Skip to content
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Transformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent Brain
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)

Year: 2019

PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว
Early childhood
2 August 2019

PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยา เจ้าของเพจตามใจนักจิตวิทยา เปิด ‘ห้องเรียนครอบครัว’ และ ‘การเล่น’ คือบทเรียนสำคัญที่ใช้ทั้งสอนและบำบัด
  • เพราะการเล่นบำบัด ช่วยเยียวยา บรรเทา ส่งเสริมพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญเด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อเขาได้เล่น
  • นี่คือพื้นที่ปลอดภัยทางใจ ไม่มีการชี้นำใดๆ เพราะเด็กถูกห้าม สั่งสอนมามากพอแล้ว เขาสามารถระบายทุกความรู้สึกและบรรเทาทุกอย่างผ่านการเล่น 
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล/ห้องเรียนครอบครัว

“การเล่น เป็นมากกว่าความสนุกสาน และการเล่นมีหลายระดับ ซึ่งการเล่นบำบัด (Play Therapy) สามารถช่วยเยียวยา บรรเทา และส่งเสริมพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็กในทุกๆ ด้าน” 

คือคำอธิบายเบื้องต้นของ การเล่นบำบัด (Play Therapy) ที่ ‘เม’ เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัวเจ้าของเพจตามใจนักจิตวิทยา ซึ่งได้เรียนต่อเฉพาะทางด้านนี้มาจากสถาบัน Academy of Play and Child Psychotherapy (APAC) ภายใต้การดูแลควบคุมของ Play Therapy United Kingdom (PTUK) ประเทศอังกฤษ และปัจจุบันเมกำลังอยู่ในช่วงเก็บชั่วโมงการเล่นบำบัด 100 ชั่วโมง ที่โรงเรียนอนุบาลทางเลือกแห่งหนึ่ง

ระหว่างการเรียนและฝึกงาน เมก่อตั้ง ‘ห้องเรียนครอบครัว’ พื้นที่เล็กๆ ร่วม กับ ‘มาร์ค’ สิริสักก์ เจริญรวิภักดิ์ นักกิจกรรมบำบัด เพื่อให้การบำบัดเชิงกระตุ้น ส่งเสริมพัฒนาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้ความรู้ครอบครัวด้วยจิตวิทยาเชิงบวกกับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ ที่มาเรียนด้วย

ห้องเรียนแห่งนี้ใช้การสอนผ่านการเล่น และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ตามธรรมชาติของพวกเขา เพราะ “เด็กเรียนรู้ได้ที่สุดเมื่อเขาได้เล่น”

ทุกวันนี้เด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

อย่างไรก็ตามความสนุกสนานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลพลอยได้ แต่เป้าหมายหลัก คือ “การปลูกฝังการรักการเรียนรู้ การรักตัวเอง และการควบคุมตัวเองเพื่อการพัฒนาเด็กๆ และครอบครัวอย่างยั่งยืน” แม้จะไม่ได้มาเรียนที่นี่แล้วเด็กก็สามารถเติบโตต่อไป และพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กๆ อย่างมีความสุข

ส่วน ‘การเล่นบำบัด (Play Therapy)’ เมื่อเราต้องการจะใช้แนวทางการบำบัดนี้กับเด็กๆ สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ นักเล่นบำบัดต้องสร้างพื้นที่พิเศษสำหรับเด็กๆ เสียก่อน

ถ้าในเชิงกายภาพ พื้นที่นั้น คือ ‘ห้องเล่น (play room)’ ที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยของเล่นมากมายหลายประเภท เช่น ถาดทราย(sand tray) ตัวหุ่นจำลองต่างๆ (figurines) ตุ๊กตา หุ่นมือ เครื่องดนตรี ดินเหนียว ดินน้ำมัน รวมทั้งอุปกรณ์สร้างสรรค์งานศิลปะต่างๆ รอให้เด็กเข้ามาหยิบจับตามความต้องการของพวกเขา

แต่ถ้าพูดถึงห้องนี้ในเชิงนามธรรม ห้องพิเศษ หรือ ห้องเล่น (play room) คือ พื้นที่ที่ปลอดการสอนสั่ง เพราะนักเล่นบำบัดเชื่อว่า พื้นที่ที่ปลอดภัยทางใจต้องไม่มีการชี้นำใดๆ เพื่อเด็กสามารถระบายทุกความรู้สึก และบรรเทาผ่านการสื่อสารออกมาในภาษาที่เรียกว่า ‘การเล่น’ 

เพราะทุกวันนี้เด็กได้รับการสั่งสอนมามากพอแล้ว เขาถูกสั่งให้นั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ อย่าซน อย่าถาม หยุด เงียบ อย่าโวยวายฯลฯ เมื่อเข้ามาในห้อง เขาไม่ควรโดนสั่งอะไรอีกแล้ว ในทางกลับกันที่แห่งนี้เขาจะได้เป็นคนนำ และนักเล่นบำบัดจะเป็นผู้ตามเอง

การเล่นบำบัดจึงมีหลักการคล้ายกับ ‘จิตวิทยาการปรึกษา’ ในผู้ใหญ่ แต่เด็กคงไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวภายในใจได้เทียบเท่าผู้ใหญ่ เเต่ถ้าหากผ่านการเล่นแล้ว พวกเขาสามารถสื่อสารออกมาได้ง่ายกว่ามาก

ในทางปฏิบัติ ถ้าเป็นที่ต่างประเทศนักเล่นบำบัดจะแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นเลย เช่น ‘เม’ ไม่มีการใส่คำนำหน้าใดๆ เช่น ‘ครูเม’ เพื่อให้เด็กรู็สึกว่า “เราเท่าเทียมกัน” เขาไม่ต้องกลัวที่จะเป็นตัวเอง แล้วสั่งให้เราทำอะไรก็ได้ 

“แต่ในประเทศไทย ในที่ที่เมไปฝึกงาน จะใช้คำว่า ‘พี่เม’ แทน ‘ครู’ เพราะเราไม่ใช่ครู เราไม่สอนเด็ก เราไม่บอกว่า อะไรถูกหรือผิด มีเพียงกติกาเดียวที่นักเล่นบำบัดต้องยึดตาม คือ “สิ่งที่อยู่ในห้องเล่น จะอยู่ในห้องนี้ทั้งเรื่องราว ชิ้นงาน ทุกๆ อย่างที่เด็กๆ ทำ พวกเขาจะมีกล่องเก็บผลงานของเขา หากเขาทำผลงานใดๆ ไว้ รอวันสุดท้ายที่มาบำบัด เราจะถามเขาว่า เขาอยากจะทำอะไรกับผลงานของเขา ถ้าเขาอยากเอากลับก็ได้ หรืออยากทิ้งก็ได้เช่นกัน” 

และ “ทำให้แน่ใจว่าเด็กปลอดภัยทั้งทางกายและใจ” เมื่อเด็กทำอะไรอันตรายต่อตนเอง หรือมีอะไรเป็นอันตรายต่อเด็ก เช่นเด็กมาบอกเราว่า เขาโดนผู้ใหญ่ทำร้าย อันนี้นักเล่นบำบัดสามารถดำเนินการตามหลักการได้เลย เช่น ติดต่อนักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้ที่สามารถดูแลความปลอดภัยของเด็กได้ตามกฎหมาย

“พื้นที่นี้จะเริ่มต้นด้วยการสร้างความสัมพันธ์ หากปราศจากความสัมพันธ์อันดีแล้ว ไม่มีทางที่การบำบัดจะนำเราไปสู่สิ่งอื่นใดได้นอกจากการวนอยู่ในอ่าง”

ให้ความสนใจคอยเยียวยา

ในการเล่น เด็กจะนำ นักเล่นบำบัดจะเป็นผู้ตาม หากเขาอยากทำอะไร นักเล่นบำบัดจะมีหน้าที่สังเกตการณ์ ให้ความสนใจเเต่เด็กเพียงผู้เดียว

“เรียกง่ายๆ ว่า ‘ชั่วโมงนี้ สายตาเรามีไว้เพื่อเขา’ ความสนใจที่เด็กได้รับนั้น ทำให้เขาได้รับการเห็นคุณค่า เป็นการเยียวยาไปในตัว เด็กบางคนมาด้วยปัญหามีพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ หลักการแก้นั้น ก็คือ การได้รับความสนใจอย่างเพียงพอนั่นเอง

“Every child does not want a therapist, he or she needs attention and relationship.” Virginia Axline (1987) 

“เด็กๆ ไม่ได้ต้องการนักบำบัดหรอก พวกเขาต้องการความสนใจอย่างเพียงพอ และความสัมพันธ์ที่ดีต่างหาก”

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด นักเล่นบำบัดไม่ได้มีหน้าที่เอาใจเด็กๆ ไม่ได้ต้องทำอะไรเพื่อให้เด็กๆ สนุกหรือพึงพอใจ แต่นักเล่นบำบัดมีหน้าที่ตอบสนองเมื่อเด็กๆ ต้องการให้เราทำอะไร (ยกเว้นสิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเขาหรือเรา เราจะไม่ทำ) และมีหน้าที่สังเกตความรู้สึก ตามอารมณ์ จับให้ไว (detect) และสะท้อนกลับสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เด็กมองเห็นตัวเอง และปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

สิ่งสำคัญเพื่อให้เขาได้รู้ว่า “เขาเป็นผู้ตัดสินใจ และควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระทำของตน” 

ยกตัวอย่าง

ถ้าเด็กเล่นทราย แล้วเขาเล่นแรงมากจนทรายสาดกระเด็นออกมาจากกล่อง แทนที่นักเล่นบำบัดจะบอกเด็กว่า “อย่าทำทรายหกเลอะ” แต่จะพูดว่า “ทรายอยู่ในกล่อง” แม้จุดประสงค์คือ การให้เด็กเล่นทรายไม่ให้เลอะเทอะออกมานอกกล่องเหมือนกันแต่ประโยคแรก นักบำบัดเป็นผู้ควบคุมเด็ก ไม่ใช่เด็กควบคุมตัวเอง ต่างจากประโยคที่สองเด็กต้องเป็นผู้ควบคุมตัวเอง นักบำบัดแค่บอกว่า กรอบของการเล่นทรายคืออะไร และเมื่อเด็กไม่สามารถเล่นทรายในกล่องได้ นักบำบัดจะพูดเตือนสองครั้ง

“ครั้งที่สามเราจะพูดว่า ‘วันนี้หนูไม่พร้อมเล่นทรายเนอะ เพราะหนูเลือกที่จะเล่นทรายนอกกล่อง เราไปเล่นอย่างอื่นนะคะ’ ซึ่งทำให้เด็กรู้ว่า เขาไม่พร้อมควบคุมตัวเอง เขาเลยต้องไปเล่นอย่างอื่น ตัวเขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ไม่ใช่เรา”

เมื่อเด็กโดนตอบสนองเช่นนี้เรื่อยๆ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ไม่รู้จักเล่นอย่างระวัง เล่นแรงๆ ไม่สนใจใคร เราเห็นได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงเมื่อผู้ใหญ่เปลี่ยนวิธีการพูด เป็นการมอบความรับผิดชอบให้กับเขา แทนการบ่นและว่าเขาเมื่อเขาทำไม่ดีเด็กเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองมากขึ้นจากแต่ก่อน

พื้นที่ปลอดการสอน

ถ้าเด็กบอกว่า “ช้างตัวนี้เป็นหมา” เราจะไม่ไปแก้คำให้เด็ก เช่น “ไม่ใช่นะคะ อันนี้เป็นช้าง หนูผิดแล้วลูก” เราจะไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด การเล่นบำบัดไม่เป็นไปเพื่อให้ความรู้ หรือสอนเด็กว่าอะไรผิดหรือถูก แต่เพื่อให้เด็กได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ และพัฒนาด้านดีของตนให้แข็งแกร่ง จนสามารถเยียวยาส่วนที่ต้องการเติมเต็มและเรียนรู้ตัวเองในห้องแห่งนี้

ถ้าเด็กบอกเราว่า sit down หรือ on your knees เป็นม้าให้ฉัน เราก็ต้องเป็นม้า

การทำเช่นนี้เหมือนเด็กได้ฉายภาพในใจที่อาจจะเป็นความทรงจำของเขาที่ติดค้างผ่านการเล่นกับนักเล่นบำบัด ในความทรงจำเขาอาจจะเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ในการเล่น เขาได้เปลี่ยนตัวเองไปสู่การเป็นผู้กระทำ ทางการเล่นบำบัดเราเรียกว่า“Reframing – Placing something in a new frame” แม้เขาจะเปลี่ยนอดีตที่กลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายไม่ได้ แต่วันนี้เขาเปลี่ยนมันในจินตนาการ แม้จะเป็นเพียงการจำลอง แต่นั่นอาจจะช่วยเยียวยาจิตใจของเขาได้

เปิดโอกาสให้สื่อสารกันอย่างที่มนุษย์ทุกๆ คนพึงกระทำ

“ไม่ใช่ว่าเขาเด็กกว่า เราแก่กว่า แต่เพราะทั้งเราและเขาเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า หากเราให้เกียรติเขา เราจะได้รับการให้เกียรตินั้นกลับมา”

แม้ว่า “นักเล่นบำบัดจะไม่สอนหรือชี้นำใดๆ” แต่มีข้อยกเว้นหนึ่ง คือ เราสามารถสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อการกระทำของเด็กได้เช่นกัน เพื่อให้เด็กได้รู้ว่า ผู้อื่นคิดอย่างไรกับเขาเมื่อเขาทำเช่นนั้นออกไป

นักเล่นบำบัดก็คือปุถุชน บางครั้งถ้าเรารู้สึกไม่ดี เราจะสะท้อนเช่นกันว่า “หนูทำแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกไม่ชอบเลย” เขาจะเข้าใจว่าเวลาอยู่ข้างนอกเขาไม่พอใจ โกรธตลอดเวลา เพราะคนอื่นไม่ทำตามที่เขาบอก จะสะท้อนให้เขารู้ตัวไปเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กตวาดเราว่า “ทำไมไม่หยิบมาให้ซะที” นักเล่นบำบัดจะสะท้อนกลับว่า “หนูไม่พอใจที่คนอื่นไม่สามารถทำตามที่หนูบอกได้” บ่อยครั้งที่เด็กจะเงียบลงทันที เพราะปกตินักเล่นบำบัดแทบจะทำตามทุกอย่างที่เขาขอ

ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเด็กเรียกว่า “เหมือนเพื่อนต่างวัย” ดังนั้นเมื่อเราพูดอะไร “เสียงของเราจะดังก้องในหัวของเขามากกว่าเสียงของผู้ใหญ่หลายๆ คนที่อาจจะบ่นเขาอยู่ตลอดเวลา” 

เด็กจะใคร่ครวญในสิ่งที่เราบอก เพราะเราไม่ใช่ศัตรูของเขา เขามีความสัมพันธ์อันดีกับเรา อีกทั้งเรารับฟังเขาเสมอทำให้เขารับฟังเราเต็มหัวใจเช่นกัน

‘การเล่น’ บำบัดได้อย่างไร

ถ้าเป็นเรื่องเด็กก็จะเป็นการปรับพฤติกรรม แต่ถ้าเด็กที่โตแล้วเราจะใช้ปรับความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (CBT: Cognitive Behavioral Therapy) การปรับพฤติกรรมจะช่วยแก้ปัญหาแต่ไม่ได้เยียวยาจิตใจโดยตรงในเด็กบางคนที่เจอเรื่องที่กระทบใจอย่างหนักหนาสาหัส เช่น โดนทอดทิ้ง การถูกคุกคามทางเพศ เจออะไรที่ดราม่าหนักๆ การปรับพฤติกรรมอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ บางทีเขามีพฤติกรรมอาละวาดหนัก ร้องไห้ฟูมฟายเอาแต่ใจมากๆ เพราะพ่อแม่เพิ่งเสียชีวิต การอาละวาดของเขาเกิดจากการที่เขาไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เราจะไปปรับพฤติกรรมเขาก็อาจจะทำให้จิตใจของเด็กแย่ลง

ดังนั้น Play Therapy จึงเหมาะกับเด็กตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพราะเด็กไม่ได้ใช้คำพูดสื่อสารเหมือนผู้ใหญ่ แต่เขาใช้การเล่นเป็นสัญลักษณ์แทนภาษา บางคนโดนล่วงละเมิดทางเพศมา เขาบอกไม่ได้หรอก เด็กสามขวบจะบอกยังไงว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรกับหนูตรงไหนบ้าง แต่เขาจะหยิบตุ๊กตาตัวหนึ่งมาทำอะไรกับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่ง เราค่อยๆ ดูก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดหน้าอก อวัยวะเพศเขายังไม่รู้จักชื่อเลย แล้วจะให้เขาบอกเราได้อย่างไรว่าโดนทำอะไรมา

เด็กชอบเล่นซ่อนหา เพราะเขาอยากให้หาเจอ

หรือเด็กบางคนไม่รู้ตัวนะว่าเขาต้องการเป็นที่รัก และเขาก็ปฏิเสธทุกคนด้วยการทำตัวอาละวาด ทำตัวแข็งๆ ข้างนอก แต่ข้างในเปราะบางมาก เรารู้ได้ยังไง เพราะในคาบเขาอยากเล่นซ่อนหากับเรา เขาบอกว่าเล่นซ่อนหาได้ไหม เวลา therapy เราจะถามเด็กเสมอว่าอยากให้เล่นแบบไหน

หรือเด็กบางคนไม่รู้ตัวนะว่าเขาต้องการเป็นที่รัก และเขาก็ปฏิเสธทุกคนด้วยการทำตัวอาละวาด ทำตัวแข็งๆ ข้างนอก แต่ข้างในเปราะบางมาก เรารู้ได้ยังไง เพราะในคาบเขาอยากเล่นซ่อนหากับเรา เขาบอกว่าเล่นซ่อนหาได้ไหม เวลา therapy เราจะถามเด็กเสมอว่าอยากให้เล่นแบบไหน

เล่นซ่อนหามันมีนัยยะสำคัญอีกอย่างคือ คนที่ซ่อนต้องการให้คนอื่นเจอเขา เด็กที่ชอบเล่นซ่อนหาเป็นวัยที่ต้องการความสนใจ ทำไมเด็กถึงชอบมาก เพราะเขาได้เป็นคนสำคัญ มีคนตามหาเขา หรือซ่อนของ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งว่าเขาต้องการให้คนเจอ เวลาไม่เจอเขาก็บอกว่า นี่ไง แอบดูสิ พื้นตรงนี้ๆ บางทีเราไม่ต้องไปถามเขาหรอก เขาจะบอกเอง ซึ่งถึงเขาจะบอก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอ เราใช้การสังเกตเอาว่าเด็กคนนี้ขาดอะไรและต้องการอะไร

ฟัง สังเกต จับความรู้สึก สะท้อนกลับ เพื่อทำให้เขามองเห็น และเติมเต็ม เยียวยาบรรเทา

ทักษะที่สำคัญมากๆ ของนักจิตวิทยา นอกจากการฟัง คือการสังเกตและจับความรู้สึกให้ได้

หรือว่าเขาอยากให้เราเล่นแบบไหน เช่น อยากเล่นเป่ายิ้งฉุบ เราก็จะถามเลยว่า อยากให้เราแพ้หรือชนะ การเล่นบำบัด เราจะให้สิทธิเขาในการเล่น คุมเราทุกอย่างเพื่อที่จะตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ เด็กบางคนเป็นขี้แพ้นอกห้อง เป็นใครสักกคนที่ไม่มีใครเห็นค่า แต่พออยู่ในห้องนี้เขาได้กุมอำนาจขึ้นมา เขาอยากเป็นคนชนะบ้าง เป็นคนที่มีคนเจอเขาบ้าง เราก็จะเป็นคนที่ตอบสนองเขา

เมื่อเด็กได้รับเต็มที่แล้วเขาก็จะรู้สึกได้รับการเติมเต็มความต้องการบางอย่าง จากนั้นเขาจะก้าวไปสู่ขั้นต่อไปได้

การเล่นบำบัดจึงเติมเต็มและเยียวยาในสิ่งที่เด็กขาด เช่น อยู่ข้างนอก เด็กบางคนกลัวเลอะเทอะมาก แต่มาเล่นในห้องนี้ก็สาดสีสาดทราย เด็กก็บอกว่าคุณแม่ไม่ให้เล่นที่บ้านแบบนี้ หนูเล่นแบบนี้ได้ที่เดียวคือที่นี่ แล้วก็พูดว่าที่บ้านหนูของเล่นเยอะมากเลยนะ ที่นี่น้อยมากเลย แต่หนูชอบเล่นที่นี่เพราะมีพี่เมเล่นด้วย

เขาต้องการคนรับฟัง ต้องการคนที่รับรู้ว่าเขามีตัวตนนะ ดังนั้น การเล่นบำบัดจึงเป็นการเยียวยา ปรับสภาพจิตใจเขา เมื่อเขาพร้อมแล้ว กลับมาสู่ปกติแล้ว พร้อมที่จะรับอะไรใหม่ๆ สอนได้แล้วก็ค่อยไปปรับพฤติกรรมหรือเรียนอย่างอื่นเพิ่ม

เทของเสียออกจากใจ

หรือเด็กบางคนชอบเทน้ำใส่กระบะทรายจนแบบท่วมเลย เอารถมาลอย แล้วก็บอกว่าคลื่นยักษ์ เล่นอย่างนี้สิบกว่าครั้ง เราก็งง อาจารย์บอกว่าถ้าเขาเล่นอะไรซ้ำๆ แสดงว่าเขาติดค้างอะไรอยู่ ช่วยเขาด้วย

อาจารย์พูดว่า “You must establish a feeling of permissiveness for the child so that he feels free to express his feelings completely.” คือ เราต้องเอื้อให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวเขาเอง ทั้งความรู้สึก และสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมา โดยปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่ใจต้องการ และมีเราดูแลอย่างใกล้ชิด คอยสะท้อนทุกการกระทำและความรู้สึก

จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเหมือนเขาได้พูดแล้วหลุดออกมา รู้ไหมว่าตอนเด็กๆ พ่อเคยจับโยนลงไปในสระน้ำ แล้วให้เขาว่ายน้ำพ่อไม่รู้หรอกว่าเขากลัวมาก ตั้งแต่เขาพูดคำนี้ ตั้งแต่นั้นเด็กคนนี้ไม่เล่นอย่างนั้นอีกเลย เหมือนเขาปลดล็อคอะไรที่ติดค้างในใจได้ (Completed Unfinished Business)

ดังนั้นหน้าที่ของการเล่นบำบัด คือ การเอาปมในใจ หรือ เทของเสียออกมาก่อน เหมือนเราใส่ของเสียไว้เต็มแก้ว ต่อให้เราเทน้ำเปล่าสะอาดๆ ใส่ยังไงมันก็สกปรก ดังนั้นเราต้องเทของเสียออกก่อน แล้วค่อยเทน้ำสะอาดใส่เข้าไปใหม่ เราเลยคิดว่าเด็กบางคนเขาเจออะไรมาเยอะมาก เราไม่สามารถสอนอะไรเขาได้ เราต้องรับฟังเขาก่อน เทเขาออกมาก่อนแล้วค่อยสอนสิ่งใหม่เข้าไป

บางอย่างเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันเป็น trauma ของเขา หรือผู้ใหญ่เอง ถ้าเราลองนึกภาพกลับไป เรากลัวอะไรบางอย่าง ส่วนใหญ่มาจากวัยเด็กซึ่งตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจ

‘Trauma’ ยิ่งเจอเร็ว ยิ่งดี

trauma แปลว่า ‘บาดแผล’ ซึ่ง ‘Psychological Trauma’ คือ บาดแผลทางใจ ที่เกิดจากการได้รับการกระทบทางใจอย่างแสนสาหัส เช่น การถูกทอดทิ้ง บุคคลอันเป็นที่รักเสียชีวิต การเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัว เกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนอาจจะเกิด trauma กับสิ่งเดียวกันหรือต่างสิ่งก็ได้ เพราะภูมิคุ้มกันทางใจของเเต่ละคนมีไม่เท่ากัน

ถ้าถามว่า เราควรรับรู้ให้เร็วหรือไม่เมื่อเด็กมีบาดแผลทางใจ แน่นอนว่า “ถ้าเพิ่งเป็นแผล เราใส่ยาเร็ว และรักษาอย่างถูกวิธีแผลอาจจะหายเร็ว และเเผลเป็นอาจจะเกิดได้น้อยกว่า การเป็นแผลแล้วทิ้งเอาไว้เนิ่นนาน ไม่ทำอะไรกับมันจนกลายเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่”  

เช่นเดียวกับบาดแผลทางใจ ถ้าเราไม่ทิ้งเอาไว้นาน อาการบาดเจ็บก็จะไม่เกาะกินใจเขานาน ไม่ติดเป็นบาดแผลทางใจทั้งชีวิต ทำให้เขาสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดีกว่า

ถ้าเด็กที่เหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา เขาคงกังวล อารมณ์เหมือนเรามีความกังวลในใจ เราจะทำอะไรไม่ค่อยได้ดี ทำไม่สุด ดังนั้น ยิ่งเราตรวจจับ (detect) ได้เร็ว ยิ่งดี

หนึ่งวันของเด็กอาจจะยาวนานมาก ในความรู้สึกมันยาวนานเป็นปี แต่ในผู้ใหญ่หนึ่งวันมันแค่นิดเดียว พ่อแม่บอกว่าทำโทษลูกโดยให้ลูกอยู่ในห้องคนเดียวสิบนาที แต่ลูกอาจจะมีบาดแผลทางใจไปทั้งชีวิต เพราะสิบนาทีของเขามันยาวนานมาก

ก่อนมาหานักจิตวิทยา พ่อแม่จะช่วยลูกก่อนได้อย่างไร

ปัญหาก็มีทั้งทางกาย สภาพแวดล้อม สำหรับทางกาย ถ้าลูกเรามีปัญหาทางกายในเชิงพัฒนาการล่าช้า มันก็ส่งผลต่อพฤติกรรม เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าจะมีพฤติกรรมบางอย่าง เพราะเขาไม่รู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ถ้ามีปัญหาด้านพัฒนาการ เช่น ลูกไม่สามารถเดินได้ตามวัย หรือลูกไม่พูดทั้งๆ ที่เกินเกณฑ์แล้วเราก็ควรเข้าไปหาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์พัฒนาการเด็ก คือไปเร็วดีกว่าไม่ไป อย่าสงสัยนาน อย่าถามคนรอบข้าง อย่า search google จนเครียดไปเอง อย่าใช้การเดาหรือหรือเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ถามผู้เชี่ยวชาญดีที่สุด

สุดท้ายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แค่ตัดข้อสงสัย เราก็สบายใจด้วย แล้วเราก็ได้รู้แนวทางว่าที่เขาช้าเพราะอะไร เราจะพัฒนาเขาได้อย่างไร

ข้อสอง สภาพแวดล้อม ถ้าสภาพแวดล้อมไม่โอเคเช่น พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา หรือมีปัญหากับปู่ย่าตายายเราต้องคิดแล้วว่าถ้าเราเอาลูกออกมาจากตรงนั้นไม่ได้ เราจะทำยังไงเพื่อที่จะเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้ลูก แม่อาจจะเป็นคนเดียวที่ทำเพื่อลูก คนอื่นอาจจะไม่โอเคเลย ตรงนี้เราก็ต้องดูว่าใจเราไหวไหม สุขภาพกายใจเราพร้อมไหม ถ้าเราพร้อม เราก็ทำของเราให้ดีที่สุดตามหลักพัฒนาการลูก

แต่ถ้าแม่ไม่ไหว แม่หาตัวช่วยได้ เช่น ไปพบนักจิตวิทยา แล้วก็หาแนวทางระบายออก ไม่เก็บไว้คนเดียว ให้มองว่านักจิตวิทยาเป็นเพื่อน มีคนช่วยคิดดีกว่าเราคิดคนเดียว เครียดอยู่คนเดียว และเราก็โตพอที่จะทำอะไรเพื่อเราและลูกได้แล้ว ถ้าพ่อแม่ไม่ปกป้องลูกก็คงไม่มีใครทำได้

ข้อสาม คือ ปัญหาเชิงพฤติกรรมที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ลูกเราถึงลงไปเอาหัวโขกกำแพง หรือมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่เด็กคนอื่นไม่ทำ ทางที่ดีคือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา จิตแพทย์ บางทีเราไม่รู้หรอกว่าพฤติกรรมอันนี้มันเกิดจากอะไรแต่ถ้าเรารู้ปุ๊บเราก็จะป้องกันได้ หรือรับมือกับมันได้แบบมีสติมากขึ้น อย่างน้อยก็เบาใจ ดีกว่าทำอะไรไม่ได้เลย

ดังนั้น การพบนักจิตวิทยา จิตแพทย์ เป็นเรื่องธรรมดา พ่อแม่ทุกคนไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเมื่อต้องนัดพบผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้

อ่านบทความ SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย ได้ ที่นี่

Tags:

ศิลปะบำบัดเมริษา ยอดมณฑปการเล่นปฐมวัยจิตวิทยา

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    เช็คอาการ แบบไหนไปหานักจิตวิทยา หนักหนาแค่ไหนไปหาจิตแพทย์?

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ
GritMovie
2 August 2019

วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • วิลเลียม คัมแควมบา ตัวละครเด็กชายมาลาวี จากภาพยนตร์เรื่อง ‘The Boy Who Harnessed the Wind’ ต้องลาออกจากโรงเรียนเพราะความยากจน เขาจึงแอบวิ่งเข้าห้องสมุดไปขโมยความรู้ และลงมือสร้างกังหันลมไฟฟ้า หวังเพียงแค่ช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนให้มีกิน
  • กังหันลมทำให้เขาได้รับโอกาสต่างๆ มากมาย ทำให้ปัจจุบัน วิลเลียม คัมแควมบา วัย 31 ปี กลายเป็นนวัตกรระดับโลก
  • ความมุ่งมั่น พยายาม อดทน ของวิลเลียม อธิบายความแตกต่างระหว่างความอดทนธรรมดา กับคำว่า Grit ที่หมายถึงความมุ่งมั่นอดทน ไม่ย่อท้อในการทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่มองความล้มเหลวเป็นศัตรู และเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้

วันก่อนผู้เขียนหลงเข้าไปดูภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงชื่อ ‘The Boy Who Harnessed the Wind’ ว่าด้วยเรื่องของ วิลเลียม คัมแควมบา (William Kamkwamba) เด็กชาวมาลาวี อายุ 13 ปี ที่ต้องออกจากโรงเรียนเพราะครอบครัวจ่ายค่าเล่าเรียนให้ต่อไม่ไหว ทุ่งหญ้าและแปลงข้าวโพดนอกบ้านแห้งแล้งอย่างหนัก เงินทั้งหมดในบ้านจำเป็นต้องรวบรวมเพื่อใช้ลงทุนกับการทำเกษตรกรรม

สิ่งที่วิลเลียมทำจึงคือการ ‘แอบ’ วิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างห้องสมุดของโรงเรียนไปเปิดหนังสือเพื่อศึกษาวิธีทำมอเตอร์ไฟฟ้า และ กองขยะเพื่อหาวัตถุดิบมาทดลอง ทั้งหมดนี้เพื่อจุดมุ่งหมายใหญ่ …การผลิต ‘กังหันลม’

กังหันลมไม่ใช่องค์ความรู้ใหม่ในปี 2000 (จุดปีของเรื่องเล่า) แต่นี่คือกังหันลมแรกของหมู่บ้าน หมู่บ้านที่ผู้นำถูกฆ่าตายเพราะออกไปต่อรองกับนักการเมืองเรื่องความแห้งแล้ง หมู่บ้านที่ชาวบ้านวิ่งตามรถขายข้าวราคาถูกของรัฐเพียงเพื่อหวังว่าเงินที่มีน้อยนิด (แต่นั่นคือทั้งหมดของครอบครัว) จะพอซื้อข้าวสารประทังชีวิตต่อไปอีกมื้อ หมู่บ้านที่คนขโมยข้าวโพดมากกว่าสิ่งของมีค่า และเป็นการขโมยอย่างน้ำตานองหน้า บอกกับเจ้าของบ้านผู้นั้นว่า “เราไม่ได้กินอะไรมา 3 วันแล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจ”  และ …ในสถานการณ์อื่นๆ ที่ความแห้งแล้งยากจนจะกระทำกับมนุษย์อย่างสุดโต่ง  

ท่ามกลางความยากจนที่ต้องเลือกระหว่างเรียนหนังสือกับการมีกิน วิลเลียมไม่ได้ฝันอยากเป็นนวัตกรเอกของโลก เขาแค่คิดว่าความสนใจที่มีจะช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนได้ กังหันลมไฟฟ้าคืออย่างเดียวที่จะช่วยขุดน้ำจากบ่อแล้วทำชลประทานในหมู่บ้าน และถ้ามันสำเร็จ วิลเลียมจะไม่ต้องทำงานเต็มเวลาแปลงข้าวโพด พ่อจะมีเงินส่งเขาเข้าโรงเรียน – นี่คือฝันสูงสุดในชีวิต …ได้กลับไปใส่ชุดนักเรียน

สิ่งที่วิลเลียมไม่รู้คือ เขาจะไม่ได้กลับไปใส่ชุดของโรงเรียนเดิมที่เขาแอบเข้าไปเรียนอีก เพราะหลังผลิตกังหันลมไฟฟ้าตัวแรกสำเร็จในปี 2002 ชื่อของเขาดังเป็นพลุแตกในบ้านเกิดและในแอฟริกาทันที ในปีเดียวกันนั้น วิลเลียมได้ทุนจาก African Leadership Academy 10 ปีถัดมา เขากลายเป็นบัณฑิตแห่งวิทยาลัยดาร์ทมัธ มหาวิทยาลัยเอกชนในไอวีลีกในสหรัฐอเมริกา 

ปัจจุบัน วิลเลียม คัมแควมบา อายุ 31 ปี เขาเป็นนวัตกร วิศวกร นักเขียน บางครั้งเป็นสปีคเกอร์สร้างแรงบันดาลใจระดับโลก 

ขณะวิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างกองขยะกับห้องสมุด ระหว่างเปิดหนังสือเรื่องไฟฟ้าและมอเตอร์ทีละหน้า ระหว่างทดลองกังหันลมไฟฟ้าตัวแรก เอาไปบอกพ่อในแปลงนาแล้วพ่อระเบิดอารมณ์ใส่เพราะมองไม่ออกว่าจากกังหันทดลองจะกลายเป็นกังหันลมตัวใหญ่ แล้วจะเรียกคืนชีวิตของเกษตรกรอย่างเขาและชาวบ้านอย่างไร และคำพูดในเชิงตั้งคำถามจากคนที่เห็นความพยายามทั้งหมดจากเดือนเป็นปี …ไม่มีสักครั้งที่วิลเลียมจะไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่มีแม้สักครั้งที่หวั่นไหว แม้บางครั้งเขาไม่มั่นใจ …แต่ไม่เคยปล่อยมือ

วิลเลียมทรนง มุ่งมั่น ยืนกราน พยายาม เขาอดทน อดทน และอดทน

นี่อาจเป็นตัวอย่างของคำอธิบายความแตกต่างระหว่างความอดทนธรรมดา กับคำว่า Grit (ความมุ่งมั่นอดทน) ในความหมายของ แองเจลา ดัคเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Grit และนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (University of Pennsylvania)

Grit และ Persistence ทักษะในศตวรรษที่ 21 ตัวที่ 23 หมวด Character Qualities – กลุ่มทักษะด้านคุณสมบัติ คุณลักษณะ หรือ นิสัย ที่คนคนหนึ่งจะมีเพื่อแก้ปัญหาในโลกอนาคตที่จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ 

คีย์เวิร์ดของ Grit ไม่ใช่ความอดทนกับโปรเจ็คท์ระยะสั้นราวเดือน สอง หรือสามเดือน แต่คือความอดทน ยืนกราน และไม่ยอมแพ้ที่จะทำอะไรสักอย่างด้วย ‘ความหลงใหล’ และ ‘ในระยะยาว’ สิ่งนั้นอาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปี วิลเลียมอาจทำกังหันลมสำเร็จได้ในเวลาหนึ่งปี แต่เขาไม่จบแค่นั้น ยังคงมุ่งมั่นศึกษาด้านวิศวกรรมตามความชอบและตั้งใจเดิมต่ออีกหลายปีจนสำเร็จการศึกษา กลายเป็นวิศวกรรมและนวัตกรที่ประสบความสำเร็จในอาชีพคนหนึ่ง

Grit ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่คือ ‘ทักษะ’ และ ‘คาแรคเตอร์’ ซึ่งพอพูดว่าเป็นทักษะ นั่นหมายถึงมันไม่ได้เกิดได้เพียงเพราะรู้จักว่ามันคืออะไร แค่คือการฝึกให้ปรากฏขึ้นในเนื้อตัวและหยิบใช้มันโดยอัตโนมัติ 

Pulse Check: สำรวจชีพจร คุณมี Grit รึเปล่า?

เพื่อวัดว่าคุณเป็นคนมี Grit หรือไม่ และอยู่ในระดับไหน ลองใช้เช็คลิสต์เหล่านี้ช่วย

  • ฉันชอบโปรเจ็คท์ที่ต้องใช้เวลาทำเป็นปีถึงจะเห็นผล
  • เป้าหมายของงานหรือสิ่งที่ฉันทำอยู่นั้นเป็นเป้าหมายระยะยาว
  • สิ่งที่ฉันทำทุกวันคือสำรวจตัวเองว่า รู้จัก มองเห็น เชื่อมต่อกับคุณค่าลึกๆ ในตัวเองหรือไม่
  • มันจะมีอย่างน้อยหนึ่งอย่างหรือกิจกรรมสักอย่างหนึ่ง ที่ฉันทำได้โดยไม่รู้สึกเบื่อเลย
  • การต้อง ‘ถอยหลังหนึ่งก้าว’ ไม่เคยทำให้ฉันหวั่นไหวหรือสูญเสียความมั่นใจ
  • ฉันเป็นคนทำงานหนัก
  • ฉันไม่เคยทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ถ้าทำแล้วจะทำให้เสร็จเสมอ
  • ฉันไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง

หรือลองเข้าไปทำแบบทดสอบเรื่อง Grit ได้ที่นี่: https://angeladuckworth.com/grit-scale/  

ทำไมต้องมี ทำไมต้องรู้จัก Grit?

หลายครั้งเราสงสัยว่าทำไมคนที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งถึงทำมันได้อย่างง่ายดายราวกับมีคนหยิบมอบพรสวรรค์ใดหนึ่งให้ แต่ไม่ว่าคุณจะคิดว่า ‘พรสวรรค์’ คืออะไร ไม่ว่าคุณเป็นคนเรียนรู้ได้ง่ายและเร็วขนาดไหน อย่างไรคุณ-ใครก็ตาม ต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ ต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้ และการทำแบบนี้ไม่เคยมีทางลัด

งานวิจัยของดัคเวิร์ธข้อหนึ่งสรุปว่า Grit มีนัยสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น นักเรียนที่มี Grit มักจะพาตัวเองจบการศึกษา ทั้งมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นยังยืนยันว่า Grit และ IQ ไม่ได้แปรผันตามกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน หรือพูดได้ว่า ผู้ที่ถูกประเมินว่ามี IQ แย่ (ซึ่งตัวผลประเมินเองก็มีผู้คัดค้านจำนวนมากว่าความฉลาดของคนจำแนกได้ชัดเจนขนาดนั้นหรือ? ความฉลาดมีรูปแบบเดียวหรือ) แต่ถ้ามี Grit คนผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จในทางของตัวเองได้

“Ever tried. Ever failed. No matter. Try again. Fail again. Fail better.” – Samuel Beckett นักเขียนนวนิยาย

อันที่จริงทั้งหมดนี้เป็นแค่ทฤษฎีอธิบายว่า Grit คืออะไร ความสำคัญหรือสิ่งที่ดัคเวิร์ธผลักดันมาตลอด เป็นเพียงแนวคิดที่ว่า อย่าตีตราตัวเองว่าล้มเหลว อย่าลากเส้น ‘ขีดจำกัด’ ล้อมรอบตัวเอง การมี Grit สร้างได้ เราสร้างคาแรคเตอร์แห่งความทรหดอดทน ไม่ย่อท้อเพื่อทำสิ่งที่รักและหลงใหลได้ เราทำได้ 

เราทำได้ – ก้อนความคิดเติบโต หรือ Growth Mindset ดัคเวิร์ธกล่าวชัดว่าความสำเร็จของเราขึ้นกับเสียงในหัวเสียงนี้ ไม่ใช่แค่บอกตัวเอง แต่คือทัศนคติที่คุณมีต่อชีวิต ทั้งตัวเองและคนรอบข้าง 

มันเป็นปริศนาว่าการเกิดคาแรคเตอร์อย่าง Grit ในเนื้อตัวคน จะสร้างหรือปลูกฝังได้อย่างไร แต่หากเชื่อว่าคนเราเป็น ในสิ่งที่พ่อแม่เป็น เป็น อย่างที่ประสบการณ์ในชีวิตสอนเรา ชัดเจนว่าการเกิด Grit ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทั้งในวัยเด็กและในปัจจุบัน 

ถามอีกครั้ง… ทำไมต้องรู้จักคำนี้, Grit? 

สำหรับผู้เขียน แค่รู้ว่า Grit คือคาแรคเตอร์ของคนที่ยืนกราน ทรหด ไม่ย่อท้อที่จะทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อและหลงใหลอย่างไม่ละมือ รู้ว่ากระบวนการของการฝึกฝนจะยาวนาน ซึ่งในระหว่างนั้นมันพร้อมจะเกิดอุปสรรคให้ล้มลงได้เสมอ

คำว่า Grit จะย้ำกับเราว่า “ได้สิ ไม่เป็นไร ความล้มเหลวเป็นแค่หนึ่งในกระบวนการ” แล้วลุกขึ้นมาทำใหม่อย่างต่อเนื่อง นี่ไม่ใช่แค่อดทนต่อภาพในหัวที่เราอยากไปให้ถึง แต่ฝึก ‘ให้ตัวเองอดทน’ ‘ฝึกให้ตัวเองมี Grit’ แค่ฝึกทักษะความอดทนให้กับตัวเอง เท่านี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง 

ในบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่ง ดัคเวิร์ธให้คำแนะนำที่น่าแบ่งปันว่า เอาจริงๆ Grit มีความยาก เพราะมันคือความอดทนยาวนานที่อาจทำให้คนคนนั้นล้มเลิกไปก่อน

เธอแนะนำว่าให้ลองใช้วิธี ‘small win’ หรือ ชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ การวางเส้นชัยไว้ตามรายทาง จะช่วยหล่อเลี้ยงและกำกับเส้นทางให้ตัวเองโดยไม่แบกความทดท้อเสียใจจนหลังหัก – นี่เป็นเคล็ดลับที่เธอแนะนำกับบุคคลทั่วไปและครู ให้เอาไปลองใช้กับเด็กๆ 

ไม่จำเป็นต้องตบท้ายว่า Grit จำเป็นสำหรับคนในศตวรรษที่ 21 เพียงเพราะมันถูกระบุเอาไว้ เรียนรู้จากเรื่องเล่าของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายและหลากวงการในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีใครที่สำเร็จโดยไม่มีหนึ่งในคุณสมบัติข้อนี้ สิ่งที่ต้องถามคือ ถ้าทุกคนรู้ว่าความมุ่งมั่นพยายามนั้นสำคัญ ทำไมเราจึงห่วงกังวลว่าต่อไปพลเมืองโลกจะขาดคุณสมบัติข้อนี้ไป? 

ผู้เขียนจะไม่มีวันกลับไปดู ‘The Boy Who Harnessed the Wind’ อีกตลอดชีวิต มันเครียด มันบีบเค้น ความยากจนและความพยายามของวิลเลียม แค่ในฐานะคนดู ยังรู้สึกทดท้อและก่นด่าชะตาชีวิต แต่ความมั่นคงและยืนหยัดของวิลเลียมปลอบใจคนดูจนอยู่หมัด – ดูต่อไป เขาจะทำมันได้ 

แต่สิ่งที่จะฝังจำไปตลอดแม้ไม่กลับมาดูอีก คือความมุ่งมั่นกัดไม่ปล่อยของวิลเลียม จะคอยส่งเสียงบอกให้ผู้เขียนมุ่งมั่นฝึกฝนความอดทนของตัวเองต่อไป

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ภาพยนตร์21st Century skillsGritTED Talks

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Grit
    GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

ศราวุธ แก้วบุตร: นับหนึ่งที่ครูเดลิเวอรี วันนี้คือครูเต็มตัวผู้เข้าถึงปมในใจเด็ก
Unique Teacher
1 August 2019

ศราวุธ แก้วบุตร: นับหนึ่งที่ครูเดลิเวอรี วันนี้คือครูเต็มตัวผู้เข้าถึงปมในใจเด็ก

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • ‘ครูเอ็กซ์’ ศราวุธ แก้วบุตร คืออดีตครูเดลิเวอรี ที่เข้าไปฝึกสอนในโรงเรียนขนาดเล็ก ห่างไกล ใกล้ถูกยุบ เพราะเด็กๆ เรียนจากครูตู้ ไม่เคยเจอครูตัวเป็นๆ
  • นนี้เขารับราชการครูเต็มตัว ส่วนหนึ่งมาจาก ‘ยาแรง’ ที่เขาได้รับตอนเป็นครูเดลิเวอรี นั่นคือคำถามว่า “จะเอาดีในอาชีพนี้จริงๆ ใช่ไหม”
  • “เรารักความรู้สึกว่าถ้าลูกศิษย์เราได้ดี เราจะรู้สึกดีไปด้วย เรารู้จักความรู้สึกนี้ เรารู้ตัวเองตั้งแต่ทำโครงการครูเดลิเวอรีปีหนึ่งเลย” คือคำตอบวันนี้ของครูเอ็กซ์
ภาพ: พัชริดา จูจรูญ

ย้อนกลับไปราว 5 ปีก่อน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา รวมตัวจัดตั้งคณะครูเคลื่อนที่นาม ครูเดลิเวอรี*เข้าไปสอนน้องๆ ในชนบทที่ห่างไกลออกไป ความน่าสนใจของ ‘ครูเดลิเวอรี’ ไม่ใช่แค่งานอดิเรกของนักศึกษาในช่วงที่ไฟฝันยังลุกโชน แต่เป็นการทำงานอาสาในพื้นที่ซึ่งมีปัญหาซับซ้อนอย่าง โรงเรียนบ้านพังเภา ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวะสงขลา ซึ่งขณะนั้นนักเรียนไม่ถึง 100 คนต้องเรียนกับ ‘ครูตู้’ หรือครูในโทรทัศน์ และอาจถูกยุบเพราะคะแนนการเรียนการสอนของเด็กไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน

“เพราะพวกเขาไม่ได้เจอครูจริงๆ แต่นั่งเรียนกับครูในทีวีหรือ ‘ครูตู้’ มาตลอด แต่พอเขามาเจอเราตัวเป็นๆ แบบนี้ (ชี้ตัวเอง) เขาดีใจ ตื่นเต้น ทำตัวไม่ถูกว่าการพูดคุยกับครูตัวเป็นๆ สักทีหลังจากดู ‘ครูตู้’ มาตลอดชีวิตนี่ มันเป็นยังไง”

เอ็กซ์-ศราวุธ แก้วบุตร หนึ่งในอดีตครูโครงการ ‘ครูเดลิเวอรี’ เล่าย้อนให้เห็นภาพ ขณะนั้นเขายังเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 

สำหรับเอ็กซ์ ‘ครูเดลิเวอรรี’ เป็นทั้งพื้นที่ทดลองและยาแรง ที่ตั้งคำถามกับเขาดังๆ ว่า ‘ที่อยากเป็นครู รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องเจอกับปัญหาแบบไหน ถ้ารู้แล้ว ยังยืนยันชัดแจ้งใช่ไหมว่า จะเอาดีในอาชีพนี้จริงๆ?

เขายืนยันทำโครงการอยู่ 2 ปี ช่วงเวลานั้นเขากับเพื่อนลุยเปลี่ยนการสอนตั้งแต่ในห้องเรียนยันชุมชนที่เด็กๆ อาศัยอยู่ คำขวัญประจำใจของนักศึกษาอาสาขณะนั้นคือ ‘เมื่อไม่มีครูเดลิเวอรี เด็กต้องอยู่ได้ ชุมชนต้องอยู่ได้’ แม้เอ็กซ์เดินออกจากโครงการและปล่อยให้รุ่นน้องสานต่อห้องเรียนทดลองเคลื่อนที่นี้ต่อไป แต่เขาไม่ได้เดินออกจากการเป็นครู วันนี้เอ็กซ์ไม่ใช่แค่ ‘ครูอาสา’ แต่เป็นครูเต็มตัวแล้ว (และครูป้ายแดง) ที่ โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2 สงขลา จังหวัดสงขลา บ้านเกิดของเขาเอง

The Potential จับตัวครูหนุ่มที่ตารางอัดแน่นยุ่งขิงมานั่งคุยสอบถาม ชวนย้อนเวลาแลกเปลี่ยนการเดินทางครั้งทำงานในโครงการ ‘ครูเดลิเวอรรี’ เขาเจออะไรบ้าง ยาแรงที่ว่าเปลี่ยนวิธีคิดการเป็นครูอย่างไร ปัญหาจริงๆ ของการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องเรียนกับ ‘ครูตู้’ ส่งผลกระทบอะไรกับเด็ก ต่อชุมชน ต่อคนเป็นครู

และวันนี้ อุดมการณ์ของเขายังไม่เปลี่ยนไปใช่ไหม?

จุดเริ่มต้นโครงการ ‘ครูเดลิเวอรี’

ตอนนั้นอยู่มหาวิทยาลัยปี 1 ช่วงต้นภาคเรียนแรก เราเห็นว่ารุ่นพี่ทำโครงการโครงการหนึ่งที่จะต้องออกไปทำอะไรกันก็ไม่รู้นอกมหาวิทยาลัยทุกสัปดาห์ จนกระทั่งมีพี่เขามาแนะนำในเอกว่ามีโครงการด้านสำนึกความเป็นพลเมืองอยู่ในชื่อ ‘ครูเดลิเวอรรี’

อาจเพราะตอนนั้นเรามีไฟในการเป็นครูกันมาก พอรู้ว่าโครงการที่พี่ๆ ทำอยู่คือการส่งความรู้ถึงมือเด็กโดยที่โรงเรียนนั้นอาจเป็นโรงเรียนที่มีปัญหาหรือไม่พร้อม แต่เราจะใช้ความรู้วิชาการที่ร่ำเรียนมา เข้าไปเติมเต็ม ไปถ่ายทอดความรู้ให้กับเขา เลยตัดสินใจลงมือทำกันตั้งแต่ปีแรก ตอนนั้นเราอยู่ปี 1 ก็ทำงานตามพี่ๆ เขาไป และกลายเป็นแกนนำของโครงการครูเดลิเวอรรีรุ่นที่สอง

ครูเดลิเวอรรีต้องทำอะไรบ้าง

ตอนปีหนึ่งเราเข้าไปรับโจทย์กับรุ่นพี่ว่าโครงการฯ ต้องการทำอะไร เริ่มจากพูดถึงปัญหาโดยรวมของแต่ละพื้นที่เพื่อดูว่าแต่ละพื้นที่มีปัญหาอะไร สุดท้ายเราเลือกโรงเรียนในพื้นที่ที่ไกลจากตัวเมือง นั่นก็คือ โรงเรียนบ้านพังเภา ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณสองชั่วโมง ปัญหาตอนนั้น โรงเรียนใกล้จะถูกยุบ แต่ถ้าเราสามารถทำผลการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นได้ก็จะช่วยไม่ให้โรงเรียนถูกยุบ นักเรียนก็จะมีที่เรียนต่อไป

ตอนไปโรงเรียนวันแรก ด้วยความที่เราเองไม่เคยสอนจริงเพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนครูได้ปีเดียว เลยต้องเตรียมพร้อมมาก อยากไปสอน ไปให้ความรู้ เตรียมสิ่งที่ครูควรทำนั่นก็คือแผนการสอน เตรียมเนื้อหา วิธีการ เตรียมการรับมือกับเด็กต่างๆ ไป และคิดว่านักเรียนคงพร้อมรับ แต่พอไปถึงวันแรก ลงจากรถตู้ เข้าห้องเรียน กางเนื้อหาวิชาที่จะสอน ปุ๊บ… เด็กวิ่งออกจากห้อง จากที่เราคิดจะสอนวิชาการ แต่เอาแค่คำว่า ‘ดวงอาทิตย์’ ยังต้องสอนกันหลายครั้งมากกว่าเด็กจะเขียนได้ ตอนนั้นรู้สึกว่า ต้องเริ่มนับหนึ่งกับเด็กๆ ใหม่เลย

เพราะพวกเขาไม่ได้เจอครูจริงๆ แต่นั่งเรียนกับครูในทีวีหรือ ‘ครูตู้’ มาตลอด แต่พอมาเจอเราตัวเป็นๆ แบบนี้ (ชี้ตัวเอง) เขาดีใจ ตื่นเต้น ทำตัวไม่ถูกว่าการพูดคุยกับครูตัวเป็นๆ สักทีหลังจากดู ‘ครูตู้’ มาตลอดชีวิตนี่ มันเป็นยังไง

เราจับได้เลยว่า เด็กๆ จะตั้งใจเรียนมากเพราะกลัวว่าครูจะไม่มาหาพวกเขาอีก เขาจะรักเรามากเพราะเขารักสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่าง ‘ครูตู้’ ไม่ได้

อยากให้ช่วยขยายความบริบทโรงเรียน ที่ว่าเรียนกับครูตู้ เพราะอะไรและส่งผลอย่างไร

เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่มีผู้อำนวยการหนึ่งคน ครูสองคน แต่เด็กมีทุกชั้นตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง ป.6 แต่ละห้องอาจมีนักเรียนแค่สองถึงสามคน แต่เด็กๆ ไม่ได้เรียนรวมกัน พอครูมีน้อย เท่ากับว่าครูคนหนึ่งต้องวิ่งไปดูห้อง ป.1 ป.2 ป.3 ครูอีกคนวิ่งดู ป.4 ป.5 ป.6 

ภาพที่เห็นก็คือ พอครูวิ่งไปห้องนี้ เด็กห้องนู้นออกมา วิ่งไปจับเด็กห้องนู้น เด็กห้องนี้ก็ออกมา พอครูต้องวิ่งดูแลเด็กหลายห้อง ครูก็ไม่สามารถอธิบายเพิ่มเติมในสิ่งที่เด็กสงสัยได้ เด็กๆ ก็ได้แค่เรียนกับครูในทีวี พวกเราก็เลยเรียกทีวีนั้นว่า ‘ครูตู้’ คือเด็กได้นั่งดู แต่พูดตอบโต้กับเขาไม่ได้ ยังไม่รวมปัญหาว่าครูต้องเป็นทุกอย่างตั้งแต่ภารโรงยันผู้อำนวยการ

กลับบ้านวันนั้น ตัดสินใจเลยว่าจะสอนแบบที่เรียนมาหรือสอนตามรูปแบบไม่ได้แล้ว แต่เราต้องรับมือกับสภาพปัญหาที่พบเจอ เริ่มเปลี่ยนรูปแบบการสอนเรื่อยๆ ให้เหมาะกับเด็กมากที่สุด และมันต้องยั่งยืน เพราะวันใดที่เราออกจากชุมชนไป แม้ไม่มีเรา ชุมชนต้องอยู่ได้ เลยนำมาสู่การออกแบบกระบวนการของการทำโครงการปีที่ 2 ที่ต้องเริ่มทำงานกับชุมชน จากเดิมที่โครงการปีหนึ่งเราลงมือแค่สอนหนังสือในโรงเรียนอย่างเดียว 

ก่อนจะว่ากันถึงกระบวนการครูเดลิเวอรรี อยากชวนครูเอ็กซ์เล่าปัญหาของเด็กๆ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง

หลักๆ เป็นปัญหาจากที่บ้าน เรียกว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยนะครับ ครอบครัวไม่อบอุ่น พ่อแม่แยกทาง พ่อแม่ออกไปทำงานในเมืองทำให้เด็กให้ต้องอยู่กับปู่ย่าตายาย อยู่ที่บ้านก็ไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว พอมาโรงเรียน แทนที่จะได้คุยกับครูกับเพื่อน ในห้องมีกันอยู่แค่สองสามคน หันไปอยากคุยเรื่องสนุกสนาน แต่พอสบตากันก็นั่งร้องไห้เพราะคิดถึงพ่อกับแม่ มันเป็นภาพที่แบบ… (เงียบ) เราก็เลยรู้สึก ทำยังไงก็ได้ เราจะต้องกลับไปทำให้ชุมชนนี้เข้มแข็งขึ้น ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ได้

ถึงจะเป็นนักศึกษาครู แต่ก็อยู่เพียงชั้นปี 1 การต้องไปเจอกับสถานการณ์การศึกษาระดับลึก เรียกได้ว่าเป็น ‘ยาแรง’ ของบททดสอบและวัดใจคนเป็นครู วันนั้นนักศึกษาคนนั้นคิดยังไงกับภาพตรงหน้า รู้สึกอย่างไร

ตอนนั้น เพื่อนทุกคนคิดเหมือนกันว่าสงสารประเทศ ใช้คำว่า ‘สงสารประเทศ’ เลยนะ เพราะอนาคตของชาติต้องอาศัยเด็กที่จะโตมาแทนเรา แล้วถ้าเขาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เปรียบเทียบเด็กในเมืองกับชนบท เด็กในเมืองได้รับสิทธิพิเศษเยอะ แต่เด็กชนบทเสียเปรียบ ทั้งเรื่องโอกาสทางการศึกษาบ้างล่ะ เรื่องการใช้ชีวิตบ้างล่ะ เปรียบเทียบกับความเป็นชนบทด้วยกันเอง ชุมชนที่เราไปทำงาน ทุกบ้านมีแต่คนแก่ เด็กๆ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เลยรู้สึกว่าถ้าเด็กยังอยู่กับสังคมแบบนี้ ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาแบบนี้ แล้วยิ่งถ้าโตไป ต้องออกไปเรียนไกลๆ ปู่ย่าตายาย ซึ่งปู่ย่าตายายก็ขับรถไม่ได้ ไปส่งไม่ได้ สิ่งแรกที่พวกเขาคิดคือให้ลูกหลานออกจากโรงเรียน อยู่บ้าน เลี้ยงวัว ทำนา ปลูกพืช ก็เท่ากับเด็กต้องตัดอนาคตตัวเอง

กลับมาที่เรื่องกระบวนการแก้ปัญหา โครงการปีที่ 1 ซึ่งครูเดลิเวอรีเน้นเรื่องการเรียนการสอนที่ต้องเข้ากับสภาพปัญหาของเด็ก ทำอย่างไร

ต่อหนึ่งอาทิตย์ ครูเดลิเวอรีจะลงไปหาเด็กๆ หนึ่งวัน คือทุกๆ วันอังคาร จากตอนแรกเรามีแผนการสอนครบ 8 กลุ่มสาระเลย กลายเป็นสอนแค่ 4 วิชาหลัก คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ แล้วก็สังคม และสอนแค่ช่วงเช้า ตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไปเราไม่สอนวิชาการแล้วแต่สอนแบบชุมนุมแทน ชอบศิลปะใช่ไหม มาศิลปะ ชอบกีฬาใช่ไหม ไปเล่นกีฬา คือเลือกได้หมด อยากทำอะไร ให้เวลาเด็กๆ ได้ผ่อนคลาย

ในโครงการจะมีนักศึกษาครูไปช่วยกันประมาณ 15 คน ซึ่งต่อนักเรียนหนึ่งห้องเราใช้ครูประมาณ 2-3 คนเลย สอนด้วย จดบันทึกพฤติกรรมเด็กด้วย ทุกครั้งก่อนสอน เราจะประชุมก่อนว่าวันนี้จะทำอะไร และดูว่าเข้าใจตรงกันไหม แล้วค่อยแยกย้ายกันไปสอน พอสอนเสร็จก็กลับมาสรุปกันวันนั้นและที่นั่นเลยว่าวันนี้เราเจอปัญหาอะไรกันบ้าง มีอะไรต้องปรับในคาบต่อไป

ต่อเนื่องมาโครงการปีที่ 2 ซึ่งเริ่มลงพื้นที่ทำงานในชุมชน เป็นอย่างไรบ้าง

อย่างที่บอกว่ามันมาจากคำว่า ‘ยั่งยืน’ ซึ่งคำนี้เป็นคำที่เราพยายามพูดคุยเพื่อหาคำตอบกันตลอด ป้าหนู (พรรณิภา โสตถิพันธุ์ ผู้อำนวยการสงขลาฟอรั่ม) บอกและถามกับเราตลอดว่า “ถ้าครูเดลิเวอรีออกมาจากพื้นที่ ชุมชนจะอยู่ได้ไหม โรงเรียนจะอยู่ได้ไหม” การทำโครงการฯ ในปีที่สอง เลยคุยกันว่า เราลองศึกษาชุมชนกันดูไหม หาข้อมูลเพิ่มทางเลือกเพื่อจะช่วยยื้อหรือต่อลมหายใจให้กับนักเรียน เพราะชุมชนจะเป็นผู้ขับเคลื่อนโรงเรียนต่อไป

เราเดินไปในชุมชน เช็คว่าแต่ละโซนหมู่บ้านนั้นมีกี่หลังคาเรือน มีประชากรเท่าไร เยอะไหม ซึ่งนี่ทำให้เราเห็นปัญหาว่าหมู่บ้านมีแต่ผู้สูงอายุ พูดคุยกับชาวบ้านได้คำตอบว่า เขาคงไม่ได้ส่งเด็กๆ เรียนต่อเพราะไม่มีปัญญาจะพาไป คนที่มีเงินหน่อยก็ฝากรถไปส่งในเมืองได้ คนที่ลำบากหน่อยก็ให้เด็กอยู่ที่นี่ ตอนนั้นเราคิดนะ มันเป็นงานที่ท้าทายเหมือนกันในการทำให้การสอนมันเสมอภาคเท่ากันทุกพื้นที่ แม้ว่าเราทำไม่ได้ทุกพื้นที่ แต่อย่างน้อยเราได้โอกาสเข้าถึงพื้นที่นี้  

ผลที่เกิดคือ ปีนั้นมีทั้งรถไถมาไถหญ้าให้โรงเรียน ไม่ต้องใช้ภารโรงเลย มีคนมาช่วยทาสี ทำแปลงผัก มาสร้างอะไรร่วมกัน อย่างน้อยๆ มันเป็นสัญญาณที่ดีว่าชุมชนเห็นความสำคัญของโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้แล้วว่าโรงเรียนมีความสำคัญกับชุมชน

เอาจริงๆ ตอนนั้น นักศึกษาคนนั้นหวังกับครูเดลิเวอรรีไว้ว่าอย่างไร

เราอยากสร้างที่นี่ให้เป็นโมเดลให้ได้ อยากให้รุ่นน้องมาสานต่อโครงการ แม้ไม่ใช่นิสิตครูมหาวิทยาลัยทักษิณ แต่อยากให้เป็นพื้นที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของคนที่อยากรู้ว่าตัวเองพร้อมที่จะเป็นครูแค่ไหน หากต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาจะสู้หรือถอย 

ถ้ามันเกิดประโยชน์เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย ต่อไปโรงเรียนอื่นอาจมาศึกษาจากที่นี่แล้วนำกลับไปใช้ และมันจะเป็นตัวเชื่อมช่วยกันกระจายเรื่องแบบนี้ไปสู่ชุมชนอื่น

ตอนจบโครงการในปีที่สอง สถานการณ์ตรงนั้นคลี่คลายไปถึงระดับไหน

เด็กๆ ที่ผมสอนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนระดับชาติสูงขึ้น เด็ก ป.6 รุ่นนั้นสอบเข้าโรงเรียนในเมืองได้บางส่วน บางส่วนก็ทำงานเลยไม่ได้เรียนต่อ 

แต่ผมเชื่อว่าอย่างน้อยเราได้ทำให้เขาเห็นว่า วันใดที่เขาอยากเรียนต่อ เขาจะมีโอกาส สำคัญคือเราไม่บอกเขาว่าการเรียนต่อจะทำให้เขาประสบความสำเร็จ เพราะความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 

และต้องทำความเข้าใจนะครับว่า เด็ก ป.6 ของที่นี่กับในเมืองไม่เหมือนกันเลย ทักษะชีวิตของเด็กๆ ที่นี่ครบเครื่อง แต่เรื่องยาเสพติดนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผมทำโครงการครูเดลิเวอรีถึงปีที่สอง แต่โครงการยังมีรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยทำอยู่ถึงปัจจุบัน ยังมีเด็กรุ่นใหม่ที่ลงไปทำงานทั้งการสอนเป็นหลักและทำงานกับชุมชนคู่กันไป แต่ถ้าถามว่าสถานการณ์ของโรงเรียนและชุมชนคลี่คลายไปถึงระดับไหน ผมว่าผู้นำเขาเห็นปัญหาแล้วนะ รู้แล้วว่าควรจัดการยังไง ส่วนจะดำเนินการต่อหรือไม่เป็นเรื่องของโครงสร้างทางสังคม อย่างที่บอกว่าถ้าผู้นำอยากจะสร้างโอกาสให้กับเด็กที่นั่น เขาจะลงมือทำ

ทุกวันนี้เด็กๆ ยังเรียนกับ ‘ครูตู้’ อยู่ไหม

ยังเรียนกับ ‘ครูตู้’ อยู่ครับ แต่ว่าเด็กๆ ป.4-6 ถูกย้ายไปเรียนร่วมกับโรงเรียนอื่น ซึ่งทางโรงเรียนเองก็ได้รถตู้คันใหม่มาเนื่องจากผลสอบโอเน็ตดี ทางเขตฯ มอบให้รับส่งเด็กๆ ไปเรียนรวมกับโรงเรียนอื่นซึ่งมีครูเป็นบุคลากรจริง แต่น้องๆ ป.1-3 ยังเรียนแบบเดิมอยู่

ครูเดลิเวอรรีให้เครื่องมืออะไรกับคุณบ้าง

ทักษะการทำงานเป็นทีม ซึ่งจำเป็นมากในการทำงานครั้งนี้ ตอนนั้นมีเพื่อนคือ อนันต์ ชูช่วย คนนี้เป็นประธานในรุ่น ปัจจุบันบรรจุเป็นข้าราชการครู คนนี้ให้ความเป็นครูกับผมและได้เรียนรู้เรื่องการทำงานเป็นทีมด้วยกัน 

อีกอย่างคือโอกาส เพราะตอนที่ไปสอน เราไม่ได้มีความรู้จะไปสอนขนาดนั้น  

มันเป็นโอกาสที่ดีมากที่ได้เรียนรู้ว่าการเรียนรู้ที่ดีต้องมาจากปัญหาจริงๆ เพราะเราเจอปัญหาหนักมาก จึงทำให้เรารู้ว่าอนาคตการเป็นครูต้องเจอปัญหาเหล่านี้อีกเยอะ แต่เราพอรู้แล้วว่าจะรับมือยังไง เหมือนมันฉีดวัคซีนให้ตัวเองแล้ว สำคัญคือได้รู้ว่า การจัดการเรียนรู้มันจัดรูปแบบเดียวไม่ได้

ทุกวันนี้คุณเป็นครูเต็มตัวแล้ว ฝันของครูเอ็กซ์คืออะไร

ต้องเล่าก่อนว่าเด็กที่เราสอนอยู่ก็มีปัญหาในแบบของตัวเอง เด็กใต้เนอะ บางคนต้องตื่นมาตั้งแต่ตีสี่มาเก็บยาง เก็บเสร็จหกโมงเช้า หกโมงเช้าไปหลับ พอไปงีบก็ตื่นสาย มาโรงเรียนสาย โดนหักคะแนน บางคนโดนตีทุกวัน เด็กก็ไม่อยากมาโรงเรียน เพราะครูมองว่า “เธอนี่ขี้เกียจ ทำไมไม่ตั้งใจเรียน มาโรงเรียนก็หลับ” เพราะเขาไม่มีเวลา บางคนต้องหามขี้ไก่ใส่รถบรรทุกตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีสี่ แล้วมาโรงเรียนสิบโมงทุกวันเลย อยู่ๆ ไปก็ค่อยรู้ว่าเด็กแต่ละคนต่างมีปัญหาที่ลึกกว่าที่เรามองเห็น ปัญหาคือ ไม่เคยมีครูคนไหนถามว่าเขามีปัญหาอะไร?

ฝันของเราจึงอยากเห็นเด็กทุกคนเรียนจบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะปัญหาเด็กๆ ในพื้นที่ตอนนี้คือการหลุดออกจากระบบกลางคัน ซึ่งท้ายที่สุดเด็กเหล่านี้จะออกจากชุมชน สังคมเองก็มองว่าเด็กเหล่านี้มีปัญหา ครอบครัวเองก็มองเขาแบบนั้น เพื่อนมองเขาแบบนั้น เด็กไม่รู้เลยว่าจะต้องปรับตัวยังไง ต่อให้ปรับมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปอยู่ในสังคมที่มีแต่คนมองว่า “เธอเป็นเด็กมีปัญหามาก่อน” ได้ไหม ที่อยากให้เรียนจบเพราะอย่างน้อยมันจะตัดปัญหาการถูกตราหน้าว่าเป็น “เด็กเรียนไม่จบ” อย่างน้อยเขาไปสร้างอาชีพต่อ ไปทำงานต่อ เท่านี้เราจะหายห่วงแล้ว

สุดท้าย จากวันที่ทำโครงการครูเดลิเวอรี ทดลองเป็นครูตอนเรียนอยู่ปี 1 จนถึงวันนี้ วันที่เป็นครูเต็มตัวครั้งแรกได้ไม่เต็มขวบปีดี รู้สึกอย่างไร ยังยืนยันจะเป็นครูอยู่ไหม

ถ้าทำเพราะรักในอาชีพ เราก็จะสนุกกับมัน ที่เขาบอกว่าการเป็นครูต้องเป็น 24 ชั่วโมง มันจริงมากๆ เลยนะ มันมีบางอาชีพที่ทำงานจบเป็นวันๆ ได้ แต่ครู กลับมาบ้านต้องเตรียมการสอน อ่านหนังสือ ไหนจะปัญหาเด็กๆ เด็กหนีออกจากบ้าน-ครูก็ต้องโทรตามละ เด็กมีปัญหาชกต่อย-ครูก็ต้องไปหาเด็ก คือเราเป็นเหมือนเป็นทั้งครู เป็นทั้งตำรวจ เป็นทุกอย่างให้กับชีวิตเขา

เราไม่ได้รักความสบายนะ แต่เรารักความรู้สึกที่… ถ้าลูกศิษย์เราได้ดี เราจะรู้สึกดีไปด้วย เรารู้จักความรู้สึกนี้ เรารู้ตัวเองตั้งแต่ทำโครงการครูเดลิเวอรีปีหนึ่งเลย

*ครูเดลิเวอรี ภายใต้โครงการ Active Citizen สนับสนุนการจัดการเรียนรู้และโครงการโดย สงขลาฟอรั่ม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล

Tags:

ระบบการศึกษาโรงเรียนสงขลาฟอรั่มactive citizenเทคนิคการสอนครูเดลิเวอรี

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ
Voice of New Gen
1 August 2019

ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ฟิอนน์ เฟอร์เรรา วัยรุ่นไอริช วัย 18 เจ้าของรางวัล Google Science Fair 2019 ผู้คิดค้นนวัตกรรมกำจัดไมโครพลาสติก
  • ไมโครพลาสติก หรือ ไมโครบีดส์ คือขยะพลาสติกที่มีขนาดน้อยกว่า 5 มิลลิเมตร มันเป็นส่วนผสมสำคัญของผลิตภัณฑ์ประเภทสครับ ทั้งสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า ฯลฯ ที่ไหลลงสู่แหล่งน้ำและกำจัดยากด้วยความจิ๋วของมัน
  • เฟอร์เรรา ใช้แม่เหล็กเหลว (Ferrofluid) ซึ่งเป็นการผสมระหว่างน้ำมันกับแร่แมกเนไทท์ (Magnetite) ดูดซับหรือดึงเอาเจ้าไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

ฟิอนน์ เฟอร์เรรา (Fionn Ferreira) วัยรุ่นชาวไอริชอายุ 18 ปี เจ้าของรางวัล Google Science Fair 2019 เวทีแข่งขันโครงการวิทยาศาสตร์ระดับโลกรุ่นอายุ 13-18 ปี ผู้คิดค้นนวัตกรรมกำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ หนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกที่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกำลังหาทางแก้ปัญหากัน คว้าเงินรางวัลจำนวน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,539,000 บาท)* 

เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าไมโครพลาสติก หรือ ไมโครบีดส์ คือขยะพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร เกิดจากการแตกหักของขยะพลาสติกชิ้น (ที่เคย) ใหญ่ครั้งอยู่ในภูเขาขยะหรือลอยอยู่ในน้ำ อีกส่วนหนึ่งคือพลาสติกที่ถูกทำให้เล็กตั้งแต่การผลิต เช่น อนุภาคพลาสติกที่ถูกใช้ในเครื่องสำอางอย่าง สบู่ แชมพู ยาสระผม สครับ ยาสีฟัน และอื่นๆ

ความร้ายกาจของมันคือ มันเล็กมากเสียจนย่อยสลายไม่ได้ สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารจึงกินเข้าไป เมื่อมนุษย์จับสิ่งมีชีวิตในทะเลมากิน เราจึงกินไมโครพลาสติกมือสองเข้าไปในร่างกายอีกที และเพราะพลาสติกคือสารเคมี การกินพลาสติกชิ้นจิ๋ว จึงเท่ากับรับสารเคมีที่อยู่ในพลาสติกเข้าร่างกายเราด้วย (ซึ่งเจ้าปลาน้อยหรือสิ่งมีชีวิตในทะเลย่อมได้รับไปก่อนหน้าเราเต็มๆ)

บนเวที Google Science Fair 2019 เวทีสำหรับนวัตกรรุ่นเยาว์อายุระหว่าง 13-18 ปี สนับสนุนโดย Lego, Virgin Galactic, National Geographic และ Scientific American เฟอร์เรราคือหนึ่งใน 24 ผู้เข้ารอบสุดท้าย (และจาก 100 คนในรอบก่อนสุดท้ายอีกทีหนึ่ง)

เฟอร์เรรา คือเด็กหนุ่มจากไอร์แลนด์ที่เติบโตในแถบชายฝั่งด้านตะวันตกของเมืองคอร์ก เขาบรรยายสภาพแวดล้อมรอบบ้านที่โตมาตลอด 18 ปีว่าเป็น ‘ธรรมชาติบริสุทธิ์’ และทั้งหมดกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาหาวิธีกำจัดเจ้าพลาสติกจิ๋วจำนวนมหาศาลชนิดนี้

เริ่มต้น เขาสนใจวิธีการขจัดคราบน้ำมันโดยใช้แร่แมกเนไทท์ของนักวิทยาศาสตร์ อาร์เดน วอร์เนอร์ (Arden Warner) ซึ่งเป็นการกำจัดคราบน้ำมันโดยไม่สร้างมลพิษและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

จนนำมาสู่การค้นคว้า ทดลอง และได้วิธีในแบบของเด็กหนุ่มวัย 18…

ด้วยความตั้งใจอยากแก้ปัญหาขยะไมโครพลาสติกในทะเล เขาใช้แม่เหล็กเหลว (Ferrofluid) ซึ่งเป็นการผสมระหว่างน้ำมันกับแร่แมกเนไทท์ (Magnetite) ดูดซับหรือดึงเอาเจ้าไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

วิธีการของเฟอร์เรราคือ ใช้ Ferrofluid เข้าไปจับไมโครพลาสติก จากนั้นจึงใช้แม่เหล็กดูดเจ้าพลาสติกจิ๋วขึ้นจากสายน้ำ จากการทดลอง 1,000 ครั้ง พบว่ากำจัดไมโครพลาสติกตัวอย่างได้ราว 87 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลอย่างมากในพลาสติกที่ผ่านเครื่องทำความสะอาดมาแล้ว ได้ผลน้อยกับพลาสติกประเภทโพลีโพรพีลีน (Polypropylene) หรือ PP เฟอร์เรราชี้ว่านี่เป็นเพียงความเป็นไปได้ที่จะกำจัดเจ้าไมโครพลาสติกออกไป แต่เขาจะพัฒนาโครงการต่อให้นำไปใช้ระดับอุตสากรรมให้ได้ต่อไป

นอกจากเฟอร์เรราจะสนใจเรื่องการวิจัยและเทคโนโลยี หลักฐานคือการเป็นเจ้าของรางวัลด้านวิทยาศาสตร์กว่า 12 ชิ้น ปัจจุบันกำลังยื่นเรื่องเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขายังเป็น curator หรือผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่ Schull Planetarium พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เมืองคอร์ก ประเทศไอร์แลนด์ บ้านเกิดของเขา พูดได้ 3 ภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทรัมเป็ตและเล่นในวงออร์เคสตราด้วย  

รายการโปรดของเขาคือช่องยูทูบ NileRed และ Backyard Scientist นอกจากนั้นยังเป็นแฟนตัวยงของ เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ (David Attenborough) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษและผู้ร่วมสร้างสารคดีชุด Life กับบีบีซีด้วย 

“การได้รับรางวัลทำให้ผมตั้งใจกับโปรเจ็คท์มากขึ้น และมันดีกว่านี้ได้แน่ด้วยคำแนะนำและคำวิจารณ์ต่างๆ” เฟอร์เรรามั่นใจ และทิ้งท้ายไว้ว่า

“สิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุดคือโปรเจ็คท์และไอเดียของผมถูกนำไปประยุกต์ใช้งานในชีวิตจริง”​ 

*ค่าเงิน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ที่ 30.78 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

อ้างอิง
Irish teenager wins global science award for removing microplastics from water
forbes
googlesciencefair

Tags:

สิ่งแวดล้อมวิทยาศาสตร์คาแรกเตอร์(character building)นวัตกรรม

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Voice of New Gen
    Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง
Life Long Learning
26 July 2019

คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • สตีเฟน ดูนิเยร์ ชายวัย 50 ปี บอกอย่างตรงไปตรงว่าไม่ใช่คนเก่ง และเป็นคนสมาธิสั้น โฟกัสสิ่งใดได้ไม่เกิน 5-10 นาที ทำให้เกรดที่ได้คงเส้นคงวามาตลอดคือ C กับ C- เขาจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับศักยภาพ (Potential) ของตัวเอง
  • การย่อยงานชิ้นใหญ่ ออกมาเป็นงานชิ้นเล็กๆ เพื่อการจัดการบริหารที่ได้ง่ายขึ้น ตามด้วยการลงมือทำ แล้วลองปรับปรุง เปลี่ยนแปลงทีละนิด นี่คือวิธีที่ทำให้ดูนิเยร์หาเป้าหมายของตัวเองเจอ
  • ชายสมาธิสั้น ผู้ไม่สามารถโฟกัสกับอะไรได้นานคนนี้ กลายมาเป็นคนสร้างสรรค์โปรเจคศิลปะ เจ้าของกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ศาสตราจารย์ นักวางแผนยุทธศาสตร์ โค้ช และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเขาลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมาย แทนที่จะใช้เวลานอนอยู่บนโซฟา ดูทีวี เลื่อนหน้าจอมือถือไปมา

โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว!

เราได้ยินคำกล่าวนี้บ่อยแค่ไหน?

“บ่อยมากกกกกกกกกกกกกกกก” เชื่อว่านี่เป็นคำตอบในใจหลายๆ คน

แม้จะหามาตรวัดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ แต่ยุคสมัยทำให้มุมมองความคิดของผู้คนต่างออกไปจากเดิมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะวิธีคิดเรื่อง ‘ความสำเร็จ’

ความสำเร็จไม่ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับตัวเลขในบัญชีเท่านั้น แต่รวยเร็ว ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ลาออกจากงานประจำแล้วจะรวย กลายเป็นเป้าหมาย (goal) ที่สร้างกระแสกดดันคนรุ่นใหม่ และคนยุคใหม่ ให้ไขว่คว้าและวิ่งเข้าหาความสำเร็จแบบดังกล่าว

เรามองผลสำเร็จที่ปลายทาง มากกว่าวิธีการไปถึงเป้าหมาย หรือกระบวนการให้ได้มาซึ่งความสำเร็จนั้น

นี่ยังไม่นับรวมความเครียดและความกังวล เมื่อค้นหาตัวเองไม่เจอ และไม่รู้ว่าความหลงใหล หรือ passion ของตัวเองคืออะไร ในขณะที่ใครๆ ก็บอกว่า ต้องรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วลงมือทำอย่างมี passion ถึงจะสำเร็จ ซึ่งก็จริง…แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน?

วันนี้ The Potential มาชวนทุกคนลองคิด แล้วลงมือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำในแต่ละวันทีละนิด เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงศักยภาพของตัวเอง เพราะเราเชื่อมั่นว่าคุณทำได้!

ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ สตีเฟน ดูนิเย่ร์ (Stephen Duneier) ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนักที่จะนิยามชายวัย 50 ปีคนนี้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จักเขาตอนไหน แล้วตอนนั้นเขาสนใจทำอะไรอยู่

บางคนนิยามว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ขณะที่หลายคนรู้จักเขาในบทบาทศิลปินจัดวาง (installation artist) ที่สร้างสรรค์ชิ้นงานขนาดใหญ่มานักต่อนัก หรือแม้แต่ผู้คลั่งไคล้กิจกรรมโลดโผนกลางแจ้ง เป็นศาสตรจารย์ นักวางแผนยุทธศาสตร์ โค้ช ผู้นำทางธุรกิจ นักเขียน นักพูด หรือ หนึ่งในบุคคลที่ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ (Guinness World Records)

ถ้าถามดูนิเย่ร์ เขาจะบอกว่า “ไม่สำคัญว่าคนจะรู้จักเขาในฐานะไหน แต่วิธีการที่นำไปสู่การตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งของเขา (an approach to decision making) เปลี่ยนเขาจากคนที่เคยมีปัญหาติดขัด แม้กระทั่งกับการทำเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิต มาเป็นผู้ชายที่ทำอะไรก็ได้ และประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่อง บางอย่างเป็นความฝันที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ทำให้เป็นจริงได้”

เมื่อวิธีเดิมๆ ไม่เวิร์ค ต้องกล้าเปลี่ยน

บนเวที TEDxTucson เมื่อ 2 ปีก่อน ณ เมืองทูซอน ทางใต้ของรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ดูนิเย่ร์ ขึ้นพูดในหัวข้อ “How to Achieve Your Most Ambitious Goals” หรือ วิธีการไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดของตัวเอง

สิ่งที่ ดูนิเย่ร์ ทำและแนะนำให้ทุกคนลองทำ เป็นวิธีการที่ใครๆ ก็ทำได้  เขาบอกว่าเราทุกคนสามารถทำในสิ่งที่อยากทำ และคว้าเป้าหมายที่ฝันไว้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ (talent) หรือมีความพิเศษ (magical skill) ใดๆ ติดตัว เขาย้ำ ถึงตัวเองอยู่หลายครั้งว่า เขาไม่ใช่คนเก่ง แถมยังเป็นคนสมาธิสั้น ที่ไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานเกิน 5-10 นาที และเป็นเด็กที่ทำคะแนนได้เกรด C กับ C- มาอย่างคงเส้นคงวา

แต่เมื่อโตขึ้น เขาตัดสินใจเปลี่ยน… “ถ้าอยากเปลี่ยนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องเปลี่ยนวิธีการ (approach)”

เมื่อใช้วิธีการเรียนแบบเดิม แล้วทำได้แค่เกรด C กับ C- เขาต้องเปลี่ยนวิธีเรียน ดูนิเย่ร์ คิดกับตัวเอง

ดูนิเย่ร์ ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรง เมื่อได้รับโจทย์ให้เตรียมอ่านบทความ 5 บทก่อนเข้าห้องเรียน

แทนที่คิดว่าต้องอ่าน 5 บท หรือ 1 บท เขาเริ่มต้นจากการประเมินศักยภาพของตัวเอง สำหรับคนที่โฟกัสได้แค่ 5-10 นาทีอย่างเขา 3-4 ย่อหน้าสำหรับการอ่านแต่ละครั้งคือคำตอบ เขายอมรับว่า หลังจากอ่านจบแต่ละครั้ง เขาก็หันไปสนใจทำอย่างอื่น เช่น เล่นเกม โยนห่วง หรือวาดรูป แล้วกลับมาอ่านใหม่

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง แม้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้จากนั้นเป็นต้นมา เขากลายเป็นนักเรียนเกรด A และ A+ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสาขาการเงินและเศรษฐกิจด้วยเกียรตินิยม

แต่นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ความสำเร็จเดียวในชีวิตของเขา จากการลงมือทำด้วยวิธีการดังกล่าว

ดูนิเย่ร์ ย้ำว่า เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน แล้วลงมือทำทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ วัน (The marginal adjustment/ improvement  to your daily life)

ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

จากการพิสูจน์ด้วยตัวเองมานักต่อนัก อย่างน้อยๆ ก็ร่วม 20 ปี ดูนิเย่ร์บอกว่า ไม่ว่าเป้าหมายจะใหญ่แค่ไหน การทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้แน่นอน ‘ย่อยงานชิ้นใหญ่ ออกมาเป็นงานชิ้นเล็กๆ ที่สามารถบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น ลงมือทำ แล้วลองปรับปรุง เปลี่ยนแปลงทีละนิด’

ตั้งแต่ราวปี 2001 เป็นต้นมา ดูนิเย่ร์ นำวิธีการนี้มาใช้อย่างต่อเนื่องในอาชีพของเขา ทั้งในบทบาทนักลงทุนที่ทำงานให้กับธนาคารแห่งอเมริกา หัวหน้าฝ่ายการตลาดเกิดใหม่ บริษัท เอไอจี ในระดับโกลบอล และงานด้านการลงทุนและการจัดการกลยุทธ์ในบริษัทชั้นนำระดับโลกอีกมากมาย

“ในเมื่อวิธีการนี้ใช้กับการเรียนของผมได้ ใช้กับการทำงานของผมได้ ก็ต้องใช้กับชีวิตส่วนตัวของผมได้เหมือนกัน” ดูนิเย่ร์ กล่าวถึงวิธีคิดของเขา

ดูนิเย่ร์ เล่าว่า ช่วงหนึ่งของการทำงานในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขาใช้เวลาเดินจากบ้านไปทำงานประมาณ 45 นาที นั่นเท่ากับ

1 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน

7 ชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์

30 ชั่วโมงต่อเดือน 

และ 360 ชั่วโมงใน 1 ปี

จากที่เคยใช้เวลาเหล่านั้น เดินฟังเพลงจาก iPod ไปเรื่อยๆ ทุกวันจนถึงที่ทำงาน วันหนึ่งดูนิเย่ร์ ตัดสินใจเดินเข้าร้านค้า ซื้อแผ่นซีดีสอนภาษาเยอรมัน 33 ชุด ดาวน์โหลดเก็บใส่ไว้ใน iPod

แต่เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนสมาธิสั้น ไม่มีวินัยมากพอ ซึ่งอาจเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป ถึงจุดหนึ่งเขาอาจเปลี่ยนโหมดการฟังจากบทเรียนภาษากลับมาฟังเพลงได้อีก เพื่อไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาจึงลบเพลงทั้งหมดออกจากเครื่อง ความรู้จักตัวเองทำให้เขาตัดสินใจทำสิ่งที่ควรทำ

ภายใน 10 เดือน ดูนิเย่ร์ ฟังซีดีสอนภาษาไปทั้งหมด 3 รอบ แล้วเดินทางไปยังกรุงเบอร์ลิน เยอรมันนี เพื่อเข้าเรียนคอร์สภาษาเยอรมันเข้มข้น 16 วัน

“หลังจากจบคอร์ส ผมให้ลูกกับภรรยามาเจอผมที่เบอร์ลิน เพื่อที่เราจะได้เที่ยวต่อด้วยกัน ผมพูดภาษาเยอรมันกับคนท้องถิ่น นั่นทำให้ลูกผมประหลาดใจมาก…ผมไม่ได้ทำอะไรที่พิสดารเลย แต่สิ่งที่ผมทำคือ การเปลี่ยนและปรับปรุงสิ่งเล็กๆ ที่ทำในทุกๆ วัน”

ยังไม่พอ เขายังไม่หยุดแค่นี้ ดูนิเย่ร์ ทดลองทำสิ่งต่างๆ มากมาย เพื่อท้าทายศักยภาพของเขา ไม่ว่าจะเป็น

นักแข่งรถ ขับเฮลิคอปเตอร์ ปีนเขา เทรคกิ้ง กระโดดร่ม ปั่นจักรยานล้อเดียว เดินทรงตัวบนลวดเส้นเดียว ฯลฯ เขาบอกว่าชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง และเพราะความตั้งใจลดน้ำหนัก เลยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเอง  

นอกจากนี้ผู้ชายสมาธิสั้นที่ยังคงไม่สามารถโฟกัสกับการทำอะไรได้นานคนนี้ ยังได้หันมาถักนิตติ้ง จนสร้างสรรค์โปรเจคศิลปะจัดวางขนาดใหญ่มากมาย และยังเป็นเจ้าของกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ แขนงใหม่ หลังจากถักโครเชสี่เหลี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้ โดยใช้เวลา 2 ปี 2 เดือนกับอีก 17 วัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นดูนิเย่ร์ ได้รับการปฏิเสธจากกินเนสส์ฯ อยู่หลายครั้ง เพราะไม่มีแขนงงานโครเชอยู่ในบันทึกมาก่อน แต่เขาก็ขออุทรณ์และทำได้สำเร็จ

“คุณจะนอนอยู่บนโซฟา ดูทีวี เลื่อนหน้าจอมือถือไปมา เล่นเฟซบุ๊คอยู่ในบ้าน หรือจะเลือกวางทุกอย่างลง แล้วเปิดประตูออกไป ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ไม่สำคัญว่าเป้าหมายคุณคือการทำอะไร แต่มันต้องเริ่มจากการลงมือทำทีละเล็กทีละน้อย คุณไม่มีทางขึ้นไปพิชิตยอดเขาได้ ถ้าคุณไม่เริ่มจากก้าวที่ลุกออกมาจากโซฟาตัวนั้นในบ้านของคุณ”  

เรื่องราวของ ดูนิเย่ร์  ไม่ต่างจาก โนวัค ยอโควิช (Novak Djokovic) นักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งของโลกคนปัจจุบันชาวเซอร์เบีย กว่าจะขึ้นมาเป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลก เขาเคยเผชิญช่วงเวลาที่หนักหนามากที่สุดเวลาหนึ่งในชีวิต สถิติตั้งแต่ปี 2011 ถึงปี 2016 ยอโควิช คือ นักกีฬาเทนนิสที่เอาชนะได้ยากมาก แต่ในช่วงปีก่อนหน้านั้น เขามีปัญหาเรื่องอาการหมดแรงระหว่างแข่งขัน ซึ่งนักโภชนาการส่วนตัว ดร.อิกอร์ เจโตเชวิก (Dr.Igor Cetojevic) บอกว่า เกิดขึ้นจากระบบการย่อยอาหารไม่สมดุล

ผลจากการตรวจเลือดพบว่าร่างกายของยอโควิชไม่ถูกกับกลูเตน (Gluten) ข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์จำพวกนม (Dairy Products) รวมถึงมะเขือเทศ ด้วยเหตุนี้ ณ ช่วงเวลานั้น เพื่อให้กลับมาเป็น 1 ใน 5 มือวางลำดับต้นๆ ในวงการเทนนิสให้ได้อย่างมั่นคง ยอโควิชมีแรงกระตุ้นและแรงจูงใจแห่งความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมการกินอาหาร เขาตัดอาหารจำพวกขนมปังและชีสออกจากเมนูการกิน แต่ผลลัพธ์ของความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถาวรในทันที แม้จะรู้สึกดีขึ้นหลังจากลงมือควบคุมอาหารในช่วงแรกก็ตาม

ยอโควิช ใช้เวลาฟื้นตัวอยู่ 12 เดือน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเมนูอาหารจนเหมาะสมกับตัวเอง และฟิ้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายด้านอื่นๆ จนกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น รู้สึกตื่นตัว และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทางกายและทางใจ แล้วเขายังคงทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งที่ยากจะต่อกรได้อย่างสง่างาม

นี่คือ ผลของการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตทุกวันจนกลายเป็นความสำเร็จ ส่วนชื่อเสียงและเงินทองเป็นผลพวงที่ได้จากความอดทนและความพยายามอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวก สร้างความสบาย และตอบสนองความต้องการได้มากมาย แต่ความสำเร็จที่สร้างแรงพลังให้ชีวิต อาจไม่ใช่จำนวนตัวเลขในบัญชีเสมอไป แต่เป็นความสำเร็จจากการเอาชนะตัวเอง และสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองได้ จากสิ่งที่ลงมือทำในทุกๆ วัน

ทั้งดูนิเย่ร์ และยอโควิช แสดงให้เห็นว่า การมี passion หรือความหลงใหล คือ การเดินหน้าลงมือทำสิ่งที่สนใจหรืออยากทำอย่างต่อเนื่อง แล้วเติม passion ใส่การลงมือทำนั้นทุกวันๆ หากอดทนได้มากพอ วันหนึ่งเค้าลางความสำเร็จย่อมแจ่มชัดขึ้น 

ที่สำคัญความสนใจหรือความฝันที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องมีเพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่ดูนิเย่ร์ท้าทายตัวเองด้วยความสนใจใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วไม่จำเป็นว่าต้องมีเงินเท่านั้นถึงจะทำได้ เพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแห่งยุคสมัย ได้สร้างสรรค์พื้นที่และช่องทางให้เราเข้าไปศึกษาเรียนรู้ได้ โดยไม่กระทบเงินในกระเป๋า

“A journey of 1000 miles starts with just 1 step.”
การเดินทางนับพันไมล์ เริ่มต้นจากก้าวแรกที่ย่างเดิน

อ้างอิง
How to Achieve Your Most Ambitious Goals
To Multiply Your Productivity by 1000% — Adopt These Super Simple Rituals
Here’s What Novak Djokovic Eats In A Day

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ชีวิตการทำงานGritแรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • How to enjoy life
    พอกันทีถ้าต้องทำงานไปแบบใจเฉาๆ ปลุกไฟในตัวเราให้พร้อมทำงานกันเถอะ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป
Social Issues
25 July 2019

CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป

เรื่อง

  • จับประเด็นน่าสนใจจาก 5 คน 5 อาชีพที่ไม่ดูดายโลก ไม่ละเลยสังคม และลุกขึ้นมาแก้ ‘มัน’ ด้วยตัวเอง
  • การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความยุติธรรม สาธารณสุข และ สิทธิ คือ ‘มัน’ ที่เข้าขั้นวิกฤติ และนี่คือสิ่งที่ 5 คนนี้ลุกขึ้นมาทำให้เห็น
  • ด้วยหวังว่าในอนาคต ความหลากหลายจะกลายเป็นความแข็งแกร่ง
เรื่อง: อิชย์อาณิคม์ ชิตวิเศษ
ภาพ: ทีมสื่อสาร งาน Connect Fest เพราะความหลากหลายทำให้เรามาเจอกัน

“แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

คำถามธรรมดาๆ นี้ สังเกตน้ำเสียงดีๆ สิ่งที่ต้องการอาจไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นอารมณ์ปะปนด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่า ‘มัน’ ในประโยคนั้นคืออะไร

แต่ประโยคนี้คือจุดเริ่มต้น ดึง 5 คน 5 สายอาชีพ ที่ต่างก็มี ‘มัน’ เป็นของตัวเอง ซึ่งมาเจอกัน ในงานเสวนา Connect to The Future เพราะความหลากหลายทำให้เรามาเจอกัน ณ มิวเซียมสยาม เมื่อ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

เพื่อแชร์และตอบคำถามให้มากกว่า ‘ทำไม’ แต่ไกลไปจึงจุดที่ว่า “เราจะแก้มันได้อย่างไร”

‘มัน’ คือการศึกษา

เปิดวงเสวนาโดย ต่าย-ภนิธา โตปฐมวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง A-chieve ธุรกิจเพื่อสังคมด้านการศึกษา ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนที่ปรึกษาให้เด็กๆ มัธยมตอนปลายได้ค้นหาตัวตนและความต้องการมา 9 ปีแล้ว

‘มัน’ ของต่าย คือ การศึกษา

9 ปีที่แล้ว A-chive เริ่มต้นมาจากการที่ต่ายได้พูดคุยกับเพื่อนและคนรอบตัวถึงความฝัน ความต้องการในชีวิตของแต่ละคน แล้วพบกับคำตอบที่ชวนให้สิ้นหวังและหดหู่ว่า “มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก”

ตรงกันข้าม เมื่อเธอได้พูดคุยในเรื่องนี้กับเพื่อนต่างชาติ แววตาพวกเขากลับเป็นประกายวิบวับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ซึ่งทำให้ต่ายต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า “มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางก่อนที่เราจะเรียนจบ” และนำมาสู่คำถามที่ว่า

“มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาที่ควรจะทำให้เราเห็นความต้องการของตัวเอง”

A-chieve จึงถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เด็กได้พบเจอกับตัวตน แต่ยังสร้างกระบวนการในการตรวจสอบตัวเองว่า “ถ้าหากปัจจัยเงื่อนไขมันเปลี่ยนแล้วเขาควรจะทำอย่างไร และเขาควรจะมีจุดยืนอย่างไรกับมัน?”

A-chieve ตั้งต้นจากการเป็นกลุ่มเล็กๆ เข้าไปอยู่ร่วมกับเด็กวัยรุ่นในช่วงเวลาที่ต้อง “ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต” ช่วยให้พวกเขาเผชิญแรงกดดันทั้งของตัวเองและรอบข้างให้น้อยที่สุด จนนำไปสู่การค้นพบเส้นทางของแต่ละคน

ต่ายได้เรียนรู้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นที่สำคัญ คือ การสร้างพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออกซึ่งตัวตนของเขาได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกใครตัดสิน และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เด็กกล้าหันหลังกลับไปพูดคุยและบอกความต้องการกับพ่อแม่ รวมทั้งเผชิญแรงกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้น

การค่อยๆ เติบโตขึ้นไปพร้อมกับเด็ก และการค่อยๆ ก่อร้างสร้างตัวขององค์กร ทำให้ A-chieve กลายมาเป็นอาชีพหลักของต่าย ที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงปากท้องตัวเองและครอบครัวไปพร้อมๆ กับการช่วยเหลือเด็กรุ่นใหม่ในสังคมให้เติบโตอย่างแข็งแรง ไปเป็นคนที่รู้จักและเลือกที่จะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้

‘มัน’ คือสิ่งแวดล้อม

มีเรื่องราวมากมายที่ประกอบสร้างเป็นตัวตนให้กับ ดร.อ้อย-สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ มหาบัณฑิตจากอังกฤษ ให้กลับมาเริ่มต้นงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและเข้าร่วมกับมูลนิธิโลกสีเขียวมาตลอด 24 ปีจนถึงปัจจุบัน

ความสนิทสนมของ ดร.อ้อยกับสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการที่ตนเองเติบโตมากับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเยอะมาก จากภาพในตอนเด็ก พบเห็นแต่ความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม จนกลายมาเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สร้างผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำให้เธอต้องก้าวเข้ามาทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง

งานที่ ดร.อ้อยทำในมูลนิธิโลกสีเขียวคือ ‘สิ่งแวดล้อมศึกษา’ หนึ่งในกิจกรรมที่คนรู้จักคือ ‘นักสืบสายน้ำ’ ที่คอยตรวจเช็คสายน้ำจากต้นน้ำสู่ปากน้ำชายทะเล กับ ‘นักสืบสายลม’ ที่คอยตรวจเช็คสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ว่าอากาศมีทิศทางและความแปรปรวนอย่างไร งานนี้มีไอเดียว่า

“อยากจะให้คนอ่านธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่มันอยู่รอบตัวเนี่ย ได้เหมือนกับอ่านหนังสือ”

สิ่งที่ทำให้ ดร.อ้อยริเริ่มงานชิ้นนี้ มาจากสมัยที่เธอยังเรียนอยู่อังกฤษ ในเวลานั้นเรื่องภาวะโลกร้อนเพิ่งจะเริ่มได้พื้นที่ในสื่อกระแสหลัก พร้อมกับการตั้งคำถามจากคนในสังคมว่า “มันเป็นข่าวจริงหรือเปล่า?” ทำให้เกิดการก่อตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่รวมเอานักวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมทั่วโลกเข้ามาเป็นคณะกรรมการเพื่อทำข้อมูลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนฉบับแรก

โดยข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมจากประชาชนคนทั่วไปที่สนใจในธรรมชาติ ชอบดูนกชมไม้ ว่าพวกเขาเริ่มเห็นความผิดปกติอะไรบ้างในสภาพแวดล้อมรอบตัว ทั้งการเพาะพันธุ์ วิถีชีวิต แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับเมื่อ 100 ปีก่อน ซึ่ง BBC เป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้

“BBC ที่คอยเปิดประเด็นให้ผู้คนตามติดชีวิตสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น แมงมุม ปลวก หรือการทำรังของนกบางชนิด แล้วให้ส่งข้อมูลต่างๆ เข้ามา”

ทั้งปรากฏการณ์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ส่งเข้ามา นำมารวบรวมเป็นบทสรุปที่แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศของโลกในช่วงเวลา 100 ปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน

พอเรียนจบ กลับมาเมืองไทย สิ่งที่ ดร.อ้อยเห็นคือ ข้อมูลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีน้อยมาก และส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ความรู้

“แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ สังคมเรายังขับเคลื่อนด้วยความเชื่อของคนเพียงไม่กี่กลุ่มที่เป็นนักวิชาการ ทั้งๆ ที่สายตาที่เรามองเห็นมันไม่ใช่ ทำไมเราไม่เชื่อในสิ่งที่สายตาเราเห็น”

ดร.อ้อยจึงก่อตั้งกลุ่ม ‘นักสืบสายน้ำ’ ขึ้นมาเพื่อสอนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ถึงชีวิตภายในหนองน้ำ ซึ่งผลตอบรับก็คือ การได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากเครื่องมือ

“สองคือ เปลี่ยนมุมมองความคิดของเด็กที่เข้าร่วมกลุ่ม ที่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม พวกเขาต่างรู้สึกตื่นเต้นและตกหลุมรักไปกับโลกของสายน้ำที่แปลกตาแต่ไม่แปลกไปจากโลกบนบกเลย”

ดร.อ้อยบอกว่า นี่อาจจะพอเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะหลังจากทุกคนผ่านสนามนักสืบสายน้ำแล้ว เด็กส่วนใหญ่ต่างก็ก้าวเข้าสู่การทำงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนับแต่นั้นเป็นต้นมา

‘มัน’ คือ การแพทย์และสาธารณสุข

มีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมที่ได้รับมุมมองใหม่ๆ หรือลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ๆ จากการอ่านหนังสือ เช่นเดียวกับ หมอนิล-นายแพทย์มารุต เหล็กเพชร นายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ผู้ขับเคลื่อนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพรุใน บนเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา ให้ก่อตั้งโรงพยาบาลในแบบที่ชาวบ้านเป็นศูนย์กลางได้สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของการมาเป็นหมอนิลมาจาก การที่เขาชอบอ่านหนังสือ ชอบศึกษาเรื่องของผู้คนในหลากหลายพื้นที่ จนกระทั่งเขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดถึงระบบการแพทย์ไทยที่ยังไม่ไปถึงไหน นั่นจึงทำให้เขาอยากเรียนหมอ เพื่อจะแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขภายในประเทศ

“ความทุกข์อย่างหนึ่งที่พบเจอตอนเรียนหมอคือ ตอนที่เราต้องไปราวด์วอร์ดในชั้นคลินิก ปี 4-6 ตอนนั้นผมเรียนที่โรงพยาบาลพระพุทธชินราช ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลศูนย์ฯ ทำให้คนเยอะมาก ญาติต้องนอนใต้เตียง ภาพที่เห็นคือ ทุกคนไม่มีความสุขเลย แล้วคนที่ไม่มีความสุขที่สุดเลยคือคนไข้ แม้อาจารย์จะบอกว่า หายแล้ว กลับบ้านได้ ผมก็กลับเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของคนไข้ว่า ‘ฉันหายแล้วเหรอ ทำไมฉันไม่มีความสุขเลย’ ภาพทั้งหมดตลอด 3 ปีทำให้ผมคิดว่า มันต้องมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างในสาธารณสุขไทยแน่นอน”

หมอนิลจึงคิดหาหนทางที่จะออกแบบโรงพยาบาลร่วมกับคนในชุมชนว่า “โรงพยาบาลที่ทุกคนต้องการควรจะเป็นแบบไหน?” เขาจึงเลือกไปเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวที่เกาะยาวใหญ่ ซึ่งขณะนั้นกำลังจะสร้างโรงพยาบาลพอดี ทำให้เขาเริ่มคิดหาวิธีปรับเปลี่ยนรูปแบบของโรงพยาบาล ผ่านการจัดงาน Charity Fair ทุกๆ ปีเพื่อเรี่ยไรเงินสนับสนุนเข้าโรงพยาบาล ปรับปรุงให้โรงพยาบาลมีความทันสมัยและพร้อมต่อความต้องการของชาวบ้านจริงๆ

จากการอยู่ร่วมและเรียนรู้กับชุมชนบนเกาะยาวใหญ่ หมอนิลพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิมและมีความสนิทชิดเชื้อกันอย่างมาก หากใครป่วยใกล้เสียชีวิต คนในชุมชนก็จะต้องรวมตัวกันมาละหมาด สวดขอดุอาให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย และนั่นทำให้ความคิดของหมอนิลเปลี่ยนไป

“ผมเคยคิดและเชื่อว่าความจริงทางการแพทย์นั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ทุกคนจะต้องฟังเราที่เป็นหมอ แล้วยิ่งเราเป็นข้าราชการเนี่ย มันก็จะยิ่งกดทับ มันเลยทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นพื้นที่ที่กดทับในแง่ของมิติทางวัฒนธรรม จิตวิญญาณที่เราควรจะใส่ใจมัน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ที่ทำให้โรงพยาบาลเป็นที่ที่มันแค่รักษา แต่ไม่ได้ดูแลใคร”

การทำงานหลายปีที่เกาะยาวทำให้หมอนิลคิดว่าความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิเท่ากัน

“ทุกคนมีสิทธิกำหนดชีวิตตัวเองได้ ทั้งระบบการศึกษา สาธารณสุข เมื่อเราไม่ใช้ความเป็นอำนาจนิยม ทำให้อำนาจมันเป็นแนวราบ ซึ่งมันก็ย้อนไปถึงรากฐานการทำงานว่าเราต้องเคารพคนอื่น ซึ่งเวลาที่ต่อสู้มามันก็ยาวนาน แม้ว่าหลายเรื่องเราจะเห็นชัดๆ ว่ามันผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งระเบียบ แต่ที่เราเห็นคือ สิ่งที่ผิดมันกลายเป็นสิ่งที่ถูกได้ เมื่อมันได้รับฉันทามติจากหลายๆ คน”

‘มัน’ คือความยุติธรรม

การที่ใครสักคนจะลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลง หรือทำอะไรสักอย่าง ส่วนใหญ่มักจะต้องมาจากจุดพลิกผันของชีวิต เช่นเดียวกับหญิง-จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ บัณฑิตนิติศาสตร์ใหม่หมาดจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ที่เคยใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมที่มีหน้าที่ชี้ขาดความถูกผิดอย่าง ผู้พิพากษา แต่วันนี้งานของหญิงคือ เอ็นจีโอช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเหมือง

การเปลี่ยนเส้นทางชีวิตครั้งนี้มาจาก ตอนที่หญิงเข้าร่วมกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ภายใต้ชื่อ ‘กลุ่มดาวดิน’ ที่ลงพื้นที่ทำงานและเรียนรู้ประเด็นปัญหาของกลุ่มคนรักบ้านเกิด จังหวัดเลย ซึ่งได้รับผลกระทบต่อน้ำฝน น้ำดื่ม และน้ำใช้ เพราะอยู่ในพื้นที่รอบเหมืองทองคำและเขื่อนไซยาไนด์

“ตอนที่ชาวบ้านพาเราขึ้นไปดูเหมืองที่เขาขุดเอาทองไปเรียบร้อยแล้ว แล้วเหลือแต่ซากที่เป็นภูเขา ทำให้เราก็สะเทือนใจมากว่า สุดท้ายเขาตักตวงทุกสิ่งออกไปจากหมู่บ้าน ไม่ได้คืนอะไรกลับมาเลย มันก็เลยทำให้เราสนใจว่า กฎหมายที่เราเชื่อว่ามันยุติธรรมจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่”

“พอเรารู้ แล้วจะให้เราหยุด เราทำไม่ได้ พอเราได้เห็น เรารู้สึกว่าต้องทำต่อ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมันไม่เคยถูกแก้ไขเลย”

หญิงจึงหันมาทำงานร่วมกับชุมชน โดยให้ความรู้กับชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องสิทธิว่า เขามีสิทธิ์ทีจะเลือกได้ คัดค้านได้ตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น เรื่องการทำเหมือง จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.แร่ หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังต้องสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ให้ชาวบ้านกล้าที่จะออกมาใช้สิทธิในรูปแบบต่างๆ ได้

“สิ่งหนึ่งที่หญิงเห็นจากการทำงานในส่วนนี้คือ การสู้ เขาไม่เคยถอย หมายถึงเขาไม่ยอมจำนนกับสิ่งที่ถูกกดทับ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นมันก็กลายมาเป็นพลังของเราเหมือนกัน”

‘มัน’ คือสิทธิและความตระหนัก

“ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก” ประโยคนี้มักจะถูกหยิบมาใช้บ่อยครั้งกับสิ่งที่ทำร้ายเรา แต่คนรอบข้างไม่ได้เข้าใจไปกับเราด้วย

แต่ประโยคนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ หันมาสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเมืองและการใช้อำนาจของรัฐที่จะส่งผลกระทบต่อตัวเองและประชาชน จนเกิดเป็นรายการ ‘เจาะข่าวตื้น’ และรายการ ‘คุยหาเรื่อง’

จอห์นเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกให้จ่ายภาษีย้อนกลับหลายล้าน จากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เขาตั้งคำถามกลับไปยังรัฐว่า “เงินภาษีของเราถูกเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง?” เขาจึงทำรายการ ‘เจาะข่าวตื้น’ ขึ้นมาเพื่อต้องการให้เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยและคนรุ่นราวคราวเดียวกันหันมาสนใจข่าวสารการใช้อำนาจของรัฐบ้าง

แต่หากจะเล่าแบบปกติธรรมดาก็คงไม่มีใครสนใจ จอห์นเลยเลือกนำเสนอผ่านการเสียดสี ประชดประชันเพื่อให้มีคนมาสนใจแล้วนำไปแชร์ นำไปเล่าต่อ รวมทั้งทำให้คนหันมารู้สึกตื่นตัวและปวดแสบปวดร้อนเวลาได้อ่านข่าวเหล่านี้ จนต้องกดแชร์ต่อทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงแรกรายการกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่นัก

“ยอมรับว่า หลายๆ ครั้งก็ท้อนะว่า ทำไมคนมันยังออกมาเป่านกหวีดกันอยู่ หรือทำไมยังเอาดอกไม้ไปให้รถถัง ไม่รู้สึกหรือว่า การทำรัฐประหาร มันคือการล้มล้างการปกครอง จริงๆ แล้วมันคืออันนี้ต่างหาก หลักการข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้”

แต่ความหวังของจอห์นก็เพิ่มขึ้น เมื่อในช่วงเวลา 3-4 ปีผ่านมา เขาได้เห็นการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำไปและที่หลายคนกำลังจะทำอยู่ คนสนใจและตระหนักมากขึ้น ความสิ้นหวังที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นกำลังใจใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา

แม้ว่าการมาทำรายการเสียดสีสังคมการเมืองจะทำให้งานในวงการบันเทิงและกลุ่มเพื่อนของจอห์นค่อยๆ หายไป แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้นมากนัก เพราะสิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ เวลาจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์เองว่า สิ่งที่เขาพูดไป จะกลายเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ว่าใครในสังคมก็เห็นได้จริง

“ผมเชื่อว่าเวลามันจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง เพียงแต่ว่าร่นเวลามันหน่อยได้ไหม ด้วยเสียงของเรา”

สำหรับจอห์น การสนับสนุนที่ดีต้องไม่หยุดที่การรีทวีต หรือการแชร์ แต่ต้องแสดงความคิดเห็นของเราออกไปในโลกกว้างด้วยได้เหมือนกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาส่งเสียง แล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง

ถึงจะต่าง ‘มัน’ และต่างที่มา สิ่งที่ทั้งห้ามีเหมือนกัน คือ กำลังใจที่ยังคงเต็มเปี่ยมในการผลักดัน ขับคลื่อนสังคมในแบบที่ตนถนัดและเชี่ยวชาญ

….เพราะความหลากหลายคือความแข็งแกร่ง

Tags:

ระบบการศึกษาพลเมืองงานเสวนาสิ่งแวดล้อมแพทย์สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์นพ.มารุต เหล็กเพชร

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skillsSocial Issues
    การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    LSED SYMPOSIUM 2019: สัมมนาวิชาการครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Learning Theory
    แก้ปัญหาวัยรุ่นด้วยงานอาสา: ถูกยอมรับ ทำให้เห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”
EF (executive function)
23 July 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

หากคิดว่าความคลั่งไคล้แผ่นเพลงโมซาร์ตสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องสุดท้าย ลองอ่านเรื่องการสอดไอพอดเข้าไปในช่องคลอดของคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อเปิดเพลงกระตุ้นความฉลาดของลูกน้อยเสียก่อน

ข้อเขียนนี้แปล ถอดความ เก็บความ เขียนใหม่ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความเรื่อง ‘Can You Super-Charge Your Baby?’ ของ Erik Vance ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific American ฉบับพิเศษ Your Inner Genious, winter 2019 หน้า 72-77

บทความเริ่มต้นดังนี้ เมื่อลูกชายของ เซ็ธ พอลแล็ค อายุได้ 1 ขวบ เขาและภรรยา เจนนี แซฟแฟรน เดินทางไปที่ร้านขายของเด็กใกล้บ้านในเมดิสัน พวกเขาต้องการยางไว้ให้ลูกกัดแค่นั้น ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ช่วยบริหารเหงือก แล้วเขาก็พบสินค้าที่ต้องการที่เขียนเอาไว้ว่า “เสริมสร้างกล้ามเนื้อปากและพัฒนาการด้านภาษา”

พ่อแม่ทั่วไปน่าจะสนใจสินค้าชิ้นนี้มาก พัฒนาการทางภาษาเชียวนะ ไม่มีใครอยากให้ลูกพัฒนาการล่าช้า ทุกบ้านกลัวที่สุดคือลูกพูดช้า แต่พอลแล็คและแซฟแฟรนไม่ใช่พ่อแม่ทั่วไป พวกเขาจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาพัฒนาการ และแซฟแฟรนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางภาษา

“พวกเราดูยางชิ้นนี้ แล้วก็สตั๊นท์ไป บ้าหรือเปล่านี่ เคี้ยวของเย็นชืดแบบนี้หนึ่งชิ้นถึงกับส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา!”

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของสินค้าที่ไม่มีงานวิจัยรองรับ เรามีช่องว่างระหว่างงานวิจัยที่เชื่อถือได้กับของเล่นกระตุ้นพัฒนาการมากมาย พ่อแม่ทั่วไปย่อมอยากให้ลูกของเราเร็วกว่า ฉลาดกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า แต่มักหลงลืมไปว่าของเย็นชืดชิ้นหนึ่งไม่ทำอะไรวิเศษได้ขนาดนั้นแน่ๆ

พ่อแม่ตัวเป็นๆ เทียบกับของเย็นชืดชิ้นหนึ่ง เรามองข้ามสามัญสำนึกเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ว่าถ้าเด็กได้เล่นอะไรสักอย่างในจังหวะที่ถูกต้องเขาจะพัฒนารุดหน้า นี่คือแนวคิดที่ตั้งอยู่บนฐานเรื่องนั่งร้านแห่งพัฒนาการที่ Lev Vygotsky (1896-1934) เรียกว่า Zone of Proximal Development (ZPD) แปลไทยว่าพื้นที่ของขอบเขตพัฒนาการ (คำแปลไทยได้จากหนังสือความรู้ฉบับพกพา จิตวิทยาเด็ก สุภลัคน์ ลวดลาย และ วรัญญู กองชัยมงคล แปล สำนักพิมพ์ Bookscape 2561 หน้า 201) อย่างไรก็ตามขอให้สังเกตด้วยว่าเด็กเป็นประธานของประโยค

เขาเป็นผู้พัฒนาและเขาเป็นผู้กำหนดจังหวะก้าวของการพัฒนาเสมอ

ของเล่นเพื่อพัฒนาการและการศึกษาในอเมริกาเหนือมีมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 และยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนความเป็นจริงที่ว่าพ่อแม่ชาวอเมริกันวิตกกังวลได้ทุกเรื่อง เราให้นมแม่สั้นเกินไปไหม หรือว่าให้นานเกินไป เราเอาลูกเข้าโรงเรียนไหนดี เมื่อไรดี ทุกคนพะวงมากเรื่องลูกคลานช้านั่งช้า ยืนช้า เดินช้า หรือพูดช้า ของเล่นเด็กเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการถูกผลิตออกมาเพื่อลดความวิตกกังวลนี้

อ่านประโยคนี้ดีๆ เพื่อลดความวิตกกังวลนี้ มิใช่เพื่อพัฒนาการเด็ก

เร็วกว่ามิได้แปลว่าจะดีกว่า เป็นคำเตือนที่พ่อแม่ทั่วไปควรใส่ใจ ตัวอย่างเรื่องการเปิดเพลงโมซาร์ตจากแผ่นเสียงคุณภาพดีเป็นที่นิยมกันมากในยุคหนึ่ง ก่อนที่จะพัฒนาต่อมาเป็นแผ่นแปะหน้าท้องเพื่อให้ทารกในครรภ์ได้ยินชัดเจนขึ้นโดยปราศจากเสียงรบกวน ถึงวันนี้เรามี ‘เบบี้พอด’ ที่ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอดของมารดานับจากวันแรกที่ปฏิสนธิด้วยคำอวดอ้างว่ากระตุ้นพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารเริ่มได้ตั้งแต่วันแรก

เป็นความจริงที่ดนตรีมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีผลอย่างเดียวกันต่อตัวอ่อน (fetus) ผู้ผลิตสินค้าได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารฉบับหนึ่งว่าดนตรีในช่องคลอดกระตุ้นตัวอ่อนได้มากกว่า แต่ไม่มีข้อยืนยันว่าความมากกว่านั้นจะนำไปสู่เด็กที่ฉลาดกว่า

อ่านถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจที่ฝรั่งก็นิยมเครื่องรางของขลังเช่นกัน อย่าว่าแต่ดนตรีในช่องคลอดจะไม่นำไปสู่เด็กที่ฉลาดกว่าเลย แต่อะไรที่มากไปจะนำไปสู่อะไรกันแน่ น่าจะสังวรณ์กันเอาไว้ให้มาก

การพูดเป็นพัฒนาการสำคัญ นำไปสู่พัฒนาการด้านการคิดและความจำใช้งาน เด็กที่มีคลังคำมากกว่ามักจะมีพัฒนาการด้านการคิดและความจำใช้งานมากกว่า อย่างไรก็ตามเราพบว่าเด็กแต่ละคนมี ‘ระยะฟูมฟัก’ ก่อนการเบ่งบานของการพูดต่างๆ กัน จริงหรือเปล่าที่ว่าพูดเร็วกว่าจะฉลาดกว่า?

งานวิจัยชิ้นหนึ่งในโอไฮโอในปี 1982 ตอบว่าจริง พูดเร็วกว่าไอคิวสูงกว่า แต่เมื่อนักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ทบทวนรายงานชิ้นนี้ด้วยการควบคุมตัวแปรด้านเศรษฐานะใหม่อีกครั้งหนึ่ง พบว่าไม่จริงที่พูดเร็วกว่าไอคิวจะสูงกว่า มากไปกว่านี้คือพบว่ารหัสไปรษณีย์ (zip code) ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญ!

ความยากจน ขาดสารอาหาร ความรุนแรง สามประการนี้ก่อความเครียด และความเครียดกระทบพัฒนาการด้านภาษาด้วยการทำให้พูดช้า (delayed speech) เราพบปรากฏการณ์นี้ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน

ความรุนแรงนี้มาจากพ่อแม่ที่ทะเลาะกัน หรืออยู่ด้วยกันโดยไม่พูดกัน สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ แอพกี่แอพหรือแผ่นเพลงกี่แผ่นก็ช่วยเหลืออะไรมิได้ เด็กพูดได้ด้วยการมีคนพูดด้วยเท่านั้น มิใช่เครื่องมือสอนหรือเร่งการพูดแต่อย่างใด

แคธี เฮิร์ช พาเซ็ค นักจิตวิทยาการพัฒนาการจากมหาวิทยาลัยเทมเปิลและอดีตประธาน International Congress of Infant Studies พูดถึงสินค้าที่ชื่อ Your Baby Can Read สำหรับเด็กอายุ 3 เดือนถึง 5 ปี ซึ่งประกอบด้วยแฟลชการ์ด วิดีโอ และหนังสือที่อ้างว่าช่วยส่งเสริมการอ่าน ผู้ผลิตสินค้านี้ชื่อโรเบิร์ต ทิตเซอร์ ซึ่งได้ทดลองใช้เครื่องมือนี้กับลูกสาวสองคนตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารก โดยที่บริษัทได้เผยแพร่เทปเสียง งานวิจัยที่ไม่ได้ตีพิมพ์ แผ่นกราฟ และหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ เพื่อการโฆษณา

ไม่เพียงเฮิร์ช พาเซ็ค ที่บอกว่าเครื่องเล่นนี้มิได้ช่วยอะไร หน่วยงาน Federal Trade Commission (FTC) ยังได้ฟ้องร้องทิตเซอร์สองคดีด้วยข้อหาการค้าที่มิชอบ

ของเล่นก็เหมือนวิตามิน ต้องมีพอเพียงแต่มากไปมิได้ช่วยอะไร

มากกว่ามิได้ช่วยอะไรคือปัญหาที่เรารู้กันอยู่แล้วนั่นคือแย่งเวลาของพ่อแม่ตัวเป็นๆ ไป แทนที่เราจะได้แตะเนื้อต้องตัวกันมากขึ้นภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่ากว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันก็น้อยอยู่แล้ว ยังเอา ‘ของเล่น’ สารพัดมาขวางทางเราเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นคลิป การ์ด หรือแอพใดๆ ที่อ้างว่าเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ

นักกฎหมายจาก FTC ได้ติดต่อ ซูซาน นิวแมน นักพัฒนาการด้านภาษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์คให้ทำการวิจัยเปรียบเทียบเด็ก 61 คนที่ได้รับการส่งเสริมการอ่านด้วย Your Baby Can Read กับเด็กที่ไม่ได้รับ 56 คน ด้วยวิธีที่เรียกว่า randomized controlled study และตีพิมพ์ผลการวิจัยในวารสาร Journal of Educational Psychology เปรียบเทียบ 14 ตัวชี้วัดพบว่าผลที่ได้ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามควรบันทึกไว้ว่าพ่อแม่ของเด็กที่ได้รับการกระตุ้นด้วยสินค้าชิ้นนี้ยืนยันว่าแตกต่าง

ทิตเซอร์จ่ายค่าปรับ 800,000 ดอลลาร์ แต่ทุกวันนี้เขายังคงผลิตและขายการ์ด วิดีโอ และหนังสือในชื่อ Your Baby Can Learn ต่อไป เขาอธิบายว่าเด็กๆ ได้ ‘ดู’ หนังสือ แล้วการดูหนังสือมันไม่ดีตรงไหน

เราอยากได้ของเล่นที่ช่วยให้ลูกได้เข้าฮาร์วาร์ด เดวิด บาร์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาคณิตศาสตร์สำหรับเด็กได้ทดลองใช้แฟลชการ์ด วิดีโอ เกม และหนังสือการ์ตูนเพื่อฝึกให้ลูกของตนเองบวกลบเลขได้เร็ว เขาพบว่ามันได้ผลแต่แลกมาด้วยทัศนคติไม่ชอบคณิตศาสตร์ตามมาด้วย เขาให้ความเห็นว่าลูกสาวบวกลบเลขได้เร็วขึ้นด้วยเทคนิคด้านการจำมากกว่าที่จะเข้าใจกลไกของคณิตศาสตร์จริงๆ

ยังมีต่อ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับการเล่นของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF
อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่
อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เช็คอาการ แบบไหนไปหานักจิตวิทยา หนักหนาแค่ไหนไปหาจิตแพทย์?
Family Psychology
23 July 2019

เช็คอาการ แบบไหนไปหานักจิตวิทยา หนักหนาแค่ไหนไปหาจิตแพทย์?

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แบบไหนไปหานักจิตวิทยา แล้วหนักหนาแค่ไหนถึงต้องไปหาจิตแพทย์ ? คุยกับ ‘เม’ เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว เจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ ช่วยอธิบายความเหมือนและแยกความต่างระหว่างนักจิตวิทยากับจิตแพทย์ 
  • พ่อแม่-เด็กเล็ก-วัยรุ่น ทุกคนมีปัญหาสุขภาพจิตได้หมด จึงเป็นที่มาของการเปิด ‘ห้องเรียนครอบครัว’ เพื่อให้การบำบัดเชิงกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้ความรู้ครอบครัวโดยใช้จิตวิทยาเชิงบวก
  • “เราไม่สามารถอ่านใจใครได้ เราไม่ได้รักษาเพียงคนไข้จิตเวช เราไม่ได้มีคำตอบให้กับทุกปัญหา” คุณเมบอกว่า ถึงที่สุดแล้ว นักจิตวิทยาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่นด้วยใจที่เป็นกลาง
ภาพถ่าย: เฉลิมพล ปัญณานวาสกุล

ทุกวันนี้ความเครียด โรคซึมเศร้า ปัญหาสุขภาพจิต เป็นเรื่องใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน วัยรุ่น พ่อแม่ เด็กเล็ก ทุกคนสามารถมีปัญหาสุขภาพจิตได้ แม้สังคมยอมรับและเปิดกว้างกับการไปรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ว่าเป็นเรื่องปกติมากขึ้น แต่ก็อาจมีความเข้าใจผิด ความกลัว หรือสับสนว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรขอคำปรึกษา? พ่อแม่คาดหวังมากเกินไป หรือเป็นแค่ความเอาแต่ใจของเด็ก? แล้วมันหนักหนาขนาดต้องไปหาหมอเลยหรือเปล่า?

อีกหนึ่งทางเลือกช่วยรักษาอาการทางใจคือ “นักจิตวิทยา” ที่พร้อมเป็นเพื่อนเคียงข้างรับฟังทุกปัญหา แล้วนักจิตวิทยาแตกต่างกับจิตแพทย์อย่างไร เขาจะช่วยเราบรรเทาอาการทางใจได้อย่างไร ห้องเรียนครอบครัวคืออะไร ‘เม’ เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ จะมาอธิบายใฟ้ฟัง

“นิตยสารการเลี้ยงลูกและตำราเลี้ยงเด็กของคุณหมอต่างๆ” คือหนังสือเล่มโปรดของเม มาตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก 

“เราสนใจเรื่องพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย มันน่าแปลกใจที่ผู้ใหญ่อย่างคุณหมอรู้ว่าเด็กต้องการอะไร นอกจากนั้น เมื่อเราชอบ ยิ่งทำให้อยากรู้เกี่ยวกับพัฒนาการ พฤติกรรมของเด็ก”

จนจบ ป.6 จากโรงเรียนเน้นวิชาการทั่วไป ด.ญ.เมริษา จึงเดินเข้าไปบอกพ่อแม่เองว่าต้องการไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนทางเลือก พ่อแม่ก็เป็นห่วงว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่

“แล้วที่ผ่านมา เมเคยทำให้เป็นห่วงเรื่องการเรียนไหม” เมื่อคำตอบคือไม่ ด.ญ.เมริษาก็ได้ย้ายโรงเรียนสมความตั้งใจ 

มัธยมปลาย เมมีโอกาสสำรวจความชอบและความสนใจของตัวเองเสมอๆ ตั้งต้นจากการที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนชั้น ม.4 ไปฝึกงานที่ตัวเองสนใจในช่วงปิดเทอม ตอนนั้นเมสนใจอาชีพจิตแพทย์ และได้ลองฝึกงานแพทย์ในต่างจังหวัด จนรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ เพราะกลัวการที่คนไข้อาเจียนมาก (Emetophobia) จึงหันหัวเรือมาที่ ‘นักจิตวิทยา’ 

“น่าจะตรงกับเราเพราะเป็นเรื่องกระบวนการ การติดตามผลต่อเนื่องระยะยาว เห็นพัฒนาการอย่างใกล้ชิดของคนไข้ ตรงกับใจเรามากกว่า” 

จบปริญญาตรีจากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้าน Early Intervention in Psychosis หรือ การป้องกันแทรกแซงก่อนเกิดจิตเวช ที่ King’s College London (KCL) ประเทศอังกฤษ

ปัจจุบัน เมริษา วัย 27 เป็นนักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว ก่อตั้งพื้นที่เล็กๆ ร่วมกับ ‘มาร์ค’ สิริสักก์ เจริญรวิภักดิ์ นักกิจกรรมบำบัด ชื่อ ‘ห้องเรียนครอบครัว’ เพื่อให้การบำบัดเชิงกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้ความรู้ครอบครัวโดยใช้จิตวิทยาเชิงบวก

และเป็นเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะ ‘เพื่อน’ แปลกหน้า ผู้เคียงข้างและรับฟัง

“นักจิตวิทยาคือคนแปลกหน้าที่พร้อมเป็นเพื่อนร่วมทาง ในวันที่เรายังไม่เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” คุณเม นิยามไว้เช่นนี้

การป้องกันแทรกแซงก่อนเกิดจิตเวช ที่คุณเมเรียนจบมา มีเนื้อหาคร่าวๆ อย่างไร

ถ้าเป็นสมัยเรียน ‘Early Intervention in Psychosis’ คือการให้การแทรกแซง (ช่วยเหลือ) ป้องกันก่อนการเกิดโรคทางจิตเวช ซึ่งก็คือการทำงานเชิงรุกเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ที่มีแนวโน้มเสี่ยง/มีอาการเริ่มแรกของจิตเวช (First Symptoms of Psychosis) โดยใช้การบำบัดผ่านเครื่องมือทางจิตวิทยา เช่น การให้คำปรึกษา (counselling) การปรับเปลี่ยนความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 

ประเทศอังกฤษ เขาบอกว่ารายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลของผู้ป่วยจิตเวชหรือยาผู้ป่วยจิตเวชมันมหาศาลมาก เลยตั้งศูนย์ Early Intervention มาเพื่อป้องกัน คัดกรองเบื้องต้น (screening) ก่อน ยังไม่เป็น ไม่เป็นไร แต่คุณมีแนวโน้ม เช่น ปัจจัยเสี่ยง ครอบครัว พ่อแม่เป็นโรคซึมเศร้า ลูกก็ควรจะเข้ามาเจอกับเราละ หรือสามารถที่จะทำอะไรเพื่อป้องกันได้ ก็เข้าไปตามโรงเรียน แล้วก็ให้โปรแกรมว่าต้องมีนักจิตวิทยาที่โรงเรียนนะ เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นไม่ให้มันเลยเถิดถึงขั้นต้องกินยาหรือเข้าโรงพยาบาล เพราะโรคจิตเวชเมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด ถ้าร่างกายจิตใจอ่อนแอ ในอนาคตก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

ส่วนแนวทางการทำงานปัจจุบันคือ ‘Early Intevention’ อธิบายสั้นๆ เราทำงานเชิงป้องกัน หมายถึง ป้องกันตั้งแต่เด็ก เช่น 5 ปี โรคสมาธิสั้น หรือโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเข้าสังคม ส่วนใหญ่เราจะพบปัญหากับเด็กประมาณ 5-6 ปี เพราะเด็กอนุบาลยังช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น พัฒนาการด้านสังคมบางอย่างยังไม่พัฒนา แต่เด็ก ป.1 ขึ้นไป จะมีการนั่งเรียน สื่อสารกับเพื่อน การทำโครงงาน เลยทำให้การวินิจฉัยโรคจะเกิดชัดในช่วงนี้ 

ความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคืออะไร

1. การเรียนต่างกัน นักจิตวิทยาเรียนเป็นวิทยาศาสตรบัณฑิต หรือบางทีก็เป็นศิลปศาสตร์ ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและหลักสูตร แต่จิตแพทย์ต้องจบแพทย์ แล้วเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตแพทย์

บางที่ถ้าเป็นจิตเวชผู้ใหญ่อาจจะเรียนจำนวนปีน้อยกว่าจิตแพทย์เด็ก เช่นที่สหรัฐอเมริกา จิตแพทย์เด็กจะเรียนนานกว่า แต่ถ้าเป็นนักจิตวิทยา ในเมืองไทยจบปริญญาตรีสาขาจิตวิทยาคลินิก แล้วฝึกงานจบก็ไปสอบ license ได้ หรือบางทีก็จบ ปริญญาตรีแล้วไปต่อปริญญาโท เช่นที่มหิดล (คณะแพทยศาสตร์ สาขาจิตวิทยาคลินิก) ฝึกงานจบแล้วก็สอบ license ได้ แต่ของเมไปเรียนโทที่อังกฤษ ทางเดียวที่จะสอบ license ได้คือจบปริญญาเอก​ Doctoral of Clinical Psychology เท่านั้น

2. ถ้าเป็นจิตแพทย์ ชัดๆ เลยคือสามารถจ่ายยาได้ แต่นักจิตวิทยาจ่ายยาไม่ได้ ยกเว้นบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เฉพาะรัฐนิวเม็กซิโกและหลุยส์เซียนา นักจิตวิทยาคลินิกสามารถจ่ายยาได้ แต่ที่ประเทศไทยไม่ได้เด็ดขาด

3. แพทย์สามารถสั่ง process บางอย่างที่ต้องใช้เครื่องมือได้ เช่น ECT-Electroconvulsive Therapy เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ช็อตไฟฟ้า (วิธีการรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองในระยะเวลานั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้สารสื่อประสาทภายในสมองกลับมาหลั่งตามปกติ) แต่นักจิตวิทยาทำไม่ได้ แต่นักจิตวิทยาจะใช้เครื่องมือในเชิงบำบัด (therapy) คนไข้มากกว่า เช่น การพูดคุย (counselling), play/art therapy กับเด็ก, psycho therapy ฯลฯ การบำบัดจะมีหลายทฤษฎีมากๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะถนัดสายไหน ซึ่งเมจะไปทางด้านเด็ก ตอนจบปริญาโทเลยเรียนต่อด้าน play therapy เหมือนไปเรียนเครื่องมือเพื่อช่วยเยียวยา บรรเทา และช่วยป้องกันแทรกแซงก่อนเกิดจิตเวชในเด็ก

4. แพทย์จะให้คำวินิจฉัยได้ เช่น คุณเป็นโรคอะไร แต่นักจิตวิทยาจะช่วยคัดกรองโรค (screening test) เพื่อตัดข้อบ่งชี้ว่าไม่ใช่โรคนี้นะ ตัดข้อที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อช่วยแพทย์วินิจฉัยได้ชัดเจนว่าเป็นโรคนี้แน่ๆ ถ้าอธิบายสั้นๆ แบบโรคทางกายว่า คุณน้ำมูกไหล ไม่ได้เป็นเพราะไซนัสหรือเป็นภูมิแพ้นะ แต่เป็นเพราะว่าคุณเป็นหวัด คือนักจิตวิทยามีหน้าที่ตัดเรื่องไซนัส ภูมิแพ้ออก แล้วแพทย์ก็วินิจฉัยว่าเป็นหวัด

เพราะนักจิตวิทยาอาจจะมีเวลาสังเกตและประเมินคนไข้มากกว่าจิตแพทย์ จึงมีโอกาสมองคนไข้แบบองค์รวมมากขึ้น

ถ้าสงสัยว่าตัวเองจะเป็นซึมเศร้า เราสามารถไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวได้ไหม หรือจำเป็นต้องไปควบคู่กัน

นำมาสู่ข้อ 5 ค่ะ จิตแพทย์จะดูว่าอาการนี้เป็นซึมเศร้าหรือเปล่า ระดับความรุนแรงเป็นอย่างไร คือจิตแพทย์ นักจิตวิทยาจะอยู่ในโซนนี้เลย ถ้าโรคมันรุนแรง (severe) มาก ในลักษณะ brain injury สมองได้รับความกระทบกระเทือน ส่งผลให้สารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ จนส่งผลต่อบุคลิกภาพ (personality) หรือโรคที่ค่อนข้างร้ายแรงที่เกิดชัดเจนทางร่างกายซึ่งส่งผลต่อจิตใจ/จิตใจส่งผลต่อร่างกายแล้ว ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย จิตแพทย์ต้องดูแลก่อน อาจจะต้องใช้ยาปรับสารเคมีในสมองด้วย หรือจะต้องแอดมิท จิตแพทย์ก็ต้องดูแล

แต่พอแพทย์ดูแลจนดีระดับหนึ่งแล้ว คนไข้สามารถรับฟังและควบคุมตนเองได้ดีระดับหนึ่ง เมื่อคนไข้ต้องการกลับไปใช้ชีวิตปกติ ระยะนี้นักจิตวิทยาจะมาช่วยดูแล คล้ายๆ ว่า ถ้าคนโดนรถชนมา แพทย์จะดูแลให้พ้นขีดอันตราย แต่พอจะให้กลับไปเดินได้ก็เป็นงานของนักกายภาพบำบัด ก็คือนักจิตวิทยา

ดังนั้นจิตแพทย์และนักจิตวิทยาต้องทำงานร่วมกัน แพทย์จะได้รับการสอนว่าจะต้องรักษาอาการที่อันตรายต่อคนไข้ก่อน เหมือนถ้าเราเป็นแผลมาแพทย์ต้องเย็บเดี๋ยวนี้ แล้วหลังจากนั้นการช่วยให้คนไข้ปรับตัวเข้าสู่ชีวิตปกติ นักจิตวิทยาจะมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้าน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น/ครอบครัว, ปรับตัวเข้าสู่สังคม, ปรับความคิดเพื่อปรับพฤติกรรม เป็นต้น

มีจิตแพทย์ที่สามารถทำหน้าที่เป็นนักจิตวิทยาได้ด้วยไหม

งานของเราอาจจะเป็นชิ้นเดียวกันแต่คนละขั้นตอน คนไข้คนเดียวกันแต่ดูแลคนละช่วงเวลา

จิตแพทย์จะเรียนมาเพื่อรักษา เช่น เรื่องของสารเคมีในสมอง แพทย์บำบัดรักษาได้ แต่ในระยะยาว การที่จะปรับคนคนหนึ่งให้เข้าสู่สังคม จะมีมากกว่านั้น เช่น การสื่อสาร เข้าใจคนอื่น การปรับตัวสู่สังคม/ความสัมพันธ์/ความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยให้เขาไม่กลับสู่วงจรเดิมที่เลวร้ายอีก นักจิตวิทยาจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในส่วนนี้

ลงลึกถึงเนื้องานของนักจิตวิทยา น่าจะเริ่มจากการฟังก่อนใช่ไหมคะ

จริงๆ การฟังเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะมนุษย์เราเกิดมาเพื่อพูด การฟังมีหลายระดับ เช่น การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) , การฟังธรรมดา 

ถ้าเราอยากจะฟังเพื่อช่วยเขาแก้ปัญหาก็เป็นการฟังในระดับทั่วไปหรือระดับธรรมดา เช่น ลูกมาปรึกษาแม่ว่าหนูมีปัญหาเรื่องทำโครงงาน อันนี้เราก็ฟังเขาแล้วก็ช่วยคิด แม่ว่าลองทำแบบนี้ไหม 

การฟังระดับธรรมดาจะใส่ความเป็นตัวเองลงไปด้วย เช่น ข้อแนะนำหรือใส่ความเห็นของเราลงไป ถามว่ามีประโยชน์ไหม ก็มีประโยชน์ในกรณีที่เขาขอความช่วยเหลือและให้ช่วยแก้ปัญหา แต่มันจะไม่มีประโยชน์และอาจจะเป็นผลเสียมากถ้าเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือหรือแก้ปัญหา อันนั้นอาจต้องเป็นการฟังแบบ deep listening 

กรณีนี้เขาต้องการให้ฟังเพื่อบรรเทา ต้องการระบายออก ไม่ต้องการความเห็นเรา เช่น ถ้าคนไข้คนหนึ่งจะฆ่าตัวตาย แล้วมาบอกว่า เฮ้ย มันเหนื่อยมากเลย ชีวิตไม่ไหวแล้ว แล้วเราไปพูดว่าแกต้องสู้สิ ฉันยังสู้มาได้แล้วเลย เขาก็บอกว่า เราสู้มาเต็มที่แล้วแกไม่เห็นเหรอ คือบางครั้งเราเอาตัวเราไปตัดสินว่าเขายังสู้ไม่พอ ทั้งๆ ที่เขาสู้มานานแล้ว ความเข้มแข็งทางใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่าใช้ตัวเราตัดสินใคร

การดูแล้วก็ตัดสินโดยใช้ความเห็นเรา นั่นคือการฟังแบบธรรมดา แต่ถ้าเป็น deep listening เราจะคิดว่าเขามีเหตุจำเป็น มีเหตุผลที่จะต้องทำแบบนั้น ดังนั้น deep listening คือเคียงข้างอย่างปราศจากอคติ เราเป็นกระจก อันนี้จะเป็นหน้าที่นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ เราฟังแล้วสะท้อนในสิ่งที่จำเป็นและสำคัญเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายมองเห็นตัวเองและปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

ทำไมการมองเห็นตัวเอง จะช่วยให้เขาแก้ปัญหาของตัวเองได้

คนไข้อาจจะเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง แต่เขาไม่รู้ตัว ถ้าเราเป็นกระจกสะท้อนให้เขามองเห็นตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาจะรู้ตัวและหาวิธีขึ้นมาจากอ่างนั้นเอง 

แล้วทำไมเราไม่ช่วยเขาให้ขึ้นมาเลยล่ะ? การที่เขาขึ้นมาเอง ตัวเขาได้เลือก (individual choice) และทำมันเอง เขาจะกลายเป็นผู้ควบคุมชะตาชีวิตของเขาเอง ไม่ใช่เรา แต่เราจะเคียงข้างจนกว่าเขาจะเจอคำตอบหรือแสงสว่าง

deep listening จึงเป็นการเคียงข้าง รับฟัง และสะท้อนตัวตนของเขา อันนี้จะเป็นการบำบัดอย่างหนึ่งด้วยซ้ำ เพื่อให้คนไข้รู้ตัวว่าเขาเป็นยังไง

deep listening จึงต่างกับการฟังเพื่อช่วยแก้ปัญหา เราไม่ได้ให้ความเห็นหรือแนวทางใดๆ เลย เพราะแต่ละคนมักมีคำตอบในใจ และรอที่จะเดินไปหาคำตอบนั้น เพียงแค่เวลานี้เขายังไม่พร้อมเดินไปข้างหน้า แต่มันมีประโยชน์กับคนที่ต้องการระบายออก บางทีเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าคนที่มาอยู่ข้างๆ เรา

อาจารย์จะชอบยกตัวอย่างว่า คนหนึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย มีเพื่อนสองคนเดินเข้ามา เพื่อนคนแรกบอกว่า เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปวัดกับเรา มันดีขึ้นแน่นอน เชื่อเราสิ กับคนที่สองมาแล้วพูดแค่ว่า อืม มันเหนื่อยเนอะ แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าแกจะทำอะไรเราจะอยู่ข้างๆ แกเอง นั่นคือคำที่นักจิตวิทยาใช้

ในกรณีที่เราประเมินแล้วว่า เขามีแนวโน้มจะทำร้ายตัวเองจริงๆ (มีอุปกรณ์พร้อมหรือเราสู้แรงเขาไม่ได้) เราจะติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลแผนกฉุกเฉินทันที หรือ พาเขาไปโรงพยาบาลทันที)

วิธีทั้งสองให้ผลแตกต่างกันอย่างไร

แม้เพื่อนทั้งสองจะหวังดีกับเพื่อนคนนี้ทั้งคู่ แต่เพื่อนคนแรกนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งข้ามขั้นตอนและยังไม่เหมาะสมกับเวลาดังกล่าวเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ปัญหาก็ควรจะเกิดจากเจ้าตัวเลือกเอง เราควรเพียงเสนอทางเลือก แต่ไม่ควรยัดเยียดแนวทางของเราให้ใคร

‘การนั่งสมาธิ’ เป็นอีกหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่ดีเพื่อให้เรามีสติรู้เท่าทันอารมณ์และจัดการอารมณ์นั้นได้ดีขึ้น นอกจากนี้มีอีกหลายๆ วิธีแก้ปัญหาที่สามารถช่วยเราได้ และได้ผลระยะยาว

แต่ ณ ขณะที่คนคนหนึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย สิ่งที่คนคนนั้นต้องการอาจจะไม่ใช่ ‘วิธีแก้ปัญหา’ แต่เป็น ‘การรับฟัง’ และ ‘การเคียงข้าง’ เพื่อเยียวและบรรเทาความหนักหนาทางใจก่อน จากนั้นเราจะมุ่งช่วยชีวิตคนคนนี้ 

จิตแพทย์สามารถช่วยจ่ายยาปรับสารเคมีในสมองก่อน หลังจากนั้นจึงมาหาทางออกร่วมกัน นักจิตวิทยาอาจจะช่วยเสนอทางเลือกต่างๆ ระหว่างทางก็ช่วยกันปรับเปลี่ยนความคิด สะท้อนตัวตนให้เขามองเห็นตัวเองและปัญหาได้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้เขาได้เลือกวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่นักจิตวิทยาที่จะเลือกให้กับเขา

วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด สำหรับแต่ละคนอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ แต่วิธีนั้นนำพาเราไปสู่ ‘ตัวตนที่เราชอบมากขึ้น’ เรารักและเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้นก็เพียงพอแล้ว

เมื่องานของนักจิตวิทยาเริ่มจากการฟัง แต่ละเคสก็จะมีวิธีการบำบัดที่แตกต่างออกไป อยากให้คุณเมเล่าเนื้องานคร่าวๆ ให้ฟัง

บางครั้งเด็กไม่พร้อม แต่ผู้ใหญ่คาดหวังให้เขาพร้อม

งานเราคือการเข้าหา บางทีก็แค่อยู่เฉยๆ เช่น วันนี้ เด็กบางคนไม่พร้อมเรียน เราก็โอเค หนูไม่พร้อมเรียน พร้อมเมื่อไหร่หนูก็ลุกขึ้นมา เราไม่ได้เร่งรัด มันเป็นขั้นตอนที่เร่งรัดไม่ได้ แต่ถ้าเกิดความสัมพันธ์แล้วมันจะเกิดไปตลอด แปลว่าเราพูดอะไร มันเกิดการเชื่อใจ เกิดการวางใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา เราจะไม่ทำอะไรที่เขาจะรู้สึกแย่ หลายคนไม่เชื่อใจใคร เข้ามาเขาก็นั่งเงียบๆ แล้วก็นั่งเขี่ยโต๊ะ เราก็นั่งดูเขา บางทีเราสะท้อนผล เขาเขี่ยมา เราก็เขี่ยมั่ง เขาก็หันมาดูว่าเราทำอะไร สักพักเขาลองจับหน้า เราก็จับหน้าบ้าง เขาก็ดู 

เราให้ความสนใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ไม่ใช่แบบอึดอัด เป็นการสะท้อนและสร้างความสัมพันธ์ทางกาย บางทีไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่เรื่องของการฟัง เป็นการรับมือว่าเขามีตัวตนนะ เขาคือตัวตนที่มีค่าที่สุดในห้อง เขาได้รับความสนใจร้อยเปอร์เซ็นต์จากเรา อันนี้คือในเด็กนะ ในผู้ใหญ่จะไม่เหมือนกัน

ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ เขาจะเข้ามาหาเราแล้วพูดเยอะมาก สิ่งที่เขาจะไม่พูดเลยคือสิ่งที่เก็บไว้ในใจ จะพูดทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในใจ จนกว่าเขาจะเชื่อใจเรา เขาจะพูดสิ่งนั้นออกมา

แต่ในเด็กตรงกันข้าม ถ้าเขาไม่อยากพูดก็จะไม่พูดออกมาเลย ซื่อตรงกับความรู้สึก เด็กจะดีตรงที่เราสามารถเข้าถึงเขาง่ายกว่า ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ ไม่อยากทำก็จะพูดเลยว่าไม่อยากทำ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่การจะทำให้เด็กเชื่อใจเรา ต้องใช้เวลา และเราต้องเฟิร์ม ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กทำอะไรก็ได้ อะไรที่เป็นกรอบของเรา เช่น ไม่ปีนโต๊ะ เราก็แค่บอกว่า ลงมาค่ะ แล้วจับเขาลงมา หรือเด็กบางคนที่เข้ามา เขาพยายามทำร้ายตัวเอง ก็พูดชัดๆ ไปเลยว่าครูเมจะกอดหนูไว้ จนกว่าครูเมจะแน่ใจว่าหนูจะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บ ถ้าหนูพร้อมครูเมจะปล่อย

พอเด็กเริ่มเชื่อใจ ขั้นที่สองคือจับคู่ตัวเรากับความสุข ความสนุก เช่น เจอหน้าเราก็ เฮ้ย เดี๋ยวจะได้เล่นอะไรสนุกๆ แล้ว อันนี้ใช้กับพ่อแม่ก็ได้ คือจับคู่ตัวเรากับสิ่งที่มันสนุก ถ้าตัวเราไม่สนุกหาอะไรที่เด็กชอบแล้วเอามาเล่นกับเรา ทุกครั้งที่จะเล่นปราสาททรายจะต้องมีครูเม ทุกครั้งที่จะเล่นของเล่นชิ้นนี้ต้องมีแม่ ทุกครั้งที่จะอ่านหนังสือเล่มโปรดจะต้องมีเรา

พอเขารู้สึกว่าความสุข สนุกมันคู่กับเรา เราจะเริ่มสอนเขาได้ละ เริ่มจากสอนในสิ่งที่ง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยเริ่มกลางๆ ระดับเดียวกับเขา แล้วค่อยพัฒนา เราไม่ได้เอาเกณฑ์มาตรฐานมาเริ่มกับเขา แต่จะดูว่าเขามีพื้นเท่าไหนก็เริ่มเท่านั้นไปก่อน

แต่ถ้าเป็นเรื่องการรับฟัง เราจะเริ่มจากการไม่ถามคำถาม เขาอยากเล่าอะไรเราฟัง แล้วเขาถามอะไรเรา เราจะพยายามสะท้อนสิ่งที่สำคัญกลับไป (reflection)

เด็กๆ ส่วนใหญ่ที่เจอจะไม่ค่อยคุยกับพ่อแม่ แต่พอมาเจอเรา เขาก็รู้สึกอยากจะคุยเพราะ หนึ่ง เรารักษาความลับเป็น สอง เราไม่ตัดสินเขา เราฟังอย่างเป็นกลาง เวลาเขาบอกว่าอย่าบอกพ่อแม่นะ เราก็บอกว่ามีข้อแม้ข้อเดียวคือถ้ามันไม่เป็นอันตรายต่อคนอื่นหรือตัวเอง ครูเมก็จะไม่บอก นี่เป็นจรรยาบรรณ 

เป็นการรักษาความลับ คำไหนคำนั้น เรารักษาสัญญาเสมอ เช่น เด็กบอกว่า อาทิตย์หน้าอยากอ่านนิทานเล่มนี้เราจะไม่มีวันลืม การรักษาสัญญาทำให้เด็กเชื่อใจเรา

หนึ่งเริ่มสร้างความสัมพันธ์ สองจับคู่ความสุข ขั้นตอนหลังจากนั้นคืออะไร

ขั้นแรกสร้างความสัมพันธ์ สองจับคู่ตัวเรากับสิ่งที่มีความสุข สามเริ่มจากดีมานด์ที่เล็กไปสู่ดีมานด์ที่ใหญ่ สี่คือเรื่องของคำไหนคำนั้น แล้วสุดท้ายคือเรื่องของการรอคอยและอดทน แปลว่าถ้าเราทำซ้ำๆ แล้วผลยังไม่เกิด ก็จงทำต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ผลที่ดี เราก็ต้องมาคิดทบทวนแล้วว่าสิ่งที่เราทำไปมันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า หรือมีอะไรที่ต้องต่อยอดหรือเปล่า 

คนไข้ที่เข้ามาหาคุณเม มาได้อย่างไรบ้าง

ก่อนเปิดห้องเรียนครอบครัว เราก็ติดต่อไปที่โรงเรียนว่าเราขอเข้าไปทำเวิร์คช็อปกับพ่อแม่ได้ไหม ประจวบเหมาะว่าเขากำลังต้องการพอดี เคสแรกคือเด็กวัยรุ่น ม.4-ม.5 พ่อแม่ไม่เชื่อใจลูก ค่อนข้างสอดส่องทุกกระเบียดนิ้ว เด็กเลยไม่อยากกลับบ้าน ไปอยู่บ้านเพื่อนแล้วไม่กลับบ้านเลย แต่เขาเป็นเด็กเรียนดี เรานัดเขาที่สยาม คุยกัน จนเขาเชื่อใจ ยอมกลับบ้าน ขอให้พ่อทำตาม สุดท้ายเด็กคนนี้ก็ดีขึ้น ไม่ต้องการเราแล้ว

จากนั้นก็เป็นวัยรุ่นที่เป็นสมาธิสั้น เขามีปัญหาการปรับตัวเข้ากับสังคม เราเลยคุยกับพ่อแม่เขาว่าเราไม่สามารถช่วยให้ลูกฉลาดขึ้นหรือทำงานวิชาการเก่งขึ้นนะ แต่ให้เขามีความสุขกับชีวิตเขามากขึ้น โอเคไหม ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ พ่อแม่ก็โอเค

เราช่วยให้เขาค้นหาตัวเองเจอ เพราะการที่เขาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ บางทีสังคมนั้นอาจจะไม่ได้เหมาะกับเขาแต่เราพยายามฝืนดันเขาเข้าไปในสังคมเล็กๆ อย่างมหาวิทยาลัย พ่อแม่ก็เลยเก็ทว่าจริงๆ เขาดันลูกเข้าไปในสังคมที่ไม่ใช่ตัวเขาเลย ตอนนี้ก็ดีขึ้น จากนั้นเขาก็เลยบอกปากต่อปากไปว่าครูเมสามารถช่วยเด็กๆ ได้ เด็กๆ ค่อนข้างเชื่อใจกันแล้วก็ไปคุยกับเพื่อน เพื่อนเขาก็มาเจอเรา

แต่ที่มันไปได้ น่าจะเป็นเคสเด็กเล็กที่ได้มาจากการไปทำเวิร์คช็อปเรื่องเล่นกับธรรมชาติ เด็กอนุบาลสองคนหนึ่งไม่กล้าเหยียบหญ้า เราก็ เอ๊ะ มันเกิดอะไรขึ้น จริงๆ การที่เด็กไม่กล้าเหยียบหญ้ามีหลายสาเหตุ หนึ่งคือขาดประสบการณ์ สองคือปรับตัวกับสภาพแวดล้อมไม่ได้ แล้วเขาค่อนข้างเป็นเด็กขี้อายมากแต่อารมณ์รุนแรง คุณแม่เลยพามาหาเรา จากนั้นก็เข้ามาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่คือปากต่อปาก

ที่เข้ามาก็มีทั้งพ่อแม่และเด็ก?

เพราะเราเน้นสอนพ่อแม่ คือถ้าเด็กมาเรียน พ่อแม่ต้องมาเรียนด้วย นั่งคุยกับพ่อแม่เป็นชั่วโมง ช่วงหลังๆ เริ่มรู้สึกเหนื่อย พ่อแม่อาจจะมองว่าเหมือนไปส่งลูกเรียนเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมตัวเองต้องมานั่งเรียนด้วย

ที่เมืองไทยพ่อแม่จะชินกับศูนย์ที่เป็นเนิร์สเซอรี ที่เรียนพิเศษ ที่ส่งเด็กไว้แล้วพ่อแม่ก็ไป แต่พอมาเจอเราพ่อแม่จะงงๆ เราให้พ่อแม่ทำการบ้าน เช่น ทำตารางเวลาของลูกกับที่บ้านมา เหมือนไม่สะดวก ไม่มีทางลัดให้เขา ไม่เห็นผลลัพธ์เร็วๆ พ่อแม่ผู้ปกครองก็เลือกไปที่อื่น เพราะเมเน้นกระบวนการที่เกิดในความคิด ในเนื้อตัว ซึ่งจะยั่งยืนกว่าเน้นผลลัพธ์ แต่มันเกิดช้ากว่า บางทีไม่ทันใจพ่อแม่

เพราะเราเน้นลงมือทำ พ่อแม่ต้องมาทำกับเรา “เปลี่ยนลูก พ่อแม่ต้องเปลี่ยนด้วย” ส่วนพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเปลี่ยน โดยที่ตัวเองไม่ต้องเปลี่ยนอะไร มันทำไม่ได้ หรือถ้าทำได้จะไม่ยั่งยืน

เมเรียนเป็น Family Counselling – เรียนทั้งระบบครอบครัวมา เรารู้ว่าถึงจะเปลี่ยนเด็กได้ เขาก็จะเปลี่ยนแค่ที่นี่ ดีกับเรา แต่พอกลับบ้านไปเขาก็เหมือนเดิม ปู่ย่าตายายก็ยังป้อนข้าว เด็กก็อ้าปากรอรับข้าวเหมือนเดิม 

ถึงจุดไหนที่พ่อแม่ควรสงสัยได้แล้วว่า แบบนี้เพียงพอที่จะเดินเข้าไปหานักจิตวิทยาหรือยัง

หนึ่ง เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข คือเรามีช่วงเวลาที่ทุกข์มากกว่าช่วงที่มีความสุข ในหนึ่งวันเราว้ากไปซักกี่หน ความจริงหนึ่งครั้งต่อวันก็ถือว่าเยอะแล้ว

สอง เราไม่สามารถจัดการลูกเราได้ เราไม่สามารถควบคุมตัวเองให้มีสมาธิหรือรู้สึกปล่อยวางได้ แค่นี้ก็ปรึกษาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดปัญหาใหญ่โตว่าลูกทำอะไรที่อันตรายต่อตัวเอง หรือจริงๆ ไม่มีอะไรเลย แต่มาขอคำแนะนำในการเลี้ยงลูกก็ได้ เราค่อนข้างยินดี

ส่วนใหญ่นักจิตวิทยาจะดีใจมากถ้าพ่อแม่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการเด็กหรือว่าอยากรู้แนวทางในการเลี้ยง เราเอาลูก เอาวิถีชีวิตของเรามาปรึกษา เราก็จะได้ลักษณะการเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับครอบครัวเรา แต่เราก็บอกว่าที่ให้คำแนะนำไปบางทีมันเหมาะกับครอบครัวคุณแม่นะ แต่ไม่เหมาะกับครอบครัวอื่น แค่เด็กก็ไม่เหมือนกันแล้ว 

ก่อนจะมาหานักจิตวิทยา คนในครอบครัวจะช่วยอะไรก่อนได้ไหม ​

แม่ส่วนใหญ่ เจอปัญหาลูกไม่ฟัง ไม่ว่าจะทำพฤติกรรมอะไรก็จะไม่ฟัง ไม่ทำตามคำสั่ง ดังนั้น ข้อแรกต้องดูว่าเด็กไม่ฟังเรามาจากสาเหตุอะไรบ้าง หนึ่งเราคาดหวังเกินวัย เกินความสามารถเขาหรือเปล่า เช่น คาดหวังให้ลูกเงียบ นั่งฟัง อันนี้อาจจะไม่ตรงวัยเขาละ แสดงว่าอาจจะผิดที่เรา ไม่ใช่ผิดที่ลูก

สอง ถ้าคาดหวังตรงตามวัยเขา แต่เขาก็ยังไม่ฟัง เช็คได้เลยว่าความสัมพันธ์ของเรากับลูกช่วงนี้เป็นยังไง มีช่วงเวลาดีๆ กับเขามากกว่าช่วงที่ไม่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่มีให้รีบสร้างช่วงเวลาดีๆ เพราะถ้าเด็กรู้สึกรักหรือรู้สึกดีกับใคร เขาจะค่อนข้างฟัง คือพิสูจน์มาด้วยตัวเองว่า เด็กๆ เวลาอยู่กับเราเขามีความสุข ต่อให้ขอให้เขาทำสิ่งที่ไม่ชอบ เขาก็ยินดีทำ พร้อมที่จะเรียนรู้

ข้อสุดท้าย เช็คว่าเขามีอาการทางกายอะไรหรือเปล่า พัฒนาการเขาปกติหรือไม่ เพราะเด็กที่พัฒนาการล่าช้ามักประสบปัญหาในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เขามีปัญหาพฤติกรรม เช่น ช่วงนี้ผื่นขึ้นเลยหงุดหงิด หรือฟันขึ้น ฟันโยก หรือไม่สบาย ปวดหู อะไรแบบนี้ มันก็ส่งผลต่อจิตใจเหมือนกัน เช่น เวลาผู้หญิงเราเมนส์มาก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น เราก็ต้องเช็คด้วยว่ามีอะไรทางร่างกายที่ทำให้ลูกเรารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า

ถ้าเช็คสามข้อนี้แล้วยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ปรึกษานักจิตวิทยาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แก้แค่ข้อแรกกับข้อสองก็โอเคแล้ว

สามข้อนี้แก้กันได้ในบ้าน?

ใช่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้น แล้วที่สำคัญคือแนวทางเลี้ยงดูเป็นไปในแนวทางเดียวกันหรือเปล่า ไม่ใช่ปู่ย่าเลี้ยงแบบนึง พ่อแม่เลี้ยงอีกแบบนึง เด็กเกิดความสับสนในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็ทำให้เขาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือทำในสิ่งเราไม่ได้ต้องการเหมือนกัน 

เด็กที่เข้ามาบำบัด มีหลากหลายเคส คุณเมพอจะอธิบายอาการคร่าวๆ ได้ไหมคะ

ตอนนี้จะเป็นเด็กอนุบาลส่วนใหญ่ เพราะ early intervention เราเชื่อว่า ในเด็ก 3-6 ขวบกราฟ EF ในสมองจะพุ่งขึ้นจะชัดมาก แต่หลังจากนั้นจะเริ่มเรียบ ตรงนี้คือช่วงพัฒนาการสมองเด็กที่จะใส่อะไร จะเปลี่ยนอะไร มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น เราบอกให้เขาเปลี่ยนวันนี้ พรุ่งนี้เขาก็เปลี่ยนแล้ว แต่ถ้าเด็กเจ็ดขวบขึ้นไป เราบอกเขาวันนี้ อาจจะใช้เวลามากกว่าสี่เท่าถึงจะเปลี่ยน 

ส่วนใหญ่จะบอกพ่อแม่ที่เป็นเด็กเล็กเลยว่าให้รีบมา เราจะได้รีบปรับกัน เพราะว่าก่อนหกปียังไม่วินิจฉัยโรค ส่วนใหญ่จะวินิจฉัยว่าเป็นสมาธิสั้น เป็นออทิสซึม อันนั้นถ้าบางอย่างเกิดจากพฤติกรรม เกิดจากสภาพแวดล้อม เราเปลี่ยนเขาก่อนจะเป็นโรค ป้องกันได้ ครูเมจะเน้นและพุ่งเป้าไปที่เด็กเล็ก เด็กบางคนไม่มีความสุขกับการไปโรงเรียน เพราะเขาทำอะไรไม่ได้เหมือนเพื่อน พฤติกรรมถดถอย แต่พ่อแม่ไม่ทำอะไร รอจนหกปีแล้วค่อยทำ ความมั่นใจมันเสียไปแล้ว ดังนั้นเราก็เลยเน้นช่วงนี้ ถ้าเราทำได้จะเปลี่ยนเขาไปเลย เปลี่ยนพ่อแม่ด้วย

ส่วนในเด็กโต บุคลิกภาพและตัวตนเขาเริ่มชัดเจนแล้ว เรียกว่ามันแทบจะเสถียรแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือ ทำยังไงให้เขามีความสุขกับชีวิตปกติ และทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำได้ตามวัยของเขา

เด็กเล็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาคุณเม มาด้วยสาเหตุอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่มาด้วยปัญหาเอาแต่ใจ พ่อแม่อยากเสริมความมั่นใจลูก

แต่จริงๆ การเอาแต่ใจก็เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่มีตารางเวลา ไม่มีวินัยที่บ้าน และไม่ให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองตามวัย เลยเอาแต่ใจ เพราะรู้สึกว่าต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา แต่พอพึ่งพาคนอื่น คนอื่นทำไม่ได้ตามที่เขาต้องการและทำไม่ทันใจ เขาก็เลยหงุดหงิด เอาแต่ใจ 

การที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็เป็นการสร้างความมั่นใจเวลาไปโรงเรียน เช่น เด็กเช็ดก้นไม่ได้ก็อั้นอึ เด็กบางคนอั้นอึมาทั้งวันเพื่อมาอึที่คาบครูเม เพราะอึที่นี่รู้สึกปลอดภัย ดังนั้นการช่วยเหลือตัวเองไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทำไม่ได้มันส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ ต่อความสุขของเขา 

พ่อแม่ไม่รู้ว่าที่ลูกไม่มั่นใจเวลาไปเจอคนแปลกหน้า ไม่กล้าเข้าไปคุย เพราะไม่ให้ลูกช่วยเหลือตัวเองเลย ดังนั้นเด็กที่ไม่ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว อยู่ดีๆ จะให้ไปผูกเชือกรองเท้าต่อหน้าเพื่อน เขาทำไม่ได้

รวมถึงพ่อแม่ที่ชอบสั่ง ไม่ให้ลูกได้คิดอะไรเลย …มีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่พาลูกมาหาพร้อมบอกว่า “ลูกไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออก” ตั้งแต่เข้าห้องมาสั่งประมาณ 20 คำสั่งได้ ลูกถอดรองเท้า เอานี่ใส่ไว้ตรงนี้ ถอดถุงเท้า ม้วนด้วย วางที่ชั้นนี้นะ แล้วเดินเข้าไปเช็ดเท้าก่อน ไปล้างมือ ไปฉี่ ปิดประตู ในความเป็นจริง ถ้าแม่ท่านนี้ให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเอง และลดการใช้คำสั่งลง ลูกคงกล้าคิดและแสดงออกมากกว่านี้  

คุณเมวิเคราะห์ได้ไหมว่า ทำไมพ่อแม่ถึงทำให้ลูกมีพฤติกรรมแบบนี้

เรารู้ว่าพ่อแม่สมัยเบบี้บูมเมอร์เป็นกังวลเรื่องปากท้องแล้วก็เรื่องมีงานดีๆ ทำ เป็นที่นับหน้าถือตา ดังนั้นจะไม่ให้ลูกทำอะไร ตั้งใจเรียนอย่างเดียว เขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือตัวเอง เพราะเขา (พ่อแม่) เชื่อในระบบดีๆ องค์กรดีๆ แล้วลูกจะเป็นใหญ่เป็นโตได้เอง เขาไม่ได้สร้างลูกมาเพื่อให้คิดเองเป็น แต่สร้างลูกมาเพื่อตอบสนองระบบ เพราะฉะนั้นลูกที่เป็นเจนเอ็กซ์ เจนวายก็จะตอบสนองต่อระบบ เราถูกสอนว่าต้องเข้าโรงเรียนดี มหาวิทาลัยชื่อดัง องค์กรที่มีชื่อเสียงจะทำให้ลูกดี ไม่ได้เชื่อในตัวลูก ไม่ได้เชื่อว่าลูกเรามีดีอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีตราสัญลักษณ์มาทาบบนตัวของลูก

มาถึงตอนนี้ที่พ่อแม่คือเจนเอ็กซ์ เจนวาย?

เมจึงเข้าใจเลยว่า เพื่อนที่บอกว่าคิดไม่เป็น จริงๆ ไม่ใช่คิดไม่เป็นหรอก มันพยายามคิดแล้วแต่คิดไม่ออก เราไม่ใช่ไม่ขยันแต่เราไม่รู้เลย แปลกมาก แล้วการเลี้ยงดูสมัยเบบี้บูมเมอร์คือผู้ใหญ่ถูกเสมอ เราก็เลยไม่ค่อยมีข้อกังขาอะไร ฟัง

พอเป็นยุคเราเป็นพ่อแม่ก็ก้ำกึ่ง ใจหนึ่งก็อยากฟังลูก อีกใจเราก็โตมาแบบโดนสั่งมา แล้วเราจะต้องทำยังไง พอสับสนปุ๊บก็ทำไม่ดีสักทาง จะสั่งก็ไม่สั่งเลย จะฟังก็ไม่ฟังเลย ก็เลยทำให้เด็กสับสนว่าสรุปพ่อแม่จะเอายังไงกับฉัน ที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้จะต้องทำอะไรมากขึ้นกว่ารุ่นเรามากเลยนะ เช่น เขามีไอแพด สมัยเราอย่างมากก็มีทีวี มีช่วงเวลา 7-10 โมงเช้าคือเวลาการ์ตูน แต่เด็กยุคนี้ดูได้ 24 ชม. 

แล้วบางอย่างมันเร็วกว่าสมองพ่อแม่ยุคเจนเอ็กซ์เจนวาย เด็กเล่นสไลม์ คืออะไร สกุชชี่ราคาแพง มันมีเรื่องของวัตถุนิยม เลียนแบบดาราตั้งแต่ยังเล็ก แบบที่พ่อแม่ตามไม่ทัน ยิ่งโลกแคบยิ่งเร็วเท่าไหร่ เรายิ่งตามไม่ทัน

เบบี้บูมเมอร์กินเวลานานมาก เจนเอ็กซ์เจนวายเริ่มแคบลงมานิดนึง แต่เจนแซด เจนอัลฟ่าคือแคบแค่นี้เอง (ทำมือแคบจริงๆ) ต่างกันแค่ห้าปีก็คือเปลี่ยนเจนแล้ว ถามว่าความรู้ที่เราไม่อัพเดทเลย เราจะตามลูกเราทันไหม 

ที่ต้องอัพเดทจริงๆ คือเรื่องรายละเอียด แต่โครงสร้างความรู้จริงๆ มันไม่ได้อัพเดท คือพัฒนาการเด็กที่คุณหมอแต่ละท่านพูดว่า ถ้าเรารู้พัฒนาการเด็ก รู้ภารกิจว่าเด็กต้องทำอะไรแต่ละวัย เราก็จะเลี้ยงเขาได้อย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง รู้แค่หลักก็พอ โดยเฉพาะ ‘หลักพัฒนาการเด็ก’ เพื่อจะรู้ว่า อะไรสำคัญ/ไม่สำคัญในช่วงวัยดังกล่าว วัตถุ/ของเล่น/เทคโนโลยี ไม่ผิด ผิดที่พ่อแม่นำมาให้เด็กในวัยที่ไม่เหมาะสมต่างหาก

ผ่านเคสและให้คำปรึกษามาเยอะ เชื่อว่าจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเองก็ต้องการการบำบัดเหมือนกัน จะทำอย่างไร

เราไม่เรียกว่าบำบัด เราเรียกว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมก็มี supervisor ทุกวันนี้ก็ยังคุยสไกป์กัน คุยว่าเจอปัญหาอะไร มีอะไรติดค้าง เมเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสต์ ชอบความสะอาด ชอบความเนี้ยบ แต่เราไปเจอเด็กที่ดูยุ่งเหยิง ไม่มีระเบียบมาก (messy) มากๆ บางทีเราก็เผลอทำหน้าหงิกหน้างอ เราก็ต้องมาระบายให้อาจารย์ฟังว่า เป็นวิธีการที่ทำให้เราปรับตัวปรับใจ (refresh) ตัวเองจนเราพร้อมรับเคส อารมณ์เหมือนเครื่องยนต์ เวลาเราใช้ไปมากๆ เราก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไม่ใช่ว่าใช้ไปเรื่อยๆ

หลักหนึ่งที่นักจิตวิทยาจะมีให้กับผู้มารับคำปรึกษา (client) เราไม่ใช้ sympathy หรือความสงสาร เพราะการที่เราสงสารแปลว่าเราเห็นอีกฝ่ายด้อยกว่าเรา เราไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น เพราะเมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าใคร เราจะตัดสินอีกฝ่ายและเราจะเผลอควบคุมดูแลสั่งสอนเขาไปด้วย

แต่เราจะใช้หลัก empathy คือความเห็นอกเห็นใจหรือการร่วมรู้สึกไปกับเขา เราพยายามทำความเข้าใจอย่างเป็นกลางมากกว่าไปตัดสินอีกฝ่าย เช่น เขามาหาเรา เขาเหนื่อยใจมามาก เราจะรับฟัง และพยายามทำความเข้าใจว่ามันเป็นยังไงมากกว่าที่จะไปบอกว่า เฮ้ย ทำแบบนี้สิ เราไม่ทำเช่นนั้น แต่เราจะพยายามลองนึกถึงว่า ถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ของเขาดูจะเป็นอย่างไร (put yourself in his/her shoes) แม้จะไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่แค่รู้สึก รับรู้ร่วมกัน 

สมมุติว่าเราโดนตี เจ็บแน่ๆ จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเห็นคนไข้โดนตีมา เราไม่ต้องไปตีตัวเอง แต่เราแค่รับรู้ว่าเขาโดนตี มันจะเป็นยังไง ไม่ได้ไปสงสารเขา มองเขาว่าเออ คงซนมากเลย มองเขาอย่างเข้าใจแบบคนระดับเดียวกัน ซึ่งทำไม่ได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่เราจะชินกับการสงสาร เช่น เห็นขอทานเราก็สงสารละ เรามองเขาด้อยกว่า แล้วเราจะมองว่าเรื่องที่เขาเจอมันเล็กนิดเดียว ทำไมเอามาเป็นปัญหาในชีวิตได้ แต่ถ้ามองแบบ empathy ปัญหามันหนักนะ อันนี้อาจจะยากเหมือนกัน เมก็ฝึกอยู่

อย่างไรก็ดี ยังมีขอบเขตกำหนดพื้นที่ส่วนตัวของ client กับ therapist อยู่ เราจะไม่ได้ถลำเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องมีขอบเขตว่าเราจะช่วยได้เต็มที่ในส่วนของเรายังไง

เช่น เราจะไม่พยายามรับของ สมมุติวันนี้เป็นวันเกิดหรือวันนี้พ่อเสียชีวิต เราจะไม่เอาเรื่องนี้ไปคุยด้วย คือเราไม่ใช่คนในชีวิตเขา เราเป็นนักบำบัด และเราควรรักษาขอบเขต (boundary) ของเราไม่ให้ล้ำเส้น client หรือให้ client เข้ามาในชีวิตเรามากเกินไป

วิธีป้องกันตัวเองไม่ให้จมไปกับเรื่องราวของ Client มีอะไรบ้าง

เขียนบันทึก บางทีเราเจออะไรเยอะๆ หนักๆ แล้วเราก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง เราเขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัวเราออกมา แล้วค่อยๆ เรียบเรียงว่า เช่น ถ้าเราเจออะไรเยอะๆ เราก็เขียนไปเลย เฮ้ย เครียดว่ะ วันนี้รู้สึกเศร้า บอกไม่ถูก แล้วค่อยๆ โยงไปว่าเกิดจากอะไร เราก็จะค่อยๆ เข้าใจตัวเอง ดังนั้น นักจิตวิทยาจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องของตัวเองเยอะๆ

ตอนเรียนจิตวิทยา เราเรียนเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง พอเข้าใจตัวเองชัดเจน แล้วมันจะเข้าใจคนอื่น ถ้าเราเป็นกระจกที่ขุ่นมัว เราจะไม่สามารถสะท้อนอะไรไปได้เลย

เราไม่สามารถอ่านใจใครได้ เราไม่ได้รักษาเพียงคนไข้จิตเวช เราไม่ได้มีคำตอบให้กับทุกปัญหา เพราะนักจิตวิทยาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่นด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะไม่ยอมแพ้ต่อผู้ที่มาหาเรา และเราจะเคียงข้างกันไปจนสุดทาง หากอีกฝ่ายยินดีและอนุญาตให้เราทำเช่นนั้น

Tags:

จิตวิทยานักจิตวิทยาเมริษา ยอดมณฑป

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    FRIENDSHIP BENCH ม้านั่งให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในซิมบับเว

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4
Voice of New Gen
22 July 2019

ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

เรื่อง

  • Algolaxy แอพพลิเคชั่นสื่อการเรียนการสอนเรื่องอัลกอริธึม (Algorithm) เพื่อเป็นสื่อการสอนในวิชาใหม่ ‘วิทยาการคำนวณ’ โดยสามนวัตกรหน้าใสจากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ 
  • Algolaxy พัฒนาไปถึงจุดที่ใช้งานได้จริงพร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งใน Google Play และ App Store, ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวที TICTA (Thailand ICT Awards) 
  • “เนื้อหาอัลกอริธึมมีเยอะมาก ต้องพยายามเลือกเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันมาสอนเด็ก นำมาประยุกต์ว่าจะทำยังไงให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆ เห็นภาพ และไม่ไกลเกินตัวเขาเพื่อจะได้รู้ว่าอัลกอริธึมมันอยู่ในชีวิตเรา”
เรื่อง: กิติคุณ คัมภิรานนท์, มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 คงไม่มีนักเรียนชั้นไหนเครียดไปกว่าน้อง ป.1 ป.4 และพี่ ม.1 ม.4 อีกแล้ว เพราะนั่นคือปีแรกที่พวกเขาต้องเผชิญกับวิชาบังคับใหม่จากกระทรวงศึกษาธิการที่ชื่อ ‘วิชาวิทยาการคำนวณ’ และไม่ใช่เพียงนักเรียนหรอกที่มึนตึ้บกับวิชานี้ คุณครูที่จับพลัดจับผลูต้องมาสอนวิชานี้ก็มึนไม่ต่างกัน หนึ่งในนั้นคือ ‘ครูฝ้าย’ ศรา หรูจิตตวิวัฒน์ แห่ง โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์

เพราะนี่คือวิชาใหม่แกะกล่องสำหรับระดับประถมและมัธยม ครูเองก็ไม่เคยสอน ตำราที่ได้มาก็ยากแสนยาก สอนไปสอนมาก็งงกันไปทั้งคาบ ทั้งครูทั้งนักเรียน

แต่แทนที่จะนั่งงง ครูฝ้ายจึงเปลี่ยนวิกฤตินี้เป็นโอกาส…

หญิง-สุภาวดี ภูสนาม, ปังจัง-ณาฌา หิรัญญาการ และ เหม่เหม้-จีรนันท์ อนันต์ประภากรณ์

เมื่อนวัตกรหน้าใสอย่าง หญิง-สุภาวดี ภูสนาม (ม.6), ปังจัง-ณาฌา หิรัญญาการ (ม.6) และ เหม่เหม้-จีรนันท์ อนันต์ประภากรณ์ (ม.4) กำลังหาหัวข้อทำโครงงานอยู่ ครูฝ้ายจึงไม่รอช้า เสนอให้ทีมทำสื่อการเรียนการสอนวิชานี้ขึ้นมาใหม่ นำความยากมายีใหม่ให้ง่ายขึ้นสำหรับครู และสนุกขึ้นสำหรับนักเรียน

ฟังดูแล้วน่าสนุก แต่เมื่อได้ลงมือทำจริง 3 นวัตกรหน้าใสของเราก็พบว่า การทำเรื่องยากให้ง่ายนั้น…ไม่ง่ายเลย

ภารกิจทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

คนเราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งใด ย่อมมีพื้นฐานความเข้าใจในสิ่งนั้นเป็นอย่างดี นักพัฒนาที่สามารถพัฒนานวัตกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้ ส่วนใหญ่จึงมักเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวหรือเป็นสิ่งที่เขาสนใจ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์อยู่ในชีวิตประจำวัน

3 สาวแห่งโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ หญิง-ปังจัง-เหม่เหม้ ก็เป็นเช่นนั้น ในฐานะนวัตกรที่ยังเป็นนักเรียน การหาหัวข้อผลงานที่ผ่านๆ มาของพวกเธอจึงเน้นไปที่เรื่องการศึกษา โดยเฉพาะการสร้างโปรแกรมสื่อการเรียนรู้วิชาต่างๆ เพื่อตอบสนองผู้ใช้ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนนักเรียนเหมือนๆ กับเธอ หากแต่สำหรับผลงาน Algolaxy แอพพลิเคชั่นสื่อการเรียนการสอนเรื่องอัลกอริธึม (Algorithm) ในครั้งนี้ เป็นความต้องการจากผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักเรียน หนำซ้ำยังอยู่ใกล้ตัวพวกเธอมาก จนคาดไม่ถึง

“เราจะทำผลงานส่งประกวด NSC ตั้งใจว่าอยากทำโปรแกรมที่เป็นสื่อการเรียนรู้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำเกี่ยวกับวิชาอะไรดี ลองถามครูฝ้ายซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงงานว่ามีวิชาอะไรที่น่าสนใจ ครูฝ้ายบอกว่ามีวิชาใหม่คือวิชาวิทยาการคำนวณ ยังไม่มีใครทำสื่อการเรียนรู้วิชานี้ เลยหาเนื้อหามาลองทำ” หญิงเล่าถึงที่มาของหัวข้อผลงาน ซึ่งเกิดมาจากครูฝ้ายที่อยู่ในฐานะผู้ใช้โดยตรง

“อัลกอริธึมมันเกี่ยวกับเรื่องลำดับความคิด ขั้นตอนการทำงาน ที่ผ่านมาถ้าอ่านแต่ตัวอักษรจะเข้าใจยาก เลยมองว่าถ้าทำเป็นสื่อการเรียนการสอนน่าจะเป็นประโยชน์มาก เพราะครูหลายคนก็เพิ่งเริ่มต้นสอนวิชานี้เหมือนกัน” ครูฝ้ายสำทับ

Algolaxy จึงตั้งต้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่ม หนึ่งคืออาจารย์ที่สอนวิชาอัลกอริธึม และอีกหนึ่งคือนักเรียนที่เรียนวิชานี้

โจทย์ของทีมในการพัฒนาผลงานเพื่อตอบสนองผู้ใช้กลุ่มอาจารย์ คือการพัฒนาโปรแกรมที่มีเนื้อหาวิชาอัลกอริธึมที่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นงานหนักสำหรับ 3 สาวและครูฝ้ายเอง ที่ต้องไปศึกษาเก็บข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอัลกอริธึมทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก เพื่อออกแบบเนื้อหาโปรแกรม พร้อมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหานั้นๆ ด้วยการขอความช่วยเหลือจากผู้รู้

“ด้วยความที่เป็นวิชาใหม่ เราจึงต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่พื้นฐาน แต่เราก็อยากให้แอพพลิเคชั่นนี้ครอบคลุมเนื้อหาเชิงลึกมากกว่าแค่ระดับพื้นฐาน เราจึงไปขอความรู้จากอาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และรุ่นพี่ศิษย์เก่าเซนต์ฟรังฯ ที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยมาเทสต์เนื้อหา ทั้งลำดับความรู้และความถูกต้อง” ปังจังอธิบายกระบวนการค้นคว้าและตรวจสอบข้อมูลของทีม

โจทย์อีกข้อของทีมในการพัฒนาผลงานเพื่อตอบสนองผู้ใช้กลุ่มนักเรียน ก็คือการทำเนื้อหาที่ยากให้ง่ายขึ้น ซึ่งนอกจากการนำเสนอด้วยรูปแบบแอนิเมชั่น 2 มิติแล้ว การเลือกสรรและแปรรูปเนื้อหาวิชาให้เชื่อมโยงถึงชีวิตประจำวันของเด็กนักเรียน ก็เป็นสิ่งที่ทีมเลือกทำ แม้จะเป็นงานที่หนักเอาเรื่องไม่น้อย

“เนื้อหาอัลกอริธึมมันมีเยอะมาก พวกหนูต้องพยายามเลือกเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันมาสอนเด็ก นำมาประยุกต์ว่าจะทำยังไงให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆ เห็นภาพ และไม่ไกลเกินตัวเขา เขาจะได้รู้ว่าอัลกอริธึมมันอยู่ในชีวิตเรา แต่เราไม่รู้ว่าถ้าใช้มันแล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้น เช่น การคิดเป็นลำดับ ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างเราต้องคิดเป็นสเต็ปในหัว 1 2 3 4 แล้วเราจะรู้ว่าในลำดับเดียวกันอันไหนควรทำก่อนหรือหลัง” หญิงยกตัวอย่าง

“มันยากตรงการคิดแบบฝึกหัด เพราะพอเราเข้าใจแล้ว เราต้องปรับให้คนอื่นเข้าใจตามเราให้ได้ด้วย พยายามที่จะทำให้เข้าใจง่ายที่สุด เช่น เรื่องการจัดเรียงตัวเลขจากน้อยไปหามาก มันมีหลายวิธีมากเลย จะทำให้เขารู้ได้ยังไงว่าการจัดเรียงแบบนี้มันชื่อว่าอะไร กระบวนการไหนดีกว่าหรือเร็วกว่า จากเนื้อหาในหนังสือเราก็แปลงเป็นรูปภาพ ทำเป็นแบบฝึกหัดให้เขาได้ทำ” ปังจังเสริมถึงความยากที่ทีมต้องฟันฝ่ามาด้วยกัน

ลงลึกกับผู้ใช้ แก้ใหม่วันต่อวัน!

Algolaxy ถูกพัฒนาส่งเข้าประกวด NSC ตามที่หญิงและปังจังตั้งใจ โดยแรกทีเดียวนั้นหญิงรับหน้าที่เขียนโค้ด รุ่นพี่อีกคนหนึ่งรับหน้าที่ทำกราฟิก ส่วนปังจังช่วยงานทั้ง 2 ส่วน กระทั่งผลงานต่อยอดมาสู่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ปังจังก็หันมารับงานกราฟิกเต็มตัว ส่วนเหม่เหม้เข้ามาช่วยหญิงเขียนโค้ด

“ที่เรามาทำต่อกล้าฯ เพราะอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติม และอยากให้ผลงานเอาไปใช้ได้จริงๆ ตอน NSC ยังไม่ได้เอาไปใช้จริง ก็ต้องปรับเยอะมาก เหมือนเป็นเวอร์ชั่นใหม่เลย (หัวเราะ) หลักๆ ก็คือปรับเนื้อหาให้เข้าใจง่ายขึ้น เพิ่มแบบฝึกหัด และแก้ UI UX” หญิงเล่าพลางอมยิ้ม

เหตุแห่งการปรับแก้งาน แน่นอนว่าด้านหนึ่งมาจากกรรมการและทีมโค้ช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่อง UI UX

“มีแก้งานจากที่พี่เขาคอมเมนต์มา ทั้งเรื่องการปรับโลโก้ไอคอนของแอพฯ ที่ไม่สื่อว่าเป็นแอพฯ อะไร ปรับแก้ปุ่ม Tutorial ให้มีความชัดเจนมากขึ้น หลักๆ มันคือ UI UX ที่พี่เขาบอกว่าเราใช้ปุ่มหลากหลายเกินไป อย่างปุ่ม Next ก็จะมีทั้งแบบเป็นวงกลมและลูกศร เขาก็ให้เราทำให้เป็นรูปแบบเดียวกัน” ปังจังอธิบาย

กับอีกด้านหนึ่งนั้นมาจากกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของทีมนี้ที่ทำงานร่วมกับผู้ใช้อย่างเหนียวแน่น ทั้งในระดับเชิงกว้างและเชิงลึก

“เรามีกระบวนการทำงานร่วมกับผู้ใช้ตลอด หลังจากไปรีเสิร์ชกับพี่ๆ ศิษย์เก่าจนได้เนื้อหามาออกแบบแอพฯ เราก็เอาแอพฯ กลับไปให้พี่ๆ กลุ่มเดิมเทสต์อีก รวมถึงกลุ่มผู้ใช้อื่นๆ ด้วย เช่น คุณครูในเครือเซนต์ปอลฯ (คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร แขวงประเทศไทย ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัด 22 แห่ง) และที่สำคัญคือกลุ่มนักเรียนชั้น ม.4 ซึ่งต้องเรียนวิชาอัลกอริธึมนี้โดยตรง” ครูฝ้ายเล่าพลางหันมองเหม่เหม้ ในฐานะที่เป็นกลุ่มผู้ใช้โดยตรง

“หนูใช้โปรแกรมนี้ในการเรียนการสอนจริง ซึ่งมันเข้าใจง่ายขึ้นเยอะมากๆ แล้วหนูยังลองเอาไปให้เพื่อนที่โรงเรียนเก่าลองใช้ด้วย เป็นการขายของนิดนึง (หัวเราะ) เพื่อนก็บอกว่าดี เพราะแต่เดิมเรียนยากมาก ครูให้อ่านหนังสือแล้วสอนแต่เนื้อหาเพียวๆ ไม่มีภาพไม่มีเหตุการณ์ประกอบ เพื่อนเขาก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเรียนไปทำไม และไม่เข้าใจว่าเอาไปใช้อะไรได้บ้าง” เหม่เหม้เล่าด้วยรอยยิ้ม

ไม่เพียงแค่ทดลองใช้เฉยๆ เท่านั้น แต่ทีมยังยกระดับกระบวนการทดลองใช้ไปถึงขั้นใช้เป็นเครื่องมือในการสอบเก็บคะแนนจริง ในวิชาวิทยาการคำนวณเลยทีเดียว

“เราจะคิดโจทย์ขึ้นใหม่เพื่อการสอบโดยเฉพาะ เพราะเราใช้แอพฯ นี้ในการเรียนและการสอบวัดผลเก็บคะแนนจริงๆ ซึ่งเหมือนเราได้รีเช็คแอพฯ ไปในตัว เช่น ถ้ามีบั๊กข้อหนึ่งก็ต้องรื้อกันใหม่” ครูฝ้ายเล่า

ด้วยความที่ใช้ในการสอนและการสอบจริงกับนักเรียน ม.4 ทั้งโรงเรียน ก็ทำให้ทีมจำเป็นต้องกระตือรือร้นในการรับฟังข้อผิดพลาดและเร่งแก้ไขแอพฯ แบบวันต่อวัน เพราะว่า… 

“ทันทีที่เจอบั๊กเราต้องแจ้งหญิงให้แก้เลย เพราะวันรุ่งขึ้นมีสอนอีกห้องหนึ่ง เราไม่อยากให้ห้องต่อๆ ไปเฟลถ้าต้องมาเจออีก ดังนั้นเราจะแก้เป็นสัปดาห์ๆ ไปเลย เนื้อหามี 8 บท ก็เทสต์ 8 สัปดาห์ และแก้ตลอด 8 สัปดาห์ ต้องทำอย่างนี้เพราะเจตนาของเราคือต้องการให้มันใช้ได้จริงๆ ทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหา ไม่อยากให้เด็กรู้สึกว่าเรียนเรื่องนี้แล้วยาก เรียนเรื่องนี้แล้วไม่ได้ใช้ พอแอพฯ มันใช้ได้จริงเราก็ภูมิใจ” ครูฝ้ายยิ้มท้ายประโยค

ด้วยกระบวนการตามติดผลจากผู้ใช้จริงนี่เอง ที่ทำให้ทีมสามารถพัฒนาแอพฯ ได้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

“วิธีนี้ทำให้การทำงานเร็วขึ้นมาก เพราะต้องแก้แบบวันต่อวัน อย่างสอนวันพฤหัสบดีเสร็จปุ๊บต้องแก้ให้เสร็จทันเช้าวันศุกร์เพราะมีเรียนอีกห้อง ช่วงแรกๆ จะเหนื่อยหน่อยเพราะเจอบั๊กเยอะมาก ก็แก้มาจนห้องหลังๆ จะไม่ค่อยเจอบั๊กแล้ว” หญิงเล่าอย่างร่าเริง

ด้วยความทุ่มเทและตั้งใจจริง ผลประโยชน์ก็ตกแก่ผู้ใช้กลุ่มนักเรียน ซึ่งส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า แอพฯ นี้ช่วยให้เรียนรู้อย่างสนุกและเข้าใจวิชาวิทยาการคำนวณมากขึ้น 

“ด้วยรูปแบบของเกม ทำให้สนุกเพลิดเพลิน ทำให้เราตั้งใจทำมันมากขึ้นและจดจำได้มากขึ้น ถือเป็นการเรียนรู้ไปด้วยระหว่างที่เล่นเกม ช่วยให้เราคิดอย่างมีขั้นตอน รู้จักวางแผน รอบคอบในการลงมือทำอะไร” คือหนึ่งเสียงจากนักเรียน ม.4 โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ที่ได้ทดลองใช้แอพฯ นี้

และนอกจากกลุ่มนักเรียนแล้ว ยังรวมไปถึงกลุ่มอาจารย์ในเครือเซนต์ปอลฯ ที่ได้นำไปทดลองใช้แล้วให้ฟีดแบ็คกลับมาในทางที่ดีไม่ต่างกัน

“ในการประชุมครูในเครือเซนต์ปอลฯ มีการอบรมเรื่องวิทยาการคำนวณพอดี เราจึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงนำแอพฯ ไปแนะนำให้คุณครูจาก 22 โรงเรียนได้ลองใช้ พร้อมทั้งแจกซีดีให้คุณครูนำไปลองใช้กับนักเรียนที่โรงเรียนต่อ และขอให้ครูส่งฟีดแบ็ค เช่น อัดคลิปวิดีโอส่งกลับมา ซึ่งฟีดแบ็คส่วนใหญ่ก็บอกว่าดี และให้กำลังใจกันเยอะ” ปังจังเล่าอย่างมีความสุข

“เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะกับคุณครูที่อยากให้นักเรียนไปศึกษาเองก่อนเบื้องต้นแล้วค่อยกลับมาเรียนในห้องเรียน หรือใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ให้นักเรียนหาความรู้ในห้องเรียน จดใส่สมุด มาทำโปรแกรมเองได้ หรือสมมุติผู้เรียนเรียนในห้องแล้วเขาไม่เข้าใจตัวเนื้อหา บางคนอาจจะไม่ชอบ เด็กบางคนสมาธิสั้น ไม่ถนัดเรื่องการอ่านเนื้อหาที่เป็นหนังสือมากๆ ถ้าได้โปรแกรมนี้เข้ามาช่วยจะทำให้เขามีสมาธิอยู่กับตรงนี้มากขึ้น” คือหนึ่งในความเห็นจากคุณครูโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ที่ได้ทดลองใช้

ขณะที่คุณครูจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ก็ให้คำชื่นชมไม่ต่างกันว่า “ประโยชน์ของแอพพลิเคชั่นนี้ ดูจากวัตถุประสงค์ของผู้จัดทำ เนื้อหาเป็นการเสนอเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยี การฝึกให้รู้จักลำดับขั้นตอนการคิด หรือที่เราเรียกว่าอัลกอริธึม สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานของการนำไปพัฒนาโปรแกรมได้ในอนาคต ครูคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียวในการจัดทำบทเรียนนี้ขึ้นมา”

เมื่อความสำเร็จสะท้อนกลับเข้าตัว

การทำงานร่วมกับผู้ใช้ โดยเฉพาะในมิติของการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริงและเร่งปรับแก้ผลงานให้ดีที่สุดเพื่อผู้ใช้กลุ่มต่อๆ ไป ไม่อาจปฏิเสธเลยว่านี่คือกระบวนการทำงานที่หนักหนาสาหัสไม่น้อยสำหรับนวัตกรหน้าใสวัยเรียนเช่น 3 สาว

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธว่าความทุ่มเทที่ทั้งสามทุ่มลงไปในการพัฒนาผลงาน นอกจากจะทำให้ Algolaxy พัฒนาไปถึงจุดที่ใช้งานได้จริง รอการขยายผลไปสู่ผู้ใช้ในวงกว้าง รวมไปถึงได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากประกวด TICTA (Thailand ICT Awards) และได้สิทธิไปแข่ง APICTA (Asia Pacific ICT Alliance) ต่อที่ประเทศจีนแล้ว ความสำเร็จของผลงานก็หมุนทวนย้อนกลับมาสู่ตัวพวกเธอเอง ในแง่ของพัฒนาการรายบุคคลที่เกิดจากกระบวนการทำงานหนัก

“สำหรับหนูไม่คิดว่าเราต้องมาแก้งานสัปดาห์ต่อสัปดาห์ (หัวเราะ) อย่างที่เข้าต่อกล้าฯ ปีก่อนๆ จะทำอาทิตย์ละครั้งช่วงเสาร์อาทิตย์ ทำเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดเป้าหมาย แต่งานนี้ครูฝ้ายสอนเสร็จปุ๊บหนูต้องมาแก้ให้ทันวันถัดไป มันก็ค่อนข้างตื่นเต้น ต้องทำให้ทัน เพราะมันคือการนำไปใช้งานจริงกับผู้ใช้ ได้ฝึกความรับผิดชอบอย่างเข้มข้นมาก (หัวเราะ) และได้เห็นฟีดแบ็คจริงๆ เวลาที่ครูนำแอพฯ ไปสอนน้องๆ มันมีคำชมกลับมาที่เราโดยตรง ก็รู้สึกภูมิใจ” หญิงเล่าอย่างอารมณ์ดี 

ก่อนที่ปังจังจะเล่าในส่วนของตัวเองว่า

“การทำแอพฯ นี้สอนหนูหลายอย่าง ที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นเรื่องกระบวนการทำงาน แอพฯ อื่นๆ หนูจะเร่งทำรวดเดียวตอนใกล้ส่ง (ยิ้ม) เวลาเกิดปัญหาก็จะแก้ไม่ทัน เหมือนเรือแล่นเร็วๆ แล้วเจอพายุก็ล่มง่าย แต่งานนี้เหมือนเรือที่แล่นสม่ำเสมอ ปลอดภัยกว่า”

และแน่นอนว่าเหนืออื่นใด ก็คือ ทั้งสามได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับผู้ใช้อย่างแท้จริง

“ก่อนเข้าค่ายหนึ่งหนูยังไม่รู้เลยว่า UI UX คืออะไร (หัวเราะ) ตอนทำโปรแกรมครั้งแรกคิดว่าก็แค่ออกแบบแล้วทำออกมาเลย แต่จริงๆ มันต้องถามความเข้าใจของผู้ใช้ ถามเนื้อหาจริงๆ ว่าสามารถใช้ได้จริงหรือเปล่า ไม่ใช่เข้าใจเองคนเดียว” เหม่เหม้เล่าถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น

“ต้องใส่ใจให้กับผู้ใช้ด้วย ให้เขามีความสุข นำงานที่เราทำมาไปใช้อย่างมีความสุข” ปังจังสรุปความด้วยรอยยิ้มสดใส

จากวิกฤติสู่โอกาส จากความยากสู่ความง่าย ถึงวันนี้ 1 ปีผ่านมา ‘วิชาวิทยาการคำนวณ’  ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปทั้งสำหรับคุณครูและนักเรียนในเครือเซนต์ปอลฯ เมื่อมีตัวช่วยชั้นดีอย่าง Algolaxy

เช่นเดียวกับตัวนวัตกรหน้าใสทั้งสามของเรา ที่เติบโตขึ้นมากจากกระบวนการพัฒนาผลงานอย่างหนักหน่วงเกินวัยตลอดปีที่ผ่านไป สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จของผลงานไม่เทียบเท่าความสำเร็จของคนทำงาน 

และมากกว่าความจริงที่ว่า การทำเรื่องยากให้ง่ายนั้น…ไม่ง่าย ก็คือแรงบันดาลใจที่ว่า ไม่มีอะไรยากเกินไป…ถ้าเราตั้งใจจะทำ!

‘Algolaxy’ แอพพลิเคชั่นสื่อการเรียนการสอนเรื่องอัลกอริธึม (Algorithm) สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย นำเสนอในรูปแบบแอนิเมชั่น 2 มิติ ประกอบด้วยเนื้อหา 3 บทเรียน ได้แก่ Solving, Structure และ Algorithm พร้อมแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนเพื่อวัดพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน

สามารถดาวน์โหลดได้ที่:
Google Play: https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sf.Algolaxy&hl=th
App Store: https://itunes.apple.com/th/app/algolaxy/id1342678531#?platform=ipad

สมาชิกทีม: นางสาวสุภาวดี ภูสนาม (หญิง) ม.6, นางสาวณาฌา หิรัญญาการ (ปังจัง) ม.6, นางสาวจีรนันท์ อนันต์ประภากรณ์ (เหม่เหม้) ม.4 โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ กรุงเทพฯ

ที่ปรึกษาโครงการ: อาจารย์ศรา หรูจิตตวิวัฒน์ (ครูฝ้าย)

Tags:

เทคนิคการสอนAIโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมนวัตกร

Author:

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen21st Century skills
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

5E: คิดจริง ทำจริงแบบผู้ประกอบการ
Character building
19 July 2019

5E: คิดจริง ทำจริงแบบผู้ประกอบการ

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Entrepreneurship คือ อะไร ?

ให้เข้าใจง่ายๆ หมายถึงหลักสูตรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ความเป็นผู้ประกอบการ เรียนรู้อย่างมีเป้าหมายในธุรกิจ ผู้เรียนจะต้องไม่กลัวปัญหา มองเห็นโอกาส มีไอเดียแปลกใหม่และรู้วิธีนำไอเดียนั้นมาสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้

Entrepreneurship มี 5E เป็นพื้นฐาน นั้นคือ

  • Environment 

กระตุ้นให้สนใจสิ่งแวดล้อม ความเป็นไปรอบตัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ และคอยตั้งคำถามว่า “ทำอะไร” “ทำอย่างไร” “ทำเมื่อไร” “เพราะอะไรจึงทำ”

  • Economy 

ฝึกให้ติดตามความเป็นไปทางเศรษฐกิจผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ธุรกิจใดกำลังรุ่ง-ร่วง  ธุรกิจใดบ้างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และธุรกิจเหล่านั้นดำเนินการอย่างไร

  • Entrepreneurs  

สร้างแรงจูงใจจากวิสัยทัศน์และประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการ เช่น อะไรคือแรงจูงใจในการหาโอกาส  พลิกปัญหาเป็นไอเดียหรือนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร 

  • Enterprise 

เปิดโอกาสให้ค้นหาตัวตน จุดแข็งจุดอ่อน เป้าหมาย ความใฝ่ฝัน ลักษณะนิสัยเมื่อต้องทำงานกับคนอื่น และจิตสำนึกต่อเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อม โลก

  • Entreplexity 

ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนได้นำความรู้แต่ละด้าน และศักยภาพเฉพาะของตนทั้งหมดมาผสมผสานผ่านการลงมือทำจริง 

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ผู้ประกอบการ(entrepreneurship)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Character buildingCreative learning
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character buildingCreative learning
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
  • ‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel