Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: June 2019

3 ขั้น ตัดตอน ก่อนปรี๊ดใส่ลูก
Family Psychology
21 June 2019

3 ขั้น ตัดตอน ก่อนปรี๊ดใส่ลูก

เรื่อง The Potential

Illustrator: ชาลิสา พุทธรักษา

คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับความอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยสะสมจากการเลี้ยงลูกอยู่ใช่ไหม?

พ่อแม่ทุกคนน่าจะเคยหลุดปรี๊ดแตกใส่ลูก (ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ)

ทางออกง่ายๆ คงเป็นวิธีสูดลมหายใจเข้าออก ท่อง พุท-โธ หรือไม่ก็เดินหนี

แต่ฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา มีแนวทางในการจัดการกับอารมณ์หรือพลังงานลบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือวิธีจัดการและควบคุมอารมณ์โดย พตตี ไวกิงตัน (Patti Wigington) หนึ่งในกลุ่มเผยแพร่ศรัทธาความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทางธรรมชาติที่เรียกว่า Wicca

ผ่าน 3 เทคนิคนี้ คือ “ตั้งแกน-ปล่อยพลัง-สร้างเกราะ” ถ้อยคำที่ไม่คุ้นอาจดูเหมือนยาก แต่จริงๆ ไม่

3 เทคนิคนี้จะช่วยดึงสติ ดึงสมาธิตัวเองให้กลับมา โฟกัสและผ่อนคลาย

เราเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากใจร้ายกับลูกหรอก

อ่านบทความ 3 เทคนิคชวนพ่อแม่ตั้งหลัก จัดการอารมณ์ขั้วลบก่อนปรี๊ดแตกใส่ลูก ได้ที่นี่

หมายเหตุ

เรียบเรียงและปรับคำจาก  Magical Grounding, Centering, and Shielding Techniques โดย Patti Wigington / https://www.learnreligions.com/

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาการตั้งแกน(Centering)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    ‘การตี’ วิธีลงโทษที่เด็กๆ อยากให้นึกถึงเป็นลำดับสุดท้ายเมื่อเขาทำผิด : ญา ปราชญา

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Family Psychology
    สอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำยังไงให้เด็กไว้ใจเล่าให้ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต
Creative learning
20 June 2019

‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • กิจกรรมด.เด็กเดินป่า เปิดโลกการเรียนรู้นอกห้องสำหรับเด็กๆ และครอบครัว สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความรักและความรู้ในธรรมชาติ แต่คือความเข้าใจและรู้จักตัวเอง ไม่ใช่แค่ลูก ผู้ปกครองก็มองเห็นโอกาสเติบโตของตัวเองด้วยเช่นกัน
  • “เวลาเราล้ม เราเจ็บ เราร้องไห้ได้ แต่เราก็เรียนรู้ว่าเราจะเดินได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป ตอนเดินป่าใหม่ๆ พี่ก็ล้ม ลูกๆ เองได้เห็นว่า แม่ล้มได้ก็ลุกได้ ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปแบบนั้น เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเขาคือต้องเข้มแข็งให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่มารอให้แม่ดูแลอย่างเดียว เพราะวันหนึ่งที่แม่ล้ม เขาจะช่วยแม่ได้ ถ้าเขาหยัดยืนด้วยตัวเองเป็น”

ตอนที่มนุษย์ยังใช้ชีวิตเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติอย่างเหลือล้น อย่างน้อยเราก็รู้ว่าต้นอะไรกินได้ ท้องฟ้าสีแบบนี้จะมีพายุไหม เสียงร้องแบบนี้คือเสียงสัตว์ชนิดไหน ควรเข้าหาหรือถอยหนี เพราะนั่นคือความเป็นความตายของชีวิต แต่เมื่อวันหนึ่งเราพัฒนาตัวเองกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดหลักแหลม เราสร้างสิ่งห่อหุ้มตัวเองในนามของความสะดวกสบายและทันสมัย ชีวิตเรากลับห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที เรามองเห็นต้นไม้เป็นแค่ต้นไม้ เห็นต้นไม้เล็กๆ ทุกชนิดตามพื้นดินเป็นวัชพืช ไม่รู้ว่าต้นไหนเป็นอาหารหรือยา เราเกลียดกลัวไส้เดือนเพราะไม่เคยรู้ว่ามันมีหน้าที่สำคัญอะไรในโลก เราไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าน้ำที่ใช้ทุกวี่วันมีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน  

ไม่ใช่เพียงไม่รู้ แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดถาม

‘ลุงอ้วน’ นิคม พุทธา ประธานกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำปิงและผู้ก่อตั้งค่ายเยาวชนเชียงดาว จึงจัดกิจกรรม ด.เด็กเดินป่า* ขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีละสองครั้ง เพื่อหวังเปิดโลกการเรียนรู้นอกห้องสำหรับเด็กๆ และครอบครัว มุ่งหมายจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความรักต่อธรรมชาติในหัวใจน้อยๆ ของคนรุ่นใหม่ เพราะหากไม่มีความรักเป็นพื้นฐาน ยากเหลือเกินที่คนเราจะอุทิศตนรักษาสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ให้คงอยู่ และการมีประสบการณ์ตรงผ่านการใช้ร่างกายและหัวใจของตนเองเท่านั้น จึงจะก่อเกิดภาพจำในหัวใจไม่ลบเลือน

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นสองวัน วันแรกเป็นการเดินป่าเพื่อเรียนรู้ระบบนิเวศบริเวณเชิงเขาหินปูนอันเป็นลักษณะเฉพาะของดอยหลวงเชียงดาว ผ่านเส้นทางป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ โดยมีจุดเริ่มต้นจากวัดถ้ำผาปล่องไปสิ้นสุดที่ด้านหลังวัดถ้ำเชียงดาว ส่วนวันที่สองเป็นการเดินตามลำธารในป่าต้นน้ำ ณ สถานีวิจัยสัตว์ป่าเชียงดาว เพื่อให้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างภูเขา ป่า แม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่ได้อาศัยพึ่งพิง การเดินป่าหน้าร้อนในพื้นที่ที่แตกต่าง ช่วยให้เด็กได้มีความเข้าใจต่อธรรมชาติอย่างลึกซึ้งผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเอง

นี่แหละประสบการณ์ ‘ป่า’ ในความทรงจำ ที่หาไม่ได้จากในห้องเรียน

บทเรียนที่หนึ่ง: น้ำทุกหยดกำเนิดมาจากป่า

เส้นทางวันแรกสูงชันไม่น้อยสำหรับเด็กๆ เพราะเป็นการเดินจากที่ราบเชิงเขาขึ้นไปสู่ยอดเขา เส้นทางที่เราเดินเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่า 380 ไร่ของวัดถ้ำผาปล่อง ทางเดินที่ดูโล่งเตียนคือแนวกันไฟ หรือ การเก็บกวาดใบไม้แห้งในป่าเพื่อให้เกิดช่องว่างเป็นแนวยาวเพื่อป้องกันไฟลุกลามเมื่อเกิดไฟป่า ลุงอ้วนมักชักชวนอาสาสมัครมาช่วยกันทำแนวกันไฟทุกๆ ปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม คนทั่วไปเป็นจิตอาสาร่วมกันได้

ลุงอ้วนชี้ชวนให้เด็กๆ เรียนรู้ป่าสองข้างทาง พลางตั้งคำถามว่าปีนี้ไม่มีฝนตกมาเกือบห้าเดือนแล้วแต่ทำไมธรรมชาติยังดำรงอยู่ได้ นั่นเพราะทุกครั้งที่มีฝน ป่าสมบูรณ์จะช่วยเก็บน้ำเอาไว้ใต้ดินถึง 80 เปอร์เซ็นต์ คอยสะสมเอาไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง อีก 20 เปอร์เซ็นต์ไหลลงไปตามลำน้ำน้อยใหญ่ส่งต่อกันไปตามแม่น้ำล่องไปถึงทะเล แต่ถ้าป่าที่ไหนถูกทำลายจนโล่งเตียน ก็เท่ากับว่าเราได้สูญเสียน้ำ 80 เปอร์เซ็นต์ที่ว่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย หลายครั้งก่อเกิดปัญหาน้ำท่วมตามมา เพราะน้ำไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่

“น้ำทุกหยดไม่ว่าจะอยู่ในแก้วหรือขวด กำเนิดมาจากป่าทั้งสิ้น เพราะแม่น้ำทุกสายไหลมาจากป่าในภูเขา ทุกครั้งที่เราดื่มน้ำขอให้เราคิดถึงป่า คิดถึงต้นไม้และภูเขาที่ช่วยเก็บน้ำไว้ให้เราด้วย ” ลุงอ้วนเล่าด้วยรอยยิ้ม

แม้เราเห็นว่าผืนดินแห้งแล้ง แต่ลึกลงไปยังมีน้ำชุ่มฉ่ำอยู่ที่รากไม้ซึ่งต้นไม้ใหญ่ได้แบ่งปันซึ่งกันและกันอยู่ภายใต้ผืนดิน ทั้งยังแบ่งปันให้แก่ต้นไม้น้อยๆ รอบข้าง ยามที่ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงผืนดิน ส่วนหนึ่งจะถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์เล็กๆ หรือปลวกเพื่อเปลี่ยนใบไม้ให้กลายเป็นดิน กลับคืนกลายเป็นธาตุอาหารของต้นไม้ ส่วนใบไม้แห้งที่เหลือทำหน้าที่เป็นเหมือนผ้าห่มบนผิวดินคอยรองรับแรงกระแทกจากเม็ดฝนไม่ให้ชะล้างเอาความอุดมสมบูรณ์ออกไปจากหน้าดิน คอยเก็บรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ รวมทั้งเป็นฟองน้ำที่คอยดูดซึมน้ำฝนเอาไว้บนผิวดินก่อนค่อยๆ ซึมซับลงไปใต้ผืนดิน 

ป่าที่สมบูรณ์มากๆ เราอาจได้เห็นน้ำซับน้ำผุดหรือปรากฏการณ์ที่น้ำเอ่อล้นขึ้นมาบนผิวดินกลายเพราะรากไม้และผืนดินเก็บน้ำไว้จนอิ่มเต็มและท่วมท้นออกมา

ลำน้ำน้อยๆ ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เหล่านี้เอง เมื่อน้ำท้นจากผืนดิน ไหลล่องออกมาจากป่า รวมกันเป็นสายน้ำลำธาร กลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่และไหลไปบรรจบกันที่ทะเล น้ำทุกหยดจึงมีจุดเริ่มต้นจากป่า ป่าเป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ และน้ำให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งมวล หากไม่มีป่า เราอาจไม่มีอะไรเหลืออีกเลย

ลำน้ำน้อยๆ ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เหล่านี้เอง เมื่อน้ำท้นจากผืนดิน ไหลล่องออกมาจากป่า รวมกันเป็นสายน้ำลำธาร กลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่และไหลไปบรรจบกันที่ทะเล น้ำทุกหยดจึงมีจุดเริ่มต้นจากป่า ป่าเป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ และน้ำให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งมวล หากไม่มีป่า เราอาจไม่มีอะไรเหลืออีกเลย

บทเรียนที่สอง: ป่าคือธนาคารของชีวิต

ในป่าแต่ละระดับความสูงจะมีพันธุ์ไม้แตกต่างกันออกไป ซึ่งพื้นที่ดอยหลวงเชียงดาวถือว่ามีความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชและสัตว์สูงมาก ลุงอ้วนบอกว่าต้นไม้สายพันธุ์เดียวกันที่อยู่นอกป่าอาจเปลี่ยนแปลงและกลายพันธุ์ได้ แต่ต้นไม้ในป่าจะคัดเลือกกันเองจนได้สายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเสมอ ป่าจึงเปรียบเสมือนธนาคารของเมล็ดพันธุ์ เป็น Genetic Bank ที่หลากหลายและสมบูรณ์ที่สุดหากเรายังดำรงรักษาผืนป่าเอาไว้ได้ 

ดอยหลวงเชียงดาวมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะถือเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ เป็นป่าที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำปิง ก่อนไหลไปรวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาและลงทะเลอ่าวไทย การจะพูดว่าเชียงดาวเป็นผู้มีส่วนร่วมก่อกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทยจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินความเป็นจริงนัก

นอกจากนี้ พื้นที่เชิงเขารอบดอยเชียงดาวยังมีความพิเศษตรงที่เป็นระบบนิเวศเขาหินปูน ดอยหลวงเชียงดาวถือเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามแต่เป็นภูเขาหินปูนที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีต้นไม้ ดอกไม้และพันธุ์พืชเฉพาะหลายชนิดที่พบได้ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น ลักษณะสำคัญของเขาหินปูนคือมีก้อนหินผสมผสานอยู่ในหลากหลายพื้นที่ บนเส้นทางการเดินป่าเราก็จะพบเห็นก้อนหินหลากหลายขนาดอยู่ในป่าด้วย หินปูนเหล่านี้เป็นหินที่มีเนื้อสีขาวซึ่งเกิดจากตะกอนใต้ทะเลและซากสัตว์ต่างๆ เช่น เปลือกหอยและปะการัง  

การที่เด็กๆ ได้ฟังคำอธิบายจากลุงอ้วนว่า เมื่อก่อนก้อนหินพวกนี้เคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อนจึงเป็นสิ่งที่เรียกความฮือฮาจากเด็กๆ อย่างดีเหลือเกิน ร่องรอยหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือก้อนหินบนทางเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาว มีร่องรอยหอยโบราณติดอยู่บนก้อนหินที่มีอายุหลายร้อยล้านปี

นับเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่า ในอดีตพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใต้มหาสมุทรจริงๆ

บทเรียนที่สาม: ไฟป่าดับง่าย ไฟในใจดับยาก

ผ่านจากเส้นทางที่เป็นแนวกันไฟในป่าดิบแล้ง ในที่สุดเด็กๆ และครอบครัวก็เดินขึ้นไปถึงเขตป่าเบญจพรรณและมองเห็นป่าเต็งรังอยู่ด้านที่สูงขึ้นไปอีกระดับ พื้นที่ช่วงนี้เมื่อเดือนก่อนเกิดไฟป่าลุกลามกว้างใหญ่ จนเรามองเห็นร่องรอยเถ้าถ่านของเพลิงไหม้ได้อย่างชัดเจน 

“ทำไมคนต้องเผาป่าด้วยคะ” เด็กน้อยคนหนึ่งยกมือขึ้นถามคำถามที่สำคัญ  

ลุงอ้วนยิ้มพลางบอกเล่าว่า บางครั้งไฟป่าก็มีความสำคัญหากเกิดขึ้นเล็กน้อยพอประมาณ เพราะช่วยกระตุ้นเมล็ดไม้ให้รีบเติบโตงอกงามด้วยตัวเอง 

ไฟป่ามีหลายแบบ ทั้ง ไฟมุดดิน คือไฟที่ถูกจุดให้สุมขอน เผาไหม้รากไม้ ไฟผิวดิน ที่ไหม้กิ่งไม้และใบไม้แห้ง ไฟแบบนี้ทำให้ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็วเพราะในฤดูแล้งใบไม้แห้งปกคลุมทั่วทั้งผืนป่า การทำแนวกันไฟจึงช่วยป้องกันไฟแบบนี้ได้ ไฟกระโดด คือไฟที่ลุกลาม บางครั้งเผาไหม้ไปตามกิ่งไผ่ที่คดโค้ง ข้ามแนวกันไฟไปยังป่าอีกฟากฝั่ง ไฟลอย คือไฟที่ไหม้จากจุดหนึ่งแล้วถูกลมพัดปลิวไปยังจุดอื่น ทั้งไฟลอยและไฟกระโดดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไฟป่าลุกลามและดับได้ยาก หลายครั้งเปลวไฟลอยเข้าไปในพื้นที่ป่าที่เข้าถึงได้ยากทำให้ต้องใช้เวลาดับไฟเนิ่นนานยิ่งกว่าเดิม

ไฟป่าที่ว่ามานี้เกือบทั้งหมดเกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดับได้ (ง่าย) แต่ไฟที่รุนแรงแท้จริงและดับได้ยากยิ่งกว่าคือ ไฟในใจ หมายถึง ความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังที่ผู้คนมีต่อกัน เราทุกคนต่างมีไฟนี้ในหัวใจ การจะดับไฟป่าในทางกายภาพได้ บางทีก็ต้องเริ่มจากการดับไฟในใจเป็นสำคัญ

การเดินทางผ่านป่าเบญจพรรณในฤดูแล้งที่ใบไม้ผลัดทิ้งใบเกือบหมด ทำให้ทุกคนเผชิญอากาศร้อนจัด ร่องรอยไฟป่าตามต้นไม้ใหญ่ชวนให้หดหู่ใจ แม้ไฟป่าจะพร่าผลาญเหล่าสรรพชีวิตในผืนป่า แต่ภาพปรากฏบางอย่างตรงหน้าก็นำพาพลังชีวิตให้เราได้มหาศาล  

ทั้งที่ผืนดินแห้งแล้ง ไฟป่าทำลายล้าง แต่ต้นไม้หลายชนิดก็ยังหยัดยืนไม่ยอมแพ้ เราเห็นการแทงยอด การผุดกำเนิดขึ้นมาจากผืนดิน สีเขียวอ่อนนั้นสื่อสารถึงความเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต การเลือกที่จะหยัดยืนต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  

ลุงอ้วนบอกเด็กๆ ว่านี่คือกระบวนการฟื้นตัวของธรรมชาติ สื่อสารถึงพวกเราให้ยืนหยัดต่อชีวิตเช่นเดียวกัน บางครั้งชีวิตของเราก็ทุกข์ทนดั่งถูกไฟผลาญ 

“แต่เราเรียนรู้ที่จะใช้ความร้อนและการทำลายล้างเหล่านั้นนำพาตัวเองไปสู่ความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ไหม” ช่างเป็นคำถามชวนใคร่ครวญในใจยิ่งนัก

บทเรียนที่สี่: ชีวิตคือการเติบโตด้วยตัวเองและเผื่อแผ่ความรักแก่ผู้อื่น

ข้อดีของการเดินป่าหน้าร้อนคือ เด็กได้พบเจอเมล็ดไม้หลายชนิด บางชนิดรูปร่างสวยงามแปลกตา หลายชนิดมีปีกบินได้ ลุงอ้วนบอกเด็กๆ ว่าเพราะต้นไม้ไม่มีขา เวลาแม่ต้นไม้จะนำพาลูกๆ ไปเกิดใหม่ก็ต้องอาศัยแรงลมพัดพาให้เมล็ดไม้แพร่กระจายไปได้ไกลและมากที่สุด ปีกของเมล็ดไม้จึงเป็นเครื่องมือเดินทางไปก่อกำเนิดสร้างชีวิตใหม่ของตัวเอง บางชนิดมีปีกร่อน บางชนิดมีขนปุยเหมือนขนนก เมื่อร่อนไปแล้วขนจะหลุดร่วงทิ้งไป เหลือไว้แต่เมล็ดไม้ที่ต้องหยั่งรากหยัดยืนด้วยตัวเองต่อไป

เพราะต้นไม้รู้ความลับสำคัญที่ว่า การเติบโตที่ดีที่สุดคือการเติบโตให้พ้นไปจากร่มเงาของพ่อแม่นั่นเอง

สิ่งหนึ่งที่เด็กๆ และหลายครอบครัวได้เรียนรู้ในการเดินป่าครั้งนี้คือ 

ชีวิตเป็นการเติบโตด้วยตัวเอง พ่อแม่บางคนได้เห็นศักยภาพที่ไม่เคยเห็นยามที่ลูกเป็นแค่เด็กน้อยในบ้าน แต่เมื่ออยู่ในท่ามกลางธรรมชาติที่ยากลำบาก ต้องเผชิญหน้าฝ่าฟันด้วยตัวเอง เด็กๆ หลายคนทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาอดทนและไม่พร่ำบ่นเลย 

บางคนหยิบยื่นน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทางตัวน้อย พี่ช่วยน้อง เพื่อนช่วยเพื่อน แบ่งปันอาหาร ขนม น้ำดื่ม ประคับประคอง ปลอบประโลม ยื่นมือโอบอุ้มช่วยเหลือกันและกันด้วยความเต็มใจ เด็กน้อยจากเมืองกรุงคนหนึ่งถึงกับเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ทำไมใจดีจัง” เรียกรอยยิ้มจากเหล่าผู้ใหญ่รอบข้างได้ไม่น้อย

ถ้าเรามีความเชื่อมั่นเพียงพอ เราจะรู้ว่าชีวิตที่แท้คือความเป็นไปได้ เราจะได้เห็นศักยภาพที่ซ่อนเร้นในสถานการณ์ที่ยากลำบากเสมอ หลายครั้งเราทำอะไรได้มากมายกว่าที่เราคิด แต่การอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่คุ้นชิน ทำให้เราไม่เคยต้องดึงสิ่งสำคัญนั้นออกมาใช้งาน จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผัน เราจึงได้พบว่า เราเก่งกว่าที่ตัวเองคิดมากมายนัก การเดินป่าครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเด็กๆ หลายคน ที่ไม่เพียงทำให้เขาค้นพบศักยภาพอันมหาศาลของตัวเองเท่านั้น หากยังเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความภาคภูมิใจในตนเองได้อย่างสูงสุดด้วย

บทเรียนที่ห้า: เมื่อมีที่ว่าง เราจึงเติบโต

เด็กหลายคนร้องไห้กระจองอแงเมื่อเริ่มปีนป่ายขึ้นที่สูง เดินหอบเหนื่อยบนเส้นทางที่สูงชันขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ขณะที่บางคนมุ่งมั่นตั้งใจ ค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางของตัวเองทีละนิด เหนื่อยเมื่อไรก็หยุดพัก บางคนเดินลิ่ว ทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น

อะไรทำให้เด็กที่อายุเท่ากัน มีการแสดงออกในสถานการณ์เดียวกัน-แตกต่างกันออกไป นี่คือหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่พ่อแม่ควรเรียนรู้

เด็กบางคนหวาดกลัว ไม่มั่นใจในคราวแรก แต่เมื่อได้ลองทำ ได้มองเห็นเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทำอย่างไม่หวาดหวั่น ก็รู้สึกมีแรงใจที่จะลงมือทำด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น จนเดินได้เองอย่างแข็งแกร่ง เด็กบางคนเดินกับพ่อแม่ ถูกประคบประหงมจากพ่อแม่ตลอดทาง มีท่าทีอ่อนแอตลอดเวลา แต่ในบางช่วงบางขณะเขาสนุกที่จะเดินกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ความอ่อนแอที่เห็นเมื่อครู่หายไปสิ้น เขาทำได้ทุกอย่างไม่ต่างจากเพื่อน เป็นการข้ามผ่านความกลัวของตัวเอง เสริมสร้างความมั่นใจอย่างกล้าหาญ  

ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘หนูทำได้’ นี่สำคัญนัก และบ่อยครั้งพ่อแม่เองนี่แหละทำให้สิ่งเหล่านี้หล่นหายไปด้วยความรักและห่วงใยที่ ‘เกินความพอดี’ บางที เราในฐานะพ่อแม่อาจต้องเรียนรู้ที่จะต้อง ‘ปล่อยมือ’ บ้าง เพื่อให้ลูกเกิดที่ว่างของการเติบโต การล้มหรือความผิดพลาดก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน แม้แต่พ่อแม่ก็มีสิทธิพลาด เราจงอนุญาตให้ตัวเองเป็น ‘มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ’ ได้โดยไม่ต้องตัดสินตัวเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนทำให้เราแข็งแกร่งและเรียนรู้ที่จะทำได้ถูกต้องในครั้งต่อไปเสมอ

คุณแม่คนหนึ่งแบ่งปันกับฉันในระหว่างเดินป่าว่า เมื่อก่อนเธอห่วงลูกมาก ต้องคอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในทุกเรื่อง บางครั้งเธอเหนื่อยล้าทนไม่ไหว แต่ไม่เคยแสดงออกให้ลูกเห็น ต้องทนทำเป็นเข้มแข็งแล้วประคับประคองลูกต่อไป แต่วันหนึ่งเมื่อเธอได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น เธอพบว่า คนเป็นพ่อแม่มีสิทธิ์เปราะบางได้ และลูกควรได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจพ่อแม่ในฐานะ ‘มนุษย์คนหนึ่ง’ ด้วยเช่นกัน

“เวลาเราล้ม เราเจ็บ เราร้องไห้ได้ แต่เราก็เรียนรู้ว่าเราจะเดินได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป ตอนเดินป่าใหม่ๆ พี่ก็ล้ม ลูกๆ เองได้เห็นว่า แม่ล้มได้ก็ลุกได้ ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปแบบนั้น เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเขาคือต้องเข้มแข็งให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่มารอให้แม่ดูแลอย่างเดียว เพราะวันหนึ่งที่แม่ล้ม เขาจะช่วยแม่ได้ ถ้าเขาหยัดยืนด้วยตัวเองเป็น”  

เนื่องจากเส้นทางการเดินป่าครั้งนี้เป็นการเดินขึ้นและลงดอยที่ลาดชันอย่างสูง (สำหรับคนในเมือง) ขาขึ้นว่าเหนื่อยแล้วเพราะต้องเดินต่อสู้กับแรงโน้มถ่วง แต่ขาลงที่ต้องเดินลัดเลาะป่าไผ่ยิ่งลำบากยิ่งกว่า เพราะทางเดินเต็มไปด้วยกรวดขนาดย่อม (คล้ายดินลูกรัง) ตลอดสองข้างทางไม่มีสิ่งยึดเกาะ บางคนถึงกับลื่นล้มไปตลอดทาง เด็กหลายคนลื่นล้มหลายครั้งเข้าก็ตัดสินใจลื่นไถลไปกับพื้น ผืนป่าร้อนแล้งกลายเป็นสไลเดอร์แสนสนุกขนาดมหึมา ผู้ใหญ่หลายคนได้โอกาสปลุกวิญญาณความเป็นเด็กของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการลื่นไถลตามเด็กๆ ลงมาจนเสื้อผ้าเนื้อตัวเปรอะเปื้อนมอมแมมไปตามๆ กัน 

“ดูสิเสื้อผ้าเปื้อนหมดเลย” เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เสื้อผ้าเปื้อนมันซักได้ แต่ประสบการณ์ที่เราได้วันนี้ นี่หาไม่ได้จากที่ไหนนะเนี่ย” เด็กชายอีกคนหนึ่งตอบ ช่างเป็นถ้อยคำอันงดงามเกินวัยเหลือเกิน ลองมองดูเถิด ทุกๆ ที่ว่างมีการเติบโตอยู่ในนั้นเสมอ ถ้าเราผู้เป็นพ่อแม่ได้เปิดโอกาสให้เขาได้มี “ที่ว่างของการเติบโตด้วยตนเอง”

บทเรียนที่หก: ทุกอย่างบนโลกใบนี้คือหนึ่งเดียวกัน

วันที่สองของการเดินป่ายิ่งสนุกสนานมากกว่าเดิม เพราะเส้นทางการเดินอยู่ในพื้นที่ของสถานีวิจัยสัตว์ป่าเชียงดาวที่ร่มครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอดเส้นทาง ลุงอ้วนบอกเด็กๆ ว่าชีวิตในธรรมชาติคือการพึ่งพาอาศัยและแบ่งปันกันและกัน และทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาเพื่อทำหน้าที่บางประการเสมอ เมื่อมองป่าครั้งใดขอให้เรามองเห็น 3 สิ่งสำคัญ คือ 1) มองเห็นองค์ประกอบ 2) มองเห็นหน้าที่ และ 3) มองเห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ซึ่งบางทีไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา ทว่าอาจเห็นได้ด้วยใจ หัวใจจึงเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน

เราเดินจากค่ายเยาวชนเชียงดาวผ่านหมู่บ้านปกาเกอะญอ-ผู้อยู่ร่วมกับผืนป่าอย่างเคารพนบนอบ ชาวบ้านถือคติว่า “เมื่อกินน้ำ ใช้น้ำ ต้องรู้จักรักษาป่า” ชาวปกาเกอะญอจึงเป็นเรี่ยวแรงสำคัญเสมอในการพิทักษ์รักษาผืนแผ่นดินให้ร่มเย็น ด้านหน้าทางเข้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเชียงดาวมีพื้นที่ชุ่มน้ำเล็กๆ อยู่ เป็นหนึ่งระบบนิเวศย่อยในผืนป่าขนาดใหญ่ พื้นที่ชุ่มน้ำหรือ wetland มีความสำคัญในฐานะแหล่งอนุบาลสัตว์ เป็นตัวกรองสารพิษก่อนที่น้ำจะไหลไปสู่ลำน้ำ ใกล้ๆ กันเป็นพื้นที่ดินโป่งที่สัตว์ป่าได้อาศัยกินแร่ธาตุอาหารและดื่มน้ำอยู่เสมอ

ลุงอ้วนชวนเด็กๆ แหงนมองดูต้นไม้ใหญ่ มองเห็นเฟิร์นและกล้วยไม้หลากชนิดเกาะอยู่บนคาคบไม้ พืชยึดเกาะเหล่านี้ช่วยเก็บรักษาความชื้นไว้ให้ต้นไม้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็เป็นบ้านหลังใหญ่ของมดแมลงตัวจิ๋ว ชายรุ่งริ่งของเฟิร์นกระเช้าสีดาทำหน้าที่ปลดปล่อยสปอร์ให้ล่องลอยไปในอากาศเพื่อกระจายพันธุ์ เถาวัลย์ร้อยรัดต้นไม้ระหว่างต้นต่อต้น เป็นเหมือนเข็มขัดเส้นโตที่ช่วยประคองต้นไม้ใหญ่เอาไว้ยามลมพายุพัดรุนแรง ทุกอย่างในธรรมชาติจึงเกิดมาพร้อมกับหน้าที่บางประการเสมอ

เมื่อเดินลัดเลาะเนินเขาเข้าไปยังลำน้ำ เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าน้ำไม่ใช่แค่น้ำ แต่น้ำในป่ายังเป็นบ้านของสัตว์หลากหลายชนิด ทั้งตัวอ่อนแมลงปอ แมลงชีปะขาว บนผิวน้ำก็มีจิงโจ้น้ำเต้นระบำ แม้แต่ก้อนหินในน้ำก็ยังมีหน้าที่ช่วยเติมออกซิเจนในน้ำ ทุกครั้งที่น้ำไหลกระทบโขดหินจนเกิดการกระฉอกนั่นเปรียบเหมือนกับลำน้ำสายน้อยได้โผล่ขึ้นมาหายใจ แล้วนำออกซิเจนกลับลงไปเติมในน้ำเพื่อแบ่งปันอากาศให้แก่สรรพชีวิตในน้ำด้วยเช่นกัน 

นี่คือชั่วขณะสำคัญที่หลายคนได้ตระหนักรู้ว่า ลมหายใจของเรา ต้นไม้ และสายน้ำคือหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงเหมือนอย่างที่ลุงอ้วนกล่าวไว้ว่า หายใจครั้งใดให้คิดถึงป่า ดื่มน้ำครั้งใดให้คิดถึงต้นไม้และภูเขา เพราะทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในยามแล้งเช่นนี้ ปริมาณน้ำในลำน้ำแม่ก๊ะลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนเห็นพื้นทรายปรากฏขึ้นเป็นช่วงๆ นี่เป็นโอกาสทองของเมล็ดไม้น้อยใหญ่ จะรีบหยั่งรากเติบโต บางช่วงเราเห็นสายน้ำขุ่นข้นดำปี๋ ลุงอ้วนว่านี่คือหน้าดินชั้นดีทั้งนั้น ที่ถูกน้ำฝนชะล้างลงมาจากป่าบนดอย เพราะป่าบางส่วนถูกถากถางทำลายเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวจนหน้าดินเสียหายหมด

กล้วยป่าริมธารกำลังแตกหน่อ มันเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของสัตว์น้อยใหญ่ในป่า รากที่ยึดตลิ่งเอาไว้เป็นบ้านของปลาน้อยๆ ต้นไม้แต่ละชนิดเลือกเติบโตในพื้นที่เหมาะสมกับตัวเอง เราเองก็เช่นกัน บางครั้งอาจต้องมองหาผืนแผ่นดินที่ใช่ แล้วเลือกหยั่งรากงอกงามบนความเข้มแข็งของตัวเอง ไม่ใช่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น หากเพื่อเป็นที่พึ่งของสรรพสิ่งรอบข้างด้วย นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสื่อสารชี้ชวนให้เรามองเห็น

สำหรับเด็กๆ หลายคนนี่คือการเดินป่าในน้ำครั้งแรก อาจนำพาความกลัวและความไม่มั่นใจในคราวแรก แต่เมื่อคุ้นเคยจึงเริ่มสนุกสนานมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติเป็นสวนสนุกและห้องเรียนขนาดใหญ่สำหรับเด็กเสมอ 

เด็กโตสนุกสนานกับการผจญภัย เด็กเล็กเพลิดเพลินกับสัตว์น้ำ ดอกไม้ริมทางแปลกตา บ้างก็ลืมเวลากับการลงแช่ในลำธารที่เย็นฉ่ำชื่นใจ ทุกอย่างคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่หาไม่ได้ในห้องเรียนสี่เหลี่ยม

การก้าวเดินทวนกระแสในสายน้ำ การเหยียบย่ำไปบนผืนทราย บนกรวดหินที่ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ การก้าวเดินไปบนท่อนไม้ที่ทอดตัวยาวเหยียด ทั้งหมดนี้คือบทเรียนน้อยๆ ที่ทั้งน่าหวั่นใจและเสริมสร้างความมั่นใจให้เด็กๆ ของเราทุกคน ได้มองเห็นศักยภาพของตัวเอง ได้เติบโตจากการข้ามผ่านความกลัวและเสริมสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง

ธรรมชาติจึงเป็นห้องเรียนห้องใหญ่ที่เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ เป็นการเรียนรู้ที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง และเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้อย่างแท้จริง

ธรรมชาติจึงเป็นห้องเรียนห้องใหญ่ที่เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ เป็นการเรียนรู้ที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง และเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้อย่างแท้จริง

กิจกรรม ด.เด็กเดินป่า เป็นกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อบ่มเพาะความรักต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จัดขึ้นปีละสองครั้งคือ เสาร์อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคมและเดือนตุลาคม เป็นกิจกรรมที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการร่วมกิจกรรม (แต่หากต้องการพักค้างคืนหรือกินอาหารในระหว่างพักแรมสามารถสมทบเงินบริจาคได้) ค่ายเยาวชนเชียงดาวมีกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในปี 2562 นี้มีการปลูกป่าตลอดช่วงฤดูฝนทุกสัปดาห์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Nikom Putta หรือสอบถามที่ โทร. 081 992 6031

Tags:

เชียงใหม่เข้าป่าสิ่งแวดล้อมeco literacy

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

งานทำคุณ หรือคุณทำงาน คำถามจากหนังสือ A LIFE AT WORK – ที่ทางของคุณบนโลกนี้
BookHow to enjoy life
20 June 2019

งานทำคุณ หรือคุณทำงาน คำถามจากหนังสือ A LIFE AT WORK – ที่ทางของคุณบนโลกนี้

เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • จากหนังสือ A Life at Work – ที่ทางของคุณบนโลกใบนี้ ตั้งคำถามสำคัญว่า ทุกวันนี้คุณมีความสุขกับงาน…ดีอยู่ไหม
  • ถ้าพยักหน้าและบอกว่าใช่ คุณไม่จำเป็นต้องอ่านบทความนี้ เพราะนั่นหมายความว่าคุณมีไดมอน หรือ ดูเอ็นเด ในชีวิตแล้ว
  • แต่ถ้ายังลังเล หรือตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่ อยากชวนคุณหาเวลาว่าง (รับรองไม่เกิน 15 นาที) อ่านบทความชิ้นนี้ที่จะชวนคุณย้อนสำรวจตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ว่า งานกำลังทำคุณ หรือ คุณกำลังทำงาน

ทุกวันนี้สิ่งที่คุณทำ ซึ่งอาจจะหมายถึงงาน หรือบทบาทหน้าที่ต่างๆ สอดรับกับความเป็นคุณมากน้อยแค่ไหน?

ทุกวันนี้คุณมีความสุขกับสิ่งที่เรียกว่าบทบาทหน้าที่ไหม?

คุณค้นพบศักยภาพที่จะหลอมรวมสิ่งที่ทำเพื่อบรรลุการอยู่รอดและการอยู่อย่างมีความหมายไหม?

คำถามแง่มุมเหล่านี้ เพื่ออยากเปิดโอกาสให้คุณได้พบเจอกับความหมายแห่งชีวิต หากคุณพบเจองานของชีวิตที่ทำแล้วมีสุขที่ใจ และค้นพบการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ช่วยให้คุณค้นพบการขัดเกลาศักยภาพที่คุณมีอยู่ให้เติบโตได้ 

ผู้เขียนขอถ่ายทอดเนื้อหาบางตอนจากหนังสือที่ทางของคุณบนโลกใบนี้ หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า A Life at Work โดยสำนักพิมพ์โอ้มายก้อดที่พาให้เราสำรวจที่ทางของเราบนโลกใบนี้

หนังสือ A Life at Work ที่ทางของคุณบนโลกใบนี้

เราจะลองเดินทางภายในและฝึก ‘ฟังเสียงเรียก’ เพื่อค้นหาสิ่งที่คุณเกิดมาเพื่อกระทำ

มีผู้คนมากมายที่ภายนอกดูยิ้มแย้มแจ่มใส มีชีวิตที่ดูผิวเผินไปได้สวย แต่ลึกๆ กลับหมดหวังกับงานที่ตนเองทำ การไม่สามารถหางานที่ใช่ หรือมีความสุขกับงานที่มี ก่อให้เกิดความเศร้าหดหู่ภายใน

ทว่าการงานที่มีความหมายต่อวิญญาณเรา ก็มิได้สร้างกันง่ายดาย ยิ่งในยุคของการให้คุณค่าการหาเลี้ยงปากท้อง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่พอกพูน เราจึงต้องมีเงินมากๆ เท่าที่จะทำได้ มีงานที่พอจะทนได้ และบริษัท (นายจ้าง) เองด้วยที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากมายกับ ‘เสียงเรียก’ ภายในของแต่ละคน ขอเพียงให้พนักงานต่างทำหน้าที่ของตนให้บรรลุตามเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ 

และทัศนคติที่ขัดต่อการค้นหาการงานที่มีความหมายคือ เรามักไม่เล็งเห็นว่า ที่ทำงานคือห้องทดลองให้จิตวิญญาณเราพัฒนา แต่กลับมองไปที่ความกังวลต่างๆ ที่เราจะได้รับ เช่น ค่าตอบแทน ภาพลักษณ์ ความก้าวหน้า ในขณะที่การพัฒนาชีวิตการทำงานจะส่งผลอย่างลุ่มลึกในการใช้ชีวิตประจำวัน 

การทำสิ่งที่รัก เรียนรู้จากความท้าทายต่างๆ ที่เข้ามา มีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน มักจะช่วยให้คุณรู้สึกสงบสบายใจ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่มนุษย์เราต้องการจะพบเจอ 

งานด้านบำบัดจะมองไปที่รากเหง้าของสภาพครอบครัว และมุมมองที่คุณมองตัวเอง เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะกำลังกดทับเส้นทางที่เป็นตัวคุณอยู่ หรือในบางราย ก็อาจจะมีเรื่องการสั่งสมอารมณ์ลบๆ มานานหลายปี เมื่อไม่ได้รับการคลี่คลายอย่างเหมาะสม ก็อาจกลายเป็นความซึมเศร้า ขาดแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งที่ตนต้องการ หรือไม่ก็เกิดเป็นช่องว่างระหว่างความทะเยอทะยานกับความสำเร็จที่เจ้าตัวอาจจะไม่พยายามมองมัน ทำให้อยู่ในสภาพของ ‘การย่ำอยู่กับที่’ 

ตัวอย่างของ สก็อตตี้ (ตัวละครในหนังสือ) ที่เขาโกรธตัวเองที่ไม่เอาไหน แต่กลับไปลงกับครอบครัว พวกเขาอยู่ใกล้มือและไม่มีวันเอาความลับของเขาไปพูด ทั้งภาวะติดสุรา ความเกรี้ยวกราด และความล้มเหลว ก็เป็นความหงุดหงิดที่ชีวิตไม่มีความคืบหน้า 

หลายคนบนโลกต่างส่งเสียงบอกให้คุณต้องเดินไปจนถึงที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการเดินทางขาขึ้น และมีความก้าวหน้าในชีวิตตลอดเวลา เสียงเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่คุณต้องคอยฟัง ต้องคอยตอบสนองด้วยความตึงเครียด ซึ่งอาจจะยิ่งส่งผลกระทบไปสู่เสียงของความรู้สึกย่ำแย่กับตัวเองที่ต้องจมปลักกับที่เดิม แต่แท้จริงแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าเพราะคุณไม่เคยเจองานที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ฝันและหวัง

และถ้าคุณกำลังคิดอยากจะทำตามเสียงเพรียกภายในแล้ว คุณจะเริ่มคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ถือเป็นอีกประเด็นที่สำคัญ เพราะนานมาแล้วที่คุณเรียนหนังสือจนจบ กว่าจะฝึกฝนจนเป็นงาน กว่าจะมาถึงตรงนี้ คุณได้ลงทุนปรับเปลี่ยนหลายอย่างเลยทีเดียว เพื่อให้ตัวตนของคุณเข้ากับงาน ฉะนั้นไม่ง่ายเลย เมื่อคุณคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงไปหาสิ่งใหม่ที่อยากทำจริงๆ

มันหมายถึงว่า คุณจะต้องค้นหาบทเรียนใหม่ แบบฝึกหัดใหม่ในการเปลี่ยนแปลงตัวตนหรือบุคลิกภาพ เพื่อรองรับกับสิ่งใหม่ และหลายคนจะมองจุดนี้ว่าเป็น ‘อุปสรรคที่ขวางใจไม่ให้ฟังเสียงเพรียก’

ไม่ใช่ว่าคุณไม่มีเสียงเพรียกเหล่านั้น แต่ใจคุณกลัวจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ สภาวะแบบนี้เหมือนเรากำลังยืนอยู่ตรงทางแยก ด้านหนึ่งคือความมั่นคง คุ้นเคย แต่อีกด้านหนึ่งคือ เส้นทางใหม่ เป็นความไม่รู้ 

ถึงแม้ว่า รากฐานความมั่นคงเดิมอาจจะช่วยเอื้อให้คุณทำสิ่งใหม่ได้ดี และอาจจะกลายเป็นความรู้สึกหวั่นไหวหากจะต้องจากความมั่นคงนั้นๆ ไปสู่ความไม่รู้ เช่น หากคุณเป็นบุรุษไปรษณีย์และมีเพียงวันหยุดที่สามารถเล่นดนตรีได้ แต่เสียงเรียกภายในเรียกร้องให้คุณเป็นนักดนตรีมืออาชีพ คุณนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะทำมันอย่างเต็มเวลาได้อย่างไร 

บางทีเราอาจจะติดกับดักของความคิดเรื่องเสียงเรียก เพราะมันจำกัดจำเพาะเกินไป ชัดเจนเกินไป จนความเป็นคุณไม่สามารถตอบสนองกับเสียงเหล่านั้นได้ จะดีเมื่อคุณสำรวจทางเลือกหลากหลายแบบ และสนุกไปกับการเดินทาง คุณอาจจะได้ทำหลายอย่างจนพบสิ่งที่เหมาะจริงๆ ถึงแม้หลายสิ่งที่ทำอาจจะดูขัดแย้งกัน แต่ละสิ่งก็มีเจตนารมณ์ในตัวมันเองที่อาจจะช่วยให้คุณตระเตรียมเพื่อจะพบเจอกับสิ่งที่ใช่

โทมัส มัวร์ (ผู้เขียนหนังสือ) เองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีเสียงเรียกที่ใช่หลายเสียง เขาเป็นทั้งบาทหลวง ครู นักดนตรี นักบำบัด และนักเขียน ถึงแม้จะมีครอบครัวไปพร้อมกันด้วย เขาก็ใฝ่ฝันที่จะเติมเต็มสิ่งที่โหยหาอยู่เสมอ 

มัวร์เคยให้คำปรึกษากับบาทหลวงวัยเจ็ดสิบท่านหนึ่ง ผู้ไม่เคยรู้สึกว่ามีเสียงเรียกให้เป็นนักบวช แต่เขาก็เป็นมานานกว่าครึ่งศตวรรษ เขาเสียใจที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสิ่งที่ไม่รู้สึกว่าเป็นเสียงเรียกให้ทำ พอเข้าวัยชรา เขารู้สึกขมขื่นและซึมเศร้า เขาจะนำภาพวาดสีสดสวยมานั่งจ้อง พลางมองหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากความเศร้านั้น เขาค้นพบความเพลิดเพลินละมุนละไมที่ได้แสดงความรู้สึกผ่านงานศิลปะและจิตวิทยา ถึงแม้เขาจะค้นพบว่า เขาไม่ได้อยากเป็นบาทหลวงแต่เขาก็ทำมันได้ดีทีเดียว มีผู้คนเข้าหาและรักเขามากมาย เขายังคงพูดถึงภาวะซึมเศร้าของตัวเองพร้อมไปกับการค้นพบพลังชีวิตใหม่ด้วย 

“มัวร์คิดว่า จริงๆ แล้ว ชายผู้นี้มีเสียงเรียกให้บวช ซึ่งเขาทำได้ดีมาก ทว่าเขามาถึงจุดที่ได้ลิ้มรสทางโลกซึ่งได้ละไปนับตั้งแต่ปฏิญาณตน และเขาอยากได้ชีวิตใหม่นี้เหลือเกิน สถานการณ์นี้น่าเศร้า แต่ก็เป็นความเศร้าระคนสุข เพราะความเศร้าทำให้เขาเป็นปุถุชนมากขึ้น ได้เชื่อมโยงกับผู้คนรอบตัวมากขึ้น ความเบิกบานและอารมณ์ขันของเขาถูกความหดหู่เศร้าหมองกลบไว้ แต่ของขวัญนี้ก็ยังอยู่ 

นี่คือชายผู้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างสองเสียงเรียก เสียงหนึ่งมีสีสันของความเสียใจ ส่วนอีกเสียงคล้ายว่าเป็นไปไม่ได้ในวัยอย่างเขา อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เขารู้สึก แต่สุดท้ายการมองโลกแง่ดีเริ่มปรากฏ กระแสความซึมเศร้าในตัวยังไม่หายไป แต่เขาสามารถเป็นนักบวชอีกประเภทที่ทุกวันนี้เชี่ยวชาญการให้คำปรึกษา การใช้ศิลปะบำบัด และรู้จักอุปสรรคที่คนเราต้องฝ่าฟันดียิ่งกว่า” 

เมื่อคุณค้นพบงานที่ใช่ เมื่อนั้นคุณมีชีวิตชีวา งานจะเยียวยาคุณได้เอง เอื้อให้คุณรู้สึกสัมผัสกับธรรมชาติรอบข้างอย่างไม่ต้องพยายามใดๆ เสมือนการทาบกิ่งของต้นไม้ เมื่อการทาบกิ่งระหว่างตัวคุณกับสิ่งที่คุณรักจะทำ มันก็ช่วยให้ต้นไม้นั้นผลิดอกออกผลในที่สุด 

‘ไดมอน’ แห่งการงาน

‘ไดมอน’ เป็นแนวความเชื่อของชาวกรีกโบราณที่มองว่าคือแรงกระตุ้นผลักดันให้คุณทำด้วยความมุ่งมั่น และเป็นพลังที่อยู่เบื้องหลังความหลงใหล เช่น คุณอาจมุ่งมั่นกับการเสาะหาคู่แท้ ถ้าไดมอนของคุณเป็นเรื่องความสวยความงาม คุณอาจจะหลงใหลเสื้อผ้าอาภรณ์และการใส่ใจร่างกายดูแลตัวเองให้อ่อนเยาว์ นี่แหละคือความสร้างสรรค์มากมายที่รอคุณอยู่ 

ชาวโรมันเชื่อว่า เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมไดมอน หรือในภาษาของเขาเรียก ‘จีเนียส’ คือแรงปรารถนาลึกๆ กับแรงขับเคลื่อนที่อยู่กับเราชั่วชีวิต และมีอยู่ตั้งแต่เรากำเนิด บางทีเราแค่เรียนรู้มากขึ้นว่า มันเป็นอะไรและสามารถพาเราไปได้ถึงไหน 

ไดมอนเป็นแรงกระตุ้นพื้นฐานที่สร้างสรรค์ มันไม่ได้ดลใจให้อยากประกอบอาชีพใดอาชีพหนึ่งอย่างชัดเจน เวลาที่คุณก้าวถอยออกมามองหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำ คุณอาจจะเห็นต้นตอของแรงบันดาลใจและเส้นทางที่จำเป็น คล้ายแรงปะทุ หรือถึงขั้นล่วงล้ำเข้ามาในชีวิต คุณอาจต่อสู้กับมัน คิดว่ามันเป็นอิทธิพลในเชิงลบ 

คนไข้ของมัวร์ หลายคนฝันในตอนกลางคืนว่าได้เปิดประตูบ้านค้างไว้ หรือหน้าต่างเปิดแง้มอยู่ และเมื่อตื่นขึ้นก็เกิดความกังวลว่าจะมีเหตุร้ายเข้าโจมตี แต่อาจจะเป็นไดมอนจอมสร้างสรรค์ที่เป็นผู้บุกรุกเข้ามาหาคุณก็เป็นได้

ชวนให้คุณเริ่มจากการมองย้อนกลับไปในชีวิต แม้จะยังเด็กอยู่ก็ตาม และสังเกตสิ่งที่คุณหลงใหล สนใจ และปรารถนา คุณอาจบดบังไดมอนในตัวเองด้วยการพยายามมากเกินไปที่จะเป็นคนมีเหตุผลและทำตามประเพณีนิยม ต้องมองลึกลงไปว่าคุณมีความรู้สึกแรงกล้ากับอะไร 

การอยู่กับไดมอนอาจหมายถึงการฝึกฟังเสียงภายในที่คอยกระซิบคุณเสมอ และเทใจเรียนรู้ผ่านกาลเวลาที่มีวิธีแสดงตัวออกมาอย่างจำเพาะ เพียงคุณต้องศึกษาว่าเมื่อไรที่ควรเดินตามทางของตัวเอง บางทีมันอาจจะลอยมาผ่านไอเดียที่เกิดขึ้นทันใดในใจ ‘ปิ๊งแว้บ’ และลองหาวาระเหมาะๆ ที่จะลองทำโดยไม่คาดคิดถึงข้อผิดพลาด อย่างน้อยคุณก็จะได้ศึกษาว่าผิดตรงไหน เพราะประตูบานนี้ไม่เคยปิดใส่คุณเมื่อคุณทำพลาด 

หลายคนเมื่อไม่ได้ทำตามเสียงเรียกจากสิ่งที่ตนปรารถนา พลังของไดมอนอาจจะผลักดันให้คุณไปอีกทางที่ตรงกันข้าม เช่น พาคุณไปสู่กิจกรรมที่บั่นทอนพลังชีวิต เช่น การดื่ม กิน เที่ยว หรือการเสพติดต่างๆ 

รอลโล เมย์ นักจิตวิเคราะห์แนวอัตถิภาวนิยมย้ำว่า ไดมอนสามารถครอบงำเราได้จนเกินจะรับไหว จนเมื่อคุณเปิดพื้นที่ในตัวคุณมากพอที่จะวางใจการนำพาของไดมอนที่อยู่ลึกๆ ขอให้คุณปล่อยให้ตัวเองได้ทดลองความคิดบางอย่างที่ไม่จำกัดตนเอง แม้คนแก่อายุ 94 ก็ยังเริ่มฝึกเล่นเปียโนได้อยู่เลย ลองนึกภาพดูสิว่า หากผู้คนทั้งหนุ่มสาวต่างมีอิสระที่จะปลดปล่อยศักยภาพไดมอน บ้านเมืองคุณจะมีภาพเช่นไร 

“ที่แฝงอยู่ในแนวคิดเรื่องการงานแห่งชีวิตคือ การเติมความหลงใหลเข้าไปในสิ่งที่พบเจอทุกวัน คุณปลดปล่อยความอยาก ความกลัว และความรัก ให้มันเพิ่มชีวิตชีวาให้กับงานที่ทำ คุณคงไม่วาดภาพคนที่กำลังทำงานแห่งชีวิตว่าเป็นคนเซื่องซึมและหดหู่ คุณคงมองว่าพวกเขาเป็นคนมีปฏิสัมพันธ์กับโลก หัวรั้น ความอดทนต่ำ และแกร่ง 

จวบจนถึงบั้นปลายชีวิตอันแสนสั้น ของ เฟเดอริโก การ์เซีย ลอร์กา ได้แต่งบทประพันธ์อันลือลั่นถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ดูเอ็นเด’ (Duende) ที่ทำให้นึกถึงธาตุที่ใกล้เคียงกับการใช้ชีวิตโดยมีไดมอนนำทาง ดูเอ็นเด เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย แต่เป็นอารมณ์แรงกล้าที่คุณสัมผัสได้ในตัวศิลปินหรือนักกีฬา ผู้ก้าวถึงจุดที่เรียกว่า ‘ขั้นเทพ’ 

ลอร์กาบอกเราว่า ไม่มีแผนที่หรือแบบฝึกหัดใดจะช่วยให้เราค้นพบดูเอ็นเด 

“เรารู้แต่เพียงว่ามันทำให้เลือดในกายร้อนรุ่มราวพอกยาสมานแผล ทำให้เหนื่อยล้าและปฏิเสธทุกสมการหอมหวานที่เราเคยเรียน มันทำลายรูปแบบคุกคามมนุษย์ให้ทุกข์ทรมานอย่างไม่ไยดี” 

มันคืออารมณ์แรงกล้าที่วิ่งจากปลายเท้าของลอร์ดนักกีตาร์ผู้ได้แรงบันดาลใจ 

ดูเอ็นเด ยอมให้คุณทำการงานแห่งชีวิตด้วยอารมณ์แรงกล้าอย่างฉลาดล้ำเหนือทักษะมนุษย์ มันคือแรงบันดาลใจลึกๆ ที่ใช้ได้กับงานทุกประเภท 

ดูเอ็นเด คือความสามารถที่กล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งที่คุณทำ และกระทำอย่างไม่สนใจว่าสังคมผู้ดีจะเห็นชอบหรือไม่ คุณทำเพราะรู้สึกว่าต้องทำ และเติมความปรารถนากับความเต็มใจที่จะเสี่ยงเข้าไป คุณคว้าโอกาสและกล้าล้อเล่นกับความล้มเหลว กล้าเสี่ยงที่จะออกไปเผชิญโลกในฐานะผู้มีอารมณ์แรงกล้าบ้าบิ่น 

และหนึ่งในเหตุผลที่คนเราไม่พบการงานแห่งชีวิตอาจเป็นเพราะว่า พวกเขาไม่เต็มใจจะต้อนรับ ดูเอ็นเด 

การงานแห่งชีวิตอาจเรียกร้องจากคุณมากกว่าที่คุณอยากให้เป็น มันอาจพาคุณไปยังทิศทางที่คุณตั้งใจแล้วว่าจะหลีกเลี่ยง ซึ่งอาจถึงขั้นขอให้คุณยอมศิโรราบ และยอมเสี่ยงอย่างทุ่มสุดตัว 

โดนัลด์ มาร์ติน เจนนิ มีไดมอนที่สงบเสงี่ยมแต่ทรงพลัง เขาเป็นคนประเภทที่ฉายแววเจิดจ้าเวลาที่พูดถึงสิ่งที่เขาเชื่อมั่น ไม่แปลกใจเลยที่ผู้มีพรสวรรค์ทางดนตรีและภาษามากอย่างเขาใช้ชีวิตเรียบง่าย สอนดนตรีในมหาวิทยาลัย บทบาทนักการศึกษาช่วยให้เขาได้แสดงลมหายใจแห่งอัจฉริยภาพ และความลึกล้ำออกมา มันมอบสภาพแวดล้อมที่เหมาะจะอวดดูเอ็นเดของเขา ลำพังการเป็นนักประพันธ์หรือผู้แสดงคงไม่อาจมอบเวทีที่เหมาะสมให้กับเขาได้ 

ลอร์กาพูดถึงอารมณ์สร้างสรรค์อันร้อนแรงของ ดูเอ็นเด ว่าใกล้เคียงกับความตาย ซึ่งจะหมายถึงการอวสานของแผนการที่คุณเตรียมไว้ รวมถึงตัวตนที่คุณคุ้นเคย และการควบคุมชีวิตตัวเอง คุณปล่อยวางทิ้งตัวดิ่งสู่ปลายทางที่ไม่อาจหยั่งรู้ ยอมให้บางสิ่งที่มีพลังเกิดขึ้น จะมีวิธีไหนอีกล่ะที่คุณจะได้อำนาจซึ่งคุณไม่อาจควบคุม 

อย่างที่ศิลปินหรือนักดนตรีรู้ดี คุณไม่อาจสร้างผลงานที่ส่งผลกระทบอย่างยอดเยี่ยมได้ถ้าไม่ปล่อยให้พลังไดมอนมีอิทธิพลเต็มที่ ถ้าคุณใช้แค่เหตุผลกับงานในมือ ผลที่ได้ย่อมมีแต่เหตุและผล การทำงานจากส่วนลึกสร้างผลกระทบที่ลึกซึ้งมาก และมันเป็นแบบนี้กับทุกงานและทุกอย่าง ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความหมายผ่านสิ่งที่คุณทำ คุณต้องปล่อยให้อารมณ์ลึกสุด

แต่ทั้งหมดนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน คุณอาจจะต้องเตรียมตัวตลอดชีวิตเพื่อรองานที่มีแววของไดมอน คุณต้องรับมือกับแรงต้าน ความกลัว ความเคยชิน และความปรารถนาที่จะเข้าควบคุม คุณต้องหัดที่จะรู้ว่า รู้สึกอย่างไรเมื่อเปิดใจรับไดมอน คุณต้องยอมให้บุคลิกของตนไปในทิศทางที่สอดคล้องกับไดมอน 

ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย หรือรวดเร็ว แน่นอนว่า การเปิดใจมากเกินไปจนอาจจะทำให้ขาดการระมัดระวัง แต่แม้น้อมรับแรงบันดาลใจและสัญชาตญาณพอประมาณก็อาจเพียงพอแก่ความต้องการให้ชีวิตมีพลังและมีความหมาย 

การงานแห่งชีวิตจะปรากฏให้เห็นได้หลายรูปแบบ คุณต้องตื่นตัวยามที่มันแสดง มันไม่ประกาศตัวอย่างมีเหตุผล แต่อาจจะมาในรูปของการบอกและโอกาส คุณต้องฟังเสียงเรียกภายในอย่างจริงจัง ทำตามมันให้ได้มากที่สุด สังเกตว่ามีตรงไหนที่คุณลังเลและรู้สึกตงิดติดขัด ไดมอนแนะนำได้ทั้งทางที่ดีและไม่ดี 

และเมื่อไดมอนกับดูเอ็นเดไหลมารวมกัน คุณจะพบว่าการใช้ชีวิตจากส่วนลึกทำให้คุณกระปรี้กระเปร่า คุณไม่ต้องผลักดันตัวเองเข้าไปในชีวิต เพราะลำพังแรงผลักดันของไดมอนก็เพียงพอแล้ว 

จงรักสิ่งที่ทำ แล้วสิ่งที่ทำจะมอบอัตลักษณ์ให้กับคุณ และคุณสามารถสร้างชีวิตที่สมบูรณ์และมีหลายด้านได้โดยไม่รู้สึกว่าถูกแยกร่างหรือแตกสลาย สุดท้ายแล้วนั้น ชีวิตคือความอุดมสมบูรณ์ คุณจะได้ลิ้มรสความอุดมสมบูรณ์นั้นก็ต่อเมื่อ คุณใกล้ชิดกับพลังขับเคลื่อนในการงานแห่งชีวิต

Tags:

หนังสือจิตวิทยาชีวิตการทำงานspiritual

Author:

illustrator

ญาดา สันติสุขสกุล

Related Posts

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    ใช่หรือไม่ ว่าสิ่งที่เรามักจะขุ่นเคืองไม่พอใจผู้อื่น นั่นคือตัวตนที่เราไม่สามารถเป็นได้

    เรื่อง ศรีสุภา ส่งแสงขจร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ
Voice of New Gen
19 June 2019

INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • นวัตกรรมของนวัตกรคนอื่นๆ อาจเกิดจากการขบคิดหวังแก้ปัญหาให้สังคม แต่ Inshelter เกิดมาจากความขี้เกียจล้วนๆ
  • เพราะไอเดียเกิดจากแม่สั่งให้ไปตากผ้าแต่ตัวเองติดพันเล่นเกมอยู่ จึงอยากได้ตัวช่วยเก็บผ้าให้โดยไม่ต้องออกไปทำเอง
  • เรื่องเล่าของพวกเขาอาจบอกให้รู้ว่า อย่าดูถูกไอเดียที่ดูกิ๊กก๊อก และอย่าเพิ่งรีบร้อน บั่นทอนตัวเองด้วยการพูดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

คุณเคยมีปัญหาตากผ้าแล้วลืมเก็บจนฝนตกผ้าเปียกไหม? 

เพราะฟ้าฝนเมืองไทยมักไม่ค่อยเป็นใจสำหรับการตากผ้า จากแดดจ้าๆ เผลอแวบเดียวฝนก็ตก จนคนตากต้องวิ่งตาตั้งตามเก็บ ถ้ากำลังทำติดพันทำอย่างอื่นอยู่ ก็ไม่แคล้วได้ผ้าเปียกอับชื้นมาให้ซักใหม่

เพราะปัญหาแดดฝนไม่เป็นใจนี่เอง ทำให้ Inshelter ราวตากผ้าอัจฉริยะ เกิดขึ้น ให้เราสามารถตากผ้าได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพะวงคอยเก็บผ้า เพราะเมื่อฝนมา ราวอัจฉริยะจะเก็บผ้าแทนเราเอง

ขอชวนไปรู้จักกับราวตากผ้าอัจฉริยะนี้ พร้อมๆ กับทำความรู้จักนวัตกร 6 หนุ่มแดนใต้ พัชรพล จริงจิตร (ฟอร์ด) ชญานนท์ แซ่ลี้ (เนย) ธนาพล เพชรชนัฐ (โอห์ม) ธราเทพ แซ่ลิ่ม (เกมส์) เดชธนา ปัตตะพัฒน์ (เจ) รัฐกรณ์ พัฒโน (ปลั๊ก) ที่สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่า พวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนที่หลงเขาวงกต

ราวตากผ้าอัจฉริยะเกี่ยวอะไรกับเขาวงกต? พวกเขาพร้อมจะเล่าให้ฟังแล้ว…

นวัตกรรมเกิดได้จากความขี้เกียจ

นวัตกรรมของนวัตกรคนอื่นๆ อาจเกิดจากการขบคิดหวังแก้ปัญหาให้สังคม แต่สำหรับปลั๊ก Inshelter เกิดมาจากความขี้เกียจล้วนๆ

“ตอนนั้น ผม เนย ปลั๊ก กำลังคิดโปรเจ็คต์ ม.6 ว่าจะทำอะไรดี คิดกันไว้หลายอย่างแต่ไม่เวิร์ค จนเหลืออีกแค่สองวันต้องส่งหัวข้อ ปลั๊กก็บอกว่าเราทำราวตากผ้าอัจฉริยะกันไหม เพราะเขาเคยเล่นเกมอยู่ แล้วแม่ใช้ให้ไปเก็บผ้า แต่มันเป็นเกมที่หยุดไม่ได้ (หัวเราะ) ก็ต้องเล่นต่อไป” ฟอร์ดเล่าถึงแนวคิดผลงานด้วยรอยยิ้ม

ถึงจะตั้งต้นมาจากความขี้เกียจ แต่กลับเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเป้าหมายคุณแม่บ้านที่มีปัญหากับการตากและเก็บผ้า กระนั้น ปลั๊ก-ฟอร์ด-เนย ก็ยอมรับตามตรงว่า ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มต้นจากอะไร

“ได้โจทย์แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลองไปถามอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ก็แนะนำให้ไปดูราวตากผ้าว่ามันเป็นอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไร หาผ้ามาปิดไหม แล้ววิธีการปิดผ้าใช้ลักษณะไหนดี เราไปนั่งคิดกันประมาณ 1-2 เดือนกว่าจะออกมาเป็นรุ่นแรก ซึ่งยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ฟอร์ดเล่าถึงผลงานรุ่นแรกที่พัฒนาส่งประกวด NSC ก่อนจะต่อยอดมาถึงโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ 

Inshelter รุ่นแรกนั้นมีลักษณะเป็นราวรูปตัวยูคว่ำสูง 60 เซนติเมตร มีราวสำหรับแขวนผ้าแกนเดียว มีรอกร้อยผ้าสำหรับเลื่อนปิดเวลาฝนตก ที่ควบคุมด้วยโปรแกรมสั่งงาน ซึ่งเมื่อทีมมองย้อนกลับไปพวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดูไม่ได้!” 

และกรรมการเองก็เห็นด้วย ต่างแต่เพียงกรรมการมองเห็นถึงไอเดียที่น่าสนใจ และความเป็นไปได้ที่น่าจะพัฒนาออกมาให้ดีมากขึ้น Inshelter จึงผ่านค่ายต่อกล้าฯ ค่ายแรกมาได้ชนิดที่ทีมเองก็ไม่คาดคิด

“ตอนที่รู้ว่าผ่านค่ายแรกก็ดีใจ แต่ก็งงๆ ว่าเขาประกาศผิดหรือเปล่า (หัวเราะ) ผ่านมาแบบงงๆ” ฟอร์ดเล่าอย่างอารมณ์ดี พร้อมบอกว่าเป็นช่วงเวลาไม่นานที่พวกเขาได้ดีใจ เพราะหลังจากนั้นคือการเรียนรู้แบบหฤโหด

“กีฬาหรือดนตรีเราอาจเล่นคนเดียวได้ แข่งกับคนอื่น แต่งานนวัตกรต้องทำร่วมกับคนอื่น มันไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง” เกมส์เล่าให้ฟัง

วิถีการเรียนรู้ระหว่างทาง

ทั้งหกหนุ่มยอมรับตรงไปตรงมาว่า พวกเขาไม่ใช่คนเก่ง แต่พวกเขามีความชอบและความอยากทำ เห็นได้จากอดีตของแต่ละคนที่ล้วนผ่านงานประกวดมาอย่างโชกโชน ทว่างานแต่ละชิ้นที่ผ่านมามักเกิดมาจากแรงบันดาลใจหรือไอเดียฉับพลัน ที่ยังขาดองค์ความรู้รองรับ

Inshelter เองก็เป็นเช่นนั้น…

“ตอนนั้นเราไม่มีความรู้อะไรเลย แค่รู้สึกว่าอยากทำ” ฟอร์ดเล่าย้อนไปถึงตอนที่ทีมได้หัวข้อโปรเจ็คต์ ซึ่งเปรียบได้กับคนที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเขาวงกต และมองเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทาง พวกเขารู้ว่าต้องไปให้ถึงปลายทางนั้น แต่ต้องไปทางไหน จะผ่าเขาวงกตเบื้องหน้าไปได้อย่างไร พวกเขาไม่รู้!

ไม่ผิดถ้าจะบอกว่า พวกเขาเริ่มต้นจากศูนย์…

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่พวกเขาจะเริ่มต้นจากศูนย์แล้วจะหยุดอยู่แค่ศูนย์ตลอดไป

หากคนอื่นต้องเรียนให้รู้ก่อนลงมือทำแล้วล่ะก็ พวกเขากลับใช้รูปแบบของการลงมือทำก่อน แล้วค่อยเรียนรู้ระหว่างทาง ทั้งการเรียนรู้จากผู้รู้และการแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง

และมากกว่าการต้องเรียนรู้ก็คือ การได้รู้ว่าความรู้เพียงด้านเดียว ไม่อาจการันตีว่าจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้

“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่เวลาเริ่มทำอะไรสักอย่าง เราต้องไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้น มันทำให้เรารู้หลายๆ อย่าง และที่สำคัญคือ เราทำคนเดียวไม่ได้ แม้แต่คนที่มีความรู้คล้ายกันมาทำด้วยกันก็ไม่ได้ เพราะต้องมีหลายอย่างมารวมกัน กีฬาหรือดนตรีเราอาจเล่นคนเดียวได้ แข่งกับคนอื่น แต่งานนวัตกรต้องทำร่วมกับคนอื่น มันไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง” เกมส์ ผู้เข้าร่วมกลุ่มในภายหลังกล่าว 

Inshelter ก่อร่างสร้างตัวจากแนวทางนี้ หลังจากพลาดหวังการเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่มาตั้งแต่ ม.4 ถึง ม.5  ในที่สุด ม.6 ปลั๊ก-ฟอร์ด-เนย ก็สามารถผลักดัน Inshelter จนผ่านการคัดเลือกค่ายแรกมาได้ พร้อมๆ กับคำวิจารณ์ให้ปรับแก้ผลงานแบบแทบยกเครื่องใหม่หมด พวกเขาก็ไม่รีรอที่จะชวน เกมส์-โอห์ม-เจ มาช่วยกัน โดยฟอร์ดรับหน้าที่เขียนโปรแกรม เกมส์ที่มีทักษะทางช่างยนต์จากที่บ้าน มาช่วยออกแบบฮาร์ดแวร์ร่วมกับเนยและปลั๊ก โอห์มที่มีทักษะทางไฟฟ้าจากทางบ้าน มาช่วยทำวงจรไฟฟ้า เจที่สนใจเรื่องวงจรอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เด็ก มาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์

“เมื่อก่อนเราทำงานขึ้นมาสักชิ้น เราไม่เคยรู้สึกว่าต้องไปถามผู้ใช้ เราต้องคิดถึงผู้ใช้ด้วยหรือ เราทำเพราะเราอยากทำ แต่งานนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่าผู้ใช้สำคัญมาก” เนยกล่าว

ไอเดียดี ไม่สำคัญเท่าคนใช้ได้

จากการขับเคลื่อนผลงานผ่านแรงบันดาลใจฉับพลัน ใช้วิธีศึกษาเรียนรู้ระหว่างทางไปพร้อมๆ กับการลองผิดลองถูกพัฒนาผลงาน แสวงหาความรู้ด้วยตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ต การสอบถามผู้รู้อย่างรุ่นพี่ มาจนถึงการเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 6 ถือเป็นหมุดหมายที่ช่วยตะล่อมให้พวกเขารู้หลักในการทำงานให้ง่ายและชัดเจนขึ้น

“ค่ายแรกสอนเรื่องปัญหาผู้ใช้ที่ใช้ของของเรา เราจะเจาะจงว่าปัญหาของผู้ใช้คนนี้เราจะแก้อย่างไร เขาเป็นผู้ใช้ประเภทไหน ทำอะไรได้บ้าง สอนวิธีการคิดเกี่ยวกับการนำเสนอ การเขียนแผนผังความคิด การแจกแจงงานของแต่ละทีมเป็นอย่างไร” ฟอร์ดเล่าถึงประสบการณ์ค่ายที่ได้รับ ที่ทำให้ทีมมีหลักในการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาผลงานบนฐานของผู้ใช้จริง

“รุ่นแรกต้องแก้หลายจุดมาก หนึ่ง ด้านโครงสร้าง สอง ด้านโค้ดดิ้ง สาม ด้านวงจรไฟฟ้า” ฟอร์ดอธิบาย

ก่อนที่เนยจะขยายความต่อว่า “อย่างแรกเลยคือ ราวเตี้ยไป ความสูง 60 เซนติเมตรกรรมการบอกว่าไม่ใช่ขนาดมาตรฐานของราวตากผ้าจริงๆ ราวจริงต้องสูง 1.20-1.40 เมตร เราจึงปรับปรุงความสูงและความกว้างก่อน เปลี่ยนมาใช้โครงที่ทำจากพีวีซีและอลูมิเนียม และเปลี่ยนอีกครั้งมาใช้โครงสำเร็จรูปเพื่อให้ได้มาตรฐานตามท้องตลาดที่สุด แล้วเราก็มาดูวงจรไฟฟ้า กลไกแบบเก่าเป็นรอกวิ่งไปวิ่งมาซึ่งช้า กว่าผ้าคลุมจะเลื่อนปิดได้หมดใช้เวลาเป็นนาที ผ้าข้างในเปียกฝนหมดก่อนพอดี เราจึงคิดเปลี่ยนเป็นแบบม้วน ม้วนเพลาครั้งเดียวแต่ผ้าออกสองทาง”

“แบบเดิมวงจรไฟฟ้าไม่เสถียร” โอห์มรับไม้อธิบายต่อ “วิธีการต่อยุ่งยากและไม่ปลอดภัย ขนาดของกล่องก็ใหญ่และหนักมากเพราะมีแบตเตอรี กรรมการบอกว่าให้ลดขนาดกล่องลง เอาแบตเตอรีและหม้อแปลงออก แล้วเปลี่ยนมาใช้อะแดปเตอร์แทน ทำให้วงจรเสถียรกว่าเดิม และลดขนาดลงได้เยอะ”

“เราเปลี่ยนวัสดุผ้าคลุมด้วย จากพลาสติกใสที่อายุการใช้งานต่ำ มาเป็นโพลีเอสเตอร์ขาว สวยกว่าและอายุการใช้งาน 2-3 ปี ซึ่งเราเองก็ไม่รู้เรื่องผ้ากันมาก่อนเลย เริ่มจากไปหาดูในกูเกิล หาตามร้านกันสาด ให้เขาแนะนำ” เนยเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ของทีมที่ค้นพบหลักสำคัญของการสร้างนวัตกรรม ว่าต้องตอบสนองผู้ใช้

อึดถึกทน…ประสาคนต่อกล้าฯ

“หลังกลับจากค่ายที่สอง มหาวิทยาลัยเปิดเรียนและทำกิจกรรมกันไปเยอะแล้ว ซึ่งเราขาดไป พอเรากลับไปเลยเจอตารางกิจกรรมแน่นมาก จนลืมงานทางนี้ไปเลย มารู้ตัวอีกทีตอนพี่ๆ โค้ชจะลงมาติดตามงานอยู่แล้ว (หัวเราะ) ทำงานไม่ทัน แล้วยังมีเรื่องสอบที่ต้องอ่านหนังสือจนไม่มีเวลาทำงานอีก หลังจากรอบสองที่ทีมโค้ชลงมามีคอมเมนต์เยอะมาก แก้ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องวงจร โครงสร้าง กลไก ซอฟต์แวร์ เป็นช่วงที่แก้เยอะที่สุด และก่อนนำเสนอรอบสุดท้ายเราก็ติดสอบไฟนอลกันอีก ตอนนั้นเรารู้คะแนนมิดเทอมแล้วว่ามันแย่มาก สอบไฟนอลเราจึงต้องตั้งใจสุดๆ” เนยเล่าช่วงมรสุมของชีวิต

ด้วยตารางเรียนตารางสอบที่รัดตัว ทำให้ทีมตัดสินใจพักงานเพื่ออ่านหนังสือสอบอย่างมุ่งมั่น และใช้ช่วงเวลาที่ไม่ว่างนั้น จ้างช่างเชื่อมทำโครงสร้างรุ่นที่ 3 ไปพลางๆ ก่อนที่ทีมจะกลับมารวมตัวลุยงานกันอีกครั้งหลังสอบเสร็จ ซึ่งทีมบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นช่วงเวลาที่พิสูจน์ความเป็นเพื่อนได้ดีที่สุด ทั้งในมิติของการทำงานเป็นทีม และการทุ่มใจร่วมกันสู้

“ตอนทำกลไก เกลียวหมุน เราพยายามมองให้รอบด้านแล้วแต่ก็ยังเห็นแค่คำว่า เกลียวหมุน พอกลไกที่สองเป็น รอก ก็มองเห็นแค่ว่าแบบรอกมันน่าจะดีที่สุดแล้ว มองไม่เห็นอย่างอื่น สุดท้ายปลั๊กเสนอว่าทำกลไกให้ผ้าม้วนลงมาจากด้านบน มันเป็นจุดที่ตกผลึก ที่สะท้อนให้เห็นว่าบางครั้งความคิดของเราคนเดียวมันไปไม่รอด มันจะดีกว่าถ้าเราช่วยกันเป็นทีม” เกมส์เล่าถึงการเรียนรู้ของตัวเอง

“ผมสุขภาพไม่ดี แต่พอเห็นว่าเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ ช่วงฟอร์ดไม่อยู่ ไม่มีคนเขียนโค้ด ผมก็ต้องฮึดขึ้นมา” เจเล่าด้วยรอยยิ้ม

“การทำงานนี้ทำให้เราวางใจเพื่อนมากขึ้น เพราะเห็นว่าเพื่อนช่วยเราได้ ไม่ใช่ว่าเราจะทำทุกอย่างได้เองทั้งหมด” ฟอร์ดทิ้งประเด็น

“ณ วันนี้ก็ถือว่ามาไกลมาก แต่คิดว่ายังดีกว่านี้ได้อีก”

จากศูนย์…มุ่งสู่เส้นชัย

จากไอเดียฉับพลันที่ปราศจากแนวทางการพัฒนาผลงาน ทั้ง 6 หนุ่มผ่านกระบวนการเรียนรู้ระหว่างทางมาจนถึงวันนี้ ที่ผลงาน Inshelter ใกล้เป็นความจริง แม้ทีมจะต้องเสียต้นคิดอย่างปลั๊กไป หลังจากที่เจ้าตัวค้นพบเส้นทางใหม่ของชีวิตในการสอบเข้าคณะสัตวแพทยศาสตร์ แน่นอนว่าสมาชิกที่เหลือล้วนเสียดาย แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะสู้ต่อเพื่อให้ผลงานชิ้นแรกของทีมเดินทางไปสู่การเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานที่สุดให้ได้

“ถามว่าเหนื่อยไหม ยังไงก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ สนุกดี” เกมส์กล่าวถึงเส้นทางที่ทีมผ่านมา และที่ต้องฝ่าฟันต่อไปในอนาคต ด้วยแววตาภาคภูมิใจ

ก็จะไม่ให้ภูมิใจได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาเกิดจากศูนย์ การที่สามารถเดินทางมาถึง ณ จุดนี้ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องภูมิใจในตัวเอง

“คิดถึงตอนค่ายแรกที่ให้กรรมการโค้ชชิ่ง ผม เนย ปลั๊ก ถามกรรมการว่า ‘จะให้เปลี่ยนเป็นอะไรดี กรรมการบอกว่า พวกพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน น้องลองไปคิดสิ’ (หัวเราะ) ก็กลับมาคิดกันอยู่หลายรอบมาก เหมือนไม่ซับซ้อนนะราวตากผ้า แต่มันเยอะไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้ ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่าต้องเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนเป็นอะไร” ฟอร์ดเล่าย้อนความหลังอย่างร่าเริง

“จนเราคิดกันได้และไปนำเสนอ โค้ชก็นึกภาพไม่ออกว่า ที่จะให้ผ้าหมุนออกมามันหมุนอย่างไร แต่ในหัวปลั๊กกับผมตอนนั้นคิดออกมาแล้วว่ามันต้องได้ จนทำออกมาเป็นโครง เห็นแล้วก็ ‘เฮ้ย! โอ้โห! มันได้เว้ย!’ (หัวเราะ) คือในหัวผมไม่ได้คิดว่ามันจะสวยขนาดนั้น แต่มันสวย ดีกว่าที่เราคิดเอาไว้อีก มาจนถึง ณ วันนี้ก็ถือว่ามาไกลมาก แต่คิดว่ายังดีกว่านี้ได้อีก” เกมส์ยิ้มท้ายประโยค

“เราจะทำต่อให้เสร็จแน่นอน ถ้าขายได้ก็จะดีมาก แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ อย่างน้อยได้เอาไว้ใช้งานที่หอก็ยังดี” ฟอร์ดให้คำสัญญาอย่างมุ่งมั่น

แม้วันนี้การเดินทางของ Inshelter จะยังไปไม่ถึงเส้นชัย แต่ก็นับได้ว่าผลงานชิ้นนี้มาไกลจากจุดเริ่มต้น ที่เป็นเพียงไอเดียแสนบรรเจิดอยู่หลายช่วงตัว

และเช่นเดียวกัน แม้วันนี้หกหนุ่มแดนใต้อาจจะยังไม่หลุดออกจากเขาวงกตเสียทีเดียว แต่พวกเขาก็ใช้การเรียนรู้คลำทางมาจนเข้าใกล้แสงสว่างที่ปลายทางมากแล้ว อีกไม่นานสิ่งที่พวกเขามาดหมายก็จะกลายเป็นจริง 

พวกเขาคงไม่มีวันนี้ ถ้าวันนั้นในอดีตพวกเขาไม่กล้าที่จะเดินออกจากเลขศูนย์ แล้วตรงเข้าหาเขาวงกต

Tags:

project based learningคาแรกเตอร์(character building)โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21
21st Century skills
19 June 2019

FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Five Minds for the Future โดย โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ เจ้าของทฤษฎีพหุปัญญา หนังสือที่ว่าด้วย ‘จิต 5 แบบที่ควรมีเพื่ออนาคต’ การตกผลึกทางความคิดผ่านการเรียนรู้เฉพาะตัวบุคคล คือ จิตวิทยาการ, จิตแห่งการสังเคราะห์, จิตแห่งการสร้างสรรค์, จิตแห่งการเคารพ และ จิตแห่งคุณธรรม คือเครื่องมือสำคัญที่พ่อแม่และโรงเรียนต้องติดตั้งให้เยาวชนในโลกยุคใหม่
  • ยกตัวอย่าง จิตแห่งการสังเคราะห์ (Synthesizing Mind) หมายถึง จิตที่สามารถคัดกรอง แยกแยะ จัดลำดับข้อมูล ให้เหลือเพียงสิ่งสำคัญและตรงกับจุดมุ่งหมาย นำมาสรุปใหม่ตามความเข้าใจและถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

“The public is indoctrinated to believe that skills are valuable and reliable only if they are the result of formal schooling.”

“เราถูกฝังหัวกันมาว่าทักษะความรู้จะมีค่าและน่าเชื่อถือ ก็ต่อเมื่อถูกสอนจากโรงเรียนเท่านั้น”

ข้อความข้างต้นมาจากหนังสือ Deschooling Society ของ ไอวาน อิลลิช (Ivan Illich) นักคิดนักเขียนเชิงวิพากษ์ หนังสือที่ออกมาตั้งแต่ปี 1971 เล่มนี้โด่งดังถล่มทลายจากการปลุกกระแสให้คนทั่วโลกตาสว่างกับระบบการศึกษาในโรงเรียน ที่นอกจากจะไม่ได้ถ่ายทอดทักษะความรู้ที่เป็นเนื้อเดียวกับความเป็นไปของชีวิต ยังฝังหัวให้นักเรียนเข้าใจว่าการสั่งสอนให้ ‘ทำตาม’ กับ ‘การเรียนรู้’ เป็นเรื่องเดียวกัน การทำคะแนนยอดเยี่ยม และ ประกาศนียบัตร คือเป้าหมายการศึกษาและตัวบ่งชี้ถึงศักยภาพของบุคคล

อิลลิช อธิบายที่มาของการศึกษาภาคบังคับซึ่งสอนวิชาสามัญแปลกแยกจากกันชัดเจนว่า ในสมัยที่ทุนนิยมเข้าครองโลกช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ระบบการศึกษาพยายามวางกรอบให้นักเรียนจบไปเป็นแรงงานสายการผลิตที่มีเครื่องจักรกลเป็นเครื่องมือ สภาพเศรษฐกิจขณะนั้นก่อให้เกิดการแบ่งแยกสายงานและแรงงานแบบปัจเจก การศึกษาจึงไม่ไปแตะพื้นที่ความชอบ ความสนใจของบุคคล หรือการเดินตามฝัน หากเป็นแต่เพียงเฟืองขับเคลื่อนชิ้นหนึ่งที่พยายามรับใช้ระบบทุนนิยม พูดง่ายๆ คือ การเรียนรู้และพัฒนาการทางศักยภาพของบุคคลไม่ใช่สาระสำคัญของการศึกษาสมัยนั้น

อิลลิชวิพากษ์ถึงสังคมผูกขาดการศึกษาให้อยู่แต่ในโรงเรียนอย่างหมดศรัทธาว่า

โรงเรียนทุกวันนี้เป็นระบบที่มีไว้เพื่อกีดกันตำแหน่งงานให้คนที่มีเงินมากพอจะเข้าไปเรียนในระบบและจบจากสถาบันเท่านั้น ทั้งที่จริง การเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพและประสบการณ์ชีวิตให้ลูกหลานของเรานั้นเกิดขึ้นจากนอกโรงเรียนก็ได้ 

เช่น การตั้งเครือข่ายการเรียนรู้ประจำท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาความรู้ที่ตกทอดกันมาในชุมชน หรือการอนุรักษ์สืบสานประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของท้องถิ่นให้ยั่งยืนสืบไป ไม่ใช่การผูกขาดอนาคตของพวกเขาไว้กับการศึกษาในระบบเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ปริญญาบัตรหรือวุฒิการศึกษาอาจลวงให้ใครหลายคนคิดว่าระยะเวลาสำหรับการเรียนรู้สิ้นสุดลงทันทีที่พวกเขาเรียนจบ หรือถึงกับดูแคลนความรู้ชาวบ้านหรือทักษะความรู้นอกเหนือไปจากที่โรงเรียนสอน

ในประเด็นการศึกษา แม้แต่ปรมาจารย์ด้านจิตวิทยา โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ยังแสดงความเป็นห่วงต่อหลักสูตรของโรงเรียนในปัจจุบันที่ยังล้าหลังเช่นกัน บุคลากรจากระบบการศึกษาซึ่งไร้ประสิทธิภาพในการคิดและการเข้าสังคม ก็เป็นตัวชี้วัดว่าการศึกษากำลังสอนเนื้อหาที่อยู่คนละทิศกับโลกจริง และยังสร้างกับดักลวงให้คนหนุ่มสาวคิดว่า การเป็นดาวเด่นในโลกยุคใหม่ต้องเป็นคนเก่งสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

ปลูกฝังจิต 5 แบบเพื่อโลกศตวรรษที่ 21

การ์ดเนอร์ชี้ว่า โลกจะแห้งแล้งแค่ไหนเมื่อเราเอาแต่ยึดตรรกะ ความเป็นเหตุเป็นผล ความเที่ยงตรงแม่นยำแห่งวิทยาศาสตร์มาอธิบายสุนทรียภาพที่จะได้จากวรรณกรรม ศรัทธาความเชื่อด้านจิตวิญญาณ ความตาย ความหมายของการมีชีวิต 

การให้น้ำหนักการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือ เทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงความรู้ที่สอนมิติความเป็นมนุษย์ เช่น สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา ศิลปะ การเมืองการปกครอง ปรัชญา สาธารณสุขเป็นอันตรายใหญ่หลวง เพราะแม้ความก้าวหน้าต้องพึ่งพาวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากแค่ไหน เราจะละทิ้งคุณค่าความเป็นมนุษย์ไว้กลางทางไม่ได้ 

ในหนังสือ Five Minds for the Future การ์ดเนอร์เอ่ยถึง ‘จิต 5 แบบที่ควรมีเพื่ออนาคต’ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ที่ออกมาก่อนหน้า ทฤษฎีพหุปัญญาจำแนกปัญญาหรือความรอบรู้ของมนุษย์ออกเป็น 9 ด้าน ส่วนลักษณะจิตหรือ minds ในที่นี้คือการตกผลึกทางความคิดผ่านการเรียนรู้เฉพาะตัวบุคคล ซึ่งการ์ดเนอร์อธิบายว่าลักษณะจิตทั้ง 5 แบบที่จะกล่าวถึงนี้คือเครื่องมือสำคัญที่พ่อแม่และโรงเรียนต้องติดตั้งให้ลูกหลานเยาวชนทุกคนในโลกยุคใหม่

หนังสือ Five Minds for the Future

1. จิตวิทยาการ (Disciplined Mind)

คือจิตที่มีความรู้แตกฉานในวิชาการหรือศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง เช่น ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ศิลปศาสตร์ หัตถกรรม วิศวกรรม พฤกษศาสตร์ การวางแผน การเขียน การบริหาร ผ่านการเรียนรู้ ทำความเข้าใจและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องยาวนานจนสามารถนำความรู้นั้นไปสร้างประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์หรือสร้างอาชีพได้

จิตวิทยาการอาจไม่ได้เกิดจากการสั่งสอนที่โรงเรียนเสมอไป แต่เป็นความเชี่ยวชาญเชิงวิชาชีพหรือวิถีชีวิตจากการคลุกคลีทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดความรู้ความเชี่ยวชาญ เช่น ชุมชนชาวประมงที่สืบทอดทักษะการหาแหล่งปลาและคาดคะเนสภาพอากาศเหมาะสมในการเดินเรืออย่างแม่นยำ หรือพ่อค้าผลไม้ที่สามารถรู้ระยะสุกห่ามของทุเรียนจากการเคาะ มีทักษะการใช้มีดปอกได้คล่องแคล่วแม่นยำและคิดเลขในใจได้เร็ว 

กระบวนการปลูกฝังจิตวิทยาการนี้ การ์ดเนอร์ระบุว่าควรเริ่มสอนในเด็กก่อนพวกเขาโตเป็นวัยรุ่น เพราะกว่าบุคคลจะมีจิตวิทยาการอย่างใดอย่างหนึ่งได้เต็มตัว อาจใช้เวลาเป็นสิบปี จากนั้นจิตที่มีความรู้ความเข้าใจนี้จะดำรงอยู่และต่อยอดการเรียนรู้เพิ่มเติมไปตลอดชีวิต 

การท่องจำหลักทฤษฎีเป็นนกแก้วนกขุนทอง หรือทำตามที่เรียนมาเป๊ะๆ ไม่ใช่จิตวิทยาการ สำคัญคือบุคคลนั้นต้องมีเจตคติที่จะเรียนรู้เพื่อเป้าหมาย รู้จักใช้ไหวพริบพลิกแพลงนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ 

หากไม่มีจิตวิทยาการในศาสตร์ใดเลย บุคคลนั้นจะทำได้เพียงอาชีพที่ต้องทำงานตามสูตรสำเร็จที่วางมาให้ จึงมักเป็นแรงงานที่ทดแทนได้ รายได้ต่ำและไม่เติบโต

2. จิตแห่งการสังเคราะห์ (Synthesizing Mind)

คือจิตที่สามารถคัดกรองข้อมูลหรือความรู้ต่างๆ และลำดับจัดการแยกแยะรายละเอียดเหล่านั้นให้เหลือเพียงสิ่งสำคัญและตรงกับจุดมุ่งหมาย นำมาสรุปใหม่ตามความเข้าใจและถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ ยกตัวอย่างเช่น การนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการตอบข้อสอบ การเขียนหนังสือ งานวิจัย หรือ สรุปความคืบหน้าโครงการเพื่อนำเสนอที่ประชุม

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารล้นโลกในปัจจุบัน จิตแห่งการสังเคราะห์ควรได้รับการสั่งสอนตั้งแต่วัยเด็กและต่อเนื่องไปตลอดชีวิต หากเติบโตไปโดยปราศจากจิตแห่งการสังเคราะห์ บุคคลนั้นจะไร้วิจารณญาณในการตัดสินใจ มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด

3. จิตแห่งการสร้างสรรค์ (Creating Mind)

คือจิตที่เห็นมุมมองหรือไอเดียจัดการปัญหาแปลกใหม่แตกต่างจากเดิม เห็นโอกาสในวิกฤติ กล้าคิดกล้าทำสิ่งแหวกแนวไม่ซ้ำเก่าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า กับทั้งต้องเห็นด้วยว่าสิ่งที่จะทำนั้นยืดหยุ่นรับความผันผวนเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้

การ์ดเนอร์กล่าวว่า จิตแห่งการสร้างสรรค์มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนตั้งแต่วัยเยาว์ มาพร้อมกับสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว 

ครอบครัวหรือโรงเรียนที่ปิดกั้นการคิดการถาม และวางกฎระเบียบให้อยู่ในกรอบปฏิบัติตายตัวคือตัวการสำคัญที่หยุดยั้งไม่ให้จิตแห่งการสร้างสรรค์งอกงามขึ้น 

คนที่ไม่มีจิตลักษณะนี้จะขาดคุณสมบัติสำคัญคือ การคิดพลิกแพลงนอกกรอบ ซึ่งสามารถเอาชนะเหนือมันสมองประดิษฐ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ ดังนั้นจึงมีโอกาสเสียเก้าอี้ให้หุ่นยนต์จักรกลเข้ามาแย่งงานไปอย่างช่วยไม่ได้ 

4. จิตแห่งการเคารพ (Respectful Mind)

คือจิตที่เข้าใจจุดยืนของตนแต่สามารถยอมรับความคิดหรือความเชื่อที่แตกต่างของคนอื่นอย่างอ่อนน้อม ไม่ดูแคลนความเชื่อหรือวิถีดำเนินชีวิตของผู้อื่นว่าไม่จริงหรือด้อยกว่า

จิตแห่งการเคารพคือการมองทะลุจิตใจคนอื่นที่มีปัจจัยต่างกันเหล่านั้น และเอาใจเขามาใส่ใจเรา เช่น ที่โรงเรียน การร่วมงานกับเพื่อนจากต่างพื้นเพ หรือครูที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเราเป็นเรื่องธรรมดา ในที่ทำงาน มุมมองขัดแย้งจากต่างแผนกอาจมาจากข้อจำกัดและความเป็นไปได้คนละมุมมอง 

การ์ดเนอร์ย้ำว่าการปลูกฝังจิตลักษณะนี้ ต้นแบบคือพ่อแม่ เพราะเด็กจะพัฒนาจิตแห่งการเคารพได้ตั้งแต่แรกเกิด จากนั้นสภาพแวดล้อมทางสังคมอื่นๆ เช่น โรงเรียน เพื่อน สื่อต่างๆ และที่ทำงานก็มีส่วนขัดเกลาด้วยเช่นกัน

หากมีคนที่ขาดจิตแห่งการเคารพอยู่ในครอบครัว โรงเรียนหรือออฟฟิศ เราจะสัมผัสได้ถึงมลพิษทางความสัมพันธ์และพบเจอปัญหาความขัดแย้งอย่างแน่นอน 

5. จิตแห่งคุณธรรม (Ethical Mind)

คือจิตที่ตระหนักรู้ในคุณค่าของภาระหน้าที่การเป็นมนุษย์ ครอบคลุมถึงการเป็นพลเมืองของชุมชน ของประเทศชาติและโลกใบนี้โดยยึดมั่นอยู่บนความดีงาม เช่น เกษตรกรที่คิดถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ หลีกเลี่ยงสารเคมีฆ่าแมลง และมีกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ หรือสื่อมวลชนที่ยึดในจรรยาบรรณความรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าว 

จิตแห่งคุณธรรมนี้ต้องปลูกฝังในเด็กที่โตพอจะเริ่มคิดได้และกำลังอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนาตัวตนด้านลักษณะนิสัย พ่อแม่คุณครูและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมีส่วนสำคัญในการปลูกจิตแห่งคุณธรรมให้เกิดขึ้นอย่างมาก โลกที่ผู้คนปราศจากจิตแห่งคุณธรรมคือหายนะของมนุษยชาติอย่างไม่ต้องพูดถึง 

อ้างอิง:

Gardner, H. (2007). Five Minds for the Future. Boston, MA: Harvard Business School Publishing.

Scheidler, F. (2015, July 22). Learning Beyond Growth: Deschooling as a Path to Social-Ecological Transformation. Retrieved from Resilience

Tags:

21st Century skillsFive Minds for the Futureครูระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง
Social Issues
18 June 2019

แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

เรื่อง

  • จากห้องเรียนวิชา ‘สัมมนาภาษาและวรรณกรรมไทย’ คณะศิลปศาสตร์ ม.มหิดล คัด 5 หัวข้อวิจัยน่าสนใจและหลากหลายมาแนะนำ
  • นอกเหนือจากตัวหนังสือ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่อ่านข้ามไม่ได้คือทัศนคติ มุมมองของเจ้าของผลงานว่า พวกเขาคิดสงสัยและสนใจอะไรอยู่
  • สิ่งที่หยิบมาศึกษาก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘สมุดบันทึก’ เล่มใหญ่ ที่ไม่ได้เห็นหรือสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
เรื่อง: อิชย์อาณิคม์ ชิตวิเศษ

ทุกวันนี้สังคมถูกขับเคลื่อนผ่านมุมมองของผู้ใหญ่เพียงไม่กี่กลุ่ม…

แต่จะมีผู้ใหญ่สักกี่คนที่เห็นว่าเด็กรุ่นใหม่มีมุมมองอย่างไรกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน…

บางครั้งการที่จะเข้าถึงและเข้าใจเด็กเหล่านี้ได้ อาจเริ่มจากการเข้าไปในพื้นที่ที่เด็กสามารถตั้งคำถาม รวมทั้งแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ไม่มีอะไรปิดกั้น และห้องเรียนวิชา ‘สัมมนาภาษาและวรรณกรรมไทย’ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คือหนึ่งในพื้นที่นั้น

แม้ว่าการมาเยือนในครั้งนี้ จะเปรียบได้กับการมาเยือนในคาบเรียนสุดท้าย หลังจากนักศึกษากลุ่มฝ่าฟันอุปสรรคการทำงานมาตลอด 4 ปี จนมาถึงการนำเสนองานวิจัยครั้งสุดท้ายเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

The Potential คัด 5 หัวข้อน่าสนใจมาแนะนำ นอกเหนือจากตัวหนังสือ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อ่านข้ามไม่ได้คือทัศนคติ มุมมองของเจ้าของผลงานว่า พวกเขาคิดสงสัยอะไรอยู่ และสิ่งที่หยิบมาศึกษาก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘สมุดบันทึก’ เล่มใหญ่ ที่ไม่ได้เห็นหรือสนใจแต่เรื่องของตัวเอง

รักที่ปรารถนาดีในเพลงโพลีแคท

หลังจากเพลง ‘พบกันใหม่’ กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอยู่นานในช่วงปี 2558 ชื่อของวง โพลีแคท กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่กลุ่มคนรุ่นใหม่รู้จักเป็นอย่างดี ด้วยคอนเซ็ปท์เพลงที่มักพูดถึงความรักที่ไม่สมหวัง แต่กลับไม่ทำให้คนสิ้นหวังในความรัก จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ จิตตาภา หงษา ตัดสินใจค้นคว้าและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงของโพลีแคท จนเกิดเป็นงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมา ชื่อว่า ‘ความรัก’ ในเพลงของโพลีแคท: แนวคิดและกลวิธีในการนำเสนอแนวคิด

นอกเหนือทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับความรักของโพลีแคทที่มองว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม สิ่งที่จิตตาภา ค้นพบเพิ่มเติมคือ ความรักเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความปรารถนาดีที่แม้ว่าสุดท้ายจะต้องพบเจอกับความเสียใจ แต่นี่คือความรัก เราจำเป็นต้องเสียสละเพื่อปล่อยให้เขาไปมีชีวิตที่ดีกว่า

นอกจากนี้ การใช้ถ้อยคำภาษาต่างๆ ในบทเพลงของโพลีแคทนั้นน่าสนใจไม่แพ้กัน จิตตาภาพบว่า หากพิจารณาตามกรอบแนวคิดศาสตร์และศิลป์ในการเล่าเรื่อง ของ รศ.สรณัฐ ไตลังคะ ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเห็นว่า ภาพพจน์ ขนบวรรณคดี และการรับรสวรรณคดี เป็นสิ่งที่พบได้ในบทเพลงของโพลีแคท ผ่านการใช้คอนเซ็ปท์ในการตั้งชื่อเพลงที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าใจเนื้อหาของเพลงได้ผ่านการตั้งชื่อ และการเล่าเรื่องผ่านการใช้สรรพนามเพื่อบอกความสำคัญ โดยไม่บอกตรงๆ ว่า ตัวละครในบทเพลงนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

รวมทั้งเพลงของโพลีแคทยังมีการใช้วรรณศิลป์ในรูปแบบที่หลากหลายได้อย่างดีเยี่ยม เช่น การใช้บุคลาธิษฐาน หรือการเปรียบสิ่งไม่มีชีวิตให้แสดงกิริยาอาการเหมือนมนุษย์ และอธิพจน์ หรือการกล่าวเกินจริงในเพลง ‘เวลาเธอยิ้ม’ ในท่อนที่ว่า “ดวงดาวทั้งฟ้าต้องเสียใจ” และการใช้ปฏิปุจฉา หรือการตั้งคำถามโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบ ในท่อน “ได้โปรดให้ฉันเป็นคนสุดท้ายได้ไหม” ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าคำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพียงแค่ร้องขอให้ได้รับความเห็นใจจากคนรักเท่านั้น

กลวิธีการใช้ภาษาในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างลงตัวของโพลีแคท นำไปสู่ความมีสุนทรียภาพที่ดีของเพลง ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังเข้าถึงตัวเพลงได้ง่ายขึ้น รวมทั้งกระแสนิยมในเพลงของวงโพลีแคทที่เพิ่มมากขึ้น จากการที่เนื้อหาในบทเพลงส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ร่วมที่ใกล้เคียงกันระหว่างผู้แต่งเพลงและผู้ฟัง จนทำให้โพลีแคทเป็นวงดนตรีอันดับต้นๆ ที่คนรุ่นใหม่นึกถึง

หยิบมหากาพย์ใส่บทเพลง

นับตั้งแต่ปี 2558 เกิดกระแสของวงการเพลงที่หันมาหยิบยกเรื่องราวของตัวละครในมหากาพย์ ‘รามเกียรติ์’ ออกมาใช้ในการผลิตผลงานเพลงอย่างคึกคัก

ตั้งต้นจากเพลง ‘I’m Sorry สีดา’ ของ The Rube ที่โด่งดังขึ้นมาและติดชาร์ตเพลงอยู่หลายสัปดาห์ และมิวสิควิดีโอเพลงที่สร้างยอดวิวกว่า 160 ล้านครั้งในปัจจุบัน ศิลปินอื่นๆ จึงหันมาแต่งเพลงที่มีเนื้อหาอ้างอิงมาจากมหากาพย์เรื่องนี้มากขึ้น ส่งผลให้ นิศาชล พูนวศินมงคล หันมาสนใจกับกระแสดังกล่าว และได้กลายเป็นที่มาของงานวิจัยชื่อ สัมพันธบทในการสร้างสรรค์เนื้อเพลงจากตัวละครในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์

นิศาชลพบว่า ช่วงปี 2558-2560 ที่ผ่านมา มีเพลงที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยใช้เนื้อหาจากรามเกียรติ์กว่า 20 เพลง และเนื้อหาของบทเพลงส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงในส่วนของแง่คิดหลักที่ได้จากเรื่องอย่าง ‘ธรรมะย่อมชนะอธรรม’ ให้เปลี่ยนเป็นแง่คิดเกี่ยวกับความรักกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อีก 20 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นบทเพลงที่พูดถึงลักษณะนิสัยของตัวละครเป็นหลัก โดยพบว่า โครงเรื่องภายในบทเพลงส่วนใหญ่มีการตัดทอน เปลี่ยนแปลงบางประการ เช่น การขยายอารมณ์ของตัวละครที่ไม่เคยพบเห็นในวรรณคดี และการตัดทอนความร้ายกาจของตัวละครฝ่ายร้ายลงไป

การดัดแปลงเพื่อนำมาเล่าใหม่ผ่านบทเพลงนี้ ส่วนมากถูกนำมาเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของบุรุษที่ 1 จากเดิมที่เป็นการเล่าผ่านมุมมองของพระเจ้า ทำให้เพลงที่ออกมามีความโดดเด่นเรื่องการนำเสนออารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ไม่เคยพบหรือหาอ่านไม่ได้ในวรรณคดี นอกจากนี้ยังมีการดัดแปลงให้สั้นกระชับเหมาะสมกับสื่อ และเลือกนำเสนอในมุมมองเรื่องรักโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้นโดยปกติกับมนุษย์ ทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าถึงง่ายและสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง

ทศกัณฑ์ก็มีหัวใจในแฟนฟิคชั่น

หากวรรณคดีสามารถเข้าไปอยู่ในบทเพลงได้ แล้วทำไมวรรณคดีถึงจะเข้าไปอยู่ในแฟนฟิคชั่น (fan fiction) ไม่ได้

แฟนฟิกชั่นหรือนวนิยายที่ถูกสร้างจากการนำส่วนหนึ่งส่วนใดของเรื่องที่มีอยู่นำมาเขียนต่อยอดหรือดัดแปลงเนื้อหาไม่ว่าจะบางส่วนหรือแทบทั้งหมดก็ตามอีกทั้งแฟนฟิกชั่นมีหลายแนวเช่นเดียวกับนวนิยายทั่วไปรวมถึงแฟนฟิกชั่นวาย(ชายรักชายและหญิงรักหญิง) 

เมื่อแฟนฟิกชั่นเป็นที่รู้จักในหมู่นักอ่านมากขึ้นประกอบกับบริบททางสังคมที่เริ่มมีการหยิบมหากาพย์รามเกียรติ์ มาดัดแปลงให้เข้ากับสื่อหลากหลายช่องทาง ทำให้มีผู้เขียนนวนิยายชายรักชายหยิบมาปัดฝุ่นดัดแปลงปรับโครงเรื่องให้กลายเป็นนวนิยายเรื่องใหม่ ที่มีเนื้อหาจากมหากาพย์สอดแทรกอยู่ในชื่อเรื่องอย่าง ‘หัวใจทศกัณฐ์’ และได้กลายเป็นที่มาของงานวิจัยชื่อ หัวใจทศกัณฐ์ ของ Holyspace: กลวิธีการดัดแปลงวรรณคดีสู่แฟนฟิคชั่นชายรักชาย โดย ปิยะธิดา ชาวหนอง

หลังจากศึกษา ปิยะธิดาพบว่า หัวใจทัศกัณฐ์ ของ Holyspace ได้มีการดัดแปลงวรรณกรรม รามเกียรติ์ อยู่ 3 ส่วนคือ ส่วนของแก่นเรื่องอย่าง ธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็น การยึดมั่นในรักเดียว ทำให้หัวใจทศกัณฐ์กลายเป็นนวนิยายรักโรมานซ์ ตอบสนองผู้ที่นิยมบริโภคแฟนฟิคชั่น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของปมขัดแย้งและตอนจบ เพื่อเปลี่ยนให้นางสีดามารักกับทศกัณฐ์ เพิ่มปมขัดแย้งระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์มากขึ้น และเป็นที่มาของคำสาปแช่งของนางมณโฑที่ต้องการให้ความรักของนางสีดาและทศกัณฐ์ไม่สมหวังทุกชาติไป

จากการศึกษาพบอีกว่า หัวใจทศกัณฐ์นั้นมีการดัดแปลงคุณลักษณะบางประการของตัวละครไป กล่าวคือ

นวนิยายชายรักชายเรื่องนี้ ได้ปรับลดลักษณะที่โหดเหี้ยมของทศกัณฐ์ลง โดยให้เหตุผลว่าทศกัณฐ์ก็มีหัวใจแต่ทำไปเพราะพวกพ้อง และปรับลักษณะนิสัยของนางสีดาจากรักเดียวใจเดียว ยอมอ่อนข้อให้สามีอย่างพระรามเพียงคนเดียว ให้เปลี่ยนเป็นนางสีดาที่มีความรักให้กับทศกัณฐ์เช่นกัน

รวมทั้งนวนิยายเรื่องนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องที่เปิดกว้างความหลากหลายทางเพศ ต่อยอดตัวบทและนำตัวละครที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในวรรณกรรมกระแสหลักมาพูดได้อย่างสร้างสรรค์

เส้นเรื่องของการนำเสนอความรักที่ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นความรักแบบผัวเดียวเมียเดียว หรือเฉพาะเพศชายกับหญิงเท่านั้น ทำให้นวนิยายชิ้นนี้เป็นงานเขียนที่ปะทะความเชื่อระหว่าง 2 สมัย ระหว่างตัวบทต้นทางและตัวบทปลายทาง และถือเป็นนวนิยายที่ท้าทายสังคมไทยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

สังคมยังไม่ไปไหนในเมียหลวง

ละครเรื่อง ‘เมียหลวง’ ไม่เคยห่างหายจากหน้าจอไปไหน เพราะถูกนำมาทำซ้ำ ปรับรูปแบบให้มีความสอดคล้องกับทุกยุคทุกสมัยบ่อยที่สุดเรื่องหนึ่ง เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะละครเก่าส่วนใหญ่มักจะมีฐานแฟนคลับที่ติดตามละครอยู่แล้ว รวมทั้งเนื้อหาที่สอดแทรกสะท้อน ‘ความเป็นผัวเมีย’ ในสังคมไทยอย่างคลาสสิก และเป็นที่มาให้ วรารัตน์ ไตรพิทักษ์ สนใจอยากจะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับละครเรื่องดังกล่าว จนนำมาสู่การทำรายงานวิจัยชื่อ เมียหลวง: การดัดแปลงนวนิยายสู่บทละครโทรทัศน์ปี พ.ศ. 2560

ละครเรื่อง ‘เมียหลวง’ ไม่เคยห่างหายจากหน้าจอไปไหน เพราะถูกนำมาทำซ้ำ ปรับรูปแบบให้มีความสอดคล้องกับทุกยุคทุกสมัยบ่อยที่สุดเรื่องหนึ่ง เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะละครเก่าส่วนใหญ่มักจะมีฐานแฟนคลับที่ติดตามละครอยู่แล้ว รวมทั้งเนื้อหาที่สอดแทรกสะท้อน ‘ความเป็นผัวเมีย’ ในสังคมไทยอย่างคลาสสิก และเป็นที่มาให้ วรารัตน์ ไตรพิทักษ์ สนใจอยากจะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับละครเรื่องดังกล่าว จนนำมาสู่การทำรายงานวิจัยชื่อ เมียหลวง: การดัดแปลงนวนิยายสู่บทละครโทรทัศน์ปี พ.ศ. 2560

จากงานวิจัยชิ้นนี้ วรารัตน์ พบว่า มีการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องผ่านสื่อที่แตกต่างกัน รวมทั้งช่วงเวลาในการเล่าที่ต่างกันก็มีผลทำให้รูปแบบและวิธีการเล่าต่างกัน เดิมทีเมียหลวงเป็นนวนิยายที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2512 ก่อนจะถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นบทละครโทรทัศน์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนมาถึงเวอร์ชั่นล่าสุดปี 2560 มีส่วนประกอบของเรื่องสำคัญหลายข้อได้ถูกปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น

หากเปรียบเทียบต้นฉบับที่เป็นนวนิยาย กับบทละครฉบับล่าสุดปี 2560 จะเห็นว่า ฉากแรกที่ปรากฏขึ้นระหว่างในนวนิยาย และบทละครโทรทัศน์มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ นวนิยายใช้การเปิดเรื่องจากการเล่าถึงความทุกข์ของวิกันดาในชีวิตคู่กับอนิรุทธิ์ แสดงให้เห็นว่าการแต่งงานอาจไม่ได้พบกับความสุขเสมอไป หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ ขณะที่บทละคร พ.ศ. 2560 ใช้การเปิดเรื่องในฉากงานแต่งงานของวิกันดากับอนิรุทธิ์ ที่แสดงถึงความหวานชื่นและแสดงให้เห็นถึงปัญหาของตัวละครอื่น เพื่อบอกเป็นนัยให้เห็นว่าแต่ละครอบครัวนั้นมีปัญหาที่แตกต่างกันไป

ส่วนการดำเนินเรื่องทั้งนวนิยายและบทละครโทรทัศน์ก็มีหลายจุดที่ปรับเปลี่ยนไป หนึ่งในนั้นคือ การเพิ่มภูมิหลังให้สอดคล้องกับบทของตัวร้ายในละครอย่าง อรอินทร์ ซึ่งเดิมทีในนวนิยายไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครนี้มากนัก แต่เมื่อปรับมาเป็นบทละครปี 2560 จะพบว่า ในละครได้เล่าถึงภูมิหลังของอรอินทร์ว่า อรอินทร์ตกหลุมรักอนิรุทธิ์มาตั้งแต่สมัยมัธยม ทำให้อรอินทร์ยอมเป็นเมียน้อย และภูมิหลังเกี่ยวกับหน้าที่การงานของอรอินทร์ที่มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ด้วยการปฏิบัติตัวทำให้ชีวิตค่อยๆ ตกต่ำ และทำให้ลูกสาวของเธอกลายเป็นเด็กมีปัญหาไปในที่สุด

นอกจากนี้ ละครเรื่อง ‘เมียหลวง’ ยังได้สอดแทรกข้อคิดสะท้อนความเป็นสังคมปิตาธิปไตย (ชายเป็นใหญ่) เอาไว้อย่างแน่นหนา กล่าวคือสังคมไทยยังมีการให้คุณค่าชายเป็นใหญ่อยู่มาก และความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงยังเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป ซึ่งการนำมาผลิตซ้ำของละครเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าแนวคิดเรื่องปิตาธิปไตยนั้นยังอยู่ซึมซับในสังคมในปัจจุบัน

พ่อหล่อสอนลูกให้ไม่เชื่อ

มีเหตุผลมากมายที่คนเราจะถูกใจหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง บ้างถูกใจในหน้าปก บ้างถูกใจคอนเซ็ปท์ของเล่ม แต่สำหรับ กานต์รวี กองศรีมา การได้มาพบหนังสือ ‘พ่อหล่อสอนลูก’ ถือเป็นเรื่องราวโดยบังเอิญ แต่ด้วยหนังสือเล่มนี้ชวนให้ผู้อ่านคิดสงสัย ตั้งคำถาม และเลือกที่จะเชื่อหรือทำอะไรด้วยตัวเอง มากกว่าต้องเชื่อฟังเพราะผู้ใหญ่สั่งหรือสอนให้ทำ จึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดงานวิจัยชื่อ พ่อหล่อสอนลูก ของอธิคม คุณาวุฒิ: การศึกษาในฐานะวรรณกรรมคำสอนสมัยใหม่

กานต์รวีกลับมาอ่านและเรียนรู้กับหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง และพบว่า หนังสือเล่มนี้สอดแทรกสาระไว้ 2 ประการคือ การปฏิบัติตนภายใต้มาตรฐานและข้อกำหนดของสังคม และการปฏิบัติตนภายใต้ความซับซ้อนและหลากหลายของสังคม ผ่านกลวิธีการเล่าแบบบทสนทนาถามตอบระหว่างพ่อกับลูก ที่จะทำให้เด็กเกิดการตั้งคำถามและนำไปสู่การฝึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีตรรกะรองรับในทุกคำตอบ เพื่อตกตะกอนในประเด็นที่หนังสือต้องการนำเสนอ นอกจากนี้ยังมีกลวิธีการเล่าแบบเสียดสีประเด็นทางสังคมและเสียดสีบุคคล เพื่อเน้นย้ำคำสอนได้เห็นเด่นชัดมากขึ้น

สำหรับจุดเด่นของหนังสือที่อาจเป็นข้อสรุปสำหรับกานต์รวีคือ วรรณกรรม ‘พ่อหล่อสอนลูก’ เป็นวรรณกรรมคำสอนสมัยใหม่ที่ชี้แนะคำสอน ทัศนคติและเสนอแนวทางในการปลูกฝังและการปฏิบัติตนสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมสมัยใหม่

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้จะไม่มีการสอนให้เชื่อในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเชื่อ แต่ให้ใช้เหตุและผลคิดพิจารณาด้วยตัวเองก่อนจะเชื่อหรือทำอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ของคนไทย

ถึงแม้จะเป็นวรรณกรรมคำสอนสำหรับเด็ก แต่กลับไม่ได้เป็นหนังสือที่ให้คุณประโยชน์สำหรับเด็กเท่านั้น วรรณกรรมนี้ยังให้ประโยชน์แก่คนทั่วไปที่ได้อ่านให้ชวนคิดตามไปกับสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนอย่างแยบยล

จากการศึกษา กานต์รวีอธิบายว่า การอบรมสั่งสอนลูกนั้นจำเป็นต่อสังคมทุกยุค เพราะการเรียนรู้เป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิต และการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องเกิดจากการรู้จักคิดหรือตั้งคำถามต่อเรื่องต่างๆ รอบตัว แม้ว่าจะขัดกับค่านิยมของคนส่วนใหญ่เพราะสังคมจะพัฒนาไปได้ ส่วนหนึ่งมาจากการตั้งคำถามของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเสมอ

นอกจากนี้วรรณกรรม ‘พ่อหล่อสอนลูก’ ยังนำเสนอถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะระบบการศึกษาในโรงเรียนที่มักจะพบว่า การเรียนการสอนส่วนใหญ่ยังคงปลูกฝังเด็กแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมการเรียนเก่ง ไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถาม ทำให้เด็กส่วนใหญ่มีความคิดที่เชื่องและรอให้โรงเรียนหรือใครในสังคมมาคอยชี้แนะว่าตนจะต้องทำอะไร วรรณกรรมเล่มนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้อ่านได้คิดและตรวจสอบความคิดความเชื่อของตัวเองและสังคม

ภาษาแบบธนาธร

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มเข้าถึงสื่อช่องทางต่างๆ ได้มากขึ้น ความรู้ของผู้คนจึงไม่ถูกจำกัดว่าจะต้องมาจากหนังสือ โทรทัศน์ หรือคำสอนของผู้หลักผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่โครงข่ายขนาดใหญ่อย่างอินเทอร์เน็ตกลับเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้คนตื่นรู้ทางความคิดมากขึ้น และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงกลายเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ในชั่วข้ามคืน

จากการนำเสนอแนวคิดและมุมมองของชายผู้นี้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์หลากหลายช่องทาง ประกอบกับการใช้ภาษาของเขาผ่านการใช้สื่อโซเชียลในการปราศรัยหาเสียงให้กับ ‘พรรคอนาคตใหม่’ ทำให้ พชรวรรณ เกียรติเวธี หันมาศึกษากลวิธีการใช้ภาษาของธนาธร เพื่อโน้มน้าวผู้คนให้คิดตามในสิ่งที่เขานำเสนอ จนเกิดเป็นงานวิจัยชื่อ ภาษาที่สื่ออัตลักษณ์ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในช่วงระหว่างหาเสียงเลือกตั้งปี 2562

หลังการศึกษาเรื่องดังกล่าว พชรวรรณพบว่า การใช้ภาษาของธนาธร ประกอบด้วยกลวิธีทางภาษาหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น การใช้ถ้อยคำอ้างถึง เช่น การใช้คำที่สื่อถึง ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ อย่างคำว่า ผู้กำหนดอนาคต เยาวชนคนรุ่นใหม่ คนรุ่นต่อไป หรือคนรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นต้น การใช้คำกริยาและคำขยาย การใช้ความหมายคู่ตรงข้าม เช่น คำว่าเผด็จการกับประชาธิปไตย การใช้มโนอุปลักษณ์ หรือการสร้างความเข้าใจสิ่งหนึ่งด้วยการเปรียบเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เช่น การเปรียบการเปลี่ยนแปลง เป็นการต่อสู้ ด้วยพลังของประชาชน เพื่อชัยชนะของประชาชน

นอกจากนั้นการใช้รูปประโยคที่สัมพันธ์กันตามลำดับเวลา อย่างในประโยคที่ว่า หากย้อนไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ไทยและมาเลเซียเริ่มต้น ปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างยางพาราพร้อมกันแต่ปัจจุบัน มาเลเซียได้กลายเป็นประเทศที่แปรรูปยาง รายใหญ่ของโลก การใช้ประโยคเงื่อนไขและประโยคการปฏิเสธ อย่างเช่น หากผมได้รับความไว้วางใจจากประชาชนผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับธนาธรในฐานะ นักการเมืองรุ่นใหม่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง และนักประชาธิปไตย ลบภาพลักษณ์เดิมของนักการเมืองรุ่นเก่าด้วยการสร้างอัตลักษณ์ให้คำว่านักการเมืองรุ่นใหม่

แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงการนำเสนองานวิจัยภายในห้องเรียนเท่านั้น และแม้ว่าต่างคนจะต่างความคิด ต่างความสนใจ แต่สิ่งที่เหมือนกันของทุกคนคือ การตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่เดิม เพื่อหาคำตอบให้กับสิ่งนั้นว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดขึ้น และสามารถพัฒนาต่อยอดสิ่งดังกล่าวเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้หรือไม่

เพราะหลายๆ ครั้ง คำถามสำคัญกว่าคำตอบ

Tags:

กลุ่มพลเรียนครูระบบการศึกษาประชาธิปไตย

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อครู คือ ผู้ทำงานทางการเมือง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

อาริยา มิลินธนาภา: เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
18 June 2019

อาริยา มิลินธนาภา: เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • อาริยา มิลินธนาภา หรือ แม่จิน คุณแม่ลูกสองซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศ (Trans woman) ยืนยันเสียงหนักแน่นว่า เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก และในความเป็นแม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง
  • แต่กว่าจะได้มาเป็นแม่ จินเจอปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง หนักหนาที่สุดคือ อคติ
  • ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงข้ามเพศ แต่จินก็เคยให้นมลูกด้วยตัวเอง เพราะไม่ว่าชายหรือหญิงก็มีต่อมน้ำนม
  • “วันหนึ่งที่เขามีชีวิตของตัวเอง อยากให้รู้ว่าเขาไม่ได้ติดค้างอะไรเรา ที่เราทำทั้งหมดเพราะรักและอยากมีเขาตั้งแต่วันแรก เขาเติมเต็มเราตั้งแต่วันแรกที่ได้อยู่กันมา อยากให้เขาเอาเวลาที่เหลืออยู่ไปเป็นตัวตนเขาจริงๆ ไม่ต้องห่วงเรา” และลูกต้องมีชีวิตที่ดีกว่าแม่เสมอ จินบอก

“ในสังคมทั่วไป ทุกคนยังยึดติดว่าแม่ต้องเป็นผู้หญิง แต่พอมีลูก เราตัดคำว่าเพศสภาพออกไปเลย เพราะเพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก ในความเป็นแม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง”

อาริยา มิลินธนาภา หรือ แม่จิน คุณแม่ลูกสองซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศ (Trans woman) ยืนยันเสียงหนักแน่น

ในสังคมไทย ถ้าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว อย่างน้อยจะได้รับความเห็นใจและเอาใจช่วย หากเป็นแม่วัยทำงาน เธอจะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ อย่างน้อยก็ภาษีลดหย่อนสำหรับคนมีลูก หากเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความพร้อมและเจตจำนงอยากมีลูก เมื่อยื่นความประสงค์ขออุปการะเลี้ยงดูบุตร เธอจะได้รับความไว้วางใจ และมองว่ามีความพร้อมเป็น ‘แม่’ มากกว่าเพศไหนๆ และนั่นตามมาด้วยขั้นตอนการยื่นเรื่องที่ง่ายกว่า อย่างน้อยก็ง่ายกว่าคู่รัก LGBT

แม่จินเป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นหญิงข้ามเพศที่รักกันดีกับสามี ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เธอเต็มพร้อมและมีเจตจำนงอยากมีลูก… ความต้องการที่ไม่ต่างกับหลายครอบครัวทั่วไป

The Potential ชวนคุณจิน มนุษย์คนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อความฝันจะมีลูก ได้ดูแลเด็กสองคนด้วยความพร้อม ฝันสูงสุดคือไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งหรือปมฝังใจใดๆ ให้เกิดกับคนที่เธอรัก และตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เธอเฝ้าทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่

หากตัดเรื่องรูปร่าง เพศสภาพ ความคิดที่ฝังลึกว่า ‘แม่’ ต้องเป็นแบบไหนออกไป อ่านเฉพาะความคิดและประสบการณ์ของมนุษย์คนหนึ่งในการมีลูก คุณมองเห็นอะไร? ทั้งหมดนี้ ตรงกับความหมายของการเป็น ‘แม่’ ในมุมของคุณหรือเปล่า?

ทำความรู้จักคุณจินเล็กน้อยนะคะ คุณจินเป็นใคร ปัจจุบันทำอาชีพอะไรอยู่

ตอนนี้ทำงานเป็นแอดมิน ผู้ประสานงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้เราเคยเป็น telemarketer หรือเซลส์ทางโทรศัพท์ที่ต้องคุยกับชาวต่างชาติ และเคยทำงานด้านนิตยสารเด็กด้วย ทำอยู่ได้สักพักก็เปลี่ยนมาทำงานที่ปัจจุบัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดในสายงานนั้น อยากทำงานด้านแอดมินมากกว่า

ตอนที่ทำงาน เจออคติทางเพศบ้างไหม

เคยไปสมัครงานที่หนึ่ง ตอนสัมภาษณ์เราใส่กางเกง แต่พอทำงานจริงเราใส่กระโปรง เพราะเห็นว่าคนอื่นก็ใส่กระโปรงไปทำงานได้ปกติ พี่คนหนึ่งเดินมาบอกเราว่าให้เปลี่ยนไปใส่กางเกงเถอะ เอาจริงๆ มันไม่ใช่กระโปรงสั้นหรือดูโป๊อะไรเลยนะ เป็นทรงเรียบร้อยเหมือนพนักงานคนอื่นทั่วไป เราเลยเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องกระโปรง แต่ต้องเป็นเรื่องเพศสภาพแน่ๆ ตอนนั้นเราเลยบอกพี่เขาไปว่า ถ้าเป็นเพราะเรื่องเพศสภาพก็ไม่เป็นไรนะ เราอยากเป็นตัวเรา จากนั้นก็ลาออกเลย

ตอนสมัครงานแห่งที่สอง อาจเพราะรูปในใบสมัครงานเขาเลยนึกว่าเราเป็นผู้หญิง พอไปสัมภาษณ์จริงเขามีท่าทีอยากปฏิเสธเราอีก แต่โชคดีว่า director ซึ่งเป็นคนสิงคโปร์มาเจอเราตอนสัมภาษณ์พอดี เขาได้คุยกับเราแล้วถูกคอ ชอบใจ ภาษาเราเข้ากันได้ ก็เลยว่าจ้างเราตั้งแต่วันนั้น ตัวงานสนุกมากเลยนะ แต่ทำได้สักพักก็เปลี่ยนมาทำงานที่ปัจจุบัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งในสายงานนี้ และอยากทำงานในเชิงแอดมินมากกว่าเลยย้ายงานมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้ทำกับที่นี่มาได้สิบกว่าปีแล้ว (ยิ้ม)

เข้าโหมดความรักกันบ้าง คุณเจอกับสามีตอนไหน

เจอกันตั้งแต่ตอนเราอายุ 19 ปี น่าจะราวๆ ปี 2003-2004 เจอและคุยกันทางออนไลน์ สมัยนั้นโซเชียลมีเดียยังไม่บูม ไม่มีทินเดอร์หรือแอพฯ อะไรเหมือนในตอนนี้

สามีรู้แต่แรกเลยหรือเปล่าว่าเป็นทรานส์เจนเดอร์

รู้แต่แรกเลย ไม่เคยปิด ไม่อยากให้มารู้ทีหลัง ไม่ใช่คนแบบนั้น ตอนที่คุยกัน เขายังเป็นเชฟและนักกำหนดอาหารในโรงพยาบาลที่รัฐฟลอริดา (สหรัฐอเมริกา) คุยกันได้ประมาณปีหนึ่ง เขาก็บอกว่าอยากมาเที่ยวเมืองไทย ไม่เคยมาเลย ก็เลยได้เจอกันครั้งแรกในตอนนั้น จากนั้นเขาบอกเลยว่าอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ แล้วจะย้ายมาทำอะไร? ก็ต้องหางานทำ เราเลยบอกให้เค้าส่งเรซูเม่ของตัวเองมาทางออนไลน์ เราปรินท์ออกมาและช่วยส่งไปตามโรงแรมหลายที่ โรงแรมไหนที่ดังๆ เราส่งไปหมด

คบกันกี่ปีจึงตกลงว่าจะมีลูก

ความคิดว่าอยากมีลูก น่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เราเป็นคนที่อยากมีลูก อาจเพราะเรามาจากครอบครัวคนจีนที่มีพี่น้องเยอะ จำได้ว่าตอนจินอายุ 10 ขวบ เรามีน้องให้เลี้ยงหลายคนมาก ไล่อายุลงไปได้ตั้งแต่ 9 ถึง 4 ขวบ เราเลยชินกับการมีเด็กอยู่รอบๆ เลยบอกกับสามีว่า “เออ มีลูกกันนะ”

แต่ไม่ได้คิดว่าลูกจะมาเติมเต็มความสัมพันธ์นะคะ ไม่ได้อยากมีเพื่อล็อคความสัมพันธ์ของคนสองคนให้อยู่ตลอดไป นั่นไม่ใช่บทบาทของลูก

ด้วยความที่สามีเป็นคนใจกว้างมาก พอเราบอกแบบนั้น เขาก็บอกว่า “งั้นลองดู ไปคุยกัน” ครั้งแรกที่ไปคุยกับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า “เราไม่รับเคสอย่างคุณหรอก หากประสงค์จะยื่น จำเป็นต้องมีทะเบียนสมรสเท่านั้น” ตอนนั้นร้องไห้เลย (หัวเราะ)

เป็นเรื่องกฎหมาย หรือ ทัศนคติ

ไม่มีข้อกฎหมายระบุชัดๆ ว่า LGBT จะขอรับอุปการะไม่ได้ แต่เอกสารประกอบการพิจารณาของผู้ขออุปการะ ระบุว่าหนึ่งในผู้ที่มีสิทธิขอคือ คู่สมรส และหมายความว่าถ้าเป็นโสด ก็จะขอยากกว่าคู่สมรสด้วย

ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘เราไม่รับเคสอย่างคุณ’ วินาทีนั้นรู้สึกอย่างไร

เสียใจ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า “ถ้าเราได้เกิดเป็นผู้หญิงก็คงดี” เพราะเงื่อนไขที่เขาบอกมา “ก็เพราะเพศสภาพคุณเป็นแบบนี้ เราไม่รับเคสแบบนี้” รู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยเนอะ

หลังจากขอครั้งแรกไม่สำเร็จ ทำอย่างไรต่อ

ตอนนั้นยังเด็กมากเลยตัดใจว่าไม่มีก็ได้นะ ไม่เป็นไร คิดว่าเราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรใครได้ ถ้าแค่ประตูแรกเขายังไม่ฟัง ผ่านไปประมาณหนึ่งปี เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรามีปัญหากับสามี ทำให้ช่วงนั้นเขาไม่สามารถดูแลลูกซึ่งอายุประมาณ 2 เดือนได้ เราเลยบอกเขาว่า “เฮ้ย ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราช่วย” ตอนเช้าเราไปเอาเด็กมาเลี้ยง เย็นก็เอาไปคืนแม่เขา แต่สักพักหนึ่งรู้สึกว่า… บ้านเราใกล้กัน งั้นเราเอาน้องมาดูแลที่บ้านเลยได้ไหม ถ้าเพื่อนอยากเจอเมื่อไหร่ก็มาที่บ้าน ตอนนั้นเลยได้น้องมาเลี้ยง ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีความรู้เลยนะ จะนอนยังไง จะอุ้มยังไง ต้องไปศึกษา เราเข้าไปอยู่ในกลุ่มแม่และเด็กเยอะมาก และไปอ่านจากที่คนอื่นเขียนเล่าให้ฟัง

เราดูแลเองหมดตั้งแต่ให้นม กล่อมนอน ดูเรื่องอาหารการกิน บอกตรงๆ ว่าตอนแรกเราไม่คล่องเลย ไม่มีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กอ่อนมากๆ เด็กยังเป็นตัวน้อยๆ เลยนะ

เลี้ยงจนน้อง 6 เดือน พอแม่เขาสะดวกแล้วก็รับน้องไปดูเองเหมือนเดิม เราโอเค ไม่ได้โกรธอะไรเพื่อนเราเลย แต่การเลี้ยงดูเขาแค่ 4 เดือน ก็ทำให้เราผูกพันไปแล้ว แต่จุดนั้นแหละที่ทำให้รู้ว่าเราพร้อมนะที่จะอยู่กับเด็กฟูลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง เรารู้ว่าลูกเป็นยังไง เด็กเป็นยังไง รู้ว่าการดูแลเด็กคนหนึ่งต้องใช้อะไรบ้าง

คุณอุปการะน้อง 2 คน พอจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ได้ไหมว่ามีกระบวนการอย่างไร

เราได้พบกับผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อมด้วยเหตุผลหลายประการ และได้พบหลายๆ คน จนได้เจอกับคุณแม่ของน้อง ได้พูดคุยศึกษากัน ไปฝากครรภ์ด้วย ไปพบหมอด้วยกันตลอด ดูแลกันจนคุณแม่คลอด จากนั้นจึงไปทำเรื่องขออุปการะจนสำเร็จ เราขออุปการะลูกของเราอย่างถูกกฎหมายทั้งสองคน

แค่การดำเนินเรื่องอุปการะ เราเจอกับคำถามเดิม “ปกติแล้วเราไม่รับเคสแบบคุณนะ” เขาหยิบเคสของเราขึ้นมาดู แนะนำว่า “วันที่มาขอ คุณรวบผมเลยนะ สภาพแบบนี้ไม่ได้ ไปตัดผมสั้นเลย ผมยาวไม่เอา” พูดตามตรง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเราซะทีเดียว แต่ก็เป็นการช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ แต่เราก็ เอานะ… ลบเครื่องสำอางออก หักบัตรประชาชนทิ้ง แจ้งบัตรหายแล้ววิ่งไปทำใหม่เดี๋ยวนั้น คนที่ทำให้บอกว่า “นี่ช่วยสุดแล้วนะ ทำยังไงก็ได้ให้ดูเป็นลุงของเด็กที่สุด”

พอยื่นเรื่องเสร็จ เขาจะยังไม่เรียกอะไรทั้งสิ้น แค่ต้องส่งสำเนาใบเกิดของเด็ก สมุดวัคซีน สำเนาเอกสารผู้ปกครองต่างๆ สำเนาบัตรประชาชน แล้วก็ใบคำขอ สักประมาณเดือนนึงเขาจะแจ้งกลับ ขอสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อาจจะเรียกพ่อกับแม่จริงๆ ของน้องมาถามว่าทำไมแม่ถึงไม่ดูน้องเอง วิธีคิดของเขาคือพยายามให้เด็กอยู่กับพ่อกับแม่ที่แท้จริงมากที่สุด

ระหว่างกระบวนการยื่นเรื่อง มีเหตุการณ์ไหนที่รู้สึก ‘เจ็บ’ เป็นพิเศษไหม

ครั้งหนึ่งเขาเรียกเราไปคุย ถามว่า “แน่ใจเหรอว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งได้” มันเป็นคำถามที่ฟังแล้วก็รู้สึกท้อมาก เราคิดในใจว่า “เราก็เป็นคนทั่วไป เป็นคนธรรมดาๆ จะเลี้ยงลูกไม่ได้เลยเหรอ?” แต่ที่ทำคือตอบเขากลับไปดีๆ ว่า “เลี้ยงได้สิ เรามีความรู้นะ”

แล้วก็อธิบายว่าเรามีความรู้อะไรบ้าง ดูแลยังไง ช่วงวัยอย่างนี้ต้องทำอะไรบ้าง โชคดีที่วันนั้น ผอ. ศูนย์อุปการะเด็กเข้ามาฟังด้วย ซึ่งเขาน่ารักมากนะคะ เขาบอกกับเราว่า “ไม่มีอะไรนะ แค่ให้ข้อมูลไปให้ครบก็พอ”

ตอบคำถามกลับไปกลับมา 4 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ตอนนั้นถอดใจแล้ว บอกสามีว่า “ถ้าสุดท้ายแล้วกระบวนการไม่ผ่าน เขามาเอาลูกเราไป เวลาเกือบปีที่ดูแลกันมา เรารักเขาไปแล้ว เราจะทำยังไงกันดี อยู่ดีๆ จะเอาลูกคืนไปได้เหรอ?”

แต่พอครบหนึ่งปี… ที่จำได้เพราะเป็นวันเดียวกับที่เรายื่นเรื่องไปเป๊ะๆ เจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งว่า “เอกสารผ่านมติเรียบร้อยแล้วนะ แต่ยังไม่ได้ออกเป็นหนังสือให้” ร้องไห้เลย ดีใจมาก วินาทีนั้นรู้สึกว่า เขาเป็นลูกเราตามกฎหมายแล้วจริงๆ

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเลี้ยงลูก หน้าที่หลักคือ ‘แม่’ อย่างน้อยๆ ก็เป็นเรื่องทางร่างกายเช่นการให้นม เอาเข้าจริงแล้ว มันมีความแตกต่างจริงๆ ไหม

ถ้าเรื่องสรีระในการปฏิบัติดูแลลูก ไม่แตกต่าง พอเรารู้ว่าเราจะมีน้อง เราก็ติดตามเพจของป้าหมอสุธีรา (พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ) ในเรื่องการให้นม ก็ยืนยันว่าเพศสภาพชายให้นมได้ เราให้นมแม่ในขวด ไม่ได้อุ้มเข้าเต้า แต่ตอนที่ป้าหมอชวนพิสูจน์เรื่องการให้นม เราก็ลอง เพราะคนเรามีต่อมน้ำนมอยู่แล้วไม่ว่าชายหรือหญิงนะคะ แค่ต้องไปกระตุ้นให้มี ป้าหมอบอกลองกินโมติเลียม จริงๆ แล้วโมติเลียมกระตุ้นเรื่องอื่น แต่ผลข้างเคียงคือทำให้มีน้ำนม เราก็ “เออ ดีจังเลย ลองดูนะ”

ตอนนั้นเรางดทุกอย่าง อะไรที่ดูแล้วน่าจะเป็นอันตรายสำหรับเด็ก งดฮอร์โมน งดอาหารที่จะไปกระตุ้นภูมิแพ้ของเด็ก อ่านเยอะมากว่าควรกินอะไรไม่ควรกินอะไร กินน้ำวันละ 2 ลิตร เริ่มกินน้ำขิง กินหัวปลี มันแหวะมากเลย ไม่น่ากิน แต่เป็นสิ่งที่กระตุ้นน้ำนมได้ ก็กิน

อีกเรื่องคือ การมีน้ำนมเกิดจากการที่ลูกดูดกระตุ้นเยอะๆ ตอนนั้นเราก็ต้องมาทำ ‘จี๊ด’ หรือ บีบ มันเจ็บมากเลยนะ เจ็บกว่าคนหยิกอีก นั่งบีบไป ร้องไห้ไป แต่น้ำนมมันเพิ่มขึ้นนะ จากแรกๆ ได้นมแค่ฝาขวดน้ำ สุดท้ายก็ได้น้ำนมมา 2 ออนซ์ (หัวเราะ) น้อยมากอะ แม้ทำจี๊ดและดูดใส่ไซริงค์แล้วนะ แต่ก็ดีใจมาก และลูกก็ได้กินนม 2 ออนซ์นั้นแล้ว (ยิ้ม)

ช่วงเลี้ยงลูก มีสายตามองเราไม่ดีไหม

มีค่ะ เพราะด้วยเพศสภาพเรา คนก็จะมอง มีหลายคนสงสัย หลายคนถามว่า “คลอดเองหรือผ่าคลอด” “ให้นมยังไง” คือคนเริ่มสับสน แต่เอาจริงนะ พอเรามีลูก ความเป็น LGBT มันซอฟต์ลงไปเยอะ คนจะงงว่าเรามีลูกได้ยังไง ไม่ก็คิดว่าเราเป็นผู้หญิงไปเลย

มีครั้งหนึ่ง เพจหนึ่งในโซเชียลมีเดียแชร์โพสต์ #ผู้ชายก็ผลิตน้ำนมให้ลูกกินได้ค่ะ ไป ซึ่งมันเป็นกรณีของเราเอง ตอนนั้นจิตตกเลย เพราะเพจเขียนทำนองว่า “สาวประเภทสองมีน้ำนมได้ยังไง” จากนั้นมีคนมาคอมเมนต์ว่า “ไอXตุ๊ด มึงมีน้ำนมได้ยังไง ใกล้ตายแล้วรึเปล่า? ควรไปตรวจร่างกาย” เราก็แบบ… ไม่ ไม่ฟัง ฟังแต่ป้าหมอ และเพจนมแม่ อย่างเดียว เราเลยบอก เราขอเอาออกไปก่อนนะ ไม่งั้นเราจิตเสียแน่นอน

อย่างแย่ที่สุด เคยเจอผู้ชายสงสัยมากๆ เดินเข้ามาถาม “นี่ลูกพี่เหรอ?” ก็มี ซึ่งเราก็เซนส์ได้ว่าเป็นน้ำเสียงเชิงลบ

รู้สึกว่ามันเป็นการคุกคามไหม

ส่วนหนึ่ง สมัยก่อนคงเถียงกลับ แต่นี่ลูกอยู่ด้วย เราก็ต้องทำงานกับลูกเราก่อน จินคิดว่าวัยนี้เขายังไม่เข้าใจ แต่เรากอดลูกและบอกกับผู้ชายคนนั้นว่า “ใช่ค่ะ นี่ลูกของเรา”

แต่สำหรับคนที่รู้จักเราหรือคนใกล้ตัว ทุกคนต้อนรับเราดีมาก ไม่เคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ เลย

น่าสนใจที่คนรอบข้าง คนที่รู้จักเราจริงๆ จะต้อนรับและให้กำลังใจเราดีมาก คนที่ตั้งแง่และโจมตี คือคนที่ไม่รู้จักเรา

ใช่เลย คือพอมีลูก จินได้อยู่ในกลุ่มคุณแม่ๆ ซึ่งมีลูกวัยละอ่อนและสนิทกัน เราบอกทุกคนตรงๆ ว่า เราเป็นแบบนี้และมีลูกนะ หลายๆ คนในกลุ่มนั้นกลายเป็นเพื่อนกันถึงทุกวันนี้ ได้ไปเจอตัวตนกันจริงๆ แบบออฟไลน์ พาลูกไปเล่นด้วยกัน ในกลุ่มนี้ เราไม่เคยเจอใครที่บอกว่า “เฮ้ย แกเลี้ยงไม่ได้หรอก” ไม่เคยเจอลักษณะนี้ หรือเขาอาจไปพูดลับหลังก็ได้นะ แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเราไม่ได้ยิน หรืออย่างที่ทำงาน ก็ไม่เคยมีใครพูดกับลูกเราว่า “แม่เป็นตุ๊ดนะ” ไม่เคยเจอ

มีเหตุการณ์ไหนที่รู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนและอยากเล่าให้ฟังไหมคะ

ตอนช่วงเลือกโรงเรียนให้ลูก เราไปดูโรงเรียนด้วยตัวเอง ด้วยความที่ทุกคนคาดหวังว่า ผู้ปกครองต้องเป็นพ่อหรือแม่เท่านั้น ฉะนั้นสายตาแรกที่เราเปิดห้องธุรการเข้าไป เขาก็จะแบบ “มาติดต่ออะไรคะ?” แต่สายตาเขาคล้ายว่า “แปลกจัง ยูมาทำอะไรที่นี่” ถ้าโรงเรียนที่เข้าใจหน่อย อย่างโรงเรียนของลูกทุกวันนี้ เขาจะมองข้ามเรื่องพวกนี้แล้วก็ “อ๋อ คุณแม่รอแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวติดต่อคุณครูให้ แป๊บนึงค่ะ”

แต่จริงๆ แล้ว โรงเรียนที่เคยไปดู ก็ไม่เคยเจอถึงขั้นมารยาทไม่ดีนะ แต่เจอสายตา “เป็นอะไรกับน้องคะ” แรกๆ เราก็แบบ เอาไงดีนะ จะตอบว่าอะไร ‘แม่’ ‘ผู้ปกครอง’ ‘ไม่ได้เป็นอะไรกับน้อง’ คือเราคิดเยอะมาก เพราะในเอกสารเราไม่ใช่แม่แต่เป็นคนดูแล แล้วจะให้ครูเรียกว่าอะไร?

จนช่วงปีหลังๆ เราตัดสินใจแล้ว ‘เราเป็นแม่’ ไม่ว่าในเอกสารจะเป็นอะไร ละไว้ให้เป็นเรื่องของเอกสาร แต่ในทางปฏิบัติ ฉันคือแม่ของลูก จากนั้นเราบอกทุกคน “จินเป็นมาม้าของน้องค่ะ”

กรณีของคุณ เหมือนต้องทำงานกับลูก 2 อย่าง คือ การทำความเข้าใจเรื่อง LGBT และ การอุปการะ สื่อสารกับลูกอย่างไร

วันหนึ่งลูกจะถามเราและถูกถามแน่นอน ทั้งเรื่อง LGBT และการอุปการะ เรื่องนี้เราปรึกษากับคุณหมอ และส่วนตัวเป็นแฟนคลับคุณหมอประเสริฐ (นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์) เราทำตามหลักการของคุณหมอหลายอย่าง

ที่อยากจะสื่อคือ ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เอาแค่ 5 ขวบก็ได้ เราไม่ได้เรียกร้องว่าแม่ต้องเป็นผู้หญิง หรือ พ่อต้องเป็นผู้ชาย สิ่งที่เด็กเรียกร้องตอนอายุ 5 ขวบคืออะไร? ความรัก ความใส่ใจ ตอน 5 ขวบมันคือ “หิวจัง ใครจะหาข้าวมาให้เรากิน” หรือ “ง่วงจังใครจะพาเราเข้านอน” “คนนี้จะคิดถึงเราไหม” “คนนี้มีตัวตนไหม?” ในสมองเรามันไม่จำเป็นต้องเป็นเพศอะไร

เพศเป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่กำหนดว่าแม่ต้องเป็นผู้หญิง พ่อต้องเป็นผู้ชาย หรือกระทั่งกำหนดว่าตัวเด็กต้องเป็นเพศอะไรก็ตาม อยากให้ทุกคนย้อนกลับไปวัยนั้น เราไม่ได้คิดเรื่องเหล่านี้เลย เราถูกปลูกฝังมาต่างหาก

เราอยากปลูกต้นไม้อยากให้เขาเติบโต โดยที่เราจะไม่ไปทำอะไรที่กระทบกับเสรีภาพและอัตลักษณ์ของเขา จินว่าโอเค ลูกจะถามเรื่องเพศสภาพแน่นอน แต่คิดว่าความรักที่มีให้ลูก ความใส่ใจที่เราทำให้เขา ใส่ใจว่าเขาจะกิน จะอยู่ยังไง จะใช้ชีวิตอยู่ยังไง จินคิดว่ามันน่าจะเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เขาแข็งแรง

บอกน้องไหมว่าเราอุปการะเขา

ณ ตอนนี้ยังค่ะ เพราะเขายังเด็กมาก แต่เล่าผ่านนิทานซึ่งมันมีนิทานลักษณะนี้อยู่ค่อนข้างเยอะ เคยคิดเหมือนกันนะว่าจะบอกยังไง แต่เวลาที่เขางอแงแล้วหลุดพูดว่า “ไม่รักมาม้าแล้ว อยากมีมาม้าใหม่” เราก็จะบอกว่า “งั้นมีมาม้าสองคนเลยดีไหม คนอื่นมีมาม้าคนเดียว ลูกมีสองคน เจ๋งไหม?” อะไรประมาณนี้ คือให้เป็นคอนเซ็ปต์มากกว่าจะพูดเรื่องจริง เขาอาจยังไม่เข้าใจ แต่เราจะค่อยๆ พูดไปทีละนิด

ไม่ว่าเราจะระวังแค่ไหน แต่คำพูดจากคนอื่นสร้างปมให้ลูกได้เสมอ กลัวไหมว่าเรื่องนี้จะสร้างปมให้ลูก

จินเคยไปตามถามคนที่เขาถูกอุปการะและโตแล้วว่าเขารู้สึกยังไง หลายคนให้คำตอบเหมือนกันว่า ไม่ได้รู้สึกเป็นปมว่าถูกพ่อหรือแม่ใหม่รับมาเลี้ยง แต่ปมในชีวิตเขาคือการถูกทิ้ง ซึ่งอาจเป็นปมเล็กมากในชีวิตแต่มันไม่หายไป มันเป็นเรื่องนี้มากกว่าที่เขาจะสงสัยว่าพ่อหรือแม่เขาเป็นใคร ฉะนั้น หน้าที่ของเราคือ ทำให้ปมที่เขามี มันเล็กที่สุด

ความรู้สึกเป็นแม่ เกิดขึ้นตอนไหน

ความเป็นแม่ของเราไม่ได้เริ่มตอนท้อง แต่เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เห็นเขาคลอดออกมา วันที่เราไม่ได้นอน เริ่มจากการได้เลี้ยงดู ได้ปฐมพยาบาล ได้ใส่ใจ

อยากบอกอะไรกับคนที่อ่านอยู่ และไม่เห็นด้วยว่า LGBT จะเป็นแม่ที่ดีได้

คำว่าแม่ถูกกำหนดให้เป็นคำที่ยิ่งใหญ่มาก แต่พอเรามีลูก เราตัดคำว่าเพศสภาพออกไปเลย เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก มันไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงอะ การเป็นแม่คือคนที่รักและใส่ใจใครอีกคน นึกถึงเวลาเราเรียกใครว่าแม่ เขาอาจไม่ใช่คนที่เลี้ยงเรามาจริงๆ ก็ได้ แต่เรารู้ว่าคนนี้รักเรา

ถ้าอีกสิบปีข้างหน้า น้องทั้งสองคนได้มาอ่านบทความนี้ คุณจินอยากบอกอะไรกับน้องไหมคะ

อยากให้รู้ว่ารักเขาตั้งแต่วันแรก ไม่มีเงื่อนไข สำหรับจิน วันหนึ่งที่เขาอยากเป็นตัวของตัวเอง มีชีวิตของตัวเอง อยากให้รู้ว่าเขาไม่ได้ติดค้างอะไรเรา ที่เราทำทั้งหมดเพราะรักและอยากมีเขาตั้งแต่วันแรก เขาเติมเต็มเราตั้งแต่วันแรกที่ได้อยู่กันมา อยากให้เขาเอาเวลาที่เหลืออยู่ไปเป็นตัวตนเขาจริงๆ ไม่ต้องห่วงเรา

ไม่รู้ว่าลูกจะเคยอายรึเปล่า แต่เราพยายามเต็มที่ คิดว่าเราไม่บกพร่องในหน้าที่อะไร ทุกนาที คิดเหมือนที่แม่ทุกคนคิด คือลูกต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเสมอ

Tags:

มายาคติการเป็นแม่เพศอาริยา มิลินธนาภาLGBTQ+

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์: การเรียนรู้ผ่านโลกทวิตเตอร์ 280 ตัวอักษรของน้องใหม่วัย 71
Life Long Learning
17 June 2019

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์: การเรียนรู้ผ่านโลกทวิตเตอร์ 280 ตัวอักษรของน้องใหม่วัย 71

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • คุยกับทวิตเตอร์น้องใหม่วัย 71 โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ คุณพ่อลูกสี่ที่ตอนนี้มียอด follower กว่าแสนคน ทวิตครั้งหนึ่งยอดรีทวิตไมเคยต่ำกว่าหลักพันหลักหมื่น เป็นโลกใหม่ที่เจ้าตัวบอกว่า ชวนตกใจ บางอันถึงขั้นขนพองสยองเกล้า
  • การเข้ามาเล่นในโลกของนกสีฟ้า ถือเป็นหนึ่งในหลายๆ การเรียนรู้ของ kovitw (ชื่อในทวิตเตอร์) เพราะการเรียนรู้คือ ความสุข
  • ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในวัย 52 ‘แด๊ดดี้’ ของลูกๆ ทั้งสี่ยังบินไปคว้าปริญญาโทด้านกฎหมายอีกใบ หลังจากเรียนจบปริญญาเอกเรียบร้อยแล้ว
  • “หรือจะเรียกว่าสันดานก็ได้ ถ้าผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ ผมมีความสุข และผมเป็นคนชอบมีความสุขแบบนั้น” อ.โกวิท กล่าวไว้
เรื่อง: ทัศ ปริญญาคณิต
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

วันนี้คือวันที่ยอด follower ของ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ครบ 100,000 คนพอดี หลังจากลูกชายจอห์น-วิญญู สมัครให้เมื่อ 7 เมษายนที่ผ่านมา เริ่มต้นทวิตแรกด้วยการถามว่า “แด๊ดดี้อยากพูดเรื่องอะไรอะ”

ใช่ ครอบครัววงศ์สุรวัฒน์เรียกคุณพ่อคนไทยว่า ‘แด๊ดดี้’ แต่เรียกมารดาชาวอเมริกันว่า ‘แม่’

“เป็นการตกลงร่วมกันว่า ผมจะเลี้ยงลูกเป็นภาษาไทย ส่วนแม่เขาจะเลี้ยงลูกโดยใช้ภาษาอังกฤษ แม่สอนให้เรียกว่า daddy ส่วนผมก็สอนให้เขาเรียก แม่ เราสอนให้ลูกพูดชัดทั้งสองภาษา ดีกว่าชัดครึ่งๆ กลางๆ”

ปัจจุบัน ลูกทั้งสี่ หญิงสอง ชายสอง มีการงาน มีครอบครัว แยกย้ายไปมีที่ทางของตัวเอง บ้านหลังนี้จึงมีแค่ อาจารย์โกวิท และภรรยา อยู่ดูแลกันสองคน

ในบทสัมภาษณ์ต่างๆ อ.โกวิท ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณพ่อที่เข้มงวดที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะชื่อเสียงด้านการให้ลูกทุกคนคัดรัฐธรรมนูญขจรขจายไปทุกวงการ พร้อมกับคำถามว่าทำไม

“ผมมองว่ารัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดตามหลักสากล เราควรจะรู้จักสิทธิของเราว่าเราทำอะไรหรือทำอะไรไม่ได้บ้าง และสิทธิขั้นพื้นฐานของเรานี่มักจะโดนกดขี่จากกฎหมายต่ำเตี้ยติดดินจากคนบางกลุ่ม หากเรารู้สิทธิตามกฎหมายสูงสุดของประเทศ เราก็ไม่ต้องไปกลัว ถ้าเรารู้จักสิทธิของเรามันก็น่าจะดี หมายรวมถึงลูกศิษย์เราด้วยนะ และวิธีที่จะทำให้รู้ดีรู้ลึกจริงๆ ก็คงจะต้องคัด เพราะมันสำคัญ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้ ต้องเข้าใจ ก็เลยต้องให้คัด

ผมมองว่ามันตลกนะ ถ้าคนที่เรียนจบตั้งหลายคนไม่เคยอ่าน ไม่เคยท่องรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อะ”

ตลอดการสนทนากับอาจารย์ ต้องเรียกว่ามาแบบครบรส โกรธ ชม ด่า ประชด สุภาพ อาจจะมีหยาบบ้าง แต่ทั้งหมดถูกห่อและเคลือบไว้ด้วยเสียงหัวเราะ

…อาจารย์ด่าคนได้สนุกที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แบบด่าไปขำไป

“เราก็ดูไปขำๆ ถ้าเกิดทำอะไรไม่ได้ก็หัวเราะใส่มันซะ แล้วเราก็แสวงหาความสุขด้วยการหาอะไรที่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น เท่านั้นเอง”

ย้อนกลับไป ทำไมต้องอาจารย์ต้องเข้มงวดกับลูกๆ

ผมเชื่อว่า โดยธรรมชาติของเขา เขาจะทดสอบว่าตัวเองไปได้ไกลขนาดไหน ถ้าเราไม่ตีกรอบไว้ก่อนก็อาจทำให้เตลิดไปกันใหญ่ แต่ไม่ได้ตีกรอบบังคับให้เขาไปได้ไม่ไกลนะ ผมใช้วิธีการนี้กำหนดกรอบ กำหนดกิจกรรมขึ้นว่าจะต้องทำอะไรบ้าง อย่าให้ผมได้ยินบ่นว่าว่าง หรือบ่นว่าเบื่อนะ เสร็จผมแน่ (หัวเราะ)

แต่ผมก็จะเข้มงวดไปถึงมัธยมต้น พอช่วงมัธยมปลายก็เริ่มปล่อย คิดว่าพอเขามีวินัยแล้ว มันก็คงถึงเวลาต้องเดินออกนอกกรอบ อีกอย่าง ผมก็ตระหนักในความจริงว่าช่วงวัยนี้เราจะไปคุมเขามากไม่ได้ เมื่อคุมไม่ได้ก็ต้องปล่อย ยิ่งขึ้นมหาวิทยาลัย ก็ตามสบายไปเลย หรือวัยทำงาน ผมก็ยิ่งไม่ไปถามอะไรเขาเลย ถามไปเดี๋ยวก็รำคาญ (ยิ้ม)

พอจบมหาวิทยาลัย เขาก็พาเหรดกันออกจากบ้าน คนนำคนแรกคือเจ้าคนสุดท้องนะ จอห์นนี่แหละ ออกไปตั้งแต่ยังเรียนอยู่เลยมั้ง บอกว่าเขาจะไปอยู่เอง แล้วผมจะทำอย่างไรได้ ตอนนั้นเขาหารายได้ได้มากกว่าผมแล้วด้วยซ้ำ (หัวเราะ)

เรื่องอะไรบ้างคะที่อาจารย์เข้มงวด และกรอบคืออะไร

กรอบแรกเลยคือจะต้องมีความสุภาพ สัมมาคารวะ สามารถพูดคุยกันด้วยเหตุและผล และเน้นการอ่านเขียนหนังสือ ผมเน้นมาก เสาร์อาทิตย์วันหยุดก็ต้องเขียน ช่วงหลังๆ ตอนมีรัฐธรรมนูญ 2540 ผมตื่นเต้นมากก็ให้เขาคัดมาเลย คัดมาวันละนิดวันละหน่อย

ลงโทษลูกๆ บ้างไหม

ผมมีแส้ม้าอยู่อันหนึ่งของน้องสาว เขาขี่ม้าก็เอาแส้มาทิ้งไว้ที่บ้าน ผมก็เอามาถือกวัดแกว่งไปอย่างนั้น ไม่เคยได้ตีจริงๆ พูดง่ายๆ ก็เหมือนคนได้แต่เห่า ใช้การดุและเสียงดังมากกว่า

ย้อนไปวัยเด็ก อาจารย์โตมาแบบไหน โดนเลี้ยงมาแบบนี้หรือเปล่า

เหมือนกันนะ พ่อผมค่อนข้างเข้มงวด แต่ไม่ได้มีความสนิทกันมากเท่าไร เน้นการอ่านเขียนเหมือนกัน ต้องเขียน essay ต้องอ่านหนังสือ จะเรื่องอะไรก็ได้ เน้นเขียนและอ่านมาก

ผมค่อนข้างใช้เวลาคุยกับลูกเยอะ คุยกันว่าสิ่งนี้ดีนะ สิ่งนี้ไม่ดี ภรรยาเขาก็เลยไม่ค่อยชอบเพราะใช้เวลาวันหยุด รบกวนการดูทีวีวันเสาร์อาทิตย์ของเขา (หัวเราะ) นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราทะเลาะกันประจำ เลยตัดสินใจว่าพอแล้ว ภรรยาจะเลี้ยงลูกชายคนสุดท้องเอง ลูกสามคนแรกเขาอาจจะไม่ได้ enjoy life เสียเท่าไร

พาลูกๆ ไปเที่ยวบ่อยไหมคะ

ก็มีบ้างคร้บ ส่วนใหญ่ไปใกล้ๆ อยู่ในกรุงเทพฯ พาลูกขึ้นรถเมล์ไปวัดพระแก้วบ้าง วัดโพธิ์บ้าง พาเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง อธิบายสิ่งต่างๆ ให้เขาฟัง วันดีคืนดีก็พากันท่องชื่อประตูต่างๆ ที่สำคัญ หรือบางครั้งที่ผมไปสัมมนา ก็พาเขาไปเหมือนกัน

ดูเป็นการไปเที่ยวเชิงความรู้มากๆ แล้วไปเที่ยวแบบเที่ยวจริงๆ มีไหมคะ

เที่ยวจริงๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ (หัวเราะ)

โรซี่ ลูกสาวคนโต เขาเคยเคียดแค้นผมมาก เขาอยากไปกวดวิชาภาษาอังกฤษ แต่จริงๆ คืออยากไปสังสรรค์กับเพื่อนนี่แหละ เขาเลยมาขออนุญาตผม ผมก็รู้ว่าเขาอยากไปกินเล่นสนุกกับเพื่อน ก็เลยตอบไปว่า เออดีเนอะ สนใจภาษาอังกฤษ งั้นเอาเรื่องนี้ไปอ่านไป (ยื่นหนังสือให้) เขาก็เลยอดไป และก็ไม่เคยมาขออีกเลย เพราะจะได้รับคำตอบแบบเกินคาดเสมอๆ พูดไปชีวิตเขาก็น่าสงสารเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

ลูกน่าจะมีจังหวะงอแง อาจารย์จัดการอย่างไร

ผมไม่ค่อยเจอนะ เขาคงไปงอแงกับแม่แหละ ผมก็จะบอกได้แค่ว่า เนี่ยสมัยผมเจอมาหนักกว่านี้อีก โทษปู่ตลอด แต่ก็ยอมรับนะ แต่ผมก็คิดแล้ว การเลี้ยงลูกแบบครอบครัวเรามันถูกดีไซน์มาแล้วว่าผมจะรับบทโหด ต้องดุ ส่วนภรรยาผมจะรับบทเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา พอหลังๆ ภรรยาเขาก็ยึดอำนาจผมไป แต่ไม่ใช่เผด็จการนะ ต้องอย่าลืมว่าลูกตอนนั้นก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่ใช่เผด็จการแต่มันคือการเลี้ยงลูก

ในบทบาทครู มีอะไรแตกต่างกับบทบาทคุณพ่อบ้างไหม

ลูกศิษย์ก็เหมือนลูกผม มีเพียงความใกล้ชิดสนิทสนมเท่านั้นที่ต่างกัน ผมเข้มงวดเหมือนกัน ถ้าสอนอยู่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ได้ เด็กคุยกันไม่ได้ แต่คุยกับผมได้ ยกมือได้เลยว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นบนข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่คาบแรก ผมจะอ้างเลยว่าผมเป็นโรคประสาทอ่อนๆ ถ้าเกิดเด็กคุยกัน ผมชักจะสนใจ ผมจะอยากรู้ขึ้นมาทันที ดังนั้นผมก็จะลืมในสิ่งที่ผมเตรียมมาสอน ถือว่าเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงในชั้นเรียนอย่างหนึ่ง เพราะมีเพื่อนๆ คนอื่นเสียผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นอย่าเลย

บางครั้งก็มีการลงโทษให้ลุกขึ้นยืนบ้าง สลับที่มานั่งหน้าห้องบ้าง หรือโทษหนักสุดอย่างการไม่อ่านบทเรียนมาก่อนแล้วตอบคำถามไม่ได้ ผมจะให้ออกมาเดินเป็ด กระโดดกบ ทำให้มันสนุกๆ ไป

อาจารย์เปิดโอกาสให้เด็กยกมือถามได้ตลอด?

ใช่ บ่อยไปที่เด็กไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมสอน หรืออย่างการพูดผิด บางครั้งเด็กก็จะยกมือท้วงขึ้นเลย “อาจารย์สอนผิด เออ จริงด้วย ขอโทษนะ ก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร ขอบคุณมาก”

ผมงงนะครับ เวลาอาจารย์หลายๆ ท่านโกรธและรู้สึกเสียหน้าเวลานักเรียนทักท้วง ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหน้าตรงไหน ผิดก็ผิด ตอนหลังๆ เวลาผมพูดผิด ผมก็อ้างเลย ผิดจริงนะ ขอโทษๆ ผมแก่แล้ว (หัวเราะ)

เด็กควรจะเชื่อทุกอย่างที่อาจารย์สอนไหม

ผมพูดอยู่เสมอๆ ว่าไม่ควรเชื่ออย่างยิ่ง เพราะคนที่เป็นอาจารย์เขาก็แค่อ่านมามากกว่าคุณ ถ้าคุณอยากรู้เท่าอาจารย์ก็แค่อ่านให้มากกว่าเท่านั้นเอง การที่ผมได้มาพูดหน้าชั้นเรียน บังเอิญผมแค่รู้เรื่องนี้มากกว่าพวกคุณแค่นั้นเอง

อาจารย์เจอนักศึกษาหลายรุ่น นักศึกษารุ่นก่อนๆ กับนักศึกษารุ่นปัจจุบัน แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ผมสอนหนังสือมา 48 ปีแล้ว นักศึกษาแตกต่างกันเยอะมาก แต่ก่อนมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยระบบเอนทรานซ์ หรือระบบโชคชะตาชีวิต ถ้าสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็อนาคตสดใส ถ้าเข้าไม่ได้ก็แย่

เด็กรุ่นก่อนก็จะขยัน ตั้งใจ ไม่มีปัญหา เรียบร้อยดี แต่มันก็มีช่วง ปี 2517-2519 มีแนวคิดเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองเข้ามา จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเคยเห็น 14 ตุลาฯ บ้าง เด็กก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง บางคนแสดงด้วยวิธีก้าวร้าว ชี้หน้าด่าผมว่า ผมไม่ใช่ประชาชน ผมก็งงว่าผมไม่ใช่ประชาชนอย่างไร เด็กตอบว่าเพราะผมเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ชนชั้นกรรมาชีพ อ้าวแล้วผมไม่ได้หาเงินด้วยการสอนเหรอวะ ก็เถียงกันไปมา แต่ผมก็ชอบนะ สนุกดี เพราะเรื่องต่อปากต่อคำ ผมก็ไม่ตกฟากเหมือนกันเรื่องนี้ (หัวเราะ)

ส่วนเด็กๆ รุ่นนี้ ผมเริ่มสังเกต ช่วง 10 กว่าปีหลังที่ผ่านมา ตัดเป็น 2 ช่วงกว้างๆ ง่ายๆ นะ รุ่นก่อนอินเทอร์เน็ต และรุ่นหลังอินเทอร์เน็ต

รุ่นหลังอินเทอร์เน็ต จะดูเงียบแฮะ เรียบร้อย เฉยๆ ไม่ค่อยแสดงความคิด ซึ่งผมมีลูกศิษย์ที่จบไปเป็นอาจารย์สอน บอกเหมือนกันว่าเด็กรุ่นหลังๆ ดูเงียบๆ แต่ถ้ามองไปในแววตาก็แอบมีความสงสัย เหมือนพวกเขารู้แต่ไม่พูด

อยากรู้อะไรก็ไปกูเกิลเอา มันไม่ใช่การผูกขาดความรู้อีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนต้องนั่งฟังอาจารย์ จดตาม มันทำให้ผมสงสัยมาตลอด จนมาถึงเหตุการณ์เลือกตั้งครั้งล่าสุด ไม่ต้องพูดมากเลย เด็กที่เงียบๆ ไม่พูด ไม่บอก แต่เขาเลือกทำสิ่งที่เขาคิดเองเลย

เพราะเด็กสมัยนี้มีความเป็นตัวของตัวเอง เลือกพื้นที่ในการแสดงออกวามคิดเห็นได้เองหรือเปล่า

ใช่ๆ ผมว่าเขามีกาลเทศะนะ พูดกับคนไม่รู้เรื่องจะพูดไปทำไม เสียเวลา เขาคิดว่านี่คือพื้นที่ปลอดภัย พูดตรงนี้ได้ เขาก็เลือกพูด

เช่นในโลกทวิตเตอร์หรือเปล่าคะ

มันก็มีเหตุผลนะ ผมก็เพิ่งเข้าไปในโลกทวิตเตอร์เมื่อต้นเดือนเมษายนเอง แม้ผมจะระแคะระคายแต่ก็ไม่เชื่อ จนจอห์นเขามานั่งตรงนี้แหละ มาพูดให้ผมลองเล่นทวิตเตอร์ดูสิ เขากับโรซี่ก็เข้ามาจัดการให้ แล้วก็หันมาถามผมว่า ‘พ่อจะพูดอะไร’

ผมก็พูดเรื่องเดิมๆ แบบที่เคยพูดมานั่นแหละ เช่น ชาติคืออะไร พอทวิตไปแป๊บเดียวรีทวิตขึ้นมาเป็นพัน เล่นเฟซบุ๊คกว่าจะถึงพันเลือดตาแทบกระเด็น พอนั่งดูไปมา แม้จะไม่ได้อ่านทุกรีทวิต ก็ชวนตกใจ ขนพองสยองเกล้าอยู่เหมือนกัน มันเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย เป็นพื้นที่ที่เขาพูดกันอย่างเต็มที่จริงๆ

ในการทวิตแต่ละครั้ง อาจารย์วางแผนก่อนไหม

ไม่ๆ เหมือนกับผมเขียนบทความ เกิดความรู้สึกอยากจะเขียนขึ้นมาก็เขียน เป็นแบบไก่ อย่าง ไก่โต้ง ไก่ตัวผู้ ถึงเวลาอยากขัน มันก็ขันขึ้นมา ผมก็รู้สึกคล้ายๆ อย่างนั้น มันคันๆ แน่นอก ก็เขียน คล้าย มีแรงผลัก อะไรทำนองนั้น

เมื่อก่อนก็เขียนส่งไป ใส่ซองติดแสตมป์ ส่งไปตามหนังสือพิมพ์ต่างๆ ส่งไปเขาก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ฟรีอะนะ แต่มันคัน

ผมส่งไปหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ปี 2515 ล่ะมั้ง จนกระทั่งปี 2537 มติชนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็เลยส่งเงินกลับมาให้ผม เฮ้ย ดีเว้ย

เพิ่งได้ค่าเรื่องปี 37?

ใช่ครับ เขียนไปด้วยความคัน ค่าแสตมป์ก็เยอะเหมือนกัน (หัวเราะ) ผมส่งไปเรื่อยๆ จนมีอีเมลขึ้นมา ปัจจุบันก็ยังเขียนอยู่ เอ้อ หน้าด้านหน้าทนเหมือนกันนะผมเนี่ย (หัวเราะ)

อาจารย์คิดว่าเพราะอะไร เด็กๆ ในทวิตเตอร์จึงกล้าแสดงออกในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ อิสระ หรือเพราะเขาอึดอัดจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย

เมื่อก่อน เวลาจะพูดอะไรต้องยาวๆ ซึ่งมันน่าเบื่อ น้ำท่วมทุ่ง แต่ทวิตเตอร์มันจำกัด 140 คำ (ปัจจุบันเป็น 280 คำแล้ว-กองบรรณาธิการ) ยาวกว่านั้นไม่ได้ มันตรงกับจริตคนไทย เขาไม่ค่อยชอบพูดยาวๆ มากๆ แล้วมันมาเร็วไปเร็ว โพล่งออกไปก็สบายใจแล้ว (ยิ้ม)

แล้วมันสั้นเกินไปสำหรับอาจารย์ไหมคะ

ไม่ (ตอบทันที) ความจริงผมก็ไม่ค่อยชอบพูดยาวๆ บทความเหมือนกัน บทความทางวิชาการ 15 หน้าขึ้นไป ผมขี้เกียจเขียนจะแย่อยู่แล้ว ไอ้พิมพ์ ผมก็พิมพ์แบบจิ้ม ไม่ได้พิมพ์สัมผัส

เมื่อก่อนผมส่งบทความลงนิตยสารต่วย’ตูนแบบตลกๆ มีเนื้อหาหน่อย เขาบอกว่าขอสัก 5 หน้า เขียนไปเขียนมาผมเขียนไปสองร้อยกว่าเล่ม แล้วก็ขี้เกียจละ เลยหยุด เฮียต่วย (เจ้าของนิตยสารต่วย’ตูน) ก็โทรมา ผมบอกว่าเขียนไม่ไหวละ ผมเขียนได้หน้าครึ่งนะ พอทวิตเตอร์มา เออ ดีเว้ย 140 ยิ่งสั้นดี

นอกจากตรงกับพฤติกรรมการสื่อสารของคนรุ่นใหม่ จุดนี้อาจารย์คิดว่ามันจะทำให้เกิดความผิดพลาดมากขึ้นไหม เพราะไม่มีพื้นที่อธิบายมากพอจนนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ผมคิดว่า ความเข้าใจขึ้นอยู่กับคำจำกัดความ หรือที่เราเรียกว่าคำนิยาม มันก็ต้องสั้นๆ อยู่แล้ว ยิ่งยาวเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่ว เพราะฉะนั้นผมว่ามันก็เหมาะนะ การที่จะบอกว่ามันคืออะไร

ส่วนความผิดพลาดส่วนใหญ่มักจะได้รับข้อมูลอีกที ผมก็เคย ในทวิตเตอร์นี่แหละ ไปแชร์ข้อมูลที่ผิด ผมเลยรีบขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ขออภัย ก็กะว่าคงโดนถล่มอะ ก็โดนพอสมควร (ยิ้ม) ผิดมันก็ผิดอะ ก็แค่ขอโทษ ไม่รู้จะทำยังไง จะให้เอาไปฆ่าไปแกงได้ไง

รู้สึกจะไม่ใช่ครั้งเดียวนะ มี 2-3 ครั้ง เวลาผิดก็ขอโทษ แค่นั้น

ในบทบาทครู/อาจารย์รัฐศาสตร์ ตำราต้องเดินไปคู่กับประสบการณ์นอกห้องไหม

ผมจะขีดเส้นจุดนึง เผด็จการ แล้วก็ขีดเส้น ประชาธิปไตย มันก็มีทั้ง 2 แบบ ก็เหมือนกับหยินหยาง มีมืดมีสว่าง ถ้าเผด็จการมันก็สุดโต่งไปด้านหนึ่ง พอมาเจอกันที่ตรงกลาง แล้วเลยเลื่อนไปหน่อยนึงเข้าไปอยู่ในส่วนประชาธิปไตย

ผมว่า100 เปอร์เซ็นต์ สองอย่างมันไม่ดีหรอก มันเป็นเกณฑ์อุดมคติ เผด็จการ 100 เปอร์เซ็นต์มันไม่มีหรอก ประชาธิปไตย 100 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่มี แต่เราพูดถึงดีกรี ดังนั้นการมีตำรา คือพูดถึงโมเดลอุดมคติ แต่ประสบการณ์เราจะยอมรับได้ขนาดไหน แล้วขนาดไหนก็ต้องมีการตกลงกันว่าอย่างนี้ ขนาดนี้ เราเรียกว่าประชาธิปไตย ขนาดนี้เราเรียกว่าเผด็จการ

เด็กที่เรียนกฎหมาย จะไม่ได้รู้แค่ตำราอย่างเดียว เขาจะต้องรู้สถานการณ์ต่างๆ ด้วย

แน่นอน ต้องมีประสบการณ์จากของจริง

บางมีผมก็เห็นใจพวกหนอนหนังสือเหมือนกันนะ ไม่เคยมีประสบการณ์ข้างนอก ดูอย่างผู้พิพากษา ก็ท่องจำทั้งนั้น จำคำพิพากษาศาลฎีกาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งโอเค ไม่ค่อยได้เล่นกับชาวบ้าน ได้แต่ดูหนังสือ เสร็จแล้วก็สอบ ไม่เหมือนต่างประเทศ คนที่จะเรียนกฎหมาย หมอ เขาต้องเรียนปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาก่อน แต่ของเราพอจบมัธยมก็เรียนเลย เพราะฉะนั้น หมอก็เด็ก นักกฎหมายก็เด็ก ผู้พิพากษาก็เด็ก

ทั้งสองอย่างต้องไปด้วยกัน บังเอิญผมมีประสบการณ์ ผมไปเรียนต่อปริญญาโทด้านกฎหมายที่สหรัฐอเมริกา เมื่อตอนอายุ 52 ไปเจอคนจบดอกเตอร์หลายคนที่เพิ่งมาเรียนกฎหมาย อายุ 60 ก็มี อย่างต่ำ 27-28 ประสบการณ์จึงสำคัญ แต่ของเราจบแล้วทำงานเลย นี่คือปัญหาของบ้านเรา เขาไม่มีวัยเด็ก เขาไม่ได้เล่น เป็นเนิร์ด ได้แต่ดูหนังสืออย่างเดียว พอทำงานจึงขาดการเชื่อมโยง

ตัวอย่างง่ายๆ เรื่องตายายเก็บเห็ด เอาคนอายุ 70 กว่าเข้าคุก บ้าบอคอแตกอะ

พวก professional อย่างนี้ควรอายุมากหน่อยนะ อย่างน้อยจะได้สื่อสารกับชาวบ้านรู้เรื่องบ้าง

ทำไมอาจารย์ถึงไปเรียนกฎหมายตอนอายุ 52 คะ

ผมจบปริญญาเอกตอนอายุ 30 กว่า หลังจากนั้นก็สอนหนังสือ สอนรัฐศาสตร์ ความคิด การเมืองการปกครอง สอนๆ ไป ตอนหลังมีความรู้สึกว่ามันชักจะพายเรือวนอยู่ในอ่าง เอะอะอะไรก็จะต้องตัดสินขั้นสุดท้ายตามกฎหมาย ผมเลยไปเรียนดีกว่า ก่อนหน้านั้นผมก็ไปเรียนรามฯ เรียนไปเรียนมากว่าจะจบ รู้สึกจะล่อไป 13 ปีมั้ง ผมก็รู้สึกว่าผมก็โง่พอสมควรนะ เนื่องจากผมเรียนมาทางรัฐศาสตร์ พอไปเรียนกฎหมายเข้า เวลาตอบข้อสอบก็ไปเถียงเขา มันก็ไม่จบซักทีอะ เพราะมันเป็นกฎหมาย จนกระทั่งเด็กรุ่นน้องที่มาช่วยติว ก็ยกมือไหว้ผม บอกอาจารย์ เลิกเถียงซะที กว่าจะจบก็เลย 52

พอจบก็เขียนจดหมายไปสมัครเรียนที่อเมริกา เขาก็ให้เขียน essay เขาก็รับเข้าเรียนและให้ทุนด้วย ผมก็ตกใจ

ผมเขียน essay ว่าทำไมถึงมาเรียนกฎหมาย บอกว่าเรียนรัฐศาสตร์มาแต่สุดท้ายไปชนเพดานด้านกฎหมายเลยอยากเรียน อยากเปิดโลกใหม่ second spring (ยิ้ม) โม้ไปเรื่อย

เรียนตามตรง ผมมีจุดหมายแฝงคือ ตอนนั้นเริ่มเข้ายุคอินเทอร์เน็ต แล้วผมใช้ไม่เป็น ผมเป็นคนขี้กลัว บางทีพิมพ์ไปแล้วมันหายไปเฉยๆ เจอบ่อยด้วย ผมใช้วิธีอาศัยลูกศิษย์ เปิดประตู เปิดหน้าต่างเรียก ว่าเฮ้ย มาช่วยหน่อยเว้ย ใครก็ได้ เพราะผมมั่นใจว่าทุกคนรู้ดีกว่าผมแหงๆ บางทีเปิดประตูไปยืนเก้ๆ กังๆ ไม่มีเห็นใคร

คิดว่าพอไปอเมริกา มันต้องใช้อะ ปรากฏตอนที่ผมไป เขากำลังมี power point ก็ได้ใช้สมใจ พอไปถึงก็มีคำสั่งให้อ่าน 80 หน้า แล้วมาคุยกัน ตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอม

ก็พอกล้อมแกล้มครับ ตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ power point ส่วนใหญ่ก็เรียกเด็กมาช่วย effect ผมไม่ค่อยทันสมัย

ผมว่า ผมติดอยู่กับความเคยชิน ความกลัว เด็กรุ่นใหม่เขาไม่กลัว กดโน่นกดนี่ก็ไปได้ละ ส่วนผมกดโน่นก็หาย นี่ก็หาย ตกใจ panic อะ ตอนนี้ก็แค่พอใช้ได้ ทำไม่ไหวก็โทรศัพท์ตาม เฮ้ย ช่วยหน่อยเว้ย บ่อยไป๊

พอเรียนกฎหมายกลับมา มันช่วยให้อาจารย์เลิกพายเรือวนในอ่างได้อย่างไร

ทำให้ผมตระหนักว่ากฎหมายมีอยู่หลายแบบซึ่งมันไม่เหมือนกัน เวลาอ้างอิงก็แตกต่างกัน ความจริงเนี่ย กฎหมายมหาชน สมัยก่อนเราเรียกกฎหมายสาธารณะ หรือ public law เป็นส่วนหนึ่งของรัฐศาสตร์ แล้วเมื่อก่อนพวกนิติศาสตร์ ไม่สนใจ public law เลย ใช้แต่แพ่ง อาญา วิแพ่ง วิอาญา 4 เล่มเท่านั้น

แต่จริงๆ แล้ว กฎหมายแตกต่างกัน จะอ้างหรือใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ได้ บางทีกฎหมายมหาชน ไปอ้างกฎหมายแพ่ง หรือบางทีไปอ้างกฎหมายอาญา เอ้ย มันไม่ใช่นี่หว่า มันก็เลยเปิดโลกให้พอสมควร เพราะเมื่อก่อนบางทีโดนขู่ด้วยกฎหมาย จนเกิดความรู้สึกพายเรือในอ่าง เพราะผมโดนพวกกฎหมายบลัฟมาเยอะ พอไปเรียนมา บลัฟมาก็บลัฟกลับล่ะวะ (ยิ้ม)

ย้อนกลับไปที่บรรยากาศห้องเรียน เวลาที่อาจารย์สอนนิสิตนักศึกษา อาจารย์มีวิธีสอนคนรุ่นใหม่อย่างไรบ้าง

ส่วนใหญ่ผมจะมีตำราหลักในวิชาที่ผมสอน เพราะฉะนั้นผมเขียนตำราไว้หลายเล่มเพราะถ้าโดน assign ให้สอนวิชาอะไรผมจะนั่งเขียน ก็คือคล้ายเป็นชีทแต่ผมไม่ทำเป็นชีท ผมเขียนให้มันจบในหลักสูตรนั้นเลย เสร็จแล้วก็พิมพ์ออกมาเป็นเล่มเป็นหนังสือแล้วให้ไปอ่านมา ผมก็ยืนยันว่าทุกคนต้องอ่านก่อนเข้าเรียน ไม่ใช่มานั่งฟัง นั่งฟังไปทำไม จนจบไปก็ได้ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาหรอก เพราะฉะนั้นต้องอ่านมาก่อน

สังเกตไหมครับวิชาประวัติศาสตร์การเมือง บางทีจดไม่ถึง 15 หน้าทั้งเทอม แล้วก็ไปท่องกัน 15 หน้า มันทุเรศ ผมว่ามันต้องไปอ่านมาแล้วถ้ามีปัญหาอะไรก็ถาม แน่นอนถ้าไม่อ่านก็ไม่มีอะไรถาม งั้นผมถาม ผมก็ไล่ถาม ถามในเนื้อหาหรือถามแบบ apply เหตุการณ์ปัจจุบัน ตอบไม่ได้ก็ยืน ยืนเยอะๆ ก็ให้เดินเป็ด โดดกบ มันก็สนุกสนานดีอะ ก็ไม่มีอะ ผมก็มีเหตุผลว่าให้อ่านแล้วแต่ไม่อ่านมาเอง แล้วผมจะสอนยังไงอะ เพราะผมไม่ต้องการให้ได้แค่ 15-20 เปอร์เซ็นต์ จากที่ผมเลคเชอร์แล้วก็จด ผมว่าให้จดเฉพาะแง่มุมที่เรา discuss กันดีกว่าแล้วก็อ่าน ถ้าสงสัยก็มาถามกันดีกว่า ถ้าเกิดไม่สงสัยพูดไปทำไมซ้ำๆ เดี๋ยวก็หลับ

ในยุคที่ความรู้ใครๆ ก็หาได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่ในเด็กรุ่นใหม่ แล้วอาจารย์หรือครูจะต้องวางตัวแบบไหนในเมื่อความรู้หรือตำรามันแสวงหาได้หมดแล้ว

ก็เป็นคนคอยแนะ ประโยชน์ที่มีมากที่สุดเลยคือประสบการณ์ อายุที่มีมากกว่า แต่ขอให้ใช้ไปในทางที่ถูกเท่านั้นแหละ มันต้องมีนะครับคนที่คอยแนะ เพียงแต่ว่าไอ้บทบาทมันควรลดจากผู้ที่ผูกขาดความรู้ได้แล้ว เป็นผู้แนะนำ

ในวัย 71 ปีมีอะไรที่อยากลอง อยากเรียนรู้อีกไหมคะ

ความจริงมันเป็นนิสัยของผมมากกว่านะ หรือที่เรียกว่าสันดานก็ได้ ถ้าผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ ผมมีความสุข และผมเป็นคนชอบมีความสุขแบบนั้น บางทีนั่งๆ นอนๆ อยู่ ก็เกิดแวบขึ้นมา ก็มานั่งคิดต่อ

ภรรยาผม เขาจบทางสุนทรียศาสตร์ ปรัชญา ผมก็ชอบ คุยกันอยู่สองคน ไม่มีใครคุยด้วย บางทีก็ได้อะไรดีๆ ขึ้นมาเยอะ ไปอ่านเจออะไรมาก็เล่าให้เขาฟัง บางทีเขาก็มาเล่าให้ผมฟัง มันเป็นความสุขนะ ผมไม่ทราบว่ามีใครบ้าเหมือนผมหรือเปล่า คือ ได้รู้อะไรใหม่ เกิดความเข้าใจอะไรขึ้นมา มันมีความสุข ผมก็พยายามแสวงหาความสุขของผมอยู่เรื่อย

ถ้าเผื่อมันมีความชอบ ความรักที่จะได้ความรู้มา เพราะความรู้ทำให้เรามีความสุข

อาจารย์บอกว่ามีความสุขที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ทุกวัน จากโลกทวิตเตอร์อาจารย์ได้รู้อะไรใหม่บ้างไหมคะ

มันมีเรื่องแปลกๆ อยู่บ่อย อย่างผมสอนหนังสือ สอนๆ ไปผมเข้าใจนะ เออเว้ย มันแวบขึ้นมา เหตุการณ์มันเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เราเห็นหรือรู้จากทวิตเตอร์ เพราะฉะนั้นไอ้ที่ผมชอบสอน สอนหนังสือมาได้ 47-48 ปีเนี่ยเพราะว่าผมชอบ ผมมีความสุข

เวลาผมสอนหนังสืออยู่ ผมเลยเข้าใจ เข้าใจว่าทำไมเขาเชื่อมโยงได้ ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ คือพูดๆ ไป แล้วมันคิดได้ว่า ตรงนี้มันปิ๊งนี่หว่า

เช่นอะไร อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างได้ไหมคะ

ทางปรัชญาเขาเรียกว่า intuition-ความกระจ่าง เช่น เราเรียนหนังสือมาเราเข้าใจ สอบก็ได้เอ แต่พอมาสอนแล้วรู้สึกว่ามันชักติด ยกตัวอย่างเรื่องรัฐศาสตร์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า political science แต่อย่างภาษาไทยเรียกว่ารัฐศาสตร์ มันไม่เกี่ยวกันเลย

ผมก็จบมาทางรัฐศาสตร์ได้เอได้บีก็เยอะแยะ พอถึงเวลาสอนกลับคิดไม่เหมือนกัน อย่างเรื่องชาตินี่ก็เขียนอธิบายมาเป็นหน้าๆ อะแหละ แต่จริงๆ มันคืออะไรวะ มันจับไม่ได้นี่หว่า ศึกษาไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็ไปสอน ไปพูด ก็ต้องมีอยู่จุดหนึ่งเกิดความเข้าใจขึ้นมา ถูกปลุกให้ตื่นถูกปลุกให้พูด พูดได้แหละมันคืออะไร ชาติคืออะไร รัฐศาสตร์คืออะไร ทำไมมันไม่ใช่ political science

บทบาทพ่อล่าสุดที่อาจารย์วาสนาเปิดตัวว่าเป็น LGBT อาจารย์รับรู้มาก่อนแล้วหรือได้มีการคุยกันในครอบครัวมาก่อนหรือเปล่าคะ

ก็รับรู้ แล้วผมก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกประหลาดอะไร องค์การอนามัยโลกก็ประกาศมาตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกมั้ง 80 ปีมาแล้ว ว่ามันไม่ใช่โรค ไม่ได้ผิดแปลกอะไร ทำไมมันถึงได้ล้าสมัยกันขนาดนั้น เขาประกาศมาตั้งนานแล้วว่ามันไม่ใช่ ทำไมถึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรขนาดนั้น

เป็นเรื่องปกติสำหรับอาจารย์?

เป็นเรื่องปกติ preference ของแต่ละคนมันคนละเรื่องกันและผมว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับยีนด้วย ผมก็พูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าไม่เห็นแปลก แต่ถ้าเป็นเรื่องข่มขู่ ข่มขืนอะไรนั้นผม against แต่ถ้าเป็นเรื่อง preference ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ได้แปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไรตรงไหนเลย มันเป็นเรื่องปกติ

อะไรบ้างที่ทำให้อาจารย์ในวัย 71 มีชีวิตสดชื่น รู้สึกว่ายังมีแต่ความอยากรู้

ผมก็แสวงหาความสุข ถ้าเกิดได้เรียนรู้อะไรใหม่เพิ่มก็มีความสุข แล้วก็มองโลกด้วยอารมณ์ขัน ถ้าไม่งั้นคุณก็บ้า

ถ้าโกรธมากๆ เส้นโลหิตในสมองแตก เราก็ดูไปขำๆ ถ้าเกิดทำอะไรไม่ได้ก็หัวเราะใส่มันซะ แล้วเราก็แสวงหาความสุขด้วยการหาอะไรที่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

อาจารย์มีปัญหาสุขภาพไหมคะ

ผมมีครบ เบาหวาน ความดัน ปวดหลัง ปวดเอวอะไรต่างๆ มีหมด

กินยาเยอะไหมคะ

ก็เช้าละกำ ผมพร้อมแล้ว (ยิ้ม)

Tags:

ระบบการศึกษาพลเมืองDisruptionโซเชียลมีเดียโกวิท วงศ์สุรวัฒน์

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

อกหักครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู
Life classroom
17 June 2019

อกหักครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู

เรื่องและภาพ KHAE

เพื่อนอกหัก…จะทำยังไงดี

“เอาเลยแก ร้องออกมา!!”

“หยุดร้องได้ไหม ยังไงเขาก็ไม่กลับมา!!”

“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ข้างๆ”

ใครจะคิดว่าช่วงเวลาที่มีแต่ความเศร้า เหงา ซึม ในฐานะผู้ปลอบใจ เราสามารถเรียนรู้หลายๆ อย่างได้ เมื่อเพื่อนตกอยู่ในภาวะอกหัก โดยบางอย่างตำราเรียนก็ไม่เคยสอน

5 สิ่งที่เราเรียนรู้ ผ่านการตกอยู่ในสถานการณ์ที่ปรึกษาเมื่อเพื่อนอกหัก

  1. รับฟังเฉยๆ ไม่สั่งสอน เพราะคนอกหักแค่อยากระบาย
  2. เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ปัญหาเดิมอาจจะกลับมา
  3. อย่าอินเกินไป อย่าจมกับความเศร้า รักเพื่อนแต่ก็ต้องรักตัวเอง รู้ Limit ถอนตัวออกได้
  4. ฉะนั้นไม่ควรให้คำปรึกษาเพื่อนคนเดียว ควรปรึกษากันเป็นกลุ่ม เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ฟัง
  5. มองเห็นตัวเองผ่านประสบการณ์ของเพื่อน

นอกจากนี้ เรายังสามารถพัฒนาทักษะการฟังของตัวเองได้จากสถานการณ์เพื่อนอกหักได้ และนำทักษะนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน รู้เวลาพูด รู้เวลาฟัง และเวลาที่ไม่ไหวจะฟัง ทั้งในบริบทที่ทำงาน การเข้าสังคม หรือในบ้าน

Tags:

วัยรุ่นการฟังและตั้งคำถามการจัดการอารมณ์

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

อานันท์ ปันยารชุน: ปาฐกถาพิเศษ ‘เด็ก เยาวชนไทย…ศักยภาพประเทศไทย’
Education trend
14 June 2019

อานันท์ ปันยารชุน: ปาฐกถาพิเศษ ‘เด็ก เยาวชนไทย…ศักยภาพประเทศไทย’

เรื่องและภาพ The Potential

  • การศึกษาต้องไม่ใช่ของราชการ แต่จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและควบคุมโดยประชาชนในพื้นที่
  • character สอนได้จากการทำให้เด็กรู้จักว่า success กับ failure มันเป็นยังไง ให้เด็กรู้จักกฎเกณฑ์ discipline (วินัย) ให้เด็กรู้จักแพ้รู้จักชนะ ทุกอย่างเรียนโดย example
  • การเผชิญหน้าของคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่เรื่องอายุ แต่เป็นเรื่องคนกลุ่มหนึ่งตามทันกับเหตุการณ์ของโลก ตามทันกับความเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิธีคิดได้หรือไม่ และเมื่อตามทันแล้ว ฟังเป็นหรือไม่
  • นี่คือส่วนหนึ่งในปาฐกถาพิเศษ “เด็กเยาวชนไทย…ศักยภาพประเทศไทย” โดย นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการภาคีเพื่อการศึกษาไทย ในงาน TEP Forum 2019 ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’
ปาฐกถาพิเศษ ‘เด็กเยาวชนไทย…ศักยภาพประเทศไทย’
โดย นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการภาคีเพื่อการศึกษาไทย 

ผมมาวันนี้ผมตั้งใจมาเรียนรู้และผมก็ไม่ผิดหวัง ทุกท่านที่มา พูดถึงข้อเสนอแต่ละประการ ผมว่าเป็นแผนที่ดีที่สุดในเมืองไทยทุกคนพูดแบบมี passion ทุกคนพูด constructive ทุกคนพูดโดยมี commitment และทุกคนพูดว่าต้องเป็นการทำงานร่วมกันและต้องเป็นทีม

ผมมาพูดวันนี้กับผู้ที่รอบรู้เรื่องการศึกษา เรื่องการบริหาร การสอน การทำหลักสูตร ฯลฯ แต่ผมไม่มีคุณวุฒิที่จะมาพูดในวันนี้ มีคุณวุฒิอย่างเดียวที่ผมสามารถบอกได้คือ 1. แม้ผมจะเรียนพอประมาณ ทำได้ดีพอประมาณ พอได้ดีกรีมาแต่คุณวุฒิที่ผมได้ก็คือผมเกิดมามีคุณพ่อเป็นครูใหญ่ ผมเกิดที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย คุณพ่อผม-ในหลวงรัชกาลที่ 6 ส่งให้ไปเรียนเป็นนักเรียนทุนที่เรียกว่า King’s Scholar เมืองไทยมี 2 คน คือ นายเสริญ ปันยารชุน ซึ่งตอนท้ายมาเป็นพระยาปรีชานุสาสน์ คนที่สองจำชื่อจริงท่านไม่ได้แล้ว ซึ่งต่อมาเป็นพระยาภะรตราชา ต่อมาทั้งสองท่านเป็นผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยทั้งสองคน 

ไปเรียน public school ในอังกฤษพ่อผมไปเรียนที่ Shrewsbury School ท่านเจ้าคุณพระยาภะรตราชาไปเรียนที่ Oundle มีอาจารย์ใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทั้งคู่

เนื่องจากเป็นคนธรรมดาไม่ใช่เจ้านาย พอเรียนจบแล้วทั้งสองท่านก็ไปอยู่โรงเรียนที่ภาษาอังกฤษเรียก Provincial หรือ Red Brick University ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เกิดขึ้นมาใหม่ มหาวิทยาลัยอื่นเขาเกิดมา 800 ปี 900 ปี สร้างด้วยหินดีๆ แต่มหาวิทยาลัยใหม่นี้เกิดด้วย ‘หินแดง’ (red brick)   

คุณพ่อผมเรียนดีมาก พอจบปี 2 มหาวิทยาลัยต้องเรียน 3 ปี ในหลวงท่านทรงเรียกกลับ ผมเองก็เพิ่งมาพบกับข้อเท็จจริงนี้เมื่อ 20-30 ปีนี้เอง เพราะคุณพ่อไม่เคยเล่าให้ผมฟังอย่างจริงจัง ปรากฏว่าคุณพ่อผมไม่จบมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์เพราะเรียนได้ 2 ปีก็ถูกเรียกกลับ เมื่อกลับมาแล้วในหลวงท่านบอกว่า 

“ที่ฉันส่งนายเสริญไป ไม่ได้ส่งให้ไปเอาปริญญา ฉันส่งแกไปเรียนรู้ระบบ public school ในอังกฤษเพื่อกลับมาตั้งโรงเรียนในเมืองไทยในระบอบของอังกฤษ”

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมเรียนรู้จากข้อเท็จจริงนี้ก็คือว่า 

1. เมืองไทยเรายังต้องการคนอีกหลายคนเป็นพันๆ เป็นหมื่นๆ คนในจำนวน 67 ล้านคนที่ทำงานในภาษา business เรียกว่า result oriented  

2. รัชกาลที่ 6 ท่านทรงรู้เลยว่าปริญญาบัตรไม่มีความหมายเท่าใด

“ผมจบจากโรงเรียนมัธยมที่อังกฤษ ไม่ชอบสักวิชาเลยก็ต้องไปเรียนวิชาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน จึงสมัครเรียนทางด้านนิติศาสตร์กับทางด้านเศรษฐศาสตร์ เรียนจบแล้ว 3 ปีก็ไม่ชอบและไม่สนใจ แต่ชอบชีวิตมหาวิทยาลัยไหม? เรียนรู้อะไรได้มากไหม? เรียนรู้ได้มาก แล้วสิ่งที่เราได้มาจากมหาวิทยาลัยไม่ใช่ปริญญาบัตรอย่างเดียว เด็กรุ่นใหม่ต้องการปริญญาบัตร บริษัทการค้าต่างๆ ที่ผมเคยทำงานมา บริษัทอุตสาหกรรมก็อยากจะรับพวกที่จบวิทยาลัยเทคนิคมากกว่าจบจากมหาวิทยาลัย นอกจากอุตสาหกรรมหนักนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกนี้ต้องแต่งตัว ต้องผูกเนคไทใส่สูท นั่งห้องแอร์ ไม่ชอบไปเดินที่ที่เราเรียก Factory Floor” 

เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ผมเรียนรู้มาแล้ว ผมก็รู้ว่าโรงเรียนที่อังกฤษที่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รองประธานคณะกรรมการภาคีเพื่อการศึกษาไทย พูดว่าทำไม public school ถึงมีชื่อเสียงเด่น เพราะ public school ตั้งขึ้นมาเพื่อสอน character ให้เด็ก แล้ว character มันไม่ได้สอนเป็นหลักสูตรที่เข้าห้องเรียนหนึ่งชั่วโมงแล้วให้อ่านหนังสือ หรือมี text book  ไม่ใช่นะ  

character สอนได้จากการทำให้เด็กรู้จักว่า success กับ failure มันเป็นยังไง ให้เด็กรู้จักกฎเกณฑ์ discipline (วินัย) ให้เด็กรู้จักแพ้รู้จักชนะ ทุกอย่างเรียนโดย example 

“คุณพ่อผมไม่เคยสอนและไม่ค่อยอบรม แต่คุณพ่อผมมีวิธีที่จะพูดกับลูกให้รู้ว่าประเด็นปัญหาอยู่ที่ไหน และการคุยกับลูกเหมือนกับที่ครูควรจะคุยกับนักเรียนก็คือไม่ใช่ว่า ‘อะไรผิด’ ‘อะไรถูก’ คุณตั้งโจทย์มามันก็ต้องมีผิดมีถูก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในโลกนี้เป็นเรื่องของ ‘ผิด–ถูก’ ความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องผิดและก็ไม่ใช่เรื่องถูก ความล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่สำคัญก็คือถ้ามันไม่สำเร็จแล้วคนคนนั้นที่ล้มไปจะสามารถยืนหยัดขึ้นมาแล้วเดินต่อไปได้ไหม อันนั้นแหละเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

วันนี้ผมมาเรียนรู้มาก จะเป็นวันหนึ่งที่ผมมีความหวังมากขึ้น คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา รู้จักผมดีมา 30-40 ปี ผมยืนยันอยู่เสมอว่าในยามที่แวดวงการเมืองมันมืดมน ในสังคมที่มีความแตกร้าวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผมก็มีความหวังอยู่เรื่อย ความหวังของผมนั้นอยู่บนรากฐาน 2 ประการ

ประการแรก คือ ความก้าวร้าวของเมืองไทยหรือความแตกแยก มันไม่เข้มข้น ไม่ดุเดือด ไม่ลึกซึ้งเหมือนกับความแตกร้าวหรือความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในต่างประเทศ ไม่มีความแตกร้าวใดจะรุนแรงไปกว่าความแตกร้าวอันเนื่องมาจากเหตุผลทางศาสนา ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะมีความแตกร้าว ที่มีอิทธิพลกับสังคมมากไปกว่าความแตกร้าวในเรื่องของเชื้อชาติหรือในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง เมืองไทยโชคดี คนไทยไม่คลั่งอุดมการณ์ทางการเมือง แล้วไม่ค่อยมีหลักการด้วยเพราะฉะนั้นเมืองไทย คนไทยส่วนใหญ่ไม่มี passion ไม่มี commitment ไม่มี ideology 

คำถามต่อไปก็คือแล้วยังไง… ก็เพราะเหตุนั้นเมืองไทยที่ความแตกร้าวไม่ได้เกิดจากเรื่องศาสนา เรื่องเชื้อชาติ เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง และเรื่องอื่นๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ในสังคมฝรั่ง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ‘คน’ คนทะเลาะกัน สามีภรรยาทะเลาะกันมันประสานงานง่ายกว่า แต่ถ้าเกิดคุณเจอ extremist ที่นับถือศาสนาหนึ่งกับ extremist ที่นับถืออีกศาสนาหนึ่ง พวก fundamentalist ทั้งหลาย หรือเรื่องเชื้อชาติที่มี genocide หรือมี ideology ที่มี communism มี capitalism  ความแตกร้าวเหล่านั้นยาก ใช้เวลา ใช้ leadership ใช้คนที่มี vision 

ประการที่สอง ที่ผมมีความหวังในเมืองไทยในระยะ 30 ปีที่ผมออกมาจากการเป็นนายกรัฐมนตรี 

ผมรู้เลยว่าเมืองไทยไปไม่รอดแน่ถ้าสังคมยังติดยึดกับระบบระเบียบ กฎระเบียบราชการ  

ผมโชคดีที่ผมออกจากราชการตอนอายุ 47 ปี แล้วมาอยู่ภาคเอกชน ได้มารู้จักคนอีกจำนวนมากมายที่ผมได้เรียนรู้วิธีคิดของเขา วิธีทำงานของเขา ผมเห็นมุมมองใหม่ ผมเห็นมิติใหม่ ผมว่าถ้าผมยังอยู่ในระบบราชการผมยิ่งอยู่ยิ่งโง่นะ

ที่เราเรียกระบบราชการ มันมาจากคำว่า bureaucracy หลายคนอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งว่า bureaucracy คืออะไร เพราะภาษาไทยแปลออกมาแล้วมันแคบ เหมือนคำว่า honesty และ integrity ที่แปลว่าซื่อสัตย์ แต่ integrity มันกว้างและลึกกว่า honesty มาก

ฉันใดฉันนั้นคำว่า bureaucracy ที่แปลว่าระบบราชการ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งเพราะ bureaucracy เกิดในบริษัทธุรกิจเอกชนได้ แม้แต่ใน NGOs ก็เกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อเรามาดูว่า bureaucracy คืออะไร ถ้าเป็นภาษาอังกฤษที่เขาแปลมาให้ง่ายๆ ก็จะเท่ากับพวก red tape คือทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ทำแล้วติดกฎนั้นติดกฏนี้ หรือบางทีก็เป็น paper pusher คือไม่รับผิดชอบอะไรเลย ข้อเสนอ ข้อเท็จจริงเสนอมาจากหัวหน้าแผนกถึงหัวหน้ากอง หัวหน้ากองก็ขอประธานเสนออธิบดี อธิบดีก็ขอประธานเสนอปลัด เพระฉะนั้นพอคำว่า ‘ประธานเสนอ’ นั่นก็คือ bureaucracy 

สมัยผมเป็นนายกรัฐมนตรี ใครมาขอให้ประธานเสนอ ผมไม่รับนะ ผมให้เขียนง่ายๆ เรียน นรม. (นายกรัฐมนตรี) จบ สิ่งเหล่านี้คือ bureaucracy ทั้งนั้น bureaucracy คือ การสร้าง hierarchy (ลำดับชั้น) ทั้งนั้น 

ถ้าเผื่อองค์กรไหนที่เขาเรียก hierarchical มันมีชั้นวรรณะ มีหัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง ผู้อำนวยการกอง รองอธิบดี มันมี C3 C4 C5 C6 C7 วันๆ ไม่ต้องทำอะไรมัวติดกับเรื่อง hierarchy นั่งตรงไหน C8 ต้องนั่งเหนือ C7 แล้วมีแต่เพิ่มจำนวนเรื่อยๆ 

สมัยผมออกจากราชการไม่มี C9 รับแบบไม่คำนึงถึง cost effectiveness เลย ต้องการคนก็รับ รับมาก็ล้น ล้นแล้วก็ต้องหาตำแหน่งให้เขา เมื่อก่อนนั้นมีไหมอาจารย์ใหญ่หรือผู้อำนวยการ ไม่มี สมัยรุ่นเรามีแต่ครูใหญ่ทั้งนั้น

แล้วทุกโรงเรียนที่อังกฤษคุณไปโรงเรียนไหนก็ตาม พวกนักเรียนเก่าหรือคนที่สนใจ เขาจะรู้ว่าโรงเรียนนี้มีความเจริญ มีชื่อเสียงได้เพราะครูใหญ่คนนี้ ที่วชิราวุธวิทยาลัยมีครูเจ้าคุณปรีชา คนรู้จักหมด…เจ้าคุณภะรตราชา คนรู้จักหมด ผมไปอำนวยศิลป์ คือ ครูพา (พา ไชยเดช) กรุงเทพคริสเตียนคืออาจารย์วิชัย (เจริญวิชัย) กับอาจารย์อารีย์ (อารีย์ เสมประสาท) ผมแน่ใจว่าที่เทพศิรินทร์ก็ต้องมีหลายคน ที่สวนกุหลาบก็ต้องมี ที่อังกฤษก็เช่นเดียวกัน โรงเรียน rugby ที่มีชื่อเสียงก็มี Dr.Thomas Arnold ที่ Dulwich College ก็มี C.H.Gilkes ที่ Eton ก็มี Robert Birley 

ถ้าคุณจะอยู่ในสังกัดรัฐบาล สังกัดระบบราชการ 3 หรือ 4 ปีต้องเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่แล้ว แต่ครูพวกนี้เขาอยู่กัน 30 ปี แล้วเขาเป็นผู้ใหญ่พอ หากเขารู้ว่าเขาทำงานไม่ได้ เขาแก่ไปแล้ว เขาลาออกเอง แต่ไม่ใช่ต้องลาออกเพราะว่าอายุ 60 ไม่ใช่ต้องลาออกเพราะกระทรวงศึกษาฯ เปลี่ยน  

เรามีผู้อำนวยการดีๆ ตามโรงเรียนต่างจังหวัดมากมาย วันนี้ผมเห็นเลย ถ้าเผื่อปล่อยให้เขาอยู่ต่อไป ให้เขาได้ขึ้นเงินเดือนเรื่อยๆ มีตำแหน่ง (สูงขึ้นเรื่อยๆ) แต่ไม่ใช่ผู้อำนวยการโรงเรียน C8 แล้วทำงานดีก็ต้องเป็น C9 (โดย) ต้องเปลี่ยนไปอีกโรงเรียนหนึ่ง แล้วคุณจะไปทำอะไรได้ในระยะ 3-4 ปี หมอก็เหมือนกัน หมอในจังหวัดดีๆ เดี๋ยวก็เปลี่ยน เดี๋ยวก็เปลี่ยน อันนี้แหละคือ bureaucracy

ผมจำได้ ตอนมีรัฐบาลประยุทธ์รัฐบาลแรก คุณหมอธีระเกียรติเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เชิญผมไปทานอาหารค่ำ มี พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วันนั้นก็มีครูจากโรงเรียนรุ่งอรุณ อาจารย์ประภาภัทร นิยม

“ผมจำได้ คำแรกที่ผมพูดกับคุณณรงค์ว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ‘ยุบกระทรวงศึกษาธิการ’ ที่ผมพูดไม่ใช่ผมต้องการอยากดังแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องการสะท้อนว่าตราบใดที่เรายังมีวิธีคิดว่าการศึกษาเป็นเรื่องของราชการ ไม่มีทาง มันต้องเปลี่ยนวิธีคิดอันนี้” 

สมัยผมอยู่อังกฤษก็ไม่มีกระทรวงศึกษาฯ เพราะอำนาจและงบประมาณก็กระจายไปทั่วประเทศ ญี่ปุ่นก็ไม่มี อเมริกาแต่ก่อนก็ไม่มีแต่ตอนหลังถึงได้มี แต่ถ้าเผื่อเราจะมีต่อไปซึ่งผมคิดว่าคงต้องมีต่อไปก็ต้องให้มัน ‘เล็กที่สุด’ ต้องเขียน mandate ใหม่ต้องเขียน TOR ใหม่ว่ามีเพื่ออะไรเริ่มต้น ไม่ใช่มีเพื่อเป็นเจ้าของ ห้ามเด็ดขาด จะเอารัฐบาลหรือหน่วยราชการเป็นเจ้าของชีวิตเรา ไม่ได้นะ ผมหวงนะ เรามีความรู้สึกอย่างนั้นหรือยังในสังคมไทย เราเริ่มมีความรู้สึกหรือยังว่าอย่าว่าแต่กระทรวงศึกษาธิการใหญ่เกินไป รัฐบาลก็ใหญ่เกินไป กระทรวงต่างๆ ก็ใหญ่เกินไป ถ้าใหญ่แล้วไม่มีอำนาจจะมีไปทำไม แต่ถ้าใหญ่แล้วมีอำนาจอันนี้อันตราย 

อย่างที่ท่านคนหนึ่งพูดว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่รู้ว่าพลเมืองคืออะไรแล้ว เราไม่มีความสนใจคำว่า Active Citizen หรือขวนขวายที่จะเป็นเจ้าของ (ประเทศ) มันก็เดินต่อไปไม่ได้ ระบอบประชาธิปไตยก็เหมือนกัน รัฐประหารเสร็จฉีกรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบ แล้วให้มีเลือกตั้งก็ตั้งรัฐบาลใหม่จบ! แล้วก็บอกว่าการเลือกตั้งมันทั้ง free and fair ผมเองอาจจะรับได้คือทั้งอิสระและเป็นธรรม เสร็จแล้วทุกคนกลับบ้านคอยอีก 4 ปีใหม่ ไม่ใช่ 

ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยถ้าเกิดไม่มี Active Citizen เหมือนอย่างที่ท่านบอกว่าต้องมี Active Teacher ต้องมี Active Learning ก็บอกว่าการออกเสียงทุก 4 ปีเป็นประชาธิปไตย ไม่! 

ตราบใดที่เราไม่ถือว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชน มันเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับแต่คนก็ไม่รู้สึก แล้วตราบใดที่คนเขารู้สึกว่ารัฐธรรมนูญกินไม่ได้ก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะความหมายของคำว่ารัฐธรรมนูญกับคนที่มีแล้ว คนที่พอแล้ว กับคนที่ไม่มีอะไรเลย มันคนละเรื่องกันเลย

การทำหลักสูตรการศึกษา คุณจะไปบอกว่าหลักสูตรการศึกษาที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหมือนกับเชียงใหม่หรือสุรินทร์ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราต้องรู้ว่าการศึกษามีเพื่ออะไร ถ้าบอกว่าเป็นการสร้างพลเมืองให้เป็น Active Citizen แต่ทางความจริงแล้วมันมีความหมายมากกว่านั้น ในสายตาของผมนะ การศึกษามันต้องมีขึ้น แต่ไม่ได้มีในห้องเรียนเท่านั้น ไม่ได้มีภายใต้การกำกับดูแลหรือการควบคุมของหน่วยงานรัฐบาล แต่จะต้องเป็นภายใต้การกำกับดูแลและควบคุมโดยประชาชนในพื้นที่ มันไม่ใช่ว่าหลักสูตรจะต้องเหมือนกันหมด เวลาเรียนจะต้องเหมือนกันหมด แปดโมงเช้าถึงกี่โมง เวลาเล่นกีฬาก็เหมือนกันหมด ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน

หนังสือ text book ต้องเหมือนกันหมด หนังสือประวัติศาสตร์ก็ต้องเป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองแล้ว มิน่าประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคมยังเขียนออกมาไม่ได้เลย เพราะใครจะเขียนประวัติ 14 ตุลาคม หรือ 6 ตุลาคม กระทรวงศึกษาไม่รับรอง ผมก็บอกว่านี่มันจะบ้าหรือ ที่อื่นประวัติคนมีชื่อเสียง ประวัติรัฐบาล มีหนังสือเขียนเป็น 10 เล่ม เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล (Sir Winston Churchill) มีหนังสือ 70-80 เล่มแล้ว ไม่ว่าเป็นใคร history เขา มองเห็นยังไงเขาก็เขียนอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก  

หากเราจะวิพากษ์วิจารณ์หนังสือประวัติศาสตร์แล้วบอกว่าหนังสือฉบับนี้มีการอ้างไม่ครอบคลุมหรือไม่ชัดเจนหรือไม่ครบถ้วนเพียงพอ อย่างนั้นได้ แต่ไม่ใช่ว่า ‘ผิด’ หรือ ‘ถูก’ เราอาจจะบอกว่าหนังสือ history ฉบับนี้ไม่มีการอ้างอิง ถ้ามีการอ้างอิงคำพูดก็ควรเขียนให้ชัดว่าคำพูดนี้ได้มาจากไหน

เพราะฉะนั้น Active Citizen, Active Teacher และ Active Learning ผมว่าสำคัญ ผมดีใจที่ระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้ามากในการที่จะชักชวนให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเหตุผลทางธุรกิจของเขาที่ต้องการปลูกฝังให้ทำอะไรให้กับสังคม จะเป็น CSR ก็ดี หรือว่าการไปร่วม partnership คุณมีชัย วีระไวทยะ เริ่มต้นคนแรก ต้องเรียกว่าเป็น pioneer ของการเป็น stakeholder ในเรื่องการศึกษา แล้วโรงเรียนก็ดีมาก 

ผมเห็นโรงเรียนรุ่งอรุณ เห็นโรงเรียนสัตยาไสของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผมเห็นโรงเรียนบ้านเด็กของครูแอ๊ว–รัชนี ธงไชย ก็ดี ผมเห็นโรงเรียนกำเนิดวิทย์และวิทยาลัย ปตท. ผมก็มีความปลื้ม แต่ข้อสรุปคืออะไรอย่าไปคิดเด็ดขาดว่าโรงเรียนที่ perfect ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้นหมด ไม่ใช่ excellent แต่มันอยู่ที่ ‘ความหลากหลาย’ อันนั้นคือความงามของ diversity 

อย่าไปมองว่า diversity เป็น negative ต้องมองว่าอันนี้เป็นเรื่องบวก สังคมใดก็ตามที่คิดว่าทุกอย่างต้องเป็น uniformity (แบบเดียว-เอกรูป) ผิดแปลกไปจากนี้แล้วผิด ผิดแปลกไปจากนี้แล้วไม่ดี สังคมถึงไม่เจริญ สังคมใดก็ตามที่บอกว่า diversity เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต้องเพิ่มพูนต้องรักษา สังคมนั้นเจริญ 

แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเกิดขึ้นได้จากการมี platform มาคุยกันแบบนี้แหละครับ เมืองไหนก็ตามไม่มีพื้นที่สังคม ไม่มีพื้นที่ให้เขาได้หายใจ ไม่มีพื้นที่ให้เขาได้คิด ไม่มีพื้นที่ให้เขาได้คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิด ไม่มีพื้นที่ที่ให้เขามารวมกันแล้วสร้างความคิดที่ให้เป็นฉันทามติแล้วก็ทำ สังคมนั้นจะเจริญไปไม่ได้ จริงอยู่ โซเชียลมีเดียก็มีส่วนที่ทำให้สังคมแตกร้าว hate campaign ที่เห็นในอเมริกา เห็นในยุโรป สังคมไทยก็ชอบเชื่อในข่าวลือ ข่าวโคมลอยต่างๆ โดยไม่ค้นหาว่าความจริงอยู่ที่ไหน

สังคมจีนเขาสอนดีมาก เขาสอนให้คนเขารู้ข้อเท็จจริง ความจริง แต่การศึกษาของจีน นโยบายของผู้นำจีนที่เขาสอนให้เห็นเลยว่าข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ความจริงอีกอย่างหนึ่ง เรามานั่งคิดดูก็จริงนะ บัดนี้ผมรู้แล้ว โลกของเราเปลี่ยนไปเยอะ 

สังคมไทยที่มีปัญหา สมัยก่อนอาจเป็นปัญหากับคอมมิวนิสต์กับทุนนิยม หรืออาจจะเป็นเรื่องอุดมคติต่างๆ เรื่อง ‘เหลือง–แดง’ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่ปัจจุบันนี้เป็นปัญหาใหม่ ไม่ใช่เรื่องคอมมิวนิสต์กับทุนนิยม ไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น มันเป็นปัญหาของคนที่ไม่ยอมเปลี่ยน resistance to change กับคนที่อยากเปลี่ยน “เปลี่ยนอะไรครับ!” เปลี่ยนให้สังคมดีขึ้น เปลี่ยนให้สังคมเจริญขึ้น เปลี่ยนให้สังคมมีความยุติธรรมมากขึ้น เปลี่ยนให้สังคมรู้ เห็นใจ และเข้าถึงคนด้อยโอกาส คนไร้โอกาส คนไร้สิทธิ นี่แหละคือการเปลี่ยนแปลง

แต่ความแตกร้าวขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาแล้วมันจะลากให้เตลิดเปิดเปิงไปถึงเป็นปัญหาการเมืองต่อไปได้ ผมพูดถึงความแตกต่างทางความคิด มันเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า โลกเราเปลี่ยนแปลงเร็วมากในระยะที่ผ่านมา 10-15 ปี ผมเองผมต้องยอมรับว่าผมก็ตามคนรุ่นใหม่ไม่ทัน แต่ผมอยากรู้จักกับเขา ผมอยากคุยกับเขา ทั้งที่บางอย่างเขาคุยกับผมเรื่องดิจิทัลผมไม่รู้เรื่องเลย แต่ผมอยากฟัง แล้วอะไรที่พอจะจำได้ อะไรที่พอจะรู้เรื่องได้มันเป็นผลกำไรในชีวิตผม 

แต่การเผชิญหน้ากันขณะนี้คือคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องรู้ว่าในคนรุ่นเก่าที่พอเราบอก รุ่นเก่าพวกนี้รุ่นโบราณไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่จริงนะ ในคนรุ่นเก่าก็มีคนจำนวนหนึ่งที่เป็นคนหัวสมัยใหม่ ฉันใดฉันนั้นคนที่บอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังมีวิธีคิดยังเป็นคนรุ่นเก่า

เพราะฉะนั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องอายุ เป็นเรื่องคนกลุ่มหนึ่งตามทันกับเหตุการณ์ของโลก ตามทันกับความเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิธีคิดได้หรือไม่ และเมื่อตามทันแล้ว ฟังเป็นหรือไม่ ผมยินดีที่ได้มาฟังท่าน 8 คน (เวทีนำเสนอข้อสรุปจากกลุ่มย่อยในช่วงก่อนปาฐกถาคุณอานันท์) ผมบอกได้เลย สิ่งที่ผมมีความรู้สึกที่ดีมาก บอกได้เลยว่าทุกท่าน ‘ฟังเป็น’ ‘คิดออก’ ‘พูดจริง’ และ ‘ทำถูก’ ถ้าพวกคุณฟังไม่เป็น พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าฟังไม่เป็นคุณจะคิดไม่ออก และถ้าพูดไม่จริงอีกแย่เลย และถ้ายังทำไม่ถูกอีก นั่นคือความหายนะ

หนังสือฝรั่ง ชื่อ ‘Art of Listening’ (หนังสือเกี่ยวกับศิลปะการฟัง) มีคนอ่านกันมาก ผมเคยส่งให้พรรคพวกดูเพราะผมรู้สึกว่านี่เป็นจุดอ่อนของเมืองไทย เขาชอบคุยกันเองกับคนที่อยู่ในวิธีคิดเดียวกัน เขาก็นั่งคุยกันเองมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นผมอยากสนับสนุนให้ฝ่ายธุรกิจเข้ามาเป็นภาคี แล้วถ้าได้ education partnership ผมว่าสำคัญและมีความหมายมาก 

แต่อีกอันหนึ่งยังไม่ค่อยพูดถึงกัน แล้วผมอยากจะฝากเป็นข้อสังเกตด้วย ผมว่าความตื่นตัวของ partner ทางด้านธุรกิจใช้ได้แล้วแต่ต้องเพิ่มพูนต่อไป เพราะถ้าเราอยากจะให้เจ้าของโครงการเรื่องการศึกษาที่เป็นนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้บริหาร ครูอาจารย์ต่างๆ มีความอิสระมากขึ้น และต้องไม่ขาดเงินด้วย ความมั่นคงทางการเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มีความอิสระที่สมบูรณ์

สิ่งหนึ่งที่ต้องพยายามต่อไปคือ สังคมไทยเป็นสังคมอนุรักษนิยม เราไม่ค่อยเปลี่ยนความคิดง่ายๆ ซึ่งอันนี้มันไม่ใช่เป็นของแปลกประหลาดอะไร มีทุกสังคม สิ่งที่เราอยากจะให้มีการเปลี่ยนแปลงที่พูดทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นได้ นอกจากเรื่องที่ TEP แล้ว คุณจะต้องเอาประชาชนเข้ามาด้วยนะ 

movement ที่ไหนก็ตามถ้าเรามาพูดกันสามหมื่นคนที่นี่ในพวกเดียวกัน หรือคุยกันเป็นแสนคนแต่ประชาชนที่เดินถนนไม่สนใจ วิธีที่จะไปสู่ประชาชนได้มันมีขั้นตอน สิ่งแรกที่ต้องมีคือ ‘สมาคมผู้ปกครองที่ดี’ ไม่ใช่สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนต่างๆ ที่มีในขณะนี้นะ ซึ่งเท่าที่ผมเข้าใจ ผมอาจจะผิดว่าสมาคมผู้ปกครองในโรงเรียนปัจจุบันคือ ช่วยหาเงินให้โรงเรียน ไม่ใช่นะ สมาคมผู้ปกครองคือ คนที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเป็น active participant ในการกำหนดวิถีทางการศึกษา ในการสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ ในการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล สมาคมผู้ปกครองเองต้องเปลี่ยนวิธีคิดด้วย และถ้าเขาสามารถเปลี่ยนวิธีคิดได้ เขาก็มีเครือข่ายที่จะไปถึงประชาชน

ผมอยากเห็นว่าการประชุมแบบนี้คนดูอาจจะไม่สนใจ จะต้องออกทีวี หนังสือพิมพ์ ก็ต้องเขียนให้ถูกต้อง ผมเป็นห่วงหนังสือพิมพ์เขียน เขียนย่อด้วยแล้วก็ย่อผิดด้วย มันก็เลยสับสนกันมากขึ้น พระบรมราโชบายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เคยพูดเสมอ ท่านทำอะไรท่านมี agenda ของท่าน ท่านทำอะไร ท่านรู้จุดหมายปลายทาง ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ท่านทำเรื่องอะไร เรื่องดูแลทุกข์สุขประชาชน เรื่องการแพทย์ การพยาบาล สุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นมาลาเรีย ไม่ว่าจะเป็นโรควัณโรค หรือโรคเรื้อนท่านทำหมด

ถัดมาท่านก็มาดูเรื่องการพัฒนาอาชีพ ในช่วงสิบปีสุดท้าย ท่านทำเรื่องการศึกษา และสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ ท่านบอกว่าจะทำอย่างไรให้ school climate (บรรยากาศการเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้) ทำให้นักเรียนสนุกกับการเรียน อันนี้ผมว่าสำคัญมาก 

อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวานิช ทำถูกมากเลย เมื่อ 15 ปีที่แล้ว อาจารย์ชัยอนันต์ให้สัมภาษณ์ ท่านเล่นภาษาอังกฤษคำว่า ‘play’ กับ ‘learn’ ท่านเปลี่ยนเป็น ‘plearn’ หรือ ‘เพลิน’ คือถ้าเด็กมันไม่รักที่จะไปโรงเรียนแล้วมันก็ไม่อยากเรียน ไปถึงห้องเรียนแล้วก็สกปรก ไฟแสงสว่างก็ไม่มี อุปกรณ์การสอนก็ไม่ครบถ้วน เพราะฉะนั้นต้องทำให้เป็นสถานที่เพลิน ที่เด็กไปแล้วเพลิน 

ผมดีใจที่ได้มาฟังแล้วรู้สึกว่าทุกท่านที่มีส่วนร่วมในวันนี้ก่อประโยชน์นานัปการ และผมก็ขอให้ทุกท่านสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ทุกท่านมี ทั้ง passion ทั้ง commitment ทั้งการกระทำจริงจัง ผมจะอยู่เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นจริงจังได้หรือไม่ ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยถ้าพวกท่านสามารถจะทำพวกนี้ได้ต่อไป ผมก็นอนตายตาหลับครับ ขอบคุณมากครับ

“ผมลืมสองเรื่องที่อยากจะพูดและขอฝากไว้ ที่ผมบอกว่าให้ยุบกระทรวงศึกษาธิการ จริงๆ แล้วมีได้แต่ก็ให้เล็กหน่อย และเปลี่ยนหน้าที่ ผมอยากเห็นกระทรวงศึกษาฯ ทำหน้าที่เป็น facilitator คืออะไรก็ตามที่โรงเรียนหรือโรงเรียนเอกชนที่เขามีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหางบประมาณหรืออะไรก็แล้วแต่ กระทรวงศึกษาฯ ก็ต้องเข้าไปช่วยให้เครื่องจักรมันเดินต่อไปได้

เรื่องที่สองคือ การปฏิรูปที่เขาใช้คำว่า change program มันเป็น ongoing process ถ้าเผื่อใครบอกว่ายุทธศาสตร์ 20 ปีมันจบ มันไม่มีครับ ปฏิรูปนี่คือการเดินหน้าอยู่เรื่อย สิ่งที่ปฏิรูปวันนี้ อีก 5 ปีอาจล้าสมัยไปแล้ว ก็ต้องปฏิรูปต่อไป ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเกมมันจะจบนะครับ แต่นี่คือ (การปฏิรูป) ตลอดชีวิต และไม่ใช่ชีวิตผมนะครับ แต่เป็นชีวิตของมนุษย์เลย”

Tags:


Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dr. Udom-nologo
    Transformative learning
    “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Self-Discipline-nologo
    BookCharacter building
    ‘วินัย’ ที่ใช้กำลังบังคับคือวินัยที่ไร้ความหมาย: บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • School of future-building-2
    tranformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel