Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: May 2019

สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด
Creative learning
22 May 2019

สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • คุยเรื่อง พื้นที่สาธารณะ (public space) ในเมืองกับ ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม เพราะพื้นที่สาธารณะไม่ใช่แค่บรรยากาศดีๆ แต่เป็น ‘ประสบการณ์’ ที่มอบสัมผัส (senses) ละเอียดเชื่อมต่อกับสิ่งรอบข้าง มอบปัญญาทางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เข้าใจภาษาระบบนิเวศ หรือที่เรียกว่า ‘eco literacy’
  • “พวกผู้ใหญ่ชอบคิดว่าเด็กขาดนู่นขาดนี่ แล้วก็เอาสิ่งที่คิดว่าเด็กขาดมาผสมกัน แต่เราไม่ใช่แท่งช็อกโกแลตนะ ที่บอกว่าถ้าขาดธาตุไหนก็ให้เอาธาตุนั้นมาผสม ไม่ใช่เคมีในชามข้าว พอคิดว่าเด็กขาดธรรมชาติต้องเอาธรรมชาติมาเติม” ดังนั้นเราควรการเรียนรู้ให้เป็นไปปล่อยไปตามวิถี ไม่ต้องคิดมาก แต่ทำยังไงให้ธรรมชาติมันมีตัวตนอยู่ (Available) ไม่ใช่ให้ธรรมชาติอยู่แค่ในห้องแลป

จำได้ไหมว่าเราออกไป ‘เล่น’ ‘สัมผัส’ ‘สูดอากาศบริสุทธิ์’ นอกบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ จำได้ไหมว่าบ้านเมืองของเรามีฤดูกาลที่หลากหลาย จำได้ไหมว่าเราเคยมีฤดูหนาว มีอาหารตามฤดูกาลให้จดจ่อรอกินกัน?

อย่าว่าแต่คำถามเรื่องฤดูกาลที่เราอาจไม่ได้สัมผัสอีกต่อไป (นอกจากจะออกไปต่างจังหวัด หรือไปสัมผัสความหนาวที่ต่างประเทศ!) เอาแค่ตื่นขึ้นมาแล้วแอพพลิเคชั่นตรวจวัดอากาศขึ้นรูปคนหน้ายิ้มสีเขียว อันแปลว่าอากาศวันนี้ไม่มีค่า PM เกินมาตรฐาน เท่านั้นก็พอจะยิ้มออกมาแล้ว

เหนือไปจากโครงสร้างการจัดการสิ่งแวดล้อมและเรื่องสุขภาพ ประเด็นที่ The Potential อยากชวนคุยวันนี้คือ พื้นที่สาธารณะ (public space) แบบไหนที่เราอยากให้เกิดขึ้นในเมือง เมืองที่จะมอบประสบการณ์ (experience) ให้คนได้ออกไปเล่น สัมผัส โยงตัวเองกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อุดมการณ์โลกสวยที่แค่อยากมีอากาศดีๆ ไว้หายใจ (ซึ่งแค่เรื่องนี้ก็สำคัญ!) แต่คือเมืองที่สะอาดและสุขภาพดีพอจะมอบประสบการณ์ มอบปัญญาหรือความฉลาดทางสิ่งแวดล้อม (ecological intelligence) ซึ่งเราเชื่อว่านี่คือทักษะที่ถูกทำให้หายไป โดยเฉพาะเด็กๆ ที่โชคร้ายในยุคสมัยนี้ 

The Potential ชวน ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม หน่วยงานที่ทำโครงการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในและนอกเมือง ตั้งแต่โครงการนักสืบสิ่งแวดล้อม, โครงการจักรยานกลางเมือง, พลเมืองเปลี่ยนกรุง, wild watch, rewilding Bangkok และอื่นๆ นอกจากจะเป็นนักวิจัยที่ผลักดันโครงการด้านสิ่งแวดล้อมมามากกว่า 20 ปี ดร.สรณรัชฎ์ยังเป็นคนรุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็น last child in the wood หรือ กลุ่มคนที่ทันเห็นกรุงเทพฯ สมัยสาวๆ สมัยที่หมอกลงหนาเป็นสายล้อไปกับท้องนา สมัยที่กรุงเทพฯ ยังมีฤดูหนาวให้เด็กๆ ใส่เสื้อกันหนาวผ้าสำลีออกไปวิ่งเล่นกัน 

และนั่นไม่ใช่แค่การมีบรรยากาศดีๆ แต่มันคือ ‘ประสบการณ์’ ที่มอบสัมผัส (senses) ละเอียดเชื่อมต่อกับสิ่งรอบข้าง มอบปัญญาทางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เข้าใจภาษาระบบนิเวศ หรือที่เรียกว่า ‘eco literacy’ 

ก่อนจะว่ากันเรื่องสิ่งแวดล้อม อยากชวนพี่อ้อยย้อนความหลัง เล่าภาพบรรยากาศว่าพี่อ้อยโตมากับภาพบรรยากาศแบบไหน ภาพแบบนั้นมันกระทำอะไรกับเราบ้าง

พี่เติบโตที่ย่านสุขุมวิท แต่สมัยนั้นน่ะ สุขุมวิทมันคือชานเมืองนะ อย่าลืมว่าเอกมัยคือที่ที่คุณจะไปขึ้นรถเพื่อออกไปภาคตะวันออก สุขุมวิทคือชานเมือง เป็นนา มีข้าว มีควาย พื้นที่สำคัญที่อยู่กับพี่มานานจนอายุ 15 ปีคือบึงบัวหลวงสีชมพู สวยมาก หรือภาพอย่างหมอกยามเช้า พูดไปคุณจะนึกไม่ถึง… กรุงเทพฯ มีหน้าหนาวนะคะ ตื่นเช้ามา 6 โมงจะใส่เสื้อกันหนาวผ้าสำลีมีลายเป็ด เราจะเดินออกไปหาหมอกที่ลงเป็นสาย มันสวยมหัศจรรย์มาก ออกไปต่างจังหวัดก็ยิ่งสนุกใหญ่ เพราะยายพี่อยู่ชะอำ จะได้ไปทะเลบ่อยมาก

ถ้าถามว่าตอนเด็กๆ พี่เล่นกับสัตว์อะไร… ฉลามค่ะ ลูกฉลามเลย มีอยู่หนหนึ่งเจอฉลามสองตัวตรงน้ำตื้น เพราะเป็นช่วงที่น้ำลงแล้วมันว่ายไปไหนไม่ได้ เราก็แบบว่า ตายแล้ว… อยู่เฝ้ามันทั้งวัน ขุดบ่อทรายหลุมใหญ่ๆ เพื่อให้มีน้ำขัง นั่งรอจนกว่าทะเลจะขึ้นมารับ 

ฉลามมีให้เห็น โลมานี่เห็นกระโดดดึ๋งๆ เลย หรือเราเคยเห็นหาดชะอำทั้งหาดเป็นสีชมพูเพราะเต็มไปด้วยหอยทับทิม แต่แล้วมันก็หายไปภายในชั่วอายุเดียว สิ่งที่ไม่เคยนึกว่าจะหายก็หายไป 

คนรุ่นพี่ถึงได้ถูกนิยามว่าเป็น last child in the wood เพราะโตมาก็อยู่กับธรรมชาติ ไม่ได้เรียนพิเศษ วิ่งเล่นกับธรรมชาติโดยไม่มีใครกำหนดว่าต้องไปหรือต้องทำอะไรยังไง หมายความว่าผู้ใหญ่ไม่ได้คิดว่าจะต้องจัดสรรกิจกรรมอะไรให้กับเรา พอถึงเวลามันก็อยากออกไปสำรวจเอง และคนรุ่นพี่จึงเป็นนักอนุรักษ์กันหลายคนเพราะเราโตมากับสิ่งเหล่านั้น และอยู่ในช่วงเวลาขณะมันถูกเอาไป 

ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกว่าคนรุ่นใหม่ไม่เก่ง พี่เองก็มีความโง่หลายอย่าง เด็กรุ่นใหม่เก่งเทคโนโลยีมาก แต่พี่มีอันนี้ (ประสบการณ์) แล้วก็อยากให้เด็กคนอื่นได้มีด้วยเพราะเรารู้ว่ามันมีค่า  

น่าเศร้าที่เราเองก็โตมากับเมือง แต่เมืองไม่มีบรรยากาศแบบนั้น ไม่มีประสบการณ์แบบนั้นแล้ว

เพราะเมืองถูกตัดขาด แต่โชคดีบางที่ยังรักษาไว้อยู่ แต่หลายๆ คนรู้ว่ามันสำคัญ เรามีข้อมูลเยอะแยะ รู้ว่าต้นไม้ดียังไง รู้ว่ามันให้ออกซิเจน รู้ว่ามันให้ความร่มเย็น บลาๆๆ แต่ทำไมเราถึงยังไม่เคารพ? อยากแชร์เรื่องหนึ่งคือ ตอนที่เราทำแคมเปญจักรยานกลางเมือง เด็กรุ่นใหม่เขาอินมาก ทำไมถึงอิน? แน่นอนว่ามันสนุก แต่ที่สัมผัสได้เลยคือมันเป็นประสบการณ์ตรง

ตอนนั้นเราขี่จักรยานจากถนนสาทรเข้าถนนวิทยุ อากาศร้อนมาก แต่ตรงถนนวิทยุมีต้นไม้ใหญ่ เด็กๆ ดีใจมากที่มีต้นไม้ คือพูดให้ตายทุกคนรู้ว่าต้นไม้สำคัญ ทุกคนรู้

แต่การที่เขาได้สัมผัสเองโดยตรง จับต้องได้ ขี่จักรยานจากแดดร้อนๆ เข้ามาที่ถนนวิทยุแล้วสบายเนื้อสบายตัว อากาศเย็นขึ้น หายใจสะดวกขึ้น นี่คือประสบการณ์ตรง มันเกิดการเห็นค่าทันที

เด็กที่รณรงค์เรื่องจักรยานหลายคนก็ไปรณรงค์ต่อเรื่องเมืองที่เป็นมิตรกับชีวิต หลายคนทำประเด็นต่อไปสู่แคมเปญเกี่ยวกับต้นไม้ 

เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ?

ใช่ เพราะเราโยงใยกับมัน เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จริงๆ เราไม่ได้เรียนรู้แค่ที่สมองนะ แต่มันมีความทรงจำตามเนื้อ ตามตัว ตามกล้ามเนื้อ เราเรียนรู้ผ่านตรงนั้นด้วยและเกิดการจดจำได้ 

อีกหนึ่งการเรียนรู้ที่พี่อ้อยกล่าวถึงเสมอ คือความสามารถในการอ่านระบบนิเวศ หรือ eco literacy มันคืออะไร?

literacy แปลว่า รู้ภาษา, eco คือ ระบบนิเวศ คำว่า eco literacy จึงคือการรู้ภาษานิเวศ หลายคนอาจใช้คำว่า environment literacy แต่โดยส่วนตัวพี่ชอบคำว่า eco มากกว่า environment แปลว่าสิ่งแวดล้อม ‘สิ่ง’ ที่อาจเป็นแค่ ดิน/น้ำ/ลม/ไฟ แต่สำหรับพี่มันเป็น ‘ชีวิต’ พี่เลยขอใช้คำว่า eco ในแง่ที่มันคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่เอื้อต่อชีวิต ที่ดูแลระบบ ที่ขับเคลื่อนระบบหมุนเวียนแร่ธาตุ สภาพแวดล้อมที่เราดำรงอยู่ และที่เอื้อต่อการมีชีวิตของเราได้

‘อ่าน’ และ ‘รู้ภาษา’ ระบบนิเวศ คืออะไร?

เวลาเราเดินทางไปประเทศที่เราไม่รู้ภาษาของเขา เราสื่อสารกับเขาด้วยอะไร? อาจจะเป็นการโบกไม้โบกมือ ใช้การสื่อสารผ่านกายภาพซึ่งแล้วแต่สถานการณ์ใช่ไหม? แต่จริงๆ พี่ว่าเราใช้การสังเกตเยอะ ตั้งแต่สังเกตภาษากาย สังเกตรูปแบบพฤติกรรม (behavior pattern) บางทีเราก๊อปปี้การกระทำของคนอื่นๆ เช่น เวลาไปญี่ปุ่นเราก็อาจค้อมตัวน้อยๆ พูดว่า ‘ไฮ่’ หรือเวลาเราเห็นคนร้องไห้ เรารู้ว่าเขาเป็นทุกข์ หรือเราเข้าไปในโบสถ์ เราไม่รู้หรอกว่าพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์คืออะไร แต่เราจะเงียบ หรือกระทำบางอย่างตามคนที่อยู่ในนั้น ทั้งหมดนี้หมายความว่าเราใช้ประสาทสัมผัส (sense) อื่นๆ นอกเหนือจากการใช้สมองคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ 

ทั้งหมดนี้เราใช้ ‘ภาษา’ เหมือนกัน แต่ภาษาไม่ใช่แค่ language แต่เป็น ‘วัฒนธรรม’ 

เวลาพี่พูดว่า นักสืบสิ่งแวดล้อมคือคนที่จะอ่านธรรมชาติได้ พี่มักจะยกตัวอย่างว่า

การที่เรารู้จักชนิดของแมลงน้ำ ก็เหมือนเรารู้จักพยัญชนะ ABCs แมลงน้ำตัวนี้มีสองหาง ตัวนี้มีสามหาง แยกแบบนี้ได้แปลว่าเราเริ่มอ่าน พยัญชนะหรือรู้จัก ABCs ในสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่พอเราเรียนรู้เพื่อรู้จักลงไปถึงชีวิตของเขาว่า เขาชอบอยู่บ้านแบบไหน, เขาชอบน้ำอย่างไร, เขาทนอะไรได้ ทนอะไรไม่ได้ มันเท่ากับเราเริ่มรู้จัก ‘ไวยากรณ์’ เพราะเราเข้าใจสภาพของมัน

คร่าวๆ ก็คือ องค์ประกอบทางระบบนิเวศเหมือนพยัญชนะ ABCs แต่ความหมายของมัน เช่น เขาชอบอะไร ทำไมจึงอยู่ตรงนั้น อันนี้เป็นไวยากรณ์ ซึ่งเวลาที่เรารู้จักไวยากรณ์ ก็คือการที่คุณเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของมัน เข้าใจการเชื่อมโยง เอ๊ะ… มันเป็นเพื่อนตัวนั้น เป็นเพื่อนกับตัวนี้ เราก็จะเริ่มเข้าใจไวยากรณ์ที่ซับซ้อน (complex) ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการอ่านของคุณที่เริ่มอ่านได้หลายระดับ ตั้งแต่ ก-อา-กา ไปจนถึงอ่านนวนิยายของเชคสเปียร์ ที่ต้องการการตีความไปอีกขั้น ฟังแบบนี้แล้วเหมือนเราเรียนวิทยาศาสตร์เนอะ แต่ภาษานิเวศมันมากไปกว่าการเรียนด้วยสมอง

พี่อ้อยมักพูดเสมอว่า การอ่านสิ่งแวดล้อมต้องใช้ร่างกายเปิดรับและสื่อสารกับธรรมชาติ นี่คือ ‘ภาษานิเวศ’ แบบเดียวกันไหม

ต่อให้เราอ่านไม่ออก ต่อให้ไม่มีความรู้แบบวิทยาศาสตร์ เรายัง sense ได้นะ sense นี้มาจากไหน? ไม่ใช่ความสามารถจากสมองซีกซ้าย หรือใช้ความรู้เชิงตรรกะนะ แต่มันก็มีการใช้ตรรกะอยู่อะแหละ เพราะ sensitivity ก็คือสมอง มันแยกกันไม่ขาด แต่เหนืออื่นใดมันใช้ความเคารพและการสังเกตด้วยหัวใจ ใช้ความอ่อนไหว ความละเอียดลออในการสังเกต 

ในแง่ของโลกธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พี่ว่าเผลอๆ อันนี้สำคัญกว่าการรู้วิทยาศาสตร์แบบเป็นขั้นตอน 1-2-3 อีกนะ คือก่อนที่เราจะไปรู้จักแมลงตัวนี้ตัวนั้น เราไม่รู้ข้อมูล ไม่มีวิทยาศาสตร์ ไม่รู้ภาษาของเขา แต่เรา sense ได้ เวลาที่สอนเรื่องธรรมชาติจึงไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูล ไม่ใช่แค่ Head แต่ Heart (ใจ) ต้องมาด้วย พี่พยายามจะใช้การรับสัมผัสต่างๆ ทั้งร่างกาย ให้คนกลับมาเคารพกับร่างกายของตัวเองด้วยว่าร่างกายมีความสามารถในการเรียนรู้ รับข้อมูลอะไรแค่ไหนบ้าง 

ถ้าให้ขมวดก็คือ ส่วนมากเรามักพูดว่าต้องมีความรู้เชิงข้อมูล แต่พี่กำลังจะบอกว่า… ก่อนที่เราจะรู้ข้อมูล ถ้าเรารู้ด้วยใจ เปิดหัวใจออกไป คุณก็รู้ภาษาแล้ว ต่อให้คุณยังไม่รู้จัก ABCs แต่คุณก็อ่านภาษาได้ผ่านร่างกาย แต่เริ่มแรกคุณต้อง sense ก่อนว่าเขามีชีวิต คุณเคารพเขา ซึ่งพี่คิดว่าอันนี้สำคัญมาก 

นอกจากเป็นนักวิจัย พี่อ้อยเดินทางไปต่างประเทศเยอะมาก อยากให้ช่วยให้ความเห็นว่า ต่างประเทศมีการจัดการพื้นที่อย่างไรให้เด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติ ให้ได้มี sense ของการรู้ภาษานิเวศอย่างใกล้ตัว

อันที่จริงพี่ไม่ได้โตในต่างประเทศ ไม่ได้ผ่านระบบการศึกษาของประเทศนู้นประเทศนี้ และไม่ได้อินกับการศึกษามากเท่าไร ประการแรก พี่คิดว่าต่างประเทศเองก็ยังมีปัญหาและเข้าใจว่าจริตของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน แต่คิดว่าเขามีความเห็นร่วมกันที่ชัดเจนนะ คือการให้เด็กเล่นกับธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องวางโครงสร้างอะไร unstructured play ไปเลย ปล่อยให้เด็กลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติและเขาจะค้นพบอะไรใหม่ๆ เอง 

unstructured play หมายถึงอะไรบ้าง

ให้เล่นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องไปกะเกณฑ์อะไร การที่ตารางเวลาของเด็กถูกวางไว้หมด อยากให้ลูกเก่งต้องพาไปเรียนนั่นเรียนนี่ ไม่ต้องมีบทเรียนเยอะ สมัยพี่เด็กๆ นี่มีช่วงเวลาเล่นเยอะมากนะ บ่ายสามโมงกระดิ่งดังปุ๊บเราออกไปวิ่งเล่น ไม่ได้เรียนเยอะ เรียนดีมั่งไม่ดีมั่งนะ เบื่อมั่งสนุกมั่ง คละๆ ไป เราไม่มีเรียนพิเศษ เรียนก็เรียนในนั้น สอบก็คือสอบในนั้น ไม่ได้เป็นระบบการศึกษาที่วิเศษอะไรมากมาย แต่มันไม่ได้เอาเวลาชีวิตเราไปหมด ที่สงสารคือเด็กวันนี้ถูกระบบการศึกษาเอาเวลาไปหมด พี่ไม่เคยหรอกที่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียนขนาดนี้

น่าเศร้าไปอีกที่เมืองไม่มีพื้นที่สาธารณะให้ออกไปเล่นอย่างมีทางเลือก โดยเฉพาะทางเลือกต่อสุขภาพมากขนาดนั้น

เราต้อง identify หรือระบุปัญหาให้ชัด เช่น ถ้าคุณออกแบบเมืองเพื่อรถยนต์มากกว่าเพื่อมนุษย์… จบ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ถนนคือ public space นะ แล้วมันไปกินพื้นที่สีเขียว กินคูคลอง 

เมื่อก่อนกรุงเทพฯ เป็น floodplain (ที่ราบน้ำท่วมถึง) จะอยู่ได้คุณต้องขุดคลองและใช้คลองเป็นเส้นเลือดเพื่อการคมนาคมของเมือง แต่เราก็ถมคลองเพราะต้องการสร้างถนนให้รถยนต์ ตอนหลังเอาบ้านคนออกเพื่อให้เป็นถนนด้วย รถยนต์เลยเริ่มยึดครองพื้นที่อื่นๆ แต่แล้วเกิดอะไรขึ้นบนถนน?

คนเปิดแอร์อยู่ในบ้าน พอเดินออกจากบ้านทนไม่ไหว ร้อน มีฝุ่นควัน มีไอเสียรถ จากนั้นเราก็เข้าไปในรถ ทำรถให้สุขสบาย มีเพลงฟัง มีแอร์ ถามว่ามันเป็นพื้นที่ส่วนตัวไหม? ส่วนตัว แต่พื้นที่ส่วนตัวนี้ยัดเข้าไปอยู่บนพื้นที่สาธารณะ ทุกคนแย่งพื้นที่สาธารณะเป็นของส่วนตัว แบบนี้ปัญหาไม่จบ ทำยังไงก็ไม่มีวันพอ

สำหรับเมือง ต้องแก้โจทย์ปัญหารถยนต์ ถ้าแก้ได้จะแก้ปัญหาอื่นได้เป็นพรวน ต้องเรียก public space คืนมา identify ให้ออก 

หรืออย่าง สวนสาธารณะก็ควรมีหลายแบบหลายระดับ ทำไมสวนจึงกลายเป็นมีกฎห้ามนั่นห้ามนี่ ห้ามปีนต้นไม้ เด็กสมัยนี้ปีนต้นไม้ไม่ได้ ซึ่งมันน่าเศร้ามากนะ เพราะสิ่งที่คุณจะได้จากการปีนต้นไม้มันมหาศาล ทั้งการมีความสัมพันธ์กับต้นไม้ การทรงตัว สมรรถภาพที่จะพัฒนาไปยังด้านอื่นๆ  

เวลาที่เราเปิดเวิร์คช็อป ดูธรรมชาติเสร็จแล้วเด็กๆ เห็นต้นไม้ที่มันเอนอยู่ สิ่งแรกที่เด็กทำคือวิ่งขึ้นต้นไม้ เขาอยากสัมผัส มันเป็นความท้าทายที่ทุกคนอยากป่ายปีน และเด็กๆ ควรได้สัมผัสสิ่งนี้ การได้สัมผัสต้นไม้… คุณไม่รู้หรอกพลังจากต้นไม้มันซึมซับเข้าไปในตัวอย่างไร

จำเป็นไหมที่ต้องเข้าไปในป่าเพื่อรับรู้ว่าเรามี sense นี้

ไม่ค่ะ เพราะฉะนั้นมันจึงสำคัญว่าเราต้อง identify ให้ได้ว่าเมืองคืออะไร?

เมืองไม่ใช่แค่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ เพราะนั่นคือความหมายที่โบราณมาก คนเมืองถึงได้ป่วยไข้ เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนเมืองกับคนชนบทเพราะเมืองทำหน้าที่กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ไม่มีความน่าอยู่ เรานึกว่าจะโกยเงินจากเมืองอย่างเดียวแล้วพอเสาร์-อาทิตย์ก็ไปกอบโกยเบียดเบียนทรัพยากรข้างนอก

แต่ถ้ามองว่าเมืองต้องเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เป็น human habitat เป็นถิ่นอาศัยมนุษย์ แล้วมนุษย์ต้องการอะไรบ้างก็ต้องมาช่วยกันคิด 

แน่นอน สิ่งที่ต้องการคืออากาศสะอาดปราศจาก PM2.5 แต่ตัวที่ปล่อย PM2.5 ยังวิ่งอยู่ในเมือง? แน่นอนว่าเราต้องการดินและน้ำที่สะอาด แต่การจะเกิดสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องการพื้นที่สีเขียว แสดงว่าเราก็ต้องการป่าในเมืองด้วย ต้องการความหลากหลายทางชีวภาพในเมือง ต้องการพื้นที่ชุ่มน้ำในเมือง 

ท่ามกลางเมืองที่เป็นแบบนี้ เราจะสร้างประสบการณ์เรียนรู้เรื่องธรรมชาติให้เด็กๆ อย่างไรดี

เอาจริงๆ พี่ไม่แน่ใจว่าจะตอบได้ไหมเพราะไม่มีลูก แต่คิดว่ามันเป็นธรรมชาติของเราอยู่แล้วที่จะสนใจธรรมชาติ ที่จะสนใจชีวิตอื่นๆ นอกเหนือจากตัวเอง แต่เนื่องจากว่าเด็กสมัยนี้มักโตมาอย่างไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ เจอเด็กหลายคนที่กลัวสกปรก กลัวดิน เกลียดทราย อันนั้นคุณก็หาวิธีแก้เอาเองนะคะ (หัวเราะ) คือถ้าเขา disconnect ไปแล้วมันก็จะยากขึ้น สุดท้ายมันก็คือ ให้การเข้าไปอยู่กับธรรมชาติเป็นธรรมชาติ 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่เขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม พอมีคนแชร์ลิงค์ไปพี่ก็ตามไปดู ไปเห็นคอมเมนต์หนึ่งของเด็กซึ่งน่าสนใจมาก เขาบอกว่า

‘พวกผู้ใหญ่ชอบคิดว่าเด็กขาดนู่นขาดนี่ แล้วก็เอาสิ่งที่คิดว่าเด็กขาดมาผสมกัน แต่เราไม่ใช่แท่งช็อกโกแลตนะ ที่บอกว่าถ้าขาดธาตุไหนก็ให้เอาธาตุนั้นมาผสม ไม่ใช่เคมีในชามข้าว พอคิดว่าเด็กขาดธรรมชาติต้องเอาธรรมชาติมาเติม’

ซึ่งเด็กเขาพูดถูกนะ คุณปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นสูตรสำเร็จ วิธีคิดแบบนี้ต้องเปลี่ยนก่อน พี่โคตรเห็นใจเด็กเลยนะ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็มีความคิดแบบนี้แล้วไง ถ้าคุณเอาเด็กคนนี้มาให้พี่และบอกว่า ให้เวลาพี่สามชั่วโมง ช่วยดูแลเด็กคนนี้ให้หน่อย เติมวิตามิน N ให้หน่อย (วิตามิน N – Nature) จะให้พี่ทำยังไงอะ? เขาไม่อยากมาอะ คุณแม่บอกว่าตอนนี้เป็นเทรนด์ค่ะ ต้องเติมวิตามิน N แบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนที่คุณแม่ด้วยไหม?  

ปล่อยไปตามวิถี ไม่ต้องคิดมาก แต่ทำยังไงให้ธรรมชาติมันมีตัวตนอยู่ (available) ไม่ใช่ให้ธรรมชาติอยู่แค่ในห้องแล็บ ถ้าผู้ใหญ่พูดว่าเวลานี้ต้องเติมวิตามิน N แต่ผู้ใหญ่ไม่ทำ (ผายมือ) จะให้เราทำยังไง? มันต้องให้เป็นวิถีปกตินะ ไม่ต้องคิดมาก แค่ไปสัมผัส

Tags:

โรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)มูลนิธิโลกสีเขียวดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมpublic spaceeco literacy

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningSpace
    นักสืบสายน้ำ : กลับมาเคารพร่างกายตัวเอง ให้ ‘สัมผัส’ อ่านสิ่งแวดล้อม

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน
Social IssuesBook
21 May 2019

WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ผู้ใหญ่มองว่าวัยรุ่นใช้โซเชียลมีเดียฉาบฉวย โซเชียลมีเดียมอมเมาเยาวชน เป็นการล่อลวง และไม่มีความรู้อยู่ในนั้น ขณะที่วัยรุ่นก็ได้แต่มองบนตาปริบๆ แล้วถามกลับผู้ใหญ่ว่า “รู้อะไรบ้างในโลกโซเชียลมีเดียที่แสนซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และเปลี่ยนเร็วขนาดนี้” 
  • เสวนา WHY WE POST: เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต ต่อยอดจากหนังสือสองเล่ม คือ WHY WE POST และ It’s Complicated สำนักพิมพ์ Bookscape ชวน 4 วิทยากรตั้งแต่นักเขียนบทซีรีส์, นักมานุษยวิทยา, คนในโลกไอที และคนทำนโยบายการสื่อสาร แลกเปลี่ยนโลก ‘วัยรุ่นยุควุ่นเน็ต’ ในขอบข่ายสายตาและวิชาชีพของพวกเขาว่ามัน ฉาบฉวย ผิวเผิน อย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนปรามาสจริง หรือเป็นแค่ช่องว่างระหว่างวัย ระหว่างคนสองโลกที่ไม่เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
ภาพ: สำนักพิมพ์ Bookscape และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ปฏิเสธไม่ได้จากปรากฏการณ์ ฟ้ารักพ่อ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เผยให้เห็นช่องว่างระหว่างคนสองเจนเนอเรชั่นในเรื่อง โซเชียลมีเดีย ชัดเจนอย่างไม่เคยมีปรากฏการณ์ไหนในสังคมไทยทำได้มาก่อน

ทำไมวัยรุ่นแสดงออกแบบนี้ คิดแบบนี้ ภาษาที่ใช้ก็… อะไรเนี่ย คำศัพท์อะไร? ขณะที่วัยรุ่นก็ตั้งคำถามใหญ่ๆ กลับว่า แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงได้ยินแต่ไม่ฟัง ปิดกั้นความคิด แถมยังตั้งแง่ด้วยว่า เราถูกมอมเมาแค่เพราะหน้าตา!

ยกเรื่องการเมืองออกไปก่อน แต่เวทีเสวนา WHY WE POST: เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต วันที่ 17 พฤษภาคม 2562 โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักพิมพ์ Bookscape อยากตั้งต้นชวนคุยในประเด็นที่ว่า…

วัยรุ่นวันนี้ใช้เครื่องมือการสื่อสารที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย อย่างไร ผิวเผินแบบที่ผู้ใหญ่เข้าใจจริงไหม?, ทำไมโซเชียลมีเดียถึงมีพลังแห่งการสร้างตัวตน จนผู้ใหญ่หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ และ ปรากฏการณ์ที่ชื่อ scalable sociality หรือ สภาวะความเป็นสังคมที่ปรับระดับได้ คืออะไร?  

“ผู้ใหญ่ได้โปรดเข้าใจเด็กด้วย เด็กก็ต้องเข้าใจด้วยว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่กังวล”

คือเสียงของ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ กล่าวขึ้นก่อนเข้าสู่วงสนทนาจริง เพื่ออยากตั้งต้นจุดประสงค์ของวงคุยว่า สื่อได้สร้างและขับเคลื่อนวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ พอๆ กับที่วัฒนธรรมของวัยรุ่นก็เปลี่ยนสื่อ

สำคัญที่สุด ไม่ว่าคนในสังคมยุคไหน เราต่างอยากมี ‘ตัวตน’ และนั่นคือเหตุผลเบื้องต้นแห่ง WHY WE POST: เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

ยูทูบนำโทรทัศน์ และ วัฒนธรรมการเรียนรู้แบบรุ่นน้องมองพี่ ม.6

เกรียงไกร วชิรธรรมพร ในฐานะนักเขียนบทและผู้กำกับซีรีส์ ‘ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น’ ถูกยิงคำถามให้เป็นผู้กล่าวเปิดเวทีเลยว่า ธรรมชาติการใช้โซเชียลมีเดียของวัยรุ่นในปัจจุบันเป็นอย่างไร

เกรียงไกร วชิรธรรมพร

“ต้องกล่าวก่อนว่าผมไม่ได้เป็นผู้รู้ในเรื่องวัยรุ่นนะครับ แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เข้าไปศึกษา เป็นเพราะซีรีส์เรื่อง ‘โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์’ ที่ทำ มันไม่ได้กระแสเท่าที่คิดไว้ เลยกลับไปศึกษาว่า ตอนนี้วัยรุ่นใช้สื่ออะไรและอย่างไร”

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ แม้ซีรีส์ ‘ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น’ จะเคยโด่งดังเป็นพลุแตก แต่เพียง 4-5 ปีผ่านไป ความคิดของผู้จัดทำแบบเดียวกัน กลับใช้ไม่ได้ ข้อสังเกตของเกรียงไกร คือ 

หนึ่ง-วัยรุ่นไม่ได้ปฏิบัติต่อโทรทัศน์ เหมือนที่วัยรุ่นยุคก่อนๆ ใช้ ยูทูบต่างหากคือสื่อกระแสหลักในปัจจุบัน

“อย่าง The Mask Singer ช่วงที่เริ่มเป็นกระแสใหม่ๆ เพราะมันดังในโซเชียลมีเดียก่อนนะครับ พอมันเป็นกระแสแบบปากต่อปาก คนจึงค่อยไปนั่งรอดูหน้าทีวี เพราะไม่อยากโดนสปอยล์อีกแล้วว่าหน้ากากคนนี้เป็นใคร คือเนื้อหาในยูทูบนำโทรทัศน์ไปแล้ว”

สิ่งที่เกิดตามมาคือ วัฒนธรรมการเสพงานในยูทูบก็ยังมีความแตกต่างระหว่างการเสพของผู้ใหญ่กับวัยรุ่น หลักฐานที่ชัดเจนคือ วัฒนธรรมการ subscribe หรือการติดตามเป็นสมาชิก  

“เขาไม่ได้ subscribe กันแค่หลักสิบนะครับ แต่ subscribe เป็นร้อย คล้ายการ follow คนในอินสตาแกรมหรือทวิตเตอร์ พอติดตามมากขนาดนี้ เนื้อหาที่เขาได้รับแต่ละวันมันจึงมาก ไม่เหมือนคนรุ่นเราที่จะ subscribe ใครจะคิดแล้วคิดอีก เพราะกลัวว่าคอนเทนต์เหล่านั้นจะมากวน”

ยังไม่นับข้อสังเกตความแตกต่างระหว่างการทำวิดีโอของเด็กสมัยนี้ที่มีความ ‘จริงใจ’ ไม่มีรูปแบบการถ่ายที่ต้องเก็บเนี้ยบ เกรียงไกรเห็นว่านี่อาจเป็นการรับวัฒนธรรมของ Snapchat หรือ IG’s story ที่เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพแบบสดๆ

สอง-ก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่กังวลว่าเด็กจะใช้สื่อในทางที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง เช่น คลิปชื่อดังเมื่อราว 5 ปีที่แล้วอย่างคลิป ‘ฟ้องครูอังคณา’ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการใช้สื่อของคนในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันจะเห็นว่า วัยรุ่นเกิดการเรียนรู้การใช้โซเชียล แบ่งพฤติกรรมได้สองแบบคือ ถ้าไม่ ทำตาม พราะเห็นว่าวิธีการแบบนี้สร้างตัวตนได้ ก็ หลีกเลี่ยง ไม่ทำเช่นนั้น

“การถ่ายทอดและเรียนรู้แบบนี้ ไม่ต่างจากการมองพี่ ม.6 เราจะเป็นหรือไม่เป็นแบบนั้นก็ได้” เกรียงไกรเปรียบเทียบ

Tik Tok, Snapchat, IG’s stoty การสื่อตัวตนโดยไม่ต้องการให้คงอยู่ถาวร

ขณะที่อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร Blognone ขยายความ วัฒนธรรมร่วมสมัย (เอาสมัยนี้ ณ เวลานี้เลย เวลาหน้าอาจ ‘เอาท์’ ไปแล้ว!) ของวัยรุ่นวุ่นเน็ตยุคนี้ ในเรื่อง ‘ความดิบ’ ของคลิปวิดีโอในแพลตฟอร์มสมัยใหม่ที่เกรียงไกรพูดถึง ขั้นแรก อิสริยะเชิญชวนให้ทุกคนโหลดแอพพลิเคชั่น Tik Tok แอพฯ อัดคลิปวิดีโอยาว 15 นาทีพร้อมเพลง แล้วลองเลื่อนคลิกดู คุณจะพบความบันเทิงและเห็นวัฒนธรรมร่วมสมัยวัยรุ่นอย่างที่สุด

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์

‘ความดิบ’ ที่ว่าเห็นชัดคือใน IG’s story ให้อัดคลิปวิดีโอพร้อมลูกเล่นอีโมชั่น และจะทำลายตัวเองภายใน 24 ชั่วโมง – นี่คือ ‘การลดความถาวร’ ของเนื้อหานั้นๆ ลง

“ผมพยายามทำความเข้าใจ แต่ย้อนคิดตอนที่เราเรียน เวลาเบื่อๆ เราก็วาดรูปใส่กระดาษแล้วปาใส่เพื่อน เพื่อนก็วาดแล้วปากลับมา เสร็จแล้วเราจะเก็บกระดาษเหล่านั้นไว้ไหม? นี่อาจเป็นคำอธิบาย Snapchat หรือ IG’s story ก็คือการสื่อตัวตนโดยไม่ต้องการให้มันคงอยู่ถาวร”  

นอกจากนี้ อิสริยะอธิบายเรื่องการใช้แพลตฟอร์มของวัยรุ่นสมัยนี้ว่าแต่ละคนไม่ได้ใช้แค่แพลตฟอร์มเดียว และแต่ละแพลตฟอร์ม ก็ยังมีได้ตั้งหลายแอคเคาท์ เช่น แอคเคาท์หลุม กรุ๊ปไลน์ย่อย แต่จุดตั้งต้นที่สำคัญ มันคือพื้นที่แห่งการแสดงออก และการแสดงออกที่ไม่ต้องมีพ่อแม่ หนึ่งในข้อสังเกต ซึ่งหลายคนในห้องประชุมพยักหน้าคือ วัยรุ่นย้ายไปเล่นทวิตเตอร์ ก็เพราะพื้นที่นั้นไม่มีพ่อแม่

“ถ้าอยากเข้าใจวัยรุ่น ให้ไปลองเล่นทวิตเตอร์นะครับ แต่ให้เล่นสักพักหนึ่งแล้วคุณจะเห็นเลย ที่ชัดที่สุดคือ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เฟซบุ๊ค คือ ‘คนรู้จัก ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง’ ส่วนทวิตเตอร์ คือ ‘คนไม่รู้จัก ที่คุยกันรู้เรื่อง’ ”

สังคมปรับระดับได้ คำอธิบายว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้ฉาบฉวย แต่ซับซ้อนและมีองค์ความรู้ในนั้น

เพราะหนังสือ WHY WE POST: ส่องวัฒนธรรมโซเชียลมีเดียผ่านมานุษยวิทยาดิจิทัล เป็นการเล่ามุมมองด้วยวิถีมานุษยวิทยา – การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และ การเปรียบเทียบความหลากหลายในเชิงพื้นที่และสังคมของปรากฏการณ์

พรรณราย โอสถาภิรัตน์

พรรณราย โอสถาภิรัตน์ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงอยากอธิบายปรากฏการณ์ที่วิทยากรสองท่านพูดถึงก่อนหน้า ตั้งแต่วัฒนธรรมบอต (ในทวิตเตอร์), การฉอด (ในทวิตเตอร์) แอคเห็บ (ในทวิตเตอร์) รวมทั้งคำกล่าวที่ว่าวัยรุ่นใช้สื่อโซเชียลมีเดียแบบฉาบฉวย และ บางครั้งทำให้คนในครอบครัวห่างเหิน มันไม่ได้เป็นจริงในทุกพื้นที่

คำอธิบายหลักที่พรรณรายยกขึ้นมาเล่าบนเวที คือ ความเข้าใจ สภาวะความเป็นสังคมที่ปรับระดับได้ (scalable sociality) อย่างสรุปคือ ภาวะที่เรา – คนที่ใช้โซเชียลมีเดียโดยรวม ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง หนึ่งคนใช้โซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงกลุ่มและสาธารณะต่างกัน

“เราใช้แค่เฟซบุ๊คอย่างเดียวรึเปล่า? เราไม่ได้ใช้สื่อเดียว แต่เราเลือกว่าจะใช้สื่อไหนเพื่อจัดการความสัมพันธ์”

พรรณรายยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น ช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมามีข่าวว่า เธอสอบถามนักศึกษาในคลาสว่ามีความเห็นต่อประเด็นการเมืองอย่างไร นักศึกษาตอบว่า หากไปดูความเห็นในทวิตเตอร์จะพบคำตอบที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น มีพวกพ้องเดียวกัน แต่หากไปอ่านความเห็นในเฟซบุ๊คจะได้ความเห็นที่หลากหลาย

เธอยังตั้งคำถามที่น่าสนใจต่อไปว่า ทั้งหมดนี้จะกล่าวได้อย่างไรว่า วัยรุ่นเสพโซเชียลมีเดียอย่างฉาบฉวย? นอกจากจะไม่ใช่ มันยังมีความซับซ้อนและองค์ความรู้ซ่อนอยู่

โลกเปลี่ยนแล้ว รัฐได้ยินรึยัง?

หากเชื่อว่าสังคมมีพลวัต ปรับระดับได้ และการใช้สื่อของวัยรุ่น โดยเฉพาะช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าโซเชียลมีเดียมีพลังต่อความคิดของคนรุ่นใหม่ขนาดไหน ในฐานะคนกำหนดนโยบาย จะใช้ประโยชน์กับการเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงที่พูดกันอยู่บนเวที และที่เขียนอย่างเป็นระบบในหนังสือ ไปสู่หู ‘ลุงๆ’ ได้อย่างไร?

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ตั้งต้นอธิบายจากวิธีคิดสุดคลาสสิก ‘อยู่ที่ว่ารัฐยึดชุดคุณค่าอะไร?’ รวมทั้งการกลับไปตั้งคำถามด้วยว่า สิ่งที่รัฐกลัว ความจริงเบื้องหลังของมันคืออะไร

เช่น คนทั่วไปบอกว่าปัญหาของโซเชียลมีเดียคือ hate speech แต่ นพ.ประวิทย์ตั้งคำถามกลับว่า แล้ว hate speech เกิดขึ้นที่จุดไหน? ใช่หรือไม่ว่ามันเกิดบนเวทีการเมืองแต่แพร่ผ่านมาปรากฏตัวบนโลกออนไลน์ หมายความว่า การจัดการปัญหา ต้องกลับไปแก้ที่ ‘โลกจริง’ ด้วย

ส่วนคำถามที่ว่า จะทำให้อย่างให้บรรดา ‘ลุงๆ’ เข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว

“ต้องทำให้เห็นว่าความจริงไม่ได้มีหนึ่งเดียว แต้มต่อของวัยรุ่นคือเวลา ซึ่งคนรุ่นเก่ารู้ตัวว่าเขาไม่มีเวลา เราหมุนโลกย้อนกลับไปไม่ได้ คนที่รับสุขและทุกข์ คือคนในรุ่นนี้” นพ.ประวิทย์กล่าว

มีแก๊กขำๆ เล็กน้อยที่ นพ.ประวิทย์เสนอความเห็นไว้ คือในช่วงหนึ่งของการสนทนา ผู้ดำเนินรายการถามว่า วัยรุ่นคิดอย่างไรกับ พ.ร.บ.ไซเบอร์ อิสริยะตอบก่อนว่า คนรุ่นใหม่ ‘ไม่สนใจ’ (คำจริงของเขาคือ ไม่แคร์ at all) เพราะอยู่ในจุดที่พวกเขาอัดอั้นมากแล้ว ขณะที่เกรียงไกรเสนอว่า อาจเพราะฟังก์ชั่นการ ‘รีทวีต’ ที่ไม่ต้องแสดงความเห็น การรีทวีตคล้ายการตอบรับแค่ ‘อือ ไม่ได้พูดนะ มันพูด’ จึงทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่หวั่นกลัวว่าการจับกุมจะถึงตัวได้ คล้ายจินตนาการไม่ออกว่าจะจับคนรีทวีตเป็นพันคนได้อย่างไร

มีแก๊กขำๆ เล็กน้อยที่ นพ.ประวิทย์เสนอความเห็นไว้ คือในช่วงหนึ่งของการสนทนา ผู้ดำเนินรายการถามว่า วัยรุ่นคิดอย่างไรกับ พ.ร.บ.ไซเบอร์ อิสริยะตอบก่อนว่า คนรุ่นใหม่ ‘ไม่สนใจ’ (คำจริงของเขาคือ ไม่แคร์ at all) เพราะอยู่ในจุดที่พวกเขาอัดอั้นมากแล้ว ขณะที่เกรียงไกรเสนอว่า อาจเพราะฟังก์ชั่นการ ‘รีทวีต’ ที่ไม่ต้องแสดงความเห็น การรีทวีตคล้ายการตอบรับแค่ ‘อือ ไม่ได้พูดนะ มันพูด’ จึงทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่หวั่นกลัวว่าการจับกุมจะถึงตัวได้ คล้ายจินตนาการไม่ออกว่าจะจับคนรีทวีตเป็นพันคนได้อย่างไร

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา

นพ.ประวิทย์เสนอความเห็นต่อว่า วิธีการพูดของคนในโซเชียลก็น่าสนใจ วัยรุ่นมีวิธีการสื่อสารไปถึง ‘คนที่คุณก็รู้ว่าใคร’ โดยไม่ต้องพูดชื่อ ซึ่งวิธีการแบบนี้เป็นวิธีการเฉพาะของวัยรุ่นวุ่นเน็ตในไทยเช่นกัน

ทั้งหมดนี้เราพูดกันถึงประเด็น ‘บวกๆ’ ที่โซเชียลขับเคลื่อนสังคมและสร้างปรากฏการณ์ร่วมสมัย อย่างไรก็ตาม ในความงามยังมีความมืดมน และมีสิ่งที่คนที่ใช้โซเชียลมีเดียต้องตระหนัก และร่วมกันแสดงจุดยืนต่อผู้คิดนวัตกรรมต่อไป เช่น การเสพโซเชียลมีเดียเกินพอดี ที่นำไปสู่ประเด็น digital well being, การโพสต์ภาพในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่คัดมาแล้วแต่ช่วงเวลาดีๆ ในชีวิต กระทบต่อมุมมองของผู้คนที่มีต่อตัวเอง กระทั่ง มาตรการความเป็นส่วนตัวที่ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม

อย่างไรก็ตาม วินาทีนี้คงไม่ใช่การตั้งแง่ว่าโซเชียลมีเดียนั้นบวกหรือลบ คำถามสำคัญคือ อยู่กันอย่างไรท่ามกลางช่องว่างที่แตกต่าง อย่างที่ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า คีย์เวิร์ด 2 ประการที่อยู่กับวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต คือ empathy – ความเข้าอกเข้าใจ และ compassion – ความกรุณา

เข้าใจและเมตตา สองอย่างที่ทำให้ช่องว่างระหว่าง (โลก) สองวัย แคบลง

Tags:

วัยรุ่นหนังสือDisruptionงานเสวนาgeneration gapโซเชียลมีเดียBookscape

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Book
    ชั้นหนังสือของเด็ก Gen Z

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social IssuesBook
    IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย

    เรื่อง

  • How to get along with teenager
    ฟังเสียงคนรุ่นใหม่: ฉันอยากเป็นนักการเมือง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เด็กกว่า 72% ได้รับโฆษณาจังค์ฟู้ดทุกๆ 10 นาที ถึงเวลาเลิกทำการตลาดได้หรือยัง?
Social Issues
20 May 2019

เด็กกว่า 72% ได้รับโฆษณาจังค์ฟู้ดทุกๆ 10 นาที ถึงเวลาเลิกทำการตลาดได้หรือยัง?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • สภาแคนาดาผลักร่างกฎหมาย แบนการทำการตลาดอาหารจังค์ฟู้ดในเด็กต่ำกว่า 13 ปี
  • งานวิจัยมหาวิทยาลัยออตตาวาชี้ เด็กและวัยรุ่นกว่า 72 เปอร์เซ็นต์ ได้รับโฆษณาอาหารจากโซเชียลทุกๆ 10 นาที เด็กอายุ 2 ขวบเริ่มจดจำแบรนด์อาหารได้
  • “นักโฆษณารู้ว่ามันมีอิทธิพล ถ้าคุณสร้างลูกค้าได้ตั้งแต่พวกเขาอายุ 10 ปี คุณได้ลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ไปตลอดชีวิตเขา”

เคยไหมที่เด็กๆ รอบตัวร้องซื้อขนมเพราะเจ้าพรีเซนเตอร์การ์ตูนบนแพคเกจจิ้ง เคยไหมที่เด็กๆ รู้จักสินค้าบางแบรนด์เพียงเพราะจำได้จากในทีวี เคยไหมที่บางครั้งเด็กๆ ไม่ได้อยากกินขนมในนั้น เพียงอยากได้ของเล่นที่อยู่ในซอง

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่ แนนซี กรีน เรเน (Nancy Greene Raine) อดีตรัฐมนตรีสภาแคนาดาพยายามผลักร่างกฎหมายด้านคุ้มครองสุขภาพเด็ก ในชื่อ S-228 ร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมเกินโภชนาการที่เด็กควรได้รับต่อวัน ทำการตลาดกับเด็กต่ำกว่า 13 ปี ช่องทางที่ว่าหมายถึง โทรทัศน์, อินเทอร์เน็ต, บิลล์บอร์ด, นิตยสาร, วิทยุ, โปสเตอร์บนรถขนส่งสาธารณะ กระทั่งโฆษณาบนแพคเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เอง

แม้จะเป็นกฎหมายที่ผู้ปกครองหลายคนจับตาและเฝ้ามองตั้งแต่ตุลาคมปี 2018 ครั้งแรกที่ร่างกฎหมายนี้เป็นที่พูดถึง แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกชักเข้าชักออกจากสภาจำนวน 4 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทอาหารและโฆษณาหลายแห่ง รวบรวมรายชื่อและเขียนจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรขอให้สภาพิจารณาเพิกถอนแนวความคิดนี้

นักวิจัยออตตาวาชี้ เด็กและวัยรุ่น 72 เปอร์เซ็นต์ ได้รับโฆษณาอาหารจากโซเชียลมีเดียทุกๆ 10 นาที

หากข่าวข้างต้นยังไม่น่าสนใจพอ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยออตตาวาอาจทำให้คุณต้องกลับมาทบทวนอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่มีต่อคนยุคปัจจุบันมากขึ้น

“ตัวเลขที่ออกมาน่าตกใจมาก นี่ไม่ใช่การโฆษณาแบบเดียวกับที่คนรุ่นปู่ย่าตายายของเราเติบโตมา บริษัทอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ทำงานร่วมกับนักประสาทจิตวิทยา (neuropsychologist) และใช้เครื่องมือ MRIs ทำวิจัยด้วย มันยากมากที่เราจะต้านทานแรงดึงดูดจากโฆษณา”

คือความเห็นของ โมนิค พอทวิน เคนท์ (Monique Potvin Kent) หัวหน้าทีมวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยออตตาวา เขาทำวิจัยกับเด็กและวัยรุ่นจำนวน 101 คน อายุระหว่าง 7-16 ปี ที่เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา ขอให้พวกเขาใช้สมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตเข้าบัญชีโซเชียลมีเดียต่างๆ ให้ทำ 2 ช่วงเวลา ช่วงละ 5 นาทีต่อแอพพลิเคชั่นที่พวกเขาใช้งาน โดยระหว่างที่เล่นให้สวมแว่นตาพิเศษที่จะบันทึกทุกอย่างที่พวกเขาเห็น

ผลวิจัยพบว่า ในทุกๆ 10 นาที พวกเขาจะเจอโฆษณาจำนวน 2.1 ชิ้น เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ในทุกๆ ชั่วโมง เด็กๆ จะได้เห็นโฆษณาอาหาร เครื่องดื่ม และสแน็ค มากกว่า 12 ชิ้น และ 90 เปอร์เซ็นต์ในจำนวนนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพ

เมื่อไรกันที่โฆษณาเริ่มมีอิทธิพลต่อเด็กๆ? งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า

เด็กตั้งแต่อายุ 2 ขวบขึ้นไปเริ่มจดจำแบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ แต่จะเริ่มรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือโฆษณาก็ต่อเมื่ออายุ 6 ขวบขึ้นไป แต่จะเริ่มคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ มีความเห็นต่อโฆษณาเหล่านั้นได้ ต่อเมื่ออายุ 12 ปีขึ้นไป

งานวิจัยพบข้อสังเกตอีกว่า ในช่วงวัย 11 – 13 ปี พวกเขาก็เริ่มจะส่งคลิป หรือ โฆษณาที่ตัวเองสนใจ ต่อไปให้เพื่อนๆ ในช่วงวัยเดียวกันแล้ว

“นักโฆษณารู้ว่ามันมีอิทธิพล ถ้าคุณสร้างลูกค้าได้ตั้งแต่พวกเขาอายุ 10 ปี คุณได้ลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ไปตลอดชีวิต” เรเนอธิบายและยืนยันว่าทำไมร่างกฎหมายนี้จึงสำคัญ และควรเร่งผลักให้มีผลบังคับจริง

แม้สภาแคนาดาจะยังอยู่ในช่วงต่อรองและหารือ แต่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคแห่งรัฐควิเบก ประเทศแคนาดาก็บังคับใช้พ.ร.บ. ดังกล่าวในรัฐของตัวเอง ห้ามโฆษณาอาหารจังค์ฟู้ดในเด็กต่ำกว่า 13 ปีแล้ว เช่นเดียวกับประเทศชิลี ที่ออกกฎเกี่ยวกับการโฆษณาอาหารในเด็กเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 เช่น ไม่ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์ซีเรียลที่มีรสหวานจัด ห้ามมีรูปการ์ตูนที่ผลิตภัณฑ์ และแบนลูกอมบางประเภท เช่น Kinder Surprise ที่มักมีกลยุทธ์ล่อใจให้เด็กๆ ซื้อหากัน

ที่มา:

treehugger.com

thestar.com

cbc.ca

ottawacitizen.com

nytimes.com

Tags:

อาหารโรคอ้วน

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    SUNSET GELATO: ไอศกรีมโฮมเมด ‘รสขอนแก่น’ เด็ดจากสวน ส่งตรงถึงหน้าบ้าน

    เรื่อง สิทธิกร ขุนนราศัยรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    เก็บบ๊วยหมักเหล้า เข้าสวนคนขี้เกียจ: เถื่อนทัวร์แบบรื่นรมย์ของคนบ้านหนองเต่า

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learningCharacter building
    เมื่อเด็กไม่กินผัก ต้องทำงานเรื่องผัก ผลักเพื่อนๆ ให้ออกห่างจากอาหารร้านสะดวกซื้อ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Everyone can be an Educator
    เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย: ชายผู้เป็นทุกอย่างให้ช็อกโกแลต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ
How to get along with teenager
20 May 2019

SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Sexting ไม่ใช่ Sex พ่อแม่อย่าเพิ่งตกใจ

รูปโป๊ ข้อความวาบหวิว ม้นเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการ

ในยุคที่ลูกพกความส่วนตัวติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา Sexting คือ การส่ง, ส่งต่อ หรือได้รับข้อความในเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการส่งข้อความทางเพศเป็นพัฒนาการตามวัยของวัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการนิยามอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศของตัวเอง

แต่แทนที่ผู้ปกครองจะจ้องจับผิดลูกหรือเสียเวลาไปกับการหาคนรับผิดชอบกับพฤติกรรมนี้ พ่อแม่ควรกลับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก โดยการอธิบายว่าการสื่อสารเรื่องเพศเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ ‘มันคือความปลอดภัยของตัวลูกเองดีกว่า’

อ่านบทความ Sexting เพิ่มเติมได้ที่นี่

Tags:

Sextingวัยรุ่นโซเชียลมีเดียเพศวัยพรีทีน (Preadolescence)Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ฟังปลา รู้น้ำ รู้ลม และ(ไลฟ์) ขายปลาเค็มเป็น: อัพเดทวิชาจากท้องทะเล
Everyone can be an Educator
17 May 2019

ฟังปลา รู้น้ำ รู้ลม และ(ไลฟ์) ขายปลาเค็มเป็น: อัพเดทวิชาจากท้องทะเล

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • จิรศักดิ์ มีฤทธิ์ หรือ บุช ชาวประมงจากประจวบคีรีขันธ์ วัย 44 ปี บอกว่า ทุกวันนี้ถ้าจะขายปลาสักตัว ไม่ใช่แค่ความสด สะอาด หรือได้มาตรฐานอาหารทะเล แต่ทุกตัว ทุกชิ้น ต้องมีเรื่องราว
  • บุช เข้ามาเป็นสมาชิก ร้านคนจับปลา หรือ Fisherfolk ด้วยข้อสงสัยว่า ‘ทำไมเถ้าแก่ (พ่อค้าคนกลาง) ต้องใส่สารฟอร์มาลิน ทั้งๆ ที่ก็จับมาสดๆ ด้วย’
  • ชาวประมงรุ่นใหม่ ควรรู้กฎหมายรู้เท่าทันโลกภายนอก ชาวประมงหันมาดูแลสิทธิของตัวเองมากขึ้นไม่ได้คิดแต่เรื่องหาปลาอย่างเดียว แต่คิดถึงเรื่องการอนุรักษ์กับการฟื้นฟูไปด้วย เราจะส่งเสริมให้ทุกพื้นที่มีชาวประมงแบบนี้ ไม่ใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย

ทุกวันนี้จะขายปลาอินทรีสักตัว ไม่ใช่แค่ความสด สะอาด หรือได้มาตรฐานอาหารทะเล แต่ทุกตัว ทุกชิ้น ต้องมี story

“จับปลาอินทรีสักตัว ต้องเริ่มตั้งแต่หาเหยื่อล่อคือปลาดาบเงิน ออกเรือตั้งแต่ตี 2 แล่นเรือออกไปไกล 7-10 ไมล์ เพราะอินทรีย์มันอยู่น้ำลึก กว่าจะกลับเข้าฝั่งก็เที่ยง” จิรศักดิ์ มีฤทธิ์ หรือ บุช ชาวประมงจากประจวบคีรีขันธ์ วัย 44 ปี เล่าให้ฟังพลางเปิดโทรศัพท์โชว์คลิปและรูปปลาประกอบ

เท่านั้นยังไม่พอ บุชยังใช้เฟซบุ๊คชื่อเดียวกับตัวเอง ขายอาหารทะเลทั้งสดและแปรรูป จัดส่งตรงถึงมือผู้บริโภคแบบไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางและปลอดสารฟอร์มาลิน

เพราะบุชเข้ามาเป็นสมาชิกของ Fisherfolk: ร้านคนจับปลา ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ด้วยคำถามและข้อสงสัยที่ว่า ทำไมเถ้าแก่ (พ่อค้าคนกลาง) ต้องใส่สารฟอร์มาลินด้วย ทั้งๆ ที่ก็จับมาสดๆ

“เขา (เถ้าแก่) บอกว่าไม่ใส่ไม่ได้เพราะต้องไปส่งที่เดียวกันหมด ถ้าปลาโดนตีกลับก็โดนตีกลับทั้งคันเลย” รวมกับความรู้สึกว่าโดนขบวนการพ่อค้าคนกลางรวมตัวกันกดราคามานาน บุชจึงเป็นชาวประมงคนแรกๆ ของประจวบฯ ที่ตีตัวออกห่างระบบเถ้าแก่แล้วมาเป็นสมาชิกของร้านคนจับปลา

ร้านคนจับปลาหรือ Fisherfolk คือ กิจการของชาวประมงที่ลงขันกันในนามเครือข่ายประมงพื้นบ้าน ร่วมหุ้นกับสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย โดยรับซื้อปลาจากจากชาวประมงพื้นบ้านในราคาสูงกว่าแพปลา ชาวประมงพื้นบ้านนี้จะใช้เรือขนาดเล็กกับเครื่องมือที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ตามหลักการ ‘คลีน กรีน แฟร์’

คลีน: อาหารทะเลสะอาด ปลอดสารเคมี

กรีน: การประมงที่ยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้ปลาหมดไปจากทะเล

แฟร์: แฟร์สำหรับคนกินได้ของดีและปลอดภัย แฟร์สำหรับคนจับปลา ในราคาที่เป็นธรรม

ความรู้เก่า เก๋าๆ

ประสาลูกเลที่ออกเรือมาตั้งแต่ 5 ขวบ แต่เพิ่งมาตั้งตัวขายปลาเองเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ความรู้หลายอย่างก็ต้องนับหนึ่งใหม่ ซึ่งต้องเอามาปรับใช้กับ ‘วิชาเก่า’ ที่โรงเรียนไหนก็ไม่มีสอน นอกจากทะเล

เริ่มตั้งแต่เมาเรือ สองครั้งแรกเท่านั้นที่ทะเลเอาชนะบุชได้ชนิดอาเจียนจนรากเขียวรากเหลือง จากนั้นมาบุชก็ชนะขาด ไม่ว่าจะเปลี่ยนเรือไปกี่ลำ คลื่นใหญ่ลมจัดแค่ไหนก็ตาม

อาจเพราะทำอะไรเป็นในเรือมากขึ้น ความคุ้นเคยและความวุ่นในเรือก็ทำให้ลืมเมาไปเสียสนิท โดยเฉพาะการเป็นประมงพื้นบ้าน จับสัตว์น้ำตามฤดูกาล เครื่องมือก็มากตามไปด้วย

“ประมงพื้นบ้านใช้กระแสน้ำเป็นหลัก ถ้าเราอยากได้กุ้ง เราต้องเอาอวนกุ้งไปจับ ถ้าอยากได้ปูก็ต้องเอาอวนปูไปจับ ถ้าอยากได้ปลาอินทรีก็ต้องเอาเบ็ดไปปล่อย ถ้าอยากได้ปลาจาละเม็ดก็ต้องเอาอวนปลาจาระเม็ดไปจับ เครื่องมือไม่เหมือนกันสักอย่าง อะไรเข้าผมก็เอาอันนั้นไปจับ ไม่เหมือนเรือพาณิชย์ที่ใช้อวนลาก อวนล้อม เครื่องมือเดียวจับสัตว์น้ำได้ทุกชนิด” บุชหมายความถึง ลูกปลา ลูกปู ลูกกุ้ง และหอยต่างๆ โดยเฉพาะหอยลาย

นอกจากกระแสน้ำแล้ว ชาวประมงยังต้องรู้ฤดูกาลสัตว์น้ำด้วยว่า ช่วงไหนควรจับอะไร เช่น ปลาหมึกปีหนึ่งจะจับได้แค่ 2 ครั้งคือ ก่อนมรสุมและหลังมรสุม ปลาหลังเขียวจับได้ตลอดปี และปลาอินทรีจับได้ช่วงมรสุมเท่านั้น

และยังต้อง ‘ฟังปลา’ ให้เป็นด้วย

“ชาวประมงฝั่งนครศรีธรรมราช ฟังปลาจวดเป็น เขาจะดำน้ำลงไปฟังเสียงปลาก่อน พอได้ยินเสียงปลาจวดร้อง อ้อดๆๆ ก็ค่อยวางอวน”

ฝั่งประจวบฯ ของบุชเอง โดยมากคนเรือจะรู้ก่อนเลยว่า ปลาที่ขึ้นก่อน เป็นปลาอะไร

“มี 2 อย่าง ถ้าเป็นกลางคืน จะขึ้นเป็นสีพรายดำ คือ สีออกเขียวๆ อยู่ใต้น้ำ ถ้าเป็นปลาทูเราจะมีไฟฉาย ส่องไปมันจะแตกตัวปึ้งๆๆ มันจะแตกลงล่าง กระจายเป็นพลุเลย ถ้ามันแตกขึ้นบนจะเป็นปลาเล็ก ส่วนกลางวัน ถ้าขึ้นก้อนดำๆ มันใช้หางฟาดน้ำเปรี๊ยะปร๊ะๆ อันนั้นเป็นปลาหลังเขียว แต่ถ้ามันใช้เหงือกหายใจ เหงือกมันจะสะท้อนกับแสงแดดวอบแวบๆ อันนั้นจะเป็นปลาทู”

เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาดูปลา ที่บุชและชาวประมงเรียนรู้สืบต่อกันมา เพื่อเตรียมเรือให้พร้อมเสมอกับสัตว์น้ำตรงหน้า

วิชาดูฟ้าดูฝนก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนั่นหมายถึงน้ำขึ้นน้ำลง บุชเรียกว่า ‘รู้น้ำ’

“รู้น้ำขึ้นน้ำลง ปล่อยอวนแล้วดูว่าน้ำจะไหลไปทางไหน วันนี้เราปล่อยตรงนี้ ปลามันติดตอนใต้ พรุ่งนี้เราก็ต้องเขยิบลงไปใต้อีกหน่อยนึง ไล่ตามปลาไปเรื่อยๆ สมมุติปลาติดตอนเหนือ พรุ่งนี้เราก็ต้องวิ่งไปเหนือกว่า ถ้าเป็นปลาทูมันจะกินเข้ากินออก เราก็จะดูตาอวนแล้วว่าปลากินขึ้นเหนือหรือลงใต้ ถ้าปลากินสาดมาทางใต้หมดเลย เฮ้ย ปลาลงใต้ วันนี้เราก็ต้องลงไปอีก 3 ไมล์ เพราะคืนๆ หนึ่งปลาจะวิ่ง 3 ไมล์ สมมุติวันนี้เราปล่อยเหนือที่ 45 ไมล์ พรุ่งนี้ต้องวิ่งไปดูที่ 48 ไมล์ ไล่ดูเชื้อเรื่อยๆ ถ้ามีเชื้อเราก็ปล่อยอวน”

นอกจากนี้ก็ต้อง ‘รู้ลม’ เกิดวิ่งเรือไปสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากปลาจะไม่ได้ เรือก็อาจจะไม่ได้เข้าฝั่ง

“ถ้ามาทางใต้ก็เป็นลมใต้ ลมตะเภา ถ้ามาใต้เฉียงตะวันตกก็เป็นลมพัทยา ฯลฯ ถ้าเป็นลมสลาตัน พัดตั้งแต่ 5 โมงเป็นต้นไป ลมจะจัด เราต้องทำงานให้เสร็จก่อน 5 โมง ถ้าลมพัดธรรมดาไม่มีขี้เมฆ ไม่น่ากลัว แต่ถ้ามีขี้เมฆขึ้นดำ มีฟ้าผ่าเปรี๊ยะปร๊ะ ฟ้าแลบเป็นระยะ พอมันเข้ามาใกล้เรา จะแลบถี่อันนี้ต้องรีบเข้าฝั่ง” บุชยกตัวอย่าง

จับปลาเก่งอย่างเดียวไม่พออีกต่อไป ต้องขายเป็นด้วย

เดือนๆ หนึ่ง เรือของบุชจะหยุด 2 วัน ทุกๆ วันขึ้น 15 ค่ำ ออกเรือตั้งแต่ 4 โมงเย็น เพื่อไปปล่อยอวนตอน 6 โมงเย็น ก่อนจะสาวอวนขึ้นตอนทุ่มครึ่ง เพื่อพาเรือเข้าฝั่งตอน 2 ทุ่ม

“จากนั้นปลดปลา สะบัดปลาออก ขนปลาขึ้นไปขาย ทั้งหมดนี้เสร็จประมาณเที่ยงคืน”

แต่พอบุชตัดสินใจไม่ขายให้แพปลาเถ้าแก่ แต่มาขายเองและส่งร้านคนจับปลา บุชต้องเรียนรู้และฝึกขายหลายอย่าง

“จากเมื่อก่อนขึ้นท่ามาเถ้าแก่ก็เอาน้ำแข็งมาให้สามตู้ ยกปลาให้เลือก ชั่ง หมดหน้าที่เราละ กลับบ้าน แต่พอเราไม่ขายเถ้าแก่ เราก็วิ่งไปซื้อน้ำแข็งเอง คัดแยกปลา ปลาตัวไหนเป็นแผลก็คัดออก ดอง (แช่น้ำแข็ง) ปลาเอง”

บุชยังต้องรับหน้าที่เป็นพ่อค้า เรียนรู้ที่จะขายเอง เขาถือคติไม่อายทำกินโดยการโทรหาลูกค้าเก่าเองว่า ไม่ได้ขายปลาให้เถ้าแก่แล้ว ถ้าอยากได้ปลาให้มาซื้อที่เรา

ถ้าเถ้าแก่ตั้งราคาไว้ที่กิโลกรัมละ 20 บาท บุชจะขายปลาในกิโลกรัมละ 22 บาท

“ตั้งราคาสูงกว่านิดหน่อยแต่เขามาที่เราได้ปลาแน่ๆ ถ้าไปหาเถ้าแก่อาจจะไม่ได้เพราะแม่ค้าแย่งกันซื้อ จนบางที ซื้อในราคาสูงกว่าที่เราขายด้วย ที่สำคัญปลาเราจะสดกว่าเพราะเป็นปลาของเราลำเดียว ต่างจากเถ้าแก่ที่มีปลาหลายลำซึ่งแต่ละลำไม่รู้ว่าเขาจะมาส่งเมื่อไหร่ บางคนปลดปลาช้า บางคนปลดปลาแล้วยังไม่ดองน้ำแข็ง”

สปีดในการทำงานก็เร็วให้พอกับความสดของปลา จากเมื่อก่อนทำกันสบายๆ ไม่รีบร้อน

“เพราะไม่ว่าปลาสดปลานิ่มก็ราคาเท่านี้ เราจะรีบไปทำไม แต่พอมีร้านคนจับปลา ร้านคนจับปลารับซื้อในราคาที่แพงกว่าตลาด 20 เปอร์เซ็นต์ ด้วยราคานี้ทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้นตามไปด้วย ชาวประมงคนอื่นก็มีรายรับสูงขึ้นตามๆ กัน”

ทุกวันนี้ บุชออกเรือแค่วันละครั้ง ไม่ต้องตะบี้ตะบันออกให้ได้เยอะที่สุดเหมือนที่ผ่านมา เพราะเมื่อปลามีคุณภาพ ก็มีราคา การออกเรือครั้งเดียวแล้วกลับมาพร้อมกับปลาสด ย่อมดีกว่าการออกไปจับทั้งวันทั้งคืนเพื่อแลกเงินกับปลาไม่ได้ราคา

“วันนี้ได้ 1,000 กิโล ได้ 8,000-9,000 บาท พอแล้ว แต่ก่อนออกทั้งวันทั้งคืนจะต้องปล่อยให้ได้มาเพราะราคาปลาถูก ปลากิโลละ 6 บาท เราก็ต้องจับให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ปลากิโลละ 9 บาท ได้แค่นี้ก็พอ”

ขายปลาสดก็ยังไม่พอ ชาวประมง พ.ศ. นี้ ที่รักจะเป็นพ่อค้าด้วย ต้องแปรรูปและขายเป็น โดยเฉพาะการทำปลาเค็มที่ขึ้นชื่อว่ายาก บุชทำแล้วทิ้งๆ มานักต่อนัก

“ปลาเค็ม ปลาหวานทำทิ้งๆ เยอะมาก เพราะทำแล้วขึ้นรา ทำแล้วไม่ได้รสชาติอย่างที่คนกรุงเทพฯ ชอบ หลังจากลองผิดลองถูก จึงค้นพบว่า ปลาเค็ม ต้องเอามาซีลสุญญากาศและรีบแช่เข้าตู้เย็น จากเมื่อก่อนเราเอาไปตากแดดแล้วห่อกระดาษ ทำให้ขึ้นราง่าย เวลาตากเรากางมุ้งให้กันแมลงวัน หรือปลาหวาน น้ำปลาที่เราใช้ทำถ้าเอาไปแช่เย็นก่อนค่อยผสม มันก็ทำให้ปลาหวานอยู่ได้นาน แต่ถ้าเราทำน้ำปลาแล้วเอาปลาไปใส่หรือตากเลยมันก็จะขึ้นรา”

วิธีถนอมอาหารนี้ เป็นความรู้เก่าที่บุชครูพักลักจำมาจากพ่อแม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องฟังพยากรณ์อากาศไปด้วย โดยเฉพาะตอนแล่ปลาก่อนนำไปตาก

“ถ้าฝนจะมาก็ไม่ทำ ผิดกับเมื่อก่อน คิดจะทำก็ทำเลย”

พ่อค้าพร้อม ของพร้อม แล้วลูกค้าล่ะเป็นใคร?

บุชบอกว่า ‘คนกรุงเทพฯ’ ที่มักจะชอบปลาไม่กี่ชนิด คือ ปลาเก๋า ปลากะพง ปลาอินทรี นอกนั้นเป็น ปู กุ้ง ปลาหมึก

และเป็นคนรักสุขภาพเพราะ โลโก้ของร้านคนจับปลาคือ ปลอดสารฟอร์มาลิน

“วันนี้ผู้บริโภคสนใจอาหารปลอดสาร นอกจากนั้นยังรักษาสิ่งแวดล้อม รายได้ส่วนหนึ่งของร้านคนจับปลา จะนำกลับไปฟื้นฟูดูแลทะเล เช่น ทำธนาคารปู รายได้ กำไรทั้งหมดนำมาหมุนเวียนในร้านคนจับปลา ปันหุ้นทุกสิ้นปี สมาชิกตรวจสอบได้หมด

สมัยก่อนเราไม่เคยสนใจตรงนี้ ระบบที่สบายที่สุดคือขายให้เถ้าแก่ แต่ถ้าเราไปคิดว่าทำไมเถ้าแก่ถึงไม่เอาดอกเบี้ยจากเรา เขาบอกเราว่าขาดทุนแต่ถอยรถเอาๆ แต่ที่เขาเอากำไรจากเรามันมากกว่าดอกเบี้ยที่เขาไม่เอา บางทีเขาซื้อเครื่องมือให้เราออกทะเลด้วยซ้ำเพราะเราออกมากเขาก็ได้มาก”

เตรียมตัวเป็น Smart Fisherfolk

บุชและเพื่อนๆ สมาชิกร้านคนจับปลาเตรียมตัวเป็น Smart Fisherfolk แปลเป็นไทยแบบไม่ตรงตัวว่า ชาวประมงพื้นบ้านรุ่นใหม่ มีศักดิ์ศรีและมีคุณค่า โดยมีสมัชชาชาวประมงพื้นบ้านประเทศไทยเป็นตัวตั้งตัวตี

Smart Fisherfolk มีคุณสมบัติอะไรที่น่าสนใจบ้าง

  • ทำประมงอย่างรับผิดชอบ ต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช้อาวุธทำลายล้าง ไม่เอาเปรียบคนอื่น เลือกจับสัตว์น้ำโตเต็มวัย จับสัตว์น้ำควบคู่กับการฟื้นฟูดูแลทะเล
  • ใช้เทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกทั้งการสื่อสารและการประมง ลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนแทน
  • ดูแลสัตว์น้ำอย่างมีคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสูงสุด
  • เรียนรู้โลก เรียนรู้กฎหมาย นโยบายที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ
  • สืบทอดภูมิปัญญาและวิชาประมงอย่างรับผิดชอบจากรุ่นสู่รุ่น

“ชาวประมงต้องพูดคุยกับคนข้างนอกได้ ออกไปกลางทะเลก็โพสต์ ได้คุย ได้สื่อสารเรื่องราวของตัวเองให้คนทั้งโลกได้รู้” บุช อธิบายพลางเปิดคลิปจับปลาอินทรีตัวเท่าต้นขาให้ดู

ไม่ใช่เพื่อขายของเท่านั้น แต่ชาวประมงรุ่นใหม่ต้องสื่อสารเป็น เพราะชาวประมงแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน

“ไม่มีใครไปพูดแทนคุณได้ รู้ปัญหาตัวเอง รู้จุดแข็ง ที่ทำให้เราไม่ทะเลาะกันเรื่องทรัพยากร”

นี่แหละ Smart Fisherfolk

Tags:

ผู้ประกอบการ(entrepreneurship)ประมงร้านคนจับปลา(Fisherfolk)

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน

    เรื่องและภาพ เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้
Social Issues
16 May 2019

เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

ปัญหาฝุ่น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยจากเราไปไหน

สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ตอกย้ำอีกครั้งว่าปัญหาฝุ่นในประเทศไทยขึ้นสูงจนแตะอันดับหนึ่งของโลก และทุกคนได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ โดยเฉพาะ ‘เด็ก’

เพราะระบบทางเดินหายใจและภูมิคุ้มกันต่างๆ ของเด็ก ยังพัฒนาไม่เต็มที่ พวกเขามีโอกาสที่จะรับฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าผู้ใหญ่

ดูแลสิ่งแวดล้อม จึงเท่ากับ ดูแลชีวิตเราและชีวิตลูก

Tags:

สิ่งแวดล้อมฝุ่นพิษ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Voice of New Gen
    Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    SAVE CHAINGMAI ขอให้ไฟป่าสงบลงเร็วพลัน

    เรื่อง The Potential ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    สู้วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ด้วยการทำเครื่องฟอกอากาศ DIY

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Social Issues
    เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้
Social Issues
16 May 2019

เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

ปัญหาฝุ่น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยจากเราไปไหน

สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ตอกย้ำอีกครั้งว่าปัญหาฝุ่นในประเทศไทยขึ้นสูงจนแตะอันดับหนึ่งของโลก และทุกคนได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ โดยเฉพาะ ‘เด็ก’

เพราะระบบทางเดินหายใจและภูมิคุ้มกันต่างๆ ของเด็ก ยังพัฒนาไม่เต็มที่ พวกเขามีโอกาสที่จะรับฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าผู้ใหญ่

ดูแลสิ่งแวดล้อม จึงเท่ากับ ดูแลชีวิตเราและชีวิตลูก

Tags:

สิ่งแวดล้อมeco literacyฝุ่นพิษ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน: หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

ถามตอบเรื่องควอนตัม: เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตอย่าง AVENGERS ได้จริงไหม
Everyone can be an Educator
16 May 2019

ถามตอบเรื่องควอนตัม: เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตอย่าง AVENGERS ได้จริงไหม

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร นักวิจัยอาวุโสประจำศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ช่วยอธิบายทฤษฎีมิติควอนตัม ใน Avengers: Endgame ที่ทำให้เห็นการทำงานของบทภาพยนตร์ที่พยายามสอดแทรกวิทยาศาสตร์ลงไป
  • ครอบครัวไหนที่ลูกชอบดูหนังจักรวาล ลูกชอบเล่นหุ่นยนต์ ชอบต่อเลโก้ พ่อแม่ควรจะส่งเสริมเขา เริ่มต้นง่ายๆ จากการดูว่าลูกชอบทางไหน และใช้วิธีกระตุ้นถามว่า ‘ทำไมๆ’ กับลูกเรื่อยๆ แค่พ่อแม่เริ่มจากการสังเกตและกระตุ้น สุดท้ายถ้าเขาโตขึ้นมาแล้วชอบเรื่องวิทยาศาสตร์จริงๆ ถ้ามันเป็นความฝันของเขา เขาก็จะไปตามทางของเขาเอง
  • เคล็ดลับในการเรียนวิทยาศาสตร์ คือ อย่ากลัว เราสนุกกับทฤษฎีที่เราเรียน ยิ่งถ้าเราเชื่อมโยงบทเรียนกับชีวิตประจำวันได้ จะยิ่งทำให้รู้สึกประทับใจมากขึ้นไปอีก

ภาพยนตร์เรื่อง Avengers: Endgame ถือเป็นหนังม้วนสุดท้ายของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ (จำนวนมาก) ก็ว่าได้ หลังจากที่ถูกผู้สร้างปลุกปั้นกินเวลามายาวนานถึง 11 ปี โดยเส้นเรื่องหลักของบทสรุปมหากาพย์จากค่ายมาร์เวลนี้ ถูกเชื่อมโยงกับทฤษฎีการย้อนเวลาหรือมิติควอนตัม (Quantum Realm) ซึ่งภารกิจของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่จะต้องรวมตัวกัน เพื่อกลับเข้าไปแก้ไขอะไรบางอย่างในมิติที่เกิดขึ้นในอดีต โดยฉากดังกล่าว ต้องอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อย่อตัวเองให้เล็กมากๆ จนหลุดทะลุเข้าไปในอีกมิติให้ได้ 

คล้ายกับเป็นธรรมเนียมที่ภาพยนตร์มาร์เวลมักจะเชื่อมโยงเรื่องของวิทยาศาสตร์ จักรวาล เอกภพ รวมไปถึงมิติต่างๆ ลงไป เช่นเดียวกับมิติควอนตัม ที่ถูกอ้างอิงมาตั้งแต่เรื่อง Ant-Man and the Wasp (2015) แล้ว

การเปิดตัวจักรวาลขนาดจิ๋ว หรือ ไมโครเวิร์ส (microverse) คือการเปิดมิติใหม่ในจักรวาลมาร์เวล เป็นมิติใหม่ที่ไม่ได้ดำรงอยู่ตามความเป็นจริง อธิบายได้ว่ามิตินี้ไม่ใช่แค่การย่อตัวให้เล็ก แต่เปรียบเสมือนเป็นจักรวาลคู่ขนานกับโลกปัจจุบัน เพียงแค่สิ่งที่ดำรงชีพอยู่ในจักรวาลแห่งนี้จะต้องมีขนาดเล็กกว่าอะตอมต่างหาก และความพิเศษของมิติแห่งนี้คือการอยู่เหนือกาลเวลา

ดร.อีริค เซลวิก นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Thor

ข้อยืนยันอีกอย่างหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าค่ายหนังมาร์เวลพยายามจะขยายจักรวาลให้กว้างและใหญ่กว่ากระบวนการยอดมนุษย์ซูเปอร์ฮีโร่ โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง Thor ที่เดินทางเข้าออกมิติกันเป็นว่าเล่น ตัวละครที่ชื่อ ดร.อีริค เซลวิก เคยอธิบายเรื่องโลกคู่ขนานในจักรวาลมาเวลว่ามีจักรวาลคู่ขนานมากถึง 616 จักรวาล

คงเกิดคำถามมากมาย หลังจากดูภาพยนตร์จบ The Potential ชวนเข้าห้องเรียน เช็คชื่อ เพื่อไขความลับวิชาวิทยาศาสตร์ ใน  Avengers: Endgame  ตลอดความยาว 3 ชั่วโมง กับ ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร นักวิจัยอาวุโสประจำศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ผู้ที่ทุ่มเทและอยู่ในแวดวงงานวิจัยด้านวิศวกรรมโฟโทนิกส์ มานานกว่า 20 ปี

ถ้าพูดถึง Avengers: Endgame เราเรียนรู้วิทยาศาสตร์อะไรบ้างผ่านหนังเรื่องนี้

จากในหนัง เราเห็นการทำงานของตัวบทเองที่พยายามใส่เรื่องวิทยาศาสตร์ลงไป การที่ตัวเอกหลายๆ คน ย้อนเวลาโดยผ่านอุโมงค์เล็กๆ หลอดเล็กๆ หรือ โครงสร้างที่เล็กมากๆ เพื่อที่เขาจะเชื่อมโยงให้เกี่ยวกับทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory) และเชื่อมโยงเกี่ยวกับ Quantum Entanglement ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่สำคัญ เพราะมิติควอนตัม คือ จุดเริ่มต้นการขยายเรื่องราวในจักรวาลภาพยนตร์ให้มีความเป็นไปได้

แล้วควอนตัมคืออะไร?

ถ้าเรามองเชิงฟิสิกส์ ทฤษฎีควอนตัมเป็นสิ่งที่ใช้แทนคำอธิบายสิ่งที่เล็กมากๆ เรารู้จักอะตอมอิเล็กตรอน โปรตรอน หรืออนุภาคที่เล็กมากๆ อย่างควาร์ก (quark) พวกนี้จะต้องใช้เรื่องควอนตัมมาช่วย เพราะของเล็กๆ เหล่านี้ มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ซึ่งวิธีการวัดการเคลื่อนที่นี้ จำเป็นต้องมีสถิติบางอย่างเข้ามาช่วย ซึ่งสถิตินี้จะเป็นตัวที่มีความสัมพันธ์กับควอนตัม

แต่พอเราได้ยินแค่คำว่า ‘ควอนตัม’ เรามักจะกลัว และคิดว่ามันเข้าใจยาก นี่คือจุดอ่อนและข้อเสียของวิทยาศาสตร์เหมือนกัน เพราะชอบใช้คำที่ขึงขัง ดูเข้าถึงยาก แต่บางอย่างมันก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ

คีย์เวิร์ดหลักๆ ของ Avengers คือ การย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปได้ไหม?

ทฤษฎีบางอย่างอาจถูกต้องในวันนี้ แต่วันข้างหน้าอาจจะผิดเพราะมีทฤษฎีใหม่มาหักล้าง เช่นเดียวกันกับที่เราเคยเชื่อว่าตึกสูงได้แค่ 10 ชั้น เราไม่สามารถสร้างตึกสูงเกินกว่านี้ได้ แต่วันนี้มันก็ทำได้แล้ว ผมจึงไม่อยากให้ใช้คำว่าเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์

หนังวิทยาศาสตร์จะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ได้อย่างไรบ้าง 

สมมุติครอบครัวไหนที่ลูกชอบดูหนังจักรวาล ลูกชอบเล่นหุ่นยนต์ ชอบต่อเลโก้ พ่อแม่ควรจะส่งเสริมเขา เริ่มต้นง่ายๆ จากการดูว่าลูกชอบทางไหน และใช้วิธีกระตุ้นถามว่า ‘ทำไมๆ’ กับลูกเรื่อยๆ 

รู้ไหม ทำไมรถเคลื่อนที่ได้?

รู้ไหม ชิ้นส่วนนี้ทำงานอย่างไร?

รู้ไหม ทำไมมือถือถ่ายรูปได้ หรือโทรออกได้?

แค่พ่อแม่เริ่มจากการสังเกตและกระตุ้น สุดท้ายถ้าเขาโตขึ้นมาแล้วชอบเรื่องวิทยาศาสตร์จริงๆ ถ้ามันเป็นความฝันของเขา เขาก็จะไปตามทางของเขาเอง

หากให้ตัวอย่างหนัง Avengers ที่สอดแทรกยังมีเรื่องราวของจักรวาล ระบบสุริยะ กาแล็คซี มันช่วยทำให้พวกเราเข้าใจมากขึ้นด้วยซ้ำ จากเดิมที่ท่องระบบสุริยะตามตำรา ดวงอาทิตย์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ตามลำดับ แต่ในหนังทำให้เราเห็นเรื่องราวมากขึ้น ถ้าใครสนใจดาราศาสตร์อยู่แล้ว ผมเชื่อว่าก็จะยิ่งหลงใหลเข้าไปอีก ขนาดผมไม่ได้อยู่วงการดาราศาสตร์ยังรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยเลย 

เพราะผมมองตัวเองเป็นนักเรียน ไปนั่งเรียนที่ห้องเรียน Avengers มันเลยทำให้เรา “โอ้โห รู้สึกชอบ ดูแล้วเข้าใจ แถมออกมาเล่าได้เป็นฉากๆ อีก นี่คือประโยชน์ของการเรียนรู้ผ่านหนัง ผ่านเพลง”

แต่วิธีการใช้ห้องเรียน Avengers ก็สอนจริงไม่ได้ทุกห้องเรียน จะทำอย่างไร

ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า ภาระหน้าที่ของครู ที่มากเกินไป ครูบางคนต้องทำงานนอกเหนือจากหน้าที่การสอน งานบริการ งานธุรการ งานเอกสาร บางครั้งก็ส่งผลให้ครูไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลาสร้างสรรค์ออกแบบห้องเรียน เตรียมเนื้อหาของตัวเอง ก็เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง

อะไรที่ทำให้รู้ตัวว่าอยากเป็นนักวิจัย

หากย้อนไป 20 กว่าปีที่แล้ว คำว่าวิจัย หรือนักวิจัย ยังไม่เป็นที่รู้จัก รวมถึงความเข้าใจก็ยังไม่เยอะมากนัก ผมเรียนจบวิศวกรรม เป้าหมายตอนนั้นเราก็คิดว่าต้องได้ทำงานเป็นวิศวะแน่นอน แต่พอมีโอกาสได้ไปเห็นการทำงานจริงๆ ผ่านการฝึกงาน เราก็เห็นว่าบางอย่างในวิชาชีพนี้ค่อนข้างรูทีน มีการทำซ้ำๆ อยู่

ซึ่งความต้องการข้างในใจของเรา คือการอยากลองทำอะไรใหม่ๆ มากกว่า ประกอบกับตอนนั้น NECTEC เพิ่งเปิดใหม่ มีอายุได้ไม่กี่ปี เขากำลังรับสมัครงานตำแหน่ง ผู้ช่วยวิจัย โดยจั่วหัวไว้ว่า จะได้เจอกับสิ่งใหม่ๆ จึงตัดสินใจสมัครงานที่นี่ จากนั้นก็อยู่ยาว

พอเข้ามาเป็นผู้ช่วยวิจัย มันเป็นอย่างที่เราคิดไหม 

ก็ได้เจอเรื่องใหม่ๆ ที่นี่ทำให้ได้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยเรียนมา บางอย่างที่เราเคยเรียนผ่านๆ  เรียนมานิดเดียว แต่พอได้มาทำงาน มันก็ช่วยทำให้เรา ‘อ๋อ มันเป็นงี้เองเหรอ’ 

ย้อนกลับไปก่อนจะเรียนมหาวิทยาลัย เจอตัวเองหรือรู้ได้อย่างไรว่าอยากเรียนวิศวะ

ผมโตมากับครอบครัวที่ต้องทำมาหากิน ที่บ้านเปิดเป็นร้านเครื่องเขียน พ่อแม่ต้องค้าขายทุกวัน ซึ่งเราเองก็ต้องช่วยเขา

หน้าที่ตอนนั้นคือการเรียนหนังสือและช่วยงานที่บ้าน ดังนั้นผลสอบหรืออะไรก็ตามแต่ พ่อแม่ท่านไม่เคยมากังวล หรือมาบังคับอะไรด้วย เรียนอย่างเดียวจริงๆ ในทางกลับกันพ่อผม ท่านมักจะบอกเสมอว่า ถ้าเรียนไมไหว ให้ลาออก ออกมาทำงานเลย ท่านกลัวเราเครียดด้วยซ้ำ

ผมโตมาและถูกฝึกเช่นนี้มาตลอด ไม่เคยถูกบังคับ ไม่เคยถูกกดดัน ไม่มีคำถามว่าเรียนได้ที่เท่าไรของห้อง ท่านไม่เคยสนใจ มีอย่างเดียวคือถ้าเครียดให้บอก ไม่พร้อมเรียนให้บอก มาช่วยกันทำงาน

อาจเป็นเพราะพ่อจบแค่ ป.4 ท่านก็ไม่ค่อยอะไรมากกับการเรียน จึงทำให้ครอบครัวเราค่อนข้างอิสระ  

แต่ประเด็นต่อมา ในตอนนั้น ช่วง ม.ปลาย ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยถามตัวเองเลยว่าอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ผมแค่รู้ตัวว่าเราชอบคำนวณ เราชอบฟิสิกส์ แต่ถามว่าจะต้องเรียนวิศวะไหม ก็ไม่รู้ เพราะเราไม่รู้จักว่าวิศวะคืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง

แต่โชคดีที่มีเพื่อนพี่ชาย เขาเตรียมตัวเอนทรานซ์เพื่อเข้าวิศวะในปีนั้นพอดี เราก็ ‘เฮ้ย เอนทรานซ์คืออะไร ต้องมีสอบเข้าอีกเหรอเนี่ย?’ พอเราเห็นว่ารุ่นพี่คนนี้เขามีความชอบคล้ายๆ กัน เขาชอบฟิสิกส์เหมือนกัน ถ้าแบบนั้น ถึงเวลาที่เราเอนทรานซ์ เราก็คงจะเลือกวิศวะเหมือนพี่เขาด้วย คิดแค่นั้นจริงๆ เลยทำให้ตอนเรียน ก็เรียนอย่างเต็มที่ เพื่อจะเข้าวิศวะ

ชีวิตตอนนั้นมันไม่มีแผนอะไรเป๊ะๆ เหมือนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมัยนี้ ข้อมูลก็มีไม่เยอะ ต้องพึ่งจากครู หรือไม่ก็สิ่งแวดล้อมรอบตัวเอา 

ตอนเป็นเด็ก คุณเป็นเด็กแบบไหน ใช่เด็กเรียนเก่งหรือเปล่า

ก็ไม่นะ แต่ผมพยายามและขวนขวาย สมัยตอนเรียนผมเคยเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนที่เป็นลูกข้าราชการ เขาดูสบาย ตกเย็นกลับจากโรงเรียน ทำการบ้านนิดหน่อย แต่ผมกลับจากโรงเรียนแล้วต้องทำงานบ้านก่อน ยิ่งทำงานค้าขาย ก็ต้องคอยผลัดกันไปเฝ้าหน้าร้าน ไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน 

แต่ย้อนมองไป ผมว่านี่เป็นข้อดีทางอ้อมที่ทำให้เราขวนขวายด้วยตัวเอง พอถึงเวลาว่างปุ๊บ หยิบหนังสือสอบมาอ่าน ฝึกทำโจทย์ พอช่วงลูกค้าเข้ามาก็ต้องวางหนังสือมาช่วยขาย ผมคิดว่าสภาพแวดล้อมมีส่วนมากๆ ที่มันหล่อหลอมทำให้เราเป็นแบบนี้

อาชีพฮิตสมัยนั้น ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า เช่น แพทย์ พยาบาล ครู ฯลฯ

คล้ายเดิมเลยครับ ตั้งแต่ผมยังเด็ก จนตอนนี้

คิดอย่างไรกับคำว่า ผู้ชายมักชอบเรียนวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้หญิง

ผมไม่แน่ใจว่ามันถูกต้องไหม อย่างที่บอกมันเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของสังคม ถ้ามองย้อนประเทศเรา สมัยก่อนผู้หญิงมักมีโอกาสได้เรียนสูงๆ น้อยกว่าผู้ชาย เพราะสังคมแต่ก่อนบอกว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำ 

เมื่อมีครอบครัวมีลูก ผู้หญิงมักจะต้องดูแลลูกอยู่บ้าน ส่วนผู้ชายมีหน้าที่ทำงานเป็นช้างเท้าหน้า ออกไปหาเงิน จึงทำให้เราไม่ค่อยเห็นผู้หญิงในแวดวงวิทยาศาสตร์เท่าไร แต่ถ้าลักษณะในสังคมตะวันตก บางครั้งเราจะเห็นการโปรโมทนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น บวกกับสภาพสังคมปัจจุบันกลายเป็นว่าไม่ว่าจะชายหรือหญิง ทุกคนต้องช่วยกัน จึงเห็นบทบาทของผู้หญิงในทุกวงการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เรียนวิศวะด้านอะไรมาคะ

ผมเรียนวิศวะที่ขอนแก่น ปีแรกที่เข้าเรียนก็จะได้เรียนวิชารวมๆ พอปี 2 ถึงเวลาที่ต้องแยกสายว่าจะเลือกอะไรเฉพาะทาง เช่น โยธา เคมี สิ่งแวดล้อม ไฟฟ้า เครื่องกล 

ตอนนั้นผมคิดจะเลือกวิศวะโยธาด้วยซ้ำ เพราะมองออกไปเราเห็นชัดว่าวิศวะโยธาคืออะไร นี่คือเสา นี่คือถนน นี่คือสิ่งก่อสร้าง แต่อีกใจหนึ่งก็อยากเรียนวิศวะไฟฟ้า เพราะเราชอบคำนวณ แต่เรานึกภาพไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าไฟฟ้าวิ่งอย่างไร เพราะไม่เคยเห็น แต่ก็เลือกไฟฟ้าไป เพราะมีเพื่อนๆ เลือกด้วย

พอเลือกแล้ว ช่วงแรกๆ เราก็พอเรียนได้ แต่เนื้อหาที่มันยากขึ้น มีวิชาหนึ่งที่คะแนนสอบรายสัปดาห์ของคนทั้งห้องอยู่ที่ 0 หรือ 1 เต็ม 10 ทั้งนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงสอบกันไม่ผ่าน จนสุดท้ายอาจารย์ในคลาส บอกว่า ถ้าคุณอยากเข้าใจเนื้อหา อยากเข้าใจบทเรียน ‘คุณต้องจินตนาการว่าคุณคืออิเล็กตรอน’

แสดงว่าตลอด 4 ปี เรามีความสุขกับวิศวะ

ใช่ ผมว่ามันสำคัญมากนะ ถ้าเราไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เรียน เราจะไม่มีความสุข ไม่ว่าคณะอะไรก็ตาม ย้อนไปตอน ม.ปลาย ผมเรียนฟิสิกส์เรื่องการเคลื่อนที่ เช่น โยนก้อนหินขึ้นไปให้ตกลงในแนวดิ่ง หรือการวิ่งรถตามแนวโค้ง เราก็เริ่มคิดทำไมถนนโค้ง ถนนต้องเอียงนิดนึง แล้วล้อไหนของรถต้องกดถนนไว้ เวลาผมนั่งรถไปส่งของกับพ่อ ผมชอบสังเกตว่า “เออ จริงเว้ย ถนนมันเอียงจริงๆ ด้วย ถ้าเราเลี้ยวซ้าย ล้อข้างขวาจะกดถนนจริงๆ ด้วยแฮะ” หรือ เวลาเราขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวโค้งทำไมตัวเราต้องเอียง ทุกอย่างไปเป็นไปตามทฤษฎีเป๊ะเลย รวมถึงตอนเราอาบน้ำอยู่ ผมเคยลองเอาสบู่มาโยนแนวดิ่งแล้วจับเวลา พบว่า เออมันเป็นไปตามสูตรทฤษฎีโดยอัตโนมัติ

ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้มันยิ่งทำให้เราสนุกกับทฤษฎีที่เราเรียน และรู้สึกประทับใจมากขึ้นไปอีก ถ้าเราเชื่อมโยงบทเรียนกับชีวิตประจำวันได้

อะไรที่ทำให้ให้เรามีแพชชั่นกับวิทยาศาสตร์อยู่ตลอดเวลา

ผมว่าอาจจะเป็นเพราะเราได้เห็นในสิ่งที่ตัวเองเคยเห็น ถูกพิสูจน์ บางทีเราเห็นตัวเลข เห็นคณิตศาสตร์ เห็นเป็นสูตร เราก็ไม่ค่อยเข้าใจนะว่ามันจะยังไงต่อ 

ผมยกตัวอย่าง ตอนเรียนปริญญาเอก ผมก็สงสัยว่าสิ่งที่ผมเรียนอยู่มันใช้อะไรได้จริงไหม จนมีครั้งหนึ่งระหว่างเรียน ผมเจอบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เขานำของมาขาย ซึ่งของนั้นถูกผลิตจากความรู้ที่ผมเรียนจบไม่กี่อาทิตย์ก่อน มันทำให้รู้สึกว่า ‘เออ วิทยาศาสตร์มันใช้ได้จริงนี่หน่า’

สำหรับวิทยาศาสตร์ผมว่า เราต้องอย่ากลัวมัน ต้องสนุก ยิ่งเด็กสมัยนี้ได้เปรียบตรงที่มีข้อมูลมากมายให้ค้นคว้า สิ่งที่ต้องทำคือ ถ้าเราไม่เข้าใจก็แค่เสิร์ชดู คลิกดูได้เลย อินเตอร์เน็ทอยู่ในมือทุกคน สมัยผมไม่มีหรอก จึงทำให้ตัวเองต้องขวนขวาย 

แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กๆ ควรทำ นอกจากค้นข้อมูลแล้วคือการทดลอง เพราะการทดลองและเชื่อมโยงจะทำให้สิ่งที่เราเรียนอยู่มันน่าสนใจมากขึ้น อย่างผมที่เคยโยนสบู่ในห้องน้ำ เชื่อว่าอะไรที่เราสัมผัส มันจะช่วยให้เราจำได้เร็ว

ช่วยสะท้อนการเรียนวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนให้ฟังหน่อย

ผมไม่ค่อยได้เห็นการเรียนการสอนแบบปัจจุบันเท่าไร แต่ผมคิดว่าจุดสำคัญที่สุดไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันคือการเชื่อมโยงในการสอน 

ตอนผมเรียนฟิสิกส์ตอน ม.ปลาย เพื่อนหลายๆ คนก็ตกกันเยอะ และชอบคิดว่าคนที่สอบผ่าน คือคนที่ talent พิเศษกว่าคนอื่น ผมว่าไม่จริงหรอก เขาอาจจะแค่สนุกกับมันมากกว่าแค่นั้น  เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สนุกกับมัน หรือเพราะผู้สอนไม่เชื่อมหรือทำให้เห็นฟิสิกส์ในชีวิตประจำวันก็ได้

อะไรที่เป็นข้อจำกัดในการเรียนวิทยาศาสตร์

ผมคิดว่าคือ ‘สื่อ’ สื่อในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอุปกรณ์ แต่หมายถึงการสื่อสารให้เด็กเข้าใจ การเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าไปในสิ่งรอบตัวของลูกศิษย์ ไม่ใช่เพียงแค่ประถมหรือมัธยม รวมถึงในระดับมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน ครูที่สอนวิทยาศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญมาก เพราะเด็กจะกลัว/ไม่กลัว วิชานี้ครูผู้สอนก็มีส่วนสำคัญหรือตัวเด็กๆ เอง ในปัจจุบันก็สามารถพึ่งตัวเองได้ เนื่องจากมีอินเตอร์เน็ท มีวิธีหาข้อมูลได้จากหลายแหล่งมากกว่าสมัยก่อน

วิทยาศาสตร์สำคัญก็จริง แต่สำคัญกว่าวิชาอื่นจริงไหม

ถ้ามองในร่างกายมนุษย์เป็นพื้นฐานก็ได้ โดยมนุษย์ทั่วไป บางคนชอบวาดรูป ถ่ายรูป ฟังเพลง ศิลปะ เกิดจากการทำงานของสมองซีกสุนทรียศาสตร์ แต่บางคนที่อาจจะชอบขั้วตรงข้ามก็ไม่ได้ผิดอะไร ดังนั้นเราต้องสมดุล 

แต่ประเทศเราก็ยังหลีกหนีการเชิดชูคนที่เป็นหัวกะทิด้านวิทยาศาสตร์ไม่ได้ จะทำอย่างไร

ใช่ มันเป็นกระแสสังคม เป็นความคิดที่ปลูกฝังไว้ ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ คนเราจะประเมินมนุษย์จากการเรียนเก่งไม่เก่ง รวยไม่รวย แต่ถ้าเราโตพอที่จะเรียนรู้คนรอบข้างเราจะเห็นได้เลยว่าความรวยหรือความเก่ง มันอาจจะไม่เกี่ยวกับความสุขในชีวิตก็ได้

อยากให้ยกตัวอย่างหนังวิทยาศาสตร์ 3 เรื่องที่ชอบ

โห (หัวเราะ) จริงๆ ทุกเรื่องก็เป็นวิทยาศาสตร์หมดนะ เรื่อง Avengers, Star Wars หรือพวกซีรีส์สืบสวน สอบสวนต่างๆ ที่หลายคนชอบดูก็เกี่ยวข้องหมด แต่เราไม่เคยตั้งคำถามกับมันเองต่างหาก

เคยสงสัยไหม ทำไมฉากลอบยิง โจรต้องเล็งปืนในองศานี้ แค่นี้ก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์แล้ว

หรือทำไมต้องเห็นฉากที่หมอหยิบเครื่องมือชนิดนี้ ขึ้นมาผ่าร่างกายเพื่อพิสูจน์ นี่ก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์แล้ว 

จะเห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์แทรกอยู่รอบตัวเราหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น ละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์

บางครั้งวิทยาศาสตร์ดูเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ต้องใช้ต้นทุน คำว่าวิทยาศาสตร์จึงเข้าถึงยากสำหรับบางคน จริงไหม? 

ยกตัวอย่างพ่อแม่ผมก็ได้ เขาเรียนแค่ ป.4 เขาไม่รู้หรอกว่า การบ้านวิชาวิทยาศาสตร์ข้อนี้ของเราต้องทำอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าพ่อแม่เขาพร้อมสนับสนุนเราเรื่องอื่นๆ มากกว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย วัยเด็กที่ผมอยากได้หุ่นยนต์ก็ไม่มีเงินไปซื้อ ผมก็เอาของที่มีอยู่รอบๆ เอามอเตอร์เก่าๆ มาประยุกต์เล่น ลองประดิษฐ์ ทำนู่น ทำนี่ แค่นี้ก็เข้าถึงวิทยาศาสตร์แล้ว 

ถ้าพ่อแม่สังเกตเห็นตรงนี้ อย่ามองว่านี่คือเรื่องไม่ดี นี่คือการเรียนรู้อย่างหนึ่งของลูกแล้ว พ่อแม่ต้องเปลี่ยนความคิดจากเดิม ‘เราลองไปสร้างหุ่นยนต์กับลูกไหม เข้าไปมีส่วนร่วมกับเขาบ้าง’

พ่อแม่ทุกๆ คน ต้องอย่ากลัวกับคำว่า วิทยาศาสตร์ มันอาจจะดูขึงขัง แต่จริงๆ มันก็คือเรื่องรอบๆ ตัว เรื่องในชีวิตประจำวันเรานี่แหละ 

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ของเด็กยุคนี้

มันจะดีมากถ้าทุกคนได้เรียนและทำงานในอาชีพหรือสาขาที่ตัวเองรัก พร้อมกับได้เงินเยอะๆ ซึ่งในเรื่องจริงมันอาจมีกรณีเช่นนี้ไม่เยอะ ผมจึงมองว่าสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือการเรียนอะไรก็ได้ที่เรามีความสุขน่าจะดีที่สุด อีกอย่างหนึ่งการส่งเสริมการเรียนรู้ของพ่อแม่ไม่ได้แปลว่ายัดเยียดวิทยาศาสตร์ให้ลูกนะ ถ้าลูกไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ลูกไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ วิศวะ เขาเป็นนักดนตรี เป็นศิลปินวาดรูปก็ได้

และผมว่าความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้ของเด็กสมัยก่อนกับปัจจุบัน ที่เห็นชัดคือ เรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือในการค้นหาความรู้ เครื่องมือในการสื่อสาร เราสามารถสื่อสารกับเพื่อน สื่อสารกับคนที่ไม่รู้ สื่อสารข้ามประเทศได้ง่ายๆ แต่มันก็เหมือนดาบสองคม การที่พร้อมมากๆ เราอาจจะละเลย ไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญกับอะไรบางอย่างไป

ถ้าอยากเริ่มต้นเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านหนัง ต้องทำอย่างไรบ้าง

ตอนเด็กๆ มันก็ไม่มีใครสอนเนอะ ว่าหนังมันให้คุณค่าอะไร ตอนเด็กผมชอบดูหนังหนุมาน ก็ไม่มีใครมาสอนหรอกว่าการกระโดดของหนุมานมันเกี่ยวกับฟิสิกส์อย่างไร 

ส่วนตัวผมคิดว่าหนังทุกเรื่อง มันมีอะไรซ่อนอยู่หมด ไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์ ถ้าเราเอามาโยงกับชีวิตของเราแล้วตั้งคำถามกับมันเยอะๆ พยายามคิดว่าทำไม ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้  มันจะทำให้เราเข้าใจและมีความอยากที่จะขวนขวายหาข้อมูลเพิ่มเติม

พ่อแม่เองก็สำคัญ บางครั้งเด็กๆ อาจจะไม่ฉุกคิด แต่ถ้าพ่อแม่ช่วยกระตุ้นลูก ‘เห็นไหมทำไมเขาถึงย้อนเวลาได้’ ‘ทำไมเขาถึงกระโดดข้ามเวลาได้’ มันก็จะเกิดการเรียนรู้

ซึ่งการเรียนรู้ผ่านหนังมันได้หลายอย่างด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ ไม่ว่ามิตรภาพ ความสัมพันธ์ สิ่งแวดล้อม ความรัก เพราะมันโยงกับชีวิตมนุษย์เราทั้งหมดเลย

ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัยด้านฟิสิกส์ที่ผ่านมือมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และบทบาทของ NECTEC โดยงานวิจัยส่วนมากจะเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ที่เกี่ยวกับแสง อิเล็กทรอนิกส์ และการเขียนโปรแกรม โดยนำทั้งสามศาสตร์มาผสานกัน เพื่อตอบโจทย์ตามที่ได้รับมอบหมาย ทั้งด้านอุตสาหกรรม การเกษตร ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม การแพทย์หรือสาธารณสุข

ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด อย่างด้านเกษตร NECTEC จะมองได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ อย่างแรกคือเรื่องของข้อมูล ต้องลองไปดูเรื่องของแหล่งน้ำ แหล่งเพาะปลูก ซึ่ง NECTEC จะได้รับข้อมูลเหล่านี้จากเจ้าของ นั่นคือภาครัฐ โดยนำข้อมูลต่างๆ มาเชื่อมโยงกัน มาวิเคราะห์ต่อ เช่น ข้อมูลบอกว่าสภาพดินเป็นแบบนี้ สภาพอากาศเป็นแบบนี้ เกษตรกรควรปลูกอะไรดี

อย่างที่สองคือการตรวจวัด เช่น วันพืชมงคลเราจะเห็นได้ว่าใครๆ ก็อยากได้พันธุ์ข้าวจากพิธีไปเพาะปลูกต่อ เพราะข้าวนั้นเป็นข้าวที่มีคุณภาพ บทบาทของ NECTEC คือการวิเคราะห์พันธุ์ข้าวโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ดังนั้นภาพใหญ่ๆ ของ NECTEC  คือ เป็นผู้รับโจทย์จากทั้งภาครัฐและเอกชน ทำงานต่อโดยใช้ความรู้จากทีมที่มีอยู่ เอามาผสมผสาน คิดเครื่องมือขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์อย่างยั่งยืน

Tags:

ภาพยนตร์นักวิจัยวิทยาศาสตร์NECTECดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจรทฤษฎีมิติควอนตัม

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Dear ParentsMovie
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Life classroom
    ฮาวทูทิ้ง: มอง “ตัวละคร” ผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อเราต่างมี “ฮาวทู” จัดการความสัมพันธ์ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    ธิปภร ธนกุลวรภาส: เป็นโค้ชนวัตกรต้องให้คำปรึกษาไม่ใช่สั่งสอน PASSION ต้องมาก่อน PRODUCT

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)
Family Psychology
16 May 2019

บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • เมื่อปมในอดีตส่งผลต่อพฤติกรรมที่เราแสดงออก โดยเฉพาะกับลูก บทความนี้ชวนสำรวจว่าพฤติกรรม หรือการแสดงออกที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกๆ นั้นเป็นเพราะด้านใดในตัวคุณ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (Internal Family System) หรือ IFS
  • ทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน หมายถึง ‘ตัวตนย่อย’ (part หรือ subpersonality) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันภายใน (internal) อย่างเป็นครอบครัว (family) และตัวตนย่อยเหล่านี้ จะลุกขึ้นมา ‘ควบคุม’ หรือ ‘ปกป้อง’ ตัวเองจากความเจ็บปวดหรือบาดแผลที่กำลังเผชิญ จนแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆ
  • หลังจากทำกระบวนการเยียวยาด้วย IFS ทำให้แม่สามารถอนุญาตให้ตนเองมีความรู้สึกในด้านต่างๆ ได้ ทั้งความรู้สึกลบและบวก โดยไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ภายในคนเดียว เธอสามารถบอกกล่าวออกมาให้คนรอบข้างรับรู้ได้โดยที่เธอไม่ต้องกลัวการปฏิเสธ

ในบทความเคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น ที่ผ่านมา ได้ชวนผู้อ่านทำความเข้าใจว่าปม หรือ บาดแผลในใจ ทำให้เราที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง มีบุคลิกนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือหลายๆ อย่าง) เช่น แม่ที่ ‘วิตกกังวล’ (anxiety) แม่ผู้ ‘เพิกเฉย’ (avoidance) แม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (disorganization) เพราะเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตไม่ได้ทำลายแค่จิตใจ แต่กำหนดวิธีที่เราจะตอบสนองต่อโลกภายนอก

หากคุณกำลังสวมบทเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคุณคนหนึ่งก็คือ ‘ลูก’ เพราะเหตุผลในทางจิตวิทยา พฤติกรรมที่คุณแสดงต่อลูกวันนี้ ก็มาจากปมหรือการถูกเลี้ยงดูในอดีต

ในเมื่อปมในอดีตส่งผลต่อพฤติกรรมที่เราแสดงออก โดยเฉพาะกับลูก บทความนี้ฉันจะชวนคุณสำรวจว่าพฤติกรรมหรือการแสดงออกที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกๆ นั้นเป็นเพราะด้าน (part) ใดในตัวคุณ ด้วย ทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (Internal Family System ) หรือ IFS  

ในทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน หมายถึง ‘ตัวตนย่อย’ (part หรือ subpersonality) ซึ่งต่างอิงแอบมีความสัมพันธ์กันภายใน (internal) อย่างเป็นครอบครัว (family) ตัวตนย่อยเหล่านี้จะลุกขึ้นมา ‘ควบคุม’ หรือ ‘ปกป้อง’ ตัวเองจากความเจ็บปวดหรือบาดแผลที่กำลังเผชิญ และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆ (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่)

ในองค์ความรู้ของจิตวิทยาตัวตน ซึ่งให้ความสำคัญกับการแยกแยะตัวตนภายในด้านต่างๆ ของเราออกมาทำความรู้จัก ซึ่งเราทุกคนสามารถเรียนรู้ทำความรู้จักนิสัยของตัวเอง ว่าชอบ ไม่ชอบอะไร มีการแสดงออกอย่างไร คิดเห็นต่อเรื่องต่างๆ อย่างไร

การกลับมาทำความรู้จักตัวเองไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายคนพูดคุยกับจิตใจตัวเองอยู่แล้ว แต่เราจะให้ความใส่ใจอย่างละเอียดลออว่า ลึกลงไป กว่าที่เราจะเข้าใจนิสัยต่างๆ นั้น ยังมีนิสัยส่วนลึกที่ซุกซ่อน ซึ่งมีประวัติและที่มาของนิสัยด้านนั้นๆ อยู่ภายใน เป็นความต้องการเบื้องลึกที่ไม่เคยเผยหรือได้รับการใส่ใจจากตัวเราเอง

ในร่างกายของคนเรามีอวัยวะที่ก่อเป็นตัวเป็นตนรวมกันเรียกว่าเป็น ‘ตัวฉัน’ มี แขน ขา สมอง ผิวหนัง ฯลฯ ซึ่งในด้านของจิตใจ

ฉันจะเปรียบว่า

จิตนั้นก็มีอวัยวะด้วยเช่นกัน มีด้านต่างๆ ของจิตใจ ทั้งด้านที่เป็นคุณลักษณะบวก และด้านที่เป็นคุณลักษณะลบ และส่วนของ ‘จิตที่เปิดรับ’ (self) ที่มีความเป็นกลาง ไร้เสียงตัดสิน มีศักยภาพแห่งการเชื่อมต่อเชื่อมโยงดั่งธรรมชาติที่ไม่แยกขาดต่อสิ่งใด แถมมีความเมตตาที่พร้อมเยียวยาจิตใจส่วนต่างๆ ถือว่าเป็นดั่งแกนกลางของระบบชีวิตของมนุษย์เรา พร้อมเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์

เมื่อคุณทุกคนเคยเป็นเด็กทารกตัวน้อยๆ ที่โลกใบนี้ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ รอคุณค่อยๆ เติบโตเพื่อเรียนรู้แต่ละสิ่งแต่ละอย่าง คุณค่อยๆ เรียนรู้ว่าอะไรเป็นมิตรต่อคุณ มอบความรักและการยอมรับแก่คุณ

ในทางตรงกันข้าม คุณก็จะรู้จักว่าอะไรที่ทำลายคุณได้ อะไรที่คุกคามและคอยสร้างความกลัวกับจิตใจและร่างกายของคุณ ฉะนั้นกลไกของจิตจึงค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างเป็นความรู้สึก ความนึกคิด และทัศนคติ จนกลายเป็นด้านๆ หนึ่งหรือนิสัยหนึ่งๆ บุคลิกภาพแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งฉันจะขอเรียกสั้นๆ ว่า ‘ด้าน’ หรือ ‘part’

ในงานการดูแลจิตใจพ่อและแม่ที่เจอความปั่นป่วนในการเลี้ยงลูกโดยไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกด้านลบของตนเองได้ ฉันได้ลองนำพาให้คุณพ่อคุณแม่เยียวยาใจตนเองด้วยเครื่องมือจิตบำบัด ซึ่งส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสกับแบบฝึกหัดก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ถึงแม้เรื่องทุกข์ใจจะยังคงอยู่ แต่พอได้สัมผัสถึงสภาวะโล่งๆ กลับเห็นทางออกของปัญหาได้”

ในตัวอย่างหนึ่ง แม่คนหนึ่งเคยมาปรึกษาฉันเกี่ยวกับภาวะความรู้สึกหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นขณะที่เธออยู่ต่อหน้าลูกวัยห้าขวบ

เธอบอกไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกใด รู้แต่ว่าตนไม่ชอบเลยที่เป็นแบบนี้ ฉันลองให้เธอช่วยเล่าถึงสภาพปัจจุบันในการเลี้ยงดูลูกให้ฉันฟังคร่าวๆ และนำพาให้คุณแม่ได้ลองทำแบบฝึกหัดนี้ โดยการแยกด้าน (part) หนึ่งออกมาจากการครอบงำในจิตใจเธอก่อน แล้วให้เธอค่อยๆ สร้างกระบวนการเยียวยาความรู้สึกที่บอบบางภายในด้วยตัวเธอเอง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

คุณแม่ : ก็มีแต่งานประจำๆ ซ้ำๆ ซึ่งรวมๆ ฉันก็ทำสิ่งต่างๆ ในการดูแลครอบครัวได้ดี แต่กลับรู้สึกเบื่อหน่าย และเริ่มไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน

ฉัน : ช่วยระบุสักหนึ่งประโยคที่เป็นคำแทนความสัมพันธ์ที่มีต่อลูก

คุณแม่ : (ส่ายหัว ด้วยท่าทีที่ไม่อยากจะไปสำรวจดูนัก)

ฉัน : ฉันขอให้เธอนั่งอยู่กับฉันเฉยๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร (เราสบตากัน) ลองหลับตาลงแล้วจินตนาการ ลองนึกว่าคุณเลือกที่จะเป็นอะไรสักอย่าง โดยที่คุณมีอิสระที่จะเป็นในแบบที่เธอต้องการ

คุณแม่ : ก้อนหิน   

ฉัน : ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างนะ การเป็นก้อนหินแบบนี้?

คุณแม่ : รู้สึกสบายมาก สงบ นิ่ง เย็น

ฉัน : ฟังดูคุณจะชอบนะ

คุณแม่ : ใช่คะ ฉันรู้สึกดีมากกับการได้อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องแคร์ใคร

ฉัน : ในจินตนาการคุณกำลังเป็นก้อนหินหรือว่า คุณกำลังยืนมองก้อนหินอยู่นะ?

คุณแม่ : ฉันเป็นก้อนหินอยู่ค่ะ

ถึงตอนนี้ฉันขอให้คุณแม่แยกภาพก้อนหินออกจากความเป็นตัวเธอออกมา จนเธอสามารถเห็นก้อนหินตรงหน้าได้ โดยที่จะหลับตาหรือลืมตาก็ได้ แต่ยังนึกถึงภาพในจินตนาการได้อย่างถนัด เพื่อที่เราจะทำงานกับด้านในต่อ

ฉัน : ตอนนี้คุณยืนมองก้อนหิน คุณรู้สึกอย่างไรกับก้อนหินบ้างคะ?  

คุณแม่ : รู้สึกต่างไปจากเมื่อกี๊นะ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า ก้อนหินมันดูโดดเดี่ยว

ฉัน : แล้วตัวคุณกำลังมีความรู้สึกอย่างไรบ้างกับก้อนหินก้อนที่ดูโดดเดี่ยวนี้?

คุณแม่ : โอ้ ฉันอยากเข้าไปใกล้ๆ ก้อนหินก้อนนี้นะ เหมือนมันมีชีวิต

ฉัน : ค่ะ งั้นลองเข้าไปดูสิคะ คุณจะใช้เวลาอยู่กับก้อนหินนี้สักพักหนึ่ง ลองดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และขอให้คุณเปิดใจรับฟัง

(คุณแม่นั่งนิ่งๆ ประมาณ 3 นาที ในท่าทีที่สงบ)

ฉัน : เป็นอย่างไรบ้างคะ เกิดอะไรขึ้นมา พอเล่าให้ฉันฟังได้ไหม

คุณแม่ : ในจินตนาการก้อนหินมีเสียงคุยโต้ตอบกับฉัน ก้อนหินมีน้ำเสียงที่คล้ายเด็กผู้หญิงอายุราว 10 ขวบบอกว่า อย่าไปยุ่งกับเธอนะ เธอไม่ชอบความวุ่นวายเลย

ฉัน : โอเคค่ะ ขอให้คุณประคองภาพนี้ไว้นะ ฉันอยากให้คุณเปิดโอกาสให้ก้อนหินก้อนนี้เป็นอิสระจากรูปลักษณ์ภายนอก ให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง คุณเพียงแต่ดำรงอยู่ในจินตนาการอย่างผ่อนคลาย

คุณแม่ : ฉันยืนห่างออกมาประมาณ 2 เมตร แล้วก็นั่งมองห่างๆ

ฉัน : ดีจังค่ะ ดูเหมือนคุณจะมีด้านอ่อนโยนให้ก้อนหินก้อนนี้มากนะคะ คุณบอกว่า เป็นน้ำเสียงคล้ายเด็กผู้หญิงอายุราว 10 ขวบ คุณลองสร้างบทสนทนาที่คุณอยากจะทำความรู้จักกับเธอสิคะ

คุณแม่ : ฉันเห็นร่างของเด็กผู้หญิงที่สวมชุดกระโปรงสีขาว นั่งกอดเข่า หน้าตาดูบูดบึ้ง

ฉัน : คุณรู้สึกเช่นไรบ้าง?

คุณแม่ : ฉันรู้สึกอยากเข้าไปใกล้ๆ นั่งข้างๆ แล้วกอดเด็กคนนี้จังเลย (คุณแม่มีน้ำตาอาบลงแก้มทั้งสอง)

ฉัน : ดีจังค่ะ ด้านหนึ่งของคุณอยากเข้าไปดูแลเด็กน้อยคนนี้นะคะ และฉันสังเกตเห็นว่าคุณมีน้ำตา คุณรู้สึกอย่างไรอยู่คะ

คุณแม่ : ฉันอยากดูแลเขาจังเลย ดูเขาน่าทะนุถนอมค่ะ มันซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูกค่ะ

ฉัน : ใช้เวลาให้เต็มที่เลยค่ะ ค่อยๆ เข้าไปหาเด็กน้อย ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ คุณอาจจะลองออกแบบที่จะพาให้เด็กน้อยไปเจอสิ่งที่ชอบก็ได้ หรืออะไรที่คุณอยากทำ

คุณแม่ : ฉันบอกเด็กน้อยว่า ฉันอยากพาเขาเดินเล่นในสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ นี้ และเด็กน้อยก็ยินยอม เราได้คุยกัน ถามชื่อกัน เธอตอบว่าเธอชื่อ ‘นุ่มนิ่ม’ เธอไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วย นานๆ ที แม่จะให้เธอออกมาข้างนอกบ้าน แต่เธอก็กลัวจะออกมาเจอกับความวุ่นวาย

ฉัน : ดูคุณกับเด็กน้อยค่อยๆ มอบความวางใจต่อกันนะคะ ในช่วงท้ายนี้ ฉันขอให้คุณลองมอบสัมผัสที่อบอุ่นกับเด็กน้อยในแบบที่คุณจะทำได้ และใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีความหมายต่อเด็กน้อยนะคะ ใช้เวลาเท่าที่คุณรู้สึกอย่างเต็มที่ค่ะ

(ในความเงียบ คุณแม่เลือกนั่งอยู่กับจินตนาการโดยการหลับตาในท่าทางผ่อนคลาย และมีน้ำตาที่ไหลอาบแก้มพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก)

ฉัน : ถ้าหากคุณพอใจแล้วกับการอยู่กับเด็กน้อยคนนี้ ก็ขอให้กล่าวอำลาเด็กน้อย แล้วค่อยๆ ถอยออกมาจากจินตนาการกลับมาอยู่กับฉันตรงนี้นะคะ คุณแม่สบตากับฉันอีกครั้ง สีหน้าที่ดูผ่อนคลาย และอิ่มเอม

ฉัน : เป็นอย่างไรบ้างคะ กับกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจินตนาการของคุณแม่?

คุณแม่ : ฉันรู้สึกดีที่ได้คอนเน็คกับเด็กน้อยมาก มันทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกภายในที่ลึกซึ้ง เหมือนกับว่าเด็กน้อยคือส่วนหนึ่งของฉันที่รู้สึกโดดเดี่ยวในปัจจุบันนี้ ฉันคงเป็นเหมือนก้อนหินที่คนอื่นมองเห็นอยู่ก็ได้นะ

เวลาผ่านไปหลายเดือน คุณแม่ท่านนี้กลับมาเจอฉันอีกครั้งและได้บอกเล่าว่า

หลังจากทำกระบวนการเยียวยาด้วย IFS ไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอเกิดความเบื่อหน่าย เธอจะเข้าไปหาเด็กน้อยคนนี้ มันทำให้เธอควบคุมด้านเพิกเฉยกับลูกๆ ได้ และบอกความไม่พร้อมกับลูกๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้บรรยากาศภายในครอบครัวผ่อนคลายขึ้น ลูกๆ บอกว่าเธอยิ้มง่ายขึ้นด้วย

และเมื่อเราได้ทำการสรุปแบบฝึกหัดนี้กัน จึงเกิดการตระหนักรู้ถึงเสี้ยวส่วนที่เป็นด้านลบที่ตัวเธอได้กดทับตนเองมานานหลายปี และเธอเริ่มเล็งเห็นว่า ตัวเธอนั่นเองที่จะแสดงท่าทีของการปิดกั้นความรู้สึกภายในต่อตนเองและคนรอบข้าง มันจึงนำมาซึ่งความห่างเหินต่อลูกและสามี และส่งผลให้เธอรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต

เธอค้นพบว่า เธอสามารถอนุญาตให้ตนเองมีความรู้สึกในด้านต่างๆ ได้ ทั้งความรู้สึกลบและบวก โดยที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ภายในคนเดียว เธอสามารถบอกกล่าวออกมาให้คนรอบข้างรับรู้ได้โดยที่เธอไม่ต้องกลัวการปฏิเสธ และสัญลักษณ์ของก้อนหินก็จะคอยช่วยประคับประคองให้เธอรู้สึกสงบนิ่งได้ เธอรู้ว่า เธอต้องการเวลาที่จะอนุญาตให้ตนเองมีความรู้สึกบอบบางเฉกเช่นเด็กน้อยอายุ 10 ขวบคนนั้นได้เสมอ

ในจิตใจของคนเรานั้นอารมณ์มักจะเป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนที่สามารถนำพาไปได้หลากหลายทิศทาง ความนึกคิดต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ในงานการเยียวยาความรู้สึกภายในจึงจะเน้นไปที่ด้านการรองรับความรู้สึกต่างๆ ก่อนที่จะหาทางออก ซึ่งในหลายคนที่สามารถเพิ่มทักษะการรองรับจิตใจภายในของตนเองเป็น ดูเหมือนปัญหาก็อาจจะหมดไปได้สักครึ่งหนึ่งแล้ว บางทีทางออกอาจจะอยู่ที่ทางเข้าก็ย่อมได้

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Internal Family Systems(IFS)

Author:

illustrator

ญาดา สันติสุขสกุล

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the trauma
    ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน
Space
15 May 2019

PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน

เรื่องและภาพ ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

  • พิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่เราไป ทุกแห่งมีมุม มีพื้นที่ มีกิจกรรม และคู่มือสำหรับเด็กๆ ไม่ใช่แค่เด็กที่สนุก ผู้ใหญ่ชอบเล่นอย่างพวกเราก็สนุก ผู้ใหญ่สายเคร่งขรึมก็ได้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศเหล่านี้ เมื่อความสนุกมาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เราก็สามารถพาให้เด็กดูงานมาสเตอร์พีซเหมือนผู้ใหญ่ได้ด้วย
  • มองกลับไปที่เด็กๆ ในเยอรมนี อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ เราเจอเด็กๆ มีประสบการณ์ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเยอะมาก มีงานศึกษามากมายถึงประโยชน์ของการพาเด็กเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งพอมาเห็นจริงๆ แล้ว เราคิดว่านี่เป็นผลจากการฝึกฝน การทำซ้ำ ไปเจอของจริงที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้อย่างลึกซึ้งและซับซ้อน
  • พื้นที่สาธารณะที่ไม่ใช่แค่การได้ออกไปเล่นและใช้ชีวิต แต่คือการฝึกให้ตัวเองอยู่ร่วมกับผู้คน เห็นกฎกติกา มารยาท และกาลเทศะในสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงเด็กๆ ที่ได้เรียนรู้ ในพื้นที่สาธารณะนี้ พ่อแม่ ผู้ใหญ่เอง ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยไม่แพ้กัน

กลางเดือนมีนาคม ใกล้ 11 โมงในอัมสเตอร์ดัม, เนเธอร์แลนด์ อากาศยังหนาวจัดและฝนโปรยปราย รถรางพาเรา 2 คนผ่านร้านรวงและพิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลกหลายแห่ง เราจำทิศทางไปพิพิธภัณฑ์ไว้แล้วลงรถที่หน้า The Royal Concertgebouw

ชิลล์ๆ ช้าๆ มาฟังคอนเสิร์ตฟรีเป็นมื้อเที่ยง

โรงละครอายุกว่า 200 ปีตอนนี้มีคนมาเดินเล่นที่โถงกันคับคั่ง หลายคนเริ่มต่อแถวรับบัตรชมคอนเสิร์ตแล้ว เราไม่รู้จักนักดนตรีที่จะแสดงในวันนี้ แต่ที่นี่มีคอนเสิร์ตตั้งแต่ดนตรีคลาสสิก แบบวงออร์เคสตราจัดเต็ม ไปจนถึงดนตรีแนวทดลอง ทุกวันพุธเกือบทุกสัปดาห์ตลอดปี คนหลายวัย และหลายเชื้อชาติ มารอเสพศิลปะเติมบางอย่างให้ชีวิตท่ามกลางความหนาว ในแถวยาวออกไปนอกประตูอาคาร มีผู้สูงอายุยืนคุยกัน มีคนหนุ่มสาวจูงกันไปรอรับบัตรไป แต่สิ่งที่เราสะดุดตาที่สุด คือ มีเด็กหญิงร่าเริงอายุไม่เกิน 4 ขวบ ที่มากับแม่

ยากมากที่จะเห็นเด็กเล็กในการแสดงดนตรี โดยเฉพาะการแสดงดนตรีคลาสสิกที่บางจังหวะเพียงเราหายใจดังไปนิดนึง คนอยู่บนเวทีอาจจะได้ยิน ไม่ต้องพูดถึงเด็ก ที่ไม่น่าจะจัดการตัวเองได้แน่ๆ แต่ที่นี่ไม่ได้ห้ามเด็กเข้า เด็กน้อยได้เข้าชม พร้อมเบาะเสริมความสูง

ดนตรีวันนั้นแสดงโดยนักดนตรีอาชีพอายุน้อย เด็กหนุ่ม 2 คนที่อาสาเล่นดนตรีคลาสสิกออกมาเป็นแนวทดลอง ปล่อยของจัดเต็ม เสียงขึ้นลงดังเบาบ้าบอ เน้นคอนเซ็ปต์มากกว่าความไพเราะ เราอินบ้างไม่อินบ้าง แต่เด็ก 4 ขวบ จนถึงผู้ใหญ่อายุ 90 นั่งดูด้วยกันเงียบๆ ตั้งใจ จนจบ 40 นาที แล้วมอบเสียงปรบมือกึกก้อง

นี่คือเด็ก 4 ขวบที่ ‘มีประสบการณ์’ ผู้ใหญ่ 90 ที่ยังไม่แก่ และคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

สำหรับเรา เหตุการณ์นี้คงจะผุดขึ้นในใจเป็นเหตุการณ์แรกๆ ไปอีกพักใหญ่ เมื่อพูดถึงคำว่า “Public Space” พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ที่สร้างมาสำหรับทุกคน

1.

ฉันและเพื่อนไปเที่ยวทริปประจำปีกันที่อัมสเตอร์ดัม พวกเราเปิดร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ในกรุงเทพฯ ด้วยกันมา 3 ปี แล้ว และโหยหาความรู้สึกของการเดินทางเสมอ ยิ่งเปิดพื้นที่เรียนรู้ ก็ยิ่งอยากรู้เรื่องการเรียนรู้ มีเวลา 2 สัปดาห์ ทริปนี้นอกจากการพัก และการไปเยี่ยมเพื่อนที่เยอรมนี ก็เป็นการทำงานที่เรารัก คือการเที่ยวแหล่งเรียนรู้และพื้นที่เรียนรู้ (และกินของอร่อย แฮร่) ในเวลา 15 วัน นอกจากตลาด คาเฟ่ ร้านหนังสือ ร้านอาหารนับไม่ถ้วน เราเข้าพิพิธภัณฑ์เล็กใหญ่หลากหลายเรื่องราวไปน่าจะ 10 แห่ง ใน 2 ประเทศ

สิ่งที่เราเห็นทุกวันตลอดทริป เห็นมากกว่าคลอง เจอเยอะไม่แพ้ขนมปังและชีส คือ เด็ก! ตั้งแต่เด็กวัยหัดเดินจนถึงวัยรุ่น เราเจอเด็กๆ ทุกวัน ในทุกๆ ที่ ในการเดินริมคลอง ในจักรยานพ่วงข้าง ในจักรยานของตัวเองริมถนน ในรถราง ในพิพิธภัณฑ์ทุกแห่ง ในร้านอาหาร ในตลาด โรงละคร ร้านหนังสือ กระทั่งในคาเฟ่ฮิปๆ

ซึ่งเราก็คิดว่าพอจะเห็นที่มาที่ไป และน่าสนุกน่าอิจฉาน่าลอง

ใน Rijksmuseum พิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลกของอัมสเตอร์ดัม ที่เราจะเห็นงานของ Vangogh, Vermeer, Rembrandt, Caravaggio และอื่นๆๆ อันตระการตา ก็มีไกด์ทัวร์สำหรับพาครอบครัวพร้อมเด็กๆ เที่ยวชมโดยเฉพาะ และมีอุปกรณ์การเที่ยวชมในรูปแบบเกม ให้ทั้งครอบครัวเล่นเกมตามล่าไขปริศนาในมิวเซียม (โดยดูภาพต่างๆ ไปเรื่อยๆ นี่แหละ) ด้วยกัน เล่นชนะมีเซอร์ไพรซ์ให้ด้วย

วันที่เราไป โถงใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ กลางลานมียกพื้นเล็กๆ มีคุณลุงคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ รอบๆ ตัวเรียงรายไปด้วยขาตั้งวาดรูปสิบกว่าอัน พร้อมกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่ ชาโคล แท่งถ่านสำหรับวาดรูปประจำที่ วันนี้เป็นวันมีนายแบบฟรี นักท่องเที่ยว ชาวบ้าน นักเรียนศิลปะ ใครก็ตามสามารถเดินมาที่ขาตั้งแล้ววาดรูปคุณลุงได้เลย

พวกเราเดินดูไปรอบๆ คุณลุงยักคิ้วให้หนึ่งที เห็นเด็กๆ มาวาดกันด้วย รูปคุณลุงเหมือนการ์ตูนน่ารักมาก ผู้ใหญ่ น้องๆ พี่ๆ นานาชาติ วาดรูปกันหลากหลายสไตล์ หลายงานเท่มาก มุมมองหลากหลาย ดูเหมือนใครๆ ก็สร้างงานศิลปะได้ในพิพิธภัณฑ์ระดับโลก พอวาดเสร็จปุ๊บ เราจะเอารูปกลับก็ได้ หรือไม่ เจ้าหน้าที่ก็จะหยิบมาวางกระจายๆ โชว์รวมกัน พร้อมบริการเปลี่ยนแท่งถ่านให้คนถัดไปมาเรียนมาเล่นได้ทันที

อีกวัน ใน Vangogh มิวเซียม เราเห็นเด็กๆ เดินชี้ชวนดูภาพไปกับพ่อแม่ บางคนจะถือแผ่นกระดาษ ที่เอาให้เขาไว้วาดรูปที่เขาชอบ ไขปริศนาบางอย่าง ตอบคำถามตลกๆ ที่ต้องสังเกตรูปภาพของ Vangogh ก่อนถึงจะตอบได้ เห็นคุณแม่คนหนึ่ง พร้อมเด็กจิ๋ว 2 คน เดินดูงานไปด้วยกัน ชี้กันดูภาพ งานหนักตกอยู่ที่คุณแม่จะต้องคอยตอบคำถามหน่อยว่า แม่คิดว่า รูป Vangogh รูปนี้ เป็นแบบนั้นแบบนี้อย่างที่เขาคิดรึเปล่า

ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่เราไป ทุกแห่งมีมุม มีพื้นที่ มีกิจกรรม และคู่มือสำหรับเด็กๆ กระทั่งจุดขายของ ยังมีอุปกรณ์และพื้นที่ให้เด็กเล่นได้เพิ่ม ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กที่รู้สึกสนุก ผู้ใหญ่ชอบเล่นอย่างพวกเราก็สนุก ผู้ใหญ่สายเคร่งขรึมก็ได้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศเหล่านี้ เมื่อความสนุกมาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เราก็สามารถพาให้เด็กดูงานมาสเตอร์พีซเหมือนผู้ใหญ่ได้ด้วย

การไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะเพื่อดู Rembrandt หรือ Caravaggio ของเด็กๆ ก็เลยสนุกไม่แพ้สนามเด็กเล่น

2.

ในระหว่างเดินทาง บริการรถสาธารณะที่อัมสเตอร์ดัมสะดวกมาก รถรางรถเมล์ทั่วถึงตรงเวลา เลนจักรยานส่วนใหญ่กว้างและมีเกาะกลางคั่นจากถนน ปลอดภัยพอที่เด็กจะปั่นจักรยานเองได้ พ่อแม่สามารถพาลูกไปไหนมาไหนบนรถเข็นเด็กได้ไม่ลำบาก

ในสวนสาธารณะ อย่าง Vondelpark สวนใหญ่มากกลางอัมสเตอร์ดัม ทุกไกด์บุคจะบอกว่า ถ้าเราอยากเห็นชาวดัตช์ทุกวัยทุกสไตล์ ให้ลองมาที่นี่ แน่นอนว่า เราไปเดินเล่นนั่งเล่นอยู่ครึ่งวัน ดูเป็ด ดูหมา ดูแก๊งค์วัยรุ่น คนวิ่ง ปั่นจักรยาน ปิกนิก เม้ามอย และแน่นอน เด็กๆ ก็มาเล่น

สวนสะอาดเรียบร้อยดี เด็กๆ สำรวจพื้นที่ตามใจชอบ พ่อแม่เล่นด้วยบ้าง นั่งเล่นดูอยู่ห่างๆ บ้าง เด็กเล่นเต็มที่แต่ก็ไม่ได้รบกวนใคร …เป็นเด็กมีประสบการณ์ ☺

3.

กลับมาจากทริปแล้ว เราได้มีโอกาสดูหนังสารคดีเรื่อง Ex Libris: The New York Public Library หนังสงบๆ ยาว 4 ชั่วโมงกว่า ของผู้กำกับระดับรางวัลรุ่นเก๋า Frederik Wiseman พูดถึงห้องสมุดประชาชนนิวยอร์กที่มีภารกิจสร้างพื้นที่เรียนรู้ให้กับคนทั้งมหานคร ห้องสมุดมีหลายสาขาหลายตึกกระจายอยู่ทั่วเมือง หนังพาเข้าไปฟังวงคุยหรือดูกิจกรรมที่จัดในห้องสมุดหลายสาขาในแต่ละชุมชน วงคุยต่างๆ นับว่าพีคและหลากหลายมาก

มีวงคุยตั้งแต่เรื่องมุสลิมกับการค้าทาสในศตวรรษที่ 16 การอ่านบทกวีโดยนักเขียนที่สนใจการเมืองเป็นพิเศษ การสอนเด็กๆ เขียนโค้ดหุ่นยนต์ การสอนคนตาบอดอ่านอักษรเบลล์ คุยเรื่องวิธีการแต่งตัวและวางตัวเมื่อสมัครงานในย่านชุมชนแออัด คุยเรื่องละครเวทีสำหรับคนหูหนวก คุยเรื่องคนไร้บ้านที่มาใช้บริการห้องสมุด และอื่นๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าเห็นทุกๆ เรื่องที่เป็นไปได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งระดับไหน เรื่องใกล้ไกลตัวยังไง ห้องสมุดก็เป็นพื้นที่นั้นๆ ให้ คือ เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว

สำหรับเราหนังเรื่องนี้ ทำให้คำว่า พื้นที่สาธารณะ สำหรับ ‘ทุกคน’ ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมมาก สิ่งที่ชาวเมืองได้รับ ก็คือ ห้องสมุดที่ไม่ได้เป็นที่เก็บหนังสือ แต่เป็นแหล่งสร้างและส่งต่อปัญญาของผู้คน พาทุกคนในสังคมไปด้วยกันจริงๆ ไม่ว่าเราจะมีรายได้เท่าไร แต่งตัวแบบไหน ทำอาชีพไหน ผิวสีอะไร เราจะถูกมองเห็น และรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ดูหนังจบ เราลองค้นหาข้อมูลเรื่องพื้นที่สาธารณะเพิ่มเติม บางนิยามบอกว่าองค์ประกอบที่สำคัญของพื้นที่สาธารณะ ไม่ได้อยู่ที่รัฐหรือเอกชนจะเป็นเจ้าของ จะใหญ่เล็ก หรือมีวัตถุประสงค์แบบไหน แต่คือ พื้นที่ที่คนเข้าถึงได้ และสร้างให้เกิด ‘Public Life’ ซึ่งพื้นที่สาธารณะสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมมาก เกี่ยวไปถึงความปลอดภัย และไปจนถึงความมีชีวิตชีวาของเมือง ซึ่งก็คือ ความสุขรื่นรมย์ของผู้คนด้วย

ดูหนังจบ เราลองค้นหาข้อมูลเรื่องพื้นที่สาธารณะเพิ่มเติม บางนิยามบอกว่าองค์ประกอบที่สำคัญของพื้นที่สาธารณะ ไม่ได้อยู่ที่รัฐหรือเอกชนจะเป็นเจ้าของ จะใหญ่เล็ก หรือมีวัตถุประสงค์แบบไหน แต่คือ พื้นที่ที่คนเข้าถึงได้ และสร้างให้เกิด ‘Public Life’ ซึ่งพื้นที่สาธารณะสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมมาก เกี่ยวไปถึงความปลอดภัย และไปจนถึงความมีชีวิตชีวาของเมือง ซึ่งก็คือ ความสุขรื่นรมย์ของผู้คนด้วย

มองกลับไปที่เด็กๆ ในเยอรมนี อัมสเตอร์ดัม, เนเธอร์แลนด์ เราได้เจอเด็กๆ ที่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเยอะมาก มีงานศึกษามากมายถึงประโยชน์ของการพาเด็กเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งพอมาเห็นจริงๆ แล้ว เราคิดว่านี่เป็นผลจากการฝึกฝน การทำซ้ำ เป็นการไปเจอของจริงที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆได้อย่างลึกซึ้งและซับซ้อน

ธรรมชาติของการไปเที่ยว คือ ทุกสิ่งที่เห็น สัมผัส ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รู้สึก เป็นสิ่งใหม่ อาหารหลากหลาย คนที่ต่างไป กิจกรรมและพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ประสาทสัมผัสทุกด้านตื่นตัวขึ้นมารับมือ เด็กๆ อาจเจอสถานการณ์ที่ต้องแก้ปัญหา คิด รู้สึก และฝึก

ในพื้นที่สาธารณะ เขาจะได้เห็นเงื่อนไขของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตรงหน้า โดยที่พ่อแม่ไม่ทันบ่น เข้าใจเหตุและผลของโลก เมื่อจะต้องเข้าแถว เดินสวนกับคน มองดูทาง ให้เกียรติคนรอบข้าง ทำให้การอดทน รอคอย ไม่โวยวาย ไม่ทิ้งข้าวของ และดูแลตัวเองให้ได้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น เห็นภาพ และรู้สึกได้จริงสำหรับเด็ก

เด็กๆ จะได้ฝึกที่จะเห็นตัวเองอยู่ร่วมกับผู้คน เห็นกฎกติกา มารยาท และกาลเทศะในสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงเด็กๆ ที่ได้เรียนรู้ ในพื้นที่สาธารณะนี้ พ่อแม่ ผู้ใหญ่เอง ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยไม่แพ้กัน

เด็กๆ จะได้ฝึกที่จะเห็นตัวเองอยู่ร่วมกับผู้คน เห็นกฎกติกา มารยาท และกาลเทศะในสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงเด็กๆ ที่ได้เรียนรู้ ในพื้นที่สาธารณะนี้ พ่อแม่ ผู้ใหญ่เอง ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยไม่แพ้กัน

4.

ช่วงท้ายของทริป เราเดินเล่นไปหาร้านกาแฟ เจอเด็กหญิงร้องไห้แบบสุดเสียงอยู่ข้างจักรยานหน้าตึกออฟฟิศ พี่ชายตัวเล็กซ้อนจักรยานรออยู่ คุณพ่อคุยกับเด็กน้อยอยู่นาน พ่อพูดเบาๆ แล้วหยุดรอ ทำซ้ำๆ เราเห็นความใจเย็นมหัศจรรย์นี้ดำเนินไปช้าๆ จนเด็กน้อยโอเค สงบ และขึ้นจักรยานออกไปด้วยกัน

เราคิดว่าเด็กน้อย 4 ขวบในคอนเสิร์ตฮอลล์ที่แม่ปล่อยให้เดินเล่นไปมาท่ามกลางคนคับคั่งตอนรอฟังดนตรี ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตที่นี่เป็นครั้งแรก แม่ลูกอาจผ่านการคุยแบบมหัศจรรย์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

แล้วก็คิดว่า เด็กๆ ที่เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีที่เราเห็นโชคดีมาก เพราะได้มีพื้นที่ฝึกฝนเรียนรู้เติบโต เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เหมือนทั้งเมืองเป็นพื้นที่สาธารณะ เต็มไปด้วยทรัพยากรทรงคุณค่าและหลากหลาย คล้ายเมืองได้เขย่าทรัพยากรทั้งหมดที่คนทั้งสังคมมีมาใช้ และเด็กๆ ก็เข้าถึงมันได้พร้อมพ่อแม่

แล้วก็คิดว่า พ่อแม่ที่นั่นก็โชคดีเหมือนกัน ยังได้ใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ออกไปชิลล์ ไปสนุกในพื้นที่สารพัดแบบ และพาลูกไปสนุกด้วยกันได้ด้วย ☺

ป.ล. เตรียมพร้อมเดินทางสู่เนเธอร์แลนด์ ชวนอ่านหนังสือชื่อ The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้ หนูแฮปปี้สุดๆ

หนังสือมีฉบับแปลไทย เขียนถึงความเป็นพ่อแม่และความเป็นเด็ก ที่เลี้ยงดูแบบชาวดัตช์ได้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะการเลี้ยงที่พ่อแม่เองไม่ต้องทุ่มจนหมดหน้าตัก ไม่ต้องผลักดันลูกไปที่ไหน และรู้ว่าความสุขสำคัญ

เราคิดว่าทั้งหลายนี้ในเนเธอร์แลนด์ มันเกิดขึ้นได้เพราะคน ‘เห็น’ ตัวเอง และทำให้ ‘เห็น’ คนอื่นด้วย

ความเข้าใจ เห็นใจ อดทน ประนีประนอม ให้พื้นที่กับทุกเสียง เห็นปลายทางแท้จริงของการถกเถียง หาทางที่ดีกันได้จริงๆ โดยพ่อแม่ไม่ต้องทำตัว ‘เยอะ’

คนเขียนซึ่งเป็นแม่ เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพ่อชาวดัตช์พยายามให้เหตุผลกับลูก 3 ขวบ ว่าทำไมลูกต้องเข้านอนเร็ว

มันดูเสียเวลาและไร้สาระที่เราต้องมายืนเถียงกับเด็กวัยหัดเดินไปเรื่อยๆ เพื่อให้เขาเข้านอน แต่พ่อก็ยังคงทำอย่างใจเย็น เพื่อการเรียนรู้และฝึกฝนการใช้เหตุผลตัดสิน ให้เด็กๆ รู้ว่าเขามีสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง ฝึกให้รู้ตัวว่าเขาสบายใจหรือไม่สบายใจกับอะไร ประโยคในเล่มเขียนว่า “มันคือทักษะที่จะเป็นประโยชน์เมื่อเขาโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านแรงกดดันจากเพื่อน การรับมือเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หรือการยืนยันสิทธิ์ของตนเองในที่ทำงาน”

พ่อแม่ชาวดัตช์คาดหวังให้เด็กคิดคำโต้แย้งได้เอง อดทน และก้าวต่อไปเมื่อการโต้เถียงยุติ และรู้ว่าเขาจะได้รับการเคารพ ไม่มีการสบถ ไม่พูดคำหยาบ และไม่มีการขัดจังหวะ

“มันน่าเหนื่อยใจมาก และเป็นการทดสอบความอดทนของคุณ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะแทบคลั่งกับการพยายามโต้เถียงอย่างมีเหตุผลกับเด็กวัยหัดเดิน เราก็จะไม่เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น…มันยังเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขา (ชาวดัตช์) จึงเป็นกลุ่มคนที่มีความสุขที่สุดในโลก และมันต้องเริ่มต้นจากที่ไหนสักแห่ง…”

ดูเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเหมือนกันเนอะ

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

www.schoolofchangemakers.com/knowledge/11075

วิทยานิพนธ์เรื่องพื้นที่สาธารณะ นางสาวศุภยาดา ประดิษฐ์ไวทยากร

ภาพยนตร์สารคดี Ex Libris: The New York Public Library ฉายโดย Documentary Club

หนังสือ คู่มือสิ่งเล็กๆ ที่สร้างลูก สสส.

หนังสือ The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้ หนูแฮปปี้สุดๆ

ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ – นักอ่าน นักทำงานอดิเรก ชอบการเดินทางและกำลังสนุกกับกล้องฟิล์ม หนึ่งในเจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace สวนพลู

Tags:

การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกพิพิธภัณฑ์public space

Author & Photographer:

illustrator

ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

นักอ่าน บรรณาธิการอิสระ อดีตกองบรรณาธิการนิตยสาร writer ชอบการเดินทางและกำลังสนุกกับกล้องฟิล์ม เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

Related Posts

  • Space
    มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Unique Teacher
    พรรณวิภา โซลเบิร์ก: ครูไทยในห้องเรียนนอร์เวย์ ชอบพาเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Space
    PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel