Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2019

5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21
21st Century skills
28 June 2019

5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Five Minds for the Future คือ จิต 5 แบบเพื่อโลกศตวรรษที่ 21 โดย โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของทฤษฎีพหุปัญญา ที่เป็นห่วงต่อความล้าหลังของหลักสูตรในโรงเรียน รวมถึงบุคลากรจากระบบการศึกษาที่ไร้ประสิทธิภาพในการคิดและการเข้าสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าการศึกษากำลังสอนเนื้อหาที่อยู่คนละทิศกับโลกจริง ซ้ำยังสร้างกับดักลวงให้คนหนุ่มสาวคิดว่า การเป็นดาวเด่นในโลกยุคใหม่ต้องเป็นคนเก่งสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

โดยลักษณะจิตทั้ง 5 แบบที่จะกล่าวถึงนี้ คือเครื่องมือสำคัญที่พ่อแม่และโรงเรียนต้องติดตั้งให้ลูกหลานเยาวชนทุกคนในโลกยุคใหม่ ได้แก่ จิตวิทยาการ, จิตแห่งการสังเคราะห์, จิตแห่งการสร้างสรรค์, จิตแห่งการเคารพ และ จิตแห่งคุณธรรม 

อ่านบทความ FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21 ได้ ที่นี่

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsFive Minds for the Future

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Character building
    Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    INITIATIVE: ริเริ่มสร้างสรรค์โดยไม่มีใครร้องขอ แก้ปัญหาไม่ต้องรอคนจ้ำจี้จ้ำไช

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน
Early childhoodBook
28 June 2019

พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ประเด็นสำคัญของหนังสือ ‘พลังแห่งวัยเยาว์’ คือ การเรียนรู้กับการเข้าโรงเรียน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
  • และการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเล็กโดยผู้ใหญ่ ดีที่สุดคือ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ กล่าวใหม่ว่าเด็กเล็กต้องการเล่นอิสระ มากกว่าการฝึกฝน
  • เช่นนั้นแล้ว อย่าให้ความคาดหวังผิดทางของผู้ใหญ่มาบั่นทอนพลังชีวิตของเด็ก

“โรงเรียนในชั้นเด็กเล็ก ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียนวิชา แต่มีไว้เพื่อ ‘เตรียมความพร้อมในการเรียนรู้’ สำหรับนักเรียนในชั้นเรียนจริง คือประถม 1 เป็นต้นไป นี่คือสภาพย้อนแย้งของชั้นเด็กเล็กในปัจจุบันที่สิ่งที่ชั้นเด็กเล็กจัด กับความต้องการที่แท้จริงของเด็กไม่ตรงกัน และยิ่งร้ายกว่านั้น ที่พ่อแม่ต้องการให้ชั้นเด็กเล็กสอนวิชาเพื่อไม่ให้ลูก ‘ล้าหลังในการเรียน’ ข้อหลงผิดของพ่อแม่นี้ พบบ่อยกว่าในพ่อแม่เศรษฐฐานะต่ำ” หน้า 44

“สภาพที่เด็กเล็กกำลังเผชิญเป็นสภาพย้อนแย้ง คือสังคมเข้าใจศักยภาพเด็กดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ตั้งความหวังและระบบการศึกษาเด็กเล็กที่ทำลายโอกาสต่อยอดศักยภาพนั้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเร่งให้เด็กเรียนวิชาและทดสอบผลลัพธ์การเรียนรู้ที่วิชาอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น โดยใช้แบบทดสอบที่ให้เด็กเขียนตอบในกระดาษ” หน้า 103

ส่วนหนึ่งของหนังสือ พลังแห่งวัยเยาว์* โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช รองประธานมูลนิธิสยามกัมมาจล บันทึกตีความจากหนังสือ The Importance of Being Little: What Young Children Really Need from Grownups โดย Erika Christakis หนังสือที่ว่าด้วยการจัดการศึกษาของเด็กปฐมวัยตามพัฒนาการ ที่ขีดเส้นใต้ว่า ‘การเรียนรู้’ กับ ‘การเข้าโรงเรียน’ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน พร้อมอธิบายว่าครูและผู้ปกครอง มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของพวกเขามากแค่ไหน

ที่ (ยัง) ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ทั้งที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเรียนรู้ของเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี คือการเล่น มากกว่าเรียน และ คือการสร้างปฏิสัมพันธ์ไม่ใช่การจับยัดความรู้ แต่ข้อเท็จจริงในสังคม การสอบแข่งขันเข้า ป.1 บางแห่งยังคงดุเดือดและจัดขึ้นในเด็กที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ แม้จะมี พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562  ที่มีเจตจำนงชัดเรื่องการปกป้องคุ้มครองพัฒนาการเด็กปฐมวัยและห้ามจัดสอบเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เราเองก็ทราบกันดีว่าครูเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสอนหนังสือตามหลักสูตร และผู้ปกครอง แม้จะทราบดีว่าเด็กวัยนี้ต้องเล่นมากกว่าเรียน แต่ก็ยังกลัวว่าลูกจะ ‘สตาร์ท’ ได้ไม่ไวเท่าเพื่อนคนอื่น 

พลังแห่งวัยเยาว์ ยืนยันว่า วัยเด็กเล็กเป็นวัยที่มีพลังเหลือเฟือ มีความฉลาด กว่าที่เราเข้าใจ ถ้าผู้ใหญ่รู้จักปฏิบัติอย่างรู้เท่าเทียมกันกับเด็ก จะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจมากของผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นวัยที่อ่อนไหวต่อภยันอันตรายด้วย 

สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรเอาใจใส่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองเด็ก สมองเด็กเกิดมาพร้อมกับศักยภาพการเรียนรู้และพัฒนา การจับยัดความรู้ของโรงเรียนอนุบาลราวกับเด็กเป็น ‘สถานีเติมน้ำมัน’ เป็นการเดินทางผิด 

ความงามของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่การปูพื้นฐานและอธิบายความสำคัญของการจัดการศึกษาในชั้นอนุบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการตีความผ่านสำนวนของ ศ.นพ.วิจารณ์ ที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย เริ่มทำความเข้าใจว่าการเรียนรู้ของเด็กเล็กควรเป็นแบบไหน ผ่านพัฒนาการทางสมอง ผ่านทฤษฎีการเรียนรู้ของนักการศึกษาต่างๆ ต่อไปยัง ‘วิธีการ’ จัดการเรียนรู้และจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาและในบ้าน

แต่บทความชิ้นนี้ขอสรุปหัวใจสำคัญเฉพาะเรื่อง ‘เด็กเล็กต้องการเรียนรู้แบบไหน’ ซึ่งหากท่านใดสนใจอ่านหนังสือฉบับเต็ม สามารถเข้าไปดาวน์โหลดหนังสือได้ที่นี่

เหมาะอย่างยิ่งจะเป็นหนังสือประจำโต๊ะคุณครูปฐมวัย ผู้ปกครอง กระทั่งครูชั้นประถมที่ต้องรับช่วงต่อเด็กๆ จากครูอนุบาล และเหมาะสำหรับทุกคน ในฐานะที่เราต่างก็แวดล้อมด้วยเด็กตัวน้อยๆ จะได้ไม่สร้างความคาดหวังผิดๆ ต่อเด็กในสังคมต่อไป

เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่น และ ปฏิสัมพันธ์ ไม่ใช่การสั่งสอน

“คำแนะนำของผู้เขียนที่น่าสนใจมากคือในหลายกรณี การส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเล็กโดยผู้ใหญ่ ดีที่สุดคือ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ (getting-out-of-the-way) กล่าวใหม่ว่าเด็กเล็กต้องการเล่นอย่างอิสระ มากกว่าการฝึกฝน” หน้า 29

‘เล่นอย่างอิสระ’ หรือ free play ทั้งในแง่ ‘พื้นที่’ และ ‘เวลา’ เรียกว่าเป็นหัวใจแห่งการเรียนรู้ของเด็กเล็กเลยก็ว่าได้ การเล่นเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างจินตนาการ พื้นที่แห่งการฝึกทักษะสังคมและอารมณ์ การได้สัมผัสกับของจริง เล่นดิน เล่นทรายจริง เจอฝน เจอลมจริง ยิ่งปลุกประสาทสัมผัสทั้งห้า – ในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ ที่กระตุ้นพัฒนาการทางสมองชั้นดี 

แต่อุปสรรคสำคัญ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ใช้คำว่า ‘ความเข้าใจที่ผิดพลาด’ คือความคิดที่ว่าเด็กเป็นผ้าขาว และช่วงเวลานี้เป็นช่วงวัยที่พ่อแม่ต้องรีบแต่งแต้มสีสันด้วยการติดอาวุธทางวิชาการที่เน้นการท่องจำให้พวกเขา

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจใหม่คือ การเรียนรู้ไม่ได้มาจากที่ใดๆ นอกตัวเด็กอย่างที่เข้าใจผิดกัน เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่น และ ปฏิสัมพันธ์ (หรือเรียกว่าคือการเรียนรู้มิติสังคม) ปฏิสัมพันธ์ที่ว่าเป็นได้ทั้งจากบุคคล เช่น พ่อแม่ ครู เพื่อน กระทั่ง ‘สิ่งของ’ พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้

เมื่อคีย์เวิร์ดคือ ‘ปฏิสัมพันธ์’ สิ่งที่ตามมาจึงเป็นการสร้างพื้นที่เพื่อฝึกให้เด็กสร้างปฏิสัมพันธ์นั่นเอง

แน่นอนว่าการเล่นระหว่างเด็กด้วยกันเองเป็นพื้นที่ฝึกทักษะทางสังคมและอารมณ์ (โดยเฉพาะการทะเลาะกันของเด็กๆ ยิ่งสร้างการเรียนรู้และประสบการณ์ในระดับลึกซึ้ง

ตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้แนะนำว่า เวลาเด็กๆ ทะเลาะกัน พ่อแม่อย่าเข้าไปยุ่ง ลองถามตัวเองดูดีๆ ว่า ที่รู้สึกยอมไม่ได้จนต้องเข้าไปทะเลาะกับเด็กหรือทะเลาะกับพ่อแม่ของเด็ก เป็นเพราะเอาโลกของตัวเองเรื่องความไม่ยุติธรรมไปจับ หรือเพราะลูกกำลังถูกกระทำจากเด็กอีกคนจริงๆ เพราะบางครั้ง ความบาดหมางของเด็กๆ อยู่ในกระบวนการเล่น และเขาทั้งคู่กำลังเรียนรู้จากกันและกัน) แต่อีกขั้นหนึ่ง คือความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกับผู้ปกครอง หรือกับครู ที่ต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียม

ตัวอย่างหนึ่งของปฏิสัมพันธ์ในแง่นี้คือ การพูดคุยโต้ตอบกันระหว่างครูและเด็กที่เอื้อให้เด็กผ่านไปสู่พรมแดนความรู้ใหม่ๆ ผ่านความสงสัยใคร่รู้ของเด็กๆ ที่เรามักเรียกว่าเป็นการกระตุ้น ‘ต่อมเอ๊ะ’ “เอ๊ะ! นี่อะไร ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน” แล้วจึงตามด้วย “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

คำสนทนาระหว่างกันนี้เรียกว่า ‘นั่งร้าน’ (scaffolding) มันคือบทสนทนาระหว่างกันที่ครูไม่ ‘สั่งสอน’ แต่พูดคุยในลักษณะโค้ชชิง ให้เด็กตอบโต้ไปจากความสงสัยของตัวเอง กล่าวคือ มันเป็นบทสนทนาที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน และยังสร้างความรู้ด้วยตัวเด็กเอง ไม่ใช่การเทความรู้ใส่สมอง ซึ่งนี่เป็นไปตามทฤษฎี Cycle of Disequilibrium ของ ฌอง เปียเจต์ (Jean Piaget)

ปฏิสัมพันธ์ในอีกความหมายหนึ่งคือ การมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมจริง ไม่ใช่ สภาพแวดล้อมเทียม

“สภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดี ต้องเชื่อมโยงกับสภาพจริง เชื่อมโยงกับบริบท หรือ เชื่อมโยงกับคุณค่า หัวใจคือการฝึกทักษะขั้นต่ำ (lower-level skills) ก่อนแล้วค่อยฝึกทักษะที่สูงขึ้นๆ ในด้านการเรียนรู้ (high-level cognition)” หน้า 72

คำว่า ‘ฝึกทักษะขั้นต่ำ’ ไม่ใช่ความต่ำในแง่ด้อยค่า แต่เป็นทักษะในระดับร่างกาย อย่างที่ ศ.นพ.วิจารณ์ เห็นว่า “ทักษะขั้นต่ำ เช่น การเป็นคนช่างสังเกตที่จะฝึกได้ง่ายตอนเป็นเด็กเล็ก แต่เมื่อโตขึ้น ทักษะความช่างสังเกตจะถือเป็นทักษะขั้นสูงสำหรับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ”

คำว่า สภาพแวดล้อมจริง ไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย และเพียงสถานการณ์ในบ้าน เช่น การทำขนม เล่นในสวน ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณตาคุณยาย เลี้ยงสัตว์ และการเล่นอย่างอิสระ เช่น การได้ปีนป่ายต้นไม้ โดยไม่มีเสียงบ่นห้ามจากพ่อแม่ หรือในแง่การจัดการเรียนรู้ การพาเด็กออกไปเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมในสวน ย่อมสร้าง ‘ความอยากเรียนรู้’ ให้เกิดในตัวของเด็ก มากกว่าการเรียนในกระดาษเป็นไหนๆ

หนังสือแนะนำการจัดการเรียนรู้ของเด็กไว้หลายวิธี แต่ผู้เขียนขอยกหลักการสำคัญตอนหนึ่งไว้ ซึ่งปรับใช้ได้ทั้งพ่อแม่และครู ดังนี้ 

หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กเล็ก

  • พลังคำถาม และ การเสวนา: ครูแค่ตั้งคำถามกระตุ้นการคิด ฟังให้เข้าใจวิธีคิดของเด็ก และคอยคุมวงสนทนาให้ดำเนินไปตามเป้า ไม่ออกนอกทาง
  • หาสิ่งจูงใจให้เด็กเรียนรู้: เช่น การเรียนแบบเล่นและทดลองค้นคว้าด้วยตัวเอง แต่ก็มีการเรียนรู้แบบรับถ่ายทอดความรู้บ้างเท่าที่จำเป็น เช่น เรียนวิธีแปรงฟันที่ถูกวิธี การล้างมือที่ถูกวิธี ออกเสียงคำภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย th ให้ถูกหลักการออกเสียง
  • อย่าหลงหลักสูตรมาตรฐาน: ไม่ใช่การสอนเพื่อสอบ ไม่ใช่การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง
  • เรียนแบบองค์รวม: เชื่อมโยงสภาพจริง บริบท และคุณค่า
  • ฝึกเป็นโค้ช: เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแต่ละด้านไม่เหมือนกัน และช่วยส่งเสริมระดับพัฒนาการของเด็กแต่ละคน
  • พลังของการสังเกต: จัดวงเสวนาเพื่อกระตุ้นให้เกิดคำถาม สังเกตเพื่อประเมินความก้าวหน้าของเด็กแต่ละคน และ ฝึกตั้งคำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้เด็กไตร่ตรองสะท้อนคิดสิ่งที่พวกเขาทำ

วิธีจัดการเรียนรู้แบบนี้ จำเป็นอย่างมากที่ครูต้องเห็นเด็กเป็นรายคน ตอนหนึ่งของหนังสือกล่าวด้วยว่า เด็กหลายคนที่พัฒนาการช้าบางเรื่อง เร็วบางเรื่อง กลับถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการ เช่น โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder) แต่ต้องทำความเข้าใจว่าในวัยเด็กเล็กมีความปรวนแปรสูง และเป็นเพราะสถานศึกษามักใช้แบบประเมินเด็กใน ‘ลักษณะเดียว’ ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์จากการมองเด็กแบบ ‘แยกส่วน’ ไม่ได้มองในภาพรวม พอมองเด็กแบบแยกส่วน สิ่งที่ ‘ผู้ใหญ่’ คิดว่าเป็นปัญหา อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น และการวินิจฉัยแบบ ‘ด่วนได้’ อาจกลายเป็นการตีตราเด็กตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งมีผลต่อการเลี้ยงดูในอนาคตต่อไป 

เมื่อครูประจำชั้นใช้ความละเอียดและใส่ใจมากพอ มีปฏิสัมพันธ์เพียงพอ จะพบว่าบางครั้งเด็กๆ เพียงต้องการการพัฒนาบางอย่างที่แตกต่างจากเพื่อนคนอื่น (อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติม บทที่ 6 เด็กในสังคมแยกส่วน)

“ที่น่าตกใจคือ มีเด็กเล็กจำนวนหนึ่งที่พัฒนาการดี อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น แต่เมื่อเข้าโรงเรียน (ประถม และ มัธยม) กลับเรียนได้ไม่ดี ไม่สามารถบรรลุผลตามศักยภาพของตนได้ และมีการเสนอว่า ปรากฏการณ์นี้ยืนยันว่าในชั้นเด็กเล็กควรเน้นการเล่นและความสนุกสนาน ไม่ควรเน้นการทำงานและวินัยเข้มงวด” หน้า 53

หากการจัดสอบเข้า ป.1 คือยอดของภูเขาน้ำแข็ง และมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าปรากฏการณ์ภายใต้การสอบ เช่น การพาเด็กๆ กวดวิชาจนคร่ำเครียด ความเครียดจากการถูกกดดันในรูปแบบของความรักและปรารถนาดี มุมมองว่าพัฒนาการที่ดีของเด็กคือการท่องหนังสือได้ บวกลบเลขได้ไว เป็นผู้เชี่ยวชาญทางดนตรีตั้งแต่อายุน้อยๆ ที่ตามมาด้วยวินัยที่เคร่งครัด หากผู้ปกครองคิดว่านี่คือการปูทางไปสู่อนาคตอันสดใสของลูก ประโยคข้างต้นอาจช่วยยืนยันได้ว่า อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

อย่างที่ ธิดา พิทักษ์สินสุข กรรมการบริหารสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้ที่ผลักดันให้ยกเลิกการสอบเข้าชั้น ป.1 มากว่า 30 ปี เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า 

“พลังชีวิตของเด็กดุจเป็นศักยภาพของต้นอ่อนในเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่พร้อมจะงอกงาม จะน่าเสียดายยิ่งหากความไม่รู้และความคาดหวังที่ผิดทางของผู้ใหญ่มาบั่นทอนพลังชีวิตของเด็ก แทนที่จะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนศักยภาพที่มีในตัวเด็กได้เติบโตงอกงาม”

ดาวน์โหลดหนังสือ พลังแห่งวัยเยาว์ ได้ที่: https://goo.gl/td8Ycp

อ้างอิง: 

พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/056/T_0005.PDF

Tags:

ระบบการศึกษาปฐมวัยหนังสือศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการเล่นอิสระ(free play)

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    ถอดบทเรียนกรณีครูปฐมวัยทำร้ายเด็กเล็ก1: บทบาทครูปฐมวัยและการควบคุมคุณภาพ

    เรื่อง The Potential

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent BrainBook
    ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ไม่ได้แบ่งการเรียนสายวิทย์สายศิลป์ แต่ใช้ระบบ Track เหมือนเลือกคณะในมหา’ลัย ของกรุงเทพคริสเตียน
Creative learning
27 June 2019

ไม่ได้แบ่งการเรียนสายวิทย์สายศิลป์ แต่ใช้ระบบ Track เหมือนเลือกคณะในมหา’ลัย ของกรุงเทพคริสเตียน

เรื่อง

  • ลืมแผนการเรียนวิทย์-ศิลป์ แบบเดิมไปได้เลย เราจะพาไปรู้จัก ระบบใหม่ที่เรียกว่า Track
  • เป็นระบบที่แผนก ม.ปลาย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนใช้มาเป็นปีที่ 2 แล้ว เพื่อช่วยเด็กค้นหาตัวตน ความชอบ ความถนัด จะได้เลือกคณะในมหาวิทยาลัยไม่ผิด
  • นี่เป็นความพยายามหนึ่งในการปรับตัวของสถาบันการศึกษา ที่เห็นแล้วว่าการศึกษารอไม่ได้ และควรตั้งต้นที่เด็ก ไม่ใช่ที่ระบบ
เรื่อง: รุ่งรวิน แสงสิงห์
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

ภายหลังการประกาศปรับเปลี่ยนระบบการรับเข้าในระดับอุดมศึกษา จากระบบ admission สู่การรับเข้าด้วยระบบ TCAS สร้างความกังวลใจให้กับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกับตัวนักเรียน ครูผู้สอน โรงเรียน หรือแม้แต่ผู้ปกครอง เพราะการเตรียมเพื่อขึ้นสู่ระดับชั้นที่สูงขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผน เตรียมความพร้อม รู้ทั้งความต้องการของเด็กและรู้จักคณะที่อยากจะเข้าเรียนของนักเรียนให้ถ่องแท้เสียก่อน

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่คนหนึ่งหรือสองคนที่จะต้องเปลี่ยนไป แต่กลับเป็นทั้งระบบที่จะต้องปรับตัว ไม่ได้มีเพียงผู้ทำการทดสอบและคัดเลือกที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น แต่ผู้ถูกคัดเลือกเองก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อมเช่นเดียวกัน นอกจากความพยายามที่ต้องเพิ่มมากขึ้นของนักเรียนในการพิชิตรั้วมหาวิทยาลัย โรงเรียนในฐานะสถานศึกษาที่ให้ความรู้กับนักเรียนเหล่านี้ก็จำเป็นต้องปรับตัวในทันกับระบบต่างๆ ด้วยเช่นกัน

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นหนึ่งในหลายๆ ความพยายามของหลายสถานศึกษาที่ต้องการช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จ ได้เข้าเรียนในคณะที่ชอบ มหาวิทยาลัยที่ใช่จริงๆ โดยทำให้เด็กๆ รู้จักกับความต้องการของตัวเอง และได้เรียนรู้ในระบบที่เหมาะสมกับการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากระดับมัธยมศึกษาสู่ระดับอุดมศึกษา

ทีม The Potential จะพาทำความรู้จักกับความพยายามและการเตรียมพร้อมของกรุงเทพคริสเตียน ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า ระบบ Track

Track เพื่อหาเป้าหมาย

‘ครูฟะห์’ สุดฤทัย สัจติประเสริฐ หัวหน้าฝ่ายวิชาการผู้ริเริ่มระบบ Track และ ‘ครูหน่อง’ วศวิศว์ ปุณณะสุขขีรมณ์ หัวหน้าด้านงานนักเรียนความสามารถพิเศษ ซึ่งเป็นฝ่ายเทคนิคในการจัดการระบบลงทะเบียน เล่าที่มาและการทำงานของระบบ Track ที่เพิ่งเริ่มใช้เป็นปีที่ 2 แทนระบบแบ่งสายวิทย์ สายศิลป์ แบบเดิม

ปัจจุบันโรงเรียนกรุงเทพคริสเตรียน มีทั้งหมด 14 tracks ได้แก่

  1. Track แพทยศาสตร์ และกลุ่มสาธารณสุขศาสตร์
  2. Track วิศวกรรมชีวการแพทย์
  3. Track วิศวกรรมศาสตร์ (ทั่วไป)
  4. Track วิศวกรรมการบินและอวกาศยาน
  5. Track วิศวกรรมหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์
  6. Track สถาปัตยกรรมศาสตร์
  7. Track บริหารธุรกิจ บัญชี เศรษฐศาสตร์
  8. Track สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์
  9. Track ศิลปกรรมศาสตร์
  10. Track อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์
  11. Track นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสื่อดิจิทัล
  12. Track ศิลปะการประกอบอาหาร
  13. Track วิทยาศาสตร์การกีฬา
  14. Track ดนตรี-นิเทศศิลป์

แต่ละ Track จะได้เรียนวิชาสำคัญที่จะต้องใช้สอบ และใช้เรียนในระดับพื้นฐานของคณะ เช่น Track แพทยศาสตร์ นักเรียนจะต้องเรียนระเบียบวิธีวิจัยซึ่งเป็นวิชาที่จำเป็นต่อการเป็นแพทย์ ควบคู่ไปกับการเรียนในรายวิชาพื้นฐานที่จะต้องใช้สอบ ขณะที่ Track สถาปัตยกรรมศาสตร์ ก็จะต้องเรียนวิชา ดรออิ้ง (drawing) หรือวิชาวาดเขียนพื้นฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการทดสอบสำหรับเข้าคณะสถาปัตย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นวิชาเฉพาะ จำเป็นต้องได้รับการฝึกล่วงหน้า

ครูฟะห์และครูหน่องเผยว่า เป้าหมายหนึ่งเดียวของระบบ Track คือการส่งเด็กให้ถึงฝัน ในระดับมหาวิทยาลัยอย่างถูกต้อง เพราะบทเรียนที่ผ่านมา มีเด็กหลายต่อหลายคนที่ตัดสินใจผิดในการเลือกคณะ

“หลายคนต้องซิ่ว (เรียนใหม่) หลายคนต้องฝืนเรียนต่อ สถานการณ์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทีมผู้คิดระบบไม่อยากให้มันเกิดขึ้น และ ในระบบการรับเข้าแบบ TCAS ที่มีทั้งหมด 5 รอบด้วยกัน การเรียนแบบ Track จะทำให้มีเวลาเตรียมความพร้อมในรอบพอร์ต (portfolio) ซึ่งเป็นรอบแรกของการคัดเลือกอีกด้วย”

เบื้องหลัง ไม่ง่าย

ในฐานะผู้ริเริ่มระบบ ครูฟะห์เล่าเบื้องหลัง ก่อนจะกลายมาเป็นระบบ Track ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันว่า โรงเรียนเริ่มต้นจากการวิจัย เปรียบเทียบ ศึกษาจากประสบการณ์ในต่างประเทศ พร้อมทั้งให้นักเรียน ม.3 ทำแบบสอบถามออนไลน์ เพื่อตรวจสอบว่าเด็กๆ มีแนวโน้มที่เข้าเรียนต่อในคณะใดบ้าง โดยสำรวจทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง

ผลปรากฏว่าความต้องการอันดับหนึ่งของนักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนคือ การเข้าศึกษาต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ ตามด้วยแพทยศาสตร์

แต่ปัญหาอยู่ที่ความพร้อมของคุณครูในการสอนรายวิชาเฉพาะทาง โรงเรียนจึงต้องอาศัยบุคคลภายนอก ใช้วิธีปรึกษากับอาจารย์มหาวิทยาลัยโดยตรงในคณะที่เฉพาะทาง และปรึกษาศิษย์เก่าเพื่อขอความช่วยเหลือในบางสายอาชีพ

เช่น การลงพื้นที่ไปปรึกษากับคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี, ธรรมศาสตร์, ศิลปากร, มหิดล และอีกหลายสถาบัน เพื่อความถูกต้อง เหมาะสม และแม่นยำของการเปิดรายวิชาใน Track

“เมื่อได้คำแนะนำต่างๆ ก็มาปรับใช้ เช่น นักเรียนบางคนอยากเรียนด้านสถาปัตย์ แต่ถ้าเป็นในรูปแบบการเรียนการสอนเดิม นักเรียนจะต้องเรียนวิทยาศาสตร์มากถึง 3 ตัว ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ โดยที่ไม่มีโอกาสได้เรียนวิชาพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับการสอบเข้าในคณะสถาปัตย์ อย่างวิชาดรออิ้ง ทางเราก็เลยปรับในส่วนของรายวิชาที่เหมาะสม และเพิ่มวิชาที่จำเป็นลงไป”

แต่กว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ทีมครูฟะห์ต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก เพราะนักเรียนจะต้องเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองชอบด้านไหน และอยากจะทำอะไรในอนาคตก่อนที่จะเลือก Track

‘ทีมแนะแนว’ จึงต้องเข้ามาช่วยในขั้นตอนการค้นหาตัวเอง

“ทีมแนะแนวมีบทบาทมาก เพราะต้องทำหน้าที่พูดคุยและให้คำปรึกษากับเด็กนักเรียน และค่อยๆ อธิบายเรื่องที่เด็กยังไม่มีข้อมูล ครูแนะแนวจะเอาแบบทดสอบความถนัดให้นักเรียนทำ เพื่อค้นหาตัวเอง พอขึ้น ม.ปลาย นักเรียนก็จะรู้ตัวและเลือก Track ตามความต้องการของตัวเอง”

นอกจากนั้น เด็กๆ ยังได้ทดลองเรียน ทดลองเลือก เพื่อค้นหาความถนัด ในการเรียนภาคฤดูร้อนก่อนเปิดเทอมจริง

“ใครอยากจะเรียนทางวิทยาศาสตร์ ทางหมอ โรงเรียนก็จะเตรียมคุณครูฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไว้ให้ด้วย ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยทำให้นักเรียนรู้จักตัวเองได้ไวมากยิ่งขึ้น การเตรียมพร้อมขึ้นชั้นระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจึงกลายเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด”

ฝั่งผู้ปกครองเองก็มีส่วนสำคัญกับระบบ Track มาก เด็กบางคนที่พ่อแม่เป็นนักธุรกิจ ก็ลองเข้าเรียนใน Track บริหาร แต่พบว่าตัวเองไม่สามารถคำนวณได้อย่างเพื่อน ไม่ชอบตัวเลขจริงๆ ทางโรงเรียนก็อนุญาตให้ย้าย Track ได้ แต่ต้องก่อนขึ้นชั้น ม.5 เพราะอาจจะไปกระทบกับโปรแกรมและตารางที่ทางโรงเรียนวางไว้ และอาจจะกระทบกับการทำพอร์ตในรอบแรกของ TCAS

“ปัญหาการย้าย Track ก็เป็นสิ่งที่ทีมพัฒนาระบบคิดมาตลอด ว่าจะต้องเกิดขึ้น แต่พอทางโรงเรียนได้แก้ปัญหาโดยใช้ระบบแนะแนวตั้งแต่ช่วง ม.ต้น ในปีที่ 2 ปัญหานี้ก็ลดน้อยลง และสิ่งที่สำคัญคือผู้ปกครองที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็ก จำเป็นต้องถามไถ่และพาเด็กๆ ไปรู้จักกับอาชีพต่างๆ ถือเป็นการร่วมด้วยช่วยกัน ระหว่างครู ผู้ปกครอง และตัวเด็กเอง”

โลกเปลี่ยน เด็กเปลี่ยน โรงเรียนต้องเปลี่ยน

การนำเอาระบบ Track มาใช้ ถูกหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเป็นการสลายระบบสายการเรียนที่มีอยู่เดิม

“ถามว่าสลายไหม มันยังไม่สามารถทำได้เสียทีเดียว แต่การนำระบบ Track มาใช้ ช่วยให้เด็กตั้งคำถามมากกว่าการเลือกเรียนระหว่างสายวิทย์หรือสายศิลป์ แต่มันพาเด็กๆ ไปได้ไกลกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคณะที่อยากจะเรียน อาชีพที่อยากจะทำในอนาคต ตรงนี้คือส่วนสำคัญของระบบ” ครูฟะห์อธิบาย

เมื่อเรียนแบบ Track แล้ว ระบบการแบ่งห้องยังเป็นแบบเดิมอยู่หรือไม่?

ครูหน่องในฐานะผู้จัดการด้านเทคนิคบอกว่า การแบ่งตาม Track ก็จะแบ่งครึ่งๆ เช่น ห้อง 1-5 เป็น Track วิทยาศาสตร์ เช่น วิศวะทั่วไป แพทย์ ฯลฯ เนื้อหาที่เรียนมักจะเน้นวิทยาศาสตร์ นักเรียนก็จะต้องเลือกเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ขณะที่ ห้อง 6-10 จะเป็น Track สำหรับสายศิลป์ ที่มีทั้งหมด 8 Tracks อย่าง ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ โดยจะเรียนอยู่ด้วยกันหมดแล้วจึงแยกเรียนทีหลัง

“ข้อดีของการทำ Track แบบนี้ เวลาการเรียนครูสามารถเน้นหนักในรายวิชาได้เลย เช่น การสอนวิชาชีวะ บาง Track จะต้องเรียน เช่น หมอ แต่ถ้าเรียนอย่างเดิมเป็นห้องรวมที่นักเรียนหลายๆ ความถนัดอยู่ร่วมกันก็จะสอนลำบาก แต่พอถนัดเหมือนกันมาอยู่ด้วยกัน ก็สอนได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นๆ จะตามทันหรือเปล่า”

ครูหน่องยังบอกอีกว่า ข้อดีจากการแยก Track ทำให้เห็นความแตกต่างในด้านการเรียนรู้

”วิศวะกลุ่มหนึ่ง หมอกลุ่มหนึ่ง เราจะเห็นเลยว่าเด็กเขาตั้งคำถามและให้คำตอบไม่เหมือนกัน ห้องหมอลักษณะก็จะเป็นเหมือนคำตอบของนักวิจัย ห้องวิศวะเหมือนกับนักลงมือปฏิบัติ เราก็คุยกันในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ว่าผลจากการแบ่งแบบนี้ ทำให้เราสามารถสอนเน้นไปตามธรรมชาติของเด็กได้เลย”

ปัจจุบันตารางสอนเด็กๆ จะมีทั้งหมด 36 คาบ 22 คาบเป็นวิชาพื้นฐานซึ่งเป็นวิชาบังคับตามบริบทของโรงเรียน และมีการเสริมคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษเข้าไปตามบริบทของโรงเรียน ซึ่งนับรวมว่าเป็นวิชาพื้นฐาน

นอกจากนี้ในฐานะที่กรุงเทพคริสเตียนตั้งอยู่บนพื้นฐานของคริสต์ศาสนา จึงมีวิชาอบรมไบเบิล 1 คาบ แนะแนว 1 คาบ และ อีก 14 คาบที่เหลือคือวิชาเลือกที่เด็กสามารถเลือกได้เอง โดยเลือกผ่าน Track มาก่อน

“อย่าง Track หมอ ก็จะเลือก ชีวะ 4 คาบ เคมี 4 คาบ ฟิสิกส์อีก 4 คาบ ที่เหลือก็เป็นวิชาของหมอ อย่างระเบียบวิธีวิจัย จะเป็นหมอได้ดีก็ต้องเริ่มต้นที่การวิจัย เอาระเบียบวิธีวิจัยวิทยาศาสตร์ใส่ลงไป”

ครูหน่องกับครูฟะห์ทิ้งท้ายว่า สำหรับความแตกต่างและผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง อาจจะยังเห็นได้ไม่ชัดเพราะเพิ่งเริ่มได้เพียง 2 ปีเท่านั้น เมื่ออนาคตมาถึงอาจจะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

“แต่ที่แน่ๆ Track ของโรงเรียนจะต้องมีจำนวนเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการของนักเรียนที่อยากจะเข้าเรียนในคณะที่หลากหลาย”

Tags:

การสอบวิชาเสรีโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยระบบ Track

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Education trend
    7 งานวิจัยและความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่สำคัญของโลกการศึกษาปี 2018

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

SUNSET GELATO: ไอศกรีมโฮมเมด ‘รสขอนแก่น’ เด็ดจากสวน ส่งตรงถึงหน้าบ้าน
Voice of New Gen
26 June 2019

SUNSET GELATO: ไอศกรีมโฮมเมด ‘รสขอนแก่น’ เด็ดจากสวน ส่งตรงถึงหน้าบ้าน

เรื่อง สิทธิกร ขุนนราศัยรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Sunset Gelato คือร้านไอศกรีมโฮมเมดตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่น นอกจากผลิตขายรายย่อยแล้ว ตอนนี้ประสบความสำเร็จกลายเป็นผู้ผลิตส่งออกและสร้างแบรนด์ไอศกรีมเจลาโต้
  • จุดที่ทำให้ Sunset Gelato โดดเด่นและน่าสนใจขึ้นมา คือการนำวัตถุดิบ ผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากชุมชนในจังหวัดขอนแก่นมาสร้างสรรค์ให้เกิดใหม่เป็นไอศกรีมรสชาติต่างๆ เช่น รสขนมเปี๊ยะ ของดีขึ้นชื่อเมืองขอนแก่น รสเสาวรส ที่ใช้เสาวรสที่ขึ้นชื่อที่สุดในอำเภอซำสูงมาเป็นนางเอก
  • อ๊อฟ-จักรกฤษ ศิริวรประสาท หนึ่งในหุ้นส่วนเจ้าของ Sunset Gelato บอกว่า เบื้องหลังความสำเร็จไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ จากเด็กหนุ่มวิศวะ ผันตัวมาจับธุรกิจของหวาน ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเผชิญกับภาวะเครียดและปัญหาหนี้สิน

ส่งวันนี้ถึงพรุ่งนี้

ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่หมู่บ้านอะไร อำเภอไหน ในภาคอีสาน เราส่งตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าได้เลยครับ

นี่คือคำเคลมที่เขียนไว้บนหน้าเพจเฟซบุ๊คของร้านไอศกรีมที่คนขอนแก่นรู้จักเป็นอย่างดี Sunset Gelato

จุดเด่นของร้านไอศกรีมแห่งนี้คือ การนำวัตถุดิบผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากชุมชนในจังหวัดขอนแก่นมาสร้างสรรค์ให้เกิดใหม่เป็นไอศกรีมรสชาติต่างๆ เช่น เจลาโต้รสขนมเปี๊ยะ ของดีขึ้นชื่อเมืองขอนแก่น ไอศกรีมเจลาโต้รสเสาวรส ที่ใช้เสาวรสขึ้นชื่อที่สุดในอำเภอซำสูงมาเป็นนางเอก

นอกจากทำให้ไอศกรีมทุกคำสดชื่นแล้ว สิ่งที่ Sunset Gelato ทำคือการช่วยบอกเล่าเสน่ห์ชุมชน เป็นแนวคิดของ ‘อ๊อฟ’ จักรกฤษ ศิริวรประสาท วัย 34 อดีตนักเรียนวิศวะที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจของหวานร่วมกับเพื่อนร่วมคณะ

แต่กว่าจะสำเร็จมันไม่ง่าย…

จากวันที่ทดลองทำ แม้จะต้องล้มจนแผลถลอกเลือดออก เจอปัญหาอุปสรรคเรื่องหนี้สิน แต่ไม่มีวันไหนที่อ๊อฟคิดถอยหลัง ใจยังคุกรุ่นไปด้วยความกล้าเสี่ยงและไม่ยอมแพ้ต่อโอกาส ทำให้ทุกวันนี้ Sunset Gelato กลายเป็นผู้ผลิตส่งออกและสร้างแบรนด์ไอศกรีม รวมถึงมีบริการส่งฟรีถึงหน้าบ้าน (door to door delivery) ด้วย

ก่อนมาทำไอศกรีมเคยทำอะไรมาก่อน

จุดเริ่มต้นที่ทำให้มาสนใจเรื่องนี้เพราะเห็นรุ่นพี่ที่จบจากวิศวะ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตอนนี้ก็มาเป็นหุ้นส่วนร่วมกับเราทั้งหมด 3 คน ทุกคนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แต่มี 2 คนเป็นคนขอนแก่นโดยกำเนิด

ผมจบ IE หรือ วิศวอุตสาหกรรม จากนั้นก็ไปทำงานโรงงานที่อยู่ที่จังหวัดระยอง เกี่ยวกับปิโตรเลียมเคมี ด้านการวางแผนงาน ทำงานไปประมาณ 2 ปี ก็ตัดสินใจไปเรียนต่อ ปริญญาโท ด้านขนส่ง (global logistic) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เรียนอยู่ 5 ปี และกลับมาประเทศไทย 

ส่วนหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเขาก็เรียนวิศวอุตสาหกรรมด้านเดียวกับเรา เราไปเจอกันที่ทำงานในจังหวัดระยอง 

อีกคนที่เรียนด้านวิศวเคมี แต่เขาสายอาร์ตหน่อยๆ งานอดิเรกคือทำงานดีเจอะไรของเขาไป

หลังจากกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา เราสามคนตัดสินใจมาเปิดร้านน้ำแข็งใสก่อน ตอนแรกเราก็ทำขำๆ ทำสนุก เหมือนกลุ่มเพื่อนที่เอาเงินมาลงทุนกัน แต่ทำไปทำมา รู้สึกมันไม่ค่อยโอเค เราเลยวิเคราะห์กันว่าน่าจะเป็นเพราะโลเคชั่นของร้าน เพราะร้านตั้งอยู่ในซอยตัน ระหว่างนั้นเราก็ลงทุนอีกธุรกิจด้วยกันอีก คือ ร่วมกันเปิดบริษัทนำเข้า-ส่งออกพลาสติกที่เขมร แต่ทำแล้วก็… (ส่ายหน้า) มันเหมือนเด็กที่มีไฟแรงๆ แล้วอยากทำธุรกิจมากๆ น่ะ คือ มองทุกอย่างเป็นโอกาสไปหมด แต่คำว่าโอกาสก็มีทั้งดีและไม่ดี จนสุดท้ายก็ต้องแบกรับหนี้สินกันไป เพราะเราคิดง่ายเกิน ไม่ได้วางแผนการบริหารให้รัดกุมด้วย

เลยตัดสินใจพักตรงนั้น มาลุยทำร้านน้ำแข็งไสอย่างเอาจริงเอาจัง เรามั่นใจว่าวัตถุดิบที่เรามีมันดี แต่โลเคชั่นไม่ดี อยู่ในหลืบในซอยตัน ทำให้ขายไม่ได้เท่าที่คิด ก็เลยมองหาทำเลที่ขายใหม่ 

และไปเจอโลเคชั่นที่ตลาดแห่งหนึ่ง ใกล้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เราคุยกับเพื่อนว่า ‘ครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจทำธุรกิจด้วยกันเป็นโปรเจ็คท์สุดท้าย’ ถ้าพังอีกก็จะแยกย้าย แต่ปรากฏว่าขายดีมาก เพราะเราวางแผนการบริหารใหม่ วางระบบคอมพิวเตอร์ให้คีย์ข้อมูล ปรับขนาดของสินค้าใหม่ โดยอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยขายได้ในร้านทั้งวัน วันละ 3,000 บาท แต่พอย้ายมาทำเลใหม่กลับขายได้วันละ 20,000 บาท โดยขายแค่เฉพาะตอนเย็นเท่านั้นด้วยนะ 

ย้อนกลับไปตอนที่แบกหนี้สิน เครียดไหม แล้วมาเปิดร้านไอศกรีมได้อย่างไร

เราไม่รู้ตัวว่าเราเครียดไหม แต่มันสะสมมากกว่า กินข้าวก็ไม่ค่อยย่อย นอนไม่หลับ มีเรื่องเงิน เรื่องหนี้สิ้นอีก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับร้านไอศกรีมโฮมเมดข้างๆ ที่ติดกับร้านน้ำแข็งไสของเรา เขาจะเซ้ง เขาให้เราหาคนมารับช่วงต่อให้ แต่หาไปหามา เราก็ตัดสินใจรับทำต่อ เพราะมองเห็นโอกาส (อีกแล้ว) มองว่าไอศกรีมน่าจะเก็บได้นาน สามารถส่งไปไกลได้มากกว่าน้ำแข็งไส เราคิดแค่นี้จริงๆ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำไอศกรีมของเรา

เปลี่ยนมือมาทำไอศกรีมแล้วเป็นอย่างไร

แรกๆ ใช้วิธีผสมผสานระหว่างการทำเมนูน้ำแข็งไสกับไอศกรีมก่อน ก็จะเป็นเมนูน้ำแข็งไสที่มีไอศกรีมโปะลงไป และเราก็พยายามชูไอศกรีมขึ้นมาโฆษณาและทำการตลาดมากขึ้น ผลตอบรับก็ดี จึงตัดสินใจนำมาขายอย่างจริงจัง พอเริ่มทำไอศกรีมจากขายปลีก (ขายเป็นถ้วยๆ) ก็เริ่มบุกตลาดมาขายส่ง เริ่มมาผลิตไอศกรีมส่งขายเอง ใช้เวลาหลายเดือนเหมือนกันกว่าที่จะมีลูกค้ามาซื้อไอศกรีมเจลาโต้ที่เราผลิต 

แต่การบ้านที่เราต้องทำต่อมันมีเยอะมาก เช่น ต้องดูตลาดไอศกรีมโฮมเมด ดูว่าเมื่อเราไปสู้กับแบรนด์แมสๆ ไม่ได้ เราจะทำอย่างไร รวมถึงเดินสายออกบูธในที่ต่างๆ เพื่อเก็บฟีดแบ็คจาก user แล้วก็นำมาปรับปรุง

แล้วเจออุปสรรคอะไรบ้าง

ถ้าพูดเรื่องการขาดทุน มันก็มีบ้างอยู่แล้ว แต่อุปสรรคที่สำคัญมากที่สุดคือการเปลี่ยนผ่านของแบรนด์ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่รับรู้แล้วว่า Sunset Gelato ขายน้ำแข็งไส เราจะทำอย่างไรที่จะไปเปลี่ยนการรับรู้ หรือ perception ของฐานลูกค้าเดิม 

เมื่อเราเปลี่ยนมาทำไอศกรีมแล้ว ถ้าเขาอยากกินน้ำแข็งไสขึ้นมา เราจะทำอย่างไร ไม่ให้เสียลูกค้า เหมือนกับการที่เราเป็นแฟนคลับใครสักคนแล้วเขาเปลี่ยนไปอะ (หัวเราะ) แต่มันก็ไม่ใช่ข้อเสียไปทั้งหมดนะ เพราะการเปลี่ยนมาเป็นไอศกรีมก็ได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เหมือนกัน

เมนูไอศกรีมของที่ร้านมีอะไรบ้าง

แน่นอน ตามชื่อ Sunset Gelato เจลาโต้ต้นตำรับมาจากคำอิตาลี ที่โน่นเขาไปไกลกว่าเรามาก ถึงกับมีมหาวิทยาลัยสอนทำเจลาโต้ จุดเด่นของเจลาโต้ คือ จะมีความ low fat เพราะวัตถุดิบที่ใช้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ไขมันต่ำทั้งหมด และจุดเด่นอีกอย่างคือจะมีความหนึบ เนื้อไอศกรีมแน่น เพราะเจลาโต้เป็นไอศกรีม less air เมื่อกินเข้าไปแล้วจะได้สัมผัสเนื้อโดยตรงแบบเต็มๆ ได้ความเข้มข้นของรสชาติ 

อีกอย่างหนึ่งที่เรามีคือไอศกรีมที่มีส่วนผสมของผลไม้ โดยที่ไม่ผสมนม หรือเรียกว่า ซอร์เบท์ (sorbet) ถึงแม้เนื้อจะไม่ได้เนียนเหมือนเจลาโต้ แต่จะได้รับความรู้สึกถึงผลไม้เต็มๆ ไม่มีการแต่งสี ปรุงกลิ่น 

ธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด ใครๆ ก็ทำได้ แต่จะทำอย่างไรให้คนรู้จักเรา 

เวลาเราทำไอศกรีมแต่ละรสชาติขึ้นมา เราต้องมีซิกเนเจอร์ มีความโดดเด่น ซิกเนเจอร์ในความหมายของเรา ไม่ได้แปลว่าจะต้องขายดีที่สุด แต่มันทำให้คนรู้จักเรามากที่สุด เราเลยลองทำ ‘ไอศกรีมขนมเปี๊ยะ’ ขึ้นมา 

เรามีโอกาสรู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งขายขนมเปี๊ยะเจ้าดังในขอนแก่น เราก็เลยเอาสินค้าเขามาปรับทำเป็นไอศกรีมภายใต้สูตรของเรา ปรับไปปรับมา “เฮ้ย มันอร่อย!” โดยเฉพาะขนมเปี๊ยะไส้เผือก พอทำออกมาปุ๊บ กลายเป็นว่าคนรู้จักเรามากขึ้น 

นอกจากรสขนมเปี๊ยะมีอะไรอีกไหม

มีไอศกรีมที่เป็นรสชาติผัก จริงๆ ต้นกำเนิดไอเดียมาจากขนมเปี๊ยะนี่แหละ พอเริ่มทำก็ส่งผลให้รู้จักกับพี่น้องท้องถิ่นมากขึ้น เราจึงเอาของที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ชาวบ้านมาทำเป็นไอศกรีม เช่น เสาวรส อำเภอซำสูง รวมถึงเครือข่ายต่างๆ เราก็เข้าไปเอาผลิตภัณฑ์มาแปรรูป เช่น ในสวนเกษตร MEKIN (มีกิน) เขาทำนาข้าว ทำเชิงท่องเที่ยววิถีชีวิต เราก็ร่วมมือกัน นำข้าวทับทิมชุมแพของเขามาแปรรูปเป็นไอศกรีม รวมถึงอื่นๆ ด้วย เช่น รสชาติอัญชันมะนาว เราก็ใช้อัญชันจากสวนเกษตรจริงๆ แม้ชาวบ้านต่างๆ ที่เราเข้าไปรับซื้อ เขาไม่ได้ปลูกพืชผักแบบจริงจัง ส่วนใหญ่จะเน้นปลูกในระดับครัวเรือน พอเราเข้าไปรับซื้อเขาก็ดีใจ เพราะขายได้ในราคาที่ดีกว่า

ตอนนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว มองธุรกิจตัวเองต่ออย่างไรบ้าง

ตอนนี้กำลังจะขยายไปเปิดที่ตลาดต้นตาล ในขอนแก่น แต่เราไม่อยากขายแค่ไอศกรีมอีกแล้ว อยากขายอื่นๆ ไปด้วย เช่น เมนูมิลค์เชค จากการที่เราลองไปเปิดตัวมิลค์เชคที่เซ็นทรัลมาแล้วหนึ่งรอบก็ได้รับกระแสที่ดี เราก็ยิ่งมั่นใจ ร้านเราจะมีน้ำแข็งไส มีไอศกรีม มีมิลค์เชค โดยคอนเซ็ปต์คือมันต้องมีพื้นฐานมาจากวัตถุดิบที่ดีเหมือนกัน และที่สำคัญร้านจะต้องจัดการง่าย จะต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เน้นใช้กำลังคนให้น้อยที่สุด 

อีกอย่างตอนนี้เริ่มดูโลเคชั่นใหม่ๆ ในขอนแก่น จะไม่เลือกสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว จะใช้เวลาเลือกดูโลเคชั่นทั้งวันทั้งคืน เสาร์อาทิตย์ วันธรรมดา กลางวัน-กลางคืน เปิดเทอม-ปิดเทอม ดูว่ามันเป็นอย่างไร เพราะหัวใจของการทำร้านคือโลเคชั่น มันมีความสำคัญมากกับยอดขายสินค้า เรื่องแบบนี้ต้องตั้งใจดูด้วยตัวเอง เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นอะไรที่ซื้อขายกันไม่ได้ 

อีกอย่างเราวางแพลนว่าจะทำเป็น Sunset House ขึ้นมา ซึ่งจะไม่ได้ขายแค่เมนูไอศกรีมอีกต่อไป จะมีโทสต์ มีน้ำปั่น มีน้ำแข็งไส มีขนมต่างๆ ที่เราเคยทำแล้วเฟล

เฟลอย่างไร?

เคยเฟล แต่ก่อนเราทำน้ำแข็งไสมากถึง 12 รสชาติ เพราะคิดว่าจะได้เป็นตัวเลือกให้ลูกค้าได้ แต่เราคิดผิด โลเคชั่นต่างหากที่สำคัญกว่า เพราะพอเปลี่ยนโลเคชั่นเหลือขายแค่ 4 รสชาติ ปรากฏขายได้มากกว่า ยอดขายได้เยอะกว่าอีก

โลเคชั่นที่ดีคืออะไร

ก็นอกจากมีร้านแล้ว ก็มีที่จอดรถ สังเกตง่าย 

เคยคิดไหมว่าตัวเองจะมาขายไอศกรีม ความฝันวัยเด็กอยากทำอะไรบ้าง

แต่ละช่วงวัย เรามีความฝันไม่เหมือนกัน ถ้าช่วงเด็กมากๆ ยังเคยอยากเป็นนายกฯ เลย (หัวเราะ) พอโตความฝันก็เปลี่ยนไป เราพบว่าเราไม่อยากทำงานราชการ เราเห็นพ่อแม่ที่เป็นครูและอาจารย์ ซึ่งต่างจากนิสัยส่วนตัวของเรา เราอยากทำอะไรนอกกรอบ ไม่ได้อยากอยู่ในกฎระเบียบ เราชอบคิดต่าง ก็เลยคิดว่าอาชีพอะไรที่เหมาะกับเรา เลยคิดอยากทำธุรกิจ 

ความคิดช่วงนี้มาพร้อมกับตอนที่เราไปเรียนต่างประเทศ ก่อนหน้านั้นเราเคยทำงานประจำมาก่อน แต่เราเป็นคนที่ ถ้าสั่งมา 200 เราทำ 250 สั่ง 300 เราทำ 400 ซึ่งมันเยอะจากที่เขาสั่ง เราไม่ได้ทำตามกับสิ่งที่เขาบอก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำตามใจนะ เราเลือกเดินไปเองมากกว่า เราวิเคราะห์ตัวเองก่อนว่าเราเป็นคนประเภทไหน

พ่อมักจะบอกว่า ให้เชื่อผู้ใหญ่เถอะ เพราะเขาอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่เราคิดว่าน้ำร้อนมันก็ควรจะแบ่งคนอื่นอาบบ้างหรือเปล่า

เราชอบแบบนี้ เราชอบเดินในทางที่มันแตกต่าง พอได้มาทำธุรกิจ เราชอบการจัดการชีวิตตัวเองตั้งแต่อยู่เมืองนอก ตั้งแต่งานทำความสะอาด ลองขายของออนไลน์ ทำงานร้านอาหารไทย พนักงานเสิร์ฟ ขับรถส่งอาหาร เป็นสิ่งที่เราอยากทำหมดเลย เพราะมันกำหนดชีวิตตัวเองได้

แล้วทำไมต้องขายไอศกรีม

ใครๆ ก็มักจะบอกว่าประเทศเมืองร้อนอย่างเรา อย่างไรก็ขายไอศกรีมได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เลยครับ มันอยู่ที่วัฒนธรรมการกิน ไอศกรีมมันเป็นของหวานที่อยู่ในวัฒธรรมการกินของชาวต่างชาติ เหมือนที่บ้านเรากินบัวลอย แม้บัวลอยมันร้อน แต่เราก็กิน อากาศก็ส่วนหนึ่งแต่วัฒนธรรมก็สำคัญ 

คนจะกินไอศกรีมต่อเมื่อมีความสุข ไม่ได้โลกสวยอะไรนะ แต่คนจะเลือกกินไอศกรีมต่อเมื่ออากาศดีและรู้สึกมีความสุข ในหน้าหนาวไอศกรีมกลับขายดี หน้าร้อนก็ดีเพราะอากาศ แต่หน้าฝนอาจจะเป็นช่วง low season 

ไอศกรีมไม่ใช่ปัยจัยสี่ คนกินข้าวเสร็จ เขาก็กินน้ำ จบ ยิ่งอยู่ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้มันท้าทายเรามาก เราจะทำอย่างไรให้ไอศกรีมมันมีคุณค่าและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนให้ได้

ยิ่งเดี๋ยวนี้คนเลือกกินมากขึ้น ผู้บริโภคฉลาดขึ้น ตอนที่เราขายในตลาด มีคนบ่นให้ได้ยินว่าแพง 39 บาท แพงมาก แต่บางคนที่เขาเห็นค่า เขาก็จะไม่รู้สึกแบบนั้น ยิ่งคนต่างชาติเขาจะถามเลยว่าเราขายได้อย่างไรในราคานี้ 

หุ้นส่วน 3 คน ผิดใจกันบ้างไหม แก้ไขอย่างไร

เป็นเรื่องธรรมดามาก สำหรับการทำงานที่มันมองกันไปคนละทิศละทาง แต่ด้วยความที่เราทำงานกลุ่มเดียวกันมาก่อนตั้งแต่มหาวิทยาลัย 15 ปีมาแล้วมั้ง เราอยู่กลุ่มเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อมาทำธุรกิจ มันต้องพูดคุยกันเมื่อเจอปัญหาอะไร ตอนแรกเราก็ทำกันแบบขำๆ จนตอนนี้เริ่มจริงจัง เราเริ่มปรับรูปแบบการบริหารธุรกิจด้วยกัน เราจะเซ็ตคุณภาพของเราให้เทียบเท่าและมีมาตรฐานตาม อย. เราตั้งค่าบริหารกันใหม่

เช่น ถ้าเราจะขยายสาขา ก็ต้องคุยว่าใครจะดูแลหรือบริหารหน้าที่ตรงไหน แบ่งงานกันไป ทุกคนต้องตั้งค่าการบริหารให้ตัวเอง เพื่อจะทำให้แต่ละคนมีทางเดินที่ชัดเจน

คนมาถามเยอะนะว่าทำธุรกิจกับเพื่อนมีปัญหาไหม มันก็ต้องมีบ้าง แต่มันก็มีธุรกิจหลายอย่างที่เกิดจากหลายคนทำร่วมกันแต่ก็ประสบความสำเร็จ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ?

เวลาจะทำอะไรบางอย่าง ถึงต้องมีเงื่อนไขของเรา แต่อย่าลดความเป็นตัวของตัวเองลง เพียงแต่เราต้อง compromise มันให้ได้

ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่อยากจะโตเร็ว อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง

การที่เด็กๆ อยากจะสร้างธุรกิจไม่ผิด ยิ่งยุคสมัยนี้มันมี tools หรือเครื่องมืออะไรใหม่ๆ มากขึ้น รวมถึงมันมีข้อมูลหรือการศึกษา มีคอร์สเรียนใหม่ๆ มันยิ่งทำให้ง่ายขึ้นอีก แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแค่อยากจะบอกว่า 

เวลาเราจะทำอะไรสักอย่าง อยากให้เราจริงใจกับมัน ตั้งใจ ไม่หยิบโหย่ง เรียนรู้ให้มันถึงราก ไม่ต้องรีบ เราไม่เห็นด้วยกับพวกหนังสือ How To 10 ขั้นตอนทำให้รวย ทางลัดมันมีแหละ แต่มันไม่ยั่งยืน เพราะเราเคยผ่านมาแล้ว

ที่สำคัญระหว่างเดินไปหาความฝัน อย่าไปเครียดมาก เราควรมีความสุขระหว่างทางด้วย 

แล้ววันนี้คุณมีความสุขแล้วหรือยัง

เราจัดการความเครียดของตัวเองได้ เราเลยมีความสุข ถามว่าเงินมันอาจจะยังไม่เห็นชัดเจนตอนนี้ แต่ในอนาคต ทางเดินมันชัดขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนมาก สิ่งที่สำคัญคือการวางรากฐาน คนเรามักชอบมองที่ยอดพีระมิด อยากไปคว้ามัน แต่ไม่มองและไม่ยอมสร้างรากฐานให้แข็งแรง

Tags:

อาหารผู้ประกอบการ(entrepreneurship)จักรกฤษ ศิริวรประสาท

Author:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เพจทำอาหารที่ชวนกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ “แม่ เมนูนี้ทำไง”

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เทคโนโลยี-นวัตกรรม จุดชี้ขาดทางรอดโลกอนาคต: เสวนา SIIT ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    “ขนมปังยังสอนผมได้ตลอด ถ้าผมยังปั้นมันอยู่” กับคลาสขนมปังเปลี่ยนชีวิตที่ม.เถื่อน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    5E: คิดจริง ทำจริงแบบผู้ประกอบการ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

จิตวิทยาเสี้ยวส่วน: ‘เด็กน้อยอันเปราะบาง’ ผู้สร้างบาดแผล ที่เราหลงลืมไป
Family Psychology
26 June 2019

จิตวิทยาเสี้ยวส่วน: ‘เด็กน้อยอันเปราะบาง’ ผู้สร้างบาดแผล ที่เราหลงลืมไป

เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • ทำความรู้จัก ‘เด็กน้อยอันเปราะบาง’ ในตัวเอง เสี้ยวส่วนอาจจะเล็กน้อยแต่ว่าสำคัญ ผู้สร้างบาดแผลและทำให้เราเป็นเราในปัจจุบัน
  • เราเกิดมามีเสี้ยวส่วน (หรือบุคลิกภาพ) มากมายในตัวเรา และภายใต้สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมจนโต เราได้พัฒนาบุคลิกภาพบางอย่างหรือบางเสี้ยวส่วนในตัวให้แข็งแรงขึ้น จนเราคิดว่ามันคือตัวเราจริงๆ ไปเรียบร้อยแล้ว
  • แล้วเรากลับไปรู้จักเสี้ยวส่วนนั้นอีกทำไม? เพราะเด็กน้อยอันเปราะบางของเราอาจเกาะเกี่ยวอยู่กับ trauma หรือบาดแผลทางใจ จนทำให้ครั้งหนึ่งเราถามตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันเป็นซึมเศร้าอยู่หรือปล่า”
เรื่อง: กร ภักดีมโนจิตต์

แนวคิดของจิตวิทยาเสี้ยวส่วนมีสมมุติฐานว่า เราเกิดมาโดยมีหลากหลายบุคลิกภาพ หรือ มีเสี้ยวส่วนมากมายในตัวเรา และภายใต้สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมตัวตนจนเราเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาจนทุกวันนี้ เราได้พัฒนาบุคลิกภาพบางอย่างหรือบางเสี้ยวส่วนในตัวให้แข็งแรงขึ้น จนเราคิดว่ามันคือตัวเราจริงๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

ในการเป็นมนุษย์ อาจมีประสบการณ์บางอย่าง เสี้ยวส่วนบางตัว ที่เราเลือกเก็บใส่กล่อง ล็อคกุญแจแน่นหนาและปิดตายในห้องแห่งความลับ ในทางจิตวิทยาเรียกเสี้ยวส่วนนี้ว่า ‘inner child’ หรือ เด็กน้อยอันเปราะบาง เสี้ยวส่วนตัวนี้เกาะเกี่ยวกับ trauma ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นกลยุทธ์การเอาตัวรอดและการปรับตัวอันชาญฉลาด แต่ก็มีราคาอันสูงลิ่วที่จะต้องแลกมาด้วยเช่นกัน

บทความนี้เรียบเรียงจาก Healing the Fragmented Selves of Trauma Survivors: Overcoming Internal Self-Alienation โดย จานินา ฟิชเชอร์ (Janina Fisher) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้าน trauma

พวกเราบางคน อาจมีสักครั้งในชีวิตที่มีคำถามว่า“ตอนนี้ฉันเป็นซึมเศร้าอยู่หรือปล่า” หรือ “เอ! คนนั้นเขาจะเป็นไบโพลาร์ไหมนะ”  สมัยนี้สังคมไทยยอมรับการเข้ารับการทำจิตบำบัด (psychotherapy) มากขึ้น ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นผู้ป่วยทางจิตเวชเท่านั้นที่จะเข้ารับการรักษา คนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ขอรับคำปรึกษากับจิตแพทย์ได้

จริงๆ ในบางประเทศที่ก้าวหน้าเรื่องจิตบำบัดมากๆ เป็นเรื่องธรรมดามากที่คนในประเทศของเขาจะมีนักบำบัด (therapist) ประจำตัว ตั้งแต่ก่อนจะเป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำไป นอกเหนือจากการไปพบจิตแพทย์แล้ว ก็ยังมีทางเลือกอื่นๆ เช่น การปฏิบัติธรรม, โค้ชชิ่ง, เวิร์คช็อปต่างๆ มากมายให้เลือก หรือเอาเข้าจริงแล้ว การไปดูหมอก็น่าจะจัดเป็นการเข้ารับการบำบัดอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน

ทีนี้ถ้าเราตัดสินใจอยากมีประสบการณ์ทำจิตบำบัดขึ้นมาล่ะ? เราต้องรู้อะไรบ้าง? การเข้าทำจิตบำบัดก็มีความยากลำบากตามแต่ยุคสมัยอยู่ เช่นเดียวกับเวลาที่ต้องค้นหาข้อมูลเพื่อทำรายงานหรือหาข้อมูลบางอย่างในเรื่องที่อยากรู้จริงๆ จังๆ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การหาแหล่งข้อมูล แต่อยู่ที่ความมหาศาลของข้อมูลและการเลือกสิ่งที่เราจะนำไปใช้มากกว่า

จิตบำบัดก็เช่นกัน มีกระบวนการที่หลากหลายและมากมาย ลองเสิร์ชในกูเกิลก็ได้ ถ้าให้นับก็นับได้เป็นร้อยวิธี บางกระบวนการอาจเคยผ่านหูผ่านตาเรามาบ้าง ในจำนวนกระบวนเหล่านั้น หลายคนอาจสงสัยว่าวิธีการพวกนี้จัดเป็นการบำบัดอย่างจริงจังได้ด้วยหรือ? เช่น การเขียน (journey therapy) การแต่งบทกวี (poetry therapy) หรือการดูหนัง (movie therapy) ซึ่งจิตบำบัดทั้งหลายนี้ก็คล้ายกับเรื่องอื่นๆ อย่างความคิดเห็นทางการเมืองหรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่มีข้อวิจารณ์หรือจุดอ่อนด้อยในแต่ละแนวคิดอยู่ การที่เราพยายามจะหาอะไรที่เป็นสัจจะสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียว ก็อาจเป็นการทำอะไรเกินตัวไปหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยก็เป็นได้

สำหรับใครที่อยากลองกระบวนการทางจิตบำบัดดู ผมอยากพูดถึงกระบวนการหนึ่งคือ จิตวิทยาเสี้ยวส่วน (Parts Psychology) คำว่า ‘จิตวิทยาเสี้ยวส่วน’ นี้ ผมพยายามหาคำที่สื่อความหมายของการจัดกลุ่มอย่างกว้างๆ ในจิตวิทยาสายนี้ ซึ่งได้แก่กระบวนการบำบัดอย่าง Voice Dialogue (สนทนากับเสียงภายใน), Internal Family Systems (IFS – จิตบำบัดระบบครอบครัวภายใน) และ Process Oriented Psychology (Process Work – จิตวิทยาเชิงกระบวนการ) เป็นต้น

แนวคิดของจิตวิทยาเสี้ยวส่วนมีสมมุติฐานว่า เราเกิดมาโดยมีหลากหลายบุคลิกภาพ หรือ มีเสี้ยวส่วนมากมายในตัวเรา และภายใต้สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมตัวตนจนเราเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาจนทุกวันนี้ เราได้พัฒนาบุคลิกภาพบางอย่างหรือบางเสี้ยวส่วนในตัวให้แข็งแรงขึ้น จนเราคิดว่ามันคือตัวเราจริงๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

เปรียบเทียบเหมือนกับ เราเกิดมาพร้อมไพ่หนึ่งสำรับ ไพ่แต่ละใบเปรียบเป็นบุคลิกภาพหรือเสี้ยวส่วน (part) ตัวหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาตลอดชีวิตของเรา และ เพื่อให้เราอยู่รอดต่อไปในโลกใบนี้ต่อไปได้ เราจะเลือกเก็บไพ่บางใบไว้และทิ้งไพ่อีกหลายๆ ใบออกไป

ทั้งนี้ อาจมีไพ่บางใบที่รบกวนชีวิตเรา การจะเก็บไพ่ใบนั้นไว้มันก็ท่วมท้นเสียเหลือเกิน เพื่อที่จะอยู่รอดต่อไปได้เราจะเอาไพ่ใบนั้้นใส่กล่องไปล่ามโซ่ ล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา แล้วเอากล่องนี้ไปเก็บในห้องแห่งความลับชั้นใต้ดิน ปิดประตู และเอาปูนโบกทับไปอีกชั้นหนึ่งก็เป็นได้

ไพ่ใบนี้เอง ในทางจิตวิทยาเรียกอีกว่า ‘Inner Child’ หรือ เด็กน้อยอันเปราะบางของเราเอง ซึ่งเสี้ยวส่วนตัวนี้เองที่เกาะเกี่ยวอยู่กับ trauma หรือบาดแผลทางใจ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นกลยุทธ์การเอาตัวรอดและการปรับตัวอันชาญฉลาด แต่ก็มีราคาอันสูงลิ่วที่จะต้องแลกมาด้วยเช่นกัน

ริชาร์ด ชวอร์ตซ์ (Richard Schwartz) ผู้พัฒนา Internal Family Systems (IFS) หรือ จิตบำบัดระบบครอบครัวภายใน ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่ผู้รับการบำบัดของเขามีการคุยกับเสี้ยวส่วนต่างๆ ไว้ดังนี้

“จนกระทั่งต้นทศวรรษ 1980 ผมเริ่มสังเกตเห็นผู้รับการบำบัดที่มีความผิดปกติในการกิน (eating disorders) หลายๆ คนเล่าว่า เขามีการสนทนาภายในระหว่างเสี้ยวส่วน (parts) ต่างๆ ในตัวพวกเขา ผู้รับการบำบัดคนหนึ่งชื่อไดแอน เธอถามผมว่า ‘ทำไมเสียงภายในของเธอที่มองโลกในแง่ร้าย (pessimist) ถึงพร่ำบอกเธอว่า เธอเป็นพวกสิ้นหวังอยู่ตลอดเวลา’ เสียงนั้นยังพร่ำบอกเธอว่า เพราะเธอเป็นพวกหมดหวัง ดังนั้นเธอจะไม่ยอมเสี่ยงใดๆ เพื่อจะได้ไม่ปวดร้าว

“จริงๆ แล้วมัน (เสี้ยวส่วนต่างๆ) ต้องการที่จะปกป้องเธอ แต่ถ้าตัวตนที่มองโลกในแง่ร้ายนี้มีเจตนาที่ดีต่อเธอล่ะ ไดแอนก็น่าจะเจรจาต่อรองให้มัน (เสี้ยวส่วนที่มองโลกในแง่ร้าย) ทำหน้าที่อื่นแทนได้สิ แต่ไดแอนกลับไม่สนใจจะเจรจาต่อรองกับมัน เธอกลับโกรธเคืองเสียงนี้และพยายามบอกให้มันปล่อยเธอไว้คนเดียว เมื่อผมถามเธอว่าทำไมถึงต้องโหดกับตัวเองและมองโลกในแง่ร้ายซะขนาดนั้น เธอจึงอธิบายว่า เสียงนี้แหละที่ก่อปัญหาใหญ่ๆ ตลอดชีวิตของเธอ

“เรื่องนี้ทำให้ผมได้ค้นพบว่า ตอนนี้ผมไม่ได้คุยอยู่กับไดแอนแล้ว แต่คุยกับเสี้ยวส่วน (parts) อื่นของเธอที่กำลังต่อสู้กับการมองโลกในแง่ร้ายอยู่ ในช่วงแรกของการสนทนา ไดแอนบอกผมว่า เหมือนว่ากำลังมีสงครามอยู่ภายในตัวเธอ สงครามระหว่างเสียงหนึ่งที่ต้องการผลักดันให้เธอประสบความสำเร็จ กับอีกเสียงหนึ่ง เป็นตัวมองโลกในแง่ร้าย ผู้ซึ่งบอกเธอว่ามันไม่มีหวังหรอก เป็นไปได้ไหมว่า เสี้ยวส่วนที่ชอบผลักดัน (pushing part – ในที่นี้คือเสียงที่ผลักให้เธอประสบความสำเร็จ) กระโดดเข้ามาตอนที่เธอกำลังพูดคุยกับตัวมองโลกในแง่ร้ายอยู่?

“ผมบอกให้ไดแอนสนใจไปที่เสี้ยวส่วนที่ชอบผลักดันของเธอ ที่มันโกรธเคืองต่อตัวมองโลกในแง่ร้ายอยู่ และขอให้มันช่วยหยุดรบกวนตอนที่เธอกำลังเจรจาต่อรองกับตัวตนที่มองโลกในแง่ร้ายนี้อยู่ และผมก็ต้องแปลกใจเพราะเสี้ยวส่วนที่ชอบผลักดันนั้นมันตกลงที่จะ ‘ถอนตัวออกจากสถานการณ์เพื่อพิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง’ (step back) เมื่อไดแอนสามารถเคลื่อนตัวเองออกมาจากความโกรธได้แล้ว วินาทีนั้น เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้น

“เมื่อผมถามไดแอนว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไรบ้างต่อตัว ‘มองโลกในแง่ร้าย’ คำตอบที่ได้เหมือนมาจากคนละคนกันเลย เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบและห่วงใยว่า ‘รู้สึกขอบคุณที่มันพยายามปกป้องเธอ และรู้สึกเสียใจที่มันต้องทำหน้าที่นี้อย่างหนัก’ หน้าตาและท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เห็นได้จากน้ำเสียงของเธอที่มีความอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ จุดนี้เอง การเจรจาต่อรองกับตัวตนภายในที่มองโลกในแง่ร้าย ก็ง่ายขึ้นแล้ว

“ผมใช้กระบวนการ step back นี้กับผู้รับการบำบัดคนอื่นๆ บางครั้งเราต้องขอให้เสียงภายใน (voices) สองถึงสามเสียงไม่ให้มารบกวนเพื่อช่วยให้ผู้รับการบำบัดเคลื่อนย้ายมาสู่สภาวะเดียวกับไดแอน เมื่อผู้รับการบำบัดอยู่ในสภาวะที่สงบ เห็นอกเห็นใจ ผมจะถามว่าเสียงภายใน (voices) หรือเสี้ยวส่วน (parts) ใดอยู่ที่นี่ตรงนี้ คำตอบที่มักได้รับ เช่น ‘เสี้ยวส่วนนี้ไม่เหมือนกับเสียงภายในอื่นๆ’ ‘นั่นคือสิ่งที่ตัวฉันเป็นจริงๆ’ ‘นั่นคือ self ของฉันเอง’ ”

trauma: มรดกที่มีชีวิตจากอดีต

จากลักษณะของ trauma ที่เกาะเกี่ยวอยู่กับเสี้ยวส่วน (parts) ที่ถูกเก็บเอาไว้ในห้องแห่งความลับส่วนตัวของเราเองนี้ ทำให้ผู้รับการบำบัดบอกเล่าเรื่องราวได้เพียงน้อยนิด และมีความยากลำบากในการเชื่อมโยงตัวเองกับเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าผู้รับการบำบัดจะมีปัญหาด้านความวิตกกังวล ซึมเศร้า ความนับถือตัวเองต่ำ การจัดการความโกรธ การกลัวถูกทอดทิ้ง หรือการอยากฆ่าตัวตายก็ตาม ผู้มีปัญหา trauma เหล่านี้ต่างระบุที่มาที่ไปไม่ได้ การตอบสนอง trauma ของพวกเขาก็ไม่อาจระบุความหมายในความทรงจำได้เลย

ประวัติศาสตร์การรักษา trauma เริ่มตั้งแต่ยุคของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (จิตแพทย์ผู้ให้กำเนิดจิตวิเคราะห์ แนวคิด และมุมมองใหม่ในการศึกษาธรรมชาติมนุษย์) จะใช้วิธีการพูดคุย (talk therapy) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะระบุว่าอารมณ์รุนแรงนี้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุของ trauma ได้อย่างไร แต่แทนที่วิธีการเหล่านี้จะแก้ปัญหา trauma ในอดีตได้ ผู้รับการบำบัดกลับยิ่งจมไปกับความทรงจำแฝงเร้น (implicit memory) หรือซ้ำเติมอาการเข้าไปเสียมากกว่า

การกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิด trauma นี้ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อาจเป็นการไปซ้ำเติมเสี้ยวส่วน (trauma) ที่ซ่อนเร้นในห้องแห่งความลับ ที่กำลังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือโดยไม่ได้รับการเหลียวแลขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ ซึ่งในเรื่องนี้ จานินา ฟิชเชอร์ (Janina Fisher) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้าน trauma ให้ความเห็นว่า

“การเยียวยา trauma ต้องระบุถึงผลกระทบ (effect) จาก trauma ไม่ใช่เหตุการณ์ (event) ความสามารถในการอดทนต่อประสบการณ์เลวร้ายในอดีต ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญเท่ากับความรู้สึกปลอดภัยในปัจจุบัน การเยียวยาความเจ็บปวดในอดีตจะไม่สำเร็จอย่างแท้จริงถ้าไม่ต้อนรับเด็กน้อยที่จากไป (the lost child) หรือเสี้ยวส่วนที่ถูกโยนทิ้งไป (disowned parts) ต้อนรับเขากลับบ้านที่จากไปอย่างยาวนาน รวมทั้งการสร้างพื้นที่ปลอดภัย และทำให้พวกเขารู้สึกเป็นที่ต้องการและมีคุณค่า”

ทฤษฎีเสี้ยวส่วน (Theories of Parts) อธิบายว่า เมื่อเกิด trauma ขึ้นแล้ว มันเกินกำลังของสมองที่จะทนทาน (tolerate) หรือประมวลผล (process) ได้ทั้งหมด (whole) จึงจำเป็นต้องแบ่งแยกความทรงจำของ trauma อันท่วมท้นนั้นออกเป็นเสี้ยวส่วน (parts) ที่แยกขาดออกจากกัน ซึ่งแต่ละเสี้ยวส่วน (part) นั้นจะบันทึกความทรงจำไว้เพียงบางส่วนเท่านั้น ในการเยียวยาเสี้ยวส่วน (parts) เหล่านี้จะถูกกระตุ้นให้เผยความทรงจำออกมา เพื่อเจ้าตัวจะได้แบ่งปันความเจ็บปวด และยอมรับอดีตของเสี้ยวส่วน (parts) นั้นๆ ของตัวเอง จากนั้นเสี้ยวส่วน (parts) ต่างๆ ก็จะเริ่มหลอมรวมเข้าสู่ความเป็นองค์รวมที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสมมุติฐานของทฤษฎีจิตวิทยาเสี้ยวส่วนนี้จะดูสมเหตุสมผลดี แต่ก็ยังคงขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้การยอมรับในแวดวงจิตวิทยากระแสหลักอยู่ดี การปฏิวัติในวงการประสาทวิทยา (neuroscience) ก็พอจะให้คำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์กับแนวคิดเรื่องเสี้ยวส่วนนี้ได้ดังนี้…

ตั้งแต่แรกเกิด สมองสองซีกจะพัฒนาไม่พร้อมกัน สมองซีกขวาจะพัฒนาเด่นกว่าสมองซีกซ้ายในช่วงวัยเด็ก ส่วนสมองซีกซ้ายจะเริ่มพัฒนาตอนที่เด็กเริ่มพูดได้ แต่กว่าซีกซ้ายจะพัฒนาอย่างโดดเด่นขึ้นมา ก็ต้องรอจนอายุ 18 ปี สำหรับสมองส่วน Corpus callosum ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำให้สมองซีกซ้ายและขวาสื่อสารกันนั้น จะพัฒนาได้เต็มที่ก็ต้องรอจนอายุ 12 ปี ดังนั้นในช่วงวัยเด็ก ประสบการณ์ของสมองซีกขวาก็จะแยกออกจากประสบการณ์ของสมองซีกซ้ายอย่างสิ้นเชิง

การศึกษาของ มาร์ติน ไทเชอร์ (Martin Teicher) ซึ่งสนับสนุนสมมุติฐานที่ว่า trauma ที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมองสองซีกที่แยกขาดออกจากกันและการสื่อสารระหว่างกันของสมองทั้งสองซีก ลักษณะของสมองซีกขวาจะมีการจดจำเป็นเหตุการณ์แบบคร่าวๆ (episodically) และแฝงเร้น (implicity) ขณะที่สมองซีกซ้ายจะมีลักษณะจดจำเฉพาะใจความสำคัญของสถานการณ์และจะละทิ้งรายละเอียดปลีกย่อยออกไป การทำงานของสมองซีกซ้ายลักษณะนี้จะมีผลต่อความแม่นยำ (accuracy) ของข้อมูล แต่ก็ง่ายในการประมวลผลข้อมูลใหม่ๆ ต่อไป ขณะที่สมองซีกขวาจะไม่ได้ทำเช่นนั้น ดังนั้นสมองซีกขวาจึงน่าเชื่อถือกว่า และอธิบายข้อมูลดั้งเดิมได้ตรงกว่า

การศึกษายังพบว่า สมองทั้งสองซีกจะสามารถรับอารมณ์ (emotion) ได้ทั้งคู่ แต่มีเฉพาะสมองซีกซ้ายเท่านั้นที่อธิบายเป็นคำพูดได้ ส่วนการรับอารมณ์ของสมองซีกขวานั้นไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นั่นคือ ถ้า trauma ที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก trauma จะฝังรหัสเข้าไปอยู่ในตัวเรา โดยเราไม่อาจอธิบายออกมาเป็นเหตุการณ์ที่ลำดับชัดเจนได้ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันจริงอยู่ในความรู้สึกของเรา

ก้าวข้าม และหลอมรวม

การที่ผู้บำบัดกระตุ้นให้ผู้รับการบำบัดตระหนักว่าอาการจาก trauma เหล่านี้เป็นการเรียกร้องความสนใจจากเสี้ยวส่วน (parts) ของเขา มันจะไปกระตุ้นให้เขาสนใจใคร่รู้แทนการมีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อ trauma ซึ่งช่วยให้เขาได้พัฒนาวิธีใหม่ในการรับมือ จากนั้นจึงเข้าไปสำรวจเรื่องราวในอดีตเพื่อทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic nervous system) ทำงานได้ตามปกติแทนที่จะผิดปกติ เขาจะพบกับประสบการณ์ที่เรียกว่า ‘การอยู่กับปัจจุบันขณะ’ เพราะในช่วงเวลาที่ร่างกายรู้สึกสงบ เราจะคิดได้อย่างแจ่มชัดขึ้นพร้อมๆ กับความรู้สึกที่ปลอดภัย

ทัศนะใหม่มองว่า ความทรงจำเป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือ สมองจะเปลี่ยนแปลงและปรับตัวใหม่ไปพร้อมกับการเขียนประสบการณ์ใหม่จากประสบการณ์เก่าตลอดเวลา เป็นการผสมผสานสิ่งที่มีอยู่เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและที่เกิดตามมา

แทนที่จะให้ความสำคัญกับความทรงจำต่อเหตุการณ์ ผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันแนะนำให้มีการบ่มเพาะประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน (transformation) หรือซ่อมแซมเสี้ยวส่วน (parts) ที่เกี่ยวพันกับ trauma เดิม

นั่นคือ แทนที่จะให้มีการเล่าเรื่องที่ทำให้เกิด trauma ผู้รับการบำบัดควรได้รับการแนะนำให้เขียนเรื่องราวในชีวิตที่พ่ายแพ้นั้นขึ้นมาใหม่ มันจะเป็นการเยียวยาจากการสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ที่มีความหมายต่อชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป

การที่เราจะเข้าไปเก็บไพ่ใบเก่าๆ กลับเข้ามาในสำรับ ไม่ได้หมายความว่าเสี้ยวส่วนหลัก (part) ที่เราใช้ดำเนินชีวิตมาได้จนทุกวันนี้มันไม่ดีหรือก่อปัญหาให้ชีวิตเราเสียทีเดียว เจ้าเสี้ยวส่วนหลัก (part) ที่ก่อประกอบให้เราเป็นผู้เป็นคนจนกลายมาเป็นบุคลิกภาพหลักของเรามาจนทุกวันนี้ก็ทำงานได้ดีมาก การบำบัดในแนวทางนี้ ผู้บำบัดจำเป็นที่ต้องเคารพและให้เกียรติในตัวตนหลัก (เสี้ยวส่วนหลัก – part) นี้ ก่อนที่จะเข้าไปเปิดประตูห้องแห่งความลับต่อไป เพราะหน้าที่ของเจ้าตัวตนหลัก (part) นี้เองที่เปรียบเสมือนทหารองครักษ์ที่ปกป้องเสี้ยวส่วนที่เกาะเกี่ยวกับ trauma หรือไพ่แห่งอดีตที่ถูกเก็บไว้ในห้องแห่งความลับนั่นเอง

ทีนี้ ถ้าเราเปิดห้องแห่งความลับได้แล้วอย่างไรต่อ?

คำแนะนำที่ให้คือ การเป็นมิตร (befriend) หรือโอบกอด (embrace) มันไว้ เหมือนกับการต้อนรับลูกที่จากบ้านไปนานให้กลับมาอยู่ในสายตาของความตระหนักรู้ว่า ปฏิกิริยาต่างๆ ของเรามันถูกขับเคลื่อนมาจากเสี้ยวส่วนใด (part) สิ่งที่สำคัญคือ ทุกๆ เสี้ยวส่วน (parts) นั้นไม่ได้ดีหรือเลว แต่มันมีบทบาท (role) ของมันเอง การกำหนดว่าสิ่งไหนดีหรือเลว บางทีมาจากกรอบสังคมที่คลุมอยู่เป็นตัวกำหนด

ในสังคมหนึ่งการกระทำนี้ผิด แต่ในอีกสังคมอาจเป็นเรื่องปกติก็ได้ หรือในยุคสมัยหนึ่งสิ่งนี้ผิดแต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปสิ่งนั้นอาจจะถูกต้องขึ้นมาก็ได้ อย่าเพิ่งไปให้ค่าหรือตีตรามัน แต่ให้ห้อยแขวนมันไว้ก่อน มองมันด้วยความสนใจใคร่รู้ไม่ใช่มีปฏิกิริยาตอบโต้

ชีวิตเปรียบเสมือนโรงละครขนาดใหญ่ ที่เสี้ยวส่วนต่างๆ (parts) คือตัวละครหลักบ้าง ตัวประกอบบ้าง คละเคล้ากันไป แต่ละตัวละครไม่ว่าพระเอกนางเอกหรือตัวร้าย มันก็เป็นองค์ประกอบที่ขาดเสียไม่ได้ของบทละครเรื่องนี้

กร ภักดีมโนจิตต์ พนักงานบริษัท คุณพ่อลูกหนึ่ง ที่อยู่มาวันหนึ่งก็มาสนใจความลึกลับของโลกภายใน เลยคิดว่าน่าจะหาคำตอบจาก ปรัชญา ศาสนา ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันยังคงลองผิดลองถูกกับชีวิตอยู่
หมายเหตุ:

จิตบำบัดประเภทต่างๆ สามารถดูได้ใน https://www.goodtherapy.org/

Healing the Fragmented Selves of Trauma Survivors: Overcoming Internal Self-Alienation by Janina Fisher. Routledge, 2017

socialwork.career

selfleadership.org

thepotential.org

janinafisher.com

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์จิตวิทยาเสี้ยวส่วน

Author:

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family PsychologyHealing the trauma
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    QUIZ: เคยเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นแม่แบบนั้น

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร
Unique Teacher
26 June 2019

พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • “ทำไมทุกคนยอยศพระรามแต่ไม่สนใจว่านางสีดาคิดอย่างไร หรือพูดอย่างไร”
  • เป็นที่มาของงานวิจัย ‘สีดา ศรีราม’ ที่รื้อสร้างและตั้งคำถามใหม่ของ ศ.พรรัตน์ ดำรุง ก่อนจะได้คำตอบว่าเพราะอะไร แล้วทำไมสังคมไทยจึงยังมีนางสีดาอยู่เต็มไปหมด
  • เป็นคำถามสำคัญของผู้ที่ครูละครต่างเรียกว่าครู ครูที่เชื่อในการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ และศิลปะต้องเคลื่อนด้วยการ ‘ตีเพื่อก่อ’
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

ในความรับรู้ของคนทั่วไป คำว่า act แปลว่าแสดง

แต่ act ของ ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง หรือ แปลว่า do หรือ ลงมือทำ

ในแวดวงศิลปะการแสดงชื่อของ ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง หรือ ‘ครูอุ๋ย’ ไม่ต้องแนะนำให้มากความ แต่สำหรับคนนอกวงการ เราจำเป็นต้องแนะนำว่าครูอุ๋ยเป็นใคร ที่สำคัญกว่านั้น ครูอุ๋ย มีความน่าสนใจอย่างไรและทำไมเราจึงอยากแนะนำให้รู้จัก

มีอย่างน้อยก็ 3 บทบาทด้วยกัน ที่รวมอยู่ในตัวสุภาพสตรีวัย 64 ท่านนี้ คือ 1.ครู 2.ผู้รื้อสร้างและตีความรามเกียรติ์ใหม่ และ 3.นักเต้น K-POP

ครูของครูละคร

ในเว็บไซต์ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ทำงานสุดท้ายก่อนเกษียณเมื่อ 4 ปีที่แล้ว (แต่คณะอนุมัติให้จ้างต่อ) แนะนำไว้ว่า ในฐานะอาจารย์ภาควิชาศิลปการละครตั้งแต่ปี 2525 ครูอุ๋ยคือผู้บุกเบิก ‘วิจัยการแสดง’ ที่เน้น ‘ลงมือปฏิบัติ’

นั่งไทม์แมชชีนกลับไปสมัยเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ รั้วจามจุรี ความตั้งใจเดิมทีเมื่อเอนทรานซ์เข้าไปคือ ครูสอนภาษาอังกฤษ แต่พอได้มาเรียนการละครกับ ‘ครูแอ๋ว’ รศ.อรชุมา ยุทธวงศ์ ธงของครูอุ๋ยก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้น

“พอมาเรียนกับครูแอ๋ว ซึ่งพูดเรื่อง creativity ได้ทำละคร ได้แปลบทละครที่เดิมเป็นคอนเซ็ปท์ ให้เป็นวิธีการแสดงและเป็นเรื่องสื่อสาร คุยกับชาวบ้านรู้เรื่อง ได้ทำละครเด็ก ได้ออกไปเล่นกับชุมชน ยิ่งใกล้ชิดกับความเป็นครูมาก”

พอเรียนจบปริญญาตรี ครูอุ๋ยก็ไปเรียนต่อด้านการศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นสเตท (Northwestern State University) สหรัฐอเมริกาทันที และกลับมาเป็นอาจารย์น้องใหม่ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

“จำได้ กลับมาใหม่ๆ ที่จุฬาฯ พาอาจารย์ใหม่ไปอบรมที่ต่างจังหวัด นั่งรถบัสไป เพื่อนๆ อาจารย์คนอื่นบ่นเหนื่อยร้อนกันทั้งคัน พอไปถึงที่ เห็นแม่น้ำ สวยเชียว ดิฉันวิ่งลงไปแช่น้ำคนเดียวเลยค่ะ ทุกคนยืนอยู่ข้างบน คงคิดว่าอีนี้บ้าหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) เราก็อ้าว ไหนบอกร้อนกันไง ทำไมไม่ลง ให้ฉันลงไปแช่อยู่คนเดียว เปียกคนเดียว สบายใจ”

ครูอุ๋ยวัย 24 เริ่มต้นที่คณะด้วยการสอนวิชาใหม่ ‘การละครในการศึกษา’ และเป็นผู้ริเริ่มโครงการ ‘อักษรละครเร่’ พาเด็กๆ ในคณะเดินทางไปทำโปรเจคท์ละครเร่ชนบททุกปี

โจทย์สำคัญของครูอุ๋ยคือ หาวิธีคุยกับชาวบ้านให้รู้เรื่อง โดยเริ่มปรับตั้งแต่ตัวเด็กๆ ก่อน

“เด็กครูคุณหนูเยอะมาก พาขึ้นรถไฟ พอถึงสถานีปลายทาง เด็กถาม ครูคะไม่มีคนช่วยขนของเหรอ เราก็ตอบว่าหนูมีกันตั้ง 15 คน ขนเองเลย เด็กต้องทำเองทุกอย่าง ซักผ้า ทำกับข้าว ดูแลเด็กๆ ในหมู่บ้าน และต้องสื่อสาร” ทั้งหมดนี้ครูอุ๋ยบอกว่าเป็นการฝึกให้เป็นมนุษย์ที่มีปฏิสัมพันธ์ผ่านกิจกรรม ฝึกฝนด้วยการลงมือทำ ได้ทั้งเป็นผู้นำ ผู้ตาม แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำงานร่วมกับผู้อื่น”

แล้วพอไปถึงหน้างาน (หมู่บ้าน) กับบทละครที่เตรียมไว้ โดยสอดแทรกความรู้เรื่องขนมหวานทำให้ฟันผุเข้าไป แต่พอเจอเด็กจริงๆ กลับพบว่าเด็กๆ ฟันดี แข็งแรงกันหมด ไม่กินขนมเพราะหมู่บ้านไม่มีขาย

“มันก็ต้องกลับมานั่งคิดว่าเราเองที่ผิดแปลกหรือเปล่า โจทย์ต่อๆ มาจึงเป็นการปรับบทให้คุยกันรู้เรื่องกับชาวบ้าน ผสมเรื่องไทยๆ นิทานพื้นบ้านเข้าไปกับเรื่องฝรั่ง”

ธงของครูอุ๋ยคือ เข้าไปในใจของคนดู เช่น ถ้าไปแสดงละครในภาคอีสาน ก็ควรเลือก ‘ผงชูรส’ ที่ไม่ซ้ำกับภาคอื่น

ผงชูรสที่ชื่อว่าความแห้งแล้ง เล่าเรื่องคนธรรมดาสู้กับผู้มีอำนาจเพื่อแย่งน้ำ ผ่านเรื่องของพญาคันคากและพญาแถน

เท่านั้นยังไม่พอ ครูอุ๋ยยังชวนนักศึกษาท้องถิ่นมาเป็นนักดนตรีพื้นบ้านของคณะละคร สิ่งที่เกิดขึ้นคือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เรียนรู้ความต่าง รับความเหมือน เพื่ออยู่ร่วมกัน โดยมีดนตรีเป็นตัวเชื่อมสำคัญ-สำคัญยิ่งกว่าภาษา

สุดท้าย รางวัลของละครเรื่องนี้คือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนดู กับความสุขของคนทำงาน

ทั้งหมดนี้ เพราะครูอุ๋ยเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการลงมือทำ และเป็นการลงมือทำโดยร่างกาย

“คนเราเกิดมาต้องเรียนรู้ด้วยร่างกายก่อนแล้วจึงรู้ด้วยสมอง เหมือนคำฝรั่งว่า เราคิดเราถึงมีตัวตน แตกต่างมากๆ จากความคิดก่อนศตวรรษที่ 20 ที่เน้นความรู้ฝั่งวิทยาศาสตร์ เน้นให้คิดๆๆ คนไหนคิดไม่เป็น ก็จะไม่ได้เป็น white collar ส่วนพวกที่เป็นสายช่าง ช่างวาด แกะสลัก โบกปูน ช่างซ่อม เขานับว่าโง่หมด เพราะเป็นชนชั้นกรรมาชน”

สิ่งที่เกิดขึ้นจากแนวความคิดเก่าคือ การไม่รู้ว่าร่างกายสำคัญ จนหลังศตวรรษที่ 20 ความคิดของการให้ความสำคัญกับมนุษย์ก็เริ่มเข้ามา จึงมีความพยายามเชื่อมต่อร่างกายกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การเต้น การรำ งานคราฟต์ งานช่าง โดยเฉพาะงานท้องถิ่นทำมือต่างๆ

“เราลงมือทำ เราปฏิบัติ เราถึงมีมันสมอง” ครูอุ๋ยเชื่อเช่นนี้มาตลอด

ใครที่มาเป็นลูกศิษย์ครูอุ๋ยจึงต้องฝึกฝนโดยใช้ตัวเข้าแลก

“เรียนการละคร ยูจะต้องออกไปชนบท มันเป็นการฝึกฝนจากที่อธิบายไม่ได้ การเป็น director ฝึกฝนจากการเขียนไม่ได้ ยูต้องเป็น director เอง ถ้ายูอยากเชิดหุ่น ยูต้องมีหุ่นและยูก็ลองขยับไม้เอง ยูไม่สามารถมองเห็น คิด แล้วทำได้…ไม่ได้ การเชิดหุ่นได้ดี มันอยู่ที่ความชำนาญ และการเรียนการละคร ดีไซน์ วาดรูป ทุกอย่าง ใจ มือ สมอง ต้องไปด้วยกัน เราต้องสามารถตัดสินได้ด้วยภูมิรู้ และภูมิรู้ต้องเกิดจากการปฏิบัติ”

ดังนั้นการเป็น actor ของครูอุ๋ย จึงต้องเป็น doer ไม่ได้แปลว่าเล่นหรือแสดง แต่ act แปลว่า do – ลงมือทำ ปฏิบัติ

ยิ่งทำละครเร่ ละครชุมชนที่ต้องลงไปคลุกคลีกับท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ครูอุ๋ยได้ลงลึกศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทย ภายใต้หลักการที่ว่า “ศิลปะต้องเคลื่อน”

“เราได้ใช้ creativity เล่าเรื่องพื้นบ้านอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เราถือว่าเป็นงานทดลอง ครูถือว่าเป็นการตีวัฒนธรรม โดยตีจากรอบนอก สำหรับครูที่รู้ ‘ทางไทย’ น้อยมาก การตีเป็นวิธีหนึ่งในการศึกษา”

ครูอุ๋ย อดีตเด็กสาวที่ไปเดินขบวนเมื่อคราว 14 ตุลาคม 2516 เปรียบเทียบวิธี ‘ตีเพื่อก่อ’ กับคนต่างรุ่นที่จำเป็นต้องคิดต่างและย้อนแย้งกัน

“สำหรับเด็กที่ครูสอน เด็กต้องย้อนแย้งครู ถ้าเด็กของครูในวันนี้ไม่ชอบอนาคตใหม่ ครูเสียใจนะ คนเราต้อง anti โลก ฮอร์โมนยูพุ่งขนาดนั้น ยูต้อง against อะไรบางอย่าง ซึ่งครูไม่ได้ชอบพรรคนี้นะ แต่ครูผ่านการเดินขบวนและวิ่งหนีมา สุดท้ายครูไม่ได้เข้าป่า กลับมารับราชการ ยังอยู่ในระบบ ประนีประนอม ต่อรองกับสังคมในแบบของครูได้”

และหนึ่งในวิธีต่อรองอย่างประนีประนอมของครูอุ๋ยคือรื้อแล้วเสนอความคิดใหม่ต่อมหากาพย์ ‘รามเกียรติ์’ ผ่านงานวิจัยชิ้นสำคัญ ‘สีดา ศรีราม’

สีดา ศรีราม: อยากรู้ว่านางสีดาคิดอย่างไร

“ทำไมเราต้องรู้เรื่องรามเกียรติ์ด้วย” คำถามนี้ติดอยู่ในใจของครูอุ๋ยเรื่อยมา

แตกแยกย่อยออกมาเป็นคำถามลูกต่างๆ เช่น มหากาพย์เรื่องนี้สำคัญต่อชีวิต ต่อชาติอย่างไร เพราะอะไร โขนจึงเป็นการแสดงต่อหน้าพระที่นั่ง มันเกี่ยวเนื่องกับอำนาจของชนชั้นผู้ปกครองอย่างไร

แล้วทำไมกรุงเทพฯ จึงมีถนนชื่อพระรามต่างๆ

“ไม่มีใครหรืองานวิจัยชิ้นไหนตอบปัญหาเราได้ เราเลยต้องหาคำตอบเอง”

ครูอุ๋ยศึกษาทั้งจากโขนกลางแปลงและอ่านรามเกียรติ์ที่ไปปรากฏในวรรณกรรมประเทศต่างๆ

แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วรู้สึกว่าทำไมไม่มีใครรู้เลยว่านางสีดาคิดอย่างไร หรือทำอะไรบ้าง และครูอุ๋ยเองอยากรู้

“เฮ้ย มันไม่แฟร์ นางสีดาทำอะไรบ้าง ทำไปทำมา ไม่มีใครรู้เลย ฉันอยากรู้จังว่านางสีดาคิดอย่างไร อยากรู้ว่าถ้าสีดาคิดแบบนี้ สีดาจะพูดว่าอะไร แค่นั้นจริงๆ”

งานวิจัยชิ้นนี้ของครู ตัวหลักจึงเปลี่ยนมาเป็นนางสีดา ชนวนของสงครามที่กลับเงียบที่สุด และเป็นเช่นนี้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นรามเกียรติ์ของไทย/รามายณะของอินเดีย หรือชื่ออื่นๆ ที่เรียกต่างกันตามแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ครูศึกษารวม 15 ประเทศ

“เรื่องเล่าของนางเหมือนเดิมคือ เป็นต่อนๆ และทุกคนจะไม่สบายใจอยู่เรื่องเดียวคือ สุดท้ายแล้วนางสีดาเสียความบริสุทธิ์ให้ทศกัณฐ์หรือเปล่า ซึ่งความเป็นจริงผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวไปอาจโดนข่มขืนก็ได้ และอาจเกิดได้หลายๆ เรื่อง แต่เรื่องนี้กลับถูกป้องกันเกียรติยศเอาไว้ เหมือนเป็นคำถามที่ตอนจบก็ยังตอบไม่ได้ ไม่กล้าตอบ”

หลังจากลงลึกไปเรื่อยๆ ครูอุ๋ยค้นพบว่า หลังจากรบชนะและพานางสีดากลับมาได้แล้ว พระรามกลัวว่าลูกในท้องจะออกมาเป็นยักษ์ เพราะหลังคืน (กลับ) เมือง จู่ๆ นางสีดาก็ท้อง

“ดีเอ็นเอก็ตรวจไม่ได้ ออกมาเป็นยักษ์คือจบนะ พระรามเองก็ไม่ได้รักนางสีดา แต่นางสีดาเป็นเหมือนศักดิ์ศรีที่ต้องเอาคืน”

รามายณะของอินเดีย สุดท้าย สีดาต้องลุยไฟ และสุดท้ายแล้ว นางเลือกที่จะอยู่กับพระแม่ธรณี ไม่ขอขึ้นสวรรค์กับพระราม

“ซึ่งครูเห็นด้วย นางสีดาเข้มแข็งมาก มีแต่เมืองไทยนี่แหละที่จบกันแบบแฮปปี้เอนดิ้ง”

นั่นเพราะครูอุ๋ยอ่านและศึกษารามเกียรติ์ด้วยวิธี รื้อสร้าง (Deconstruction and Revision) และค่อยๆ ค้นพบว่าสังคมยังมีนางสีดาอยู่เต็มไปหมด

“ในสื่อ ในชีวิตประจำวัน นางสีดายังมีชีวิตอยู่ ผู้หญิงยังถูกหลอกให้แต่งงาน ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ เราต้องการเล่าเรื่องสีดาที่น้ำท่วมปาก เรายังอยู่ในสังคมรามเกียรติ์ เรามีเด็กที่อยู่ใต้สะพาน เรามีเด็กขอทาน เร่ร่อน เด็กถูกกระทำทารุณต่างๆ ไม่ต่างอะไรกับนางสีดาที่ถูกฝังดินในผอบ ก่อนที่พระชนกจะไปเจอ”

เรื่องของสีดาในรามเกียรติ์ ถูกเล่าผ่านสถานการณ์ การเป็นผู้ถูกกระทำเสมอๆ ทั้งการ (ถูก) เลือกคู่ ถูกเอาไปปล่อยป่า ลุยไฟ

“เอาการถูกกระทำเหล่านี้มาเปรียบเทียบว่าภายใน 1 ปี เรามีเรื่องราวแบบนี้ผ่านสื่อมากแค่ไหน” นี่คือการเล่าแบบรื้อสร้างของครูอุ๋ย

“ทั้งหมด ครูต้องการจะบอกว่าผู้หญิงเลือกได้ ไม่ได้โง่ และไม่ได้เป็นเหยื่ออย่างเดียว ที่สำคัญผู้หญิงจะถูกข่มขืนไม่ได้ แม้กระทั่งจากสามีตัวเอง”

ความเคารพซึ่งกันในฐานะมนุษย์ โดยเฉพาะระหว่างสามีภรรยา คือประเด็นที่ครูอุ๋ยต้องการสื่อสารผ่านงานวิจัยชิ้นนี้ เพราะวรรณกรรมรามเกียรติ์ เป็นเรื่องเล่าที่ใช้ในการควบคุม สร้างชาติ ชาติแบบชายเป็นผู้นำ

“เรียกว่า grand narrative เรื่องเล่าเพื่อดำรงความเป็นชาติ ทุกชาติมี มนุษย์เราจะมีชาติได้ จะต้องมีองค์ประกอบจนทำให้เกิดการปกครองได้ เช่น ต้องมีแบบแผน การเรียนรู้วรรณกรรม พิธีกรรม ความเป็นชาติถึงจะซับซ้อน แต่การที่เรามาเลือกตัวละครซึ่งไม่ได้มีความสำคัญเลย ทุกคนยอยศแต่พระราม แต่นางสีดาที่อยู่มาตลอด กลับเป็นนางที่แปะอยู่ตรงซี่โครง เป็นต้นเหตุของการทำสงครามใหญ่โต แต่ไม่มีใครพูดถึง ไม่มีใครรู้เลยว่าตลอดเวลา 14 ปีที่นางถูกลักพาไปอยู่กรุงลงกา เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ศิลปะรื้อสร้างได้

แต่ไม่ใช่ว่าวรรณกรรมทุกเรื่องต้องถูกรื้อสร้าง ถ้าเรื่องไหนสามารถผูกใจไว้ได้ด้วยความดั้งเดิม ก็ควรจะยึดให้เป็นไปตามนั้น และทุกๆ การตีความใหม่ของครู ครูจะต้องศึกษาจนแน่ใจแล้วว่า ‘คุณค่า’ ของเรื่องนั้นคืออะไร แล้วจึงค่อยเอาหัวใจตรงนี้มาแตกลูก ตีความ สร้างตัวละคร

ทำไมต้องตีความใหม่?

“เราทำงานกับเด็กสมัยนี้ เขามีความคิดของเขาเอง ตีความคนละแบบกับเรา ก่อนทำละครเราจะวางพล็อตด้วยกันเป็นฉันทามติ แล้วก็ทำงาน เพื่อเขาจะได้ฟังคนอื่น มองเห็น เจรจา ต่อรอง เลือก ขับเคลื่อนโปรเจ็คท์ สื่อสารความคิดบางอย่างให้เดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน สำหรับครู ‘ศิลปะ’ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ และเป็นการเรียนรู้ที่สนุก”

นักเต้น K-POP วัย 64

วันนี้ในวัย 64 ไม่ได้คิดว่าศิลปะจะต้องรับใช้สังคม และครูเองก็ไม่ได้รับใช้ใครแล้ว คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้ศิลปะอยู่ในชีวิตทุกๆ วัน

อาจเพราะครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็ก ครูเคยคิดว่าศิลปะเป็นของสูงค่า…ไม่เก่งทำไม่ได้ ครูจึงเก็บๆๆ และกดเอาไว้

“ครูเป็นคนชอบร้องรำทำเพลงแต่ครูไม่เก่งเลย พอครูร้องเพลงหน้าชั้นตอนเด็กๆ แล้วเสียงครูไม่ดี เลยไม่ร้องเพลงเลย ที่จริงแล้ว มีหลายอย่างที่เราเก็บกดความเป็นชาติเรา เช่น การร้องเพลงแบบไทย ที่มีลูกเอื้อนๆ ยากๆ เราคิดว่าคนธรรมดาๆ ร้องไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราไปหาชาวบ้าน เพลงพื้นบ้านมันมหัศจรรย์ ทุกคนในหมู่บ้านร้องได้หมด เต้นก็ได้ เราเองแหละที่ไปมัวมี standard”

เต้นรำก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งครูอุ๋ยเองเคยใช้ standard เก็บและกดมันไว้ทั้งที่ชอบมาก เพิ่งจะรื้อฟื้น skill กลับมาก็ตอนเพื่อนป่วย

“เพื่อนคนหนึ่งในเกิร์ลแก๊งป่วย และเขาใช้เวลาในการกลับมาฟื้นฟูได้ ถามเขาว่าอยากทำอะไร เขาบอกอยากเต้นรำ เราก็พอมีความรู้ modern dance เลยคุยกันว่าเรามารวมกลุ่มเต้นรำกันไหม ไม่สนแล้วสิ่งกับที่สังคมบอกว่าไม่ควรทำ เพราะคิดว่าคนที่จะทำได้สวยคือเด็กๆ”

สำหรับครูอุ๋ย ในความแก่มีความงาม หน้าย่น ย้อย ห้อยต่างๆ มันแสดงถึงชีวิตที่ผ่านมา และการรับรู้โลก

การกลับมาเต้นจึงเริ่มต้นจากงานคืนสู่เหย้า จากนั้นครูอุ๋ยและเพื่อนๆ เกิร์ลแก๊งก็ได้ออกสเต็ปกันเรื่อยมา ขยับไปเป็นระบำหน้าท้อง และล่าสุดก็เคป๊อป เพลง Bang Bang Bang ของ Bigbang ครูอุ๋ยก็เต้นมาแล้ว

“ล่าสุดเพื่อนส่งมา แบล็คพิงค์ บอกว่าลิซ่าเลยเหรอแก แค่สะโพกก็ยกไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ยากอะ จังหวะยาก”

Tags:

ศิลปะความคิดสร้างสรรค์(Creativity)นักวิจัยศิลปะการแสดงพรรัตน์ ดำรุง

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Space
    มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Voice of New Gen
    IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educator
    ปวิตร มหาสารินันทน์: ทำไมโรงเรียนต้องสอนวิชา ‘เสพงานศิลป์’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

อ่าน เล่น ทำงาน: จดจ่อ-แบ่งส่วน-เปลี่ยนจุดสนใจ ในระบบความจำใช้งาน
EF (executive function)
25 June 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: จดจ่อ-แบ่งส่วน-เปลี่ยนจุดสนใจ ในระบบความจำใช้งาน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ทบทวนตอนที่แล้ว (อ่านอย่างมีความสุขเพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน) โมเดลของระบบความจำใช้งานประกอบด้วย 3 ส่วน คือ phonological loop รับผิดชอบความจำด้านเสียง และ visiospatial sketchpad รับผิดชอบความจำใช้งานด้านมิติสัมพันธ์ ทั้งสองส่วนบริหารโดยส่วนบริหารกลางที่เรียกว่า Central Executive

ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ที่เขียนนี้เป็นโมเดลเพื่อใช้อธิบายกลไกของความจำใช้งาน ตอนที่โมเดลนี้ถูกร่างขึ้นในทศวรรษที่ 70 ส่วนบริหารกลางมีคุณสมบัติ 3 ข้อ คือ 1.มีความจุที่จำกัด 2.ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างความจำใช้งานกับความจำระยะยาว และ 3.คือทำหน้าที่ FDA ได้แก่ focus, divide และ switch attention แปลว่าตั้งใจจดจ่อ แบ่งส่วน และสลับสับเปลี่ยนจุดสนใจ

โมเดลนี้ได้รับการปรับปรุงในเวลาต่อมา คือ เราพบว่าส่วนบริหารกลางนี้ไม่มีความจุที่จำกัด และหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับความจำระยะยาวเป็นของส่วนที่เรียกว่า episodic buffer

ทำให้หน้าที่ของส่วนบริหารกลางมีเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวแต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของพัฒนาการนั่นคือ FDA ตั้งใจจดจ่อ แบ่งส่วน และสลับสับเปลี่ยนจุดสนใจ

ระหว่างที่เด็กๆ กำลังทำงานหนึ่งอยู่ จู่ๆ ก็เกิดความคิดใหม่ผุดขึ้น ความสามารถที่เด็กต้องมีคือการตั้งใจจดจ่อและแบ่งส่วนงาน โดยที่ส่วนงานใหม่ประกอบด้วยความคิดใหม่ ยุทธศาสตร์ใหม่ แผนงานใหม่ และสถานการณ์ใหม่ เด็กต้องทำการสลับสับเปลี่ยนจุดสนใจโดยไม่สูญเสียเป้าหมายเดิม เด็กที่ทำไม่ได้จะทำอะไรก็ไม่เสร็จเพราะคอยแต่จะมีความคิดใหม่ผุดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ แล้วพัดเขาออกนอกเส้นทาง

เราจะเห็นพนักงานในที่ทำงานหลายคนมีลักษณะนี้ งานหนึ่งยังไม่เสร็จก็หยุดไปทำงานอื่น

อีกตัวอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวันคือการขับรถ การขับรถไปทำงานทุกเช้าเป็นพฤติกรรมที่ได้ผ่านการเรียนรู้มาอย่างช่ำชอง วันหนึ่งเกิดอุปสรรคขวางทางถนนข้างหน้า สมองส่วนบริหารกลางจะทำงาน FDA เปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยมีเป้าหมายที่จุดเดิม การเปลี่ยนเส้นทางคือสถานการณ์ใหม่ จะทำได้ด้วยการตั้งใจจดจ่อ แบ่งส่วน กดความช่ำชองเดิมให้หยุดชั่วขณะ แล้วตั้งสมาธิไปที่แผนใหม่

โครงสร้างของพฤติกรรมง่ายๆ เช่นนี้มีไม่เท่ากันในคนแต่ละคน บางคนนั่งแช่บนถนนเส้นเดิมแล้วไปทำงานไม่ทันในขณะที่บางคนค้นหาทางใหม่เพื่อจะไปทำงานให้ทันให้จงได้

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า GPS กำลังเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ในเรื่องนี้ เราไม่ต้องคิดเองแค่ขับตามระบบนำทางที่คิดให้เรียบร้อยแล้วก็พอ

ดังที่เขียนเตือนว่านี่คือโมเดล มิได้มีการระบุตำแหน่งในเนื้อสมอง อย่างไรก็ตาม เราพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุที่สมองส่วนหน้าคือ Frontal Lobe Syndrome มักจะมีพฤติกรรมพูดหรือทำอะไรซ้ำๆ เรียกว่า perserveration กล่าวคือผู้ป่วยไม่สามารถหยุดพฤติกรรมที่ได้เรียนรู้มาดีแล้วก่อนอุบัติเหตุ

ส่วนบริหารกลางไม่มีความจุ แต่ความจำใช้งานทั้งส่วนเสียงและส่วนภาพรวมทั้งมิติสัมพันธ์มีความจุ ตัวอย่างในชีวิตประจำวันคือการคิดเลขในใจ การคิดเลขในใจต้องการความจุของการจำผลลัพธ์เดิมได้นานพอที่จะคิดผลลัพธ์ใหม่ แล้วนำแต่ละผลลัพธ์มาเชื่อมต่อกัน กิจกรรมหรือพฤติกรรมนี้กำลังถูกแทนที่ด้วยเครื่องคิดเลขและโปรแกรมสเปรดชีทเช่นกัน

มีคำถามเสมอว่าเด็กควรคิดเลขเร็วหรือไม่  คำตอบคือ เราควรรู้ว่าการคิดเลขเร็วเป็นไปเพื่อการบริหารความจำใช้งาน มิใช่เพื่อการคิดเลขเร็วจริงๆ

อย่างไรก็ตามเด็กพิเศษที่มี EF บกพร่องอาจจะต้องถอยออกจาการคิดเลขเร็วแล้วใช้เครื่องมือไอทีเพื่อช่วยพัฒนาตนเองได้ง่ายและเร็วกว่าเดิม

อีกเรื่องหนึ่งคืออ่านในใจ การอ่านในใจต้องการการบริหารความจำใช้งานที่ดีเพื่อการอ่านที่เร็ว ความเร็วในการอ่านเรียกว่า reading span ประกอบด้วยการอ่าน จดจำ ทำความเข้าใจประโยคที่หนึ่งแล้วอ่านประโยคที่สอง ทำซ้ำกระบวนการทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง แล้วอ่านประโยคที่สาม เรื่อยไปจนครบหนึ่งย่อหน้า จะเห็นว่าโมเดลด้านภาพและมิติสัมพันธ์ทำงานมากกว่าโมเดลด้านเสียง อย่างไรก็ตามทั้งสองส่วนทำงานพร้อมกันอยู่ดีไม่มากก็น้อยด้วยภาพและเสียงที่เกิดขึ้นในจิตใจ นำไปสู่การอ่านน้ำไหลไฟดับเรียกว่า fluent reading

fluent reading มิได้หมายถึงอ่านเร็วเสียทีเดียว แต่หมายถึงอ่านเอาเรื่องด้วยความเร็วสูง นั่นแปลว่าระหว่างที่อ่านไปแต่ละย่อหน้า สมองส่วนบริหารจะทำการ FDA ข้อมูลที่ได้ใหม่อยู่เสมอและสร้างระบบทำความเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่านได้กว้างขวางมากขึ้นทุกที กล่าวคือแม้จะอ่านเรื่องหนึ่งก็สามารถขยายความคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง เช่น อ่านเรื่อง Animal Farm แต่สามารถขยายกรอบความคิดไปที่หลายประเทศในโลกไม่จำเพาะเพียงสหภาพโซเวียตตามที่หนังสือพยายามจะบอกเป็นนัย

การอ่านมากทำให้เด็กมีความสามารถที่เรียกว่า fluency ซึ่งจะช่วยให้ความคิดกว้างไกลและเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในภายหลัง ตัวอย่างของ fluency เช่น ให้เด็กแบ่งประเภทสัตว์ออกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เด็กที่เข้าเรียนเร็วอาจจะแบ่งออกเป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ออกไข่ หรือสัตว์ออกลูกเป็นตัว แต่เด็กที่มิได้เรียนหนังสือและมีโอกาสเรียนรู้โลกกว้างมากกว่าอาจจะแบ่งได้ละเอียดมากกว่าที่ตำรากำหนด

อีกตัวอย่างหนึ่งคือให้เด็กยกตัวอย่างว่าก้อนอิฐใช้ทำอะไรบ้าง เด็กคนหนึ่งตอบว่าใช้สร้างบ้าน สร้างตึก สร้างสะพาน สร้างกำแพง สร้างหอคอย สร้างวัด สร้างโรงงาน แต่เด็กอีกคนหนึ่งอาจจะตอบว่าใช้ก่อสร้าง ใช้ทับกระดาษ ใช้ปาหัวคน ใช้รองเท้าหยิบของบนที่สูง ใช้ปูทางเดิน ใช้สร้างห้องใต้ดิน (เห็นสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น) ใช้สร้างเตาเผาอิฐ (เห็นในระดับที่อยู่เหนืออิฐ –epi เหนือ) จะเห็นว่า fluency ต้องการความสามารถ FDA ด้วยคือตั้งใจจดจ่อกับคำถาม แบ่งส่วนแล้วสลับสับเปลี่ยนจุดสนใจ

มิใช่ติดกับหรือวนลูปอยู่ที่ความคิดเดิมๆ แม้จะดูเหมือนใหม่แต่ไม่มีอะไรใหม่ วัฒนธรรมการทำงานบ้านเราติดอยู่ที่ตรงนี้เป็นประจำ คล้ายๆ จะฉลาดแต่สมองไม่ดีเท่าไรนัก

งานราชการบ้านเราขาดความสามารถนี้มากกว่ามาก จึงมักพบปรากฏการณ์อวดผลงานใหม่ที่ไม่ใหม่อยู่เสมอๆ ผลลัพธ์สุดท้ายจึงไม่ไปไหนแต่ได้ตัวชี้วัดครบ

เราพัฒนาเด็กด้วยความรู้เหล่านี้ได้หลายวิธี ตัวอย่างหนึ่งคือฝึกให้เด็กทำงาน 2 อย่างพร้อมกัน เรียกว่า Dual Task โดยมีเป้าหมายให้งานทั้งสองอย่างเสร็จเรียบร้อยและมีผลงานที่ดี บทเรียนนี้เพื่อฝึกการใช้ส่วนบริหารกลางมิใช่เพื่อให้จัดลำดับความสำคัญ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งทดสอบความสามารถทำสองอย่างพร้อมกันอย่างง่ายด้วยการให้เด็กอ่านหนังสือหนึ่งย่อหน้าแล้วสรุปความพร้อมกับท่องคำสุดท้ายของแต่ละประโยค! เด็กแต่ละคนจะทำได้ไม่เท่ากัน

เราพัฒนาเด็กได้ด้วยการให้เด็กเข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหาคือ problem solving เมื่อเด็กพบอุปสรรคก็จะเข้าสู่โหมดแก้ปัญหา ส่วนบริหารกลางก็จะต้องทำงานทุกครั้งไปเพื่อสลับสับเปลี่ยน “ทุกสิ่งทุกอย่าง” ไปจนกว่าจะถึงเป้าหมาย  การศึกษาที่ไม่เน้นการท่อง จำ ติว สอบแต่มุ่งการใช้โจทย์ปัญหารอบตัวเด็กเป็นฐาน สมองส่วน EF จะพัฒนาต่างกันมาก

นึกภาพการศึกษาบ้านเราที่เสียเวลากับการท่อง จำ ติว สอบ หรือคิดวิเคราะห์ให้ได้คำตอบที่เฉลยตามข้อสอบปรนัย เวลาที่ว่านี้คือ 15 ปี!

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับ ‘ความจำใช้งาน’ ของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่
อ่านเล่นทำงาน: อ่าน‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: เด็กทำอะไรช้ามาจาก‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆจึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่านเล่นทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน
อ่านเล่นทำงาน: การทำงานและความจำใช้งาน(1) “เด็ก4-7 ขวบควรทำงาน”

Tags:

EFและการศึกษาความจำใช้งานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน
Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
25 June 2019

พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • พ่อปุ๊-วีรวัฒน์ กังวานนวกุล ผู้ก่อตั้ง ‘โรงเล่นเรียนรู้’ หรือพิพิธภัณฑ์เล่นได้ รวมถึงเป็นพ่อผู้ทำ ‘บ้านเรียน’ หรือ ‘Home School’ เพื่อต้องการใช้เวลาสร้างการเรียนรู้ร่วมกับลูกให้ได้มากที่สุด
  • เพราะการเล่นกระตุ้นให้เกิดการเรียน เพราะของเล่นและประสบการณ์จากการเล่นจะทำให้เด็กสนุก อยู่ในภาวะของการทบทวน ขบคิด และแก้ปัญหา ที่สำคัญโรงเล่นจะต้องทำให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุก ปลอดภัย เป็นมิตร และสร้างสรรค์
  • “ลูกคุณไม่จำเป็นต้องโฮมสคูลก็ได้ เรียนในระบบก็ได้ แต่อยากชวนผู้ปกครองที่สนใจ ชวนลูกเรียนรู้จากเรื่องเล็กๆ รอบตัว” นี่คือประโยคที่พ่อปุ๊ อยากฝากบอกกับพ่อแม่ทุกคน
ภาพ: ฉัตรชัย วงค์เกตุใจ และ โรงเล่นเรียนรู้

การสร้างการเรียนรู้ที่ดีและมีคุณภาพให้กับเด็ก ควรเป็นแบบไหน?

โจทย์นี้น่าจะเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และคนทำงานด้านการศึกษา

แรกคลอด การดูแลเลี้ยงดูอาจเน้นให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก ช่วงเวลานี้พ่อแม่สวมบทบาทเป็นนักสังเกต หลังจากนั้นมานั่งคิดต่อว่า เมื่อลูกโตขึ้นจะให้ลูกเข้าเรียนที่ไหน โรงเรียนแบบไหนถึงจะดี หลายครอบครัวเลือกเปิด ‘บ้านเรียน’ หรือ ‘Home School’ เพื่อใช้เวลาสร้างการเรียนรู้ร่วมกับลูกให้ได้มากที่สุด

เงื่อนไข ความต้องการ พื้นฐานครอบครัวและความคิดที่แตกต่างของแต่ละครอบครัว ”นำมาสู่การตัดสินใจเลือกที่ไม่เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าพ่อแม่อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก

‘ปุ๊’ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล ผู้ก่อตั้งโรงเล่นเรียนรู้ หรือพิพิธภัณฑ์เล่นได้ ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พื้นที่ที่เชื่อมาตลอดระยะเวลาทำงานกว่า 20 ปีว่า การเรียนกับการเล่นเป็นเรื่องเดียวกัน

คำถามในวันนี้จึงควบหลายบทบาทของผู้ชายคนนี้ ทั้งในฐานะนักการศึกษา นักพัฒนาสังคม นักเรียนรู้ และในฐานะพ่อของลูกชายสองคน แปลน รามิล และ ปูน นาฬา กังวานนวกุล เด็กหนุ่มวัย 17 และ 12 ที่เป็นผลผลิตของการเติบโตมากับการเล่น (อ่านบทสัมภาษณ์ ปูนแปลนไม่ไปโรงเรียน เพราะการเรียนรู้ไม่จำกัดฝัน และไม่มีวันหมดอายุ)

พิพิธภัณฑ์เล่นได้เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้เกิดโรงเล่นเรียนรู้

จากพิพิธภัณฑ์เล่นได้ และกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ที่ตั้งขึ้นมากว่า 20 ปี ผมประมวลจากข้อมูลที่มีอยู่แล้วพบว่า ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถอยู่อย่างมั่นคงได้ในโลกอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ทำของเล่นพื้นบ้าน คนมักเข้าใจว่าเป็นเรื่องของผู้สูงอายุอย่างเดียว จริงๆ เป็นเรื่องของเด็กๆ และคนหนุ่มสาวที่เข้ามาเรียนรู้ภูมิปัญญาการทำของเล่นดั้งเดิมด้วย

พิพิธภัณฑ์เล่นได้ก็เหมือนกัน เป็นพื้นที่ที่ดี แต่คนจำว่าพิพิธภัณฑ์เล่นได้เกี่ยวข้องกับของเล่น เป็นที่เก็บของสะสมอย่างเดียว พอคนมีภาพจำอยู่แล้ว มันยากที่จะอธิบายเรื่องเดิมในมุมมองใหม่ๆ ให้คนเข้าใจ ส่วนตัวผมอยากทำงานไปอีกอย่างน้อย 10 ปี มันเลยถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ แล้วต้องเปลี่ยน เลยมีโจทย์เกิดขึ้นว่า ถ้าอยากทำงานต่อในอนาคตเราต้องสร้างแบรนด์ใหม่

โรงเล่นเรียนรู้ต่างจากพิพิธภัณฑ์เล่นเดิมอย่างไร

ผมเริ่มใหม่จากฐานความรู้และประสบการณ์เดิม ตอนนี้โรงเล่นเรียนรู้ ทำหน้าที่ชักชวนเด็กๆ ออกไปเรียนรู้ พูดถึงกระบวนการเรียนรู้เป็นเรื่องหลัก ไม่ได้พูดถึงแค่ของเล่นพื้นบ้าน แต่เรายังทำของเล่นพื้นบ้านอยู่ แล้วยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆ ต่อยอดจากของเดิม ส่วนนี้ผมได้แปลนเข้ามาช่วยคิดช่วยทำ ตอนนี้ก็เกิดเป็นกลุ่ม Young Maker ขึ้นมา (กลุ่มคนรุ่นใหม่ในชุมชน รวมถึงแปลนกับปูน ที่มีพื้นฐานการทำงานร่วมกับกลุ่มคนเฒ่าคนแก่มาก่อน)

พอมาเป็นโรงเล่น คำว่าชุมชนของเราขยายขอบเขตออกไป ใครก็ตามที่สนใจเรื่องการเรียนรู้ การเล่น การศึกษา ทุนทางสังคม และเครื่องมือชุมชน สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยน เข้ามาเป็นชุมชนเดียวกันได้ หัวใจการบริการของโรงเล่น คือ ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ให้ประสบการณ์ใหม่ แล้วมาชวนกันเล่น

เรามั่นใจว่าแม้มีสื่อเทคโนโลยีให้ความรู้ใหม่ๆ เข้ามา ถ้ามีโอกาสหรือเป็นไปได้ คนก็มีแนวโน้มต้องการเรียนรู้ผ่านการหยิบจับ สัมผัสของจริงและอยู่ในสถานที่จริง เมื่อมีพื้นที่ให้ได้ลงมือทำ ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น คิดยังไงก็คุ้มค่า ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้สูญเปล่า ไม่ว่าจะเกิดกับลูกหลานใครก็ตาม

การเล่นกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างไร

ของเล่นและประสบการณ์จากการเล่นทำให้เด็กสนุก แม้กำลังเล่นอยู่แต่การได้จดจ่อ เป็นภาวะของการใคร่ครวญ ครุ่นคิด แก้ปัญหา แล้วจะเกิดปัญญา ฟังแล้วเป็นนามธรรมมาก แต่ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองพร้อม ครูพร้อม หรือใครก็ตามที่พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ แล้วอยากมาเล่น โรงเล่นของเราก็พร้อมที่จะทำให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุก ปลอดภัย เป็นมิตร และสร้างสรรค์ โดยใช้ของเล่นเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้

ต้องบอกก่อนว่า การจัดการเรียนรู้ไม่มีคู่มือสำเร็จรูปว่าต้องทำแบบนี้เท่านั้น แต่เราหยิบใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีให้เหมาะสมกับบรรยากาศการเรียน หรือสภาพแวดล้อมเดิมที่เป็นอยู่ได้

ยกตัวอย่างของเล่น เรื่องราวกว่าจะมาเป็นของเล่น เชื่อมไปยังองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ แหล่งวัสดุ (ป่า) เครื่องมือ และจินตนาการ เราปลูกแปลงป่าทดลองเป็น 10 ไร่ ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนี้มีไม้หลากหลายชนิด ทำแม้กระทั่งออกแบบเส้นทางให้สามารถลำเลียงวัสดุลงมาได้ง่าย มีอุปกรณ์ให้ใช้ทดลองลงมือทำ แล้วผู้เล่นแต่ละคนได้ใช้จินตนาการสร้างสรรค์ชิ้นงานของตัวเอง แปลน ปูนก็เติบโตมากับการเรียนรู้แบบนี้

มั่นใจว่าการเล่นสร้างการเรียนรู้ได้ ถึงขนาดไม่ให้ลูกเข้าโรงเรียนตามปกติ?

บอกตรงๆ ว่าตอนยังไม่มีลูกก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้นะ แต่ประสบการณ์ที่เห็นระหว่างทำงานสังคม ทำให้ผมฉุกคิดว่า ‘เด็กทุกคนควรมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ให้ได้มากที่สุดก่อนเข้าสู่วัยเรียน’ เลยตัดสินใจดูแลลูกเอง ย้อนไป 12 ปีที่แล้ว ผมเป็นเคสแรกในเชียงรายที่ไปจดทะเบียนบ้านเรียน (โฮมสคูล)

ผมเชื่อว่าอยู่ที่ไหนเด็กๆ ก็เรียนได้ถ้ามีบรรยากาศการเรียนรู้ที่เหมาะสม เพราะความสงสัยใคร่รู้ หรือความกระตือรือร้นเป็นธรรมชาติของเด็กทุกคนอยู่แล้ว แต่มันจะค่อยๆ ลดลง เพราะมีสิ่งเร้าเข้ามาเยอะ มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ ลองนึกภาพแปลนกับปูนอยู่กรุงเทพฯ ห้องเรียนของพวกเขาก็คงต่างออกไป แต่เราโชคดีมากที่มีป่ามีทุ่งนาเป็นห้องเรียน มีชุมชนให้เดินไปไหนมาไหน ได้รู้จักกับผู้คนในชุมชน

นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าทุกชุมชนในชนบทสามารถดึงข้อดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกันต้องค่อยๆ ทำลายข้อจำกัดที่เป็นจุดอ่อนในแต่ละชุมชนให้หมดไป ซึ่งทำคนเดียวไม่ได้ ที่ผ่านมาเราเลยดึงกำลังคนในชุมชนเข้ามาช่วย

หลายครอบครัวมองหาการศึกษาทางเลือก อยากทำโฮมสคูล ต้องเริ่มจากตรงไหน

ด่านแรกคือด่านครอบครัว พ่อแม่ต้องเห็นร่วมกัน ด่านที่ยากต่อมา คือญาติผู้ใหญ่ บ้านเราโชคดีที่ได้รับโอกาส พวกเขาอาจไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้ห้าม ไม่ได้ยับยั้ง ด่านที่สาม คือเข้าไปคุยกับเขตการศึกษา และด่านที่สี่ คือชุมชนหรือสังคมรอบข้าง ด่านนี้ยากที่สุด เพราะคำพูดบางอย่างที่พูดขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาจสร้างบาดแผลและทำร้ายจิตใจเด็กได้ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น เจอคนเฒ่าคนแก่บอกว่า “ไม่เรียนหนังสือ เดี๋ยวเป็นควายนะลูก” พ่อแม่ต้องมีศิลปะในการพูดอธิบายให้ลูกเข้าใจ โดยไม่ให้ไปกดคนอื่นต่อ ไม่ใช่บอกว่า “ไม่เป็นไร เราไม่ได้ไปขอใครกิน”

เราต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดคนอื่น แต่ปรับความเข้มแข็งของตัวเองแล้วค่อยๆ เข้าใจเขา เราจะไปตะเบ็งอธิบายให้คนอื่นเข้าใจทุกเรื่อง มันเหนื่อยเกินกำลัง หลายๆ เหตุการณ์ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ช่วงหลังมานี้ก็ไม่มีใครถามแล้วว่า ลูกเราทำไมไม่ไปโรงเรียน

หมายความว่าแต่ละครอบครัวควรประเมินศักยภาพของตัวเองก่อนไหมว่าพร้อมจริงหรือเปล่า

ใช่ พ่อแม่ต้องตอบให้ได้ก่อนว่า “อยากทำบ้านเรียนไปทำไม?” เป้าหมายของการจัดการศึกษาคืออะไร ตอบตัวเองนะ ตอบกันสองคนพ่อกับแม่ก็พอ (หัวเราะ) ช่วงแรกคนมีภาพจำว่าคนทำบ้านเรียนต้องรวย หรือเด็กมีความพิเศษ เช่น มีโรค เข้ากับคนอื่นไม่ได้ หรือพิการ

จริงๆ ทุกคนสามารถทำบ้านเรียนได้ ไม่ต้องมีความพิเศษใดๆ แต่ต้องทำให้เป็นธรรมชาติจริงๆ อย่าทำตัวแปลกแยก อย่าไปคิดว่าลูกเราเรียนโฮมสคูลแล้วจะดีกว่าคนอื่น ให้เขาออกไปเล่น ไปใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ในชุมชน

แล้วเป้าหมายของการจัดการศึกษาให้กับแปลน ปูน เป็นแบบไหน ปล่อยให้ได้ลองคิด

ลองทำหลายๆ อย่างใช่ไหม

สร้างพื้นที่เรียนรู้ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกวัย ไม่เฉพาะแค่เด็ก ทุกคนสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้โดยไม่ถูกตัดสิน และมีโอกาสทดลองทำสิ่งที่สนใจด้วยตัวเอง สิ่งนี้เป็นหัวใจของการสร้างสังคมการเรียนรู้ที่แท้จริง

พอเขาได้ลองทำ เขาจะรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร สนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ เป็นเรื่องดีมากที่เด็กคนหนึ่งจะค้นพบหรือรู้ว่าตัวเองสนใจหรือชอบอะไร แต่มันน่าสนใจกว่าถ้าเขารู้ว่าเขาไม่ชอบอะไร แล้วมีวินัยหรือมีความอดทนทำสิ่งที่ไม่ชอบได้ด้วย

เพราะโลกในอนาคตมีความผันผวนมากมาย เขาต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น พ่อแม่ต้องมีความกล้าหาญ วางใจตัวเองให้ได้จากการประเมินความเสี่ยงแล้วว่า ถ้าให้ลูกทำสิ่งนี้ลูกจะปลอดภัย ค่อยๆ ขยายพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกออกไปใช้ชีวิต เริ่มจากงานเล็กๆ ก่อนก็ได้ เช่น ให้ลูกเข้าครัวหั่นผัก ล้างจาน ช่วยทำอาหาร

จะสังเกตได้อย่างไรว่าเด็กเกิดการเรียนรู้ หรือผู้ปกครองทำมาได้ถูกทางแล้ว

ดูจากพัฒนาการของเด็กแต่ละคน เวลาไม่มีผู้ใหญ่เข้าไปอำนวยหรือเข้าไปสอน เวลาไม่มีผู้ใหญ่เข้าไปจ้ำจี้กับทุกเรื่อง พัฒนาการที่เพิ่มขึ้นจะตอบคำถามนี้ได้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่คนในสังคม ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี ยิ่งถ้าสนใจเรื่องการเรียนรู้ เพราะการสังเกตจะทำให้เห็นตัวตนของผู้เรียนจริงๆ

ทำไมเด็กคนนี้ชอบอยู่หลังห้อง ทำไมเด็กถึงพัฒนาการช้า เรียนรู้ไม่ทันคนอื่น โดยไม่เปรียบเทียบและไม่ตัดสิน แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นห้องเรียนที่มีคุณภาพ

พ่อแม่ควรรู้ว่าพื้นฐานของลูกแต่ละคนเป็นคนแบบไหน ที่ผ่านมาแค่แปลนยอมขึ้นพูดบนเวทีสาธารณะถึงสองครั้ง ผมว่าเขาก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง แล้วก็ทำได้ดี สามารถพูดถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ หลายคนบอกว่าก็แปลนมีพ่อเป็นโค้ช มีพ่อเป็นนักพูด จะบอกว่าเวลาต้องพูดในที่สาธารณะ ผมพูดไม่รู้เรื่องยิ่งกว่าแปลนอีก หรือแค่เขายอมมาคุยกับเราวันนี้ ทั้งที่มีแพลนทำงานของตัวเองอยู่ ผมก็ว่าเขาจัดการกับตัวเองได้ มันทำให้ผมเห็นเหมือนกันว่า การเรียนรู้ที่เราพยายามบ่มเพาะปลูกฝังมานี้ สะท้อนออกมาจริงๆ ผ่านตัวตนของเขา

คิดอย่างไรกับการแข่งขันในระบบการศึกษา แปลน ปูนจะออกไปสู้รบปรบมือกับคนอื่นๆ ได้ไหม

เป้าหมายของการแข่งขันทำให้เกิดการพัฒนา แต่ตอนนี้เรากำลังติดกับดักการแข่งขัน เราใช้การแข่งขันเข้ามาโฆษณาธุรกิจทางการศึกษา

“ไปเรียนกับอาจารย์คนนี้สิ สอนแล้วได้คะแนนเยอะ” เราได้ยินแบบนี้เยอะในวงพ่อแม่ สะท้อนภาพของครูที่เป็นนักสอน กับเด็กที่เป็นนักจำ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่พอสำหรับโลกอนาคตแล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นในตอนนี้ ผมว่าคือโรงเรียนของพ่อแม่ พ่อแม่เองก็ต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

มากกว่าการแข่งขัน คือ การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย คุณมีน้ำใจติวเพื่อนแต่คุณสอบตก ผมว่านี่เป็นน้ำใจของการแข่งขัน ส่วนที่ว่าแปลน ปูนจะไปแข่งขันกับคนอื่นได้หรือเปล่า ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย

ถ้าลูกๆ ทำผิด มีวิธีจัดการกับลูกยังไง ยังเชื่อเรื่องการทำโทษไหม

เรื่องการทำโทษยังจำเป็นอยู่ การลงโทษเป็นเรื่องที่ทำให้มนุษย์เข้าใจตรรกะ ลูกจะเข้าใจเหตุและผล หากการทำโทษนั้นอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลด้วย ไม่ใช่อารมณ์ แต่พ่อแม่ต้องตีความให้เข้าใจว่าการลงโทษไม่ใช่การตีอย่างเดียวนะ เรื่องตีไม่ตีเป็นเรื่องผิวมาก คำถามจริงๆ ที่พ่อแม่ควรตั้งคำถาม คือ เราจะทำโทษลูกแบบไหน อย่างไร ถ้าไม่ใช่การตี ไม่ใช่การขู่ด้วยเกรด ด้วยการตัดคะแนน แล้วทำโทษลูกเพื่ออะไร ถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู ถามคำถามให้ชัด จะได้คำตอบที่ตรงไปตรงมา

เราต้องรู้ว่าการลงโทษโดยใช้อารมณ์ ผลลัพธ์ที่ตามมาสร้างบาดแผลให้กับลูกไม่น้อย การโมโหตีลูกโชว์ในที่สาธารณะเป็นเรื่องไม่ควรทำ แล้วเราจะไม่เอาความรักมาเป็นเครื่องต่อรอง “ถ้าลูกไม่ทำแบบนี้พ่อแม่จะไม่รัก” ถ้าเป็นแบบนั้นพ่อแม่จะกลายเป็นผู้บงการทุกอย่าง ลูกจะสูญเสียการควบคุม ขาดความเป็นตัวของตัวเองและขาดอิสรภาพ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และการจินตนาการของเขา

จำเป็นต้องสร้างระเบียบในบ้านที่ทุกคนต้องทำตามไหม

ระเบียบวินัยเป็นเรื่องจำเป็นแต่ไม่ตึงเป๊ะ พ่อแม่ต้องมีความยืดหยุ่นด้วย เช่น บอกว่าลูกเล่นแล้วต้องเก็บ ถ้าลูกไม่เก็บตอนนั้นทันที พ่อแม่ยอมปล่อยผ่านให้รกได้ไหม เพราะลูกอาจกำลังทำบางอย่างติดพัน เป็นชั่วโมงลื่นไหล

สิ่งที่เราต้องทำในฐานะพ่อแม่ ครู หรือผู้จัดการการเรียนรู้ คือ ต้องสร้างสภาวะแห่งการเรียนรู้ และทำความเข้าใจเหตุผล

ยังไม่เก็บเพราะอะไร? ขี้เกียจ ไม่มีวินัย หรือว่ายังอยากทำต่อให้สุด ถ้างานอีกนิดเดียวจะเสร็จอยู่แล้ว บางครั้งเราต้องยอมปล่อยให้มันไหล ไม่ต้องกินข้าวเป๊ะตอนหกโมงก็ได้ ยืดไปอีกนิดนึง

ผมเชื่อว่าช่วงเวลาที่เกิดสภาวะของการเล่น เพื่อเรียนรู้กับการทำอะไรสักอย่างมีคุณค่ามหาศาล เราต้องระวังไม่ให้ระเบียบที่วางไว้ ขัดจังหวะการเรียนรู้

จะเริ่มวางระเบียบวินัยในครัวเรือนแบบนี้ได้อย่างไร

ระเบียบวินัยเริ่มมาจากตัวเด็กเอง ถ้าลูกยังอยู่ในวัยเด็ก พ่อแม่ต้องทำให้เห็น ชี้ให้ดู ตื่นเช้ามาล้างหน้าแปรงฟัน ขยับจากพื้นฐานเล็กๆ สู่พื้นฐานใหญ่ๆ พอโตขึ้น มอบหมายให้ลูกรับผิดชอบงานบางอย่าง ยกตัวอย่างปูน แปลนมีหน้าที่รับผิดชอบงานในบ้าน ล้างจาน ซักเสื้อผ้า ตากผ้า ทำความสะอาดบ้าน หมุนวนไปในครอบครัว ใครติดภารกิจวันไหนไม่ว่างก็ช่วยทำแทนกันได้

เคยมีโมโหแรงๆ ใส่ลูกไหม

ผมไม่ใช่คุณพ่อโลกสวย ผมผิดเป็น โมโหได้แต่ไม่รุนแรง ไม่ถึงขนาดประชดประชัน หรือใช้คำพูดทิ่มแทง เหน็บแนม หรือเสียดสี ผมรู้ตัวว่าเป็นคนเจ้าระเบียบ เคยหงุดหงิดเวลาลูกทำห้องทำงานรก เพราะห้องทำงานแปลน ปูนกับผมเป็นห้องเดียวกัน แต่เมื่อแบ่งพื้นที่แล้ว ในฐานะคนเป็นพ่อหรือครู เราต้องปล่อยวาง ถ้าไม่รกพื้นที่ผม ผมจะไม่บ่น ส่วนพื้นที่เขาจะรกก็รกไป อุปกรณ์ เช่น กรรไกร ทุกโต๊ะมีเหมือนกัน เขียนชื่อแปะไว้ ใช้ร่วมกันได้ แต่เป็นที่รู้กันว่าต้องเก็บเข้าที่ แล้วถ้าลูกมาทำโต๊ะพ่อรก เขารู้ว่าเขาจะโดนดุแน่

พอเราทำเป็นตัวอย่างสังเกตเห็นได้ว่าสักพักเขาเก็บ ซึ่งเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองเวลาหาของไม่เจอ เวลาโต๊ะเลอะเทอะ หรือสกปรกมีมดขึ้น มันไม่มีประโยชน์ถ้าเรามัวแต่บ่นไปทุกครั้ง ตัวพ่อแม่เองไม่มีความสุข เด็กก็ไม่มีความสุข ต่อให้ทำตามก็เป็นเพราะไม่อยากฟังเราบ่น ผมเองทุกวันนี้ก็ยังหลุดบ่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ดีขึ้นเยอะ

สำหรับผมในบทบาทของพ่อที่ทำโฮมสคูล ผมไม่ได้มีอาชีพทำโฮมสคูลนะ การจัดการลูกเป็นเรื่องหลักก็ใช่ แต่ผมมีงานมีความรับผิดชอบด้านอื่นด้วยเหมือนกัน ทุกอย่างในชีวิตมันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ การงาน อาชีพ การเลี้ยงลูก หรือความเป็นครูที่ทำงานด้านการศึกษา แต่ละอย่างเราไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าวันนี้จะสวมบทไหน ผมก็เรียนรู้จากความเป็นพ่อ จากความเป็นคนของเรานี่แหละ

เราสร้างวินัยผ่านการเรียนรู้ได้ไหม?

ได้แน่นอน ลูกคุณไม่จำเป็นต้องโฮมสคูลก็ได้ เรียนในระบบก็ได้ แต่อยากชวนผู้ปกครองที่สนใจ ชวนลูกเรียนรู้จากเรื่องเล็กๆ รอบตัว ให้มีความสนุกสนานเท่าที่ทำได้ เพราะเรารู้ว่าคนในชุมชนเมืองกับชนบทมีเงื่อนไขต่างกัน

ยกตัวอย่างตอนแปลนเล็กๆ แล้วปูนยังไม่เกิด เราเลี้ยงไก่ไข่สองตัว ทำตารางวินัย เช่น เวลาให้อาหาร และมีส่วนบันทึกความรู้ ชวนลูกตั้งคำถาม ไก่กินอะไร ไข่ไก่ที่ได้เอาไปทำอะไรบ้าง โดยไม่ต้องไปตั้งธงหรือพร่ำบอกว่านี่คือการเรียนรู้ ทั้งที่จริงๆ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นการฝึกฝนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เด็กรู้กติกา และจัดสรรเวลาของตัวเอง เรียนรู้ว่าถ้าไม่ไปให้อาหารไก่ ไข่ไก่จะเล็กลง ไก่ออกไข่แล้วถ้าไม่เก็บ อีกวันหนึ่งไข่จะทับกันจนแตก พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องบอกตอนจบของเรื่องแม้จะรู้อยู่แล้ว

ถ้าพ่อแม่ทำแบบนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างประสบการณ์ และลักษณะที่พึงประสงค์ให้ลูก ฝึกให้ลูกมีความอดทน อ่อนโยน มีความรับผิดชอบ ผมบอกว่าเด็กทุกคนมีความสงสัยใคร่รู้ที่จะทำ แต่มากกว่านั้นในเรื่องระเบียบวินัยและการปฏิบัติตัว แบบอย่างสำคัญกว่า “เด็กไม่ได้เรียนรู้จากการพร่ำสอนพร่ำบ่นแต่เรียนรู้จากการซึมซับ”

ค้นพบอะไรบ้าง? อะไรทำให้เด็กหลายๆ คนไปไม่ถึงฝั่งฝัน อะไรทำให้เด็กแต่ละคนไม่สามารถดึงศักยภาพของตัวเองขึ้นมาได้

ถ้าเด็กทุกคนได้รับโอกาส มีพื้นที่ มีสิ่งแวดล้อม และมีเครื่องมือที่ใกล้เคียงกัน ล็อคสำคัญติดอยู่ที่ระบบการศึกษากับผู้ปกครอง ระบบการศึกษามีความเหลื่อมล้ำเยอะ ยกตัวอย่างโรงเรียนชายขอบที่นี่ กับโรงเรียนในเมือง หรือโรงเรียนนานาชาติ ความต่างไม่ได้อยู่ที่ฐานะอย่างเดียวนะ ถ้าเราบอกว่าติดอยู่ที่ฐานะ แปลว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้เลย เรื่องฐานะเป็นข้อเท็จจริงแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในประเทศนี้ได้

ผมว่าความแตกต่างอยู่ที่การเข้าถึงโอกาส สื่อที่ใช้ หลักสูตรที่สอน การสนับสนุนจากคนรอบตัว หรือกระทั่งอาหารการกินและน้ำดื่ม ทุกองค์ประกอบเกี่ยวข้องกันหมด รวมถึงการปรับทัศนคติผู้ปกครอง การสร้างค่านิยมให้ลูกศึกษาเพื่อพัฒนาตัวเอง และพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ค่านิยมเพื่อให้เป็นเจ้าคนนายคน เพราะเราไม่ได้ต้องการแค่เด็กเก่งไปข่มคนอื่น แต่เราต้องการเด็กที่มีปัญญานำพาประเทศนี้ให้เปลี่ยนแปลงได้

มีคนที่ไม่เข้าใจความหวังดีของเราบ้างไหม

ในส่วนของโรงเล่นที่ทำมาตลอด 20 ปี บางคนไม่เข้าใจ ในสังคมเล็กๆ ตามชนบทที่ง่ายต่อการชวนเชื่อจากผู้ไม่หวังดี หลายคนเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือหลายครั้งที่ผมสอนลูกหลานคนอื่น ผมพบเลยว่าเจตนาดีของเราก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราไม่น้อยนะ ถ้าผู้ปกครองไม่เข้าใจ ยิ่งถ้าผู้ปกครองคาดหวังว่าอยากให้ลูกเก่ง สอบได้คะแนนดีๆ

ตอนนี้น้องแปลนอยู่ในช่วงเข้าสู่วัยรุ่น รู้สึกยากขึ้นไหม รับมืออย่างไร

พอโตเป็นวัยรุ่นแน่นอนว่าเขามีความซับซ้อนขึ้น ในขณะเดียวกันผมเองก็โตขึ้นด้วย ถ้าพ่อแม่ทุกคนมีวุฒิภาวะพอ เราจะรู้ว่าบางเรื่องไม่จำเป็นต้องเข้าไปหงุดหงิดหัวเสีย ไม่ต้องเข้าไปติดกับดักของอารมณ์ตัวเอง

พ่อแม่ทำหน้าที่ประคับประคอง ให้คำแนะนำเพื่อให้ลูกรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ผมมองว่าปัจจุบันสิ่งเร้าในสังคมมีเยอะ เด็กที่จะอยู่บนโลกในอนาคตได้อย่างมั่นคง คือ เด็กที่กล้ายืนยัน กล้าตัดสินใจ หรือกล้าปฏิเสธในสิ่งที่เขาคิดแล้วว่า ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม เพราะเราคงไม่สามารถไปห้ามปราม หรือสร้างสังคมที่ดีให้เขาตลอดไปได้ แค่เขารู้จักปฏิเสธได้ ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมว่าเขาเจ๋งแล้ว นอกจากนี้ เรารู้ว่าเด็กในวัยนี้ต้องการพื้นที่ในการแสดงออก ผมก็ให้เขาทำ

ถึงวันนี้ภูมิใจในตัวเองไหมกับการตัดสินใจให้ลูกเรียนรู้นอกห้องเรียน?

ผมภูมิใจนะ ยิ่งเมื่อมองตามพัฒนาการของลูกแต่ละช่วงวัย เอาจริงๆ พวกเขามีความรับผิดชอบและมีวินัยเกินวัย มีความกระตือรือร้น และการขวนขวายหาความรู้ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากการถูกบังคับ หรือผู้ใหญ่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องแบกภาระนี้เอาไว้ แต่เกิดจากตัวเขาเอง

ผมเขียนไว้ในแผนซึ่งเป็นหลักสูตรของผมไว้ว่า เมื่อลูกจบประถม ลูกจะต้องอ่านออกเขียนได้ คิดเป็นทำเป็น จบมัธยม อ่านออกเขียนได้ คิดเป็นทำเป็น ดูแลตัวเองได้และไม่เบียดเบียนคนอื่น ซึ่งพวกเขาเป็นแบบนั้น 

คุณสมบัติที่เขามีจะทำให้เขาปรับตัวอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงได้ไม่ยาก วันนี้จริงๆ ผมนอนตายตาหลับนะ เพราะมั่นใจว่าในวันที่ผมจากไปลูกจะยืนได้ด้วยตัวเอง

Fun Fact มาเล่นกันเถอะ!!วีรวัฒน์ เชื่อว่า การเล่นทำให้เกิดการค้นพบ เพราะกระบวนการของการเล่น ทำให้ผู้เล่นได้ใช้จินตนาการ หลายครั้งนำมาสู่การตั้ง

คำถาม ที่ทำให้ได้ศึกษาและหาคำตอบด้วยตัวเอง ยิ่งเมื่อได้เล่น ได้ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก การเล่นนั้นจะช่วยสร้างการเรียนรู้ พัฒนาทักษะและสร้างความถนัดแก่ผู้เล่นในเชิงลึก

อย่างไรก็ตาม กำลังใจและการสนับสนุนจากคนในครอบครัวและสังคมรอบข้างเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะ การไม่ห้าม ไม่ปิดกั้น ไม่บอกว่าทำไม่ได้ แต่เปิดพื้นที่ให้ลองผิดลองถูก หรือแม้กระทั่งชวนเด็กๆ มาเล่นมาทำด้วยกัน พื้นที่ลักษณะนี้ทำให้เด็กและเยาวชนมีความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เปิดรับการแลกเปลี่ยนและการถ่ายทอดความรู้จากคนใกล้ตัว และแหล่งความรู้อื่นๆ กระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เหมือนอย่างที่โรงเล่นมักบอกเสมอว่า…

“เมื่อฉันฟัง ฉันอาจจะลืม

เมื่อฉันเห็น ฉันจะจำได้

เมื่อฉันทำ ฉันจะเข้าใจ

เมื่อฉันเล่น ฉันจะค้นพบ”

Tags:

การเล่นโฮมสคูลพิพิธภัณฑ์โรงเล่นเรียนรู้(พิพิธภัณฑ์เล่นได้)ปูน นาฬา กังวานนวกุลรามิล กังวานนวกุลวีรวัฒน์ กังวานนวกุล

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อแม่ควรตั้งรับอย่างไร เมื่อต้องทำงานที่บ้านและลูกไม่ได้ไปโรงเรียน

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Creative learning
    แปลนปูนไม่ไปโรงเรียน: เพราะการเรียนรู้ไม่จำกัดฝัน และไม่มีวันหมดอายุ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    ปวิตร มหาสารินันทน์: ทำไมโรงเรียนต้องสอนวิชา ‘เสพงานศิลป์’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    พลังบวกมหาศาลในสนามเด็กเล่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

แผนการสอน สร้าง GROWTH MINDSET ครูต้องคิดว่าเด็ก ‘ทำ’ ได้
Growth & Fixed Mindset
24 June 2019

แผนการสอน สร้าง GROWTH MINDSET ครูต้องคิดว่าเด็ก ‘ทำ’ ได้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • การสร้าง Growth Mindset เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาและสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของโรงเรียนที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ห้องเรียน’ ซึ่งมีอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งต่อการเปลี่ยน mindset ของเด็กๆ นอกจากการเตรียมห้องเรียนข้างต้น ครูต้องมีแผนการสอนที่ดี จัดกิจกรรมให้เข้ากับลักษณะการเรียนรู้ และออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กๆ คิดเอง 
  • สำหรับการสร้างแผนการสอนของครู จะแบ่งการสอนเป็น 2 ส่วน หนึ่ง-ครูต้องเชื่อว่าเราทุกคนพัฒนาตัวเองได้ สอง-ทำความเข้าใจอะไรคือ Growth Mindset และ Fixed Mindset 
  • นอกจากนั้นครอบครัวก็มีส่วนในการสร้างสภาพแวดล้อมให้เกิด Growth Mindset ด้วยอีกทาง เช่น ลดความต่างระหว่างห้องเรียนกับบ้าน โดยการรับรู้ข้อมูลแผนการสอนของครูที่โรงเรียน เพื่อให้เห็นคุณค่าของความพยายามและพัฒนาการจากการฝึกฝนทักษะของลูกๆ 

Growth Mindset หรือ กรอบคิดแบบเติบโต หรือการคิดเชิงบวก เป็นวิธีคิดที่เชื่อว่าเราทุกคนพัฒนาได้ 

งานวิจัยหนึ่งของ David Paunesku ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัย PERTS (The Project for Education Research That Scales) และทีมแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่าการให้นักเรียนฝึก Growth Mindset ในห้องเรียนเป็นเวลา 45 นาทีสามารถเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านการเรียนให้ดีขึ้นได้ 

ที่ว่าดีขึ้น อย่างแรกคือนักเรียนมี Sense of Purpose เข้าใจว่าเรียนไปเพื่ออะไร มีหมุดหมายในอนาคตชัดเจน อย่างที่สองคือเมื่อคิดด้วย Growth Mindset นักเรียนเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคน ทุกช่วงวัย ต่างกำลังพัฒนาทักษะที่แต่ละคนมีอย่างหลากหลาย ในทางใดทางหนึ่งอยู่ อุปสรรคหรือความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ใช่ความอ่อนด้อยทางปัญญา และผลลัพธ์อีกตัวที่ชี้วัดพัฒนาการซึ่งดีขึ้นอย่างชัดเจนคือผลการเรียน ซึ่งก่อนได้รับการฝึกที่เคยเกือบตกเกณฑ์กลับกระเตื้องขึ้นมาก

นอกจาก Growth Mindset จะถูกให้เครดิตในงานวิจัยต่างๆ ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์ก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาและเกิดการพัฒนาตนเอง ข้อสรุปจากงานด้านนี้ยังลบล้างความเชื่อผิดๆ ที่ว่าศักยภาพการเรียนรู้ของบุคคลขึ้นอยู่กับเพศหรือเชื้อชาติอีกด้วย 

เพราะตราบใดที่มี Growth Mindset มนุษย์ทุกคนไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ในทุกทาง

เพื่อให้ครูสามารถหยิบจับความรู้ไปใช้ได้ง่ายขึ้น บทความนี้จึงเสนอแผนการสอนที่จะช่วยเปลี่ยน mindset อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจากหนังสือThe Growth Mindset Coach โดย Annie Brock และ Heather Hundley ที่มีลำดับการสร้างความเข้าใจในหลักการพื้นฐานของ Growth Mindset ให้กับเด็กๆ ในห้องเรียน พร้อมกับวิธีเตรียมชั้นเรียนให้เหมาะกับการเรียนรู้ ไปจนถึงการสื่อสารไปยังพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่บ้านว่าจะสามารถช่วยส่งเสริม Growth Mindset ขึ้นอีกแรงได้อย่างไร

Annie Brock และ Heather Hundley ผู้เขียน The Growth Mindset Coach กล่าวไว้ว่า 

การสร้าง Growth Mindset เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาและสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของโรงเรียนที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ห้องเรียน’ ซึ่งมีอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งต่อการเปลี่ยน mindset ของเด็กๆ นอกจากการเตรียมห้องเรียนข้างต้น ครูต้องมีแผนการสอนที่ดี จัดกิจกรรมให้เข้ากับลักษณะการเรียนรู้ และออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กๆ คิดเอง 

สำหรับแผนการเรียนรู้ จะแบ่งการสอนเป็น 2 part หรือสองครั้ง และมีรายละเอียดการสอนแต่ละครั้ง ดังนี้

Part 1: เราทุกคนพัฒนาตนเองได้

Step 1: ให้นักเรียนขบคิดว่าทุกทักษะที่กว่าเราจะมีได้เช่นในปัจจุบัน ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้อะไรบ้าง 

  • ถามนักเรียนว่าเมื่อต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น ต้มแกงจืดหนึ่งหม้อ (หรือกิจกรรมอื่น) เราต้องเรียนรู้อะไรบ้างจึงจะทำได้ 
  • เวลาทำสิ่งใดไม่สำเร็จ นักเรียนรู้สึกอย่างไรและทำอะไรหลังจากนั้น 

Step 2: ดูวีดิทัศน์และเสวนา 

เปิดวีดิทัศน์ที่แสดงถึงความพยายามในการฝึกฝนก่อนจะทำบางอย่างสำเร็จว่าต้องผ่านขั้นตอนการเรียนรู้ต่างๆ มากมาย เช่น คนที่สูญเสียแขนขาแต่สามารถปรับตัวเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในท่วงท่าใหม่ (มีตัวอย่างคลิป ‘You can Learn Anything’ จาก Youtube ซึ่งเผยแพร่โดย Khan Academy อธิบายว่าครั้งหนึ่งเชคสเปียร์ก็ต้องหัดเขียนอ่าน ABC มาก่อน หรือแม้แต่ไอน์สไตน์เองก็เคยนับเลขได้ไม่ถึงสิบ) หลังดูจบให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดกันว่าผู้ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจากความล้มเหลวหรือสูญเสียแขนขา หรือคนที่ประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้อะไรมาก่อนจึงจะประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้

Step 3: ทำความเข้าใจ

ให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มขึ้น T-Chart (ดังภาพ) ฝั่งซ้ายเขียนถึงทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งและฝั่งขวาเขียนสิ่งที่ต้องเรียนรู้ก่อนจะทำสิ่งนั้นได้ 

Step 4: เชื่อมโยงคำถามสำคัญเข้ากับความเข้าใจ 

ชี้ให้นักเรียนเข้าใจกระบวนการว่า “เราเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่ได้อย่างไร” โดยอธิบายว่าทุกคนต่างก็ต้องพัฒนาตนเองจากความไม่รู้และค่อยๆ พัฒนาทีละเล็กละน้อยกันทั้งนั้น จากคนขับรถไม่เป็นจนสามารถขับออกถนนได้ ทุกทักษะในชีวิตไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ก็ล้วนต้องทุ่มเททั้งความพยายามและเวลาฝึกฝนมัน หรือแก้ไขจุดบกพร่องให้น้อยลงจนสามารถทำได้ลื่นไหล

Step 5: ครูแชร์ประสบการณ์ของตนเอง

ครูเล่าประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะต้องทำบางอย่างผ่านความยากลำบากจนทำได้สำเร็จ โดยโฟกัสไปที่

  • ความมานะพยายามที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค
  • ใช้วิธีใดในการแก้ปัญหาบ้าง 
  • ขอคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือจากใครบ้าง 

Step 6: ทำกิจกรรม ขบคิด-จับคู่-เล่าเรื่อง (Think-Pair-Share)

Think: ให้นักเรียนแต่ละคนคิดถึงช่วงเวลาที่เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ยากมาก

Pair: หลังจากนั้นให้จับคู่กับเพื่อน

Share: ผลัดกันเล่าประสบการณ์ว่าแต่ละคนมีวิธีจัดการกับอุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้อย่างไร และผลลัพธ์ของแต่ละวิธีเป็นอย่างไรบ้าง มีเวลาแลกเปลี่ยนกับคู่ 1 นาที หลังจากนั้นให้เปลี่ยนไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนคนอื่นๆ 

Part 2: Growth Mindset และ Fixed Mindset

Step 1: ให้นักเรียนประเมินตัวเองว่ามีแนวโน้มเป็นแบบไหน เห็นด้วยกับข้อใดในความคิด 10 ข้อนี้ 

  1. ถ้าต้องพยายามมากกว่าคนอื่น แสดงว่าฉันเองที่โง่
  2. ฉันชอบทำอะไรที่มันยากๆ ท้าทายความสามารถ
  3. ทำพลาดหรือผิดทีไร ฉันรู้สึกอับอายทุกที
  4. ฉันชอบให้คนชมว่าฉันฉลาด
  5. ถ้าเจออะไรที่มันยากหรือเครียดเกินไป ฉันไม่เอา
  6. ฉันไม่ค่อยสนเวลาทำผิด ต่อไปจะได้รู้
  7. ไม่มีทางที่ฉันจะเก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้หรอก
  8. เราเรียนรู้เรื่องอะไรก็ได้ถ้าใช้ความพยายามกับมัน
  9. คนเราเกิดมาไม่โง่ก็ฉลาด หรือบางคนพอใช้ เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้
  10. เมื่อได้พยายามถึงที่สุดแล้ว แม้ผลลัพธ์มันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันก็ภูมิใจ 

นักเรียนเห็นด้วยกับข้อ 1,3,5,7,9 กี่ข้อ (Fixed Mindset) และเห็นด้วยกับข้อ 2,4,6,8,10 กี่ข้อ (Growth Mindset) ถามนักเรียนว่าพวกเขามีแนวโน้มเป็นแบบ Growth Mindset หรือ Fixed Mindset มากกว่ากัน เมื่อฟังคำตอบของนักเรียนแล้ว จากนั้นครูชี้ให้ทุกคนเห็นว่า ไม่ว่าความคิดของพวกเขาจะค่อนไปทางใดทางหนึ่ง หรือสัดส่วนอยู่ตรงกลางเท่ากัน เป็นธรรมดาที่ทุกคนล้วนมีความคิดทั้งสองแบบอยู่ในตัว อยู่ที่จะเลือกคิดแบบใด

Step 2: ทบทวนความหมายของ Growth Mindset และ Fixed Mindset อีกครั้ง

  • Growth Mindset คือ ความเชื่อว่าคนเราพัฒนาศักยภาพได้ทุกอย่าง ถ้าพยายามและฝึกฝน 
  • Fixed Mindset คือ ความเชื่อด้านตรงข้ามที่มองศักยภาพเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เท่าไหร่ก็เท่านั้น พัฒนาไม่ได้

ให้นักเรียนแต่ละคนบอกแนวโน้มของตนจากการสำรวจ ครูชี้ให้เห็นว่าทุกคนต่างก็มีความคิดทั้งสองแบบอยู่ในตัวเอง แต่การเรียนรู้ที่จะสัมฤทธิ์ผลได้ต้องใช้ Growth Mindset เป็นสำคัญ ดังนั้นทุกคนในชั้นต้องตรวจตราความคิดของตนเองและของเพื่อน แยกแยะให้เป็นว่าเมื่อไหร่คิดแบบ Growth Mindset เมื่อไหร่คิดแบบ Fixed Mindset และทั้งสองทางส่งผลอย่างไรต่อการเรียนรู้ของพวกเขา

Step 3: กิจกรรมจำแนก Mindset 

อ่านประโยคความคิดให้นักเรียนช่วยกันคิดว่าเป็น Fixed หรือ Growth Mindset เช่น 

“ฉันเล่นบาสไม่เก่ง ลงแข่งไปมีแต่จะทำทีมแพ้”

“ฉันจะพยายามลดความงี่เง่าของตัวเองให้ความสัมพันธ์กับแฟนดีขึ้น” 

 “เขามันอัจฉริยะ ฉันจะไปทำอย่างเขาได้ยังไง” 

“ตอนนี้ยังทำอาหารไม่ค่อยเก่ง แต่รอก่อนเถอะ”

“ตอนตอบผิด อายมาก คราวต่อไปไม่ตอบดีกว่า”

“คนนั้นโง่จะตายไป ทำยังไงก็ไม่มีทางฉลาด”

“คำวิจารณ์ของเพื่อนทำให้ฉันเห็นทางแก้ไขให้ดีขึ้น”

ให้นักเรียนช่วยกันคิด ทั้ง Growth Mindset และ Fixed Mindset ที่เกิดขึ้นจริงกับตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ครูอธิบายว่าการคิดด้วย Growth Mindset คือการรับมือกับปัญหาด้วยมุมมองบวกและมองหาความเป็นไปได้จากการแก้ปัญหาเหล่านั้น ไม่ว่าการเรียน ความสัมพันธ์ กิจกรรมกีฬา หรือหน้าที่การงาน ความพยายามที่จะพัฒนาปรับปรุงนี้สามารถนำไปใช้กับทุกด้านของชีวิต 

Step 4: เปลี่ยน Fixed Mindset เป็น Growth Mindset

จาก Fixed Mindset ที่ช่วยกันคิดไว้ในขั้นตอนที่แล้ว ให้นักเรียนช่วยกันเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นเป็น Growth Mindset เช่น 

“ฉันเล่นบาสไม่เก่ง ลงแข่งไปมีแต่จะทำทีมแพ้” เป็น “ฉันต้องซ้อมให้หนักทุกเย็น โดยเฉพาะการรับส่งลูกที่ยังไม่แม่น” 

“เขามันอัจฉริยะ ฉันจะไปทำอย่างเขาได้ยังไง” เป็น “ฉันต้องขอเทคนิคจากเขาดูซักหน่อย” “ฉันจะไปเทรนเพิ่ม”

ครูเน้นย้ำให้เห็นว่า 

การมานะพยายามคือหัวใจสำคัญของการเติบโต และผลลัพธ์ที่เป็นการเรียนรู้สำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบที่ไม่จีรัง

Step 5: จดบันทึกความพยายาม 

ให้นักเรียนตั้งเป้าหมายทุกสัปดาห์และจดบันทึกอุปสรรคที่เจอระหว่างการพิชิตเป้าหมายว่ามีอะไรบ้างและใช้วิธีใดจึงจะทำสำเร็จ เช่น ตั้งเป้าหมายจะเล่นเปียโนเพลงที่เล่นค้างอยู่ให้จบสัปดาห์นี้ มีบางท่อนที่ยังจำโน้ตไม่ได้ และบางทีจำสลับกัน คิดว่าจะใช้วิธีไฮไลท์โน้ตที่จำสลับด้วยปากกาคนละสีทำสัญลักษณ์ให้จำง่าย และจะเพิ่มเวลาฝึกช่วงเช้าอีกครึ่งชั่วโมง

ให้นักเรียนทุกคนผลัดกันแลกเปลี่ยนบันทึกความพยายามกันทุกสัปดาห์ รวมทั้งครูเองก็แลกเปลี่ยนความพยายามในการพิชิตเป้าหมายประจำสัปดาห์กับนักเรียนด้วย 

Step 6: สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นว่าห้องเรียนที่เปิดให้พวกเขาเรียนรู้โดยไม่มีการตัดสินถูกผิด และเห็นความสำคัญของความพยายามอย่างนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร นักเรียนคิดว่าตนเองจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างทั้งด้านการเรียน การเข้าสังคมกับเพื่อนๆ ในชั้นหรือกับคุณครู หรือมีมุมมองความคิดใดที่แตกต่างไปจากเดิม 

Step 7: สร้างวัฒนธรรม การมี Growth Mindset ในห้องเรียน

ช่วยกันระดมความคิด (brainstorm) ว่าห้องเรียนควรมีกฎระเบียบหรือมาตรการใดๆ ที่จะช่วยให้ทุกคนกล้าคิด กล้าพูด และใช้ Growth Mindset อย่างเต็มที่บนพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เช่น

  • ไม่หัวเราะเพื่อนเมื่อตอบผิดหรือทำบางอย่างผิดพลาด แต่ให้ร่วมกันหาวิธีแก้ปัญหาหรือข้อเสนอแนะ
  • การเรียนรู้คือการแบ่งปัน เราสามารถแนะนำเพื่อนได้ หรือในทางกลับกันเป็นฝ่ายถามเพื่อนและครูได้เมื่อไม่เข้าใจ

นอกจากแนวทางสอนสร้าง Growth Mindset ที่ยกตัวอย่างมา ยังมีรูปแบบอื่นที่น่าสนใจและเหมาะกับช่วงวัยลูกศิษย์อีกมากมายในเว็บไซต์ ไม่จำเป็นที่ครูจะต้องทำตามตัวอย่างเป๊ะๆ แต่สิ่งที่ต้องทบทวนทุกครั้งเมื่อการเรียนการสอนจบลงคือ

  • ในชั่วโมงที่ผ่านมา มีตรงไหนที่คิดว่าดีอยู่แล้ว 
  • ควรปรับปรุงการสอนตรงจุดไหนบ้าง หรือ ทำอย่างไรให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น
  • การสอนครั้งต่อไปควรโฟกัสไปที่เรื่องใดและเตรียมตัวอย่างไร
  • เป้าหมายในการสร้าง Growth Mindset ให้เด็กๆ ในระยะยาวคืออะไร และเราอยู่ในจุดไหนของเป้าหมาย

ครอบครัวต้องช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้เกิด Growth Mindset ด้วยอีกทาง

การสร้าง Growth Mindset ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอถ้าเด็กๆ กลับไปบ้านแล้วเจอกับสภาพแวดล้อมที่สวนทางกับสิ่งที่โรงเรียนกำลังพยายามทำ ดังนั้น ในการสร้าง Growth Mindset จึงจำเป็นต้องทำควบคู่ไปทั้งที่โรงเรียนและชักชวนให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้านมีส่วนร่วมไปด้วย

Carol Dweck อาจารย์ด้านจิตวิทยาแห่ง Stanford University และผู้เขียนหนังสือ Mindset: The New Psychology of Success กล่าวว่า “ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากกดมันสมองหรือความสามารถลูกตัวเองหรอก มีแต่คิดว่าฉันจะทำยังไงให้ลูกประสบความสำเร็จให้จงได้” แต่บางทีพวกเขาอาจเลือกใช้คำชมที่ผิดเหมือนตัวอย่างในตอนต้น คือแทนที่จะสนับสนุนความคิดฝั่ง Growth Mindset แต่กลับไปสร้างแนวคิดแบบ Fixed Mindset ให้ลูกโดยไม่รู้ตัวแทน เช่น “ฉลาดได้แม่จริงๆ” “หนูเก่งมาก” “หนูนี่หัวดีทางเลขนะ แต่ภาษาอังกฤษไม่เอาไหนเลยตั้งแต่เด็ก” 

วิธีหนึ่งที่สามารถลดความต่างระหว่างห้องเรียนกับที่บ้านคือ การส่งข้อมูลเกี่ยวกับ Growth Mindset และแผนการสอนของครูที่โรงเรียนให้ที่บ้านรับรู้ และแนะแนวทางให้ที่บ้านเห็นคุณค่าของความพยายามและพัฒนาการจากการฝึกฝนทักษะของลูกๆ ในงานที่ได้รับมอบหมาย กิจกรรม การกีฬาต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากความถนัดส่วนตัว และสำคัญคือไม่วัดคุณค่าความพยายามและความตั้งใจของเขาด้วยผลคะแนนเพียงอย่างเดียว 

จดหมายไกด์ไลน์ ให้เด็กๆ เข้าใกล้ Growth Mindset 

ตัวอย่างจดหมายที่ครูใช้เป็นไกด์ไลน์ในการแนะนำรูปแบบการสอนและขอความร่วมมือให้ครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันลูกๆ ให้เข้าใกล้ Growth Mindset มากยิ่งขึ้น 

เรียนผู้ปกครองของ______

ความรู้ความสามารถของเด็กทุกคนสามารถพัฒนาให้เติบโตและก้าวไปได้ไกลโดยไม่มีขีดจำกัด และในขณะนี้เด็กๆ ทุกคนในห้องเรียนกำลังได้รับการปลูกฝังให้เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่าพวกเขาสามารถพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ และสามารถประสบความสำเร็จในทุกด้านด้วยการฝึกฝนและความพยายาม

แนวทางการเสริมสร้างความเชื่อมั่นนี้ นักเรียนทุกคนจะถูกเคี่ยวเข็ญให้ทำแบบฝึกหัดหรือปฏิบัติงานยากๆ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ทั้งดีและร้าย และได้ฝึกทักษะที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในเส้นทางการประกอบอาชีพในอนาคต ทั้งด้านวิชาการ การกล้าแสดงออกทางความคิด-การพูด รวมทั้งทักษะชีวิตเช่นความเป็นผู้นำ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

เหนืออื่นใด ความเก่ง พรสวรรค์หรือความสมบูรณ์แบบของผลคะแนนไม่สำคัญเท่ากับว่า พวกเขาได้พัฒนาตัวเองในด้านที่ไม่เคยรู้ว่าตนเองทำได้และทำมันด้วยความอุตสาหะพยายาม อุปสรรคและความล้มเหลวจะเป็นบทเรียนและคำแนะนำชั้นดีที่พวกเขาสามารถนำมาเรียนรู้แก้ไขเพื่อปรับปรุงตนเองได้ ห้องเรียนของเราอยากให้นักเรียนเติบโตไปด้วยความคิดเช่นนี้ว่าพวกเขาจะสามารถทำและเป็นทุกอย่างได้ถ้าเปิดใจเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และมีความมานะพยายาม

ดังนั้น ดิฉันจึงอยากขอความร่วมมือให้ที่บ้านเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นความคิดอ่านของเด็กๆ ให้เป็นนักพัฒนาตนเองและคิดบวกเมื่อเจออุปสรรคหรือความล้มเหลว แม้ผลการเรียนยังเป็นขั้นตอนประเมินความก้าวหน้าที่จำเป็นเช่นเดิม แต่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เน้นไปที่พัฒนาการของพวกเขามากกว่า เช่น คะแนนเพิ่มจาก 55 เป็น 68 และในขณะเดียวกันลองสังเกตพัฒนาการทักษะด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจในตนเอง การวางเป้าหมายและวิธีคิดของเขาประกอบไปด้วยเป็นสำคัญ

ท้ายที่สุด ดิฉันใคร่ขอความร่วมมือดังนี้

  • สนับสนุนให้เด็กๆ กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่อาจไม่ใช่ความถนัดของเขา เช่น เล่นดนตรีหรือกีฬาที่ไม่เคยเล่น อ่านหนังสือแนวที่ไม่เคยอ่าน ลองให้เขาทบทวนว่าได้อะไรจากการสัมผัสสิ่งใหม่เหล่านั้น
  • ใช้คำชื่นชม หรือปลอบใจเมื่อล้มเหลว โดยเน้นความตั้งใจพยายาม เช่น “พยายามได้ดีมากเลยจ้ะ” “ล้มแล้วลุกใหม่ได้” “เมื่อกี๊ลูกพยายามได้น่าชื่นชมมาก” “ผิดเป็นครูนะจ๊ะ หนูได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง” “ไม่ได้ก็ลองใหม่ลูก เต็มที่กับมันซักตั้ง” “ผลงานชิ้นนี้แสดงความคิดสร้างสรรค์กับความตั้งใจของลูกได้ดีมาก” เหล่านี้ เด็กจะไม่กลัวผิดและมองเห็นโอกาสริเริ่มแก้ไขทุกครั้ง
  • อย่าโฟกัสไปที่ผลคะแนนของลูกมากเกินไป ดูที่ความพยายาม ความตั้งใจของเขาเป็นสำคัญ
  • ถ้ามีข้อเสนอเรื่องการมอบหมายงานให้เหมาะสมกับพัฒนาการของนักเรียน สามารถหารือร่วมกันได้ค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับความสนับสนุนในครั้งนี้ด้วยค่ะ

คุณครูของ______

เตรียมตัวสร้างห้องเรียนแบบ Growth Mindset

จุดประสงค์การเรียนรู้ของเด็ก 
– นักเรียนต้องแยกแยะ Growth Mindset และ Fixed Mindset ได้
– ให้ตัวอย่างของ Growth และ Fixed Mindset ได้
– เข้าใจว่าทุกคนเกิดมาเพื่อเรียนรู้และต่างก็กำลังพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

คำถามสำคัญที่ต้องอบอวลตลอดการสอน
– เรามีกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ใหม่อย่างไร?
– ทำไม Growth Mindset จึงจำเป็นต่อการเรียนรู้?
– ความเข้าใจแบบ Growth Mindset และ Fixed Mindset ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร?

คติประจำชั้นเรียน 
คติประจำชั้นช่วยให้นักเรียนไม่หลุดคอนเซ็ปต์ของ Growth Mindset หรือส่งผลให้ทุกคนรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันที่จะร่วมสร้างบรรยากาศห้องเรียนให้เป็นไปตามนั้น เช่น
– เราจะเรียนรู้ด้วยการคิดบวก
– เราจะไม่หยุดเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง
– เราจะแก้ปัญหาอย่างรักใคร่ปรองดองกัน

การจัดห้องเรียนให้พร้อมเรียนรู้แบบเติบโต
– จัดโต๊ะเก้าอี้เป็นกลุ่มเล็กๆ หรือล้อมวงเป็นกึ่งๆ ห้องเสวนาให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันได้ ไม่มีเด็กหน้าห้องเด็กหลังห้องอีกต่อไป เพราะครูสามารถเดินเข้าถึงทุกคน
– ตกแต่งบอร์ดหรือตั้งโชว์ผลงานนักเรียนที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์แบบ ชิ้นงานเว้าแหว่ง ปะติดปะต่อด้วยรอยกาวเลอะเทอะ บนบอร์ดเขียนนิยามความเป็น Growth Mindset เช่น “ความรู้เติบโตได้ไม่สิ้นสุด” “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน” “Impossible is Nothing” “Done is Better than Perfect” “Just Do it!
– เน้นการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเด็กอย่างทั่วถึง ไม่เน้นว่าคำตอบต้องถูกต้องเสมอไป หรือผลงานต้องสมบูรณ์แบบ แต่เด็กต้องได้ผ่านกระบวนการคิดเพื่อทำความเข้าใจ

กิจกรรมและแบบฝึกหัด
– ฝึกให้นักเรียนแยกแยะ Growth Mindset และ Fixed Mindset เป็น
– เสวนากันถึงปัจจัยที่จำเป็นต่อกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ความคิดของเด็กๆ อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น การรับมือแก้ปัญหาที่เป็นไปได้และข้อเสนอแนะ

อุปกรณ์
– แลปท็อปและจอโปรเจ็คเตอร์ (สำคัญมากในการสืบค้นนอกเหนือตำราเรียน)
– กระดานดำ/ไวท์บอร์ด/กระดาษแผ่นใหญ่
– ดินสอสี, Post it, มาร์คเกอร์ 

สำหรับครูที่กำลังมองหาตัวช่วยวางแผนการสอนหรือเฟ้นหากิจกรรมรูปแบบต่างๆ หนึ่งในแหล่งข้อมูลที่อยากนำเสนอคือ www.mindsetkit.org ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง PERTS กับ Khan Academy เว็บไซต์ชื่อดังที่มีการรวบรวมเทคนิคการสอนและสื่อการสอนออนไลน์ รวมถึงกิจกรรมสร้างเสริม Growth Mindset ต่างๆ ให้ครูสามารถนำไปใช้ในห้องเรียนไว้ครบครัน  โดยแผนการสอนที่บทความนี้จะนำเสนอก็พัฒนามาจากเว็บไซต์นี้ด้วยเช่นกัน 

ที่มา:

Hundley, A. B. (2016). Everyone Can Learn!. In The Growth Mindset Coach (pp. 27-49). CA: Ulysses Press.

Tags:

พ่อแม่ครูเทคนิคการสอนGrowth mindset

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง
Character buildingCreative learning
21 June 2019

ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

เรื่องและภาพ potential-test-user

  • ในระดับสากล ปันจักสีลัตคือวัฒนธรรมร่วมและถูกยกระดับเป็นกีฬาสากลที่มีสมาคมวิชาชีพรองรับ หากในระดับชุมชน ปันจักสีลัตถูกใช้เป็น ‘กระบวนการเรียนรู้’ ของเด็กกลุ่มหนึ่ง ณ ชุมชนบ้านทุ่ง ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล
  • ชวนอ่านวิธีคิดการจัดการเรียนรู้โดยคนในพื้นที่ที่เชื่อว่าต้องมาจาก ‘สถานการณ์จริง’ ความสำเร็จของโครงการเป็นผลพลอยได้ กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเข้าถึง ‘คุณค่า’ ต่างหาก คือเป้าหมายที่แท้จริง
  • “ผมไม่ได้คิดว่าเด็กน้ำท่อมมีปัญหามากกว่า ต้องดูแลมากกว่า ต้องสปอยล์มากกว่า ปัญหาจริงๆ คือเด็กไม่มีโอกาส ไม่มีพื้นที่ ต่อให้คุณเป็นเด็กเรียนหรือไม่เรียนหนังสือก็ไม่มีพื้นที่ พื้นที่ในการทำงานบนความเป็นจริงร่วมกันระหว่างเด็กต่อเด็ก หรือ เด็กต่อครู ต้องการพื้นที่เพื่อรวมตัวและทำอะไรร่วมกัน”

หากจำได้ งานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2015 ครั้งที่ 28 ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ ‘ปันจักสีลัต’ เป็นหนึ่งในกีฬาที่คนไทยคว้าได้ถึง 3 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน แต่มีกี่คนที่รู้ว่ามันคือกีฬาอะไร?

ปันจักสีลัต ศิลปะการต่อสู้ของชาวมลายูในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส และสงขลา หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ปันจักสีลัตคล้ายกีฬาเทควันโด แต่มีท่วงท่าร่ายรำที่เร่งเร้า ดุดัน หากบางจังหวะซ่อนความอ่อนไหวอ่อนโยน ยิ่งเมื่อร่ายรำพร้อมการประโคมเครื่องดนตรีแบบสีลัตในจังหวะรุกเร้าด้วยกลองและปี่ ยิ่งสะกดคนดูจนละสายตาไม่ได้ คล้ายตกอยู่ในมนตร์การต่อสู้ลี้ลับ

ในระดับสากล ปันจักสีลัตคือวัฒนธรรมร่วมและถูกยกระดับเป็นกีฬาสากลที่มีสมาคมวิชาชีพรองรับ หากในระดับชุมชน ปันจักสีลัตถูกใช้เป็น ‘กระบวนการเรียนรู้’ ของเด็กกลุ่มหนึ่ง ณ ชุมชนบ้านทุ่ง ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล

“ผู้รู้หรือคนที่ร่ายรำปันจักสีลัตในหมู่บ้านเป็นคนสุดท้ายอายุ 70 ปีไปแล้ว คนที่สอนได้กำลังจะตายไปทีละคนๆ รวมกับที่หมู่บ้านมีปัญหาเรื่องเด็กในชุมชนด้วย เด็กติดน้ำท่อม แว้นรถ คือเรียกว่ายังไง (คิด) หลายคนบอกว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กไม่ดี พวกเรา ป๊ะๆ มะๆ เลยคุยกันว่าจะทำยังไงให้เขาดีขึ้น พอมีโครงการ Active Citizen ที่ให้เด็กๆ รวมกลุ่มกันทำโครงการในชุมชน พวกเขาเลยคิดกันว่าเอาเรื่องปันจักสีลัตขึ้นมาทำดูไหม เพราะที่หมู่บ้านเคยทำวิจัยเรื่องปันจักสีลัตอยู่เดิมแล้ว”

ก่อเดี๊ยะ นิ้วหลี พี่เลี้ยง โครงการเรียนรู้ด้านดนตรีปันจักสีลัตของชุมชนบ้านทุ่ง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านทุ่ง ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล หรือ มะ ที่แปลว่า แม่ ของเด็กๆ ในชุมชนเล่าให้ฟัง และอธิบายถึงจุดเริ่มต้นที่ปันจักสีลัตเข้าไปเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้และรวมกลุ่มของเด็กๆ ซึ่งมะเดี๊ยะบอกว่าเด็กในชุมชนเริ่มมีปัญหาติดน้ำท่อม ซิ่ง หรือแว้นรถมอเตอร์ไซค์ยามค่ำคืน

ไม่ใช่แค่เรื่องพฤติกรรม ยังมีปัญหาที่ผู้ใหญ่ซึ่งเป็น มะ และ ป๊ะ (พ่อ) ของเด็กๆ ในชุมชน – รู้สึกร่วมกันคือ ความห่างเหิน ความไว้วางใจ ความห่วงกังวลวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าพวกเขาจะเดินไปในทางที่ไม่ดี

มะเดี๊ยะจึงชวนผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ในชุมชน ร่วมกับผู้ประสานงานจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดสตูล ที่รับผิดชอบโครงการ Active Citizen เปิดพื้นที่ในชุมชนให้เด็กๆ นำประเด็นปันจักสีลัตซึ่งชุมชนเคยวิจัยอยู่แล้ว เป็นประเด็นทำโครงการ

ในช่วงต้น ไม่ใช่เด็กทุกคนที่อยากทำโครงการ เป็นการริเริ่มโดยคนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่เห็นว่าควรรักษาปันจักสีลัตไว้ หนึ่งในนั้นคือ ‘สาว’ ณัฐดา หมื่นอาด แกนนำพี่ใหญ่ของโครงการ แล้วค่อยเข้าไปชวนคนหนุ่มสาวในชุมชนให้เข้ามาร่วมกันมากขึ้น

“สำหรับเด็กกลุ่มที่ติดน้ำท่อม ตอนแรกพวกเขาไม่ได้อยากมานะ มะต้องไปปลุกถึงที่นอน (หัวเราะ) แต่พอเราพาเขาไปเห็นปันจักสีลัตจริงที่ปัตตานี เด็กๆ กลุ่มนี้กลับมาเขาบอกเลย จะต้องทำแบบนั้นให้ได้ เด็กๆ เขามีแรงบันดาลใจขึ้นมา” มะเดี๊ยะของเด็กๆ เล่าถึงจุดเปลี่ยนให้ฟัง

ความน่ารักของจุดเปลี่ยนที่มะว่า เบื้องหลังคือการผลักดันของคนในชุมชน อย่างที่ อับดุลอาสีด หยีเหม หรือ บังปิง ผู้ประสานงานจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (จังหวัดสตูล) เล่าว่า

“ผมพยายามค้นหาว่าครูที่ฝึกสอนปันจักสีลัตดีๆ มีอยู่ที่ไหนบ้าง จนรู้ว่ามีผู้รู้อยู่ที่ตำบลปูยุด อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี แม้ไม่มีงบการเดินทาง แต่ผู้ใหญ่ในชุมชนบอกเลยว่าจะช่วยระดมเงินกันคนละ 200 บาทเป็นค่ารถ ส่วนอาหารก็เอาข้าวหม้อแกงหม้อไปกินกันระหว่างทางเลย”

แม้บังปิงจะขำให้กับเรื่องเล่าและสื่อว่านี่เป็นเพียงน้ำใจระดับ ‘บ้านๆ’ แต่ก็เห็นภาพการสนับสนุนของคนในชุมชน ที่อาจสะท้อนว่าไม่ใช่การทำโครงการอย่างโดดเดี่ยว แต่มีแรงผลักและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนอยู่ในงานด้วย

เป้าหมายหลักไม่ใช่การอนุรักษ์ แต่คือกระบวนการสร้างการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง

หากแกะรอย นี่ไม่ใช่แค่โครงการที่ต้องการแค่ผลลัพธ์ในเชิงความสำเร็จตามเป้าหมาย พูดอีกแง่ หากปันจักสีลัตจะดำรงไว้ในชุมชนได้ นั่นคือผลพลอยได้ เป้าหมายหลักที่กลุ่มโค้ชจังหวัดสตูลต้องการในโปรเจ็คท์นี้ – เยาวชนโครงการ Active Citizen ทั้ง 13 โครงการ ใน 7 อำเภอ ของจังหวัดสตูล – คือ กระบวนการเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง อย่างที่ พิเชษฐ์ เบญจมาศ ผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (โหนด หรือ โค้ช) จังหวัดสตูล อธิบายคอนเซ็ปท์ของโครงการว่า

“project based learning ของเรา ไม่ได้เน้นอยู่บนฐานความคิด แต่เน้นจากฐานความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาวการณ์ชุมชน

ซึ่งถ้าให้พูดแบบกวนตีน ทุกอย่างเป็นเรื่องชุมชนหมด แต่สเกลไหนล่ะ? ชุมชนระดับโลก ชุมชนระดับประเทศ ชุมชนระดับครอบครัว อยู่ที่คุณจะเรียก แต่ทุกวันนี้ชุมชนไม่ใช่แค่หมู่บ้านแบบที่เราเรียนมา ชุมชนเปลี่ยนแล้ว

“ยืนยันด้วยประสบการณ์ทำงานตลอดสิบปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเกิดจากประสบการณ์ตรง ฉะนั้นมันไม่มีประสบการณ์ตรงไหนดีที่สุดเท่าสิ่งที่คุณเห็น และเมื่อลงไปทำจริง จะทำให้คุณเข้าใจสิ่งนี้มากขึ้น

“มันไม่ใช่แค่โปรเจ็คท์เพื่อแก้ปัญหาขยะหรือปัญหาอื่นๆ แต่คือการที่คุณเข้าถึงคุณค่าบางอย่าง ต่อการเรียนรู้บางอย่าง ต่อการสื่อสารบางอย่าง ตัวโปรเจ็คท์อาจแก้ปัญหานั้นไม่ได้ แต่เราเชื่อว่า ณ ขณะนั้นมันเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใต้ปฏิบัติการบางอย่างแล้ว”

คนทำงานหลายคนในโครงการปันจักสีลัตพูดตรงกัน พื้นที่นี้ตั้งใจพุ่งเป้าไปที่เด็กกลุ่มเสี่ยง หลายคนถูกขนานนามเป็นราชาน้ำท่อม หรือซิ่งแว้นป่วนเมือง บังเชษฐ์ทำงานด้วยวิธีคิดเช่นเดียวกันนี้รึเปล่า? – เราถาม

“ผมไม่ได้คิดว่าเด็กน้ำท่อมมีปัญหามากกว่า ต้องดูแลมากกว่า ต้องสปอยล์มากกว่า ปัญหาจริงๆ คือเด็กไม่มีโอกาส ไม่มีพื้นที่ ต่อให้คุณเป็นเด็กเรียนหรือไม่เรียนหนังสือก็ไม่มีพื้นที่ พื้นที่ในการทำงานบนความเป็นจริงร่วมกันระหว่างเด็กต่อเด็ก หรือ เด็กต่อครู ต้องการพื้นที่เพื่อรวมตัวและทำอะไรร่วมกัน

“งานนี้ เราเจอเด็กหลายแบบ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนกลุ่มไหนมันก็จะมีคาแรคเตอร์บางอย่างในการทำงาน เช่น กลุ่มเด็กน้ำท่อม กลุ่มเด็กเรียน กลุ่มเด็กกิจกรรม เราคิดว่า พื้นที่แบบนี้คือตัวเชื่อม แต่ผมยังยืนยัน พื้นที่นี้เป็นของเด็กทุกคน ใครอยากใช้ มา เราไม่ได้ใช้พื้นที่นี้เพื่อสปอยล์แค่สำหรับใครบางคน”

แม้พิเชษฐ์ยืนยันว่าพื้นที่นี้ไม่ได้มีเพื่อคนกลุ่มไหนเป็นพิเศษ แต่อาจเพราะเมื่อพื้นที่เปิดให้กับเด็กที่สังคมเห็นว่าไม่ควรมอบพื้นที่ให้ เมื่อพื้นที่ของเขาเปิด การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่มันกลับมากมายมหาศาล

“เขาอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาก (เน้นเสียง) รอบบ้านไม่เหลือใครเลย มีลูกเพื่อนอยู่สองสามคนแค่นั้นที่ไม่ใช้ยา มะเหมือนจะเสียคนไปเลยกับการต่อสู้ มันท้อเหมือนกันเนอะ… คนเป็นแม่

“จนวันหนึ่งมีประชุมโครงการ จากที่เคยฟังลูกเล่าว่าไปทำอะไรมา เราคิดว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งเล็กๆ แค่ไปเข้าค่าย วันนั้นเป็นครั้งแรกของมะที่ได้เข้าไปประชุมกับลูก มะก็นั่งฟัง ‘อ๋อ… นี่เอง ที่ลูกไปเข้าค่าย’ มะได้นั่งฟังพี่เลี้ยงพูด มันรู้สึกมีความหวัง เหมือนมีแสงสว่างในใจของแม่ (ยิ้ม) ว่าถ้าลูกเราจับสิ่งนี้สำเร็จ มันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดในตัวเขา”

อีกหนึ่งเสียงของ ฮาบิด๊ะ มะของ อันวาร์ นาเคณฑ์ หนึ่งในเยาวชนเรียนรู้ด้านดนตรีปันจักสีลัต แม้เราไม่เคยเจอกันมาก่อน เพียงได้พูดคุยสั้นๆ แต่ความในใจของเธอพรั่งพรูไม่ขาดสาย บางจังหวะเธอขอหยุดเพื่อหายใจเมื่อย้อนเล่าวันที่ลูกชายยังน่าเป็นห่วง บางจังหวะเธอหัวเราะเต็มเสียงยามเอ่ยถึงปัจจุบันที่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกชายดีขึ้นเพราะความรับผิดชอบและการพึ่งพาได้ของลูกชายเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้น้ำตารื้น แต่เราจับได้ว่าเธอโล่งใจ

Tags:

active citizenproject based learningสิ่งแวดล้อมสามจังหวัดภาคใต้Research Base Learning(RBL)สตูลปันจักสีลัตพิเชษฐ์ เบญจมาศ

Author & Photographer:

illustrator

potential-test-user

Related Posts

  • Creative learning
    “นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learningCharacter building
    วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเลน เจอคุณปู่โกงกางและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    “อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

    เรื่องและภาพ The Potential

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel