลให้สมองบริหารจัดการโจทย์เหล่านี้ผ่าน EF ที่ดีได้

แล้วเราจะพัฒนา EF ของลูกได้อย่างไร?

“การพัฒนา EF สามารถเริ่มต้นได้จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ผ่านการใช้เวลาอยู่ร่วมกับลูก การให้ความรักกับเขาในเวลาที่เขาต้องการ สร้างเงื่อนไขเพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน-หลัง การสร้างความรับผิดชอบให้ลูกผ่านสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่าง การผูกเชือกรองเท้าเมื่อหลุด สนับสนุนในทุกสิ่งที่เขาทำ รวมทั้งสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ลูกต้องการ จะเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนา EF ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” ทั้งหมดนี้หมอวินอธิบายง่ายๆ ด้วยประโยคที่ว่า…

“พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุดสำหรับลูก” หมอวินย้ำ

การพัฒนา EF ถือเป็นส่วนหนึ่งจากต้นทุนทางชีวิตของเด็กที่มีอยู่ทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ตัวเด็ก คือ สมองส่วนลึกที่สุดหรือสมองส่วนความอยากของเด็ก ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน และสังคมที่จะหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในแบบของเขาได้ ถ้าหากได้รับการพัฒนาที่ดี จะทำให้เด็กมีสิ่งที่เรียกว่า Power of Self

แต่ด้วยบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง จากเดิมครอบครัวขนาดใหญ่ การเลี้ยงดูบุตรหลานเป็นหน้าที่ของทุกคนในบ้าน ปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา หากปัจจุบันขยับมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ภาระหน้าที่ทั้งหมดตกอยู่ที่พ่อแม่ ทำให้เด็กไม่ได้รับความรักจากหลากทิศทาง

“กลับกันบางสถาบันที่ควรจะเปลี่ยนแปลงอย่าง โรงเรียน ก็ยังเหมือนเดิม ทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตซ้ำข้อมูลที่มีชุดความจริงแบบคำตอบเดียว ทำให้เด็กที่เป็นผลผลิตสำคัญของโรงเรียนไม่ต่างอะไรจาก หุ่นยนต์ที่ต้องคอยรับคำสั่งให้ทำเพียงเท่านั้น” หมอวินเปรียบเทียบ

พ่อแม่ต้องมีอยู่จริง

หมอวินกล่าวถึงปัญหา​ดังกล่าวอีกว่า เมื่อบริบทสังคมต่างบีบรัดการสร้างพัฒนาการที่ดี และการเจริญเติบโตของเด็ก ดังนั้นครอบครัวจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กยังสามารถอยู่รอดและเติบโตในสังคมได้

“สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่จำเป็นต้องทำคือ ประเมินลูกทุกครั้งว่า ลูก suffer จากสังคมและระบบการศึกษาที่เป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เขาและพาเขาออกมาจากสิ่งที่เผชิญอยู่ได้”

หมอโอ๋เสริมอีกแรงว่า การเลี้ยงดูเด็กสักคนหนึ่งเพื่อให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพได้ จึงไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ แต่อยู่ที่กระบวนการในการสร้างเด็กคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ ให้เป็นสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น เพราะ…

“เด็กไม่ได้เป็นตามที่เราสอน แต่เด็กเป็นในสิ่งที่เราเป็น” เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง

“พ่อแม่ไม่ควรมีความสุขกับการเห็นต้นไม้เติบโต แต่ควรมีความสุขกับการได้รดน้ำ พรวนดินทุกวัน” หมอโอ๋ย้ำอีกเสียง

ทั้งหมดจึงเป็นคำถามย้อนกลับมาสู่ครอบครัว รวมทั้งโรงเรียนและสังคมว่า

สิ่งที่เราคาดหวังกำลังสวนทางกับสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือไม่?

ยังไม่สายไป หากจะกลับมาใส่ใจพัฒนาการและความต้องการของพวกเขา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว…

​“การสร้างเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นที่มีคุณภาพ ง่ายกว่าการซ่อมวัยรุ่นสักคนหนึ่ง”

Tags:

เมริษา ยอดมณฑปผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐจิตวิทยาเด็กจิตวิทยางานเสวนาวินัยเชิงบวกEFพญ.จิราภรณ์ อรุณากูร

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    ปลดแอก ‘ชุดนักเรียน’ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น : มองรอบด้านจากบ้านถึงโรงเรียนกับ ‘รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Family PsychologySocial Issues
    รายรับน้อยลง ต้องประหยัดมากขึ้น: คุยกับลูกเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว เรื่องของผู้ใหญ่ควรให้เด็กเกี่ยว เขาจะเติบโตขึ้น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย
How to enjoy lifeFamily Psychology
4 July 2019

SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

เรื่อง

  • คุยกับ พญ.สุนิดา โสภณนรินทร์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เรื่องการบำบัดในถาดทราย (Sand Tray Therapy) เทคนิคการบำบัดที่ไม่เน้นการพูดคุย แต่ชวนเด็กและผู้ใหญ่มาทำความเข้าใจภูเขาน้ำแข็งในใจและเล่าเรื่องด้วยการจัดวางตุ๊กตาในถาดทราย
  • สำหรับคนพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะเรียบเรียง บอกเล่าความรู้สึกของตัวเองอย่างไร การพูดคุยกับจิตแพทย์อย่างตรงไปตรงมาอาจไม่ใช่ทางเลือก จิตแพทย์จึงต้องใช้การบำบัดในถาดทรายเข้ามาช่วย
  • ตุ๊กตาในถาดทราย คือตัวแทนคาแรคเตอร์ต่างๆ สามารถเลือกให้ตรงกับอารมณ์ ความรู้สึก และภาพในใจ ส่วนกระบวนการพูดคุยของหมอที่ช่วยให้ได้คิดและสำรวจจิตใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน
เรื่อง: ธนาวดี แทนเพชร
ภาพ: ลักษิกา จิรดารากุล

สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันคือ ความสามารถในการรับรู้ถึงความทุกข์ ความเศร้า ความอึดอัด ความกดดัน และความเจ็บปวด ทั้งจากบาดแผลในอดีต ปัจจุบัน หรือจากเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่มากระทบกระเทือนจิตใจ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะจัดการหรือสื่อสารก้อนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจออกมาได้ง่ายๆ การมาพบจิตแพทย์เพื่อทำความเข้าใจกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ในวันที่ใจเรายังไม่พังยับเยิน

แม้การพบจิตแพทย์จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทำให้เราปลดปล่อยและพูดคุยได้ทุกเรื่องที่ใจต้องการ แต่สำหรับคนที่พูดไม่เก่ง กำลังเผชิญกับปัญหา ไม่รู้จะเรียบเรียงและบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองอย่างไร การเผชิญหน้ากับจิตแพทย์และพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ช่วยให้เขาเข้าใจตัวเองได้ จิตแพทย์จึงต้องมีเครื่องมือและวิธีการที่ช่วยให้คนไข้สามารถแสดงอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกออกมาได้ง่ายขึ้น

เราจึงชวน พญ.สุนิดา โสภณนรินทร์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น มาคุยเรื่อง ‘การบำบัดในถาดทราย (Sand Tray Therapy)’ซึ่งเป็นเทคนิคการบำบัดที่ไม่เน้นการพูดคุย แต่ชวนคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาทำความเข้าใจภูเขาน้ำแข็งในใจและเล่าเรื่องด้วยการจัดวางตุ๊กตาในถาดทราย

การบำบัดด้วยถาดทราย (Sand Tray Therapy) คือการบำบัดที่ช่วยให้คนไข้ที่กำลังมีความทุกข์ มีความเศร้า มีบาดแผลภายในจิตใจ มีความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็ก มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ (PTSD) เป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือกำลังเผชิญปัญหาชีวิตที่ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้ โดยที่คนไข้สามารถหลีกเลี่ยงการพูดถึงรายละเอียดที่เปราะบางและไม่ต้องการพูดถึงได้

การบำบัดจะช่วยเปลี่ยนแปลงมุมมองที่คนไข้มีต่อตัวเองและมุมมองที่มีต่อคนอื่น ทำให้มองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปรับเปลี่ยนอารมณ์จากภายใน รับมือกับสิ่งที่อยู่ในใจและหาทางออกให้กับปัญหาของตัวเองได้ ซึ่งการบำบัดนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคก็สามารถเข้ารับการบำบัดได้

วิธีเอา ‘ภูเขาน้ำแข็งในใจ’ ออกมาวางในถาดทราย

คุณหมอสุนิดาเล่าว่า การใช้ถาดทรายและตุ๊กตาไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ได้มีการนำศาสตร์อื่นๆ มาใช้ในการบำบัดคนไข้ที่ไม่ถนัดในการสื่อสารด้วยการพูดเช่นกัน เช่น การใช้ art therapy หรือ ศิลปะบำบัด ใช้การวาดภาพ การปั้นตุ๊กตา การเล่นละคร และศิลปะในวิธีอื่นๆ เพื่อช่วยให้คนไข้ก้าวข้ามกำแพงในใจตัวเองและสื่อสารกับหมอได้มากขึ้น

การบำบัดด้วยถาดทราย (Sand Tray Therapy) นำการเล่นบำบัด (play therapy) ซึ่งเป็นกระบวนการเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในทุกๆ ด้านของเด็ก มาใช้ร่วมกับจิตบำบัดตามแนวซาเทียร์ Satir Model (Satir Transformational Systemic Therapy) ซึ่งเป็นหลักการจิตบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ใช้รูปภูเขาน้ำแข็งเป็นตัวแทนของจิตใจ โดยแบ่งออกเป็น 6 ชั้น ตามส่วนของจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจที่เป็นนามธรรม กลับกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ทฤษฎีของซาเทียร์ เชื่อว่า ‘ทุกคนล้วนมีภูเขาน้ำแข็งของตัวเอง’ ซึ่งภูเขาน้ำแข็งของทุกคนจะแบ่งออกเป็น 6 ชั้น

ชั้นที่ 1 อยู่บนสุดและอยู่พ้นน้ำขึ้นมาคือ พฤติกรรมที่เราแสดงออกให้คนอื่นเห็น

ชั้นที่ 2 อยู่ใต้น้ำลงไปคือ ความรู้สึก

ชั้นที่ 3 การรับรู้ ความคิดเห็น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และภาพในใจ

ชั้นที่ 4 ความคาดหวังต่อตัวเอง ต่อคนอื่นๆ หรือต่อโลก

ชั้นที่ 5 ความต้องการลึกๆ ในใจ เช่น การได้รับการยอมรับ ได้รับความรัก หรือความต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างคุณค่าให้ตัวเอง

ชั้นที่ 6 ชั้นสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุด คือความเป็นตัวตนลึกๆ ของเรา หรือ self

ภูเขาน้ำแข็งก้อนนี้เองที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้มนุษย์คิด ทำ รู้สึก และเกิดความคาดหวังในชีวิต เมื่อภูเขาน้ำแข็งของเราและภูเขาน้ำแข็งของคนอื่นมาเจอกัน บางทีมันอาจจะไม่ตรงหรือลงล็อคกันเสมอไป เช่น การที่พ่อแม่คิดว่าลูกเป็นเด็กทำอะไรเชื่องช้าและเฉื่อยชาจึงแสดงออกด้วยการใช้คำพูดแย่ๆ กับลูก เพื่อกระตุ้นให้เขาแอ็คทีฟมากขึ้น ขณะเดียวกัน ลูกก็มองว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำอยู่คือการทำร้ายความรู้สึกของเขา พ่อแม่ไม่รักเขา ดังนั้นภูเขาสองลูกนี้มันจึงไม่จูนเข้าหากันและไม่เข้าใจกันเสียที

ซาเทียร์จึงเป็นหลักการที่ทำให้เราต่างมองเห็นภูเขาน้ำแข็งของกันและกัน มองเห็นตัวเรา มองเห็นคนอื่น มองเห็นโลกใบนี้ว่ามีความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง และความต้องการลึกๆ อะไรบ้าง และการบำบัดของจิตแพทย์นี่เองที่ช่วยเปลี่ยนความเชื่อ ทำให้เราพบมุมมองใหม่ และมองเห็นภูเขาน้ำแข็งในใจของคนอื่นได้

แต่บางครั้งการทำซาเทียร์ยังไม่เป็นรูปธรรม การใช้ตุ๊กตาเข้ามาช่วยจะทำให้เห็นว่าตุ๊กตาแต่ละตัวต่างพูดแทนเราได้ ตุ๊กตาทุกตัวที่เด็กเลือกไปวางลงบนถาดทรายล้วนมีความหมายทั้งหมด หมอจะใช้การตั้งคำถามเพื่อให้เขาเลือกหยิบตุ๊กตามาตอบและจัดวางโดยไม่เข้าไปชี้นำว่าควรเลือกหรือวางอย่างไร แต่จะคอยสังเกตท่าทาง แววตา และน้ำเสียง คอยกระตุ้นให้เขาคิดและตอบ และดูว่าระหว่างการบำบัดเขารู้สึกอย่างไร

ถ้าเด็กเลือกตุ๊กตาเสือมาวางข้างกระต่าย หมอก็จะถามเขาว่า เสือตัวนี้อยากจะพูดอะไรบ้างไหม? เสือตัวนี้อยากจะบอกอะไรกระต่ายบ้างหรือเปล่า? แล้วกระต่ายล่ะ เขารู้สึกยังไงกับเสือเวลาอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้? การตั้งคำถามและใช้ภาพตัวแทนทำให้คนไข้ได้แชร์ความคิดระหว่างตัวละคร 2 ตัว เหมือนเรากำลังดูหนังกันอยู่ ดังนั้นหลักในการบำบัดจึงเป็นการ ‘เอาภูเขาน้ำแข็งในใจออกมาวางในทราย’

หน้าที่ของหมอคือการค่อยๆ เก็บข้อมูล และค่อยๆ ถอดรหัสเรื่องราวออกมาอย่างเป็นรูปธรรม และช่วยให้คนไข้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ เชื่อมโยงความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง และความต้องการภายในจิตใจเพื่อให้กระจ่างและชัดเจนมากขึ้น

เหตุผลที่เราไม่เข้าใจกันเพราะต่างคนต่างมีภูเขาน้ำแข็งเป็นของตัวเอง

บางทีถ้าเราไม่เคยมองเลยว่าภูเขาน้ำแข็งของฉันเป็นแบบไหน ฉันเป็นคนอย่างไร ต้องการอะไร มองตัวเอง มองคนอื่น หรือมองโลกนี้อย่างไรบ้าง เราก็จะไม่มีทางเข้าใจตัวเองและไม่ตระหนักถึงการมีอยู่ภูเขาน้ำแข็งของคนอื่นด้วยเช่นกัน และมองไม่เห็นว่าพฤติกรรมที่คนอื่นแสดงออกมาเกิดขึ้นจากอะไร

เช่น การที่เจ้านายพูดไม่ดีกับเรา อาจจะเกิดจากเพราะเขาไปเจอเหตุการณ์บางอย่างที่สร้างความเข้าใจผิดมา จึงเอาความโกรธนั้นมาลงที่เราทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิด แต่โดยปกติแล้วเขาไม่ได้คิดไม่ดีกับเรา ถ้าเรามองเห็นภูเขาน้ำแข็งของเขา เราก็อาจจะไม่โกรธเขาในทันที หรือในบางกรณีคนไข้ก็อาจจะเข้าใจผิดกับตัวเอง มีมุมมองที่ไม่ดีต่อตัวเอง ต่อคนรอบข้าง ทำให้เกิดความวิตกกังวลหรือปัญหาอื่นๆ ตามมา หมอก็สามารถใช้กระบวนการบำบัดในถาดทรายเพื่อทำให้ผู้ถูกบำบัดมองมุมใหม่และยอมรับใหม่ได้มากขึ้น

เมื่อตุ๊กตาคือตัวแทนของเรื่องเล่าและนำไปสู่การเข้าใจตัวเอง

โดยปกติแล้วการทำงานของสมองคนไข้ที่มีปัญหาภายในจิตใจมักจะไม่สามารถพูดหรือบอกอารมณ์ของตัวเองออกมาได้ ในขณะที่เกิดปัญหา สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวาจะทำงานไม่สัมพันธ์กัน จึงทำให้การพูดและการสื่อสารเสียหายไปด้วยเช่นกัน จิตแพทย์จึงต้องหาวิธีที่ช่วยให้สมองทั้งสองซีกกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งการบำบัดด้วยในถาดทรายจะใช้ ‘ตุ๊กตา’ เป็นสื่อกลางในการดึงเอาภาพที่อยู่ในหัวของคนไข้ออกมาอธิบายเหตุการณ์และแสดงตรรกะของเขาอย่างเป็นรูปธรรม

โดยส่วนตัวหมอชอบวิธีการนี้ เพราะช่วยให้คนไข้สามารถอธิบายอารมณ์และความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น โดยปกติแล้วเวลาจิตแพทย์ซักประวัติถึงเรื่องอารมณ์ความรู้สึก

บางทีคนไข้อธิบายไม่ได้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน แต่การมีตุ๊กตาทำให้เขาเลือกตัวที่มีคาแรคเตอร์ตรงกับอารมณ์ ความรู้สึก และภาพในใจของเขาได้ และกระบวนการพูดคุยของหมอที่ช่วยให้เขาได้คิดและสำรวจจิตใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน

ในกระบวนการบำบัด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ภายในห้องจะมีแค่หมอและคนไข้เท่านั้น เพื่อสร้างบรรยากาศให้คนไข้สบายใจที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเอง

ใครเป็นคนนิยาม-ตีความความหมายของตัวละครบนถาดทราย

ตุ๊กตาทั้งหมดที่อยู่บนถาดทรายเกิดจากความคิดและความรู้สึกของคนไข้เอง บางทีตุ๊กตาตัวเดียวกัน แต่คนไข้คนละคนหยิบ อาจจะสื่อความรู้สึกไม่เหมือนกัน อย่างตุ๊กตาเต่าตัวหนึ่งในตู้ที่มักจะถูกคนไข้หยิบอยู่บ่อยๆ โดยปกติถ้าเป็นคนที่มีความสุขหยิบแล้วจะรู้สึกว่าตุ๊กตาตัวนี้มันดูร่าเริง สดใส แต่พอเป็นคนไข้ที่มีอารมณ์ซึมเศร้าหยิบ เขาก็จะรู้สึกว่าเต่าตัวนี้มันดูเศร้าและหดหู่ ซึ่งเป็นภาพตัวแทนของเขาในขณะนี้ได้

ถ้าให้ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เห็นภาพได้ชัดขึ้นก็คือ เมื่อหมอถามว่าเด็กมองเห็นแม่เป็นแบบไหน? ตุ๊กตาตัวไหนคือตัวแทนแม่ของเขา? เด็กคนหนึ่งเลือกหยิบตุ๊กตามังกรที่ดูดุมาก กางปีกสยายพร้อมจะสู้รบตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ในตู้เก็บตุ๊กตาเรามีมังกรให้เลือกอยู่หลายแบบ ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าในชีวิตจริง เด็กคนนี้มองเห็นแม่ตัวเองเป็นคนที่ดุมากและเขากลัวแม่มาโดยตลอด แต่ในขณะเดียวกันการบำบัดจะช่วยให้เขามองเห็นความจริงได้มากกว่า 1 มุม

เช่น หมอจะถามเขาว่า ‘อะไรที่จะทำให้มังกรตัวนี้มันลุกขึ้นมาโกรธขนาดนี้?’ หรือ ‘ปกติแล้วมังกรตัวนี้เวลาสงบเป็นอย่างไร?’ คำถามแบบนี้จะทำให้เด็กนึกย้อนกลับไปว่าก่อนที่แม่จะโกรธหรือดุแบบนี้ แม่เป็นคนแบบไหนนะ? มีเวลาไหนที่แม่ไม่ดุเขาบ้างไหม? และ ตอนไม่ดุแม่เป็นอย่างไรบ้าง? วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มมุมมองให้เด็กเห็นว่า จริงๆ แล้วมังกรตัวนี้ไม่ได้ดุร้ายตลอดเวลาอย่างที่เขาคิด ที่มังกรดุอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นมังกรกำลังปกป้องอะไรบางอย่างอยู่ ที่เด็กมองเห็นก็อาจเป็นแค่ด้านเดียวของแม่เท่านั้น เขามองเห็นแค่ด้านที่ดุ แต่ไม่ได้มองว่าแม่ดุเพราะอะไร พอเขามองเห็นด้านอื่นๆ ของแม่ เขาก็จะเข้าใจว่าที่แม่แสดงออกแบบนั้นก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้เช่นกัน

การสำรวจจิตใจผ่านการบำบัดในถาดทรายจะช่วยคนไข้อย่างไรบ้าง

เนื่องจากการบำบัดในถาดทรายเหมือนการย่อส่วนอารมณ์ที่เป็นจริงในใจผู้ถูกบำบัดออกมาวาง จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะเข้าใจลูกได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจลูกได้มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่บางคนพอได้เห็นตุ๊กตาที่ลูกเลือกเพื่อเป็นตัวแทนของเขาเอง ก็ทำให้เขาย้อนกลับมามองตัวเองว่าเขาเป็นแบบนั้นจริงไหม? หรือภาพครอบครัวที่ลูกจัดวางออกมาคือภาพที่เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? เพราะเด็กบางคนก็เลือกหยิบตุ๊กตาออกมาให้ตีความได้ตรงๆ เลย เช่น พ่อเป็นเสือ แม่เป็นหมู ลูกสาวคนโตเป็นจระเข้ และตัวเขาเองซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กเป็นเต่า พ่อที่ถูกลูกมองว่าเป็นเสือ ก็ต้องย้อนกลับไปดูภูเขาน้ำแข็งของตัวเองเหมือนกันว่าฉันเป็นคนแบบไหนกันแน่ ฉันร้ายกับลูกจริงไหม? ฉันดุลูกหรือกดดันลูกมากเกินไปหรือเปล่า? หรือมันเกิดอะไรขึ้นในครอบครัวของเราจึงทำให้ลูกสาวคนเล็กขี้กลัวและหงอแบบนี้

พอเขาเห็นมุมมองของลูกที่เป็นรูปธรรมบนถาดทรายเขาก็จะเข้าใจลูกได้มากขึ้นเช่นกัน กระบวนการบำบัดในถาดทรายจึงเป็นการปรับจูนภูเขาน้ำแข็งสองก้อนให้ลงล็อคกันได้ และในระหว่างการบำบัด หมอช่วยเปลี่ยนเรื่องที่เคยกระทบกระเทือนจิตใจหรือเปราะบางมากสำหรับคนไข้ไปในทางที่ดีขึ้นได้เช่นกัน

ถ้าเราเข้าใจภูเขาน้ำแข็งของตัวเองตั้งแต่เด็ก จะช่วยให้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ง่ายขึ้นหรือเปล่า

ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เรื่องราวที่ทุกคนมีหรือเป็นอยู่ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีรากเหง้ามาจากอดีตทั้งนั้น หมอคิดว่าเวลาที่คนเรามีปัญหา เรามักจะมองแต่สิ่งที่เราเชื่อและเชื่อจากสิ่งที่เราเห็นเท่านั้น แต่เราอาจไม่มีโอกาสได้มองในส่วนอื่นๆ ที่เราไม่เคยเห็นเลย การบำบัดนี้จะช่วยให้เราได้มองเห็นเรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันกว้างขึ้นกว่าที่เราเคยเข้าใจ

ถ้าเด็กที่มีเรื่องรบกวนจิตใจได้ทำการบำบัด เขาก็จะเห็นมุมมองอื่นของปัญหา ได้คลี่คลายปมหรือบาดแผลในใจของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ในเด็กที่ยังไม่เจอปัญหา จะเข้ามาทำการบำบัดเพื่อเป็นการสำรวจจิตใจตัวเองก็ได้ แต่อย่างน้อยมันต้องมีประเด็นตั้งต้นขึ้นมาก่อนเพื่อให้หมอมองหาปัญหาให้เจอ

ในบางเคส ผู้ปกครองพาลูกมาพบจิตแพทย์เพราะอยากตรวจสุขภาพจิตเท่านั้น ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองมีปัญหาอะไร แต่พอคุยกันไปเรื่อยๆ หมอพบว่าเด็กคนนี้ตั้งใจเรียนมากเพราะความรู้สึกผิด ในมุมมองของคนอื่นอาจจะมองว่าเด็กตั้งใจเรียนก็ดีแล้ว แต่พอค้นลงไปในใจเด็กเรากลับพบว่าการตั้งใจเรียนของเขามาจากความกลัวที่จะผิดพลาด กลัวไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนพ่อแม่ กลัวถูกตำหนิจากคนรอบข้าง และเขาใช้ความกลัวเป็นแรงผลักดันตัวเองมาโดยตลอด ซึ่งความคิดแบบนี้อาจจะเป็นอันตรายกับสุขภาพจิตของเด็กได้ในอนาคต แต่พอเขาได้สำรวจความกลัวของตัวเองในถาดทราย และพบว่าจริงๆ แล้วชีวิตเขาเก่งได้โดยที่ไม่ต้องกลัวและกดดันตัวเองมากขนาดนี้ ก็ทำให้เขามองเห็นเป้าหมาย และเปลี่ยนมาใช้เป้าหมายเป็นที่ตั้งโดยไม่ต้องใช้ความกลัวเป็นแรงผลักดันในชีวิตก็ได้ เขาจะมองเห็นความกลัวที่เป็นรูปธรรมและเรียนรู้ว่าเขาสามารถรับมือกับมันได้ และเติบโตต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครตำหนิ

สุดท้ายแล้วการเติบโตเป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้ง่ายหรอก แต่ต่อให้เมื่อโตขึ้นเขาพบกับความผิดพลาด ผิดหวัง เขาก็จะมาสามารถมองหาเลือกทางใหม่ให้ชีวิตได้เสมอ4,7771.1kFacebookTwitter

Tags:

การเล่นจิตวิทยาปม(trauma)ซาเทียร์The Iceberg Modelศิลปะบำบัดพญ.สุนิดา โสภณนรินทร์

Author:

Related Posts

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Healing the trauma
    เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to enjoy life
    ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

FACETOOK: มา ‘เฟซทุกข์’ กันเถอะ เพราะลึกๆ แล้วเฟซบุ๊คไม่ได้มีแค่ความสุข
How to enjoy life
3 July 2019

FACETOOK: มา ‘เฟซทุกข์’ กันเถอะ เพราะลึกๆ แล้วเฟซบุ๊คไม่ได้มีแค่ความสุข

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • คุยกับ ชูใจ กะ กัลยาณมิตร ครีเอทีฟเอเจนซี กับผลงานล่าสุด www.facetook.org ‘เฟซ-ทุกข์’ แพลตฟอร์มที่เปิดให้ทุกคนเข้าไปโพสต์ความทุกข์เศร้าเพื่อตบหลังตบไหล่บอกกับใครหลายคนว่า ที่เศร้าอาจเพราะเปรียบเทียบตัวเองกับคนในโซเชียลมีเดีย แม้เห็นว่าเขาสุข แต่ทุกคนก็มีทุกข์เป็นของตัวเองนะ
  • “สิ่งที่คนโพสต์ในโซเชียลมีเดียไม่ได้มีด้านที่เขามีความสุขอย่างเดียว ยังมีอีกด้านที่เป็นความทุกข์เพียงแต่เขาไม่ได้บอกให้คนอื่นรู้และคนไม่พูดกัน แต่บางทีคนไม่ได้นึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ facetook.org อยากทำให้เห็นว่าทุกอย่างมีสองด้าน คนที่มีความสุขก็ทุกข์เหมือนกัน ถ้าเราเห็นความจริงก็น่าจะทำให้เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นน้อยลง นี่เป็นสมมุติฐานที่ทำให้เกิดโปรเจ็คท์นี้ขึ้นมา”

เคยไหม… จากที่รู้สึกแฮปปี้ อากาศรอบตัวดูแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง คุณรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตเต็มเปี่ยม แต่พอเปิดแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ค อยู่ดีๆ หัวใจที่เคยพองโตกลับแฟบลงคล้ายมีคนเอาเข็มมาจิ้มเจาะ โลกใบเดิมหม่นลงเพียงพริบตา เหตุที่ทำให้รู้สึกแย่ ไม่ใช่เพราะเฟซบุ๊คฟีดข่าวร้าย แต่เศร้าเพราะเพื่อนมากมายในโซเชียลมีเดียกำลังมีความสุข หลักฐานคือรูปภาพและเรื่องเล่าหลากกิจกรรมที่คุณไม่อาจมีประสบการณ์

คุณเศร้า… ไม่สิ ต้องบอกว่าเราเศร้าลง เพราะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่กำลังมีความสุข และให้ตายเถอะ หลังจากนั้นคุณอาจเริ่มโกรธและผิดหวังกับตัวเองที่เผลอมีความคิดลบๆ เช่นนั้น

“ยัยนี่ไปเที่ยวอีกแล้ว… วันๆ ทำงานบ้างปะเนี่ย?”

“ตานี่คบกับแฟนมา 4 ปีแล้ว ให้ตาย ไม่เจอปัญหาคู่รักบ้างเหรอฮะ?!”

“คนนี้มีเวลาไปออกกำลังกาย ใช่ซี้… เพราะมีเงินและเวลา ถ้าฉันรวยบ้างคงไม่นั่งอ้วนแบบนี้หรอก”

ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกว่าคุณผิด แปลกประหลาด ใจร้าย ขี้อิจฉา และเอาเข้าจริง เราต่างมีบางขณะที่รู้สึกเช่นนี้กันทั้งนั้น และเพราะไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียว มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งรู้สึกและอยากทำงานกับมัน

www.facetook.org ที่อ่านว่า ‘เฟซ-ทุกข์’ เว็บไซต์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวราวสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตั้งใจเปิดพื้นที่ สร้างแพลตฟอร์มให้คนเข้ามาระบายความทุกข์เศร้าที่บางครั้งโซเชียลมีเดียอื่นๆ ไม่เปิดโอกาสให้ทำได้ และต้องการชี้ว่า ที่เห็นคนอื่นมี ‘ชีวิตดีๆ’ ในอีกด้านของเหรียญเดียวกัน ก็คือความทุกข์ไม่ต่างกัน

ตัวเว็บไซต์ออกแบบให้ล้อกับหน้าตาเฟซบุ๊คจริง สิ่งที่มากกว่าคือปุ่มคลิกตอบรับทั้ง ไลค์, ชูสองนิ้ว (ให้กำลังใจ), หน้ายิ้มกว้างจริงใจ, รูปมือสัญลักษณ์เลิฟ, กอด (ความเห็นอกเห็นใจ) และ หน้าร้องไห้ เพราะบางเรื่องเล่า ไม่ต้องการคำปลอบใจอะไร แค่นั่งร้องไห้ด้วยกันก็เพียงพอ

The Potential ชวนทีมทำงาน เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ และ บอมบ์-ปัณณวิชณ์ แซ่โง้ว ผู้ร่วมก่อตั้ง และ ก๊อปปี้ไรเตอร์แห่ง ‘ชูใจ กะ กัลยาณมิตร’ ครีเอทีฟเอเจนซีกลุ่มนักคิดเพื่อสังคม พูดคุยถึงวิธีคิด ความตั้งใจ และเนื้อหาที่อยากสื่อสาร และจริงหรือไม่ที่คนหนุ่มสาวทุกข์เศร้ากันง่ายขึ้นทั้งที่เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้เราใกล้ชิดกันเพียงสไลด์หน้าจอสมาร์ทโฟน ถ้าใช่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราจะตั้งหลัก รับมือกันอย่างไรดี?

คลิปวิดีโอเปิดตัวเว็บไซต์ facetook.org

ที่มา www.facetook.org

บอมบ์: facetook.org เป็นโปรเจ็คท์ภายใต้ โครงการความสุขประเทศไทย โดยชูใจฯ ร่วมกับธนาคารจิตอาสา และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยโปรเจ็คท์ความสุขประเทศไทยทำจะเป็นเรื่อง ‘มิติสุขภาวะทางปัญญา’ ศัพท์มันจะดูแอดวานซ์นิดนึงนะ แต่มันคือการทำให้คนค้นพบความสุขจากการเข้าถึงความจริงโดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุหรือบริโภคนิยม หมายถึงว่า เราอยู่ในยุคที่ทุกคนดิ้นรนปีนป่าย แสวงหาตัวตน อยากมีอยากได้ เราเลยหาที่พึ่งเพื่อทำให้เรามีความสุข แต่จริงๆ แล้วมันมีอีกทางหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ นั่นคือการเริ่มต้นจากตัวเอง โครงการความสุขประเทศไทยนำเสนอวิธีเข้าถึงความจริงและความสุขผ่าน 8 เส้นทาง ตั้งแต่ การออกไปทำงานจิตอาสา การเข้าหาธรรมชาติ การทำงานศิลปะ การภาวนา และอื่นๆ

จริงๆ แล้วก่อนจะเกิดเป็น facetook.org เราทำอยู่หลายโครงการที่ต้องการสื่อสารในประเด็นเหล่านี้ (มิติสุขภาวะทางปัญญา) และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ทีนี้เราเลยคิดกันต่อว่า แล้วคนรุ่นใหม่ที่เราอยากสื่อสารด้วย เขามีปัญหาอะไร เขาใช้ชีวิตกันยังไง? สุดท้ายค้นพบว่า เดี๋ยวนี้คนเราอยู่บนหน้าจอกันหมด อยู่ในโลกออนไลน์ อยู่ในเฟซบุ๊ค และอยู่กันตั้งแต่ตื่นถึงหลับ เวลาที่อยู่กับมันมากๆ เราก็จมกับมัน เกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตในนั้น สุดท้ายมันกระทบกับตัวเขาเอง จนทำให้หลายคนต้องเป็นทุกข์เพราะไปนั่งดูชีวิตคนอื่น

เราเลยมีไอเดียขึ้นมาว่า สิ่งที่คนเราโพสต์ในโซเชียลมีเดียหรือเฟซบุ๊ค มันไม่ได้มีด้านที่เขามีความสุขอย่างเดียว ยังมีอีกด้านที่เป็นความทุกข์เพียงแต่เขาไม่ได้บอกให้คนอื่นรับรู้และคนไม่พูดกัน แต่บางทีคนไม่ได้นึกถึงสิ่งเหล่านี้ เห็นแค่ภาพความสุขก็คิดขึ้นมาเลยว่า เขามีความสุขมากแน่ๆ แล้วพอมองกลับมาที่ตัวเอง เปรียบเทียบกับตัวเองเลยทำให้ทุกข์

แต่ facetook.org อยากทำให้เห็นว่า ทุกอย่างมีสองด้าน คนที่มีความสุขก็ทุกข์เหมือนกัน แล้วพอเขาเห็นความจริง ก็น่าจะทำให้เขาเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นน้อยลง ทั้งหมดนี้เป็นสมมุติฐานนะครับ แต่ก็เป็นสมมุติฐานที่ทำให้เกิดโปรเจ็คท์นี้ขึ้นมา

เม้ง: และมันก็มาจาก insight ของผมและบอมบ์ด้วยนะ เพราะเราต่างก็เป็นทุกข์กับเฟซบุ๊ค เคยไหมที่ไปกินข้าวกับเพื่อน 3 ชั่วโมง เราถ่ายรูปกอดคอกับบอมบ์แค่ช็อตเดียว โพสต์ลงไป คนอาจคิดว่า ‘มันต้องสนุกโคตรๆ’ แต่จริงๆ ไม่ว่ามันจะสนุกหรือไม่สนุก คนที่ดูก็ไม่จำเป็นต้องสนใจขนาดนั้น หรือบางครั้งเราไปเที่ยว ก็พยายามจะถ่ายรูปให้ครบทุกโปรแกรมที่ไป เราได้เสพบรรยากาศจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่โพสต์ไปก่อนหนึ่งที เพื่อโยนลงไปในสังคมไม่ให้เรารู้สึกแย่ว่ามาแล้วไม่ได้โพสต์ แล้วเวลาที่คนกดไลค์เรา มันรักษาจิตใจเรานะ แต่มันรักษาแบบไม่ยั่งยืน รักษาแบบเป็นแผล ไม่หายขาด

ตัวโลโก้ facetook ตัว t คือตัว f กลับด้าน และหน้าต่างในเว็บไซต์ออกแบบคล้ายเฟซบุ๊คจริงเกือบทุกประการ ทีมทำงานตั้งใจทำ facetook.org ให้เป็นโลกคู่ขนานใช้คู่กับเฟซบุ๊คเลยไหม หรือคนทำอยากเห็น facetook.org เป็นไปในลักษณะไหน

เม้ง: ตัวผมไม่ได้มองมันเป็นแอพพลิเคชั่นแบบระยะยาว และไม่ได้คิดขนาดอยากให้มันเป็นโลกคู่ขนานตีคู่ไปกับเฟซบุ๊ค แต่มองเป็น art piece หรืองานศิลปะมากกว่า ไม่รู้พูดอย่างนี้แล้วจะสูงส่งไปไหมนะ แต่มันเป็นโปรเจ็คท์ เป็นก้อนไอเดียก้อนหนึ่งที่อยากสร้าง awareness กระตุกเตือนสังคมให้เห็นโลกอีกด้าน ในแง่ที่ให้ทุกคนเข้าไปดูเรื่องราวความทุกข์คนอื่น แค่สองสามโพสต์หรือจะไล่ดูทั้งหมดก็ได้ ถ้าเฟซบุ๊คเป็นด้านความสุข facetook.org ก็เป็นการมาเตือนแหละ เพราะไม่เคยมีใครมาเตือนมันเลย โลโก้ก็เห็นชัดว่าทำกลับด้านเพื่อล้อเลียนโลกอีกด้านของมัน

โซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊คเป็นตัวร้ายหรือเปล่า?

เม้ง: จริงๆ ในวิดีโอมันบอกเกือบครบแล้วว่า เราไม่ได้บอกว่าเฟซบุ๊กผิด ไม่ได้บอกว่าคนโพสต์ผิด ไม่ได้ไปแก้ที่การโพสต์ แต่อยากจะบอกว่า บางทีภาวะแบบนี้มันลำบากนะ เราใช้มันเยอะเข้าเราก็เผลอ เราแค่ทำเครื่องมือมาเตือน เพราะทุกวันนี้พอใช้โซเชียลมีเดีย ชีวิตถูกสแน็ปเป็นช็อตๆ เป็นโมเมนต์ เป็นวิดีโอช่วงสั้นๆ ทำให้เราไม่เห็นทั้งหมด และเราก็คิดว่าอันนั้นมันคือทั้งหมดของเขา และเราก็ไปปฏิสัมพันธ์ในเชิงความรู้สึก ไปรู้สึกกับมันเยอะ อิจฉามาก โกรธมาก หงุดหงิดมาก ไปปรุงแต่งกับมันเยอะ ด้านมืดแค่ทำมาเตือน

บอมบ์: ผมมองว่าตัวเว็บไซต์ facetook.org มันเป็นผลพลอยได้มากกว่า แต่ข้อความที่อยากเล่าจริงๆ อยู่ในคลิปวิดีโอว่า เวลาคุณไปเจอโพสต์แบบนี้ คุณเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วเขาก็มีความทุกข์ไม่ต่างจากคุณ ทั้งหมดแค่อยากจะบอกว่า “ถ้าคุณรู้เท่าทันมัน มันก็จะไม่ดิ่ง ไม่จม ไม่ทุกข์ไปกับมัน”

เขาจะเข้ามาเล่น facetook.org ไม่กี่ครั้งหรอก แค่ครั้งสองครั้งเขาก็ไป แต่ชีวิตจริงของเขา เขาจะกลับไปนั่งและเล่นเฟซบุ๊คอยู่ทุกวันๆ ทันทีที่เขาไปส่องชีวิตคนอื่นจนทำให้เขาทุกข์ และถ้าเขารู้ตัวทัน มีสติ ฉุกคิดว่า “เอ้ย กูกำลังเปรียบเทียบกับเขาอยู่นี่หว่า” แค่นี้ ผมก็เชื่อว่าคลิปนี้ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว

บอมบ์-ปัณณวิชณ์ แซ่โง้ว

ในวัฒนธรรมการโพสต์บนโซเชียลมีเดียไม่ได้มีฟังก์ชั่นแค่การส่งออกความสุขเสมอไป แต่เป็นได้ตั้งแต่แสดงความ สุข เศร้า เหงา อวด บางคนเป็น drama queen เลยก็มี อาจไม่ได้เป็นพื้นที่เฉพาะความสุขเสมอไป

บอมบ์: เฟซบุ๊คมันคือพื้นที่ของการสร้างตัวตน ทุกคนทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกว่า ฉันจะได้รับการยอมรับ ฉันมีตัวตน เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในสังคมเหมือนๆ กันกับคนอื่น ซึ่งตรงนี้ผมมองข้ามเรื่องของคนอื่นไปเลยนะ เขาจะทำอะไรมันเป็นสิทธิของเขา เขาโพสต์รูป มีความสุขหรือทุกข์อะไร เป็นเรื่องของเขาเลย สิ่งที่ต้องการจะสื่อคือ ให้คนย้อนกลับมาดูตัวเอง ว่าเรารู้เท่าทันมันมากแค่ไหน อันนี้สำคัญมาก มันเหมือนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเตือนเขาว่า มีสติก่อนนะ ก่อนที่คุณจะถลำลึก

หรือ “ทำไมคนนี้ชอบดราม่าจังวะ โพสต์แต่เรื่องแบบ โหว… ซัฟเฟอร์อย่างนู้นอย่างนี้ เห็นแล้วน่ารำคาญอะ” แต่ถ้าให้มองจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังชีวิตเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาเคยเจอ เคยผ่านอะไรมาบ้าง สิ่งที่เขา project ออกมา ระบายความทุกข์ที่เราคิดว่ามันเรี่ยราด มันอาจเป็นหนทางเดียวที่เขาพอจะนึกออก เพื่อใช้ระบายความทุกข์ของเขาก็ได้เช่นกัน

ไม่ต่างกับเรา เวลาเราเครียด เราก็ไปกินข้าวกับเพื่อน นั่งดูเน็ตฟลิกซ์ บลาๆๆ มันก็เป็นวิธีแก้ปัญหาของแต่ละคน ซึ่งการระบายความทุกข์อันนั้นก็อาจเป็น solution ในการหาทางออกสำหรับความทุกข์ของคนนั้น คำถามคือ แล้วคนที่มี solution ไม่เหมือนกับเรา เรามีท่าทีอย่างไรกับเขา? เราควรเห็นใจเขาหรือเปล่า ถ้าเรารู้ว่าเขาก็มีความทุกข์ไม่ต่างจากเรา

เม้ง: ตอนที่ทำงานนี้ก็คิดกันนะ จริงๆ เฟซบุ๊คมันก็เป็นการโพสต์เรื่องราวทั้งทุกข์และสุข แต่ที่มันทำงานแยบยลกับเรามากๆ คือ ภาพความสุข หมายความว่า เวลาเราเห็นคนโพสต์ความทุกข์ เห็นว่าเขาทุกข์ เราปลอบเขาได้เลย ส่งความข้อความหลังไมค์ไปทัก โทรไปหา “เฮ้ย เป็นไรวะ” รู้วิธีจัดการกับมันง่ายกว่า แต่กับภาพความสุข ที่บอกว่าแยบยลเพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเขาสุขจริงหรือเปล่า แต่อิจฉาเขาไปก่อนแล้ว ความสุขซับซ้อนนะ facetook.org เลยทำหน้าที่นี้ คือเตือนให้เห็นโลกอีกด้าน

คนทำตั้งให้ facetook.org เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ของผู้คนด้วยหรือเปล่า

บอมบ์: มันมีงานวิจัยนะว่า การที่ได้เผยด้านที่ตัวเองอ่อนแอจะช่วยเยียวยาเขาได้ประมาณหนึ่ง เหมือนการ retreat ได้เอาของเสียออกจากตัว และยิ่งถ้ามีคนได้รับฟังรับรู้ ก็จะยิ่งช่วยให้เขาได้ปลดปล่อยมากขึ้น แต่ถ้าถามว่า facetook.org คือ solution ในการแก้ปัญหาความทุกข์ทั้งหมดไหม? ไม่ใช่ ผมเชื่อว่าไม่ใช่ เพราะความทุกข์มันมีความซับซ้อนในตัวเอง การที่คนจะแก้ปัญหาความทุกข์ของตัวเองได้ ต้องอาศัยการเรียนรู้ ฝึกฝน ปฏิบัติ ต้องการความเข้าใจอีกหลายเลเยอร์ ซึ่ง facetook มันก็เป็นเหมือนเครื่องมือเบื้องต้นที่มาช่วยสะกิดปมในชีวิตเขา

หรือกระทั่งการเห็นคนที่ทุกข์กว่าเรา มันก็บรรเทาเราได้ในเบื้องต้นนะ เช่น เวลาที่เราเลื่อนฟีดแล้วเจอโพสต์แบบ… แม่คนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัด มีลูก 7 คน ลูกทิ้งไปหมด ป่วยด้วย ต้องการคนดูแล มันแบบ โห… อะไรขนาดนี้ การเห็นความทุกข์คนอื่น ก็ทำให้ความทุกข์ของเราขนาดเล็กลงได้นะ แต่มันจะไม่ตลอดไปไง หมายถึงว่า เราก็กลับมาทุกข์ในรูปแบบของเราเหมือนเดิม ทันทีที่เราลืมเรื่องของเขาไปแล้ว เรากลับมาใช้ชีวิตของเรา อยู่ในชุดความคิดของเราเอง ชุดความคิดที่ว่า ถ้าเราไม่ได้มี ไม่ได้เป็นแบบนี้ เราจะทุกข์นะ

เม้ง: แต่ผมกำลังจะบอกว่านั่นเป็นของแถมที่ได้นะ เพราะหน้าที่ของ facetook.org หมดไปตั้งแต่การสะกิดเตือนเขาแล้วว่ามันมีโลกอีกด้านหนึ่ง อย่างที่บอกผมมองมันเป็นงานศิลปะที่รวม case study ไว้แล้วให้เราได้เข้าไปปฏิสัมพันธ์ได้เท่านั้นเอง อยากบอกแค่นี้ว่า อย่าพลาดพลั้งกับมัน ไม่ได้บอกว่าใครดีใครไม่ดี แต่บอกว่าเราเล่นเฟซบุ๊คด้วยทัศนคติแบบไหน และอาจทำให้เล่นเฟซบุ๊คครั้งต่อไปแบบไม่ปักใจเชื่อ กำลังจะเซ็งแล้วอะ รู้สึกแล้ว เฮ้ย… เราอิจฉาเขาว่ะ ให้รู้ว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเขานะ

การที่เราเข้ามาโพสต์ความทุกข์กัน นอกจากช่วยให้ตัวเองได้ระบายออกแล้ว พื้นที่ตรงนี้มันก็ช่วยเตือนว่า ไม่ต้องพยายามมีชีวิตดีๆ หรือปีนไปใช้ชีวิตดีๆ เพื่ออวดคนอื่น ไม่ต้องอยากจะมีเพื่อจะได้ไม่อายคนอื่น ความจริงก็คือ ย้ำว่าเราต่างเป็นเพื่อนทุกข์กัน มีความทุกข์ที่ต้องเผชิญ ไม่ต้องเศร้าใจไป เราเป็นเพื่อนกันในการต้องผ่านชีวิตแบบนี้กันไป

เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

ปล่อย facetook.org ไปแล้ว ได้รับฟีดแบ็คอย่างไร หรือมีข้อสังเกตอะไรบ้าง เช่น คนเรามักจะทุกข์กับเรื่องแบบไหน

บอมบ์: ส่วนหนึ่งนะ พบว่าคนรุ่นนี้มีปัญหาเรื่องความโดดเดี่ยว รู้สึกเหงา ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “กูเป็นใครวะ” “กูต้องเดินไปทางไหนวะ” บนเส้นทางที่ตอนนี้มีให้เลือกเดินมากมาย มันท่วมท้นไปหมดสำหรับคนยุคนี้ คือแม้ว่าเขาจะเชื่อมต่อกับคนในโลกโซเชียลมากมาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือการที่เขากลับมา connect หรือกลับมารู้จักกับตัวเอง ซึ่งตรงนี้อาจเป็นปัญหาที่คนยุคนี้ส่วนใหญ่เจอกัน

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่า เราอยู่ในยุคที่ใครๆ ก็เศร้า พบความทุกข์ สุข เศร้า เหงา อวด ได้ง่ายๆ บนโลกโซเชียลมีเดีย ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่า เราเศร้ากันง่ายขึ้น หรือ เพราะเห็นความสุขและเศร้าของคนอื่นได้เร็วขึ้น หรือ เพราะพบเห็นความสุขของคนอื่น จึงยิ่งสะกิดให้เราเศร้าและเหงาขึ้น

เม้ง: ผมไม่แน่ใจว่าคนทุกข์กันเยอะขึ้นรึเปล่า ผมไม่กล้าฟันธง แต่เห็นเยอะและง่ายขึ้นแน่ๆ แต่เอาจริงๆ ผมคิดว่าความทุกข์อาจเท่าเดิมนะ แต่พอมีที่ระบาย เราก็เห็นง่ายขึ้นและแนบเนียนแยบยลขึ้น หมายถึงการมีโซเชียลมีเดียทำให้มันแนบเนียนน่ะ ทำให้ทุกข์แฝงเยอะ

คิดไปคิดมาก็อาจมีสิทธินะ เพราะการเห็น visual บ่อยๆ มันทำให้ได้ข้อมูลมหาศาล เห็นการโพสต์ เห็นการพูดถึงตัวเองในแง่มุมต่างๆ มันทำให้เราอยากมีอยากเป็น เทียบกับความรู้สึกผมเอง มันจะรู้สึกแบบ… คนนั้นทำอย่างนั้นได้อีกแล้ว คนนี้ทำอย่างนั้นได้อีกแล้ว และแบบนี้มันกระทำกับเราถี่ขึ้น

หมายถึงว่า ผมคิดว่าต้นทุนของความทุกข์เท่าเดิมแหละ แต่มันกระทำด้วยวงจรที่ซับซ้อนขึ้น เพราะทุกคนก็แสดงอัตตาตัวตน ทุกคนอยากไปเที่ยว ทุกคนอยากมีชีวิตแบบคนอื่น มันแนบเนียนอะ มันแอบๆ

บอมบ์: ถ้าเป็นอดีต ความทุกข์ของคนสมัยนั้นไม่เหมือนกับสมัยนี้ แต่ก่อนมันเป็นเรื่องของความอดอยากปากแห้ง ขอแค่วันนี้มีกินก็พอ ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องการมีตัวตน เหมือนสามเหลี่ยมมาสโลว์ (Abraham Maslow – ลำดับชั้นความต้องการ เมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการในชั้นที่ยืนอยู่แล้ว ความปรารถนายิ่งกระเถิบสูงขึ้นในชั้นถัดไป) มันจะยิ่งกระเถิบขึ้นไปสู่เลเวลอื่น เราอยากมีอยากเป็นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งเทคโนโลยีหรือบริบทต่างๆ มันก็เอื้อ อย่างที่พี่เม้งบอกว่า รู้สึกว่าตัวตนสำคัญ ถ้าเผื่อว่าใครที่มาทำลายตัวตนเรา หรือมาบอกว่า “คุณผิดนะ คุณไม่ถูก” มันก็เหมือนกับการลดทอนตัวตน ทำให้เรารู้สึกว่า ความทุกข์เกิดขึ้นง่าย แค่เราโพสต์รูปไป 5 นาทีแล้วคนไม่กดไลค์ นี่ก็ทุกข์แล้วนะ

จะเลิกทุกข์ เลิกจม เลิกเสียสูญจากโลกโซเชียล ทำอย่างไรดี? และเอาเข้าจริง ทักษะการเอาตัวเองออกจากเรื่องดราม่า ควรเป็นทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ด้วยไหมคะ

บอมบ์: จริงๆ ใน facetook.org ถ้าสังเกตดีๆ จะมี solution หรือทางไปต่อนะ ก็คือกลับไปที่โปรเจ็คท์ความสุขประเทศไทย มันมีเส้นทางให้คุณเข้าถึงความสุขในหลายๆ เส้นทาง ในทางเหล่านั้นมันก็กลับมาแก้ปัญหาความทุกข์ที่คนยุคนี้เป็น เช่น ไปลองทำงานจิตอาสา ได้ช่วยคนอื่น ได้เอาตัวเองไปแบ่งปัน ทำให้เห็นว่าเราเองก็มีคุณค่าต่อคนอื่น ขณะเดียวกัน การทำงานก็ค่อยๆ ลดความเป็น ‘ตัวฉัน’ ลง อัตตาน้อยลง มีทางไปต่อผ่านช่องทางเหล่านี้

เม้ง: ในระหว่างโพสต์ ก็จะมีโพสต์เกี่ยวกับบทวิจัยในเรื่อง solution ขั้นอยู่ด้วยนะ มีตั้งแต่ไปปฏิบัติธรรมเลย เข้าหาธรรมชาติ ภาวนา เคลื่อนไหวร่างกาย มันมีหลายเส้นทางทำให้เรารู้จักกับตัวเอง เราอยากใช้คำว่า self-awareness กลับไปใคร่ครวญกับตัวเองมากขึ้น บางทีเราส่งออกตลอด กลายเป็นว่ามันไปไหนไม่รู้ นี่ก็คือการทำให้รู้จักกับตัวเองมากขึ้น แต่ผมไม่รู้ว่าเข้าไปจะรู้สึกแบบนั้นเลยรึเปล่านะ เพราะมันแล้วแต่จริต บางคนชอบทำงานจิตอาสา บางคนชอบการปฏิบัติธรรม แต่มันมีช่องทางให้เลือกที่จะไปค้นพบความสุขของตัวเอง

บอมบ์: จริงๆ มันมีหลายทางนะ วิ่ง เดินป่า โยคะ ได้หมดทุกอย่าง ถ้าได้ไปศึกษา ลองปฏิบัติ อยู่กับมัน สุดท้ายมันจะพาเรากลับไปที่ตัวเอง ได้ใคร่ครวญกับตัวเอง

แก่นของมันก็คือธรรมะใช่ไหมคะ

เม้ง: จริงๆ facetook ก็คือเครื่องมือธรรมะเลยนะ ใช้วิธีคิดแบบธรรมะเลย อย่างที่เราโควทคำของพระไพศาล วิศาโล ในคลิป (เหตุที่ทำให้ทุกข์ เพราะการเปรียบเทียบต่างหาก) ฟังก์ชั่น facetook.org ก็คือ ‘สติ’ นั่นแหละ เขาไม่ต้องรู้เบื้องหลังก็ได้นะ แต่ทันทีที่เขาสไลด์นิ้วผ่านแล้วรู้ตัวว่า “เฮ้ย นี่กำลังอิจฉานะ” และเกิดความระวังที่จะไม่ปรุงแต่งความคิดจากโมเมนต์ๆ เดียว แค่นี้ก็ ‘สติ’ แล้ว ซึ่งเอาเข้าจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องพิธีกรรมเชยๆ นะ ถ้าเข้าใจแล้วมันก็เวิร์คสำหรับทุกเรื่อง แต่พอดีมันถูกสื่อสารออกมากับคนรุ่นใหม่ด้วยวิธีแบบหนึ่ง พอถูกทำให้เข้าใจแบบนั้นเลยทำให้มีกำแพง

พอรู้มาบ้างว่าชูใจฯ เป็นครีเอทีฟเอเจนซีทำงานเพื่อสังคม แต่พอจะเล่าเพิ่มได้ไหมว่า ทำไมจึงสนใจการทำงานภายในและมักหยิบวิธีคิดแบบนี้ใส่ไปในงานหลายๆ ชิ้น

บอมบ์: สำหรับเรา ตรงไปตรงมามากเลยคือ เราศึกษาธรรมะ แล้วก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จากที่ทุกข์มาก เราทุกข์น้อยลงและสั้นลง เลยรู้สึกว่านี่เป็นทางที่เรายึดเหนี่ยวกับมันได้ การทำงานโฆษณา มันก็คืองานแก้ปัญหา ในขณะที่ปัจจุบันนี้ วันหนึ่งเรารับข้อมูลเยอะมาก เพราะอย่างนั้นการสื่อสารอะไรสักอย่างที่มันจะดึงดูดให้คนมาสนใจได้ สำคัญมากเลยก็คือมันต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตเขา มันต้องช่วยแก้ปัญหาในชีวิตเขาได้ ให้เขาเกิดปัญญาหรือเห็นคุณค่าในชีวิตตัวเอง ซึ่งปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมนุษย์ของเราทุกคนก็คือ ความทุกข์ แล้วเราเชื่อว่าธรรมะหรือความจริง มันเป็น solution ที่จะช่วยเยียวยา แก้ปัญหาให้ผู้คนได้ ซึ่งจากความเชื่อของเรา มันก็เลยไปอยู่ในงานที่เราทำด้วย

เม้ง: วันแรกที่ตั้งชูใจฯ เราโตมากับคำพี่จิก (ประภาส ชลศรานนท์) คือ “มีเงิน 2 บาท หนึ่งบาทซื้อข้าว อีกสองบาทซื้อดอกไม้” หมายถึงว่า วันที่สมาชิกชูใจฯ 5 คนกระโดดออกจากการเป็นลูกจ้างในเอเจนซีโฆษณาแล้วมาตั้งบริษัท เพราะเราคิดว่าเราใช้ความคิดสร้างสรรค์ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่าแค่ขายสินค้าได้ จริงๆ ขายสินค้าก็ไม่ผิดนะ แต่หมายถึงว่า ทำไมความคิดสร้างสรรค์มันถูกใช้อย่างเดียว บางเรื่องต้องการความคิดสร้างสรรค์ บางเรื่องต้องการการโฆษณา เราแค่อยากเอาความคิดสร้างสรรค์ ความครีเอทีฟ ทักษะการทำโฆษณา ซึ่งเราทำทั้งหมดเหมือนเดิมเลยนะ แต่ทั้งหมดนี้ไปรับใช้เรื่องจิตใจ สิ่งแวดล้อม เรื่องต่างๆ ที่เราสนใจ เรื่องแยกขยะเราก็ทำ

เอาจริงๆ เลย มันเยียวยาความรู้สึกครับ คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมโฆษณามานาน หมายถึงว่ามันเติบโตมาเรื่อยๆ ความคิดมันเริ่มเปลี่ยน แล้วเราก็เห็นว่ามันน่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่นบ้าง

คิดว่าถ้าเราเอาพลังแห่งการขายของอย่างเดียวเหล่านั้นมารับใช้อย่างอื่น มันน่าจะสร้างพลังด้านดีๆ ให้สังคมได้ คือถ้าเราทำให้สังคมอยากซื้อสินค้าได้ถล่มทลาย เราก็ทำให้คนอยากแยกขยะได้ถล่มทลายเช่นกัน คือเราคิดว่าคุณค่าความคิดสร้างสรรค์มันน่าจะช่วยคนอื่นได้ เท่านั้นแหละ

แต่ทำไมต้องเป็นเครื่องมือ เกี่ยวกับการทำงานภายใน หรือ self-awareness

เม้ง: (นิ่งคิด) ไม่รู้สิ มันคงตอบตัวเองได้มั้งว่าเราทำไปทำไม อาจเป็นเพราะผมเคยบวช และเป็นเครื่องมือที่ทำให้ตอบคำถามตัวเองตอนนั้นได้มั้งว่า “เราทำไปทำไมวะ” ทำมาตั้ง 5-6 ปี? จริงๆ มันอาจไม่มีอะไรมากแต่มันเยียวยาเรา ทำให้เราและการงานมีความหมาย

บอมบ์: การช่วยคนอื่น คือการช่วยตัวเรา เราทุกคนสัมพันธ์กันหมด แต่ถามว่า ทำไมต้องเป็นธรรมะ คือมันเป็นความเชื่อความศรัทธา เหมือนเราอินมากแล้วเราไปชวนคนอื่น “ช่วยมาอินกับเราหน่อยได้ไหม?” ถ้าทำแบบนี้มันก็เหมือนแม่ที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วชวนลูกไปด้วย ลูกไม่เข้าใจ แต่ถ้าพูดในภาษาที่เขาอินและเข้าใจ มันก็อาจจะชักชวนเขาเข้ามาในเส้นทางนี้ได้

บอมบ์: การช่วยคนอื่น คือการช่วยตัวเรา เราทุกคนสัมพันธ์กันหมด แต่ถามว่า ทำไมต้องเป็นธรรมะ คือมันเป็นความเชื่อความศรัทธา เหมือนเราอินมากแล้วเราไปชวนคนอื่น “ช่วยมาอินกับเราหน่อยได้ไหม?” ถ้าทำแบบนี้มันก็เหมือนแม่ที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วชวนลูกไปด้วย ลูกไม่เข้าใจ แต่ถ้าพูดในภาษาที่เขาอินและเข้าใจ มันก็อาจจะชักชวนเขาเข้ามาในเส้นทางนี้ได้

มีอะไรอยากฝากหรือทิ้งท้ายไหมคะ

บอมบ์: มีตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัดเรื่องการเปรียบเทียบ พระอาจารย์ไพศาล เคยเล่าว่า แม้ว่าเราจะมีความสุข แต่ทันทีที่เราไปเปรียบเทียบ ความทุกข์เกิดขึ้นเลย เช่น วันนี้คุณไปเจอกระเป๋าที่อยากได้ จากใบละหมื่น ลดเหลือใบละหนึ่งพัน คุณดีใจมาก แล้วก็รีบควัก mobile banking ขึ้นมาสแกนและก็ซื้อเลย วันรุ่งขึ้นคุณสะพายกระเป๋าไปทำงาน และพบว่า เพื่อนก็ซื้อกระเป๋าใบเดียวกันได้ในราคา 500 บาท แค่นี้ ความทุกข์เกิดขึ้นแบบทันทีเลยใช่ปะ คือทันทีที่เราเปรียบเทียบ ความสุขไม่ยั่งยืนเลย ความสุขเป็นความทุกข์ทันที

เม้ง: ซึ่งถ้าเล่นเฟซบุ๊คแล้วชอบตัวเอง ไม่ได้เปรียบเทียบ ก็จบเลยนะ อยากจะโพสต์ด้วยความชอบตัวเอง เป็นไดอารี เล่นโซเชียลมีเดียแล้วไม่ได้ชอบตัวเองน้อยลง เห็นคนอื่นเที่ยวก็ เออ… สนุกดีเนอะ ไม่ได้ฟูมฟายหรือลำบากใจ เราชอบตัวเองแบบนี้ เท่านี้ก็จบเลย

Tags:

อาชีพโซเชียลมีเดียประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ปัณณวิชณ์ แซ่โง้วจิตวิทยาspiritual

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • How to enjoy life
    Hate-Following: งานอดิเรกในโลกโซเชียลที่ผสมผสาน ‘การนินทา’ กับ ‘เทคโนโลยี’

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Life classroom
    Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy lifeBook
    งานทำคุณ หรือคุณทำงาน คำถามจากหนังสือ A LIFE AT WORK – ที่ทางของคุณบนโลกนี้

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

ครูไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สอน GROWTH MINDSET เด็กๆ ได้
Growth & Fixed Mindset
3 July 2019

ครูไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สอน GROWTH MINDSET เด็กๆ ได้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Growth Mindset คือ ความคิดยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาและพัฒนาตนเองโดยตั้งเป้าการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนพัฒนาทักษะมากกว่าทำคะแนน และสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการคิด
  • ท่ามกลางกระแสความเป็นไปของโลกที่หมุนไปรวดเร็ว Growth Mindset คือคุณสมบัติสำคัญที่ปลูกฝังและสอนได้ตั้งแต่เด็ก
  • ความท้าทายคือครูจะสอนอย่างไร อาจเริ่มด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ 1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Growth Mindset และ Fixed Mindset 2. แยกให้ออกว่าครูที่ดีกับครูที่แย่เป็นอย่างไร และ 3. ตั้งเป้าหมายให้การเรียนการสอนเป็นไปเพื่อส่งเสริม Growth Mindset ให้ชัดเจนและทำได้จริง

เมื่อเด็กยุคนี้ต้องมีระบบความคิดยืดหยุ่นและเปิดกว้างต่อการพัฒนาตนเองให้อยู่รอดท่ามกลางกระแสความเป็นไปของโลกที่หมุนไปรวดเร็วพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดยั้ง Growth Mindset คือคำตอบสำคัญในการจะพัฒนาปัญญาและทักษะความสามารถของเยาวชนให้เติบโตเท่าทันกับความเป็นไปของโลก ถึงเวลาที่ครูทุกคนต้องหันมาใส่ใจฟูมฟักเยาวชนยุคใหม่ด้วยวิถีแห่ง Growth Mindset หรือความคิดยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาและพัฒนาตนเองโดยการตั้งเป้าการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนพัฒนาทักษะมากกว่าทำคะแนนและสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการคิด

Annie Brock และ Heather Hundley ผู้เขียนหนังสือ ‘The Growth Mindset Coach’ เป็นไกด์ไลน์หรือคู่มือประจำชั้น แนะแนวทางการเสริมสร้าง Growth Mindset ให้เกิดขึ้นในห้องเรียน สำหรับคุณครูที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี ลองสตาร์ทด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้

1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Growth Mindset และ Fixed Mindset ก่อน

2. แยกให้ออกว่าครูที่ดีกับครูที่แย่เป็นอย่างไร

3. ตั้งเป้าหมายให้การเรียนการสอนเป็นไปเพื่อส่งเสริม Growth Mindset ให้ชัดเจนและทำได้จริงมากที่สุด

ทำความเข้าใจ Growth Mindset vs Fixed Mindset กันก่อน

คนที่มี Growth Mindset เปรียบได้กับน้ำครึ่งแก้วซึ่งมีพื้นที่เหลือสำหรับเติมความรู้ใหม่ๆ ได้เสมอ และมองว่าทักษะความรู้พัฒนางอกงามได้เรื่อยๆ คนเราเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ไม่รู้จบและเก่งได้ด้วยการอาศัยเวลาฝึกฝน พรสวรรค์หรือความถนัดที่ติดตัวมาแต่เกิดเช่นเสียงดีหรือคิดเลขเร็ว อาจเป็นต้นทุนตั้งต้นที่ดีแต่ไม่ใช่ตัวกำหนดขีดความสามารถหรือความสำเร็จของคนเสมอไป

การปลูกฝังเด็กๆ ให้เกิด Growth Mindset คือการกระตุ้นความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ผลักดันให้พวกเขามีความเชื่อมั่นกล้าคิดกล้าพูดกล้าทำและไม่กลัวเมื่อเผชิญปัญหาหรือภารกิจการงานที่ยากลำบาก โดยโฟกัสไปที่ความรู้ความเข้าใจจากการแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นแทนที่จะเน้นการตัดสินผลลัพธ์ว่าผิดถูก สำเร็จหรือล้มเหลว

อีกฝั่งหนึ่ง คนที่มี Fixed Mindset มักเชื่อในทำนองว่าถ้าคนเราห่วยเรื่องไหนแล้ว จะทำยังไงก็ยังคงห่วยวันยังค่ำ ทำอะไรไม่ได้อย่าฝืน ความสามารถคนเราติดตัวมาแต่เกิดแค่ไหนแค่นั้น อย่าดันทุรังไปเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนา คนไม่เก่งเลขคือคนไม่มีหัวด้านนี้ กี่ปีกี่ชาติก็สอบตก คนร้องเพลงเพี้ยนก็เพราะไร้พรสวรรค์ จับมาเรียนร้องเพลงก็ไม่มีทางร้องได้เพราะ

เด็กที่คิดด้วย mindset แบบนี้มักยึดติดแต่กับพรสวรรค์หรือความถนัดของตนแต่ถ่ายเดียว ตอบเฉพาะเมื่อมั่นใจว่าตอบถูก และปิดปากเงียบไม่แสดงตัวในเรื่องที่ไม่ถนัด หัวเราะเยาะคนที่พยายาม ไม่กล้าลองผิดลองถูกเพราะมองความผิดพลาดล้มเหลวของตนเองหรือใครก็ตามเท่ากับการโชว์โง่ ไร้ประสิทธิภาพ ความคิดเช่นนี้จึงขังให้เขาจมอยู่กับความไม่รู้ไม่เข้าใจ ซ้ำตัดโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่และพัฒนาของเดิมเพราะไม่ขวนขวายกับกลัวอายเมื่อทำผิด

ทฤษฎี Mindset ทั้งสองแบบข้างต้นนี้มาจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องปัญญา ความคิดสร้างสรรค์และความถนัดของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายปีของ Carol Dweck ซึ่งเธออธิบายไว้ว่า mindset ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ทั้งสองแบบของคนเรานั้นเกี่ยวพันกับทัศนคติพวกเขาที่มีต่อปัจจัยดังต่อไปนี้ ความท้าทาย (challenges) อุปสรรคปัญหา (obstacles) ความมานะพยายาม (effort) คำวิจารณ์ (criticism) และความสำเร็จของผู้อื่น (success of others)

Fixed MindsetGrowth Mindset
ความยากง่ายเลี่ยงทำสิ่งยากๆ เพื่อ keep look ให้คนอื่นเห็นว่าเก่งหรือฉลาดตลอดเวลาไม่เกี่ยงว่ายากง่าย กระตือรือร้นที่จะลองทำ ลองเรียนรู้
อุปสรรคปัญหาล้มเลิกเมื่อเจอปัญหาหาทางแก้ไขปัญหา ฟันฝ่าอุปสรรค
ความมานะพยายามมองว่าคนที่ต้องใช้ความพยายามเป็นคนโง่ คนเก่งไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมองว่าความพยายามและทุ่มเทคือหนทางสู่การพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น
คำวิจารณ์ไม่รับฟังคำวิจารณ์เชิงลบ ไม่ว่าจะเป็นการติเพื่อก่อคำวิจารณ์คือเสียงสะท้อนให้รู้ว่าจุดไหนควรพัฒนาหรือเรียนรู้เพิ่มเติม
ความสำเร็จของผู้อื่นกลัวหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จเห็นความสำเร็จของผู้อื่นเป็นแรงบันดาลใจและบทเรียน

ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วเราทุกคนสลับความคิดไปมาระหว่างทั้งสองแบบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อยู่ที่สถานการณ์นั้นจะเลือกคิดแบบไหน เช่น นักเรียนบางคนเรียนพูดได้หลายภาษาเพราะใช้ Growth Mindset ในการทำความเข้าใจ แต่พอเป็นเรื่องคำนวณเลข ถอดสมการที่ตัวเองไม่ชอบก็คิดง่ายๆ อย่าง Fixed Mindset ว่า “ยังไงๆ คนอย่างฉันก็ไม่เอาไหนเรื่องเลขอยู่ดี” ทั้งที่ความจริงอาจมีวิธีทำความเข้าใจหลักการคณิตศาสตร์อีกมากมายที่เขายังไม่ได้ลอง จุดนี้เองที่ถือเป็นความท้าทายที่ครูต้องเข้าใจและทำหน้าที่กระตุ้นส่งเสริมให้เด็กเหล่านี้พร้อมที่จะเรียนรู้ด้วย Growth Mindset ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

สำรวจความคิดกันหน่อย! ครูกับลูกศิษย์เป็นนักคิดประเภทไหนกันนะ?

ก่อนไปถึงการวางแผนตระเตรียมทิศทางการสอนให้เหมาะสม ลองสำรวจแนวโน้มความคิดเขา-ความคิดเรากันสักหน่อยว่านักเรียนเป็นแบบ Growth หรือ Fixed Mindset กันกี่มากน้อยจะได้รู้ว่าต้องตระเตรียมตัวเองและบรรยากาศชั้นเรียนอย่างไร

สำรวจเขา ข้างล่างนี้มีความคิดต่างกันสองขั้วอยู่อย่างละครึ่ง ให้นักเรียนเลือกว่าเห็นด้วยกับความคิดข้อใดบ้าง

1. ฉันรู้ตัวดีว่าไม่มีทางเก่งในวิชานั้นๆ หรือทำกิจกรรมยากๆ นั้นได้เลย

2. เมื่อทำผิดพลาด ฉันพยายามเรียนรู้จากมัน

3. เวลาเห็นคนอื่นทำได้ดีกว่า เก่งกว่า ฉันรู้สึกกลัว

4. ฉันชอบลองทำสิ่งใหม่และตื่นเต้นท้าทาย

5. เวลาโชว์ให้คนอื่นเห็นว่าฉันเก่ง ฉลาดและทำบางอย่างได้สมบูรณ์แบบ ฉันรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

6. ฉันเห็นความสำเร็จของคนอื่นเป็นแรงบันดาลใจ อยากลอง อยากทำบ้าง

7. ฉันรู้สึกดีเวลาเห็นคนอื่นทำอย่างฉันไม่ได้

8. คนเราฉลาดกว่าเดิม เก่งกว่าเดิมได้ด้วยความพยายาม

9. ป่วยการที่จะต้องพยายามให้เก่งหรือฉลาดไปกว่านี้ คนเราบางคนฉลาดบางคนโง่ยังไงก็ยังงั้น

10. ฉันชอบทำอะไรท้าทายใหม่ๆ หรือสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

(จากความด้านบน ข้อเลขคู่คือ Growth Mindset และข้อเลขคี่คือ Fixed Mindset)

ผลสรุปแนวโน้มความคิดของนักเรียน จะทำให้ครูเห็นจุดอ่อนจุดแข็งคร่าวๆ ในนักเรียนแต่ละคนและลักษณะการเรียนรู้ที่เป็นจุดตั้งต้นของพวกเขาเพื่อนำไปปรับรูปแบบการสอนให้เหมาะสม

สำรวจเรา สำรวจความคิดตนเองในฐานะครูผู้สอนว่ามีแนวโน้มแบบใดมากกว่ากันระหว่าง

Fixed MindsetGrowth Mindset
งานสอนโคตรน่าเบื่อ ฉันไม่เคยได้เรียนรู้อะไรจากงานนี้เลยงานนี้ทำให้ฉันได้ฟังเด็กๆ คิด พูดอย่างเปิดใจ และเห็นไอเดียแปลกใหม่จากพวกเขาเสมอ
รำคาญพวกผู้ปกครอง มาจี้ให้รายงานพัฒนาการลูกๆ ทุกวันอยู่ได้ผู้ปกครองติดตามเอาใจใส่พัฒนาการลูกดีมาก ฉันต้องรายงานความคืบหน้าให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
นักเรียนคนนี้เข็นคะแนนวิชาเลขไม่ขึ้นแล้วฉันจะสอนแบบไหนให้นักเรียนคนนี้เข้าใจ
นักเรียนคนนี้อ่านคล่องดีแล้ว ไม่ต้องสนใจมากก็ได้ต้องหาแบบฝึกหัดหรือบทความที่พัฒนาเด็กคนนี้ให้ไปได้ไกลกว่านี้
ฉันคงเป็นครูที่ดีได้ไม่เท่าเขาฉันน่าจะไปขอคำแนะนำดีๆ จากครูคนนั้น
ชั้นเรียนอลหม่านไปหมดเพราะนักเรียนไม่ให้ความร่วมมือเลยฉันจะปรับการสอนให้นักเรียนยอมมีส่วนร่วมมากกว่านี้ให้ได้
ก็เด็กมันไม่ชอบมาโรงเรียนเองนี่นา จะให้ทำยังไงได้ฉันจะลองหากิจกรรมที่เด็กคนนี้ชอบมาโยงเข้ากับบทเรียนดู
นักเรียนคนนี้ทางบ้านก็ยากจนอยู่แล้ว จะไปบังคับให้เรียนก็ใช่ที่ฉันเชื่อมั่นว่าเด็กคนนี้จะบรรลุความฝันได้ ไม่เกี่ยวว่าจะยากดีมีจน

ไม่ใช่เรื่องผิดถึงกับต้องถอดใจเลิกเป็นครู ถ้าพบว่าตัวเองดันมีแนวโน้มไปทาง Fixed Mindset มากกว่า เพราะโดยทั่วไปสัญชาตญาณจะสั่งให้คิดป้องกันตัวเองก่อนเสมอ เราสามารถดึงความคิดมาด้าน Growth Mindset ได้ถ้ารู้จักเปลี่ยนวิธีพูดกับตัวเอง (self-talk) จากเชิงลบเป็นเชิงบวก การฝึกความคิดฝั่ง Growth Mindset ให้แข็งแกร่งก็ทำได้ง่ายๆ โดยการปล่อยเสียงความคิดจาก Fixed Mindset ให้ทำงานไปก่อน จากนั้นตั้งสติแล้วค่อยตอบกลับเสียงนั้นไปด้วยมุมมองบวก เมื่อฝึกทำเช่นนี้บ่อยเข้า ต่อไป Growth Mindset จะทำงานเองโดยอัตโนมัติทันที

เป็นครูที่ทำให้เด็กๆ อยากมาโรงเรียน

ถ้าถามว่ายังจำครูในดวงใจที่เราโปรดปรานสมัยเด็กกันได้ไหม หลายคนกลับจดจำครูที่ทำให้รู้สึกเข็ดขยาดการไปโรงเรียนได้มากกว่าซะอย่างนั้น ประสบการณ์เลวร้ายกับครูบางคนทำเราฝังใจเกลียดกลัวบางวิชาไปตลอดชีวิตจนไม่คิดจะแตะมันอีกเลยก็มี เช่น คนที่เกลียดเลขจากประสบการณ์ที่เคยอยู่ในชั้นเรียนที่ครูวิชาเลขบังคับให้นักเรียนทั้งห้องยืนบนเก้าอี้ตั้งแต่เริ่มคาบเรียน ไล่ให้แก้โจทย์ทีละคนๆ และจะได้รับอนุญาตให้ลงนั่งตามเดิมก็ต่อเมื่อตอบถูก ถ้าตอบไม่ถูกก็ยืนบนเก้าอี้จนหมดชั่วโมงไป นอกจากถูกประจานว่าโง่กว่าเพื่อนร่วมชั้น ยังต้องอับอายซ้ำสองถ้าตอบผิดอีก นอกจากชั้นเรียนเต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อเลิกคาบก็แน่นอนว่าไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าแม้แต่จะเฉียดกรายผ่านครูท่านนั้นเลยสักคน เรื่องจะเข้าไปถามให้อธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจยิ่งไม่ต้องพูดถึง!

นี่เป็นตัวอย่างของผลลบจากครูที่มีรูปแบบการสอนแบบ Fixed Mindset แม้อยากให้เด็กพัฒนาแต่กลับยอมรับกับผลลัพธ์ที่ถูกเพียงอย่างเดียว ไม่ใส่ใจกระบวนการทำความเข้าใจที่นำไปสู่ความรู้จริงๆ ละเลยที่จะปรับการสอนให้ยืดหยุ่นเหมาะสมกับระดับความสามารถที่แตกต่างกันของผู้เรียน

ในชั้นเรียนของครูลักษณะนี้ บรรยากาศมักเคร่งเครียดไม่เอื้อให้คิดให้ลองอะไรใหม่ๆ หรือสอนไปตามตำราแบบแห้งแล้งจืดชืด ไม่ได้กระตุ้นเคี่ยวเข็ญให้มีความคิดเป็นของตนเองหรือเชื่อมั่นในตัวเอง ทำโทษเมื่อตอบผิด ใช้คะแนนหรือความถนัดของนักเรียนเป็นตัวชี้วัดความสามารถ จึงไปกดการพัฒนาทักษะหรือการค้นหาตัวเองของเด็กด้วยการจำกัดกรอบ หรือมอบหมายงานง่ายๆ

ถ้าลองถามไถ่เด็กๆ ดูจะพบว่าครูที่พวกเขากล้าเข้าหาเมื่อมีคำถามไม่เข้าใจ ย่อมเป็นครูที่เปิดกว้างอดทนรับฟังและค้นหาวิธีสอนที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจโดยไม่กะเกณฑ์แต่เรื่องทำถูกทำผิด ครูที่ทำให้พวกเขาอยากเรียนด้วยสามารถสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เป็นเรื่องสนุก ตื่นเต้นท้าทาย ไม่ปล่อยนักเรียนตามยถากรรมจนหมดชั่วโมง มอบหมายงานท้าทายทักษะความสามารถและเน้นความเข้าใจมากกว่าผลลัพธ์

แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ด้วย Growth Mindset เป็นคนละเรื่องกับความพยายามดึงดันให้นักเรียนที่ไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษหันกลับมาชอบวิชานี้ให้ได้ เป้าหมายที่แท้จริงคือครูต้องเปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรียนมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาตนเองได้รอบด้านมากขึ้นและดียิ่งขึ้น

ลบล้างความเชื่อฝังหัวแบบผิดๆ ว่าความสามารถด้านใดด้านหนึ่งของพวกเขามาถึงทางตันไม่สามารถพัฒนาไปกว่านี้ได้

ก้าวเดินแบบ Growth Mindset ด้วยหลัก S-M-A-R-T

สูดลมหายใจลึกๆ เตรียมใจไว้เลย นี่ไม่ใช่เส้นทางราบเรียบ การรักษาบรรยากาศการเรียนการสอนด้วย Growth Mindset ครูต้องใจเย็นและอดทนเป็นอย่างมาก ทั้งต้องกระตุ้นเคี่ยวเข็ญให้นักเรียนกล้าคิดกล้าทำกล้าพูด (แบบไม่บังคับขู่เข็ญ) ลูกเล่นไหวพริบก็ต้องมีตึงหย่อนสลับกันไป พร้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนให้เท่าทันกับความรู้ หมั่นให้กำลังใจหรือติติงแนะนำเพื่อแก้ไขปรับปรุง ทั้งหมดนี้ครูควรต้องมีหลักการวางแผนเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจนด้วย

หลัก S-M-A-R-T ที่นำเสนอนี้คือแนวทางการตั้งเป้าหมายสั้นๆ เพื่อให้ครูสามารถสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ด้วย Growth Mindset ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในห้องเรียนได้

S-Specific – ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร

M-Measurable – จะติดตามความคืบหน้ากับเป้าหมายอย่างไร

A-Actionable – ต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมาย

R-Realistic – มีใครที่สามารถช่วยเหลือสนับสนุนเป็นที่ปรึกษา หรือมีแหล่งข้อมูลใดบ้างที่สามารถช่วยให้บรรลุ เป้าหมาย

T-Timely – กำหนดระยะเวลาที่ต้องบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจน

ตัวอย่าง: เป้าหมายเพื่อสร้างความสนิทสนมไว้วางใจระหว่างครูกับศิษย์ที่เลื่อนชั้นมาใหม่ ฉันตั้งเป้าว่า ภายในสัปดาห์ที่สองของเทอมนี้ ฉันต้องจำชื่อนักเรียนในชั้นได้หมดทุกคนและรู้ว่าแต่ละคนสนใจอะไรเป็นพิเศษบ้างนอกห้องเรียน วิธีการคือฉันจะยืนต้อนรับนักเรียนหน้าห้องทุกเช้าเพื่อทักทายด้วยชื่อทีละคนและจัดกิจกรรมละลายพฤติกรรมที่ฉันกับเด็กๆ ได้เปิดเผยอุปนิสัยและความชอบระหว่างกัน ให้นักเรียนช่วยกันตกแต่งบอร์ดด้วยรูปถ่ายและกิจกรรมที่พวกเขาชอบ หรือทำแบบสำรวจสิ่งที่พวกเขาชอบ-ไม่ชอบ ฉันสามารถติดตามความคืบหน้าด้วยการทำแผนผังจำลองที่นั่งทุกคนพร้อมกำกับชื่อและข้อมูล และเช็คความจำตนเองทุกๆ สัปดาห์

การตั้งเป้าและติดตามผลเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ ทำให้เช็คความคืบหน้าได้ชัดเจน ล่วงผ่านมา 5 วัน เราจำชื่อนักเรียนได้กี่คน คนไหนชอบไม่ชอบอะไรบ้าง ระยะเวลาที่กำหนดอาจเพิ่มลดให้สมเหตุสมผลกับจำนวนนักเรียน กุญแจสำคัญคือเป้าหมายที่ตั้งไว้ต้องทำได้จริง ไม่ฝืนตนเองจนเกินไป การกำหนดระยะเวลาเป็นไปเพื่อจะได้ประเมินตัวเองได้เมื่อถึงจุดสิ้นสุดและเริ่มเป้าหมายต่อไป

หนทางสร้าง Growth Mindset ไม่ใช่เรื่องของการสร้างความสมบูรณ์แบบ เรากำลังพูดถึงนักเรียนหลายสิบชีวิตที่แตกต่างทั้งระดับความสามารถ ความคิดความฝัน มีความไม่มั่นใจ สับสนและว้าวุ่นตามช่วงวัย การยอมรับเข้าใจและรับมือความท้าทายนี้ด้วยมุมมองบวกก็ถือว่าครูพร้อมจะจูงมือเด็กเหล่านั้นก้าวไปยังโอกาสที่เปิดกว้างให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วย Growth Mindset แล้ว

หนทางสร้าง Growth Mindset ไม่ใช่เรื่องของการสร้างความสมบูรณ์แบบ เรากำลังพูดถึงนักเรียนหลายสิบชีวิตที่แตกต่างทั้งระดับความสามารถ ความคิดความฝัน มีความไม่มั่นใจ สับสนและว้าวุ่นตามช่วงวัย การยอมรับเข้าใจและรับมือความท้าทายนี้ด้วยมุมมองบวกก็ถือว่าครูพร้อมจะจูงมือเด็กเหล่านั้นก้าวไปยังโอกาสที่เปิดกว้างให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วย Growth Mindset แล้ว

ที่มา:

: Teaching is a Practice, Not a Perfection. (2016). In A. B. Hundley, The Growth Mindset Coach (pp. 11-25). CA: Ulysses Press.

Tags:

เทคนิคการสอนGrowth mindsetครู

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

THE EXERCISE OF ELDERS: เครื่องบริหารกล้ามเนื้อผู้สูงวัยที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจของหลานๆ
Character buildingCreative learning
2 July 2019

THE EXERCISE OF ELDERS: เครื่องบริหารกล้ามเนื้อผู้สูงวัยที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจของหลานๆ

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ The Potential

  • The Exercise of Elders เครื่องบริหารกล้ามเนื้อสำหรับผู้สูงอายุ ผลงานของน้องๆ โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ จ.สตูล นวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกเล็กๆ ของเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ปรารถนามอบความสะดวกสบายและความสุขให้แก่ผู้สูงอายุในจังหวัดสตูล
  • จากการเล่นฟุตบอลจนบาดเจ็บ ทำให้พบโจทย์พัฒนา The Exercise of Elders แก้ปัญหาขาดแคลนเครื่องบริหารกล้ามเนื้อ และการเดินทางมารักษาที่โรงพยาบาลของผู้สูงอายุ 
  • แม้ต้องปรับแก้ทุกรอบการแข่งขัน ทีมก็ไม่คิดล้มเลิก เพราะความสำเร็จของ The Exercise of Elders จะสร้างความสุขให้ผู้สูงอายุได้
เรื่อง: กิติคุณ คัมภิรานนท์, มณฑลี เนื้อทอง

การคาดหวังให้โลกดีขึ้นอาจต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แต่หลายครั้ง โลกก็สวยงามขึ้นได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มีคุณค่าและแก้ปัญหาได้จริง

The Exercise of Elders เครื่องบริหารกล้ามเนื้อสำหรับผู้สูงอายุ ผลงานของน้องๆ โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ จ.สตูล คือหนึ่งตัวอย่างของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกเล็กๆ ของเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่ปรารถนามอบความสะดวกสบายและความสุขให้แก่ผู้สูงอายุในจังหวัดสตูล

โลกอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากผลงานของพวกเขา แต่ผลงานของพวกเขาจะทำให้โลกของผู้สูงอายุสวยงามขึ้นอย่างแน่นอน

“อุปกรณ์ชิ้นนี้ ผมทำขึ้นให้ใช้งานได้สะดวก เพราะเครื่องบริหารกล้ามเนื้อสำหรับผู้สูงอายุของโรงพยาบาลจะยึดอยู่กับที่ ผู้สูงอายุต้องไปทำที่โรงพยาบาลอย่างเดียว แต่กับเครื่องนี้ ผู้สูงอายุนำไปทำได้ที่บ้านเลย”

เจอโจทย์เพราะบาดเจ็บ

“ผมเล่นฟุตบอลแล้วล้ม เอ็นไขว้หน้าขาด* ทำให้ต้องไปบริหารกล้ามเนื้อที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จึงได้เห็นว่ามีผู้สูงอายุจำนวนมากต้องไปบริหารกล้ามเนื้อ แต่โรงพยาบาลมีเครื่องไม่เพียงพอ และตัวเครื่องก็ใหญ่เทอะทะ เราจึงอยากแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยผู้สูงอายุ” แบงค์-นันทวัฒน์ ชำนิธุระการ เล่าถึงที่มาของผลงาน อันเกิดจากความเห็นอกเห็นใจต่ออาการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุ แม้จะเป็นเพียงความรู้สึกกับปัญหาเล็กๆ แต่ถ้าสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ แบงค์มองว่ามันคุ้มค่า

ด้วยความชอบในสิ่งประดิษฐ์ อยากทำโครงงานเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์เป็นทุนเดิม ทำให้แบงค์หอบโจทย์จากโรงพยาบาลกลับมาปรึกษากับอาจารย์ที่โรงเรียน และหลังจากนั้นประมาณ 7 เดือน The Exercise of Elders เวอร์ชันแรกก็ถือกำเนิดขึ้น แบงค์ส่งผลงานเข้าแข่งขันในงานวันนักประดิษฐ์ ปี 2561 ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 20 (YSC 2018) ผลงานนั้นผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ

“อุปกรณ์ชิ้นนี้ ผมทำขึ้นมาให้ใช้งานได้สะดวก เพราะเครื่องบริหารกล้ามเนื้อสำหรับผู้สูงอายุของโรงพยาบาลจะยึดอยู่กับที่ ผู้สูงอายุต้องไปทำที่โรงพยาบาลอย่างสถานเดียว แต่กับเครื่องนี้ ผู้สูงอายุสามารถนำไปทำได้ที่บ้านเลย” แบงค์เล่าแนวคิดผลงาน

และเพราะฝันว่าโตขึ้นอยากทำธุรกิจของตัวเอง เมื่อเห็นบอร์ดนิทรรศการของรุ่นพี่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ที่หลายคนได้จดสิทธิบัตรผลงาน แบงค์มองว่าหากจะพัฒนา The Exercise of Elders ไปให้ถึงขั้นที่สามารถจดสิทธิบัตรได้ การเข้าโครงการนี้น่าจะเป็นก้าวแรกของความฝัน เขาจึงไม่รอช้า สมัครเข้าโครงการต่อกล้าฯ ปี 6 ทันที

จากที่เคยทำผลงานคนเดียว แบงค์ตัดสินใจชวนเพื่อนๆ ที่เคยผ่านประสบการณ์ประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนรุ่นเดียวกันมาร่วมทีม โดยชวน อั๋น-กฤติน ชะโยภัฏฐ์ กับ ตั้ว-อภิศิลป์   อังโชติพันธุ์ มาร่วมพัฒนาโครงงานรอบแรก ก่อนจะชวนปั่น-อัษฎาวุธ หอพิสุทธิสาร ,ภู-ศุภกร แสงขำ และ หนึ่ง-กัมปนาท ทองคำ มาสมทบเพิ่มหลังจากผ่านเข้าไปถึงรอบ 2 โดยบทบาทหน้าที่ในทีมนั้น แบงค์กับหนึ่งดูเรื่องการออกแบบดีไซน์ ปั่น ตั้ว ภู ช่วยเรื่องเอกสารและออกแบบคู่มือ และอั๋นดูเรื่องแอปพลิเคชัน

“มันยากมากที่จะได้เจอโครงการแบบนี้ เพราะมีความรู้หลายอย่างที่เด็กต่างจังหวัดไม่สามารถจะเรียนรู้ได้ โอกาสมาแล้วก็เลยชวนเพื่อนไปหาประสบการณ์ ผมแข่งงานของ วช. แข่ง YSC ระดับประเทศมา เวลาไปคนเดียวมันรู้สึกว่า ถ้าเพื่อนได้มาด้วยน่าจะดี จะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน” แบงค์เล่าความรู้สึก

“ส่วนตัวผมชอบการประดิษฐ์ พอเข้ามาเรียน ม.4 ก็รู้จักแบงค์ แบงค์ก็ชวนทำโครงงานต่างๆ หลายโครงการ และได้มาเข้าโครงการต่อกล้าฯ เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา” ภูกล่าว

ก่อนที่อั๋นจะเสริมว่า “เดิมผมชอบเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ครับ แต่ยังไม่ค่อยรู้ว่าทำอะไรอย่างไร จนแบงค์ดึงมาทำโครงการต่างๆ ช่วยสอนเรื่องต่างๆ ต่อกล้าเขาก็ดึงเข้ามาเหมือนกันเพื่อที่จะได้ช่วยกัน”

ไม่ต่างกับตั้วที่ชอบเครื่องยนต์กลไก อยากทำโครงงานแต่ไม่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ปั่นที่สนใจเรื่องสิ่งประดิษฐ์มาตั้งแต่เด็ก และหนึ่งที่มีความหลงใหลในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์เพื่อสนับสนุนภูมิปัญญาชาวบ้าน การที่แบงค์ชวนทุกคนมาร่วมทีมจึงเป็นเหมือนการรวมพลังของคนที่มีความชื่นชอบเหมือนๆ กัน มาร่วมกันพัฒนาผลงานเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้สูงอายุ

“มันก็มีเหนื่อย มีเบื่อบ้าง…แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้”

‘การปรับแก้’ คืองานอดิเรก

นับตั้งแต่เวอร์ชันแรกมาจนถึงเวอร์ชันล่าสุด The Exercise of Elders ผ่านกระบวนการปรับปรุงแก้ไขมาอย่างโชกโชน ชนิดที่น่าเห็นใจแทนคนทำ

“ผลงานรอบแรกตอน YSC มีแค่ 3 อย่างครับ คือ วงล้อ ส่วนรอก และส่วนที่ยกน้ำหนัก ผมเริ่มทำและได้ปรึกษานักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสตูล ซึ่งเป็นนักกายภาพฯ คนเดียวกับตอนที่ผมไปบริหารกล้ามเนื้อนั่นแหละครับ (ยิ้ม) สนิทกันก็เลยขอคำปรึกษาว่าส่วนนี้ดีไหม วงล้อต้องหมุนอย่างไร เขาจะบอกหลักการทำงานมาว่าทำแล้วแก้โรคอะไร” แบงค์เล่าอย่างอารมณ์ดี

เพราะใส่ใจต่อผู้ใช้งาน แบงค์จึงเริ่มพัฒนาผลงานด้วยการทำงานร่วมกับนักกายภาพบำบัดตั้งแต่ต้น เพื่อการันตีว่าผลงานจะถูกพัฒนาบนฐานของการถูกนำไปใช้ได้จริงภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โดยแบงค์เริ่มจากการมองว่า การหยิบจับสิ่งของในชีวิตประจำวันถือเป็นกิจวัตรพื้นฐานที่จำเป็นมากสำหรับผู้สูงอายุ เขาจึงตั้งต้นพัฒนา The Exercise of Elders บนโจทย์ของการบริหารกล้ามเนื้อช่วงแขนของผู้สูงอายุเป็นสำคัญ จนสำเร็จออกมาเป็นผลงานต้นแบบที่ประกอบด้วย วงล้อใช้บริหารหัวไหล่และช่วงแขน แก้หัวไหล่ติด รอก ใช้บริหารและพยุงทั้งหัวไหล่และต้นแขน และ ที่ยกน้ำหนัก ที่ถ่วงกับถุงทราย ใช้เพิ่มกล้ามเนื้อแขน

กระทั่งผลงานผ่านรอบแรกของ YSC แบงค์ก็ได้รับคอมเมนต์ให้เพิ่มส่วนของการปั่นจักรยานเข้าไป จนผลงานได้รางวัลระดับภาค ก็มีการเพิ่มส่วนของการบิดมือและการบริหารหัวเข่าเพิ่มเข้าไปอีกกระทั่งไปถึงรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ

“รอบแรกที่ ม.วลัยลักษณ์ กรรมการแนะนำให้เพิ่มการบริหารส่วนเท้าด้วย ผมเลยมาคิดต่อถึงการปั่นจักรยานที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อตั้งแต่ต้นขาไปถึงปลายเท้าได้ จนไปถึงการแข่งขันระดับประเทศ กรรมการหลายท่านแนะนำว่าควรเพิ่มส่วนของการเก็บพลังงานใส่แบตเตอรี่เพื่อนำไฟไปใช้ต่อ และให้เพิ่มกระเป๋าแพคเกจจิ้งเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายด้วย” แบงค์เล่าถึงเส้นทางของผลงาน

หลังจบจาก YSC ผลงาน The Exercise of Elders ถือว่ามีฟังก์ชันที่ดีพร้อม อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่โครงการต่อกล้าฯ แล้ว คำแนะนำจากกรรมการที่ทีมได้รับก็คือ การปรับแก้ให้ผลงานมีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น

“กรรมการแนะนำว่าเครื่องยังไม่ปลอดภัยครับ พอไม่ปลอดภัยก็ทำให้ใช้งานลำบาก เราต้องกลับมาเก็บรายละเอียด ลบมุมแหลมให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ เปลี่ยนการจับวงล้อ เปลี่ยนแกนกลางเครื่องจากสี่เหลี่ยมเป็นวงกลมเพื่อให้หมุนได้ 360 องศา เพิ่มแป้นบีบกับโต๊ะขึ้นมาให้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น” แบงค์อธิบาย

และไม่ใช่เพียงคำแนะนำจากผู้รู้และกรรมการเท่านั้น แต่เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด ทีมจึงนำผลงานไปทดสอบจริงกับผู้สูงอายุ กระบวนการนี้เริ่มมาตั้งแต่ตอน YSC และสืบเนื่องมาถึงโครงการต่อกล้าฯ เพราะพวกเขาปรารถนาให้ The Exercise of Elders สามารถใช้งานได้จริงกับผู้สูงอายุตามที่ตั้งใจไว้

“ฟีดแบคจากนักกายภาพบำบัดและผู้สูงอายุ คือ เครื่องยังทำงานไม่สมบูรณ์ ฟังก์ชันการทำงานยังน้อย และใช้งานยาก ซึ่งพวกเราก็ช่วยกันปรับปรุง ทำให้ผู้ใช้รู้สึกพึงพอใจมากกว่าเดิม นักกายภาพบำบัดรู้สึกว่าใช้งานดีกว่าเดิม แข็งแรงมากกว่าเดิม ส่วนผู้สูงอายุเขาอยากให้ตัวเครื่องยึดติดกับฝาผนัง เพราะเขารู้สึกว่าใช้กับโต๊ะแล้วไม่แข็งแรงพอ แต่สิ่งที่เขาพอใจคือท่าบริหารกล้ามเนื้อดีกว่าเดิม และใช้งานง่ายกว่าเดิม ซึ่งพอใช้งานดีกว่าเดิมเขาก็โอเคแล้วครับ” แบงค์กล่าวอย่างมีความสุข

จากฟังก์ชันสำหรับการบริหารช่วงแขน ถูกพัฒนาให้ครอบคลุมถึงการบริหารช่วงขา และปรับแก้ให้ปลอดภัยและมีความเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่ายมากขึ้น กล่าวได้ว่านี่คือขอบเขตงานที่หนักไม่น้อยสำหรับทีมนักเรียนมัธยมปลาย

“จากเวอร์ชันแรกสู่เวอร์ชัน 2 เหมือนเปลี่ยนใหม่หมดเลยครับ (หัวเราะ) มีแค่วงล้อกับหัวเข่าที่เหมือนเดิม นอกนั้นเหมือนทำรุ่นใหม่ออกมาเลย” ตั้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

และไม่ใช่เพียงเนื้องานการปรับแก้เท่านั้น หากแต่ยังมีบริบทแวดล้อมอีกไม่น้อยที่ทีมต้องเรียนรู้และบริหารจัดการตลอดการเข้าร่วมโครงการ เช่น การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ได้ยาก เพราะสมาชิกในทีมล้วนอยู่นอกตัวเมือง ต้องใช้เวลาสรรหาและจ้างทำโดยเฉพาะ หรือเรื่องการบริหารจัดการเวลาและจัดลำดับความสำคัญของงาน รวมไปถึงการเปิดใจเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ อย่างหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ที่ทีมบอกว่าเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับพวกเขา

“การทำงานของเราต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลและทดสอบเครื่องกับผู้สูงอายุ โดนคอมเมนต์มาหลายเวทีว่าให้ไปทำเรื่องขอจริยธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อขออนุญาตทดสอบกับผู้สูงอายุอย่างถูกต้อง ถ้าเราไม่มีจะไปทดสอบกับผู้สูงอายุไม่ได้ และมันจะอันตรายต่อตัวเราด้วย เช่น ถ้าเราไปให้ผู้สูงอายุใช้แล้วเกิดเครื่องล้มตีหัวขึ้นมา นั่นคือปัญหาที่เราต้องรับผิดชอบ” แบงค์เล่า

แน่นอนว่านี่เป็นงานที่หนักและเหนื่อย แต่ทีมก็ยินดีและใส่ ‘ใจ’ ลงไปในทุกกระบวนการที่ทำ นับตั้งแต่การออกแบบ การปรับแก้และทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าบนฐานของการใส่ใจผู้ใช้ เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

“มันมีเหนื่อยมีเบื่อบ้าง แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ บางอย่างผมยังศึกษาไม่ทั่วถึง แต่พอได้แก้เครื่อง ได้อยู่กับมัน ทำให้เรารู้ว่าหลักการนี้เพิ่มเติมอะไรได้บ้าง มีหลักการไหนนำมาปรับใช้กับผลงานของเราได้ พอแก้ตรงนี้เสร็จก็ไปปรึกษาช่าง ช่างก็บอกหลักการ เราก็ได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของเครื่อง ทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น” แบงค์เล่าถึงแนวคิดของทีมอย่างร่าเริง

เป็นมุมคิดที่น่าสนใจ เข้าข่ายยิ่งทำมากก็ได้เรียนรู้มาก และมากกว่าความคิดก็คือแรงบันดาลใจที่เกิดจากการเอาชนะอุปสรรคในการพัฒนาผลงาน

“ความรู้สึกตอนทำงานสำเร็จเหมือนก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่งครับ พอทำสำเร็จแล้วได้สิ่งที่ดีกว่า ทำแล้วได้จดอนุสิทธิบัตร เป็นเหมือนแรงบันดาลใจหรือแรงจูงใจให้ทำต่อ” แบงค์เอ่ยอย่างมีความสุข

“การได้ทำผลงานนี้ทำให้เรามองไกลไปถึงการผลิตผลงานและสร้างรายได้ให้กับตัวเอง…ได้ใช้ความสามารถตัวเองพัฒนาเครื่อง และทำให้มันขายได้”

อนาคตไม่ใช่ความฝัน แต่เกิดได้จากความฝัน

บทเรียนที่ทีมได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการพัฒนาผลงาน คือทักษะล้ำค่าที่จะช่วยส่งให้แต่ละคนมุ่งสู่ความฝันของตนต่อไป ทั้งแบงค์และปั่นที่อยากทำธุรกิจสายวิศวกรรมของตัวเอง อั๋นที่พุ่งเป้าไปยังการเรียนต่อในสายคอมพิวเตอร์ ตั้วที่ตั้งใจไปในสายวิศวกรรมยานยนต์ ภูที่สนใจด้านวิศวกรรมทรัพยากร และหนึ่งที่สนใจงานราชการและทำธุรกิจส่วนตัว

“การได้ทำผลงานนี้ทำให้เรามองไกลไปถึงการผลิตผลงานและสร้างรายได้ให้กับตัวเองครับ ได้ใช้ความสามารถตัวเองพัฒนาเครื่อง และทำให้มันขายได้” ภูกล่าว

“ผมอยากเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว การมาทำงานนี้ทำให้ได้เรียนรู้กระบวนการผลิตสินค้า การทำงาน รวมถึงกระบวนการในการใช้ชีวิตต่อไปด้วยครับ” ปั่นเสริมอย่างร่าเริง

สำหรับความฝันระยะสั้นที่กำลังจะกลายเป็นความจริงอย่างการพัฒนาผลงาน The Exercise of Elders ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนในทีมภูมิใจมากที่ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาผลงานจนมาถึงจุดที่สามารถใช้งานได้จริง และกำลังจะขยายผลสู่โรงพยาบาลและโลกธุรกิจต่อไป

“เป้าหมายของผลงานคือ การพัฒนาผลงานให้ใช้งานง่ายที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ และได้ผลที่สุดครับ และตอนนี้ก็กำลังวางแผนที่จะทำบริจาค 3 เครื่องให้โรงพยาบาลและสาธารณสุขในจังหวัดสตูล อยากให้ผู้สูงอายุได้เห็นและได้ใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ” แบงค์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

จากความเห็นอกเห็นใจเล็กๆ ของแบงค์ ผลงาน The Exercise of Elders ถูกต่อยอดและพัฒนาขึ้นด้วยกลุ่มเด็กหนุ่มผู้หลงใหลในโครงงานวิทยาศาสตร์ ผ่านคำชมและคำวิจารณ์ ผ่านการเรียนรู้และปรับแก้มากมาย แม้จะมีท้อบ้าง แต่ความท้อก็ไม่อาจสั่นคลอน ‘หัวใจ’ ที่พวกเขาใส่ลงไปในงานได้ จนในที่สุดความฝันเล็กๆ ก็กลายเป็นความจริง และพร้อมจะออกเดินทางไปมอบความสุข มอบโลกที่สวยงามขึ้นให้แก่ผู้สูงอายุในจังหวัดสตูลต่อไป

*เอ็นไขว้หน้า (Anterior Cruciate Ligament – ACL) หนึ่งในเอ็นหลักของเข่า อยู่ลึกเข้าไปบริเวณส่วนกลางข้อเข่า เอ็นไขว้หน้าช่วยรักษาความมั่นคงของข้อเข่าในการเคลื่อนไหว ป้องกันการบิดหมุนของข้อเข่า

ผลงาน : The Exercise of Elders  เครื่องบริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ แขน หัวเข่า และขาสำหรับผู้สูงอายุ ที่สามารถบริหารกล้ามเนื้อหรือทำกายภาพบำบัดส่วนต่างๆ ได้ในอุปกรณ์เครื่องเดียว

ผู้พัฒนาผลงาน : นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ จังหวัดสตูล

นายนันทวัฒน์    ชำนิธุระการ   (แบงค์)
นายกฤติน     ชะโยภัฏฐ์          (อั๋น)
นายอภิศิลป์   อังโชติพันธุ์      (ตั้ว)
นายอัษฎาวุธ หอพิสุทธิสาร    (ปั่น)
นายศุภกร      แสงขำ            (ภู)
นายกัมปนาท ทองคำ           (หนึ่ง)

Tags:

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมสังคมสูงวัย

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    GIRL’S SECRETS: เปลี่ยนความลับเป็นนวัตกรรม เพราะประจำเดือนไม่ใช่เรื่องต้องปิด

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR
Education trend
1 July 2019

โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • โลกไม่ได้สนใจว่า ‘คุณรู้อะไร’ แต่สนใจว่า ‘คุณทำอะไรกับสิ่งที่รู้’ ซึ่งอย่างหลังคือคุณสมบัติสำคัญของนวัตกร
  • นวัตกร หรือ นักสร้างนวัตกรรม ไม่ได้ผูกขาดแค่ฝั่งวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่คือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ต่อปัญหาที่เกิดใหม่ทุกวัน
  • นวัตกร ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ ถ้ามีทักษะสำคัญ คือ คิด แก้ปัญหา ลงมือทำ และพยายามอดทนทำซ้ำ เพราะไม่มีนวัตกรรมไหนที่ไม่ได้มาจากการทดลองและความผิดพลาด

ในยุค disruption ที่ทุกอย่างเคลื่อนหมุนด้วยความเร็วเพียงรีเฟรชนิวฟีด ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีก้าวเร็ว แต่ความรู้ก็มีครึ่งชีวิตสั้นขึ้นเรื่อยๆ [1] ท่ามกลางการทำนายต่างๆ ว่าอนาคตอันใกล้โลกต้องการคนแบบไหน โรงเรียนต้องผลิตคนให้มีทักษะแบบไหนเพื่ออยู่ในสังคมที่หมุนเร็วเช่นนี้

คำถามและข้อเสนอแนะที่น่าสนใจดังมาจาก โทนี วากเนอร์ (Tony Wagner) นักการศึกษา ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการคนแรกของ Harvard Innovation Lab มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เขียนหนังสือ Creating Innovators: คู่มือสร้างนักนวัตกรรมเปลี่ยนโลก กล่าวไว้บนเวที TED Talk ปี 2012 ว่า

“What the world cares about is not what you know, but what you can DO with what you know. And that is a completely different education problem”

“โลกไม่ได้สนใจว่า ‘คุณรู้อะไร’ แต่สนใจว่า ‘คุณทำอะไรกับสิ่งที่รู้’ ซึ่งสองอย่างนี้เป็นปัญหาการศึกษาที่แตกต่างกัน”

และการ ‘ทำอะไรกับสิ่งที่รู้’ วากเนอร์หมายถึง คาแรคเตอร์ในเนื้อตัวคนบางอย่างที่อยากจะออกไปสำรวจ ทดลอง คิด และลองจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่าการสร้างนวัตกรรมนั่นเอง

บทความชิ้นนี้ต้องการชวนคุยประเด็น การสร้างนวัตกรตัวน้อย ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงธุรกิจหรือเทคโนโลยี แต่นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาใกล้ตัวพวกเขา เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม ซึ่งปัจจุบันมีนวัตกรตัวน้อยเติบโตและพากันผลิตผลงานเพื่อแก้ปัญหาเล็กใหญ่อย่างไม่ขึ้นกับอายุ ชวนคุยว่า (นวัตกรรม) การศึกษาแบบไหน สภาพแวดล้อมและโอกาสแบบไหนที่สร้างคนให้มีวิธีคิดแบบนวัตกร

นวัตกรรมคืออะไร

เวลาพูดถึงคำว่า ‘นวัตกรรม’ เรามักนึกถึงเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ในแง่วิทยาศาสตร์ หรือในกลุ่มธุรกิจและการตลาด แต่ความหมายทั่วไป นวัตกรรม [2] หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ การแก้ปัญหาต่อข้อเรียกร้องใหม่ๆ ที่อาจอยู่ในรูปสินค้า, วิธีการ, บริการ, เทคโนโลยี หรือ โมเดลธุรกิจ ไม่ใช่แค่นั้น ปรัชญาของนวัตกรรมยังลงลึกระดับความคิดในชีวิตประจำวัน (เช่น วิธีคิด วิธีตั้งคำถาม วิธีหาความรู้ ในชีวิตประจำวัน) และในทุกสายสังคม

“นวัตกรรมมาจาก หนึ่ง การยอมรับในปัญหา, สอง ศึกษาจนเข้าใจปัญหานั้นอย่างถ่องแท้ และ สาม หาวิธีการแก้ปัญหามัน”

อีกหนึ่งความหมายโดย มาร์ลีย์ ไดเอส (Marley Dias) [3] ผู้ก่อตั้งแคมเปญ #1000BlackGirlBooks ในปี 2015 ซึ่งขณะนั้นเธออายุ 11 ปี สร้างแคมเปญรวบรวมและบริจาคหนังสือที่มีตัวละครของคนผิวสีให้ได้ 1,000 เล่ม (รายงานปี 2017 ไดเอส ระบุว่าเธอรวบรวมหนังสือได้กว่า 9,000 เล่มแล้ว) ต้องเรียกว่าเธอคือหนึ่งในนวัตกรตัวน้อยที่เปลี่ยนความไม่พอใจการเหยียดผิวในสังคมสู่การเคลื่อนไหวอย่างอัจฉริยะ และเป็นตัวอย่างนิยาม ‘นวัตกรรม’ ที่ไม่ได้มีพระเอกเป็น ‘เทคโนโลยี’ แต่คือ ‘ความคิด’

“มันมีคำศัพท์เฉพาะในวงการธุรกิจทุกวันนี้ อย่าง design thinking, innovation, fast-failure, disruption, cross-functional leadership แต่หัวใจของทั้งหมดนี้คือ ความสามารถของคนที่จะเริ่มต้น ก้าวย่างอย่างช้าๆ เรียนรู้ และ ทำซ้ำ” เมลานี รอบบินส์ (Melanie Robbins) พิธีกรชาวอเมริกัน นักเขียน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

“นวัตกรรมด้านซอฟท์แวร์ เหมือนกับนวัตกรรมทั่วโลก นั่นคือต้องการการทำงานร่วมกัน แชร์ไอเดียกับผู้อื่น พูดคุยกับลูกค้าเพื่อรับฟีดแบ็ค เข้าใจให้ได้ว่าพวกเขาต้องการอะไร” บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) นักธุรกิจชาวอเมริกันและหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์

ทักษะของนักนวัตกรเป็นแบบไหน

ตัวอย่างนิยามของทั้ง 3 ท่านข้างต้น มีจุดร่วมที่คล้ายกันคือ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การลงมือทำ และ การทำซ้ำ การทำซ้ำที่หมายถึง ‘การทดลอง’

ตัดคำว่า นวัตกรรมออกไป ดึงออกมาแค่วิธีการ จะเห็นว่านี่เป็นปรัชญาการศึกษาที่ตั้งต้นจากปัญหา ทดลอง ลงมือทำ อย่างที่วากเนอร์พูดชัดเจนบนเวที Ted Talk ว่า

“ในโลกแห่งนวัตกรรม อย่างที่ทุกคนรู้ เป็นเรื่องของการโอบรับความเสี่ยง ทำผิดพลาด และ เรียนรู้จากมัน

“ผมไปที่ IDEO บริษัทที่ปรึกษาด้านการออกแบบระดับโลก บอกกับผมว่า ‘คำขวัญประจำใจของเราคือ ล้มให้ไว และ ล้มบ่อยครั้ง เพราะไม่มีนวัตกรรมไหนที่ไม่ได้มาจากการทดลองและความผิดพลาด’ ”

ความผิดพลาดจะสร้างการทดลอง และเป็นการทดลองที่มาจากการฟัง สังเกต และคิดอย่างบูรณาการ การทดลองยังสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและแนวทางที่ดีขึ้น วากเนอร์ยังวิจารณ์ต่อไปว่า 

แต่สิ่งที่พ่อแม่ยุคใหม่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็น tiger moms (พ่อแม่แสนเข้มงวด) หรือ helicopter parents (ผู้ปกครองคอยวนเวียนดูแลบุตรหลานโดยไม่ยอมปล่อยมือ) ต่างปกป้องลูกจากความผิดพลาด แม้จะด้วยความรัก แต่นั่นไม่ต่างกับการตัดตอนการเรียนรู้ 

จากการสัมภาษณ์ผู้เรียน ครู และผู้ปกครองหลายร้อยชีวิต ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรที่ประสบความสำเร็จพบหลักๆ คือ 

หนึ่ง – นวัตกรไม่ได้เกิดมาพร้อมปัญญาอัจฉริยะ แต่มาจากการสร้างสิ่งแวดล้อมและโอกาสในการเรียนรู้ 

สอง – วิธีการที่ว่านั้น คือ การสร้างแรงบันดาลใจ ‘ภายใน’ (ไม่ใช่แรงจูงใจภายนอก เช่น ถ้าสอบผ่านจะได้ของขวัญที่อยากได้) นั่นก็คือ play, passion and purpose – การเล่น ความหลงใหล และ เป้าหมาย  

ในหนังสือ Creating Innovators วากเนอร์ได้สรุปแบบแผนร่วมของนวัตกรไว้ดังนี้

ทักษะที่ทำให้คนมีนวัตกรรมแตกต่างจากคนไม่มีนวัตกรรม ได้แก่

  • การเชื่อมโยง
  • การตั้งคำถาม
  • การสังเกต
  • การทดลอง
  • การสร้างเครือข่าย

คุณสมบัติที่จำเป็นที่สุดในการเป็นนวัตกรที่ประสบความสำเร็จ

  • ความสงสัยใคร่รู้
  • การร่วมมือ
  • การคิดเชิงบูรณาการ หรือคิดแบบเชื่อมโยง
  • แนวโน้มที่จะลงมือทำและทดลอง 

Play, Passion and Purpose องค์ประกอบและสิ่งแวดล้อมสร้างนวัตกร

เล่น: จากการศึกษาพบว่าชีวิตของนวัตกรในวัยเด็กมักได้เล่นอย่างอิสระ (unstructured play) และ ริเริ่มด้วยตัวเอง พ่อแม่ของพวกเขาซื้อของเล่นประดิษฐ์ให้น้อยมาก และเท่าที่มีก็มักเป็นของเล่นสร้างจินตนาการ เช่น ตัวต่อเลโก้ ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างทักษะแห่งการจินตนาการ และคอนเซ็ปต์ของความเป็นไปได้ทั้งมวล ที่น่าสนใจคือ นวัตกรเหล่านี้เรียนพิเศษนอกเวลาเรียนน้อยมาก และถูกจำกัดการใช้เวลากับหน้าจอ

หลงใหล: ผู้ปกครองของเหล่านวัตกรยังสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ หลายอย่าง หรือเรียกว่าการวางบุฟเฟต์ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือ เครื่องดนตรี แต่เด็กๆ จะไม่ถูกผลักหรือกดดันให้ชอบสิ่งที่พ่อแม่วางไว้ให้ (เช่น ไม่คิดว่าเมื่อลูกเรียนดนตรี ลูกจะต้องเป็นนักดนตรีระดับโลก) เพราะรู้ว่านั่นคือการเรียนรู้เพื่อเปิดโลกเท่านั้น

ขีดเส้นใต้ว่า – การเรียนรู้ที่ไม่เกิดจากความกดดันหรือคาดหวัง ‘ภายนอก’ เป็นเรื่องเดียวกับความหลงใหล เพราะเมื่อเราหมดความอยากเรียนรู้หรือพยายามในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว อย่างแย่ที่สุดก็คือไม่ได้รางวัลจากสิ่งนั้น แต่ความหลงใหล ความทะเยอทะยาน ความกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้อยากทำในสิ่งนั้น จะเป็นแรงขับให้ทำต่อไปไม่จบสิ้น และนี่คือเคล็ดลับในการสร้างบรรยากาศและโอกาสการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้

เป้าหมาย: “ครูและผู้ปกครองที่ผมสัมภาษณ์พูดตรงกัน ‘เอากลับไป และทำให้มันแตกต่าง’ และนั่นทำให้นวัตกรที่ผมสัมภาษณ์ ยึดถือคุณค่าหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ‘ความแตกต่าง’ ซึ่งนี่เป็นขั้นที่พัฒนาความหลงใหลไปสู่การลงมือทำให้สำเร็จ”

ตัวอย่างนวัตกรตัวน้อย

ไดเอส ผู้ก่อตั้งแคมเปญ #1000BlackGirlBooks อย่างที่กล่าวไป, มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อมาพัฒนา Facebook เช่นเดียวกับ สตีฟ จ็อบส์ พักการเรียนที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ มลรัฐโอเรกอน แต่ต่อมาก่อตั้งบริษัท Apple จนสำเร็จ 

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้ ผู้สร้างนวัตกรรมตัวน้อยเกิดขึ้นทั่วมุมโลก และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสนใจคือนวัตกรรมส่วนใหญ่แอบอิงอยู่กับปัญหาสังคม เช่น 

  • จักรยานซักผ้า จาก เรมยา โจเซ (Remya Jose) หญิงสาวอินเดีย อายุ 14 ถูกคิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหางานบ้านในวันที่แม่ล้มป่วย 
  • เครื่องช่วยดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ส่งสัญญาณทางโทรศัพท์ทุกครั้งที่ผู้ป่วยขยับตัวเดินลุกจากเตียง โดย เคนเนธ ชิโนซูกะ (Kenneth Shinozuka) ชาวอเมริกันอายุ 15 ปี ผู้ได้แรงบันดาลใจจากการต้องดูแลคุณปู่ที่ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม 
  • ทุ่นเก็บขยะในทะเล โดย โบยัน สเลท (Boyan Slat) อายุ 19 ปี แม้ทุ่นเก็บขยะตัวนี้ยังเป็นแผนร่าง แต่สเลทออกแบบให้ทุ่นเก็บขยะลอยน้ำได้มากถึง 200 ล้านตันทั่วโลก แต่ทุ่นนี้จะไม่ดักจับปลาหรือแพลงตอน มากกว่านั้น เขายังวางแผนให้มันสามารถรีไซเคิลขยะได้เองด้วย 

แม้ไม่อาจสรุปได้ว่านวัตกรตัวน้อยมีทักษะนิสัยและได้รับการเลี้ยงดูแบบเดียวกับข้อเสนอของวากเนอร์ทุกประการ แต่หากเชื่อเช่นเดียวกับที่วากเนอร์เชื่อ คือ “โลกไม่ได้สนใจว่า ‘คุณรู้อะไร’ แต่สนใจว่า ‘คุณทำอะไรกับสิ่งที่รู้’ เราอาจตั้งคำถามต่อไปได้ว่า การศึกษาบ้านเรา (หรือการศึกษาที่ไหนๆ ก็ตาม) สร้างให้คนมีคาแรคเตอร์ที่กระหายอยากทำ ‘อะไรกับสิ่งที่รู้’ และทำมันได้อย่างจริงจังและตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า

ตอบคำถามแบบรวบรัด คงไม่ใช่เราทุกคนที่จะเป็นสตีฟ จ็อบส์ หรือ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก แต่ถ้าเชื่อเช่นเดียวกันว่าทักษะของนวัตกรคือการคิด แก้ปัญหา ลงมือทำ และเพียรพยายามที่จะอดทนทำซ้ำ คือเป้าหมายเดียวกับการเรียนรู้ เราทุกคนต่างก็เป็นนวัตกรด้วยกันทั้งนั้น

ที่ท้าทายและเรียนรู้ได้จากนวัตกรก็คือ การสร้างสิ่งแวดล้อมและโอกาสให้เหล่านวัตกรตัวน้อยเติบโตขึ้นต่างหาก คือวิธีคิดที่สำคัญ

อ้างอิง:

tonywagner.com

bookscape.co

forbes.com

interestingengineering.com

Play, passion, purpose: Tony Wagner at TEDxNYED

[1] thepotential.org

[2] อ้างอิงจาก Merriam-Webster ผู้นำด้านหนังสืออ้างอิงทั้งแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์สัญชาติอังกฤษ

[3] www.forbes.com

Tags:

การเล่นพ่อแม่ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)DisruptionนวัตกรTED Talks

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21
21st Century skills
28 June 2019

5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Five Minds for the Future คือ จิต 5 แบบเพื่อโลกศตวรรษที่ 21 โดย โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของทฤษฎีพหุปัญญา ที่เป็นห่วงต่อความล้าหลังของหลักสูตรในโรงเรียน รวมถึงบุคลากรจากระบบการศึกษาที่ไร้ประสิทธิภาพในการคิดและการเข้าสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าการศึกษากำลังสอนเนื้อหาที่อยู่คนละทิศกับโลกจริง ซ้ำยังสร้างกับดักลวงให้คนหนุ่มสาวคิดว่า การเป็นดาวเด่นในโลกยุคใหม่ต้องเป็นคนเก่งสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

โดยลักษณะจิตทั้ง 5 แบบที่จะกล่าวถึงนี้ คือเครื่องมือสำคัญที่พ่อแม่และโรงเรียนต้องติดตั้งให้ลูกหลานเยาวชนทุกคนในโลกยุคใหม่ ได้แก่ จิตวิทยาการ, จิตแห่งการสังเคราะห์, จิตแห่งการสร้างสรรค์, จิตแห่งการเคารพ และ จิตแห่งคุณธรรม 

อ่านบทความ FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21 ได้ ที่นี่

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsFive Minds for the Future

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน
Early childhoodBook
28 June 2019

พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ประเด็นสำคัญของหนังสือ ‘พลังแห่งวัยเยาว์’ คือ การเรียนรู้กับการเข้าโรงเรียน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
  • และการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเล็กโดยผู้ใหญ่ ดีที่สุดคือ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ กล่าวใหม่ว่าเด็กเล็กต้องการเล่นอิสระ มากกว่าการฝึกฝน
  • เช่นนั้นแล้ว อย่าให้ความคาดหวังผิดทางของผู้ใหญ่มาบั่นทอนพลังชีวิตของเด็ก

“โรงเรียนในชั้นเด็กเล็ก ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียนวิชา แต่มีไว้เพื่อ ‘เตรียมความพร้อมในการเรียนรู้’ สำหรับนักเรียนในชั้นเรียนจริง คือประถม 1 เป็นต้นไป นี่คือสภาพย้อนแย้งของชั้นเด็กเล็กในปัจจุบันที่สิ่งที่ชั้นเด็กเล็กจัด กับความต้องการที่แท้จริงของเด็กไม่ตรงกัน และยิ่งร้ายกว่านั้น ที่พ่อแม่ต้องการให้ชั้นเด็กเล็กสอนวิชาเพื่อไม่ให้ลูก ‘ล้าหลังในการเรียน’ ข้อหลงผิดของพ่อแม่นี้ พบบ่อยกว่าในพ่อแม่เศรษฐฐานะต่ำ” หน้า 44

“สภาพที่เด็กเล็กกำลังเผชิญเป็นสภาพย้อนแย้ง คือสังคมเข้าใจศักยภาพเด็กดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ตั้งความหวังและระบบการศึกษาเด็กเล็กที่ทำลายโอกาสต่อยอดศักยภาพนั้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเร่งให้เด็กเรียนวิชาและทดสอบผลลัพธ์การเรียนรู้ที่วิชาอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น โดยใช้แบบทดสอบที่ให้เด็กเขียนตอบในกระดาษ” หน้า 103

ส่วนหนึ่งของหนังสือ พลังแห่งวัยเยาว์* โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช รองประธานมูลนิธิสยามกัมมาจล บันทึกตีความจากหนังสือ The Importance of Being Little: What Young Children Really Need from Grownups โดย Erika Christakis หนังสือที่ว่าด้วยการจัดการศึกษาของเด็กปฐมวัยตามพัฒนาการ ที่ขีดเส้นใต้ว่า ‘การเรียนรู้’ กับ ‘การเข้าโรงเรียน’ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน พร้อมอธิบายว่าครูและผู้ปกครอง มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของพวกเขามากแค่ไหน

ที่ (ยัง) ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ทั้งที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเรียนรู้ของเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี คือการเล่น มากกว่าเรียน และ คือการสร้างปฏิสัมพันธ์ไม่ใช่การจับยัดความรู้ แต่ข้อเท็จจริงในสังคม การสอบแข่งขันเข้า ป.1 บางแห่งยังคงดุเดือดและจัดขึ้นในเด็กที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ แม้จะมี พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562  ที่มีเจตจำนงชัดเรื่องการปกป้องคุ้มครองพัฒนาการเด็กปฐมวัยและห้ามจัดสอบเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เราเองก็ทราบกันดีว่าครูเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสอนหนังสือตามหลักสูตร และผู้ปกครอง แม้จะทราบดีว่าเด็กวัยนี้ต้องเล่นมากกว่าเรียน แต่ก็ยังกลัวว่าลูกจะ ‘สตาร์ท’ ได้ไม่ไวเท่าเพื่อนคนอื่น 

พลังแห่งวัยเยาว์ ยืนยันว่า วัยเด็กเล็กเป็นวัยที่มีพลังเหลือเฟือ มีความฉลาด กว่าที่เราเข้าใจ ถ้าผู้ใหญ่รู้จักปฏิบัติอย่างรู้เท่าเทียมกันกับเด็ก จะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจมากของผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นวัยที่อ่อนไหวต่อภยันอันตรายด้วย 

สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรเอาใจใส่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองเด็ก สมองเด็กเกิดมาพร้อมกับศักยภาพการเรียนรู้และพัฒนา การจับยัดความรู้ของโรงเรียนอนุบาลราวกับเด็กเป็น ‘สถานีเติมน้ำมัน’ เป็นการเดินทางผิด 

ความงามของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่การปูพื้นฐานและอธิบายความสำคัญของการจัดการศึกษาในชั้นอนุบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการตีความผ่านสำนวนของ ศ.นพ.วิจารณ์ ที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย เริ่มทำความเข้าใจว่าการเรียนรู้ของเด็กเล็กควรเป็นแบบไหน ผ่านพัฒนาการทางสมอง ผ่านทฤษฎีการเรียนรู้ของนักการศึกษาต่างๆ ต่อไปยัง ‘วิธีการ’ จัดการเรียนรู้และจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาและในบ้าน

แต่บทความชิ้นนี้ขอสรุปหัวใจสำคัญเฉพาะเรื่อง ‘เด็กเล็กต้องการเรียนรู้แบบไหน’ ซึ่งหากท่านใดสนใจอ่านหนังสือฉบับเต็ม สามารถเข้าไปดาวน์โหลดหนังสือได้ที่นี่

เหมาะอย่างยิ่งจะเป็นหนังสือประจำโต๊ะคุณครูปฐมวัย ผู้ปกครอง กระทั่งครูชั้นประถมที่ต้องรับช่วงต่อเด็กๆ จากครูอนุบาล และเหมาะสำหรับทุกคน ในฐานะที่เราต่างก็แวดล้อมด้วยเด็กตัวน้อยๆ จะได้ไม่สร้างความคาดหวังผิดๆ ต่อเด็กในสังคมต่อไป

เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่น และ ปฏิสัมพันธ์ ไม่ใช่การสั่งสอน

“คำแนะนำของผู้เขียนที่น่าสนใจมากคือในหลายกรณี การส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเล็กโดยผู้ใหญ่ ดีที่สุดคือ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ (getting-out-of-the-way) กล่าวใหม่ว่าเด็กเล็กต้องการเล่นอย่างอิสระ มากกว่าการฝึกฝน” หน้า 29

‘เล่นอย่างอิสระ’ หรือ free play ทั้งในแง่ ‘พื้นที่’ และ ‘เวลา’ เรียกว่าเป็นหัวใจแห่งการเรียนรู้ของเด็กเล็กเลยก็ว่าได้ การเล่นเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างจินตนาการ พื้นที่แห่งการฝึกทักษะสังคมและอารมณ์ การได้สัมผัสกับของจริง เล่นดิน เล่นทรายจริง เจอฝน เจอลมจริง ยิ่งปลุกประสาทสัมผัสทั้งห้า – ในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ ที่กระตุ้นพัฒนาการทางสมองชั้นดี 

แต่อุปสรรคสำคัญ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ใช้คำว่า ‘ความเข้าใจที่ผิดพลาด’ คือความคิดที่ว่าเด็กเป็นผ้าขาว และช่วงเวลานี้เป็นช่วงวัยที่พ่อแม่ต้องรีบแต่งแต้มสีสันด้วยการติดอาวุธทางวิชาการที่เน้นการท่องจำให้พวกเขา

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจใหม่คือ การเรียนรู้ไม่ได้มาจากที่ใดๆ นอกตัวเด็กอย่างที่เข้าใจผิดกัน เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่น และ ปฏิสัมพันธ์ (หรือเรียกว่าคือการเรียนรู้มิติสังคม) ปฏิสัมพันธ์ที่ว่าเป็นได้ทั้งจากบุคคล เช่น พ่อแม่ ครู เพื่อน กระทั่ง ‘สิ่งของ’ พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้

เมื่อคีย์เวิร์ดคือ ‘ปฏิสัมพันธ์’ สิ่งที่ตามมาจึงเป็นการสร้างพื้นที่เพื่อฝึกให้เด็กสร้างปฏิสัมพันธ์นั่นเอง

แน่นอนว่าการเล่นระหว่างเด็กด้วยกันเองเป็นพื้นที่ฝึกทักษะทางสังคมและอารมณ์ (โดยเฉพาะการทะเลาะกันของเด็กๆ ยิ่งสร้างการเรียนรู้และประสบการณ์ในระดับลึกซึ้ง

ตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้แนะนำว่า เวลาเด็กๆ ทะเลาะกัน พ่อแม่อย่าเข้าไปยุ่ง ลองถามตัวเองดูดีๆ ว่า ที่รู้สึกยอมไม่ได้จนต้องเข้าไปทะเลาะกับเด็กหรือทะเลาะกับพ่อแม่ของเด็ก เป็นเพราะเอาโลกของตัวเองเรื่องความไม่ยุติธรรมไปจับ หรือเพราะลูกกำลังถูกกระทำจากเด็กอีกคนจริงๆ เพราะบางครั้ง ความบาดหมางของเด็กๆ อยู่ในกระบวนการเล่น และเขาทั้งคู่กำลังเรียนรู้จากกันและกัน) แต่อีกขั้นหนึ่ง คือความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกับผู้ปกครอง หรือกับครู ที่ต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียม

ตัวอย่างหนึ่งของปฏิสัมพันธ์ในแง่นี้คือ การพูดคุยโต้ตอบกันระหว่างครูและเด็กที่เอื้อให้เด็กผ่านไปสู่พรมแดนความรู้ใหม่ๆ ผ่านความสงสัยใคร่รู้ของเด็กๆ ที่เรามักเรียกว่าเป็นการกระตุ้น ‘ต่อมเอ๊ะ’ “เอ๊ะ! นี่อะไร ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน” แล้วจึงตามด้วย “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

คำสนทนาระหว่างกันนี้เรียกว่า ‘นั่งร้าน’ (scaffolding) มันคือบทสนทนาระหว่างกันที่ครูไม่ ‘สั่งสอน’ แต่พูดคุยในลักษณะโค้ชชิง ให้เด็กตอบโต้ไปจากความสงสัยของตัวเอง กล่าวคือ มันเป็นบทสนทนาที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน และยังสร้างความรู้ด้วยตัวเด็กเอง ไม่ใช่การเทความรู้ใส่สมอง ซึ่งนี่เป็นไปตามทฤษฎี Cycle of Disequilibrium ของ ฌอง เปียเจต์ (Jean Piaget)

ปฏิสัมพันธ์ในอีกความหมายหนึ่งคือ การมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมจริง ไม่ใช่ สภาพแวดล้อมเทียม

“สภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดี ต้องเชื่อมโยงกับสภาพจริง เชื่อมโยงกับบริบท หรือ เชื่อมโยงกับคุณค่า หัวใจคือการฝึกทักษะขั้นต่ำ (lower-level skills) ก่อนแล้วค่อยฝึกทักษะที่สูงขึ้นๆ ในด้านการเรียนรู้ (high-level cognition)” หน้า 72

คำว่า ‘ฝึกทักษะขั้นต่ำ’ ไม่ใช่ความต่ำในแง่ด้อยค่า แต่เป็นทักษะในระดับร่างกาย อย่างที่ ศ.นพ.วิจารณ์ เห็นว่า “ทักษะขั้นต่ำ เช่น การเป็นคนช่างสังเกตที่จะฝึกได้ง่ายตอนเป็นเด็กเล็ก แต่เมื่อโตขึ้น ทักษะความช่างสังเกตจะถือเป็นทักษะขั้นสูงสำหรับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ”

คำว่า สภาพแวดล้อมจริง ไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย และเพียงสถานการณ์ในบ้าน เช่น การทำขนม เล่นในสวน ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณตาคุณยาย เลี้ยงสัตว์ และการเล่นอย่างอิสระ เช่น การได้ปีนป่ายต้นไม้ โดยไม่มีเสียงบ่นห้ามจากพ่อแม่ หรือในแง่การจัดการเรียนรู้ การพาเด็กออกไปเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมในสวน ย่อมสร้าง ‘ความอยากเรียนรู้’ ให้เกิดในตัวของเด็ก มากกว่าการเรียนในกระดาษเป็นไหนๆ

หนังสือแนะนำการจัดการเรียนรู้ของเด็กไว้หลายวิธี แต่ผู้เขียนขอยกหลักการสำคัญตอนหนึ่งไว้ ซึ่งปรับใช้ได้ทั้งพ่อแม่และครู ดังนี้ 

หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กเล็ก

  • พลังคำถาม และ การเสวนา: ครูแค่ตั้งคำถามกระตุ้นการคิด ฟังให้เข้าใจวิธีคิดของเด็ก และคอยคุมวงสนทนาให้ดำเนินไปตามเป้า ไม่ออกนอกทาง
  • หาสิ่งจูงใจให้เด็กเรียนรู้: เช่น การเรียนแบบเล่นและทดลองค้นคว้าด้วยตัวเอง แต่ก็มีการเรียนรู้แบบรับถ่ายทอดความรู้บ้างเท่าที่จำเป็น เช่น เรียนวิธีแปรงฟันที่ถูกวิธี การล้างมือที่ถูกวิธี ออกเสียงคำภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย th ให้ถูกหลักการออกเสียง
  • อย่าหลงหลักสูตรมาตรฐาน: ไม่ใช่การสอนเพื่อสอบ ไม่ใช่การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง
  • เรียนแบบองค์รวม: เชื่อมโยงสภาพจริง บริบท และคุณค่า
  • ฝึกเป็นโค้ช: เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแต่ละด้านไม่เหมือนกัน และช่วยส่งเสริมระดับพัฒนาการของเด็กแต่ละคน
  • พลังของการสังเกต: จัดวงเสวนาเพื่อกระตุ้นให้เกิดคำถาม สังเกตเพื่อประเมินความก้าวหน้าของเด็กแต่ละคน และ ฝึกตั้งคำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้เด็กไตร่ตรองสะท้อนคิดสิ่งที่พวกเขาทำ

วิธีจัดการเรียนรู้แบบนี้ จำเป็นอย่างมากที่ครูต้องเห็นเด็กเป็นรายคน ตอนหนึ่งของหนังสือกล่าวด้วยว่า เด็กหลายคนที่พัฒนาการช้าบางเรื่อง เร็วบางเรื่อง กลับถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการ เช่น โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder) แต่ต้องทำความเข้าใจว่าในวัยเด็กเล็กมีความปรวนแปรสูง และเป็นเพราะสถานศึกษามักใช้แบบประเมินเด็กใน ‘ลักษณะเดียว’ ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์จากการมองเด็กแบบ ‘แยกส่วน’ ไม่ได้มองในภาพรวม พอมองเด็กแบบแยกส่วน สิ่งที่ ‘ผู้ใหญ่’ คิดว่าเป็นปัญหา อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น และการวินิจฉัยแบบ ‘ด่วนได้’ อาจกลายเป็นการตีตราเด็กตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งมีผลต่อการเลี้ยงดูในอนาคตต่อไป 

เมื่อครูประจำชั้นใช้ความละเอียดและใส่ใจมากพอ มีปฏิสัมพันธ์เพียงพอ จะพบว่าบางครั้งเด็กๆ เพียงต้องการการพัฒนาบางอย่างที่แตกต่างจากเพื่อนคนอื่น (อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติม บทที่ 6 เด็กในสังคมแยกส่วน)

“ที่น่าตกใจคือ มีเด็กเล็กจำนวนหนึ่งที่พัฒนาการดี อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น แต่เมื่อเข้าโรงเรียน (ประถม และ มัธยม) กลับเรียนได้ไม่ดี ไม่สามารถบรรลุผลตามศักยภาพของตนได้ และมีการเสนอว่า ปรากฏการณ์นี้ยืนยันว่าในชั้นเด็กเล็กควรเน้นการเล่นและความสนุกสนาน ไม่ควรเน้นการทำงานและวินัยเข้มงวด” หน้า 53

หากการจัดสอบเข้า ป.1 คือยอดของภูเขาน้ำแข็ง และมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าปรากฏการณ์ภายใต้การสอบ เช่น การพาเด็กๆ กวดวิชาจนคร่ำเครียด ความเครียดจากการถูกกดดันในรูปแบบของความรักและปรารถนาดี มุมมองว่าพัฒนาการที่ดีของเด็กคือการท่องหนังสือได้ บวกลบเลขได้ไว เป็นผู้เชี่ยวชาญทางดนตรีตั้งแต่อายุน้อยๆ ที่ตามมาด้วยวินัยที่เคร่งครัด หากผู้ปกครองคิดว่านี่คือการปูทางไปสู่อนาคตอันสดใสของลูก ประโยคข้างต้นอาจช่วยยืนยันได้ว่า อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

อย่างที่ ธิดา พิทักษ์สินสุข กรรมการบริหารสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้ที่ผลักดันให้ยกเลิกการสอบเข้าชั้น ป.1 มากว่า 30 ปี เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า 

“พลังชีวิตของเด็กดุจเป็นศักยภาพของต้นอ่อนในเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่พร้อมจะงอกงาม จะน่าเสียดายยิ่งหากความไม่รู้และความคาดหวังที่ผิดทางของผู้ใหญ่มาบั่นทอนพลังชีวิตของเด็ก แทนที่จะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนศักยภาพที่มีในตัวเด็กได้เติบโตงอกงาม”

ดาวน์โหลดหนังสือ พลังแห่งวัยเยาว์ ได้ที่: https://goo.gl/td8Ycp

อ้างอิง: 

พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/056/T_0005.PDF

Tags:

ระบบการศึกษาปฐมวัยหนังสือศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการเล่นอิสระ(free play)

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhood
    ถอดบทเรียนกรณีครูปฐมวัยทำร้ายเด็กเล็ก1: บทบาทครูปฐมวัยและการควบคุมคุณภาพ

    เรื่อง The Potential

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent BrainBook
    ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
  • ‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel